PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕


เถรี
15-05-2012, 17:05
พระอาจารย์กล่าวถึงการบวชของแม่ชีเคิ่ลว่า "แสดงว่าเขากำลังใจบ้าพอ จึงตัดสินใจบวช แบบเดียวกับสมัยที่อาตมาจะบวช พออายุครบ ๒๐ ปี แม่ก็รบเร้าเช้าเย็น "บวชทีเถอะลูก บวชให้แม่หน่อย" อาตมาก็กลัวลงนรก ไม่ยอมบวช ผลัดไปเรื่อย ๆ

พอถึงเวลาจะบวชขึ้นมา แม่ถามขึ้นมาว่า "ถ้าเอ็งบวช แล้วข้าจะอยู่กับใคร ?" เห็นลีลาของมารเขาไหม ? บอกแล้วว่ามารเขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ขวางทางเราอยู่ตลอด คนที่เรารักมากที่สุด จะทำให้เราสะเทือนใจได้มากที่สุด ช่วงนั้นอาตมาดูแลแม่ต่อเนื่องอยู่หลายปี พี่ ๆ คนอื่นมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว เขาก็ยกแม่ให้อาตมารับเป็นภาระ

อาตมาบอกแม่ไปว่า "ลูกแม่มีอยู่เป็นโหล ถ้าอยู่กับใครไม่ได้ ก็ยอมตายเสียเถอะ..!" ถ้าไม่บ้าพอแบบนั้นก็ตัดใจไม่ได้

เถรี
15-05-2012, 17:27
พระอาจารย์พูดถึงพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชว่า "อาตมายังไม่เคยเจอวัตถุมงคลอะไรที่ทำยากเย็นขนาดนี้มาก่อน มีแต่สารพันปัญหา ยังโชคดีที่หลวงพี่นิล (พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม) ท่านเมตตาดาหน้าเข้ารับไว้แทนหมดทุกอย่าง อาตมามีหน้าที่จ่ายเงินเท่านั้น เจอหน้ากันแต่ละครั้งท่านจะระบายน้ำไหลไฟดับ "ช่างเคยทำมาก่อนแท้ ๆ สั่งให้ทำใหม่ ก็ยังทำผิดอีก ต้องไปคอยคุมคอยจี้ทีละเล่ม"

สำหรับฝักพระขรรค์ต้องเปลี่ยนเป็นไม้สักทอง ไม้สักทองนี่ใช้ไม้กระดานเก่าได้ เพราะไม้กระดานเก่าจะไม่ยืดไม่หดแล้ว ขนาดไม้สักทองที่เกาะพระฤๅษีเป็นไม้บ้านเก่านะ ยังมีการยืดหดอยู่เลย เพราะว่าไม้มีขนาดใหญ่ ส่วนที่ยืดขยายหรือหดตัวจึงมีสูง"

เถรี
15-05-2012, 17:37
"บ้านที่อาตมาอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็ก ๆ มีคนเขามาขอซื้อไปทั้งหลัง เพราะว่าต้นเสากับคานบนเป็นไม้มะเกลือเลือด ไม้มะเกลือเลือดมีความแข็งขนาดผึ่งถากไม่เข้า เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักหรอกว่า "ผึ่ง" หน้าตาเป็นอย่างไร ลองนึกถึงขวาน แต่เป็นขวานแบบด้ามจอบ ใช้ถากไม้

http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQIxUuMQ9k46ZCBuXmo3clDfZ7AZ9lPi3CKIxZghXWNdJqcunmMlA&t=1
ผึ่ง


โบราณเขาบอกว่า "มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย" ปกติข้าวเหนียวต้องนึ่งนะ คนที่จะหุงข้าวเหนียวได้ต้องเป็นสุดยอดฝีมือเลย ส่วนถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็คือ ถากไม้เสียเรียบกริบเลย ดังนั้น..มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็ปลื้มใจ คุยไปได้ตลอดชาติ

รู้จักกล่อมเสาไหม ? กล่อมเสา ก็คือ ค่อย ๆ ถากเสาไม้จนกลม ภาษาพวกนี้เลยรุ่นพวกเราไปแล้วจะมีใครรู้หรือเปล่า ?"

เถรี
16-05-2012, 09:26
พระอาจารย์กล่าวว่า"เมื่อวานอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “เครื่องรางนอกตำรา” เขากล่าวถึงเครื่องรางอาถรรพ์หลายประเภท อย่างแมลงทับปรอท ถ้าหากว่าตอนเด็ก ๆ ใครเคยเล่นแมลงทับ จะรู้ว่าพอแมลงทับไข่ได้ไม่นานก็จะตาย เด็กสมัยก่อนจะเล่นพวกแมลงทับ แมลงกว่างกันเป็นปกติ พอเขย่าต้นไม้แมลงพวกนี้ก็ร่วงกราว ถ้าจับช้าก็จะบินหนี ตัวไหนตกใจก็จะทิ้งตัวลงมาแกล้งนอนตายอยู่กับพื้น ให้คนไม่สนใจ

สมัยเด็ก ๆ อาตมาเอาแมลงทับใส่กระเป๋ากางเกงไว้ แล้วก็เด็ดยอดมะขามเทศอ่อนใส่ไป ๓ - ๔ ยอดให้กิน ไม่นานแมลงทับก็ไข่ในกระเป๋า พอไข่ได้ไม่นานก็ตาย เขาบอกว่าจะทำแมลงทับปรอท ต้องหาแมลงทับที่ตายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘..หายากนะ..เพราะบางทีไม่ใช่ฤดูของแมลงทับ

เครื่องรางที่เขากล่าวถึงก็มีแมลงทับปรอท พญาสิงขร เขี้ยวเสือไฟ เขาทำได้เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนมีความอดทนสูง บางทีทั้งชีวิตทำเครื่องรางชิ้นเดียว สมัยนั้นเขาถือว่าเป็นของคู่ตัว นอกจากนี้มีลูกกลอนสมิง เกิดจากชานหมากว่านยาหลายอย่างผสมรวมกัน เสกด้วยคาถาอาคม มีไว้เพื่อป้องกันเสืออย่างเดียว

อย่างพญาสิงขร ต้องเอางาช้างที่ล้มเองมาแกะสลักเป็นรูปเสือ รูปสิงห์ก็ได้ แล้วก็ทำพิธีปลุกเสกตามแบบเขา ป้องกันอันตรายในป่าได้ทุกชนิด

อย่างสมัยพระร่วงมีเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยหอมเป็นของคู่บารมี ส่วนพวกลูกทะเลเขาใช้กระเบนท้องน้ำ หรือไม่ก็ฟันปลาฉลามเป็นเครื่องราง ยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งดี

อยากจะเชื่อว่าของที่เป็นชิ้นส่วนของสัตว์เหล่านี้ยังมีกลิ่นจำเพาะตัวอยู่ พอพวกสัตว์ได้กลิ่นก็รู้ว่าไอ้ตัวมหึมานี่ดุกว่าแน่ จึงไม่ไปยุ่งด้วย"

เถรี
16-05-2012, 10:17
ถาม : อย่างงาช้างน้ำ ที่ใส่ในยาจินดามณี ยังพอหาได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปหา เป็นเรื่องของบุญใครบุญมัน อาตมาว่าจะลองทำยาจินดามณีดูสักครั้ง เพราะตำรายาจินดามณีไม่ใช่ของหวงห้าม มีเป็นสาธารณะเลย เพียงแต่ว่าส่วนประกอบบางคนเขาไม่รู้จัก

สมัยอาตมาอยู่เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นมีผักคราดเป็นตันเลย ต้องคอยถลกทิ้ง เครื่องยาผงจินดามณีประกอบด้วย ดอกคราด ดอกจันทร์ เกสรบัวหลวง (ถ้าได้บัวหลวงแฝดยิ่งดี) น้ำผึ้งรวง น้ำมะเขือขื่น ฯลฯ

พวกเราคงไม่รู้จักแล้วว่ามะเขือขื่นกับมะเขือเปราะแตกต่างกันอย่างไร ? เอาแค่ว่าเจอมะอึกก็ไม่กล้ากินแล้ว มะอึกลูกเป็นขน ๆ พอเราเห็นก็ไม่กล้ากิน หารู้ไม่ว่านั่นสุดยอดแล้ว ตำน้ำพริกอร่อยสุดยอดเลย

ถาม : ยาจินดามณี ไว้ใช้กันตาย ไม่ใช่รักษาโรค ใช่หรือไม่ ?
ตอบ : สามารถถอนคุณไสยได้ ถ้าบูชาติดตัว อธิษฐานป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ ที่แน่ ๆ ก็คือ ถ้าคนยังไม่ถึงอายุขัย ป่วยหนักขนาดไหนก็รักษาได้ เพียงแต่ว่ากลิ่นของยาแรง อาตมาเคยพกแล้วเผลอทิ้งไว้ในห้อง กลิ่นยาตลบอวลทั้งห้องเลย ถ้าคนที่ไม่คุ้นจะว่ากลิ่นอะไรแปลก ๆ

อาตมาอยากได้สูตรยาจินดามณีที่ผสมแล้วแช่น้ำได้ จะได้ให้เขาทำน้ำมนต์ได้ แต่สูตรผสมแบบนี้ไม่แน่ใจว่าเวลาแช่น้ำแล้วตัวน้ำยาประสานจะเป็นพิษหรือเปล่า ?

เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักผักคราดเพราะไม่เคยกิน เด็กรุ่นเก่านี่ปวดฟันเมื่อไรก็วิ่งหาผักคราด เอามาเคี้ยว ๆ แล้วอุดรูฟันไว้ พักเดียวก็หายปวดแล้ว กินเป็นยาชาได้ กินมาก ๆ นี่ลิ้นชาหมด ที่หายากหน่อยก็ดอกจันทร์ ต้องสั่งร้านขายสมุนไพรโดยเฉพาะ เกสรบัวหลวงกับดอกจันทร์นี่สั่งร้านสมุนไพรได้เลย แต่ถ้าเป็นบัวแฝดต้องไปเก็บเอง เพราะเกิดยาก คนรู้คงเอาไปหมด เขาถือเป็นมหาเสน่ห์เลย

แก้วปัทมราชยิ่งหายากที่สุด แก้วปัทมราชถือว่าเป็นคดชนิดหนึ่ง คือเม็ดบัวที่กลายเป็นหิน

เถรี
16-05-2012, 10:43
แก้วกัทลีก็เหมือนกัน เป็นแก้วหรือหินที่เกิดในหัวปลี ในชีวิตอาตมาเจอเพียงครั้งเดียว ไม่ได้เจอเองหรอก คนอื่นได้มาแล้วเอามาอวด

สมัยก่อนพวกหนุ่ม ๆ ชอบศึกษาวิชาอาคม เขามีวิชาเลี้ยงกล้วยตานี เลี้ยงกล้วยตานีแล้วจะได้เมียผี เขาใช้วิธีไปขอหน่อกล้วยจากต้นแม่ เอาพวกเครื่องแต่งตัว ของหอม ผ้าสไบ เครื่องไหว้ไป ต้องเลือกคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเที่ยงคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แล้วจุดธูป ๙ ดอก "แม่จ๋า..ฉันเอาสินสอดมาขอลูกสาวแม่ จะเลี้ยงดูให้ดี ไม่ทิ้งไม่ขว้าง ขอแม่ยกให้ฉันด้วยนะจ๊ะ" แล้วขุดหน่อกล้วยไป ต้องเรียกเขาไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะ ให้ไปด้วยกัน เกลี้ยกล่อมเหมือนคุยกับสาวเลย

เอาหน่อไปปลูกไว้ รดน้ำพรวนดินให้ดี คิดดูก็สยองแล้ว ขึ้น ๑๕ ค่ำตอนกลางคืน ดงกล้วยก็มืด ๆ ใบกล้วยไหวแสกสาก คนกำลังใจไม่มั่นคงจริง ๆ ไม่มีใครเขากล้าทำหรอก แต่ผีตานีขี้หึงทุกตัว อย่าเผลอไปมองสาวอื่นเชียวนะ สถานเบาผีก็เล่นงานแค่สาวคนนั้น ถ้าสถานหนักก็จัดการผัวด้วย..!

สำหรับรายนั้นเขาทดลองเลี้ยงผีตานีไว้เฉย ๆ ไม่ได้เอาเป็นเมียเหมือนคนอื่น จนกระทั่งถึงระยะหนึ่งผีบอกว่าต้องไปจุติแล้ว ก่อนไปเขาจะทิ้งของดีไว้ให้ ลองไปหาดู พอรุ่งขึ้นเขาไปดู ปรากฏว่าเห็นกล้วยออกปลี ที่อื่นก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เขาก็เลยตัดปลีออกมาผ่าดู เห็นแก้วอยู่ข้างใน ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง ไร่คนอื่นโดนเพลี้ยลง โดนลิงลง ช้างลง ลุยไร่เละเทะหมด แต่ไร่ของแกไม่เคยโดนอะไรเลย

ของอย่างนี้บางทีก็อยู่ในลักษณะบุญใครบุญมัน บางคนได้ของพวกนี้มาก็ไม่รู้คุณค่า อย่างไข่แก้วงูจงอาง ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ราชบุรีหรือเพชรบุรี เขาเป็นพ่อค้ารับซื้อของป่า ชาวบ้านเอาหวาย เอาบอระเพ็ด เอาน้ำผึ้งมาขายให้แกเป็นประจำ วันนั้นพอชาวบ้านปลดกระสอบลงจากบ่า ไข่งูก็หล่นลงมา เขาก็หยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นหิน แต่ยังมีเงาของลูกงูเห็นราง ๆ อยู่ข้างใน

เขาถามชาวบ้านคนนั้นว่าได้มาจากไหน ? ชาวบ้านเล่าว่าเขาเดินออกจากป่ามา เห็นงูจงอางใหญ่ตายเน่าแล้ว แต่แปลกใจที่เห็นแสงอะไรวูบวาบ พอเข้าไปดูปรากฏว่างูอมไข่อยู่ ก็เลยเอาไข่งูมา เขาถามชาวบ้านว่าจะขายไหม ? ชาวบ้านตกลงขาย "ถ้าเถ้าแก่จะเอา ผมขอห้าร้อย" ทั้ง ๆ ที่เถ้าแก่รู้ว่าของมีค่า แต่ก็ยังไปต่อราคาเหลือ ๓๐๐ บาท สมควรตายจริง ๆ..!

จากนั้นเขาก็เอามาลงประกาศในหนังสือพิมพ์ขาย ๗ ล้านบาท..! ถ้าเป็นอาตมาขายได้ ๗ ล้านบาท ก็แบ่งให้ชาวบ้านไป ๑ ล้านบาทเลย นี่ยังอุตส่าห์ไปต่อเขาเหลือแค่ ๓๐๐ บาท

เถรี
16-05-2012, 11:18
บางคนได้มาแล้วไม่มีบุญที่จะเก็บไว้ แบบเดียวกับแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวผัดไท ชาวบ้านสั่งผัดไทใส่ไข่ พอแม่ค้าเคาะไข่เทลงไปมีเสียงดังโป๊ก..! ไข่แดงกลายเป็นหิน..! เขาก็เลยเอาตะหลิวตักขึ้นมาดู แล้วก็วางไว้ แต่คนสั่งผัดไทเขารู้จักของ “เจ๊ ๆ แปลกดี ขอผมเถอะ” แม่ค้าก็ให้ไป ตัวเองมีของดีอยู่แท้ ๆ แต่ไม่รู้จัก ไปให้เขาได้

ไข่ไก่ใบนั้นมีหินอยู่ข้างใน มีไข่แดงเป็นหิน แต่ไข่ที่อาตมาได้มาเป็นหินทั้งลูก ลูกเล็ก ๆ ประมาณนิ้วก้อย ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วก็คือ แคลเซียมของเปลือกไข่รวมตัวเป็นเปลือกไข่อย่างเดียว ไม่มีไข่แดง

อาตมาได้ไข่นี้มาจากเกาะพระฤๅษี ตอนนั้นลูกไก่ป่า ๒ ครอก เกิดวันเสาร์ ๕ พอดี ญาติโยมไปร่วมงานบวงสรวงหลายคน เขาไปเล่นกับลูกไก่ พอเลิกงานแล้วคนกลับหมด ตกเย็นอาตมาก็ไปดู เห็นว่าโยมไม่ได้เก็บพวกเปลือกไข่ออก อาตมาจึงไปเก็บเปลือกไข่ออกแล้วก็เจอไข่หินนี้ หลังจากได้ไข่ใบนั้นมา บรรดาของแปลก ๆ ก็ไหลมาเทมา เหมือนกับว่าเขาหาพวก เรียกพวกมา ของเหล่านี้พวกไสยศาสตร์ชอบ จะมีอำนาจขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าพองูจงอางคาบไข่แก้วชูขึ้นมา ขนาดฝนยังไม่กล้าตกเลย

เถรี
16-05-2012, 11:25
ตอนที่อาตมาไปอยู่เกาะพระฤๅษีแรก ๆ มีงูจงอางใหญ่ลงมาแช่น้ำในลำห้วยเป็นประจำ ตัวโตดำเมื่อมเลย น่าจะใหญ่กว่าท่อนแขน ยาวสัก ๓ - ๔ เมตรได้ ปีนั้นพอถึงหน้าฝน แต่ฝนกลับไม่ลง ถึงเดือน ๖ แล้วฝนยังไม่ลง เมฆมืดมา ฟ้าร้องครืน ๆ แต่ฝนกลับไม่ลง ก็ได้แต่แปลกใจว่า ทำไมอากาศร้อนทรมานอบอ้าวขนาดนี้เป็นเดือน ๆ ฝนกลับไม่ลง

ตอนกลางคืนเดินไปที่หน่วยป่าไม้ คุยกับผู้ช่วยป่าไม้ ผู้ช่วยเขาบอกว่า “อาจารย์..นั่นเสียงอะไร ได้ยินมาหลายวันแล้ว เสียงอย่างกับแม่ไก่ครางเวลาฟักไข่” อาตมาลองฟังดู พอได้ยินก็บอกว่า " รู้ไหมว่าจงอางฟักไข่ ? จงอางฟักไข่มักจะร้องครางเหมือนแม่ไก่เลย" ผู้ช่วยบอกว่า "มิน่า..ฝนไม่ลงสักที ต้องรอให้ไข่ออกเป็นตัวก่อน"

พวกนี้เป็น กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ถ้าฝนลงก่อนเดี๋ยวไข่เน่าหมด ไม่ทันออกเป็นตัว งูก็ต้องหาวิธีป้องกันไข่ วิธีที่จะป้องกันไข่ของตนก็คือขู่ฟ้า ดังนั้น..ไข่แก้วของงูจงอางน่าจะมีอานุภาพครอบจักรวาล โดยเฉพาะอยู่ในป่าคงไม่ต้องกลัวอันตรายอะไร เหมือนกับมีองครักษ์ชั้นดีไปด้วย สัตว์อื่นได้กลิ่นก็หนีเตลิดเปิดเปิงแล้ว

เถรี
17-05-2012, 11:13
พระอาจารย์กล่าวถึงบันทึกผจญกรรมว่า "เรื่องของกรรมนี่น่ากลัวจริง ๆ สมัยอาตมาเกิดเป็นสัตว์ ระยะเวลาห่างไกลจากปัจจุบันจนประมาณไม่ถูก แต่กรรมก็ยังอุตส่าห์ตามมาทันได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่กรรมหนัก เพราะสัญชาตญาณของสัตว์ โดยความมืดบอดของเขา เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์กินเนื้อย่อมต้องกินสัตว์อื่นเป็นปกติ ไม่ได้ฆ่าโดยความโกรธแค้นเป็นส่วนตัว แต่ฆ่าเพราะต้องการอาหาร ในเมื่อไม่มีความโกรธ โทษของกรรมก็น้อย กว่ากรรมนั้นจะตามมาทัน จึงนานจนนับเวลาไม่ได้เลย ในผจญกรรมยังมีตอนต่อไปอีก ยังมีชาติที่เกิดเป็นหมูป่าด้วย"

ถาม : ทำไมจึงเขียนให้สัตว์ในเรื่องมีวิธีการคิดเหมือนคน ?
ตอบ : เพราะสัตว์มีความรู้สึกเหมือนคน มีรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนคนหมด ตอนที่เกิดเป็นหมูป่าถึงขนาดวางแผนฆ่าเสือเป็นฉาก ๆ เลย เป็นสัตว์แต่ร่าง แต่ความคิดเหมือนคนหมด รัก โลภ โกรธ หลงเหมือนคนหมด แต่มีดีอยู่แค่ว่าไม่สะสม มีเท่าไรกินเท่านั้น วันรุ่งขึ้นค่อยไปหากินใหม่ ถ้ายังมีของเก่าอยู่ก็กินของเก่าต่อไป

เถรี
17-05-2012, 11:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในอัคคัญญสูตรพระพุทธเจ้าตรัสถึงการกำเนิดโลก การกำเนิดสิ่งของมีชีวิต ทรงตรัสกับวาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณร จริง ๆ แล้วสองท่านนี้ไม่ใช่เด็ก เป็นอาจารย์ใหญ่สอนไตรเพท พอได้ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าแล้วเลื่อมใสขอบวช เนื่องจากว่าเป็นคนนอกศาสนา ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๙ เดือน ทั้งสองจึงบวชเป็นสามเณรก่อน ด้วยความที่เป็นอาจารย์ใหญ่มาก่อน ปัญหาแต่ละอย่างของท่านจึงลึกซึ้ง

พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสถึงกำเนิดโลกว่า มนุษย์เกิดมาจากอาภัสราพรหมที่ลงมากินง้วนดิน เนื่องจากไฟบรรลัยกัลป์ไหม้แล้วฝนใหญ่ตกทับ ทำให้ง้วนดินนั้นมีกลิ่นหอมมาก ขนาดอาภัสราพรหมได้กลิ่นยังทนไม่ได้ต้องลงมาชิม พออาภัสราพรหมกินของหยาบเข้าไปกายทิพย์ก็เลยหยาบขึ้น เมื่อกายทิพย์หยาบขึ้นรัศมีก็หายไป จึงได้เกิดพระอาทิตย์พระจันทร์ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ไม่รู้จะไปอย่างไรเพราะมีแต่ความมืด

พอกินไป ๆ ง้วนดินหมด เกิดเป็นเถาดิน เถาดินหมดก็เกิดเครือดิน กินไปเรื่อย ๆ ร่างกายหยาบขึ้น เพศปรากฏขึ้น เมื่อเพศปรากฏขึ้น ต่างฝ่ายต่างมองนิมิตของอีกฝ่ายหนึ่ง เกิดความสนใจ ไปจับ ๆ คลำ ๆ เข้าก็เกิดความกำหนัด จึงเสพเมถุนมีลูกมีหลานสืบตระกูลกันมา

ช่วงแรก ๆ การทำมาหากินไม่ลำบาก เพราะมีข้าวสาลีรวงโต ๆ ไม่ต้องไถ เป็นเมล็ดข้าวสารออกจากรวง ไม่มีเปลือก ขาวสะอาด ไปรูดมาหุงกินได้เลย ต่อมาด้วยความขี้เกียจของคนผู้หนึ่ง ขี้เกียจไปเก็บข้าวบ่อย ๆ จึงนำมาตุนไว้ แล้วชักชวนคนผู้อื่นให้ทำแบบนี้บ้าง ด้วยกรรมที่กระทำนี้ทำให้เปลือกข้าวเกิดมาห่อหุ้มเมล็ดข้าว ก็เลยลำบากคนรุ่นหลังต้องมาตำข้าวสีข้าวกันอีก"

เถรี
17-05-2012, 11:52
"พอผู้อื่นผ่านมาเห็นบุคคลเสพเมถุนธรรมกันเข้า ก็เอาฝุ่นโรยใส่บ้าง ถ่มน้ำลายใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับว่าคนชาติชั่ว จงฉิบหาย เขาก็เลยต้องไปสร้างบ้านเรือนขึ้นมา เพื่อที่จะได้ไม่ให้คนอื่นเห็นการกระทำของตนเอง

เมื่อมีบ้านขึ้นมา ก็มีการกำหนดว่าเขตนั้นเป็นของฉัน เขตนี้เป็นของเธอ เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือกัน ท้ายสุดก็มีคนมาห้ามปราม มาชี้แนะ ว่าใครควรจะได้เท่าไร ก็เลยยกให้ผู้ฉลาดนั้นเป็นผู้นำ จึงเกิดมีผู้นำมีกษัตริย์ขึ้นมา

เพราะความหลงถึงได้กินง้วนดินในตอนนั้น พอกินแล้วรัศมีกายหมด เหาะกลับไม่ได้ ตัวก็หนัก จึงได้เกิดพระอาทิตย์เกิดพระจันทร์ขึ้นมา พัฒนาการของการเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ละเอียด เนื้อหายาวมาก สรุปแล้วรัก โลภ โกรธ หลง กินทันทีที่เราเกิดเลย

รุ่นแรก ๆ น่าจะยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เพราะว่ามาจากข้างบนทั้งนั้น แต่พอสร้างกรรมเข้า เศษกรรมจึงทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา"

ถาม : เขาจำกันได้บ้างไหมว่าทำกรรมอะไรไว้บ้าง ?
ตอบ : หาคนจำได้ยาก ยกเว้นอย่างพระนางพิมพา พระมหากัสสปะ นางภัททกาปิลานี พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ทั้งห้าท่านนี้ได้อภิญญาใหญ่ ระลึกชาติได้ไม่จำกัดเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นอกนั้นระลึกชาติได้จำกัด บางท่านระลึกได้แสนชาติบ้าง ได้ ๑ กัปบ้าง ได้ ๒ กัปบ้าง ๓ กัปบ้าง ๔ กัปบ้าง ๕ กัปบ้าง ๑๐ กัปบ้าง ๑๐๐ กัปบ้าง

