เถรี
20-07-2012, 13:09
ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัว ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลเข้าไปพร้อมกับลมหายใจ หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลออกมาพร้อมกับลมหายใจ จะเอาแค่ปลายจมูกจุดเดียวเป็นจุดที่รู้สึก หรือว่าต้องการ ๓ ฐาน จมูก อก ท้อง หรือต้องการ ๗ ฐาน หรือต้องการรู้ลมตลอดสายก็ได้ เพียงแต่อย่าให้ความรู้สึกหลุดไปจากลมหายใจเข้าออก ถ้าหลุดไปเมื่อไรให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกทันที
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติธรรมวันสุดท้ายของเดือนนี้ สองวันที่แล้วมาได้กล่าวถึงความดีเบื้องต้นคือศีล ความดีเบื้องกลางคือสมาธิ สำหรับวันนี้ขอกล่าวถึงความดีเบื้องปลาย คือปัญญา
ในไตรสิกขาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงปัญญาไว้ในเบื้องปลาย เป็นการกล่าวถึงตามหลักการปฏิบัติ ถ้าหากศีลของเรามั่นคงสมาธิจะทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัวปัญญาจึงจะเกิด เมื่อปัญญาเกิดก็จะไปคุมศีลให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ดังนี้
ดังนั้น..ปัญญาจึงมาทีหลัง แต่ถ้าในมรรค ๘ นั้น พระองค์ท่านขึ้นด้วยปัญญาก่อน ก็คือสัมมาทิฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง อย่างเช่นการเห็นในอริยสัจ สัมมาสังกัปปะ ความดำริที่ถูกต้อง เช่น ดำริต้องการจะพ้นทุกข์ ดำริในการไม่พยาบาทเบียดเบียนผู้อื่น ดำริในการออกจากกาม เป็นต้น เมื่อเป็นดังนั้นเราจึงต้องมากล่าวถึงปัญญาในวันสุดท้าย เพราะเป็นการเรียงตามแบบของการปฏิบัติ
เมื่อทุกคนปฏิบัติในสมาธิจนทรงตัวแล้ว โดยธรรมชาติของสมาธิ เมื่อทรงตัวเต็มที่ก็จะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ตอนที่สมาธิคลายออกมา ถ้าเราไม่หาสิ่งที่เป็นคุณไว้ในการพิจารณาแล้ว กิเลสก็จะเอากำลังของสมาธินั้นไปฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เพราะมีกำลังสมาธิหนุนเสริมอยู่
การที่เราจะพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญานั้น มีอยู่หลายแบบด้วยกัน แบบแรก ก็คือ พิจารณาตามแบบอริยสัจ ๔ อย่างเช่น กำหนดรู้ว่านี่คือทุกข์ นี่คือสาเหตุของการเกิดทุกข์ นี่คือการดับทุกข์ นี่คือหนทางเข้าไปสู่การดับทุกข์ เป็นต้น ต้องรู้เห็นให้ชัดเจน เมื่อรู้เห็นสาเหตุของการเกิดทุกข์ชัดเจน เราก็อย่าไปสร้างสาเหตุนั้น ความทุกข์ก็จะดับลงได้
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติธรรมวันสุดท้ายของเดือนนี้ สองวันที่แล้วมาได้กล่าวถึงความดีเบื้องต้นคือศีล ความดีเบื้องกลางคือสมาธิ สำหรับวันนี้ขอกล่าวถึงความดีเบื้องปลาย คือปัญญา
ในไตรสิกขาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงปัญญาไว้ในเบื้องปลาย เป็นการกล่าวถึงตามหลักการปฏิบัติ ถ้าหากศีลของเรามั่นคงสมาธิจะทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัวปัญญาจึงจะเกิด เมื่อปัญญาเกิดก็จะไปคุมศีลให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ดังนี้
ดังนั้น..ปัญญาจึงมาทีหลัง แต่ถ้าในมรรค ๘ นั้น พระองค์ท่านขึ้นด้วยปัญญาก่อน ก็คือสัมมาทิฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง อย่างเช่นการเห็นในอริยสัจ สัมมาสังกัปปะ ความดำริที่ถูกต้อง เช่น ดำริต้องการจะพ้นทุกข์ ดำริในการไม่พยาบาทเบียดเบียนผู้อื่น ดำริในการออกจากกาม เป็นต้น เมื่อเป็นดังนั้นเราจึงต้องมากล่าวถึงปัญญาในวันสุดท้าย เพราะเป็นการเรียงตามแบบของการปฏิบัติ
เมื่อทุกคนปฏิบัติในสมาธิจนทรงตัวแล้ว โดยธรรมชาติของสมาธิ เมื่อทรงตัวเต็มที่ก็จะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ตอนที่สมาธิคลายออกมา ถ้าเราไม่หาสิ่งที่เป็นคุณไว้ในการพิจารณาแล้ว กิเลสก็จะเอากำลังของสมาธินั้นไปฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เพราะมีกำลังสมาธิหนุนเสริมอยู่
การที่เราจะพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญานั้น มีอยู่หลายแบบด้วยกัน แบบแรก ก็คือ พิจารณาตามแบบอริยสัจ ๔ อย่างเช่น กำหนดรู้ว่านี่คือทุกข์ นี่คือสาเหตุของการเกิดทุกข์ นี่คือการดับทุกข์ นี่คือหนทางเข้าไปสู่การดับทุกข์ เป็นต้น ต้องรู้เห็นให้ชัดเจน เมื่อรู้เห็นสาเหตุของการเกิดทุกข์ชัดเจน เราก็อย่าไปสร้างสาเหตุนั้น ความทุกข์ก็จะดับลงได้