PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕


เถรี
05-06-2012, 08:27
ถาม : ผมตั้งใจถือศีลแปดมาได้หนึ่งเดือนแล้วครับ ตั้งใจจะถือศีลต่อ ทีนี้เรากลับบ้านพบคุณพ่อคุณแม่ เราสามารถละเว้นศีลแปดบางวันเพื่อรับประทานอาหารกับคุณพ่อแม่ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้

ถาม : ต้องยาวเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งใจไปแล้ว ไม่มีข้อยกเว้น จะถือศีลก็ถือให้จริงจังไปเลย อุปสรรคต่าง ๆ เป็นแค่ตัวทดสอบเท่านั้น โดยเฉพาะมารเขาจะเอาคนที่เรารักมากที่สุดมาทดสอบเราเสมอ

เถรี
05-06-2012, 09:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเว็บแย่งกันจองพระปิดตาเนื้อชุบทองพ่นทรายกัน เขารู้หรือเปล่าว่านากกับเงินทำยากกว่าเยอะเลย นากกับเงินจะต้องเคลือบแล็กเกอร์ด้วยไฟฟ้าเพื่อป้องกันไม่ให้ดำ แต่เขาบอกว่าอยู่ได้ประมาณ ๓ - ๔ ปีเท่านั้น ถ้าจะไม่ให้กลับดำต้องรีบเอาไปเข้ากรอบ อย่าให้อากาศเข้า ธรรมชาติของนากกับเงิน เวลาทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจะเกิดออกไซด์เป็นสนิมดำ ๆ

เพราะฉะนั้น..ถ้านากกับเงินไม่ดำแสดงว่าเป็นของปลอม แต่เขาก็อุตส่าห์หาวิธีมาแล้ว สรุปว่าทั้ง ๓ เนื้อ เงินกับนากทำยากที่สุดเพราะต้องไปเคลือบอีกชั้น แล้วราคาก็แพงขึ้น

ความจริงเขาเสนอว่าให้ออกทีละอย่าง อาตมาบอกว่าไม่ได้หรอก..ไม่ยุติธรรม คนที่เขามีเงินสำหรับเลือกได้องค์เดียว จะได้เลือกถูกว่าจะเอาแบบไหน ถ้าไปออกทีละอย่างเขาก็หน้ามืดสิ จองแบบนี้ไปแล้วไปเจอของที่ตัวเองชอบขึ้นมาทีหลัง..คงเสียดาย"

เถรี
05-06-2012, 10:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายกัน ถ้าไม่มีศูนย์รวมใจอย่างในหลวง ชาวบ้านก็ไม่รู้จะพึ่งใคร ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไกลไม่ได้ แต่ก็ยังต้องออกมา อย่างน้อย ๆ ให้ชาวบ้านได้รู้ว่าที่พึ่งของพวกเขายังอยู่"

ถาม : ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินได้หรือเปล่า ?
ตอบ : พระองค์เสด็จพระราชดำเนินได้แต่ว่าไม่ไกล เพราะว่าน้ำในสมองมาก ทำให้ทรงพระวรกายได้ไม่ดี อาจจะเซล้มได้ทุกเวลา หมอก็เลยไม่อยากให้เสี่ยง ให้นั่งรถเข็นดีกว่า เรื่องอื่นไม่ค่อยมีปัญหาหรอก มีปัญหาเฉพาะน้ำในสมอง ต้องคอยระบายอยู่เรื่อย พอแก่แล้วเป็นอย่างนั้นทุกคน เพียงแต่ว่าจะมากจะน้อย

สรุปว่า..ชราปิ ทุกขา แก่แล้วเป็นทุกข์ที่ขา เดินไม่ถนัด อันนี้ว่านอกบาลี

เถรี
05-06-2012, 10:16
อาตมาสงสารอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ นั่งรอรับเสด็จสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ แต่เช้า เพราะสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่าจะเสด็จไปที่เต็นท์สาธยายพระไตรปิฎก ปรากฏว่าเวลาประมาณ ๔ โมงเย็นพายุเริ่มมา เมฆมืดไปทุกทิศทุกทาง พระองค์ท่านเสด็จถึงเวลา ๕ โมงเย็น ฝนเริ่มหยดแปะ ๆ แล้ว พอตัดริบบิ้นเปิดงานเสร็จเสด็จเข้าเต็นท์ ฝนก็กระหน่ำสนั่นหวั่นไหวเลย อาตมาจึงรับเสาเสมาธรรมจักรท่ามกลางสายฝน

พอเสร็จงาน พระองค์ท่านก็เสด็จกลับ น่าจะเป็นบรรดาราชองครักษ์ถวายการรักษาพระองค์ลำบาก จึงทูลเชิญเสด็จกลับเลย พระอาจารย์มหาณรงค์ศักดิ์ไปนั่งรอแต่เช้า อยู่เต็นท์แรกที่จะเสด็จด้วย ท้ายสุดก็ได้แต่มองตาละห้อยตามส่งเสด็จ

เถรี
05-06-2012, 11:07
เราจะเห็นในเรื่องบารมีของพระองค์ท่านชัด ๆ ก็คือ ทุกคนฝึกซ้อมการรับพระราชทานมาอย่างดี พอเข้าไปอยู่ตรงหน้าพระพักตร์แล้วส่วนใหญ่ลืมหมด ฝึกกันมาอย่างดี ซ้อมแล้วซ้อมอีก พอไปอยู่ตรงหน้าก็ลืมหมด ไม่ว่าจะเป็นทหาร ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ

อย่างพระเวลารับพระราชทาน สมเด็จพระเทพฯ ประทับยืนอยู่กับที่ พระเป็นฝ่ายเดินเข้าไป แล้วก็จับผ้ารับประเคน พอพระองค์พระราชทานวางเสาเสมาธรรมจักรลงบนผ้า พระก็ปล่อยผ้ารับประเคน ใช้มือขวาจับเสาเสมาธรรมจักรแล้วยกขึ้น ใช้มือซ้ายช่วยประคอง แล้วหมุนตัวไปทางขวา เดินกลับไปยังแถวที่นั่งตามเดิม แต่ส่วนใหญ่ทำผิดหมด พอไปอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่านแล้วประหม่า หลวงพ่อบางรูปยืนเฉย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องเตือนว่าให้จับผ้ารับประเคนถึงนึกได้ ตอนนั้นท่านคงมืดไปหมด นึกไม่ออกว่าจะทำอะไร

มีโยมคนหนึ่งเป็นฝรั่งผู้หญิง ตัวสูงยาวมากเลย น่าจะทำเกี่ยวกับการแปลหนังสือพระไตรปิฎกเป็นภาษาอังกฤษ คนอื่นเขาถอนสายบัวเสร็จก็คุกเข่ารับ แต่ฝรั่งคนนี้คุกเข่าไม่เป็น ก็เลยโก้งโค้งรับท่าประหลาด ๆ อยู่คนเดียว อาตมาดูจากจอโทรทัศน์ เห็นพระองค์ท่านทรงยิ้ม ถือว่าอภัยให้เขาไป เพราะเขาไม่เป็นจริง ๆ

ขนาดเด็ก ๆ ที่ชนะเลิศการประกวดสวดหมู่ทำนองสรภัญญะ ไม่มีใครทำท่าเหมือนกันสักคน ทั้ง ๆ ที่หัดมาอย่างดีเลย พอไปอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่านแล้วไปกันคนละทิศคนละทาง โดยเฉพาะตอนซ้อม พระเจ้าหน้าที่กำชับเด็กทุกคนให้ “ถอนสายบัวอย่างอ่อนโยน” อาตมาฟังแล้วจะบ้าตาย...อ่อนโยนเด็ก ๆ ถอนไม่เป็นหรอก ถ้าอ่อนช้อยก็พอได้ รับรองได้ว่าเด็กชุดนี้จะต้องจำว่า หลวงพ่อให้ถอนสายบัวแบบอ่อนโยน คงเอาไปสอนลูกสอนหลานด้วย บรรลัยกันหมด..!

เถรี
06-06-2012, 10:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "เชื่อ" มี เชื่อมือ เชื่อถือ เชื่อใจ เชื่อมือ..เจ้านายเชื่อว่าลูกน้องทำได้ เชื่อถือ..ลูกน้องให้ความเชื่อต่อเจ้านายว่า สิ่งที่สั่งมาหรือแผนงานที่กำหนดไว้ จะต้องเป็นไปตามนั้น เพราะเจ้านายมีวิสัยทัศน์มากกว่า เราจึงเชื่อถือ เชื่อใจ..ทั้งเจ้านายและลูกน้องควรจะมีความเชื่อใจต่อกัน มิฉะนั้นแล้วงานจะไปไม่รอด ถ้าเราใช้งานเขาแล้วอย่าไประแวง ถ้าระแวงก็อย่าไปใช้เลย จะได้หมดเรื่องไป

สมัยก่อนส่วนใหญ่เวลาฮ่องเต้ใช้ลูกน้อง เผลอหน่อยเดียวก็ระแวงลูกน้องอีกแล้ว คนอยู่ใกล้ฮ่องเต้จึงรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้เสือ จะโดนกัดเมื่อไรก็ไม่รู้"

เถรี
06-06-2012, 11:04
พระอาจารย์เล่าการเดินทางไปเมืองจีนว่า "กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเพราะความกลัวของคน ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกทั้งหลายล้วนแล้วแต่กลัวอาชญา กลัวการลงโทษ กลัวความเจ็บ กลัวความตาย ต้องทุ่มทุนมหาศาลนับเป็นเงินประมาณไม่ได้ สร้างเครื่องป้องกันขึ้นมา

พออาตมาขึ้นไปถึงป้อมสูงสุดแล้วมองลงมา จะเห็นกำแพงเมืองจีนเลื้อยไปตามแนวเขา ชี้ให้โยมเขาดูว่าด้านบนที่เป็นเขาสูงไม่ได้สร้างกำแพงเลย เขาสร้างเฉพาะเนินเขาที่คาดว่าข้าศึกพอจะปีนข้ามมาได้ ส่วนบริเวณที่สูงชันเขาไม่ไปสร้างให้เสียเวลา ไม่ทราบว่าหมดงบประมาณไปเท่าไร หมดสิ้นชีวิตคนไปเท่าไร กว่าจะสร้างเสร็จขึ้นมา

กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นไปตามกรรมโดยแท้ บุคคลที่สร้างกรรมดีก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน บุคคลที่สร้างอกุศลกรรมทำชั่วไว้มาก ก็ต้องมานั่งอกสั่นขวัญแขวน ว่าเมื่อไรจะโดนเขาเบียดเบียน เมื่อไรเขาจะยกทัพมาตี ทหารที่ไปอยู่ประจำการตามป้อมก็เท่ากับสุดหล้าฟ้าเขียว ไปอยู่กันเป็นปี ๆ

แต่ระบบแจ้งข่าวสมัยนั้นเร็วมาก ใช้วิธีจุดไฟแจ้งข่าวศึก ป้อมที่อยู่ถัดไปมองเห็นเปลวไฟก็จะจุดต่อไปเรื่อย พักเดียวข่าวก็ข้ามกำแพงหมื่นลี้แล้ว พรรคพวกจะได้เตรียมตัวทัน

สมัยก่อนนั้นสิ่งที่เขาใช้จุดไฟเป็นขี้หมาป่า เขาว่ามีความชื้นสูงหรือมีคาร์บอนสูงก็ไม่รู้ จุดแล้วควันจะดำหนาทึบ เห็นไกลมาก ดังนั้น..คนนอกด่านจะอาศัยขี้หมาป่าจุดไฟเพื่อแจ้งข่าวศึก"

เถรี
06-06-2012, 11:37
"การแจ้งข่าวศึกนั้น ถ้าเป็นระยะสั้นใช้วิธีเป่าเขาสัตว์ ระยะหลังชาวทิเบตปรับมาทำเป็นแตร มีขนาดยาวหลายวา คนเป่าจะต้องแรงดีจริง ๆ เป่าทีเสียงดังข้ามหุบเขาเลย คนที่ได้รับข่าวก็เป่าต่อ ๆ กัน

อย่างในท้องทะเลเขาใช้วิธีเป่าหอยสังข์เพื่อแจ้งข่าว ระยะหลังไม่ได้ใช้สังข์ในการส่งข่าวแล้ว แต่ใช้สังข์ในพิธีกรรมของพราหมณ์ พราหมณ์มีความเชื่อว่าสังข์เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เดิมเชื่อว่าอสูรตนหนึ่งหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในเปลือกหอย พระนารายณ์เลยจับอสูรบีบจนเป็นรูปนิ้ว จึงเชื่อกันว่าหอยสังข์เป็นรอยหัตถ์ของพระนารายณ์ จึงเป็นสิ่งที่เป็นมงคล

แถวบ้านเราจะหาสังข์ที่เป็นอุตราวรรตได้ยากมาก อุตราวรรต คือ เวียนซ้าย เพราะโดยธรรมชาติแล้วจะเป็นทักษิณาวรรต คือเวียนขวา คำว่า "อุตรา" หรือ "ทักษิณ" โบราณเขายึดว่าหันหน้าทางทิศตะวันออกเป็นหลัก ฉะนั้น..ถ้าเวียนขวาก็ไปทิศใต้ เวียนซ้ายก็ไปทิศเหนือ ทักษิณาวรรตก็เวียนไปทิศใต้ คือเวียนขวา ถ้าอุตราวรรตก็เวียนไปทางทิศเหนือ คือเวียนซ้าย เพราะเราหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออก

มีใครเคยเจอสังข์ที่เป็นอุตราวรรตบ้างไหม ? เขาว่าเป็นมงคล อะไรที่แปลกมักจะเด่นกว่าคนอื่น แต่พวกสัตว์ที่แปลก อย่างเช่น สัตว์เผือก เด่นเกินไปจึงกลายเป็นเป้าให้สัตว์อื่นโจมตี สัตว์เผือกที่เป็นโดยธรรมชาติตาจะแดงด้วย ถ้าตาไม่แดงก็แปลว่าขาว ไม่ใช่เผือก"

เถรี
06-06-2012, 12:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครศึกษาเกี่ยวกับเส้นกราฟวิวัฒนาการ จะเห็นว่าเส้นกราฟวิ่งเป็นคลื่น มี ๒ เส้นวิ่งสวนกัน ก็แปลว่าต่อไปวิวัฒนาการเราจะเตี้ยลงเรื่อย ๆ พอถึงจุดต่ำสุด ก็จะเหมือนชาวญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกที่เขาเรียกว่า "ไอ้ยุ่น" เพราะตัวเตี้ยนิดเดียว ส่วนตอนนี้วิวัฒนาการของคนญี่ปุ่นก็สูงขึ้น ๆ

เพราะฉะนั้น..ที่คนไทยตัวเล็กกว่าฝรั่งเพราะมีวิวัฒนาการมาก่อน ตอนนี้วิวัฒนาการเรามาถึงตอนโค้งลงแล้ว อีกนานกว่าจะขึ้น ฝรั่งเองก็ตัวเล็กลงเรื่อย ๆ สมัยเด็ก ๆ อาตมาเห็นฝรั่งตัวใหญ่ ๖ - ๗ ฟุต ปัจจุบันนี้อาตมาสูง ๑๗๒ เซนติเมตร แต่ก็ยังสูงกว่าฝรั่งหลายคน เวลาเดินไปด้วยกันนี่สบาย เมื่อก่อนต้องแหงนคอมองเขา แสดงให้เห็นว่าวิวัฒนาการเปลี่ยนไปเรื่อย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์สุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ มีนิมิตข้อหนึ่งว่า ต้นไม้ขึ้นสูงศอกเดียวก็ออกดอกออกผลแล้ว พระองค์ทรงพยากรณ์ว่า บรรดากุมารากุมารีจะมีคู่แต่เยาว์วัย สมัยนั้นคนจะมีอายุ ๑๐ ปีเป็นเกณฑ์ ถ้าอายุ ๑๐ ปีเป็นเกณฑ์ แสดงว่า ๒ ขวบก็คงแต่งงานแล้ว คงพิลึกน่าดูเลย

เราลองมานึกถึงช่วงพระศรีอาริยเมตไตรย สมัยพระองค์ท่านมีวิวัฒนาการสูงสุด ความสูง ๘๘ ศอก เป็นศอกของท่านนะ ไม่ใช่ศอกของเรา ที่เมืองจีนสร้างพระหลวงพ่อโตบนภูเขาหลิงซาน สูง ๘๘ เมตร คงสร้างไว้รอพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะสูง ๘๘ เมตรพอดี

ถึงเวลาพระศรีอาริยเมตไตรยจะไปประทับรอยพระบาทที่พระพุทธบาท ๔ รอย พอพระองค์ท่านเหยียบลงไปทีเดียว จาก ๔ รอยกลายเป็นรอยเดียวไปเลย เพราะรอยพระบาทของพระองค์ใหญ่ที่สุด"

เถรี
06-06-2012, 12:35
ถาม : มีรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าองค์ใดบ้าง ?
ตอบ : พระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากกุสันโธ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าโกนาคมน์ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากัสสปะ เป็นพระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมีมา ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระพุทธเจ้ามีพระนามว่าโคตมะ เป็นพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป พระศรีอาริยเมตไตรยไม่เหมือนใคร เป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป สิ่งที่พระองค์ท่านทำก็เพื่อความสุขของบริวารทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารมีสวยมีอัปลักษณ์ มีรวยมีจน มีดีมีชั่ว ปนเปกันไป พระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของพระองค์ท่านจะดี สวย รวย เสมอกันหมด ในเขตที่พระองค์ท่านประกาศพระศาสนา คนชั่วจะเข้ามาไม่ได้ อย่างเช่น ถ้าประเทศไทยเป็นเขตที่พระองค์ท่านประกาศพระศาสนา คนชั่วจะมาเกิดในประเทศไทยไม่ได้ หรือเกิดแต่เข้าประเทศไทยไม่ได้

แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะ นอกจากบริวารจะดี สวย รวย เสมอกันหมดแล้ว โลกในยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ เจอคำสั่งห้ามเกิดชั่วคราว รอไปก่อน เช่นนั้นก็แปลว่าในภัทรกัปนี้มีสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนานที่สุด คือ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป เหนื่อยมากกว่าพระองค์อื่น เหนื่อยเพื่อบริวาร แต่ที่พระองค์ท่านยอมเหนื่อยเพราะว่าสบายตอนสอน เทศน์ทีเดียวเป็นพระอรหันต์กันหมดเลย ไม่ต้องเสียเวลามาไล่ต้อนกันนาน

คราวนี้ถ้าเป็นฆราวาสบรรลุก็ไปสบายก่อน ถ้าหากว่าเป็นพระเป็นเณรก็ต้องอยู่ไปตามอายุขัยของตน สงสัยอยู่อย่างเดียว ตอนนั้นไม่มีฆราวาสอยู่เลี้ยงแล้ว ไปกันหมดแล้ว พระคงอยู่ด้วยธรรมปีติกัน โลกยุคนั้นเขาว่ามีต้นกัลปพฤกษ์ ใครอยากได้อะไรก็ไปสอยเอา

ถาม : สมัยนั้นยังมีการบวชพระหรือไม่คะ ?
ตอบ : ยุคนั้นเป็นการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระพุทธเจ้าตรัสให้การอุปสมบทก็กลายเพศเป็นพระภิกษุ ต่อให้เป็นพระเพิ่งบวชใหม่ก็มีอาจาระดั่งพระเถระที่บวชมาได้ถึง ๑๐๐ พรรษา

เถรี
06-06-2012, 21:12
ถาม : เวลาที่ภาวนา คิดว่าถ้าสมาธิดีเราก็จะได้พิจารณาต่อ แต่กลายเป็นว่าพอตอนสมาธิดีจริง ๆ จะแช่นิ่งไปเลย พิจารณาอะไรไม่ได้เลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ตั้งใจไว้ก่อนภาวนาว่าเราจะตัดรัก โลภ โกรธ หลง ตัวไหน อย่างไร ถึงเวลาแล้วจิตจะตัดเองโดยอัตโนมัติ เราจะสังเกตว่าเวลาคลายสมาธิออกมา ตัวที่เราตั้งใจว่าจะตัด จะเบาบางไปเองโดยอัตโนมัติ แต่ให้ประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ด้วย ถ้าจิตอยากจะนิ่งก็ปล่อยให้นิ่ง ถ้าอยากจะคิดแล้วเราค่อยหาวิปัสสนาให้คิด แต่กำลังใจเราถ้าเราตั้งใจตัดตัวไหน ถึงเวลาจิตก็จะตัดเอง

ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้านที่ทำอารมณ์ตกศูนย์กลาง กับการภาวนาคาถาเงินล้านที่ทำอารมณ์เป็นฌาน ๔ ผลจะต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ลองดูสิว่าแบบไหนเงินจะไหลมาเทมา

ถาม : แต่หนูยังทำแบบตกศูนย์กลางไม่ได้เลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปทำหรอก อะไรที่ลำบากสำหรับเราจะไปทำทำไม ? เราภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ คิดว่าเป็นหน้าที่ก็ภาวนาไป

เถรี
06-06-2012, 21:33
ถาม : ปฏิบัติเน้นภาวนาจับลมหายใจ รู้ทั้งหมดในอวัยวะแทนพองยุบ อย่างนี้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่..เพราะว่าจริง ๆ แล้วอะไรเกิดขึ้นเรารู้อย่างนั้น แต่ว่าในช่วงที่จิตถอนจากสมาธิมา ควรที่จะหาวิปัสสนาญาณเข้ามาคิด อย่างเช่นวิ่งเข้าไปหาไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่อย่างนั้นแล้วกำลังที่เราทำมาจะโดนดึงไปในด้านของรัก โลภ โกรธ หลง ให้สังเกตว่าถ้าเราหลุดออกมาจากสมาธิเมื่อไร เราจะฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐานมากเลย เพราะกิเลสเอากำลังจากการภาวนาของเราไปใช้

ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ถึงเวลาจิตสงบ เกิดสภาวะอะไร เรารับรู้ตามนั้น แต่ถ้าสมาธิเริ่มคลายตัวมาเมื่อไร ต้องรีบหาสิ่งดี ๆ มาคิด ไม่อย่างนั้นจะชวนคุณฟุ้งซ่าน สร้างวิมานในอากาศเป็นหลัง ๆ เลย

ถาม : เรากำหนดรู้ สภาพจิตที่นิ่งตลอด สามารถนับชีพจรตัวเองได้เลย
ตอบ : นับชีพจรตัวเองได้เป็นเรื่องปกติ ถ้าจิตเราละเอียด การรับรู้ก็จะละเอียดไปด้วย

ถาม : เรากำหนดแทนลมหายใจได้ ?
ตอบ : ก็ได้..แต่อย่าไปกำหนดจี้ลงที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ เพราะบางทีเราวางกำลังใจผิด ก็จะเป็นการขัดขวางการทำงานอวัยวะภายใน ระบบของอวัยวะภายในจะรวน ถ้ารวนหนักก็ถึงตาย..!

ถาม : ปล่อยตามสบาย ?
ตอบ : ตามสบาย เราจะไปดูที่พองยุบก็ได้ หรือดูอาการรูปที่ปรากฏในจิตก็ได้

ถาม : ถ้าเราเน้นการปฏิบัติ แต่เรายังอยากได้ลาภ ทรัพย์สินเงินทองทางโลกอยู่ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ พระพุทธเจ้าสอนให้ประกอบสัมมาอาชีวะ อย่าลืมว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐีกับนางวิสาขาท่านรวยจนนับเงินไม่ไหว ท่านก็ยังทำมาหากินเป็นปกติ ถ้าได้มาถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ทำไปเถอะ

เถรี
06-06-2012, 21:44
ถาม : ขออุบายไม่ให้ฟุ้งซ่าน
ตอบ : ไม่ต้องใช้อุบายอะไรหรอก อย่าหลุดจากปัจจุบันตรงหน้าก็พอ ส่วนใหญ่ที่ฟุ้งซ่านกันเพราะหลุดจากตรงหน้าไป คิดถึงอดีตบ้าง คิดถึงอนาคตบ้าง บาลีว่า อตีตํ นานุโสจนฺติ อย่าไปหวนคำนึงถึงอดีต นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ ให้กำหนดสติรู้อยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น

เคล็ดลับมีนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทำกันไม่ค่อยได้หรอก เพราะฟุ้งแล้วเพลินกว่า เขาหลอกให้เราใช้กำลังที่เราสั่งสมได้ไปฟุ้งซ่าน เหมือนกับเราเก็บเงินจะซื้อของสักอย่าง แล้วเขาก็หลอกให้เราซื้อของเล็กของน้อยไปเรื่อย จนเงินไม่พอสักที

เถรี
07-06-2012, 11:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่เพิ่งจะด่าคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไป เขาไปพิมพ์รูปสมเด็จองค์ปฐมมาอีกเยอะแยะ จะเอามาถวายให้อาตมาแจก บอกไปไม่เคยจำ..! สมเด็จองค์ปฐมไม่ใช่เพื่อนเอ็งนะ..นึกอยากจะทำรูปท่านเท่าไรก็ทำ คนที่รับไปถ้าไม่ศรัทธาก็พากันลงนรกไปอีก..!