เถรี
17-05-2012, 12:20
ถาม : คนที่หวงของหวงทรัพย์สิน กับพ่อแม่ที่หวงลูก เหมือนกันไหมคะ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน การหวงมากหรือหวงน้อยขึ้นอยู่กับว่ายึดมั่นมากหรือน้อย พ่อแม่ที่หวงลูกนอกจากจะเป็นความรู้สึกของการหลงแล้ว ยังเป็นสัญชาตญาณด้วย เพราะว่าถ้าไม่หวงไม่ดูแลลูก พวกลูก ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกคนหรือลูกสัตว์อาจจะไม่รอด ถ้าลูกตายหมดก็ไม่เหลือพืชพันธุ์ของตนไว้ เพราะฉะนั้นกลายเป็นหวง ๒ ชั้น ถ้าหวงของนั่นหวงแค่ชั้นเดียว

ถาม : แล้วคนที่ขาดเมตตา ใจดำ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับคนคิด จริง ๆ แล้วคนใจดำเป็นพวกเห็นแก่ตัว ไม่เอาใคร บางทีเราเอาแต่คิดว่าจะไปขอความช่วยเหลืออย่างเดียว เขาเองไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยได้ เขาปฏิเสธมา เราก็ไปว่าเขาใจดำ เรื่องพวกนี้อยู่ที่ความคิดของเรา ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือไม่ก็ถามเขาหน่อยว่าเป็นอย่างไร เราก็จะรู้ความคิดของเขา

ถาม : จริง ๆ แล้วก็ไม่แน่ว่าจะใจจืดใจดำ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องมีความจำเป็น ยกเว้นเป็นประเภทตระหนี่ถี่เหนียวแบบโกสิยเศรษฐี โกสิยเศรษฐีขี้เหนียวสุด ๆ ประหยัดทุกวิถีทางเพราะกลัวจน ทั้ง ๆ ที่เป็นมหาเศรษฐี

ถาม : หวงโดยเฉพาะของของเขา ?
ตอบ : ก็เขาบอกแล้วว่าของของเขา ในเมื่อเป็นของของเขา เขาก็ต้องรักษา จะไม่แบ่งปันให้ใคร ในเพลงแหล่เขาว่า "...ทนอดทนอยาก มีปากเสียเปล่า เมียบ่นหิวข้าว ผัวเฒ่าตีดิ้น กลัวยากกลัวจน ยอมทนอมลิ้น เมียกลัวเหงื่อริน ก็เลยเป็นลม"

เถรี
17-05-2012, 13:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นหลัง ๆ มักจะโตไว ก็แปลว่าอายุสั้น ลองสังเกตดูว่า..สัตว์อะไรที่โตเร็ววงจรชีวิตมักจะสั้น แต่เนื่องจากเทคนิคการแพทย์ดีขึ้น ก็เลยยืดอายุไปได้อีกหน่อย แบบเดียวกับเทคนิคสเต็มเซลล์ ถ้าหากใช้ได้ผลจริง พวกมหาเศรษฐีของโลกคงไม่ตายกันหรอก อะไหล่ดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าตัวถังไม่ไหวแล้ว ไปเปลี่ยนอะไหล่อย่างไรก็พัง

ถ้าสนใจเรื่องเปลี่ยนอวัยวะให้ไปอ่านนิยายของวิมล ไทรนิ่มนวล เรื่องอมตะ เรื่องนี้ได้รับรางวัลซีไรท์ ถ้านิยายของจีนก็เรื่องขี่พายุทะลุฟ้า ตอนหาญท้าเทวะ ด้วยความที่เทวะเป็นสุดยอดอัจฉริยะ หลายร้อยปีจะเกิดครั้งหนึ่ง เขาก็เลยคิดวิชายืดอายุตัวเอง แต่ยืดได้เฉพาะอายุ ส่วนสังขารหมดสภาพ อยู่มา ๒๐๐ กว่าปี เทวะเจอพระเอกเห็นว่าเหมาะสม ก็เลยจะผ่าตัดเปลี่ยนสมองใส่ตัวพระเอก ให้ตนเองกลายเป็นหนุ่มขึ้นมา ลองไปอ่านดูถ้าสนใจเรื่องพวกนี้

อายุขัยของมนุษย์เป็นเรื่องตามกรรมที่ทำมา โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ยาก บางคนคิดจะโคลนนิ่งมนุษย์ แต่ก็กลัวว่าถ้าโคลนนิ่งมนุษย์ได้จริง ๆ แล้วจะเหมือนกันหมด ทำให้แยกแยะกันไม่ถูก จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ต่อให้รูปร่างหน้าตาเหมือนกันแต่สภาพจิตเป็นคนละดวง ความประพฤติก็ไม่เหมือนกันหรอก อย่างแฝดสาม เอส เอ็ม แอล นั่นเป็นแฝดสามก็จริง แต่ความประพฤติคนละเรื่องคนละราวกันเลย"

เถรี
17-05-2012, 13:56
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการบวชว่า "การตัดสินใจทำอะไรให้เด็ดขาดนั้นยาก อย่างที่แม่ชีเคิ่ลเขาตัดสินใจบวช พวกเราตัดใจอย่างนั้นไม่ได้หรอก พวกเราเด็ดแต่ไม่ขาด ตัดบัวยังเหลือใย แต่นั่นเขาเด็ดขาดแล้ว

เรื่องของการบรรลุธรรมต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด จุดไหนที่เราคิดว่าทำได้ต้องตัดใจเดี๋ยวนั้นเลยว่าเราจะทำตามนั้น ถ้าจุดไหนให้ละเว้นเราจะเว้นอย่างนั้น ถ้าตัดสินใจแบบนี้เรื่องของมรรคผลก็ไม่ยาก แต่ส่วนใหญ่คนสมัยหลัง ๆ ไม่มีการตัดสินใจตรงนี้ ฟังธรรมรู้สึกว่าดี แต่รู้สึกในลักษณะชื่นชมเหมือนกับเห็นสมบัติมหาเศรษฐี ไม่ได้คิดว่าเราจะทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้สมบัตินั้นบ้าง ในเมื่อไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด โอกาสที่เข้าถึงมรรคผลก็ยาก"

เถรี
17-05-2012, 14:15
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปกราบหลวงปู่ดู่ครั้งแรก ก็มีพระวัดท่าซุงตามไปหลายรูป เมื่อสนทนาปราศรัยกันเรียบร้อยก็กราบเรียนท่านว่า “ขอให้หลวงปู่ท่านเมตตาให้โอวาทด้วยครับ พวกผมจะได้ยึดเป็นเครื่องปฏิบัติสืบไปในเบื้องหน้า”

หลวงปู่ท่านบอกว่า “ครูบาอาจารย์ผมไม่ได้สอนอะไรมากมายหรอก ท่านบอกว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งก็พอแล้ว” อาตมาก็กราบก้นโด่งคลานออกมา ท่านตี๋ (พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) คลานตามมาสะกิด "เฮ้ย..ยังไม่ได้อะไรเลย จะกลับแล้ว ?" "หา..ยังไม่ได้อะไรเลยหรือ ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งนี่ยันพระนิพพานแล้วนะ"

ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจใช่ไหม ? ถ้าเราเคารพ เราก็ตั้งใจปฏิบัติในศีลตามที่ท่านสอน ก็เหลืออย่างเดียวคือตั้งใจว่าตายแล้วจะไปไหน ครูบาอาจารย์ท่านให้เพชรยอดมงกุฎมาดันไม่รู้จัก แค่เอาไปต่อยอดมงกุฎก็จบแล้ว

หลวงปู่ดู่ท่านมีประโยคประทับใจเยอะ บางทีคำสอนท่านเหมือนกับคำสอนของเซ็น ท่านสอนสั้น ๆ แต่กินใจ กระทบใจมาก อย่างคนไปต่อว่าท่านเรื่องสร้างวัตถุมงคล ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “ติดวัตถุมงคล ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” จบแค่นั้นเลย บางคนไปเที่ยวว่าคนนั้น ไปเที่ยวนินทาคนนี้ให้ได้ยิน ท่านบอกว่า “คนดีเขาไม่ตีใคร” คนพูดเฉาไปเลย จบกันแค่นั้น

บางคนมาลาท่าน ขอไปปฏิบัติที่สำนักอื่น ท่านก็บอกว่า “ข้าโมทนากับแกด้วย ข้าไม่มีโอกาสไป” ไม่เห็นท่านจะว่าลูกศิษย์สักคำ ลูกศิษย์อยู่กับโคตรเพชรแล้วไม่รู้จัก อุตส่าห์ตะกายไปที่อื่น ท่านเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยเขาไปตามใจของเขา"

เถรี
18-05-2012, 10:11
พระอาจารย์เล่าว่า "ในบันทึกประวัติศาสตร์จีน ขุนนางที่ซื่อสัตย์หลายคนต้องทำงานสองโลกไปพร้อมกัน อย่างเช่นเปาบุ้นจิ้น พอฟุบหลับไปหน่อยเดียว กายทิพย์ก็ออกไปตัดสินความในเมืองนรกเรียบร้อยแล้ว

ส่วนในสมัยราชวงศ์ถัง ก็มีเว่ยจิง เป็นเสนาบดีคู่พระทัยของพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ เว่ยจิงเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา กล้าทัดทานฮ่องเต้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าฮ่องเต้ทำไม่ถูกไม่ควร เว่ยจิงก็กล้าพูดกล้าบอก มีเรื่องเล่าว่าพญามังกรไปเจอเต้าหยิน (นักพรต) ที่มีทิพจักขุญาณ สามารถทำนายลมฟ้าอากาศได้แม่นยำมาก พญามังกรจึงหมั่นไส้เต้าหยินท่านนั้น อยากจะลองดีสักหน่อย

พญามังกรจึงแปลงเป็นคนไปถามเต้าหยินว่า พรุ่งนี้ฝนจะตกเท่าไร ? พอเต้าหยินเสี่ยงทายเสร็จเรียบร้อยบอกว่า พรุ่งนี้ เวลาเท่านี้ ฟ้าจะต้องร้องกี่ครั้ง ฝนจะต้องตกกี่ห่า น้ำจะต้องเปียกดินลึกลงไปกี่ศอก พญามังกรก็หัวเราะบอกว่า “ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นล่ะ ?” เต้าหยินบอกว่าถ้าไม่เป็นไปตามนั้นจะยอมทุบป้ายของแกทิ้ง ก็คือเลิกอาชีพนี้ ความจริงก็คือพญามังกรนี้มีหน้าที่ควบคุมดินฟ้าอากาศ เป็นผู้บันดาลให้ฝนตก

เมื่อพญามังกรกลับไปยังไม่ทันถึงตำหนักเลย เสนาบดีวิ่งถือจดหมายคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้มาว่า พรุ่งนี้เวลานี้ต้องผลิตน้ำฝนเท่าไร ซึ่งผลตรงกับที่เต้าหยินทำนายไว้จริง ๆ พญามังกรก็เริ่มคิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี ท้ายสุดก็ใช้วิธีเบี้ยว ทำให้น้ำฝนขาดไปเสียหน่อย คำทำนายจะได้คลาดเคลื่อน เขาจะได้ทุบป้ายทิ้ง

รุ่งขึ้นพญามังกรถือกระบองไป จะไปอาละวาดทุบป้าย เต้าหยินก็หัวเราะ “หัวจะขาดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” พญามังกรสงสัยถามว่าทำไม ? เต้าหยินบอกว่า “กลับไปเถอะ คำสั่งประหารท่านคงมาถึงพอดี” พญามังกรก็ตกใจรีบกลับวังไป ปรากฏว่าคำสั่งมาจริง ๆ โทษฐานที่เป็นพญามังกร มีหน้าที่ควบคุมดินฟ้าอากาศ แต่กลับไม่ทำตามคำสั่ง มีโทษประหาร..!

พญามังกรจึงไปขอให้นักพรตช่วย นักพรตบอกว่า "ช่วยไม่ได้หรอก แต่ผู้ที่จะทำหน้าที่ประหารท่านก็คือเสนาบดีเว่ยจิง ซึ่งจะประหารเวลาบ่ายโมงตรง ถ้าผิดเวลาประหารก็ผิดกฎสวรรค์ ไม่สามารถประหารท่านได้อีก เราบอกได้แค่นี้" พญามังกรฟังก็เข้าใจ รีบเข้าไปเฝ้าถังไท่จงฮ่องเต้ ไปขอร้องว่าตนเองสร้างคุณความดีมาตลอด ตอนนี้ผิดพลาดนิดหน่อยด้วยทิฐิมานะ ขอให้ฮ่องเต้ช่วยด้วย ถังไท่จงฮ่องเต้ถามว่าจะให้ช่วยอย่างไร ? พญามังกรบอกว่าให้ช่วยดึงเว่ยจิงเอาไว้ ใช้งานอะไรก็ได้ให้หัวทิ่มหัวตำไปเลย ก่อนบ่ายโมงอย่าให้ไปไหน พอพ้นจากบ่ายโมงไปแล้วตนก็จะรอด"

เถรี
18-05-2012, 10:20
"ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารพญามังกรก็รับปากว่าจะช่วย หลังจากพระกระยาหารกลางวันแล้ว ถังไท่จงฮ่องเต้ก็ชวนเว่ยจิงเล่นหมากรุกกัน ซึ่งหมากรุกจีนแต่ละกระดานบางทีใช้เวลาครึ่งค่อนวัน เล่นไปเล่นมาจนใกล้เวลาบ่ายโมง เว่ยจิงก็ฟุบหลับ ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารเสนาบดีที่ทำงานมาหนัก แถมยังโดนบังคับมาเล่นหมากรุกอีก จึงเอาพัดมาช่วยพัดให้

คืนนั้นพญามังกรเดินถือหัวตนเองเลือดโชกมาเลย ต่อว่าถังไท่จงฮ่องเต้ว่าไม่ทำตามที่ตกลงไว้ แถมยังช่วยเขาประหารตัวเองอีก ถังไท่จงฮ่องเต้ก็ตกใจว่าตนเองไปช่วยประหารอย่างไร ? พญามังกรบอกว่า พอถึงเวลาบ่ายโมงตรง เว่ยจิงถือกระบี่มาจะประหารชีวิต เขาก็ต้องหนี เว่ยจิงไล่เขาไม่ทัน แต่ถังไท่จงฮ่องเต้ไปช่วย เอาพัดโบกลมทำให้เว่ยจิงเหาะไล่ตามมาทัน

ตรงจุดนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า ในเรื่องกรรมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไม่ว่าจะหนีไปหลบอยู่ที่ไหนก็หนีไม่รอด ท้ายสุดก็ต้องโดนจนได้ พญามังกรอยู่ในโลกทิพย์ ฤทธิ์อำนาจมีมาก จึงคิดว่าหนีพ้น แต่กรรมก็บันดาลให้ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารเอาพัดมาพัดให้เว่ยจิง ปรากฏว่าพัดในโลกทิพย์นั้นกลายเป็นกระแสพายุหอบเว่ยจิงไล่ทันพญามังกร เพราะฉะนั้น..เรื่องของกรรมต้องระมัดระวังให้จงหนัก ไปประมาทว่าเล็กน้อยแล้วทำนี่เสร็จทุกราย..!"

เถรี
18-05-2012, 11:10
ถาม : ที่บ้านหนูเสียงเยอะมากค่ะ ส่วนใหญ่เป็นพวกเสียงเพลง ตอนช่วงภาวนาเสียงพวกนี้เหมือนจะบันทึกตามคำภาวนาไปด้วย พอตอนนั่งสมาธิแม้จะไม่มีเสียง แต่พอเราภาวนาเสียงเพลงก็จะดังตามคำภาวนา หนูงัดไม่ออก ก็เลยช่างมัน ภาวนาไปทั้งแบบนั้น แล้วพอถึงจุดก็ได้สมาธิเหมือนปกติ ทั้ง ๆ ที่เสียงเพลงยังอยู่ในหัวค่ะ อย่างนี้จะมีผลเสียไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไปคล้อยตามก็จะเสีย ถ้าไม่ใส่ใจก็ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเครื่องทดสอบเท่านั้น เราจะได้รู้ไว้ว่าสภาพจิตของเราจำทุกอย่างจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องให้จิตจำแต่เรื่องดี ๆ เอาไว้

เถรี
18-05-2012, 11:55
ถาม : คุณพ่อไม่ค่อยสบาย ถ้าผมสวดมนต์ทุกวันก่อนนอน ให้เจ้ากรรมนายเวรแทนคุณพ่อ ?
ตอบ : ตอนแรกพาท่านไปหาหมอก่อน ไม่ใช่ว่าป่วยแล้วจะมาสวดมนต์ให้เจ้ากรรมนายเวร หลังจากนั้นแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง โดยเฉพาะว่าควรจะให้ท่านสวดมนต์เอง เพราะว่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ป่วยเป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของเรา

เถรี
18-05-2012, 12:09
หลังจากแม่ชีเคิ่ลกล่าวคำขอบวชแล้ว พระอาจารย์ให้โอวาทว่า "ตอนนี้เราเป็นอุบาสิกาคือแม่ชี มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต ไม่ได้แต่รักษาศีล ๘ อย่างเดียว ยังต้องรักษากาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในกรอบ เป็นผู้ไม่กล่าวร้ายในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ เป็นผู้ไม่ด่าว่าพระภิกษุสามเณร เป็นผู้ที่ไม่ขวนขวายเพื่อการเสื่อมลาภของพระภิกษุสามเณร เหล่านี้เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ค่อย ๆ ศึกษากันไป รู้แต่ว่าชีวิตของเราตั้งแต่บัดนี้ มีแต่มุ่งหน้าอย่างเดียว ถอยหลังไม่ได้แล้ว

คุณแม่ตัดใจได้ไหม ? ลูกเขาไม่ได้ไปตายสักหน่อย สิ่งที่เขาทำถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เราเป็นพ่อเป็นแม่เป็นญาติก็อนุโมทนา ความดีนี้เราไม่ได้ทำด้วยตนเอง แต่ว่ามีคนอื่นทำแล้ว เราก็พลอยยินดีด้วย คอยให้การสนับสนุน ส่วนคนทำเอง เมื่อตั้งใจแล้วว่าจะมาบนทางสายนี้ ก็ต้องไปให้เต็มกำลังของตัวเอง"

เถรี
18-05-2012, 12:24
"เขาเพิ่งจะบวชเสร็จ ใครจะบวชต่ออีกหรือเปล่า ? อย่าทำให้อาตมากลุ้มใจต้องถือไม้ตะพดเฝ้าวัดนะ ที่วัดมีแต่แม่ชีสาว ๆ เดี๋ยวหนุ่ม ๆ มากันให้พล่านไปหมด เป็นแม่ชีที่วัดท่าขนุนงานจะหนักมาก วันหนึ่งกว่าจะมีเวลาเป็นของตัวเองก็ประมาณบ่าย ๒ โมงแล้ว พอบ่าย ๔ โมงก็ทำความสะอาดวัดอีก เพราะฉะนั้นไปอยู่ที่นั่นจะอ้วนยาก

อำลาอาลัยพ่อแม่ญาติพี่น้องกันให้ดี แค่นี้ก็วัดอารมณ์ได้ชัดแล้วว่าตัดยากที่สุด ใจจะขาดรอน ๆ ตรงจุดนี้ก็อยากให้ทุกคนย้อนกลับไปนึกถึงวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระองค์ท่านถึงพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติทุกประการ มีพระชายาที่สวยที่สุด มีปราสาท ๓ ฤดู อีก ๗ วันสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิจะปรากฏแก่พระองค์ท่าน จะเป็นผู้ปกครองโลกทั้ง ๔ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าในสุริยจักรวาลนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่เกินท่านอีกแล้ว พระโอรสที่รักยิ่งก็เพิ่งจะประสูติ พระองค์อภิเษกสมรสตอนพระชนมายุ ๑๖ ปี จน ๒๙ ปีจึงได้พระโอรส ๑ คน

แต่ว่าพระองค์ท่านสามารถตัดสินพระทัย เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทนลำบากอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ลำบากชนิดเลือดตากระเด็น อดข้าวชนิดไม่ฉันอะไรเลยต่อเนื่องกันเป็นเดือน ๆ ไม่มีแม้แต่กำลังจะเดิน ล้มอยู่กับพื้น คนเขาก็คิดว่าเป็นซากศพเพราะมีแต่หนังหุ้มกระดูก แต่พระองค์ท่านก็ไม่ได้ท้อถอย ตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยดวงจิตที่มุ่งประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ว่าถ้าพระองค์บรรลุธรรมแล้ว เขาเหล่านั้นจะได้ประโยชน์ไปด้วย เป็นพวกเราจะไหวหรือไม่ ?"

เถรี
18-05-2012, 12:38
"เราคิดว่าเราทำได้ เป็นความคิดในตอนนี้นะว่าเราทำได้ แต่พอของจริงมาถึงแล้วจะรู้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้านมารอบข้าง มีแต่โซ่ใหญ่ ๆ มาฉุดรั้ง “องค์ใดพระสรรเพชญ์ พระเผด็จกิเลสราญ หักห่วงและบ่วงมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว” ห่วงนะ...แถมยังเป็นห่วงเหล็กมหึมาด้วย ดูซิว่าพวกเราจะหักห่วงได้ไหม ?

เรื่องของการบวชไม่ต้องถามคนอื่น พร้อมเมื่อไรไปทันที อย่ากระโตกกระตาก เดี๋ยวมารตื่น ไปตอนที่เขาเผลอ กว่าเขาจะรู้ตัวเราก็เผ่นไปแล้ว ค่อยให้เขามาตามล่าเราทีหลัง ถึงตอนนั้นเรามีหน้าที่หนีสุดชีวิต ส่วนเขาก็ตามล่าสุดชีวิต

ลองนึกถึงแค่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ทรงมีพระราชดำรัสว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม นั่นถือว่าเป็นการประกาศสัจจะวาจาในท่ามกลางองคมนตรีและในสายตาของประชาชน แล้วพระองค์ท่านก็บำเพ็ญพระองค์ให้เป็นไปตามพระราชดำรัสนั้นมาตลอด ๖๕ ปี ขึ้นปีที่ ๖๖ แล้ว พระองค์ท่านไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิดไปจากคำพูดเลย

ฝรั่งบอกว่า "The king can do no wrong" พระราชาทำอะไรไม่ผิด..ไม่ใช่ พระองค์ท่านแปลว่า พระราชาห้ามทำอะไรผิด เพราะว่าถ้าหากว่าทำผิด ผลกระทบจะเกิดแก่คนทั้งประเทศ ตอนไปประเทศเขมร เวลาเดินชมประสาทหิน ตรงไหนต่ำ ๆ เขาจะติดป้ายไว้ว่า "Mind your head" ถ้าเป็นบ้านเราก็ติดว่า "ระวังศีรษะ" ใช่ไหม ? เขาว่าให้คิดถึงหัวตัวเองบ้าง ไม่อย่างนั้นจะชน ปรากฏว่าป้ามอยแปลได้เด็ดขาดที่สุด แปลว่า "หัดใช้หัวซะบ้าง" ในเมื่อรู้ตัวว่าเตี้ยก็ต้องรู้จักหลบด้วย (หัวเราะ)

เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของคำพูด การกระทำ ขึ้นอยู่กับการตีความ และการตีความอยู่ที่กำลังใจของแต่ละคน กำลังใจของคนไม่เท่ากันก็ตีความได้ไม่เท่ากัน การบรรลุธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้เป็นไปตามกำลังใจของคน คือ ใครตีความธรรมะได้สูง ตัดสินใจได้เด็ดขาดก็บรรลุธรรมขั้นสูงกว่า ใครตีความธรรมะได้ต่ำ ตัดสินใจไม่เด็ดขาดเท่า ก็บรรลุธรรมขั้นต่ำกว่า คนไหนไม่เข้าใจเลย ตีความไม่ได้ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็เข้าไม่ถึงธรรม แต่อย่างไรเสียก็ขอให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นพลวปัจจัย เป็นอุปนิสัยนำส่ง ให้ชาติต่อไปของเราเข้าถึงธรรมได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะว่ามีการสั่งสมมาแล้ว

โมทนากับเขาก็พอนะ อย่าตัดสินใจบวชกันหมด วัดไม่มีที่ให้พัก ตอนนี้กุฏิแม่ชีหลังสุดท้ายเต็มแล้ว กำลังวางแผนว่าต่อไปจะเริ่มทำพื้นที่ในป่าช้า ใครจะเป็นผู้โชคดีรายแรกที่จะได้ไปอยู่ตรงนั้น ป่าช้าน่าอยู่ที่สุด เย็นสบาย ไม่มีใครกวน เงียบทั้งวัน"

เถรี
18-05-2012, 16:15
ถาม : ขอพรข้อหนึ่ง สำหรับกำลังใจค่ะ
ตอบ : ถ้าหากว่ามีศีลมีธรรมเป็นเครื่องคุ้ม ทำอะไรก็ขอให้สำเร็จจ้ะ

เถรี
18-05-2012, 16:24
ถาม : บวงสรวงขอลูกกับท่านปู่พระอินทร์ ทำอย่างไรคะ?
ตอบ : ใช้เครื่องบวงสรวงตามปกติ ขอบารมีท่านปู่พระอินทร์ว่า ถ้าเทวดาหรือนางฟ้าท่านใดจะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ก็ขอให้ท่านอนุมัติให้มาเกิดกับเรา จะช่วยสนับสนุนการทำความดีของท่านทุกอย่าง แต่ขอให้เลี้ยงง่าย เฉลียวฉลาด มีความซื่อสัตย์กตัญญูด้วย

เถรี
18-05-2012, 17:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะโกนหัว จำไว้แม่น ๆ นะ ฟอกหัวให้ทั่วถึงสัก ๔ - ๕ ครั้ง ผมจะนิ่มแล้วโกนง่าย แม่ชีที่บวชใหม่ ๆ ไม่มีหรอกที่หัวจะไม่เลือดโชก อาตมาบอกให้ไปฟอกหัวมาหลาย ๆ ครั้ง เขาไม่ค่อยทำกันหรอก เขารู้ดีกว่า..!

พอโกนหัวครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ชักจะรู้ตัวแล้ว เพราะถ้าขืนทำเหมือนเดิมก็เลือดโชกอีก มีแม่ชีโสภิตที่ขออนุญาตไม่โกนมาจนทุกวันนี้ ปล่อยให้ผมยาวไปเลย โกนครั้งแรกครั้งเดียวก็เข็ด อาตมาบอกว่าเอ็งไปฟอกหัวมา ๓ - ๔ เที่ยว จะได้ไม่มีบาดแผล ไม่เจ็บไม่คัน เขาดันไปฟอกพรวด ๆ ๓ ทีราดน้ำโครม โคนผมยังไม่ทันจะเปียกเลย เท่ากับโกนแห้ง ๆ ถลกหนังหัวตัวเอง..!

เวลาผมโดนน้ำจะนิ่ม โกนง่ายขึ้น หนังหัวเราพอชุ่มแล้ว เวลาโกนก็ไม่เป็นขุย ถ้าเป็นขุยเท่ากับถลอก พอถลอกก็เป็นแผล ราดน้ำโครมก็แสบสะดุ้งเฮือก สรุปว่าต้องผ่านบทเรียนกันก่อนถึงจะจำ..!"

เถรี
18-05-2012, 17:31
http://www.siamdara.com/Picture_Column/2009081427z8830.jpg



พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือว่า "หนังสือเรื่องหลินเจี้ยนหลง เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเลง ที่โดนจับเข้าสถานดัดสันดานและคุก ด้วยข้อหานักเลง เปิดบ่อน และพยายามฆ่า ระหว่างถูกควบคุมตัว เขาดิ้นรนจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ท้ายสุดจบปริญญาเอกที่อเมริกา กลายเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไต้หวัน


http://www.thaigoodview.com/files/u1335/p5826231n1.jpg




ส่วนถ้าใครอ่านมังกรคู่สู้สิบทิศ จะเห็นได้ว่า กว่าที่คนเราจะก้าวไปถึงจุดที่ตัวเองต้องการได้ ต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ในการต่อสู้ดิ้นรนระยะแรกเริ่ม ทำให้เห็นชัดเลยว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาแบบบังเอิญ คุณต้องต่อสู้ช่วงชิง ต้องใช้ความพยายาม ส่วนใหญ่เราไปเห็นตอนเขาประสบความสำเร็จแล้ว ตั้งตนเป็นเจ้าแล้ว แต่ที่ไหนได้..ตอนเป็นอันธพาลขนาดข้าวยังไม่มีจะกิน ถ้าไม่มีอาซ้อเจินสนับสนุน แอบยัดซาละเปาให้ พระเอกก็อดตายไปแล้ว"

เถรี
18-05-2012, 17:55
http://www.weloveshopping.com/shop/2ndhandbook/LT09051510.jpg


"หนังสือเรื่องหมาป่าของเจียงหรง ถ้าอ่านต้นฉบับภาษาจีนด้วยยิ่งดี ฉบับภาษาจีนชื่อหลางถู่โถว หลางคือหมาป่า ถู่โถวมาจากภาษาอังกฤษ ก็คือคำว่าโทเท็ม หลางถูโถ่ว คือสัญลักษณ์หมาป่า

เล่มนี้หนาปึ้กเลย เราจะได้รู้ว่าชนเผ่าเร่ร่อนสมัยก่อนทำไมถึงได้นับถือหมาป่าขนาดนั้น อยากจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้สามารถเป็นผลงานวิจัยปริญญาเอกได้ เพราะว่าสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม พวกนักศึกษา หรือพวกหัวก้าวหน้า หรือพวกวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง จะถูกส่งตัวไปทำงานแถว ๆ มองโกเลียใน ที่เขาใช้ว่ามองโกเลียในเพราะเป็นพื้นที่ของจีน ส่วนมองโกเลียนอกเป็นพื้นที่ของรัสเซีย แต่มีอาณาเขตติดกัน

ในเรื่องเฉินเจิ้นนักศึกษาจากปักกิ่งอาสาไปใช้แรงงานอยู่แถวนั้น ผจญกับความยากลำบากของดินฟ้าอากาศ ต้องไปตั้งคอมมูนในการผลิตอาหาร ผลิตพวกแพะ แกะ ส่งมาเป็นอาหาร ตัดขนทำเป็นเสื้อผ้า ถ้าการผลิตไม่ดีก็โดนวิจารณ์อีก ตัวที่แสบที่สุดคือหมาป่า เพราะป้องกันอย่างไรหมาป่าก็เอาแกะไปกินได้ เนื่องจากหมาป่ารู้จักแกะมากกว่าคน หมาป่ารอหิมะตกหนา ๆ ก่อน แล้วก็ต้อนแกะให้วิ่งไปถึงที่หิมะหนา ๆ พอแกะขายันพื้นไม่ได้ก็ติดอยู่ตรงนั้น รอให้หมาป่ามาลากไปกินทีละตัว"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็คล้าย ๆ กัน เพราะว่าถ้าขาดสติ ขาดสมาธิ ก็สู้เขาไม่ได้ การฝึกวิทยายุทธก็คือฝึกสติฝึกสมาธินั่นแหละ ในเรื่องตอนเขานั่งขัดสมาธิ เสร็จแล้วอาจารย์ก็โยนเหรียญลงพื้นดังติ๊ง..! ถามว่าเหรียญอยู่ทิศไหน ถ้าตอบผิดก็เจออาจารย์จัดการลงโทษ

เราลองนึกดู หน้าเหนือ หลังใต้ ซ้ายตะวันตก ขวาตะวันออก จากนั้นก็ทะแยงระหว่างซ้ายขวาหน้าหลัง ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ ได้ทิศพอดี ก็คือซ้าย ขวา หน้า หลัง ศอกซ้าย ศอกขวา เข่าซ้าย เข่าขวา ๘ ทิศพอดี คราวนี้รู้แล้วหรือยังว่าเขาแยกแยะได้อย่างไรว่ามาทิศไหน ? ฟังดูแล้วไม่น่ายาก แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการฝึก ต้องฝึกจนชินจริง ๆ ฟังเสียงลมรู้การเคลื่อนไหว

ในเรื่องมังกรหยกภาค ๑ นั้น ตัวละครที่ตาบอดเขาใช้การฟังเสียงเอา เวลาต่อสู้กัน เจออีกฝ่ายหนึ่งหลอก เขาใช้ท่าที่ทำให้คนตาบอดฟังไม่ออก เพราะไม่ใช่ท่าที่ใช้ฝ่ามือ ไม่ใช่หมัด ไม่ใช่นิ้ว ไม่ใช่กรงเล็บ คนตาบอดฟังเสียงไม่ออกก็ไม่กล้ารับ ไม่รู้ว่าเขาออกท่าอะไรก็หนีไว้ก่อน ความจริงก๊วยเจ๋งสู้ศพเหล็กที่ตาบอดไม่ได้หรอก แต่ศพเหล็กตาบอดเขาระแวง ก็เลยหนี

เถรี
19-05-2012, 08:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลานิมิตต่าง ๆ มาถึง บางทีมาแค่ชั่วพริบตาเดียว แต่สิ่งที่เรารู้อธิบายออกมาได้หลายหน้ากระดาษ เอาไว้ให้พวกเราเกิดนิมิตเองแล้วจะรู้ ภายในพริบตาเดียวความเป็นทิพย์จะรายงานหมดว่าอะไรเป็นอะไร รอก่อนนะ...รอให้ถึงตอนที่อาตมาเกิดในประเทศไทยก่อน แล้วค่อยเขียน ช่วงนั้นรบได้ทุกชาติ ไม่รบเขาก็ฆ่าเขา แล้วอาตมาจะไปเหลืออะไร จึงได้ป่วยอย่างนี้ทั้งชาติ

อาตมาเคยคิดจะแต่งหนังสือกำลังภายในเอง เพราะเห็นบางคนแล้วขัดใจ แต่งหนังสือกำลังภายในได้ห่วยมากเลย อาตมาไม่ต้องแต่งเองหรอก เขียนเรื่องจริงก็พอแล้ว เรื่องที่แต่งมีความสนุกเพราะว่าเป็นจินตนาการ แต่ถ้าเราเขียนเรื่องจริงจะสนุกกว่า เพียงแต่คนที่เขียนเรื่องจริงมุมมองเขาอาจจะไม่พอ

อย่างบันทึกไปพม่า เป็นเรื่องจริงล้วน ๆ บังคับเนื้อหาไม่ได้ด้วย ว่าแต่ละวันเราจะเจออะไร คนอ่านมักจะอ่านรวดเดียววางไม่ลง เราต้องเขียนให้คนอ่านเห็นเหมือนอย่างที่เราเห็น ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันนะ เพราะต้องนึกอยู่เสมอว่าเขาไม่เห็น ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์ บอกว่า "พระครู..เขียนได้เป็นธรรมชาติมาก ผมอยากเขียนอย่างนี้มานานแล้ว" คำว่าเป็นธรรมชาติของท่าน ก็คือเห็นอย่างไรก็บอกอย่างนั้น"

เถรี
19-05-2012, 08:24
"อาตมาเคยตั้งใจจะเขียนเรื่อง จอมทัพมหาราช ๓ ภาค มีพระเจ้าพรหมมหาราช พระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสินมหาราช บอกแนวทางให้คุณลลิตาไป เขาบอกว่าเขียนไม่ได้ จินตนาการเขาไม่ถึง

สมัยก่อนที่อาตมาจะไปเป็นทหาร ได้เขียนหนังสือขายอยู่ระยะหนึ่ง กำลังมีคนอ่านติดตรึม พอกลับจากการเป็นทหารมาดูเรื่องที่เขียน มีเนื้อหาเก่าที่เขียนไว้เรื่องหนึ่ง ๒ บท มาเขียนต่อบทที่ ๓ กับบทที่ ๔ เขียนเสร็จแล้วอ่านทวน ปรากฏว่าบทที่ ๑ กับบทที่ ๒ เหมือนคนหนึ่งเขียน บทที่ ๓ กับบทที่ ๔ เป็นอีกคนหนึ่งเขียน ต่างกันอย่างเห็นชัดเลย

สรุปว่าประสบการณ์ตอนไปฝึกทหารอยู่ช่วงหนึ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา ทำให้มุมมองชีวิตต่างออกไป คนเดียวกันเขียนแต่ต่างเวลากันเท่านั้น กลายเป็นคนละคนเลย อาตมาจึงต้องวางมือ เขียนต่อไม่ได้แล้ว ยกแนวเรื่องให้คนอื่นเขาไปเขียนแทน

บางคนเขียนแล้วไม่สมจริง อย่างเรื่องรหัสลับหลังคาโลกที่กำลังดังระเบิด ในเรื่องเขาใช้อาวุธอันตรายขนาดนั้นคนต้องตายเป็นกองร้อยแล้ว ไม่เหลือหรอก หรือไม่ก็กับดักที่เขาใช้ยึดโยงต้นไม้ให้ดีด มีคนทำไว้ตั้งแต่อดีตเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว พอไปกระทบเข้าก็ยังทำงานอยู่ ทหารหน่วยจู่โจมพิเศษที่ฝึกมาขนาดหนักยังตาย อาตมาก็นั่งหัวเราะว่าคนเขียนไม่รู้เรื่องต้นไม้ เขารู้แต่ว่าดัดต้นไม้แล้วต้นไม้จะดีดได้ แต่เขาลืมไปว่า ถ้าดัดต้นไม้ไว้สักอาทิตย์หนึ่งกิ่งไม้ก็ล้าแล้ว จะคงตัวเป็นรูปนั้นเลย แล้วในเรื่องเขาให้กับดักต้นไม้อยู่มาเป็นร้อย ๆ ปีแล้วยังทำงาน แสดงว่าเขาไม่เข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร"

เถรี
19-05-2012, 09:12
พระอาจารย์ให้โอวาทว่า "การอยู่วัด..สำคัญที่สุดคืออย่าไปตั้งความหวังกับคน สถานที่ดีแค่ไหนก็ตาม ครูบาอาจารย์ดีแค่ไหนก็ตาม คนรอบข้างก็ยังเป็นคนอยู่ ถ้าไปคิดว่าวัดดีแล้วคนต้องดี คิดว่าครูบาอาจารย์ดีแล้วเขาต้องดี เดี๋ยวก็อกหักดังกร๊อบ..!

ในเมื่อเป็นคนจะอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นคน สำคัญที่ว่าเราจะปล่อยวางได้มากเท่าไร สรุปง่าย ๆ ว่า อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่เราให้ดีที่สุดก็จบแล้ว จะได้ดูว่าเราเองปล่อยวางสักกายทิฐิได้มากเท่าไร ? ตัวกูของกู มานะยังมีเยอะไหม ? ถ้าไม่มีก็อยู่สบาย ถ้ามีก็กระแทกกันอยู่เรื่อย

โดยเฉพาะคนเรามีจุดอ่อนอยู่ที่ว่า เกิดอะไรขึ้นแล้วไม่สอบถาม แต่ตัดสินด้วยความคิดตัวเอง คราวนี้การตัดสินของเขาได้ตัดสินคนอื่นไปแล้ว โดยที่ลืมว่าตัวเราไม่ใช่บรรทัดฐานที่จะไปตัดสินคนอื่น ดังนั้น..ถ้ามีอะไรสงสัยก็ให้ถามกันตรง ๆ

ค่อย ๆ ปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็เป็นลูกเต๋าสี่เหลี่ยม หล่นโครมลงไปก็อยู่ตรงนั้น พอค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลา ลบเหลี่ยมลบมุมตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็จะกระทบคนอื่นน้อยลงไปเรื่อย จนในที่สุดก็กลมเป็นลูกบิลเลียด คราวนี้จะกลิ้งไปไหนก็ได้ หรือถ้ายังไม่พอก็เป็นลูกบิลเลียดแช่น้ำมัน ลื่นพอ ๆ กับปลาไหลแช่น้ำมันนั่นแหละ

ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเป็นเครื่องทดสอบ สอบได้หรือสอบตกก็ไม่มีใครช่วยเราได้ บางทีเราแนะนำไป วิธีการเขารู้ แต่กำลังของเขาไม่พอ บอกเขาว่ากำแพงอยู่ตรงนี้ จอบก็มี ขวานก็มี เลื่อยก็มี พังลงไปให้ได้แล้วกัน แต่แรงเขายังไม่พอ จึงพังลงไปไม่ได้สักที"

เถรี
19-05-2012, 09:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นคนหวงเวลา คนที่มานอกทุ่งนอกท่าอาตมาไล่เตลิดหมด ที่วัดตั้งพระเป็นเวรรับสังฆทาน ๕ รูป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป โยมขนสังฆทานมาจะมาถวายเจ้าอาวาส อาตมาก็ด่ากระจาย ถ้าอาตมารับสังฆทานเองแล้วจะตั้งเวรรับสังฆทานไปทำไม ?

ปรากฏว่าโยมเปลี่ยนวิธี ไม่มากวนที่กุฏิ แต่แบกไปรอถวายตอนฉันเพล พวกนี้เป็นประเภทไม่มีอุเบกขาในทานบารมี ความจริงจะถวายสังฆทานกับพระสงฆ์รูปไหนก็ได้ ต่อให้ศีล ๒๒๗ ข้อ ขาดวิ่นเหลือข้อเดียวก็ถวายไปเถอะ เพราะท่านเป็นตัวแทนของสงฆ์ ถวายไปก็ได้อานิสงส์เท่ากัน"

เถรี
19-05-2012, 09:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับตัวอาตมาเองแล้ว เรื่องทางโลกไม่มีอะไรให้ท้าทาย เพราะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จง่ายจนน่าเบื่อ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเหลืออย่างเดียวก็คือ การขัดเกลากิเลสตัวเอง

หลวงปู่มหาอำพันท่านเขียนติดหัวนอนไว้ว่า วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ ย่อมพบพานจุดจบสบสุขเอย ท่านลงชื่อคนเขียนว่าแม่เฒ่าปักษ์ใต้ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ? หลวงปู่คงไปอ่านเจอแล้วชอบใจ เลยลอกมาแปะติดหัวนอนไว้

ปัจจุบันนี้ที่อาตมาเรียนอยู่ เห็นประโยชน์ก็คือตอนไปสอนคนอื่น พอมีวุฒิรับรองการศึกษาสูง ๆ คนเขาจะให้ความสนใจมากกว่า คนเขาให้ความเชื่อถือมากกว่า ก็เลยเรียน ๆ ให้เขาหน่อย โลกเขาเคารพสมมติอย่างนั้น เราก็ต้องหาให้เขาหน่อย"

เถรี
19-05-2012, 09:34
ถาม : ทำอย่างไรถึงจะปราบปะป๊าได้ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอย่างไรหรอกจ้ะ ปล่อยให้ปะป๊าแก่ตายไปเองดีกว่า แต่ถ้าจะปราบจริง ๆ ก็ต้องทำตัวให้น่ารักมาก ๆ ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เดี๋ยวปะป๊าเกรงใจก็เสร็จเราเอง ถ้าหากว่าเรายังทำดีไม่พอ ปะป๊ายังไม่เกรงใจเพราะว่าเราเป็นเด็ก เด็กต้องมีความดีเยอะกว่า ผู้ใหญ่เขาถึงจะเกรงใจ

กลับบ้านไปสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิทุกวัน รักษาศีลให้ครบถ้วน ตั้งใจเรียน เอาที่ ๑ มาบ่อย ๆ เดี๋ยวปะป๊าก็เกรงใจเอง เข้าใจนะจ๊ะ...ปราบให้อยู่หมัดเลยลูก..!

เถรี
19-05-2012, 09:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นเก๊าท์อย่ากินยอดผัก อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ หรือเนื้อสัตว์ปีก เพราะจะเป็นการซ้ำให้อาการหนักขึ้น ต้องงดกินของพวกนี้แล้วไปดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ ให้ปัสสาวะออกมามาก ๆ สักสามวันก็จะหาย เพราะว่าเก๊าท์เกิดจากผลึกกรดของโปรตีนไปตกอยู่ในข้อ แล้วผลึกก็แหลมเปี๊ยบอย่างกับเข็ม เมื่อเข็มทิ่มเนื้อก็ต้องปวดเป็นปกติ"

เถรี
19-05-2012, 16:03
พระอาจารย์กล่าวสอนคนเป็นพ่อแม่ว่า "เราจะไปรำคาญลูกไม่ได้ ในเมื่อมีเขาแล้ว จะรำคาญเขาไม่ได้ มีเขาแล้วต้องอาศัยธรรมข้อที่ว่าพ่อแม่เป็นพรหมของบุตร ต้องอดทนอดกลั้น วางอุเบกขากับเขาให้ได้"

เถรี
19-05-2012, 16:07
ถาม : เมื่อภาวนาไปแล้ว เกิดอาการเหมือนเหวที่ไม่มีก้น นี่เป็นอาการของฌานหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่..เป็นอาการที่จิตตกศูนย์กลางพอดี จะลงกึ่งกลางไปเรื่อย ๆ ถ้าใครฝึกธรรมกายมาจะรู้ ลงกึ่งกลางของกึ่งกลางไปเรื่อย ๆ จึงเหมือนกับลงเหวที่ไม่มีก้น จนกว่าธรรมกายจะปรากฏจึงจะหยุด

เถรี
19-05-2012, 16:42
พระอาจารย์บอกคนที่อ่านหนังสือว่า "อ่านมูซาชิแล้วอย่าลืมอ่านซันชิโร่ด้วยนะ ตอนที่มูซาชิโดนบังคับให้ทำสมาธิ ทำให้เขารู้ว่า ก่อนที่คนจะเก่งนั้น ใจต้องนิ่งก่อน ส่วนซันชิโร่เขาอาศัยความบ้า ความบ้านะไม่ใช่ความกล้า เวลาเขาประลองกันท่ามกลางสายฝน ซามูไรคนไหนที่เงื้อดาบขึ้นก่อนมักจะโดนฟ้าผ่าตาย แต่ซันชิโร่ไม่กลัว เพราะถึงไม่โดนฟ้าผ่าตาย ตัวเองก็อาจจะตายเพราะอีกฝ่ายอยู่แล้ว คู่ต่อสู้เลยต้องทิ้งซามูไรหนี เพราะลูกบ้าของซันชิโร่มากกว่า

ถ้าคนเราสามารถตัดใจไม่กลัวตายได้สักเรื่องหนึ่ง จะทำอะไรได้เยอะมากเลย วิถีแห่งซามูไรภาษาญี่ปุ่นเขาเรียกว่าบูชิโดเป็นอักษรคันจิ ภาษาจีนคือบู๊เฮียบ หมายถึง จริยธรรมนักรบ ฉะนั้น..ทุกวันนี้วิถีบูชิโดหรือจริยธรรมนักรบ ก็ยังฝังอยู่ในจิตใจของชาวญี่ปุ่นอยู่เป็นปกติ เสียสละ กล้าหาญ อดทน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีทั้งหมดอยู่ ๑๒ ข้อด้วยกัน

อย่างตอนที่เกิดสึนามิแล้วโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์รั่ว คนญี่ปุ่นเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยรับของแจก ลำบากแค่ไหนก็อดทน ไม่ปริปากบ่น นั่นก็คือจริยานักรบที่ฝังรากลึกอยู่ เพราะเขาได้รับการอบรมมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ถ้าเป็นบ้านเราไปแจกของก็คงจะเหยียบกันตาย เหยียบกันตายไม่พอ เขาจะเหยียบเราตายไปด้วย..!"

เถรี
19-05-2012, 16:47
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บ้านเราก็มีเหมือนกัน แต่พอมีแล้วกลายเป็นคนโง่ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนดี แต่เป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น จงยอมเป็นคนโง่ต่อไป เพราะคนโง่ โง่แล้วสบายกว่า คนฉลาดมักจะโดนคนอื่นเขาสกัด เพราะกลัวว่าจะล้ำหน้าตนเอง เป็นคนโง่ของเราไปได้เรื่อย ๆ ไม่ไปเกะกะขวางทางใคร

“ฉันไม่สู้เธอละฉันยอมแพ้ วาจาจากใจแท้แน่นักหนา ไม่ขอสู้กับใครในโลกา เป็นผู้แพ้ดีกว่าสบายใจ”

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าหากว่ามีตัวกูอยู่ก็ยอมแพ้ไม่ได้ ถ้าไม่มีตัวกูของกูก็ยอมแพ้ได้สบาย

เถรี
20-05-2012, 09:45
มีโยมมาถวายพระไตรปิฎก พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ปกติพระไตรปิฎกควรจะต้องมีตู้ใส่ แต่ตู้ราคาแพงมาก ถ้าเป็นตู้ไม้สักราคา ๒ - ๓ หมื่นบาท พระไตรปิฎกชุดอรรถกถาราคาประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท สรุปว่าตู้ราคาแพงกว่าพระไตรปิฎกเสียอีก เห็นพระไตรปิฎกแล้วนึกถึงความมานะพยายามของคนโบราณ เขาค่อย ๆ จารพระไตรปิฎกกันทีละแผ่นทีละผูก

เรื่องการอ่านพระไตรปิฎกเป็นอาชีพของพระ อาตมาเองอ่านพระไตรปิฎกหมดไปหลายจบแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้โยมควรจะอ่านกันเอง จะได้รู้ว่าพระพุทธวจนะที่แท้จริงเป็นอย่างไร พระองค์ท่านตรัสถึงแต่ละอย่างว่าอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะชุดที่ถวายมามีอรรถกถาแปลขยายความให้ด้วย ยิ่งเข้าใจได้ง่ายขึ้น พระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยโบราณ เราจึงอ่านเข้าใจยาก อย่างเช่น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงเข้าถึงทุคติ วินิบาต อ่านแล้วมึน บอกว่าตายแล้วลงนรกก็หมดเรื่อง..!

พระไตรปิฎกที่อยากจะให้อ่านมากที่สุด เป็นพระไตรปิฎกฉบับแก่นธรรม ที่ร้านหนังสือมหาจุฬาบรรณาคารน่าจะมี ส่วนพระไตรปิฎกฉบับประชาชนนั้นรวบรัดเกินไป รวบรัดเสียจนกลายเป็นดรรชนีค้นหาไปเลย ตอนแรก ๆ ยังดีอยู่เพราะมีเนื้อหาย่อให้ พอท้าย ๆ คนทำคงเหนื่อย ย่อไม่ไหว กลายเป็นดรรชนีบอกว่าเรื่องนั้นมีเนื้อหาอยู่ที่เล่มไหนไปเลย

แม้พระไตรปิฎกฉบับแก่นธรรมเนื้อหาจะไม่มากเท่ากับชุดใหญ่ แต่ก็ไม่น้อยไปจนกระทั่งไม่เข้าใจใจความ เพราะตัดเอาเนื้อหาสำคัญ ๆ มา แต่อาตมาอยากจะให้อ่านเล่มใหญ่เต็มฉบับ อย่างชาดกในพระไตรปิฎกบางฉบับมีแต่เนื้อหาเฉย ๆ ไม่ได้บอกว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงตรัสถึงชาดกเรื่องนั้น และไม่ได้สรุปว่า เมื่อจบแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่าอย่างไร เกิดผลอะไรขึ้นแก่ผู้ฟัง ทำให้พวกเราไม่รู้ว่าความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาว่าคืออะไร อยู่ ๆ ก็มีเนื้อเรื่องโผล่มาแล้วก็เงียบไปเฉย ๆ "

เถรี
20-05-2012, 10:39
http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTj9QfKJISrTBOtesab32VuSe__K-rz_agaWg5hB8ci2ODWendR&t=1


พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือว่า "บางทีหนังสือดี ๆ กลับไม่ได้รับความนิยมจากตลาดเพราะขายไม่ได้ พิมพ์ครั้งหนึ่งก็เข็ด ไม่มีการออกใหม่อีก อาตมาอ่านลูกม้าสีแดงของจอห์น สไตน์เบ็ค ตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๒ มาหาอ่านได้อีกทีตอนอายุเกือบ ๔๐ ปี ของดีมักจะขายไม่ค่อยออก ต้องเป็นประเภทพวกเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ ปัจจุบันนี้เด็กรุ่นใหม่นิยมอ่าน เขาก็เลยอยู่กับความฝันมากกว่าความจริง

ความฝันถือว่าช่วยเสริมสร้างจินตนาการ แต่เราต้องยอมรับด้วยว่าสภาพความจริงของโลกไม่ใช่สิ่งที่ฝัน มนุษย์ทุกรูปทุกนาม ทุกชาติทุกภาษามีความฝัน เพราะฉะนั้น..เขาจึงมียุคพระศรีอาริย์ มีแชงกรีล่า มีแดนดอกท้อ มียูโทเปีย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ว่ามา อยู่ในลักษณะของจินตนาการ แต่บุคคลที่เข้าถึงความดีก็สามารถที่จะไปได้ อย่างแดนดอกท้อของจีนก็คือเมืองลับแล"

เถรี
20-05-2012, 11:35
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาไปถ้ำทะลุใหม่ ๆ จะมีงูเห่าดงอยู่คู่หนึ่ง ชอบมานอนกับพระ ทำให้พระขวัญหนีดีฝ่อ เพราะเวลางูตกใจจะยกหัวขึ้นมาขู่เสียงดังมาก บางทีพระกางกลดอยู่ เขาก็ไปม้วนอยู่บนหลังคากลด พอพระตื่นขึ้นมาจะเก็บกลด กลดเขย่าเขาก็ขู่ พระจึงไม่กล้าเก็บ ตอนแรกพระบอกว่า “อาจารย์..งูเห่าม้า” อาตมาก็งงว่างูเห่าม้าเป็นอย่างไร พอไปดูจึงรู้ว่าเป็นงูเห่าดง ตรงดอกจันของงูจะเป็นรูปเหมือนเครื่องหมายของการบินไทย แต่เครื่องบินหัวทิ่มลง เขาเห็นคล้ายรูปเกือกม้า เลยเรียกว่างูเห่าม้า

พวกงูเห่าดงค่อนข้างจะเกเร ใครอยู่ในเขตเขาไล่เลยนะ แต่ตัวนี้ไม่รู้ว่าเขามาก่อนหรือมาทีหลัง ถ้ามาทีหลังเห็นว่าที่น่าอยู่ แต่มีพระอยู่แล้ว เขาคงให้เกียรติเจ้าถิ่นกระมัง จึงไม่ไล่พระ"

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/7a/Cobra_hood.jpg/243px-Cobra_hood.jpg

เถรี
20-05-2012, 11:58
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเป็นฆราวาส จะมีความสามารถในการขโมยอารมณ์ปฏิบัติธรรมของคนอื่น เวลาเขามาเล่าอารมณ์การปฏิบัติของเขาว่า เขาทำอะไร ? ได้ถึงไหน ? อาตมาจะปรับอารมณ์ตาม แล้วได้เท่าเขาเดี๋ยวนั้นเลย เพราะฉะนั้น..อย่ามาเล่าให้ฟัง ถ้าอยากจะเก็บไว้คนเดียวโปรดอย่ามาบรรยาย บรรยายเมื่อไรเสร็จอาตมาหมด คือจะยกกำลังใจไล่ตามเขาได้เลย แล้วเสร็จแล้วมาทวนอีกสักครั้งสองครั้งก็ชำนาญ ไม่รู้พวกเรามีใครเป็นอย่างนี้บ้างไหม ?

อยากจะบอกว่า เรื่องนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการมีคู่มือชั้นดีในสมัยที่ยังไม่ได้บวช พอถึงเวลาทำอะไรได้ก็จะไปคุยกัน ไล่กันไปไล่กันมา แล้วท้ายที่สุดก็จะได้เท่ากัน"

เถรี
20-05-2012, 12:29
ถาม : ผมมีพระ อยากรู้ว่าแท้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถามอย่างนี้ปลอมหมด..! เพราะตัวเรายังขาดความมั่นใจ ต่อให้ได้ของแท้มาก็เท่ากับของปลอม

ถาม : แท้จริง ๆ อยู่ที่ใจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...ถ้าไม่เชื่อมั่น ไม่ยึดมั่น มัวแต่ไปคิดว่าพระปลอม แล้วอีกกี่ชาติถึงจะได้ดี ขนาดทหารเขาออกรบ กำลังตีกันให้มั่วไปหมด ทีนี้ทำพระหล่น คว้ามาได้ก็ยัดใส่ปากใหม่ ที่ไหนได้กลายเป็นลูกเขียดไม่ใช่พระ เขียดที่โดนอมอยู่ในปากก็ดิ้นใหญ่ เขาก็มีกำลังใจ “หลวงพ่อไม่ต้องช่วย ผมไหว” ลุยกระจาย ตกลงอมลูกเขียดยังชนะเลย อย่าว่าแต่พระ..!

ถ้าเรามั่นใจว่าพระพุทธคุณมีเต็มเปี่ยมอยู่ในทุกที่ทุกสถานแล้ว ไม่ต้องไปกังวล จะไปตัวเปล่าก็ยังไหว

เถรี
20-05-2012, 13:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "แม่ชีสุอุตส่าห์ไปเรียนถักเชือกสร้างสมาธิกับพระทิเบต ท่านสอนมาว่า เรื่องของการทำวัตถุมงคลก็คือลักษณะอย่างนี้ ทำไปภาวนาไป เป็นการจับอิริยาบถและสัมปชัญญะ คนไม่รู้ก็ไปตำหนิว่านั่งทำอะไรกันทั้งวัน

หลวงปู่กินรีเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง หลวงปู่สอนให้ลูกศิษย์นั่งภาวนา นั่งภาวนาไปทั้งวัน แต่หลวงปู่กินรีไม่นั่งกับใครเลย ท่านไปกวาดวัด เย็บผ้า เหลาไม้กลด หลวงพ่อชาทนไม่ไหว “ไม่เห็นหลวงพ่อนั่งภาวนาบ้างเลย ให้แต่พวกผมภาวนา ?” หลวงปู่บอกว่า “คนฉลาดทำอะไรก็ภาวนาได้ แต่พวกคุณยังไม่ถนัดอย่างนั้น ต้องไปนั่งภาวนาอย่างเป็นทางการไปก่อน เมื่อคล่องตัวแล้วจะทำอะไรใส่สติลงไปด้วยก็เป็นการภาวนานั่นเอง”

ต่อมาหลวงพ่อชาก็รำคาญใจอีกแล้ว หลวงปู่บอกให้ฉันอาหารอย่างช้า ๆ เคี้ยวอย่างมีสติ อย่าตกเป็นทาสของรสอาหาร แต่หลวงปู่กินรีจ้วงไม่ยั้ง หลวงพ่อชาก็อดรนทนไม่ได้ วันพระต่อไปก็ถาม “หลวงพ่อให้พวกผมฉันช้า ๆ ทำไมหลวงพ่อถึงฉันเร็ว ?” ท่านบอกว่า “คนขับรถเร็วแล้วปลอดภัยก็มี” จบเลย

ของท่านอยู่ตัวแล้ว แต่พระใหม่ยังไม่อยู่ตัว ถ้าเผลอเมื่อไรจิตจะไปยินดีในรสอาหาร ต้องฉันช้า ๆ พยายามให้ใจเป็นอุเบกขา ได้รสที่ชอบก็ไม่ดีใจ ได้รสที่ไม่ชอบก็ไม่เสียใจ"

เถรี
20-05-2012, 13:40
มีโยมมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องแร่ที่เป็นส่วนผสมทอง พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ยังมีแร่เพรียงไฟอย่างเดียวที่ยังเป็นความลับอยู่ เพราะว่าอาตมาขุดหลายครั้งแล้วไม่เจอ สารปากนกแก้วเอาไปให้ทางวิทยาศรมพิสูจน์แล้วคือโปแตสเซียมไดโครเมต ทองแดงเถื่อนกับตะกั่วเถื่อนเป็นสารธรรมชาติ คาดว่าใช้ทองแดงบริสุทธิ์กับตะกั่วบริสุทธิ์น่าจะได้อยู่ ตะกั่วเถื่อนก็คือดีบุก

ตัวแร่เพรียงไฟคาดว่าน่าจะเป็นสารอะไรบางอย่าง ที่สามารถลดจุดหลอมเหลวของโลหะได้ เพราะสมัยโบราณเขาใช้หลอมด้วยกระทะใบบัว ถ้าเป็นทองแดงแท้ ๆ คาดว่ากระทะใบบัวคงจะละลายก่อน

จุดที่อาตมาไป ถ้าว่ากันตามพิกัดทหาร เขาเรียกว่าเนิน ๕๕๑ คือเป็นเนินที่สูง ๕๕๑ เมตรพอดี แต่ว่าคงไม่ใช่วาระที่สมควร เพราะว่าอาตมาเองสอบวิชาแผนที่เข็มทิศได้ที่ ๑ แต่เดินขึ้นเนินผิด ๓ ครั้ง เหมือนอย่างกับโดนหลอกให้เดินหลงตลอด แร่เพรียงไฟที่ต้องการจึงยังหาไม่เจอ"

เถรี
20-05-2012, 13:58
"เรื่องของทองคำ ไม่น่าเชื่อว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังแยกธาตุนี้ไม่ได้ แต่โบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุทำทองคำได้นานเนกาเลแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ทางสายวัดเขาอ้อที่พัทลุง มีใครสืบสายวิชาทองมหาสัตตโลหะอยู่หรือเปล่า ? นั่นคือทองคำที่เกิดจากเล่นแร่แปรธาตุจริง ๆ เขาใช้โลหะ ๗ อย่างผสมกันเป็นทอง

พอสิ้นหลวงปู่กลั่นแล้วอาตมาไม่ทราบว่าอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ได้รับการถ่ายทอดไว้หรือไม่ ? หลวงปู่กลั่นท่านบวชเมื่อตอนอายุมากแล้ว บวชตอน ๖๐ ปีแล้ว แต่ท่านอายุยืนอยู่จน ๙๓ ปี อาตมาไปที่นั่นก็ไปนั่งคุยกัน เคยได้วัตถุมงคลของท่านที่ทำด้วยทองมหาสัตตโลหะมา ๓ - ๔ องค์ คนอื่นเขาบูชาต่อไปหมด ถามท่านว่าทำไมไม่ประกาศไปตรง ๆ ว่าเป็นทอง ท่านว่าไม่ได้หรอก ของเราไม่ใช่ทองที่ร้านเขาขายกัน

ตามสูตรทำทองของโบราณที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาเปิดเผยให้ทราบ เขาใช้ทองแดงเถื่อน ๑ ส่วน ตะกั่วเถื่อน ๑ ส่วน สารปากนกแก้ว ๑ ส่วน แร่เพรียงไฟ เศษ ๑ ส่วน ๔ ส่วน เอา ๓ อย่างแรกหลอมรวมกันไปก่อน แล้วเอาแร่เพรียงไฟค่อย ๆ ซัด คำว่าซัดของโบราณแปลว่าผสมทีละน้อย แล้วจะกลายเป็นทองคำ

อาตมาพยายามหลายทีแล้ว แต่วาระคงยังมาไม่ถึง รู้ว่าทองแดงเถื่อนคืออะไร ตะกั่วเถื่อนคืออะไร สารปากนกแก้วคืออะไร แต่แร่เพรียงไฟขุด ๓ ครั้ง ก็ไม่เจอทั้ง ๓ ครั้ง ของที่วาระยังไม่ถึง เทวดาท่านต้องบังไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าลึกเมตรเดียว อาตมาจ้วงจนแทบจะมิดหัวแล้วยังไม่เจอ"

เถรี
20-05-2012, 14:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่ไปร่วมงานฉลองพัดยศจะได้รับหนังสือปกิณกธรรม เล่ม ๓ จำนวน ๑ เล่ม มีพระนาคปรกลอยองค์ ฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี ๑ องค์ และกระเป๋ามีตราวัดกับเสาเสมาธรรมจักรที่ได้รับ น่าจะเป็นกระเป๋าใส่สตางค์เพราะใหญ่ประมาณธนบัตรใบละพัน ๑ ใบ ใครสละสิทธิ์ไม่ไปก็ได้นะ เดี๋ยวหลังงานจะเอาพระมาจำหน่ายแพง ๆ ต่อไป แต่ในงานแจกฟรี..!

สำหรับกระเป๋าเข้าพิธีเมื่อเสาร์ ๕ ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น..จึงแจกได้เต็มที่ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีแค่ ๑,๗๐๐ ใบ คนน่าจะไปวันนั้นสัก ๑,๐๐๐ คนเท่านั้นแหละ ถ้าไปเกินก็ต้องวัดดวงกันเอาเองว่าใครไปถึงก่อน"

เถรี
20-05-2012, 14:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมาหนักใจมาก ที่หนักใจมากเพราะว่าหมอดูที่เชื่อถือได้ บอกว่าตอนนี้อาตมายังไม่ดังเลย จะมีดังมากกว่านี้อีก และจะดังยาวไป ๓๕ ปี นี่กะให้อาตมาอยู่ยัน ๙๐ เลยนะ แค่ปีนี้ก็อยากจะไปเต็มทีแล้ว นี่จะให้อยู่ยัน ๙๐ ปี..!

อาตมากำลังคิดว่าตัวเองไม่น่าจะอธิษฐานผิด อธิษฐานทุกครั้งก็ขอให้ในหลวงอยู่ถึงพระชนมายุ ๙๐ ปี ไม่ใช่ตัวเอง..เขาไปลงตัวเลขผิดบัญชีหรือเปล่า ? ขอให้ในหลวงอยู่ถึง ๙๐ ปี หมอดูดันมาดูดวงของอาตมาว่าจะดังยาวไปอีก ๓๕ ปี

แบบเดียวกับครั้งที่อาตมาไปกวนพระองค์ที่ ๑๐ ขออนุญาตถ่ายรูปท่าน ท่านบอกว่า "ถ่ายไปแล้วจะอยู่ไปถึง ๑๒๐ ปีหรือ ?" อาตมาฟังก็เข้าใจว่ารูปนั้นจะอยู่ถึง ๑๒๐ หรือ ? จึงกราบเรียนว่า "ถ้าอย่างนั้นขอบารมีหลวงปู่ให้อยู่ถึงด้วยครับ" ท่านบอกว่า "เออ..จะเอาอย่างนั้นก็ได้" อาตมาก็ถ่ายรูปมา คนอื่นบอกว่า "พี่ไปรับปากท่านทำไมว่าจะอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ?" อาตมาบอกว่า "เฮ้ย..ไม่ใช่ ท่านหมายถึงรูป" เขาบอกว่าไม่ใช่ อาตมาก็แปลกใจกลับไปย้อนฟังเทปใหม่ เออ...มีเค้าจริง ๆ ว่า ที่ท่านว่าน่าหมายถึงตัวเองกระมัง ?

เพราะฉะนั้น..บทที่ท่านจะใช้งานใคร ท่านหลอกจนโง่ไปเลย อาตมาก็เร่งวันเร่งคืน เมื่อไรจะตายสักที ลืมตาขึ้นมาวันไหนก็เฮ้อ..อีกแล้ว..!"

เถรี
21-05-2012, 13:00
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยนี้เด็กไม่ค่อยกลัวพระ ตอนอาตมาเรียนอยู่ชั้น ป.๒ เจอพระยังวิ่งหนีอยู่เลย โดยเฉพาะพระธุดงค์ ผู้ใหญ่เขาชอบหลอกเด็กว่า ถ้าร้องไห้จะให้พระธุดงค์จับไปซะ..เด็กก็เลยกลัวพระ ยิ่งพระธุดงค์ใส่ชุดสีดำ ๆ ด้วย ยิ่งไปกันใหญ่

สมัยก่อนกลดของพระธุดงค์มีขนาดใหญ่มาก น่าจะถึง ๒ – ๒.๕ เมตร กางลงไปก็เหมือนเต็นท์มหึมาดี ๆ นี่เอง เวลาปักกลดต้องขึงสายอัพโภกาส คือสายเชือก ปักกลดให้ว่าคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ขึงสายอัพโภกาสท่านให้ใช้คาถาตวาดป่าหิมพานต์ ถ้าทำด้วยกำลังใจมั่นคงจริง ๆ อันตรายจะเข้ามาในเขตนั้นไม่ได้ คือเราขึงเชือกกลดยาวถึงไหนก็กันได้แค่นั้น สำหรับพระธุดงค์ท่านปักกลดลงแล้วจะไม่ถอน ถึงแม้ตายลงไปก็ยอม ก็เลยมักจะโดนทดสอบกำลังใจ

แต่ว่ามาสมัยหลัง ๆ เขาทุ่นแรงกันเยอะ ตอนที่หลวงพี่โอ หลวงพี่ยงยุทธออกธุดงค์ อาตมาแอบเห็นท่านเอากลดมาซุกเข้าพิธีพุทธาภิเษก ถึงเวลาอาตมาอยากรู้ว่าก้านกลดของพวกพี่เขาทำด้วยอะไร เป็นไม้ไผ่หรือก้านตาล จึงไปถาม "ขอดูหน่อยพี่..ก้านกลดทำด้วยอะไร ?" พอกางพรึ่บออกมา โอ้โห..ธงมหาพิชัยสงครามติดอยู่ที่กลดอีก ๑ ผืน เล่นประกันความเสี่ยง..(หัวเราะ)..อย่างนี้ไปที่ไหนก็ปลอดภัยแน่นอน"

เถรี
21-05-2012, 13:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "แมวตระกูลศุภลักษณ์สีจะออกทองแดง ถ้าหากว่าเป็นแมวสีสวาดจะเป็นสีเทาอมขาว บางคนเรียกสีควันบุหรี่ หรือสีกลีบบัวแห้ง

ปศุ เป็นภาษาบาลี แปลว่า สัตว์เลี้ยง"

เถรี
21-05-2012, 13:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "เสียท่าไอ้วานร" รู้ไหมว่าไอ้วานรคือใคร ? วานรในที่นี้คือเห้งเจีย เห้งเจียมีนิสัยชอบปลอมตัวไปหลอกคนอื่น พอหลอกเสร็จคนที่ถูกหลอกก็บ่นว่า "เสียท่าไอ้วานรอีกแล้ว" เห้งเจียหลอกกระทั่งไท้เสียงเล่ากุน ถ้าว่ากันตามความเป็นจริง ไท้เสียงเล่ากุนคือท้าวสหัมบดีพรหม (หัวเราะ) จีนกลางเรียกไท่ซ่างเหล่าจวิน แต้จิ๋วเรียกไท้เสียงเล่ากุน"

ถาม : แล้วหลอกท่านได้จริงหรือคะ ?
ตอบ : ยาก..ปิดบังท่านไม่ได้หรอก ต้องเป็นผู้ที่มีกำลังใจสูงกว่าเท่านั้นถึงจะปิดบังท่านได้ ซึ่งหาได้ยาก รับรองว่าในระดับโลกียะไม่มีหรอก เพราะท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นระดับอรหัตมรรค..(หัวเราะ)..เหลือแค่อีกนิดเดียวเท่านั้น

ท่านปู่สหัมบดีพรหมเป็นคนดุ แต่ดุแบบคนเอาจริง ไม่ใช่ดุไปเรื่อยเปื่อย ถ้าลูก ๆ หลาน ๆ ตั้งใจทำอะไรจริงจัง ท่านจะสนับสนุนทุกอย่าง

เถรี
21-05-2012, 13:37
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ชีว่า "บวชแล้วอย่านั่งท้าวพื้น เขาห้ามนักบวชนั่งท้าวพื้น พระพุทธเจ้าทรงเอากิริยามารยาทของบุคคลในรั้วในวัง มาสั่งสอนให้พระปฏิบัติ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของสารูป โภชนปฏิสังยุตต์ ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ และปกิณกะในส่วนของเสขิยวัตร ก็คือมารยาทของคนในรั้วในวัง ถ้าหากเราทำพวกนี้ได้ ก็จะดูงามสง่าน่าเลื่อมใส ถ้าหากว่าทำไม่ได้จะมีจริยาเหมือนขาดตกบกพร่อง คนเห็นจะไม่เลื่อมใส

ฉะนั้น..เรื่องของพระก็เลยจัดอยู่ในระดับเดียวกับบุคคลในรั้วในวัง เพราะว่ามีศัพท์เฉพาะของตน อย่างกินก็เรียกว่าฉัน เชิญก็เรียกว่านิมนต์"

ถาม : แล้วแม่ชี ?
ตอบ : แม่ชีจัดว่าเป็นนักบวชก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน อยู่ในมารยาทเดียวกัน

ตอนนี้กำลังผลักดันให้แม่ชีมีฐานะเป็นนักบวชตามกฎหมายอยู่ ปกติแล้วถ้าแม่ชีไม่ได้สังกัดสถาบันแม่ชีไทย ก็จะถือบัตรประชาชน ไป ๆ มา ๆ พระเลยพลอยได้บัตรประชาชนไปด้วย ตอนนี้พระก็เลยตั้งใจช่วยแม่ชี พยายามช่วยผลักดันให้มีกฎหมายรับรองความเป็นนักบวชให้ จะได้สิทธิพิเศษและส่วนลดหลายอย่าง

เถรี
21-05-2012, 13:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนมาแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสที่อาตมาจบปริญญาโท โดยถวายพระปิดตามาแล้ว ๗ องค์ ว่าจะให้เขาเอาไปออกประมูลงานกฐินปลดหนี้ในเว็บ ตอนนี้กำลังวางแผนจะให้ประมูลจีวรชุดรับปริญญา เพราะว่าตอนรับปริญญาตรีเขาบังคับให้พระนิสิตทุกรูปห่มจีวรสีเหลือง อาตมาก็ต้องเปลี่ยนไปห่มสีเหลือง

ปีนี้อาตมาจะเอาชุดเก่าห่มไปอีก ถ้ามหาวิทยาลัยถวายชุดใหม่มาก็ซุกใส่รถไปเลย ใส่ชุดเดิมตอนที่รับปริญญาตรีนั่นแหละ กลายเป็นว่าปริญญาตรีและปริญญาโทก็รับชุดนั้น เก็บไว้รับตอนปริญญาเอกแล้วค่อยประมูล (หัวเราะ) เขาเรียกวางแผนทำมาหากินระยะยาว อาตมาเรียนการจัดการไปแล้วนี่ เขามีแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ใช่ไหม ? นี่แผนเกิน ๓ ปีก็เรียกว่าแผนระยะยาว

มีพระรูปหนึ่งจบปริญญาตรีการจัดการเชิงพุทธรุ่นแรก โดนส่งไปเป็นเจ้าอาวาสที่พิจิตร เจ้าประคุณเอ๋ย..วัดอยู่กลางทุ่งไม่พอ ยังมีวัดรอบ ๆ ข้างอีก ๒ - ๓ วัด ท่านเรียนการจัดการมาแล้ว ก็ไปดูว่าทำไมวัดนี้จึงร้าง แล้วอีก ๒ วัดรอบข้างจึงดัง ปรากฏว่าวัดหนึ่งดูหมอ อีกวัดหนึ่งใบ้หวย แล้วท่านจะเอาอะไรไปสู้เขา

ท้ายสุดก็เลยใช้วิธีเผาศพฟรี เกือบจะโดนวัดข้าง ๆ ฆ่าตาย งานที่คนจะไปเยอะก็คืองานศพ ไม่ได้ไปเพราะเกี่ยวกับญาติอะไรกันหรอก จะไปเล่นการพนัน ตำรวจมักจะผ่อนผันให้ เขาถือว่ามาเล่นการพนันเพื่ออยู่เฝ้าเป็นเพื่อนศพ"

เถรี
21-05-2012, 14:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการยึดถือตัวกูของกู บางทีมันก็คือตัวภูมิใจ ภาษาฝรั่งเรียกว่าอีโก้ บาลีเรียกว่าอัตตา ในเมื่อตัวกูของกู อะไร ๆ ก็กูดีหมด

อย่างเรื่องที่ชาวบ้านสองคนออกไปหาของป่าด้วยกัน พอเดินไปถึงท้ายหมู่บ้านคนหนึ่งก็บ่นว่า "ไอ้ห่..เอ๊ย ใครมาขี้แถวนี้วะ เหม็นฉิ..หายเลย" ปรากฏว่าเป็นขี้ของคนที่ไปด้วยกันแหละ เขาก็ด่าคืน "มึงว่าขี้กูเหม็นหรือวะ ?" ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ชักมีดที่พกไปใช้หาของป่ามาจ้วงแทงกัน ขนาดขี้ทิ้งไว้เป็นวันแล้วนะ ยังเป็นขี้ของกูอยู่เลย ขนาดขี้ยังเป็นของกู แล้วเรื่องอื่นจะไปเหลือหรือ ?"

เถรี
21-05-2012, 14:37
พระอาจารย์เล่าว่า "ช้างป่ากับช้างบ้านขนาดตัวต่างกันลิบลับ เพราะว่าสัตว์ที่เลี้ยงตามบ้านมีข้อเสียอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือ การผสมพันธุ์สายเลือดชิด ทำให้แคระแกร็นลงไปเรื่อย เพราะว่าไม่มีตัวอื่นให้ผสม อย่างที่สองคือ ช้างกินอาหารมากวันละประมาณ ๓๐๐ กิโลกรัม แล้วชาวบ้านจะเอาอะไรไปเลี้ยงมากมายขนาดนั้น ช้างบ้านจึงไม่เคยกินอิ่มเลย ยิ่งแกร็นเข้าไปใหญ่

ครั้งแรกที่อาตมาไปเจอช้างในป่า ยังตกใจว่าใช่ช้างหรือเปล่า ในความคิดของอาตมาคิดว่าช้างบ้านใหญ่สุด ใช่ไหม ? ที่ไหนได้พอไปเทียบแล้วแค่รุ่นลูก ๆ ของช้างป่าเท่านั้นเอง อาตมาสูง ๑๗๒ เซนติเมตร บวกกับด้ามกลดอีกอันหนึ่ง เพิ่งจะเอื้อมแตะรอยขี้โคลนที่ช้างเอาสีข้างไปถูต้นไม้ไว้ ต้นไม้โตประมาณ ๒ คนโอบ เปลือกไม้หลุดเป็นแผงเลย แค่ช้างถูต้นไม้แก้คัน ถ้าไม่ได้คันแต่วิ่งชนเข้าจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น..?!!

ในชีวิตนี้อาตมารอดูสัตว์อยู่ ๒ ชนิด อยากจะเห็นคาตา เพราะไม่เคยเห็นในธรรมชาติก็คือ แรดกับสมเสร็จ หลายคนเชื่อว่าแรดสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ได้ข่าวอยู่เรื่อย ๆ ว่า บริเวณรอยต่อไทย - พม่า ยังมีแรดข้ามไปข้ามมา สมเสร็จยังมีอยู่มากแต่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าดงดิบลึก"

เถรี
21-05-2012, 15:34
พระอาจารย์เล่าว่า "มีซินแสดูว่าอาตมาเกิดธาตุไม้ แต่เป็นธาตุไม้ช่วงที่ร้อนจัดที่สุด ก็เลยอ้วนไม่ได้สักที เพราะเป็นไม้ที่ขาดน้ำ เขาบอกว่าต้องรอให้ถึงอายุ ๖๐ ปี รอบธาตุเวียนมาบรรจบใหม่ ธาตุน้ำมาถึงจะอ้วน

เขาว่าตอนอายุ ๖๐ ปีไปแล้ว ต่อให้ไม่กินอะไร นั่งเฉย ๆ ก็อ้วน อาตมากำลังรออยู่ ระยะนี้ได้แต่รำพึง "ต้องมีสักวัน..ต้องมีสักวัน ตูต้องอ้วนให้ได้"..(หัวเราะ).."

เถรี
21-05-2012, 16:02
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ชีเคิ่ลว่า "เกิดมาไม่เคยทำให้หนุ่ม ๆ น้ำตาร่วง แต่มาทำให้แม่น้ำตาร่วงไปแล้ว..(หัวเราะ)..

ถ้าหากว่าตัดใจในลักษณะนั้นได้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรที่ตัดไม่ได้ เพราะข้อสอบจะมาเบากว่านั้น เรารับศึกหนักมาแล้ว สงคราม ๙ ทัพรับมาแล้ว อย่างอื่นจึงเป็นเรื่องเล็ก ต่อไปก็เหลือแค่พยายามลดทิฐิมานะ ตัวกู ของกู กูดีกว่า กำลังใจกูสูงกว่า กูเรียนมาเยอะกว่า มีสารพัดที่จะมาเรื่อย ๆ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลผู้อดทนต่อคำพูดของคนที่เลวกว่าได้ นับว่าเป็นสุดยอดของความอดทน อักโกสกพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนพราหมณ์..ญาติสาโลหิตสนิทมิตรสหายที่มาหาท่านมีอยู่บ้างหรือไม่ ?" อักโกสกพราหมณ์บอกว่า "ย่อมมีอยู่แล้ว เพราะเราไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก"

พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ "ท่านจัดขาทนียะ โภชนียะ น้ำใช้น้ำดื่มให้แก่พวกเขาทั้งหลายหรือเปล่า ?" อักโกสกพราหมณ์บอกว่า "ย่อมจัดให้ เพราะเป็นธรรมเนียมในการต้อนรับ" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า "ถ้าเขาเหล่านั้นไม่รับไว้ สิ่งของเหล่านั้นจะเป็นของใคร ?" อักโกสกพราหมณ์ตอบว่า "ย่อมเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม"

"เช่นกันพราหมณ์ ในเมื่อท่านด่าเรา เราไม่รับไว้ คำด่าทั้งหลายก็ย่อมเป็นของท่าน" ต้องบอกว่าคนอินเดียเก่งนะ ได้ฟังแค่นั้นก็ได้สติเลย อักโกสกพราหมณ์กราบพระพุทธเจ้างาม ๆ ๓ ครั้ง "สมณะ..คำพูดของท่านเป็นภาษิตเหลือเกิน เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนตามประทีปในความมืด"

ทุกวันนี้คนอินเดียก็ยังมีนิสัยแบบนั้น สามารถเถียงกันได้เป็นวันเป็นคืน ผลักกันไปผลักกันมา แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกันจริง ๆ เพราะเขาชนะกันด้วยโวหารมากกว่า แต่ถ้าไปเจอคนไทยเข้าละก็..ทิ้งตูมหงายท้องตีนชี้ฟ้าไปเลย คนอินเดียเขาไม่ได้รุนแรงอย่างนั้น"

เถรี
21-05-2012, 16:07
"เรื่องนี้ต้องถามท่านอาจารย์วศิน (ผศ.ดร.วศิน กาญจนวณิชย์กุล) ท่านไปเรียนด็อกเตอร์ที่มหาวิทยาลัยปูนา ประเทศอินเดีย คราวนี้ท่านเผลอสูบบุหรี่ให้เขาเห็น ท่านลืมไปว่าทางอินเดียหรือลังการังเกียจพระสูบบุหรี่มาก พระสูบบุหรี่ในสายตาเขาเหมือนกับอาบัติปาราชิก เขาถือว่าท่านเป็นนักบวช เป็นผู้ละกิเลส แล้วทำไมยังติดของเหล่านี้อีก

แขกเหล่านั้นไม่โวยวายเปล่า กระชากบุหรี่ของท่านอาจารย์วศินทิ้งเลย ท่านอาจารย์วศินก็ทิ้งตูมด้วยกำปั้น (หัวเราะ) อาตมาถามว่า "แล้วท่านอาจารย์ทำอย่างไรต่อครับ ?" ท่านตอบว่า "ก็เผ่นสิครับ อยู่ได้ที่ไหน ตัวผมใหญ่ไม่ได้ครึ่งของเขา แล้วเล่นมากันเป็นฝูง..!"

ปกติแต่งตัวแบบพระเขาถือว่าเป็นจันฑาล เป็นกาลกิณี แต่ท่านอาจารย์วศินไปแล้วเขาถือว่าอยู่ในวรรณะสูง เพราะท่านนามสกุลกาญจนวณิชย์กุล วานิช = พ่อค้า เป็นวรรณะแพศย์ ไม่ใช่จันฑาล ไวศยะหรือพวกแพศย์เป็นตระกูลพวกพ่อค้า"

เถรี
21-05-2012, 16:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกวินาทีคือการฝึกฝนตนเอง โดยเฉพาะความอดทนอดกลั้น อย่าลืมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ ประโยคแรกเลย ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ความอดทนเป็นตบะ (เครื่องเผากิเลส) อย่างยิ่ง (ของนักปฏิบัติ)"

เถรี
21-05-2012, 16:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "นิกายเรืองโรจน์ หรือที่เขาเรียกว่านิกายแสงสว่าง หรือนิกายอสูร ในเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศนั้น จริง ๆ นิกายนี้ถือศีลกินเจเลยนะ แต่พอเผยแพร่เข้ามาแล้วกลับไปสนับสนุนการช่วงชิงราชบัลลังก์

สมัยก่อนบรรดาศาสนาต่าง ๆ เมื่อเข้าไปในพื้นที่ไหน ต้องเข้าไปครอบงำหรือยึดครองผู้นำให้ได้ เพราะถ้าผู้นำนับถือศาสนาแล้ว สั่งคำเดียวผู้อื่นก็ต้องตามทั้งหมด แต่พอแพ้ขึ้นมาก็เลยถูกตราหน้าว่าเป็นนิกายอสูร ไม่ว่าไปที่ไหนก็ถูกไล่กวาดล้างไปตลอด ทำชั่วครั้งเดียวกลายเป็นชั่วตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสได้แก้ไขเลย

ปัจจุบันศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดู รู้ไหมว่าทำไมถึงเปลี่ยนไปเป็นศาสนาฮินดู ? เพราะว่านิกายที่คนนับถือมากไม่ได้นับถือพระพรหมเป็นใหญ่อีกแล้ว พราหมณะ แปลว่า เชื้อสายของพรหม ตอนหลังเขาแตกนิกายไปเป็นไวษณพนิกาย ถือพระวิษณุเป็นใหญ่ แตกไปเป็นไศวนิกาย ถือพระศิวะเป็นใหญ่ ตอนหลังแตกนิกายไปนับถือเทพองค์อื่น ๆ เช่น พระพิฆเนศ เจ้าแม่กาลี ถ้ายังใช้ว่าศาสนาพราหมณ์อยู่ก็จะไม่ครอบคลุม เพราะเขาไม่ได้ถือพรหมเป็นใหญ่แล้ว

เรื่องของการแตกนิกาย ก็คือ พอผู้นำนิกายไหนขึ้นมาก็จะยกองค์นั้นเป็นใหญ่ ทำให้เขาเปลี่ยนจากคำว่าพราหมณ์ ที่แปลว่าเชื้อสายของพรหมมาเป็นฮินดู คำว่าฮินดูนี่คนไทยออกเสียงนะ ความจริงมาจากคำว่าสินธุ จริง ๆ ก็คือสินธู คนไทยออกเสียงเป็นฮินดู"

เถรี
21-05-2012, 16:58
"ศาสนาพราหมณ์เข้ามาในไทยตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงสุโขทัย แต่มีหลักฐานปรากฏชัดในสมัยสุโขทัย เขาเข้าถึงพระเจ้าแผ่นดินมาตั้งแต่ยุคสมัยนั้น จนกระทั่งยุคปัจจุบันก็ยังเข้าถึงโดยตลอด แต่ศาสนาพราหมณ์กลับไม่เจริญ น่าจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้คิดเบียดเบียนศาสนาอื่น อย่างพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีพราหมณ์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์เต็ม

พอรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ พระองค์ปรับให้พิธีพราหมณ์ต่าง ๆ มีพิธีพุทธร่วมด้วย อย่างเช่นให้มีการเจริญพระพุทธมนต์ก่อน ให้มีการรับศีลก่อน ในเมื่อเอาพิธีพุทธเข้าไปก็ปนกัน เหมือนจะกลืนพราหมณ์เช่นกัน จะว่าไปแล้วพราหมณ์เข้าถึงองค์พระมหากษัตริย์มาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน แต่ว่าไม่มีการบีบบังคับให้ใครนับถือศาสนาพราหมณ์

อย่างอาณาจักรศรีวิชัย พอระเด่นปาทาชิงราชสมบัติได้ มเหสีก็ขอร้องให้ถือศาสนาอิสลาม เพราะมเหสีของระเด่นปาทาเป็นอิสลาม แล้วบังคับประชาชนทั้งหมดให้ถืออิสลามไปด้วย ศาสนาพุทธก็ล่มจมจากอินโดนีเซียตั้งแต่นั้นเลย แต่ไม่เป็นไร..ตอนนี้กำลังค่อย ๆ ฟื้นคืนมาแล้ว"

เถรี
22-05-2012, 11:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาที่อ่านเรื่องผจญกรรม อย่าไปใส่อารมณ์มาก ดูตามไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวอาจจะเจอตัวเองอยู่ในนั้น..(หัวเราะ)..

จะได้รู้ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพียงชาติเดียว แต่เกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ควรจะเข็ดได้แล้ว เรื่องราว ๒ - ๓ ตอนที่ลงในเว็บ เฉพาะตอนที่เกิดเป็นคน ถ้านับเวลาแล้วก่อนคริสตศักราชอีก ก็แปลว่า ๒ พันกว่าปีแล้ว กรรมเพิ่งจะตามมาทัน ถ้าเรานับระยะเวลาของโลกมนุษย์ก็ยาวนาน แต่ถ้านับเวลาของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชก็ประมาณ ๔๐ วัน เพราะวันหนึ่งของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชเท่ากับ ๕๐ ปีของโลกมนุษย์"

เถรี
22-05-2012, 12:36
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=17458&stc=1&d=1339756825
แมวตาเพชรปากคาบแก้ว

พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณไม่มีตำราดูหมามากเหมือนแมว ลักษณะหมาโบราณชัด ๆ เลยคือหลังอาน หรือไม่ก็คาบแก้ว คาบแก้วเป็นลักษณะหมาที่มีขนสีขาวขึ้นเป็นวง แต่ไม่เต็มวงนะ แค่ครึ่งหนึ่งเพราะคาบไปครึ่งหนึ่ง เขาว่าจะเอาความเจริญมาให้แก่คนเลี้ยง"

ถาม : คาบแก้วเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : เป็นขนตรงปากล่าง เป็นครึ่งวงกลมสีขาว ถือว่าคาบแก้วมาให้ ที่เห็นเป็นครึ่งวงกลมเพราะอีกครึ่งหนึ่งหมาคาบอยู่

ส่วนที่กำแพงแสนมีหมาตาเพชร ตาสีเขียวปลอดทั้งดวงเลย ไม่มีตาดำ

เถรี
22-05-2012, 13:23
ถาม : เวลาเราทำสมาธิ เราสามารถที่จะอธิษฐานให้คนที่เสียชีวิตไปแล้วได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลไป เขาตายไปแล้วอยู่ในเขตที่โมทนาได้เขาก็ได้รับ แต่ถ้าอยู่ในเขตที่โมทนาไม่ได้ก็ไม่ได้รับ ต้องรอให้เขาพ้นเขตนั้นมาก่อน ก็แปลว่าผู้ที่รับส่วนกุศลได้ต้องอยู่ในเขตที่โทษไม่หนักมากนัก

ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรคะ ว่าเขารับได้หรือรับไม่ได้ ?
ตอบ : ฝึกทิพจักขุญาณให้ได้แล้วไปดู เพราะถ้าคนอื่นบอกเราก็ไม่มั่นใจสักที

ถาม : คือไม่มีใครบอกได้
ตอบ : บอกได้..แต่เราก็ไม่เชื่ออยู่ดี เพราะเราไม่เห็น เพราะฉะนั้น..เราต้องเห็นเอง ต้องฝึกให้ได้เอง

ถาม : สวดมนต์เสร็จแล้ว อธิษฐาน...?
ตอบ : ให้เขาทุกครั้ง เขาจะได้รับไม่ได้รับไม่เป็นไร ถ้าเขาได้รับก็แปลว่าเราทำสำเร็จสมประสงค์ ถ้าเขาไม่ได้รับ รอเขาพ้นจากเขตนั้นมาก็ได้รับเอง

เถรี
22-05-2012, 13:35
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เหรียญกูผู้ชนะใช้ “อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด” ถ้ารักษาศีลได้บริสุทธิ์จะเกิดผลมหาศาลเลย อย่าไปคิดร้ายกับคนอื่นเขาก็พอ

ถาม : อานุภาพ ?
ตอบ : ป้องกันอันตรายได้ทุกประเภท

เถรี
22-05-2012, 13:56
ถาม : ถ้าสมมติว่าเราไม่ได้ตั้งใจ บังคับให้รถผ่านแทรกทะลุอีกคัน เป็นไปได้ไหมว่าจะแทรกไปได้ ?
ตอบ : ลองทำดูก่อน ถ้าทำได้สักครั้งเดียวก็ได้คำตอบเอง ตราบใดที่ไม่ได้ลองทำก็สงสัยไม่เลิก สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุง ด้วยความซน
ป้าศุภาพร(ภรรยาหลวงตาวัชรชัย)รู้ ก็เลยกระเซ้าเล่น “ระวังนะหลวงพี่..ถ้าออกไปครึ่งตัวแล้วสมาธิคลาย ก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ”

ตอนช่วงที่ทำได้ครั้งแรกก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ก็พุ่งทะลุกำแพงไปเฉย ๆ กลัวว่าตึกจะพัง พอไปดูเข้าจริง ๆ ก็ไม่มีร่องรอยอะไร นึกสงสัยก็ไปอีก จนกระทั่งเข้าใจว่า ที่เราเห็นว่าทึบ ความจริงรอยต่อของฝาผนังกว้างเป็นซูเปอร์ไฮเวย์เลย เพียงแต่ว่าเราต้องทำใจของเราให้ละเอียดเท่านั้น

ถาม : แล้วเหมือนกับตอนที่ท่านลอยขึ้นไปบนเพดานแล้วเจอพัดลมหรือเปล่า ?
ตอบ : คนละอย่างกัน อันนั้นภาวนาเฉย ๆ แล้วก็ลอยขึ้นไป

เถรี
22-05-2012, 14:06
ถาม : ในหนังสือสวดมนต์ ที่โบราณบอกว่าให้ท่องคาถา ๑๐ คาบ ?
ตอบ : คาบก็คือจบ ถ้า ๑๐ คาบก็ ๑๐ จบ มีบางตำราเพื่อความเป็นสมาธิเขาให้กลั้นใจก่อน เวลากลั้นใจแล้วจิตจะนิ่ง เพราะรู้ว่าใกล้ตายแล้ว จึงต้องมองหาว่าจะไปทางไหนดี แต่ทำอย่างนั้นบ่อย ๆ ตอนภาวนาจะเสีย เพราะเคยชินกับการกลั้นลมหายใจ บังคับลมหายใจ ถ้าเจอ ๑๐๘ คาบก็สนุก..!

เถรี
22-05-2012, 14:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่าบูเก๊ะ เป็นภาษายาวี แปลว่า ภูเขา มีหลายคนพยายามเอามาโยงกับคำว่าภูเก็ต เขาบอกว่าภูเก็ตน่าจะเป็นภาษายาวี ก็คือบูเก๊ะ เพราะว่าภูเก็ตเป็นเกาะอยู่กลางทะเล ถ้าเอาน้ำออกก็คือภูเขานั่นแหละ แต่ไม่น่าใช่..ภูเก็ตคำนี้น่าจะเป็นคำไทยแต่ว่าเขียนผิด น่าจะมาจากคำว่าเก็จ ก็คือภูเขาเงิน ภูเขาทอง ภูเขาแก้ว

บางอย่างเขาก็ลากจนเกินไป พอลากไกลเกินไปทำให้คิดมากแล้วก็เสีย มีคนพยายามอธิบายคำว่านครราชสีมา เขาบอกว่าสมัยก่อนยังมีราชสีห์อยู่ พรานล่าราชสีห์ได้ก็แบกหามกันมา ชาวบ้านเห็นถามว่า “คอนหยังมา ?” (แบกอะไรมา) พรานบอกว่า “คอนราชสีห์มา” หลังจากนั้นก็เรียกบริเวณนั้นว่านครราชสีมา

พวกนั้นฟุ้งซ่านเกินไป นครก็แปลว่าเมือง ราชสีมาก็คือเขตของพระราชา นครราชสีมา คือเมืองอยู่ใต้การปกครองของพระราชา แค่นี้ก็จบแล้ว บางทีนักภาษาก็พยายามจะคิดอะไรที่เกินเหตุไป"

เถรี
22-05-2012, 14:39
ถาม : เวลาเข้าป่าเจอผึ้งทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติเลย ถ้าผึ้งไม่มาตอมแสดงว่าคุณไม่มีเหงื่อ ผึ้งมาตอมเพราะว่าจะมากินเกลือ ผึ้งอยากได้ความเค็ม

ถาม : มีวิธีไล่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าวิธีของผมนี่สบายมากเลย หาที่ใกล้ ๆ นั่นแหละ เอาใบไม้วางสัก ๔ - ๕ ใบ แล้วก็ปัสสาวะรดไว้ ผึ้งก็จะไปตอมตรงนั้นแทน ยิ่งถ้าขังอยู่บนใบไม้ด้วยเดี๋ยวมากันเต็มเลย

บางที่ผึ้งชุมถึงขนาดต้องกางกลดจึงฉันข้าวได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไม่รู้ ปักกลดลงไปแล้วด้วย ผึ้งดาหน้าเข้ามาเยอะแยะ วันรุ่งขึ้นจึงรู้ว่าอยู่ห่างจากโพรงผึ้งไม่เท่าไรเอง

พวก ก.ย.ก็ใช้ได้นะ แต่ถ้าเหงื่อออกก็ต้องทาใหม่ หรือไม่ก็เอาอย่างพวกชาวบ้าน เวลาโดนยุง โดนริ้น โดนไร โดนผึ้งตอม เขาจะสูบยาพ่นเอา เพราะฉะนั้น..เด็กกะเหรี่ยงพอเริ่มรู้ภาษาก็เริ่มติดยาสูบแล้ว

เถรี
22-05-2012, 14:43
ถาม : เป็นโรคไมเกรน มียาสมุนไพรอะไรรักษาบ้างครับ ?
ตอบ : รากบวบ จะเป็นบวบงูก็ได้ บวบเหลี่ยมก็ได้ ให้ชาวบ้านเขาขุดรากบวบขึ้นมาล้างให้สะอาด นำมาตากแห้ง ชั่งน้ำหนักให้ได้ ๑ ขีด เอามาต้มน้ำกิน น้ำหม้อใหญ่ ๆ ใส่รากบวบลงไปทั้งหมดเลย ขีดหนึ่งถือว่าเยอะมาก ต้มกินไปรับรองว่าหายเร็ว

ส่วนใหญ่ไมเกรนเกิดจากความเครียด บางคนแค่มองแดดจ้า ๆ หน่อยก็กำเริบแล้ว

เถรี
22-05-2012, 15:45
พระอาจารย์ท่องบทสวดธรรมจักรพร้อมคำแปลให้ฟัง ดังนี้ "เทฺวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา ส่วนสุดสองอย่างที่ภิกษุมิควรซ่องเสพด้วย โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค การเกี่ยวข้องกับกาม หีโน เป็นของหยาบ เป็นของทราม คัมโม เป็นของบุคคลผู้ครองเรือน โปถุชชะนิโก เป็นบุคคลที่ยังกิเลสหนาอยู่ อะนะริโย ไม่สร้างความเจริญ อะนัตถะสัญหิโต ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

โย จายัง อัตตกิลมถานุโยโค การประกอบตนให้ลำบาก ทุกโข ประกอบไปด้วยความยากลำบาก อะนะริโย ไม่ใช่ทางแห่งความเจริญ อะนัตถะสัญหิโต ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ฯ

สังเกตอะไรไหม? ทำไมพระพุทธเจ้าไม่บอกว่ากามสุขัลลิกานุโยโคเป็นทุกโข? แต่ทำไมอัตตกิลมถานุโยโคจึงบอกว่าทุกโข? เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจยาก เห็นว่าการคลุกคลีอยู่กับกามเป็นความสุข เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่ากามเป็นความทุกข์คนก็ค้าน คนค้านก็ไม่ฟัง โอกาสเข้าถึงธรรมก็ไม่มี"

เถรี
22-05-2012, 15:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่า แก่ก็ให้แก่อย่างกะโหลกกะลา จะได้เอาไปใช้ประโยชน์ได้ โบราณเขาเอากะลาไปทำทะนานตวงข้าวได้ เอากะลาไปทำทัพพีได้ ทำจวักได้ เอากะลาไปทำกระบวยตักน้ำได้ เอาไปทำซอก็ได้

แต่ถ้าแก่แบบฟักแฟงแตงกวาก็จะหาประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะแก่แล้วหมดประโยชน์เลย"

เถรี
22-05-2012, 16:09
ถาม : มีคาถาหลายบทให้บริกรรมภาวนา เราควรจะบริกรรมบทใดบทหนึ่ง แล้วเจียดช่วงเวลาเปลี่ยนบทบริกรรม หรือว่าควรจะว่าบทเดียวไปเลย ?
ตอบ : ใช้บทใดบทหนึ่งให้กำลังใจทรงตัวก่อนแล้วค่อยเปลี่ยน เพราะเวลากำลังใจทรงตัวแล้ว พอเราเปลี่ยนคาถาผลจะได้เท่ากันไปเลย สมัยก่อนอาตมาก็ทำวิธีนี้แหละ จำกัดไว้ว่าแต่ละบทจะว่ากี่จบ ด้วยความที่เคยชินกับการใช้คาถาหลายบท สมมติว่าเราภาวนาบทละ ๓๐ จบ พอถึงเวลาจบบทแล้ว จะภาวนาขึ้นบทใหม่เองโดยอัตโนมัติ รู้ว่าบทต่อไปคืออะไร จิตทำงานเองเลย

เถรี
22-05-2012, 16:28
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ชีเคิ่ลว่า "ขอชมว่าเก่งที่ตัดใจได้ เพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติ การตัดสินใจเด็ดขาดสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด โอกาสได้มรรคผลแทบจะเป็นศูนย์

ในเรื่องของมารเราหย่อนมือให้ไม่ได้ เด็ดแล้วต้องขาด ถ้าเขาเซเราต้องซ้ำ ไม่ต้องไปนึกถึงน้ำใจนักกีฬาหรอก เพราะถ้าเราไม่ซ้ำ ปล่อยให้กิเลสมีแรงฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ คราวนี้เขาจะแข็งแรงกว่าเราหลายเท่า ตีเราตายเลย"

เถรี
22-05-2012, 16:36
พระอาจารย์เล่าว่า "มีฝรั่งไปสมัครบวชที่วัด เขาขอบวชปลายปี ขอกลับไปจัดการเรื่องการงาน และขายบ้านขายช่องให้เรียบร้อยก่อน ดูท่าเขาจะบวชยาวเลย เขาบอกว่าไปดูมาหลายที่แล้ว วัดท่าซุงก็ไป วัดเขาวงก็ไป ดูไปดูมาแล้วชอบใจวัดท่าขนุนมากที่สุด

พาเขาออกบิณฑบาต เดินจนเหงื่อท่วมตัวเลย อาตมาก็ขำ บอกกับเขาว่า "ให้คุณคิดเสียว่าเป็นมอร์นิ่งวอล์คก็แล้วกัน" เขาก็คลำพุงดูว่าพุงหายหมดแล้ว

เขาชื่อลุค ได้ภรรยาเป็นคนไทย อาตมาถามภรรยาเขาว่ายินดีให้สามีบวชหรือ ? ภรรยาบอกว่า "อยากให้บวชมานานแล้ว" อาตมาบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณไปบวชชีมา" ลุคก็หันขวับมาบอกว่า “อยู่วัดเดียวกันไม่ได้” เขาห้ามอยู่วัดเดียวกัน กลัวอยู่ใกล้แล้วไฟช็อต..!

อาตมาบอกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวส่งเขาไปอยู่แถวเกาะพระฤๅษีก็ได้" ภรรยาก็รีบไปบรรยายให้สามีฟังว่า อาจารย์จะส่งไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาต้องบอกว่า"ไม่ใช่ ส่งเมียไป ไม่ใช่ส่งผัวไป"..(หัวเราะ)..เวลาฝรั่งตัดสินใจทำอะไรแล้ว โดยนิสัยเขาจะทำจริง ในเมื่อเขาทำจริงจังก็มักจะประสบความสำเร็จ นี่เห็นว่าจะไปขายบ้านที่อียิปต์อีกหลัง แสดงว่าซื้อบ้านไว้หลายที่เหมือนกัน

เขาดูรอบวัดแล้วบอกว่า ถ้าเขาบวชขออนุญาตอยู่ที่แดนสงบตรงริมน้ำ อาตมาบอกว่า “แม่ชีจองไปหมดแล้ว” หลังสุดท้ายที่เหลืออยู่เป็นของแม่ชีเคิ่ล พวกเราถ้ายังไม่เข็ด ยังไม่เบื่อกับชีวิต ก็สนุกสนานกันไปก่อน เดี๋ยวไว้เข็ดจริง ๆ แล้วค่อยไปบวชชีกัน"

เถรี
23-05-2012, 10:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเขาจำแนกศักดิ์ฐานะด้วยเครื่องแต่งตัว คนจีนเขาจะปักรูปที่หน้าอกเสื้อ ดูก็จะรู้ว่าอยู่ระดับไหน คนที่สวมเสื้อปักลายมังกร ๙ ตัวได้มีแต่ฮ่องเต้เท่านั้น"

ถาม : ถ้ามังกรตัวเดียว ?
ตอบ : ถ้าเป็นลายมังกรตัวเดียวต้องได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ก่อน ซึ่งมีคนเดียวที่ได้รับอนุญาตก็คือตี๋เหรินเจี๋ย เพราะว่าสร้างความดีความชอบไว้มาก หวู่เจ๋อเทียนพระราชทานเสื้อคลุมลายมังกรให้เลย

เถรี
23-05-2012, 11:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกที่หน้าวัด ช่างคำนวณน้ำหนักมาแล้วว่า เมื่อเทคอนกรีตเสร็จจะหนัก ๓๕๐ ตัน ราว ๆ สามแสนกว่ากิโลกรัม แต่อาตมาตีฐานรากเผื่อไว้แล้ว

ปกติเสาเข็มจะตีหลุมละต้น เสาเข็มที่นี่ตีหลุมละ ๔ ต้น รับน้ำหนักไม่อยู่ก็ให้มันรู้ไป..! เสาเข็มหน้า ๑ ฟุต ก็คือกว้างฟุตยาวฟุต อัดลงไปถึงหินดาน ถ้าขนาดนั้นยังทรุดก็ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม..!

มีแต่คนสงสัยว่าสร้างตึกอะไรหน้าวัด อาตมาบอกว่าไม่ใช่ตึก แต่เป็นฐานพระ พอเขาได้ยินว่าเป็นฐานพระก็ร้องหา..! เพราะฐานพระกว้าง ๓๐ เมตร เดี๋ยวต้องรอดูว่าใครมีเส้นสายกับการไฟฟ้า จะขอให้เขาเอาสายไฟลงใต้ดินให้หน่อย ทางวัดยินดีจ่ายให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะค่าสายค่าท่ออะไร ถ้าใครมีเส้นมีสายช่วยบอกให้หน่อย อาตมามีเส้นแค่รองผู้ว่าการไฟฟ้า แต่ไม่อยากรบกวนใคร ติดหนี้บุญคุณคนแล้วชดใช้ยาก"

เถรี
23-05-2012, 11:29
พระอาจารย์กล่าวถึงลักษณะการเจิมหน้าผากของพวกฮินดูว่า "ถ้าพวกเราสังเกตจะเห็นว่าฮินดูเจิมหน้าผากอยู่ ๒ ลักษณะ คือแบบ ๓ เส้นแนวตั้ง หมายถึง ตรีศูลของพระศิวะ อันนี้เป็นไศวนิกาย นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ แบบ ๓ เส้นแนวขวางเป็นไวษณพนิกาย นับถือพระนารายณ์ เขาถือว่าพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ นอนอย่างเดียว ดังนั้น..ต่อไปถ้าเราไปเห็น ๓ เส้นตรงกับ ๓ เส้นขวาง ก็จะได้ทราบความหมาย

อีกแบบก็คือ ติลกะหรือดิลก เขาถือว่าเป็นมงคลชีวิต โดยเจิมเป็นจุดแดงที่หน้าผาก ถ้าหากว่าไม่ใช้สีแดงก็ใช้ขี้วัวสดเจิม เขาถือว่าเป็นโคนนทิ พาหนะของพระอิศวร"

เถรี
23-05-2012, 11:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ต้องวิ่งมารับเสาเสมาธรรมจักร ส่วนวันที่ ๒๙ ตุ๊พ่อสิงห์จะให้ไปบวงสรวงพุทธาภิเษกที่วัดถ้ำป่าไผ่ ท่านบอกว่า ๒๘ ให้มานอนนะ เพราะว่าพุทธาภิเษกกันแต่เช้ามืดเลย แล้วบวงสรวง ๙ โมงครึ่ง

แค่ว่าวันที่ ๒๘ อาตมาติดสอนหนังสือเช้า ๒ ชั่วโมง บ่าย ๓ ชั่วโมง สอนเสร็จนั่งรถขึ้นไปลำพูน ไม่รู้ว่าจะไปถึงที่นั่นดึกดื่นเที่ยงคืนแค่ไหน ?"

เถรี
23-05-2012, 12:24
ถาม : พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านฯ เหมือนที่หลวงพ่อเสกไหมครับ ?
ตอบ : ไปถามเซียนพระ อาตมาไม่เคยสงสัยในพุทธคุณ ต่อให้ของปลอมมาถึงมือก็เป็นของจริง เพราะว่ามั่นใจ..!

เถรี
23-05-2012, 12:36
ถาม : เวลานั่งกรรมฐานรู้สึกว่าร่างกายเราเป็นแค่โมเลกุลแคบ ๆ
ตอบ : อย่าลืมนะร่างกายเราที่เห็นว่าทึบ แต่จริง ๆ แล้วระหว่างโมเลกุลนี่ใหญ่มโหฬารเลย

ถาม : มีคนมาเล่าเรื่องให้ฟังเกี่ยวกับตัวเอง แล้วมีอารมณ์ใจกระทบ แต่รู้ตัวก็ค่อย ๆ เบาขึ้น
ตอบ : ถ้ากำลังใจดีขึ้นแล้วจะไม่หวั่นไหว ตอนนี้กำลังยังน้อยอยู่ พอกระทบแล้วจึงหวั่นไหว แต่ว่ายังดีที่รักษาตัวได้ เพียงแต่ว่าเวลากระทบแล้วยังหวั่นไหวอยู่ ก็ทำให้เราทุกข์เพราะอารมณ์นั้นได้

ถาม : เวลากำลังคุยแล้วอยู่ดี ๆ ก็ไม่เข้าใจในเรื่องที่พูด
ตอบ : สภาพจิตตัดระบบไป ไม่รับรู้ภายนอก หลบเข้าไปในสมาธิ สภาพจิตของเราจึงอยู่คนละส่วนกับเขาแล้ว จะเรียกว่าคนละความถี่ คนละมิติอะไรก็ช่างเถอะ ด้วยความเคยชินของเรา ถึงเวลารู้ว่าเรื่องไม่น่าสนใจเราก็เข้าสมาธิไปเลย แบบนี้เขาเรียกว่านิสัยไม่ดี ไม่เป็นไร..อาตมาก็เป็น บางคนเขามาบ่น ๆ ก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ ฟังแต่ไม่ได้ยิน

ถาม : พอหายใจแล้วเข้าใจ....(ไม่ชัด)...
ตอบ : จะสัมผัสชัดหรือว่าหนักอยู่แค่ ๓ ที่ นอกนั้นจะเป็นแนวที่เรารู้ตลอด ถ้าหากว่าความละเอียดมีมาก จะเหลือเพียงสายละเอียดเล็ก ๆ เหมือนเส้นเอ็นใส ๆ อยู่ จิตรู้ตลอด บางทีพอรู้ไป ๆ จะเย็นเหมือนกับน้ำแข็ง

เถรี
23-05-2012, 12:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวจะเรียนต่อปริญญาเอกอีก ปริญญาทางโลกเรียนแล้วหมด แต่ไม่จบจริง แต่ปริญญาของพระพุทธเจ้าเรียนแล้วจบ ปริญญา มาจาก ปริ (รอบ , ทั่ว) + อัญญา (รู้) ถ้าจะรู้รอบ รู้ทั่วจริง ต้องรู้วิธีหนีทุกข์ เรื่องเรียนทางโลกมีแต่เพิ่มทุกข์"

ถาม : แล้วท่านเรียนทำไมครับ ?
ตอบ : เรียนเพื่อประโยชน์คนอื่นเขา เรียนเป็นตัวอย่าง เวลาเรียนอยู่เห็นเพื่อนเขาทุ่มเทกันด้วยความทุกข์ยากลำบาก บางคนถึงขนาดล้มป่วยไปเลย อย่างพระครูปลัดชลอ อาตมาก็ว่ามันยากขนาดนั้นเลยหรือ ? ท่านไม่ใช่คนไม่เก่ง ท่านเก่งนะ แต่ทำไมรู้สึกว่าท่านต้องแบกขนาดนั้น แสดงว่าอาตมาเองผิดปกติ

ขนาดหลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต ท่านบอกว่า “ไม่เอาแล้วนะ ผมเอาแค่โทนี่แหละ ถ้าเอกให้อาจารย์เล็กเรียนไปคนเดียวเถอะ” ท่านเองตอนเรียนโทท่านไม่ค่อยได้เข้าเรียนหรอก ท่านให้ท่านเอกที่เป็นลูกศิษย์มาเรียน แล้วก็สรุปเนื้อหาไปให้ท่าน ท่านก็ดูก่อนนอนแต่สอบแล้วได้เอ ส่วนลูกศิษย์ได้บี (หัวเราะ) อย่าลืมว่าสมาธิท่านดีกว่า แค่ดูสรุปท่านก็จำได้หมดแล้ว

เถรี
23-05-2012, 17:06
ถาม : ลูกดื้อมากเลยค่ะ
ตอบ : เป็นปกติของเด็ก ฟาดเขาไปสิ..รักลูกจนไม่กล้าตีแล้วจะไปโทษใคร

ถาม : หนูตีเยอะนะคะ
ตอบ : เราไปตีแบบไม่มีเหตุผล ตีแบบระบายอารมณ์ เราต้องให้เหตุผลเด็กไปก่อนว่าอย่างนั้นทำไม่ได้ ถ้าทำอีกแม่จะตี แต่นี่เราให้อภัยเขาไปเรื่อย พอถึงเวลาทนไม่ไหวก็ระเบิดทีเดียว เด็กเขารู้ว่าเขาไม่ได้ทำผิดขนาดนั้น เราไปตีมากเกินไปเขาจะดื้อ แต่ถ้าหากว่าเราให้เหตุให้ผล โดยเฉพาะผู้ใหญ่ต้องมีความมั่นคงในอารมณ์ ถ้าเราอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เด็กจะไม่เชื่อ เพราะฉะนั้น..เราเองต้องฝึกตัวเองเสียใหม่

เถรี
23-05-2012, 17:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากสารคดีเรื่อง soul of nation ที่ฝรั่งเขามาสัมภาษณ์ในหลวงเมื่อ ๓๐ ปีก่อน เขาถามพระองค์ว่ามีเป้าหมายและวางแผนในการทำงานอย่างไร? พระองค์ท่านตรัสว่า

“ถ้าคุณถามข้าพเจ้าว่ามีแผนอะไรหรือไม่ ข้าพเจ้าขอตอบว่าไม่มี เพียงแต่รู้ว่าในวันหนึ่ง ๆ เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าสิ่ง ๆ นั้นคืออะไรบ้าง แต่เราจะต้องทำ และจะต้องเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ นั่นคือแผนในใจของข้าพเจ้า” สารคดีดี ๆ แบบนี้ ถ้าไม่ขุดขึ้นมารักษาไว้ก็มีแต่จมหายไปเรื่อย"

เถรี
24-05-2012, 07:43
ถาม : ใช้มโนมยิทธิขึ้นไปข้างบน เห็นวิมาน เห็นท่านข้างบนสององค์ องค์หนึ่งอยู่ ๆ ร่างกลายเป็นสีดำ หนูคิดว่าเป็นมาร ตกลงองค์ใดที่เป็นพวกเรา ?
ตอบ : กำหนดใจถามท่านตอนนั้นไปก็หมดเรื่อง

ถาม : หนูคิดว่าเป็นมาร บอกว่าไม่เอา ๆ
ตอบ : บางทีก็เป็นพวก ๆ กันนั่นแหละ มาลองแกล้งดูว่าจะตกใจไหม ? ถ้ามารมาจะประสาทเสียกว่านี้ พวกเรายังรู้ความซนของเทวดาน้อยไป ตอนอาตมาไปพม่าก็อาราธนาท่านปู่พระอินทร์ไปด้วย ปรากฏว่าช่วงจะกลับจากวัดเขาตามะยะ ท่านปู่บอกว่าติดงานสำคัญ คงมีใครอัญเชิญท่านไปงานอะไรสักอย่าง ท่านบอกว่าไม่ได้ตามดูแลช่วงนี้ จะให้พี่ ๆ มาแทน

ปรากฏกว่าพี่ ๆ ที่มามี พี่พวงทิพย์ พี่พรทิพย์ พี่พรสวรรค์ พี่เกศแก้วมณี สุดยอดทั้งนั้นเลย ระดับยอดขุนพล แล้วสนุกกัน ปลอมเป็นพระนั่งเต็มหลังคารถ หัวเราะคิกคักกันมาตลอดทาง พอมาถึงมะละแหม่ง จราจรโบกเรียก ยึดใบขับขี่ บอกว่าให้พระนั่งบนหลังคารถมากจนอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

คนขับรถก็เถียงบอกว่าไม่มี จราจรก็ยืนยันว่ามี ฝ่ายคนขับกลัวไปส่งพวกเราไม่ทันก็บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณเอาใบขับขี่ไว้ เดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกัน ขอไปส่งพระที่มุด่งก่อน” อาตมาบอกครูบาน้อยที่ไปด้วยกันว่า พี่เขาปลอมเป็นพระพม่านั่งมาเต็มหลังคารถ ปกติท่านเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ต้องมีมาด คราวนี้ท่านมางานที่ไม่เป็นทางการ ท่านก็สนุกของท่านไป ไม่รู้ป่านนี้คนขับกับจราจรคุยกันรู้เรื่องแล้วหรือยัง ? เพราะคนขับก็ต้องยืนยันว่าไม่มีพระบนหลังคา จราจรก็ยืนยันว่านั่งกันมาเต็มหลังคา

ถาม : แล้วทำไมคนขับไม่ออกมาดูเองคะ ?
ตอบ : ออกมาดูก็ไม่เห็น ส่วนจราจรเห็น คนขับคงคิดว่าตำรวจหิวเงินจะมาไถ ก็เลยตั้งข้อหาบ้า ๆ

ถาม : ท่านพี่นั้นเป็นใครคะ ?
ตอบ : ๔ องค์นั้นเป็นพี่ ๆ ของพวกเราเองแหละ เป็นลูกพ่อด้วยกัน

เถรี
24-05-2012, 08:41
พระอาจารย์คุยกับโยมที่ออกแบบบุษบกพระลีลาประทานพรว่า "บุษบกลักษณะโบราณเขาเรียกว่า จอมแห เข้าใจคำว่าจอมแหไหม ? เวลาที่เขาเหวี่ยงแหไปแล้วสาวคืนมา ก็คือปลายเล็กโคนใหญ่ ลักษณะทรงของพระพุทธบาทที่สระบุรีนั่นแหละ เขาเรียกทรงจอมแห

ถ้าเราไม่เคยหาปลาเราก็ไม่รู้จักจอมแห เวลาเหวี่ยงแหไปกว้าง ๆ พอเขาสาวแหขึ้นมาแหก็จะสอบลงมา เขาก็ออกแบบมาเป็นบุษบก ถ้าคุณเหวี่ยงแหไม่เป็นอาจจะฟันหลุด คือเขาต้องการให้แหบาน ก็เลยคลี่แหออกมาแล้วเอาปากคาบช่วย ตอนเหวี่ยงแหไป ถ้าลืมอ้าปากนี่ตะกั่วจะกระชากฟันหลุดเลย

แล้วก็จะมีปลาดวงซวย พอถึงเวลาเขาเหวี่ยงไปครอบแล้วสาวขึ้นมา ปลาดันว่ายไปชน อยู่ข้างนอกแล้วติดขึ้นมา ที่เขาเรียกว่า "ติดหลังแห" แล้วคราวนี่คนไม่เข้าใจเปลี่ยนเป็น "ติดร่างแห" ความจริงคือติดหลังแห เป็นปลาที่ซวยสุด ๆ เลย เพราะว่าอยู่ข้างนอกแหแล้วดันมาชนติดเอง นั่นแหละเขาถึงได้บอกว่า คนดวงซวยที่อยู่ ๆ มีเรื่องมีราวแล้วก็โดนไปด้วย เขาเรียกติดหลังแห ส่วนแพะรับบาปคือคนเขาตั้งใจใส่ร้าย"

เถรี
24-05-2012, 08:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ายังตกใจอยู่ก็แปลว่าจิตอยู่นอกกายมากเกินไป พอส่งออกไปไกลแล้ว เวลาเกิดอะไรขึ้นจะวิ่งกลับมาเพื่อรับรู้ อาการที่จิตวิ่งกลับมาเร็วเกินไปนั้นเขาเรียกว่าตกใจ เพราะพรวดพราดกลับมา ถ้าจิตยังอยู่กับตัวก็จะไม่ตกใจ เพราะอยู่ข้างในแล้ว นั่งอยู่สบาย แขกไปใครมาก็ไม่รีบร้อน เพราะนั่งอยู่กับที่แล้ว"

เถรี
24-05-2012, 11:37
พระอาจารย์กล่าวถึงไม้ผลว่า "มะมุด ผลคล้าย ๆ มะม่วงแต่ลูกกลม อาตมาลงไปปักษ์ใต้ครั้งแรกไม่รู้จักมะมุด ชาวบ้านสอยมา ๒ ลูก เขาอุตส่าห์เลือกลูกที่สุกมาให้ พอดมดูจึงรู้ว่ากลิ่นแรงมาก เอาใส่ไว้ท้ายรถ วิ่งไปไม่ถึงชั่วโมง กลิ่นตลบไปทั้งรถ ทนไม่ไหวต้องเอาออก อาหารปักษ์ใต้รู้สึกว่ากลิ่นแรงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสะตอ ลูกเนียง หรือแม้กระทั่งมะมุด

มะมุดเสียอยู่อย่างเดียวตรง "ไคล" เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักไคลแล้ว ไคลก็คือขนที่เม็ดมะม่วง ไคลแข็งเป็นหนามเลย ถ้างับแรง ๆ แล้วจะหลุดติดมาเหมือนอย่างกับเศษไม้ติดฟันเลย ที่เขาบอกว่ามะม่วงเริ่ม "เข้าไคล" หมายถึงเริ่มแก่

ส่วนทุเรียนใต้เขานิยมกินตอนเละ ๆ เขาต้องกินลูกที่หล่นจากต้นมาเลย ถ้าไม่ถึงขนาดหล่นจากต้นมาเขายังไม่กิน เพราะฉะนั้น..ที่เราบอกว่าทุเรียนเละเป็นปลาร้า ไม่กินแล้ว ลงไปปักษ์ใต้เขาว่ากำลังพอดีเลย"

http://www.farmkaset.org/upload_files/mamud001.jpg

มะมุด

เถรี
24-05-2012, 11:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผลไม้ในป่าร้อยละ ๙๙.๙๙ มีรสเปรี้ยวทั้งนั้น น้อยชนิดที่จะมีรสหวาน ไม่เปรี้ยวมากก็เปรี้ยวน้อย ไปเจอสุกเหลืองอร่ามไปทั้งต้น เห็นแล้วน้ำลายหก สงสัยอยู่อย่างเดียวว่าทำไมไม่มีตัวอะไรกิน พอกินเข้าไปลูกเดียว โอ้โห...ลิงยังเมินเลย เพราะเปรี้ยวมาก

เวลาแกะออกมาเม็ดข้างในจะรวมกัน เนื้อก็จะติดเปลือกมาอยู่หน่อยหนึ่ง เหมือนจะเป็นเปลือกกลวง ๆ ขนาดเอาน้ำตาลยัดใส่เต็มเปลือก เคี้ยวลงไปยังไม่รู้สึกว่าหวานเลย เปรี้ยวได้ขนาดนั้น รสชาติสุดยอดจริง ๆ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน เพราะถ้าหวานแล้วลิงคงไม่เหลือไว้ให้เรา เรื่องในป่านี่ไม่มีอะไรที่รู้เกินสัตว์ป่าอยู่แล้ว

สัตว์ต้องการธาตุเกลือ ต้องกินดินโป่ง คราวนี้คนเรามีเกลือแล้ว ถ้าเราจะเอาดินโป่งมาทำเกลือก็ต้องขุดมาละลายน้ำ กรองแล้วต้มกันขนานใหญ่กว่าจะเป็นเกลือ แต่สัตว์ก็กินแบบดินนั่นแหละ เพราะเขาทำอย่างเราไม่เป็น

อยู่ในป่าเรื่องฝนฟ้าหาความแน่นอนไม่ได้ นึกจะตกก็ตก บางทีไม่ทันรู้ตัวก็เทโครมลงมา เวลาตกแรง ๆ ร่มหรือกลดก็กันไม่ได้ เพราะเม็ดฝนเม็ดใหญ่มาก"

เถรี
24-05-2012, 12:10
ถาม : สมัครสอบรอบแรกไม่ติด รอบสองจะติดหรือเปล่า ?
ตอบ : เอาอย่างนี้สิ ปกตินั่งภาวนาก็พุทโธ ๆ ไปเลย ถ้าหากว่าเราภาวนาเป็น ดูลมหายใจเข้าออกเป็น เปลี่ยนคำภาวนาเป็นสัมปะติจฉามิแค่นั้น ว่าคำภาวนาก่อนที่เราจะไปยื่นเรื่องสักชั่วโมงก็ได้ ตั้งใจว่าขอให้ติด

เถรี
25-05-2012, 07:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อช่วงเที่ยงเขาเอาพระขรรค์เล่มพิเศษมาให้ดูตัวอย่าง ใครแรงไม่ดีจริงยกไม่ไหวหรอก ใครจองไว้แล้วก็รื่นเริงบันเทิงใจ ใครไม่ได้ก็เศร้าไป เฉพาะค่าชุบใบด้วยรูธีเนียมก็ใบละ ๕,๐๐๐ บาทแล้ว นี่คิดแบบกันเองมากเลย สำหรับลวดลายทั้งด้ามทั้งฝักรวมค่าชุบทองประมาณ ๑๕,๐๐๐ บาทต่อเล่ม ค่าแรงผลิตลวดลายเล่มละ ๓,๕๐๐ บาท

เพราะฉะนั้น..พระขรรค์เล่มละ ๘๔,๐๐๐ บาทนี่ไม่รู้เหลือถึงเล่มละ ๔๐๐ บาทหรือเปล่า ? ใบพระขรรค์ยาว ๒๙ นิ้ว ๒ หุน เท่าของจริงเลย ทำไมถึงรู้ว่าของจริงยาวเท่าไร ? เพราะว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยดูแลทำความสะอาดเขาวัดมาให้

พระขรรค์ที่ทำปกติ ถ้าผสมสัตตโลหะสีจะออกอย่างนั้นแล้วไปกลับดำทีหลัง แต่ของเรานี่ผสมเกินแล้วออกมาสีนั้นได้ แสดงว่าช่างเขาเก่งจริง เพราะปกติโลหะหลายอย่างจะมีลาย เพราะเนื้อโลหะผสมไม่ค่อยเข้ากัน แต่นี่ตั้งแต่ต้นยันปลายสีสม่ำเสมอกันทั้งใบ"

เถรี
25-05-2012, 08:14
มีคนขอคำปรึกษาเรื่องการตรวจต้นฉบับหนังสือ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ถ้าสำนวนอะไรที่เห็นว่าไม่เข้าท่าให้แก้ไขได้ทั้งหมด ตอนพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิตตรวจต้นฉบับหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง พระองค์ท่านตัดออกเยอะเลย แล้วก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนหนึ่งไปพูดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย หลวงพ่อท่านได้ยินแล้วก็หัวเราะ ท่านบอกว่า “ตัดแล้วเนื้อหาเสียไหมเล่า ? ฟังแล้วรื่นหูขึ้นไหม ? ถ้าหากว่าทำแล้วดีขึ้นก็ทำไปสิ” พวกฟุ้งซ่านมัวแต่กลัวปรามาสพระรัตนตรัยก็ไม่กล้าทำอะไร

ช่วงแรก ๆ เสด็จพระองค์หญิงตรวจต้นฉบับหนังสือให้วัดท่าซุง ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าหนังสือรุ่นเก่าของวัดท่าซุงมีสำนวนรื่นหู เพราะพระองค์ท่านเป็นนักเขียน เคยอ่านนิกกับพิมไหม ? ที่หมาเขียนจดหมายคุยกัน พระองค์ท่านเป็นคนเขียนหนังสือเรื่องนี้ โดยใช้นามปากกาว่า "ว.ณ. ประมวญมารค" นิกกับพิมเป็นเรื่องของหนุ่มจะจีบสาว สาวก็จะบอกรักหนุ่ม แต่คนสมัยก่อนอยู่ในลักษณะไม่กล้าแสดงออกมากนัก ก็เลยทำเป็นว่าหมาคุยกับหมา แต่เป็นหมาการศึกษาสูง เขียนจดหมายคุยกันได้"

เถรี
25-05-2012, 08:20
ถาม : กินข้าวหมากผิดศีล ๕ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตีว่าผิดศีลไปเลยจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่าน ความจริงพระฉันข้าวหมากได้ แต่อาตมาไม่เอาเลยเพราะรังเกียจกลิ่น ถ้าเรากินเพราะชอบ ต่อให้เป็นอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อการผิดศีลแต่เราก็เป็นทาสกิเลส เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากกินข้าวหมากแล้วพยายามจะไปสืบหาว่าผิดศีลหรือเปล่า ? แปลว่ากิเลสหลอกเราเข้าแล้ว

ไม่ใช่ว่าเราไปสืบหาว่าผิดศีลหรือเปล่าเพราะต้องการทำความดี แต่กิเลสกำลังหลอกเรา ถ้าเรารู้ว่าไม่ผิดศีลเราก็กินเต็มที่เลย เพราะฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี กิเลสลีลาเยอะ ทำท่าเหมือนกับเราเป็นคนดีมากเลย ที่ไหนได้..กำลังจะหาช่องว่างกฎหมายเพื่อจะละเมิด..!

เถรี
25-05-2012, 08:29
ถาม : ตอนนี้พระศรีอาริยเมตไตรยท่านมาเกิดแล้วยังคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วง อีกประมาณล้านกว่าปีท่านจึงมาเกิด ไม่ต้องไปห่วงถึงพระศรีอาริยเมตไตรยท่านหรอก ถ้าจะห่วงให้ห่วงตัวเองเถอะว่าจะทันท่านไหม ? จะเกิดในยุคท่านจริง ๆ เราต้องรักษากรรมบถ ๑๐ อย่างเคร่งครัด เนื่องจากว่าในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยคนชั่วเกิดไม่ได้ เกิดได้เฉพาะคนดีเท่านั้น ถึงเวลาพระองค์ท่านเทศน์ทีเดียวก็ยกขบวนไปพระนิพพานกันหมด

ใครที่อธิษฐานขอเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย แค่อธิษฐานอย่างเดียวไปไม่รอดหรอก ต้องรักษากรรมบถ ๑๐ ด้วย เพราะว่าถ้าหากว่ากุศลกรรมในศีล สมาธิ ปัญญาของเราไม่เข้มข้นพอ เวลาพระองค์ท่านเทศน์เราก็ไปไม่ได้ ยุคนั้นเขาบังคับว่าต้องระดับหัวกะทิเท่านั้น

เถรี
25-05-2012, 08:48
ถาม : สงสัยว่าสมัยพระองค์ท่าน คนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พอพระองค์ท่านเทศน์คราวเดียวไปนิพพานหมด แล้วเวลาที่เหลือทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...แต่ละคนในยุคนั้นอายุยืนกันหมด ถ้าบวชเป็นพระสงฆ์ก็อยู่จนหมดอายุขัย แปลว่าอายุศาสนาของพระองค์ท่านอยู่ครบตามอายุ แต่ถ้าเป็นฆราวาสก็ไปเลย ได้เปรียบกว่าพระเยอะ ฉะนั้น..ช่วงนั้นต้องท่องไว้ในใจเลยว่า..กูไม่บวช ๆ..พอบรรลุจะได้ไปสบายเลย..(หัวเราะ)..

ถาม : จะไม่มีคนของท่านอื่น ๆ ที่ท่านฝากไว้บ้างเลยหรือคะ ?
ตอบ : ห้ามเกิด ถ้าจะเกิดก็แปลว่าจะต้องไปได้

ถาม : ไม่มีฝากแบ่ง ๆ ไว้แถวนี้บ้างหรือคะ ?
ตอบ : มี..แต่จะต้องเป็นเด็กฝากชั้นดีประเภทดีหนึ่ง เด็กฝากชั้นดีประเภทดีสองนี่ไม่เอา อาตมาเข็ดจริง ๆ กับเรื่องเด็กฝาก

เถรี
25-05-2012, 09:00
คนไทยเราเชื่อว่าพระศรีอาริยเมตไตรยจะตรัสรู้ใต้ต้นกากะทิง คนพม่าเชื่อว่าพระศรีอาริยเมตไตรยจะตรัสรู้ใต้ต้นบุนนาค บาลีตัวเดียวกันแต่แปลคนละอย่าง

ถาม : ตกลงพระองค์ท่านจะตรัสรู้ใต้ต้นไหนคะ ?
ตอบ : รอดูพระองค์ท่านตรัสรู้ เราก็จะรู้เองว่าเป็นต้นไหน แต่จะเป็นต้นอะไรก็ตามถึงเวลาเขาก็เรียกต้นโพธิ์ทั้งหมด โพธิ คือ ไม้แห่งการตรัสรู้ อย่างของพระพุทธเจ้าเราเรียกต้นหางม้าหรืออัสสัตถพฤกษ์ เพราะว่าปลายใบมีชายยาว ๆ เหมือนหางม้า อย่างต้นราชายตนะก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าบ้านเขาหน้าตาเป็นอย่าไร แต่บ้านเราเรียกต้นการะเกด

เถรี
25-05-2012, 09:17
อาตมาเคยอ่านหนังสือของคุณสุวรรณี สุคนธา เรื่องดอกเกด คุณสุวรรณีตายเร็วไปหน่อย เป็นผู้หญิงก็จริงแต่กินเหล้าคอแข็งกว่าผู้ชายอีก เพราะว่านักเขียนพอว่างก็ตั้งวงก๊งเหล้ากัน ส่วนใหญ่พอเข้าวงแล้วรุ่นพี่เขาเล่าประสบการณ์ในการเขียน ตัวเองก็เกิดจินตนาการออกว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี

ถาม : นักเขียนเป็นการทำให้ผู้อื่นหลงเหมือนดาราไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูการแต่ง สมัยก่อนคุณสิทธา เชตวัน ก็เขียนเรื่องบู๊ ตอนหลังพอมาปฏิบัติธรรมแล้วก็เขียนเรื่องพระอย่างเดียว อยู่ที่ว่ารู้หรือเปล่า ? เมื่อรู้แล้วก็เลิก

เถรี
25-05-2012, 09:39
ถาม : ที่เขาบอกว่าหลวงปู่ปานจะตรัสรู้ใต้ต้นอัญชัน แล้วจะตรัสรู้อย่างไรคะ ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยได้ยิน ในอนาคตวงศ์ที่แปลกกว่าใครก็มีตรัสรู้ใต้ต้นไผ่ ความจริงก็ไม่แปลกหรอกเพราะว่ากอไผ่เย็นสบายดี

ตั้งแต่โบราณมาไม้ไผ่เป็นไม้เคล็ด คำว่าไม้เคล็ดก็คือแก้อาถรรพ์ หนังเหนียวแค่ไหนเจอหลาวไม้ไผ่เข้าก็เสร็จทุกราย เพราะเป็นอาวุธธรรมชาติ ถ้าหากว่าใครศึกษาคาถาชื่อโองการมหาทมื่น จะทราบว่าเขาพยายามผูกคาถาให้ครอบคลุมที่สุด มีคงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางวัน คงทั้งกลางคืน คงทั้งยืน คงทั้งนั่ง คงทั้งบนบก คงทั้งในน้ำ คงต่อหอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ ฯลฯ จะแหกคอกขนาดไหนเขากันไว้หมด

ถาม : กันไม้ไผ่ด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี..กันแต่อาวุธคนสร้าง ส่วนไม้ไผ่เขาไม่ได้กัน เพราะเป็นของธรรมชาติ มีกระทั่งมีดพร้าฟืนไฟ แต่ไม่มีหลาวไม้ไผ่

ถาม : ถ้ามีคำว่ากันหลาวไม้ไผ่ด้วยจะกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ใจเรา ต่อให้ภาวนาไป ถ้าใจไม่แน่นพอก็เสร็จเขาจนได้

เถรี
25-05-2012, 10:10
อย่างหอกสัตตโลหะที่ไกรทองเอาไปฆ่าชาละวัน เขากันไว้ชนิดเดียว นี่ผสมไปตั้ง ๗ อย่าง ถ้าอยู่ ๆ มีหนุ่มรูปหล่อเดินขึ้นมาจากน้ำ เราจะวิ่งหนีหรือจะอยู่ ? เราก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่าไม่ใช่งูไม่ใช่เงือก ก็ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ผิดปกติแน่ ๆ

ถาม : แล้วเขาเป็นอะไรคะ ?
ตอบ : อชคราทิเปรต เป็นเปรตที่อยู่ในร่างของสัตว์เดียรัจฉาน สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ แต่เวลาฉุกเฉินจะกลับคืนเพศเดิม เรื่องอย่างนี้ไม่ได้มีเฉพาะบ้านเรา พม่าเขาก็มีเรื่องของพญาจระเข้งาโมย่ากับนางละมุ พญาจระเข้บำเพ็ญเพียรจนสามารถแปลงเป็นคนได้ มารักกับสาวแม่ค้าคือนางละมุ คำว่าละมุ บ้านเราก็ลำพู

วันหนึ่งฝ่ายชายไปพูดผิดอะไรไม่รู้ ก็เลยกลายเป็นจระเข้ ด้วยความอายจึงหนีลงน้ำ ปรากฏว่าประเมินน้ำใจสาวเจ้าผิดไป นางละมุพายเรือตามหา แต่แถวนั้นอยู่ใกล้ปากอ่าวย่างกุ้ง คลื่นลมแรง เรือเล็กก็เลยล่ม นางละมุจมน้ำตาย พญาจระเข้คาบนางละมุขึ้นมาไว้บนบก ตัวเองก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกจนกระทั่งขาดใจตาย ชาวบ้านเขาก็เลยช่วยกันสร้างเจดีย์ขึ้นมา เรียกว่าเจดีย์แมละมุ เป็นพระเจดีย์เล็ก ๆ แต่ว่าหนุ่มสาวนิยมไปอธิษฐานให้รักกันยืนนาน

เราจะเห็นว่าบ้านเรามีไกรทอง มีชาละวัน พม่าเขาก็มีเหมือนกัน แต่จระเข้ของเขาคาบสาวไปคนเดียว จระเข้ของเรานี่คาบไปเป็นฝูง ชอบใจลูกสาวบ้านไหนก็คาบไปไว้ในถ้ำ สมัยก่อนส่วนใหญ่เขาอาบน้ำกันตามท่าน้ำ พอไอ้เข้โผล่มาก็งาบไปเลย

เถรี
25-05-2012, 10:19
เมื่อช่วงสักครึ่งค่อนเดือนที่ผ่านมามีข่าวว่าปลาปิรันย่ากัดชาวบ้าน อาตมาได้ยินแล้วก็หัวเราะว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักปลาปักเป้า รุ่นของอาตมานี้ถ้าจะแกล้งชาวบ้านก็เอาปลาปักเป้าตัดหางแล้วไปโยนที่ท่าน้ำ ปลาปักเป้าโดนตัดหางว่ายไปไหนไกลไม่ได้ ก็วนอยู่แถวนั้นแหละ อะไรลงไปก็กัดแหลก เพราะปลาปักเป้ามักจะหวงที่

ส่วนคนที่ไม่กลัวปักเป้าก็หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ รุ่นอาจารย์ของหลวงปู่ปาน ถึงเวลาท่านลงไปสรงน้ำที่ท่าน้ำ พวกชาวบ้านเอะอะว่า "ปลาปักเป้าเยอะแยะหลวงตา เดี๋ยวมันกัดตาย..!" ท่านก็สรงน้ำไปหน้าตาเฉย สรงน้ำเสร็จเดินขึ้นมาปักเป้างับติดมาเต็มเลย ท่านก็แกะโยนลงน้ำไปทีละตัว ปลางับติดมาเฉย ๆ แต่กัดท่านไม่เข้า ท่านจึงไม่กลัว ปลาปักเป้าก็คงงงว่าทำไมงับแล้วไม่ได้เลือดสักที

ถาม : เกิดจากสมาธิหรือคะ ?
ตอบ : อยู่ในลักษณะการฝึกวิชาอย่างหนึ่ง ถึงเวลาได้ทดสอบตัวเองได้ว่าเหนียวพอหรือยัง โดยเฉพาะถ้ากันพวกธรรมชาติเขี้ยวงาได้นี่อย่างอื่นก็กันได้หมด เพราะว่าพวกธรรมชาติเป็นฤทธิ์อย่างหนึ่ง โดยธรรมชาติเขาให้ฤทธิ์อย่างนั้นไว้ป้องกันตัว ถ้ากันพวกนี้ได้อาวุธอื่นก็กันได้

เถรี
25-05-2012, 10:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีบุคคลที่เห็นผิดเป็นชอบ กล่าวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าพระองค์ท่านสร้างภาพ อาตมาก็เลยสงสัยว่า คนเราสามารถสร้างภาพต่อเนื่องกันนานถึง ๖๐ - ๗๐ ปีเลยหรือ ? ท่านกอล์ฟเขาบอกว่า “อาจารย์อะไร ๆ ก็ไม่เอา ทำอย่างกับสร้างภาพ” อาตมาก็เลยว่า “ถ้าพระทั้งประเทศช่วยกันสร้างภาพแบบนี้ ศาสนาจะเจริญไหมล่ะ ?”

เรื่องของในหลวง ถ้าคนมีปัญญาก็จะเห็นว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ทำจากน้ำใสใจจริง ไม่มีใครทำได้ทนขนาดนั้น นั่นแหละคือทำดีเพราะอยากทำ ถ้าทำเพราะอยากดีคงเลิกไปนานแล้ว เนื่องจากทำเท่าไรก็ไม่ดีสักที แถมโดนด่าอีกต่างหาก"

เถรี
25-05-2012, 11:38
"งานทุกอย่างจะมีอุปสรรคขัดขวางตลอด อย่างช่างที่ทำฝักพระขรรค์โสฬสเอางานไปดองอยู่เป็นเดือน ๆ ตอนนี้มาแจ้งว่าไม่สามารถจะทำทันกำหนดได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก..ขอให้ตัวพระขรรค์เสร็จมาเข้าพิธีแล้วกัน ฝักเอาไว้ทีหลัง

งานทุกขั้นตอนมีอุปสรรคตลอด ต้องค่อย ๆ แก้ไขกันไป โดยเฉพาะหลวงพี่นิล ตอนนี้เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ปะฉะดะ พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้ช่างหลวงแทบทุกประเภทต้องรู้จักหลวงพี่นิลหมดแล้ว พวกช่าง ๑๐ หมู่นะ เพราะว่าถ้าไม่ได้ฝีมือระดับนั้นท่านก็ไม่เอา

เสียดายตรงที่ฝักไม้พยุง ไม้ที่ได้มาไม่ใช่ไม้แห้งค้างปี เป็นไม้ที่เขาโค่นต้นเลย พอเป็นไม้สดเอามาทำชิ้นงานบาง ๆ แบน ๆ อย่างฝัก การหดตัวก็เลยมีมาก

สมัยนี้เขาใช้วิธีจู่โจมเร่งด่วน เพราะรู้ว่าถ้ามัวแต่ไปตั้งแคมป์ ตัดไม้เลื่อยไม้อยู่โดนจับแน่ ๆ เขาใช้วิธีเข้าไปถึงก็ล้มไม้แล้วผ่าเลย ขนขึ้นรถได้ก็เผ่นแน่บ ที่แสบที่สุดก็คือไม่โค่นต้นด้วย ไปถึงก็เอาเลื่อยยนต์เจาะเฉพาะตรงกลาง ให้ได้ขนาดที่ตัวเองต้องการยาวราว ๔ - ๕ เมตรแล้วก็ยกขึ้นรถไปเลย ต้นไม้ก็โบ๋อยู่ตรงกลาง ถ้าไม่โดนลมพัดโค่นต้นไม้ก็ไม่ตาย"

เถรี
25-05-2012, 11:44
ถาม : น้องคนนี้เขาป่วยบ่อยครับ
ตอบ : ป่วยมากแสดงว่าเศษกรรมปาณาติบาตมาก ให้ไปปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด สักเดือนละตัวสองตัว ทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็จะดีขึ้น ทำสักเดือนละครั้ง หรือถ้าไม่เกรงใจก็อาทิตย์ละครั้งเลยก็ได้ ชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวร

ถาม : เคยปล่อยนะคะ
ตอบ : เขาให้ทำประจำสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วหายเลย ถ้าทำเป็นประจำเศษกรรมจะค่อย ๆ ห่างไปเรื่อย อย่างอาตมากว่าจะเบาลงนี่ปล่อยต่อเนื่องมา ๓๐ ปี แล้วไม่ได้ทีละตัวสองตัวด้วย เหมาทีหมดตลาดเลย

เถรี
25-05-2012, 12:50
ถาม : กรรมบถ ๑๐ ข้อที่ว่าห้ามพูดวาจาไร้ประโยชน์ มีขอบเขตอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ยาก...เรื่องของการพูดวาจาไร้ประโยชน์ขึ้นอยู่กับกำลังใจ เราพูดตอนนี้เราเห็นว่ามีประโยชน์ แต่คนที่กำลังใจสูงกว่าจะเห็นว่าไร้ประโยชน์ พอเราก้าวขึ้นไปสู่กำลังใจระดับนั้น คิดว่าพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ บุคคลที่กำลังใจสูงกว่าเราก็ยังเห็นว่าไร้ประโยชน์อีก เพราะฉะนั้น..กำลังใจที่ไม่เท่ากัน ทำให้กำหนดขอบเขตไม่ได้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้

ถาม : วิธีแก้ไขทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : พูดให้น้อยลงหน่อย ใส่สติไปเยอะ ๆ

เถรี
26-05-2012, 11:17
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตาไป๊เป็นนักย่องเบาตัวฉกาจ หลังจากล้างมือในอ่างทองคำแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า มีเคล็ดลับอะไรถึงขึ้นบ้านไหน ก็ขนของได้ชนิดเจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องเลย ตาไป๊บอกว่า “จัดการกับหมาก่อน ถ้าหมาไม่เห่า เจ้าของก็ไม่รู้หรอก”

ช่วงหัวค่ำเขาทำทีไปสำรวจทาง เอาอาหารไปโยนให้หมากิน ไม่ได้วางยาหมานะ เพราะหมาบางตัวฉลาดวางยาไม่ได้ แต่ตาไป๊เอาเนื้อสับทอดกระเทียมพริกไทยไปให้หมากิน เนื้อสับนี้ใส่กัญชาไปเยอะเลย หมากินแล้วก็เมาหลับ เขาบอกว่าลากหางรอบบ้านยังไม่ตื่นเลย หลังจากนั้นจะขึ้นบ้านไปขนอะไรก็เชิญ เพราะเวลาดึก ๆ เจ้าของบ้านหลับไปแล้ว เนื้อสับใส่กัญชาเยอะ ๆ คนกินก็เมาตายเหมือนกัน อย่าว่าแต่หมาเลย

หมาสมัยใหม่ที่เข้าโรงเรียนฝึกมา จะไม่รับอาหารจากคนอื่น นอกจากเจ้านายตัวเอง ระยะหลังหมาบ้านเราเริ่มมีเวรมีกรรมแล้ว ต้องเข้าโรงเรียน ขนาดที่กาญจนบุรียังไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนรักหมาขนาดนั้น มีทั้งอาบน้ำ ตัดขนหมา สปาหมา..!"

เถรี
26-05-2012, 11:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานฉลองฯ วันที่ ๙ มิถุนายนนี้ มีหนังสือปกิณกธรรมเล่ม ๓ จำนวน ๑ เล่ม มีกระเป๋าเอาไว้สำหรับใส่ธนบัตร ๑ ใบ มีพระนาคปรก ๑ องค์ ฉะนั้น..ใครไปงานก็จะได้ ๓ อย่างนี้ ใครไม่ไปให้เตรียมซื้อของแพงได้ เพราะว่าแจกเฉพาะในงาน กระเป๋ามีแค่พันกว่าใบเท่านั้นนะจ๊ะ ไปเกิน ๑,๕๐๐ คน ก็ต้องเสี่ยงดวงกัน เฉพาะฆราวาสนะ ส่วนของพระนี่เตรียมไว้ต่างหาก กระเป๋าเอาเข้าพิธีพุทธาภิเษกไปแล้ว ใช้งานได้เลย

งานฉลองมีคนเสนอตัวจะแสดงในงานมาหลายรายแล้ว โดยเฉพาะรายใหญ่คือคณะป้าเม้าท์จะเล่นเพลงฉ่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเพลงฉ่อยอวยชัยให้พร หรือเล่นไปเล่นมากลายเป็นแช่งก็ไม่รู้ งานเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ว่าพิธีสงฆ์จริง ๆ มีตอนบ่าย ๓ โมง เพราะฉะนั้น..พระภิกษุรอจนเที่ยงแล้วค่อยออกจากกรุงเทพฯ ก็ทัน

เหตุที่จัดบ่าย ๓ โมงนั้น เพราะพระผู้ใหญ่ท่านแนะนำว่า ส่วนใหญ่แล้วท่านมักจะติดกิจนิมนต์ตอนช่วงเพล ถ้ารับนิมนต์ของเราแล้วไปเจองานที่สำคัญกว่า ท่านก็ต้องทิ้งงานของเรา ท่านจึงแนะนำว่าให้เลยเพลไปหน่อยท่านจะได้ปลีกตัวไปได้ เหตุผลข้อที่ ๒ เป็นเหตุผลส่วนตัวของอาตมาเอง คือขี้เกียจเลี้ยงพระ เปลืองงบฯ..!

พิธีสงฆ์ก็สั้น ๆ พอได้เวลาจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้ว ข้าราชการผู้ใหญ่ท่านก็จะอ่านสัญญาบัตร ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ อ่านหนังสือพระราชทานแต่งตั้งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ใหญ่ที่นิมนต์จากกรุงเทพฯ และในจังหวัดก็จะเจริญชัยมงคลคาถาสั้น ๆ นาทีเดียวจบ ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแล้วก็นิมนต์ท่านกลับได้เลย"

เถรี
26-05-2012, 11:45
"ลำดับต่อไปเป็นการสวดทักษิณานุประทาน ส่วนใหญ่ก็เป็นการอุทิศส่วนกุศลถวายอดีตเจ้าอาวาส ตลอดจนกระทั่งญาติ ๆ ของเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันที่ล่วงลับไปแล้ว สวดแค่ชุดเดียว ก็คือบรรดาเจ้าคณะอำเภอและรองเจ้าคณะอำเภอของกาญจนบุรีทั้งหมด ๑๓ อำเภอ ถ้าไปครบก็มี ๒๖ รูป ส่วนท่านที่เหลือดาหน้าไปได้เลย ไม่ต้องทำอะไร รับอย่างเดียว อาตมาเจอหน้าก็ประเคนทีละรูป ไม่น่าจะเกินบ่าย ๓ โมงครึ่งทุกอย่างคงเรียบร้อย ยกเว้นพระที่ท่านมาไกล มาช้า แต่ไม่มีปัญหาเพราะว่าโยมรับของแล้วกลับได้เลย ที่เหลืออาตมาก็นั่งรับท่านไปเรื่อย ๆ

อาตมานิมนต์เจ้าอาวาสและเจ้าสำนักสงฆ์ทั้งหมดในทองผาภูมิ ตลอดจนกระทั่งเพื่อนสหธรรมมิกที่อยู่ในเขตกาญจนบุรี ส่วนที่เหลือนิมนต์เฉพาะเจ้าคณะอำเภอและรองอำเภอเท่านั้น คนอื่นเขาบอกว่าใช้งบประมาณสามล้านบาท อาตมาบอกว่าไม่ใช่หรอก หนึ่งล้านห้าแสนบาทก็เยอะแล้ว เพราะอาตมาไม่แจกของอื่น ไม่มีย่ามแจก ไม่มีตาลปัตรแจก พับใส่ซองทั้งหมด ท่านคงจะชอบใจกว่าเพราะเอากลับไปง่ายดี

อาตมาเคยเจอพระเถระบางรูปมีตาลปัตรเกือบ ๑,๐๐๐ อัน ก็เพราะไปงานอย่างนี้แหละ เดี๋ยวนี้ตาลปัตรด้ามไม้ราคาอย่างถูก ๆ ก็ ๑,๒๐๐ บาท ย่ามอีกใบหนึ่ง ถ้าหากว่าสั่งเป็นหลาย ๆ ร้อยใบก็จะอยู่ที่ใบละ ๓๐๐ บาท ถ้าสั่งน้อยก็แพงกว่านั้น เพราะฉะนั้น..ของเราไม่สั่ง พับเงินใส่ซองไปเลย จริง ๆ แล้วอาตมาไม่อยากจัดงานฉลอง นอกจากเสียเวลาแล้วยังเปลืองเงินเปลืองทองด้วย แต่ว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงเขาจัดงานฉลองแล้วเขานิมนต์เรา ถ้าเราไม่จัดงานบ้างเขาจะเหยียบเอา..!"

เถรี
26-05-2012, 11:58
พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าคนดูของเก่าไม่เป็นอย่าไปเล่นของเก่า เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ทำของเก่าได้เหมือนมาก อาตมาข้ามไปเขมร เขาพาไปตลาดของเก่า เดินดูไปได้พักเดียวก็รู้สึกเบื่อ ที่เบื่อเพราะว่าไม่ชอบให้ใครมาหลอก พอเห็นแต่ของปลอมก็เลยเบื่อ หมดอารมณ์ที่จะดู

มีอยู่ร้านหนึ่ง ทั้งร้านมีของแท้อยู่ชิ้นเดียว แล้วคาดว่าถ้าจะเอาชิ้นนั้น ราคาคงแพงหูดับแน่ ๆ เลย เพราะว่าชิ้นอื่น ๆ เห็นติดราคาต่ำสุด ๑,๕๐๐ ดอลลาร์ ก็เลยอธิบายให้โยมที่เป็นคนพาไปว่า ของเก่าเป็นของที่เก็บมานานแล้ว เนื้อโลหะจะหมดประกาย และมีสนิมขึ้น ถ้าหากว่าเก่าแล้วเงาวับ สวยน่าดูแบบนั้น แสดงว่าเขาตั้งใจทำทั้งนั้นแหละ ถ้าหากว่าส่องกล้องดูจะเห็นความเก่าของพื้นผิวโลหะที่มีการหด มีการยุบตัว มีรอยสนิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ปลอมยากมาก ไปดูแล้วรู้สึกเหมือนว่าเขาตั้งใจหลอก อาตมาก็เลยหมดอารมณ์

โยมชวนไปดูพิพิธภัณฑ์ของเขมร อาตมาบอกเขาว่าอย่าไปเลยเดี๋ยวกิเลสจะงอกงาม ไปเห็นของเก่าชิ้นงาม ๆ แล้วเดี๋ยวเกิดอยากได้ขึ้นมา นอกจากนั้นได้เข้าไปในพระราชวังเขมรินทร์ ถ่ายของที่เขาห้ามถ่ายรูปมาหลายชิ้น เจ้าหน้าที่เขามีน้อยกว่าของบ้านเรา ขนาดโบสถ์วัดพระแก้วมีเจ้าหน้าที่ดูแลพร้อม ๆ กันตั้ง ๘ คนอาตมายังถ่ายมาแล้ว

ถึงเวลาก็ถามพระท่านก่อนว่าถ่ายได้หรือไม่ ? พระท่านบอกว่าได้อาตมาก็จัดการ แต่ว่าตอนนั้นเหลือบดูด้วยว่าเจ้าหน้าที่เขาทำอะไรอยู่ เหมือนอย่างกับทุกคนพร้อมใจกันหันหลังไปทำงานอื่นพอดี เวลาท่านให้นี่คือให้จริง ๆ "

เถรี
26-05-2012, 12:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่เป็นเจ้าของพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ขอแนะนำว่าอย่าไปขึ้นคม ถ้าหากว่าลับคมขึ้นมาเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง อย่างไรก็ให้ทื่อ ๆ อย่างนั้นแหละ จะได้มีอันตรายน้อยหน่อย"

เถรี
26-05-2012, 12:55
ถาม : ขอวิธีที่ทำให้เรียนเก่งครับ นอกจากทำสมาธิแล้วมีวิธีอะไรไหมครับ ?
ตอบ : คำตอบอยู่ในคำถามนั่นแหละ ทำสมาธิดีก็เรียนได้เก่งแล้ว

ถาม : อยากให้ท่านสอนวิธีนั่งสมาธิให้น้องเขาหน่อยครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องสอน ทำไปเลย รู้ทุกคน เพียงแต่ไม่ทำ การปฏิบัติต้องลงมือทำ การทำสงครามบนแผ่นกระดาษ เวลาออกสนามจริงตายมาเยอะแล้ว การสอนเป็นแค่ทฤษฎี ต้องทำถึงจะเกิดประสบการณ์จริง แบบเดียวกับเด็กนักเรียนช่างกล ถึงเวลาเรียนจบมาไปทำงานตามอู่ ตามศูนย์รถยนต์ วาดรูปอะไหล่สวยเหมือนของจริงเลย แต่พอบอกให้ถอดชิ้นส่วนออกมา หาไม่เจอว่าชิ้นนี้อยู่ตรงไหน เพราะไม่มีประสบการณ์จริง

แบบเดียวกับคนจีน พ่อพยายามสอนหนังสือลูกก่อนเข้าโรงเรียน เวลาทำงานอยู่พ่อก็เอากิ่งไม้ขีดพื้น บอกว่า “นี่ลูก เลข ๑” ลูกก็จำไว้เลข ๑ ขีดอย่างนี้ พอถึงเวลากินข้าวพ่อเอานิ้วจุ่มน้ำชาขีด ถามว่านี่เลขอะไร ลูกตอบไม่ได้ พ่อบอกว่า “ก็เลข ๑ อย่างไรเล่า ? เมื่อเช้าก็สอนแล้ว” ลูกบอกว่า “เมื่อเช้าเลขยังผอม ๆ อยู่เลย ทำไมตอนนี้อ้วนใหญ่กว่าเดิมมาก" ตอนเช้าใช้กิ่งไม้ขีดจึงออกมาเป็นเส้นเล็ก ตอนกลางวันใช้นิ้วจุ่มน้ำชาขีดจึงเป็นเส้นใหญ่ อันนี้โทษลูกไม่ได้ เขาเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ พ่อก็ไม่ได้บอกว่าตรง ๆ แบบนี้คือเลข ๑

การเรียนจะให้เก่งต้องอ่านตำราไปเรื่อย ๆ อย่าไปโหมทีเดียวตอนใกล้สอบ ถ้าใครทำอย่างนั้นอนาคตสั้นแทบทั้งนั้น อย่างอาตมาเวลาอาจารย์อธิบายจะตั้งใจฟัง เราเรียนวิชาอะไร ? อาจารย์พูดในหัวข้ออะไร ? แล้วขยายความว่าอย่างไร ? พอฟังการขยายความเข้าใจ เราจดแต่หัวข้อก็พอ เพราะว่าอ่านหัวข้อเราก็เข้าใจแล้วว่าอาจารย์พูดว่าอะไร จดใส่เศษกระดาษด้วยนะ ถึงเวลาเลิกเรียนก็มาลอกใส่สมุด เท่ากับได้ทวนอีกรอบหนึ่ง อาทิตย์ต่อไปจะเรียนซ้ำก็อ่านทวนว่าอาจารย์สอนไปถึงไหนแล้ว เท่ากับว่าเราได้ทวนอยู่ทุกวัน ไม่ต้องอ่านมาก ๆ ทีเดียว

เถรี
26-05-2012, 13:08
เรื่องของหนังสือ แรก ๆ เราอ่านอาจจะไม่เข้าใจหรอก แต่ให้อ่านซ้ำไปเรื่อย ๆ พอซ้ำไปซ้ำมาจะเกิดความเข้าใจขึ้นมาเอง รอบที่ ๑ ไม่เข้าใจให้อ่านรอบที่ ๒ รอบที่ ๒ ไม่เข้าใจอ่านรอบที่ ๓ อ่านไปเถอะ บางที ๘ - ๑๐ รอบ กว่าจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร พอเราเข้าใจแล้วเราก็จำแต่หัวข้อ ที่เหลือเราสามารถขยายความได้หมดแล้ว

แต่การเรียนของเด็กสมัยนี้กับการเรียนของพระคนละอย่างกัน พระเขานิยมข้อสอบอัตนัย ให้เขียนอธิบายมา ๓ - ๕ หน้ากระดาษ ส่วนเด็กสมัยนี้เล่นกากบาทอย่างเดียวหรือไม่ก็ใช้ดินสอฝนเอา อยากจะบอกว่ากากบาทผิดแล้วผิดเลย แต่ถ้าเขียนอธิบายความจะเขียนมากเขียนน้อยอย่างไรก็ได้คะแนน คนมักไปกลัวข้อสอบอัตนัยเพราะเขียนอธิบายไม่ได้ ขอให้รู้ว่าปรนัยยากกว่า เพราะปรนัยผิดแล้วผิดเลย แก้ตัวไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ท่านที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยของพระ มักจะอธิบายความได้ดี แต่มหาวิทยาลัยของฆราวาสปัจจุบันนี้ บางทีเข้าไปไม่ได้เรียนด้วย เพราะครูสอนอยู่ข้างหน้า ข้างหลังก็นั่งกินขนม คุยกันบ้าง แต่งหน้าบ้าง เล่นบีบีบ้าง ในเมื่อไม่รู้เรื่องก็ทำแบบมั่ว ๆ กากบาทหรือฝนไปส่งเดช

มีอยู่คนหนึ่งมั่วเก่งมากแล้วได้คะแนนเต็มด้วย ดวงดีจริง ๆ เพราะว่าเขาฝน ก ข ค ง จ แล้วก็มา จ ง ค ข ก สลับไปสลับมา อาจารย์เขาดันทำอย่างนั้นจริง ๆ ลูกศิษย์ได้เต็มทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่ในหัวตัวเองเลย ๖๐ ข้อถูกหมด สุดยอดมาก มากับดวงจริง ๆ

เถรี
26-05-2012, 13:19
เชื่อว่าพวกเราทุกคนตั้งใจเรียน เมื่อตั้งใจเรียนแล้วให้ทำความเข้าใจบทเรียนไปด้วย พร้อมกับตั้งคำถามไว้ในใจด้วย โดยเฉพาะส่วนที่เราไม่เข้าใจหรือสงสัยจริง ๆ ให้ถามอาจารย์ อาจารย์จะชอบเด็กที่ถามมากกว่านั่งเงียบ ๆ เพราะอย่างน้อยก็แสดงปฏิกิริยาออกให้รู้ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ถ้าเราไปนั่งเงียบ กลัวอาย กลัวเสียฟอร์ม กลัวเพื่อนจะว่า “จะจริงจังอะไรกับชีวิตมากมายวะ มึนไปวัน ๆ เดี๋ยวก็จบแล้ว” ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้เฉาแน่

โบราณเขาบอกแล้ว สุ จิ ปุ ลิ วินิมุตโต กถัง โส ปัณฑิโต ภเว บุคคลจะเป็นบัณฑิตได้ต้องประกอบไปด้วย สุ จิ ปุ ลิ สุ ก็คือสุตตะ ตั้งใจฟัง จิ ก็คือจิตตะ ตั้งใจคิดตาม ปุ คือปุจฉา สงสัยให้ไต่ถาม ลิ คือลิขิต จดเอาไว้อ่านทบทวนด้วย ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็เรียนเก่งทุกคน

วิชาที่มี ๓ หน่วยกิต อาตมานั่งฟังตั้งแต่ต้นชั่วโมงยันท้ายชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมงไม่ไปไหนเลย แต่เพื่อนทนฟังได้ ๑๕ นาทีก็หันไปคุยกันแล้ว เพราะฉะนั้น..คนที่ทำสมาธิจะได้เปรียบ เพราะใจเรามุ่งมั่นอยู่กับบทเรียน เท่าที่เรียนมาจะชอบใจที่สุด ก็คือ ผศ.ประสิทธิ์ ทองอุ่น ๓ ชั่วโมงอาจารย์สามารถพูดไปได้เรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับน้ำไหลไม่ขาดสายสักที เพราะว่าท่านสอนมาทั้งชีวิต พวกบรรดาเนื้อหาต่าง ๆ อยู่ในหัวท่านอยู่แล้ว ๓ ชั่วโมงพูดได้ไม่หยุดเลย อาตมาเองก็ต้องจับจุดแล้วก็บันทึกเอาไว้

เด็กสมัยนี้ไม่มีใครเรียนชวเลข ตั้งแต่มีพวกเทป พวกเครื่องบันทึกเสียง ก็อาศัยเครื่องพวกนี้บันทึกเสียงไว้แทน ถ้าหากว่าพวกเราไปเจอพระเรียนเข้าเจ็บปวดกว่านั้นอีก ถึงเวลาอาจารย์ขึ้น Power Point มีหลวงตายก iPad ถ่ายรูปเก็บไว้เลย ยืนยันว่าหลวงตา เรียนปริญญาโทรุ่น ๒ ถัดจากอาตมานี่แหละ อาตมาเห็นก็ "โอ้โหเว้ย..!" ไม่ใช่แต่อาตมาหรอก อาจารย์ผู้สอนก็โอ้โห..เหมือนกัน ว่าหลวงตาทันสมัยขนาดนี้เลยหรือ ? แต่ต้องบอกว่าท่านสนใจจริง กลัวจดไม่ทันยก iPad ถ่ายไว้เลย

เถรี
26-05-2012, 13:29
ถาม : ทำไมเวลาเราใช้ผลของกรรมชั่วในนรกแล้วยังต้องมาใช้ในโลกนี้ต่ออีกคะ ?
ตอบ : เพราะว่ายังใช้ไม่หมด ความละเอียดของนรกไม่พอ เพราะว่าเราชั่วได้พิสดารมาก นรกขุมต่าง ๆ เขาเอาสร้างไว้ไม่เพียงพอ ก็ต้องมาชดใช้กรรมในเขตของเปรต หลุดจากเปรตก็ต้องมาเป็นอสุรกาย หลุดจากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แล้วถึงจะมาเป็นมนุษย์ ใช้กรรมมาเป็นระดับ ๆ ตามความหยาบละเอียดที่ทำมา กรรมหยาบ ๆ ก็ใช้ในนรก ส่วนอื่นที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยก็ไล่มาเรื่อย เข้าใจแล้วนะจ๊ะ ไม่ใช่ลงนรกทีเดียวแล้วใช้หมด เขาเก็บได้ไม่หมด เพราะว่าเราเก่ง ทำไว้เยอะ

มีใครสงสัยเรื่องพวกนี้ก็ถามได้นะจ๊ะ ถ้าถามเราจะได้ความรู้ เขาบอกว่า อัสสุตัง สุณาติ ได้รู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ สุตัง ปริโยทะเปติ รู้แล้วก็ได้ทบทวน กังขัง วิหะนะติ ได้แก้ข้อที่สงสัย ทิฐิง อุชุง กโรติ ได้ปรับความเข้าใจให้ตรงกัน และท้ายสุด จิตตะมัสสะ ปสีทะติ กำลังใจย่อมสงบเยือกเย็น เป็นสมาธิ

เถรี
27-05-2012, 09:58
ถาม : เราเกิดมาทำไมครับ ?
ตอบ : แต่ละคนการตั้งใจอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าเป้าหมายใหญ่ของเราคือ ทำความดีหนีความชั่ว เพียงแต่ว่าบางคนสนุกกับความชั่ว ก็เลยลืมเป้าหมายของตัวเอง สิ่งที่เราทำทุกอย่างเพื่อความเจริญ ก็คือทำให้ดีขึ้น แต่จะให้ดีที่สุดต้องไม่เจริญแต่ทางโลก ไม่ได้เจริญแต่ทรัพย์สมบัติ ต้องมีความเจริญทางใจด้วย

ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่พอทำไปแล้วก็ลืมเป้าหมาย กลายเป็นไปไขว่คว้าความเจริญทางโลกแข่งกัน พอแข่งขันกันมาก มีเงินมากเท่าที่ตัวเองต้องการ ความเครียดที่สะสมมาตลอดก็มะเร็งรับประทาน..ตายพอดี สรุปแล้วทำไว้ตั้งมากมายแต่ไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้รักษาตัวก็ไม่ไหวเพราะโรคนี้ไม่ฟังใคร

ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราเป็นนักเรียนก็ให้ทุ่มเทกับการเรียน ถ้าหากว่าเรียนจบไปแล้วทำงานก็ทุ่มเทให้กับการงาน ถ้ามีครอบครัวก็ทุ่มเทให้กับครอบครัว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามถ้าเราทำอย่างเต็มความสามารถ ทุ่มเทให้จริง ๆ แล้ว เราจะทำได้ดีทั้งนั้น

ในเมื่อเราทำได้ดี คนอื่นเขาก็จะบอกว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เป็นการประสบความสำเร็จในทางโลก ในเรื่องของทางธรรมนั้นต้องดูว่าเราเป็นคนมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเรามีศีลก็เป็นความดีในเบื้องต้น มีศีล มีสมาธิก็เป็นความดีในเบื้องกลาง มีศีล มีสมาธิ แล้วยังเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาโดยไม่รู้จบอยู่ พยายามรวบรัดตัดทางให้เหลือการเกิดให้น้อยที่สุด หลุดพ้นได้ในชาตินี้ยิ่งดี ก็จัดว่าเรามีปัญญา อันนี้ถือว่าเป็นความดีขั้นสูง

เพราะฉะนั้น..ในระหว่างที่เราสร้างความเจริญในทางโลกอยู่ เราก็สามารถสร้างความเจริญในทางธรรมควบคู่ไปด้วย เพราะว่าไม่มีอะไรขัดกัน บางคนอาจจะเห็นว่าเราทำมาค้าขาย อาจจะต้องโกหก ทำให้ศีลขาด ความจริงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ศีลขาด มีวิธีเลี่ยงเยอะแยะไป บอกเขาว่าเรารับมาแพงก็เลยต้องขายแพง รับมา ๕ บาทขายไป ๕๐ บาท เราก็บอกว่าเรารับมาแพง เพราะว่าแพงของเรา เป็นต้น

เถรี
27-05-2012, 10:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนมักจะเข้าใจผิด ไปเรียก "ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ หรือศาสตราจารย์" เป็น "ศาสดาจารย์" ศาสดาจารย์นี่ต้องเป็นเจ้าของศาสนา

ศาสตราจารย์ คือ อาจารย์ผู้ทรงความรู้ เขาไปเปลี่ยนเป็นศาสดาจารย์ กลายเป็นอาจารย์เจ้าของพระศาสนา คำว่าศาสดาเป็นภาษาสันสกฤตแล้ว ถ้าบาลีใช้สัตถา เช่น สัตถา..อันว่าพระศาสดา

หรือคาถาที่ว่า "ตะมัตถัง ปะกาเสนโต ตัวกูคือพระยาราชสีโห สัตถาอาหะ.." คาถานี้ใช้บาลีปนภาษาไทยกลายเป็นคาถาขลังไปได้ ตะมัตถัง ปะกาเสนโต แปลว่า เมื่อจะประกาศพระศาสนา สัตถาอาหะ แปลว่า พระศาสดาว่าอย่างนี้ ตัวกูคือพระยาราชสีห์มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? แต่ทำแล้วขลังสุด ๆ ไปเลย..! "

เถรี
27-05-2012, 11:04
ถาม : ที่ท่านเคยบอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าสอนการภาวนาคาถาเงินล้านโดยใช้วิธีจับที่ศูนย์กลางกาย แบบนี้เราต้องจับลมหายใจไปด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจจับศูนย์กลางกายก็เอาไว้ที่เดียว

ถาม : จับเป็นภาพพระหรือความรู้สึกอย่างเดียว ?
ตอบ : เอาความรู้สึกอย่างเดียวก็พอ

เถรี
27-05-2012, 11:17
ถาม : ทำบุญให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ต้องให้เขาโมทนา ถ้าเขาไม่โมทนาก็น้อยนักที่จะมีผล

เถรี
27-05-2012, 11:28
ถาม : รถใหม่จำเป็นต้องมีฤกษ์ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของฤกษ์ก็เหมือนกับเราข้ามถนน เลือกจังหวะไม่มีรถก็ปลอดภัยแน่นอน แต่ถ้าคนเก่งต่อให้มีรถเยอะ ๆ เขาก็ข้ามถนนได้ ก็เลยอยู่ที่เราว่าจะเอาอย่างไร ? ถ้าเอาปลอดภัยไว้ก่อนก็เลือกตอนที่ฤกษ์ดีหน่อย ถ้ามั่นใจว่าอย่างไรเราไปรอดแน่ แบบนี้ไม่ต้องมีฤกษ์ก็ได้

ถาม : ฤกษ์ออกรถใช้วันพฤหัสบดีถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ฤกษ์ออกรถให้ซื้อวันอาทิตย์แล้วไปใช้วันพฤหัสบดี หรือซื้อวันพฤหัสบดีแล้วไปใช้วันอาทิตย์

อาตมาเคยออกเดินทางตอนตีสามกว่า เจอห้างขายรถเบนซ์เปิดร้านเพื่อออกรถให้ลูกค้าช่วงนั้น เขาได้ฤกษ์มาเวลานั้นพอดี ต้องชมว่าบริการเขาสุดยอดจริง ๆ ขอให้คุณซื้อรถของเราเถอะ ดึกดื่นแค่ไหนเราก็เปิดขายให้

อย่างพระวัดเทพศิรินทราวาสจะสึก ไปถามฤกษ์จากหมอดู หมอดูบอกให้สึกตอนตี ๓ ครึ่ง แล้วก็ออกจากวัดทางด้านทิศเหนือถึงจะเจริญ ก็ต้องปลุกหลวงปู่มหาอำพันขึ้นมาตั้งแต่ตี ๓ ทำน้ำมนต์ให้อาบ พอเปลี่ยนผ้าเสร็จเรียบร้อย จะออกจากวัดทางทิศเหนือก็ไม่มีประตู ต้องปีนกำแพงออก แถมหลังกำแพงยังเป็นบ้านของโยม พอโผล่พ้นกำแพงไป หมาก็เห่าสนั่นไปหมด จะไม่ลงก็ไม่ได้ เดี๋ยวผิดฤกษ์ก็ต้องไป อาตมาเป็นคนรดน้ำมนต์ให้เองยังอนาถใจอยู่เลยว่า ฤกษ์อย่างนี้เขาก็เชื่อกันด้วย

เถรี
28-05-2012, 07:13
ถาม : เวลาสู้กับยักษ์ เรายั่วให้โกรธก็หมดอายุขัยแล้ว ?
ตอบ : อยู่ที่จะยั่วขึ้นหรือเปล่า ? ถ้าจอมอสูรอย่างเวปจิตตาสูรเราคงยั่วไม่ไหวหรอก

ถาม : คนเรามักว่ายักษ์หน้าดุ ความจริงแล้วที่เราเห็นนั้นเรียกว่างามแบบยักษ์หรือเปล่า ?
ตอบ : ยักษ์ก็คือเทวดา แต่เวลาท่านแปลงตัวมาก็ต้องมีความบ้าดุเดือดหน่อย เราก็ไปเหมาว่าท่านเป็นอย่างนั้น ความจริงนั่นเป็นตอนท่านแต่งเครื่องแบบ เวลาถอดเครื่องแบบก็สวยเหมือนเทวดานั่นแหละ

เถรี
28-05-2012, 07:15
ถาม : ออกรถมาไม่ได้ตรงกับตำราฤกษ์ออกรถ มักจะมีปัญหาไปชน ไม่ว่าคนขับจะเป็นใครก็ตาม แก้อย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เปลี่ยนรถใหม่ วิธีแก้ง่ายจะตายไป ก็แค่ออกรถใหม่ให้ตรงฤกษ์ เอาให้ดี ๆ นะ รถบางคันมีนิสัยชนเขา บางคันมีแต่ให้เขาชน นิสัยไม่เหมือนกัน

ถาม : แก้ไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : แก้ไม่ได้ สำหรับบุคคลทั่วไปคาดว่าค่าใช้จ่ายที่หนักมากน่าจะเป็นรถยนต์ จ่ายทุกวัน ทั้งค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าสึกหรอ ค่าเข้าศูนย์ เดี๋ยวเฉี่ยว เดี๋ยวซ่อม

ถาม : ถ้าเปรียบร่างกายเหมือนพาหนะ ค่าใช้จ่ายกับร่างกายนี้แพงกว่าอีก ?
ตอบ : แพงกว่า เพราะเรารักร่างกายนี้มากกว่า

เถรี
28-05-2012, 07:21
พระที่วัดท่านหนึ่ง ก็คือ ท่านคอม ป่วยเป็นโรคพุ่มพวง ทอดอาลัยในชีวิต ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว แล้วก็ปฏิบัติได้ดีมาก อยู่ ๆ เหมือนอย่างกับมีการทดสอบกำลังใจ มีหมอจากอเมริกามาเจอเข้า ก็เลยขอท่านเป็นตัวอย่างในการรักษา โดยใช้ยาตามแบบของเขา และขอบันทึกผลการรักษาเป็นระยะ ท้ายสุดถ้าตายขอให้บริจาคศพไว้ให้ศึกษาด้วย ท่านคอมก็ตกลงเซ็นสัญญากับเขาไป

จากที่ผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก ตอนนี้ท่านคอมอ้วนขึ้นมาเยอะเลย โรคคงจะตรงกับยา ท่านคอมบอกว่า “หลวงพ่อครับ...ตอนนี้ฉันอะไรก็อร่อยไปหมด” อาตมาบอกไปว่า “ตรงนั้นผมไม่ว่าหรอก เพราะร่างกายขาดอาหารมานาน คุณจะฉันอะไรก็ฉันไปเถอะ แต่ระวังใจตัวเองไว้ด้วยว่า พอมีทีท่าว่ารักษาได้เราก็จะไม่อยากตาย” ตอนแรกพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ เพราะรู้ว่าไม่รอดแน่ แต่พอมีทีท่าว่าจะรักษาได้ใจก็จะเริ่มกลับกลอก

ถาม : แต่ก็ตายเหมือนกันนี่คะ ?
ตอบ : ตาย...แต่ว่าตายช้าหน่อย ใจเลยไม่อยากตายตอนนี้แล้ว ถึงได้เตือนท่านว่าต้องระวังไว้ ต้องให้ใจพร้อมตายเอาไว้เสมอเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าตอนนี้อาการดีขึ้นเลยไม่อยากจะตายแล้ว

เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าไม่ผ่านประสบการณ์มาด้วยตัวเองก็จะไม่รู้หรอก ว่าใจเรากลับกลอกขนาดไหน ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยสาหัสขึ้นมาก็โอดโอย ไม่อยากจะอยู่แล้ว ตายตอนนี้ได้ก็ดี จะได้พ้นทรมาน พอถึงเวลาร่างกายทุเลาลงมาหน่อยก็ไม่อยากที่จะตายแล้ว

เถรี
28-05-2012, 07:26
ถาม : บางจังหวะเรามีสมาธิ พิจารณาข้อธรรมได้ชัดเจน แต่เห็นอยู่ไม่นาน ก็เผลอไปคิดนั่นคิดนี่ต่อไปเรื่อย ?
ตอบ : พอคิดจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแล้วให้ภาวนาต่อ ก็คือเอากำลังของฌานมาช่วยจะทำให้มั่นคงขึ้น ถ้าหากว่าคิดพิจารณาอย่างเดียว อารมณ์เต็มที่ก็ไม่เกินปฐมฌานและเคลื่อนตัวได้ง่าย เดี๋ยวก็หลุดแล้ว เพราะฉะนั้น..ให้ภาวนาต่อจากที่เราพิจารณา พออารมณ์ใจทรงตัวคราวนี้จะอยู่ได้นานขึ้น แล้วเราก็ทบทวนไว้บ่อย ๆ

เถรี
28-05-2012, 07:27
:4672615:เก็บตกเดือนพฤษภาคม หมดแล้วค่ะ:4672615: