View Full Version : ใครมีของทนสิทธิ์แบบใด ประเภทไหน ขอเชิญมาแบ่งปันความรู้กันครับ
วาโยรัตนะ
03-04-2009, 13:20
:4672615:ใครมี ใครทราบเรื่องราวความเป็นมาและความเชื่อต่าง ๆ อันเกี่ยวกับ "ของทนสิทธิ์" ชนิด ๆ นั้น ขอเชิญครับผม:msn_smilies-04:
ของ"ทนสิทธิ์" ก็คือ วัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อันมีความขลังอยู่ในตัวเอง ประเภท คด ต่าง ๆ กาฝากต่าง ๆ เหล่านี้ ใช่หรือไม่ครับ
เด็กเมื่อวานซืน
03-04-2009, 13:50
พวกของวิเศษที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เคยได้ยินแต่พวก คด ครับ
สมัยอยู่ชั้นประถมศึกษา ที่ห้องสมุดโรงเรียนมีตำราพวกนี้ด้วยเหมือนกันครับ จำได้ว่าเคยไปอ่านผ่าน ๆ ตา มาบ้างครับ แต่จำไม่ค่อยได้มากเท่าไรครับ
จำได้ราง ๆ ว่า บางประเภทก็ต้องไปประกอบพิธีนำเอามาใช้ตอนเกิด สุริยุปราคา เช่น คดทองแดง (ผลขนุน) จำได้เลือนราง แค่นี้ครับ
แต่ที่จำได้อีกที เห็นจะเป็นตอนที่ หลวงพี่ฯ ท่านเคยบอกว่า สมัยท่านยังรับราชการอยู่ชายแดน เคยมีกรณีศัตรูที่โดนจับได้ ภายหลังเขาหลบหนีการจับกุมไปผู้ใต้บังคับบัญชาของหลวงพี่ฯ ท่านในสมัยนั้น ก็ตามไปจับตัวมาได้ ปรากฏ ว่ายิงเท่าใดกระสุนก็ไม่ระคายผิวศัตรูคนนั้น ช่วงนั้นหลวงพี่ฯ ท่านนั่งทำบัญชีอยู่ที่ กองบัญชาการในค่ายทหาร ถ้าจำไม่ผิดท่านบอกว่า ท่านรู้สึกสงสัยว่า ทำไมถึงได้ยิงกันเปลืองกระสุนนัก ท่านก็เลยลงไปดู สุดท้ายแล้ว ตาศัตรูคนนั้นก็ถูกยิงจนได้ครับ
ผมจำไม่ได้ว่า ที่สามารถยิงกระสุนออกได้เพราะอะไรนะครับ (ต้องลองเรียนสอบถามกับท่านดูครับ) แต่จำได้ว่า ท่านบอกว่า พอค้นตัวศัตรูคนนั้นแล้ว พบแต่เพียง เส้นผม หรือ ขนของสัตว์ (จำไม่ค่อยได้แล้ว) ที่กลายสภาพเป็นทองแดง อยู่เส้นเดียวครับ...
วาโยรัตนะ
03-04-2009, 13:59
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/00152374.jpg
ทางใต้โดยเฉพาะ "ภูเก็ต" แล้ว ที่เห็นเป็นประจำคือ "หัวกระเบนท้องน้ำ" บางคนเรียก "คดกระเบน" มักนิยมนำมาทำหัวแหวน ตามความเชื่อท้องถิ่น เชื่อว่าสามารถป้องกันผีพรายและสิ่งไม่ดีทางน้ำได้ หัวกระเบนท้องน้ำคือส่วนที่ยื่นออกมาจากบริเวณโหนกหลังของปลาโรนิน ดังในรูปซึ่งในปัจจุบันตามธรรมชาติก็น่าเป็นห่วงการสูญพันธุ์ของปลาชนิดนี้อยู่ครับ จากการล่าเพื่อตัดหัวกระเบนมาขาย
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/1032616137fishingthailandcom2.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/spd_20071201172456_b.jpg
ภาพนี้ประกอบกับตัวเรือนแหวนแล้วครับ เป็น "แหวนหัวกระเบนท้องน้ำ":4672615:เป็นที่นิยมของสุภาพบุรุษทางใต้ครับ
วาโยรัตนะ
03-04-2009, 18:37
เรื่องใกล้ตัวอีกเรื่อง เพราะสวมใส่อยู่ทุกวันคือ แก้วเข้าแก้ว (โป่งข่าม)
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P4030418.jpg
:4672615:มาดูกันว่า ความเชื่อเรื่องแก้วเข้าแก้ว เขาว่ากันไว้อย่างไร
"แก้วเข้าแก้ว" นั้นเป็นแก้วที่บูรพาจารย์ท่านยกย่องเอาไว้ว่าเป็นกายสิทธิ์ที่มีความแปลกมหัศจรรย์ลี้ลับยิ่งนัก บ้างก็เรียกว่าแก้วลูกกรอก แก้วหมอผี หรือ แก้วพยากรณ์ เพราะหากผู้ที่นำไปใช้เป็นผู้ที่มีจิตสัมผัสจะสามารถสื่อสารสืบรู้ความเป็นไปเป็นมาทุกสรรพสิ่งที่อยากรู้เปรียบดั่งแก้วสารพัดนึก สารพัดรู้ทีเดียวเชียว
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/00057_18.jpg
จากรูปด้านบนพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า "แก้วเข้าแก้ว" นั้นมีลักษณะแปลกกว่า "แก้วโป่งข่าม" ชนิดอื่น ก็ตรงที่ภายในตัวแก้วจะมีก้อนแก้ว หรือบางครั้งพบเป็นช่อซ้อนอยู่ภายในแก้วที่เป็นตัวแม่อีกทีหนึ่ง บูรพาจารย์ท่านถือกันว่าเป็นคดแก้วที่มีความอาถรรพ์วิเศษสุดเหลือจะพรรณนาได้ มีอานุภาพทางปกป้องคุ้มครองสูงส่ง ตั้งบูชาอยู่ที่เรือนใด ท่านว่ากันไฟกันฟ้า กันลมกันคุณไสยมนต์ดำ ภูติพราย แม้แต่ขโมยก็เข้ามาไม่ได้เลย หากนำติดตัวไว้จะเป็นยอดคน ศัตรูครั่นคร้ามหวั่นเกรงเป็นที่รักใคร่แด่คนทั้งหลาย กันภัย เตือนภัยมหาอุด คงกระพัน มหาโชค มหาลาภ เป็นมหามงคลยิ่งแก่ผู้ครอบครอง
สมัยโบราณผู้ที่ใช้แก้วชนิดนี้ส่วนมากจะเป็นพวกปุโรหิต โหรหลวง ซึ่งสมัยก่อนคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ขมังเวทย์จอมอาคมจึงล่วงรู้ในพลังอานุภาพวิเศษของแก้วชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี
ศิษย์เหลือขอ-นพรัตน์
01-10-2009, 20:37
ผมมี ไม้ไผ่ตัน กับเขาวัวคลอดไม่ออก
:4672615:แล้วงากระเด็น ถือเป็นของทนสิทธิ์ด้วยหรือเปล่าคะ
งากระเด็น คืองาช้างที่เขาใช้งาไปงัดไม้ใหญ่ แล้วปลายงาหักกระเด็นออกมาค่ะ
งากระเด็น เพิ่งเคยได้ยินครับ โดยส่วนใหญ่จะเรียกว่า งากำจัด ครับ จัดเป็นของทนสิทธิ์ประเภทหนึ่ง
แหะ แหะ ป๊าของนุชท่านเรียกงากระเด็นค่ะ เป็นมรดกที่ท่านทิ้งไว้ให้ค่ะ:l43841274qn5:
สายท่าขนุน
02-10-2009, 18:58
แหะ แหะ ป๊าของนุชท่านเรียกงากระเด็นค่ะ เป็นมรดกที่ท่านทิ้งไว้ให้ค่ะ:l43841274qn5:
งากำจัด กับงากำจาย เป็นส่วนผสมของยาจินดามณีด้วยนะจ๊ะ:onion_love:
:4672615: งากำจัด = งาที่ช้างลงงากับต้นไม้เล่นแล้วหักคาอยู่
:4672615: งากำจาย = งาที่ช้างลองกำลังกันเองแล้วหักกระเด็น
:4672615: น่าจะนับเป็นงากำจายมากกว่าครับ
กราบขอบพระคุณค่ะ ได้ความรู้ใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ
:875328cc:
งากำจัด กับงากำจาย เป็นส่วนผสมของยาจินดามณีด้วยนะจ๊ะ:onion_love:
โอ...:6f428754:
กิตฺติสทฺโธ
03-10-2009, 00:11
มีเถาวัลย์หลงครับ < น่าจะเป็นนะครับ
เดือยงูเหลือม < อันนี้ไม่แน่ใจ แต่คนเฒ่าคนแก่บอกกล่าวมาครับ
อากาศวัว < อันนี้ยิงไม่ออกครับ ทั้งลองกันเอง และ ประสบการณ์ส่วนตัวครับ
เขี้ยวหมูตัน < ยิงไม่เข้าแต่ช้ำในตายครับ (ถ้าโดน เอ็ม.๑๖ ก็คงกระดูกหักตาย)
อักขรัญญ์
03-10-2009, 10:39
ได้ฟังมาว่าเดือยงูเหลือมสามารถใช้ขีดขวางที่พื้นทางเดินหน้าร้านค้า เพื่อบังคับให้คนเดินเข้ามาได้
แปลกดีหากเป็นไปได้ ทำให้นึกถึงการที่เราเอานิ้วถูพื้นตรงทางมดเดินทำให้มดที่ตามมาพอถึงทางที่ขาดเพราะเราเอานิ้วถูไว้ มันจะเดินออกจากทางปกติของมันไปตามแนวที่เราขีดไว้ ไม่รู้เป็นเวรกรรมกันหรือไม่
แล้วพวกเหล็กไหล
ชันโรง
ปรอท
กัลปังหา
และว่านยาต่าง ๆ ละครับ
เป็นอย่างไรหรือครับ
แล้วเล็บไดโนเสาร์นี่ถือว่าเป็นของทนสิทธิ์ได้บ้างไหมคะ?
บังเอิญได้มาแบบบังเอิญ มันกลายเป็นหินฟอสซิลไปแล้วค่ะ
ใต้ร่มไม้ใหญ่
16-02-2010, 17:03
ไม้ไผ่ตัน โดยมากนิยมนำมาทำตระกรุดครับ คือเป็นไม้ไผ่ที่ไม่มีรูตรงกลางเป็นเนื้อไม้ตันไปหมด ของหลวงปู่เเผ้วท่านก็ทำเป็นตระกรุดไม้ไผ่ตัน ออกมาให้บูชา ดอกละไม่ถึงร้อยขนาดประมาณ ๑.๕ นิ้วกำลังสวย เเต่ต้องไปเช่าที่วัดรางหมัน อ.กำเเพงเเสน จ.นครปฐม ได้รู้จักหลวงปู่เเผ้วก็เพราะพระอาจารย์เล็กท่านเเนะนำให้ไปกราบ
ปานอาภากร
17-02-2010, 10:29
มีคนเอารกแมวมาให้ เอาไว้ทำอะไรคะ
รกแมว เคยได้ยินว่าเป็นมหานิยมนะครับ
ค้าขายดี
ปานอาภากร
17-02-2010, 12:21
รกแมว เคยได้ยินว่าเป็นมหานิยมนะครับ
ค้าขายดี
แล้วต้องทำอย่างไรคะ นี่วางไว้เฉย ๆ จะขอให้ค้าขายดีก็รู้สึกแปลก ๆ ทำไมต้องไปขอกับรกแมว:l43841274qn5:
ต้อมบางพูน
17-02-2010, 13:26
เคยได้ยินมาว่า รกแมวนี่พวกนักเล่นการพนันเขาจะนิยมพกติดตัวไว้เวลาไปเข้าบ่อนครับ แต่ผมว่าสู้พระปิดตาเงินล้านไม่ได้แน่นอนครับ "ขึ้นชื่อว่าพระแล้ว ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้" :msn_smileys-15:
ป.ล. ถ้าคุณพี่ไม่อยากจะเก็บรกแมวไว้แล้ว ให้กระผมได้นะครับ (ล้อเล่นนะครับ):b048a2d2:
ปานอาภากร
17-02-2010, 14:11
เคยได้ยินมาว่า รกแมวนี่พวกนักเล่นการพนันเขาจะนิยมพกติดตัวไว้เวลาไปเข้าบ่อนครับ แต่ผมว่าสู้พระปิดตาเงินล้านไม่ได้แน่นอนครับ "ขึ้นชื่อว่าพระแล้ว ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้" :msn_smileys-15:
ป.ล. ถ้าคุณพี่ไม่อยากจะเก็บรกแมวไว้แล้ว ให้กระผมได้นะครับ (ล้อเล่นนะครับ):b048a2d2:
เห็นด้วยทุกประการค่ะ แต่ว่าเรื่องรกแมวขอคิดดูก่อนนะคะ (ล้อเล่นค่ะ) ปานว่าถ้าพกพระปิดตาเงินล้านเข้าบ่อนหมดตูดแน่เลย แถมกลับมาโดนพระอาจารย์เขกกบาลเข้าให้อีกที
ไผ่สองยอด (ภาพห้ามถ่าย) ที่เจดีย์พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
ใต้ร่มไม้ใหญ่
24-03-2010, 18:37
เเล้วปรอทธรรมชาติที่ดักมาบรรจุในเบี้ยเเก้ จัดเป็นทนสิทธิ์ประเภทหนึ่งหรือไม่ครับ พอดีได้เบี้ยเเก้ปรอทธรรมชาติ ทางสายจังหวัดอ่างทองมา ขนาดกำลังดี ตัวเล็กกว่าเบี้ยเเก้ของหลวงปู่เจือ วัดกลางบางเเก้ว นครปฐม
มีลูกตาแมวเป็นเหมือนหิน ใครทราบวิธีใช้ ช่วยบอกด้วยครับ
ณัฏฐ์ภรณ์
19-04-2010, 21:03
ผมมีกะลาตาเดียว ลูกหนึ่งแกะยันต์สุริยะประภา อีกลูกแกะยันต์จันทรประภา
ผมมีกะลาไม่มีตา ลูกหนึ่งแกะยันต์สุริยะประภา อีกลูกแกะยันต์จันทรประภา
จัดเป็นทนสิทธิ์ประเภทหนึ่งหรือไม่ครับ แล้วกะลาตาเดียวแกะราหู ถ้าไม่แกะยันต์มีอานุภาพเหมือนแกะยันต์หรือไม่ครับ ใครทราบช่วยชี้แนะ ขอบคุณครับ:875328cc:
:l43841274qn5:ของผมจะมีมากับพระเครื่องครับ จะเป็นเพชรหน้าทั่งที่ติดมากับพระหลวงปู่ทวดวัดศรีมหาโพธิ์ แล้วก็เหรียญหลวงพ่อจำเนียรวัดถ้ำเสือสร้างจากปรอท แล้วก็พระสีวลีหลวงพ่ออุ้นสร้างจากแร่ไหลดำครับ:d16c4689:
อภิทรัพย์
29-07-2010, 02:31
อานุภาพข้าวสารดำแก้คุณไสย อีกทั้งรับประทานแก้โรคปัจจุบันและโรคที่ไม่ทราบสาเหตุปรากฏว่าสิ่งที่เป็นอยู่หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
วาโยรัตนะ
23-08-2010, 17:12
เมื่อสามสี่วันที่ผ่านมาได้ไปกราบครูบาอาจารย์ ท่านให้ "ไหมคนธรรพ์" ท่านบอกว่าเจ้าของถ้ำ มาตามให้ท่านไปเอาของชิ้นนี้หลายครั้งแล้ว ท่านจึงไปเอามาตามคำขอร้อง เขาบอกกับท่านว่าดีทางด้านค้าขายจะคล่องตัว ท่านให้กระผมมาด้วยสองสามเส้น
หนึ่งความหวัง
23-10-2010, 18:47
แล้วต้องทำอย่างไรคะ นี่วางไว้เฉย ๆ จะขอให้ค้าขายดีก็รู้สึกแปลก ๆ ทำไมต้องไปขอกับรกแมว:l43841274qn5:
เมื่อก่อนนอนอยู่ดี ๆ มันมาคลอดอยู่ที่หัว ๔ ตัว ได้ครบเลย(ค่าทำคลอด) :onion_love: แต่ว่าแจกให้เขาไปหมดแล้ว บอกว่าถ้าอยากได้รกต้องเอาแมวด้วย:msn_smileys-16:
ผมมีเหล็กไหลทรหดและพลอยพญานาคสีเหลืองครับ เคยฝันเกี่ยวกับเหล็กไหลทรหดนี้ว่า เห็นเป็นงูสีขาวตัวใหญ่เลื้อยเข้ามาหาครับ และเคยฝันเกี่ยวกับพลอยพญานาคว่า มีคนมาบอกว่า พลอยนี้กับเหล็กไหลทรหดสื่อถึงกันได้ ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับว่าหมายถึงอะไร
กุ้งแก้ว
18-04-2011, 22:47
แล้วเหล็กไหลตาน้ำ เป็นของทนสิทธิ์หรือเปล่าคะ
ณัฏฐ์ภรณ์
25-04-2011, 20:56
มีข้าวเปลือกพิรอดเก็บมาตั้งแต่เรียนมัธยม มาครบ ๙ เม็ด เมื่อ ๒๔ เม.ย. ๒๕๕๔ เวลา ๓.๑๘ น. ตอนอายุ ๓๖ ปี เกือบ ๔ เดือน ทำบุญตัดชีวิตตอนเป็นพยาบาล ๑๐ ปี ได้เม็ดที่ ๙ ตอนทำบุญตัดชีวิตครบ ๑๐ ปี (เงินตกเบิก ๖ เดือนตอนเข้าเป็นพยาบาลใหม่ ๆ ยังเอามาทำเหรียญพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์แจก) ดีใจมาก ๆ ครับ เม็ดแรกภาวนา อะ เม็ดหลัง ๆ สวดทั้ง ๙ ตัว เพราะจำไม่ได้ว่าเก็บถึงคาถาตัวไหน ตอนนั้นอ่านมาจากเคล็ดหลวงพ่อเดิมครับ
แก้วเจ็ดดาว
26-04-2011, 20:41
เห็นที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม มีให้บูชาด้วยครับ
ถามหลวงพ่อที่ดูแลในศาลา ท่านบอกว่าเป็นคดขนุนที่เกิดจาก
ต้นขนุนในวัดครับ อยากให้เพื่อน ๆ ลองไปชมดูครับ
สมเกียรติ
10-06-2011, 21:35
ผมเคยได้ยินผู้เฒ่าเล่าให้ฟังว่า เวลาเรากินข้าวถ้าเจอข้าวที่ไม่แตก (มีเปลือกข้าวหุ้มเต็มเม็ด) ท่านให้เก็บไว้เพราะมันคงกระพัน
ผ่านเครื่องสี การหุง จนถึงเรา มันแคล้วคลาด
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=13275&stc=1&d=1307718371
มะยมกลายเป็นหิน
พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ พระครูพิศิษฐ์อรรถการ
วัดพระธาตุน้อย อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช
พ่อท่านได้รับกิจนิมนต์ที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้เด็ดเม็ดมะยมสดมอบให้ลุงท่านหนึ่ง
และได้เก็บบูชาไว้ที่บูชาที่หิ้งพระ เก็บไว้ไม่ได้เคยดูเลย มาเห็นอีกครั้งกลายเป็นหินไปแล้ว
ปัจจุบันนี้คุณลุงได้เสียชีวิตไปแล้ว
ขนมโคคนธรรพ์ทำถวายหลวงปู่ทวดเป็นหินมีที่อำเภอจะนะ
มุ่งมั่น
16-09-2011, 17:26
กะลาตาเดียวจัดเป็นของทนสิทธิ์หรือเปล่าครับ อยากทราบเหมือนกัน **สร้อยกะลาตาเดียวเส้นนี้ ได้รับจาก ลพ.เล็ก หลายปีแล้ว**
จิตผ่องใส
16-09-2011, 20:08
มีหินข้าวตอกพระร่วง กับหินข้าวสารพระร่วงค่ะ
มีคดปลวกค่ะ ถ้าก้อนหนา จะดูเป็นหินสีดำ แต่ถ้าไม่หนามาก ส่องแสงผ่านได้ เป็นสีชา อยู่ในดิน มีอทิสมานกายมาเข้าฝัน บอกจุดให้ไปเอา ไว้ใช้ด้านไหนคะ ขอความรู้หน่อย เพราะติดตัวไว้นานแล้วค่ะ ไปให้ช่างทำแหวน ช่างบอกเขาเรียกเหล็กไหลดิน
สุรีย์พร จึงสง่าสม
20-09-2013, 20:32
คดเม็ดขนุน แก้วตาควาย และไข่เต่าหิน
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20188&stc=1&d=1379881945
คดไม้ไผ่ (แก้วจันทรกานต์)
คดไม้ไผ่ หรือ แก้วจันทรกานต์
คดไม้ไผ่นั้น เป็นหินที่เกิดในลำไผ่ อาจเป็นส่วนตอของไม้ไผ่หรือส่วนข้อของลำไผ่ ที่แข็งจนเป็นหิน ฝังเข้าไปอยู่ในลำไผ่ หรืออาจเกิดจากหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนหนึ่ง ไปปรากฏอยู่ในลำไผ่ จึงเรียกว่าคดไม้ไผ่ บางท่านเรียกว่าแก้วจันทรกานต์ เนื่องจากคด (หิน) ที่พบนี้ อาจเรืองแสงนวล ๆ คล้ายแสงจันทร์ได้
เคยมีชาวกะเหรี่ยงพบว่า กอไผ่กอหนึ่งมีเหตุการณ์ประหลาด ตอนกลางคืนจะปรากฏแสงเรืองๆ ลอยออกมาจากกอไผ่อยู่เป็นประจำ ด้วยความกลัวจึงจุดไฟเผากอไผ่กอนั้นเสีย
หลังจากเผากอไผ่แล้ว กลับมีเหตุการณ์ประหลาดมหัศจรรย์ ก็คือมีไม้ไผ่ ๑ ลำไม่ไหม้ไฟ ยังเขียวสดเหมือนเดิม ชาวกะเหรี่ยงจึงตัดไม้ไผ่ลำนั้นดู ได้พบก้อนหินเล็ก ๆ ลักษณะเหมือนก้อนกรวดทั่วไป ๑ ก้อน สีออกขาวปนเขียว
ภายหลังเรียกหินนี้ว่าคดหน่อไม้ พจนานุกรมให้ความหมายของคำว่าคดว่า เป็นหินที่เกิดในพืชหรือสัตว์ น่าจะเป็นประเภทเดียวกันกับฟอสซิล
คดไม้ไผ่หรือแก้วจันทรกานต์นี้ เป็นสุดยอดของแก้วที่ไม่อาจพบเห็นกันง่าย ๆ ดูจากภายนอกเป็นหินหรือกรวดธรรมดา แต่เมื่อเรืองแสงจะคล้ายแก้ว แสงที่เปล่งออกมานี้ สามารถรับแสงได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากดวงจันทร์ แสงนีออน แสงเทียน
กล่าวกันว่าเป็นของคู่บุญบารมี ให้ความคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงได้เป็นเลิศ เล่าสืบต่อกันมาว่าหินที่สามารถดูดแสง เรืองแสงได้นี้ มี ๒ อย่าง หนึ่งคือ แก้วจันทรกานต์ เรืองแสงสีเขียวอ่อน เย็นตา
อีกอย่างคือ แก้วสุริยกานต์ เรืองแสงเป็นสีแดง แต่ละอย่างนับเป็นสุดยอดแห่งคด แต่ห้ามอยู่คู่กัน ใครครอบครองทั้งสองอย่าง จะพบความวิบัติ จึงต้องระมัดระวังไว้ให้มาก
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20194&stc=1&d=1379965498
ตะกรุดไม้ไผ่
เหตุผลที่ห้ามมิให้นำสองสุดยอดแก้วมาไว้ด้วยกันนั้น เล่าสืบกันมาว่า แท้ที่จริงแก้วจันทรกานต์ เป็นลูกแก้วแห่งพญานาคราช ซึ่งเป็นธาตุเย็น พญานาคราชได้คายออกมา เพื่อคืนให้แก่เจ้าของเดิมที่ได้มาเกิดบนโลกมนุษย์ จึงไม่อาจอยู่ใกล้กับแก้วสุริยกานต์ ซึ่งเป็นธาตุร้อนจากแสงอาทิตย์ เพราะจะหักล้างกันเอง จนเกิดวิบัติแก่ผู้ครอบครองได้ ทำนองช้างสารชนกัน หญ้าแพรกย่อมแหลกกระจาย...
ดังนั้น..หากบารมีไม่ถึง แก้วศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองย่อมไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ แต่ถ้าหากผู้ครอบครองมีบารมีสูงเพียงพอ เหมือนดังเป็นตัวกลางคอยกันเอาไว้ ไม่ให้ธาตุทั้งคู่หักล้างกันเอง ย่อมส่งผลให้แก้วศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ต่างส่งผลดีแก่ผู้ครอบครองเป็นทวีคูณ
การพบแก้วศักดิ์สิทธิ์แต่ละอย่างนั้น ผู้ได้พบเห็นถือได้ว่ามีบุญ เป็นบุญตา ส่วนการได้ครอบครองนั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีที่มาในอดีตอย่างไร เกี่ยวข้องกับแก้วศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป ซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วด้วยกรรมในอดีต
ลำไม้ไผ่ที่มีคด เป็นของศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู และ หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ สองเกจิอาจารย์ลือนาม จะนำเอาไม้ไผ่นั้นมาสร้างเป็นตะกรุด ดีเยี่ยมในทางมหาอุด
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20195&stc=1&d=1379965848
แก้วกายสิทธิ์ (เพชรเขาพระงาม)
ของกายสิทธิ์
ตำราทางไสยศาสตร์กล่าวไว้ว่า ของกายสิทธิ์แท้จริงแล้วแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด หรือสามขั้น ได้แก่
๑. ทนสิทธิ์ หมายถึง ของดีตามธรรมชาติ ที่มีอานุภาพทางอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีวันเสื่อม ได้แก่ เหล็กน้ำพี้ ทองแดงเถื่อน ตะกั่วป่า เป็นต้น
๒. กายสิทธิ์ เป็นของวิเศษชั้นเลิศ มีฤทธิ์เหนือกว่าทนสิทธิ์ ใครมีไว้ถึงโดนถ่วงน้ำก็ไม่ตาย ไม่มีใครฆ่าได้ ได้แก่ คดวิเศษบางจำพวก แร่กายสิทธิ์บางชนิด แก้ววิเศษบางอย่าง เป็นต้น
คำว่ากายสิทธิ์นั้น โดยมากใช้เรียกของดีตามธรรมชาติทั้งหลาย ครอบคลุมไปถึงทนสิทธิ์และอะโลมะประสิทธิ์ด้วย เพราะเป็นคำคุ้นปาก คนทั่วไปโดยมากไม่เรียกของตามชนิด แต่ใช้คำว่ากายสิทธิ์ เรียกรวมธาตุวิเศษต่าง ๆ ไปเลย
๓. อะโลมะประสิทธิ์ ของประเภทนี้หายากที่สุด จะอยู่กับผู้ทรงฌานสมาบัติ หรือพระโพธิสัตว์ที่จุติมาเท่านั้น เป็นของเลิศกว่ากายสิทธิ์ ใครได้ไว้สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หรือไปยังนครใต้พิภพที่จำศีลของพญานาค จะเหาะไปป่าหิมพานต์ก็ได้ ไม่ใช่ของสามัญโดยทั่วไปที่จะหาไว้ได้
ของ ๓ ประการนี้ เป็นของที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งบุญ อำนวยประโยชน์สุขแก่ผู้ครอบครอง เป็นของหายาก จะอยู่กับผู้ที่มีวาสนาเท่านั้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20190&stc=1&d=1379898270
งากำจาย
งากำจัด งากำจาย
งากำจัด คือ งาช้างที่แตกหักออกมาในขณะที่ช้างยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก โบราณท่านจึงถือว่าเป็นของทนสิทธ์ จะพบเห็นได้เมื่อช้างตกมันอาละวาด เอางาแทงกับต้นไม้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แล้วงาหักคาอยู่กับต้นไม้ ซึ่งแต่ละชิ้นก็ไม่ใหญ่มากนัก เพราะอย่างดีก็หักแค่ส่วนปลาย
งากำจาย (งากระเด็น) คือ งาของช้างสองเชือกที่เข้าต่อสู้กัน จนมีปลายงาหักแตกกระจาย ตกหล่นอยู่กับพื้นดินตามป่า ซึ่งในกรณีนี้ พรานป่าที่มีโอกาสเห็นช้างต่อสู้กัน มักจะคอยเฝ้าดู เพื่อคอยเก็บปลายหรือเศษงาที่อาจมีหล่นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เจอทุกครั้งไป
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20191&stc=1&d=1379900190
งากำจัด แกะเป็นรูปพระพิฆเณศวร์
ความแตกต่างของงาเป็นกับงาตาย
งากำจัด งากำจาย ทั้งสองชนิดจะเรียกว่า งาเป็น เมื่อผ่านการพกพาติดตัว หรือโดนเหงื่อไคล เนื้อจะฉ่ำใสเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง คล้ายกับสีน้ำผึ้ง ซึ่งจะอ่อนแก่ไม่เท่ากัน เพราะงานั้นหักในขณะที่เจ้าของงานั้นยังมีชีวิตอยู่ บางคนอาจเรียกว่ายังมีน้ำเลี้ยงแห่งชีวิตอยู่ หรือบางคนว่างานั้นหักขณะที่ยังมีเลือดอยู่
ต่างจาก งาตาย (งาจากช้างที่ล้มแล้วตัดเอามา) ที่เห็นวางขายกันอยู่ตามร้านเครื่องประดับทั่วไป งาจะขาวซีด ดูไม่มีชีวิตชีวา แม้บางครั้งเป็นงาแก่ที่ผ่านการใช้มา โดนเหงื่อไคลผู้พกพาติดตัว ความเหลืองฉ่ำถึงแม้จะเกิดขึ้น ก็ไม่เป็นสีน้ำผึ้ง
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20196&stc=1&d=1379966019
งากำจัด
งากำจัด งากำจาย ถือว่าเป็นของทนสิทธิ์ที่หาได้ยากอีกชนิดหนึ่ง แม้จะไม่ผ่านการปลุกเสก เมื่อพกพาติดตัวก็เป็นมหาอำนาจ ป้องกันอันตรายต่าง ๆ โดยเฉพาะจากสัตว์ร้ายได้ แต่ถ้าได้ผ่านพิธีกรรมมาแล้ว สรรพคุณย่อมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
งากำจัด งากำจาย ของแท้หายากมาก สมัยโบราณ พอช้างตายเขาก็เอางามาขาย งาแกะหรือมีดด้ามงา มักจะทำจากงาช้างตายซึ่งเป็นช้างของไทยเอง แต่ในสมัยนี้ เกือบร้อยทั้งร้อยเป็นงาช้างอาฟริกา ซึ่งเส้นสายจะหยาบกว่ามาก
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20192&stc=1&d=1379964114
คดงาช้าง (งางอก)
งางอก (คดงาช้าง)
งางอกคือปุ่มที่งอกออกมาข้างในโพรงของงาช้าง ตอนโคนงานั้นข้างในจะเป็นโพรง งาที่งอกออกมาอาจจะเป็นปุ่มเล็ก หรือใหญ่ขนาดหลายนิ้วก็ได้ เขาว่าขนาดไข่ไก่ก็มี ถ้าใหญ่มากอาจจะเป็นตะปุ่มตะป่ำ
งางอกราคาแพงมากและส่วนใหญ่เขาไม่ขายกัน เพราะเป็นของหาได้ยาก มีสรรพคุณในทางเป็นคุณแก่เจ้าของ ช่างกลึงงาช้างสองผัวเมียที่พยุหะคีรีบอกว่า ทำงานมาสี่สิบกว่าปี เจองางอกแค่สองอัน อันใหญ่ขายไปแล้ว ส่วนอันเล็กเก็บไว้บูชาเอง โดยเอาใส่ไว้ในกระป๋องเก็บเงิน เชื่อว่าทำให้เงินงอกได้
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20193&stc=1&d=1379964379
คดงาช้าง (งางอก)
งางอกหรือคดงาช้างนี้ โบราณเชื่อว่าจะช่วยบันดาลให้เงินทองงอกเงย เต็มไปด้วยทรัพย์สินศฤงคาร เขาจะเอามาใส่บูชาไว้ในกำปั่นใส่เงิน หรือฐานพระยืนปางห้ามญาติ ที่แกะจากไม้มงคล (ไม้โพธิ์นิพพานทิศตะวันออก) เป็นพระประจำตัว ใต้ฐานพระจะบรรจุของหลายอย่าง พวกยาวาสนา ผ้าไหมแพรพรรณหลายสี เพชร พลอย เงิน ทอง ดวงเจ้าของพระ ถ้าจะให้เต็มสูตร ต้องมีงางอกนี้ใส่ไว้ด้วย...
งางอกหรือคดงาช้าง จะช่วยดึงดูดเงินทองให้งอกเงย งาช้างจริง ๆ ก็มีสรรพคุณดีอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นสัตว์ใหญ่ชั้นสูง มีเทพยดาคอยคุ้มครอง ตัวที่มีคดงอกขึ้นข้างในงา มีแค่หนึ่งในหลายพันหรือหนึ่งในหมื่น ช้างตัวนั้นมักจะเป็นพญาช้างจ่าโขลง
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20197&stc=1&d=1380018580
เม็ดมะขามทองแดง
คด
คดคือหินที่เกิดจากในพืชหรือในสัตว์ สมัยก่อนเรียกว่า "แก้ว" เป็นของทนสิทธิ์ ประเภทกายสิทธิ์ในตัวเอง บางอย่างมีเทพรักษา บางอย่างก็ไม่มีเทพรักษา เป็นของอาถรรพ์มีอิทธิฤทธิ์จนคาดไม่ถึง
คดนั้นมีกำเนิดลี้ลับมหัศจรรย์ ผู้รู้ในอดีตท่านบันทึกไว้ มีอยู่ ๒ ชนิดคือ
๑. คดที่เกิดจากพืช เป็นของกายสิทธิ์ที่เชื่อกันว่า สวรรค์บันดาลให้เกิดขึ้น โดยเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เนรมิตขึ้นมา เพื่อมอบให้เฉพาะผู้มีวาสนาครอบครอง เป็นของคู่บารมีคนมีบุญ เช่น มะกล่ำดำ เม็ดขนุนทองแดง เม็ดมะขามทองแดง แก้วบงกชรัตน์ (เม็ดบัวเป็นแก้ว) แก้วกัทลี (แก้วที่เกิดในปลีกล้วย) เป็นต้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20198&stc=1&d=1380018743
คดดักแด้
๒. คดที่เกิดจากสัตว์ เชื่อว่ามีกำเนิดมาจากบุรพกรรมของสัตว์ของชนิดนั้น ๆ หรือเทวดานางฟ้าที่กระทำผิดกฎสวรรค์บางประการ แล้วถูกลงโทษทัณฑ์ให้เกิดลงมาเกิดเป็นสัตว์ตามผลกรรมของตน
เมื่อหมดกรรมแล้วก็จะอธิษฐานร่างบางส่วนให้เป็นของกายสิทธิ์ อันเป็นการสร้างทานบารมี ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนสวรรค์ดังเดิม เช่น คดผึ้ง คดหอย คดกุ้ง คดดักแด้ คดไข่ไก่ คดปลวก ปลิงทองแดง ปูหิน (เปี้ยวหิน) เป็นต้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20199&stc=1&d=1380018947
แมวตาเพชร ชื่อ "เอียง" ของหลวงปู่พระครูปัญญาโสภิต วัดสร้อยทอง
ส่วนคดประเภทที่เป็นเขา เขี้ยว หรือลูกตา จะเกิดมาพร้อมกับสัตว์เหล่านั้น เป็นของคู่บารมีของสัตว์ตัวนั้น เพื่อให้การปกป้องคุ้มครองชีวิตและร่างกายให้ปลอดภัย จนกว่าสัตว์ตัวนั้นจะหมดกรรมลง เช่น เขากวางคุด เขาพญากระจง เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง เขี้ยวแก้วจระเข้ เพชรตาแมว แก้วตาเสือ มณีนาคราช (ไข่งูเป็นแก้ว) คดงาช้าง คดโพรงอากาศช้าง เป็นต้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20200&stc=1&d=1380019091
คดถั่วลิสง (กลายเป็นหินทั้งฝัก)
อานุภาพของคดนั้นเป็นของวิเศษ มีอิทธิคุณรอบตัว คดนั้นจะแผ่พลังปราณออกมา ปกป้องคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เรียกว่าจะดีจะชั่วอย่างไรก็จะให้การคุ้มครองช่วยเหลือ จนกว่าจะตายจากกันไปเลยทีเดียว
ตัวอย่างบุคคลที่ได้ของวิเศษจากธรรมชาติ เป็นของคู่บุญคู่บารมี ได้แก่ พระเจ้าพรหมมหาราช มีเขี้ยวแก้วพญางู ขนาดใหญ่เท่าผลกล้วย เป็นของคู่บารมี ช่วยให้สามารถปราบขอมดำจนราบคาบ กอบกู้อาณาจักรเชียงแสนกลับคืนมาได้โดยง่าย พระนางเจ้าจามเทวี มีพระแก้วเสตังคมณีเป็นของคู่บุญ สามารถแผ่พระบารมีสยบแคว้นใกล้ไกลจนราบคาบ ทำให้อาณาจักรหริภุญไชยยิ่งใหญ่เกรียงไกร เป็นที่คร้ามเกรงไปทั่ว พระแก้วเสตังคมณีแกะสลักขึ้นจากแก้ววิเศษ ที่เรียกกันว่า "เขี้ยวหนุมาน" เป็นต้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20201&stc=1&d=1380052514
อากาศช้าง
อากาศช้าง เป็นคดที่เกิดในตัวสัตว์อีกชนิดหนึ่ง สิ่งนี้จะเกิดอยู่ในโพรงอากาศบริเวณหัวช้าง ต้องรอจนช้างตายถึงจะเอามาได้ มีคุณทางโชคลาภอย่างสูง ช้างที่มีอากาศช้างเกิดในตัว จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร ช้างอื่นจะเกรงอำนาจบารมี ต้องคอยมาแวดล้อมรับใช้ช่วยเหลือ วิธีบูชาอากาศช้างก็เหมือนกับเลี้ยงช้าง คือต้องหาหญ้าหาน้ำมาเซ่นทุกวัน
คดจากโพรงอากาศช้างนี้ จะเป็นก้อนแข็งเหมือนหิน ไม่ได้มีอยู่ในช้างทุกเชือก มีคุณวิเศษในตัวโดยที่ไม่ต้องปลุกเสกแล้ว หรือจะเอาไปให้พระปลุกเสกเพื่อเพิ่มพลังก็ย่อมได้ เป็นทนสิทธิ์ประเภทเดียวกันกับ เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง ราคาซื้อขายนั้น ถ้าคนที่รู้คุณค่า จะยอมสู้ราคาพอ ๆ กับซื้องาช้างงาม ๆ คู่หนึ่งเลยทีเดียว
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20202&stc=1&d=1380052710
ได้ยินมาว่าในสมัยรัชกาลที่หก มีพ่อค้าท่านหนึ่ง คุมกองเกวียนไปค้าขายทางเมืองเหนือ ระหว่างการเดินทางได้พักค้างคืนในป่าแห่งหนึ่ง บริเวณนั้นไม่ทราบว่าว่ามีช้างล้ม (ตาย) อยู่ตั้งแต่เมื่อใด เพราะเหลือแต่โครงกระดูกที่เก่ามากแล้ว
ตอนกลางดึกพ่อค้าท่านนี้ตื่นขึ้นมาใส่ฟืน เพื่อให้กองไฟลุกสว่าง จะได้ป้องกันสัตว์ร้าย เมื่อจะนอนลงใหม่ก็ได้ยินเสียงกุกกักมาจากทางโครงกระดูกช้าง ด้วยความสงสัยจึงจุดไต้ไปดู ปรากฏว่าเสียงนั้นดังมาจากกะโหลกช้าง เหมือนมีอะไรกลิ้งอยู่ข้างใน
ท่านจึงลองพลิกกะโหลกช้างขึ้นมา ก็มีของสิ่งหนึ่งสัณฐานค่อนข้างกลมคล้ายก้อนหิน มีสีขาวเหลืองเหมือนกระดูก หลุดตกลงมาจากในโพรงกะโหลก ด้วยความที่พ่อค้าผู้นี้มีประสบการณ์มาก จึงทราบว่านี่คืออากาศช้าง หรือคดในโพรงสมองช้าง
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20203&stc=1&d=1380052861
ท่านจึงเก็บเอาอากาศช้างนี้ติดตัว ทำการเซ่นด้วยหญ้าสดและน้ำทุกวัน ปรากฏว่าการค้าของท่านเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าขนอะไรไปขายทางเหนือ ก็ขายได้หมดสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว
ครั้นนำเอาสินค้าของป่าจากทางเหนือลงมาขายทางใต้ ก็เป็นที่ต้องการมากจนไม่พอจำหน่าย ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐี ภายหลังได้รับพระราชทานตราตั้งจากในหลวงรัชกาลที่หก ให้เป็นพระยาพานทอง ส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกตั้งหลายคน มีชื่อเสียงเกียรติคุณเป็นที่นับหน้าถือตาแก่คนทั่วไป
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20204&stc=1&d=1380101352
เขี้ยวหมูตัน
เครื่องรางซึ่งเป็นที่นิยมมาตั้งแต่โบราณนั้น หนีไม่พ้นพวกเขี้ยวพวกงา อย่างเขี้ยวหมูตันกับเขี้ยวเสือกลวง ของขลังเหล่านี้ในธรรมชาติ ถือว่าเป็นของที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเขี้ยวหมูป่าแล้ว ส่วนมากจะกลวงแทบทั้งนั้น
เขี้ยวหมูตันจะเกิดกับหมูป่าตัวผู้ซึ่งเป็นจ่าฝูง อุปนิสัยดุร้ายไม่เกรงกลัวผู้ใด แข็งแรงว่องไว กล้าราวีกับสัตว์ทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่เสือร้ายจ้าวป่า หมูเขี้ยวตันนั้นปืนยิงไม่ออก ยิงออกก็ไม่ถูกหรือยิงถูกก็ไม่เข้า "เขาเล่าว่า" วันดีคืนดีเขี้ยวของหมูตัวนั้นจะเรืองแสงออกมาเป็นสีเขียวอ่อน
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20205&stc=1&d=1380101503
เขี้ยวหมูตันที่นิยมเอามาทำเครื่องราง จะต้องตันตั้งแต่โคนจนถึงปลาย จับดูจะรู้สึกว่ามีน้ำหนัก เท่าที่ทราบมา เขี้ยวหมูตันที่นำมาใช้กัน เป็นเขี้ยวหมูตันที่ได้มาจากการตายตามธรรมชาติ ในสมัยก่อนเมื่อดักจับตัวได้แล้ว จะนำไปเลี้ยงไว้จนแก่ตาย แล้วค่อยทำพิธีพลีเอาเขี้ยวมาใช้ นาน ๆ จึงจะพบเขี้ยวหมูตันแท้ ๆ สักอัน จึงเป็นที่ต้องการกันมาก
วิธีดูเขี้ยวหมูตัน คนที่เคยเห็นของแท้แล้วคงดูเป็นได้ไม่ยาก เมื่อส่องกล้องขยายจากโคนจนถึงปลายจะมองเห็นเส้นตามขวางเป็นริ้วๆ เป็นเส้นที่แสดงถึงการงอกเพิ่มของเขี้ยวหมูตามอายุของหมูตัวนั้น
ส่วนของเขี้ยวหมูที่ถูกใช้สัมผัสกับเหงื่อ จะมีสีเปลี่ยนไปออกเหลือง จุดสังเกตคือ จะเห็นเสมือนเป็นชั้นบาง ๆ เคลือบผิวอยู่ คล้ายกับว่าถูกเคลือบด้วยเทียนไข
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20207&stc=1&d=1380103805
เขี้ยวหมูตันทำเป็นด้ามมีด ฝีมือช่างทำมีดบ้านจ่าตุ่ม
ตรงส่วนปลายของเขี้ยวจะมีส่วนที่เป็นมุมคมเพื่อใช้ในการการขุดหาอาหาร หรือใช้ขวิดทำร้ายศัตรู ถ้าเขี้ยวหมูถักเงินไว้ ให้สังเกตความเก่าของเงินที่ใช้ถัก ว่ามีความเก่าเหมาะสมกับสภาพการใช้งานของเขี้ยวหมูหรือไม่
จุดตายคือเขี้ยวหมูตันจะมีเนื้อในเต็มตั้งแต่โคนจนถึงปลาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บริเวณใกล้กับโคนของเขี้ยวจะต้องมีโพรงอยู่หน่อยหนึ่งเสมอ เพราะเป็นโพรงประสาทฟันของหมู แล้วค่อยเป็นส่วนตัน โพรงนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามอายุของหมูตัวนั้น ๆ
ดังนั้นถ้าเห็นเขี้ยวหมูเป็นรูหน่อยหนึ่งแล้วค่อยมีเนื้อตันข้างใน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นเขี้ยวกลวง ไม่อย่างนั้นท่านอาจพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดาย
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20212&stc=1&d=1380139535
เขี้ยวเสือกลวง หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย นำมาแกะเป็นวัตถุมงคล
เขี้ยวเสือกลวง
ตำรับโบราณอันว่าด้วยเขี้ยวงา ได้กล่าวถึงของวิเศษธรรมชาตินี้เอาไว้ด้วยกันสองชนิด คือ
๑. เขี้ยวหมูตัน ๒. เขี้ยวเสือกลวง
โดยธรรมชาติของเขี้ยวเสือนั้น ตามปกติแล้วจะต้องตันตั้งแต่โคนถึงปลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับเขี้ยวหมูที่จะต้องกลวง
หากเขี้ยวเสืออันไหนไม่ตัน แต่กลวงตั้งแต่ส่วนโคนจนถึงปลาย โบราณท่านจัดเป็นของทนสิทธิ์สุดวิเศษ เรียกว่า เขี้ยวเสือกลวง เป็นของดีที่มีอาถรรพ์วิเศษศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเอง
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20213&stc=1&d=1380139783
หูหนู หน้าแมว เขี้ยวโปร่งฟ้า (กลวง) ตาลูกเต๋า
บูรพาจารย์ท่านบอกเล่ากันต่อ ๆ มาว่า หากผู้ใดพบเขี้ยวเสือกลวง ให้นำมาพกพาติดตัวไว้ เพราะเป็นของวิเศษ มีอิทธิฤทธิ์รอบตัว แต่ก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ๆ นาน ๆ จึงจะได้พบเจอสักอันหนึ่ง
อานุภาพของเขี้ยวเสือกลวงนั้น โดดเด่นในทางด้านมหาอำนาจ ป้องกันภูตผีปิศาจและคุณไสยมนต์ดำได้ชะงัดนัก อีกทั้งดีทางมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด ถือเป็นของวิเศษที่มีอิทธิฤทธิ์แรงกล้า
อิทธิคุณนั้นเด่นไปในทางมหาอำนาจ ติดตัวไว้จะเป็นที่เกรงขามของคนและสัตว์ทั้งหลาย เวลาเข้าไปในป่าสามารถอธิษฐานให้คุ้มกันสรรพภัยและอาถรรพ์ป่าได้ เอาแช่น้ำทำน้ำมนต์กินแก้ไข้ป่าก็ได้
เขี้ยวขนาดใหญ่ที่กลวงตลอดนั้น ใช้เป่าให้เกิดเสียงดัง สยบอาถรรพ์ป่าได้ทุกชนิด ภูตผีปิศาจเกรงกลัวไม่กล้ากล้ำกราย ถ้าเอาไปแกะเป็นรูปเสือ แล้วนำไปให้ครูบาอาจารย์ปลุกเสก ก็จะยิ่งเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีคูณ
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20214&stc=1&d=1380139945
เสือแกะจากเขี้ยวหมี ของหลวงพ่อนก วัดสังกะสี
ครูบาอาจารย์ที่สร้างเครื่องรางจากเขี้ยวเสือกลวง ที่โด่งดังแม้กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ ยังมีพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ ได้แก่ หลวงปู่ปาน (พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ) วัดบางเหี้ย (วัดมงคลโคธาวาส) ท่านสามารถเสกจนเสือแกะจากเขี้ยวเสือกลวงนั้นวิ่งออกจากบาตรได้ เมื่อทำหล่นหาย เพียงเอาเนื้อหมูไปแกว่งล่อในบริเวณนั้น เสือแกะจะงับติดเนื้อหมูมาเลยทีเดียว
ผู้สืบสายวิชาของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย คือ หลวงพ่อนก วัดสังกะสี (วัดนาคราช) ซึ่งสามารถสร้างเขี้ยวเสือแกะได้เข้มขลังไม่แพ้ครูบาอาจารย์ แต่เขี้ยวเสือกลวงนั้นหายากมาก เสือหลวงพ่อนกส่วนใหญ่จึงแกะจากเขี้ยวหมี ซึ่งถือว่าดีทางมหาอำนาจเช่นกัน
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20221&stc=1&d=1380227295
เพชรตาแมว
ตั้งแต่ครั้งโบราณนานมา ชาวไทยเรามีความเชื่อในเรื่องของสิ่งลี้ลับ รวมทั้งวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่เชื่อกันว่า จะช่วยคุ้มครองภัยอันตราย รวมถึงนำพาโชคลาภ และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งเพชรตาแมวก็เป็นวัตถุมงคลที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงกันมาช้านาน ทั้งที่ไม่มีประวัติความเป็นมาที่ชัดเจนว่า เรื่องของเพชรตาแมวนั้น มีมาตั้งแต่ยุคใดสมัยใด นอกจากเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาว่า กำเนิดของเพชรตาแมวนั้น มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อเทพจากสรวงสรรค์จุติลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อสร้างบุญบารมีหรือชดใช้กรรมของตน โดยเทพดังกล่าวนั้นเมื่อจะมาเกิดเป็นแมว ก็ได้นำเอาแก้วมณีสารพัดนึก ซึ่งเป็นของวิเศษประจำตัวลงที่มาโลกมนุษย์ด้วย
ก่อนที่เทพองค์นั้นจะละสังขารแมว ท่านจะประทานแก้ววิเศษที่รู้จักกันในนาม "เพชรตาแมว" ให้แก่ผู้ที่มีพระคุณที่เลี้ยงดูมา จนถึงวาระที่ได้สร้างบุญบารมีตามที่ต้องการ หรือชดใช้กรรมหมดสิ้นแล้ว ก่อนจากไปท่านจะทิ้งดวงแก้ววิเศษของตนไว้ให้ ก่อนจะกลับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ดังเดิม
ในขณะเดียวกัน หากมองในแง่ของวิทยาศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่า เพชรตาแมวเกิดจากแมวที่ตาเป็นต้อหิน แม้แมวจะไม่เจ็บปวด แต่ตาข้างนั้นก็ไม่สามารถใช้การได้ ครั้นแมวตัวดังกล่าวได้ตายลง ต้อหินนั้นก็หลุดออกมา เป็นสิ่งที่เรียกกันว่าเพชรตาแมว
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20218&stc=1&d=1380226307
เพชรตาแมวชั้น ๒ ดวงนี้เจ้าของประกาศขาย ๓๙ ล้านบาท..!
เพชรตาแมวมักมีลักษณะ ดังนี้
๑. เพชรตาแมวชั้น ๑ เป็นเพชรตาแมวชนิดใสเป็นแก้ว เพชรตาแมวชนิดนี้จะมีลักษณะเหมือนดวงตาแมวขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความใสไม่มีความขุ่นมาเจือปน มีมิติซับซ้อนจนไม่สามารถที่จะทำเทียมเลียนแบบได้ เนื่องจากเนื้อใสบริสุทธิ์ และมีความแวววาวมาก
๒. เพชรตาแมวชั้น ๒ เป็นเพชรตาแมวชนิดหินใส มีลักษณะใสปนขุ่น ในความใสจะมีเหมือนกับเสี้ยนไม้อยู่ข้างใน เมื่อส่องด้วยกล้องขยายจะเห็นเหมือนมีรังผึ้งขนาดเล็กอยู่ และมีเส้นเลือดขนาดเล็กด้วย เพชรตาแมวประเภทนี้มักมีสีฟ้าน้ำทะเล สีเหลือง สีเขียวอมฟ้า หรือสีม่วงอมชมพู
๓. เพชรตาแมวชั้น ๓ เป็นเพชรตาแมวชนิดหินสีขาว มีลักษณะสีขาวทึบ เหมือนกับก้อนหินขัดหรือกลึงขึ้นมา บางดวงมีจุดสีดำเล็ก ๆ แทรกอยู่ด้วย เป็นเพชรตาแมวชนิดที่พบกันมากที่สุด บางท่านว่าเป็นต้อหินที่เกิดกับดวงตาแมว
เชื่อกันว่าเพชรตาแมวมีความเกี่ยวพันกับแมวมงคลชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะแมวสีสวาด เพชรตาแมวชั้นเลิศนั้น เมื่อแมวตาเพชรยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาของแมวตาเพชรนั้นจะเป็นสีเดียวทั้งดวง ไม่มีตาดำเหมือนกับแมวทั่วไป เป็นสีใสแวววาวเหมือนกับเพชรชั้นดี มีทั้งสีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน สีฟ้าเข้ม สีเหลืองเข้ม เป็นต้น จึงทำให้เพชรตาแมวที่ได้จากแมวสีสวาด มีสนนราคามหาศาล เพราะหาได้ยากกว่าเพชรตาแมวทั่ว ๆ ไป
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20219&stc=1&d=1380226552
ของทำปลอมฝังแก้วไพฑูรย์ไว้แทนที่ดวงตาแมว
มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนที่แมวตาเพชรยังมีชีวิตอยู่ เมื่อมองไปที่เหยื่อประเภทจิ้งจก นก หนู สัตว์เหล่านั้นจะตกลงมาเป็นอาหารแมว โดยที่แมวไม่ต้องทำอะไรเลย
วิธีได้มาซึ่งเพชรตาแมว เมื่อแมวตาเพชรที่ท่านเป็นเจ้าของได้ตายลง ให้นำใส่ไว้ในหม้อดิน เอาไปฝังทรายไว้ตั้งแต่ ๑๐๐ วันถึงหนึ่งปี เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้ขุดเอาหม้อดินนั้นขึ้นมา จัดพิธีเหมือนกับทำบุญงานศพทั่วไป คือนิมนต์พระมาสวดมาติกาบังสุกุล ถวายภัตตาหารเพล อุทิศส่วนกุศลให้กับแมวนั้น
แล้วเอาผ้าขาวมาปูรองรับ เทเอาซากแมวในหม้อดินออกมา ซึ่งเท่าที่มีผู้พบมานั้น แมวตาเพชรเมื่อตายแล้วมักจะไม่เน่าเปื่อย แต่เป็นซากแห้งไปเฉย ๆ เมื่อได้เพชรตาแมวที่ต้องการแล้ว ก็นำเอาซากแมวไปเผา โดยทำพิธีเหมือนกับการฌาปนกิจศพบุคคลทั่วไป
ถ้าบุคคลที่ใจร้อนและไม่รู้วิธีการ เมื่อแมวตาเพชรตายลง ก็รีบควักเอาดวงตาแมวออกมา ดวงตานั้นจะเน่าเปื่อยสลายไป ไม่เหลืออะไรไว้ให้เลย หรือบางท่านก็ได้แค่เศษแก้วตาชิ้นเล็ก ๆ ไว้เท่านั้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20220&stc=1&d=1380226832
เพชรตาแมวชั้น ๓ ที่หลายท่านเชื่อว่าเป็นต้อหิน
มีความเชื่อกันว่า ผู้ที่ได้ครอบครองเพชรตาแมวนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนามาตั้งแต่ชาติปางก่อน จึงทำให้มีสัตว์เทพตามมารับใช้ ซึ่งอานุภาพของเพชรตาแมวนั้น มีคุณวิเศษดั่งแก้วสารพัดนึก หากผู้ครอบครองได้มาอย่างถูกต้อง และหมั่นสร้างบุญบารมี ทำคุณงามความดี ก็จะทำให้เจ้าของเพชรตาแมวนั้น พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง และแคล้วคลาดจากอันตราย แต่หากผู้ใดครอบครองเพชรตาแมวด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง และทำแต่ความชั่ว บุคคลนั้นอาจจะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานาได้
ปัจจุบันเพชรตาแมวยังคงเป็นวัตถุมงคลที่บุคคลจำนวนมากอยากได้มาครอบครอง แต่เนื่องจากเป็นของหายาก และมีโอกาสเกิดขึ้นได้ราว ๑ ในล้าน ดังนั้น..สนนราคาของเพชรตาแมวจึงอยู่ในหลักสิบล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะเพชรตาแมวชั้นดีเลิศ หรือที่เป็นของเก่าแก่สืบทอดกันมานับร้อยปี
อย่างไรก็ดี เพชรตาแมวที่จำหน่ายได้ราคาสูง ต้องผ่านการรับรองจากสถาบันต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ เช่น สถาบันวิจัยพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ใบรับรองว่าเป็นวัตถุธรรมชาติจากกรมทรัพยากรธรณี หรือใบรับรองจากสัตวแพทย์ว่าเป็นวัตถุที่มาจากดวงตาสัตว์ เป็นต้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20223&stc=1&d=1380320078
เพชรหน้าทั่ง
เพชรหน้าทั่งทางใต้เรียกว่า"ตาหินเพชร" เวลาบูชาให้ใส่พานหรือภาชนะปากกว้าง ใส่น้ำสะอาดลงไปพอไม่ให้หินจม ผู้บูชาจะอยู่เย็นเป็นสุข ขอโชคขอลาภได้สมปรารถนา ให้ตาหินเพชรช่วยดูแลบ้านก็ได้ เรียกว่าสารพัดประโยชน์
สรรพคุณ ดีทางอยู่ยงคงกระพัน เชื่อกันว่าเพชรหน้าทั่งมีสรรพคุณเป็นรองแค่เหล็กไหลเท่านั้น หากพกติดตัวไว้ จะช่วยคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้ บูชาไว้กับบ้านช่วยป้องกันภัยในครอบครัว ค้าขายก็ดี ดูดพิษสัตว์ก็ได้ ถ้าเป็นงูสวัดให้ฝนกับน้ำซาวข้าวทาหาย ผู้มีวาสนาจึงควรมีไว้บูชา
วิธีบูชา ตำราว่าให้เอาเพชรหน้าทั่งแช่กับน้ำฝนหรือน้ำสะอาด ควรหาดอกมะลิมาบูชา ขอให้มีโชคลาภ ให้ปลอดภัยมีความสุข
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20225&stc=1&d=1380456916
แก้วโป่งข่าม
แก้วโป่งข่าม หมายถึง แก้วประเภทหินเขี้ยวหนุมาน ที่มีลวดลายภายในตามธรรมชาติ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวโดยไม่ต้องผ่านการปลุกเสก ถ้าได้รับการปลุกเสกซ้ำ ย่อมทำให้ทวีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
แก้วโป่งข่ามของอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมานาน ๔๐ - ๕๐ ปีมาแล้ว เมื่อย้อนไปในอดีตก็พบว่า คุณวิเศษแห่งแก้วโป่งข่ามนั้น เป็นที่นับถือกันมานานกว่า ๕๐๐ ปี แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งแก้ววิเศษ ที่มีพลังงานลี้ลับอยู่ภายใน
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20226&stc=1&d=1380457192
แก้วโป่งข่ามเชื่อกันว่า เป็นแก้วที่มีเทวดารักษา แต่ละดวงเปรียบเสมือนวิมานที่อาศัยของเทพยดาเหล่านั้น ท่านเหล่านี้มีสัมมาทิฐิ หากเราปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา มาพอสมควร ย่อมมีบารมีพอที่จะได้แก้ววิเศษนี้มาครอบครอง
แก้วบางดวงมีเทพที่เป็นพญานาค ฤๅษี คนธรรพ์ อสูร รักษาอยู่ ผู้ได้ทิพจักขุญาณจะรู้เรื่องเหล่านี้ดี สรุปว่า แก้วโป่งข่ามเป็นของดี มีเทพรักษาทุกดวง
เชื่อกันว่าคนที่มีวิชาหรือมีสมาธิจิต สามารถอัญเชิญเทวดามาประจำในดวงแก้วได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ดวงแก้วแต่ละดวงบังเกิดฤทธิ์ สามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาเป็นทวีคูณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติเป็นสำคัญ
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20227&stc=1&d=1380457477
การค้นพบแก้วโป่งข่าม
ย้อนอดีตไปประมาณ ๑๑๐ ปี นายจี๋ คำภิโลชัย เป็นพรานป่า ไปล่าสัตว์ที่บริเวณป่าดอยโป่งหลวงหลายครั้ง ทุกครั้งที่ไปล่า ไม่เคยที่จะได้สัตว์ป่าติดมือกลับมา แม้กระต่ายป่าสักตัวก็ยังไม่เคยได้มาเลย
ทั้งนี้เพราะทุกครั้งที่เข้าไปล่าสัตว์ในบริเวณป่าดอยโป่งหลวงนั้น จะต้องเกิดอุปสรรค เช่น ปืนซึ่งเคยใช้การได้เป็นอย่างดีนั้น เกิดขัดลำ ยิงไม่ออกเอาเสียเฉย ๆ
ต่อมาพรานจี๋ได้ใช้วิธีใหม่ในการล่าสัตว์บริเวณดอยโป่งหลวง โดยทำเป็นคอกดักสัตว์ สามารถดักเก้งได้ตัวหนึ่ง และพยายามฆ่าเก้งตัวนั้น เพื่อที่จะได้นำกลับบ้าน โดยใช้ไม้หลาวแทง ปรากฏว่าเก้งตัวดังกล่าว สามารถหลบคมหลาวได้ทุกครั้ง และยังหลุดหนีจากคอกไปเสียอีก
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20228&stc=1&d=1380457744
เหตุการณ์นี้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับพรานจี๋เป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่เป็นพรานมา ออกป่าที่ไหนก็ได้สัตว์ทุกที่ทุกครั้งไป แต่กับบริเวณป่าดอยโป่งหลวงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ แม้จะมีฝีมือดีอย่างไรก็ตาม ก็ไม่เคยที่จะล่าสัตว์ในบริเวณนี้ได้เลย จึงเป็นที่เล่าลือกันถึงสถานที่แห่งนี้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พรานทั้งหลายไม่กล้าเข้าไปล่าสัตว์ในบริเวณนั้นอีก
ไม่ใช่แต่เพียงการไปล่าสัตว์เท่านั้น เคยมีคนเผาป่า ไฟก็ไม่ไหม้ จุดไฟในบริเวณดังกล่าวเท่าไรก็จุดไม่ติด ไฟไม่เคยไหม้ป่าแถวนั้นเลย และยังมีผู้เคยเห็นแสงประหลาด ลอยอยู่ในป่าเขตที่ภายหลังเป็นบ่อแก้วโป่งหลวงแห่งนี้บ่อย ๆ
โดยเฉพาะยามพระจันทร์เต็มดวง จะเห็นเหตุการณ์เด่นชัดมาก จึงเป็นที่เชื่อถือกันมากว่า ในบริเวณดอยโป่งหลวงนี้ มีเทพยดารักษาอยู่อย่างแน่แท้ และเป็นที่มาของการค้นพบบ่อแก้วโป่งข่าม และการตั้งชื่อบ่อแก้ว โดยบ่อที่สำคัญและขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มากก็คือ บ่อหลวง แก้วโป่งข่ามจากบ่อนี้น้ำดี มีราคา และมีความเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20229&stc=1&d=1380457969
ความเชื่อและความนิยมเกี่ยวกับแก้วโป่งข่าม
สำหรับแก้วโป่งข่ามแบบต่าง ๆ นั้น มีผู้นิยมตามประสบการณ์ และความเชื่อถือเก่า ๆ ดังนี้
อำนาจอยู่ยงคงกระพัน
- แก้วสีฟ้า (บ่อแก้วโป่งข่ามหลวง แก้วสีฟ้า แก้วแร แก้วใส)
- แก้วปวกเขียว และปวกสีต่าง ๆ
- แก้วขนเหล็ก แก้วไหมเงิน ไหมทอง
- แก้วขาว
- แก้วเข้าเป็ก แก้วเข้าแก้วแบบต่าง ๆ (บ่อแก้วดอยเขาควาย)
- แก้วขนเหล็กน้ำตัน
อำนาจชุ่มเย็นกันไฟ
- แก้วน้ำหาย
- แก้วเข้าแก้ว
- แก้วขาวใสต่าง ๆ
การมีโชคได้ลาภเนืองนอง
- แก้วแร
- แก้วเนื้อลำไย
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20230&stc=1&d=1380458129
ความร่ำรวย มั่นคง
- แก้วสามกษัตริย์
- แก้วเข้าแก้ว
- แก้วประภาชมชื่น
- แก้วเข้าหลักเงินหลักคำ
- แก้วทรายคำ
เมตตามหานิยม
- แก้วแรสีฟ้า
- แก้วเนื้อลำไย
- แก้วปวกเขียวสีต่าง ๆ
- แก้วกาบ
- แก้ววิฑูรย์สีต่าง ๆ
ความร่มเย็นเป็นสุข
- แก้วปวก
- แก้วกาบ
- แก้ววิฑูรย์น้ำตันสีต่าง ๆ
อำนาจวาสนา ลาภยศตำแหน่ง
- แก้วกาบ
- แก้วพรหมสามหน้า
ความมีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จ
- แก้วสีฟ้า
- แก้วหมอกมุงเมือง
- แก้วปวกสามสี
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20232&stc=1&d=1380485634
ตามตำนานโบราณของล้านนา กล่าวถึงดวงแก้ววิเศษ ๒๔ ดวง ที่เชื่อกันว่ามาจากฟากฟ้า ซึ่งพระอินทร์ได้ประทานลงมาให้แก่คนมีบุญ หรือผู้ที่นับถือพระรัตนตรัย จะนำซึ่งโชคลาภเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติคุณ และความสำเร็จทุกประการแก่ผู้ที่ได้ไว้ครอบครอง
ดวงแก้ว ๒๔ ดวงนั้น ได้แก่
๑. แก้วมหานิลไชยโชค (เนื้อสีดำดุจนิล)
๒. แก้ววิฑูรย์ เป็นแก้วที่มีหลายสี ในที่นี้ไม่ได้ระบุว่าเป็นสีใด
๓. แก้วผักตบ สีดั่งดอกผักตบ
๔. แก้วฝนแสนห่า มีลายเนื้อแก้วดั่งสายฝนตกลงมา ส่องกับแดดดูแล้วเหมือนยามที่ฝนตกแดดออก
๕. แก้วบัวมรกต (แก้วสีเขียวมรกต)
๖. แก้วสุริยะประภา (มีสีแดงดั่งพระอาทิตย์)
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20233&stc=1&d=1380485792
๗. แก้วประภาชมชื่น
๘. แก้ววชิระ (เป็กพรหมสามหน้า)
๙. แก้ววิฑูรย์ขันธะ
๑๐. แก้วปัทมราช มีสีแดง บางชนิดมีลายดาวอยู่ด้วย
๑๑. แก้วจันทะแพงค่าหมื่น
๑๒. แก้วสุริยะ
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20234&stc=1&d=1380485898
๑๓. แก้วมหานิลทรายคำ
๑๔. แก้วพระยาอิศวร
๑๕. แก้ววิฑูรย์องค์วิเศษขนบุ้งเทศไหมสน
๑๖. แก้วก้อแดงผจญปราบแพ้ศัตรู
๑๗. แก้วสีปะ สีใสสะอาด
๑๘. แก้วปะทัมก่าน
หมายเหตุ : ปราบแพ้ศัตรู = ปราบศัตรูพ่ายแพ้
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20235&stc=1&d=1380486217
๑๙. แก้ววิฑูรย์เทศ
๒๐. แก้ววิฑูรย์ผิวเผือก เป็นแก้วน้ำตัน ไม่ใส สีออกงาช้าง บ้างเรียกว่าแก้วงาช้าง
๒๑. แก้วหมอกมุงเมือง เป็นแก้วน้ำใส แต่มีลายเมฆอยู่ภายใน ดูเหมือนมีเมฆหรือหมอกปกคลุมอยู่
๒๒. แก้วเนระกัณตี
๒๓. แก้วมธุระกัณตี
๒๔. แก้วอินทนิลเผือก
แก้ว ๒๔ ดวงนี้ ถือว่าเป็นแก้วชั้นสูง มีค่ายิ่งนัก ตามตำนานกล่าวว่า แก้ว ๒๔ ดวงนี้ แต่โบราณมีกฎหมายตราไว้ว่า หากผู้ใดครอบครองย่อมมีความผิด
เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า ผู้ครอบครองจะมีอำนาจเหนือปุถุชน จึงอาจก่อกบฏ สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่บ้านเมืองได้ แก้ววิเศษนี้จึงเป็นของล้ำค่า ที่มีได้แต่ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองเท่านั้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20237&stc=1&d=1380622079
อุลกมณี ธาตุกายสิทธิ์จากต่างดาว
โลกเรารู้จักอุลกมณีมานานแล้ว เพราะมีผู้สังเกตเห็นดาวตกมาตั้งแต่สมัยโบราณ อุกกาบาตหรือดาวตกที่พุ่งฝ่าบรรยากาศ จนตกลงมาสู่ผิวโลก จะถูกเสียดสีเผาไหม้จนเป็นก้อนแข็งแกร่ง สีดำสนิท เป็นรูปทรงต่าง ๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง จัดเป็นวัตถุธาตุที่หาได้ยากมาก เพราะต้องเป็นอุกกาบาตที่ใหญ่พอ จึงจะหลงเหลือจากการเผาไหม้ จนตกลงมายังโลกของเรา
อุลกมณีถือเป็นวัตถุธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง มีหลายชื่อที่เรียกหากัน เช่น หินสะเก็ดดาว อุกกามณี เหล็กไหลต่างดาว พลอยจันทรคราส หยดน้ำฟ้า เป็นต้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20238&stc=1&d=1380622315
อุลกมณีเป็นวัตถุที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ วิ่งฝ่าจักรวาลอันกว้างขวางไร้ขอบเขต จึงมีพลังงานสะสมอยู่มหาศาล จึงเรียกได้ว่ามีฤทธิ์ในตัว เชื่อว่าสามารถสลายพลังงานเชิงลบที่ไม่พึงประสงค์ออกไปได้ และสามารถดึงดูดแต่พลังที่ดี ๆ เข้ามาหา
อีกทั้งยังส่งเสริมพลังเชิงบวกแก่วัตถุอื่น ๆ ให้มีพลังสูงขึ้นได้อีกด้วย นับเป็นวัตถุเหนือโลกที่ช่วยบันดาลสิ่งดี ๆ แก่ผู้ครอบครอง ส่งเสริมให้ชีวิตเจริญขึ้น เสริมเสน่ห์ชักจูงให้ผู้อื่นรักใคร่นับถือ เรียกว่ากลับร้ายกลายเป็นดี ทวีลาภเลยทีเดียว
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20239&stc=1&d=1380622655
นักหลอมสร้างอาวุธตั้งแต่สมัยโบราณ แทบทุกคนมุ่งหวังให้ได้อุลกมณีมาครอบครอง เพื่อนำมาเป็นส่วนผสมในการหลอมสร้างอาวุธ ให้เกิดเป็นอาวุธวิเศษที่มีฤทธิ์เดชอำนาจเหนืออาวุธอื่น ๆ เพื่อช่วยให้เจ้าของสามารถพิชิตชัยในการออกรบทุกครั้งไป
เชื่อกันว่าอุลกมณีมีพลังที่ครอบคลุมหลายรูปแบบ กล่าวคือเป็นแหล่งของพลังกระตุ้นเตือนจิตสำนึก ก่อให้เกิดการจดจำที่แม่นยำ ลึกซึ้ง หากนำมาใช้ตอนปฏิบัติทำสมาธิจิต จะช่วยเพิ่มพลังสมาธิจิตให้เข้มเข็งมั่นคง ปกป้องคุ้มครอง ขับไล่พลังชั่วร้ายที่มารุกราน ขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ออกไป คนไทยเรามีความเชื่อว่า การเก็บอุลกมณีไว้ในบ้าน จะช่วยป้องกันอัคคีภัย และภัยพิบัติต่าง ๆ ได้
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20240&stc=1&d=1380704328
สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้
เหล็กไหล
เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง เป็นที่แสวงหากันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่น้อยคนนักที่จะได้ไว้ครอบครอง เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์มากมายสุดที่จะพรรณนา หากไม่ได้สร้างบุญบารมีเนื่องกันมา แม้ว่าจะทุ่มเททรัพย์สินเงินทองสักเท่าใด ก็อย่าหมายว่าจะได้มาเลย
เหล็กไหลแม้จะเป็นโลหะธาตุ แต่ก็พัฒนาขึ้นมาถึงระดับมีจิตวิญญาณ สามารถเคลื่อนที่ได้ กินอาหาร (น้ำผึ้ง) ได้ มีความรักชอบเกลียดชัง หากว่ารักชอบผู้ใด จะด้วยความผูกพันจากกรรมเก่า หรือว่าถูกชะตากันก็ตาม ก็จะอยู่กับผู้นั้น ถ้าไม่ชอบเสียแล้ว ต่อให้ใช้คาถาอาคมผูกมัดอย่างไร ก็หาทางหนีไปจนได้
เหล็กไหลต่าง ๆ ที่เรียกหาและซื้อขายกันในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เหล็กไหลที่แท้จริง เหล็กไหลที่แท้จริงนั้น มีอานุภาพที่ทดสอบได้ในทุกที่ทุกเวลาดังนี้
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20241&stc=1&d=1380704600
สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้
๑. ดับพิษไฟพิษร้อนทุกชนิด ขนาดน้ำเดือด ๆ เทใส่แก้ว เอาเหล็กไหลหย่อนลงไป ก็สามารถยกขึ้นดื่มได้เลย หากทิ้งไว้ครู่เดียว จะเย็นจนมีไอน้ำเกาะ เหมือนกับน้ำที่เทออกมาจากตู้เย็น ถ้าเอากล่องไม้ขีดทาบไว้สักครู่หนึ่ง แล้วลองเอามาขีดดู หัวไม้ขีดจะเปื่อยเหมือนกับแช่น้ำไว้ ไม่สามารถที่จะติดไฟได้
๒. หยุดอาวุธมีดหรือปืนได้ ไม่มีปืนหรือระเบิดชนิดใด ที่อยู่ในรัศมีพลังงานของเหล็กไหลแล้วจะสามารถทำงานได้ อาจจะเป็นเพราะดินปืนหรือดินระเบิดเปียกชื้นหมด จึงไม่สามารถที่จะจุดระเบิดขึ้นมาได้ แม้แต่อาวุธมีดก็หมดคมไปเฉย ๆ เหมือนกับเอาเหล็กที่ลบคมแล้วมาเฉือนเนื้อ ลื่นไปโดยไม่มีร่องรอยใด ๆ ปรากฏเลย
๓. ดับเครื่องยนต์และเครื่องไฟฟ้าทุกชนิด ถ้าเอาเหล็กไหลเข้าไปใกล้จนรัศมีพลังงานคลุมถึง เครื่องยนต์และเครื่องไฟฟ้าทุกชนิดจะดับหมด ถ้าจะนำเหล็กไหลขึ้นยานพาหนะ ต้องหุ้มด้วยขี้ผึ้งหนา ๆ จนพลังงานของเหล็กไหลแผ่ออกมาไม่ได้ จึงจะสามารถนำไปได้ เหล็กไหลจะแพ้เพียงขี้ผึ้งแท้อย่างเดียวเท่านั้น
๔. ถ่ายรูปไม่ติด ขนาดเครื่องยนต์ยังดับหมด แล้วกลไกของกล้องถ่ายรูปจะทำงานอย่างไรได้ ฉะนั้น..ที่เห็นมีรูปมากมายนั้น เป็นได้แค่ "เหล็กเหลวไหล" เท่านั้น
๕. มีรัศมีในตัวเอง แม้จะเอาไว้ในห้องที่ปิดทึบจนมืดสนิท เหล็กไหลก็จะเรืองแสงได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยแสงสะท้อนใด ๆ เลย
๖. ลนไฟให้ยืดได้ เมื่อใช้เทียนขี้ผึ้งจุดไฟลน เหล็กไหลจะยืดตัวยาวออกมาเรื่อย ๆ สามารถยืดได้จนเล็กเหมือนเส้นด้าย พอแตะต้องเข้าก็จะหดกลับไปเป็นรูปเดิม
๗. กินน้ำผึ้งได้ เหล็กไหลธรรมชาติ ถ้าเอาน้ำผึ้งไปล่อ จะยืดลงมากินน้ำผึ้งได้ ถ้าเป็นเหล็กไหลที่ตัดมาได้แล้ว เอาแช่ลงในน้ำผึ้งได้เลย ทั้งสองอย่างน้ำผึ้งจะพร่องให้เห็นทันตา ไม่ใช่ทิ้งไว้จนข้ามวันข้ามคืนแล้วจึงพร่อง
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20242&stc=1&d=1380704802
สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้
