เถรี
12-10-2012, 20:52
ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตน หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒ - ๓ ครั้ง เป็นการระบายลมหยาบออกให้หมดก่อน หลังจากนั้นก็เอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัด
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกของเดือนนี้ ในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น ลมหายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กรรมฐานที่เราปฏิบัติจะทรงตัวหรือไม่ทรงตัว เจริญก้าวหน้าหรือไม่เจริญก้าวหน้า ขึ้นอยู่กับว่าเรานึกถึงลมหายใจเข้าออกได้มากน้อยเพียงไร
ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น อาตมภาพเคยกล่าวหลายครั้งแล้วว่า จำเป็นต้องรักษาอารมณ์ตัวเองไปให้ต่อเนื่อง คำว่าต่อเนื่องนั้น ถ้านักปฏิบัติทำแล้วหวังผล ก็คือต้องรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกขณะ รู้คำภาวนาอยู่ทุกขณะ การรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนานั้น จะเลิกก็ต่อเมื่อสภาพจิตดิ่งลึกเข้าไป จนกระทั่งไม่สามารถที่จะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่สามารถที่จะนึกถึงคำบริกรรมได้ เพราะสภาพจิตละเอียด จนพ้นจากการปรุงแต่งไปแล้ว ในลักษณะอย่างนั้น ก็ให้เรากำหนดดูกำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้สภาพจิตเป็นอย่างนี้ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา
แต่ถ้าสภาพจิตทรงตัวจนถึงที่สุดแล้ว เริ่มคลายออกมา เราต้องรีบนึกถึงลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาใหม่ ไม่เช่นนั้นแล้ว สภาพจิตก็จะวิ่งไปหารัก โลภ โกรธ หลง ตามความเคยชินของตนเอง และจะเอากำลังที่เราภาวนาได้นั้น ไปปรุงแต่งในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลงจนเจริญงอกงามมาก เพราะมีกำลังของสมาธิไปหนุนเสริม
แต่ถ้าเราควบคุมจิตให้อยู่กับการภาวนาต่อ ทันทีที่สภาพจิตคลายออกมาจากจุดลึกที่ตนเองเข้าถึงนั้น ก็จะทำให้เราไม่เปิดช่องให้กิเลสกินใจของเราได้ เท่ากับว่าทุกลมหายใจเข้าออกของเราอยู่กับคำภาวนา ถ้ารักษาสภาพจิตอย่างนี้ได้ การปฏิบัติของเราก็จะเจริญก้าวหน้ามาก
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกของเดือนนี้ ในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น ลมหายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กรรมฐานที่เราปฏิบัติจะทรงตัวหรือไม่ทรงตัว เจริญก้าวหน้าหรือไม่เจริญก้าวหน้า ขึ้นอยู่กับว่าเรานึกถึงลมหายใจเข้าออกได้มากน้อยเพียงไร
ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น อาตมภาพเคยกล่าวหลายครั้งแล้วว่า จำเป็นต้องรักษาอารมณ์ตัวเองไปให้ต่อเนื่อง คำว่าต่อเนื่องนั้น ถ้านักปฏิบัติทำแล้วหวังผล ก็คือต้องรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกขณะ รู้คำภาวนาอยู่ทุกขณะ การรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนานั้น จะเลิกก็ต่อเมื่อสภาพจิตดิ่งลึกเข้าไป จนกระทั่งไม่สามารถที่จะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่สามารถที่จะนึกถึงคำบริกรรมได้ เพราะสภาพจิตละเอียด จนพ้นจากการปรุงแต่งไปแล้ว ในลักษณะอย่างนั้น ก็ให้เรากำหนดดูกำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้สภาพจิตเป็นอย่างนี้ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา
แต่ถ้าสภาพจิตทรงตัวจนถึงที่สุดแล้ว เริ่มคลายออกมา เราต้องรีบนึกถึงลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาใหม่ ไม่เช่นนั้นแล้ว สภาพจิตก็จะวิ่งไปหารัก โลภ โกรธ หลง ตามความเคยชินของตนเอง และจะเอากำลังที่เราภาวนาได้นั้น ไปปรุงแต่งในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลงจนเจริญงอกงามมาก เพราะมีกำลังของสมาธิไปหนุนเสริม
แต่ถ้าเราควบคุมจิตให้อยู่กับการภาวนาต่อ ทันทีที่สภาพจิตคลายออกมาจากจุดลึกที่ตนเองเข้าถึงนั้น ก็จะทำให้เราไม่เปิดช่องให้กิเลสกินใจของเราได้ เท่ากับว่าทุกลมหายใจเข้าออกของเราอยู่กับคำภาวนา ถ้ารักษาสภาพจิตอย่างนี้ได้ การปฏิบัติของเราก็จะเจริญก้าวหน้ามาก