พวกที่อยู่ไป ๆ แล้วเป็นกันเองกับพระพุทธเจ้า น่าจะลงไปอยู่ข้างล่างนาน ๆ เขาบอกอย่างชัดเจนมากว่าขออนุญาตพระท่านแล้ว อาตมาบอกว่าถ้าขออนุญาตแล้วก็ไม่ต้องเอามาทางนี้ อาตมาไม่อยากติดหลังแหไปด้วย

ปัจจุบันนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ซึ่งน่าจะเกินร้อยละ ๘๐ พอได้มโนมยิทธิแล้วก็มั่ว แต่ละรายเก่ง ๆ กันทั้งนั้น ถ้าใครอยากรู้ว่าเก่งอย่างไร ลองไปเข้าเว็บพลังจิตดู ล้วนแล้วแต่ระดับสุดยอดทั้งนั้น เก่งจนอาตมายอมกลัว ต้องถอยหนี เขารู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องตัดกิเลสที่สำคัญที่สุดกลับไม่รู้..!

ความจริงแล้วอาตมาไม่อยากจะตำหนิญาติโยมอะไรหรอก แต่เรื่องของพระรัตนตรัยนั้นมีคุณอนันต์แล้วก็มีโทษมหันต์ เราทำถูกก็เป็นบุญเป็นกุศลแก่ตัวเอง ถ้าเราทำผิดพลาดขึ้นมาก็จะเป็นโทษใหญ่ขึ้นแก่ตัวเอง เพราะฉะนั้น..พวกเราที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ สภาพจิตควรที่จะละเอียดมากกว่านี้

สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ ควรจะพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราคิด พูด ทำ นั้น เป็นไปโดยกุศลโดยส่วนเดียวหรือเปล่า ? หรือว่ามีอกุศลแฝงอยู่ ? จนกระทั่งกลายเป็นตัวถ่วงรั้งให้เราพ้นจากวัฏสงสารได้ยาก เพราะว่าสิ่งที่จะแฝงมานั้น ส่วนใหญ่เป็นมารที่พยายามจะขัดขวางไม่ให้เราหลุดพ้นโดยตรง

กลายเป็นว่า ยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร ยิ่งต้องระมัดระวังจนตัวลีบมากขึ้นเท่านั้น กาย วาจา ใจ ทุกส่วนไม่ควรจะเป็นทุกข์โทษเวรภัยต่อใคร สิ่งที่เราทำเป็นบุญแน่ ๆ เพราะเราตั้งใจที่จะสร้างรูปพระ แต่ถ้าหากว่าทำไปแล้วกลายเป็นบาป เพราะเราปรามาสพระรัตนตรัย ก็ไม่ควรที่จะทำ

ลองนึกว่าถ้าเราบังเอิญได้เจอในหลวง แล้วเรากราบเรียนท่านว่า “ขออนุญาตสร้างรูปของท่านนะ” แค่นั้นจบ..สมควรไหม ? แล้วพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่กว่าเท่าไร ไม่ใช่ว่าเราได้มโนมยิทธิ เราขออนุญาตท่านได้ ที่ว่าได้นั้น..เราขออยู่ฝ่ายเดียวหรือเปล่า ?"

เถรี
07-06-2012, 11:58
ถาม : แก้วโป่งขามดีอย่างไรครับ ?
ตอบ : โบราณเขาถือตรงคำว่า "ข่าม" ภาษาเหนือแปลว่า อยู่ยงคงกระพัน เขาถือว่าชื่อดี เข้าใจแล้วหรือยัง ? เป็นมงคลเพราะชื่อ

เถรี
07-06-2012, 12:37
พระอาจารย์กล่าวถึงพระนาคปรกรุ่น ๒ ว่า "ถ้าใครอยากให้พระนาคปรกสวยกว่านี้ ให้ไปจ้างเขาปิดทองแท้ ถ้าปิดทองแท้จะงามอร่ามเลย เพราะทองแท้สีจะสว่างใสกว่านี้มาก สมกับเป็นพญามุจลินท์นาคราช

นาคมีปกติชอบหลับ พญากาฬนาคราชหลับไปตื่นหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปองค์หนึ่ง พอถาดทองของพระพุทธเจ้าจมลงสู่บาดาล กระทบกับถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน เสียงดังกริ๊ก “อะไร..นอนยังไม่ทันหายง่วงเลย พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นอีกองค์แล้ว ?” ปลุกพระยานาคราชตื่นขึ้นมา เวลาของท่านนี่สุดยอด หลับไปตื่นหนึ่ง ก็มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง

แต่ท่านก็ขึ้นมาแสดงความยินดี นำบริวารนาควิกาขึ้นมาขับร้อง ประโคมดนตรีฟ้อนรำถวาย เหมือนพวกเราที่แสดงการรำถวายพระ คงเป็นประเภทตระกูลเดียวกัน มีการแสดงถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชาเหมือนกัน"

เถรี
07-06-2012, 12:55
ถาม : ทำงานธนาคารกับทำธุรกิจส่วนตัว อย่างไหนดีกว่าครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอง ไม่ต้องถามพระหรอก ไม่ต้องถามคนอื่น เดี๋ยวไปเจอหมอดูบอกว่าต้องไปสะเดาะเคราะห์ ก็จะเสียสตางค์อีก

เป็นลูกจ้างเขามั่นคงตรงรายรับ แต่ไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน ทำงานส่วนตัวมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่รายรับไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น..มีข้อบกพร่องทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องเสียเวลาถามพระหรือถามหมอดู ลุยไปเลย

ทำอะไรทุ่มเทให้เต็มที่แล้วทุกอย่างจะดีเอง ส่วนใหญ่ที่มีปัญหาเพราะว่าไปไว้วางใจให้ผู้อื่นทำแทน โดยเฉพาะในเรื่องของกิจการ ถ้าไม่มีนักบริหารมืออาชีพมาทำให้เราก็แย่ คนอื่น ๆ เขาไม่มีสำนึกความเป็นเจ้าของ ในเมื่อขาดสำนึกความเป็นเจ้าของ เขาก็ไม่ทุ่มเทเหมือนกับที่ตัวเราทำ แล้วผลสุดท้ายก็เละจนได้

แต่ผู้บริหารมืออาชีพส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แม้เขาไม่พอใจแนวคิดของเรา แต่ถ้าเขาเป็นลูกจ้าง เขาเต็มใจทำให้ ถามว่ามีจุดบกพร่องไหม ? มี..เพราะว่าผู้บริหารที่เราจ้างมา พอไปถึงระดับหนึ่ง ถ้าเขาขาดพลังในการสนับสนุนก็ไปต่อไม่ได้ ความคิดมี งบประมาณไม่มี ก็ไปต่อไม่ได้ ขณะเดียวกันเจ้าของกิจการมีงบประมาณ แต่ความคิดไม่มี ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ทั้ง ๒ ฝ่ายต้องเกื้อกูลกันถึงจะไปรอด ยกให้แค่ฝ่ายเดียวไปไม่ได้ สรุปว่าตัดสินใจเองว่าจะเลือกทำแบบไหน

เถรี
07-06-2012, 13:05
ถ้าเราคิดว่าเราอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ก็ถือว่าเราเป็นมืออาชีพในสาขานั้น ถ้าเจ้านายคนไหนเข้าใจคนอย่างเรา เราก็ทำงานกับเขาได้ ต่อให้ทะเลาะกันทุกวันก็ทำงานกับเขาได้ อาตมากับเจ้านายทะเลาะกันทุกวันเลย เจ้านายเขาสั่งมาแล้วอาตมาเห็นว่าไม่เข้าท่าก็เถียง คราวนี้ก็ต้องสู้กันด้วยเหตุด้วยผล บางทีเจ้านายเขาไม่เข้าใจที่เราไม่ตามใจเขา อาตมาเองก็บอกเจ้านายไปว่าตามใจไม่ได้ เพราะถ้างานพังอาตมาก็เสียด้วย

สมมติว่าทำงานธนาคาร บริหารธนาคารล่มไป ต่อไปใครจะมาจ้างเรา ? ก็เลยต้องผูกขาติดกัน อาตมากับเจ้านายทะเลาะกันทุกวัน แต่พอถึงเวลาที่อาตมาลาออก เขาบอกว่าอยู่ทำงานกับเขาต่อไปเถอะ แสดงว่าเจ้านายค่อนข้างชอบความเจ็บปวด ชอบความรุนแรง เจอลูกน้องประเภท "ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน" ไม่ยอมเอา

ตอนนี้กำลังขยายวิธีคิดทางโลก ๆ แบบนี้ ให้กับพระนิสิตที่อาตมาสอนอยู่ ให้เขารู้วิธีการคิดที่มองในลักษณะบูรณาการ คือรอบด้าน เพราะส่วนใหญ่คนเราจะคิดแง่เดียว คิดจะทำกิจการอะไรสักอย่างหนึ่ง ลงทุนแค่นี้ ทำไประยะเวลาแค่นี้ มีผลกำไรแค่นี้ ถึงเวลาสิ้นเดือนปิดงบฯ ต้องมีรายรับประมาณแค่นี้ หนึ่งปีมีแค่นี้ ถ้าคิดแค่นี้จบแล้ว ส่วนใหญ่เจ๊ง ๙๙.๙๙%

พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง รายรับที่เราไปคิดว่าวันหนึ่งได้ ๑๐๐ บาท เดือนหนึ่งได้ ๓,๐๐๐ บาท ปีหนึ่งก็ได้ ๓๖,๐๐๐ บาท นั่นเราคิดแบบเที่ยง ก็แสดงว่าเราคิดผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าเกิดวันหนึ่งดันได้ไม่ถึง ๑๐๐ บาท ซ้ำยังติดลบไป ๑๐๐ บาท แล้วเราจะทำอย่างไร ? คราวนี้เห็นหรือยังว่าต้องคิดไปในด้านไหนบ้าง ? ไม่ใช่คิดแต่ทางได้อย่างเดียว ต้องคิดในทางเสียด้วย

คราวนี้คิดในทางได้ ต้องคิดวางแผนด้วยว่า เราต้องทำอย่างไรเราถึงจะได้อย่างนั้น ถ้าคิดในทางเสียก็ต้องคิดวางแผนด้วยว่า ทำอย่างไรถึงจะแก้ไขเหตุการณ์นั้นได้ เห็นหรือยังว่าต้องคิดอย่างไรบ้าง ? นี่แค่แนวคิดที่ไม่กว้างพอ ยังไม่รอบด้านเลย

เถรี
07-06-2012, 15:05
ถ้าหากเราปฏิบัติธรรมไปถึงระดับหนึ่ง การที่เราคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ จนกระทั่งเห็นสภาพความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น จะเข้าไปสู่ลักษณะ สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ สังขารา อนัตตา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้คลุมโลกหมดแล้ว ในเมื่อคลุมโลกหมด ความคิดอื่นก็ไม่หลุดไปจากนี้หรอก เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวเสียด้วยซ้ำไป แต่ว่ามนุษย์โลกเราสามารถบัญญัติเป็นวิชาการไปทำด็อกเตอร์ ไปทำศาสตราจารย์กันให้ยุ่งไปหมด

ถึงได้ชอบใจหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเรียกพระพุทธเจ้าว่า "ด็อกเตอร์สรรพศาสตร์" เพราะพระพุทธเจ้าท่านรู้ทุกเรื่อง พวกนั้นรู้แค่เรื่องเดียวก็เป็นศาสตราจารย์ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ทุกเรื่อง ซึ่งให้ตำแหน่งอะไรท่านไม่ได้ มีตำแหน่งเดียวคือตำแหน่งสัมมาสัมพุทธะ ซึ่งคนอื่นเป็นแทนไม่ได้

แต่ถ้าพอพูดอย่างนี้พวกเราเกิดความไม่มั่นใจ กลายเป็นไม่กล้าทำ ไม่กล้าเสี่ยง อยากจะบอกว่าทุกอย่างต้องเสี่ยง กินข้าวยังต้องระวังเลยว่าจะติดคอตายหรือเปล่า ในเมื่อกินข้าวยังต้องระวัง งานอื่นจะไม่ให้มีความเสี่ยงเลยชีวิตนี้คงน่าเบื่อตายชัก สมัยก่อนอาตมาตัดสินใจ ๘๐ % ถึงทำ พอทำไป ๆ ๗๐ % ก็ได้ ๖๐ % ก็ได้ ๕๐ % ก็ได้ ตอนนี้เหลือแค่ ๑ % มีอุปสรรค ๙๙ % ให้ลุยจะชอบมาก สะใจดี ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้นี่ สนุกเป็นบ้าเลย..!

เถรี
07-06-2012, 15:18
ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมก็ต้องอย่างนี้ การที่เราสู้กับกิเลส โอกาสชนะกิเลสแทบจะมองไม่เห็นประตูเลย เหมือนกับเอาค้อนและสิ่วไปสกัดเขื่อน ชาตินี้เขื่อนจะพังไหม ? แต่ถ้าไม่ลองทำแล้วจะรู้ไหมว่าเขื่อนแข็งแรงจริงหรือเปล่า ? สมมติว่าเราประเมินตัวเองว่ามีอายุไม่จำกัด เราก็ตอกสิ่วไปเรื่อยวันละนิดวันละหน่อย เขื่อนจะพังไหม ? พัง..! ถ้าเรามีเวลาไม่จำกัดเขื่อนต้องพัง

แต่คราวนี้เวลาเราจำกัด เราก็ต้องใช้กำลังใจที่ไม่จำกัด ก็คือ ต้องทุ่มเทสติ สมาธิ ปัญญาทั้งหมดอยู่ตรงนั้น เอามาทดแทนระยะเวลาที่จำกัด ในเมื่อเราทุ่มเทส่วนนั้นไปอย่างเต็มที่ ผลงานก็ต้องมี เวลาเราน้อยไปสกัดอย่างนั้นไม่ได้ เราก็ใช้ระเบิดไดนาไมต์หรือไม่ก็พาวเวอร์เจล ยัดเข้าไปสิ มีปืนใหญ่ มีรถถัง ถล่มเข้าไป ดูสิจะพังไหม ?

ในแง่ของการปฏิบัติธรรมก็ต้องอย่างนั้น กำลังใจของคุณต้องมุ่งจุดเดียว เมื่อมุ่งจุดเดียว ถึงเวลาเจาะไปเรื่อยเดี๋ยวก็ทะลุเอง ส่วนใหญ่พวกเราเจาะ ๆ ไปเรื่อย “ไม่ไหว..ตรงนี้แข็งจัง..ย้ายที่ใหม่ดีกว่า” ย้ายที่ใหม่คือคุณต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ตอกไปอีกเสียหน่อยหนึ่ง ๓ - ๕ วัน “ไม่ได้เรื่องเลย..ตรงนี้ก็แข็ง ย้ายที่ใหม่ดีกว่า” แบบนี้ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะสำเร็จ..! ต้องที่เดียว ประเภทสู้กันหัวชนฝา ถ้าฝาไม่แตกฝาไม่พัง ก็ให้หัวแตกกันไปเลย

ส่วนใหญ่พวกเราเป็นไฟไหม้ฟาง แหย่เข้าหน่อยค่อยมีไฟ ลับหลังเดินไปได้แค่สามก้าวก็หมดไฟอีกแล้ว สมควรตายจริง ๆ เลย..!

เถรี
08-06-2012, 09:05
ถาม : อยากให้สอนสมาธิให้เด็ก ๆ ค่ะ
ตอบ : ถ้าอยากฝึกสมาธิต้องมาตอนเย็น ๆ ถ้าเด็ก ๆ อยากเก่งให้ทำสมาธิเยอะ ๆ หลวงตาเรียนตอนแก่ ๆ ยังสอบได้ที่ ๑ ตลอด ถ้าทำสมาธิไว้นะจ๊ะ แล้วจะเรียนเก่งทุกคน

ถ้าเรานั่งพุทโธ ๆ เป็นแล้วก็อย่าทิ้ง พุทโธก็ได้ นะมะพะธะก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้ พองหนอยุบหนอก็ได้ ทำสมาธิไว้ทุกวัน วันละนิดวันละหน่อยแล้วจะเก่ง มีโอกาสต้องรีบทำนะจ๊ะ จะได้แซงเพื่อน เอาที่ ๑ มาเลย หลวงตาเรียนตั้งแต่เด็กจนแก่ ยังไม่มีใครแย่งที่ ๑ จากหลวงตาได้เลย

ใช้วิธีหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วก็นับ ๑ พอครบ ๑๐ ก็งอนิ้วไว้หนึ่งนิ้ว แล้วก็พุทโธ ๑ พุทโธ ๒ ไปเรื่อย พอครบ ๑๐ นิ้วเมื่อไรก็ไปวิ่งเล่นได้ เราพุทโธได้ตั้ง ๑๐๐ เดี๋ยวนี้ข้าวของแพง ถ้าหาได้ไม่ถึง ๑๐๐ บาท ก็ไม่พอกิน ดังนั้นพุทโธก็เลยต้องให้ได้วันละ ๑๐๐ ครั้งด้วย (หัวเราะ)

ขอให้เรียนเก่ง ๆ นะจ๊ะ สมองคนพัฒนาได้ลูก สมองคนพัฒนาตามสมาธิ ถ้าสมาธิดี สมองจะดีเอง

เถรี
08-06-2012, 10:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสาเสมาธรรมจักร เป็นรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ต้องถือว่าเป็นรางวัลที่ได้ยากที่สุดของสายพระ เมื่อรับมาแล้ว อาตมากับหลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต ก็นั่งมองหน้ากัน "ต่อไปก็ไม่เหลือรางวัลอะไรให้เราแล้วสิ"

เถรี
08-06-2012, 11:01
พระอาจารย์กล่าวถึงงานฉลองพัดยศว่า "หนังสือปกิณกธรรม ๓ พระนาคปรกชุบทองพ่นทรายและกระเป๋าสตางค์ ไทยธรรมงานอาตมามีเท่านี้แหละ มั่นใจว่าพระท่านต้องพอใจ เพราะไทยธรรมมาก เงินในซองจะน้อย แต่ถ้าไทยธรรมน้อย เงินในซองจะมาก เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

เวลาพระผู้ใหญ่ท่านเดินทางไกล ๆ ข้าวของท่านมาก ท่านก็ขนกันลำบาก ของบางอย่าง เช่น กระเช้าผลไม้ หรือกระเช้าเครื่องดื่ม ของพวกนั้นหมดอายุได้ แต่ละท่านก็มีของพวกนี้เป็นคันรถสิบล้อทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..เราพับปัจจัยใส่ซองถวายท่านน่าจะดีที่สุด

ความจริงอยากจะนิมนต์หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านไป แต่ระยะทางไกลมาก การเดินทางต้องใช้ความเร็วสูง ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันเวลา ก็เลยตัดใจไม่นิมนต์ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา การสูญเสียท่านเป็นเรื่องที่เหลือที่จะรับได้ นิมนต์พระระดับรอง ๆ ลงไปก็แล้วกัน

ตอนนี้หลวงพ่อสมเด็จฯ ที่ออกงานได้จริง ๆ ก็มีหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำกับหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดพิชัยญาติ พอหลวงพ่อสมเด็จ ฯ วัดพิชัยญาติรับตำแหน่งเข้าไปก็โทรมจนดูไม่ได้เลย ถึงได้รู้ว่าประเภทงานหัวไม่วางหางไม่เว้นเป็นอย่างไร วันหนึ่งรับ ๗ - ๘ งาน เขานิมนต์จะไม่ไปก็เสียน้ำใจ ไปก็อยู่นานไม่ได้เพราะงานต่อไปรออยู่ ไปแค่ให้เจ้าภาพเห็นหน้าแล้วก็ต้องรีบไปต่ออีกงานหนึ่ง"

เถรี
08-06-2012, 11:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัตถุมงคล บางทีคนใกล้ตัวไม่ค่อยเห็นประโยชน์ ไม่เห็นความสำคัญ สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ อาตมาไปเอาพระคำข้าว พระหางหมาก ครั้งหนึ่ง ๓๐๐ , ๕๐๐ , ๗๐๐ องค์ เพราะรู้ว่าเงินอยู่กับอาตมาก็มีประโยชน์น้อย แต่ถ้าอยู่กับหลวงพ่อท่านเอาไปใช้สร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว

พอเวลาอาตมาทำบุญหลวงพ่อท่านก็ให้เป็นพระมา ทำทีหนึ่งคนอื่นก็บอกว่าบ้า เอาพระไปทำไมเยอะแยะ ? พอสิ้นหลวงพ่อ พระขึ้นราคาพรวดไปเป็นองค์ละ ๑๐๐ บาท พวกที่ว่าอาตมาบ้านั่นแหละ มาเอาพระจากอาตมาไปเกลี้ยงเลย แล้วเขาให้องค์ละ ๑๐ บาทเท่านั้น เพราะออกมาช่วงแรก ๆ ราคาแค่องค์ละ ๑๐ บาท"

เถรี
08-06-2012, 11:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำราสร้างพระกริ่งเพื่อรักษาโรค สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สืบสายมาเรื่อย ๆ จนมาปรากฏเด่นชัดในสมัยสมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ปัจจุบันพระกริ่งที่ท่านสร้าง เป็นพระกริ่งอันดับหนึ่งของประเทศไทย ซ้ำยังมีแค่ไม่กี่องค์ เขามั่นใจว่าน่าจะไม่เกิน ๓๐ องค์ แต่ในวงการมีเกิน ๓๐๐ องค์ ไม่รู้องค์ไหนจริงองค์ไหนปลอม

เพราะสมัยก่อนท่านจะสร้างตามกำลังวัน ถ้าวันเกิดตรงกับวันอาทิตย์ก็สร้างได้แค่ ๖ องค์ วันเกิดปีนั้นตรงกับวันศุกร์ก็สร้างได้ ๒๑ องค์ ในเมื่อสร้างตามกำลังวันก็เลยมีน้อย แล้วท่านเองเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วย รับมหาสมณุตตาภิเษกเป็นพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านก็เลยทำแจกบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ทำแค่ไม่กี่องค์ แต่ว่าฝีมือสุดยอดมาก ใช้แบบพระกริ่งใหญ่ประเทศจีน

สมัยก่อนเวลาคนจีนเดินทางไปค้าขายต่างประเทศ จะพกของที่ตัวเองมั่นใจไปด้วย ก็พกพระกริ่งใหญ่แบบนั้น มีทั้งเนื้อสำริด เนื้อโลหะเปียกทอง สมัยนั้นเขาไม่เรียกชุบทอง เขาเรียกเปียกทอง เพราะว่าไม่ได้ใช้ระบบไฟฟ้า แต่ว่าใช้ความร้อนเป็นตัวทำละลาย ถ้าจะหลอมโลหะพวกนี้เข้าด้วยกัน อุณหภูมิต้องเกิน ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส เงินจะหลอมละลายจริง ๆ ที่อุณหภูมิประมาณ ๙๐๐ องศาเซลเซียส ส่วนทองคำหลอมละลายที่อุณหภูมิ ๑,๑๐๐ องศาเซลเซียส"

ถาม : เวลาหล่อพระ เอาทองไปใส่เบ้า ทองจะหลอมหรือคะ ?
ตอบ : ละลายเลย เพราะเบ้าที่ใช้เผามีความร้อนสูงกว่านั้น ละลายเป็นน้ำเดี๋ยวนั้นเลย

เถรี
08-06-2012, 11:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประกาศแจ้งให้โยมทราบ คนที่โอนเงิน ๘๔,๐๐๐ บาทเข้ามาเมื่อครู่ ไม่ได้อะไรนอกจากจะโอนมาถวายฟรี ๆ จะไปคิดว่าโอนเงินแล้วจะบีบอาตมาให้สร้างพระขรรค์ขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง..ไม่ได้หรอก งานนี้พระท่านบอกแล้วว่าเสกให้เฉพาะ ๘๔ เล่มแค่นั้น ใครเอาของอื่นไปเข้าพิธีก็ไม่มีประโยชน์"

เถรี
08-06-2012, 11:41
ถาม : หลวงปู่....(ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ต้องห่วง ก่อนหน้านี้ท่านเป็นพุทธภูมิ ปัจจุบันนี้เลิกเป็นแล้ว จบหรือยัง ?

ถาม : คนเขาไปลือกันว่าท่าน..
ตอบ : ต้องถามท่าน คนเขาลือถึงท่าน ถ้าเขาลือถึงอาตมาจะบอกได้

เรื่องการทำนายเกี่ยวกับอดีตของคนนั้น อนาคตของคนนี้ อาตมาไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย เพราะคนสมัยนี้ปัญญาไม่ถึง พระพุทธเจ้าทรงเล่าชาดกและพยากรณ์ว่า ท้ายสุดคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ เขาก็ได้มรรคผลกัน สมัยนี้พยากรณ์ให้ตายนอกจากไม่ได้มรรคผลแล้ว ยังยึดติดมากขึ้นอีก เพราะปัญญาไม่พอ

สมัยนั้นเขามองเห็นเลยว่า โอนี่..เราเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้วยังไม่พ้นทุกข์เสียที เกิดกี่ชาติก็ทุกข์อย่างนี้ อย่าไปเกิดอีกเลย ท่านตัดใจได้ก็เป็นพระอรหันต์ไปเลย สมัยนี้เล่าให้ฟัง เขาก็ฟังเป็นนิทานเฉย ๆ

นี่ยังลังเล ๆ อยู่ว่าผจญกรรมตอนต่อไปจะลงดีไหม ? เพราะเดี๋ยวตัวตนจะชัดเจนขึ้นมา ยกเว้นคุณสุธรรมแอบขโมยไปลงอีก ตานี่ไม่ไหว..เข้าถึงความลับอยู่เรื่อย..!

เถรี
12-06-2012, 15:47
พระอาจารย์กล่าวถึงพระปิดตารุ่น ๒ "พระปิดตารุ่นนี้เป็นรุ่นที่เซียนปลอมไม่ได้ เพราะว่าแบบชำรุด พลิกดูข้างหลังองค์พระจะเห็นว่ามีตุ่มยื่นออกมานิดหนึ่ง จะมีอยู่จุดหนึ่งเป็นจุดที่ปลอมไม่ได้ ถ้าถอดแบบไปก็จะตื้น

แบบชำรุดเอง เหมือนอย่างกับตั้งใจทำให้ชำรุดเลย"

เถรี
12-06-2012, 15:51
ถาม : เอาวัตถุมงคลไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรรอบนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..เป่ายันต์เกราะเพชรก็เอาวัตถุมงคลเข้าพิธีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะเอาอานุภาพแบบพระขรรค์โสฬสคงไม่ได้ ท่านให้แค่นั้น ใครจองพระขรรค์เอาไว้ก็รับไปแค่นั้น แต่ขออภัย...ใครมีพระขรรค์โสฬสนี่อย่าเอาไปรังแกเทวดานะ ตอนรังแกท่านไม่สู้หรอก เผลอเมื่อไรท่านเอาคืน..!

ถาม : แล้วให้เสก...ได้เหมือนเดิมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อะไรที่พระท่านเคยให้ ครั้งต่อไปท่านจะไม่ให้น้อยกว่านั้น ยกเว้นว่ามีอะไรพิเศษท่านจะบอกเพิ่มต่างหาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า สายของท่านนี่หาวัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายไว้ ที่ผ่าน ๆ มาได้เท่าไรรุ่นสุดท้ายก็ได้ทั้งหมด ใครก็ตามที่ได้วัตถุมงคลสายวัดท่าขนุนคงยิ้มได้ เพราะยังไม่มีคำสั่งให้สร้างอีก คาดว่าหมดตรงพระนาคปรกลอยองค์ชุดสุดท้ายนี่คงว่างไปเป็นปี ๆ

เถรี
12-06-2012, 16:27
ถาม : ลูกน้องที่ทำงานเขาป่วยทางจิต ทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ก็ทนไปสิ..ถ้าไม่กล้าไล่เขาออกก็ต้องยอมทนไป ต้องหาให้ได้ว่าเขากลัวอะไร แล้วก็ใช้สิ่งนั้นขู่เขา เคยดูเรื่องจริงผ่านจอไหม ? เจ้าแม่ตะเคียนทองไปโรงพักแล้วไปขู่ตำรวจ เจอสารวัตรใหญ่ตะคอกทีเดียวหัวหดเลย สารวัตรใหญ่บอกว่ากูเป็นพระอินทร์ ถ้ามึงเรื่องมากเดี๋ยวกูจะสาปให้เป็นลิง..! เล่นเอาเจ้าแม่ตะเคียนทองหงอไปเลย บ้าขนาดนั้นเขายังขู่ได้เลย ฉะนั้น..เราก็หาจุดอ่อนเขาบ้างสิ

เถรี
12-06-2012, 17:00
ถาม : ภาพนิมิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เปลี่ยนแปลงไป..ถ้าหากว่าเป็นการปฏิบัติในพุทธานุสติ แล้วยังเป็นพระพุทธรูปอยู่ จะเปลี่ยนเป็นปางอื่นก็ไม่เป็นไร จับภาพต่อไปได้เลย แต่ถ้าหากเรากำหนดพระพุทธรูปอยู่ แต่ว่าเกิดรูปเทวดาหรือว่ารูปพระสงฆ์มาแทนนี่ให้ทิ้งไปเลย แล้วก็จับภาพพระพุทธรูปใหม่

เถรี
12-06-2012, 17:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าทำบุญต้องทำอย่างอาตมา มีเท่าไรเทโครมเดียวไปเลย เวลาได้อะไรก็จะได้มาเป็นชุดเหมือนกัน สังเกตตัวเองมาหลายทีแล้ว เวลาจะรับอะไรก็มักจะรับทีหนึ่งไม่ต้องไม่ลืมหูลืมตาไปเลย"

เถรี
12-06-2012, 22:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราเรียกส้มตำ แต่ทำไมถึงเป็นมะละกอตำ ? เพราะคำว่า "ส้ม" ไม่ได้แปลว่าส้มที่เป็นผล แต่ส้มในที่นี้แปลว่าเปรี้ยว อะไรที่ตำแล้วรสชาติออกเปรี้ยวเรียกว่าตำส้ม เช่น อีสานว่าตำส้มบักหุ่ง ส่วนเราเรียกส้มตำ

เรื่องของภาษาลักลั่นกันมาก ถ้าไปอีสานสั่งไก่ย่างไม่มีหรอก เพราะย่างแปลว่าเดิน (หัวเราะ) ที่นั่นต้องใช้คำว่า "ปิ้งไก่" ถึงจะได้กิน ไปสั่งน้ำอย่าสั่งเป็นแก้ว ถ้าสั่งเป็นแก้วจะได้เป็นขวด เพราะแก้วของเขาก็คือขวด ถ้าแก้วแบบบ้านเราเขาเรียกว่าจอก"

เถรี
12-06-2012, 22:20
"พอรู้หลาย ๆ ภาษาก็สนุกดี แต่อาตมาไปเมืองจีนแล้วใช้ภาษาที่นั่นไม่ได้ เพราะภาษาที่อาตมาใช้เป็นภาษาที่ปู่ย่าพ่อแม่พูด ตกยุคไป ๗๐-๘๐ ปีแล้ว ปู่ย่ามาจากเมืองจีนอย่างไรเขาก็ใช้อย่างนั้น แต่เมืองจีนพัฒนาภาษาไปเรื่อย พวกเราไปที่นั่นพูดไปเขาพอรู้เรื่อง แต่ที่เขาพูดมาเราฟังไม่รู้เรื่องเลย

พอเข้าไปในวังต้องห้าม ถึงได้รู้ว่าเขาตีวังยากเย็นนักหนาเพราะประตูทางเข้าใหญ่ที่สุดแค่ม้า ๓ ตัวเรียงกัน ศัตรูมามากแค่ไหน ก็เข้าได้แค่ทีละ ๓ - ๕ คน

พอเข้าไปจนถึงด้านในของวัง บรรดาที่พักของฮองเฮาหรือสนมกำนัล รู้สึกว่ามืด ๆ ทึบ ๆ ถ้าสมัยนั้นไม่ได้ใช้ไฟช่วย คาดว่าคนสมัยนั้นต้องสายตาดีเป็นพิเศษ และไม่ต้องห่วง..พวกที่มาขอส่วนบุญมีเพียบเลย ตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด บางทีเป็นประเภทจิตใจอาฆาตพยาบาท ไม่รับอะไรเลยก็มี ตายเพราะโดนใส่ร้าย อยุติธรรมอะไรพวกนี้

เรื่องของในรั้วในวัง สภาพจริง ๆ ในสมัยนั้นอยู่ในลักษณะที่ว่า เหยียบใครลงไปได้ก็ต้องรีบเหยียบ เพราะฮ่องเต้แต่ละองค์มีพระสนมเป็นพัน ถ้าใครมีลูกชายก็จะกลายเป็นเป้าทันที ทีนี้ไม่ใช่มีลูกชายคนเดียว ยังมีคุณชายที่ ๑ คุณชายที่ ๒ จนถึงที่ ๑๐ อาจจะถึงที่ ๑๐๐ ก็ต้องแย่งชิงกัน พออยู่ในภาวะได้เปรียบ เหยียบใครลงไปได้ก็ต้องเหยียบเลย ทำให้บางคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่โดนโยนความผิดให้ ต้องตายอย่างทุกข์ทรมานด้วยความเคียดแค้น ขนาดพระจะอุทิศส่วนกุศลให้ เขายังไม่เอาเลย"

เถรี
12-06-2012, 22:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาษิตจีนบอกว่าวีรบุรุษกลัวการเจ็บไข้ได้ป่วย วีรบุรุษให้ออกรบกี่ร้อยสนามก็สู้ แต่เจ็บไข้ได้ป่วยที่มาจากข้างในนั้นสู้ไม่ได้"

เถรี
12-06-2012, 22:57
ถาม : ขอเมตตาจารตะกรุดมหาสะท้อนครับ
ตอบ : เลิกทำแล้ว ม้วนไม่ไหว นิ้วหมดแรง ไปรอประมูลเอาก็แล้วกัน

ไม่น่าเชื่อว่ามีตะกรุดมหาสะท้อนของปลอมแล้ว มีโยมเขาแกะมาให้ดู ถามว่าใช่ไหม ? อาตมาบอกว่าไม่ใช่ลายมืออาตมา ใครจารมาก็ไม่รู้ ? ที่ตลาดท่าพระจันทร์ปลอมกันเยอะ เห็นมีพระกริ่งพิชัยสงคราม มีพระองค์ที่ ๑๑ เขาปลอมกระทั่งพระองค์ที่ ๑๑ องค์ใหญ่ มีเหรียญจักรพรรดิ ฯลฯ ปลอมกระจายเลย ขนาดวัตถุมงคลของอาตมาไม่เข้าวงการยังปลอมขนาดนี้ เข้าวงการเมื่อไรจะปลอมกันขนาดไหน

ถาม : ถ้าปลอมตะกรุดมหาสะท้อนนี่ดูยากไหมครับ ?
ตอบ : ดูลายมือออก แต่จะเสียตอนแกะออกมาดู

ถาม : แล้วจะมีวิธีดูอย่างไรครับว่าของจริงหรือของปลอม ?
ตอบ : ทุกคนที่ได้ตะกรุดมหาสะท้อนไปจะมีรายชื่ออยู่ที่อาตมา ที่อาตมาขอชื่อไปก็เพราะอย่างนี้แหละ ถึงเวลาเรารับมาจากใครนี่สาวต่อไปได้เลยเลย เอ็งรับจากใคร ไล่ไปจนถึงชื่อที่รับจากมือ ของใครเนื้อเงิน ของใครเนื้อทองนี่อาตมาแยกไว้หมด อุตส่าห์ตั้งใจทำไว้กันพวกนี้โดยเฉพาะเลย แต่เขาก็ยังปลอมกันได้

ถาม : โค้ตล่ะครับ ?
ตอบ : โค้ตนี่แค่ตัวเลขนะ ถ้าเจอแนน (ศิริลักษณ์ พินิจสุขใจ) ก็เสร็จเขา เพราะลูกคนนี้ปลอมลายมืออาตมาได้เหมือนมาก แต่น้ำหนักมืออาจจะต่างกัน ตอนแรกเขาเอาสมุดเขียนยันต์มาส่งให้ อาตมายังงงว่าตัวเองไปนั่งเขียนเอาตอนไหน คนที่เขาเก่งก็เก่งจริง เลียนแบบลายมืออาตมาได้เหมือนเลย

เถรี
12-06-2012, 23:47
ถาม : ได้ยินว่าคำสอนของท่าน....ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้ก็ยังมีคนนิยมเคารพศรัทธาในตัวท่าน จริง ๆ แล้ว..?
ตอบ : อย่างที่เขาว่ามานั่นแหละ

ถาม : ส่วนที่ขัดอยู่
ตอบ : ส่วนที่ขัดอยู่มีเยอะมากเลย แต่พวกนักวิชาการเขาชอบ เขาถือว่าท่านเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ

ถาม : ผมเคยเจอคนที่ยกคำสอนของท่านอ้างมาคุยกัน แล้วเกิดประเด็นโต้แย้งกัน
ตอบ : ปล่อยเขาไป ไม่รู้ว่าเขาเลิกโต้เถียงกันในกระทู้นั้นหรือยัง ? ถ้าเป็นอาตมาจะทิ้งเอาไว้ คนบ้าประเภทนี้ต้องมีไว้บ้าง โลกจะได้เจริญ ลักษณะคนอย่างนี้ถ้าเป็นโบราณ เขาเรียกว่าไม่รู้กาลเทศะ เหมือนกับไปด่าเจ้าของบ้านในบ้านเขา..(หัวเราะ)..แต่เขามีความพยายามมากนะ ตามติดกระทู้ ลักษณะเดียวกับบรรดาตัวป่วนในเว็บวัดท่าขนุนนั่นแหละ เขาเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูก แต่เขาลืมไปว่าสิ่งที่ทำนั้นผิดจังหวะ แม้ว่าในสิ่งที่ทำเป็นเรื่องที่ถูก ในเมื่อนำเสนอผิดกาลเทศะก็กลายเป็นก้าวร้าว

เถรี
13-06-2012, 20:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงวันนี้ที่วัดมีการโกนหัวนาค เทศน์สอนนาค แต่อาตมามารับสังฆทานที่นี่ ก็ต้องให้ท่านอื่นทำแทน ที่วัดจะใช้ระบบที่ว่า เวลาไม่มีเราเขาต้องอยู่กันได้ ก็เลยกลายเป็นระบบงานที่ไม่ได้รวมศูนย์อยู่ที่ตัวคนเดียว พยายามกระจายงานออกให้เขาทำกันเองให้ได้ ใหม่ ๆ เขาก็ไม่เคยชิน มีแต่จะให้อาตมาสั่งถึงจะกล้าทำกัน"

เถรี
13-06-2012, 21:02
ถาม : พุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี ?
ตอบ : เขาเอา พ.ศ. ๒๕๕๕ บวกกับอีก ๔๕ ปีที่พระองค์ท่านตรัสรู้แล้วสั่งสอนประชาชน ก็เป็น ๒,๖๐๐ ปี

ถาม : แล้วเขามีต่อเนื่องกันมาตั้งแต่เริ่มแรกเลยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เพิ่งจะจัดงานกันไม่นานนี้เอง ครั้งแรกเขาจัด ๒๕ พุทธศตวรรษ ตอน พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่ปรากฏว่าการนับ พ.ศ. มีการลักลั่นกัน ทางด้านอินเดีย ลังกา เขานับวันปรินิพพานเป็น พ.ศ. ๑ แต่ทางประเทศไทยนับครบรอบปีปรินิพพานเป็น พ.ศ. ๑ ฉะนั้น..ของเขาจะเร็วกว่าเรา ๓๖๔ วัน ดังนั้น ๒๕ พุทธศตวรรษของเขาจะจัดปี ๒๔๙๙ ของเราจัดปี ๒๕๐๐ เพราะเรานับ พ.ศ.ไม่ตรงกัน

ปัจจุบันนี้เรื่องการแข่งขันทางศาสนามีมาก ก็เลยใช้วิธีหาทางจัดงานสำคัญเกี่ยวกับศาสนาขึ้นมา เมื่อเล็งเห็นว่ามีวาระสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปีพอดี เอา พ.ศ. ๒๕๕๕ กับเวลาที่พระองค์ท่านตรัสรู้แล้วสั่งสอนสัตว์โลกอยู่ ๔๕ ปีรวมกันได้ ๒,๖๐๐ ก็จัดงานสำคัญขึ้นมา ก็แปลว่าอีก ๔๕ ปีข้างหน้าถ้าไม่ตายเสียก่อน จะเห็นงานฉลอง ๒๖ พุทธศตวรรษอีกรอบหนึ่ง

คำว่า พุทธะ หมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำหลังมาจาก ชยะ ที่แปลว่าชนะ กับ อนันตะ ที่แปลว่าไม่มีที่สิ้นสุด คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชนะกิเลส เป็นชัยชนะที่ไม่มีอะไรเปรียบได้ เขาก็เลยเรียกพุทธชยันตี

เถรี
13-06-2012, 21:13
ถาม : พระฝางองค์จริงอยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : องค์จริงอยู่ที่หน้าบันอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เขาเชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปประจำองค์ของเจ้าพระฝาง ที่สมัยอยุธยาแตกแล้วแข็งเมือง ตั้งใจจะเป็นพระราชาเอง

ก๊กเจ้าพระฝางที่เขาใช้คำว่าพระ เพราะว่าท่านเป็นพระจริง ๆ เป็นพระที่มีชาวบ้านเคารพนับถือมาก ก็เลยรวบรวมชาวบ้านตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า เป็นก๊กเดียวที่ทำเอาพระเจ้าตากเสียท่าไปหน่อย ตีครั้งแรกไม่สำเร็จ ต้องไปใหม่อีกครั้งถึงตีได้ แสดงว่าสุดยอดฝีมือจริง ๆ

ถาม : ท่านเป็นพระแล้วออกรบได้หรือครับ ?
ตอบ : ต้องถามท่านเอง การกระทำของแต่ละคนในแต่ละสถานการณ์ เราไม่สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะท่านอาจจะเห็นว่าเหมาะสม บ้านเมืองอยู่ในลักษณะบ้านแตกสาแหรกขาด ชาวบ้านไม่มีที่พึ่ง ถ้าหากว่าตนเองไม่ให้ชาวบ้านเขาพึ่ง เขาก็เคว้งคว้างหาที่ไปไม่ได้ เมื่อชาวบ้านมาพึ่งกันมาก ๆ ในสายตาคนอื่นก็เห็นว่าตั้งตัวเป็นเจ้า ก็ต้องมีการปราบปรามกัน ถึงเวลาไม่ทันจะคุยกันรู้เรื่องก็ใส่กันแล้ว ไม่สู้ก็ไม่ได้ กว่าจะอธิบายกันรู้ก็พังกันไปข้างหนึ่งแล้ว

เถรี
13-06-2012, 21:22
มีโยมพาผู้สูงอายุมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เวลาเดินให้รอคนแก่ด้วย ตนเองไม่แก่บ้างก็แล้วไป สมัยก่อนอาตมาดูแลปู่ย่าตายาย รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำ เพราะทางครอบครัวเขาอบรมมาว่า ให้กตัญญูต่อผู้ใหญ่ มีโอกาสให้ทดแทนท่าน นี่เป็นหลักการของขงจื๊อตามที่ครอบครัวคนจีนสั่งสอนมา

อาตมาเองพอได้ทำแล้ว รู้สึกว่าปลื้มใจและภูมิใจที่ได้ทำ แต่เด็กรุ่นใหม่รู้สึกอายที่จะไปไหนกับคนแก่ ต้องคิดถึงอกเขาอกเราบ้าง มนุษย์เราน่าจะเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีการสงเคราะห์ผู้ชรา สัตว์อื่นน้อยตัวที่จะมี สัตว์อื่นที่สงเคราะห์พ่อแม่ที่แก่ชรา ส่วนใหญ่เป็นจริยาของพระโพธิสัตว์มาทั้งนั้น นอกนั้นพอถึงเวลาโตก็ทิ้งกันเลย"

เถรี
13-06-2012, 21:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "พออาตมาโกนหัวแล้วมักจะเป็นไข้ สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงให้หลวงพี่ประทีปโกนหัวทั้งแห้ง ๆ ท่านบอกว่าน้ำโดนหัวแล้วจะเป็นไข้ ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ว่าเป็นผลของมาลาเรีย พอโดนความเย็นเข้าหน่อยก็ไข้จับเลย อย่างอาตมาฟอกสบู่แล้วฟอกสบู่อีก โกนหัวยังแสบบ้างคันบ้าง ส่วนหลวงพ่อท่านโกนแห้ง ๆ เท่ากับขูดหนังหัวตัวเองเล่น คงจะแสบน่าดูเลย

เมื่อวันที่ ๑๖ ลงไปปักษ์ใต้ ไปวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ์วัดรัตนานุภาพ ก็ปรากฏว่ามีโยมเขาขอเกศา อาตมาบอกว่าให้ไม่ได้ เขาถามว่าทำไม ? ตอบไปว่ายังไม่อยากเจอแบบที่หลวงปู่แหวนท่านเจอ พอคนหนึ่งได้อีกคนหนึ่งก็จะเอา หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า “โกนจนหัวแสบไปหมดแล้ว ยังจะเอาอีก” เพราะฉะนั้น..อย่าเอาเลย ถ้าได้ไปสักคนเดี๋ยวที่เหลือก็จะเอาบ้าง เดือดร้อนอาตมาอีก

รุ่นหลวงปู่แหวนนั่นเป็นรุ่นแรก ๆ ที่เขานิยมสร้างพระแล้วใส่เส้นเกศาลงไป ท่านก็เลยโดนโกนไม่เว้นแต่ละวัน อยากได้เมื่อไรก็ไปขอโกน ช่วงนั้นจะมีกระแสการสร้างพระ แรก ๆ ก็นำโดยคณะศิษย์ทหารอากาศ พอคนอื่นเห็นว่าท่านอนุญาต ก็เลยตามมาขอกันใหญ่ ช่วงนั้นจะมีหลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ฝั้น ๒ รูป ที่คนออกเหรียญท่านเป็นร้อยรุ่น ออกมาเท่าไรก็จำหน่ายหมด เห็นกำไรดีก็ทำกันใหญ่ หารู้ไม่ว่าทำให้หลวงปู่ท่านลำบากขนาดไหน

อย่างวัตถุมงคลวัดท่าขนุน ถ้าไปคบกับพวกตลาดพระจะดังกว่านี้เยอะ เขาจะช่วยปั่นให้ แต่อาตมาไม่คบหรอก..คบแล้วเหนื่อย เพราะยิ่งดังมากเท่าไรก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น"

เถรี
13-06-2012, 21:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่า

ถ้าแคบนักมักจะคับขยับยาก............ถ้าหลวมมากไม่มีอะไรจะใส่สม
ถ้าสูงนักมักจะลอยไปตามลม............ถ้าต่ำนักมักจะจมลงบาดาล

สรุปว่าถ้าไม่พอดีนี่หาดีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา แต่มัชฌิมาปฏิปทาต้องกลางจริง ๆ คือกลางที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ทำได้ แต่มีคนจำนวนหนึ่งที่สมรรถภาพน้อย จะเห็นว่ายากมาก ขณะเดียวกันพวกที่สมรรถภาพสูงก็จะเห็นว่าง่าย แต่ว่าต้องเอาคนส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์"

เถรี
13-06-2012, 21:59
ถาม : การส่งข้อความคุยโต้ตอบกันเรื่องธรรมะตามเว็บสังคมออนไลน์ อันนี้จัดว่าเป็นอภิญญาด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เขาเรียกวิชชามัยฤทธิ์ ลองไปค้นคำนี้ดูแล้วก็เข้าใจเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วเพิ่งจะทำกันได้

เถรี
14-06-2012, 08:25
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่เครียดเรื่องงานว่า "เลิกงานแล้วก็กองไว้ตรงนั้น ถ้าเลิกงานแล้วยังเก็บมาคิดต่อก็เครียด ถ้าพวกเราไม่เคยชินกับการตัด ถึงเวลาแล้วจะอดคิดไม่ได้ ถ้าเคยชินกับการตัด ปล่อยแล้วจะปล่อยเลย จนกว่าจะไปชนกับเหตุการณ์ใหม่ถึงจะคิดใหม่"

เถรี
14-06-2012, 08:51
พระอาจารย์กล่าวถึง "ฮก ลก ซิ่ว" ว่า "ฮกเซียนคืออำนาจวาสนา ยศถาบรรดาศักดิ์ ลกเซียนคือ ร่ำรวยเงินทอง ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ซิ่วเซียนคือ อายุวัฒนะ อายุยืนยาว ซิ่วเซียนอายุ ๘๐๐ ปีแล้วก็ยังไม่ตาย ท่านคงเบื่อเต็มทีเลยเดินเข้าป่าเข้าดง หายไปเฉย ๆ"

ถาม : เซียนที่อยู่ได้ถึง ๘๐๐ ปีเพราะว่าอิทธิบาท ๔ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาใช้คำว่า "เข้าถึงเต๋า" อย่างน้อย ๆ น่าจะอยู่ระดับสมาบัติที่ปรับธาตุตัวเองได้ พอสภาพร่างกายไม่ไหวก็ปรับธาตุใหม่ ธาตุเสมอกันก็อยู่ต่อไปได้อีก

ถาม : อย่างนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธก็อยู่ได้ ?
ตอบ : อยู่ได้..ลองไปอ่านหนังสือโยคีมหัศจรรย์ดูสิ อยู่มาเป็นพันปี ไม่ได้กินอะไรเลย ปีหนึ่งออกจากถ้ำมาครั้งเดียว มาเดินแตะ ๆ ของสังเวยที่บรรดาสาวกเอามาไว้ให้ บางทีหยิบขนมกินชิ้นเดียว แล้วก็หายไปอีกปีหนึ่งค่อยออกมาใหม่

ถาม : เข้าสมาบัติ ?
ตอบ : เป็นสภาพร่างกายที่ปรับธาตุ ดึงเอาดิน น้ำ ลม ไฟ รอบข้างมาใช้งานเองได้ ไม่ต้องกินอะไร ที่เขาเรียกว่าอยู่ด้วยธรรมปีติ

เถรี
14-06-2012, 09:20
ถาม : วันก่อนมีเด็กอายุ ๙ ขวบที่ออกรายการแฟนพันธุ์แท้ครั้งหนึ่ง แล้วมารายการล้วงลับตับแตก เขาสามารถที่จะสวดมนต์และรู้เรื่องครูบาอาจารย์ได้ มีคนสงสัยว่าเขาเคยเป็นพระสงฆ์หรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องไปถามเขาเอง

ถาม : มีคนเปิดกรรม เขาก็ดูว่า เด็กคนนี้เคยเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง แต่ไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้ เด็ก ๙ ขวบแต่มีความสนใจอ่านหนังสือธรรมะ
ตอบ : คนที่รู้ในส่วนที่คนทั่วไปไม่รู้ ถ้ารู้จริงจะต้องรู้ด้วยว่าควรจะบอกได้แค่ไหน ถ้าหากว่าบอกเกินนั้นตัวเองก็ซวย ส่วนใหญ่พวกที่ได้มโนมยิทธิในปัจจุบันนี้ ผิดซะ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพูดไปเรื่อยเปื่อย บางทียังไม่ทันจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นจริงหรือไม่จริง ก็พูดไปแล้ว ท่านที่รู้จริง ๆ ท่านรู้ว่าสมควรพูดแค่ไหนถึงจะพอดี แต่มีพวกแสนรู้ไปอธิบายขยายความจนเสียหายหลายแสนทุกที ถ้าเรื่องสมควรพูดท่านพูดไปแล้ว

ถาม : บางคนมีบอกว่าเคยเป็นภรรยาเป็นสามีกันมาก่อน
ตอบ : ประเภทนั้นแหละ แทนที่รู้แล้วจะตัดได้ ก็กลายเป็นผูกหนักขึ้นไปอีก และกอดคอกันตายทั้งขบวน ไปดูว่าคนนั้นเป็นผัวฉัน คนนี้เป็นเมียฉันให้ยุ่งไปหมด ดูแล้วแทนที่จะรู้จักเข็ด ว่ากี่ชาติ ๆ ก็ทุกข์ กลับไม่เข็ด แล้วยังไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่อีก

มีตัวอย่างสมัยก่อนที่อาตมาจะบวช บางรายไปบอกเขาอย่างนั้น โดนพ่อแม่เขาไล่ฟาดกบาลออกจากบ้าน ต่อให้เขาเคยเป็นจริง ๆ ก็เป็นอดีตแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ แสดงว่าเขาไม่รู้ว่าไม่ควรพูด ส่วนใหญ่จะอย่างนี้

แต่ก็แปลก..เขาก็เชื่อกันได้ อาตมาเป็นคนเชื่อยาก ตามพิสูจน์หลวงพ่อวัดท่าซุงมา ๑๐ กว่าปี กว่าจะยอมมอบกายถวายชีวิต ของแท้พิสูจน์อย่างไรก็ยังเหมือนเดิม ของไม่แท้เดี๋ยวก็หางโผล่

วันก่อนมีโยมท่านหนึ่งไม่ได้มาเป็น ๑๐ ปีแล้วโผล่มา อาตมาก็หัวเราะ เขาเป็นฮินดู เพิ่งไปโดนคนหลอกหมดเงินไปเป็น ๑๐ ล้านบาท เกี่ยวกับพวกบรรดาของเก่าต่าง ๆ ว่าเป็นของคู่บารมีสมควรจะมีไว้ อาตมาเห็นก็รู้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็พูดไม่ออก เพราะเขามั่นใจว่าแท้ เขาบอกว่าอาจารย์จับพลังแล้วสุดยอดมากเลย อาตมาก็นั่งเซ็งในอารมณ์ เล่นจับพลังไม่ใช้สายตาดูเลยหรือวะ..?

เถรี
14-06-2012, 09:42
ถาม : การให้ทานที่ให้ผลด้านปัญญา ?
ตอบ : ธรรมทานให้ผลด้านปัญญา ความจริงการให้ทาน ถ้าเราให้จนทรงเป็นสมาธิ กำลังของสมาธิจะช่วยให้เกิดปัญญาได้ แต่ส่วนใหญ่เราให้ทานในลักษณะที่ทำไปเรื่อย ไม่ได้เอาสมาธิเข้าไปควบด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าจะเอาเรื่องของปัญญาโดยตรงต้องเป็นธรรมทาน ไม่อย่างนั้นถ้ามีสมาธิอยู่ด้วยก็ได้ปัญญาเลย

แต่ถ้าหวังโภคทรัพย์ ก็ให้อามิสทาน ทานที่ประกอบด้วยวัตถุสิ่งของ จะเกิดผลเป็นโภคทรัพย์

เถรี
14-06-2012, 10:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ฝนฟ้าตกทุกเย็น ไม่ต้องโทษเทวดาหรอก ต้องโทษพวกเราเอง บรรพบุรุษของเราเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งเมืองหลวง เพราะว่าสมัยนั้นต้องทำไร่ทำนา ท่านก็หาที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลทั้งปี คราวนี้แทนที่เราจะทำไร่ทำนา เราดันมาปลูกตึกก็เป็นเรื่องนะสิ

เห็นสนามหลวงไหม ? นั่นเป็นนาของพระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้น..ถ้าน้ำท่วมกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่ของแปลก ต้องท่วมแน่นอน เพราะโบราณเขาตั้งใจที่จะตั้งเมืองหลวงตรงนี้ สมัยก่อนน้ำจะท่วมเสมอกัน พรวดเดียวแล้วก็ลดลง นำเอาโอชะ ก็คือ บรรดาปุ๋ยต่าง ๆ มากับน้ำด้วย เวลาน้ำท่วมผ่านไปปลูกข้าวปลูกผักล้วนแล้วแต่งอกงามทั้งนั้น

แต่อย่างปีที่แล้วท่วมมากเพราะเราไม่ได้ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เราไปกักเอาไว้ ไปกันพื้นที่บางส่วนออก ส่วนที่ไม่ได้กันก็จะท่วมหนัก เพราะน้ำมาเท่าเดิม ถ้าเฉลี่ยสูงศอกหนึ่ง แล้วเราไปกันพื้นที่ไว้ ๘ ส่วน เหลืออยู่ ๒ ส่วน น้ำก็ต้องสูงเป็นวา ฉะนั้น..ถ้าหากว่ากรุงเทพฯ ของเรายอมเดือดร้อนพร้อม ๆ กัน ปล่อยให้ท่วมเต็มที่เลย อยู่อย่างเก่งก็ท่วม ๒ - ๓ วันเท่านั้น เพราะว่าน้ำต้องลงที่ต่ำคือทะเล ในเมื่อไปกันพื้นที่เอาไว้ ส่วนที่ไม่ได้กันก็รับไปเต็ม ๆ

ยังโชคดีว่าเรามีเส้นทางพระราม ๒ ถ้าไม่มีคนกรุงเทพฯ คงได้อดกันบ้าง อย่างน้อย ๆ ข้าวปลาอาหารยังออกมาทางสมุทรสาครได้ ถ้าไม่มีนี่เรียบร้อย อดกันแน่ ๆ"

ถาม : ปีนี้ท่วมเหมือนปีที่แล้วไหมครับ ?
ตอบ : ปีนี้ไม่ท่วมเหมือนปีที่แล้ว แต่พิลึกพิลั่น ที่ท่วมก็ท่วมไป ที่แล้งก็แล้งไป เป็นปีที่ประหลาด เรื่องน้ำไม่น่าห่วงสำหรับปีนี้ ห่วงเรื่องแผ่นดินไหวมากกว่า

ถาม : แผ่นดินไหว กรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบไหมครับ ?
ตอบ : กรุงเทพฯ ข้างใต้เป็นโคลน ไม่ได้เป็นหินดาน กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนตะกอนปากแม่น้ำ ข้างล่างเป็นดินโคลน แผ่นดินไหวมาทีเหมือนกับเขย่าแก้วน้ำ จะเกิดผลแรงมาก

เถรี
14-06-2012, 10:40
ตอนนี้ทองผาภูมิที่ดินราคาถูก เพราะเขากลัวเขื่อนแตกกัน จากไร่ละเป็นล้านบาท ตอนนี้เหลือ ๓ - ๔ หมื่นบาทก็ซื้อได้ คนเขาก็ไม่คิดกันว่า เขื่อนแตกน้ำต้องทะลักไหลลงข้างล่าง ไปซื้อที่เหนือเขื่อนเสียก็หมดเรื่อง ถ้าอาตมาเป็นนายหน้าค้าที่ดินจะกว้านให้เหี้ยนเลย

ส่วนวัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนพอดี ตูมแรกเขาบอกว่าน้ำจะมาสูง ๓๕ เมตร เลยหัวเราไป ๑๘ - ๑๙ เท่า หลังจากอีกนั้น ๓ ชั่วโมง จะมาถึงกาญจนบุรีประมาณ ๖ เมตร หลังจากนั้นอีก ๕ ชั่วโมงถัดมาจะถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๓ เมตร เพราะฉะนั้น..วัดท่าขนุนต่อให้รู้ว่าเขื่อนแตกตอนนั้นก็หนีไม่ทัน เพราะไม่กี่วินาทีก็ถึงแล้ว ถึงได้บอกโยมว่าถ้าพระย้ายเมื่อไรแล้วค่อยย้ายตาม

เถรี
14-06-2012, 11:06
ถาม : เวลาหมาตายไปจะมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ไหมครับ ?
ตอบ : สัตว์ที่อยู่ใกล้คน กรรมที่จะต้องเป็นสัตว์ใกล้จะหมดแล้ว เวลาตายไปถ้าใจเขาเกาะคนก็จะเกิดเป็นคน ถ้าเกาะพระก็จะเกิดเป็นเทวดา ฉะนั้น..เขาได้เปรียบกว่าเราเยอะ

ถาม : แล้วที่บอกว่าต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้น ๕๐๐ ชาติ ?
ตอบ : ก็ใช่..นี่เป็นชาติท้าย ๆ ของกรรมที่จะต้องเกิดเป็นสัตว์แล้ว

เถรี
14-06-2012, 14:26
พระเขาห้ามกินเนื้อหมา เนื้อ ๑๐ อย่างที่เป็นเนื้อต้องห้าม พระภิกษุห้ามฉัน ได้แก่ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้องู เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อหมี ที่เราจะพลาดได้ก็เนื้อหมากับเนื้องูนี่แหละ

ถาม : ถ้าคนไม่รู้ทำอาหารมาถวาย ?
ตอบ : ไม่รู้ก็โดน ต้องโดยไม่รู้ ต้องโดยสงสัยแล้วขืนทำ ต้องโดยไม่ละอาย ต้องโดยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ต้องโดยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ต้องโดยลืมสติ หมดสิทธิ์เบี้ยวทุกประการ รู้หรือไม่รู้ก็โดน

ฉันเนื้อดิบก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..พวกลาบก้อยซอยแซ่นี่หมดท่าเลย ปลาร้ายังต้องต้มก่อน

ถาม : ซ่า ?
ตอบ : คล้าย ๆ กับยำ

ถาม : ลวกมาเนื้อยังแดง ๆ เลย
ตอบ : ที่แม่ฮ่องสอน พวกไทยใหญ่เขามีเป๊อะหว่าง ลักษณะเป็นเลือดสด ใส่พวกสมุนไพรอะไรบางตัวลงไป ตี ๆ กันจนจับแข็งเป็นก้อนแล้วกิน พวกผู้ใหญ่เวลาเข้าวงเหล้าจะสั่งมากินกัน แต่เขาบอกว่าเด็กกินแล้วไม่ดี

เถรี
14-06-2012, 14:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางเหนือของเราติดธรรมเนียมพม่ามาเยอะ แม้กระทั่งงานปอยของทางเหนือ จริง ๆ เป็นภาษาพม่า ภาษาพม่าเรียกว่าปวย ก็คืองานฉลองรื่นเริง

ปอยส่างลอง คือ บวชลูกแก้ว หนาน คือ บวชพระแล้วสึกมา ถ้าหากว่าเป็น น้อย คือ บวชเณรแล้วสึกมา"

เถรี
15-06-2012, 16:21
ถาม : คนพม่าเข้ามาในไทยเยอะมากนะครับ ความรู้สึกของผมพอได้ศึกษาประวัติศาสตร์ว่าเรารบกันตลอด ความรู้สึกตรงนั้นยังมีอยู่ ?
ตอบ : ตรงนี้เป็นความผิดของเราเอง ต้องมองให้เห็นว่า เราก็เกิดเป็นเขา เขาก็เกิดเป็นเรา อาตมาก็เกิดเป็นพม่ามาเยอะแยะ อีกอย่างหนึ่งควรจะมองให้เห็นค่านิยมในสมัยนั้น ค่านิยมในสมัยนั้น คือ บุคคลที่เป็นผู้นำจะต้องแสดงให้เห็นเดชานุภาพ ด้วยการไปปราบปรามคนอื่นเขา

การที่ไปปราบปรามคนอื่นเขา ก็คือ อันดับแรกได้ประเทศราชมาอยู่ใต้การปกครอง อันดับที่สอง คือ ได้พวกแรงงานพวกทรัพย์สินมา เท่ากับเสริมเศรษฐกิจของตัวเองให้มั่นคง เมื่อค่านิยมเป็นอย่างนั้น แสดงว่าตำหนิใครไม่ได้ เพราะถ้ามีโอกาสเราก็ทำ เพียงแต่ว่าเรามีโอกาสน้อยกว่า เราเป็นผู้ถูกกระทำมากกว่า

พม่าเขาเจริญมาก่อน อย่างอาณาจักรพุกามนี่อยู่ก่อนเชียงแสน ต้องบอกว่าเพราะอาณาจักรพุกามนี่แหละทำให้กุบไลข่านไม่ตีมาถึงเรา ติดอยู่แค่นั้น กว่าเขาจะตีพุกามแตก พอดีทางบ้านเขาก็มีปัญหากันจึงต้องยกทัพกลับ ไม่อย่างนั้นเขากวาดหมดตลอดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย

เถรี
15-06-2012, 16:31
ถ้าหากว่ามัวแต่ไปคิดถึงเรื่องเก่าอยู่ก็มองไม่เห็นว่าเป็นธรรมดาของยุคนั้น ความเป็นศัตรูระหว่างเชื้อชาติก็จะไม่หมดไป ตอนอาตมาไปเขมร ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชของเขา เขมรมีสมเด็จพระสังฆราชทั้ง ๒ นิกาย ก็คือ สมเด็จพระสังฆราชธรรมยุติ คือสมเด็จพระสังฆราชบัวคลี่ ส่วนสมเด็จพระสังฆราชมหานิกาย คือสมเด็จพระสังฆราชเทพวงษ์มีปัญหา

พอเข้าเฝ้าท่าน ทำบุญอะไรเสร็จจะลาท่านกลับ ท่านนิมนต์เข้าไปห้องข้างใน เข้าไปเฉพาะคณะของเรา ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ใช่เป็นรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ผมจะไม่รับคณะของท่านเลย" ท่านเกลียดรัฐบาลอภิสิทธิ์สุด ๆ นั่นขนาดพระสังฆราชนะ เขาไปโกรธตรงที่รบกันเรื่องเขาพระวิหาร กลายเป็นว่าขนาดนักบวชระดับพระสังฆราชยังยึดติด ปล่อยวางไม่ได้ โยมก็สะกิดยิก ๆ "อาจารย์กลับเถอะ" อาตมาบอกว่ากลับไม่ได้ งานนี้ถ้าเรื่องไม่จบนี่แพ้เขา เพราะฉะนั้น..ต้องลุยกันอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะรู้เรื่องกัน

ถาม : รู้เรื่องไหมครับ ?
ตอบ : รู้เรื่องอยู่ แต่ว่าท่านก็ไม่ค่อยยอมฟัง ต้องชี้แจงให้ท่านฟังว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ถ้าหลวงพ่อมีโอกาส หลวงพ่อก็เล่นผมเหมือนกัน แต่คราวนี้เขมรโดนมากกว่าเท่านั้นเอง ลองคิดดู..ถ้าหากว่าลูกของฮุนเซนไม่คิดที่จะแสดงฝีมืออวดบารมีในหมู่ทหารว่า เขาเป็นผู้นำที่กล้าหาญถึงขนาดยกทัพมาตีกับไทย แล้วเรื่องจะเกิดไหม ? ต้องดูทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ดูแค่ฝ่ายเดียว

ในเมื่อฝ่ายนั้นเขาอยากอวดศักดานุภาพเพราะพ่อเพิ่งตั้งเป็นนายพลใหม่ ๆ ก็ไม่มีอะไรนอกจากหาเรื่องมารบกับไทย คราวนี้ยุทโธปกรณ์ของไทยดีกว่าตั้งหลายเท่า เอาคืนไปก็ทั้งเจ็บทั้งตายกันเยอะแยะ เขาก็เอาไปปลุกระดมหวังผลทางการเมือง คือ ทำให้ชาวบ้านเขารวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว สนับสนุนรัฐบาลว่าโดนไทยรังแก เรื่องของการเมืองเขาเล่นวิธีกันทั้งนั้นแหละ คือใช้วิธีช่วงชิงกระแสชาวบ้านให้มาสนับสนุนตนเอง

เถรี
15-06-2012, 16:52
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เรื่องวัตถุมงคล ถ้ามัวแต่สงสัยเดี๋ยวก็กลายเป็นของปลอม จำไว้ว่าตะกรุดมหาสะท้อน รุ่น ๒ หน้าตาห่วย ๆ นี่แท้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนของปลอมส่วนใหญ่จะสวย

มีวัตถุมงคลอยู่ถ้ามัวแต่ไปกังวล ไม่มั่นใจว่าจริงหรือปลอม แสดงว่ากำลังใจไม่มั่นคง ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงของจริงก็กลายเป็นของปลอมได้ แต่ถ้ากำลังใจมั่นคง ของปลอมก็เป็นของจริงไปเองแหละ ขนาดเขาคว้าลูกเขียดไปอมยังหนังเหนียวได้เลย"

เถรี
16-06-2012, 10:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หลักธรรม แต่พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าพระองค์ท่านรู้ธรรมเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง พระองค์ท่านตรัสยืนยันว่าธรรมะทั้งหลายมีอยู่เป็นปกติแล้ว เพียงแต่ว่าพระองค์พบเห็นเข้า จึงนำมาสั่งสอนพวกเรา

บาลีท่านกล่าวว่า อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจ้าทั้งหลายจะอุบัติขึ้นก็ดี อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง หรือพระตถาคตเจ้าทั้งหลายจะไม่อุบัติขึ้นก็ดี ฐิตา วะ สา ธาตุ สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นตั้งมั่นอยู่แล้ว ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา ธรรมดาธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีเป็นปกติอยู่แล้ว

สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ สัพเพ สังขารา ทุกขาติ สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีความทุกข์เป็นปกติ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้ ไม่เที่ยงเลยยึดไม่ได้

ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ เมื่อพระตถาคตเจ้าได้รู้เห็นแล้ว อะภิสัมพุชฌิตวา อาจิกขะติ ก็ได้นำมาบอกกล่าว เทเสติ นำมาสั่งสอน ปัญญะเปติ นำมาบัญญัติ ก็คือกำหนด ปัญฐะเปติ นำมาจัดเป็นหมวดหมู่ วิวะระติ วิภะชะติ นำมาจำแนก นำมาแยกแยะ อุตตานีกะโรติ ทำของยากให้ง่าย เหมือนหงายของที่คว่ำอยู่

เมื่อเป็นดังนั้น ถ้าหากว่าเราศึกษาในเรื่องของศาสนาเปรียบเทียบ จะเห็นว่าบรรดาศาสดาต่าง ๆ มักกล่าวว่าได้รับพรหรือความรู้จากพระเจ้าบ้าง หรือบัญญัติธรรมเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ท่านรู้เองจริง ๆ แต่พระองค์ท่านกลับบอกว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านเพียงแต่ไปเจอของที่มีอยู่ นำมาจัดหมวดจัดหมู่ นำมาบอกเล่าแก่พวกเรา คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราว่าจะฟังแล้วจะนำมาปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ ?"

เถรี
16-06-2012, 10:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากนาค ๑๕ ตัว ตอนนี้เหลือ ๑๔ ตัวแล้ว กว่าจะถึงวันบวชไม่รู้ว่าเหลือเท่าไร วัดท่าขนุนเป็นวัดเดียวที่รู้สึกไม่ชอบมาพากลก็ไล่ออกตั้งแต่ตอนเป็นนาคเลย จะได้ไม่ต้องบวชให้เสียเงิน"

ถาม : ทำไมไม่ให้บวชครับ ?
ตอบ : เขาจะได้บาปมากกว่า เคยเจอไหม ? ประเภทที่ใครบอกก็ไม่ฟัง ต้องพระอาจารย์เท่านั้น ถ้าประเภทนี้ไล่ไปตั้งแต่วันแรกเลย ถ้าเราไม่อยู่แล้วใครจะไปดูแลเขาได้ล่ะ ? ต่อให้เขาเลื่อมใสศรัทธาเรามากแค่ไหนก็ตาม ต้องรีบไล่ไปเลย เขาเรียกมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิดแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีใครสั่งไม่มีใครสอนได้ ก็แปลว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่มีความหมาย

เถรี
16-06-2012, 10:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพระไปนั่งร้องเพลงเขาปรับอาบัติ ขนาดเทศน์มหาชาติก็ยังปรับ เทศน์เสร็จต้องไปปลงอาบัติเพราะศีลขาดเสียแล้ว พระวินัยบอกว่า ภิกษุห้ามขับลำด้วยเสียงอันยาว การขับลำนั้นย่อมมีโทษหลายสถาน ตนเองย่อมหลงในเสียงของตนเอง ผู้อื่นย่อมหลงในเสียงนั้น ฯลฯ เห็นโทษหรือยัง ?

สมัยก่อนมีสามเณรรูปหนึ่ง เทศน์แล้วมีแม่ยกแห่ตามกันเป็นร้อย ๆ ตอนหลังสึกออกมาร้องเพลง น่าจะชื่อ สามเณรวิเศษ สิงห์คำ เขาสึกมาร้องเพลงดังเหมือนกันนะ แต่พอเพลงต่อไปไม่ดังก็เงียบไปเฉย ๆ

เรื่องที่เทศน์แล้วเป็นโทษ อย่างสามเณรแก้ว เทศน์เสร็จนางพิมปลดสไบถวายเลย สมัยนั้นเขามีผ้าแถบผืนเดียว ก็เลยไม่รู้ว่าปลดแล้วข้างในมีอะไรห่มหรือเปล่า ?"

เถรี
16-06-2012, 13:05
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่ผ่านมา ถ้าใครติดตามข่าวอุบัติเหตุจราจร เส้นสระแก้วกับชลบุรี ๒ เส้น จะมีรถกระบะพลิกคว่ำประจำ และมีคนเจ็บตายทีละมาก ๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกต่างด้าวที่เขาเอาเข้าเมือง ถ้ารถไม่คว่ำ เขาก็ไม่รู้ พอรถคว่ำตายบ้าง เจ็บบ้าง ตำรวจก็ไปสอบสวน มีแต่พวกต่างด้าวทั้งนั้น

สมัยหนึ่งเขาบอกว่า "อยู่ทองผาภูมิ ถ้าไม่เล่นมอญก็ต้องเล่นม้า ไม่เล่นม้าก็ต้องเล่นไม้" พูดง่าย ๆ คือจะวิ่งมอญ หรือจะขายยาม้า หรือจะทำไม้เถื่อน ให้เลือกเอา แต่ระยะนี้เงียบสนิท เพราะว่าเจ้าพ่อทำไม้ตายไปแล้ว ส่วนยาเสพติดเขาไม่เข้าทางด้านนี้ เขาไปเข้าด้านอื่น ส่วนเรื่องการวิ่งมอญไม่ต้องวิ่งแล้ว เดี๋ยวนี้ทำบัตรไทยกันเป็นว่าเล่น

โดยเฉพาะบรรดาท่านที่ทำบัตร เขาบอกว่าภายใน ๕ ปีห้ามมีคดีขึ้นโรงขึ้นศาล ถ้ามีคดีขึ้นโรงขึ้นศาลเขายึดบัตรไม่ให้เป็นคนไทย ถ้าไม่มีคดี สามารถเปลี่ยนชื่อและหานามสกุลได้ ก็จะเป็นคนไทยได้เลย เพราะฉะนั้น..ช่วงนี้ทองผาภูมิไม่มีคดีอะไรเลย เงียบสนิท เพราะทุกคนอยากเป็นคนไทย"

เถรี
16-06-2012, 13:29
"ทองผาภูมิช่วงที่ทำไม้หนัก ๆ ป่าไม้จับไม่ได้เลย รถไม้วิ่งมาซึ่ง ๆ หน้า ปรากฏว่ามีตำรวจนั่งคุมมา มีใบจับกุมมาเสร็จสรรพ บอกว่ากำลังนำผู้ต้องหาและของกลางไปส่งโรงพัก ป่าไม้จะไปทำอะไรได้ ก็ต้องปล่อยตำรวจคุมตัวไป แต่พอพ้นด่านไปแล้วไม่รู้ว่าหายไปทางไหน พอตามไปที่โรงพัก เงาคนก็ไม่มี ไม้ก็ไม่ได้เห็น เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง

ท้ายที่สุดพระเจ้าก็ไม่เข้าข้าง บุคคลในตำนานอย่างผู้พันฯ เกิดหัวใจวายตาย จ่าชูรถคว่ำตาย คาดว่าตอนวาระหมดบุญนี่เขาเอาคืน ตอนที่บุญยังคุ้มอยู่ปล่อยไปก่อน เขาว่า ๒ - ๓ รายนี้เดินผ่านป่าไหนไม้ก็เฉาเป็นทาง เพราะกลัวโดนตัด รังสีอำมหิตขนาดนั้น ถามว่าผู้พันฯ ดังแค่ไหน ? ดังขนาดภรรยาขับรถปาดชาวบ้านให้จอด แล้วเรียกสามีมาจับ เพราะบังอาจมาขับรถแซงแก ตอนนี้ไม่มีสามีคอยช่วยภรรยาเลยซ่าไม่ออก

จริง ๆ แล้วชุดของจ่าชูที่ตาย ชาวบ้านเขาเชื่อกันว่าเพราะไปขุดพระท่ากระดาน ทางทองผาภูมิเขาฮิตพระท่ากระดาน องค์หนึ่งราคาเป็นแสน ๆ คราวนี้คณะของจ่าชู ๕ คน มีตำรวจ ๓ ฆราวาส ๒ ไปได้พระท่ากระดานจากในถ้ำ น่าจะได้มาหลายองค์อยู่ พอได้มาก็เกิดอุบัติเหตุตายทีละคนสองคน คนสุดท้ายคือ จ่าชู

พอสามีตายแล้วเมียก็ขวัญหนีดีฝ่อ ไม่รู้เขาไปได้ข่าวจากไหน เอาพระกระดานวิ่งไปหาพระอาจารย์เล็กที่เกาะพระฤๅษี ถามว่าจะทำอย่างไรดี ? จะเอาพระไปคืนก็เสียดาย เพราะมีคนมาขอบูชา ๖ หมื่น สามีก็ตายแล้ว ลูกเรียนหนังสืออยู่มัธยม อยากได้เงินมาส่งลูกเรียนหนังสือ

อาตมาเลยบอกว่าโยมไปที่ร้านสังฆทาน บูชาพระทองเหลืองหน้าตัก ๕ นิ้วมา ๑ องค์ ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ เอาไปถวายวัดไหนก็ได้ แล้วก็แลกเอาพระท่ากระดานมา เพราะเรื่องของพระเขาไม่ได้ดูที่มูลค่าที่คนนิยมกัน แต่ดูว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นพอที่จะชำระทดแทนกันได้หรือเปล่า พระเครื่ององค์แค่ ๒ นิ้วมือ เราสร้างพระหน้าตัก ๕ นิ้วคืนไป ๑ องค์ก็คุ้มแล้ว ด้วยความกลัวเขาก็ฝากพระเอาไว้ รุ่งขึ้นรีบเอาพระพุทธรูปมาแลกไป ถ้าคืนนั้นอาตมาเป็นลมตายจะดังกว่านี้อีกเยอะ..!"

เถรี
16-06-2012, 19:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา

พระพุทธชินราชท่านนั่งอยู่เฉย ๆ เขายังติท่านเลย ใคร ๆ ก็ว่าพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในประเทศไทย ลูกคุณช่างติก็ไปมองซ้ายมองขวา มองแล้วมองอีก ในที่สุดก็ยอมรับว่า "สวยดีหรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้..!" หาที่ติจนได้ คนประเภทนี้ต้องให้เป็นใบ้สักชาติหนึ่งจะได้เข็ด..!"

เถรี
16-06-2012, 19:44
"มีใครรู้บ้างว่าพระนอนจักรสีห์ที่อ่างทองมีความยาวเท่าไร ไปหาข้อมูลให้ที อาตมาไปเจอตำนานมา เขาบอกว่าคนที่สร้างพระนอนจักรสีห์ใช้ทองคำเป็นแกนในการสร้างพระ ทองคำโตประมาณ ๑ กำ ยาว ๑ เส้น (๔๐ เมตร) เพราะฉะนั้น..จึงต้องดูว่าองค์พระยาวเท่าไร เขาใช้ทองคำเป็นแกนในการสร้างพระ อะไรจะรวยปานนั้น

ตำนานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของไทยมีมากต่อมากด้วยกัน แต่ตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำเป็นตำนานที่ทางนักวิชาการเชื่อถือมากที่สุด แต่เขาไม่ได้เชื่อว่าลอยน้ำด้วยพุทธานุภาพ เขาเชื่อว่าลอยน้ำเพราะคนผูกใส่แพมา

ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเนียก......แต่แรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี...................ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง.............เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือใจจะมิน่าเป็นราคิน................แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ

เรื่องพระอยู่แท้ ๆ เอาไปด่าสาวต่อจนได้"

เถรี
17-06-2012, 11:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายปีมาแล้วมีปฏิทินชุดหนึ่ง เขาใช้ชื่อว่าชุดชีวิตกับธรรมชาติ จะมีภาพประกอบพร้อมคำบรรยายโดยคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ภาพแรกเป็นภูเขา หมู่ไม้และสายน้ำ บรรยายว่า "แดดฉ่ำและน้ำชื่น หมื่นภูสูง ยูงรำแพน" ภาพต่อมาเป็นใบเมเปิลที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงร่วงเกลื่อนพื้น บรรยายว่า "โปรยดอกประดับแดน ประดิษฐานพระสัทธรรม" ภาพต่อมาเป็นช้างป่ากำลังเดินลุยมาในลำห้วย บรรยายว่า "ป่าใหญ่จักเป็นเหย้า ลำห้วยเย็นให้ย่างย่ำ" ภาพต่อมาเป็นพระเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ บรรยายว่า "ยืนยงอยู่คงย้ำ สถิตอารยะยุค"

ภาพต่อมาเป็นเก้งหม้อกำลังกระโจนหนี บรรยายว่าโลดเริงกระเจิงผัน ราวป่าลั่นประเลงปลุก ภาพต่อมาก็เป็นภาพพระกำลังนั่งวิปัสสนาในกลด และมีแสงเทียนสว่างอยู่ บรรยายว่าส่องทางให้สร่างทุกข์ ระงับทุกข์อิริยา ภาพต่อไปก็เป็นน้ำตกเล็ก ๆ น่ารักเชียว บรรยายว่า ร่วงเพชรระรินพลอย เป็นสร้อยน้ำประจำผา

ภาพต่อไปเป็นภาพตระพังในสุโขทัย มีดอกบัวขึ้นแล้วด้านหลังเป็นเจดีย์เก่า บรรยายว่า เบิกช่อขึ้นบูชา ประชุมชัย ณ ใจชน เขาสลับกันไปมาอย่างนี้ สุดยอดเลย สาดแสงสำเริงไพร ระบายใบ ระบัดบน ปลุกอดีตบันดาลดล ด้วยเรื่องราวของแผ่นดิน ปรางค์ธาตุสถูปสถาน ดวงวิญญาณพระธรณินทร์ โลกนี้คือชีวิน คือวิญญาณ อมรรตรัย

เสียดายปฏิทินดี ๆ เขาใช้ได้แค่ปีเดียว ได้นักกลอนระดับคุณเนาวรัตน์มาแต่งให้ด้วย มีอยู่ปีหนึ่งเขาทำเกี่ยวกับสัตว์ป่า รูปแรกเดือนมกราคมเป็นรูปปล่อยกวางคืนป่า เขาบรรยายว่า พื้นดินถิ่นเก่าเจ้าเอย อบอุ่นคุ้นเคย คือเพื่อนคือมิตรชิดเชื้อ รูปต่อไปเดือนกุมภาพันธ์ มีนกสองตัวกำลังไซร้ขนให้กัน เมตตาการุณอุ่นเอื้อ มีใจมาเจือ มีรักมาหวังรังรอง

รูปต่อไปเป็นฝูงนกตีนเทียนอยู่ในนากุ้ง ร่มเย็นเป็นหลักปักปอง ทุ่งท่านาทอง ในถิ่นมิ่งทิพย์มณฑล รูปถัดไปเป็นเสือโคร่งกำลังกระโจนขึ้นหน้าผา เห็นแต่เท้า ผาถ้ำน้ำเถื่อนเยือนยล ย่ำไพรเหยียบพน หยัดพื้นอยู่พ่างพสุธา ต้องลองไปค้นดู ไม่รู้ในอินเตอร์เน็ตมีหรือเปล่า ถ้าไม่ได้จำไว้ก็จะสูญไปเลย"

เถรี
17-06-2012, 17:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "การอ่านหนังสือมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ คาดเดาว่าเขาจะเขียนอย่างไร ? อย่างที่สองคือ ถ้าเป็นเราจะเขียนอย่างไร ? ถ้ามีความคิด ๒ อย่างนี้เวลาอ่านหนังสือจะทำให้เราสนใจ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ค่อยสนใจเนื้อหา เอาแต่อ่านสนุกอย่างเดียว

ในนิยายของโกวเล้ง เรื่องกระดึง สายลม คมดาบ พระเอกมี ๒ คน คนหนึ่งตัดดอกไม้ปักใส่แจกัน อีกคนหนึ่งเอาดอกไม้อีกช่อหนึ่งปักใส่แจกัน ทั้งสองยืนมองกันอยู่เป็นชั่วโมง คนหนึ่งยืนดูว่าจะหาช่องว่างปักใส่ลงไปตรงไหน อีกคนหนึ่งมองว่ามีช่องว่างอยู่ตรงไหน จริง ๆ ก็คือวิทยายุทธนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเอามาดัดแปลงใช้กับการจัดดอกไม้

ลักษณะของการอ่านหนังสือก็เช่นเดียวกัน เขามีจุดอ่อนตรงไหน ? เราจะไปโจมตีตรงไหน ? ถ้าเป็นเราจะป้องกันตรงไหน ? ถึงได้บอกว่าถ้าแตกฉานสักวิชาหนึ่ง ก็จะแตกฉานทุกวิชา เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าเราเข้าใจไหมว่าแตกฉานแบบไหน ก็ในลักษณะที่ว่านั่นแหละ คือพลิกแพลงใช้ความชำนาญของตัวเองไปในวิชาการอย่างอื่น ลักษณะเดียวกับการปฏิบัติกรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าได้สักกองหนึ่งก็เอาไปใช้กับกองอื่นได้ เปลี่ยนวิธีการหน่อยเดียวเอง ที่เหลือก็เหมือนเดิม"

ถาม : พระเอกที่ดูว่ามีช่องว่างตรงไหน จะเอาดอกไม้ออกแล้วเสียบแทนหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายเทวทัตยิงธนูปักกลางเป้าแดงเลย คนอื่นเห็นก็คิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะสู้ได้หรือ ? ปรากฏว่าเจ้าชายสิทธัตถะยิงธนูผ่าธนูเทวทัตเป็น ๒ ซีก แล้วปักแทน

เถรี
17-06-2012, 17:57
"ถ้าดูใน ๘ เทพอสูรมังกรฟ้า จะมีกลหมากกระอักเลือดที่ใคร ๆ ไปเล่นก็เสร็จเขาหมด เพราะว่าคนอื่นเล่นหมากเป็น ส่วนพระเอกในเรื่องที่แต้จิ๋วเรียกว่า ฮือเต็ก หรือจีนกลางเรียกว่าซีจู๋ นั้นเล่นหมากไม่เป็น ในเมื่อเล่นไม่เป็นก็หยิบวางไปมั่ว ๆ

คราวนี้หมากที่วางลงไปต้องกินตัวเอง ใคร ๆ ก็ไปโห่พระเอก แต่ปรากฏว่าพระเอกชนะ เพราะหมากเวลาเดินต้องกินตัวเองไปตัวหนึ่ง ถึงจะมีช่องให้เดินหมากอื่นได้ แต่คนอื่นจะไม่ยอมเสียหมากตัวเอง มีแต่พยายามเพิ่มให้มากที่สุด คนเล่นเป็นจึงแพ้ทุกราย ส่วนคนเล่นไม่เป็นกลับชนะ

เขาถึงได้บอกว่าขงเบ้งหลอกได้แต่คนฉลาด ส่วนคนโง่ขงเบ้งหลอกไม่ได้หรอก เพราะคนโง่ไม่คิดอะไรมาก ส่วนคนฉลาดคิดมากจึงติดกับข้งเบ้งทุกคน เขาบอกว่าถ้าเอาคนโง่ ๆ ไปตีเมืองคราวนั้นขงเบ้งก็ตายไปแล้ว แต่ดันเอาคนฉลาดอย่างสุมาอี้ไป ขงเบ้งที่มีทหารแค่ไม่กี่สิบคนจึงได้รอดไปได้

ต้องบอกว่าใจขงเบ้งนิ่งจริง ๆ เพราะการเล่นดนตรีนั้นต้องออกมาจากใจ ถ้าใจไม่นิ่ง อารมณ์ของเพลงย่อมไม่ได้ ถ้าอารมณ์เพลงไม่ได้ คนเล่นเป็นเขาฟังดูก็รู้

ตอนแรกลูกชายของสุมาอี้ คือ สุมาสูกับสุมาเจียว บอกพ่อว่าบุกได้เลย แต่พ่อบอกว่าไม่ได้ เพลงของขงเบ้งเขารื่นเริงมาก แถมยังแฝงอาถรรพ์การฆ่าฟันไว้ด้วย นั่นเขาฟังออก ฉะนั้นถ้ากำลังใจไม่นิ่งจริง ๆ ทำไม่ได้หรอก เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเรื่องการรบนั้น สมาธิต้องมาก่อน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว บุกไปท่ามกลางคนอื่นเขาก็เสร็จแน่ ๆ เพราะละล้าละลัง ตัดสินใจไม่เด็ดขาด จะฆ่าเขาดีหรือจะป้องกันตัวเองดี"

เถรี
17-06-2012, 18:12
"โดยเฉพาะเรื่องขงเบ้ง ถ้าอ่านตั้งแต่ต้นยันปลายจะเห็นว่าเขาได้อภิญญา เขารู้ว่าลมฝนจะมาเวลาไหน ขณะเดียวกันเขารู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่เท่าไร รู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร ตอนไปรบกับเบ้งเฮ็ก ทางด้านนั้นใช้ไสยศาสตร์มา ขงเบ้งแก้ตกหมด ทางนั้นเขาเรียกทหารเทวดามารบ เสกกระดาษโปรยเป็นกองทัพ แต่ขงเบ้งแก้ตกหมด เพราะฉะนั้น..ต้องได้อภิญญาแน่นอน ฟันธงได้เลย

ลักษณะเดียวกับขุนแผนเลย ขุนแผนให้ลูกน้องเอาต้นอ้อมาปัก ทำเป็นค่าย ตั้งค่ายหลอกเขา แม่ทัพจับซัดข้าวสารปร๋อ...ไม้อ้อก็กลายเป็นไม้แก่น กลายเป็นของจริงไปได้

ขงเบ้งรบมาตลอดชีวิต ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจสูงสุดของแคว้น ปรากฏว่าก่อนตายไม่มีสมบัติอะไรเพิ่มขึ้นเลย ตัวเองมีนาอยู่ ๔๐๐ ไร่ มีหม่อนอยู่ ๘๐๐ ต้นเท่าเดิม ขงเบ้งมีหนังสือกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ไม่ต้องพระราชทานอะไรเพิ่มเติมให้ แค่นี้ก็พอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว ขงเบ้งเสียใจอยู่อย่างเดียวว่า ไม่สามารถทำตามปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ ที่ว่าจะรวม ๓ แคว้นให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ขอฝากให้คนรุ่นหลังช่วยจัดการด้วย

คราวนี้ในส่วนที่เราบอกว่าได้อภิญญา ถ้ามองในช่วงนั้นยังไม่เท่าไรหรอก แต่คนจีนเขาขยันบันทึก เรื่องราวอะไรเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ เขาบันทึกไว้หมด บอกว่า ๑๐๐ ปีให้หลัง มีแม่ทัพเต็งเฮี้ยงตงยกกองทัพผ่านไป ปรากฏว่ามีเสียงลมเหมือนเสียงกองทัพโห่ร้องกันอยู่ เขาเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้นำทางจึงบอกว่าเป็นที่ฝังศพของท่านแม่ทัพจูกั๊วะ คือขงเบ้ง

แม่ทัพบอกว่าเขาเก่งกว่าขงเบ้งอีก แค่มาทำเสียงเหมือนกองทัพหลอกเขาไม่ได้หรอก แล้วสั่งให้ขุดศพขึ้นมา จะอวดอำนาจตัวเอง ขุด ๆ ลงไป เจอแผ่นหิน ๑ แผ่น มีหนังสือสลักว่า ตัวเขาคือแม่ทัพจูกั๊วะ อีก ๑๐๐ ปีให้หลัง รุ่นหลานชื่อเต็งเฮี้ยงตงจะมาขุด อย่าได้พลิกแผ่นหินนี้ออก มิฉะนั้นจะถูกเกาทัณฑ์ทะลวงใจ แม่ทัพเต็งเฮี้ยงตงไม่เชื่อ เตะแผ่นหินทิ้งเลย พอเตะแผ่นหินล้ม เกาทัณฑ์ลับจึงพุ่งใส่ ตายคาที่เลย นั่นขงเบ้งรู้ล่วงหน้าตั้ง ๑๐๐ ปี..!"

เถรี
18-06-2012, 13:07
ถาม : พวกฝังรูปฝังรอย ถ้าเราไม่ไปขุดเจอ จะแก้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ยาก...ส่วนใหญ่เขาจะไปฝังไว้ใต้บันไดบ้านเรา เพราะฉะนั้น..ถ้าสงสัยก็ขุดใต้บันไดก่อนเลย สมัยนี้พวกฝังรูปฝังรอยทำยากแล้ว เพราะบันไดเป็นคอนกรีตหมด ถ้าเขามาสกัดบันไดคอนกรีตบ้านเราก็เจอเตะสิ..! สมัยก่อนบ้านใต้ถุนสูงและเป็นดิน เขาก็ขุดฝังรูปฝังรอยได้

ถาม : ต้องไปรับยันต์เกราะเพชร ?
ตอบ : นั่งภาวนาอย่าให้หลุดจากสมาธิ หลุดเมื่อไรก็โดน หรือไม่ทำไสยศาสตร์คืนไป อุปกรณ์มีน้ำผึ้งเก่าขวดหนึ่ง ขวานเก่า ๆ อันหนึ่ง จานเป็นสนิมใบหนึ่ง แล้วก็หมาดำตัวหนึ่ง รับรองตายแน่ วิธีการขลังมากเลย ถ้าหากว่าทำได้คู่แค้นตายทุกคน เพียงแต่ว่าจะหักใจทำได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

อันดับแรกต้องหารูปของศัตรูให้ได้ก่อน แล้วก็เขียนวันเดือนปีเกิดเอาไว้ด้านหลังรูป แล้วเอาจานสังกะสีเก่า ๆ ไปครอบที่กองฟอนที่เพิ่งเผาศพไป ครอบไว้ ๗ วัน ครบ ๗ วันแล้วก็เอาจานสังกะสีกลับมา เอารูปของศัตรูที่มีวันเดือนปีเกิดใส่ลงไป เอาน้ำผึ้งค้างปีเทลงไปให้ท่วมรูป ใช้ขวานเก่าที่เป็นสนิมคนวนขวา ๓ รอบ วนซ้าย ๓ รอบ แล้วเอาน้ำผึ้งไปให้หมาดำกินให้หมด

จากนั้นเอาจานเปล่าที่มีรูปพร้อมกับขวานไปที่บ้านของศัตรู เอาจานวางไว้หน้าประตู ตรงจุดที่คิดว่าศัตรูเปิดประตูออกมาแล้วจะเห็นพอดี เคาะประตูแล้วรีบไปหลบที่มุมบ้าน พอศัตรูโผล่ออกมาเห็นจานมีรูปตัวเองก็จะก้มลงไปหยิบ ทีนี้ก็ให้เราโดดออกมา เอาขวานฟันหัวศัตรูทันที..! ถ้าใครทำไสยศาสตร์วิธีนี้รับรองศัตรูตายทุกคน

เถรี
18-06-2012, 13:10
พวกเรื่องหักมุมพวกนี้มีเยอะ อย่างเช่น พอเช้าสามีตื่นขึ้นมา ภรรยาก็หน้าบึ้ง สามีสงสัยถามภรรยาว่าเป็นอะไร ภรรยาก็ถามว่าลินดาคือใคร ? สามีก็สะดุ้งเฮือก บอกว่าวันก่อนเล่นม้ามา ม้าชื่อลินดา แทงเสียไป ๒๐๐ เหรียญ แต่ไม่ถูก สถานการณ์จึงดีขึ้นมาหน่อย

พอกินข้าวเสร็จ ภรรยาเข้าครัวไปล้างจาน สักพักเดินมาโยนโทรศัพท์มือถือให้สามี "ม้าของคุณโทรมา..!" สรุปว่า ขว้างงูไม่พ้นคอ

เถรี
18-06-2012, 13:13
ถาม : เราไม่ได้โกรธอยู่ตอนนั้น โทษของการฆ่าคนจะเบากว่าตอนที่โกรธหรือเปล่า ?
ตอบ : เบากว่า..แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้าไปฆ่าบุคคลที่มีคุณมากกว่า ก็จะเกิดโทษมากกว่าอยู่ดี

เถรี
18-06-2012, 14:09
ถาม : ทานในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก แต่เศรษฐีระดับโลกส่วนใหญ่ทำไมอยู่นอกพุทธศาสนา ?
ตอบ : คิดว่าที่อื่นเขาไม่รู้จักทำบุญกันหรืออย่างไร ? ไม่เห็นหรือว่าเขาบริจาคกันทีเป็นหมื่นล้าน สมมติว่าเราขายเพชร ได้กำไรมาหนึ่งแสนบาท ส่วนสินค้าอีกชิ้นหนึ่งขายแล้วได้กำไรหนึ่งร้อยบาท ถ้าเกิดว่าขายได้มาก ๆ จะได้กำไรมากกว่าแสนไหม ? ก็ลักษณะเดียวกัน แม้จะทำบุญส่วนทั่วไป หรือว่าทำบุญกับบุคคลผู้ไม่มีศีล ก็ยังเหนือกว่าสัตว์เดียรัจฉานเป็นร้อยเท่า ถืงแม้จะไม่เทียบกับคนที่ศีลบริสุทธิ์ แต่ทำไปร้อยครั้งก็เท่ากันแล้ว ถ้าทำเกินร้อยครั้งก็ได้บุญมากกว่าอีก

ดังนั้น..โอกาสที่เขาจะร่ำรวยขึ้นมาก็เป็นเรื่องปกติ แล้วเขาไม่ได้รวยอย่างคนไม่มีปัญญา เขารวยแล้วเขาก็ต่อบุญ โดยเฉพาะส่วนที่เขาบริจาคเข้ามูลนิธิต่าง ๆ โครงการที่ช่วยเหลือคนทั่วไป ลักษณะนั้นแบบเดียวกับสังฆทานเลย ช่วยคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ในเมื่อไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ชนชาติไหน ภาษาไหนเขาก็ยื่นมือเข้าไปช่วย ก็สังฆทานดี ๆ นี่เอง

ถาม : อานิสงส์เท่ากันหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ถึงกับสังฆทาน แต่อานิสงส์ใหญ่กว่าทั่วไป เขาตั้งมูลนิธิ บริจาคกันทีเป็นหมื่นล้าน เราเองสู้เขาไม่ได้แน่ เพราะมัวแต่รอขายเพชร ชาติหนึ่งไม่รู้จะขายได้กี่เม็ด

เถรี
18-06-2012, 14:18
ถาม : เกี่ยวกับทานและการภาวนา การให้ทานนี่อานิสงส์น้อยกว่าการภาวนาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติได้ถึงฌานสมาบัติ เป็นไปได้ไหมครับว่าท่านยังโดนหลอกได้ ?
ตอบ : เป็นความไม่รอบคอบ โดนหลอกเป็นปกติอยู่แล้ว อาตมาไปเขมร เดินผ่านเครื่องตรวจอาวุธไปอย่างสบาย ไม่มีปัญหา โยมข้างหลังเดินผ่านแล้วเครื่องดัง ทั้งที่อาตมาก็พกมีดหมอไปเหมือนกัน เตือนเขาไปแล้วว่าให้อาราธนาบารมีพระคลุมให้หมด เขาก็ตั้งใจอาราธนาบารมีพระคลุมตัวเองเรียบร้อย ปรากฏว่าเขาตรวจเจอในกระเป๋าเป้ โดนเขายึดไป พอขากลับเอาใหม่ ตั้งใจอาราธนาคลุมในกระเป๋า แต่ลืมให้อาราธนาคลุมตัวเอง คราวนี้รู้หรือยังว่าความไม่รอบคอบนั้นเป็นอย่างไร ?

ถึงได้บอกเขาว่าเรื่องของพระ เรื่องของเทวดา ท่านสอนให้เราละเอียดรอบคอบ ในเมื่อคุณไม่ละเอียดรอบคอบเอง เขาก็หาช่องว่างเล่นเอาจนได้ แล้วอาตมาเองก็รอดไปได้ทุกงานเลย จนกระทั่งงานสุดท้ายเสร็จเขา เครื่องดังสนั่นเลย กำลังจะเข้าไปตรงที่เขาตรวจอาวุธขึ้นเครื่องแล้ว เขาดันเอาเด็กมาถวายให้เป็นลูก อาตมามัวแต่นั่งรับอยู่ ลืมอาราธนาพระ พอเครื่องตรวจดังขึ้นอาตมาก็ว่าบรรลัยแล้ว..!

คราวนี้ก็มีทางเดียวคืออย่าให้เขาหาเจอ เขาก็ค้นหาใหญ่เลย ท้ายสุดต้องเอาเครื่องตรวจมากวาด กวาดทีไรก็ดังทุกทีแต่หาไม่เจอ แล้วเขาก็สรุปว่าซิปกระเป๋านี้แหละที่ดัง คราวนี้คุณเห็นหรือยังว่า ถ้าขาดความรอบคอบเป็นอย่างไร ฉะนั้น..ต่อให้คนมีปัญญาขนาดไหน แต่ถ้าขาดความรอบคอบก็เสร็จ จริง ๆ แล้วถ้าความสามารถพอ จะครอบทั้งจักรวาลก็ได้ แต่เราต้องสมาธิสูงพอ ต้องไม่ขาดช่วงด้วย

เถรี
18-06-2012, 14:27
ถาม : โดยลำดับทางพุทธศาสนาก็คือทาน ศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา บางคนได้ถึงฌานสมาบัติแต่ไม่บรรลุมรรคผลใด ๆ ที่เป็นขั้นอริยกุศล บางคนพระศาสนาก็รับรองไว้ว่า ถ้าได้ถวายสังฆทานไว้ ได้เป็นเจ้าภาพทอดกฐินไว้ เมื่อยังไม่สิ้นบุญที่ทำไว้ก็จะปรินิพพานเสียก่อน ทำไมทานตรงนี้ถึงมีผลมาก ทำไมฌานสมาบัติมีผลน้อยกว่า ?

ตอบ : คุณรู้ไหมว่ากว่าที่จะปรินิพพานนี่จะต้องเกิดอีกเท่าไร ? อาจจะเกิดจนนับกัปไม่ถ้วน แต่ขณะเดียวกันคนที่เขาสร้างฌานสมาบัติขึ้นมาได้ ชาติต่อไปจะมีความฉลาดมาก ถ้าหากว่าทำกรรมฐานตามจริตของตนเองได้ ดีไม่ดีก็บรรลุในชาตินั้นเลย

คุณไปจับแพะชนแกะเอง ฟังแล้วก็ไปเข้าใจว่าจะบรรลุภายในไม่กี่วัน ไม่ใช่หรอก..เขาต้องเกิดแล้วเกิดอีก เขาบอกว่าจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ กว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติคุณต้องเกิดอีกนานเท่าไร เพราะต้องรอช่วงโลกว่างพอดี เป็นพระมหากษัตริย์อีก ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ เป็นอนุเศรษฐีอีก ๕๐๐ ชาติ ถ้าเราตีเป็นชาติก็ประมาณสองสามพันชาติ แล้วกว่าเราจะได้เกิดแต่ละครั้งนั้นนานแค่ไหน ?

เราอาจจะต้องไปเสวยบุญในลักษณะอื่นก่อน เป็นพรหมเป็นเทวดา รอระยะเวลาซึ่งเนิ่นนานมาก แต่บุคคลที่ทำในส่วนอานิสงส์มากกว่า สูงกว่า อย่างเช่นท่านอินทกเทพบุตร ได้ใส่บาตรกับพระอรหันต์ ผลบุญนี้ส่งผลให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แล้วฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มรรคผลไปเลย

ต้องดูว่าส่วนของบุญใหญ่ที่สร้างไว้นั้นเป็นบุญประเภทไหน แล้วระยะเวลาอีกเท่าไร สรุปว่าถ้ามีปัญญาจริง ๆ ได้เจอพระพุทธเจ้า ได้เจอพระอรหันต์ ท่านแสดงธรรมที่เหมาะสมกับจริตของตนเองก็ไปพระนิพพานได้ง่าย ๆ

เถรี
18-06-2012, 14:40
ถาม : มีคนกล่าวว่าอิทัปปัจจยตาเป็นหลักธรรมสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ผมเข้าใจว่าเป็นอริยสัจ ๔ เขาก็บอกว่า จริง ๆ แล้วเป็นอิทัปปัจจยตา ?
ตอบ : นั่นเขาว่า..อย่าลืมว่าบุคคลต้องได้ธรรมะที่ตรงกับจริตตัวเอง ถ้าไม่ตรงกับจริตตัวเอง บางทีฟังไปก็ไร้ผล อย่างลูกชายนายช่างทอง ปฏิบัติธรรมอยู่กับพระสารีบุตรหลายเดือนไม่ได้ผล เนื่องจากพระสารีบุตรให้กรรมฐานที่เหมาะกับราคะจริตแก่ลูกชายนายช่างทอง เพราะเห็นว่าเป็นคนหนุ่ม

พระสารีบุตรจึงเอาไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านให้กรรมฐานที่เหมาะกับโทสะจริต ลูกชายนายช่างทองจึงบรรลุมรรคผลในเวลาที่ไม่นาน ดังนั้นที่คุณบอก นั่น “เขาว่า” เป็นความคิดของเขา แต่ถ้าหลักธรรมที่สำคัญจริง ๆ อยู่ที่เรา

อยากจะบอกว่าอิทัปปัจจยตาเป็นหลักธรรมสำหรับบุคคลที่เป็นครู ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย ถ้าเราไม่ต้องไปสอนคนอื่นเขา ไม่ต้องไปศึกษาก็ได้ ท่านสอนให้เห็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเหตุนี้ทำให้เกิด ผลนี้จึงเกิด อดีตเหตุทำให้เกิดปัจจุบันผล อันนี้ปัจจุบันเหตุ ทำให้เกิดอนาคตผล ถ้าหากว่าอนาคตผลดับลงได้ ปัจจุบันเหตุก็ไม่มี ถ้าหากว่าอดีตผลดับลงได้ อดีตเหตุก็ไม่มี มีทั้งขึ้นหน้าและถอยหลัง เขาให้คิดถึงความสำคัญของพวกนี้ในลักษณะของการมองแบบบูรณาการ

ถ้าเราไม่ได้คิดจะเป็นครูของคนอื่น ก็ไม่ต้องไปศึกษาให้เสียเวลาหรอก หุงข้าวกินเองตำน้ำพริกได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปทำอุ้งตีนหมีหรือหูฉลามน้ำแดงหรอก

เถรี
19-06-2012, 08:51
ถาม : มานะกับอัตตาต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : อัตตาทำให้เกิดมานะ ในเมื่อมีตัวกู กูต้องแน่ คราวนี้รู้แล้วยังว่าต่างกันตรงไหน ?

ถาม : เวลาตัดนี้ตัดตัวไหนง่ายกว่า ?
ตอบ : ต้องตัดสักกายทิฐิ (ตัวกู) ให้ได้ พอสักกายทิฐิหมด ตัวอัตตาก็ไม่มี เพราะว่าเห็นแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยเฉพาะร่างกายเรา ร่างกายเขา ก็ไม่มีอะไรดีกว่ากัน ตกอยู่ในสภาพไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เหมือน ๆ กัน สภาพจิตก็ถอนมาจากการยึดมั่นถือมั่น ตัวอัตตาหรือมานะก็น้อยลง

ถาม : แล้วอัตตากับสักกายทิฐิต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : สักกายทิฐิก็คือการยึดในอัตตา ไปยึดว่าตัวนี้ของกู ไปคิดว่ารถยนต์เป็นตัวเรา ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนขับรถ พอถึงเวลาคนอื่นมาเตะรถก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เจ็บสักหน่อย เพราะเขาเตะรถ แต่เรายึดว่านั่นรถของกู

อัตตาในส่วนของรูปธรรมก็คือร่างกายนี้ ถ้าอัตตาในส่วนของนามธรรม คือการยึดถือตัวตนของร่างกายนี้

ถาม : เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ ที่จิตจะยึดติดเอง ?
ตอบ : ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นการยึดโดยอัตโนมัติ เพราะความไม่รู้ของเราก็เลยยึด ฉะนั้น..มีวิธีเดียวก็คือทำอย่างไรจะให้ปัญญามองเห็น แล้วสภาพจิตยอมรับว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา จะได้เลิกยึดติด ถึงได้สรุปง่าย ๆ ว่าความจริงแล้วไม่มีอะไร เพราะเราไปทำให้มี ถึงได้มี

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : บุคคลที่เข้าถึงจริง ๆ แล้วจะกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนโดยอัตโนมัติ เพราะรู้อยู่เสมอว่าตนเองรู้น้อย แล้วขณะเดียวกันก็ให้เกียรติคนอื่น เพราะเห็นว่ามีสภาพหมือนกัน

ถาม : แม้แต่อรูปก็มีการยึดหรือคะ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าต้องยึดก่อน คำว่าอรูป จริง ๆ ก็คือ ยึดการไม่มีรูป ไม่ใช่ว่าไม่มีรูปแล้วจะไม่มีอัตตา เป็นอะไรที่อนาถมากเลย กะว่าไม่มีรูปแล้วแต่ก็ไม่รอด จำไว้ว่าถ้ารู้มากจะยากนาน

เถรี
19-06-2012, 09:52
ถาม : พระอรหันต์ท่านกำจัดอวิชชาได้หมดสิ้น จึงทำให้ไม่มีตัณหาและอุปาทาน ถ้าหากว่าเราสามารถกำจัดอวิชชาได้บางส่วน ตัณหาและอุปาทานจะลดลงไปด้วย เป็นอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันโดยสภาพจิต ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ถาม : ที่นี้ในบุคคลแต่ละคน อวิชชาก็ไม่เสมอกัน ตัณหาอุปาทานที่มีอยู่ก็ไม่เสมอกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผู้ที่มีอวิชชาน้อยกว่า ก็มีโอกาสที่จะบรรลุง่ายกว่า เร็วกว่า ถ้าได้ธรรมะที่ถูกต้อง ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ให้นึกถึงดอกบัวที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้ ใครอยู่พ้นผิวน้ำแล้วก็มีโอกาสบรรลุก่อน ถ้าหากว่าอยู่เสมอผิวน้ำก็ต้องรอวาระต่อไป ถ้าหากว่าอยู่ใต้น้ำก็ยังอีกนาน

ถาม : ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมแม้เพียงเล็กน้อย เช่นระลึกถึงความตายอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ก็ได้เข้าใกล้พระนิพพานมากขึ้น เพราะว่าตัณหาอุปาทานก็ต้องจะลดลงเป็นธรรมดา ?
ตอบ : ถ้าเรานึกถึงความตายเป็นปกติ สามารถไปชาตินี้เลย เพราะรู้ว่าจะต้องตายก็จะไม่ประมาท เกิดมาแล้วทุกข์อีกก็จะหาทางพ้นทุกข์

เถรี
19-06-2012, 10:15
ถาม : พระนิพพานเป็นปัจจัตตัง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอธิบายให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ คือพระนิพพานไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะที่เรารู้จักในโลกมนุษย์ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถอธิบายได้หรือครับ ? อย่างคนที่ไม่มีดวงตาก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ ไม่สามารถที่จะอธิบายความแตกต่างของสีต่าง ๆ ได้เพราะเขาไม่เคยเห็น ไม่เข้าใจ เป็นเพราะอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าถ้าเราโดนไฟเผา แล้วอยู่ ๆ ไฟดับลง เราบอกคนอื่นว่าสบายจริง ๆ เขาจะรู้ไหมว่าสบายแบบไหน ? เขาต้องมีประสบการณ์เองก็ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ในเมื่อไม่มีประสบการณ์นั้นเอง โดยเฉพาะสภาวธรรมนั้นละเอียดเกินกว่าคำพูดและเกินกว่าตัวหนังสือจะอธิบายได้ เพราะเป็นภาษาใจล้วน ๆ จึงเสียเวลาที่จะไปคิด ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ไปถึงจะง่ายกว่า

ถาม : พระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าผู้ที่ล่วงทุกข์แล้วตอนนี้ กับผู้ที่ล่วงทุกข์แล้วเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน ก็ไม่แตกต่างกันประการใด ?
ตอบ : เป็นคำบอกเล่า ไม่มีคำถามก็รับฟังไว้

เถรี
19-06-2012, 10:24
ถาม : มีบางคนกล่าวอ้างว่า เขามีเทพหรือมีอะไรต่าง ๆ มาบอกให้ทำนั่นทำนี่ บอกว่าจะขออนุโมทนาบุญ แบบนี้มีด้วยหรือครับ แล้วเทพองค์นั้นจะได้บุญจริงหรือครับ ?
ตอบ : ต้องถามคนบอก จริง ๆ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ว่าต้องมีผลกรรมที่เนื่องกันมา เขาจึงสามารถที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นโดยผ่านร่างของคนอีกคนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเขามีส่วนด้วย ถ้าสิ่งที่เขาสงเคราะห์ไปเป็นเรื่องของความดี บุญกุศลก็จะมีถึงเขาด้วย

สำคัญตรงที่ต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมา ก็ไม่สามารถที่จะไปใช้คนอื่นเขาทำแทนได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมาไม่สามารถเอาบุคคลนั้นเป็นร่างทรงได้

เถรี
19-06-2012, 10:28
ถาม : บรรดาพรหมเทวดา ท่านสามารถที่จะสิ้นจากความเป็นพรหมเทวดานั้น ๆ เมื่อไรก็ได้ตามใจปรารถนาไหมครับ ?
ตอบ : ไปตามอายุขัย ๑ ไปเพราะหมดบุญ ๑ ไปเพราะหมดกรรม ๑ ไปเพราะหมดอาหาร ๑ ไปเพราะความโกรธ ๑ ไม่ใช่ไปตามใจตัวเอง

ถาม : ผู้ที่เกิดเป็นเทวดามีอายุหลายล้านปี ก็สามารถที่จะไปพบกับพระศรีอาริยเมตไตรยได้ในสภาพที่เป็นเทวดานั้นเลยไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญที่ว่าไปแล้วเพลินอยู่กับทิพยสมบัติหรือเปล่า ? ให้เราดูประวัติของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร พระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์สอน บรรดาเทวดา พรหม ตลอดจนนางฟ้าต่าง ๆ แห่กันมาฟังเทศน์เป็นโกฏิ ๆ ส่วนมัฏฐกุณฑลีเพลินในทิพยสมบัติ ไม่ไปกับใครหรอก เพราะฉะนั้น..ถึงไปเป็นเทวดาก็ไม่ได้เป็นเครื่องประกันแน่นอนว่า ถ้าขึ้นไปแล้วจะได้พบพระศรีอาริยเมตไตรยแน่ ๆ ขึ้นอยู่กับทิฐิของตนว่าเป็นสัมมาทิฐิหรือเป็นมิจฉาทิฐิ

เถรี
19-06-2012, 10:37
ถาม : เคยอ่านที่พระอาจารย์บอกว่า การทำบุญในปัจจุบัน เราจะไม่ได้ผลในชาตินี้ นอกจากทำบุญอย่างต่อเนื่องเป็นสิบปี แล้วทำไมการทำแท้งจึงให้ผลชาตินี้ครับ ?
ตอบ : โยมทำบุญแล้วเคยนึกถึงบุญที่ทำบ้างไหม ? แต่คนทำแท้งนั้นตอกย้ำตัวเองทุกวินาทีว่าเขาทำความชั่ว ในเมื่อเขามุ่งใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ตรงดิ่งอย่างเดียวเลย ผลกรรมจึงเกิดเร็ว แต่เราเองทำบุญมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง น้อยครั้งที่เราจะนึกว่าทำอะไรไปบ้าง

เพราะฉะนั้น..ถ้าโยมต้องการที่จะให้ผลบุญนั้นส่งผลอย่างรวดเร็วในชาตินี้ เราก็ต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับผลบุญนั้น ก่อนจะทำก็มีความปีติยินดีว่าเราจะได้ทำ กำลังทำก็มีความปีติยินดีว่าเราได้ทำ เมื่อทำได้แล้วนึกถึงเมื่อไรก็มีความปีติยินดีว่าเราได้ทำบุญนั้นแล้ว ถ้าสามารถรักษากำลังต่อเนื่องอย่างนี้ได้ตลอดเวลาผลก็จะเกิดเร็วเหมือนกัน

เมื่อวานมีพระมาทำบุญ ท่านบอกว่า "ทำบุญอุทิศให้ลูก ผมฆ่าลูก" อาตมาถามว่าไปฆ่าอีท่าไหน ? ท่านบอกว่า “ทำแท้งครับ” นั่นขนาดผู้ชายใจยังจดจ่ออยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าคนที่ทำเป็นผู้หญิงเขาจะรู้สึกอย่างไร ? เลือดในอกของตัวเองโดนคว้านทิ้งไปอย่างนั้น จะเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาหาย กระทบแล้วเจ็บอยู่ตลอดเวลา

ใจที่จดจ่ออยู่ตลอดเวลา มโนมยา ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ในเมื่อคุณไปคิดอยู่ว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ดี ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอดแล้วผลจะไปดีได้อย่างไร ถึงเวลาสิ่งนั้นก็สนองเร็วมาก เพราะว่าเราไปตอกย้ำเพิ่มโทษให้อยู่ตลอดเวลา

เถรี
19-06-2012, 11:16
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนเช้าเวลาอาตมาบิณฑบาต จะมีโยมบ้านหนึ่งเอาหลาน ๆ มาใส่บาตร แล้วก็สอนให้ไหว้พระ หลานก็ “ธุจ้า ๆ ” เขาก็ธุจ้าไปเรื่อย เนื่องจากพระวัดท่าขนุนมีจำนวนเยอะ พอ “ธุจ้า” ไปยี่สิบรูปชักจะหมดเสียง

น่าเสียดายที่หลายบ้านตอนเด็ก ๆ พ่อแม่วางรากฐานไว้ดี แต่พอโตเป็นวัยรุ่นเลิกใส่บาตร มี ๒ อย่าง อย่างแรก คือ ตื่นไม่ทัน อย่างที่ ๒ คือ อายพระ เลยไม่ใส่บาตร มีคุณยายคนหนึ่งเป็นอัมพาตแต่ใส่บาตรทุกวัน ไม่เห็นต้องอายเลย"

เถรี
20-06-2012, 11:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "บาลีเขาบอกว่า เด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง ผู้ใหญ่เห็นเด็กร้องไห้ไม่ได้หรอก..เสร็จหมด สตรีมีน้ำตาเป็นกำลัง ไม่ต้องร้องไห้หรอก แค่นั่งน้ำตาเล็ด ใครเดินผ่านเห็นก็ใจอ่อนแล้ว สมณะมีศีลเป็นกำลัง ถ้าศีลไม่ดีก็แปลว่ากำลังตัวเองน้อย

ถ้าเป็นผู้หญิงกับเด็กเราก็อย่าไปปะทะตรงจุดแข็งเขา ในเมื่อกำลังเขาดีกว่าเราก็เลี่ยงไปทางอื่น ยกเว้นว่ากำลังเราเหนือกว่าจริง ๆ จะว่าไปแล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ากำลังของผู้หญิงมากที่สุด บาลีบอกว่า พะลังจันโท พะลังสุริโย พะลังสมณะพราหมณา พะลังเวลาสมุทัสสะ พลาติพะละมิตถิโย ไม่ว่าจะเป็นกำลังของพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี สมณพราหมณ์ก็ดี ตลอดจนกำลังของกาลเวลาและมหาสมุทร ก็สู้พลังของผู้หญิงไม่ได้

ผู้หญิงเป็นเพศแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต พลังแห่งการให้กำเนิดชีวิตถือว่าสูงที่สุด เราจะเห็นว่าผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนอยู่ สามารถทำให้ไสยศาสตร์เสื่อมอานุภาพได้ เพราะสู้กำลังผู้หญิงไม่ได้ พวกบรรดาโอปปาติกะชั้นต่ำ ๆ ถ้าผู้หญิงมีประจำเดือนอยู่เข้าไป เขาเปิดกระเจิดกระเจิงหมด ไม่อยู่ด้วยหรอก ฉะนั้น..ควรจะภูมิใจตัวเองว่าเราเป็นเพศแม่ เป็นผู้ให้กำเนิด การให้กำเนิดชีวิตเป็นการให้กำเนิดโลกเลย ถึงขนาดสร้างโลกได้ จะมีอำนาจอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีก"

เถรี
20-06-2012, 12:32
ถาม : เรื่องอยู่ยงคงกระพัน มีจริงไหมครับ หรือว่าแค่เขาเชื่อกันเฉย ๆ ?
ตอบ : ไม่ใช่ความเชื่อ เป็นความจริง แต่ว่าความจริงนั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุและผล เหตุก็คือ สิ่งที่เรายึดมั่นเพื่อให้คงกระพัน อย่างเช่น วัตถุมงคล รอยสัก คาถาอาคม หรือว่านยา ประการที่ ๒ สิ่งที่จะต้องเข้ามารองรับ ก็คือ กำลังใจของเรา ถ้าหากว่าสองอย่างไม่ประสานกันก็แหว่ง..!

ในเมื่อมีเหตุแล้ว จิตของเราจะต้องเปิดรับ ถ้าไม่เปิดรับ ปราศจากความเชื่อ หรือขาดความมั่นใจ ก็ไม่สามารถที่จะคงกระพันกับใครได้ เพราะใจไม่เอาด้วย

เถรี
20-06-2012, 12:58
พระอาจารย์เล่าว่า "คุณยายหยาด ใจมั่น เป็นอัมพาต ก่อนที่จะป่วยเป็นอัมพาต คุณยายจะใส่บาตรทุกวัน คราวนี้พอป่วยแล้วอยากใส่บาตรแต่ขยับไม่ได้ ได้แต่นั่งมองพระอยู่ทุกวัน อาตมาก็เลยบอกว่า “ยาย..ถ้าอยากใส่บาตรต้องพยายามขยับให้ได้ ไม่อย่างนั้นใส่ไม่ได้หรอก” ด้วยความมุ่งมั่น ยายก็พยายามขยับจนได้ แต่เวลาตักข้าวก็หกบ้างหล่นบ้างตามธรรมดา จนกระทั่งสามารถที่จะใส่บาตรได้สะดวก

เวลาทางวัดมีงานอะไรอาตมาก็จะบอกกับยายทุกครั้ง "ตอนนี้บวชพระ ๒ รูปนะ ยายโมทนาด้วย" "วันนี้เขาปฏิบัติธรรมกัน มีคนมาร่วมปฏิบัติธรรม ๒๐๐ คน" ยายเขาก็สาธุไปเรื่อย แล้วยายก็บ่นว่าไม่ได้เห็นวัดนานแล้ว ก็เลยบอกให้ลูกเขาเข็นยายไปวัดหน่อย พอเข็นยายไปวัด ยายบอกจำวัดไม่ได้ เพราะวัดท่าขนุนที่ยายเคยเห็นไม่ใช่แบบนี้

พออาตมาเข้าไปอยู่วัดท่าขนุนแล้ว ก็ไปปรับปรุงวัด ทำเอาคนไม่เคยชิน พอไปแล้วหาทางเข้าวัดไม่ถูก เพราะก่อนหน้านี้ทางเข้าวัดอยู่ตรงหน้าโบสถ์ ตอนปรับปรุงใหม่ ๆ ก็ขุดหลุมปลูกต้นไม้ขวางไว้ ด้วยความเคยชิน รถวิ่งไปถึงก็เลี้ยวเข้าตรงหน้าโบสถ์ก็เลยตกหลุม ก็แสดงว่า ความเคยชินของคนก็ยังคงเหมือนเดิม จนกว่าจะปรับได้ จึงเลี้ยวตามทางใหม่ที่ทำไว้ให้

ตอนนี้คุณยายหยาดตายแล้ว เมื่อวานเย็นครูพนอลูกสาวยายโทรมาบอก วันนี้จะรดน้ำศพ เดี๋ยวพรุ่งนี้อาตมากลับไปก็น่าจะทันงานเขาพอดี"

เถรี
20-06-2012, 13:06
ถาม : คนเราเปลี่ยนแปลงได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..เพียงแต่ยากหน่อย

ถาม : และอะไรเป็นปัจจัยให้เปลี่ยน ?
ตอบ : อันดับแรก..ความตั้งใจอยากจะเปลี่ยน อาจจะเบื่อตัวเองก็ได้ อันดับที่สอง...อาจจะเห็นทุกข์เห็นโทษว่า สิ่งที่ตัวเองเคยเป็นอยู่นั้นไม่ดี ก็อยากจะปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น อันดับต่อไป..มีการพัฒนากาย วาจา ใจ ไปในทางที่ดี สภาพจิตที่เข้าถึงความดีมากขึ้น เกิดความอ่อนน้อมถ่อมตน เปลี่ยนแปลงตัวเองไป อย่างที่เขาเรียกว่าพลิกฟ้าเป็นดิน หรือพลิกดินเป็นฟ้า อะไรทำนองนั้น

ถาม : ธรรมนิยามมีส่วนในลักษณะนิสัยของคน ๆ หนึ่งไหมคะ ?
ตอบ : มีทั้ง ๕ อย่างนั่นแหละ

ถาม : ถ้าทางจิตวิทยาเขาจะอธิบายว่า นิสัยคน ๆ หนึ่งเกิดจากธรรมชาติและการเรียนรู้ ?
ตอบ : ทั้งหมดของธรรมนิยาม ๕ นี่แหละคือธรรมชาติ ในส่วนของการเรียนรู้เพิ่มเติมเป็นประสบการณ์หลังเกิดแล้ว ทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นตัวก่อให้เกิด ภาษิตจีนเขาบอกว่า บุคคลอาชีพใด เอ่ยวาจามิเกิน ๓ ประโยค จะเข้าหาอาชีพของตัวเอง

เถรี
20-06-2012, 13:07
ถาม : บางทีเวลาหนูทำงานอยู่จะรู้สึกเซ็งไปหมด น่าเบื่อจะตาย แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ?
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่านิพพิทาญาณ นิพพิทาญาณเป็นของดี เพราะถ้าเราไม่เบื่อเราก็อยากเกิด ในเมื่อเราเบื่อ เราก็ต้องหาทางว่าต้องทำอย่างไรจะให้พ้นไปให้ได้ แล้วในที่สุดถ้าสติ สมาธิ ปัญญาสมบูรณ์พร้อม ก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราก็เจอแค่ชั่วเวลาครู่เดียวเท่านั้น ถ้าเปรียบกับวัฏสงสารที่ยาวไกลไม่สิ้นสุด ในเมื่อเป็นเพียงครู่เดียวทำไมเราจะทนไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นสังขารุเปกขาญาณแทน

เถรี
20-06-2012, 13:09
ถาม : ถ้าคน ๆ หนึ่งเกิดมามีลักษณะนิสัยเหมือนกับเรา เป็นไปได้ไหมคะ เพราะอะไรคะ ?
ตอบ : ได้..เพราะการสั่งสมบุญบาปในอดีต มีมาใกล้เคียงกัน

ถาม : ทั้ง ๆ ที่เราแยกกันอยู่ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน..อาจจะอยู่กันคนละมุมโลกก็ได้ เนื่องจากว่าการทำดีทำชั่วมีมาใกล้เคียงกัน ก็เลยส่งผลให้ออกมาใกล้เคียงกัน

เถรี
21-06-2012, 09:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่ารักลูกมากเกินไป เขาทำอะไรผิดลงโทษเขาด้วย ไม่อย่างนั้นเด็กจะไม่เอาเหตุเอาผล เอาแต่ใจตัวเอง ถ้าจะให้ดีบอกเขาก่อนว่าที่เขาทำเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ถูก ถ้าต่อไปถ้าทำอีกแม่จะตี

ถ้าเขาทำอีกก็บอกว่า "เตือนแล้วใช่ไหมว่า ถ้าทำผิดอย่างนี้อีกจะตี" ว่าแล้วก็ฟาดเลย เด็กเขารู้เหตุผล แต่ความจำเขาสั้น ต้องย้ำบ่อย ๆ ถ้าเราตีอย่างไม่มีเหตุผลแล้วเขาจะดื้อ"

เถรี
21-06-2012, 09:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นหรือเปล่าว่าดินฟ้าอากาศไม่เคยโกหก เมื่อเช้าบอกว่าสภาพแดดอย่างนี้ฝนจะตกตอนบ่าย นี่ฟ้ามืดมาแล้ว ถึงได้บอกว่าโบราณเขาดูเป็น มองฟ้ามองดินแล้วบอกได้ว่าลมฟ้าจะเป็นอย่างไร สมัยนี้เขาแปลกใจว่าทำไมคนโบราณจึงดูออก เพราะเป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมา (ว่าแล้วฝนก็เทลงมา) เราต้องเชื่อ ไม่ใช่ความเป็นทิพย์ขอยืนยัน แต่เป็นประสบการณ์ที่มองด้วยสายตาก็รู้

ถ้าแดดอย่างเมื่อเช้าแล้ว ยิ่งฟ้าใส ๆ ด้วย ฝนตกฟ้าถล่มดินทลายเลย นั่นเป็นลักษณะของไอน้ำที่ลอยขึ้นแล้วสะท้อนแสงแดดกลับมาอีกที แดดจะจัดเป็นพิเศษ สามารถอธิบายเป็นหลักวิทยาศาสตร์ได้ เพียงแต่คนไม่รู้ว่าแดดฝนหน้าตาเป็นอย่างนี้

เกณฑ์ธาราธิคุณปีนี้น้ำน้อย ลมแรง แต่เราต้องไปนึกถึงสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ท่านสุบินว่าพ่อครัวหุงข้าว แล้วข้าวในหม้อมีทั้งดิบ มีทั้งแฉะ มีทั้งสุก พอทูลถามพระพุทธเจ้าว่าหมายถึงอะไร ? พระองค์ท่านพยากรณ์ว่า ต่อไปภายหน้าดินฟ้าจะแปรปรวน สถานที่แห่งเดียวกัน มีทั้งแล้ง มีทั้งน้ำท่วม มีทั้งน้ำบริบูรณ์พอดี รู้สึกว่าอะไร ๆ ที่พระองค์ท่านสุบินนิมิตไว้ จะมาเกิดในสมัยนี้แทบทั้งนั้น"

เถรี
21-06-2012, 10:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าผู้สูงอายุทำตัวเป็นคนใจเย็นนี่อยู่ได้เป็นร้อยปีเลย เพราะว่าเวลาเราโกรธพลังชีวิตจะเสียไปมาก เราจะเห็นว่าคนขี้โกรธหน้าตาเขาจะแก่เร็ว ดังนั้น..ถ้าทำตัวเป็นคนใจเย็นนี่อยู่ได้เป็นร้อยปีเลย"

เถรี
21-06-2012, 10:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่วัดมีการโกนหัวนาคตอนบ่ายโมง ต่อมาเวลาทุ่มครึ่งมีเทศน์สอนนาคและมอบผ้าไตร แต่อาตมาไม่อยู่ จึงมอบหมายงานให้พระรับผิดชอบกันไป อาตมาเองพยายามจัดระบบของวัดให้อยู่ในระบบที่ว่า "ถ้าไม่มีเรา เขาต้องอยู่ได้" ดังนั้น..ในเรื่องของการควบคุมบังคับบัญชาก็จะไปตามลำดับชั้น ลักษณะเหมือนกับหน่วยทหาร แต่ยังไม่สามารถฝึกได้แบบหน่วยทหาร

หน่วยทหารจะฝึกผู้นำหน่วยให้รับผิดชอบสูงกว่าตำแหน่งตนเอง ๒ ชั้น อย่างเช่น ถ้าเป็นผู้บังคับหมู่ ก็ต้องทำหน้าที่หัวหน้าตอนได้ และทำหน้าที่ผู้บังคับหมวดได้ ถ้าเป็นผู้บังคับหมวดต้องทำหน้าที่ผู้บังคับกองร้อยและรองผู้บังคับกองพันได้ เพราะฉะนั้น..แม้แต่พลทหาร ถ้าจำเป็นก็ต้องทำหน้าที่ผู้บังคับหมู่ได้

เพียงแต่ว่าเราเป็นพระเป็นเณร ถ้าเข้มงวดขนาดนั้นเดี๋ยวมีรายการโวยกัน ขนาดนั้นยังมีหลวงตาแก่ ๆ โวยพระครูปลัดปรีชามาแล้วว่า “ผมมาบวชพระนะ ผมไม่ได้มาฝึกทหาร” เขายังไม่รู้ว่าถ้าอาจารย์ฝึกเองจะโหดกว่านั้นอีก นั่นแค่ลูกศิษย์ช่วยฝึกให้

ตอนนี้นาค ๑๕ ท่าน หายไป ๑ ท่านแล้ว จำไว้ว่าการเข้าไปบวช เราต้องเปลี่ยนเพศภาวะของตนเอง เปลี่ยนกฎกติกาในการดำเนินชีวิต ก็คือนอกจากเปลี่ยนเครื่องแบบแล้วยังต้องเปลี่ยนกติกาด้วย ในเมื่อคุณไม่พยายามทำตามกติกาใหม่ ก็แปลว่าจะผิดพลาดเมื่อใดก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สมควรที่จะบวช"

เถรี
21-06-2012, 10:19
"สำหรับวัดท่าขนุนแล้วไม่แปลก ที่นาคมักโดนไล่ออกทั้งที่ยังไม่ทันได้บวช บางท่านไม่ทันจะขานนาคได้ก็โดนไล่ไปแล้ว เล่นมานอนวัดกระดิกเท้าเปิดเพลงฟังเพลิดเพลินเจริญใจ แถมยังเปิดเผื่อแผ่ห้องข้าง ๆ ด้วย ก็เลยเชิญกลับบ้านไป ให้ไปฟังที่บ้านให้พอ..!

ตอนแรก ๆ ที่อาตมาเข้มงวด หลวงพ่อวัดท่ามะขาม ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ ท่านบอกอาตมาว่า “ระวังจะต้องอยู่คนเดียว” อาตมาก็กราบเรียนท่านไปว่า "ผมอยู่คนเดียวมาบ่อยแล้ว ไม่กลัวหรอกครับ" แต่ปรากฏว่าพอเข้มงวดเข้า เขาก็เอาลูกมาบวชกันใหญ่ ตัวลูกไม่ได้อยากบวชวัดท่าขนุนหรอก แต่พ่อแม่บังคับให้มาบวช ยกเว้นบางคนที่ไม่เอาไหนจริง ๆ ต้องไปบวชที่อื่น คือลูกเกเรจนพ่อแม่เอาไม่อยู่ ถ้ามาอยู่กับอาตมาต้องโดนไล่ออกอย่างแน่นอน ก็เลยบอกพ่อแม่เขาไปว่าเอาไปบวชที่อื่นเถอะ ถ้าโดนไล่ออกจะเสียมากกว่านี้

ตอนนี้ทางวัดท่าขนุนก็เลยแบกรับข้อหาใหม่ ๆ เยอะแยะ ตอนที่พวกเราปฏิบัติธรรมอยู่ เขาแห่นาคมาเพื่อกราบขอขมาหลวงปู่สายแล้วจะไปบวช พวกเรากำลังนั่งกรรมฐานกันอยู่เต็มศาลา อาตมาก็เลยลงไปขอเขาว่าให้หยุดเรื่องดนตรีไว้ก่อน กราบขอขมาหลวงปู่เสร็จ ไปพ้นวัดแล้วจะใส่กันเต็มที่แค่ไหนก็ได้ เขาก็ไปลือกันว่าวัดท่าขนุนเดี๋ยวนี้กระทั่งแห่นาคก็ไม่ให้แห่แล้ว

นอกจากนี้ก็มีประเภทลูกเจ้าพ่อเจ้าแม่ มาแล้วไม่ทำตามกฎวัดก็เลยเชิญเขาอยู่ที่อื่น เขาก็โวยวายว่าปู่ย่าตาทวดเขาก็มาบวชวัดนี้ ทำไมมาถึงรุ่นเขาแล้วถึงบวชไม่ได้ เดี๋ยวก็จะมีข้อหาใหม่ เพราะไม่กี่วันที่ผ่านมาจัดประชุมกรรมการวัดเพื่อเตรียมงานฉลองพัดยศ ปรากฏว่ากรรมการวัดท่านหนึ่งบอกว่าอยากให้ไปจัดที่เทศบาลบ้าง เพราะว่าประชุมที่วัดอย่างเดียวไม่มีอะไรแปลกใหม่ พอไปจัดประชุมที่นั่นอาตมาจึงบอกกับพวกเขาว่า ต่อไปเขาก็จะไปลือกันว่า เดี๋ยวนี้กระทั่งกรรมการวัด อาจารย์เล็กก็ไม่ยอมให้เข้าวัดแล้ว ขนาดประชุมยังต้องไปประชุมที่เทศบาลเลย..!"

เถรี
21-06-2012, 10:25
"เรื่องพวกนี้เราต้องทำใจว่า อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา เก็บเอามาคิดก็เปลืองสมองเปล่า เขาพูดจบเราก็กองไว้ตรงนั้นแหละ เขาไม่เหนื่อยก็ให้เขาพูดต่อไป เหนื่อยเมื่อไรเขาก็เลิกไปเอง ไม่อย่างนั้นถ้าเรามัวแต่เอาคำพูดคนอื่นมาเป็นอารมณ์ จะเสียเวลาเปล่า ๆ

เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนพอใจได้หรอก แต่เราต้องทำให้คนส่วนใหญ่พอใจให้ได้ ในเมื่อส่วนใหญ่เขาเห็นว่าการเข้มงวดเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เราก็ต้องทำอย่างนั้น ต่อให้เขาไม่เห็นด้วย อาตมาก็ต้องทำ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีพระเณรที่ชาวบ้านไหว้ได้เต็มไม้เต็มมือ

มีภาพที่เขาเจอมาแล้วแต่พวกเขายังไม่รู้สึกตัวกัน ก็คือเวลาเดินบิณฑบาต พอวัดอื่นเดินมาชาวบ้านเขายกขันข้าวหนี หันหลังให้เลย พอพระวัดท่าขนุนบิณฑบาตไปเขาถึงใส่ โดนขนาดนั้นเขาก็น่าจะสำนึกตัวได้แล้ว แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะว่าผู้นำเขาไม่เด็ดขาด โดยเฉพาะตัวเองไม่เคยออกบิณฑบาตเลย

ชาวบ้านเขาอยากรู้ว่าอาตมาอยู่วัดหรือไม่ก็ดูตอนบิณฑบาต ถ้าพระอาจารย์อยู่วัดก็จะเห็นว่าออกบิณฑบาต แต่อาตมาก็บอกเขาว่าไม่แน่หรอก ออกบิณฑบาตก็จริง แต่ฉันเสร็จแล้วไปจากวัดก็มี เพราะฉะนั้น..ถ้าจะมาหาตอนหลังเพลยังไม่แน่หรอก บางทีหายไปจากวัดแต่เช้าแล้ว"

เถรี
22-06-2012, 10:49
มีโยมที่สั่งจองวัตถุมงคลไว้แล้วไม่ยอมมารับ ทิ้งไว้ครึ่งค่อนปี จนทีมงานที่สร้างวัตถุมงคลต้องถวายวัตถุมงคลนั้นแด่พระอาจารย์

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติอาตมาทำอะไรตรงไปตรงมา บอกอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าผิดกติกานี่ไม่ต้องมาอ้อนตีนเลย..! เรื่องของกฎระเบียบต้องตรงไปตรงมา ถ้าไป ๒ มาตรฐานก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลที่แล้ว..!

ชาวบ้านแถววัดเขาร่ำลืออยู่อย่างหนึ่งว่า อาตมาตรงไปตรงมาจนน่าเกลียด เพราะเขาไม่เคยชินกับกติกา ที่สำคัญก็คือ ถ้าผิดอาตมาไม่เคยปล่อยใครให้ลอยนวล โดยเฉพาะถ้าเป็นญาติพี่น้องตัวเองนี่จะโดนก่อนเพื่อน ถ้าคนของเราแล้วเราเอาไม่อยู่ เราไปควบคุมคนอื่นเขาไม่ได้หรอก เพราะตัวอย่างมี ดังนั้นถ้าเป็นญาติเป็นโยม เป็นพี่เป็นน้องกันต้องใส่ให้หนัก เวลาคนอื่นทำผิด ถ้าคนของเราทำต้องถือว่าผิดหลายเท่า

ด้วยความที่ตรงไปตรงมาก็ทำให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งไม่ค่อยชอบใจ ออกปากว่าจะไม่มาทำบุญวัดนี้อีกแล้ว อาตมาบอกว่าดี เพราะปกติโยมก็ไม่ได้โผล่หัวมาให้เห็นอยู่แล้ว มีปัญหาเมื่อไรคุณถึงมาวัด เพราะฉะนั้นไม่มาได้อาตมาก็สบาย เขาเข้าวัดสมัยเขาบวช แล้วเขามาเข้าวัดอีกทีตอนลูกเขาบวช ถ้าพระต้องรอการอนุเคราะห์จากเขาก็ตายหมดวัดแล้ว เพราะฉะนั้น..ต่อให้คุณมาทำบุญทุกวัน แต่ถ้าคุณฝืนระเบียบก็โดนเท่ากัน ไม่ใช่ว่ามาอุปถัมภ์อุปัฏฐากวัดแล้วจะมีสิทธิพิเศษ

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยสอนเอาไว้ว่า “ตอนดีส่วนดี ถ้าตอนไม่ดีก็ว่ากันไปตามระเบียบ” ในเมื่อกติกาประกาศเป็นสากลก็แปลว่ารู้กันทั่วแล้ว ถึงเวลาเขาผ่อนผันให้คนหนึ่ง คนอื่นที่เหลือก็จะมองหน้า ว่าทำไมเขาเองไม่ได้รับการผ่อนผันด้วย ต่อไปก็ไม่สามารถที่จะปกครองใครได้ สมัยแรก ๆ ก็มีพระเณรหลายรูปถือว่าทำประโยชน์ให้กับวัดมาก เคยช่วยงานวัดแบบทุ่มเทมาก่อน แต่พอมาถึงรุ่นของอาตมาแล้วก็โดนเชิญออกจากวัดไป เขาก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำประโยชน์ให้วัดขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไม่ผ่อนผันให้ ก็บอกว่าทำประโยชน์เป็นส่วนบุญของคุณ แต่ทำผิดต้องลงโทษกันตามระเบียบ

ฉะนั้น..ญาติโยมที่มาวัด บางคนยังไม่เจอหน้ายักษ์ของอาตมา เจอแต่หน้าพระ เขาก็ไปเที่ยวคุยกันว่าไหนว่าหลวงพ่อดุ..? ช่วยไปให้ถูกจังหวะหน่อยเดี๋ยวได้โดนแน่นอน..!"

เถรี
22-06-2012, 11:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้วัดท่าขนุนมีงานใหญ่ ๒ งาน ญาติโยมหลายท่านต้องเลือกว่าจะไปงานไหน ยกเว้นว่าใครมีกำลังพอจะไปได้ทุกงานก็ว่าไปอย่างหนึ่ง ในเรื่องของการบุญการกุศล อย่าให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อนเป็นดีที่สุด อย่าบ้าขนาดอาตมา สมัยก่อนนี่วัดท่าซุงมีกี่งานอาตมาไปหมด ทำบุญแค่หมดกระเป๋า แล้วก็ยืมแม่ค้าหน้าวัดกลับ ถึงเวลางานต่อไปก็รีบไปคืนเขา ฉะนั้น..ถ้าอยากเป็นคนน่าเชื่อถือ ยืมใครแล้วได้ ก็ต้องรีบคืนให้เร็วที่สุด บางทีเขาก็บอกว่ารีบคืนทำไม เพิ่งจะไม่กี่วันเอง ?

อาตมาเป็นคนที่เงินหมดไม่จริง เพราะจะมีเงินฉุกเฉินติดตัวอยู่ตลอด สมัยนั้นธนบัตรใบใหญ่ที่สุดก็คือ ๕๐๐ บาท จะมีใบละ ๕๐๐ สองใบพับเล็ก ๆ ใส่ไว้ในกรอบพระ เป็นกรอบพระสเตนเลส พับใส่ไว้ข้างหลัง องค์พระอยู่ข้างหน้า ไม่มีใครอยากได้พระ เพราะว่าไม่ใช่พระเก่า เป็นพระใหม่ สมัยนั้นเงินหนึ่งพันบาทไปอยู่สุดเหนือสุดใต้ก็กลับบ้านได้แน่นอน ถ้าฉุกเฉินขึ้นมาค่อยงัดขึ้นมาใช้ กลับถึงบ้านเมื่อไรก็รีบใส่คืนไป ใครจะเอาวิธีนี้ไปใช้บ้างก็ได้

แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็จะมีเงินฉุกเฉินติดตัวอยู่ ถ้าหมดจริง ๆ ก็จะเอาเงินฉุกเฉินขึ้นมาใช้ เป็นส่วนสำรอง เขาเรียกว่าไม้ตายสุดท้าย พูดง่าย ๆ ว่า ต่อให้โดนปล้น โจรก็คงไม่อยากได้สร้อยสเตนเลสกับพระใหม่ ๆ หรอก ถึงเขาเอาเราไปทิ้งไว้กลางทางเราก็กลับบ้านได้

ส่วนนี้ได้มาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าสมัยที่ท่านบวชอยู่ ท่านจะมีเงินติดย่ามอยู่ ๒๐๐ บาทเป็นปกติ แปลว่าฉุกเฉินอะไรขึ้นมาท่านขึ้นรถขึ้นเรือที่ไหนก็ได้เลย อาตมาลองมาบวกลบคูณหารดูแล้ว สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวสองชาม ๕ สตางค์ เงินจำนวนนั้นจะอยู่ที่ประมาณแปดแสนบาท เพราะฉะนั้น..มาถึงสมัยนี้ ได้โปรดอย่าพกเงินถึงแปดแสนบาท เดี๋ยวเดือดร้อนตำรวจ ติดตัวไว้สักสองพันบาทก็ได้ ถือว่าเป็นธนบัตร ๒ ใบ พับเล็ก ๆ ซุกไว้ที่ไหนก็ได้ แต่ตอนซักผ้าต้องจำให้ได้นะ จำไม่ได้เผลอไปซักเข้าก็เยินหมด"

เถรี
22-06-2012, 11:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเรียนบาลีสมัยนี้ เขาเรียนปทรูปสิทธิหรือบาลีไวยากรณ์ชั้นสูง ซึ่งเป็นแค่มุมเดียวของมูลกัจจายน์ แล้วลองคิดดูว่ารุ่นหลวงปู่ รุ่นหลวงพ่อเราเรียนมูลกัจจายน์ทั้งนั้น รุ่นเราเรียนแค่มุมเดียวนะ แสดงว่าปัญญาของคนทรามลงจริง ๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้

สมัยก่อนเขาเรียนมูลกัจจายน์กันสนุกสนาน สมัยของเราขนาดธรรมบท ๘ ภาค ยังเหลือแค่ ๔ ภาค แต่พม่าเขาท่องหมด อย่างวัดจองคำที่ลำปางก็เอาแบบพม่าชัด ๆ เลย ท่องให้ได้ทุกคำไว้ก่อน ถึงเวลาตอบได้แน่นอน

ตอนที่ พระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ไปพม่า แล้วก็คงอยากจะอวดประโยคความรู้ตัวเอง ก็ไปถามอาจารย์ใหญ่ที่นั่นว่า “คำนี้ ความหมายที่แท้จริงควรจะเป็นอะไร ?” อาจารย์เขากวักมือเรียกเณรที่กำลังประเคนน้ำว่า "ช่วยอธิบายให้อาจารย์จากเมืองไทยฟังทีซิ" โห..ขายหน้าไป ๓ ประเทศเลย ประโยค ๙ จากเมืองไทยต้องไปฟังเณรจากพม่าอธิบายให้ฟัง..!

ที่พม่าเขาเรียนลึกกว่าเราเยอะ พอถึงระดับบาลีปารคูนี่เขาใช้ภาษาบาลีเป็นการสนทนาในชีวิตประจำวัน บาลีปารคูนี่แปลว่าผู้ถึงฝั่งแห่งบาลี ขึ้นฝั่งได้แล้วก็ไปเรื่อยแหละ"

เถรี
24-06-2012, 10:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่พม่าพอจบประโยค ๘ เทียบเท่าประโยค ๙ ของเรา เขาจะมีบาลีปารคู ใช้บาลีในการสนทนาประจำวัน คุยกันด้วยภาษาบาลี อาจารย์ใหญ่ยานิกะพูดมาเป็นชุด ๆ อาตมาฟังแทบไม่ทัน ท่านพูดอังกฤษมาอาตมาฟังไม่ทัน ท่านพูดภาษาพม่าอาตมาก็ฟังไม่ได้ แต่พอท่านพูดภาษาบาลีมา พอจะฟังได้บางส่วน ท่านจึงพูดภาษาบาลีเป็นหลักเลย

ท่านมาขอไม้เก่า เสาเก่า ที่รื้อศาลาวัดหนองบัวไป เอาไปทำศาลาการเปรียญของท่าน อาตมาเรียนท่านว่า ทำไมไม่ขอจากลูกศิษย์ เพราะลูกศิษย์ของท่านคือครูบาเมียงจีงู เป็นที่เคารพนับถือของทหารทั่วประเทศ ถ้าครูบาใหญ่เอ่ยปากคำเดียว ทหารคงขนมาถวายถึงวัดเลย

ท่านบอกว่า ไม่แน่ใจว่าไม้พวกนั้นเสียภาษีถูกต้องหรือเปล่า ? กลัวโดนอาบัติปาราชิก ท่านบอกว่าจะสร้างศาลาปฏิบัติธรรมเพราะท่านปฏิบัติแล้วเห็นประโยชน์ และตั้งใจว่าชีวิตนี้จะเอาความเป็นโสดาบันให้ได้ ฉะนั้น..ต้องรักษาศีลให้มากไว้ ถึงลูกศิษย์เป็นใหญ่เป็นโตท่านก็ไม่ไปเอา มาขอไม้เก่า ๆ ของอาตมาไปทำ สบายใจกว่า"

ถาม : ไม่พร่องศีลแม้แต่นิดเดียว การเป็นพระโสดาบันก็มีใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ายังละเมิดศีลแปลว่าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ในเมื่อเราไม่เชื่อ ก็แปลว่าเรายังไม่เคารพท่านจริง กติกาข้อแรกยังไม่ได้เลย

ถาม : เพราะความชั่วมีมากกว่า
ตอบ : ก็เพราะความชั่วมีมากกว่าก็เลยไปเชื่อกิเลส แทนที่จะเชื่อพระพุทธเจ้า

เวลาเห็นท่านที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย รู้สึกว่าอยากสนับสนุนท่าน ท่านเองก็ไปลูบ ๆ คลำ ๆ พระแก้วมรกตหน้าตัก ๓๐ นิ้ว "ถ้าได้ที่วัดผมสักองค์จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง" แหม..ไม่ได้ขนไปง่าย ๆ นะหลวงพ่อ

เถรี
24-06-2012, 10:53
ถาม : ชาติที่แล้วได้พระโสดาบัน คนเป็นพระโสดาบันจะมาเกิดอีกไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : เกิด

ถาม : ถ้าชาติใหม่ เขาจะเข้าใจไหมว่าเขาเป็น ?
ตอบ : เป็นโดยอัตโนมัติ

ถาม : มีโอกาสศีลบกพร่องไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี..ตัวตายก็ไม่ยอมให้ศีลขาด ไม่รู้ว่าทำไม ? แต่ต้องทำอย่างนั้น

ถาม : มีเหตุผลไหมคะ ?
ตอบ : มี..แต่ไม่รู้เหตุผล (หัวเราะ)

เถรี
24-06-2012, 13:23
ถาม : พุทธภูมิเขามีโอกาสผิดศีล...?
ตอบ : พระโพธิสัตว์เมื่อปฏิบัติไปถึงช่วงท้าย ๆ แล้ว อารมณ์ใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า ท่านจะไม่ยอมผิดศีลเลย เพราะถ้าอารมณ์ไม่เทียบเท่าพระอริยเจ้า ไม่รู้อารมณ์ตรงนั้น แล้วท่านจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร ? นอกจากท่านจะรู้แล้ว ยังรู้ละเอียดกว่าหลายเท่า

แบบเดียวกับที่พระโพธิสัตว์เป็นชายตัดฟืน จะไปเก็บดอกบัวในสระ ผีเสื้อน้ำบอกว่าพระโพธิสัตว์ขโมย ท่านบอกว่าคนอื่นเก็บได้ แล้วทำไมท่านเก็บถึงบอกว่าเป็นขโมย ผีเสื้อน้ำบอกว่าคนอื่นเป็นชาวบ้านทั่วไป เก็บได้ไม่มีความผิด แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระโพธิญาณ จะไปเป็นครูสอนคนอื่นเขา ถ้าใจไม่ละเอียดพอแล้วจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร ? ฉะนั้น..สิ่งที่คนอื่นถือเอา โดยปกติถือว่าไม่ผิด ส่วนท่านถือเอานั้นผิด

ผีเสื้อน้ำถือว่าเขาเป็นเจ้าของสระ เก็บดอกไม้ในสระเขาถือว่าคุณขโมยของเขา แต่ชาวบ้านทั่วไปเก็บได้

ถาม : ผีเสื้อน้ำเป็นยักษ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็เป็นพวกยักษ์ประเภทหนึ่ง แต่อยากจะบอกว่าเป็นอสุรกายด้วยซ้ำไป

เถรี
24-06-2012, 13:29
ถาม : มีหลานพิการทางสมอง เคยพาเขาไปบ้านอนุสาวรีย์ ตอนหลังไม่ค่อยพามา หลังจากเขานอนที่โรงพยาบาล ตัวเขาใหญ่ขึ้น เลือดออกในกระเพาะ ถ้าเขาไม่สะดวกมาที่นี่ ควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : หาเทปเสียงพระสวดเปิดให้เขาฟัง ยิ่งเสียงสวดทิเบตยิ่งดี เนื่องจากมีเสียงไพเราะ อย่างน้อย ๆ ก็ให้ใจเขาเกาะความดีไว้

เถรี
25-06-2012, 09:16
ถาม : น้องชายดูแลงานจนเป็นหนี้เยอะแยะเลย แล้วทำหอพัก... (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ไม่ใช่ดวงไม่ดีหรอก ทำงานเราต้องทุ่มเทด้วยตัวเอง คนอื่นเขาไม่มีสำนึกความเป็นเจ้าของ ถ้าเราไปไว้วางใจให้คนอื่นทำ เขาก็สักแต่ว่าทำไปวัน ๆ ในเมื่อเขาไม่ทุ่มเท ผลก็ออกมาก็ไม่ดีเหมือนกับเรา เพราะฉะนั้น..ถ้ารักที่จะทำงานก็ต้องยอมเหนื่อยเอง ไม่อย่างนั้นต่อให้ดวงดีขนาดไหนก็เจ๊ง..!

เข้าใจคำว่าสำนึกความเป็นเจ้าของไหม ? ต่อให้เราจ้างคนอื่นแพงแค่ไหน เขาก็ไม่ใช่เจ้าของ เขาทำเพื่อค่าแรงเท่านั้น ไม่ได้ทำให้งานเจริญขึ้น ฉะนั้น..ต้องยอมเหนื่อยโดดลงไปบริหารเอง

ถาม : ทำหอพัก...(ไม่ชัด) ?
ตอบ : ต้องประเภทนั้นแหละ ถ้าเรื่องการทำหอพักต้องหน้าด้านและใจดำ บางทีพวกที่มาเช่านิสัยแสบสุด ๆ เยอะแยะเลย ประเภทผลัดแล้วผลัดอีก ขนาดฟ้องศาลไล่แล้วยังไม่ไปเลย ต้องรอคำสั่งศาลมาถึงก่อน มีจริง ๆ นะจะบอกให้ พวกนี้เขี้ยวยาวลากดินทั้งนั้น

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องหัดให้เป็น ไม่มีใครเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอก บอกแล้วว่างานทุกอย่างถ้าเราทุ่มเทได้ผลทั้งนั้น สำคัญอยู่ที่เราต้องยอมเหนื่อยเอง ลักษณะเหมือนกับเราไม่ไว้ใจคนอื่น แต่ไม่ใช่หรอก..คนอื่นเขาไม่ทุ่มเทเท่ากับเราต่างหาก

ถาม : การเงินที่มีปัญหา คาถาเงินล้านช่วยได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ช่วยได้เต็ม ๆ เลย เพียงแต่ว่าเราทำจริงหรือเปล่า ?

ถาม : กี่จบคะ ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ สัก ๑๐๘ จบ ภาวนาแทนคำภาวนาอื่น ๆ ไม่ใช่ว่าสักแต่ท่อง ๆ ให้จบนะ จับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาไปด้วย ทำให้มีคุณภาพผลจึงจะเกิด ไม่ใช่ว่าเร่งให้จบ ๆ ไปแล้วก็มาว่าเราทำ ประเภทเขี่ย ๆ ไปไม่ถือว่าเป็นผลงานหรอก ต้องบรรจงปั้นกันเลย

เถรี
25-06-2012, 09:31
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่ต่างประเทศมีครอบครัวหนึ่ง เขาทำวิจัยว่าเหตุที่จะเกิดอย่างครอบครัวนี้มีประมาณ ๑ ในล้าน ก็คือ ครอบครัวนี้มีลูกแฝด ๓ คู่ คู่ที่ ๑ เกิดวันเดือนปีนี้ คู่ที่ ๒ เกิดวันและเดือนเหมือนคู่แรก แต่เป็นอีกปีหนึ่ง คู่ที่ ๓ เกิดวันเดือนเหมือนสองคู่แรกแต่เป็นอีกปีหนึ่ง เป็นแฝด ๓ คู่ไม่พอ ยังเกิดวันเดือนเดียวกันหมดเลย ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดแต่ก็เกิด

แต่อย่าเหมือนท่านกอล์ฟนะ ท่านกอล์ฟไปหลอกเพื่อน ก็คือ มหาเคเกิดวันเสาร์ พี่สาวก็เกิดวันเสาร์ อีกคนก็เกิดวันเสาร์ ท่านกอล์ฟเลยไปหลอกเพื่อนว่า ความจริงมหาเคจะเกิดวันศุกร์ แต่แม่เขาอั้นไว้ จะได้เหมือนพี่น้อง เพื่อนเขาก็ดันเชื่ออีก ถ้าอั้นได้ก็ดีสิ"

ถาม : เรารู้สึกว่า ทำอะไรไม่ดีกับพ่อแม่ไว้ เป็นเหตุให้การงานเราไม่ดีใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจะมีก็คือกำลังใจเราไม่ดี ถ้ากำลังใจดีอะไร ๆ ก็ดีหมด ถ้าหากว่าพ่อแม่ยังอยู่ก็ไปกราบขอขมาท่านเสีย กำลังใจเราจะได้ปลดจากจุดนั้นมา ถ้าท่านไม่อยู่ก็ตั้งใจทำบุญไปให้ ขอพ่อแม่อโหสิกรรมให้ลูกด้วย

ส่วนใหญ่ที่ไม่ดีคือเราคิดว่าไม่ดี พอเราไปคิดว่าไม่ดี ๆ ๆ ก็เท่ากับเราไปแช่งตัวเอง อย่าลืมว่ามโนมยา สำเร็จด้วยใจ เพราะฉะนั้น..ต่อไปให้เปลี่ยน อะไร ๆ ต้องดีหมด เขาเรียกว่าคิดบวก

เถรี
25-06-2012, 10:13
ถาม : เมื่อประมาณสองเดือนที่แล้ว ผมไปผ่าตัดเพราะว่าเป็นมะเร็งที่ตับ ตอนนั้นผมจับกายคตา และจับภาพพระไว้ ตอนที่ดมยาสลบภาพพระก็อยู่ จนเราสลบภาพพระก็หายไป ถ้าบังเอิญตายตอนนั้นจริง ๆ จะได้ไปที่ดี ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : เราตั้งใจจะไปที่ไหน เราจะได้ไปที่นั่น เหมือนกับเราตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ล่วงหน้าไว้ ต่อให้ช่วงนั้นขาดสติก็ไม่เป็นไร

ถาม : วันนั้นเหมือนกับไม่ห่วงอะไร แต่พออาการดีขึ้น เราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ?
ตอบ : จะเห็นว่าช่วงฉุกเฉินในชีวิตของเรา ความรู้สึกตอนนั้นเราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราพร้อมที่จะไป ถ้ารู้จักสังเกตเราจะรู้ว่าต้นทุนที่เราสั่งสมมา ความจริงพอเพียงแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีเหตุก็รวมไม่ได้สักที เหมือนเราสะสมน้ำทีละหยด ๆ บางทีได้ครึ่งค่อนโอ่งแล้วแต่เราไม่รู้ จนกระทั่งมีเหตุให้ไปเปิดโอ่งดู เราถึงรู้ว่ามีน้ำตั้งเยอะ

ดังนั้น..สำหรับนักปฏิบัติแล้วถึงบอกว่าการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นการทดสอบที่ดีที่สุด เขาถึงได้ไม่กลัวเรื่องเจ็บเรื่องป่วยกัน เพราะเขาอยากจะรู้ว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไร โดยเฉพาะในตอนช่วงนั้นกำลังใจเราปล่อยวางได้จริงหรือไม่จริง จะรู้ชัดมากเลย

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นนักปฏิบัติเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เขาไม่ได้กลัวเลย เพราะวัดต้นทุนตัวเองได้

ถาม : บางครั้งผมเดินภาวนาคาถาเงินล้านหรือนะมะพะธะ บางทีรู้สึกเหมือนขาลอย ๆ หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม เป็นอาการอะไรครับ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เราต้องรู้จักสังเกตตัวเอง อาจจะสมาธิทรงตัวมากขึ้น แต่คราวนี้ว่าอยู่ในลักษณะปฐมฌานหยาบ จิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการทางร่ายกาย อาจมีลักษณะหน้ามืดหมดสติ แต่ถ้าหากว่าคุณนั่งอยู่ทุกอย่างจะรวมอยู่ข้างใน แต่คราวนี้คุณไปบังคับร่างกายให้เคลื่อนไหวด้วย ถึงเวลาตัวจะไป แต่ใจไม่ไปด้วย เพราะรวมไปแล้ว พอแยกออกจากกันก็เหมือนจะขาดสติไปเลย

ถาม : เราควรจะต้องอยู่กับการภาวนาให้มากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ทั้งวันยิ่งดี

เถรี
25-06-2012, 11:05
ถาม : มีครั้งหนึ่งท่านสอนผมว่า ให้มองทุกสิ่งทุกอย่างเสื่อมสลาย ไม่ควรยึดถือมั่นหมาย วิธีนี้จะใช้คู่กับคาถาเงินล้านได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช้ได้ ท่องจบก็สลายหมด แล้วก็เริ่มต้นท่องใหม่ เห็นไหมว่าไม่เที่ยง ขณะที่ท่องอยู่ก็ทุกข์ด้วย เห็นชัด ๆ อยู่เลย

เถรี
25-06-2012, 11:19
ถาม : คำว่า "ร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย" เราภาวนาท่องไปจะได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ภาวนาเป็นสมถะ เห็นจริงเป็นวิปัสสนา สามารถท่องได้ หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม ท่านบอก "กลัวแล้ว..ไม่เอาแล้ว กลัวแล้ว..ไม่เอาแล้ว" เพราะท่านโดนพ่อปล่อยอยู่กลางศาลาวัดคนเดียวมืด ๆ กลัวไปกลัวมา กายข้างในหลุดออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ ท่านคิดอยู่อย่างเดียว "กลัวแล้ว..ไม่เอาแล้ว" จนกลายเป็นสมาธิ จิตหลุดออกไปทั้งตัวเลย

เพราะฉะนั้น..อะไรก็ได้ ถ้าทำให้ใจสงบได้ ได้ทั้งนั้น คำด่ายังใช้ได้เลย ลองไปถามหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ ท่านขึ้นกุฏิจุดธูปด่าไปสามบ้านแปดบ้านเมื่อไร ชาวบ้านจะหาบข้าวหาบผักมาให้เป็นหาบ ๆ เลย เพราะคาถาเป็นอย่างนั้น

สำนักของท่านสอนปริยัติธรรมเหมือนกัน พระเณรจึงมีจำนวนมาก พอเขามารายงานหลวงพ่อเรื่องว่า ข้าวสารไม่พอเลี้ยงพระเณรแล้ว ท่านก็ขึ้นกุฏิ จุดธูปด่าลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน เดี๋ยวชาวบ้านก็หาบของมาให้เป็นหาบ ๆ เลย

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเจอมาหลายครั้ง จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อเรื่องว่า ทำไมต้องด่าหยาบคายอย่างนั้นด้วย ? ท่านบอกว่า "ก็คาถาเป็นอย่างนั้นเองนี่หว่า" เรื่องคาถานี่ว่าไม่ได้นะ เพราะเขาต้องการความมั่นใจของเรา ดูว่าเรามีวิจิกิจฉา คือ สงสัยในครูบาอาจารย์หรือไม่ คาถาบางบทก็เป็นคำพูดตลก ๆ บางบทก็เป็นคำด่าหยาบ ๆ คาย ๆ แต่ถ้าเราเชื่อมั่นและน้อมจิตทำตาม ย่อมได้ผล

ลองไปถามคาถาเป่าตาแดง ของหลวงพ่อวัดพระพุทธบาทห้วยต้มดูสิ ห้ามหัวเราะด้วยนะ คาถานั้นตั้งใจให้หัวเราะ แต่ถ้าหัวเราะแล้วจะไม่ได้ผล

ถาม : แสดงว่าสมาธิต้องแน่วแน่ ?
ตอบ : ใช่..ต้องเชื่อจริง ๆ เชื่อชนิดทุ่มเทเลย ว่าคาถาห้ามหัวเราะเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเป่าตาแดงไม่หาย แล้วแหม..คาถาแต่ละคำ...

ถาม : คาถาว่าอะไรคะ ?
ตอบ : บอกไม่ได้ ไปศึกษาเอาเอง

เถรี
25-06-2012, 11:41
ถาม : เพื่อนคนหนึ่งในที่ทำงานนิสัยไม่ดี เขาชอบมาหยิบของของเพื่อนคนอื่นไปใช้ พอจับได้ว่าถูกสับเปลี่ยนของไป แล้วเขาให้เราเอาของชิ้นนั้นไปเปลี่ยนคืน ตรงนี้เราผิดหรือไม่คะ ?
ตอบ : จริง ๆ ไม่ผิด แต่ให้เขาจัดการเองดีกว่า ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคู่กรณีไปด้วย กลายเป็นว่าเราไปเดือดร้อนกับเรื่องของคนอื่นเขา เอาไฟมาเผาตัวเอง ต้องระมัดระวังด้วยจ้ะ

เถรี
25-06-2012, 11:45
ถาม : ผมอยากฝึกสมาธิครับ ทำอย่างไรครับ ? (เด็กผู้ชายถาม)
ตอบ : ที่เราทำนั่นแหละเป็นสมาธิแล้ว เพียงแต่ทำให้จริงจังสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวันก็พอ ที่เราไปนั่งหลับตานั่นคือสมาธิแล้ว แต่ให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงนี้ คิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไรก็ให้ดึงกลับมาตรงนี้ ทำทุกวัน

หายใจเข้าพุท..หายใจออกโธ นับ ๑ หายใจเข้าพุท..หายใจออกโธ นับ ๒ เอาให้ได้วันละ ๑๐๐ สมัยนี้ ๑๐๐ ไม่ค่อยพอกินแล้วนะ เพราะของมันแพงขึ้น ทำให้ได้ ๒๐๐ - ๓๐๐ ก็ได้ ให้ทำทุกวัน

เวลาเราทำสมาธิเหมือนว่ายทวนน้ำ ถ้าเราเลิกทำก็จะว่ายตามน้ำไป ฉะนั้น..ต้องว่ายทุกวันถึงจะไปได้เรื่อย ๆ ถ้าสมาธิดีเราจะเรียนเก่งด้วย เราเองนั่งสมาธิ ไปวัดก็ภาวนาเป็น แต่ไม่รู้ว่านั่นคือสมาธิ

เถรี
25-06-2012, 11:46
:4672615: เก็บตกเดือนนี้หมดแล้วค่ะ :4672615: