เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕


เถรี
03-07-2012, 12:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "อานิสงส์การสร้างพระ คือ พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชมีอำนาจ เกิดใหม่เมื่อไรก็เป็นผู้นำเขา อีกส่วนหนึ่งท่านบอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะประมาณได้ ก็แปลว่ามีอานิสงส์ที่ไม่สามารถจะประมาณออกมาได้"

เถรี
03-07-2012, 12:37
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมานั่งรถแท็กซี่ เกือบจะมาไม่ถึงบ้านวิริยบารมีแล้ว เพราะเงินหมด แถมยังทำเป็นใจใหญ่ ค่าแท็กซี่ ๒๙๓ บาท แต่จ่ายให้เขา ๓๐๐ บาทเลย เขาไม่รู้หรอกว่าอาตมาเหลือติดตัวอยู่แค่อีก ๔๐ บาท พอสอนหนังสือเสร็จเดินออกมา มีสาวคนหนึ่งเดินมาขอเงินกินข้าว ๒๐ บาท อาตมาบอกว่า "จะไปพอกินอะไร เอาไป ๔๐ บาทเลย"

เวลาคนอื่นมาขออะไรเรา ทางที่ดีที่สุดก็คือ อย่าไปเสียเวลาระแวงสงสัย ให้คิดว่าเป็นบุญลาภอันใหญ่ของเราแล้ว ที่จะได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนในการตัดความโลภ เพราะฉะนั้น..อาตมาจะไม่สนใจเรื่องอื่น เอ็งรีบเอาไปเลย ให้โดยเร็วที่สุด และให้เยอะที่สุดเท่าที่มี พอถึงเวลาถ้าจำเป็นต้องเกิดใหม่ อานิสงส์ตรงนี้จะทำให้ตอนที่ได้เราจะได้มากจนเบื่อ ระยะนี้อาตมาเบื่อสุด ๆ เวลาที่คนเขาเอาสารพัดของมาให้ ก็เพราะทำบุญลักษณะนี้เป็นประจำ

บางทีอยู่ ๆ มอเตอร์ไซค์วิ่งพรวดมาจอดหน้ากุฏิ “หลวงพ่อขอเงินเติมน้ำมันร้อยหนึ่ง” อาตมาก็ควักให้เขาดู "ทั้งตัวมีอยู่ ๑๒๐ บาท เอ็งเอาไป ๑๐๐ ก็แลัวกัน" ตัดใจให้จริง ๆ พวกนี้มีมาสารพัดรูปแบบเลย แต่ว่าถ้าเราให้ได้ ก็ให้เขาไปเลย ถ้าหากว่าเรามีไม่พอ ก็ให้เขาแค่ที่มี ถ้ามีพอก็ให้เกินกว่าที่เขาขอ ทำอย่างนั้นแหละแล้วจะเจริญ เพราะเขาจะมาขอเรื่อย ๆ...(หัวเราะ)..."

เถรี
03-07-2012, 13:53
มีหลวงตารูปหนึ่งที่วัดมาขอลาสิกขา หลังจากทำพิธีกรรมเสร็จ พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงตาท่านบวชมาแล้วตั้งใจปฏิบัติ พร้อมกับศึกษาเล่าเรียน ท่านอายุมากแต่สอบจนได้นักธรรมเอก ซึ่งส่วนใหญ่คนอายุมากแล้วสมองจะไม่ค่อยไหว คราวนี้ท่านเป็นโรคเบาหวาน ต้องมีคนดูแลอยู่ตลอด ท่านก็เลยไม่สะดวก ขอสึกกลับบ้านไปให้ลูกหลานดูแล เพราะพระเราด้วยกันดูแล อย่างไรก็ไม่เหมือนกับลูกหลานของตัวเองดูแล

เราจะเห็นว่าการสึกหลวงตาเมื่อครู่นี้ จะมีพิธีกรรม ๒ อย่างที่ลืมไม่ได้เลย อย่างแรกคือการแสดงคืนอาบัติ เท่ากับเป็นการชำระศีลของตนเองให้บริสุทธิ์ก่อน จะได้สึกในสภาพภิกษุที่มีศีลสมบูรณ์พร้อม ข้อที่ ๒ ก็คือการขอขมาพระ การอยู่ร่วมกันในคณะสงฆ์อาจมีการกระทบกระทั่งกันด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจบ้าง ก็ให้ขอขมากันก่อน อาตมาเป็นตัวแทนสงฆ์ เดี๋ยวกลับไปจะต้องแจ้งให้คณะสงฆ์ทราบ

เวลาที่พระสึก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้อธิษฐานว่า บุญเนกขัมมบารมีที่เราสร้างมาทั้งหมดในการบวชครั้งนี้ เราตั้งความปรารถนาอะไรก็ให้ขออย่างเดียว ถ้าหากว่าเป็นอาจารย์สมัยโบราณ อย่างหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ลูกศิษย์ไปขอสึก ท่านถามว่า “จะเอาเมียหรือจะขโมยควาย ?” ถ้าอยากได้เมีย ท่านเป่าหัวให้ สึกออกไปได้เมียแน่ ถ้าหากว่าอยากเป็นโจรขโมยควาย ท่านจะแถมเชือกให้ขดหนึ่ง ลูกศิษย์ก็นักเลงพอนะ บางคนจะไปเป็นโจรขโมยควายจริง ๆ เพราะมั่นใจว่าหาเมียเองได้ ไม่ต้องพึ่งหลวงพ่อหรอก ไปขโมยควายดีกว่า..!"

เถรี
03-07-2012, 14:03
มีคนเอาหนังสือหลวงปู่จันทามาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "หลวงปู่จันทาไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ท่านอยากบวชมาก ท่านจึงใช้การต่อหนังสือ คำว่า "ต่อหนังสือ" ก็คือ ให้คนอื่นเขาบอกคำขานนาค แล้วท่านก็จำเอาทีละประโยค ๆ ใช้เวลา ๘ เดือนถึงได้บวช ถ้าเป็นคนสมัยนี้อยู่วัด ๘ วันก็จะบ้าตายแล้ว แต่ท่านตั้งใจบวชจริง ๆ พยายามต่อหนังสืออยู่ ๘ เดือน กว่าจะท่องคำขานนาคได้ครบ

ถ้าหากว่าเรียนดนตรี เขาใช้คำว่า "ต่อเพลง" ครูเพลงจะเล่นเพลงให้ฟังครั้งหนึ่ง แล้วลูกศิษย์ก็จำ แล้วก็เล่นตาม ต่อเพลงกันไปเรื่อยจนกว่าจะครบทั้งเพลง"

เถรี
04-07-2012, 20:42
พระอาจารย์พูดถึงการขนแบบหล่อพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกว่า "ใครมีรถพ่วงให้เช่าสัก ๒ คันไหม ? วิ่งจากทองผาภูมิไปจังหวัดศรีสะเกษ ขนแบบพระไปให้วัดโนนผึ้งเขาหน่อย นี่เป็นมารยาทในการสร้างพระรุ่นนี้ คือใครที่สร้างพระรุ่นนี้เสร็จแล้ว จะต้องออกค่าขนส่งแบบไปให้วัดต่อไป พอวัดนั้นสร้างเสร็จก็ต้องออกค่าขนส่งไปให้วัดอื่นต่อไปอีก

ทั้งแบบพระและเครื่องไม้เครื่องมือรวมนั่งร้าน เต็ม ๒ คันรถพ่วง ก็คือ ๔ คันรถสิบล้อ ตอนนี้กำลังถามร้านขายวัสดุก่อสร้างอยู่ว่า จะสละเวลาให้สัก ๒ วันได้ไหม ? จะขอเช่ารถหน่อย

ช่างทำพระชุดนี้เขาเป็นมืออาชีพจริง ๆ กินนอนอยู่หน้างานเลย ทางวัดของเราต้องให้แม่ชีทำอาหารไปส่ง เฉพาะพระที่มาช่วยสร้างก็ ๒๐ รูป แล้วเขาก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่กับขบวนนี้ รับสร้างพระทั่วประเทศ ตอนนี้สร้างไป ๒๐ องค์แล้ว ความจริงคิวของวัดท่าขนุนเป็นอีก ๒ ปีข้างหน้า แต่ธรรมะจัดสรร วัดทางด้านอุดรธานีเขาไม่พร้อม แต่คิวลงตัวแล้ว ถ้าไปแทรกคิวลัดให้วัดอื่น ก็เกรงว่าวัดอื่นจะรับไม่ทัน แต่วัดท่าขนุนไม่เกี่ยง เตรียมตัวทันอยู่แล้ว คุณลัดให้ผมเร็วขึ้นได้เท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น

วันแรกก็ขลุกขลักนิดหน่อย เพราะเขานัดว่าจะมาถึงวันที่ ๒๖ ปรากฏว่ามาวันเป่ายันต์เกราะเพชรพอดีเลย เมื่อเป็นวันเป่ายันต์ฯ งานจึงเต็มไม้เต็มมือ หาคนไปขนแบบพระลงได้ยาก ยังโชคดีที่โยมและพระจำนวนหนึ่งออกไปช่วย เขาบอกว่าไม่นึกว่าคนจะมากขนาดนั้น คิดว่าลงแบบกันเป็นวัน เพราะของ ๔ คันรถสิบล้อ ปรากฏว่าพวกเราไปมะรุมมะตุ้มช่วยกัน แค่ประมาณ ๒ ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว"

เถรี
04-07-2012, 21:27
ถาม : จากที่หนูมีอารมณ์โดนกระทบ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เป็นเรื่องคนอื่นที่เราเห็นอยู่ในเหตุการณ์แล้วกระทบใจเรา ทำให้อารมณ์เกิดขึ้นในขณะนั้นคือปีติร้องไห้ แล้วเราก็เห็นว่า ที่เราเห็นนั้นไม่ได้เป็นคน เราเห็นเป็นดวงจิตซึ่งมีความทุกข์ แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่า เราไม่อยากเกิดให้มีทุกข์อย่างนี้อีก ?
ตอบ : ก็ถูกแล้วนี่จ๊ะ หลักการปฏิบัติท้ายสุดต้องโอปนยิโก น้อมเข้ามาที่ตัวของเรา เห็นเขาทุกข์ก็รู้ว่าเราก็ทุกข์ด้วย แล้วเราต้องการความทุกข์เช่นนั้นไหม ? ถ้าไม่ต้องการความทุกข์เช่นนั้น มีทางเดียวก็คือ ต้องไม่เกิดอีก การที่เราจะไม่เกิดได้ก็คือต้องลุ้นไปพระนิพพานให้ได้

พอความรู้สึกอย่างนั้นเกิดขึ้น เรารู้ว่าเรามีช่องทางที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ปีติจึงเกิด บางทีนั่งร้องไห้เป็นวัน ใครพูดถึงความดีอะไรไม่ได้ ได้ยินเมื่อไรน้ำตาร่วงหมด ถือว่าเป็นเรื่องปกติจ้ะ ปล่อยให้ปีติขึ้นเต็มที่เดี๋ยวก็จะเลิกไปเลย แต่ถ้าเราไปห้ามเอาไว้ ถึงเวลาก็มาอีก ไม่เลิกสักที ปีติต้องปล่อยเต็มที่ ถ้าเป็นอุเพ็งคาปีติก็ปล่อยดิ้นตึงตังโครมคราม หกคะเมนตีลังกาไปเลย เต็มที่เมื่อไรถึงจะเลิก ถ้าเราไปห้ามไว้ก็จะหยุดทันที แต่ถ้าหากว่ากำลังใจกระทบจุดนั้นเมื่อไรก็จะมาอีก เพราะฉะนั้น..เรื่องของปีติอย่าไปห้าม ปล่อยให้เต็มที่จนเลิกไปเอง ก้าวข้ามได้สมาธิก็จะทรงตัวเป็นฌานไปเลย

ถาม : พอใคร่ครวญในสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์เกี่ยวกับโพชฌงค์ ๗ ในขณะที่พิจารณาไตร่ตรอง ขณะนั้นดำเนินตามโพชฌงค์ด้วยไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น เพียงแต่เรารู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น

ถาม : ในขณะตอนนั้นรู้ค่ะ แต่ว่าหลังกลับมาแล้วคิดทบทวนแล้ว...
ตอบ : องค์ของโพชฌงค์ทั้งหมดจะอยู่กับนักปฏิบัติ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเรารู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้นเองว่าเราทรงในโพชฌงค์อยู่ เพราะถ้าไม่มีโพชฌงค์ เรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลไม่ต้องไปคิดเลย แต่คราวนี้เราอย่าไปเสียเวลาไปคิดว่าอันนี้เป็นโพชฌงค์หรือไม่ มีหน้าที่ทำอย่างเดียวพอ

ถาม : ไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะไปอย่างไรหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ พยายามรักษาอารมณ์ใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ทุกข์จะเหลือน้อยแค่สภาวทุกข์ทางร่างกายเฉย ๆ กำลังใจเราจดจ่ออยู่กับพระนิพพานเท่านั้น กาย วาจา ใจของเราทุกอย่างเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ก็คือ จะไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น ไม่ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจของเรา

อย่างน้อยเราต้องมีศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ทรงตัว มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่าถ้าตายลงไปตอนนี้เราก็ขอไปพระนิพพาน ถ้ารักษากำลังใจไว้แค่นี้ได้ โพชฌงค์ ๗ ข้อ อยู่กับเราครบถ้วน

ถาม : ขอความเมตตาท่านแนะนำว่า ตอนนี้ลูกมีอะไรที่ต้องทำอีกบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอะไร กลับไปก็ปล่อยปีติให้เต็มที่ไปสักทีหนึ่ง ขอร้องไห้หนัก ๆ สักวันหนึ่ง พอก้าวข้ามไปคราวนี้สมาธิจะทรงตัว พอสมาธิเริ่มทรงตัว โอกาสที่เราจะสู้กับกิเลสก็มีมากขึ้น ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวกำลังของเราก็ยังสู้กิเลสไม่ได้

ถาม : แต่จริง ๆ ค่ะ หลังจากนั้น ๔-๕ วันได้ พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไร ก็จะเป็นแบบนี้ขึ้นมาทุกทีเลย
ตอบ : จ้ะ..ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้นตลอด พอก้าวพ้นไปแล้ว ใจเราก็จะแน่วแน่มั่นคงในพระนิพพาน ไม่ไปไหนแล้ว ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว

เถรี
04-07-2012, 21:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงงานเสาร์ห้าที่ผ่านมา มีญาติโยมหลายท่านขออนุญาตนำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี อาตมาก็เข้าใจว่าเขาสร้างวัตถุมงคลมาแล้วเอาไปเข้าพิธี เพิ่งจะรู้ว่าเขาทำวัตถุมงคลในชื่อวัดท่าขนุน ซึ่งจะสร้างปัญหาให้วัดท่าขนุนทีหลังทุกครั้ง เพราะว่าพอเขาเห็นกล่องเขียนว่าวัดท่าขนุน ต่อไปเขาจะไปตามหาที่วัด ซึ่งอาตมาไม่มีให้ และโดนโยมเขาประท้วงมาตลอด เขาต้องการวัตถุมงคลรุ่นนั้นแล้วทำไมวัดบอกว่าไม่มี พอบอกว่าทางวัดไม่ได้สร้าง เขาก็ควักออกมาให้ดู กล่องเขียนไว้ชัด ๆ ว่าวัดท่าขนุน พุทธาภิเษกวันนั้นเวลานั้น

ดังนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าใครขออนุญาตนำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี ห้ามใช้ชื่อวัดท่าขนุน เพราะทำให้ทางวัดลำบากมาหลายต่อหลายงานแล้ว

ถ้าไปเจอวัดที่โหด ๆ หน่อย เขาฟ้องข้อหาหลอกลวงไปเลย เพราะทางวัดไม่ได้สร้าง แค่เอาไปร่วมเข้าพิธีเท่านั้น ให้บอกกับเขาไปชัด ๆ เลยว่าเราสร้าง แล้วไปขอเข้าพิธีที่วัดก็จบแล้ว ไม่ต้องไปใช้ชื่อวัดให้เสียเวลาหรอก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครจะสร้างวัตถุมงคล ห้ามสร้างในชื่อวัดท่าขนุนอย่างเด็ดขาด แม้กระทั่งทุกครั้งที่ผ่านมา อาตมาก็ไม่ได้อนุญาต อาตมาอนุญาตแค่ให้นำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี แต่เขาไปจัดการสร้างในชื่อวัดท่าขนุนเสร็จสรรพเลย"

เถรี
04-07-2012, 22:35
พระอาจารย์เล่าเรื่องความฝันให้ฟังว่า "เมื่อคืนอาตมาทำหนังสือดึกไปหน่อย หลับไปแล้วนิมิตเห็นงู ตัวใหญ่กว่าเสาเรือนอีก ขำที่สุดก็คือ งูกำลังไล่กินคนกินสัตว์คนนั้นตัวนี้อยู่ พอมาถึงอาตมาก็จะกิน พอดีอาตมาเห็นที่หลบลักษณะเหมือนกับท่อน้ำซีเมนต์ ก็เลยเข้าไปอยู่ข้างใน พองูฉกมาก็มุดเข้าไปอยู่ข้างใน พองูถอยไปก็โผล่ออกมาดู สรุปแล้วงูกินไม่ได้ เป็นอะไรที่สนุกมาก เวลาเราไม่กลัวนี่สนุกดี..!

ปกติถ้าเจองูตัวใหญ่ขนาดนั้นก็จะกลัว แต่นี่ในฝันยังไม่กลัว แสดงว่ากำลังใจจริง ๆ จะต้องมั่นคงพอ ความฝันเป็นเครื่องวัดกำลังใจปัจจุบันของเราได้ดี ถ้าหากในฝันเรามีโอกาสละเมิดศีลละเมิดธรรม แล้วเราประคับประคองไม่ไปละเมิดศีลธรรมได้ แปลว่ากำลังใจเราอยู่ในด้านดีกว่า ถ้าหากว่าเจอในสิ่งที่น่ากลัว สามารถนึกถึงพระ นึกถึงความดีได้ ก็แปลว่ากำลังใจเราอยู่ในด้านดีมากกว่า เพราะฉะนั้น..อาตมาไม่ได้เอาความฝันมาเป็นอารมณ์ นอกจากเอามาวัดกำลังใจในการปฏิบัติ

ในฝันหรือว่าในชีวิตจริงส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ก็คือไม่ได้เป็นเรื่องที่อาตมาหามาหรอก ในฝันสังเกตว่าบ่อน้ำใหญ่บ่อนั้น มีแต่รอยเดินลง ไม่มีรอยเดินขึ้น แล้วรอยที่กว้างเป็นเรือชะล่า มีแต่รอยลงไปอย่างเดียว อาตมาก็เตือนคนอื่นว่าอย่าลงไป พวกนั้นก็ดื้อ หิวน้ำ..จะลงไปกินให้ได้ พอวักน้ำเท่านั้นเอง งูโผล่พรวดขึ้นมา คราวนี้ก็ตัวใครตัวมันเถอะ เราได้เตือนคุณแล้ว ห้ามแล้วยังดื้ออีกก็สมควรโดน..!"

เถรี
04-07-2012, 23:01
"ในชีวิตอาตมา เจองูสัมผัสใกล้ชิดชนิดที่มารัดตัวเองเลย ความรู้สึกบอกว่าตัวใหญ่ประมาณกระติกน้ำ กระติกน้ำธุดงค์ของอาตมาเป็นกระติกขนาด ๒ ลิตรครึ่ง เพราะฉะนั้นจะใหญ่หน่อย แต่ปรากฏว่าตอนหลังพระท่านมาบอกว่า งูตัวนี้ใหญ่กว่าถังสังฆทานอีก..!

เหตุที่อาตมาไม่รู้ว่าตัวใหญ่แค่ไหน เพราะเขามาตอนดึก ๕ ทุ่มกว่า เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว มืดมาก..อาตมาตื่นขึ้นมาก็ไปปัสสาวะที่นอกถ้ำแล้วกลับมาที่กุฏิ พวกกะเหรี่ยงเขาสร้างกุฏิเล็ก ๆ ให้อาศัยอยู่ กางกลดออกมาก็เต็มกุฏิพอดี กว้างไม่น่าจะเกิน ๑.๘๐ เมตร พออาตมาเข้ามาที่กุฏิ ความรู้สึกบอกว่า 'ปิดประตูเสีย งูใหญ่จะมา' บอกชัด ๆ เหมือนคนพูดข้างหูเลย แหม..กำลังภาวนาเพลิน ๆ ขี้เกียจขยับ ก็เลยไม่สนใจ ปล่อยไป

สักพักเดียวเท่านั้นเอง งูยื่นหัวเข้ามาทางประตู ดันมุ้งกลดยวบยาบ ๆ อาตมานอนอยู่ เขาก็เลยวนรอบ รอบที่ ๑ รอบที่ ๒ ลองคิดดูว่างูตัวยาวแค่ไหน ? อาตมาสูง ๑๗๒ เซนติเมตร นี่งูวน ๒ รอบแล้วความยาวยังไม่หมดเลย พอรอบที่ ๒ เสร็จงูก็ยกหัวขึ้นมาแบบหายใจรดหน้า รู้สึกเลยว่าลิ้นงูเฉียดไปเฉียดมาอยู่ใกล้ ๆ หน้า ถ้าไม่มีกลดก็คงถูกงูเลียหน้าเล่นไปแล้ว

อาตมาก็ได้แต่บอกในใจว่า ไม่อร่อยหรอก อย่ากินเลย ถามว่ากลัวไหม ? ก็ไม่กลัวนะ..แต่อาตมานอนตัวแข็งทื่อกระดิกไม่ได้..(หัวเราะ)..นี่เรื่องเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ครั้งนั้นโชคดี เพราะใคร ๆ ก็บอกว่าถ้าตกใจลุกขึ้นโดนรัดแน่ แต่อาตมานอนอยู่งูจึงรัดไม่ได้ ได้แต่แลบลิ้นเลีย ๆ พอเห็นว่าไม่กระดิกกระเดี้ยก็อาจจะคิดว่าตายแล้ว เลยไม่สนใจ คลายออกแล้วก็เลื้อยออกหน้าถ้ำ ไปส่งเสียงร้องอยู่หน้าถ้ำ

เสียงงูร้องนี่บอกไม่ถูก สะเทือนไปถึงแก้วหูไม่พอ ยังสะเทือนไปถึงในอกด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าตัวใหญ่ ใครเคยได้ยินเสียงงูร้องบ้าง ฟังครั้งเดียวจะจำได้ตลอดชีวิตเลย บางคนเรียกงูเห่าปี่แก้ว เสียงร้องวี้ด ๆ ยาวเชียว บางคนก็คิดว่าเป็นตัวแมลงอะไรร้อง พอหาดูไปเจองูร้องอยู่บนกิ่งไม้ แต่เจ้าตัวนี้ใหญ่จัด เสียงจึงดังสนั่นสะเทือนเข้าไปในอกเลย"

เถรี
04-07-2012, 23:17
"คราวนี้ไปเล่าให้พระที่เจอกันตอนธุดงค์ฟัง บอกว่างูตัวประมาณกระติกน้ำธุดงค์ของอาตมา พระมอญชื่อจันทิมา ท่านบอกว่า “ไม่ใช่ครับอาจารย์ ถังสังฆทานดี ๆ นี่เอง” อาตมาถามว่า "คุณเคยเจอหรือ ?" “เจอครับ..นอนขวางทางอยู่ สงสัยไปหากินมาอิ่มแล้วก็เลยนอนหลับ ผมเดินตามเกล็ดไปตั้งไกลกว่าจะพ้นปลายหางได้”

"แล้วทำไมไม่ก้าวข้ามเลย ?" “ใหญ่มากครับ กลัวว่าก้าวข้ามไม่พ้นแล้วไปสะดุดเข้า ผมคงตายคาที่ตรงนั้นแหละ..!” "ทำไมต้องเดินตามเกล็ดด้วย ?" “เดินย้อนเกล็ดก็เจอหัวงูสิครับ” เขาเก่งกว่า ถ้าเป็นอาตมาคิดไม่ถึงหรอก เดินส่งเดชไปเรื่อยแหละ เขายังมีสติว่าต้องเดินตามเกล็ดจึงจะไปทางหาง ถ้าเดินย้อนเกล็ดจะไปทางหัว สรุปแล้วอาตมามีพระจันทิมาเป็นพยานว่า งูใหญ่ขนาดนั้นมีจริง ๆ ใหญ่ขนาดที่พระไม่กล้าก้าวข้าม กลัวจะไปสะดุดเข้า

เรื่องของการฝันถึงงู ตำราทำนายฝันบางทีท่านตีความว่า เป็นกิเลสหรือความชั่วในใจของเราเอง ตำรานี้น่าจะมาจากฝรั่ง ที่เขาสรุปว่างูก็คือตัวชั่วร้ายที่มายุให้อดัมกับอีฟเข้าไปกินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนเข้าไป แล้วก็เลยทำให้มนุษย์มีแต่ความทุกข์"

เถรี
05-07-2012, 11:45
"ถ้าเราดูในอัคคัญญสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะ เกี่ยวกับกำเนิดของโลก อย่าลืมว่าแม้แต่อาภัสราพรหม ซึ่งเป็นพรหมชั้นที่ ๖ เวลาได้กลิ่นง้วนดินที่หอมมาก ยังทนไม่ไหว ต้องลงมาลองชิมดู ขนาดอาภัสราพรหมกิเลสยังหลอกให้กิน จนกระทั่งเหาะกลับไม่ได้ เพราะกินของหยาบเข้าไป กายทิพย์ก็เลยหยาบขึ้น พอน้ำหนักมากเหาะไม่ขึ้น ก็เลยกลายเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ไป

เพราะฉะนั้น..เรื่องอดัมกับอีฟ ที่ว่าโดนหลอกให้กินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนก็ลักษณะเดียวกัน บุคคลที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ที่มากระตุ้นเร้า ทำให้ทำผิดพลาด ก็เลยกลายเป็นว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ทางฝ่ายคริสต์ก็กินแอปเปิ้ลเข้าไป บรรพบุรุษมนุษย์ทางฝ่ายพุทธของเราก็กินง้วนดินเข้าไป

เราสามารถที่จะคืนสู่สภาพเดิมได้ก็ด้วยการฝึกจิต เพราะสภาพร่างกายเป็นวัตถุธาตุที่ยืมโลกมาใช้ คือ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ในเมื่อยืมสมบัติของโลกมาใช้ สภาพของร่างกายจึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตนได้ วิธีจะหลุดพ้นมีทางเดียวก็คือต้องไปด้วยจิต ในเมื่อไปด้วยจิต วิธีการเน้นฝึกจิตของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็สอนแล้ว รักษาศีลให้บริสุทธิ์ รักษาศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ไม่พอ ห้ามยุคนอื่นเขาละเมิด แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาละเมิดศีลด้วย แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติในสมาธิภาวนา ตั้งเป้าหมายแน่วแน่อยู่ว่า ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน

ปฏิบัติสมาธิภาวนาก็ปฏิบัติอย่างคนปฏิบัติเป็น ก็คือรักษาอารมณ์ใจให้รู้อยู่กับปัจจุบัน ถ้ารู้อยู่ในปัจจุบัน จิตไม่ฟุ้งไปในอดีต ไม่ฟุ้งไปในอนาคต ความทุกข์จะมีน้อยมาก สติจะรู้เท่าทันอยู่เฉพาะหน้า กิเลสรัก โลภ โกรธ หลงจะเข้ามากินเราไม่ได้ อันนั้นเป็นขั้นต้น แล้วหลังจากนั้นพอปัญญามากขึ้น เราก็เอาไปใช้ในการหาช่องทาง ว่าจะละรัก โลภ โกรธ หลงอย่างไร"

เถรี
05-07-2012, 12:04
ถาม : ตอนภาวนาแล้วรู้สึกว่าเจ็บตรงกลางหน้าผากค่ะ พอเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่าถอยดีกว่า แต่ความจริงแล้วไม่ควรถอยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เพราะเราไปวางกำลังใจอยู่จุดเดียว ต้องบอกว่าตรงส่วนนั้นเป็นจักระ คือแหล่งพลังงานอย่างหนึ่ง ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ ไฟฟ้าในร่างกายคน ไฟฟ้าจากสมอง ไฟฟ้าจากส่วนอื่นของร่างกาย ไปรวมศูนย์อยู่ตรงจุดนั้น จะเกิดพลังไฟฟ้าสถิตมากขึ้น ๆ ถ้าหากว่ารู้สึกจะไม่ไหว ยกมือขยี้ ๆ หน่อยก็ได้ ถ้ามีถ่านไฟฉายอยู่ เอาก้นถ่านไฟฉายแปะหน้าผากทีเดียวก็หายแล้ว ไฟฟ้าจะไปอยู่ในถ่านไฟฉายแทน

ถาม : แต่ถ้าเราฝืนต่อไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นเหมือนกันนะ เพราะจะเครียด แล้วก็ปวดหัว

ถาม : ตอนภาวนาแล้วหลุดออกไป จะไปท่านอนทุกทีเลยค่ะ พยายามให้ไปท่านั่งแต่ไม่ยอมไป ?
ตอบ : เคยชินอย่างไรจะไปอย่างนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงต้องพิงตุ่มถึงไปได้ เพราะฉะนั้น..เรานอนไปสบายกว่า นั่งไปบางทีก็ไม่สบายเหมือนนอนหรอก เราก็นอนต่อไปเถอะ ถ้าเกิดไปสัก ๕-๖ ชั่วโมง อย่างน้อย ๆ ร่างกายก็ไม่ลำบากมาก

เถรี
05-07-2012, 12:23
ถาม : บังเอิญได้ยินคนอื่นเขาว่า ยันต์เกราะเพชรถ้ารับไปจะค้าขายไม่ดี กลัวจะโดนบังหมดค่ะ ?
ตอบ : คนละเรื่องเดียวกันเลย ยันต์เกราะเพชรเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ท่านมีพระนามหนึ่งว่าภะคะวา เป็นผู้มีโชคอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น..ถ้าอาราธนาเป็นจะค้าขายดีเสียด้วยซ้ำไป

สมัยก่อนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงจะได้พระคาถาเงินล้านมา คาถามหาลาภของหลวงพ่อคืออิติปิ โสฯ ก็คือบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าเวลาออกบิณฑบาตนี่ไหลมาเทมา กำลังใจของเรา..ถ้าคิดจะให้ไปด้านไหนก็จะเป็นไปด้านนั้น คราวนี้ท่านคิดจะให้ไปด้านลาภผลก็เป็นลาภผลเต็มที่ เพราะกำลังใจทรงตัว เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปกังวลนะจ๊ะ ถ้าอาราธนาเป็นจะรวยด้วย

เขาว่ายันต์เกราะเพชรถ้ารับไปเดี๋ยวค้าขายไม่ดี กลัวจะโดนบังหมด เราก็อธิษฐานขอให้บังส่วนที่ไม่ดี แล้วก็เลือกรับแต่ส่วนที่ดี ๆ สิ แสดงว่าคนพูดนั่นยังใช้งานไม่เป็น..!

เถรี
05-07-2012, 12:28
ถาม : ตอนพิธีพุทธาภิเษก เอาของไปเข้าพิธีที่เขาจัดไว้ให้ แต่ตอนเป่ายันต์เกราะเพชรเราเอาออกมาไว้ที่ตัวก่อน ไม่ทราบว่าของเราจะได้รับการเสกด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในพิธีพุทธาภิเษกนี่เขาบังคับให้นะ ปกติเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลไปในตัวอยู่แล้ว บารมีที่พระท่านคลุมลงมา ถ้าตั้งใจรับอยู่คนละจักรวาลยังได้เลย

เถรี
05-07-2012, 12:34
ถาม : เอาพระปิดตาองค์ละ ๕,๐๐๐ บาท ไปเลี่ยมกรอบที่ร้าน ทันทีที่วางมีคนอื่นคว้าไปดูเลยค่ะ ?!!
ตอบ : นั่งเฝ้าดีที่สุด อาตมาเอาสมเด็จคำข้าวรุ่นพิเศษที่บรรจุพระธาตุของวัดท่าซุงไปเลี่ยม กลับมาพระธาตุ ๕ องค์เหลือ ๓ องค์ หายไป ๒ องค์ คิดดูแล้วกัน เผลอหน่อยเดียวแอบสะกิดเอาไปดื้อ ๆ

ถาม : ถ้าไม่ได้เข้ากรอบแต่ยังอยู่ในถุง พระสีจะเปลี่ยนไหมคะ ?
ตอบ : จะอยู่ได้ระยะหนึ่ง อย่างเนื้อเงินอยู่ได้เป็นปี เพราะเรามีการเคลือบด้วยไฟฟ้า เพื่อให้ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเนื้อเงินได้ช้า แต่เนื้อนวโลหะนี่จะช้าจะเร็วก็ต้องดำ เพราะส่วนผสมอย่างหนึ่งก็คือเงิน และเป็นส่วนผสมเกือบจะมากที่สุดด้วย ผสมเงินไป ๘ บาท ทอง ๙ บาท เพราะฉะนั้น..เงินมากก็ดำเร็ว ถ้าจะไม่ให้ดำมีอย่างเดียวก็ขัดให้ลื่นเลย แล้วรีบอัดเข้ากรอบพลาสติกกันน้ำไว้ ถ้าอากาศเข้าไม่ได้ ทำปฏิกิริยาไม่ได้ ก็ไม่ดำ

ถาม : ที่ว่าขัดให้ลื่นนี่ใช้อะไรขัดคะ ?
ตอบ : เอาผ้านุ่ม ๆ เช็ดแล้วจะเงาเหมือนเดิม แต่ต้องรีบไปใส่กรอบ ความจริงสภาพเดิม ๆ ดีที่สุด เพราะโดยค่านิยมของพวกเล่นพระเครื่องกัน เขาจะเอาสภาพเดิม ๆ ถ้าไปเปลี่ยนแปลงราคาจะตกฮวบเลย

เถรี
05-07-2012, 19:16
ถาม : ทำกรรมฐาน หนูรู้สึกว่า การกำหนดใจไว้ที่ฐาน.. (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ตรงไหนก็ได้ ไม่เอาสักฐานเลยก็ได้

ถาม : ถ้าเราเห็นแสงสว่าง ?
ตอบ : แสงสว่างเขาเรียกอุปกิเลส เป็นโอภาสในอุปกิเลส ถ้าเราไปสนใจอยู่ตรงนั้น การปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า คำว่าอุปปะ แปลว่าใกล้ เพราะฉะนั้น..อุปกิเลส คือ ใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเราไม่สนใจก็แค่ใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเราไปสนใจเมื่อไรจะเป็นกิเลสทันที

ถาม : คนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์นี่...
ตอบ : ทำให้ถึงเดี๋ยวรู้

ถาม : กำลังใจเป็นปรมัตถ์ ?
ตอบ : ถ้าขยันก็ใช้เวลาน้อย ถ้าขี้เกียจก็ใช้เวลามาก เป็นเรื่องปกติ

เถรี
05-07-2012, 19:25
ถาม : บทสวดธรรมจักร ในส่วนที่ท่านพูดถึงการพิจารณากิจในอริยสัจ ๔ พิจารณาอย่างไรครับ ? ขอความเมตตาช่วยอธิบายด้วยครับ ผมพยายามคิดตาม แต่คิดตามไม่ไปครับ
ตอบ : แล้วจะคิดไปทำซากอะไร ? การรู้ครบทุกเรื่อง เป็นเรื่องของคนที่จะไปเป็นครูเขา ในเมื่อเราไม่ได้เป็นครู รักจะเป็นนักเรียน รู้เรื่องทุกข์อย่างเดียวก็จบแล้ว ถ้าทุกข์แล้วยังไม่เข็ดอีกก็ไปเกิดเสียให้พอ

เรื่องของอริยสัจนั้นประกอบไปด้วย ทุกข์ ท่านบอกว่าทุกข์นั้นต้องใช้ปริญญา คือการกำหนดรู้ให้ชัดเจน จิตจะได้ยอมรับสภาพ สมุทัย คือสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ท่านบอกว่าต้องใช้ปหานะ ก็คือ ตัดให้ขาดออกจากใจของเราให้ได้ นิโรธ คือทุกข์ดับหมดนั้น ท่านบอกว่าต้องใช้สัจฉิกิริยายะ ก็คือการที่ทำให้แจ้ง หมายความว่าถ้าไม่แจ้งก็จะดับทุกข์ไม่ได้ มรรค ท่านบอกว่าให้ภาวนา คือทำให้เจริญเข้าไว้

เพราะฉะนั้น..เรื่องของอริยสัจแต่ละหัวข้อ การที่เราจะปฏิบัติได้ก็ต้องใช้คนละอย่าง คนละวิธี แล้วคุณไปใช้วิธีเดียวกันหมดก็ไปไม่รอดสิ..!

เถรี
06-07-2012, 11:29
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาเอก มีรุ่นพี่ปริญญาเอกรุ่นที่แล้วแต่ว่ายังเรียนไม่จบ มาสร้างความสนิทสนมและสนุกสนานกับรุ่นน้อง เขาบอกว่าให้พูดเลียนแบบสิ่งที่เขาพูด แต่ว่าให้พูดเฉพาะคำสุดท้าย อย่างเช่น เขาบอกว่า กรุงเทพฯ รถไม่ติด เราต้องพูดว่า “ติด” ถึงติดก็ไม่มาก “มาก” ถึงมากก็ไม่นาน “นาน” ถึงนานก็ไม่ท้อ “ท้อ” ถึงท้อก็ไม่ถอย “ถอย” สรุปแล้วค้านทุกเรื่อง รุ่นน้องกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านไปเลย

ต้องบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นพรสวรรค์ของเขา เรื่องธรรมดา ๆ ก็เอามาทำให้สนุกได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงต้องมีเอตทัคคะ คือบุคคลที่เป็นยอดในทางใดทางหนึ่งที่พระองค์ทรงตั้งไว้ มีบางท่านได้เอตทัคคะเกินกว่า ๑ ตำแหน่ง อย่างเช่น พระสุภูติเถระ เป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศกว่าบุคคลอื่นในการอยู่อรณวิหาร ก็คืออยู่โดยปราศจากกิเลส และในด้านทักขิไณยบุคคล ถ้าเข้านิโรธสมาบัติตลอดก็ต้องเป็นทักขิไณยบุคคล บุคคลที่สมควรแก่ของที่เขามาถวาย ท่านได้เอตทัตคคะ ๒ อย่าง

พระอานนท์ได้เอตทัตคคะ ๕ อย่าง เช่น เป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นทางด้านเป็นผู้มีสติ คือกำหนดจดจำได้มาก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์พระอานนท์จำได้หมด และเป็นผู้มีคติ ก็คือรู้ที่มารู้ที่ไป ที่เหมาะที่สมทุกอย่าง บุคคลที่มามาจากที่ไหน ใกล้หรือไกลเพียงไร ควรพาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเมื่อไร สุดยอดเลขานุการเลย เพราะฉะนั้น..ใครทำหน้าที่เลขานุการ บริการเจ้านายอยู่ ให้บูชาพระอานนท์เยอะ ๆ ขอบารมีท่านช่วยสงเคราะห์"

เถรี
06-07-2012, 11:53
"พระอานนท์ทำหน้าที่ไม่เคยพลาด แต่พอพลาดทีเดียวพระอานนท์ร้องไห้เลย เป็นเพราะกรรมบังหรือมารมาดลใจ พระพุทธเจ้าทรงแสดงนิมิตให้ทราบว่าพระองค์ใกล้จะปรินิพพานแล้ว ถ้าพระอานนท์ทูลขอไว้ พระองค์ท่านจะห้ามแค่ ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ จะรับอาราธนาอยู่ถึง ๑ กัป แต่ช่วงนั้นพระอานนท์โดนเรื่องของกรรมบังหรือมารดลใจ ฟังผ่านหูไปเฉย ๆ ๑๖ ครั้ง

ในเมื่อเป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงปลงอายุสังขาร ตัดสินใจแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง พอตัดสินใจแล้วแผ่นดินไหว พระอานนท์สงสัยเลยมาถาม พระพุทธเจ้าตรัสเหตุแห่งการเกิดแผ่นดินไหว ๘ ประการให้ทราบ มีประการหนึ่งก็คือ เมื่อตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร พระอานนท์จึงทราบว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว

สาเหตุแผ่นดินไหว ๘ ประการมี ๑. ลมกำเริบ ในปัจจุบันแผ่นดินไหวคือลมกำเริบ พอความร้อนใต้ดินมากเข้า ๆ โดนอัดหนักขึ้น ๆ ความร้อนถูกอัดอยู่ในที่แคบ ไปไหนไม่ได้ เดือดอยู่ตลอด ก็เหมือนกับน้ำเดือดที่พยายามดันฝาหม้อหรือฝากาให้เคลื่อนที่ โลกเราก็เหมือนกัน กำลังความร้อนสะสมมากเข้า ดันแผ่นพื้นโลกที่ฝรั่งเรียกว่า Plate ให้เคลื่อนที่ คนไทยบอกว่าปลาอานนท์พลิกตัว พลิกแรงไปหน่อยจึงแผ่นดินไหว อันนี้คือลมกำเริบ

๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล ท่านที่ชำนาญในกสิณ ๑๐ เจริญปฐวีกสิณแต่น้อย เจริญอาโปกสิณให้มาก จะทำให้แผ่นดินไหวได้ แบบเดียวกับพระอุปคุตเถระ พระเจ้าอโศกมหาราชนิมนต์พระอุปคุตเถระมา ป้องกันไม่ให้มารมารบกวนงานของพระองค์ท่าน เพราะว่าท่านสร้างเจดีย์ ๔๘,๐๐๐ องค์ ทั่วชมพูทวีปแล้วจัดงานฉลอง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

พระอุปคุตบอกว่าจะบันดาลให้แผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชไม่เชื่อว่าทำได้ ถ้าเกิดว่าแผ่นดินไหวช่วงนี้ อาจเป็นเพราะแผ่นดินไหวเองก็ได้ พระอุปคุตก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเอาขันล้างหน้ามา ใส่น้ำลงไปเกือบเต็มขันแล้วตั้งเอาไว้ ท่านจะบันดาลให้แผ่นดินไหวโดยน้ำสะเทือนแค่ครึ่งขัน อีกซีกหนึ่งจะให้นิ่งเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นแผ่นดินไหวตามธรรมชาติ น้ำจะต้องไหวทั้งขัน แล้วท่านก็ทดสอบให้ดู"

เถรี
06-07-2012, 12:33
"๓. พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์ ความหมาย คือ พระโพธิสัตว์ที่เป็นชาติสุดท้ายจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าลงท้องแม่เมื่อไรแผ่นดินจะไหว ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ แต่แผ่นดินไหวของท่านเกิดด้วยบุญญาบารมี จะไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป

๕. พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันตรัสรู้ก็จะเกิดแผ่นดินไหว ๖. พระตถาคตเจ้าแสดงปฐมเทศนา ตอนนี้ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ๗. พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร ตัดสินใจว่าจะไปพระนิพพานเมื่อไรแผ่นดินจะไหว ๘. พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน แผ่นดินก็จะไหว

เราจะเห็นว่าในเรื่องของสาเหตุแผ่นดินไหว ๘ ประการนั้น มีอยู่ ๖ ประการที่เกี่ยวเนื่องกับพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนลมกำเริบและผู้มีฤทธิ์บันดาลอาจจะเป็นใครก็ได้ หรือเป็นธรรมชาติเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้

พระท่านเรียนเรื่องสาเหตุแผ่นดินไหวตั้งแต่นักธรรมตรีแล้ว แผ่นดินไหว ๖ ประการหลังส่วนใหญ่เป็นเพราะพรหมเทวดาท่านสาธุพร้อม ๆ กัน ทำให้แผ่นดินสะเทือน บาลีในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ท่านใช้คำว่า สังกัมปิ สัมปะกัมปิ พลิกไปพลิกมาเลย หวั่นไหวขนาดนั้น อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ แสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้บังเกิดขึ้นในโลก อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ หมื่นโลกธาตุก็สั่นไหว

ทะสะคือสิบ สะหัสสะคือพัน สิบพันก็คือหมื่นโลกธาตุ ไม่ได้ไหวแค่ของเรานะ แปลว่าดวงดาวอื่นอีก ๙,๙๙๙ ดวง ไหวไปพร้อมกับของเราด้วย เรื่องอย่างนี้วิทยาศาสตร์ยังตามไม่ทัน ตามทันเมื่อไรแล้วจะสนุกสนานกว่านี้อีกเยอะ"

เถรี
06-07-2012, 12:48
ถาม : ของอะไรที่สามารถบรรจุในองค์พระได้ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ ขอให้เป็นของมีราคา เป็นของที่สมควรแก่การบรรจุเอาไว้ ความจริงพระพุทธรูปเขาจัดเป็นเจดีย์อย่างหนึ่ง ก็คือ อุเทสิกเจดีย์ เจดีย์ซึ่งยังความระลึกถึงพระรัตนตรัย

เจดีย์ในพระพุทธศาสนามี ๔ อย่าง คือ พระธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุ ธรรมเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุคัมภีร์พระธรรม บริโภคเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุเครื่องใช้ไม้สอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพวกบาตร จีวร สังฆาฏิ ประคดเอว อุเทสิกเจดีย์ เจดีย์เพื่อยังความระลึกถึงพระรัตนตรัย เราจะสร้างเป็นองค์เจดีย์ก็ได้ พระพุทธรูปของเรายังให้เกิดความระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยกลายเป็นอุเทสิกเจดีย์

คราวนี้สิ่งที่เราบรรจุถวายไปอาจจะเป็นบริโภคเจดีย์ก็ได้ แต่ถ้าบรรจุวัตถุมงคลก็เป็นอุเทสิกเจดีย์ ใครเอาคัมภีร์เทศน์ไปบรรจุเจดีย์องค์นั้นก็จะกลายเป็นธรรมเจดีย์ไปด้วย หรือไม่ก็ถ้าหากว่ามีบริขารของพระพุทธเจ้าไปบรรจุเลยยินดีรับ จะได้เป็นบริโภคเจดีย์ด้วย

เถรี
07-07-2012, 10:35
พระอาจารย์กล่าวถึงการสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกว่า "ฐานพระสมเด็จองค์ปฐมด้านบนจะเว้นช่วงไว้ ๒ ช่วง ชั้นล่างรอบด้าน ๑๐ เมตร เผื่อเอาไว้ว่าใครอยากจะเวียนเทียน เป็นพื้นที่โดยรอบก็คือ ๑๒๐ เมตร คาดว่าถ้าสร้างเสร็จแล้วคงมีการตามประทีปฉลองด้วย

องค์นี้ไม่ปิดทองเด็ดขาด ปิดไม่ไหว ขนาดสีทองอย่างเดียวยังจ่ายแทบหน้ามืดเลย ปัจจุบันนี้สีทองที่ดีที่สุด ทาแล้วองค์พระงามสว่างที่สุด ราคาลิตรละ ๔,๐๐๐ บาท ไม่ใช่แกลลอนนะ แต่เป็นลิตร ลิตรหนึ่งแค่ทาปลายพระเกตุมาลายังไม่ทั่วเลย

บางทีญาติโยมไม่รู้ว่างานแต่ละอย่างในช่วงที่ทำหมดเปลืองทรัพยากรไปขนาดไหน มักจะมาชื่นชมตอนเสร็จแล้ว “สาธุ” เอาไปเกลี้ยงเลย คนสร้างแทบตาย.!"

เถรี
07-07-2012, 10:44
"แบบเดียวกับพระขรรค์โสฬส วันนี้ช่างเขามาโอดครวญว่า เขาขาดทุน อาตมาก็บอกกับโยมว่า อาตมาก็ท่าจะขาดทุน เพราะเมื่อหล่อพระขรรค์มาแล้ว จำนวนพระขรรค์ที่เราเห็นอยู่ รวมแล้วเป็นน้ำหนักโลหะประมาณ ๒๕๐ กิโลกรัม ทว่าตั้งแต่ตอนหล่อใช้โลหะไป ๓,๐๐๐ กิโลกรัม..! ก็คือ ๓ ตัน ขนาดนั่นเป็นโลหะของเขาล้วน ๆ ยังไม่ได้นับชนวนของเรา พอถึงเวลายังมีโลหะอาถรรพ์ของเราใส่เพิ่มไปด้วย ฉะนั้น..ส่วนที่หมดไปมากก็คือส่วนที่เรียกว่าชนวน ต้องเจาะช่องเพื่อให้น้ำโลหะไหลผ่าน เพื่อเป็นการไล่อากาศไปในตัว เนื้อโลหะจะได้แทรกผ่านไปเต็มทั้งแบบ

โลหะนี่แปลกมาก สมมติว่าจำนวน ๑๐๐ กิโลกรัม พอหลอมเสร็จจะหายไปประมาณ ๑๐ กิโลกรัม พอหลอมครั้งที่ ๒ จะหายไปอีกประมาณ ๕ กิโลกรัม เนื้อโลหะจะสูญเสียไปในระหว่างหลอม จะกลายเป็นขี้โลหะ หรือไม่ก็ฟลักซ์(Flux) เพราะฉะนั้น..ถ้ากำหนดเนื้อโลหะตายตัวนี่เสร็จ ไม่พอทำแน่นอน ต้องกำหนดเกินไว้เสมอ ตอนแรกเขากะไว้ที่ ๑,๘๐๐ กิโลกรัม ปรากฏว่าจริง ๆ แล้วใช้ไป ๓,๐๐๐ กิโลกรัม ช่างเขามาคร่ำครวญว่า ”งานนี้คงต้องทำถวายแล้วครับ กำไรไม่เหลือเลย”

อาตมาก็บอกแล้วว่า ๘๔,๐๐๐ บาทที่ให้จอง ไป ๆ มา ๆ ตัวเองเหลือถึง ๘๔๐ บาทหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? โดยเฉพาะการชุบ ต้องชุบแล้วชุบอีก ถ้าชุบแล้วเสียก็แปลว่าหมดไป ๕,๐๐๐ บาทฟรี ๆ ต่อเล่ม เพราะฉะนั้น..งานนี้จะมีช่างมากต่อมากด้วยกันที่อยู่ในลักษณะว่าจำเป็นต้องทำถวาย"

เถรี
07-07-2012, 10:47
"อาตมาร่างหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชฯ ขอประทานอนุญาต ข้อที่ ๑ ขอสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๒๑ ศอก ถวายเป็นกุศลในวาระครบ ๑๐๐ ปีชาตกาล

ข้อที่ ๒ ขออนุญาตนำตราสัญลักษณ์พระนามย่อ ญสส. ประดับที่ฐานผ้าทิพย์ขององค์พระ

ข้อที่ ๓ ขออนุญาตสร้างพระไพรีพินาศ พร้อมตราสัญลักษณ์พระนามย่อ ญสส. จำนวน ๑๐,๐๐๐ องค์ เพื่อให้ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมบูชานำปัจจัยมาสร้างพระองค์ใหญ่"

เถรี
07-07-2012, 11:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธศาสนาของเราตั้งอยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาของประชาชนจริง ๆ อย่างมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งอาตมาเป็นทั้งนักศึกษาและเป็นทั้งอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น ที่มหาจุฬาฯ นี้ขยายห้องเรียนทั่วประเทศโดยใช้งบประมาณเพียงนิดเดียว

เวลาจัดงานประชุมวิสาขบูชาโลก เขาให้งบประมาณมา ๖๐,๐๐๐ บาท ค่าน้ำเปล่ายังไม่พอเลย เพราะพระไปประชุม ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ รูป แต่มหาจุฬาฯ สามารถจัดงานประชุมได้

พอถึงเวลาขยายห้องเรียนก็ดูวัดที่มีศักยภาพ อย่างห้องเรียนวัดไร่ขิงสามารถอยู่ได้โดยอาศัยบารมีหลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อนั่งเฉย ๆ เงินก็มา ตัดงบสังฆทานไปเลยเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท เอาไปบริหารโรงเรียน หรืออย่างห้องเรียนวัดโสธรก็เช่นกัน เขาทำอย่างนี้ถึงอยู่ได้ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยอื่นก็รอไปสิ ชาติหน้าบ่าย ๆ จะขยายได้มากอย่างนี้ไหมก็ไม่รู้ ? เพราะมัวแต่รองบประมาณส่วนกลางล้วน ๆ อย่างห้องเรียนวัดไร่ขิงจะพอหรือไม่พอ ท่านเจ้าคุณฯ ก็มองซ้ายมองขวา “เฮ้ย..พวกเรามีใครไหวบ้าง ?” ก็ต้องควักย่ามช่วย ๆ กันไป

วันก่อนที่ไปฉลองปริญญาโทรุ่นของอาตมา ท่านเจ้าคุณถวายมา ๒,๐๐๐ บาท แต่อาตมาควักคืนไป ๑๐,๐๐๐ บาท..! ช่วยเขาเอาไปบริหารห้องเรียนต่อ ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนที่ทำได้แบบนี้ อยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาประชาชนจริง ๆ

ญาติโยมที่ทำบุญกับวัดทั้งหลายที่เป็นห้องเรียน เป็นวิทยาลัยสงฆ์ เป็นวิทยาเขต จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ท่านได้บุญธรรมทานไปเต็ม ๆ เลย เพราะว่าเขาต้องเอาไปเป็นงบประมาณบริหารห้องเรียน ให้การศึกษาแก่พระเณรตลอดจนญาติโยมด้วย"

เถรี
08-07-2012, 11:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะปรึกษาพวกเรา ก็คือ อาตมาเรียนวันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ แต่วันศุกร์ต้นเดือนต้องมารับสังฆทานที่นี่ แต่อาตมาไม่อยากจะขาดเรียน ควรจะทำอย่างไรดี ? มีใครสามารถหาวิธีให้อาตมาไม่ต้องขาดเรียนได้ไหม ?

ตอนนี้ปัญหาใหญ่อยู่ที่วันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ ถ้าวันจันทร์ อังคาร พุธติดวันพระ เขาจะเลื่อนมาเรียนวันพฤหัสบดี ซึ่งจะมาชนกับวันเรียนของตัวเอง ตกลงจะเลือกสอนหรือจะเลือกเรียน ถ้าวันศุกร์ต้นเดือนก็ติดรับสังฆทาน อย่าแนะนำให้เป็นเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ เพราะว่าวันจันทร์อาตมาติดสอน"

ถาม : รับสังฆทานสองวัน เสาร์ - อาทิตย์ค่ะ
ตอบ : ถ้ารับเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์ คาดว่ามีบางคนขาดใจตาย..!

เถรี
08-07-2012, 11:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้พระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณ หรือพระครูปลัดปิง ท่านเอาชื่ออาตมายื่นเข้ามหาเถรสมาคม ขอพาสปอร์ตพระธรรมทูตให้ อาตมาบอกว่า ถ้าได้ขึ้นมานี่อาตมาเอาเปรียบชาวบ้านมากเลย เพราะคนอื่นต้องไปอบรมพระธรรมทูต ๓ เดือน ท่านบอกว่าลองยื่นเสนอดู เผื่อได้ เพราะพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมรู้จักอาตมาอยู่หลายท่าน อย่างไรเขายืนยันได้ว่าทำงานทางด้านนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเลยใส่ชื่อไป ถ้าทำสำเร็จต้องช่วยกันนั่งกรรมฐานส่งให้ท่านเป็นเจ้าคุณไว ๆ จะได้อำนวยความสะดวกให้อาตมาอีก..(หัวเราะ)..

พาสปอร์ตธรรมทูตเวลาไปไหนจะได้รับการต้อนรับอีกเรื่องหนึ่งเลย ยกตัวอย่างง่าย ๆ แค่สำนักงานใหญ่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อาตมาไปในฐานะพระนักศึกษา ต้องไปนอนรวมกันห้องละ ๒๕ รูป อาหารก็ไม่มีให้ อาตมาเองต้องเอารถวิ่งไปซื้อมาเลี้ยงพรรคพวกทั้งห้อง ส่วนตอนไปในฐานะอาจารย์ นอนห้องปรับอากาศคนเดียวสบายเลย ทำไมคนละเรื่องละราวก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่คนเดียวกัน ไปต่างสถานะกันเท่านั้นเอง

สาเหตุที่มหาจุฬาฯ สำนักงานใหญ่ไม่สามารถรับนักศึกษาได้เต็มอัตราเพราะว่าที่บิณฑบาตไม่มี ร้านอาหารไม่มีด้วย ลองคิดดู..พระนักศึกษา ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ รูป จะรอโยมไปเลี้ยง ก็แปลว่า ถ้าโยมคนนั้นไม่ใช่ใจถึงสุดชีวิตก็ต้องมีเงินเหลือเฟือจริง ๆ แค่เลี้ยงพระเป็นร้อยก็แย่แล้ว นี่พระตั้งหลายพันจะเลี้ยงไหวไหม ?