การทดสอบนั้น สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ ถ้าเหล็กไหลกระทบพื้นเมื่อไร จะหายวับไปต่อหน้าต่อตา ถึงเป็นพื้นหินขัดเรียบลื่นก็หายไปได้แบบไม่มีร่องรอย ท่านอาจจะต้องชดใช้แก่เจ้าของจนสิ้นเนื้อประดาตัว และที่ต้องระวังให้จงหนักก็คือ "เหล็กทาบ"
บรรดาผู้ที่หากินกับเหล็กไหล จะกลึงโลหะให้เป็นรูปร่างดังที่ตนเองต้องการ แล้วเอาไปทาบติดกับเหล็กไหลแท้ไว้ ๓ - ๕ วัน เหล็กชิ้นนั้นก็จะมีอานุภาพเหมือนกับเหล็กไหลชั่วคราว เหมือนกับเอาเหล็กธรรมดาไปทาบไว้กับแม่เหล็ก เพียงไม่กี่วันเหล็กชิ้นนั้นก็สามารถดูดโลหะได้เหมือนแม่เหล็ก
แม้จะมีอานุภาพเพียงไม่กี่วัน แต่ก็พอเพียงที่จะทดสอบและซื้อขายเปลี่ยนมือกัน ให้ทดสอบว่าเหล็กไหลชิ้นนั้นเรืองแสงในที่มืดได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้แปลว่าโดนมือดีเอาเหล็กทาบมาหลอกเข้าให้แล้ว
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20243&stc=1&d=1380705036
สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้
ชนิดของเหล็กไหล
ชนิดของเหล็กไหลนั้น น่าจะแยกออกตามสีของเหล็กไหลมากกว่า เท่าที่มีผู้ประสบพบกับเหล็กไหลของแท้มา แยกแยะเหล็กไหลออกเป็น ๔ สี ดังนี้
๑. เหล็กไหลสีปีกแมลงทับ เป็นชนิดที่มีสีเขียวเข้ม เปรียบได้กับสีของปีกแมลงทับ เหล็กไหลส่วนใหญ่ที่พบมา มักจะเป็นสีนี้แทบทั้งสิ้น
๒. เหล็กไหลสีปีกแมลงภู่ เป็นชนิดที่มีสีน้ำเงินเข้มเลื่อมพราย คล้ายกับสีปีกของแมลงภู่ พบเห็นได้น้อยมาก
๓. เหล็กไหลสีน้ำตาลอ่อน เป็นสีน้ำตาลอ่อนแวววาว เปรียบได้กับสีท้องปลาไหล เป็นชนิดที่พบรองลงมาจากชนิดสีปีกแมลงทับ
๔. เหล็กไหลสีเงินยวง เป็นสีเงินแวววาว มักมีสัณฐานเหมือนดอกบัวตูม เป็นสุดยอดของเหล็กไหล พบเห็นได้ยากที่สุด มีพลังงานสูงที่สุด ขนาดบางคนแตะถูกก็ชักกระตุกเหมือนกับแตะโดนไฟฟ้าเป็นหมื่น ๆ โวลต์
เหล็กไหลทุกชนิด มีรูปทรงที่ไม่เหมือนกันเลย ต่อให้เป็นสีเดียวกันก็มีรูปทรงที่แตกต่างกันไป แต่ที่สังเกตได้ก็คือ จะมีขอบของรูปทรงกลมมนเรียบลื่นเสมอ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมี "เหล็กไหล" ที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ ดังที่เห็นอยู่เต็มท้องตลาดในทุกวันนี้
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20244&stc=1&d=1380705322
สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้
วิธีการตัดเหล็กไหล
เมื่อต้องการครอบครองเหล็กไหล ก็ต้องให้ได้มาซึ่งเหล็กไหลนั้นก่อน การจะได้มาซึ่งเหล็กไหลนั้น มีหลายวิธีการ ดังนี้
๑. ตัดด้วยคาถาอาคม หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เคยตามไปดูเขาตัดเหล็กไหล ที่ตำบลทะเลซับ (มักเขียนเป็นทะเลทรัพย์) จังหวัดชุมพร ท่านเล่าว่า ผู้ตัดยืนลูบคลำก้อนเหล็กไหล ภาวนาคาถาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มีเสียงดัง "ฉัวะ" เหมือนกับเสียงขวานฟันใส่หิน แล้วเหล็กไหลก้อนนั้นก็หลุดติดมือผู้ตัดมาเลย
หลวงพ่อท่านเล่าอีกว่า เมื่อสมัยที่ออกธุดงค์ไปในป่าดงดิบของจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปักกลดในตอนประมาณห้าโมงเย็น มีรัศมีสีเขียวเจิดจ้าแผ่ออกมา จนกระทั่งกลดก็เป็นสีเขียวไปหมด ครั้นถามพระภูมิเจ้าที่ดู ปรากฏว่าเป็นรัศมีที่เปล่งออกมาจากเหล็กไหล
วันรุ่งขึ้นพระภูมิเจ้าที่พาหลวงพ่อฤๅษีฯ ไปดูเหล็กไหลก้อนนั้นที่ในถ้ำ ก้อนใหญ่ขนาดหม้อข้าว พอเอาเทียนลนก็ยืดย้อยลงมา เมื่อเอามือแตะถูกก็หดกลับไปดังเดิม ครั้นถามพระภูมิเจ้าที่ว่าตัดอย่างไร พระภูมิบอกว่า "ตัดด้วยคาถา แต่บอกไม่ได้" เพราะท่านมีหน้าที่เฝ้าดูแลเหล็กไหลก้อนนั้นอยู่
๒. ตัดด้วยขวานที่ปั้นจากเทียนพรรษา เท่าที่พบมามีอยู่รายเดียวที่ใช้วิธีนี้ ท่านเป็นพระภิกษุ เก็บรวบรวมขี้ผึ้งใช้แล้วที่เหลือจากเทียนซึ่งจุดตลอดพรรษา เอามาปั้นเป็นรูปขวาน ขัดเกลาจนได้รูปร่างและขนาดตามที่ต้องการ วิธีการนี้ไปพ้องกับที่เหล็กไหลนั้นแพ้ขี้ผึ้งแท้ ประกอบกับผู้เล่าเป็นพระ พิจารณาแล้วว่ามีความเป็นไปได้
๓. ตัดด้วยบ่วงอาถรรพ์ วิธีนี้ผู้ตัดใช้กันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อผู้ตัดล่อให้เหล็กไหลยืดลงมากินน้ำผึ้งแล้ว จะใช้บ่วงอาถรรพ์ที่ถักจากเส้นผมสาวพรหมจารีที่ไม่ได้โกนผมไฟ ชุบด้วยประจำเดือนจากเด็กหญิงแรกเกิด คล้องแล้วกระตุกให้ขาดตกลงในภาชนะที่เตรียมเอาไว้
ในทางการแพทย์นั้น ทารกหญิงแรกเกิดบางราย มีโลหิตไหลออกมาจากช่องคลอด เหมือนกับประจำเดือนของหญิงสาววัยเจริญพันธุ์ หมอไสยศาสตร์ที่ได้ข่าวนี้ จะรีบติดต่อขออนุญาตจากพ่อแม่ของเด็ก เพื่อขอเลือดมาใช้ในงานไสยศาสตร์ของตน
๔. เจ้าของเอามาให้เอง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ได้เหล็กไหลมาด้วยวิธีนี้ มักจะเป็นพระธุดงค์ผู้ทรงศีลทรงธรรม ถึงเวลาเจ้าของเหล็กไหลจะนำมาถวายเอง จะเป็นการทดสอบกำลังใจหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ บางทีก็เอามาหย่อนลงในบาตรให้เลย แต่พอทักท้วงเข้าก็ยินดีรับคืนไป และมักจะคอยอุปถัมภ์ค้ำชู ตลอดระยะเวลาที่พระท่านอยู่ในเขตนั้น
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20245&stc=1&d=1380705643
สิ่งที่เรียกกันว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้
ส่งท้าย
เหล็กไหลในปัจจุบันที่มีอยู่เต็มท้องตลาด ไม่ใช่เหล็กไหลที่แท้จริง มิหนำซ้ำยังมีการเขียนประวัติเรื่องราวให้สอดคล้องกับลักษณะสิ่งของที่มีอยู่ เพื่อผลทางการค้าโดยเฉพาะ จึงเป็นเรื่องที่ควรจะอยู่ห่างให้มากที่สุด
โบราณกล่าวว่า "เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามทำบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดตั้งวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา" อะไรที่โบราณกล่าวไว้ มักเป็นประสบการณ์ที่ตกผลึกแล้ว สามารถเชื่อถือได้แทบทุกเรื่อง จึงควรที่จะสังวรระวังไว้ให้มาก
เหล็กไหลทุกก้อนมีเจ้าของเฝ้าดูแลด้วยความหวงแหน ต่อให้ใช้คาถาอาคมบังคับเอามา ถ้าเขาไม่ยินดีที่จะอยู่ด้วย ก็จะหาทางหนีไปจนได้ ถ้าไปเจอก้อนที่เจ้าของเป็นพวกอสูร ก็อาจจะบันดาลความวิบัติฉิบหายแก่ผู้ที่ครอบครองก่อนแล้วจึงหนีไป
แม้ว่าเหล็กไหลจะมีอานุภาพเพียงใดก็ตาม ผู้ที่ครอบครองก็ใช่ว่าจะปลอดภัยแน่นอน เพราะว่าเหล็กไหลแม้จะหยุดอาวุธมีด ปืน ระเบิดได้ แต่ถ้าผู้ครอบครองถูกจับมัดถ่วงน้ำ รัดคอ หรือทุบด้วยของหนัก ก็ถึงแก่ความตายได้เช่นกัน
โดยเฉพาะเมื่ออายุขัยมาถึง ต่อให้ครอบครองเหล็กไหลก็ไม่อาจจะหนีพ้นความตายไปได้ ถ้าต้องการความอยู่ยงคงกระพัน ไม่แก่ไม่ตายจริง ๆ แล้ว ให้ปฏิบัติตามมรรค ๘ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด จะพาท่านพ้นภัยได้อย่างแท้จริง
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
วันพุธที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20246&stc=1&d=1380802070
เสือไฟ
อาถรรพ์เสือไฟ
เสือไฟเป็นแมวป่าขนาดใหญ่ เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ที่มีอาถรรพ์ร้อนแรง สัตว์อื่น ๆ จะเกรงกลัวมาก พื้นที่ใดที่มีเสือไฟอาศัยอยู่ จะไม่มีสัตว์อื่นอาศัยอยู่ในรัศมีใกล้เคียง แม้แต่เสือโคร่ง เสือดาว ที่ใหญ่กว่าหลายเท่า ก็ยังไม่กล้ารุกล้ำอาณาเขตของเสือไฟจนกระทั่งเรียกเสือไฟกันว่า “พญาเสือ”
ในหนังสือ ๘๔ ปีหลวงพ่ออุตตะมะ “เทพเจ้าของชาวมอญ” ได้เล่าถึงการเดินธุดงค์ไปยังต้นแม่น้ำสาละวิน เพื่อไปดู “มักกะลีผล” ท่านได้พบกับพญาเสือหรือเสือไฟ โดยอธิบายว่า เสือไฟมีน้ำลายเป็นพิษ สัตว์อื่นจึงเกรงกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เสือไฟก็มิได้ทำอันตรายใด ๆ ต่อหลวงพ่อเลย
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20247&stc=1&d=1380802304
เขี้ยวเสือไฟ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
ชาวบ้านโดยเฉพาะชาวล้านนา เชื่อกันว่าเขี้ยว ขน หรือหนังเสือไฟ มีอำนาจข่มอาถรรพ์ป่าได้ทุกชนิด ภูตผีปิศาจจะกลัวเกรงไม่กล้ากรายใกล้ ใครมีหนังเสือไฟพกติดตัวไว้ หากเผชิญกับอาถรรพ์ป่า แค่เผาขนเสือไฟเพียงเส้นเดียว ก็สามารถสยบอาถรรพ์ลงได้
ชาวบ้านจึงนิยมเอาเขี้ยวเสือไฟ ไปให้พระเกจิอาจารย์แกะเป็นรูปเสือ หรือเอาหนังเสือไฟมาทำเป็นตะกรุด ติดตัวไว้เป็นมหาอำนาจ ป้องกันภูตผีปิศาจอาถรรพ์ร้ายทุกชนิด หรือเอาหนังเสือไฟชิ้นเล็ก ๆ ใส่ไว้ใต้ที่นอน ตอกติดกับบ้านเรือนหรือคอกสัตว์ เชื่อว่าป้องกันอันตรายตลอดจนโรคระบาดต่าง ๆ ได้ นับได้ว่าเสือไฟทั้งที่มีชีวิตอยู่ หรือเหลือเพียงส่วนเสี้ยวของร่างกาย ก็ยังมีอาถรรพ์เป็นมหาอำนาจอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20261&stc=1&d=1381896138
เขาควายเผือกฟ้าผ่า
เกจิอาจารย์และฆราวาสผู้เรืองเวทมนต์สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นไทยและลาว จะเสาะแสวงหาเขาควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตาย ซึ่งเป็นของทนสิทธิ์ ที่มีฤทธิ์ในตัว เชื่อเรื่องของคุณวิเศษว่า กันภูตผี กันเสนียด มีฤทธิ์ มีอำนาจ แก้อาถรรพ์ต่าง ๆ ได้ รวมถึงเรื่องเมตตามหานิยมก็ไม่เป็นรอง
แล้วนำเขาควายเผือกที่แสวงหาได้แล้วนี้ มาทำการแกะเป็นรูป เป็นสิ่งต่าง ๆ ตามสายวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา เช่นพระปิดตา พระขรรค์ แพะ ปลัดขิก ด้ามอาวุธ และอย่างอื่นอีกมากแบบ ที่เห็นโดดเด่นก็มี พระขรรค์ของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก จ.เพชรบุรี แพะหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก จ.ระยอง ล้วนเป็นที่แสวงหาของผู้อยากครอบครอง เอาไว้ใช้พกติดตัว ติดบ้าน จากประสบการณ์ที่เล่าลือมาช้านาน
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20262&stc=1&d=1381896642
พระขรรค์ของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก จ.เพชรบุรี
การสร้างพระขรรค์ตามตำราโบราณของท่านกำหนดว่า เขาควายนั้นจะต้องประกอบด้วยลักษณะดังนี้ เขาควายเผือก ต้องตายโหง คือ ถูกยิงตาย ขวิดกันเองตาย หรือถ้าถูกฟ้าผ่าตายได้ก็ยิ่งวิเศษ เขาควายนั้นจะต้องไม่ถูกต้มมาก่อน กล่าวคือเมื่อควายตายลง ก็ต้องชำแหละตัดเขาออกสด ๆ ไม่ต้องรอให้ชำแหละออกเป็นส่วน ๆ แล้วจึงนำหัวมาต้มเพื่อเอาเขาออก
นำเขาควายนั้นมาแกะเป็นรูปพระขรรค์ เวลาแกะให้ตัดออกเป็นชิ้นพอเหมาะกับการแกะ ให้จำไว้ว่าทางไหนทางโคนเขา ทางไหนทางปลายเขา ให้ทำเครื่องหมายไว้ เวลาแกะให้แกะจากโคนเขาไปหาปลายเขา เป็นทางเดียวตลอดเวลาการแกะจนสำเร็จเท่านั้น ถ้าทวนแม้แต่ครั้งเดียวใช้ไม่ได้ ต้องทิ้งไป
ขั้นต่อมาจึงนำพระขรรค์ที่แกะเสร็จแล้วมาลงอักขระ ในที่นี้จะแยกออกเป็นสองลักษณะ เพราะเป็นการลงเต็มและลงย่อ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก พระขรรค์ของหลวงพ่อมีทั้งขนาดใหญ่ไว้บูชาประจำบ้าน การลงอักขระก็จะลงเต็มบท ถ้าขนาดเล็กจะลงหัวใจของพระคาถาเท่านั้น คาถากำกับพระขรรค์มีดังนี้ ให้ตั้งนะโมฯ ๓ จบ แล้วตามด้วยพระคาถาว่า
"พุทโธ ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ ธัมโม ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ สังโฆ ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ"
มีเรื่องเล่ากันว่า...เสือขาว ลูกศิษย์หลวงพ่อดิ่งแขวนพระปิดตา และตะกรุดหลวงพ่อดิ่ง แต่ไม่ประพฤติตนเป็นคนดี เป็นที่ต้องการตัวของตำรวจอย่างมาก อาวุธปืนไม่สามารถทำอันตรายเสือขาวได้แต่อย่างใด ทางตำรวจจึงมากราบหลวงพ่อดิ่ง ผู้เป็นอาจารย์เพื่อปรึกษาหาแนวทางในการคัดของเสือขาว
หลวงพ่อดิ่งท่านว่าไม่มีอะไรคัดของของท่านได้ ยกเว้นอย่างเดียว คือ พระขรรค์หลวงพ่อโศก ผู้เป็นสหธรรมิกของท่านเพียงรูปเดียว โดยให้ใช้ปลายพระขรรค์เขียนคาถาตามที่ท่านให้ลงที่ลูกปืน ผลสุดท้ายเสือขาวต้องจบชีวิตการเป็นโจรด้วยเหตุแห่งการล้างอาถรรพ์คัดของ โดยพระขรรค์หลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก อันศักดิ์สิทธิ์นี้เอง (เป็นเรื่องเล่าคัดลอกบางส่วนจากอินเตอร์เน็ต)
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20263&stc=1&d=1381897056
แพะหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก จ.ระยอง
"แพะ" สุดยอดเครื่องราง หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก
กล่าวถึงเครื่องรางของขลัง ที่แกะเป็นรูปลักษณ์ของ “แพะ” นั้น ตามความเชื่อที่ว่า แพะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถปกป้องคุณไสยและเวทย์มนต์ต่าง ๆ ที่จะมาทำร้ายผู้เป็นเจ้าของได้ เพราะแพะจะรับไปเอง ทำให้เจ้าของปลอดภัย
หลวงพ่ออ่ำ หรือ พระครูเทพสิทธา (อ่ำ) เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดหนองกระบอก ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๔๙๐ ที่ชาวบ้านทั้งไกลใกล้ให้ความเคารพนับถือมาก ปู่ ย่า ตา ยาย เล่าต่อกันมาว่า ท่านมีอาคมเข้มขลัง เป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งของเมืองระยอง ท่านมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่อมา คือ หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ จังหวัดชลบุรี และหลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก จังหวัดระยอง
สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่ออ่ำท่านมีชื่อเสียงมากในการสร้าง “เครื่องรางของขลังรูปแพะ” ซึ่งได้สืบทอดวิชาต่อมาจากหลวงปู่แตง วัดอ่างศิลา จนได้สมญาว่า “หลวงพ่ออ่ำแพะดัง”และเป็นที่ต้องการของผู้เลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก
แพะหลวงพ่ออ่ำ สร้างจากเขาควายฟ้าผ่าตาย ซึ่งมีความเชื่อกันว่า เขาอันนั้นได้รับพลังจากเทพ แล้วนำมาแกะเป็นแพะ ท่านบรรจุวิชาอาคม เวทมนต์คาถาที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา โดยวางไว้บนถาด บางทีก็แช่น้ำมันหอม น้ำมันว่านสมุนไพร น้ำมันจันทน์ พอท่านจะมอบให้ก็จะทำพิธีปลุกเสกอีกครั้ง จนปรากฏว่าแพะที่วางไว้บนถาดหรือที่แช่ไว้ในน้ำมัน เคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต ท่านจึงจะหยิบขึ้นมาจากโหลหรือขวด แล้วแจกให้กับบุคคลนั้น
แพะตัวผู้หนึ่งตัว สามารถดูแลปกครองแพะตัวเมียได้เป็นสิบ ๆ ตัว ด้วยความรู้รักสามัคคี เกื้อหนุนจุนเจือซึ่งกันและกัน จึงเชื่อกันว่า ผู้ใดมีแพะแกะจากเขาควายเผือกหลวงพ่ออ่ำพกพา ผู้นั้นจะเป็นนักปกครองที่ยิ่งใหญ่ และนักรักที่มีคนนิยมชมชอบมาก และมีเสน่ห์เมตตามหานิยม มั่งคั่งสมบูรณ์ ค้าขายเจริญรุ่งเรือง และอายุยืน
(บทความบางส่วนจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖)
]http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20264&stc=1&d=1381898142
แก่นมะขามโปร่งฟ้า
ต้นมะขามเป็นต้นไม้ที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน ด้วยประโยชน์ในการใช้งานสารพัด รวมถึงเป็นส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญหลายประเภท โดยใช้ฝักและใบอ่อนเป็นส่วนประกอบ และด้วยคุณสมบัติที่เนื้อไม้นั้นเหนียว แข็งแรงทนทาน เราจึงเห็นอุปกรณ์ใช้สอยในครัวอีกชิ้นหนึ่งคือ เขียงรองทำอาหารนั่นเอง และน่าจะเป็นประโยชน์ทั่วไปที่คนส่วนใหญ่มองเห็น
คนโบราณมีความรู้หลายอย่างหลายแขนง ตลอดจนรู้ว่ามีสิ่งใด วัตถุใดบ้างที่มีดีในตัวเอง มีความเร้นลับที่เรารู้กัน และโดยรวมเรียกว่า “ของทนสิทธิ์” แก่นมะขามก็เป็นของทนสิทธิ์อีกชนิดหนึ่ง เพราะโดยทั่วไปต้นมะขามจะไม่เห็นแก่นโดยง่าย ต้นที่มีแก่นก็พบเพียงต้นที่มีอายุเยอะเป็นร้อยปี หรืออาจจะไม่พบเลย
แต่คนโบราณก็สังเกตอีกว่า ต้นไหนเกิดวันอังคารมักจะมีแก่นให้เห็น แต่ก็ไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดเจน เป็นเพียงเรื่องบอกเล่าสืบ ๆ กันมา บูรพาจารย์และฆราวาสที่มีความรู้ความสามารถเรื่องคาถาอาคม รวมถึงการสัมผัสพลังงานแห่งธรรมชาตินี้ได้ มักจะเสาะแสวงหา “แก่นมะขามโปร่งฟ้า” ด้วยมีคุณสมบัติพิเศษ เหนือแก่นมะขามทั่ว ๆ ไปขึ้นไปอีก
ด้วยลักษณะของต้นนั้นจะมีแก่นดำถัดจากเนื้อไม้ และมีรูอยู่ตรงกลางต้น ตั้งแต่รากจนถึงปลายของลำต้นเลยทีเดียว โดยเฉพาะต้นที่ตายพราย คือยืนตายเอง และมีคุณสมบัติดังกล่าว แต่หากต้นไหนที่ฟ้าผ่า ถือเป็นสุดยอดของแก่นมะขามโปร่งฟ้า โบราณเขาว่ากันมาอย่างนั้นครับ
หลังจากที่พลีไม้จากต้นแล้ว ก็จะต้องปลูกต้นใหม่ไว้แทน เพื่อเป็นที่อยู่ของเจ้าของเดิม แล้วนำแก่นมะขามโปร่งฟ้าที่ได้ ไปกลึง ไปแกะ เป็นเครื่องรางของขลังที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นด้ามมีด เสือ สิงห์ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ไม้เท้า และลักษณะอื่น ๆ ตามโครงร่างของไม้ หรือตามแบบของผู้แกะ พร้อมบรรจุพลังแห่งเวทย์มนต์คาถาของแต่ละสายที่ร่ำเรียนมา ว่ากันว่า หากผู้ใดได้ครอบครองแก่นมะขามโปร่งฟ้า ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีวาสนาดี มีบารมี และอำนาจ เป็นที่น่าเกรงขาม แก่คนทั่วไปเหมือนชื่อมงคลนี้แล
อันนี้เป็นเรื่องที่ปู่เล่าให้ฟังนะคะ เกี่ยวกับคดสุนัขที่ปู่ชม (พ่อตาของปู่) กับเพื่อนได้ประสบมา ปู่ชมไปพบคดสุนัขเข้าโดยบังเอิญกับเพื่อนประมาณ ๓-๔ คน สุนัขตัวนั้นตายจนเหลือแต่ซาก แต่สามารถร้องเอ๋งๆ ได้อยู่ ส่วนที่เป็นกะโหลกยังขยับได้ ปู่ชมจึงเอาไม้ทุบดู พบว่ามีคดอยู่หนึ่งชิ้น (จำลักษณะไม่ได้แล้วค่ะ) ยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของ เลยผลัดกันถือ คนแรกถือได้ไม่นานก็ขอเปลี่ยนให้คนอื่นถือบ้าง
คนที่สองที่สามก็เป็นแบบนี้ จนมาถึงปู่ชมซึ่งเป็นคนสุดท้าย ท่านจึงได้รู้ว่าทำไมใคร ๆ ก็ถือคดสุนัขได้ไม่นาน สมัยก่อนนั้นส้วมของชาวบ้านก็คือท้องทุ่ง เมื่อเดินในทุ่งก็ต้องพบปะกับอุจจาระเป็นของธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ พอเห็นก็เกิดน้ำลายสออยากกินขึ้นมาทันที แต่ก่อนแต่ไรไม่เคยเป็น พอมีเจ้าคดสุนัขก็เกิดอยากจะกิน ปู่ชมกับเพื่อนพิสูจน์กันอีกรอบ ว่าสาเหตุมาจากคดสุนัขจริงหรือไม่ ผลก็คือถ้าไม่ได้ถือคดก็เป็นปกติแต่ถ้าถือคดเดินผ่านกองอุจจาระ จะอยากกินขึ้นมาทันที สุดท้ายจึงต้องโยนคดทิ้งไป เลยไม่รู้ค่ะว่ามีอานุภาพด้านไหน
พิมพาภรณ์
04-09-2014, 14:54
ป้าตุ่นมี คดปรอท กับ ปรอทเพชร
พี่หม่อมให้มา ก่อนลาจากโลกไปค่ะ
รูปที่ ๑ คือ คดปรอท
รูปที่ ๒ กับ ๓ คือ ปรอทเพชร พี่หม่อมบอกมาเช่นนั้น ค่ะ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.