สมมติว่ามีพระ ๓,๐๐๐ รูปอยู่พร้อม ๆ กัน ฉันรูปละ ๒๐ บาทก็ต้องจ่ายไป ๖๐,๐๐๐ บาทแล้ว ถ้ามีไม่ถึงแสนนี่อย่าไปขยับจะเลี้ยงพระที่นั่นเชียวนะ เพราะฉะนั้นในเมื่อหวังให้โยมเลี้ยงไม่ได้ ที่บิณฑบาตก็น้อย ก็เลยทำให้มหาจุฬาฯ สำนักงานใหญ่ ไม่สามารถจะเปิดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ โดยรับนักศึกษาให้อยู่ประจำได้ ถ้ารับนักศึกษาอยู่ประจำเมื่อไรที่กินต้องพร้อม"

เถรี
08-07-2012, 12:40
ถาม : มีหนังสือสอนเรื่องเปิดตาที่สามตามแบบหลวงปู่โต โดยให้เพ่งไปที่กลางหน้าผาก ทำได้จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จำไว้ว่าหลวงปู่โตมรณภาพไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว คำสอนของท่านก็ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอ้างว่าเป็นคำสอนหลวงปู่โตส่วนใหญ่มาจากร่างทรง

ถาม : แล้วถ้าทำตามจะมีผลอะไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : มี...ปวดหัวดี..!

เถรี
08-07-2012, 13:03
ถาม : เอาของไปบรรจุองค์พระได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..แต่เขาบรรจุวันที่ ๑๔ เอาไปไว้ก่อนได้ คราวนี้การบรรจุเขาตั้งใจบรรจุที่เศียรพระทั้งหมด ยังคำนวณไม่ได้ว่าเศียรพระใหญ่แค่ไหน แต่เขายืนยันว่าอิฐ ๕,๐๐๐ ก้อนเอาไว้ก่อเศียรพระอย่างเดียว ตอนแรกก็ถามเขาว่าบรรจุแค่เศียรจะพอหรือ เขาบอกว่า ถ้าอาจารย์ไม่ได้มีของบรรจุสัก ๔ - ๕ คันรถกระบะก็พอบรรจุได้ ในเมื่อคนทำเขายืนยันว่าพอ แสดงว่าต้องใหญ่จริง

ตอนนี้ทางด้านวัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อยได้ทุนไปก่อสร้างแล้วหนึ่งล้านบาท เขาบอกว่าเอาลงดินหมดแล้ว กะว่าวันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้จะให้เขาอีกสักหนึ่งล้านบาท ทยอยให้ไปเรื่อย ๆ ความจริงอยากจะทำอย่างนี้ทุกที่ อาตมาจะได้ไม่ต้องเหนื่อย ให้เงินไปแล้วเขาไปจัดการลุยกันเอง

เถรี
08-07-2012, 14:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครไปปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะ วันที่ ๒๘-๒๙ กรกฎาคมนี้ มีหนังสือเล่มใหม่แจก เล่มนี้เสร็จแล้วราคาคงไม่หนี ๒๐๐ บาท อาตมาปั่นเป็นวันเป็นคืนแล้วยังไม่เสร็จเลย เป็นบันทึกการเดินทางในพม่า ตอนมิงกะละบาร์ เมียนมาร์

"มิงกะละ" มาจาก "มังคละ" ของบาลี ก็คือมงคล "บาร์" ก็คือ "ไหว้" หรือ "สวัสดี" มิงกะละบาร์ ก็คือ สวัสดีมงคล เมียนมาร์ก็คือประเทศพม่า แปลตามความหมาย ก็คือ สวัสดีเมืองพม่า

ฉบับนี้ลงรูปให้สะใจไปเลย รูปเก่า ๆ ต้องเอาไปสแกนก่อน กว่าจะเอามาลงได้แต่ละเล่ม งานอื่นก็ท่วมหัวไปหมด แม้แต่พระก็สงสัยว่าอาจารย์เอาแต่เก็บตัวเงียบ ทำอะไรทั้งวัน ก็ทำหนังสือให้พวกคุณอ่านนั่นแหละ"

เถรี
09-07-2012, 11:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีสื่อมวลชนก็ทำความหมายของภาษาไทยเสียหายได้ เมื่อครึ่งค่อนเดือนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐบอกว่า “กินข้าวต้มอย่ากระโจมกลาง” คือ อย่าไปตักกลางหม้อ อาตมาอ่านแล้วก็หัวเราะ แสดงว่าตักข้าง ๆ หม้อจะร้อนน้อยกว่าหรือ ? ข้าวต้มเดือด ๆ อยู่จะตักตรงไหนก็ร้อนเท่ากัน คำว่า “กินข้าวต้มอย่ากระโจมกลาง” ก็คือ อย่าพูนข้าวไว้ตรงกลาง เพราะว่าเย็นช้า เขาให้แหวกออกจะได้เย็นเร็ว

นอกจากนี้ไปเจอหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เขาเขียนเรื่องขุนศึก ตอนที่สมิงมะตะเบิดไล่ฟันทหารไทย จนไม่มีใครต่อต้านได้ อ้ายเสมาเลยขออนุญาตไป “ต่อกลอน” กับสมิงมะตะเบิด อาตมาจึงบอกว่าอ้ายเสมามีอารมณ์จริง ๆ เลย ขอไปต่อกลอนด้วย ที่ถูกต้องคือ "ต่อกร" ซึ่งแปลว่ารับมือ นี่อ้ายเสมาจะไปแต่งกลอนกลางสนามรบ..เจริญ..! ขนาดหนังสือพิมพ์ที่เป็นสื่อมวลชน คนเขาให้ความเชื่อถือมากยังพาเข้ารกเข้าพงขนาดนั้น แล้วต่อไปจะเหลืออะไร และคนที่เขียนข่าวก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขียนผิด

ขำมากคือที่เขาอธิบายว่า คำว่ากระโจมก็คือจ้วงเอาตรงกลาง แสดงว่าเขาเป็นเด็กรุ่นหลัง ไม่เคยเห็นว่ากระโจมหน้าตาเป็นอย่างไร กระโจม ก็คือ พูนข้าวต้มเอาไว้ตรงกลางแล้วจะเย็นช้า ต้องแหวก ๆ ออก หรือไม่ก็ใส่จานไปเลย เย็นเร็วดี

อาตมาเองเบื่อตอนที่ญาติโยมพยายามจะทำอะไรให้เจ้าอาวาสไม่เหมือนคนอื่นเขา จะได้ดูดีหน่อย ถึงเวลาก็ตักข้าวต้มใส่ชามฝาอย่างหนาเลย แล้วก็ปิดฝา กว่าอาตมาจะฉันได้ คนอื่นฉันไปตั้งนานแล้ว ใส่ชามหนาขนาดนั้นก็ร้อนพอแรงแล้ว ดันปิดฝามาอีก ดุไปหลายทีแล้วไม่เคยจำ"

เถรี
09-07-2012, 11:48
"เขาเขียน "ครองธรรม" ใช้ ร.เรือ ซึ่งผิด เขาไม่เข้าใจว่าคำนี้มาจาก "ครรลอง" ครรลองแผลงเป็นคลอง "คือทางดำเนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง ยังโลกอุดรโดยตรง" ที่ถูกต้อง คือ ตามครรลองคลองธรรม

แบบเดียวกับชื่อของพระยาศรีสุนทรโวหาร หรือน้อย อาจารยางกูร คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้มาจาก "ตระกูล" จึงเขียนเป็น อาจารยางกูล แต่ไม่ใช่ มาจาก "อังกูร" อังกูรคือความรุ่งเรือง ดังนั้นต้องใช้ ร.เรือสะกด

"ข้าขอนบชนกคุณ" "นบ" ก็คือเคารพนบไหว้ ใช้ บ.ใบไม้ แต่คนไปใช้ พ.พาน "นพ" ซึ่งแปลว่า ๙ แบบเดียวกับสมัยโบราณ ที่อยู่ที่อาศัยเขาเรียกว่า "ทับ" แต่ปัจจุบันทับต่าง ๆ ที่เป็นสถานที่ ส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็น "ทัพ" พ.พาน กันหมด แม้กระทั่งทัพหลวงที่นครปฐมก็ใช้ พ.พาน กลายเป็นกองทัพพระเจ้าแผ่นดินไปเลย

ความจริงทับหลวงตัวนี้แปลว่าบ้านหลังใหญ่ ทับคล้าย ทับผึ้งน้อย ทับยายท้าว จากบ้านของยายท้าวกลายเป็นกองทัพของยายท้าว เขาไม่รู้ที่มาที่ไป ความหมายจึงไปคนละเรื่องเลย"

เถรี
09-07-2012, 12:17
"เรื่องของภาษาพอนาน ๆ ไปก็เพี้ยน เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจรากศัพท์ที่มา อย่างกาญจนบุรีเขามีหนองยั้งช้าง ปัจจุบันนี้เป็นหนองย่างช้าง ยั้งช้างก็คือเวลาเดินทางเอาช้างไปหยุดพักที่นั่น ซึ่งเป็นแหล่งน้ำ เป็นที่อาศัยกว้างขวาง เป็นที่พักกลางทางได้ จึงเป็นหนองยั้งช้าง ปัจจุบันนี้คงหิวมากจึงย่างช้างกินกันเลย

อย่างเขานกเจ่า เพราะมีนกมาเกาะพัก ตอนนี้กลายเป็นเขานกจ้าว ไม่รู้เชื้อพระวงศ์ที่ไหนไปเลี้ยงนกที่นั่น พอนาน ๆ ไปภาษามีความเพี้ยนมากขึ้น แทนที่บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะช่วยกันรักษาเอาไว้ ดันยิ่งเปลี่ยนกันให้พินาศหนักเข้าไปอีก

ทุกวันนี้หนังสือไทยที่อาตมาเรียนมาสมัย ป. ๑ - ๔ ใช้ไม่ได้เยอะเลย เขาแก้ไขจนกระทั่งทุเรศทุรังไปหมด แบบเดียวกับสิงโต เขาตัด “ห์” ออก คำว่า "สิงห์" มาจาก "สิงห" เป็นภาษาบาลี ต้องมี "ห์" พอแผลงเป็นไทยเป็นสิงโต เขาบอกว่าในเมื่อเป็นไทยแล้วทำไมแล้วต้องลากไปบวชเป็นบาลีด้วย ก็เอา "ห์" ออก

สมัยอาตมาเด็ก ๆ ใช้ ข้าวโภชน์ มาจากโภชนะ แล้วตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นข้าวโพด สับปะรดก็เหมือนกัน ก่อนหน้านั้นเป็น สัปตรส แปลว่า ๗ รส ลองไปชิมสับปะรดให้ดี ๆ มีรสอะไรบ้าง เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด..ไม่ใช่เผ็ดธรรมดานะ เผ็ดสับปะรดเผ็ดกัดลิ้น จืด ขม มี ๗ รสจริง ๆ

"สัปตะ" กลายเป็น "สับปะ" ซึ่งแปลว่า งู แถมยังเปลี่ยนจาก "รส" เป็น "รด" ดังนั้น..สับปะรดในปัจจุบัน หมายถึง เอาน้ำไปราดงู"

เถรี
09-07-2012, 12:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อาตมาโยกย้ายเปลี่ยนห้อง ก็เลยทำให้ความเคยชินเก่า ๆ ยังคาอยู่ เวลาจะทำอะไรก็จะเดินไปมุมเก่า ๆ ตรงจุดนี้อยากจะบอกกับทุกคนว่า ส่วนใหญ่แล้วถ้าพวกเรากล้าเปลี่ยนแปลงจะประสบความสำเร็จ แต่เรามักจะไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เพราะไม่แน่ใจกับผลที่จะเกิดขึ้น ความไม่แน่ใจในผลที่จะเกิดขึ้นนี่แหละ เป็นสักกายทิฏฐิ คือตัวกูของกูเต็ม ๆ เลย เพราะกลัวว่าผลเกิดขึ้นแล้วจะกระทบกับกู ฉะนั้น..ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง แล้วบรรดาตัวแสบอย่าไปบอกนะ ว่าอาจารย์สอนให้เปลี่ยนแปลง แล้วก็เป็นข้ออ้างเปลี่ยนแฟน ตายกันเองแล้วกัน พระไม่เกี่ยว

อาตมาเองเป็นคนที่เปลี่ยนตัวเองเป็นว่าเล่น ทำงานกำลังรุ่ง ๆ เลย ดันลาออกไปเรียนทหาร เรียนจบกลับมารับราชการ รุ่งมาก เพราะได้ ๒ ขั้นทุกปี ถึงขนาดว่า ๓ ปีแล้วเจ้านายต้องเอาระเบียบมากางให้ดูว่า เขาห้ามให้ ๒ ขั้นเกิน ๓ ปี ถ้าได้ ๓ ปีแล้วต้องเว้น อาตมาก็ลาออกมาบวช เพราะฉะนั้น..การเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไปคือสึก..(หัวเราะ)..

เวลาทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จเร็ว จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก น่าเบื่อตรงที่ว่าไม่มีอะไรที่ท้าทายแล้ว และโดยวิสัยอาตมาจะเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ เกิดมาใต้ธาตุลมจะเป็นอย่างนี้ทุกคน ในเมื่ออยู่นิ่งไม่ได้ ถ้าเจออะไรซ้ำ ๆ แบบเดิมก็จะเบื่อ ฉะนั้น..ตอนนี้กำลังรออยู่ เขาบอกว่าเวลาบวชต้องหวังสูงสุดคือหวังความเป็นพระอรหันต์ ถ้าอาตมาได้เป็นและเบื่อเมื่อไร ก็จะสึก..!"

เถรี
09-07-2012, 13:05
"อาตมาไม่กลัวเรื่องยาก อย่างการฝึกขับรถ ยากที่สุดสำหรับคนหัดใหม่คือการถอย ยิ่งสมัยแรก ๆ รถไม่มีกระจกมองข้าง มีแต่กระจกมองหลัง คนก็จะเคยชินกับการยื่นหน้าออกไปแล้วเอี้ยวมองไปทางด้านหลัง ถ้าทำอย่างนั้นจนชินแล้วจะติดเป็นนิสัย ทำให้ใช้กระจกมองหลังไม่เป็น

อาตมาเป็นคนที่ค่อนข้างจะรั้น อะไรที่ยากมักจะทำ เพราะฉะนั้น..ก็ถอยขึ้นถอยลง ถอยเข้าถอยออกอยู่อย่างนั้นแหละ จนกระทั่งมั่นใจ แต่ไม่อยากจะบอกหรอกว่าครั้งแรกบ้านพังไปแถบหนึ่ง..! แหม..กำลังตีวงอยู่พอดี พี่ชายดันตะโกนเรียก อาตมาก็หันไปมอง แต่มือยังหักพวงมาลัยเลี้ยวค้างอยู่ ขับรถใหม่ ๆ ยังไม่รอบคอบหรอก

ฉะนั้น..ถ้าพวกเรามีโอกาส อะไรที่ยากให้ทำไว้ก่อน ถ้าเราทำของยากได้ ของอื่นจะง่ายทั้งหมด ของยากถ้าทำสำเร็จเราจะภูมิใจ แล้วต่อไปจะเกิดความกล้า กล้าตรงที่ว่าอย่างอื่นจะสักเท่าไรเชียว ? แบบที่หลวงตาบัวโดนชาวบ้านเขาว่า บวชใหม่ ๆ แล้วไปเทศน์ หลวงตาบัวเอาคัมภีร์เทศน์ไปฉบับเดียว เทศน์เรื่องเดียว เทศน์จบเขาจะฟังเรื่องอื่น หลวงตาบัวบอกว่าเทศน์ไม่ได้ ชาวบ้านว่า "ฮื้อ..มันยากหยัง ?" เล่นเอาหลวงตาบัวฉันข้าวไม่ลง..เครียด ภาษาอีสานบอกว่า "มันแค่น" คือแน่นไปทั้งอก จะหายใจไม่ออกเอา นั่นก็คือลักษณะของที่ยากสำหรับเรา แต่คนอื่นนั้นพูดง่าย

อะไรที่พูดส่วนใหญ่จะง่าย จะไปยากตอนทำ หัดทำของยากไว้ การทำของยาก ไม่มีเสีย มีแต่ได้ ทำสำเร็จก็ได้กำไร ทำไม่สำเร็จก็ได้บทเรียน ในเมื่อมีแต่ได้กับได้ก็ทำไปเถอะ ต้องคิดว่าถ้าทำสำเร็จเราเก่ง เพราะคนอื่นเขาทำไม่ได้ ถ้าทำไม่สำเร็จ เราก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ เพราะเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน"

เถรี
09-07-2012, 13:14
"สรุปว่าต้องกล้าในการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับการปฏิบัติแล้ว ถ้ากรรมฐานกองนั้นของเรายังได้ผลไม่เต็มที่ก็อย่าเพิ่งเปลี่ยน เพราะถ้าหากว่าเปลี่ยนบ่อยเราก็จะอยู่ในลักษณะที่ว่าของเก่ายังไม่ได้ ของใหม่ยังไม่ดี คราวนี้จะขึ้นหน้าก็ลำบาก จะถอยหลังก็ยาก

ตั้งใจทำกรรมฐานกองหนึ่ง ยากแค่ไหนช่างมัน มุมานะทำไป ให้ตายคากรรมฐานไปเลยได้ยิ่งดี ถ้าตายตอนนั้นรับรองว่าไปดีแน่ เอาให้ได้จริง ๆ สักกองหนึ่งก่อน แล้วที่เหลือจะง่ายทั้งหมด เพราะว่าใช้กำลังในการปฏิบัติเท่าเทียมกัน เพียงแต่เปลี่ยนหัวข้อเท่านั้น

แม้กระทั่งอรูปฌาน ที่ว่ายากนักยากหนา กำลังก็แค่ฌาน ๔ เท่านั้นแหละ เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาเปลี่ยนจากฌาน ๔ ไปจับอรูปเท่านั้น ถ้าได้กองหนึ่งแล้วที่เหลือจะง่าย แต่ถ้าไม่ได้กองหนึ่งแล้ว อีก ๓๙ กองก็ยากพอกันทั้งหมด อย่าหลายใจ อย่าเปลี่ยนบ่อย ในเมื่อยากเท่ากันทุกกอง เราชอบใจกองไหนก็ลุยไปกองหนึ่งก่อน เอาให้ทะลุปรุโปร่ง แล้วที่เหลือจะง่ายไปเอง

อาตมาเองก็สู้มา ประเภทฟัดกันจะเป็นจะตาย แค่ปฐมฌานอย่างเดียว ใช้เวลาไป ๓ ปีเต็ม ๆ แต่ว่าเป็น ๓ ปีที่โง่มาก่อนฉลาด ถ้าเป็นตอนนี้ปฐมฌานสามารถทำได้ภายในไม่กี่นาที เพราะรู้วิธีแล้ว"

เถรี
09-07-2012, 16:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ผ่านมา หลวงปู่ครูบาอ่อน วัดสันต้นหวีด จังหวัดพะเยา มรณภาพ ถัดมาอีก ๓ วัน หลวงปู่มหาเจิม วัดสระมงคล ใกล้บ้านอาตมาเองมรณภาพ เราเสียพระดีไป ๒ องค์ติด ๆ กัน ตอนนี้ก็รอ รอว่าท่านจะเป็นแบบหลวงปู่ครูบาผัดหรือไม่ ?

หลวงปู่ครูบาผัดเผาเสร็จเป็นพระธาตุเดี๋ยวนั้นเลย แล้วเป็นพระธาตุแบบให้หายสงสัยด้วย คือ ครึ่งหนึ่งเป็นแก้ว ครึ่งหนึ่งเป็นกระดูก เอาให้เห็น ๆ เลย จะได้รู้ว่านี่เป็นจริง ๆ

ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น การซักฟอกจิตใจของตนเองให้ผ่องใสสะอาด ธาตุขันธ์ก็โดนฟอกไปในตัวด้วย ในเมื่อธาตุขันธ์โดนซักฟอกไปในตัว ความดีก็เข้าถึงเนื้อถึงเลือดถึงกระดูกด้วย ในเมื่อเลือดกับเนื้อทรงอยู่ไม่ได้ กระดูกทรงอยู่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นแก้ว"

เถรี
09-07-2012, 22:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีอาตมาก็เป็นห่วงญาติโยมที่มีจิตศรัทธา เพราะหลายแห่งเขาไม่ได้ประคับประคองศรัทธาของโยม แต่อยู่ในลักษณะกอบโกยเอา พอเขารู้ว่าโยมสามารถทำบุญมาก ๆ ได้ ก็ตามจิกตามกัดไม่ยอมปล่อยเลย

อาตมาเตือนโยมหลายครั้งด้วยกันแล้วว่า ถ้ามีฐานะพอที่จะทำบุญได้โดยตัวเองไม่เดือดร้อน อย่าไปเผลอทิ้งเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ไว้กับวัดไหน เขาตามยันบ้านจริง ๆ..! จะว่าไปแล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ทำถูก เพราะคำว่า "ภิกขุ" หนึ่งในความหมายนั้นแปลว่า ผู้ขอ เขาขอกันแหลกเลย ขอยันบ้าน ไม่ได้ไม่เลิก จนกระทั่งหลายต่อหลายท่านต้องทำบุญแบบซื้อรำคาญ ก็คือให้ ๆ ไปจะได้ไปให้พ้นหน้า แต่เขาก็ไม่เลิก งานหน้าก็มาใหม่

ในเรื่องของการทำบุญ บางคนช่วงนั้นเกิดปีติขึ้นมา ทำบุญเท่าไรก็ไม่สมกับความปีติของตน แบบเดียวกับจูเฬกสาฎก มีผ้าห่มผืนเดียวถวายพระพุทธเจ้าไป พระเจ้าปเสนทิโกศลพอทราบก็ให้ผ้าจูเฬกสาฎกไปคู่หนึ่ง จูเฬกสาฎกก็ถวายไปเสียทั้งคู่ พอได้มา ๒ คู่ก็ถวายหมด ๔ คู่ก็ถวายหมด เพราะกำลังปีติอยู่

ก็เลยทำให้ญาติโยมหลายท่านที่ทำบุญจนตัวเองเดือดร้อนเพราะกำลังปีติอยู่ กลายเป็นเขาขอเท่าไรก็ให้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ จะว่าไปแล้วสำคัญที่นักบวชของเรา พระพุทธเจ้าท่านเตือนนักเตือนหนาว่า นักบวชควรทำตัวเหมือนผึ้ง นำน้ำหวานไปจากดอกไม้ ก็อย่าทำให้กลีบดอกไม้นั้นต้องชอกช้ำ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ คิดว่าโกยให้ได้มากที่สุด ก็คือความสำเร็จของตน

เวลาโยมมาทำบุญที่นี่อาตมาจะรู้สึกชอบใจมากกว่า มาทีหนึ่ง ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท บางคนที่ดูหน้าก็รู้ว่าถ้าไม่ใช่ยังเรียนไม่จบก็เพิ่งจบมาทำงานใหม่ ๆ ควักเงินมาทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท ๒,๐๐๐ บาท อาตมาถามว่าต้องใช้อย่างอื่นหรือเปล่า ? เขาก็งง..ถ้าเพิ่งจะทำงานเงินเดือนจะสักเท่าไร ควักทีหนึ่งขนาดนั้นแล้วจะเหลือชนเดือนไหม ?"

เถรี
09-07-2012, 23:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า สาเหตุที่โบราณนิยมสร้างพระเป็นเนื้อชินตะกั่ว เพราะว่าตะกั่วมีเนื้อหาใกล้เคียงกับทองมากที่สุด เวลาพุทธาภิเษก ทองคำจะรับพลังงานได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นตะกั่วมีเนื้อหาใกล้เคียง แล้วคนสามารถเข้าถึงได้มากกว่า รับพลังงานได้ใกล้เคียงกัน โบราณเขาเลยนิยมสร้างด้วยตะกั่ว

แต่ที่เป็นชินตะกั่วเพราะเขาผสมโลหะอื่นเข้าไปด้วย อย่างของอาตมาผสมเงินเข้าไปด้วย ผสมเงินในอัตรา ๒ : ๘ ก็คือ ๑ : ๕ ส่วน

๕ กิโลกรัมใส่เงิน ๑ กิโลกรัม ใส่ไปใส่มาเงินหายหมด เพราะว่าเวลาหลอมเนื้อเงินจะลอยหน้า ตอนเทจะจับอยู่หน่อยเดียว"

เถรี
09-07-2012, 23:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในทางพระพุทธศาสนาแล้วไม่มีคำว่าบังเอิญ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมคือสิ่งที่เราทำไว้ มเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราชได้รับการยกย่องจากพระเจ้าอโศกมหาราชมาก สนมกำนัลนางอื่นก็อิจฉา ผู้หญิงกระทบกระทั่งกันง่ายอยู่แล้ว ในเมื่ออิจฉาก็มีการเสียดสีกระแนะกระแหนเขาไปเรื่อย

พระเจ้าอโศกมหาราชทรงรำคาญ จะพิสูจน์บุญญานุภาพให้ดู ก็เลยสั่งโรงครัวทำขนมมา ๑,๐๐๐ ชิ้น แสดงว่าพระองค์มีมเหสีรวมนางสนมทั้งหมด ๑,๐๐๐ คนพอดี แล้วถอดพระธำมรงค์ประจำพระองค์ บอกพ่อครัวให้ใส่พระธำมรงค์ไว้ในขนมชิ้นหนึ่ง พอถึงเวลานึ่งสุกเอามาให้บรรดาสนมและมเหสีทั้งหมดไปหยิบเอา ถ้าธำมรงค์อยู่ในขนมของใคร จะตั้งคนนั้นเป็นอัครมเหสี พวกสนมแย่งกันกระจายเลย ปรากฏว่ามเหสีตัวจริงท่านนั่งเฉย ๆ รอเขาหยิบจนเหลือชิ้นสุดท้ายท่านจึงหยิบมา และธำมรงค์ก็อยู่ในนั้น

โบราณเขาถึงได้บอกว่า แข่งเรือแข่งแพพอจะแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้หรอก เขาทำของเขามาเขาต้องได้ ต่อให้เราทำมาเหมือนกัน ถ้าทำช้ากว่าเขาก็ต้องรอเขาได้ก่อน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เข้าใจตรงนี้ ถึงเวลาเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชท่านเมตตาพระมเหสีมากเป็นพิเศษ โปรดเป็นพิเศษก็คอยอิจฉาอยู่เรื่อย พิสูจน์ขนาดนั้นแล้วก็ยังมีคนไม่เชื่ออยู่ดี"

เถรี
10-07-2012, 10:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนชื่อศิรวิชญ์ รู้หรือเปล่าแปลว่าอะไร ? ศิระ แปลว่า หัว วิชญ์ แปลว่า ความรู้ ดังนั้น..ศิรวิชญ์ แปลว่า รู้ท่วมหัว อาตมาแปลตามอรรถ ไม่แปลตามพยัญชนะ ถ้าแปลตามอรรถเขาเอาความหมายอย่างเดียว

ผู้หญิงชื่อฐิติมา ฐิติ แปลว่า ความตั้งมั่น เพราะฉะนั้น..ฐิติมา อาตมาแปลว่า ผู้หญิงหัวดื้อ ตั้งมั่นจนไม่ยอมเปลี่ยนความคิด..!

เคยทักท้วงไปหลายครั้ง ก็คือ ผู้หญิงที่ชื่ออุมาพร เขาไปแปลอุมาพรว่า พรของพระอุมา เขาไม่รู้ว่า อุมะ แปลว่า บ้า เพราะฉะนั้น..อุมาพร แปลว่า บ้าอย่างยิ่ง เขาไปคิดว่าพรของพระอุมา

บรรดาครูบาอาจารย์ที่สอนบาลีถึงได้บอกว่า ให้ท่องคาถาแล้วจะเรียนดี คาถาเขาว่า "อะหัง อุมมัตตะโก โหมิ" คราวนี้เขาก็ท่องไปเรื่อย และก็เรียนดีจริง ๆ อาจจะสมาธิดีขึ้นเพราะท่องคาถา แต่พอไปเจอคนแปลบาลีออกก็หัวเราะ เนื่องจาก อุมมัตตะโก แปลว่า ความบ้า โหมิ แปลว่า จงมี อะหัง แปลว่า ตัวข้า รวมความว่า..ขอความบ้าจงมีแก่ข้า หรือแปลง่าย ๆ ว่าตัวกูเป็นบ้า..!"

เถรี
10-07-2012, 11:05
ถาม : เวลาไปร้านอาหาร หยิบไม้จิ้มฟันกลับมาบ้าน จะผิดศีลข้อสองหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่แคะไม่เป็นไร ถ้าแคะแล้วหยิบกลับมาบ้านค่อนข้างไม่ปกติ..! ในร้านอาหารเขาวางไว้เป็นของกลางสำหรับทุกคนที่เข้าไปใช้บริการ อย่าถึงขนาดเทของเขามาหมดแล้วกัน ถ้าเทของเขามาหมดนี่เจตนาแล้ว ใกล้เคียงกับการขโมยเลย เพราะเขาตั้งใจให้คนทั่วไปใช้ ไม่ได้ให้เราคนเดียว

ถ้าหากว่าประเภทเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเทของเขามาหมดนี่ขโมยแล้ว ต่อให้เป็นของกลางก็เถอะ การเบียดบังของกลางนี่โทษหนักกว่าอีก เพราะมีเจ้าของหลายคน

ถาม : ขนาดผ้าห่มยังไปหยิบของเขามา ?
ตอบ : ยังดี..มีคนจีนที่ไปนอนโรงแรมต่างประเทศ พนักงานเขาไปทำความสะอาดแทบจะเป็นลม กระทั่งพรมใต้เตียงเขายังกรีดเอาไปเลย โอ้โห..คนจีนนี่สุดยอด กรีดแล้วม้วนไปเลย จะเอาข้างนอกก็กลัวเขาเห็น เลยกรีดเอาที่ใต้เตียง

เถรี
10-07-2012, 11:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนโบราณถ้านุ่งสีม่วงจะห่มสีเหลือง หรือห่มสีจำปา ให้สีตัดกัน ลองไปศึกษาการนุ่งห่มผ้าของคนโบราณ เขามีเคล็ดลับเยอะแยะไปหมด อย่างพวกเราสักแต่ว่าใส่ ส่วนโบราณเขาดูว่าใส่อย่างไรถึงจะเด่น

โบราณจริง ๆ ไม่มีสีฟ้า มีแต่สีขาบกับสีคราม สีขาบก็คือสีน้ำเงินเข้ม สีครามก็คือสีน้ำเงินอ่อน สีฟ้านี่มาทีหลัง แล้วดันมาติดตลาด ตอนนี้สีขาบก็เลยสาบสูญไป พวกเราจึงไม่รู้ว่านกตะขาบจริง ๆ คือสีขาบ เราก็ไปคิดว่านกตะขาบ ถ้าไม่กินตะขาบก็คงหน้าตาเหมือนตะขาบ ความจริงเขาเรียกนกตะขาบเพราะว่าสีของนกออกไปทางสีขาบ

ถ้าหากนุ่งสีส้มก็ต้องห่มสีฟ้า ลองไปค้นตำราโบราณดู ที่เขาว่า "ระวิสิทธิด้วย...อาภรณ์ แดงพิจิตรอลงกรณ์...ก่องแก้ว" ถ้าเป็นโบราณควรจะใส่อะไร สมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วเครื่องแต่งตัวท่านเน้นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายตอนใส่ออกรบ จะระบุด้วยว่าต้องใช้อาวุธอะไร"

เถรี
10-07-2012, 11:27
มีโยมสนทนาเกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่สุภา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "พวกบรรดาแม่ชีที่ดูแลหลวงปู่สมัยที่ท่านยังอยู่ภูเก็ต เขาไม่เข้าใจ พอถึงเวลาเห็นอาตมาไปก็พยายามจะพาเข้าไปหาหลวงปู่ อาตมาก็บอกว่าอย่าไปรบกวนท่าน กลัวว่าถ้าตนเองอายุร้อยกว่าแล้วจะโดนอย่างนั้นบ้าง บางครั้งอาตมาก็กราบอยู่ตรงหน้าประตู ถวายปัจจัยไทยธรรมใส่พานวางไว้ตรงนั้น แล้วก็กลับเลย เขาก็งง ๆ อะไรมาแค่นี้เองหรือ ?

แม่ชีบางคนรู้จักอาตมา เขาก็พยายามจะให้เข้าไปกราบหลวงปู่ อาตมาบอกว่าไม่เอาหรอก โดยเฉพาะเวลาที่ท่านฉันอยู่ ถ้าอาตมากำลังฉันอยู่แล้วโดนคนขัดคอนี่จะโกรธมาก"..(หัวเราะ)..

เถรี
11-07-2012, 08:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้พระรุ่นหนึ่งที่อาตมาตั้งใจจะสร้าง ก็คือ รุ่นยานัตถุ์หลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะอาตมาเก็บยานัตถุ์หลวงพ่อวัดท่าซุงเอาไว้ได้ประมาณ ๕ ลิตร ตอนนั้นเฝ้าหน้าห้องท่านอยู่ ๘ ปี ถึงเวลาท่านก็โยนยานัตถุ์มา “เฮ้ย..เอาไป” ท่านโยนยานัตถุ์ที่ใช้ไม่ได้ หมดอายุแล้วมาให้ เพราะบางทีโยมถวายท่านมากเกินไป ท่านก็ทยอยใช้ แต่พอแกะออกมาปรากฏว่ากลิ่นยาหมดแล้ว สีจะซีด ๆ ถ้าหากสีเข้ม ๆ ออกดำอยู่ อันนั้นใหม่แน่

บางทีท่านก็ส่งมาทั้งลังเลย “เฮ้ย..เลือกให้หน่อย” เลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็เอาที่ยังดีไป อาตมาก็เอาที่เหลือเทใส่แกลลอนไปเรื่อย ช่วงที่ท่านพุทธาภิเษกงานพร ๓๐ ประการ อาตมาเอาซุกเข้าพิธีไปพอดี แต่อาตมาเองก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร พอดีหลวงพี่สมคิดเป็นเพื่อนกัน ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสก่อน ก็เลยถวายยานัตถุ์ท่านไป โดยที่อาตมาเทแบ่งใส่ขวดโอวัลตินขวดเล็กไว้ขวดหนึ่ง ที่เหลือก็ถวายท่านไปทั้งหมด ให้ท่านเอาไปสร้างพระ เผื่อจะได้สร้างวัด

ไป ๆ มา ๆ เมื่อเดือนก่อนหลวงพี่สมคิดแบกคืนมา บอกว่า “ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ เพราะว่าพอต้องการพระทีไรก็ขอจากอาจารย์ทุกที” ท่านเลยถวายคืนมา สรุปว่ายานัตถุ์ประมาณ ๕ ลิตรนั้นเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว น่าจะเข้าพิธีมากกว่าอาตมาอีก เพราะว่าเข้าพิธีทีไรอาตมาก็ขนไปเข้าทุกทีแหละ ตัวเองจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ ไม่ได้มีโอกาสไปนั่งในพิธีกับเขา"

เถรี
11-07-2012, 09:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังจะหารูปแบบพระปิดตาอยู่ เพราะส่วนใหญ่พระปิดตาที่ศึกษามา จะไปทางเมตตามหานิยมจริง ๆ เขาก็ไม่นิยมสร้าง มักจะสร้างเป็นมหาลาภ มหาอุตม์ คราวนี้พระปิดตาวัดท่าขนุนออกมา ๒ รุ่นแล้ว ถ้ารุ่นต่อไปน่าจะเป็นลอยองค์ได้แล้ว จะปิดตาก็ปิดตาลอยองค์ไปเลย

พระปิดตาปางซ่อนหาของหลวงปู่ทับ วัดทอง อาตมาตัดใจฝังใส่ศิลาฤกษ์วัดรัตนานุภาพไปแล้ว กราบเรียนท่านว่า “หลวงปู่เมตตาสงเคราะห์หลานด้วยเถอะ เขาก็พี่น้องของผม ก็หลานปู่เหมือนกันนั่นแหละ” ท่านก็หาว่าอาตมาโยนภาระให้ท่าน ไม่ได้โยนหรอก อยากให้สงเคราะห์เขาจริง ๆ เพราะเขาอยู่ในที่อันตราย ปางซ่อนหานี่อันตรายมาจะหาไม่เจอ

แถบนั้นอิสลามล้อมรอบวัดเลย ก็เตือนท่านว่าอย่านอนที่เดียว ไว้วางใจใครไม่ได้หรอก เพราะเดี๋ยวนี้เวลาเขาเข้าวัด เขาเข้ามาเพื่อสืบความ บางทีไปอยู่ไปกินในวัดเป็นปี ๆ ทำตัวเหมือนคนไทยพุทธเลย ความจริงเป็นอิสลาม คำสอนเก่าของเขาก็คือ ถ้าเข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่นจะตกนรก แต่ปัจจุบันนี้เข้าไปเถอะ เข้าไปทำหน้าที่เพื่อพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ยุ่งเลย

เพราะฉะนั้นในเขตของไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู แล้วก็ปะลิส มีวัดป่าอยู่หลายแห่งที่แต่เดิมจะอยู่อย่างธรรมชาติ ก็คือมีกุฏิไม่กี่หลังแล้วก็สร้างอยู่ในถ้ำ พอมาเลเซียได้คืนไป ชาวไทยส่วนใหญ่อพยพออกมา ที่นั่นจึงกลายเป็นวัดร้าง แต่อยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน เพราะแต่เดิมเขาไม่เข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่น

ถ้าอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความงดงามของความสัมพันธ์ระหว่างพุทธกับอิสลาม ให้ไปหาหนังสือชื่อแว้งที่รัก ของชบาบาน น่าจะออกไม่นานนี้ ชบาบานเป็นอาจารย์ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เลยนะ เขียนหนังสือน่าอ่านมาก

สมัยก่อนปักษ์ใต้เขาเอื้อเฟื้อกัน ต่างคนต่างอพยพไปอยู่ ก็ต้องรักใคร่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พุทธกับอิสลามเขาไม่ได้แบ่งแยกกัน แม่ของคุณชบาบานรับเป็นแม่บุญธรรมให้เด็กอิสลามเยอะแยะเลย"

เถรี
11-07-2012, 13:19
"แว้งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดนราธิวาส มาจากภาษายาวีว่า "ไอเยอร์เวง" ถ้าเรียกสั้น ๆ ว่า "โต๊ะเวง" คำว่า "โต๊ะ" ออกเสียงคล้ายคลึงกันอยู่ ๒ คำ โต๊ะคำแรกเป็นความหมายของผู้สูงศักดิ์ หรือบุคคลที่ได้รับการยกย่อง ส่วนโต๊ะอีกคำแปลว่าคุณยาย อย่างโต๊ะซารี ก็คือคุณยายซารี

ส่วน "โต๊ะแช" แชแปลว่าปู่หรือตา โต๊ะแชก็คือคุณปู่ คนที่ได้รับความนับถือเป็นอย่างสูง อย่างโต๊ะแชซาอิด เป็นต้น

โต๊ะแชซาอิดเป็นจอมคาถาเลย ช่วงที่แว้งเกิดฝีดาษระบาด โต๊ะแชซาอิดยืนยันกับพวกเขาว่า ภายในกรอบหมู่บ้านนี้ไม่มีฝีดาษแน่นอน ท่านฝากพระเจ้าไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่มีใครเชื่อ ปรากฏว่าพวกที่ปลูกฝีที่อยู่หมู่บ้านอื่นก็ตายกันระนาว แต่คนทั้งหมดในหมู่บ้านที่โต๊ะแชซาอิดรับรอง ไม่มีใครตายเลยสักคน ต้องยอมรับว่าท่านแน่จริง"

เถรี
11-07-2012, 13:28
"แบบเดียวกับสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เวลาจะเกิดโรคระบาดขึ้น ท่านจะเตือนญาติโยมที่ใส่บาตรท่านว่า ให้ทำลักษณะขันส่งเคราะห์ เอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปคน นุ่งผ้าแดงโดยเอาผ้าแดงมาผูกเป็นผ้านุ่ง มีวัวควายกี่ตัวก็ปั้นไปด้วย แล้วก็เอาไปส่งเคราะห์ที่ทางสามแพร่ง สิ่งที่ลืมไม่ได้คือข้าวต้มลูกโยน ไปแล้วก็บอกเจ้ากรรมนายเวรว่า ท่านที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ให้มาเอาตัวแทนในผ้าแดงนี้ไป แล้วก็อย่ามารบกวน ก็จะปลอดภัย ในขณะที่บ้านอื่นตายกันเป็นใบไม้ร่วง

หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ) สมัยยังเป็นเจ้าคุณราชปริยัติโมลี ท่านสนทนากับอาตมาว่า รุ่นท่านบวช ๓๐ รูป เหลือท่านรูปเดียว รุ่นของอาตมาบวช ๓๖ รูป เหลืออาตมารูปเดียว “ไอ้คุณกับผม โบราณเขาเรียกว่าเหลือเดนห่า” ปกติถ้าอหิวาต์ลงจะตายยกหมู่บ้าน คนไหนหัวแข็งรอดมาได้เขาเรียกเหลือเดนห่า อหิวาต์ยังกินไม่ลง

สมัยนั้นประทับใจท่านมาก ท่านเป็นคนคุยสนุก ตอนนี้ท่านเป็นสมเด็จฯ ไปแล้ว พอเป็นสมเด็จฯ ออกงานหัวไม่วางหางไม่เว้น จนสุขภาพชำรุด"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เป็นลักษณะพลีกรรม เอาตัวแทนไป ผีก็ว่าง่ายดี มีให้แล้วก็แล้วกัน ถ้าไม่มีก็จะเอาให้ได้

เถรี
11-07-2012, 13:41
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ได้เล่าให้ฟัง แต่อาตมาไปอ่านเจอในประวัติของหลวงพ่อเบี่ยง วัดทุ่งสมอ

ทางด้านทุ่งสมอ รุ่นถัดมาจากหลวงปู่ม่วง คือ หลวงพ่อเบี่ยง ท่านทำพิธีเลี้ยงผี แต่เป็นผีทหารที่ตายในสงคราม หลวงพ่อเบี่ยงให้ลูกศิษย์จัดข้าวปลาอาหารไปไว้ข้างในวิหาร เสร็จแล้วก็ล้อมสายสิญจน์ไว้ ปิดไฟมืด ท่านบอกว่าได้ยินเสียงอะไรก็ตามอย่าได้กลัว อย่าได้ตกใจ อย่าลุกหนีไปจากวงสายสิญจน์เป็นอันขาด ถ้าลุกหนี..ตายแน่นอน..! ลูกศิษย์คนไหนใจกล้าหน่อย อยากรู้ก็ไปร่วมพิธีด้วย

เขาบอกว่า มีลมกรรโชกมาแรงเหมือนฝนจะตก ได้ยินเสียงรองเท้าของทหารลั่นคึ่ก ๆ และเสียงกินกันอุตลุดเลย กลัวก็กลัวเพราะเสียงอยู่ใกล้ ๆ เอง โต๊ะอาหารก็ตั้งเรียงเต็มไปหมด พอหลวงพ่อเบี่ยงท่านบอกว่าพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จุดไฟได้ ปรากฏว่าข้าวปลาอาหารกระจัดกระจายเหมือนกับคนกินจริง ๆ และอาหารก็หายไปจริง ๆ ด้วย

คนเขียนก็เขียนต่อไปว่า ลักษณะอย่างนั้นหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคก็เคยทำ ท่านใช้คำว่า "เลี้ยงเปรต" หลวงปู่ปานขอขนมจีนจากญาติโยมเป็นสิบ ๆ หาบ เอาไปทำพิธีที่ลานกว้างตรงทางสามแพร่ง พอถึงเวลาจุดธูปเทียนบอกกล่าว เสร็จแล้วก็เตือนญาติโยมลักษณะเดียวกันว่า ถ้าได้ยินอะไรอย่ากลัว อย่าลุกวิ่งหนี ปรากฏว่าอยู่ ๆ อากาศก็เปลี่ยนไป อย่างกับพายุฝนมามืดฟ้ามัวดิน แล้วก็มีเสียงคนกินกันกระจายเหมือนกัน พอถึงเวลาฟ้าดินกลายเป็นปกติ ขนมจีนเป็นสิบหาบหายหมดไม่มีเหลือเลย

ในประวัติหลวงปู่ปานไม่ได้มีเล่าเอาไว้ แต่ท่านที่เขียนประวัติหลวงพ่อเบี่ยง วัดทุ่งสมอ ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ม่วง เขาเขียนต่อกันมา ก็เลยกลายเป็น ๒ เรื่องในประวัติเดียวกัน บางคนถ้าไม่ได้ตั้งใจหาอ่านจริง ๆ จะไม่เจอเรื่องนี้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้ามัวแต่รอญาติ ผีก็อดตายพอดี จริง ๆ ผีไม่ตายหรอกแต่เขาทรมานมาก ก็เลยสงเคราะห์ด้วยการหาให้เขากิน แต่คาดว่าท่านคงช่วยสงเคราะห์ด้วยการปรับให้ผีเป็นของหยาบ เพื่อที่จะได้กินอาหารหยาบได้ ไม่อย่างนั้นเขากินได้แต่ส่วนที่เป็นนามธรรมเท่านั้น

เถรี
12-07-2012, 10:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเสาร์ตามความเชื่อฮินดูเขาบอกว่า พระพรหมธาดาผู้เป็นใหญ่นำเอาเสือ ๑๐ ตัว มาบดเป็นผง แล้วพรมด้วยน้ำอมฤต เกิดเป็นเทวดาชื่อพระเสาร์ เนื่องจากสร้างด้วยเสือ วันเสาร์จึงดุหน่อย แต่ยังดีกว่าวันอังคาร วันอังคารสร้างด้วยกระบือ เป็นประเภทกระบือบ้าม้าพยศทำนองนี้ เพราะฉะนั้น..วันอังคารจึงดุกว่าวันเสาร์ เพราะเป็นเทพเจ้าสงคราม

พอศึกษาเรื่องกำเนิดเทวดาของศาสนาฮินดูแล้ว จะเห็นว่าเทวดาของเขามีกิเลสมากกว่ามนุษย์เยอะเลย เช่น แอบเป็นชู้กับเมียเขาให้ยุ่งไปหมด อย่างพระอาทิตย์แอบเป็นชู้กับเมียของฤๅษีโคดม มีลูกออกมาเป็นสุครีพ และพระอินทร์ก็เป็นชู้กับเมียของฤๅษีโคดมด้วย มีลูกออกมาเป็นพาลี ตอนนั้นสุครีพกับพาลียังเป็นเด็กธรรมดาอยู่ แต่ว่านางสวาหะซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ ของพระฤๅษีรู้ตลอดว่า เวลาพ่อฤๅษีไม่อยู่ จะมีคนใส่ชฎาแหลม ๆ มาหา แอบเป็นชู้กับแม่

วันหนึ่งพระฤๅษีโคดมให้สุครีพขี่คอ อุ้มพาลี และจูงนางสวาหะไปอาบน้ำที่ท่า นางสวาหะที่เป็นลูกสาวก็บ่นพ่อว่า ทีลูกคนอื่นทั้งอุ้มทั้งให้ขี่คอ ส่วนลูกตัวเองให้เดิน พระฤๅษีสงสัยก็สอบถาม นางสวาหะจึงเล่าให้ฟังว่า ตอนพ่อไม่อยู่มีตัวแดง ๆ และตัวเขียว ๆ มาเป็นชู้กับแม่ ฤๅษีก็โกรธ จับลูกทั้ง ๓ โยนลงน้ำ พร้อมกับสาป ถ้าหากเป็นลูกตัวเอง ให้ว่ายน้ำกลับมาหา ถ้าเป็นลูกคนอื่นให้เป็นลิงเข้าป่าไป

ลูกชาย ๒ คน คือพาลีกับสุครีพจึงกลายเป็นลิง ลูกสาวคือนางสวาหะได้กลับมา พอกลับไปถึงที่อยู่ นางกาลอัจนาเห็นว่าลูกชายหายไปจึงสอบถามพระฤๅษี พระฤๅษีโกรธจึงด่าให้ นางกาลอัจนาทราบเรื่องจึงสาปลูกสาวแทน ให้ไปยืนตีนเดียวกินลม จนกว่าจะมีลูกออกมาเป็นลิงบ้าง ถึงจะพ้นจากคำสาปนั้น ซึ่งตอนหลังพระพายเอาเทพอาวุธไปซัดเข้าปากนางสวาหะ จนเกิดมาเป็นหนุมาน นางสวาหะจึงพ้นจากคำสาป ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ยืนอ้าปากหวออยู่อย่างนั้น"

เถรี
12-07-2012, 10:47
"ความจริงฮินดูเขาก็เข้าใจถูก ตรงที่เทวดาหรือพรหมยังไม่หมดกิเลส แต่ฮินดูเขารู้ไม่ทั่ว ที่รู้ไม่ทั่วคือพรหมเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้ามีเยอะมาก โดยเฉพาะในสุทธาวาสพรหมทั้ง ๕ ชั้น มีทั้งอนาคามีผลและอรหัตมรรคเยอะมากเลย บรรดาเทวดานางฟ้าต่าง ๆ ก็เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีเยอะแยะ ที่เขารู้ไม่ทั่วอาจเป็นเพราะว่าบุคคลที่รู้เห็น ไปแค่โลกียฌาน ก็เลยเหมือนกับว่ารู้เห็นเฉพาะในส่วนที่ตนเองชำนาญ ถึงเวลามาเขียนรามายณะ รามเกียรติ์ หรือมหาภารตยุทธก็ดี จึงเอาในส่วนที่เป็นกิเลสใส่ไปเต็ม ๆ

มหาภารตยุทธมีส่วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ ใคร ๆ ก็ว่าเป็นปรัชญาที่ลึกซึ้งนักหนา คือ ภควัทคีตา กฤษณะซึ่งปลอมเป็นคนขับรถ มาขับรถให้อรชุน อรชุนเห็นว่าจะต้องรบกับญาติพี่น้องตัวเอง เลยมืออ่อนทำไม่ลง แต่อีกฝ่ายเขาไม่สนใจ คุณทำเขาไม่ลง แต่เขาทำคุณลง กฤษณะจึงต้องเทศน์สอนอรชุนให้รู้ไว้ว่า ทุกสรรพล้วนแล้วแต่เป็นสมมติทั้งนั้น ลักษณะนี้น่ากลัวมาก น่ากลัวตรงที่ว่า เขาสอนให้ผิดศีลเลย ฆ่าเขา แต่ฆ่าด้วยการปล่อยวาง

ส่วนนี้อาตมาเจอกับตัวเองมาทีหนึ่ง กำลังใจได้ถึงขนาดบรรดาฆาตกรหรือเพชฌฆาตที่สุดโหดเลย ตอนที่อยู่วัดท่าซุง พวกหาปลามาร้องด่าท้าทายอยู่ครึ่งค่อนคืน ว่าถ้าแน่จริงให้ข้ามมา จะยิงให้กลิ้งเป็นหมาให้ดู อาตมาก็เลยข้ามไปหา พวกเขาถือปืนลูกซองขึ้นลำพร้อมยิงแล้ว อาตมายังเดินเข้าหาพวกเขาหน้าตาเฉย

กำลังใจของอาตมาตอนนั้นนิ่งมากเลย ลักษณะอย่างนั้นถ้าลงไม้ลงมือ อีกฝ่ายหนึ่งไม่เหลือแน่นอน ต้องบอกว่ากำลังใจมีสติสมบูรณ์พร้อมสุด ๆ พร้อมที่จะฆ่าได้โดยไม่กระพริบตา..! ปรากฏว่ารังสีอำมหิตน่าจะแรงเกินไป อีกฝ่ายหนึ่งเลยทิ้งปืนวิ่งหนี ทั้ง ๆ ที่อาตมาไปมือเปล่า

พอมานึกถึงตอนกฤษณะสอนอรชุนให้รบกับพี่น้องตัวเอง กำลังใจของเขาน่าจะอยู่ในลักษณะนี้แหละ ไม่เหลือรักชอบเกลียดชัง เหลืออยู่อย่างเดียวคือมุ่งมั่นทำให้งานตรงหน้าสำเร็จลง ต่อให้งานตรงหน้าคือการรบราฆ่าฟันทำสงคราม เข่นฆ่าแม้คนที่เป็นพี่น้องตัวเองก็ต้องทำ สยดสยองอย่างไรก็ไม่รู้ ได้แต่หวังว่าคงไม่ต้องใช้กำลังใจอย่างนั้นอีก"

เถรี
12-07-2012, 11:18
"ตอนนั้นกำลังใจคงข่มกันอยู่ อีกคนโมโหเต้นแร้งเต้นกา แต่อีกคนหนึ่งน่าจะถึงระดับสังขารุเปกขาญาณเลย เพียงแต่เป็นมิจฉาสมาธิเท่านั้นเอง ตอนเดินเข้าไปหา คำว่ากลัวแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ในใจเลย ทั้ง ๆ ที่ปืนขึ้นลำจ่อเตรียมยิงอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายหนึ่งเขาทนกำลังใจแบบนี้ไม่ไหว เขาเลยทิ้งปืนวิ่งหนีเอง

ตอนหลังถามพลทหารจำรัสที่พายเรือไปให้ พลฯจำรัสเขาเบี่ยงตัวหลบอยู่ข้างหลังอาตมา กะว่าถ้าพวกนั้นยิง อาตมาก็โดนก่อน ถามเขาว่า "เอ็งรู้สึกอย่างไร ?" เขาบอกว่า "ผมมั่นใจว่ามันไม่ยิง" อาตมาบอกเขาไปว่า "ถ้าอย่างนั้นเอ็งตายเปล่า คนตัดสินใจไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ วินาที จะไปมั่นใจว่าเขาไม่ยิงได้อย่างไร ?" "แล้วอาจารย์คิดอย่างไร ?" "กูคิดว่ามันยิงกูไม่ออก..!" ที่เขาทิ้งปืนวิ่งหนี เขาอาจจะเหนี่ยวไกแล้วก็ได้ แต่ยิงไม่ออก..(หัวเราะ)..

พอเห็นกำลังใจตอนนั้นแล้วยอมรับว่า แม้แต่ตัวเองยังกลัวตัวเองเลย แล้วคนอื่นจะไม่กลัวได้อย่างไร เลือดเย็นสุด ๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่นิดเดียว

บางอย่างของศาสนาฮินดูก็เอามาจากความเป็นจริง แต่ว่าในความเป็นจริงนั้นต้องบอกว่าจริงแค่ตรงนั้น ในเมื่อจริงแค่ตรงนั้นก็ดีแค่ตรงนั้น ส่วนที่ดีกว่านั้นยังมีอยู่ เขายังเข้าไม่ถึง เราถึงได้เห็นความเป็นอัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่คนอื่นเขาติดกับดักอยู่ตรงนั้นหมด พระองค์ท่านสามารถแหวกฝ่าไปได้ จนกระทั่งหลุดพ้น ไปแบบไม่มีครูด้วย..!"

เถรี
12-07-2012, 11:23
ถาม : จะไปบูชาเทวดาที่ศาลหลักเมือง..?
ตอบ : ใช้พวงมาลัยดอกดาวเรือง อาตมาไปทีก็เอาไปพวงหนึ่ง ท่านชอบอย่างนั้น

ถาม : ถ้าเป็นพวงมาลัยแบบอื่น ?
ตอบ : ก็ใส่ดาวเรืองไปเยอะ ๆ จะไปยากอะไร ? เดี๋ยวอาตมาก็โดนเทวดาเหยียบเข้าสักวัน ค่าที่ชอบไปเปิดเผยรสนิยมของท่าน

เถรี
12-07-2012, 11:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราคงไม่รู้จักไม้โบราณ อย่างชมนาด บางคนเขาเรียกดอกข้าวใหม่ กลิ่นเหมือนข้าวหอมเพิ่งหุงสุกใหม่ ๆ พวกโมกในปัจจุบันนี้ตลาดต้นไม้เขาเล่นกันเยอะ น่าจะรู้จักกัน ส่วนชะลูดกลิ่นหอมมาก โบราณเขาเอาเข้ายาไทย เป็นพวกยาบำรุงหัวใจ

จันทน์กะพ้อ เป็นไม้ยืนต้น เวลาออกดอกเป็นช่อใหญ่ ๆ สวยมาก ก้านช่อเป็นสีน้ำตาลค่อนข้างจะเด่น ตัวดอกสีจะขาวอมชมพู แต่ชมพูไม่ชัด ต้องตั้งใจดูจริง ๆ ถึงจะรู้ว่ามีชมพูอยู่ด้วย ที่ปทุมธานีมีวัดชื่อจันทน์กะพ้อ สมัยท่านเจ้าคุณพระเทพสุเมธมุนีเป็นเจ้าอาวาส ท่านพยายามปลูกและรักษาเอาไว้ ถ้าใครอยากดูต้นจันทน์กะพ้อให้ไปดูที่วัดจันทน์กระพ้อ จ.ปทุมธานี จะได้เห็นว่าไม้โบราณหน้าตาเป็นอย่างไร

http://board.goosiam.com/imgupload/ans544476.jpg
จันทน์กะพ้อ


ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนมีโครงการสำรวจต้นไม้ ซึ่งบรรดานักวิชาการสิ่งแวดล้อมจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะไปสำรวจ โดยเฉพาะไม้โบราณ ๆ อย่างต้นอิน ต้นจัน มะม่วงกะล่อน อายุหลายร้อยปี เขาจะไปขึ้นทะเบียนไว้ เขาบอกว่าสถานที่ที่เขาจะสำรวจ ต้องมั่นใจว่าจะไม่ไปโค่นทิ้ง ไม่อย่างนั้นพอเขาขึ้นบัญชี กลับไปแล้วจะไม่มีให้เห็น

เด็ก ๆ รุ่นหลังลูกอินลูกจันก็ไม่รู้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าลูกอินลูกจันน้ำกะทิรสชาติเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยกิน สมัยเด็ก ๆ พกใส่กระเป๋าคนละลูกสองลูกเวลาไปโรงเรียน ดมกันไปดมกันมา กลิ่นจะหอมมาก พอถึงเวลาหิวก็แทะกิน กินเนื้อหมดไม่พอ แทะเมล็ดต่อ เมล็ดก็กินได้"

เถรี
12-07-2012, 12:12
"พอมาในยุคปัจจุบัน อะไรต่อมิอะไรหายหมด ไม่ได้เห็นฟักข้าวมานานแล้ว ฟักข้าวเป็นไม้เถาเลื้อย ลูกเหมือนทุเรียนเล็ก ๆ แต่หนามไม่ได้ใหญ่ขนาดหนามทุเรียน หนามเหมือนหนามขนุน ลูกเล็ก ๆ สีเขียว ๆ แกงส้มอร่อยมาก ต้มจิ้มน้ำพริกก็ได้ พวกนักวิจัยเขาเอาไปทดสอบดูแล้ว ฟักข้าวมีสารประเภทต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เขาเลยมั่นใจว่า พวกที่ใช้ฟักข้าวทำอาหาร น่าจะไม่เป็นมะเร็ง

http://www.thaieditorial.com/wp-content/uploads/2011/04/%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7.jpg
ฟักข้าว


ฟักข้าวลูกค่อนข้างจะกลม ๆ รี ๆ หน่อย มีแต่หนาม ถ้าสุกจะเป็นสีส้มหรือสีแดง สมัยวัยรุ่นอาตมาใช้เป็นเป้าปืนลูกซอง เพราะเด่นดี บ้านยายของอาตมาอยู่ที่สวนบางกอกน้อย สมัยนั้นถือปืนไล่ยิงนก ยิงหนู ยิงกระรอกกระแตในสวนไปเรื่อย วันไหนหาอะไรยิงไม่ได้ก็ยิงฟักข้าว

ตอนเป็นทหารอาตมาไม่ได้ไปบ้านยายเสียนาน พอลาได้ก็ไปบ้านยาย เอาปืนมาทำความสะอาดเสร็จ เปิดหน้าต่างออกไป กะว่าจะยิงฟักข้าวต้นที่อยู่แถวนั้น ปรากฏว่ากลายเป็นบ้านจัดสรรไปแล้ว พวกเรารุ่นหลัง ๆ ไม่รู้หรอกว่าถนนสายปิ่นเกล้าพุทธมณฑลนั้นผ่าเข้าไปกลางสวนเลย เดิมเป็นท้องร่องสวน

ปี ๒๕๒๑ อาตมาฝึกมโนมยิทธิ ครูฝึกเขาให้ดูว่า อีกประมาณ ๒๐-๓๐ ปีข้างหน้ากรุงเทพฯ จะมีสภาพเป็นอย่างไร พอดูเสร็จอาตมาก็บอกครูฝึกว่า มีถนนซ้อนถนนเต็มไปหมดเลยครับ ครูฝึกบอกว่าให้รอดูไป พอถึงเวลาแล้วจะมีจริงไหม ในที่สุดก็โผล่มาจริง ๆ ทางด่วนขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ แถมยังมีรถไฟลอยฟ้าให้ยุ่งไปหมด

แสดงว่าในเรื่องอนาคตังสญาณเป็นเรื่องจริง แล้วจุดที่เห็นก็คือตรงปิ่นเกล้าพุทธมณฑลที่ตัดออกไปตลิ่งชัน - บางบัวทอง ถนนไขว้กันให้มั่วไปหมดเลย"

เถรี
12-07-2012, 21:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าเดือนมีนาคม อาตมาจะไปอังกฤษ โยมเขานิมนต์ไว้ ลงเวลาไว้แล้ว แต่ยังไม่ลงวัน เขานิมนต์อาตมาก็รับ ๆ ไป บอกว่าถ้าปิดเทอมถึงจะไป ถ้าเปิดเทอมไปไม่ได้เพราะต้องสอนหนังสือและต้องเรียนด้วย เขาบอกว่าน่าจะเป็นช่วงปิดเทอม

อังกฤษเสียอย่างเดียวตรงที่ค่าเงินของเขาแพง ใช้แต่ละทีต้องคิดแล้วคิดอีก ไปประเทศที่เงินถูก ๆ สบายใจกว่า อย่างอินโดนิเซีย ไปนั่นอาตมาหยอดตู้ทำบุญครั้งละแสน แสนหนึ่งของเขาเท่ากับ ๓๔๐ บาทไทยเอง"

เถรี
12-07-2012, 21:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ต้องรอท่านแบงค์ (พระทรงพล กิตฺติปญฺโญ)จบปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาก่อน ท่านมีโครงการทำ e-book ของวัดท่าขนุน ตอนนี้ท่านทำหนังสือสวดมนต์ไปเล่มเดียว เล่มอื่นไม่มีเวลาทำ พอท่านเรียนจบอาตมาค่อยส่งข้อมูลหนังสือเล่มอื่น ๆ ให้ทำ พวกเราส่วนหนึ่งจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อ เข้าไปโหลดมาดูได้เลย"

เถรี
12-07-2012, 21:29
ถาม : ที่กฎหมายว่าครอบครองปรปักษ์ ๑๐ ปีได้เป็นเจ้าของ ผิดศีลข้อ ๒ ไหมคะ ? เพราะจริง ๆ ก็ไปแย่งของคนอื่นเขา
ตอบ : ผิดจ้ะ..กฎหมายให้โอกาสเพราะว่าฝ่ายหนึ่งทำประโยชน์มาเป็น ๑๐ ปี อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถ้าว่ากันในเรื่องของศีลธรรมแล้วผิดเต็ม ๆ แต่อย่าลืมว่าต้องครอบครองโดยอีกฝ่ายไม่คัดค้าน ถ้าหากภายใน ๑๐ ปีอีกฝ่ายหนึ่งเขามีการคัดค้าน หรือมีการทำสัญญาเช่า ก็ครอบครองไม่ได้

เขาใช้คำว่าครอบครองโดยสงบ (เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ) เราก็อย่าทำให้สงบสิ

เถรี
13-07-2012, 11:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "นฤ แปลว่าไม่มี นฤภรณ์ แปลว่าไม่มีเสื้อผ้า ถ้าเป็น นฤพร แปลว่า ไม่มีความดี นฤมล แปลว่าไร้มลทิน แต่ถ้าคนเขียนผิดเป็น นฤมน แปลว่าไม่มีหัวใจ เพราะ มน แปลว่าใจ

ฉะนั้น..เขียนให้ถูก ถ้าเขียนไม่ถูกความหมายผิดเลย มนฤดี แปลว่าดวงใจ ใจซ้อนใจ แต่ถ้า มลฤดี เขียนสวยกว่าแต่แปลว่าใจดำ ใจสกปรก..!"

เถรี
13-07-2012, 11:56
ถาม : มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า การนั่งกรรมฐานถ้าเกินครึ่งชั่วโมงแล้วจะไม่ดี ?
ตอบ : ก็แล้วแต่ความเห็นของท่านสิจ๊ะ ถ้าท่านนั่งนานแล้วไม่ดี ก็บอกให้ท่านนั่งน้อยหน่อย แต่ละคนบารมีที่สร้างมา สภาพร่างกายและกำลังใจไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น..เราจะเอาตัวเราเองเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นไม่ได้ ท่านเองนั่งได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แล้วไปฟันธงว่ามากกว่านั้นไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็เสร็จ

เถรี
13-07-2012, 11:58
ถาม : ภาวนาอยู่แล้วเกิดนิมิตกรรมฐานกองใหม่ ต้องเปลี่ยนตามไปเลยหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าจับภาพพระอยู่ ภาพพระของเรายังไม่ถึงที่สุด ไม่สามารถจะอธิษฐานย่อขยาย ให้มาให้ไปได้ ไม่สามารถจะอธิษฐานขอใช้ทิพจักขุญาณได้ ให้จับภาพพระต่อไปก่อน เพราะว่าของอื่นที่แทรกเข้ามา ถ้าเราเบี่ยงความสนใจไปเท่ากับเป็นการเริ่มต้นใหม่ ของเก่าก็ยังไม่ได้ ของใหม่ก็ยังไม่ดี ถ้าของเก่าคล่องตัวแล้วค่อยขยับไปของใหม่

เถรี
13-07-2012, 12:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่ที่ขึ้นไปพัก เป็นเวลาที่ให้หมอมานวด จะบิดตรงไหนก็ลั่นกรอบแกรบไปหมด 'ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ' ท่านไม่ได้ให้ท่องเฉย ๆ แต่ให้นึกเห็นตามไปด้วยว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าสภาพจิตยอมรับก็จะเป็นปัญญา ถ้าสภาพจิตไม่ยอมรับ สักแต่ว่าท่อง ๆ ไปก็ได้สมาธิมาหน่อยหนึ่ง"

เถรี
13-07-2012, 15:08
ถาม : พุทธภูมิที่ได้รับคำทำนาย..(ไม่ได้ยิน)..?
ตอบ : นับไม่ไหว แค่กัปหนึ่งก็นับไม่ไหวแล้ว ถ้าสมมติว่าคุณได้รับคำทำนายว่าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปก็ตายกันพอดี ไม่ต้องไปนับหรอก แค่นับกัปยังยากเลย อย่าว่าแต่นับชาติ กัปหนึ่งนี่เกิดจนนับไม่ถ้วน อย่างที่ว่าเป็นอสงไขยกัป ถ้าท้อก็ถอย ถ้าไม่ท้อก็ลุยต่อไป

ถาม : อ๋อ..ท่านถึงได้บอกเอาไว้ว่า น้ำตาที่หลั่งออกมานั้นมากมายกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เอาแค่ชาติละไม่กี่หยดนั่นแหละ

เถรี
16-07-2012, 17:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "การสร้างวัตถุมงคลไม่ใช่ความประสงค์ของเรา จะให้พระท่านสงเคราะห์ก็ต้องเป็นความประสงค์ของท่าน ถ้าหากพระ หรือพรหมเทวดาท่านไม่เล่นด้วยแล้วยังฝืนจะทำ ก็ไปไม่รอดหรอก เจ๊งมาเยอะแล้ว พระเพื่อนกันสร้างจตุคามรามเทพ รุ่นแรกได้กำไร ๑๒ ล้าน พอทำรุ่นสองเจ๊งไม่เป็นท่า ทุนหายกำไรหด..!"

เถรี
16-07-2012, 17:42
ถาม : เวลาไปวัดแล้วนอนไม่หลับเพราะคนอื่นกรน ?
ตอบ : อย่าไปสนใจ อยู่กับลมหายใจเดี๋ยวก็หลับเอง สมัยก่อนเวลาอาตมาไปวัด บางคนนอนกรนจนห้องสะเทือนเลย อาตมาก็อยู่กับลมหายใจเข้าออก เชิญเอ็งกรนของเอ็งไป บางคนกรนไม่กรนเปล่า สำลักน้ำลายตัวเองอีกด้วย ต่อให้หลับอย่างไรก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเขาไอ เพราะฉะนั้น..อยู่กับลมหายใจของเรา อย่าไปสนใจ ไม่อย่างนั้นก็เอาดินน้ำมันหรือสำลีอุดหูไปเลย..!

เถรี
16-07-2012, 17:44
ถาม : เรื่องของน้องมาร์ค เด็กที่อยากเป็นเณร ?
ตอบ : ต้องมีของเก่าด้วย เนกขัมมบารมีนี่ไม่ใช่ง่าย ๆ นะ บางคนอยากบวช เพียรพยายามทั้งชีวิตก็ไม่ได้บวช แต่นี่ของเก่าเขาตุนมาเยอะแล้ว ไม่เห็นหรือว่าทั้ง ๆ ที่พูดไม่ชัด แต่สวดมนต์ให้พรได้ชัดเลย

เถรี
17-07-2012, 10:34
ถาม : อาราธนาให้พระคุ้มครอง เป็นคาถาเดียวกับการปลุกพระหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : การอาราธนาพระจะมีคาถาเฉพาะ ถ้าไม่มีก็ว่าภาษาไทยเลย "สาธุ..คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกด้วย" ขอให้นึกถึงท่านเท่านั้น ส่วนใหญ่แขวนพระอยู่กับคอ แต่ไม่เคยนึกถึงพระเลย บางทีอาบน้ำขึ้นมาก็รำคาญอีก หาว่าท่านเกะกะ

ถ้าไม่ได้ภาษาบาลีก็ไม่เป็นไรหรอก ให้ว่าเป็นภาษาไทยนี่แหละ

เถรี
17-07-2012, 11:53
ถาม : ถ้าเราจับภาพพระอยู่ แล้วภาพพระเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นที่เราไม่ต้องการ ?
ตอบ : นึกถึงภาพพระใหม่

ถาม : ถ้าภาพพระนั้นเปลี่ยนไป มาขยิบตาล้อเล่นกับเรา ?
ตอบ : ลักษณะนั้นเป็นการทดสอบกำลังใจว่าเราจะกลัวหรือไม่ ? ถึงเวลาเราจะนึกถึงความดีหรือไม่ ? หรือเราจะปีติฟูจนเกินไปหรือไม่ ?

เขาไม่ให้สนใจ ตั้งใจจับภาพพระแล้วภาวนาของเราต่อไป ถ้ายิ่งไปสนใจ ท่านก็ยิ่งออกฤทธิ์มาก เพราะฉะนั้น..มีหน้าที่อย่างเดียว คือ ปล่อยวางให้ได้ แล้วปฏิบัติหน้าที่ของเราไป ไม่อย่างนั้นเราจะลืมจุดมุ่งหมายของเราไป เมื่อเช้าก็มีโยมมาถามว่าจับภาพพระอยู่แล้วก็เห็นภาพโครงกระดูกแทน จะต้องทำอย่างไร ? อาตมาบอกว่า ถ้าภาพพระของเรายังไม่คล่องตัว ถึงขนาดอธิษฐานให้ใหญ่ได้ให้เล็กได้ ให้มาได้ให้ไปได้ อธิษฐานขอใช้ผลได้ ก็อย่าเพิ่งไปเปลี่ยน ไม่ว่าภาพโครงกระดูกจะมาเท่าไร ให้ทิ้งไปก่อน ถ้าเราทำภาพพระของเราคล่องตัว อธิษฐานใช้ผลได้ ค่อยไปจับกองอื่นต่อไป

เราต้องรักเดียวใจเดียว ไม่อย่างนั้นเขาจะดึงให้เราเป๋ไปเรื่อย เจาะกำแพงตรงนี้จะเอาให้ทะลุไปได้ จะได้หนีรอดจากวัฏสงสารเสียที เจาะไปตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้ว ดันมาหลอกเราว่าตรงนั้นน่าเจาะกว่า เราก็ย้ายที่ไปเจาะใหม่ แล้วเมื่อไรจะทะลุสักที ต้องรักเดียวใจเดียว ผิดก็คือผิด ผิดแล้วแก้ไขให้ถูกให้ได้ ไม่ใช่ผิดแล้วผิดเลย

เถรี
17-07-2012, 14:43
ถาม : ขอหลักการการค้าขายค่ะ
ตอบ : เอากำไรน้อย ขายบ่อย ๆ ก็ได้กำไรมากไปเอง จริง ๆ ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจและอัธยาศัยของเราด้วย ถ้าหากว่าอัธยาศัยดี ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ใคร ๆ ก็อยากติดต่อกับเรา ถ้าหากว่าไม่ตรงไปตรงมา คนเขาก็ปวดหัว มาครั้งนี้อย่างนี้ ครั้งหน้าอีกอย่างหนึ่ง แล้วเมื่อไรจะรู้เรื่องกันสักที

โดยเฉพาะโบราณว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ก็คือ ถ้าซื่อสัตย์ก็มีคนเขาติดต่อค้าขายด้วย ไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมด ถ้าหากว่าไปโกงเขาทีเดียว ต่อไปคนอื่นเขาไม่คบหาด้วย ตัวเองก็ไม่มีอะไรจะกิน

มีอยู่สมัยหนึ่งที่คนไทยเขาขายมันสำปะหลัง ตั้งใจเอาทรายผสมไปให้ได้ปริมาณเยอะ ๆ แรก ๆ มีไม่มากเขาก็พอรับได้ ตอนหลังใส่เป็นตัน ๆ เขารับไม่ได้ จนเลิกติดต่อด้วย รายนั้นก็เจ๊งไป

ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา และอัธยาศัยดี ใคร ๆ ก็อยากจะค้าขายกับเรา ต่อให้ราคาของเราเท่ากับคนอื่น หรือว่าสูงกว่าคนอื่นสักเล็กน้อย แต่ถ้าเราตรงไปตรงมาโดยเฉพาะตรงเวลา รับปากเมื่อไรได้เมื่อนั้น ใคร ๆ ก็มาค้าขายกับเรา เขาคงไม่ไปที่อื่นให้เสียเวลาหรอก

เถรี
17-07-2012, 15:30
ถาม : พระองค์ใหญ่มาก ไม่สามารถจะหันหน้าไปทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกได้ เอาเฉพาะองค์ประธานได้ไหมครับ ?
ตอบ : มีบ้านอยู่หลังหนึ่งหันพระไม่ตรงทิศเพราะมุมบังคับ เขาตั้งหิ้งพระตามมุม แต่เขาจับหันพระตะแคง อาตมาเข้าไปเห็นแล้วยังหัวเราะว่าทำไปได้

ถาม : แล้วได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ได้อยู่ แต่คนอื่นเห็นเขาจะรู้สึกแปลก ๆ แต่ถ้าพระประธานได้ องค์ที่เหลือก็ต้องได้ อย่างนี้ก็ไม่ใช่ตรงจริง เราก็เอาตรงที่สุด

ถาม : ก็เฉียง ๆ สิครับ ?
ตอบ : ถือว่าเอาทิศที่ใกล้เคียงที่สุด

เถรี
17-07-2012, 15:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านใดที่จองเป็นเจ้าของพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช คงจะเห็นแล้วนะเสร็จแล้วหน้าตางามแค่ไหน แต่เนื่องจากเป็นโลหะผสม เนื้อโลหะแต่ละอย่างไม่เท่ากัน ถึงเวลามีการหดตัวเป็นหลุมเป็นร่องบ้าง เป็นตามดบ้าง ถ้าเราจะปะให้เรียบก็ได้ แต่ตรงที่เราปะ จะชุบไม่ติด ก็เลยต้องปล่อยให้เป็นหลุมเล็ก ๆ อย่างนั้น

ฉะนั้น..ถ้าเล่มไหนเรียบกริบนี่เป็นของปลอม ของแท้จะไม่เรียบ ต้องมีหลุมมีรอยเหมือนตามด เหมือนอย่างกับแมลงแทะกินไปหน่อย"

เถรี
17-07-2012, 16:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตาที่สร้างยากที่สุดต้องเป็นพระปิดตายันต์ยุ่งของหลวงปู่ทับ วัดทอง เพราะว่าปั้นหุ่นด้วยมือทีละองค์ แต่ว่าฝีมือท่านสุดยอด

ที่เรียกพระปิดตายันต์ยุ่ง เพราะว่ายันต์แต่ละอย่างจะพันรอบองค์พระ ถือว่าเป็นพระปิดตาเนื้อโลหะอันดับหนึ่งของประเทศไทย สมัยก่อนทำกันทีละองค์ ทำไปเสกไปก็เลยมีไม่มากเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้เป็นวิชชามัยฤทธิ์ คือฤทธิ์ที่เกิดจากวิทยาการสมัยใหม่ พิมพ์กันทีละมาก ๆ "

เถรี
17-07-2012, 16:18
พระอาจารย์กล่าวถึงเด็กว่า "เด็กวัยนี้เขาจะถามเพื่อการเรียนรู้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาถามอะไร เราต้องตอบเขาทุกอย่าง อย่าไปรำคาญ"

นอกจากนี้ยังกล่าวกับเด็ก ๆ ว่า
"กินแต่พอสมควรนะลูก กินมาก ๆ เดี๋ยวอ้วนแล้วไม่สวยนะจ๊ะ เอาแต่พอสมควร ถ้ากินทั้งวันไม่หยุด เดี๋ยวอ้วนแล้วจะน่าเกลียด ถ้ากินแต่พอสมควรโตขึ้นแล้วจะสวยมาก

เด็ก ๆ เราต้องให้ทัศนคติตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วเขาจะรู้เอง เด็กหลายคนไม่ยอมหย่านม อาตมาเลยบอกเขาว่า ให้ใส่แก้วกินได้แล้ว เพราะว่าดูดนมมาก เดี๋ยวฟันเหยินจะไม่สวย เด็กรีบเลิกดูดนมเลย ตอนแม่บังคับให้เลิกเท่าไรก็ไม่ยอม แต่พอรู้ว่าจะไม่สวยแล้วเลิกเลย"

เถรี
17-07-2012, 17:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านทิ้งลูกทิ้งเมียได้ ท่านตัดใจได้เด็ดขาดจริง ๆ โดยธรรมชาติของคนให้ทิ้งคู่ก็พอไหว แต่ทิ้งลูกนี่ ตัดใจยากสุดขีดทั้งนั้น คนจีนเขามีภาษิตว่า "สามีภรรยาเหมือนนกร่วมพนา เภทภัยกรายมาแยกย้ายบินจาก" ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป

เพราะฉะนั้น..เรื่อง ห่วงหาอาลัยคู่ตัวเองก็ยังไม่เท่ากับอาลัยลูก มีอยู่หรอกประเภทคู่รักที่ตายแทนกันได้ แต่สำหรับลูก..โบราณว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข หรือไม่ก็เลือดในอก ถึงได้บอกว่าลูกอาจจะตัดพ่อตัดแม่ได้ แต่พ่อแม่ตัดลูกไม่ลงหรอก ดีแต่ปากทุกคนแหละ ลูกกลับไปง้อหน่อย เดี๋ยวก็ใจอ่อนแล้ว

ที่โบราณเขาถามว่า บุคคลประเภทไหนที่เขาเตะถีบเท่าไรก็ยังรัก ? คำตอบคือคนเป็นแม่ ลูกเตะแม่ตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว"

เถรี
18-07-2012, 13:10
ถาม : ถือศีล ๘ เป็นบางวันได้ไหม ?
ตอบ : ได้..เพียงแต่ว่าถ้าจะทำก็ทำให้จริงจังไปเลย อย่าไปทำเล่น ๆ เดี๋ยวเป็นการปรามาสอีก ถือศีล ๘ ครึ่งวันยังได้เลย คนใช้ของอนาถปิณฑิกเศรษฐีถือศีล ๘ ครึ่งวันก็เป็นลมตาย นั่นเพราะว่าเขาอดอาหารมาก่อนแล้ว

พออาตมาไปประเทศพม่า ถึงได้รู้ว่าการกิน ๓ มื้อ ฟุ่มเฟือยมาก พม่าเขากินประมาณ ๒ มื้อ กินตอนสายแล้วไปกินตอนบ่ายแก่ หรือตอนค่ำไปเลย ฉะนั้น..คนพม่าที่มาอยู่เมืองไทย ถ้าอยู่นานหน่อยจะอ้วนทุกคน เพราะอยู่บ้านเขางานแสนจะหนัก ได้กินแค่ ๒ มื้อ และไม่ค่อยจะเต็มมื้อด้วย

เถรี
18-07-2012, 13:19
มีโยมคนหนึ่งจะทำบุญแล้วอธิษฐานนาน พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "อธิษฐานยาวนี่เกิดนานนะ..(หัวเราะ)..เพราะกำลังใจยังไม่เด็ดขาด ยังเผื่อนั่นเผื่อนี่ไปเรื่อย ในเมื่อเผื่อนั่นเผื่อนี่ไปเรื่อย ถึงเวลาก็ต้องเกิดยาวอย่างที่อธิษฐานเผื่อเอาไว้"

เถรี
18-07-2012, 13:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนอาตมาถ่ายรูปหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา ท่านจะหลบตาหนีกล้องทุกที อาตมาก็แปลกใจ ตอนนี้ตัวเองรู้แล้วว่าเป็นอะไร พอแก่ ๆ แล้วสายตาแย่ โดนแสงแฟลชจ้า ๆ เข้า บางทีมองอะไรไม่รู้เรื่องไปตั้งนาน

หลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา ท่านสามารถรักษาหุ่นได้ตลอดชีวิต จน ๙๐ กว่าปี ท่านก็ยังคงผอมเหมือนเดิม ใคร ๆ บอกว่าท่านดุ คนที่ทำอะไรจริงจัง คนทั่วไปเห็นมักจะว่าดุ แต่ความจริงไม่ได้ดุหรอก ท่านทำอะไรจริงจัง ว่องไว ทำทันใจต่างหาก"

เถรี
18-07-2012, 18:24
ถาม : ทำไมพระต้องถอดรองเท้าครับ ? (เด็กน้อยถาม)
ตอบ : ท่านแสดงออกซึ่งความเคารพในทาน จึงถอดรองเท้าเวลาบิณฑบาต ศีลพระยังบังคับให้มีรองเท้า ๒ คู่ แต่ปัจจุบันนี้มักจะใส่กันคู่เดียว ฉะนั้น..เวลาเราเข้าวัด เราก็ต้องถอดรองเท้าด้วยลูก

จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้พระภิกษุมีรองเท้า ๒ คู่ คู่หนึ่งให้ใส่เดินทางทั่วไป เมื่อเข้าวัด ล้างเท้าเช็ดสะอาดแล้ว ให้ใส่รองเท้าอีกคู่หนึ่งที่สะอาดอยู่ จะได้ไม่ไปทำสกปรก เด็ก ๆ เขาช่างสงสัย แต่ดีที่เขากล้าถาม

เถรี
18-07-2012, 19:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "เพลงไทยโบราณ เขาเอามาทำเป็นทำนองเพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุงเยอะมากเลย ตอนแรกที่ได้ยินเพลงเด็กปั๊ม ก็ทราบว่าเป็นทำนองเพลงลาวแพน เรามีทั้งลาว เขมร ญวน จีน ให้ยุ่งไปหมด เลียนแบบเนื้อเพลงใครมาก็ออกชื่อนั้น ลาวดำเนินทราย ลาวดวงเดือน เขมรไทรโยค เขมรลออองค์ ดีอยู่อย่างหนึ่งที่เราให้เกียรติต้นตำรับ จะได้รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

แต่พอไปเขมรเข้าจริง ๆ แล้ว ปรากฏว่าความประณีตของเขายังสู้เราไม่ได้ ไม่ว่าจะโขน ละคร กระทั่งเรื่องการก่อสร้าง เขมรพยายามเลียนแบบไทยไปทุกอย่าง พระราชวังเขมรินทร์ตั้งใจเลียนแบบจากพระบรมมหาราชวังโดยตรงเลย แต่ก็ไม่ได้อย่างนั้น แม้กระทั่งวัดพระแก้วของเขาก็พยายามเลียนแบบวัดพระแก้วของเรา เขาไปหาพระแก้วมาให้เหมือน แต่พระแก้วของเขาไม่ใช่หยกจักรพรรดิอย่างของเรา ของเขาเป็นแก้วเขียวใส ๆ

จะว่าไปแล้วในช่วงที่มหาอาณาจักรขอมรุ่งเรือง แผ่ขยายอำนาจเข้ามา เรายังไม่มีประเทศไทยเลย ตอนนั้นยังเป็นอาณาจักรเจนละบก เจนละน้ำ อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรไศเลนทร์ อาณาจักรละโว้ ส่วนประเทศไทยยังไม่มี เขาเจริญมาก่อนนานมาก"

เถรี
19-07-2012, 11:45
"ช่วงนั้นบรรดาศิลปะต่าง ๆ อย่างพวกปราสาทหิน พวกรูปจำหลัก เราเอามาจากขอมทั้งหมดเลย แล้วขอมก็รับอิทธิพลจากฮินดูมาอีกทีหนึ่ง เนื่องจากพราหมณ์โกณฑัญญะไปแต่งงานกับนางนาคโสมาเทวี ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองขอม แล้วก่อตั้งอาณาจักรขอมขึ้นมา ในเมื่อเป็นพราหมณ์ก็เลยเอาศาสนาฮินดูเข้าไปก่อน เขาก็เลยนับถือฮินดูกันมาก่อน

จนกระทั่งมาถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พระองค์นับถือพุทธศาสนา ก็เปลี่ยนแปลงเอารูปเคารพที่เป็นฮินดูออก แล้วเอาพระพุทธรูปใส่เข้าไปแทน พอกษัตริย์รุ่นต่อมาหันไปนับถือฮินดู ก็เอาพระพุทธรูปออก แล้วเอารูปเคารพใส่คืนไป

ที่ปราสาทตาพรหม มัคคุเทศก์เขาชี้ให้ดู “สงสัยไหมครับ..ทำไมมีแต่ผนังขรุขระ ๆ ไม่มีรูปอะไรเลย ? ปกติแล้วจะต้องมีรูปตลอด” เขาบอกว่าเป็นเพราะสกัดรูปทิ้งกันไปมา ๓ - ๔ รอบแล้ว เขาก็เลยขี้เกียจแกะใหม่ พอกษัตริย์นับถือพุทธเขาก็ไปแกะเป็นรูปพุทธประวัติ พอกษัตริย์นับถือฮินดูก็ไปแกะเป็นพวกรูปกวนเกษียรสมุทร แกะไปแกะมาช่างคงระอาเต็มที จึงปล่อยทิ้งเหลือไว้แต่ผนังขรุขระ"

เถรี
19-07-2012, 11:58
ถาม : ทำไมเขาถึงต้องดัดแปลงใหม่คะ ทำไมไม่สร้างใหม่เลย ?
ตอบ : เพราะศาสนสถานมหึมามโหฬาร ไม่ได้สร้างกันง่าย ๆ พอมีของเก่าอยู่ก็แค่เปลี่ยนนิดหน่อย ง่ายกว่าตั้งเยอะ ตอนที่ไปที่นั่น เขาชี้ให้ดูว่าหินทุกก้อนจะเจาะรูไว้ก้อนละ ๔ รู แล้วเขาก็ถามว่า "รู้ไหมครับว่ารูอะไร ?"อาตมาก็พยายามดูว่ารูเอาไว้ตั้งเทียนหรือเปล่า เขาบอกว่ารูที่เจาะนี่เขาจะเอาลิ่มไม้ตอก แล้วก็ผูกเชือกเอาช้างลากไป ไม่อย่างนั้นจะขนหินไปก่อสร้างไม่ได้

ถาม : เป็นความเชื่อเรื่องทำเล หรือสภาพบริเวณที่ตั้งด้วยหรือเปล่า ว่าแบบนี้เหมาะสำหรับสร้างศาสนสถาน ?
ตอบ : อาจจะมีส่วนด้วย เพราะในเรื่องของภูมิทัศน์ ภูมิสถาปัตย์ เรื่องของฮวงจุ้ย คนโบราณเขาเก่งกว่าเราเยอะ แต่การสร้างบ้านในปัจจุบันนี้เขาไม่เอาแล้ว เราสร้างบ้านไปตามใจตัวเอง

ถ้าสร้างบ้านแบบโบราณ เขาจะหันไปตามแนวเหนือใต้ แล้วหน้าต่างหันรับลมใต้ เพราะถ้าหันรับลมเหนือ เวลาหน้าหนาวลมหนาวก็เข้าบ้าน ส่วนที่หันเหนือใต้เพราะแสงแดดจะส่องข้างบ้านแทน ทางด้านแสงเข้าเวลาบ่ายก็จะทำเป็นครัว เพราะว่าพอแสงบ่ายส่องไปก็เท่ากับทำความสะอาดขจัดเชื้อโรคไปในตัว ทางด้านทิศใต้จะสร้างห้องน้ำไว้ พอถึงเวลาลมมาจากเหนือมาไปทางใต้กลิ่นจะได้ไม่ฟุ้งไปในบ้าน

กลายเป็นว่าคนรุ่นใหม่สร้างไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ดูว่าอะไรเป็นอะไร บางทีอาตมาสั่งช่างที่วัดให้ทำหน้าต่างครึ่งนี้เปิดออก ครึ่งนี้ปิดเข้า ช่างเขาก็งงว่าทำไม่ทำแบบเดียวกันให้หมด เขาไม่รู้ว่าอาตมาจะเอาไว้รับลม

เถรี
19-07-2012, 15:08
พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของลานสาวกอดกับเรื่องมิดะนั้นมีอยู่จริง แต่อีก้อสมัยใหม่เขาอาย เขาก็เลยประท้วงบอกว่าไม่มี ทั้ง ๆ ที่มีหนังสือที่เขียนเรื่องนี้มานานแล้ว คุณจรัล มโนเพชร เอามาเป็นข้อมูล ขณะเดียวกันเขาก็เดินป่าเดินดงไปหาข้อมูลมาเองด้วย ขณะที่หนังสือไทยบอกว่ามั่ว แต่มีหนังสือฝรั่งตั้งหลายเล่มยืนยันได้ ส่วนฝรั่งเขาไปเก็บข้อมูลจากพม่า เขายืนยันว่าที่นั่นมีลานสาวกอด

ซึ่งตรงจุดนี้เป็นความทันสมัยของอีก้อเสียด้วยซ้ำไป แต่พอชาวอีก้อเขามาศึกษามากขึ้น ๆ แล้วเขาอายว่าเป็นประเพณีที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน เขาก็เลยพยายามปฏิเสธ คุณจรัล มโนเพชรตายไปแล้วแท้ ๆ แต่กลายเป็นจำเลยไป อีก้อเขาบอกว่าไม่มี ไปมั่วข้อมูลแต่งกันขึ้นมา เพลงมิดะนี้ห้ามเปิด เป็นต้น

คนอีก้อสมัยก่อนเขาไม่ถือสา ยิ่งผู้หญิงท้องค่าสินสอดยิ่งแพง เพราะเขาต้องการแรงงานในครอบครัว ผู้หญิงสาวนี่ค่าตัวไม่แพงนะ ประเภทเหล้าไหไก่ตัวอาจจะแต่งได้แล้ว แต่ถ้าผู้หญิงท้องคุณอาจจะต้องเสียหมูเพิ่มไปอีกตัว เขาเองมีลานสาวกอด เพื่อ ให้หนุ่มสาวไปเข้าไปมีเพศสัมพันธ์กัน ให้ศึกษากันไปก่อน เหมือนทดลองอยู่ก่อนแต่งทำนองนั้น แล้วเขาจะไม่มีการไปไล่ชี้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก เพราะเขาถือว่าเป็นลูกที่เทวดาส่งมาเกิด

แต่ทางด้านชาวอีก้อ ชาวเย้า เขาจะกลัวอยู่อย่างหนึ่ง คือ ลูกแฝด ถ้าได้ลูกแฝดเขาจะฆ่าทิ้งทั้งคู่เลย เขาถือว่าคนหนึ่งลูกผี คนหนึ่งลูกคน จึงไม่รู้ว่าจะเก็บคนไหนไว้ดี"

เถรี
19-07-2012, 15:17
"เป็นวัฒนธรรมที่ต้องบอกว่าดีมาก ๆ ตรงที่มิดะเป็นคนที่มีประสบการณ์มาคอยสอนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ให้รู้จักเรื่องพวกนี้ ทันสมัยกว่าพวกเราไม่รู้กี่ร้อยปี แต่คราวนี้เขารับไม่ได้ เพราะว่าพอศึกษาตามแบบวัฒนธรรมไทย เราไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ เขาก็อายขึ้นมา ท้ายสุดก็รับไม่ได้เลยปฏิเสธไป

ส่วนประเพณีแปลก ๆ เช่น ประเพณีล้วงสาวของกะเหรี่ยง พอถึงเวลาดึก หนุ่ม ๆ ก็จะดีดเตหน่า (พิณกะเหรี่ยง) เดินไปร้องเพลงไป บ้านไหนสาวยังไม่หลับ ก็ล้วงมือเข้าไป ถ้าหากว่าเขาตอบรับก็จะจับมือ แล้วก็ย่องไปคุยกัน แต่ว่าพ่อแม่เขาก็รู้ พอเห็นว่านานเกินไปพ่อจะกระแอมไล่เหมือนบอกว่า “กลับบ้านได้แล้วโว้ย” แต่เขาเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวมีความใกล้ชิดกัน ถ้าหากว่ารักชอบพอกันก็ไปสู่ขอแต่งงานกันต่อไป

กะเหรี่ยงที่ยังไม่แต่งงานจะใส่ชุดสีขาวซึ่งมีเส้นไหมพรมยาว ๆ อันนั้นห้ามขาดนะ คนที่จะเด็ดไหมพรมนั้นได้ก็คือเจ้าบ่าวในวันส่งตัวเท่านั้น ฉะนั้น..หนุ่มคนไหนอยากคุยกับสาวแล้วเขาไม่สนใจ เขาก็จะดึงไหมพรมเส้นนั้นแหละ ขู่ว่าจะตามมาหรือไม่มา อย่างไรก็ต้องตามไปคุยกับเขา ถ้าโดนดึงขาดก็ขายไม่ออกเลย เพราะถือว่าแต่งงานไปแล้ว"

เถรี
19-07-2012, 15:37
ถาม : เมื่อเร็ว ๆ นี้เห็นในโทรทัศน์มีการรณรงค์ โดยขึ้นข้อมูลว่า วัยรุ่นไทยท้องโดยไม่พร้อมสูงสุดในเอเชีย ให้ป้องกันไม่ให้กลายเป็นสูงสุดในโลก ?
ตอบ : ประเทศของเราเลียนแบบวัฒนธรรมอเมริกาโดยที่พื้นฐานของเราไม่ใช่แบบอเมริกา อเมริกาเขาให้ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่กันก่อนแต่ง ในลักษณะว่าถ้าจริตนิสัยหรือรสนิยมไปกันได้ก็จะขอแต่งงานกัน บางทีอยู่กันจนมีลูกสองคนสามคนแล้วค่อยแต่งงาน แต่ของเขาพอเข้าวัยรุ่น คือเริ่ม ๑๓ ปี พ่อแม่จะให้ทำงานหาเงินเองแล้ว ไม่มีมาส่งเสียเลี้ยงดูแบบของเรา

เด็กเขารับผิดชอบชีวิตได้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ แล้วแต่งกันได้ เขาจะต้องคิดว่าถ้าเพิ่มมาอีกคนเขาจะเลี้ยงดูได้ไหม ถึงขนาดที่ว่าสามีภรรยากินข้าวโต๊ะเดียวกัน แต่ต่างคนต่างจ่าย เราไม่มีธรรมเนียมตรงนี้ เราไปเลียนแบบการมีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่วัยรุ่น แต่ความรับผิดชอบของเราไม่มี เราไปเลือกวัฒนธรรมตรงที่เราชอบมาก็เลยเจ๊ง..! อย่างไอแพด ไอโฟน คนไทยเราซื้อเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก นึกเอาแล้วกันว่าประชากรของเราแค่ไม่กี่คนเอง

สมัยอาตมาเรียนอยู่มัธยมปีที่ ๑ มีรุ่นพี่ที่เรียนอยู่มัธยมปีที่ ๓ เขาท้อง ต้องย้ายหนีจากนครปฐมไปอยู่โคราชเลย เพราะว่าสังคมสมัยนั้นเขาไม่ยอมรับ ตกเป็นขี้ปากโดนเขานินทา กลายเป็นเป้าสายตา เป็นเป้านินทาของทั้งหมู่บ้านทั้งตำบล ก็อยู่ไม่ได้ แต่ปัจจุบันสังคมที่คอยควบคุมในลักษณะอย่างนี้ไม่มีแล้ว

เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็มักจะไปเรียน โดยการขอพ่อแม่เช่าหออยู่ ก็เลยหาคนมาช่วยกันจ่ายค่าหอ..! ก็ไปกันใหญ่ สังคมเราเปลี่ยนไป การควบคุมโดยสังคมไม่มี ที่เขาเรียกว่าระบบล่มสลาย แล้วก็รับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เหลือแต่จะทำอย่างไรให้เขาละอายชั่วกลัวบาป ตรงนี้ก็เป็นภาระของพระอีก

เถรี
19-07-2012, 15:53
ถาม : การปฏิบัติทุกอย่างต้องใช้การจับลมหายใจหรือครับ ?
ตอบ : การปฏิบัติทุกอย่าง ถ้าไม่จับลมหายใจเข้าออกก็ทรงตัวยาก

ถาม : แล้วอย่างพวกเล่นของ ?
ตอบ : ต่อให้เล่นไสยศาสตร์ก็ต้องภาวนาเอาลมหายใจเป็นหลัก ถ้าไม่มีสมาธิก็ทำของไม่ขึ้น

เถรี
20-07-2012, 13:17
ถาม : ธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ผมได้เห็นบ้างครับ
ตอบ : แน่ใจนะ..ถ้าจะเอาก็ให้..! อาตมาเองลำบากลำบน ต้องทุ่มเทความพยายามชนิด “ตายเป็นตาย” มาแลกกับการปฏิบัติ อยากได้แบบนี้ก็เอาไปเลย

เถรี
20-07-2012, 13:45
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะออกหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์หรอก เกิดจากตอนหลวงตาวัชรชัยท่านย้ายจากวัดท่าซุงไปอยู่วัดเขาวง แล้วท่านออกหนังสือเสียงจากถ้ำ ท่านก็ชวนอาตมาเขียนให้ท่าน พอเขียนไปเขียนมาก็นึกว่า แล้วทำไมเราไม่ทำเสียเอง ? สรุปว่าพี่เขาออกหนังสือก่อนเป็นปี ตอนนี้เพิ่งจะได้ ๑๐ กว่าเล่ม ส่วนอาตมาออกทีหลัง ตอนนี้ไปเกือบร้อยเล่มแล้ว เพราะว่าออกทุกเดือน ท่านเองเขียนไม่ทันก็ปล่อย บางที ๒-๓ เดือนค่อยออกเล่มหนึ่ง

สมัยก่อนเวลาไปธุดงค์ก็บันทึกเป็นบันทึกประจำวันไว้ ถึงเวลาก็ตัดมาลง เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยดีตรงที่ว่านาน ๆ ไปความลับส่วนตัวจะหายหมด คนรู้ว่าแอบทำอะไรมาบ้าง"

เถรี
20-07-2012, 13:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า นิลกาฬ ในนพรัตน์ จริง ๆ แล้วคือไพลิน เราอย่าไปคิดว่าเป็นนิล นิลที่เราเห็นทุกวันนี้คือนิลตะโกที่เขาท่องว่า "เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต.." นั้น สีหมอกเมฆนิลกาฬไม่ใช่นิลตะโก แต่เป็นไพลิน

คนเข้าใจผิดมาเยอะ คิดว่าทำไมเอานิลซึ่งเนื้ออ่อนมากเข้าไปปนอยู่ในนพรัตน์ โบราณเขาเรียกสีน้ำเงินว่านิล จึงต้องเป็นไพลิน"

เถรี
20-07-2012, 14:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม มีจำนวนมากด้วยกันที่เป็นอัจฉริยะด้านใดด้านหนึ่ง มีอยู่คนหนึ่งคิดเลขเร็วกว่าเครื่องคิดเลขอีก แต่สมองด้านอื่นเขาไม่พัฒนา เขาพัฒนาด้านเดียว ส่วนอีกคนหนึ่งฟังภาษาอะไรรู้เรื่องหมด พูดได้ ๒๐๐ กว่าภาษา แต่เป็นดาวน์ซินโดรม สมองทำงานด้านเดียว ด้านอื่นไม่ทำ ถ้าหากสมองเขาใช้ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นคงประเภทสร้างโลกใหม่ได้เลย จึงต้องให้มาแค่นั้น"

ถาม : เขาพูดได้โดยไม่ต้องเรียนเลยหรือคะ ?
ตอบ : เหมือนกับมีสัญชาตญาณในการจับการออกเสียงและสื่อความหมายได้เร็วกว่า เขาก็เลยเรียนได้เร็วมาก พวกภาษาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเผ่าต่าง ๆ ในแอฟริกาเขายังพูดได้ พวกนี้มีแววว่าถ้าบรรลุมรรคผลจะได้เป็นนิรุกติปฏิสัมภิทา

ถาม : พวกปัญญาอ่อนนี่เขาเข้ามาทางธรรมได้หรือเปล่า ?
ตอบ : เรื่องของการทำบุญทำกุศล ไม่ว่าอยู่ในสภาพไหนก็ทำได้ อย่าลืมว่าเขาเกิดเป็นคนนะ ภูมิจิตภูมิธรรมสูงกว่าสัตว์เดียรัจฉานตั้งเยอะตั้งแยะ หมูหมากาไก่ยังทำบุญได้ อย่างโฆษกเทพบุตร มัณฑุกเทพบุตร เอราวัณเทพบุตร เขาทำบุญของเขาก็ขึ้นไปเป็นเทวดา เพราะฉะนั้น..คนเรามีโอกาสมากกว่าตั้งเยอะ อย่าให้เสียชาติเกิดก็ใช้ได้แล้ว เกิดมาแล้วกินทุนเก่าอย่างเดียว ไม่ยอมทำใหม่ก็แย่

เถรี
20-07-2012, 15:42
ถาม : เวลาของเข้าตัว แล้วจะเป็นอันตรายหรือเปล่า ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าของขยายขนาดหรือเปล่า ? ถ้าไม่ขยายขนาดก็ปล่อยให้เข้าไปสิ พวกนี้เวลาเข้าไปในตัวเราแล้วจะขยายคืนเป็นของเดิม เราถึงจะเกิดอาการผิดปกติ

ถาม : ตอนงานเสาร์ห้าที่วัดท่าซุง เขาพุทธาภิเษก รู้สึกมีของดันมาที่ข้อมือแล้วปล่อยออกไป
ตอบ : สำนักใหญ่ส่วนใหญ่เขาอยากจะลองของกัน อย่างที่วัดท่าขนุนเมื่อเสาร์ห้าที่ผ่าน พอทำพิธี ผอ.จันทร์แรมก็แปลกใจว่า “เห็นที่อื่นเขาต้องไปสวดภาณยักษ์ พยายามใช้เสียงสวดดัง ๆ ข่มเข้าไว้ แล้วคนถึงจะดิ้นจะร้องกัน เห็นพระอาจารย์นั่งเงียบ ๆ เขาก็ดิ้นกันตึงตังโครมคราม” ผอ.ท่านไม่ทราบว่าพวกนี้โดนไสยศาสตร์มา

เถรี
20-07-2012, 17:17
ถาม : ไปฝึกมโนยิทธิที่ศูนย์พุทธศรัทธามาครับ เวลาขึ้นไปก็เห็นภาพพระ แต่ยังไม่ใสครับ พยายามทำไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ใช้ได้แล้วจ้ะ ให้เอากำลังเกาะพระนิพพานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แรก ๆ จะชัดหรือไม่ชัดก็ไม่เป็นไร ขอให้เรามั่นใจว่าอยู่ตรงนั้นได้ก่อน พอนานไป ๆ สภาพจิตที่เคยชินกับความหมดกิเลสของพระนิพพาน และการอยู่กับสมาธิ จะผ่องใสขึ้นเรื่อย ๆ ความชัดเจนก็จะมีมากขึ้น

ถาม : ผมเองเดิมเป็นคนชอบพวกหมอผี พวกคาถาอาคมต่าง ๆ แต่พยายามจะไม่นอกลู่นอกทาง ?
ตอบ : ใช้ได้..ไม่เป็นไร เพราะถ้าเราสังเกตดูพวกตัวบทคาถาจริง ๆ ก็เป็นหัวใจพระธรรมทั้งนั้น เพียงแต่อยู่ที่เราใช้ ถ้าเอาไปเบียดเบียนคนอื่นก็เป็นไสยดำ ถ้าไม่เอาไปเบียดเบียนคนอื่น แต่เอาไปช่วยเขา ก็มีประโยชน์เสียด้วยซ้ำไป ต่อให้เราเล่นไสยศาสตร์มาเต็ม ๆ เลยก็ตาม เพียงแต่เราเปลี่ยนวิธีใช้ ก็กลายเป็นพุทธศาสตร์ไปเท่านั้นเอง

อยู่ที่ความตระหนักรู้ของเรา ว่าเราทำไปแล้วเบียดเบียนคนอื่นหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้เบียดเบียนคนอื่น ช่วยเหลือเขาด้วย ก็เล่นไปเถอะ เป็นกีฬาสมาธิอย่างหนึ่ง ช่วยให้สมาธิของเราดีขึ้น

ถาม : บางทีก็ชอบกุมารทอง
ตอบ : อาตมาก็เคยเลี้ยงกุมารทอง แต่ซนมาก เขาเล่นกับหลานชาย ลากลงบันไดมา ๑๐ กว่าขั้น กองอยู่ตรงที่พักบันไดข้างล่างเลย เล่นกันรุนแรงขนาดนั้นแต่ไม่เป็นอะไร สนุกสนานเฮฮาของเขา แต่คนเป็นพ่อแม่จะหัวใจวายตาย

เถรี
20-07-2012, 17:49
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ได้จ้ะ..แค่เราตั้งใจทำดีก็เป็นบุญแล้ว นี่เรายังลงมือปฏิบัติด้วย ในบาลีท่านบอกว่า การปฏิบัติแม้กระทำแค่เพียงช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ก็คือแวบเดียวเท่านั้น ยังมีบุญใหญ่ มีอานิสงส์เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราบรรลุมรรคผลได้ภายหน้า เพราะฉะนั้น..ยิ่งทำมากระยะทางก็สั้นเข้า ถ้าทำน้อยระยะทางก็ยาวหน่อย

เถรี
21-07-2012, 09:59
ถาม : ธูปเทียนที่เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรสามารถเก็บไว้ใช้ได้ ถ้าเป็นธูปเทียนที่ใช้รับยันต์เกราะเพชรที่บ้าน จะเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ได้เหมือนกัน..เราตั้งใจรับด้วยความเคารพ บารมีพระท่านส่งไปถึงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..ธูปเทียนในพิธีจะอยู่ที่บ้านหรือที่วัดก็ใช้ได้เหมือนกัน

เถรี
21-07-2012, 10:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือแต่ละเล่มกว่าจะเสร็จได้นั้นยากเย็นเข็ญใจ จัดวางรูปเล่มกว่าจะลงตัว บางทีไม่ได้นอนเป็นวันเป็นคืน ทำทั้งวันไม่พอ ต้องทำทั้งคืนต่ออีก แล้วโยมก็บอกว่าทำไมไม่ออกเยอะ ๆ ? แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว..!"

เถรี
21-07-2012, 11:38
ขณะที่โยมกำลังกราบพระอยู่ พระอาจารย์ท่านชี้ให้ดู แล้วกล่าวว่า “คนนี้เป็นลูกศิษย์ของท่านท้าวมหาราช มาเกิดแล้วคิดจะกลับไปให้เหนือกว่าพรรคพวก บางทีพออาตมาบอก..พวกเราก็พอจะสังเกตดูจริยาบางอย่างได้ แต่ถ้าไม่บอก..พวกเราก็ดูไม่ออกหรอก”

เถรี
21-07-2012, 12:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพี่เปี๊ยก พระที่มาคุมการก่อสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมหน้าวัด ท่านคุมการก่อสร้างยิ่งกว่าระบบทหารอีก กินเต็มที่ แต่เรื่องนอนไม่ต้องพูดถึง งานไม่เสร็จไม่ได้นอนหรอก

กินเต็มที่ก็คือเราจัดให้ ถ้าหากว่าไม่พอท่านจะซื้อเพิ่มเอง ท่านบอกบางที่จัดอาหารมานิดเดียว แล้วพระ ๒๐ รูป ต้องไปซื้อกินกันเอง ถือว่าท่านไปทำให้เขาด้วยใจจริง ๆ เลย ทำด้วยใจไม่พอยังต้องควักเงินเพิ่มอีก ท่านจะสร้างพระไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบ ๑๐๘ องค์ทั่วประเทศ วัดเราเป็นองค์ที่ ๒๑ "

ถาม : แล้วบรรจุของไว้ที่ไหนครับ ?
ตอบ : พระเศียร

เถรี
21-07-2012, 12:22
ถาม : ช่วงกรรมฐานตอนเย็น พอเสียงสมาทานพระกรรมฐานหลวงพ่อจบ แล้วขยับตัวนั่งท่าที่สบาย มารู้ตัวอีกทีก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแล้ว ต่อเนื่องกันเลย ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกหายไป ทำไมเราขาดสติได้ขนาดนั้น ?
ตอบ : ต้องถามตัวเอง เพราะว่าสภาพจิตทรงเป็นฌาน แต่ว่าความหยาบมีมาก สติจึงตามไม่ทัน

เถรี
22-07-2012, 16:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสักอาทิตย์ที่ผ่านมา พระที่วัดมีคำถามว่า มีคนอยากได้พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๒ เนื้อสีแดงมากเป็นพิเศษ จึงเอาพระกริ่งพิชัยสงครามรุ่น ๑ พระองค์ที่ ๑๑ กับพระอีกองค์หนึ่ง จำไม่ได้ว่าเป็นพระอะไร มาขอแลกพระปิดตาสีแดง ๑ องค์ ในศีลบอกว่าห้ามภิกษุแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น..เขาจะโดนอาบัติหรือเปล่า ?

อาตมาก็เลยบอกว่า การแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคฤหัสถ์นั้น จริง ๆ เขาหมายเอาเรื่องขาดทุนกำไร อย่างเช่น เอาผ้ามาแลกกัน ผ้าของคฤหัสถ์เขาดีกว่า ราคาสูงกว่า อย่างนี้เป็นต้น คราวนี้สำหรับงานนี้ ถ้าคุณโดนอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ห้ามสละให้คนอื่น ต้องสละให้เจ้าอาวาสเท่านั้น..!

คนแลกก็กล้าลงทุน พระกริ่งพิชัยสงครามรุ่น ๑ ยังไม่พอ ยังแถมพระองค์ที่ ๑๑ อีก กับพระอะไรอีกองค์หนึ่งจำไม่ได้ แต่ละอย่างในเว็บราคาเป็นหมื่น ๆ ทั้งนั้นเลย อาตมาก็ไม่ทราบว่าอะไรทำให้เขาชอบพระปิดตามากเป็นพิเศษโดยเฉพาะสีแดง ถึงได้ขอแลกกันดุเดือดขนาดนั้น"

เถรี
22-07-2012, 17:00
"พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๑ ดัดแปลงมาจากพระปิดตานะมิ ของหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค รุ่น ๒ ถอดแบบของหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีมา ยังไม่รู้ว่ารุ่น ๓ จะลอกแบบใครดี ? รุ่น ๓ นี่จะดังที่สุด เพราะอาตมาจะเอายานัตถุ์หลวงพ่อมาผลิต"

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็เป็นพระผงสิครับ ?
ตอบ : เป็นพระผง แต่พระผงทางเมตตามหานิยมส่วนใหญ่ก็เป็นพระปิดตา คราวนี้พระปิดตารุ่น ๓ เราจะทำแบบไหนดี ?

ถาม : เอาแบบหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ไหมครับ ?
ตอบ : หลวงปู่แก้วหรือ ? เอาหลังแบบด้วยไหม ? อาตมามีหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ แต่เป็นเนื้อชินตะกั่ว ท่านออกรุ่นนี้สมัยอยู่วัดปากทะเล หรือไม่ก็เป็นพระปิดตาแบบวัดสะพานสูง แบบลอยองค์เลย ขอเวลาก่อน..มีโครงการว่าจะสร้าง แต่ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อไร

เถรี
22-07-2012, 17:17
มีโยมนำแหวนจักรพรรดิวัดท่าซุงมาถวาย เพื่อบรรจุในองค์พระ พระอาจารย์เห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นของวัดท่าซุง
"ของจำหน่ายกับมือก็เลยจำได้ สมัยนั้นอาตมาเป็นมือจำหน่ายวัตถุมงคล ปกติเป็นคนที่ไม่มีหน้าที่ในวัด นอกจากอยู่เวรอยู่ยาม ถึงเวลาหลวงพี่วิรัชจะมาตามไปช่วยจำหน่ายวัตถุมงคล เพราะอาตมาทำยอดสูงสุดได้ทุกครั้ง

เนื่องจากเป็นคนจำแม่น ก็เลยไม่กลัวโยมโกง โยมต้องการดูกี่แบบ อาตมาหยิบส่งให้หมดเลย ๓ - ๔ คนตรงข้างหน้า ส่งให้ไปเรื่อย พอถึงเวลาเขาถามราคาก็บอกเขาเสร็จสรรพ และไม่เคยพลาด"

ถาม : มีคนขโมยด้วยหรือครับ ?
ตอบ : มี...เขาไม่ได้ขโมยหรอก ขอดูแล้วก็เดินหนีไปซึ่ง ๆ หน้าเลย แล้วคนเบียดกันเป็นพัน ๆ ใครจะไปตาม ?

มีอยู่ครั้งหนึ่ง โยมผู้หญิงคนหนึ่งขอบูชาลูกแก้ว เขากลิ้งดูทีละเหลี่ยม "อันนี้กระทบกันมา บิ่น..ขอเปลี่ยน" อาตมาก็ให้ เขาก็กลิ้งดูต่อ อาตมาก็ใจเย็นนั่งมอง วันนั้นกรรมฐานดี ใจเย็นมาก มีปัญญาก็กลิ้งไปไม่ว่ากัน เขากลิ้งดูเหลี่ยมไปประมาณชั่วโมงเศษ ๆ แล้วสรุปว่าเอากองนี้แหละ คิดราคามาแล้วสี่หมื่นกว่าบาท..! คุ้มจริง ๆ..คนเดียวบูชาลูกแก้วไปสี่หมื่นกว่าบาท

เถรี
22-07-2012, 17:31
ถาม : ตอนนั้นลูกแก้วราคาเท่าไรครับ ?
ตอบ : มีราคา ๒๐๐ บาท ๑๐๐ บาท ๓๐ บาท สูงสุดลูกแพร์ใหญ่ก็แค่ ๕๐๐ บาท วันนั้นที่ใจเย็นนี่ไม่ใช่อาตมาแน่เลย ต้องมีครูบาอาจารย์สักองค์หนึ่งเหยียบให้นิ่งสนิท เพราะรายได้เยอะขนาดนั้นขืนไปอาละวาดคงไม่ได้สักบาท

อาตมาคิดว่าถ้าจะทำให้ได้จำนวนมากต้ององค์เล็ก ๆ เอาสักปลายเล็บนิ้วก้อย ถึงเวลาเผื่อเอาไว้ใส่ตลับสีผึ้งได้

ถาม : ถ้าเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ปัจจุบันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้ต่างหรอก แต่ต่างกันตรงที่นั่นเป็นของครูบาอาจารย์

ถาม : พระปิดตาใส่ยานัตถุ์ออกมาสีอะไรครับ สีแดง ?
ตอบ : สีน้ำตาล ถ้าอันไหนไม่ใช่น้ำตาลเข้มก็เป็นเพราะยานัตถุ์หมดอายุแล้ว มีคนถวายท่านมากจนใช้ไม่ทัน ยานัตถุ์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องยี่ห้อลูกสาวหมอมีเท่านั้นนะ หมอชิตก็ไม่เอา

สมัยที่หลวงปู่โง่นอยู่ หลวงปู่โง่นก็เป่ายานัตถุ์เหมือนกัน สองท่านก็นั่งคุยกัน “ไอ้คุณกับผมนี่ติดสาวคนเดียวกัน” พวกบรรดาลูกศิษย์ก็สงสัย ถามว่าใครครับ ? “ลูกสาวหมอมี” เขามียานัตถุ์หมอชิตด้วย สถานีขนส่งหมอชิตก็มาจากชื่อร้านขายยาเก่าของหมอชิต

เถรี
23-07-2012, 12:00
ถาม : เวลาบวงสรวงจะต้องย้ายไปทำพิธีที่พระสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกหน้าวัดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก..จะไปบวงสรวงเฉพาะตอนส่งงานเท่านั้น งานอื่นก็ทำที่เดิม แต่งานจะหนักที่คุณตัวเล็ก เพราะพอถึงวันสำคัญจะตามประทีปรอบ ๆ ลานสมเด็จองค์ปฐมด้วย อย่างน้อยก็ต้องใช้ประทีป ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ดวง ดูซิว่าจะผลิตไหวไหม ?

มีคนเห็นองค์พระแล้วศรัทธา ปวารณาถวายมาสามล้านบาท ที่เหลืออาตมาหาเพิ่มเอง สร้างพระตรงริมถนนก็ดีนะ คนเห็นแล้วศรัทธาก็แวะมาทำบุญ พอดีเขาแวะไปตีกอล์ฟ ผ่านไปเห็นฐานพระตรงหน้าวัด เขาก็แวะเข้าไปถามว่าทำอะไร แค่นั้นแหละ..เขาอยากทำบุญด้วย

ถาม : ใช้งบไปเท่าไรแล้วครับ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน แค่ฐานก็ลงไปเกือบห้าล้านบาทแล้ว ฐานพระเราตีเข็มหลุมละ ๔ เสา เพราะเขาบอกว่าน้ำหนักพระ ๓๕๐ ตัน

ถาม : อย่างคนที่บอกว่าไปตีกอล์ฟ ผ่านไปเห็นแล้วอยากทำบุญ คนนั้นจะได้อานิสงส์อะไรครับ ?
ตอบ : สงสัยจะถูกล็อตโต้เป็นพันล้าน เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นแล้วอยากทำ

ถาม : เวลามาที่นี่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันครับ
ตอบ : แล้วจะมาทำไมล่ะ ? (หัวเราะ) แค่ตั้งใจคิดจะมาเจตนาก็แน่วแน่แล้ว

เถรี
23-07-2012, 12:24
ถาม : ถ้าความดีกับความชั่วหน้าตาเหมือนกัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าต่างกันตรงไหน ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ผลลัพธ์ของการกระทำ ความชั่วจะชี้ให้เราเดินทางผิดอยู่ตลอด

ถาม : ถ้าเราโดนมารหลอก เราจะรู้ตัวได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : จนกว่าจะมีปัญญามากกว่าตอนนั้น ถ้าปัญญายังเท่าตอนนั้นก็เสร็จเขาไปก่อน พอปัญญามากขึ้น ก็จะรู้ว่าตรงนั้นเขาหลอก เมื่อก้าวล่วงพ้นไป เขาก็จะหาสิ่งที่เนียนกว่านั้นมาหลอกใหม่อีก

ถาม : แล้วนี่ผมโดนท่านหลอกอีกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โดนเต็ม ๆ กำลังหลอกให้ไปพระนิพพาน ดูซิว่าคุณจะไปได้ไหม ?

ถาม : ถ้าโดนหลอกอยู่ตลอดแล้ว เราจะใช้ปัญญาพ้นจากตรงนั้นได้อย่างไรละครับ ?
ตอบ : ต้องรอวาระกุศลเข้ามา พอวาระกุศลเข้ามา สติ สมาธิ ปัญญาทรงตัว ก็จะเห็นว่าที่เราเดินทางตรงจุดนั้นผิด หรือไม่ก็วาระกุศลเข้ามา ได้รับการทักท้วงจากผู้ที่มีกำลังใจสูงกว่า ซึ่งเห็นว่าเราเดินทางผิด แล้วเราเองก็เพิ่งจะยอมรับเป็นครั้งแรกว่าผิด เพราะก่อนหน้านั้นอกุศลครอบงำอยู่ ไม่เคยยอมรับว่าผิด ก็จะอยู่ลักษณะนี้ไปเรื่อย ๆ

เถรี
23-07-2012, 12:27
ถาม : เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือครับ ?
ตอบ : เป็นมานับชาติไม่ถ้วน เราจะเห็นว่าสำคัญตรงบุญกุศล เพราะฉะนั้น..ถ้าเราสร้างบุญกุศลไว้ไม่ให้ขาดช่วง บุญกุศลหนุนนำอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ก็เท่ากับเราใส่เกราะ แม้จะออกรบรบโดนอาวุธบ้างก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บสาหัสนัก

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แค่ดูกำลังใจของเราก็รู้ ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ไหม ? มีอิจฉา ริษยา อาฆาตพยาบาทอยู่ไหม ? ทั้งที่กำลังใจของเรารู้ว่า เขาทำอย่างนั้นเป็นเพราะอกุศลกรรมชักจูงเขา แต่การกระทำของเขามากระทบกระทั่งเรา เราก็พยายามให้อภัยเขา แต่เนื่องจากว่ากำลังใจเรายังต่ำอยู่ คิดให้อภัยเขาไปพักหนึ่ง เดี๋ยวก็คิดว่า “มันว่ากูนี่หว่า” ตัวโทสะกำเริบขึ้นมาใหม่ ตัวอาฆาตพยาบาทก็ “เดี๋ยวกูจะเอาคืน” ไปเรื่อยแหละ

แต่พอนึกขึ้นมาใหม่ก็ “เออ..อภัยให้เขาเถอะ” จะยื้อกันไปยื้อกันมา จนกว่ากำลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเหนือกว่า ทีนี้ก็จะลากยาวไปเลย

เถรี
23-07-2012, 12:41
พระอาจารย์ใช้ให้ลูกศิษย์ไปเปิดไฟ แล้วกล่าวโยงไปถึงเรื่องฤทธิ์ว่า "ถ้าจะใช้อิทธิฤทธิ์เปิดไฟก็ต้องเจริญปฐวีกสิณให้มาก บังคับอากาศให้แข็งตัวแล้วนึกกดลงตรงสวิทช์ไฟ แต่นี่ใช้ให้คนอื่นไปเปิดให้เป็นบุญฤทธิ์ เมื่อสั่งสมไปถึงระดับหนึ่ง สามารถบอกแล้วมีคนทำให้ อันนี้เรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องขำ

ท่านผู้รู้ถึงได้เปรียบเทียบไว้ว่า อิทธิฤทธิ์สู้บุญฤทธิ์ไม่ได้ แต่บุญฤทธิ์ก็สู้วิบากกรรมไม่ได้ ต่อให้มีบุญมากขนาดไหน ถ้าวิบากเข้ามาถึงก็ต้องเสวยผลนั้นไปก่อน"

เถรี
23-07-2012, 12:50
มีโยมที่ตั้งครรภ์อยู่มาทำบุญ แล้วเอาเข็มกลัดกลัดติดอกเสื้อมา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ถ้าใกล้คลอดอย่าทำอย่างนั้นนะ โบราณเขาถือ อะไรที่ขมวด ขัด กลัด พวกนี้เขาจะไม่ให้อยู่ใกล้ตัว เพราะกลัวว่าจะคลอดลูกไม่ได้"

เถรี
23-07-2012, 13:00
ถาม : ถ้าวาระบุญของเราจะรวย เรานั่งเฉย ๆ ก็ได้สิครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ถ้านั่งอยู่อาจจะมาไม่ถึง เพราะว่าความดีมีหลายองค์ประกอบ พอขาดไปองค์ประกอบหนึ่งก็มาไม่ถึงแล้ว

ถาม : ในเมื่อผมเชื่อมั่นว่า ผมต้องรวยแน่ ๆ ผมก็รอได้
ตอบ : ก็ใช่..แต่คราวนี้อาจจะต้องมีองค์ประกอบหนึ่ง คือต้องทำถึงจะได้ องค์ประกอบอื่นถึงจะมา ในเมื่อองค์ประกอบไม่ครบคุณก็นั่งรอไปสิ

ถาม : กรรมชั่วก็เหมือนกันสิครับ ถ้าเรานั่งเฉย ๆ ก็ไม่ส่งผลเหมือนกันสิครับ ?
ตอบ : ส่ง..ผลของกรรมชั่วมักจะเล็งตรง มาเร็ว ไม่ค่อยแยแสเรื่องอื่น เหมือนกับนิสัยเราตอนทำความชั่วที่ไม่สนใจอะไร ตัดสินใจทำรวดเร็ว แต่เรื่องของกรรมดีต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ต้องอาศัยเพื่อนกระตุ้น ต้องอาศัยพระเทศน์ ต้องอาศัยกำลังใจที่ใฝ่ดีของเรา เราจึงจะกระทำความดีได้ มีองค์ประกอบเยอะกว่ามาก

ในเมื่อองค์ประกอบมีหลายอย่างกว่า เราทิ้งองค์ประกอบเสียอย่างหนึ่ง อย่างอื่นก็ไม่มาแล้ว ตัวนี้ต้องไปศึกษายถากัมมุตาญาณ ถ้าหากว่าเข้าถึงจริง ๆ จะเห็นว่าละเอียดยิบย่อยมากเลย

ถาม : อย่างนั้นเราก็ต้องขยันอย่างเดียว ?
ตอบ : ขยันอย่างเดียว จะมาหรือไม่มาก็ช่าง ถ้ามาก็ได้กำไร ไม่มาเราก็ได้อยู่แล้วเพราะเราทำเอง

เถรี
23-07-2012, 13:15
ถาม : เราป้องกันไม่ให้วาระกรรมส่งผลได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ต้องทำความดีใหญ่ให้สม่ำเสมอต่อเนื่องกัน ความดีใหญ่ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำได้ต่อเนื่องกัน กำลังความดีก็ส่งเราห่างจากผลกรรมชั่วไปเรื่อย ๆ ถ้าดีถึงที่สุดก็ตามไม่ทันเลย

ถาม : ถ้าดวงตกเล่าครับ ก็ทำเหมือนเดิม ?
ตอบ : เหมือนเดิม อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยบรรเทา อย่าให้ผลกรรมชั่วเกิดเต็มที่ เพราะถ้าผลกรรมชั่วเกิดเต็มที่ เราอาจจะถึงตายเลย

ถาม : แล้วถ้าอยากให้บุญส่งผลเร็ว ๆ เล่าครับ ?
ตอบ : ก็ทำความดีเยอะ ๆ ทำหนัก ๆ แต่ที่เยอะ ๆ หนัก ๆ นี่ไม่ได้หมายถึงในเรื่องของทาน แต่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่าเป็นสมาธิกับภาวนา ถ้ากำลังใจของเราเข้มข้น สมาธิยิ่งสูงเท่าไร บางทีแค่คิดก็ได้แล้ว พอปฏิบัติไปถึงระยะหนึ่งห้ามคิดนอกลู่นอกทาง เดี๋ยวได้จริง ๆ

ล่าสุดอาตมาคิดจะเปลี่ยนโน้ตบุ๊กให้น้องเล็ก (จิราพร ซื่อตรงต่อการ) เขาทำงาน เพราะว่าของเดิมเก่ามากแล้ว หมดสภาพขนาดทำไปดับไป ก็ปรึกษากันอยู่จนกระทั่งควักเงินเตรียมจะให้เขาไปซื้อ ปรากฏว่าไปค้นในกองสังฆทาน เจอโน้ตบุ๊คมา ๑ เครื่อง เขาถวายมากี่วันแล้วก็ไม่รู้ ไม่ได้ดูหรอก

ถาม : เมตตาท่านคิดให้ผมรวย ๆ บ้างสิครับ
ตอบ : ไม่กล้าคิด..กลัวตัดของตัวเองไปหมด..!

ถาม : การตัดความโลภยากนะครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ อย่างเราถึงโลภก็ไม่ได้ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม ตัวคิดอย่างเดียวใคร ๆ ก็คิดได้ แต่อย่าไปลงมือทำก็แล้วกัน ถ้าเราอยากได้ก็ทำให้ถูกต้องเป็นสัมมาอาชีวะ ถ้าทำผิดเมื่อไรก็กลายเป็นมิจฉาอาชีวะ

ถาม : แสดงว่าทุกชีวิตต้องเคยชั่วสุด ๆ มาแล้ว
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นเช่นนั้น

เถรี
24-07-2012, 11:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "กายกรรม..การกระทำทางร่างกาย วจีกรรม..การกระทำทางวาจา สามารถที่จะระงับได้ง่ายกว่า ส่วนมโนกรรมเป็นของละเอียดจึงระงับได้ยาก แต่เราต้องระงับในลักษณะที่ว่า อยากจะคิดก็คิดไป แต่เราจะไม่พูดและไม่ทำ

ถ้าอย่างนั้นความชั่วก็ไม่ครบองค์ประกอบ จะชั่วได้แค่ใจอย่างเดียว กายกับวาจาไม่ทำ โทษหนักก็ไม่มี มีแค่โทษเบาคือกำลังใจที่เศร้าหมองเอง"

เถรี
24-07-2012, 11:25
ถาม : ผมไปอยู่ต่างประเทศและเพิ่งกลับไทยมาเมื่อไม่นานมานี้ และเห็นว่าพื้นที่รอบ ๆ ข้างตัว แต่ละชีวิตจะคิดอะไรก็ได้ จะปรุงแต่งอะไรก็ได้ ทีนี้ความคิดในตัวเราเอง จะคิดปรุงแต่งอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าเป็นเหมือนธรรมชาติ จิตของเราถ้าเข้าไปยึดมั่นในความหลงความอยาก ก็จะเป็นผลสะท้อน เป็นผลข้างเคียง เป็นอารมณ์ เป็นบทละครยาวมาก มีร้องไห้ เสียใจ
ตอบ : โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส มีครบถ้วนเลย

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีก็เมตตาผมหลายอย่างเหมือนกันครับ
ตอบ : ใครก็ตามที่ทำงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หรือว่าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านจำเป็นต้องสนับสนุน เพราะว่าปัจจุบันนี้ท่านทำหน้าที่รักษาการณ์พระพุทธศาสนาอยู่ จะบอกว่าเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าก็ได้ กว่าท่านจะพ้นหน้าที่นี้ยังเหลืออีก ๒๒ ปีเต็ม ๆ

สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระที่ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ จะมากราบลาหลวงพ่อเพื่อขอไปพระนิพพาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราพูดกันได้ แต่ว่าคนที่ไม่เข้าใจเขาก็หาว่าเราปั้นเรื่องขึ้นมาเชิดชูครูบาอาจารย์

ถาม : ในพื้นที่ต่าง ๆ บนโลก การจะสื่อสารกันได้ ต้องให้บริเวณพื้นที่นั้นรับรู้และตกลงก่อน
ตอบ : โดยมารยาท ไปที่ไหนก็ตามต้องบอกเจ้าของที่ก่อน หลังจากเจ้าของที่เขาตกลงไม่ขัดคอ ทุกอย่างก็จะเรียบง่าย สะดวกสบาย คล่องตัว ถ้าเขาไม่เห็นด้วยเราก็จะสะดุดหัวทิ่มหัวตำ

จริง ๆ แล้วงานทุกอย่างก็เหมือนกัน ในโลกของความเป็นทิพย์เขาไม่ได้แบ่งแยกเขตแดนเหมือนโลกมนุษย์ เขาแบ่งเป็นภพภูมิ ฉะนั้น..ความหยาบละเอียดจึงต่างกัน เขาเห็นชัดว่าใครเป็นใคร อย่างเรานี่เห็นหน้าแต่ก็ไม่รู้จักใจ

เถรี
24-07-2012, 12:05
ถาม : ผมขึ้นไปพม่ามาครับ ไปมา ๗ วัน ประทับใจเจดีย์โบตาทัวที่ย่างกุ้งมากครับ
ตอบ : พม่าเรียกว่าโบตะเทา บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่ ๑ เส้น โบ คือนายทหาร ตะเทา แปลว่าหนึ่งพัน ความหมายก็คือ นายทหารหนึ่งพันนายลงทุนร่วมกันสร้างเจดีย์นี้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

ศาลาทางด้านข้างจะมีพระประธานอยู่องค์หนึ่งที่เป็นเนื้อสำริดแก่ทอง องค์นั้นโดนอังกฤษยึดไป ๔๐ กว่าปี กว่าจะได้คืนมา อาตมาไปเมื่อไร พอไหว้พระเกศาธาตุเสร็จก็อยู่ตรงพระประธานองค์นั้นแหละ ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก

ภาษาอังกฤษแบบพม่าเขาเขียนอย่างหนึ่ง แต่อ่านอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นออกเสียงไม่ถูกหรอก จริง ๆ อ่านว่า โบตะเทา ตรง ๆ เลย ตะเทาคือหนึ่งพัน ถ้าตะเต๊า คือ หนึ่งหมื่น อย่างโบอองซาน ท่านนายพลอองซาน นายทหารหนึ่งพันช่วยกันสร้างขึ้นมา

ถาม : ผมประทับใจเจดีย์โบตะเทามากกว่าเจดีย์ชเวดากอง
ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราเคยมีความผูกพันมาในสถานที่นั้นมากน้อยอย่างไร อย่างอาตมาเองไปทั่วประเทศพม่าเลย ที่ติดใจที่สุดคือเจดีย์เมียะตะลูนที่เมืองมะกูย มะกูยถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษออกเสียงมาเกว แต่ความจริงออกเสียงว่ามะกูย

มีโอกาสลองไปดู เป็นเจดีย์ที่ไม่ใหญ่เลย แต่เวลาเราไปเหมือนกับท่านเปล่งแสงออกมาเองได้ อร่ามเรืองไปหมด อยู่กลางแดดร้อน ๆ ไม่รู้สึกร้อนเลย เพราะฉะนั้น..ขึ้นอยู่กับความผูกพันเดิม ๆ ของเรากับแต่ละสถานที่

เถรี
24-07-2012, 12:13
ถาม : ได้ไปกราบหลวงปู่เท้าหอมด้วยครับ
ตอบ : ท่านยังอยู่หรือ ? ตอนอาตมาไปท่านอายุ ๙๐ กว่าปีแล้ว อยู่ที่บ้านกงโลง เมืองปินดายะ ต้องขึ้นรัฐฉานไปก่อน จากรัฐฉานถ้าเราวิ่งขึ้นถึงตองยี ต้องนั่งรถย้อนลงมาให้ถึงเมืองปินดายะ แล้วก็ออกไปที่บ้านกงโลง จึงจะเจอท่าน

ตอนที่อาตมาไปคราวนั้นถือว่าไปสาย ปกติเขาบอกว่าท่านรับแขกตอนบ่ายครู่เดียว ปรากฏว่าตอนไปถึงก็ตัดใจว่าเรามาผิดเวลา เพราะไปถึง ๙ โมงครึ่ง ไม่เป็นไร..ขอทำบุญกับท่านก็พอ ควักเงินกำลังหยอดตู้อยู่ ท่านเดินมาข้างหลังเฉยเลย แล้วญาติโยมที่รออยู่ ๑๐ กว่าคนก็ดีใจจนน้ำตาไหล กราบทำบุญกับท่าน หลังจากนั้นท่านเดินกลับ ปิดประตูต่อ ท่านออกมาพบแค่นั้นจริง ๆ ท่านเห็นว่าพวกเรากำลังใจดี ในลักษณะว่าไปเพื่อบุญจริง ๆ จึงออกมาสงเคราะห์

เถรี
24-07-2012, 12:47
ถาม : ช่วยอธิบายเรื่องของจักระกลางหน้าผากหน่อยครับ
ตอบ : จริง ๆ ก็ เป็นเรื่องของทิพยจักขุญาณนั่นแหละ เพียงแต่ว่าทางด้านทิเบตเขามีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์สูงมาก เขารู้ว่าพวกต่อมไพเนียล ถ้าได้รับการกระตุ้นในระดับหนึ่ง จะช่วยสร้างทิพยจักขุญาณได้ เขาก็เลยใช้วิธีกระตุ้นด้วยการเจาะหน้าผากแล้วฝังสมุนไพรลงไป อาจจะเป็นไปได้ว่า พอได้รับการเจาะแล้วฝังสมุนไพร ทำให้ความรู้สึกไปจับอยู่ตรงนั้นได้ชัดเจนขึ้น แน่วแน่ขึ้น ก็เลยทำให้เกิดตาที่สามขึ้นมาได้

แต่ว่าตาที่สามจริง ๆ ไม่ได้เห็นตรงนั้น ยัง เห็นด้วยใจเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเขาอาศัยการแพทย์มาเสริมเข้าไป ซึ่งก็คือจักระตรงกลางหน้าผากนั่นแหละ

ถาม : กลางหน้าผากจะโล่งไปตลอดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ คนที่สามารถเห็นพวกนี้ได้ไม่ต้องเสียเวลาไปทำหรอก เขาเป็นอยู่แล้ว อินเดียเขาเรียกว่า กุณฑาลินี เขาบอกว่าเป็นแหล่งพลังงานมหาศาล

ถาม : แล้วการที่เราใช้กำลังตัวเอง กับการใช้คาถาของครูบาอาจารย์ ผลก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว สมควรที่จะใช้คาถาแล้วอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ช่วย เพราะไม่อย่างนั้นเท่ากับว่าเราไปฝืนกรรม ผลนั้นจะตกแก่เรา ถ้าหากว่าเราขอบารมีครูบาอาจารย์ ท่านจะได้คอยกันให้หรือไม่ก็รับไปแทน

ถาม : อย่างเวลารับขันครู ?
ตอบ : ใช่..ไม่อย่างนั้นก็รับเละอยู่คนเดียว กระแสกรรมเหมือนกับลูกปืนที่ยิงมา แล้วเราไปยืนขวางจะโดนใคร ? ก็โดนเรานั่นแหละ

เถรี
25-07-2012, 12:36
ถาม : ช่วยแนะนำวิธีการรู้ด้วยตนเอง ให้เข้าใจชัดเจนหน่อยครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก แค่เรากำหนดความรู้สึกว่าอยากรู้เรื่องอะไร แล้วก็ทิ้งความรู้สึกนั้นเสีย จากนั้นก็ภาวนาทรงอารมณ์ให้เต็มที่ คลายออกมาแล้วอธิษฐานขอใหม่อีกทีก็จะเป็นแล้ว แค่นั้นเอง อย่างคุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกฝนอะไรมากมายแล้ว

ถาม : การรู้นี่ให้รู้ด้วยตัวเองเลยนะครับ ไม่จำเป็นต้องมีนิมิต ?
ตอบ : ให้ระมัดระวังไว้ด้วยว่า ไม่ใช่เฉพาะงานเพิ่มขึ้นเท่านั้น เรื่องก็จะเพิ่มขึ้นด้วย พอเรารับรู้ได้ก็เหมือนกับโทรศัพท์ติดต่อกันได้ ต่อไปเราก็รับเละอยู่คนเดียว

ถาม : คำว่างานเพิ่มขึ้นกับเรื่องเพิ่มขึ้นเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่างเช่น เขาขอให้ทำนั่นทำนี่ หรือไม่ก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามา เรารับรู้มากเกิน บางทีก็ไปแบกเอาไว้แทนจนเครียด

บุคคลบางประเภท ถ้าหากมารขวางตรง ๆ ไม่ให้เขาเข้ามรรคผล คนประเภทนี้จะสู้ตะบันราด เพราะเขารู้ว่าผ่านได้แน่ เขาก็จะไม่ขวางด้วยวิธีนั้น แต่จะดึงให้ไปทำงานชิ้นนั้น ทำงานชิ้นนี้ ซึ่งเป็นงานเพื่อส่วนรวม เป็นอานิสงส์ใหญ่ที่เราเห็นอยู่ จะดึงเราไปทำตลอด จนเราไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อมรรคผลของเราเอง ซึ่งเป็นวิธีขวางของเขาอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าไปรู้เข้า เรื่องพวกนี้จะเข้ามาเยอะ

ถาม : ก็จริงครับ
ตอบ : เขาไม่ได้ขวางเรา เขารู้ว่าถ้าขวางเราสู้ แล้วนิสัยอย่างเรานี่ผ่านได้แน่ เขาก็ใช้วิธี “คนนั้นน่าสงสาร ไปช่วยเขาหน่อย” “สถานที่นี้น่าบูรณะ เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ไปทำเสียหน่อย” ทำเราให้มีงานอยู่ตลอด จนไม่มีเวลาปฏิบัติของเราเอง

ถาม : กรณีอย่างว่า เราต้องละวางดีใช่ไหม ?
ตอบ : ใช่..ถึงเวลาแม้แต่ดีก็ต้องละ

ถาม : การทำอะไร ถ้าเราเองทำทางเดียวเหมือนกับว่าจะมีตัวล่ออยู่ แต่ถ้าขยายไปหลาย ๆ ทางแล้วเราเลือกเอง จะดีกว่าไหมครับ ?
ตอบ : ดีกว่า..แต่ว่าเราต้องไม่ลืมเป้าหมายของเรา ถ้าเราลืมเป้าหมายเดี๋ยวก็โดนจูงไปไกลอีก

เถรี
25-07-2012, 12:53
พระอาจารย์กล่าวกับคณะโยมที่ศึกษาเกี่ยวกับการต่อสู้แบบมวยไชยาว่า "ในเรื่องที่เราศึกษานั้น เป็นมรดกที่เป็นภูมิปัญญาไทย แล้วช่วยกันรักษาเอาไว้ แต่ระยะหลังนี้มีหลายสำนักเกิดขึ้นมา ต่างคนต่างกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นของเทียม สำนักของตนจึงเป็นของแท้ จึงสร้างปัญหากันขึ้นมา เพราะฉะนั้น..บางทีเรื่องกิเลสคน เราต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ อยากจะว่าอย่างไรก็ว่าไป เราใช้ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์"

เถรี
25-07-2012, 13:03
ถาม : ทำไมเวลาสวดบังสุกุลสะเดาะเคราะห์ จึงให้โยมเอาจิตอยู่ที่นิพพาน ?
ตอบ : กำลังใจเราต้องมุ่งสูงสุดก่อน ถ้าไปไม่ได้สูงที่สุด ก็ยังไปได้มากที่สุด

เถรี
25-07-2012, 13:17
ถาม : มีคนประสบอุบัติเหตุกระดูกสันหลังหัก ควรทำบุญอย่างไรเพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นครับ ?
ตอบ : "ให้คนเอาน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาทาแล้วนวดให้ ส่วนตัวเองภาวนาอิติปิโสฯ ทั้งบทไปเลยก็ได้ ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์

น้ำมันชาตรีวัดท่าซุง ถ้าหากว่าจะรักษาโรคให้อธิษฐานแล้วลองทาดูก่อน ถ้ารู้สึกปกติหรือรู้สึกเย็นแสดงว่าโรคนั้นรักษาได้ ถ้ารู้สึกร้อนแปลว่าเกินกฎของกรรม ไม่สามารถที่จะฝืนได้ หลังจากนั้นจะกินหรือทาก็แล้วแต่ ถ้ารู้สึกปกติเหมือนกับน้ำมันทาผิวเฉย ๆ หรือว่ารู้สึกเย็นรักษาได้แน่ แต่ถ้ารู้สึกร้อนไม่ต้องรักษาเลย กรรมนั้นเราจำต้องรับ

เดี๋ยวเอาไว้ตอนอาตมาแก่กว่านี้ จะขออนุญาตพระท่านทำบ้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ในชีวิตท่านเห็นหลวงปู่ปานกับอาจารย์โภคาทำได้แค่ ๒ องค์เท่านั้น แล้วก็ทำได้คนละครั้งเดียว หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านเองท่านไม่แน่ใจ เมื่อพระอนุญาตท่านก็ทำเสียเต็มที่เลย สั่งน้ำมันงาจากโรงงาน ๓๐๐ ปีบ ไปเข้าพิธี

น้ำมันชาตรีดีตรงที่ว่าเติมไปได้เรื่อย ๆ เติมเท่าไรอานุภาพก็ยังเท่าเดิม แต่ให้เอาของเก่าเททับของใหม่ อย่าเอาของใหม่เททับของเก่า ถ้าเอาของใหม่เททับของเก่า จะเหมือนกับเราเอาของไปเทใส่หัวพระ ในเมื่อไม่มีความเคารพท่านก็ไม่สงเคราะห์ให้"

เถรี
25-07-2012, 13:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่เราเอาจิตเกาะพระนิพพาน อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวพอเคยชินเข้า อารมณ์นั้นก็จะเป็นของเราเอง ฉะนั้น..เกาะนิพพานให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติ สภาพจิตที่เคยชินกับการปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง พอไปนาน ๆ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดได้ กำลังกิเลสถอยลงไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดกิเลสก็จะหมดไปเอง นี่เป็นการบรรลุมรรคผลแบบเจโตวิมุติ"

เถรี
25-07-2012, 13:38
ถาม : ตัว "พาวเวอร์" หรือเก่ง ผมเห็นว่ายังแยกออกมาเรื่อย ๆ คือ มันไม่ใช่เรา แต่ตัวอื่นก็ยังมีกิเลสแฝงอยู่อีกเยอะ ?
ตอบ : นั่นแหละตัวกิเลสเลย "ตัวกู ของกู" ภาษาพระเรียกว่า "อหังการ มมังการ"

ถาม : เห็นไปเรื่อย ๆ เป็นธรรมดาหรือครับ ?
ตอบ : เห็น..ควบคุมให้อยู่ รู้ให้เท่าทันก็พอ

ถาม : บางทีมันก็พยายามสร้างเรื่อง
ตอบ : หน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่หลอก เรามีหน้าที่หลบหลีก หนีไปให้ได้

ถาม : แล้วมีวิธีหยุดอย่างไรครับ เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ในการปฏิบัติธรรม ?
ตอบ : รู้เท่าทันแล้วก็วาง วิ่งเข้าหาศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลัก

เถรี
26-07-2012, 08:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์ที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่จะนำพระบรมสารีริกธาตุและบรรจุของมีค่าที่สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกนั้น พระครูไพโรจนภัทรคุณ วัดสระพัง ท่านถวายพระพุทธรูปทองคำร่วมบรรจุด้วย ๑ องค์ น้ำหนัก ๑๔ บาท ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วย"

เถรี
26-07-2012, 09:33
ถาม : มีครั้งหนึ่งผมเคยเอาข้าวมาจากวัดครับ ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือพระท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านสละแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือไปเอามาเฉย ๆ ถ้าอย่างหลังเป็นหนี้สงฆ์หัวโต..!

ถาม : คนอื่นเขาเอามาให้อีกทีครับ
ตอบ : เราก็โดนหางเลขไปด้วย ไม่ได้เจตนาหรอก แต่เพื่อนพาจน

ถาม : แล้วอย่างเอาข้าวของที่วัดกลับมาบ้านเล่าครับ ?
ตอบ : แบบนั้นซวยมาเยอะแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “เอาไฟเผาบ้านดีกว่า” ไฟเผาบ้านก็เจ๊งครั้งเดียว แต่เอาของสงฆ์กลับมาบ้านเจ๊งกันเป็นกัป เพราะลงอเวจี ส่วนใหญ่เขาไม่รู้ มีอะไรก็เอาไปให้ลูกให้หลาน

เอาเถอะ..แก้ไขกันไปตามเพลง จะตั้งใจสร้างพระชำระหนี้สงฆ์หรืออะไรก็ว่าไป

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เราไม่มีเจตนาเอาไม่เป็นไร แต่มีข้อแม้อยู่นิดหนึ่งว่าก่อนตายรีบเอาไปคืนเขา ที่เป็นหนี้สงฆ์เพราะเจตนาเอาเป็นของตน ส่วนเราทำงาน ไม่มีเจตนาเอาไม่เป็นไร

เถรี
26-07-2012, 15:33
ถาม : มีคนหนึ่งเขาโดนไสยศาสตร์ จะพาเขาไปรักษาก็ไม่ยอม ?
ตอบ : เรื่องพวกนี้ต้องให้หมดวาระกรรมก่อน ถ้ายังไม่หมดวาระก็ต้องบังคับกัน แต่คราวนี้งานเป่ายันต์ก็เลยไปแล้ว ถ้ามีอีกทีก็ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕

ถาม : จะพาเขาไปรักษาก็ไม่ยอม
ตอบ : ไม่ต้องบอก เอาตัวเขาไปเข้าพิธีก็จบเลย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้ายังไม่พ้นวาระ อย่างไรก็ไม่หลุดหรอก เพราะว่าของพวกนี้เขามีเวลา เหมือนอย่างกับวาระกรรมยังส่งอยู่ ก็ต้องรอให้พ้นไปก่อน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ยาก...เดี๋ยวถ้าไปถามผิดที่ก็โดนเขาหลอกให้แก้กรรม เสียเงินเสียทองเยอะแยะอีก วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่วัดมีงานเป่ายันต์เกราะเพชร ลองหลอกเขาไปเข้าพิธีดู ดูสิว่าจะดิ้นจนศาลาถล่มไหม ? คราวที่แล้วเขาดันมาดิ้นกันอยู่ข้างตัวอาตมาเลย

ส่วนเราก็อย่าไปเครียด เดี๋ยวจะแย่แทน ภาวนาอิติปิโสฯ นึกถึงยันต์เกราะเพชรไปเรื่อย ๆ ใครทำอะไรเราก็ปล่อยให้ซวยของเขาเอง ไม่ต้องไปตอบโต้ นั่งภาวนาของเราไป

ถาม : กรรมอะไรคะ ?
ตอบ : บอกไม่ได้จ้ะ แค่นี้ก็เยอะมากแล้ว เรื่องของพระ บางทีรู้ก็บอกไม่ได้ ถ้ามีโอกาสลองพาเขาไปงานเป่ายันต์ฯ ก็แล้วกัน

เราอาจจะตายก่อนเพราะไปเครียดแทนเขา ไม่ต้องเครียด คนเรามีกรรมรักษา มีบุญรักษา เพราะฉะนั้น..กรรมของใครของมัน เราจะได้รู้ว่าถ้าเราไม่ได้สร้างบุญเอาไว้ เราจะโดนหนักกว่านี้อีก อย่างนี้ถือว่าเบาแล้ว

เถรี
26-07-2012, 15:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราไม่เหมือนกัน ในเมื่อไม่เหมือนกัน จะให้เรียบเหมือนโขลกออกมาจากเบ้าเดียวกันไม่ได้หรอก ต้องมีกระโดกกระเดกบ้าง"

เถรี
26-07-2012, 15:43
ถาม : ฆราวาสมีสิทธิ์ทำกิจเหมือนพระได้ไหมครับ ?
ตอบ : หมายถึงอะไรล่ะ ? ถ้ากินข้าวก็กินเหมือนกันนั่นแหละ

ถาม : ยกระดับชีวิตขึ้นครับ ?
ตอบ : มีสิทธิ์เป็นได้แม้กระทั่งพระอรหันต์ อยู่ที่เราจะทำหรือไม่ ?

เถรี
27-07-2012, 11:12
ถาม : เกี่ยวกับการแผ่เมตตาเป็นกรรมฐาน ?
ตอบ : ซักซ้อมบ่อย ๆ ไว้เท่านั้นเอง ถึงเวลาเมื่อเราแผ่เมตตาจนอารมณ์ใจทรงตัวสบายแล้ว ก็ให้ภาวนาต่อไปเลย ถ้าเราไม่มีการจับลมหายใจภาวนาต่อ อารมณ์จะไม่ทรงตัว อยู่ได้พักเดียวก็สลายไปหมด ต้องอาศัยฌานสมาบัติเข้าไปช่วย

เพราะฉะนั้น..เราจำเป็นที่จะต้องภาวนาต่อเลย อารมณ์ใจที่เป็นฌานตอนนั้นก็จะเป็นฌานในพรหมวิหาร จะรักษาเอาไว้ให้เราได้นาน แต่ถ้าเผลอหลุดก็ไปอีก ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้

เถรี
27-07-2012, 11:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้ที่ขึ้นไปพัก แทนที่อาตมาจะพักผ่อน ก็ไปออกกำลังกาย เนื่องจากข้างบนมีแผ่นไม้กระดานที่ให้ขึ้นไปยืนแล้วยืดเส้นได้

การออกกำลังนั้นมีอยู่ ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก ก็คือ ร่างกายของเราต้องบริหารอยู่เป็นปกติ ถึงจะอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้โดยไม่ลำบากมากนัก ถ้าไม่บริหารร่างกายก็จะรวน ทำให้เราลำบาก

ประการที่ ๒ ก็คือ หน้าที่ที่อาตมารับผิดชอบอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือของมหาวิทยาลัย ๒ แห่งก็ดี หรือว่าหน้าที่ในการสงเคราะห์ญาติโยมที่มีจิตศรัทธาก็ตาม ถ้าร่างกายไม่ดีก็ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่

เรื่องนี้ดูจากในหลวงเป็นตัวอย่าง ในหลวงทรงออกกำลังพระวรกายในสมัยก่อนเป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะทรงงานดึก ๆ ดื่น ๆ ขนาดไหนก็ตาม ช่วงบ่ายพระองค์ท่านจะออกวิ่ง แล้วไม่ได้วิ่งระยะใกล้ ๆ นะ ทรงวิ่งที ๓ - ๔ กิโลเมตร ส่วนใหญ่บรรดาข้าราชบริพารที่ติดตามก็มักจะเป็นข้าราชการที่มีอายุมากแล้ว คำว่ามากแล้วก็คือเกิน ๔๐ ปีแล้วทั้งนั้น ในหลวงทรงวิ่งสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ส่วนบรรดาข้าราชบริพารก็อยู่ประมาณสักครึ่งทางก็ลิ้นห้อยแล้ว

มีบุคคลที่ค่อนข้างจะกล้าหน่อยทูลถามว่า ทำไมต้องออกกำลังเอาจริงเอาจังขนาดนั้น พระองค์ท่านตรัสว่า “รับผิดชอบคนทั้งประเทศ ถ้าร่างกายไม่ดีก็ทำหน้าที่ไม่ได้”

เถรี
27-07-2012, 11:30
"แม้กระทั่งทุกวันนี้พระองค์ท่านก็พยายามที่จะทำกายภาพบำบัด เพื่อจะเสด็จพระราชดำเนินโดยพระองค์เองให้ได้ แต่บรรดาหมอต่าง ๆ ก็ยังไม่ไว้วางใจ ถ้าออกงานสำคัญก็มักจะให้พระองค์ประทับรถเข็นไปมากกว่า ประทับบนรถเข็นแล้วก็มีคนเข็นไป เพราะว่าพระองค์ท่านประชวรเป็นโรคน้ำในพระสมองมาก ไปเบียดประสาทการทรงตัว หมอต้องคอยระบายน้ำออก เกรงว่าถ้าเสด็จพระราชดำเนินไปเองแล้วล้มก็ไม่คุ้มกัน

จากที่เสด็จพระราชดำเนินไม่ได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ระยะใกล้ประเภท ๑๐๐ ก้าว หรือ ๕๐ ก้าวนี่ไปได้สบาย แต่เวลาออกงานหมอขอร้องให้ประทับรถเข็น ถ้าล้มหมอรับผิดชอบไม่ไหว มีหวังคนทั้งประเทศรุมหมอยับเยินแน่

อาตมายืนออกกำลังบนแป้นไม้นั้นก็ไม่ได้ยืนเปล่า ๆ หรอก พกหนังสือไปอ่านด้วย เขาให้ยืนอย่างน้อย ๑๕ นาทีในช่วงแรกเริ่ม ส่วนอาตมาทำมาเป็นปี ๆ แล้ว แค่ ๑๕ นาทีไม่พอหรอก ต้องเยอะกว่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยเรื่องเส้นสายได้

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีเครื่องออกกำลังอยู่ ญาติโยมซื้อไปถวาย “เฮ้ย..เล็ก วันนี้ร่างกายดีหน่อย เอามาลองซิ” ส่วนหลวงปู่มหาอำพันปั่นจักรยานวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน กราบเรียนหลวงปู่ว่า “ทำไมถึงต้องออกกำลังครับ ?” ท่านบอกว่า “หมอสั่ง..เป็นคนไข้อย่าดื้อกับหมอ ถ้าดื้อแล้วรักษายาก” หลวงปู่อายุ ๘๐ กว่าปี แต่กล้ามขาแข็งแรงเหมือนคนหนุ่มเลย"

เถรี
27-07-2012, 12:04
"เราจะเห็นได้ว่าพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบระดับนั้น ท่านทำอะไรท่านทำแบบจริงจัง ไม่ได้เหยาะแหยะแบบพวกเรา พวกเราถ้ามีเครื่องออกกำลังอยู่กับบ้าน ส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นที่ตากผ้า เพราะฉะนั้น..เลิกตากผ้าได้แล้ว ลองใช้ดูหน่อย แค่เราทำจริงจังสม่ำเสมอทุกวัน ผลก็จะปรากฏเอง

เรื่องของการปฏิบัติก็เช่นกัน ต้องจริงจังและสม่ำเสมอ ความจริงจังและสม่ำเสมอก็คือสัจจะบารมี ถ้าสัจจะบารมีพร่องก็ทำบ้างทิ้งบ้าง ไป..เริ่มต้นใหม่ รักษาร่างกายไว้ให้ดีนิดหนึ่ง ร่างกายก็โอดครวญน้อยหน่อย พอโอดครวญน้อยหน่อยเราก็ปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น

อาตมาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า พอเกษียณอายุแล้วยังนั่งหลังตรงได้ ถ้านั่งตัวตรงไม่ได้จะงอลงบ้าง ๖๐ ปีก็จะเกษียณแล้ว แต่พระเขาให้เกษียณตอนอายุ ๘๐ ปี ตำแหน่งเจ้าอาวาสกับกรรมการมหาเถรมหาคมห้ามเกษียณ เข้าใจว่าตำแหน่งกรรมการมหาเถรมหาคมเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ถ้าอยู่ ๆ เกษียณพร้อมกันไปสัก ๓-๔ รูป ที่มาใหม่ก็เคว้ง ส่วนตำแหน่งเจ้าอาวาสที่ไม่ให้เกษียณ พระผู้ใหญ่ท่านอธิบายว่า ถ้าเจ้าอาวาสใหม่ขัดคอกับเจ้าอาวาสเก่า เจ้าอาวาสเก่าจะอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ให้อยู่ตายคาตำแหน่งไปเลย"

เถรี
27-07-2012, 12:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลายกของ ถ้าหายใจออกจะยกขึ้นง่ายกว่า ส่วนใหญ่พวกเราไปสูดหายใจเข้าแล้วก็ยก ทำให้เหนื่อยง่าย"

เถรี
27-07-2012, 13:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราตอนนี้ระแวงน้ำท่วมกันเพราะปีที่แล้วโดนหนัก ใจเย็น ๆ ปีนี้น้ำท่วมในที่ที่ไม่ควรท่วม และแล้งในที่ที่ไม่ควรแล้ง ปีนี้ถ้าจะกลัวก็กลัวแผ่นดินไหวดีกว่า ความจริงแผ่นดินไหวทุกวันแหละ ลองยืนตอนที่รถสิบล้อวิ่งผ่านดูสิ

มีอยู่สมัยหนึ่งที่แผ่นดินไหวแล้วเขากลัวเขื่อนแตกกัน เขาเอานักธรณีวิทยาระดับอาจารย์ ก็คือ ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงไปออกรายการโทรทัศน์ พิธีกรตั้งคำถามได้ดีมาก “ท่านอาจารย์ครับ แผ่นดินไหวเกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?”

ท่าน ดร.ปริญญา จบธรณีวิทยามาโดยตรง บอกว่า “ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า แผ่นดินไหวมาจากสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน ๑. ลมกำเริบ ๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล ๓.พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์พุทธมารดา ๔.พระโพธิสัตว์ประสูติ ๕. พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ ๖.พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ๗.พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ๘.พระพุทธเจ้าปรินิพพาน” พิธีกรไปไม่เป็นเลย เตรียมคำถามทางวิชาการมาเยอะแยะ แต่ท่านงัดพระไตรปิฎกมาทั้งเล่ม

ความรู้ทางโลกไม่ทันสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่พวกฝรั่งเขาเคยชินกับความเป็นวิทยาศาสตร์ คือพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าสิ่งไหนยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็ตั้งเป็นสมมติฐานขึ้นมา ถ้าสมมติฐานนั้นยังหาคนคัดค้านไม่ได้ก็เป็นทฤษฎี เพราะฉะนั้น..คำว่าทฤษฎีนี้ยังไม่แน่นอนจนกว่าจะมีคนค้านได้ ค้านได้เมื่อไรทฤษฎีของคุณก็ตกไป ของคนใหม่ก็จะเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาอีก

ทฤษฎีจะแน่นอนแค่ตอนนี้ ถ้ามีคนสามารถพิสูจน์ได้ว่าของคุณผิด ก็เป็นอันว่าทฤษฎีนั้นใช้ไม่ได้ ถ้าเราเป็นพิธีกรจะไปต่ออย่างไรล่ะ ? ดร.ปริญญาอุตส่าห์เมตตาบอกว่า “ผู้มีฤทธิ์บันดาลก็ดูสมัยนี้แหละ พวกคนขับรถ ๑๐ ล้อบันดาลได้ทุกคน แค่วิ่งผ่านก็ไหวแล้ว” ถ้าจะไปพูดถึงอภิญญาสมาบัติอะไรกลัวพิธีกรจะขาดใจตายก่อน"

เถรี
27-07-2012, 13:09
"อาตมาชื่นชมท่าน ดร.ปริญญา ตรงที่ท่านเป็นบุคคลที่ทันสมัยสุด ๆ จบปริญญาเอกจากต่างประเทศ สอนอยู่สถาบัน AIT แต่พูดถึงพระไตรปิฎกอย่างเต็มปากเต็มคำ เอาพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาทฤษฎีตะวันตกเป็นใหญ่ เป็นพวกเราจะกล้าพูดไหม ? ถ้ารักตัวเองจะไม่กล้าพูด เพราะถ้ารักตัวเองกลัวคนอื่นเขาหาว่าบ้า ต้องรักพระพุทธศาสนาหรือว่ารักพระพุทธเจ้ามากกว่า จึงจะกล้าพูด

ดังนั้น..พุทธศาสนาของเราจึงต้องการบุคคลที่ปฏิบัติธรรมจนถึงระดับที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า “สามารถชี้แจงแก่บุคคลที่มีความสงสัย และบุคคลที่กล่าวตู่พระพุทธศาสนาได้จนแจ่มแจ้ง” ถ้ายังไม่ถึงระดับนั้นยังไม่ใช่พุทธบริษัทที่พระพุทธเจ้าต้องการ"

เถรี
28-07-2012, 10:31
"สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นผู้ที่ใฝ่บุญมาก จัดทำบุญเลี้ยงพระและฟังเทศน์ที่บ้าน ๓ วัน ๓ คืน แล้วนิมนต์ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม (อ้น) วัดมหาธาตุ กับท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติ (โต) วัดระฆัง ไปในงานด้วย

ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม (อ้น) เทศน์ปฐมสมโพธิกถาว่า เมื่อกาฬเทวิลดาบสได้ข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะประสูติจึงรีบไปดู ตอนนั้นกาฬเทวิลดาบสนอนอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นเทวดานางฟ้าอื้ออึงกัน ก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ? พอสอบถามดูจึงรู้ว่าพระมหาโพธิสัตว์เจ้าประสูติแล้ว จึงรีบเหาะลงมา อาศัยความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ เข้านอกออกในพระราชวังได้ ก็เลยเข้าไปจนถึงด้านใน

พอเห็นมหาปุริสสลักษณะของสิทธัตถะราชกุมารจึงหัวเราะและร้องไห้ พระเจ้าสุทโธทนะตรัสถามว่าทำไมถึงหัวเราะและร้องไห้ ? กาฬเทวิลดาบสบอกว่า หัวเราะเพราะดีใจที่ในชีวิตได้ทันเห็นมหาปุริสสลักษณะที่สมบูรณ์พร้อมขนาดนี้ บุคคลที่เป็นศาสดาเอกของโลกได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ที่ร้องไห้ก็เพราะอายุมากจนป่านนี้แล้ว ไม่มีโอกาสได้อยู่ทันท่านเผยแผ่ธรรมะ และไม่ได้รับผลของธรรมนั้นด้วย เพราะตายแล้วก็จะต้องไปเกิดในอรูปพรหม

แต่สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์มีปัญญามาก ท่านจึงสงสัย ถามพระพิมลธรรม (อ้น) ว่า “พระคุณเจ้าขอรับ..ฌานโลกีย์เสื่อมได้ไม่ใช่หรือ ? ” พระพิมลธรรม (อ้น) ก็รับรองว่าเสื่อมได้ สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ตรัสว่า “แล้วทำไมกาฬเทวิลดาบสไม่ทำลายอรูปฌานเสีย แล้วไปเกิดเป็นรูปพรหม อย่างไรก็ทันเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้อยู่แล้ว เพราะถ้าไปเกิดเป็นอรูปพรหม ถึงเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ ตนเองก็ไม่มีโอกาสรับรู้" ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม (อ้น) น็อกคาสนามเลย ไปต่อไม่เป็น แล้วพวกเราคิดว่าอย่างไร...? "

เถรี
28-07-2012, 10:39
"ท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติ (โต) วัดระฆัง ชื่อคุ้น ๆ ใช่ไหม ? ตอนหลังท่านเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านเห็นว่าท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรมไปไม่รอด ท่านก็ถอนหายใจเฮือกแล้วช่วยเฉลยว่า “แล้วทำไมพระเดชพระคุณถึงต้องลำบากมาจัดงานที่นี่ ๓ วัน ๓ คืน ? ข้ามฝั่งไปทำที่วัดระฆังก็ได้ทำบุญแล้ว” จบเลย เพราะว่ากำลังใจท่านตั้งใจจะเอาอย่างนั้น จึงตะเกียกตะกายทำที่วังตัวเอง จัดงาน ๓ วัน ๓ คืน ตัวเองก็เหนื่อยแทบตาย ต้องเรียกบริวารลูกน้องมาช่วยงานทุกอย่าง ต้องนิมนต์พระลำบากลำบนมาถึงวัง ข้ามฝั่งไปทำบุญวัดระฆังที่พระอยู่ก็จบแล้ว

กาฬเทวิลดาบสก็เหมือนกัน ท่านทำมาของท่านอย่างนั้น จะให้ท่านเลือกทางง่าย ๆ อย่างที่สมเด็จกรมพระยาฯ ท่านคิดไม่ได้หรอก เพราะใจท่านมุ่งไปทางเดียวเสียแล้ว คิดดูแล้วกันว่า หลวงพ่อวัดระฆังท่านตอบง่าย ๆ ประโยคเดียว สมเด็จกรมพระยาฯ ปัญญาท่านมาก ฟังแล้วเข้าใจทันทีเลย เป็นอันว่าจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทำบุญต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นสงสัยไปเรื่อยจบไม่ลง ตรงนี้แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพของหลวงพ่อวัดระฆังว่าสุดยอดมาก"

เถรี
28-07-2012, 10:43
:4672615: เก็บตกจากบ้านวิริยบารมีเดือนนี้จบแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นตัวอักษร โดย
ทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