เข้าระบบ

View Full Version : ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์


หน้า : 1 2 [3] 4

ลัก...ยิ้ม
06-07-2020, 22:01
ข้อวัตรปฏิปทาในพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ

(ส่วนหนึ่งของบทบันทึกเพื่อเป็นคติแก่อนุชนรุ่นหลัง)

“ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน” แห่งวัดป่าบ้านตาด หรือที่พวกเราเรียกองค์ท่านว่า “พ่อแม่ครูอาจารย์” กิตติศัพท์กิตติคุณของท่านได้แผ่ขจรขจายไปแล้วอย่างกว้างขวาง และยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนในยุคปัจจุบัน คำกล่าวขานเกี่ยวกับองค์ท่านนั้นมีมากมาย ดังเช่น ท่านเป็นพระอรหันต์สำเร็จกิจในพระพุทธศาสนาแล้วบ้าง ท่านเคร่งครัดในธรรมในวินัยบ้าง ท่านดุบ้าง เหล่านี้เป็นต้น ก็จริงอย่างนั้น แม้กิตติศัพท์ของท่านจะฟังดูแล้วน่าเกรงขามจนมิกล้าเข้าใกล้ แต่กลับยิ่งทำให้ผู้คนหลั่งไหลไปกราบไหว้บูชาคุณของท่านอย่างมากมาย แม้พระเณรก็เข้าไปศึกษาอยู่กับท่านภายในวัดป่าบ้านตาดอย่างเนืองแน่น จนแต่ละพรรษาไม่มีกุฏิเพียงพอให้พระเณรอยู่จำพรรษาได้ครบดังใจหวัง

เพราะเหตุแห่งความที่ท่านเป็น “จอมปราชญ์” นี้แล องค์ท่านจึงมีความลึกซึ้ง สุขุมคัมภีรภาพ ในอันที่จะปกป้องพระเณรให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อความสงบร่มเย็นในการบำเพ็ญเพียรภาวนา บรรดาคลื่นโลกธรรมที่หลั่งไหลโถมทะลักเข้ามายังวัดป่าบ้านตาด ตลอดจนมลพิษทางใจ..อันจะเป็นเหตุกระทบกระเทือนจิตใจของพระเณรให้ขัดข้องเรื่องภาวนา จะต้องมาปะทะกับองค์ท่านก่อน และหลายสิ่งหลายอย่างถูกพ่อแม่ครูอาจารย์ใช้พลังธรรมภายในอันแข็งกร้าวตีโต้ จนแตกกระจัดกระจายถอยร่นไปอย่างไม่เป็นขบวน กิจนิมนต์ไปทำบุญในที่ต่าง ๆ ไม่รับ (เว้นเฉพาะงานศพที่พระไปปลงธรรมสังเวชได้) กิจอื่นถ้าจำเป็นก็ไปตามลำพังท่านองค์เดียว (กล่าวถึงสมัยที่ท่านกำลังเคี่ยวเข็ญพระเณรอย่างเต็มที่) มีผู้จะนำไฟฟ้าเข้ามาในวัดก็ไม่ให้เข้า โทรศัพท์ก็ไม่เอา กุฏิหรู ๆ ก็ไม่ให้สร้าง โบสถ์หลังงาม ๆ ก็ไม่ให้ทำ ข้าวของเครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่จำเป็นถูกกีดกันออกไปหมด เปิดโล่งไว้ทางเดียวคือ ให้พระเณรได้ทำความเพียรภาวนากันอย่างเต็มที่ ไม่ให้มีอะไรมากวนจิตกวนใจ จนกลายเป็นพิษเป็นภัยขึ้นมา

ฝ่ายพระเณรผู้เป็นศิษย์ เมื่อได้มาฝึกวิชากับครูบาอาจารย์ชั้นนี้ ซึ่งเปรียบเป็นครูมวยต่อสู้กับกิเลสชั้นเยี่ยมสุดยอดแล้ว ที่ไหนจะมายอมกิน ยอมนอนอยู่บนเขียงให้กิเลสมันสับยำแต่เพียงฝ่ายเดียว ครูมวยบอกเตะเป็นเตะ บอกต่อยเป็นต่อย แม้ไม่บอกพระเณรในวัดก็ยังอยากจะลุกออกไปต่อสู้กับมันอยู่นั่นเอง เพราะกิริยาอาการของครูมวยแสดงออกมาให้เห็น แม้ไม่พูดก็มีแต่ความเด็ดเดี่ยวจริงจังทั้งสิ้น พระเณรวัดป่าบ้านตาดจึงพลอยได้ซึมซับความจริงจังอย่างนั้นติดตัวมาบ้าง ดังปรากฏในช่วงที่มาศึกษาอยู่กับท่าน ความเพียรของพระเณรแทบทุกรูปดูช่างอาจหาญ บางองค์อดอาหารคราวหนึ่ง ๑๐ วันบ้าง ๒๐ วันบ้าง ๓๐ วันบ้าง จนร่างกายผอมโซ บางองค์อดนอนตลอดทั้งคืน หรือหลาย ๆ คืน บางองค์นั่งสมาธิตลอดรุ่ง บางองค์เดินจงกรมตลอดรุ่ง ต่างองค์ต่างก็ทำความเพียรกันอยู่อย่างเงียบ ๆ ที่กุฏิของตน ไม่ไปสุงสิงกับใคร แม้ทำกิจวัตรปัดกวาดก็มีแต่เสียงปัดกวาดเท่านั้น เสียงพูดคุยกันไม่มีเลย จนโยมที่มาวัดพากันสงสัยและไม่เข้าใจว่า ทำไมพระวัดนี้จึงไม่ยอมพูดคุยกับญาติโยม ขยับจะถามอะไรสักหน่อยท่านก็เดินเลี่ยงหนีไปเสีย แม้กับพระด้วยกันก็ไม่เห็นท่านคุยกัน แท้ที่จริงแล้วท่านพยายามใช้วิชามวยต่อสู้กับกิเลส ด้วยการรักษาสติเจริญภาวนาอยู่ภายในเงียบ ๆ หากมัวแต่พูดคุยกัน..คงโดนคู่ต่อสู้เล่นงานจนหมดรูปเป็นแน่

สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาก็คือ การที่ไม่ให้พระเณรคลุกคลีกัน ไม่ให้ไปมาหาสู่กันระหว่างกุฏิโดยไม่จำเป็น ให้เคร่งครัดตามหลักแห่งสัลเลขธรรม ให้ต่างองค์ต่างอยู่ด้วยความสงบ ปรารภความเพียรภาวนาอยู่ในที่ของตน แม้ในการพบปะพูดคุยกับญาติโยม ก็อนุญาตให้แต่เฉพาะพระเวรประจำศาลาเพียงหนึ่ง หรือสององค์ที่ได้รับการฝึกแล้วเท่านั้น ห้ามไม่ให้พระองค์หนึ่งองค์ใดเที่ยวเพ่นพ่านอยู่บริเวณศาลา โรงน้ำร้อน หรือตามที่ต่าง ๆ โดยไม่มีความจำเป็น หากพ่อแม่ครูอาจารย์เดินไปพบเห็น ดูเกะ ๆ กะ ๆ ขวางหูขวางตา ขวางอรรถธรรมเข้าอย่างน้อยสองหรือสามครั้ง พระเณรผู้นั้นเป็นต้องได้ถูกคาดโทษทัณฑ์เป็นแน่แท้

ลัก...ยิ้ม
06-07-2020, 22:07
มีให้พระเณรเพ่นพ่านแถวศาลา

คราวหนึ่งในฤดูหนาว องค์ท่านคาดคั้นเอากับพระเวรศาลารูปหนึ่ง เมื่อเห็นพระองค์หนึ่งออกมาเที่ยวเพ่นพ่านอยู่แถวโรงน้ำร้อน นอกจากนี้ยังมีลักษณะเหมือนกับจะออกมาผิงไฟ เพื่อบรรเทาอาการหนาวอีกด้วย เพราะอยู่ใกล้บริเวณเตาเผาไฟ องค์ท่านคาดคั้นเอาอย่างหนักว่า
“เมื่อสักครู่นี้ เราเห็นพระมาเที่ยวเพ่นพ่านแถวโรงน้ำร้อน ดู ๆ จะมาผิงไฟนะ เราสั่งไว้ รู้กันแล้วไม่ใช่เหรอ ห้ามพระเณรออกมาเที่ยวเพ่นพ่านแถวศาลาโดยไม่จำเป็น และห้ามออกมาผิงไฟ เป็นพระหนุ่มเณรน้อยอยู่แท้ ๆ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีความอดทน เหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไม่จริงจัง หาแต่ความสะดวกสบาย.. ปรนเปรอแต่กาย แต่ภายในใจกลับไม่มีสติ ไม่มีทีท่าแห่งการต่อสู้กับกิเลสในใจตนเลย พระที่เราเห็นนี้เป็นใคร บอกมานะ บอกให้หนีนะ ให้ออกจากวัดเราเดี๋ยวนี้”

ที่องค์ท่านเอาจริงเอาจังมากถึงเพียงนี้ ก็เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้บอกเตือนไว้หลายครั้งหลายคราแล้ว เมื่อออกมาพบเห็นพระทำผิดคำสั่งด้วยองค์ท่านเองเช่นนี้ ท่านจึงกล่าวอย่างเผ็ดร้อนขึ้นในทันที หากผู้ใดพบเห็นกิริยาของท่านในเวลานั้น จะเห็นประหนึ่งว่าพระเวรศาลาผู้นั้นกำลังถูกดุว่าอย่างรุนแรง แต่เมื่อได้กราบเรียนเหตุผลความจริงต่อองค์ท่านว่า ที่เห็นพระรูปนั้นออกมาโรงน้ำร้อนท่านมิได้ออกมาผิงไฟ ท่านออกมาทำข้อวัตรช่วยงานพระเวรศาลาเป็นครั้งคราว พอกราบเรียนเช่นนั้น องค์ท่านก็คลายการคาดโทษพระรูปนั้นทันที

ลัก...ยิ้ม
06-07-2020, 22:18
การพูดคุยกับโยมผู้หญิง

ในบางคราว มีพระองค์หนึ่งพูดคุยกับโยมผู้หญิงที่ใต้ถุนศาลา แม้ไม่ใช่อยู่ในที่ลับตา แต่อาจอยู่ในข่ายเป็นที่ลับหูได้ จะด้วยเหตุบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ทุกวันก็ไม่ปรากฏเห็นพ่อแม่ครูอาจารย์ในเวลานั้น แต่ในวันนี้องค์ท่านมาพบเห็นเข้าพอดี ธรรมดาผู้หญิงย่อมถือว่าเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์อยู่แล้ว ในธรรมท่านก็สอนให้ระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ถึงขนาดว่าไม่ให้เห็นเสียเลยนั่นแหละเป็นดี ถ้าจำเป็นต้องเห็นก็อย่าพูดด้วย ถ้าจำเป็นต้องพูดด้วยก็ให้มีสติ.. อย่าให้ผิดธรรมผิดวินัย การที่พระคุยกับโยมผู้หญิง ธรรมวินัยท่านเปรียบเฉกเช่นการไปเล่นกับอสรพิษร้าย หากเป็นการพูดคุยที่ล่อแหลมต่อการผิดพระวินัยด้วยแล้ว คืออยู่ในบริเวณนั้นเพียงสองต่อสอง แม้จะมีพระองค์อื่นอยู่ห่างออกไปไม่ลับตา แต่หากเมื่อพูดคุยไม่มีใครได้ยินก็อาจเข้าข่ายเป็นที่ลับหูได้ เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ออกมาพบเห็นการกระทำลักษณะใกล้เคียงนี้ ก็เหมือนกับเป็นการอาราธนาให้เทศน์ดี ๆ นี่เอง ดังนี้
“ท่านองค์นี้ ชอบประจบประแจงญาติโยม มันมีสมบัติอะไรของท่านนักหนา อยู่ที่ใต้ถุนศาลานั่น”

ถ้าเรื่องไม่เลวร้ายนัก ท่านก็จะคาดโทษไว้ก่อน ถ้าเป็นเรื่องรุนแรงก็ถึงขั้นไล่ออกจากวัดไปเลย อุบายทรมานพระเณรของพ่อแม่ครูอาจารย์นั้น ต้องยอมรับว่าองค์ท่านเป็นจอมปราชญ์โดยแท้ การคาดโทษของท่านในครั้งนั้นทำให้พระองค์นั้นต้องรีบขอโอกาสขึ้นไปที่กุฏิองค์ท่าน เพื่อไปกราบเรียนแก้ตัวโดยให้เหตุผลว่า
“ที่ไปคุยก็เพราะว่าโยมผู้หญิงเป็นคนบ้านเดียวกัน” ท่านให้เหตุผลเช่นนี้เพราะนึกว่ามีน้ำหนักเพียงพอ.. อีกทั้งด้วยความกลัวว่าจะถูกลงโทษหนัก

ผลที่ได้รับผิดคาดหมายเลยยิ่งถูกองค์ท่านขนาบเข้าให้อีกว่า
“ท่านองค์นี้ ผิดแล้วให้รู้จักผิด อย่ามาแก้ตัว แม้ในพรรษาก็กระเด็นออกจากวัดได้นะ คนในบ้านตาดก็เป็นคนบ้านเดียวกับผมทั้งนั้น ท่านเคยเห็นผมไปคุยกับใครแบบนั้นหรือ”

เมื่อเจอเข้าไปแบบนี้ พระองค์นั้นก็ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งยอมรับผิดแต่โดยดี ที่ถูกต้องนั้นหากมีความจำเป็นต้องพูดคุยกับโยมผู้หญิงจริง ๆ ต้องมีพระเณรหรือโยมผู้ชายคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาที่สนทนา สถานที่ที่เหมาะสมก็คือบนศาลาวัดป่าบ้านตาด พูดคุยธุระการงานเท่าที่จำเป็นเท่านั้นแล้วรีบเลิกลา และแม้วิธีการถูกต้องก็ไม่ควรทำเช่นนี้บ่อยครั้ง เพราะจะผิดธรรม ผิดข้อวัตรปฏิบัติของวัดอีก

อันที่จริงหากครูบาอาจารย์ตำหนิ ก็ต้องยอมรับอย่างเดียวเท่านั้น การแก้ตัวนั้นกลับเป็นการทำร้ายตัวเองหนักเข้าไปอีก เพราะนอกจากจะดูไม่เชื่อฟังคำสอนแล้ว ยังเท่ากับไปถกเถียง หรือท้าทายท่านอีกต่างหาก ซึ่งในทางกรรมฐานถือเป็นการขาดความเคารพต่อครูบาอาจารย์ของเราอย่างมาก อย่างไรก็ดี ความยอดเยี่ยมของพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่หยุดเพียงแค่นั้น พอรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง พระองค์นี้จะเข้าไปทำข้อวัตรอยู่ใกล้ชิดองค์ท่าน เช่น การรับประเคนอาหาร หรือการจัดอาหารถวาย แต่ปรากฏว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ไล่หนี ไม่ยอมให้เข้าใกล้อีกเลย กว่าจะเร่งภาวนาทำความดี.. จนท่านผ่อนคลายโทษทัณฑ์ลงได้สำหรับพระองค์นี้ ต้องใช้เวลานานถึงสองหรือสามปีเลยทีเดียว องค์ท่านจึงยอมให้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดได้อีก นี่แหละ..พ่อแม่ครูอาจารย์ ผู้เป็นจอมปราชญ์แห่งกรรมฐาน

ลัก...ยิ้ม
07-07-2020, 22:24
การแจกจ่ายอาหารของพระเณร

แล้ววันหนึ่ง พระอีกองค์หนึ่งซึ่งเคยไปสัพยอกพระองค์ที่ถูกคาดโทษไว้ ก็เจอธรรมเผ็ดร้อนเข้ากับตนบ้าง เรียกว่ากรรมสนองทันตาเห็น เนื่องจากปกติในเวลาแจกอาหารตอนก่อนฉันจังหัน ในสมัยนั้นยังใช้ศาลาชั้นบนเป็นที่ฉันจังหันอยู่ พระทุกองค์ก็ช่วยกันแจกอาหาร บางองค์ก็จัดใส่ถ้วยใส่ถาดไว้ แล้วจัดแยกเป็นชุด ๆ ส่งให้ญาติโยมที่มาพักปฏิบัติธรรมในโรงครัวบ้าง ตามกุฏิต่าง ๆ บ้างอย่างทั่วถึง พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านจะคอยสำรวจตรวจตราดูแลอาหารการกิน ของพวกญาติโยมที่มาพำนักปฏิบัติธรรมภายในวัดด้วย ว่ามีมากน้อยเพียงพอหรือไม่อย่างไร ผู้ที่จะจัดอาหารเข้าไปในโรงครัวนั้น จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาด เรียกว่า ต้องรู้จักจัดประเภทของอาหารให้พอดีและเหมาะสม เขาจะต้องรับประทานได้ด้วย เหตุการณ์คราวนี้กรรมก็มาตามสนองพระองค์ที่ไปสัพยอกเขาไว้บ้าง คือขณะที่กำลังถือหม้อแกงแจกอาหารเข้าในบาตรพระอยู่นั้น เสียงพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ดังขึ้นสั่นศาลาเลยทีเดียว ท่ามกลางผู้คนมากมาย
“ใครไปหิ้วหูพระองค์นี้หูเดียวให้ดูหน่อยซิ หิ้วหูพระองค์นี้หูเดียวดูซิ จะเป็นยังไง”

พระองค์ที่ถูกว่านั้นยังยืนงง .. ทำอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจความหมายว่า อยู่ ๆ ทำไมจะมาหิ้วหูท่าน หูเดียวแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ที่แท้พระองค์นั้นกำลังใช้มือข้างซ้ายถือหูหม้อหูเดียว โดยใช้มือข้างขวาถือทัพพีตักแกงใส่บาตรพระ และขณะที่ท่านกำลังยืนงงอยู่นั้น พระอีกองค์ต้องเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์โดยเข้าไปถือหม้อแกงนั้นแทนท่าน แต่ใช้สองมือจับหูหม้อแกงทั้งสองหู แล้วเอาหม้อแกงวางกับพื้นจึงค่อยเอาทัพพีตักแกงใส่บาตร พอตักแล้วก็ยกหม้อแกงเดินแจกอาหารต่อไป แต่ใช้สองมือจับหูหม้อสองหู เวลาจะตักใส่บาตรก็วางหม้อแกงลงกับพื้นเสียก่อน เรื่องก็เลยยุติไปแต่พระองค์ที่โดนเทศน์ รู้สึกว่าวันนั้นทำเอาฉันข้าวแทบไม่ลงเลยทีเดียว

เป็นเรื่องแปลกแต่จริง จะว่าเป็นแรงบันดาลใจจากอะไรก็ตาม พระเณรในวัดป่าบ้านตาด.. ถ้าได้ทำอะไรต่อหน้าพ่อแม่ครูอาจารย์จิตใจรู้สึกคึกคัก บางทีก็ดูเหมือนจะกล้า แต่บางทีก็ดูเหมือนจะกลัว ยิ่งถ้าตัวเองกำลังทำอะไรที่ดี ๆ อยู่.. ยิ่งนึกอยากให้ท่านมาเห็น ท่านกลับไม่เคยเหลือบตาแลดูสักที แต่ตอนที่ทำอะไรผิด ๆ พลาด ๆ ไม่ค่อยจะดี ท่านกลับเป็นส่งสายตาแวบมาทุกครั้งไป ยิ่งถ้าแอบทำอยู่ตามกุฏิ เช่น จับกลุ่มคุยกันไม่นานก็มักจะเจอองค์ท่านมาเยี่ยมแบบไม่รู้ตัว พอพระเณรเหลือบไปเห็นองค์ท่านเข้าเท่านั้น ทุกองค์ทุกท่านจะรับรู้ในโทษความผิดของความเหลาะแหละเหลวไหลของตนโดยทันที ถึงเวลานั้นจึงไม่รู้ว่าใครเป็นใครด้วยความละอายต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ ต่างพากันวิ่งป่าราบเลยทีเดียว ทุกองค์ทุกท่านยอมรับในความผิด ไม่คิดถกเถียง หรือโกหกพ่อแม่ครูอาจารย์แต่อย่างใด และต่างก็จดจ่อคอยฟังเทศนากัณฑ์ใหญ่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยความระทึกใจ

ลัก...ยิ้ม
07-07-2020, 22:41
อุบายขู่พระเณรให้รู้ทันจิตตน

อีกคราวหนึ่ง ครูบาอีกองค์หนึ่งท่านอธิษฐานจิตว่า หากท่านทำอะไรผิด.. ขอให้พ่อแม่ครูอาจารย์อย่าด่าท่านต่อหน้าผู้คนเลย ท่านว่าท่านอายคน ท่านรับไม่ได้ ขอให้บอกกับท่านดี ๆ ก็เป็นเรื่องที่แปลกนัก ท่านทำจานใส่อาหารตกแตกในศาลาเสียงดังเพล้งเลยทีเดียว เป็นความผิดพลาดครั้งร้ายแรงนักสำหรับพระกรรมฐาน.. ผู้จักต้องมีสติระมัดระวัง สำรวมอยู่เป็นนิตย์ แต่ความผิดในครั้งนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์เพียงแค่หันมามอง

พอท่านเห็นแล้วก็เฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านว่าท่านไม่เคยถูกพ่อแม่ครูอาจารย์ดุด่าต่อหน้าญาติโยมเลย แต่ดุด่าในที่เฉพาะก็มีบ้าง

มีเณรองค์หนึ่งไม่ทราบว่าภาวนาดีอย่างไร เข้าใจว่าตัวเองสำเร็จธรรมแล้ว จึงพยายามจะขึ้นไปกราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์ ครูบาที่เป็นเวรศาลา เห็นอาการของเณรก็รู้แล้วว่าแท้จริงเป็นเช่นไร คิดพยายามจะช่วยเหลือจึงกล่าวว่า
“นี่เณร ลองเล่าให้ครูบาฟังหน่อยซิ มันเป็นยังไง ไม่ต้องไปกราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ได้หรอก ครูบาพอแนะนำได้อยู่น้า”

เณรก็พูดขึ้นว่า “ถึงเล่าให้ครูบาฟังก็ไม่รู้เรื่องหรอก ของอย่างนี้มันเป็นปัจจัตตัง”

สุดท้ายครูบาเห็นเณรตั้งท่าจะขึ้นไปกราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์ให้ได้ ก็เลยปล่อยตามความประสงค์ เณรจึงก้าวขึ้นกุฏิของพ่อแม่ครูอาจารย์อย่างอาจหาญ มิหนำซ้ำยังบังอาจเคาะประตูกุฏิท่านอย่างไม่สะทกสะท้านอีกด้วย ทันใดนั้นเณรก็เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์เปิดประตูออกมา เณรจึงรีบกราบเรียนว่า “พ่อแม่ครูอาจารย์ครับ ผมสำเร็จแล้วครับ”

ว่าดังนั้นแล้วยังไม่ทันที่เณรจะกราบเรียนว่าอย่างไรต่อ เสียงพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ดังขึ้น ไม่ผิดอะไรกับอสนีบาตฟากลงที่ข้างหู
“เณรนี่ มันจะเป็นบ้าแล้วหรือ ? หนีเดี๋ยวนี้นะ” เท่านั้นเอง เณรก็เหมือนมีปาฏิหาริย์.. กระโจนพรวดพราดลงจากกุฏิไวกว่าสายฟ้าแลบเสียอีก วิ่งกระหืดกระหอบออกมา ก็พอดีมาพบครูบาซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด

จากนั้นครูบาก็พูดยิ้ม ๆ กับเณรว่า
“เป็นไงบ้างล่ะเณร ของอย่างนี้มันเป็นปัจจัตตัง ไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้หรอกเนอะ ครูบาบอกแล้วก็ไม่เชื่อ”

ผลปรากฏว่าอาการที่สำคัญตนเช่นนั้นก็ระงับลงไป และองค์ท่านก็มิได้ไล่หนี หรือเอาเรื่องนี้มากล่าวดุด่าอะไรอีกเลย

อีกคราวหนึ่ง ครั้งนี้เป็นพระคือ ครูบาอีกองค์หนึ่งท่านภาวนาแล้วเกิดสำคัญผิดว่า ตัวเองมีหูทิพย์ขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงลึกลับอะไรต่าง ๆ มากมาย ครั้งหนึ่งท่านได้ยินเสียงนกร้อง แล้วท่านก็เข้าใจไปว่า นกมันบอกว่าฝนกำลังจะตกแล้ว ท่านก็รีบไปเก็บถ้วยเก็บจานชามที่ตากแดดเอาไว้ พอเก็บเสร็จไม่นาน ฝนก็ตกลงมาจริง ๆ ยิ่งทำให้ท่านหลงเชื่อเสียงที่ได้ยินหนักเข้าไปอีก ครั้นปรึกษาครูบาองค์ไหนก็ไม่เป็นที่ลงใจ สุดท้ายแม้จะเกรงกลัวเพียงใดก็ต้องยอมเสี่ยงเข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยตนเอง เพื่อให้ได้ความจริงได้เหตุผล.. ผิดถูกเอามาสอนตน พอก้าวเท้าขึ้นบันไดกุฏิ ท่านเห็นพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่ข้างบนจ้องมองดูท่านด้วยแววตาดุ ๆ ท่านก็ชักไม่ค่อยจะกล้าแล้ว จากนั้นจึงเอามือชี้มาที่หูของตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า “พ่อแม่ครูอาจารย์ครับ หูผม”

ครูบาองค์นี้กล่าวยังไม่ทันจะจบ กำลังว่าจะพูดอะไรต่อไปอีก ปรากฏว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ขนาบเข้าให้ในทันทีว่า “ท่านนี่.. ระวังจะเป็นบ้านะ”

พอครูบาได้ยินดังนั้น ก็หันหลังลงจากกุฏิเปิดแน่บไปเลย ตอนหลังพ่อแม่ครูอาจารย์ก็เมตตาเทศน์สอนให้บริกรรมพุทโธถี่ ๆ และอย่าไปยุ่งกับเสียงที่ได้ยินอีก เรื่องหูทิพย์ที่วาดภาพไว้ก็เลยจืดจางหายไป

ลัก...ยิ้ม
08-07-2020, 12:41
เดินบิณฑบาตทำข้อวัตรปัดกวาดให้สมเป็นพระหนุ่ม

อีกเรื่องหนึ่ง ครูบาองค์หนึ่งท่านเดินจงกรมกางร่มสู้ฝน จนทางจงกรมแฉะเป็นเลนเป็นโคลน พอฝนหยุดท่านเห็นพ่อแม่ครูอาจารย์เดินผ่านมา ครูบารีบล้างเท้าหลบขึ้นกุฏิแอบดูอยู่ เพราะถ้าพ่อแม่ครูอาจารย์เห็นพระเดินจงกรม ท่านจะเดินเลี่ยงเข้าป่า นัยหนึ่งไม่ต้องการให้พระรู้ว่าท่านมาดู นัยสองไม่เป็นการรบกวนพระทำความเพียร พ่อแม่ครูอาจารย์มองเห็นทางจงกรมก็รู้ทันทีว่า มีพระเดินจงกรมในระหว่างฝนตก เย็นวันนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์สั่งตีฆ้องเรียกประชุมเพื่อเทศน์อบรม และท่านก็เทศน์ให้กำลังใจว่า “ฝนตก ๆ ก็ยังมีพระเดินจงกรมอยู่”

ทำให้ครูบาท่านนี้ปลาบปลื้มใจมาก วันหนึ่งครูบาเกิดท้องเสียอย่างรุนแรง ตอนเช้าเดินไปบิณฑบาตเกือบไม่ไหว แต่ก็แข็งใจไปและวันนั้นก็ช่างแปลกประหลาดเสียเหลือเกิน อยู่ ๆ พ่อแม่ครูอาจารย์ก็ใช้ให้พระองค์หนึ่งเอาผลไม้ไปใส่บาตรครูบาพร้อมกับพูดว่า “ผลไม้นี้ช่วยแก้โรคถ่ายท้องได้นะ”

ครูบาเพียงได้ยินเท่านี้ ยังไม่ทันได้ฉันผลไม้นั้น.. โรคมันก็ทำท่าจะหายไปเสียแล้ว นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่หยิบยกมา พระเณรที่อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ต่างองค์ต่างประสบพบเห็นความเมตตาขององค์ท่านในหลายลักษณะไม่ซ้ำแบบกัน

พอรุ่งเช้าครูบาก็ออกไปบิณฑบาตตามปกติเช่นที่เคยปฏิบัติมา แต่ตอนขากลับจากบิณฑบาตนั้น พระเณรต้องเดินผ่านพ่อแม่ครูอาจารย์ในช่วงใกล้ ๆ จะถึงประตูวัด อันนี้ก็เป็นอุบายอันชาญฉลาด.. ที่พ่อแม่ครูอาจารย์คอยสอดส่องพระเณรในยามบิณฑบาตไปในตัว ถ้าหากเห็นพระหนุ่มองค์ไหนเดินบิณฑบาตมาช้ากว่าหมู่พวกเป็นประจำ บางทีก็อาจจะได้ของแถมเป็นเทศน์เด็ด ๆ ตามมา ยกตัวอย่างเช่น

ครูบาท่านหนึ่งได้เดินแซงพ่อแม่ครูอาจารย์ตอนใกล้ ๆ จะถึงประตูวัด ในขณะที่กำลังจะแซงท่านไปนั้น ก็ได้ยินเสียงองค์ท่านพูดขึ้นเบา ๆ พอให้ได้ยินว่า
“พระหนุ่ม ๆ หัวเท่ากำปั้น เดินบิณฑบาตยังกะคนแก่อายุ ๘๐ มันใช้ไม่ได้นะ”

นอกจากนี้ องค์ท่านได้เคยเทศน์สอนเกี่ยวกับการครองผ้าออกบิณฑบาตว่า “ถ้าใครไม่ซ้อนผ้าสังฆาฏิออกไปบิณฑบาต ให้ไล่หนีออกจากวัด ถ้าไม่กล้าบอกให้มาบอกเรา เว้นไว้แต่วันที่ฝนจะตก”

ลัก...ยิ้ม
08-07-2020, 13:11
การปฏิบัติครูอาจารย์ให้สังเกต รู้จักคิดอ่านให้รอบคอบ

พระเณรที่เคยอยู่กับองค์ท่านทุกรุ่นต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกัน.. ในความเป็นจอมปราชญ์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ว่าสุดฉลาดแหลมคม ท่านรอบรู้ทั้งภายนอกและภายใน.. เต็มเปี่ยมด้วยกระแสแห่งเมตตาธรรม แม้ในการทำข้อวัตรหยาบทางภายนอก หากเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย พ่อแม่ครูอาจารย์ก็ไม่ยอมปล่อยปละละเลยให้เกิดเป็นความเสียหายแก่ศิษย์ อย่างเช่นเหตุการณ์ในคราวนี้

ครั้งหนึ่ง ขณะที่พ่อแม่ครูอาจารย์จะนั่งรถออกไปทำธุระข้างนอก องค์ท่านใช้ให้พระเวรศาลาไปเอากระโถนเล็กมาให้ พระก็ไปหยิบเอากระโถนผิด.. เป็นกระโถนใบใหญ่มา จะด้วยความรีบร้อนไม่ทันคิดให้รอบคอบว่าท่านสั่งอย่างไร หรืออาจคิดเองว่ากระโถนอะไรก็ใช้ได้เหมือนกัน หรือเพราะไม่รู้ขนาดของกระโถน จึงไม่ใส่ใจทำตามที่ท่านบอก ซึ่งโดยปกติกระโถนเล็กจะใช้เป็นกระโถนสำหรับบ้วนคำหมาก ส่วนกระโถนใหญ่จะใช้ทิ้งเศษอาหารในช่วงเวลาฉันตอนเช้า เรียกได้ว่าเป็นของใช้ในกิจที่แตกต่างกัน และพระเณรทุกองค์น่าจะรู้เป็นอย่างดีแล้ว แต่สำหรับพระองค์นี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงหยิบฉวยมาผิด มิหนำซ้ำ ตอนปิดประตูรถถวายท่าน ก็ยังปิด ๆ เปิด ๆ ดูโลเลโลกเลก ต้องปิด ๆ เปิด ๆ ถึงสองทีสามทีกว่าจะล็อคประตูได้ พ่อแม่ครูอาจารย์จึงต้องได้ทั้งดุทั้งปลอบ ดังนี้

“ท่านองค์นี้มันยังไงกัน บอกให้ไปเอากระโถนเล็ก ก็ไปเอากระโถนใหญ่มา ปิดประตูรถก็ปิดตั้งสองทีสามที ยังปิดไม่เข้า ทำไมจะเซ่อซ่าเอานักหนา การทำข้อวัตรปฏิบัติครูบาอาจารย์มันต้องได้ศึกษาคิดอ่านให้รอบคอบถึงหน้าที่ การงานที่เกี่ยวข้องในทุกด้านที่ตนเองต้องกระทำ เพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ ให้เหมาะสมและถูกกับอัธยาศัยของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ทำแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ใช้ความคิดความอ่าน อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องทางด้านสติปัญญา ขาดความเอาใจใส่ในกิจการงานที่ควร ย่อมไม่สมควรแก่นักปฏิบัติผู้มุ่งหวังความหลุดพ้น”

และอีกกรณีหนึ่ง ขณะที่องค์ท่านกำลังจะเดินขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้ากุฏิ ระหว่างนั้นโยมได้นำน้ำปานะมาถวายอย่างรีบร้อนตรงประตูด้านคนขับ โดยยืนอยู่และได้ยื่นถวายพระ.. ที่นั่งอยู่บนรถด้านซ้ายของคนขับด้วยความเร่งรีบ องค์ท่านเห็นกิริยาเหล่านั้นในท่ามกลางผู้คนมากมาย พอองค์ท่านขึ้นนั่งบนรถ ก็เอ็ดขึ้นเลยว่า
“พระรับประเคนไม่มีธรรม ไม่มีวินัย เราดูไม่ได้นะ.. เอาลงไป รับประเคนใหม่”

สาเหตุที่โดนดุ ก็เนื่องจากกิริยาที่โยมยื่นปานะถวายพระนั้น.. เป็นอาการขาดความเคารพ พระก็ยังไปรับเสียอีก จะกระทำด้วยความรีบร้อนหรืออย่างไรก็แล้วแต่.. โยมก็ควรน้อมเข้ามาถวาย ซึ่งก็อยู่ในองค์ประเคน ๕* ตามพระวินัยนั่นเอง หากว่าโยมประมาท ขาดความรอบคอบ .. พระก็ควรบอกกล่าว ซึ่งองค์ท่านได้พยายามพร่ำสอนพระโดยตลอด.. เกี่ยวกับการสงวนรักษาพระธรรมวินัย

อีกเหตุการณ์หนึ่ง มีหมอเส้นมาจับเส้นถวาย และได้ขอให้องค์ท่านนั่งขัดสมาธิเพื่อจะจับเส้นตะโพก องค์ท่านจึงพูดขึ้นว่า “นั่งสมาธิจับเส้น เราไม่ค่อยสนิทใจ ถ้านั่งขัดสมาธิก็นั่งภาวนาไปเลย”

อีกคราวหนึ่ง องค์ท่านได้รับนิมนต์ไปรับผ้าป่าในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร ทางวัดได้จัดที่นอนจับเส้นไว้หน้าธรรมาสน์ของ หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป องค์ท่านเลยดุขึ้นว่า “พระไม่ดูธรรม ดูวินัย ไม่รู้เหรอ อาวุโสภันเต มาปูหน้าหลวงปู่จันทร์ศรีได้อย่างไร ธรรมวินัยอยู่ตรงไหน.. องค์ศาสดาอยู่ที่นั่น ย้ายออกไปที่อื่น”

=======================

องค์ประเคน ๕ ประกอบด้วย

๑. ของที่ประเคนต้องไม่ใหญ่โตและหนักเกินไป (เพราะต้องยกให้พ้นจากพื้น)

๒. ผู้ประเคนต้องอยู่ในหัตถบาส (ช่วงแขนห่างจากพระประมาณ ๑ ศอก)

๓. ผู้ประเคนน้อมสิ่งของที่จะประเคนนั้นด้วยมือก็ได้ หรือเกี่ยวเนื่องด้วยกายก็ได้ เช่น ใช้ทัพพีตักถวาย

๔. ผู้ประเคนน้อมสิ่งของที่จะประเคนนั้นเข้ามาด้วยอาการเคารพนอบน้อม

๕. สำหรับผู้ชาย พระรับประเคนด้วยมือ แต่ถ้าผู้หญิง พระจะใช้ผ้าทอดรับ ใช้บาตรหรือจานแทน

ลัก...ยิ้ม
10-07-2020, 15:16
บริขารของพระป่า

เกี่ยวกับเรื่องบริขารที่จำเป็นต้องใช้นั้น ในปฏิปทาของพระป่าสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็มีแบบอย่างที่ท่านพาปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงวันนี้ โดยมากท่านก็ยึดถือปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่ค่อยจะมีอะไรแปลกประหลาด หรือพิสดารแหวกแนว ออกนอกลู่นอกทาง ปกติพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ค่อยจะส่งเสริมให้พระเณรในวัดป่าบ้านตาด มาหมกมุ่นเกี่ยวกับการจัดทำบริขารต่าง ๆ มากนัก เพราะองค์ท่านเองเคยทำกลดเพียงคันหนึ่ง แล้วเป็นเหตุให้จิตเสื่อมไปเป็นปี กว่าจะรื้อฟื้นจิตใจให้มีสมาธิกลับคืนมาได้ดังเดิม ก็ต้องผ่านความทุกข์ทรมานเพราะจิตเสื่อมมาอย่างสุดแสนสาหัส

เพราะเหตุนั้น องค์ท่านจึงต้องเข้มงวดกวดขัน และคอยป้องกัน ไม่ให้มีการงานใด ๆ มาเป็นภัยต่อจิตภาวนาของพระเณร อันจะเป็นเหตุทำให้จิตใจเหินห่างจาก “พุทโธ” และอีกอย่างหนึ่ง สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานของสมาธิจิตมั่นคงดีแล้ว ก็ยังเป็นเหตุให้สมาธิเสื่อมได้ เพราะการทำบริขารแม้เพียงการทำกลดคันเดียว ยังไม่ทันแล้วเสร็จ.. สมาธิที่เคยเข้าได้ตลอดเวลา ก็เริ่มปรากฏเข้าได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จนถึงขั้นสมาธิอันตธานไม่หลงเหลือเลย ดังที่องค์ท่านได้เผชิญมาแล้ว และเห็นโทษของความที่จิตเสื่อมอย่างถึงใจ

แต่ถึงกระนั้น องค์ท่านก็ไม่ได้ห้ามมิให้พระเณรจัดทำบริขารเสียเลยทีเดียว เพราะความสำคัญเกี่ยวกับบริขารที่จำเป็นต้องใช้ก็ยังคงมีอยู่ และเป็นสิ่งที่พระเณรต้องพึ่งพาอาศัยไปตลอดชีวิตนักบวช ดังนั้น การศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจ และฝึกหัดทำบริขารให้เป็นด้วยตนเอง ก็นับว่ามีความจำเป็น ปรารภว่า “พระเณรควรศึกษาและฝึกหัดทำบริขารให้เป็นบ้าง อย่างน้อยก็คนละอย่างสองอย่างก็ยังดี เพื่อช่วยกันรักษาแบบอย่างบริขารที่ถูกต้อง และปฏิปทาอันดีงามของครูบาอาจารย์ ให้กุลบุตรผู้มาสุดท้ายภายหลัง ได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาในภายภาคหน้าต่อไป หากพระเณรพากันทอดธุระเสียแล้ว ต่อไปใครจะมาทำบริขารที่ถูกต้องให้พระเณรได้ใช้กัน

ก็จริงอย่างนั้นทีเดียว หากพระเณรทำบริขารกันเองไม่ได้แล้ว ก็คงจะต้องไปพึ่งบริขารจากร้านค้า ซึ่งก็ทำมาผิดบ้าง ถูกบ้าง ใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง อย่างที่เห็น ๆ กันอยู่ เพราะคนทำก็ทำมาเพียงเพื่อขอให้ขายได้ บางเจ้าก็ทำดี บางเจ้าก็ทำไม่ดี ส่วนคนซื้อก็สักแต่ว่าซื้อ เพียงเพื่อให้มีของได้ถวายพระ เรียกว่ามีศรัทธาเต็มเปี่ยม แต่ขาดปัญญาใคร่ครวญ ส่วนผู้ใช้คือพระเณรก็ไม่ได้ซื้อหามาเอง เขาเอามาถวายก็จำต้องฉลองศรัทธากันไปตามมีตามได้.. ใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง ก็ทน ๆ กันไป เรื่องมันก็เข้าตำราว่า “คนซื้อก็ไม่ได้ใช้ คนใช้ก็ไม่ได้ซื้อ คนทำก็สนุกขายกันไปเรื่อย ๆ” นี่คือความจริงในยุคปัจจุบัน

ดังนั้น การที่พ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ถึงกับส่งเสริมพระเณรในเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ และความจำเป็นที่ต้องฝึกหัดทำบริขารให้เป็น แม้องค์ท่านเอง พวกลูกศิษย์ก็ทราบกันดีว่า องค์ท่านมีฝีมือในการตัดเย็บจีวรที่ทั้งรวดเร็วและสวยงามไม่ธรรมดาเลย ดังนั้น การที่องค์ท่านไม่ส่งเสริม แต่ก็ไม่ถึงกับห้าม และยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการจัดทำบริขารอีกด้วย จึงน่าจะเป็นอุบายที่มุ่งสอนให้พระเณรรู้จักรักษาตนเอง มิให้เรื่องบริขารอันเป็นของภายนอก มาทำลายสาระสำคัญทางด้านภายในคือจิตภาวนานั่นเอง

จะเห็นได้จากการที่วัดป่าบ้านตาดรับกฐินในแต่ละปี พ่อแม่ครูอาจารย์จะพาพระเณรกรานกฐิน และอนุโมทนากฐินทุกครั้งไป การกรานกฐินนั้น ต้องได้เอาผ้ากฐินมา กะ ตัด เย็บ ย้อม ให้ได้สีและเสร็จทันในวันนั้น ให้เป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง โดยมากก็ใช้เย็บเป็นสบง เพื่อให้ทันกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด และต้องได้ภิกษุผู้มีความสามารถ มีความชำนาญการ กะ ตัด เย็บ ย้อม จึงจะสำเร็จประโยชน์ ใช้ได้ทันกับเวลา

เมื่อกรานกฐินแล้ว ก็เป็นช่วงที่พระเณรจะออกเดินธุดงค์ เพื่อหาที่สงบสงัดบำเพ็ญเพียรภาวนาในป่าในเขาตามอัธยาศัย การกรานกฐินจะอยู่ในช่วงจีวรกาลสมัย สำหรับภิกษุที่ต้องการจีวรผืนใดผืนหนึ่ง ก็ต้องช่วยกันตัดเย็บจีวร ในครั้งพุทธกาลนั้น ถือว่าการตัดเย็บจีวรแต่ละครั้ง เป็นงานใหญ่ที่พระเณรต้องช่วยกันทั้งวัดเลยทีเดียว ในครั้งพุทธกาล แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังได้เสด็จมาช่วยพระภิกษุสงฆ์ทำจีวรในครั้งนั้นด้วย

ส่วนที่วัดป่าบ้านตาดนั้น เมื่อรับกฐินแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์ก็อนุญาตให้พระเณรตัดเย็บจีวรกันได้ โดยใช้ศาลาด้านใน ชั้นบน แต่องค์ท่านก็เข้มงวดกวดขันให้ตัดเย็บเป็นเวล่ำเวลา พอถึงเวลาทำข้อวัตรปัดกวาดก็ต้องหยุดทันที และหากมีทีท่าว่าจะยืดเยื้อไปนานหลายวัน ก็จะพูดเตือนสติให้พระเณรได้คิด และรู้จักความพอเหมาะพอดีในการจัดทำบริขาร เพื่อไม่ให้พระเณรเหินห่างจากจิตภาวนานานมากเกินไป

สำหรับพระป่านั้น เรื่องบริขารท่านมักจะจัดทำกันเอง เพราะจะมีพระที่เก่งในการทำบริขารแต่ละอย่างตามจริตนิสัย บางองค์ก็เก่งเย็บจีวร บางองค์ก็เก่งทำขาบาตร บางองค์ก็เก่งทำกลด เป็นต้น ซึ่งบริขารแต่ละอย่างนั้นกว่าที่จะทำได้สำเร็จ ก็ต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกหัดมาเป็นอย่างดี และต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมากมายเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่มีฝีมือในการทำบริขาร ส่วนใหญ่ท่านมักทำถวายครูบาอาจารย์ หรือสงเคราะห์แก่หมู่คณะที่ขาดแคลนตามโอกาสอันควร และถ่ายทอดวิชาสืบต่อกันมาในวงกรรมฐานด้วยกัน

สำหรับบริขารที่พระป่านิยมทำกันเองนั้นก็มี การตัดเย็บสบง จีวร สังฆาฏิ ผ้าอังสะ ผ้าปูนั่ง ผ้าอาบน้ำ การทำถลกบาตร (สบบาตร) ขาบาตร กลด มุ้งกลด และเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น การทำไม้สีฟัน (ไม้เจีย) ทำไม้กวาดสำหรับกวาดลานวัด เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งบางอย่างจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัย และบางอย่างก็จำเป็นต้องศึกษากรรมวิธีเป็นการเฉพาะ และมีครูบาอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอด จึงจะสามารถทำได้โดยถูกต้องและเหมาะกับการใช้งาน ดังนั้น หากพระเณรไม่ตั้งอกตั้งใจศึกษากันอย่างจริง ๆ จัง ๆ ก็ไม่อาจจะรักษาปฏิปทาในส่วนนี้ไว้ได้

ลัก...ยิ้ม
11-07-2020, 00:46
ในลำดับนี้ ก็จักแสดงบริขารต่าง ๆ ที่นิยมทำกันในสายพระป่า พอให้เป็นแนวทางปฏิบัติโดยสังเขป และเป็นแบบอย่างแก่กุลบุตรผู้มาสุดท้ายภายหลังได้เรียนรู้ และสืบทอดปฏิปทาอันดีงาม ถูกต้องตามพระวินัย ดังต่อไปนี้

การกะ ตัด เย็บ ย้อม จีวร

จีวร เป็นบริขารที่สำคัญของพระที่จำเป็นต้องมี และต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัย ด้วยสำหรับใช้นุ่งห่มปกปิดร่างกาย ประกอบด้วยผ้า ๓ ผืน เรียกว่าไตรจีวร ดังนี้

๑. สังฆาฏิ คือ ผ้าพาดหรือผ้าทาบไหล่ (สำหรับธรรมยุต ใช้ผ้า ๒ ชั้น)

๒. อุตราสงค์ คือ ผ้าสำหรับห่ม ที่เราเรียกว่า จีวร

๓. อันตรวาสก คือ ผ้านุ่ง ที่เรียกกันว่า สบง

สำหรับงานตัดเย็บจีวรนั้น ค่อนข้างเป็นงานที่สลับซับซ้อนพอสมควรทีเดียว หากมิได้ตั้งใจศึกษา ฝึกหัดกันอย่างจริง ๆ จังแล้ว.. คงทำสำเร็จได้ยากมาก

เริ่มต้นจากการกะขนาดให้นุ่งห่มได้พอดีเสียก่อน ซึ่งก็มีมาตรฐานของแต่ละบุคคลดังนี้ ให้ผู้สวมใส่งอข้อศอกตั้งฉาก แล้ววัดจากส่วนปลายข้อศอกถึงปลายนิ้วกลาง ว่ายาวเท่าไร

สมมติว่า ศอกยาว ๔๕ ซม.
ขนาดมาตรฐานของสบง คือ ยาว ๕ ศอก กับ ๑ คืบ (๑ คืบ = ๓๐ ซม.) จะได้ขนาดของสบง คือ ยาว (๔๕ x ๕) + ๓๐ = ๒๕๕ ซม. (คำว่า ศอกในที่นี้ คือความยาวศอกของผู้ใช้) ส่วนกว้างมาตรฐาน ๒ ศอก ก็จะได้ส่วนกว้าง คือ ๔๕ x ๒ = ๙๐ ซม.

ขนาดมาตรฐานของจีวร คือ ยาว ๖ ศอก กับ ๑ คืบ ก็จะได้ขนาดของจีวร คือ ยาว (๔๕ x ๖) + ๓๐ = ๓๐๐ ซม. ส่วนกว้าง (สูง) มาตรฐาน = ๔ ศอก กับ ๑/๒ คืบ (ครึ่งคืบ = ๑๕ ซม.) ก็จะได้ความกว้าง (สูง) ของจีวร = (๔๕ x ๔) + ๑๕ = ๑๙๕ ซม.

ส่วนสังฆาฏินั้น ใช้ขนาดเท่ากับจีวร โดยมากเมื่อตัดเย็บเสร็จแล้ว สังฆาฏิจะขนาดใหญ่กว่าจีวรเล็กน้อย เผื่อเวลาเดินไปบิณฑบาตต้องซ้อนจีวรเข้ากับสังฆาฏิแล้ว จีวรจะไม่เลยสังฆาฏิออกไป

ขนาดมาตรฐานคือ รูปร่างคนปกติ ไม่อ้วนใหญ่เกินไป หรือสูงเกินไป ถ้าคนอ้วนใหญ่จะต้องเพิ่มด้านยาวออกไปอีก ส่วนคนสูงก็ต้องเพิ่มด้านกว้าง (สูง) ให้มากขึ้น

เมื่อรู้จักขนาดมาตรฐานของจีวรดังนี้แล้ว จากนั้นจึงทำการคำนวณ หรือที่เรียกว่ากะขนาด โดยจีวรจะมีขนาดตั้งแต่ ๕, ๗, ๙ หรือ ๑๑ ขัณฑ์สูงสุด แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้ จีวร ๙ ขัณฑ์เป็นมาตรฐาน

ดังนั้น หากจะตัดจีวร ๙ ขัณฑ์ ก็ต้องคำนวณให้ได้ว่า แต่ละขัณฑ์จะกว้างเท่าไร และยาวเท่าไร เมื่อเย็บเข้ากันเป็นจีวรแล้ว จะต้องได้จีวรขนาดที่นุ่งห่มได้พอดี

สำหรับการคำนวณขนาดของแต่ละขัณฑ์ ก็มีหลายวิธีแล้วแต่ว่าใครจะถนัดแบบไหน ขอให้ตัดเย็บออกมาแล้ว ได้ตามขนาดที่ต้องการก็เป็นอันใช้ได้ เมื่อคำนวณได้ขนาดของขัณฑ์จีวรเท่าไรแล้ว บวกเพิ่มเข้าไปอีกขัณฑ์ละ ๒ ซม. ก็จะเป็นขนาดขัณฑ์ของสังฆาฏิ เมื่อเย็บเสร็จแล้ว ก็จะได้สังฆาฏิขนาดพอดีกับจีวร โดยมากสังฆาฎิจะใหญ่กว่าจีวรเล็กน้อย

ลัก...ยิ้ม
11-07-2020, 01:18
โครงสร้างจีวร ขนาด ๙ ขัณฑ์

กรอบสี่เหลี่ยมโดยรอบเรียก อนุวาต โดยมาตรฐานนิยมใช้ กว้าง ๑๕ ซม. ที่เห็นเป็นเส้นคู่คั่นตามแนวตั้งของแต่ละขันธ์ เรียก กุสิ (หรือกุสิยาว) และที่เป็นเส้นคู่ คั่นขวาง ขนานกับด้านยาวของจีวรทั้งข้างบนและข้างล่างสลับกัน เรียก อัฑฒกุสิ (หรือกุสิขวาง) ทั้งกุสิ และอัฑฒกุสิ ขนาดมาตรฐานนิยมใช้ กว้าง ๖ ซม.

วิธีการคำนวณ

สมมติ ผู้ใช้จีวร ศอกยาว ๔๕ ซม. ต้องการจีวร ๙ ขัณฑ์ ความยาวจีวรมาตรฐานก็คือ ๖ ศอก กับ ๑ คืบ ดังนั้น จะได้ ความยาวจีวรที่ต้องการ = (๔๕ x ๖) + ๓๐ = ๓๐๐ ซม. (เผื่อรอยเย็บและเผื่อผ้าหดแล้ว)

เมื่อจะคำนวณขนาดของแต่ละขัณฑ์ ก็ให้เอาความยาวของจีวร หักด้วยความกว้างของอนุวาตทั้งสองด้าน ๆ ละ ๑๕ ซม. (๑๕ x ๒) = ๓๐ ซม. และหักความกว้างของ กุสิยาว ซึ่งมีทั้งหมด ๘ กุสิ ๆ ละ ๖ ซม. (๘ x ๖) = ๔๘ ซม. ออกไปก่อน ก็จะเหลือพื้นที่สุทธิสำหรับคำนวณขนาดของแต่ละขัณฑ์ คือ ๓๐๐ - ๓๐ - ๔๘ = ๒๒๒ ซม.

ฉะนั้น จีวร ๙ ขัณฑ์ จะแบ่งได้พื้นที่สุทธิไม่รวมกุสิ ไม่รวมอนุวาต ออกเป็น ๙ ชิ้น = ๒๒๒ หารด้วย ๙ ได้ชิ้นละ ๒๔.๖๗ ปัดเศษเป็น ๒๕ ซม. เพื่อให้ง่ายต่อการตัดผ้า จากนั้นก็บวกกุสิและอนุวาต กลับคืนเข้าไป ดังนี้

ขัณฑ์กลาง ๑ ขัณฑ์ มี ๒ กุสิ..... จะได้ ขัณฑ์กลาง กว้าง = ๒๕ + ๖ + ๖ = ๓๗ ซม.

ขัณฑ์ริม ๒ ขัณฑ์ ๆ ละ ๑ อนุวาต จะได้ ขัณฑ์ริม... กว้าง = ๒๕ + ๑๕ = ๔๐ ซม.

ขัณฑ์เล็ก ๖ ขัณฑ์ ๆ ละ ๑ กุสิ... จะได้ ขัณฑ์เล็ก.. กว้าง ๒๕ + ๖ = ๓๑ ซม.

ก็จะได้ขนาดกว้างของแต่ละขัณฑ์ ตามต้องการ

ลัก...ยิ้ม
11-07-2020, 01:34
เมื่อคำนวณขนาดของแต่ละขัณฑ์ได้แล้ว ก็ขีดเส้นกุสิและอัฑฒกุสิ ให้ได้ตามรูปโครงสร้างจีวร การขีดอัฑฒกุสิ หรือที่เรียกว่ากุสิขวางนั้น ก็ขีดเป็นเส้นคู่ขนานห่างกัน ๖ ซม. ให้ได้แนวตรงกันทุกขัณฑ์ โดยมากจะใช้วิธีพับสามส่วน แล้วขีดอัฑฒกุสิเข้าหากึ่งกลางของแต่ละขัณฑ์ หรือขีดออกไปทางด้านริมผ้าก็ได้ หรือใช้วิธีพับครึ่ง แล้ววัดจากกึ่งกลางแต่ละขัณฑ์ แบ่งให้ได้ระยะอัฑฒกุสิ.. ด้านบน ด้านล่าง สลับให้เท่า ๆ กัน ตามรูปโครงสร้างจีวรก็ได้ จากนั้นจึงลงมือตัดผ้าออกเป็น ๙ ชิ้น โดยต้องกำหนดหมายไว้ด้วยว่า ชิ้นไหนเป็นขัณฑ์ไหน เสร็จแล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนการเย็บ โดยเอาแต่ละขัณฑ์มาต่อกัน โดยเย็บแบบล้มตะเข็บหรือล้มดูก ซึ่งต้องมีความชำนาญไม่ใช่น้อย จึงจะเย็บได้สวยงาม

ส่วนความกว้าง (สูง) ของจีวร เมื่อตัดเย็บแต่ละขัณฑ์ต่อกันเสร็จแล้ว ก่อนเข้าอนุวาตก็ขึงเชือกตัดริมด้านบน และด้านล่าง ให้ได้ตามขนาดความกว้างมาตรฐานที่คำนวณไว้ โดยมากนิยมเว้าตรงขัณฑ์กลางเข้ามาประมาณ ๑ นิ้ว จากนั้นจึงเย็บเข้าอนุวาตก็สำเร็จเป็นจีวร ขั้นตอนสุดท้ายก็ติดรังดุมชายจีวร และติดรังดุมคอทั้งด้านบนและด้านล่าง เพื่อให้นุ่งห่มสลับกันได้ทั้งสองด้าน ก็เป็นอันจบสิ้นขั้นตอนการเย็บที่สมบูรณ์

สำหรับการติดรังดุมคอทั้งด้านบน ด้านล่าง และห่มคลุมจีวรสลับกัน วันหนึ่งเอาด้านบนขึ้น อีกวันหนึ่งเอาด้านล่างขึ้น ก็เป็นปฏิปทาที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ถ่ายทอดแก่ลูกศิษย์มาในยุคปัจจุบัน เหตุผลก็คือ เมื่อห่มคลุมสลับกันทั้งสองด้าน ย่อมทำให้จีวรเปื่อยขาดพร้อมกันทั้งสองด้าน ไม่ใช่เปื่อยขาดอยู่เพียงด้านเดียว เป็นเหตุยืดอายุจีวรให้ใช้ได้นานยิ่งขึ้นไปอีก ก็เป็นความจริงอย่างนั้น หากท่านผู้ใดเคยใช้จีวรจนถึงขั้นเปื่อยขาด และเย็บปะไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะเห็นความจริงในข้อนี้ และเกิดความซาบซึ้งอย่างถึงใจทีเดียว

ลัก...ยิ้ม
11-07-2020, 01:47
เมื่อผ่านขบวนการเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำไปสู่การย้อมแก่นขนุน โดยใช้เตาต้มแก่นขนุนขนาดใหญ่ เคี่ยวแก่นขนุนจนได้น้ำออกเป็นสีแดงคล้ำ จากนั้นจึงผสมสีย้อมผ้าโดยใช้ สีทอง สีกรัก สีแก่นขนุน สีแดง หรือใช้น้ำที่ฝนจากหินแดง ต้องผสมให้ได้สัดส่วนกันพอดี

สำหรับปริมาณการผสมนั้น ขึ้นอยู่กับผ้าที่จะย้อมว่าจะย้อมกี่ผืน ผ้าหนาหรือผ้าบาง ปริมาณการผสมก็แตกต่างกันไป ทั้งนี้ต้องอาศัยผู้มีประสบการณ์จึงจะสามารถผสมสี และย้อมออกมาได้สีมาตรฐานตามที่ใช้กัน หากผสมไม่เป็นก็อาจทำให้จีวรเสียสีได้ การผสมสีจึงกล่าวได้ว่า มีความสำคัญมิใช่น้อย สำหรับสีจีวรที่ใช้กันในวงพระป่านั้น จะออกเป็นสีเหลืองแกมแดง (สีเหลืองหม่น) หรือไม่ก็สีวัวโทนซึ่งเป็นสีที่ถูกต้อง และตรงตามปฏิปทาที่พ่อแม่ครูอาจารย์พาปฏิบัติแต่เดิม

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กว่าจะทำการ กะ ตัด เย็บ ย้อม ให้สำเร็จเป็นจีวรแต่ละผืนได้นั้น.. ต้องผ่านขั้นตอนมากมายและต้องใช้ฝีมือ.. บวกกับความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว ฉะนั้น การที่พระเณรจะได้มีโอกาสนุ่งห่มจีวร ที่ผ่านการ กะ ตัด เย็บ ย้อม เช่นนี้ได้นั้นจึงไม่ใช่ของง่าย เพราะต้องอาศัยภิกษุผู้ฉลาด และมีความสามารถอย่างยิ่งจริง ๆ หากท่านผู้ใดมีโอกาสได้นุ่งห่มผ้าจีวรเช่นนี้แล้ว ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจได้เลยทีเดียว

และที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด สิ่งนี้คือการสืบทอดปฏิปทาดั้งเดิมแห่งวงพระกรรมฐาน ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้พาปฏิบัติมา หากยังมีภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบใด ปฏิปทาเหล่านี้ย่อมไม่มีวันเสื่อมสลายไปอย่างแน่นอน ดังนั้น พระเณรจึงควรเห็นความสำคัญ และสืบทอดปฏิปทาในข้อนี้ไว้ ไม่ควรลืมตัว และมักง่าย หวังพึ่งแค่บริขารจากร้านค้าโดยถ่ายเดียว

จริงอยู่ แม้ในยุคปัจจุบัน โรงงานทอผ้าสำเร็จรูป สามารถย้อมสีผ้าจากโรงงานได้ใกล้เคียงกับสีผ้าจีวรที่พระกรรมฐานใช้อยู่ ด้วยเทคโนโลยีที่ดีกว่า.. ทำให้สีติดทนนานกว่า และสามารถซักได้แม้กับน้ำเย็น หรือกับเครื่องซักผ้าสมัยใหม่ โดยที่สีไม่ตก ไม่ต้องมาต้มเคี่ยวแก่นขนุน ซัก ย้อม.. ให้ยากลำบาก ซึ่งก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพระเณรได้ไม่ใช่น้อย ซึ่งก็น่าที่พระเณรจะควรยินดี แต่ในขณะเดียวกัน บนความสะดวกสบายเช่นนั้น ก็ไม่ผิดอะไรกับการเอาระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอน.. มากวาดล้างทำลายปฏิปทาในฝ่ายกรรมฐาน ให้แตกทำลายอย่างพินาศย่อยยับ ไม่เหลือซากเลยทีเดียว

ลัก...ยิ้ม
12-07-2020, 12:59
การบ่มบาตร*

บาตร คือ บริขารที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของภิกษุ ใช้ภิกขาจารบิณฑบาตอาหารจากชาวบ้านในชีวิตประจำวัน และหากถึงคราเดินธุดงค์สู่พงไพร พระกรรมฐานก็ใช้บาตรต่างกระเป๋าเดินทาง ใส่บริขารต่าง ๆ เช่น สังฆาฏิ ผ้าอาบน้ำ ที่กรองน้ำ เป็นต้น

พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ใช้บาตรดินและบาตรเหล็ก ปัจจุบันนิยมใช้บาตรสเตนเลส เป็นเหล็กที่ทนทานไม่เป็นสนิม และกำหนดให้ภิกษุมีบาตรได้เพียงใบเดียว โดยต้องอธิษฐานเป็นของใช้ส่วนตัว

บาตรที่สามารถอธิษฐานได้ คือผ่านการบ่มด้วยไฟเสียก่อน ซึ่งมีวิธีการดังนี้

- ทำความสะอาดบาตรให้เรียบร้อย ล้างด้วยผงซักฟอก เช็ดให้สะอาดแห้งสนิท ไม่ให้มีรอยนิ้วมือและคราบสกปรกติดอยู่

- เตรียมถังแก๊ส ปีบใหญ่ หรือถังน้ำมันที่ใส่บาตรเข้าไปได้ และไม่สูงจากบาตรเกินกว่า ๑ ฟุต

- เตรียมหาฟืน ไม้ไผ่ ไม้รวก และไม้อื่น ๆ ที่ให้ความร้อนสม่ำเสมอ ถ้าไม่มีใช้ฟาง ใบไม้แห้ง กาบมะพร้าว หรือวัสดุอื่นที่หาง่ายในท้องถิ่นนั้น ๆ

- ใช้สังกะสีรองที่พื้นดินกันความชื้น และสัตว์ในดินไม่ให้ได้รับอันตรายจากไฟ

- ขนทรายใส่บนแผ่นสังกะสีเกลี่ยให้ทั่ว เอาอิฐมาวาง ๓ ก้อนเป็นสามเส้า

- วางสังกะสี ทราย อิฐ ที่เตรียมไว้ให้ถูกต้องเรียบร้อย

- นำบาตรที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วคว่ำลงบนอิฐสามเส้านั้น

- ครอบปีบหรือถังแก๊สลงตรงบาตร ระวังอย่างให้บาตรเคลื่อนที่

- ตั้งฟืนรอบ ๆ ถังแก๊ส ระวังอย่าให้กระทบถังแรง จะทำให้เคลื่อนที่ถูกบาตรล้ม

- จุดไฟเผาให้ได้ความร้อนที่สม่ำเสมอ ปล่อยให้ไฟไหม้ฟืนจนหมด

- เมื่อฟืนหมด เขี่ยถ่านและขี้เถ้าออกห่างถัง รอสักครู่ แล้วนำบาตรออกมา ขณะที่บาตรยังอุ่นอยู่.. ใช้ผ้าชุบน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว เช็ดให้ทั่ว

- เมื่อบาตรเย็นสนิทแล้ว นำบาตรมาล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้ง บาตรที่บ่มแล้วจะมีสีต่าง ๆ กัน เช่น สีดำ สีน้ำเงิน สีม่วง สีทอง สีปีกแมลงทับ (เขียว) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความร้อนและระยะเวลาในการบ่ม

============================

* บ่มบาตร บางแห่งใช้ระบมบาตร หรือรมบาตร คือการรมบาตรให้ดำเป็นมันเพื่อกันสนิม

ลัก...ยิ้ม
12-07-2020, 13:20
การทำขาบาตร

ขาบาตรเป็นบริขารจำเป็นที่พระเณรต้องใช้คู่กับบาตร เป็นที่รองบาตร พระวินัยไม่ได้กำหนดรูปแบบบังคับ ว่าขาบาตรจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้เหมือนบาตร หรือจีวร เพราะฉะนั้น ขาบาตรจึงค่อนข้างมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นกับว่า.. ใครจะมีความสามารถในการทำอย่างไร แต่สำหรับในวงพระกรรมฐานนั้น ก็มีรูปแบบอันเป็นปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ

โดยมากนิยมใช้ไม้ไผ่ดงที่เนื้อแห้งสนิท นำมาตัดเป็นท่อนยาวประมาณ ๙ นิ้ว แล้วผ่าเหลาให้เป็นเส้นกลม นำมาดึงรูดผ่านรูเหล็ก เพื่อบังคับให้ได้ขนาดที่เท่ากันตามต้องการ ขาบาตรที่นิยมทำกันโดยมาตรฐาน จะใช้ลิ่วไม้ไผ่จำนวนประมาณ ๒๗๐ – ๒๘๐ ลิ่ว แต่ในยุคหลัง ๆ มีการพัฒนาวัสดุที่ใช้ บางทีก็หันไปใช้ก้านลานซึ่งเหนียวกว่า หรือบางท่านก็เขยิบไปนิยมไม้เนื้อแข็งจำพวกไม้พยุง ไม้มะค่า หรือใช้แก่นมะขามกันไปเลย เนื่องจากเป็นไม้ที่มีลวดลายสวยงามตามธรรมชาติ มีความแข็งแรงทนทาน แต่ก็หาได้ยาก ทำได้ยาก และมีน้ำหนักมากกว่า

ขาบาตรจะสวยงามหรือไม่ ก็อยู่ที่การคัดไม้และเหลาไม้ การหลาบให้กิ่วตรงกลาง ลาดเอียงไปหาส่วนปลายทั้งสองด้าน โดยต้องได้ระดับความลาดเอียงเท่ากันหมดทุกลิ่ว ปัจจุบันสามารถทำบล็อกแล้วใช้ลูกหมู*ขัด ก็จะทำให้ได้ขนาดลิ่วเป็นมาตรฐานเท่ากันหมด

การร้อยถักขาบาตรด้วยเชือกให้เป็นแนวเดียวกัน และได้ระยะวงรอบที่ห่างเท่ากัน การออกแบบลายถัก และการเล่นระยะห่างลายถักรอบขาบาตรให้สวยงาม กลมกลืนกันทั้งด้านบนและด้านล่าง จะช่วยขับให้ขาบาตรดูเด่นและประณีตยิ่งขึ้น ผสานกับการพ่นสีย้อมเนื้อไม้ให้ดูภูมิฐานและสง่างาม ซึ่งต้องใช้ฝีมือและความชำนาญอย่างมากเลยทีเดียว และที่สำคัญ.. ตรงเอวขาบาตรต้องได้ขนาดพอดี ไม่ดูเล็กหรือใหญ่เกินไป

เมื่อถักร้อยขอบขาบาตร เสร็จสวยงามดีแล้ว ต้องใช้ล้อบังคับขันด้วยน็อต.. ให้ได้ส่วนสูงตามที่ต้องการ และขีดเส้นรัศมีโดยรอบเป็นวงกลม เพื่อตัดลิ่วทุกลิ่วให้ได้ขนาดวงกลมตามที่ต้องการ ปัจจุบันสามารถใช้ลูกหมูเจียช่วย ก็ทำให้งานได้มาตรฐานดีขึ้นกว่าเดิม

เมื่อตัดและเจียรอบเป็นวงกลมได้ที่แล้ว ก็จะถักเชือกตะกรุดเบ็ดรัดปลาย และเข้าขอบด้วยไม้ไผ่ที่ขดยาวเป็นวงกลมรอบขาบาตร งานขั้นตอนนี้ต้องใช้ฝีมือและประสบการณ์ความชำนาญอย่างมาก จึงจะสามารถเข้าขอบได้เรียบ และเป็นวงกลมสวยงามเท่ากันหมด ทั้งด้านบนและด้านล่าง โดยที่ขาบาตรไม่เบี้ยวหรือเอียง ส่วนด้านที่ต้องวางกับพื้น ก็จะใช้หวายถักรองกันสึก หรือสมัยใหม่นี้เปลี่ยนมาใช้สายไฟถักรองกันสึกแทน ซึ่งก็ดูสวยงามดี

เมื่อเข้าขอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะได้ขาบาตร โค้ง เว้า เป็นวงกลม ได้สัดส่วนพอเหมาะพอดี จากนั้นก็ใช้ไหมพรมเนื้อดี ถักถลกขาบาตรอีกครั้งหนึ่ง ส่วนจะถักลวดลายแบบใด ให้สวยงามแค่ไหน ก็อยู่ที่ผู้ใช้ต้องการแบบไหน อีกทั้งผู้ถักมีความชำนาญ และมีความเพียรมากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถศึกษาเรียนรู้และฝึกหัดทำได้ทุกอย่าง

ขาบาตรที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมด้วยความงามอันวิจิตรประณีต.. ทั้งดูภูมิฐานและดูมีสง่าเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความสุขุมคัมภีรภาพ และความเพียรอันยิ่งยวดของผู้ทำเลยทีเดียว อีกทั้งเป็นการสร้างสมบุญบารมีในอีกแขนงหนึ่งด้วย แม้ผู้มีโอกาสได้ใช้ขาบาตรที่มีความงามพร้อมเช่นนี้ หากเป็นการที่ได้มาเองโดยธรรม ย่อมแสดงถึงบุญบารมีที่สั่งสมมาแล้วมากเช่นกัน แต่ต้องมิใช่การดิ้นรนแสวงหามาด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ดังนั้น ปฏิปทาที่พ่อแม่ครูอาจารย์พาดำเนินมาเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ก็มุ่งหวังมิให้บริขารกลายมาเป็นโทษแก่พระเณรนั่นเอง ท่านสอนให้พระเณรรู้จักทำบริขารให้ “เป็น” คือรู้จักประมาณในการทำ และใช้บริขารให้ “เป็น” คือ ไม่ให้ยึดติดจนกลายมาเป็นภัยกับตัวเอง

============================

* ลูกหมู หรือลูกหนู เป็นเครื่องเจียชนิดหนึ่ง

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 13:44
ครูบาอาจารย์พระกรรมฐาน ที่เกี่ยวข้องกับองค์หลวงตา*

องค์หลวงตาเทิดทูนบูชาคุณธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่นแบบสุดจิตสุดใจด้วยเหตุผลหลายประการ เฉพาะข้อวัตรปฏิปทาของหลวงปู่มั่นประจำองค์เพียงเรื่องเดียว ก็ไม่อาจพรรณนาได้หมดสิ้นและยากจะมีผู้ใดเสมอเหมือน หลวงปู่มั่นยังสามารถนำพาศิษยานุศิษย์ พระเณรให้ก้าวเดินตามรอยท่านได้อีกเป็นจำนวนมาก แต่ในระยะต่อมา.. ครูบาอาจารย์เหล่านั้นก็ค่อยล่วงลับดับขันธ์ไป ภาระการแนะนำสั่งสอน จึงตกมาสู่องค์หลวงตาหนักขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในเรื่องนี้องค์หลวงตาได้กล่าวไว้เช่นกันว่า
“... หลวงปู่มั่นบุกเบิกกรรมฐาน ท่านเป็นองค์แรกไปเลย เราเดินตามท่าน ท่านเป็นกรรมฐาน ท่านเดินหน้า.. ทุกข์ยากลำบากทุกอย่างอยู่กับท่านหมดนั่นแหละ นั่นละ.. ได้ธรรมมาสอน แล้วใครที่จะทำที่จะกระจายไปกว้างแสนกว้างเหมือนหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นจึงเป็นโรงงานใหญ่สำหรับผลิตลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย.. ทางด้านอรรถด้านธรรมให้กระจายออกไป ทุกวันนี้ก็ออกจากหลวงปู่มั่น เทศนาว่าการสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ไปประพฤติปฏิบัติ.. ได้มรรคได้ผลขึ้นมา ธรรมะกระจายออกไป เหล่านี้มีตั้งแต่ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นทั้งนั้นนะ ที่แผ่กระจายทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นแหละ องค์ท่านนิพพานไปแล้ว.. ชื่อเสียงนี้กระฉ่อนทั่วประเทศ ทั่วโลก

เฉพาะองค์ท่านเอง ท่านไม่ค่อยไปสอนใครละ ถ้าสอนก็สอนพระ พระอยู่กับท่านไม่กี่องค์ ในป่าในเขายิ่งแล้ว.. ท่านไม่รับใคร ตอนท่านแก่นี้ ท่านคงจะสงสารบ้างก็เลยรับพระมา แต่ก่อนไม่นะ พระไปอยู่กับท่านไม่ได้

ลูกศิษย์ของท่านองค์ไหน ๆ ที่ปรากฏชื่อลือนามเหล่านี้ มีแต่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นนะ อย่างท่านอาจารย์ขาว อาจารย์คำดี อาจารย์อะไรต่ออะไร ๆ ตลอดอาจารย์ตื้อ ที่ไหน.. ใช่หมดเลย เป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น กระจายออกไปนี้ก็เพราะลูกศิษย์ของท่าน โรงงานใหญ่อยู่ที่นั่น.. ผลิตธรรมให้ลูกศิษย์ลูกหา แล้วก็นำธรรมนี้ออกไปกระจายทั่วโลกเวลานี้ ก็เพราะหลวงปู่มั่นองค์เดียว

ปฏิปทานี้เป็นแบบฉบับไม่เคลื่อนคลาดอะไรเลย เดี๋ยวนี้ค่อยหดย่นเข้ามา ๆ ภาคปฏิบัติก็ยังเหลือแต่เรา ที่ว้อ ๆ อยู่นี้กับพระกับเณรทั้งหลาย พระเณรจุดศูนย์กลางจะมาอยู่กับเราเวลานี้นะ ไม่บอกก็เป็นเอง อยู่กับเราคอยฟังเสียงเรา แต่ก่อนทั้งหลายก็อยู่กับหลวงปู่มั่น ทีนี้ท่านล่วงไปแล้ว ก็ถัดลงมาที่ยังเป็นคนเป็นตัวอยู่ก็คือเรา ก็ทราบแล้วว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ทีนี้ก็มายึดมาเกาะตรงนี้ละ เรื่อยมา...”

==============================

* พระภิกษุสามเณรครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับองค์หลวงตามีเป็นจำนวนมาก ทั้งฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุตจากทุกภาคทั่วประเทศ รุ่นอาวุโสสูงมาจากการเรียนปริยัติหรือศึกษาภาคปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น รุ่นอาวุโสรองลงมา มาจากการพบกันระหว่างการเที่ยววิเวกในสถานที่ต่าง ๆ และสำหรับศิษยานุศิษย์ขององค์หลวงตามาจากการมีโอกาสได้อยู่จำพรรษาด้วย หรือการเป็นพระอาคันตุกะมาศึกษาในสำนักขององค์ท่านเป็นระยะ ๆ แต่มิได้จำพรรษา หรือพระเณรที่ได้เคยอุปถัมภ์อุปัฏฐากองค์ท่านในแง่มุมและในวาระต่าง ๆ ตลอดถึงพระเณรที่ได้เสียสละร่วมแรงร่วมใจกันในงานรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากมายนับเป็นหมื่นรูปขึ้นไป และอื่น ๆ

คณะกรรมการผู้จัดพิมพ์ฯ ขอมีส่วนและขออนุโมทนาสาธุการในกุศลผลบุญ ของพระภิกษุสามเณรครูบาอาจารย์ทุกรูปมา ณ โอกาสนี้ และกราบขออภัย / ขออภัยเป็นอย่างสูง หากข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้นต้องตกหล่น หรือขาดความสมบูรณ์ไปด้วยข้อจำกัดหลายประการ ทำให้รายชื่อพระภิกษุสามเณรย่อมมีโอกาสตกหล่นไปได้ แต่ความสมบูรณ์ในคุณความดีของท่านทั้งหลายที่มีต่อองค์หลวงตานั้น.. มิได้ตกหล่นไปด้วยแม้แต่น้อย อนึ่ง การเก็บบันทึกข้อมูลบุคคลของวัดเพิ่งเริ่มจัดทำขึ้นในระยะหลังไม่กี่ปีนี้.. ตามความจำเป็นที่พระเณรเข้ามาขออยู่ศึกษามากขึ้น

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 13:48
ยุคบ้านห้วยทราย
(พ.ศ. ๒๔๙๔ – ๒๔๙๘)

เป็นพระกรรมฐานที่จำพรรษากับองค์หลวงตาในยุคก่อนสร้างวัดป่าบ้านตาด และเป็นระดับครูบาอาจารย์ในสมัยปัจจุบัน มีรายนามดังนี้

พระอาจารย์สม โกกนุทโท, พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร, พระอาจารย์นิล ญาณวีโร, หลวงปู่บัว สิริปุณโณ, หลวงปู่หล้า เขมปัตโต, หลวงปู่ศรี มหาวีโร, หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ, หลวงปู่เพียร วิริโย, พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม, พระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต, พระอาจารย์สีหา, หลวงปู่ลี กุสลธโร, พระอาจารย์สวาท, หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม, หลวงพ่อชาลี โชติปาโล ฯลฯ

มีสามเณร ๔ รูปคือ สามเณรชื่อน้อย ๒ รูป, สามเณรบุญยัง และสามเณรโส

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 14:00
ยุควัดป่าบ้านตาด
(พ.ศ. ๒๔๙๙ – ๒๕๕๔)

ตั้งแต่องค์หลวงตาสร้างวัดป่าบ้านตาด พระเณรก็เริ่มหลั่งไหลมาอยู่ศึกษากับท่านมากขึ้น ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ในระยะแรก ท่านจำกัดจำนวนพระเณรจำพรรษาไว้เพียง ๑๗ – ๑๘ องค์ และคงจำนวนไว้เช่นนั้นหลายปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ มาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๙ – ๒๕๒๐

ครั้นออกพรรษา จะมีพระเณรอาคันตุกะจำนวนมาก.. สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาพักชั่วคราว หากพระแก่ขยับขยายออกไปแล้วไม่กลับมาก่อนวันวิสาขบูชา พระเณรอาคันตุกะเหล่านี้ก็จะเข้าจำพรรษาแทนที่กันต่อไป โดยมากจะถือเกณฑ์เรียงลำดับมาก่อนหลังเป็นหลัก ระยะต่อมาเมื่อครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ ล่วงลับไป พระเณรจำนวนมากไม่มีที่เกาะที่ยึด องค์ท่านก็อนุโลมผ่อนผันรับพระเข้าจำพรรษามากขึ้น ดังนี้
“... บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ไปอบรมอยู่วัดป่าบ้านตาดทั่วประเทศไทย.. ไม่ใช่น้อย ๆ ถ้าพูดตามความสัตย์ความจริงแล้ว หลวงตาบัวนี้มีลูกศิษย์ฝ่ายพระนี้มากที่สุด .. เราไม่อยากรับพระรับเณรก็ดังที่ว่านี่แหละ รับเป็นภาระแล้ว.. ดูแลแนะนำสั่งสอนตลอดเลย กลางค่ำกลางคืนต้องออกไปสังเกต ดูพระดูเณรประกอบความพากเพียรอย่างไรหรือไม่ ตั้งหน้าตั้งตามา.. มาแล้วมาอยู่ยังไง เคยไล่ออกจากวัดหลายองค์นะ ที่มารับไว้แล้ว.. มาแล้วไม่เป็นท่าซิ นอนไม่รู้จักตื่น เวลานอนยังไม่ถึง ๔ ทุ่มเลย.. นอนหลับครอก ๆ แล้ว ‘เอ๊.. มันยังไงกัน’

นั่น เอาละนะ พอเที่ยงคืนไปดูอีกแล้ว ตี ๓ – ๔ ไปดูอีก วันหลังสังเกตอีก ก่อนที่จะไล่ออกจากวัด.. ไม่ใช่ไล่เฉย ๆ นะ ทดสอบดูรู้นิสัย จริตนิสัยขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้ อ่อนแอ หรือขยันหมั่นเพียร.. หมดเรียบร้อยแล้ว ที่ไล่ออกจากวัดก็ผู้ขี้เกียจ ไปดูจับเอาทุกระยะ ๆ แน่ใจแล้วบอกเลย.. ท่านให้ไป ไม่มีมาคัดค้านเรา เราจับได้หมดแล้ว เพราะฉะนั้น จึงไม่อยากรับพระรับเณร รับมาก็เป็นภาระ

ปีแรกมาอยู่นี่ ๑๒ องค์ เรารับจำกัด ๑๘ องค์ ... อย่างวัดนี้อย่างมากที่สุด ไม่เลย ๑๘ องค์.. เรียกว่ามากที่สุด ตอนนั้นมีครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระเณรทั้งหลายก็ได้ไปอาศัยอยู่กับท่าน ๆ .. ทีนี้พอองค์นั่นล่วงไป องค์นี้ล่วงไป.. ก็ไหลเข้ามาหาเรา จาก ๑๘ รับ ๒๐ จาก ๒๐ เตลิดเลยเป็น ๕๐ กว่าตลอดมา ครูบาอาจารย์แต่ก่อนอย่างหลวงปู่ขาว.. พระเณรก็ไปเต็มอยู่นั่น หลวงปู่ฝั้น.. เต็มอยู่นั่น หลวงปู่อ่อน เหล่านี้เต็มทั้งนั้นล่ะ พอองค์นั่นล่วงไป องค์นี้ล่วงไป.. ไหลเข้ามา ๆ .. ไม่มีที่ยึดที่เกาะก็ไหลเข้ามาละซิ จึงได้รับเพิ่มขึ้น รับพระรับเณรเป็นภาระหนักมากอยู่นะ รับต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วย สังเกตสังกา แนะนำสั่งสอน จึงไม่รับง่าย ๆ ...”

เทศนาเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙ แสดงถึงความเมตตาศิษย์เป็นล้นพ้น แม้จะชราภาพมากอายุจวนจะ ๙๓ ปีแล้วก็ตาม ท่านยังสู้อุตส่าห์ออกเดินตรวจตรา ดูทางจงกรม ดูความพากเพียร ของพระของเณรในยามค่ำคืนดึกดื่น ดังนี้
“กลางคืนผมเดินดู ไม่เห็นพระลงเดินจงกรม กลางคืนเงียบ ๆ ไม่เห็นนะ นี่พึ่งมาพูดวันนี้ ไปดูเป็นประจำนะ ท่านทั้งหลายว่าผมไม่ไปดูเหรอ มันขี้เกียจอะไรนักหนา ถ้าขี้เกียจให้หนีจากวัดนี้.. อย่าอยู่ นี่ไปเที่ยวเดินดูหมด กลางค่ำกลางคืนไม่เห็นพระออกมาเดินจงกรม.. หย็อก ๆ แหย็ก ๆ เลย ท่านทั้งหลายว่าผมไม่ดูเหรอ ผมไปดูตลอดนะ นี่ล่ะ.. วันนี้ออกพูดเสียบ้าง นาน ๆ พูดทีหนึ่ง ๆ

นี่ล่ะ .. การปกครองหมู่เพื่อน รับหมู่เพื่อน.. รับจริงรับจัง แนะนำสั่งสอน สังเกตสังกาทุกแง่ทุกมุม.. ให้พากันเอาจริงเอาจัง อย่ามาเหลาะแหละให้เห็น ตั้งแต่ดูธรรมดานี้ก็ขวางตาพอแล้ว แบบหลับหูหลับตาไปกับหมู่กับเพื่อน นี่ไม่ได้คุยนะ ความเพียรดูหมู่เพื่อนดูไม่ได้ ถ้าเราทำอย่างนี้ เราก็ตายไปนานแล้วแหละ นี่ไม่ได้ทำอย่างนี้”

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 14:03
บ้านตาดยุคแรก (พ.ศ. ๒๔๙๙ – ๒๕๑๑)

เป็นยุคที่องค์หลวงตาเน้นการสอนพระเป็นพิเศษ ครูบาอาจารย์ที่อยู่จำพรรษาร่วมกันในเวลานั้น ก็มีทั้งที่ตามมาจากยุคห้วยทราย อาทิ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร, หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ, หลวงปู่เพียร วิริโย, พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม, หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต, หลวงปู่ลี กุสลธโร, พระสุกันต์, พระอาจารย์คำผิว สุภโณ, พระผัน, พระสมนึก และสามเณรเสริฐ

ครูบาอาจารย์ที่มาจำพรรษาด้วย หรืออยู่ศึกษาใหม่มีรายนามดังนี้ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท, หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ, หลวงปู่สอ พันธุโล, พระอาจารย์ทอง จันทสิริ, หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม, พระอาจารย์แสวง โอภาโส, พระอาจารย์บุญกู้ อนุวัฑฒโน, พระอาจารย์น้อย ปัญญาวุโธ, หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม, หลวงปู่บุญยัง ผลญาโณ, พระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญโญ, พระอาจารย์ปีเตอร์ ปัญญาวัฑโฒ, พระอาจารย์จอร์จ (เชอรี่) อภิเจโต เป็นต้น

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 14:08
บ้านตาดยุคสอง (พ.ศ. ๒๕๑๒ – ๒๕๒๘)

เป็นยุคที่องค์หลวงตาเกี่ยวข้องกับประชาชนและพระเณรมากขึ้น ครูบาอาจารย์ที่อยู่จำพรรษาร่วมกันมีรายนามดังนี้

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก, พระอาจารย์ทองฮวด ฐานวโร, พระอาจารย์สุชาติ, พระอาจารย์เอียน อริเยสโก, พระอาจารย์ประยูร, พระอาจารย์จ้อน, พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม, พระอาจารย์คลาด ครุธัมโม, พระอาจารย์นิพนธ์ อภิปสันโน, พระอาจารย์บุญทัน ฐิตสีโล, พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล, พระอาจารย์ณรงค์ อาจาโร, พระอาจารย์สม ขันติโก, พระอาจารย์โกวิท ฐานยุตโต, พระอาจารย์มาลา ญาโณภาโส, พระอาจารย์มหาณรงค์ ฐิตญาโณ, พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน, พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต, พระอาจารย์บุญจันทร์ กตปุญโญ, พระอาจารย์บุญช่วย ปัญญวันโต, พระอาจารย์ฟิลลิป, พระอาจารย์แพท, พระอาจารย์บุญมี ธัมมรโต, พระอาจารย์จำรัส จันทโชโต, พระอาจารย์วงศ์สิน, พระอาจารย์ดิ๊ค สีลรตโน, พระอาจารย์วิศิษฐ์ สันติกโร, พระอาจารย์มานะ เทวธัมโม, พระอาจารย์เฉลิม ธัมมธโร, พระอาจารย์ชิต ฐิตจิตโต, พระอาจารย์มงคล, พระอาจารย์วุฒิชัย สุตาวุโธ, พระอาจารย์น้อย (สุรินทร์), พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต, พระอาจารย์นพดล นันทโน, พระอาจารย์ภูษิต ขันติธโร, พระอาจารย์พิมพา จาคจิตโต, พระอาจารย์ทวีป กมโล, พระอาจารย์สงบ ปภาโส, พระอาจารย์แดง, พระอาจารย์สมเดช สิริจันโท, พระอาจารย์สุพัฒน์ ธัมมวโร, พระอาจารย์ศานิตย์, พระอาจารย์สมยศ, พระอาจารย์มานะ ฉันทสาโร, พระอาจารย์ชูชาติ, พระอาจารย์ธีรยุทธ ธีรยุทโธ, พระอาจารย์สุนทร ฐิติโก, พระอาจารย์ประยูร, พระอาจารย์ประสิทธิ์, หลวงพ่อณัฐ, พระฌาณ, พระอาจารย์บำรุง นวพโล, พระอาจารย์บุญเติม ฐิโตภาโส, พระอาจารย์กฤษฎา สุรวังโส, พระอาจารย์สุลาน ปภัสสโร, พระอาจารย์สมบูรณ์ ฐิตญาโน ฯลฯ

================================

หมายเหตุ

การบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับกาลเวลา สถานที่และบุคคล มีความมุ่งหมายเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงในเชิงประวัติศาสตร์แต่พอสังเขป มีรายละเอียดที่ควรทราบ ดังนี้

๐ รายนามข้างต้นนี้ ไม่รวมถึงครูบาอาจารย์ที่ไม่เคยจำพรรษากับองค์หลวงตา แม้อาจได้ช่วยเหลือหน้าที่การงาน หรือมีความเกี่ยงข้องอย่างลึกซึ้งกับองค์หลวงตา

๐ ในยุคแรก ๆ ยังไม่มีการบันทึกการจำพรรษาของภิกษุสามเณร ทำให้ข้อมูลในช่วงเวลาดังกล่าวอาจตกหล่นหรือขาดหายไป

๐ รายนามข้างต้นนี้ รวมถึงพระภิกษุผู้เคยเข้ามาศึกษากับองค์หลวงตาระยะหนึ่ง และได้ลาสิกขาแล้ว นอกจากข้อมูลที่นำมาแสดงข้างต้น ยังมีภิกษุสามเณรที่หมุนเวียนมาศึกษากับองค์หลวงตาในช่วงออกพรรษา เป็นจำนวนมากยิ่งกว่าในพรรษา จึงไม่สามารถนำมาแสดงได้ทั้งหมด

๐ มีฆราวาสในสายอาชีพต่าง ๆ รวมถึงบุคคลสำคัญ ๆ เข้ามาบวชศึกษาชั่วคราวทั้งจำพรรษา หรือบวชนอกพรรษาอีกเป็นจำนวนมากในช่วงที่องค์หลวงตาดำรงขันธ์อยู่

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 14:12
บ้านตาดยุคสาม (พ.ศ. ๒๕๒๙ – ๒๕๔๐)

เป็นยุคที่เปิดกว้างสู่สาธารณชน องค์หลวงตาอนุโลมให้มีพระเณรในพรรษาเพิ่มมากขึ้น อ้างอิงตามข้อมูลของวัดเก็บบันทึกไว้ มีดังนี้
ปี ๒๕๓๓ จำนวน ๔๔ องค์
ปี ๒๕๓๘ จำนวน ๔๖ องค์
ปี ๒๕๓๙ จำนวน ๔๘ องค์
ปี ๒๕๔๐ จำนวน ๔๘ องค์

ครูบาอาจารย์ที่จำพรรษาร่วมกันมีรายนาม ดังนี้
พระอาจารย์สุทธิ ธัมมสาโร, พระอาจารย์พิพัฒน์ ธัมมวโร, พระอาจารย์สถาพร, พระอาจารย์สมภพ อภิวัณโณ, พระอาจารย์บัณฑิต ธีรธัมโม, พระอาจารย์นรา กตรักโข, พระอาจารย์วิทยา กิจจวิชโช, พระอาจารย์วีระศักดิ์ ติกขวีโร, พระอาจารย์ชวน ฐิติธัมโม, พระอาจารย์สุริยัน วรคุโณ, พระอาจารย์ภาสกร ภาสกโร, พระอาจารย์ไพรินทร์ ปัญญาพโล, พระอาจารย์มหาตี๋ ปิยสีโล, พระอาจารย์กองคำ เปมสีโล, พระอาจารย์สมพงษ์ ขันติโก, พระอาจารย์สมหมาย อุปติสโส, พระอาจารย์สุทธิชัย สุทธิชโย, พระอาจารย์ประภาส กตปัญโญ, พระอาจารย์ชูชาติ ชยธัมโม, พระอาจารย์ถาวร ขันติโก, พระอาจารย์มหาสำรวย สุภวิสสุโภ, พระอาจารย์ชาตรี นิสโภ, พระอาจารย์เรืองเดช ฉินนาลโย, พระอาจารย์วิเชียร อิฏฐาโน, พระอาจารย์สำรวย อารัญโญ, พระอาจารย์กนก กนโก, พระอาจารย์อมร ติกขญาโณ, พระอาจารย์อำนวย กันตธัมโม, พระอาจารย์พรหม กิตติวัณโณ, พระอาจารย์นพรัตน กันตธัมโม, พระอาจารย์ปรัชญา โอภาโส, พระอาจารย์โสภา สมโณ, พระอาจารย์สาธิต ชยสาธิโต, พระอาจารย์ทศพล กิตติวโร, พระอาจารย์โกศิล ปัญญากโร, พระอาจารย์สกริน จิตตปัญโญ, พระอาจารย์ปราโมทย์ สิรินันโท, พระอาจารย์ประสบ กุสโล, พระอาจารย์สุทธิพงษ์ สุทธิพุทโธ, พระอาจารย์ธนพิบูลย์ รตนปัญโญ, หลวงพ่อจิตติ จิตตวชิโร, พระอาจารย์สมพงษ์ ฐิตวังโส, พระอาจารย์รัฐวีร์ ฐิตวีโร, พระอาจารย์ศรณรงค์ ธีรปัญโญ, พระอาจารย์นิคม ปัญญาธโร, พระอาจารย์ประสพ วรจิตโต, พระอาจารย์สมหมาย ฐานุตตโร, พระอาจารย์จิว อภิปุญโญ, พระอาจารย์แก่น, พระอาจารย์มหาธีรนาถ อัคคธีโร, พระอาจารย์ณฤทธิ์ อิทธิโชโต, พระอาจารย์สมพร ยโสธโร, พระอาจารย์นิรุจน์ อลีโน, พระอาจารย์วิชาญ อัคคจิตโต, พระอาจารย์มหาสมควร รตนปัญโญ, พระอาจารย์มาร์ติน ปิยธัมโม, พระอาจารย์บารมี สุทธจิตโต, พระอาจารย์คณิต โชติธัมโม ฯลฯ

จำพรรษาในระหว่างเป็นสามเณร ไม่ทราบสถานภาพปัจจุบัน
สามเณรสนอง หรเพลิด, สามเณรรัศมี ก้านจักร, สามเณรนิโก ขันธรักษ์, สามเณรไพฑูรย์ นุตตะกุล, สามเณรมานะ เทียมราช, สามเณรสมชาย ทองราช, สามเณรอุทัย ทองราช

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 14:13
บ้านตาดยุคสุดท้าย (พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๕๔)

เป็นยุคที่เปิดกว้างสู่สาธารณชนสูงสุด เนื่องจากองค์หลวงตาเมตตาออกมาช่วยชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อ้างอิงตามข้อมูลของวัดเก็บบันทึกไว้มีดังนี้
ปี ๒๕๔๑ จำนวน ๔๖ องค์ ปี ๒๕๔๘ จำนวน ๕๘ องค์
ปี ๒๕๔๒ จำนวน ๔๗ องค์ ปี ๒๕๔๙ จำนวน ๕๖ องค์
ปี ๒๕๔๓ จำนวน ๔๖ องค์ ปี ๒๕๕๐ จำนวน ๕๘ องค์
ปี ๒๕๔๔ จำนวน ๔๙ องค์ ปี ๒๕๕๑ จำนวน ๖๑ องค์
ปี ๒๕๔๕ จำนวน ๕๒ องค์ ปี ๒๕๕๒ จำนวน ๖๓ องค์
ปี ๒๕๔๖ จำนวน ๕๕ องค์ ปี ๒๕๕๓ จำนวน ๖๒ องค์
ปี ๒๕๔๗ จำนวน ๕๗ องค์

ครูบาอาจารย์ที่จำพรรษาร่วมกัน มีรายนามดังนี้
พระอาจารย์สงัด ฐิตธัมโม, พระอาจารย์สมบูรณ์ ปุณณารักโข, พระอาจารย์เสวต จิรธัมโม, พระอาจารย์จำเริญ คุณวโร, พระอาจารย์คัมภีร์ ญาณคัมภีโร,พระอาจารย์สันต์ชัย สันติธัมโม, พระอาจารย์ประพจน์ ทีฆายุโก, พระอาจารย์ปัญญา ฐิตโสภโณ, พระอาจารย์บัญชา เมตติโก, พระอาจารย์สุทธิชัย จักกวโร, พระอาจารย์สมฤกษ์ ญาณวโร, พระอาจารย์สุขกาย พลญาโน, พระอาจารย์สันติ สุปฏิปันโน, พระอาจารย์พอใจ โฆสธัมโม, พระอาจารย์เรือนทอง สันตจิตโต, พระอาจารย์อำพล ฐานุตตโร, พระอาจารย์ชำนาญ อภิปัญโญ, พระอาจารย์ทวี อัตตสาโร, พระอาจารย์ธีระเดช ถิรธัมโม, พระอาจารย์วิมาน เขมาภิรโต, พระอาจารย์ประพบ ลาภิโก, พระอาจารย์ยุทธนา ตันติปาโล, พระอาจารย์ทิพากร สุภาจาโร, พระอาจารย์สมชาย จิตตกาโร, พระอาจารย์นกหวีด กิตติวุฑโฒ, พระอาจารย์อดิศร รตนปัญโญ, พระอาจารย์ฉัตรชัย วิชโย, พระอาจารย์ชวลิต ภูริปัญโญ, พระอาจารย์เฉลิมชัย อธิจิตโต, พระอาจารย์ไพโรจน์ อภิปุญโญ, พระอาจารย์สิงห์โต โฆสโก, พระอาจารย์สมิง ปิยธัมโม, พระแกส รตนญาโณ, พระฉัตรแก้ว ญาณรังสี, พระเขมาสาลา ธัมมเฉโก, พระปิออต จิตตปัญโญ, พระวีระพงษ์ สุจิณณธัมโม, พระจันทร์ญา เปสโล, พระพรเทพ ญาณวุฑโฒ, พระอ้วน ธัมมเฉโก, พระไพโรจน์ อัตตคุตโต, พระฮานส์ ญาณธัมโม, พระปีเตอร์ ฐิตธัมโม, พระพิทักษ์ รตินธโร, พระมหาพิศิษย์ ธีรปัญโญ, พระธงชัย นิรโต, พระวีระพล สัจจวโร, พระไกรวัลย์ ฐานวโร, พระนิรันต์ นิรันตโร, พระมนู กิตติวัณโณ, พระรอนนี่ กันตธัมโม, พระจอห์น กุสโล, พระอาทิตย์เทพ อภิปัญโญ, พระวีระศักดิ์ ถาวรจิตโต, พระเพลินจิต อธิจิตโต, พระ ม.ล.สิทธิโชค สิทธิเตโช, พระหมาย มหัทธโน, พระศุภชัย ภูริปัญโญ, พระพิณโย กาญจโน, พระสมชาย ฐิตธัมโม, พระเจี่ย ปิยสีโล, พระเฮนรี่ หิริวโร, พระกัมพล ขันติพโล, พระพายัพ ฉันทสีโล, พระสัมพันธ์ ถิรโสภโณ, พระมณฑล วรจิตโต, พระศุภนิติ ครุโก, พระวรวุฒิ ภัททธัมโม, พระสารทูล สุชาโต, พระธนเศรษฐ์ สมังคิโก, พระปัญญา นิมโล, พระมนตรี จัตตสีโล, พระภานุมาศ ฐานิโย, พระสุชาติ ฐิตสุโข, พระโชติรส, พระดนัย โสภิโต, พระอภิสิทธิ์ สิทธิชโย, พระเกรสัน มนุญโญ, พระวินัย สิริกุโล, พระเจตน์ อาจิตตธัมโม, พระตีต้อง วรปัญโญ, พระโจเซฟ ปิยธัมโม, พระประเสริฐ ขันติโสภโณ, พระธงชัย อธิปัญโญ, พระปีเตอร์ ตปสีโล, พระปิโยรส ฐิตรโส, พระพิศาล วิชโย, พระเนตร สันตจิตโต, พระเดวิด อภิสัทโธ, พระพรชัย นาถธัมโม, พระทรงศักดิ์ ติกขวีโร, พระพยัคฆ์ ปัญญารัตโน, พระนิวัติ สุวัณโณ, พระวรัตน์ วรญาโณ, พระอนุวัฒน์ ปิยวาจโก, พระเดชา จัตตสัลโล, พระสมชาย วรจิตโต, พระบวร (โคคำมา) ฯลฯ

จำพรรษาในระหว่างเป็นสามเณร ไม่ทราบสถานภาพปัจจุบัน
สามเณรจิตติ สุวรรณพฤกษ์, สามเณรกะวีวัฒน์ นาสวัสดิ์, สามเณรนนท์ ยะสุตา, สามเณรเอกชัย ใจสุต๊ะ

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 16:45
บ้านตาดยุคสิ้นร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่ (พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป)

เป็นยุคที่พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน โดยก่อนละขันธ์.. องค์ท่านบรรจงฝากพระธรรมคำสอนตอนเช้ามืดของวันใหม่ และปีใหม่เวลาตีหนึ่งเศษของวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ณ โรงพยาบาลศิริราช ไว้เป็นเครื่องระลึกเตือนใจตลอดไป แก่พระอาจารย์สุดใจในนามผู้แทนคณะศิษย์ทั้งปวงว่า
“มือของครูอาจารย์กับมือของลูกศิษย์ลูกหา ญาติมิตร เพื่อนฝูง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้ ไว้ใจกันได้ เชื่อใจกันได้ ตายใจกันได้”

องค์หลวงตา ท่านฝากเตือนคณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์ของท่านทั้งปวง ให้มีสามัคคีธรรม รักใคร่กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้รักษาและสืบทอดมรดกธรรม ได้แก่ข้อวัตรปฏิบัติ คำสั่งสอน และปฏิปทาที่ท่านพาดำเนินมา มิให้เสื่อมคลายและสูญหายไป ให้ฝากเป็นฝากตาย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป

ลัก...ยิ้ม
13-07-2020, 16:49
๙. เสาหลักกรรมฐานสมัยกึ่งพุทธกาล

องค์หลวงตามักมีเหตุได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานสำคัญ ๆ ที่ต้องใช้เหตุผล ไหวพริบปฏิภาณและบารมีในการจัดการปัญหา และทุกเรื่องก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เป็นที่ลงใจของทุกฝ่าย ทางด้านปัญหาธรรม องค์หลวงตาก็มีโอกาสได้สนทนา แก้ปัญหาธรรมขั้นละเอียดให้แก่พระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจำนวนมาก จนถึงกับเคยได้รับคำยกย่องจากพระมหาเถระที่มีพรรษาสูงกว่าว่า "องค์หลวงตาเป็นอาจารย์ของท่าน" ด้วยเหตุนี้ การแก้ปัญหาทั้งส่วนย่อยส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของท่าน จึงกล่าวขานได้อย่างสมบูรณ์แบบว่า องค์หลวงตาเป็นเสาหลักแห่งวงกรรมฐานสมัยกึ่งพุทธกาล

ลัก...ยิ้ม
14-07-2020, 14:05
เสาหลักกรรมฐาน

งานฉลองกึ่งพุทธกาล

เมื่อครั้งที่องค์หลวงตาจำพรรษาที่จันทบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ชาวจันทบุรีได้เล่าให้ท่านพ่อลี วัดอโศการาม ฟังถึงการเทศนาขององค์หลวงตาชนิดน้ำไหลไฟสว่างเลยทีเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วท่านทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อนแล้วตั้งแต่หลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ องค์หลวงตาเล่าว่า
“... ท่านพ่อลีมีนิสัยเด็ดเดี่ยว อาจหาญชาญชัยมากในการประพฤติปฏิบัติ และท่านเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เริ่มแรกโน้น จนกระทั่งได้พลัดพรากจากกันทั้งหลวงปู่มั่น และท่านเองก็เคยไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ

เท่าที่ได้สังเกตในเวลาท่านไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือนั้น รู้สึกว่าหลวงปู่มั่นท่านแสดงอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความเมตตาอย่างมากมาย เห็นได้อย่างชัดเจน แม้ท่านจะไม่ได้พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือเป็นเวลานานก็ตาม แต่สถานที่ให้พักสำหรับท่านพ่อลีเรานี้ ท่านเป็นผู้สั่งเองว่าให้ไปจัดที่นั่น ๆ คือในป่านอกบริเวณรั้ววัด ให้ท่านลีได้พักสบาย ๆ เพราะสงัดดีกว่าที่อื่น ๆ

คำว่าที่นั่น ๆ นั่นหมายถึงในป่าลึก ๆ โน้น แล้วก็สั่งเราเองนี้ให้เป็นผู้ไปดู และจัดสถานที่ที่จะให้ท่านพัก หลังจากนั้นท่านยังตามไปดูสถานที่พักนั้นอีกด้วย นี่ก็เป็นเหตุให้ประทับใจไม่ลืม และการให้โอวาทสั่งสอนใน ๒ – ๓ คืนที่ท่านพักอยู่นั้น รู้สึกว่าประทับใจอย่างมากทีเดียว

เพราะครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน และเป็นที่เมตตาเป็นที่ไว้วางใจของท่าน นาน ๆ จะได้ไปพบกับท่าน กราบนมัสการท่านครั้งหนึ่ง และได้สนทนาธรรมกัน ท่านจึงได้สนทนากันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถเต็มธรรมทุกขั้นตอน ซึ่งยากที่จะหาฟังได้ในเวลาอื่น ๆ

นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ลืมไม่ได้ เพราะหลวงปู่มั่นนั้นแสดงอาการอันใดออกมา ย่อมเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความหมายที่จะยึดเป็นคติได้ตลอดไป ไม่สักแต่ว่ากิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยความหมาย นี่ท่านพ่อลีก็เป็นลูกศิษย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเรา...”

จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ท่านพ่อลีรู้จักคุ้นเคยกับองค์หลวงตาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านหนองผือแล้ว

ต่อมาเมื่อท่านเริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดได้ไม่นาน ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ครบกึ่งพุทธกาล ท่านพ่อลีจึงได้จัดเตรียมงานฉลองพระพุทธศาสนาขึ้นที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ความตั้งใจของท่านพ่อลีในทีแรก คิดจะจัดงานนาน ๒ อาทิตย์ แต่ก็มีเหตุให้ขยายวันเพิ่มออกไป

เป็นปกติธรรมดาเมื่อทำกิจการงานใด ปัญหาในงานนั้นย่อมเกิดมีขึ้นไม่มากก็น้อย และหากต้องอาศัยคนหมู่มากเข้าร่วมงานกันด้วยแล้ว การตกลงกันในงานเพื่อจะให้มีทิศทางเดียวกัน ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีก มิฉะนั้น ปัญหายุ่ง ๆ พอให้รำคาญใจย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย แม้ในคราวจัดงานบุญครั้งนี้ก็เช่นกัน

พอเริ่มงานได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ก็เริ่มมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น คือจำนวนแม่ครัวมีไม่เพียงพอ ปัญหาเท่านี้คงไม่ใหญ่โตอะไร แต่เมื่อขยายผลมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ อันเป็นกิ่งก้านสาขาตามมาจนเป็นเหตุให้เกิดการโต้เถียงกันในที่สุด เนื่องจากยังหาจุดลงตัวไม่ได้ งานส่วนรวมจึงเกิดชะงักงันขึ้น กลายเป็นปัญหาโหญ่โต แม้จะมีพระภิกษุครูบาอาจารย์พยายามไปพูดคุยช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่เป็นผลดีขึ้นแต่อย่างใด บางทีอาจซ้ำร้ายลงไปอีก ดังนี้
“... อย่างวัดอโศการามระงับเหตุก็เรา มีงานฉลอง ๒๕๐๐ คนแน่นหมดเลย งานนี้จะให้มีอยู่สองอาทิตย์ ทำประมาณสัก ๖ – ๗ วันเรื่องราวก็เกิดขึ้น ยังไม่ถึงไหนเกิดเรื่องขึ้นแล้วภายในวัด ยุ่งกันฝ่ายผู้หญิง.. แม่ครัวไม่พอบ้าง อะไรบ้างยุ่งไปหมด อโศการาม.. นี่ก็ท่านพ่อลีล่ะ ท่านก็สั่งท่านอาจารย์เจี๊ยะนี้ละ.. ไปหาเราว่า

‘บอกให้มหาบัวไประงับเหตุในครัวเดี๋ยวนี้ คนอื่นไปแทนไม่ได้โดยเด็ดขาด ห้ามไม่ให้ใครแทนเป็นอันขาด ให้มหาบัวเท่านั้นไป’
แล้วก็บอกให้ท่านอาจารย์เจี๊ยะไปหาเรา ให้เราไประงับเหตุการณ์ในครัว เราบอก ‘ไปหาองค์อื่นไม่ได้หรือ’

‘ท่านห้ามเด็ดขาด ให้ท่านอาจารย์เท่านั้นไประงับเหตุการณ์ในครัว’

‘โอ๊ย.. ทำไงอย่างนี้’

‘ก็ท่านสั่งอย่างนี้ จะทำไง’ ตกลงเราก็เลยไป...”

ลัก...ยิ้ม
14-07-2020, 14:31
ด้วยความจำเป็นเช่นนี้ ท่านจึงเข้าซักถามกับแม่ครัว เพื่อดูว่ามีปัญหาอะไร ต้นสายปลายเหตุอย่างไร เมื่อเข้าใจเหตุผลแล้ว ท่านก็ชี้ปัญหาและการแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา ดังนี้
“... เราเอาอย่างหนัก ๆ เลยทีเดียว เพราะมันไม่ลงกัน แม่ครัวมีแต่เขาโค้ง ๆ ตัวใหญ่ ๆ ตัวทิฐิมานะใหญ่ ๆ ทั้งนั้นอยู่ในครัว พออาจารย์เจี๊ยะพูดคำหนึ่งเขารุมมานี้.. หลงทิศ เมาหมัด พอทางนี้พูด ทางนั้นขึ้น.. ทางนี้ขึ้นเลยนะ ฟาดอาจารย์เจี๊ยะ จนกระทั่งอาจารย์เจี๊ยะได้มากระซิบกับเรา
‘นี่ ๆ ท่านอาจารย์เห็นไหม ผมพูดอะไรไม่ได้นะ’

เราก็นิ่งเฉย.. ฟัง บทเวลาเราจะพูด บอกตรง ๆ เลย เราบอกชัดเจนเลย เอาอย่างเด็ดนี่นะ ไม่เด็ดไม่ได้
‘เอ้า.. ให้พูดคนละฝ่าย ฝ่ายไหนจะพูดเรื่องราวอะไร ให้พูดมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฝ่ายหนึ่งให้นิ่ง ฝ่ายไหนจะพูดออกมา ทางนี้ให้เงียบหมด พอทางนั้นเสร็จเรียบร้อย เอ้า.. ทางนี้พูด ทางนั้นให้เงียบ ๆ’

ครัวก็มีแต่เขาโค้ง ๆ พูดให้มันชัด ๆ เสีย โอ้โหย.. ไม่ใช่เล่น ๆ นะ นั่นก็เอาอีกแหละ เข้าไปก็ใส่เปรี้ยงเลยเทียว นี่ก็ขบขันดีเหมือนกัน ทางนี้พูด ทางนั้นจะแย็บออกมาไม่ได้ ฟัดเลยนิ่งหมด
‘เอ้า.. ทางนี้มีอะไร เอ้า พูดออกมาให้หมด บอกให้หมด’

พอหมดแล้ว ‘หมดแล้วเหรอ’

‘หมดแล้ว’

เอ้า ทางนี้ขึ้น ทางนี้เงียบ ทางนี้ก็เงียบ ทางนั้นขึ้นเต็มที่ ๆ เราก็เอาทั้งสองเข้ามาประมวลกัน ไม่เอามากละ เอาเด็ดเสียด้วย เราว่า
‘เวลานี้พวกเราทั้งหลาย มากันในนามลูกศิษย์ของท่านพ่อลีนะ เราไม่ได้มาในนามอาจารย์ของท่านพ่อ เมื่อต่างคนต่างไม่ได้มาในนามของอาจารย์ท่านพ่อ เป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย การมาทะเลาะเบาะแว้งอย่างนี้ มันเป็นการเสริมเกียรติท่านพ่อ หรือเป็นการเหยียบท่านพ่อลง เอ้า..ตอบ’ นั่น ขึ้นอย่างนี้นะ ขึ้นงี้เลย

‘เวลานี้ท่านพ่อ ท่านไม่มีอะไร ท่านนิ่ง ๆ ฟังเหตุการณ์ของพวกเราอยู่ซึ่งกำลังกัดกัน.. วาสนาบารมีของท่านพ่อเป็นยังไง.. เราถึงมาทำอย่างนี้ เพราะเราทุก ๆ คนก็มาในนามลูกศิษย์ แล้วทำไมถึงจะปฏิบัติต่อกันไม่ได้ล่ะ ? ทำไมถึงกระทบกระเทือนถึงท่านพ่อ หากว่าท่านพ่อมาว่าแบบนี้จะว่ายังไงล่ะ ? ท่านพ่อจะพูดไม่กี่คำนะ จะพูด ๒ - ๓ คำแล้วพวกเราจะแก้ได้ไหม ? ...

เอ้า.. นี่หากว่าท่านพ่อ ท่านดำเนินตามความรู้ความเห็นของท่านแล้ว.. ท่านเตรียมบริขาร ๘ เท่านั้น เดินผ่านพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลาย อวดอ้างตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อ ๆ ทั้งวัดนี้น่ะ ท่านเดินผ่านมานี้ว่า อาตมาไม่มีวาสนาแล้วเวลานี้ มีลูกศิษย์เท่าไรก็ไม่สามารถที่จะระงับ หรือจะส่งเสริมวาสนาอาตมาได้
“อาตมาจะไปแล้วนะ อาตมาไม่มีวาสนาบำเพ็ญพาลูกศิษย์ลูกหา พาทำงานคราวนี้ก็ไม่ได้ อาตมาจะไปตาบุญตามกรรมของอาตมา”

สะพายบาตรเดินผ่านออกไปนี้ เอ้า.. ทั้งหมดนี้ใครจะไปเอาท่านกลับคืนมาได้ มีไหม เอ้า..ว่าซิ ท่านก้าวออกจากวัดนี้ไป เอ้า.. ใครจะติดตามไปเอาท่านมาได้ไหม ? ถ้าหากว่าพวกเราไม่รีบแก้ไขตั้งแต่บัดนี้.. ก็เวลานี้เหตุการณ์ยังอยู่ในฐานะสมควรที่จะแก้ไข พิจารณากันได้อยู่ในระหว่างลูกศิษย์ทั้งหลาย ที่จะคุยกันเพื่อส่งเสริมครูบาอาจารย์ แล้วปฏิบัติกันไม่ได้เหรอ ? ทำไมจะทำไม่ได้ แล้วจะให้ครูบาอาจารย์ออกหนีด้วยการว่าท่านมีวาสนาน้อย ในขณะเดียวกันพวกเราวาสนาเป็นยังไง ตอนนี้ท่านยังไม่ไป เราจะพิจารณายังไง ไอ้เรื่องแม่ครัวเขาก็มาในนามเป็นลูกศิษย์ทุกคน ไปโรงไหน ๆ ติดต่อโรงไหนก็ได้แม่ครัว ยากอะไร แต่หาครูบาอาจารย์นี้.. หาได้ง่าย ๆ เหรอ’

ในครัวเรียบวุธ นิ่งหมดเลย เห็นโทษของตัวเองหมด ยอมรับตามเหตุผลของเราทุกอย่าง ทีนี้ก็ลงพรึบเลย..”

พอท่านพูดถึงจุดนี้ ก็เหมือนเป็นการกระตุกเตือนใจ.. ให้ระลึกถึงบุญคุณท่านพ่อลี ที่อุตส่าห์เมตตาแนะนำสั่งสอนให้รู้ผิดชอบชั่วดี พอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา ต่างมีแก่ใจแข็งขันปัดปัญหาเหล่านั้นให้จางไป ไม่เห็นเรื่องขัดอกขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่ากิจการงานของครูบาอาจารย์ ต่างขันอาสารับปากรับคำท่านขึ้นในทันที ดังนี้
“... คนนี้จะไปติดต่อครัวนั้น คนนั้นไปติดต่อครัวนี้พรึบเดียวเลย เพราะเห็นโทษที่ท่านจะเตรียมของออกมาเดินฉากหน้าไปนี้ .. ลงกันทันทีเลย พอเรากลับออกมาแล้วประกาศ
แม่ครัวนี้พรึบเดียว ยังไม่ถึง ๒ ทุ่ม ฟาด ๒ ร้อยคนแล้ว พอ ๒ ทุ่มกว่า ๒ ร้อยกว่าคน พอ ๓ ทุ่ม มีถึง ๓ ร้อยคน พอ ๙ โมงเช้านี้ออกมา ๓ ร้อยกว่า .. เรื่องราวเรียบไปเลย เพราะเห็นโทษที่ท่านจะก้าวหนีจะเป็นยังไง อันนี้มันหนักมากขนาดไหน มันยอม มันเห็นโทษเลยพรึบเลย แม่ครัวเต็มเอี๊ยดเลยพอ เรียบตั้งแต่นั้นไม่มีเรื่องกันเลย จนกระทั่งท่านได้ขยายงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ โดยไม่มีปัญหาขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น เรื่องต่าง ๆ ก็สงบไปหมด เรียบตลอดเลย

นี่เราก็ไม่ลืม เรื่องราวเราล่ะเข้าระงับเรื่องครัว จากนั้นแล้วเราเอาสองเรื่องนี้มาประมวลกัน ก็ใส่ตูมไปเลย เรียบร้อยไปเลย ก็อย่างนั้นแล้ว นั่นล่ะเรื่องราวมันจึงไประงับ ท่านคงจะเห็นผล ..

ท่านเลยขยายงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ ทีแรก ๒ อาทิตย์ เห็นว่าเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง ก็ให้เลื่อนงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ แต่เราไปไหนไม่ได้นะ ท่านเห็นหน้าเราก็ว่า ‘มหาบัว..ไปไหนไม่ได้นะ ยังไม่เสร็จ.. มหาบัวไปไหนไม่ได้นะ งานยังไม่เสร็จ’

ท่านอาจารย์ลีกับเรามักจะเป็นอย่างนั้นละ ก็เดชะอยู่ไประงับที่ไหนเรียบทุกแห่ง ไม่เคยเหยียบหัวเราไปด้วยงานไม่สงบ ไม่เรียบร้อยไม่มี ไปทีไรก็เรียบร้อยทุกอย่าง อย่างวัดอโศการามก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อันนั้นก็เรียบไปเลย เป็นอย่างนั้น...”

คงเพราะเหตุการณ์จุดนั้น ด้วยส่วนหนึ่งเป็นผลให้ท่านพ่อลีสงวนท่านไว้ ไม่ยอมให้ท่านไปไหนตลอดระยะงานฉลองครั้งนั้น และเมื่อท่านพ่อลีเจอหน้าท่านครั้งใด มักจะพูดขึ้นแบบคนสนิทคุ้นเคยเช่นนี้

จากนั้นท่านพ่อลีก็พาท่านเดินไปดูที่นั่นที่นี่ ในตอนเช้าเวลาเลี้ยงอาหารกันบ้าง หรือดูเรื่องอื่น ๆ บ้าง ทำให้ทุกคนในงานครั้งนั้น.. เห็นถึงความเมตตาสนิทสนมที่ท่านพ่อลีมีต่อท่านอย่างเป็นกรณีพิเศษ

ลัก...ยิ้ม
15-07-2020, 13:59
มหาบัว เอ้า ! พิจารณา

อีกครั้งหนึ่งที่วัดอโศการามแห่งเดียวกันนี้ มีการประชุมสงฆ์เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งองค์หลวงตาก็ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ครั้งนั้นมีแต่พระเถรานุเถระ ครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ ทั้งนั้น ทราบว่าระหว่างการชุมซึ่งยังหาจุดลงเอยไม่ได้นั้น ท่านพ่อลีได้บอกท่านให้แสดงความคิดเห็นด้วย ถึงกับพูดในที่ประชุมว่า
“มหาบัว เอ้า..พิจารณา”

ด้วยความจำเป็นและเคารพท่านพ่อลี ท่านก็ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย และนิสัยจริงจังเป็นพื้นเดิม การวินิจฉัยในเรื่องนั้นของท่าน จึงเป็นไปแบบเต็มเหนี่ยวเต็มเหตุเต็มผล และผลปรากฏว่า คณะสงฆ์ต่างเห็นดีหมด และยอมรับตามคำวินิจฉัยของท่านด้วยกันหมด วาระการประชุมที่มีลักษณะเหมือนว่าจะหาที่จบลงได้โดยยาก ก็กลับกลายเป็นอันตกลงยอมรับตามนั้นได้อย่างรวดเร็วถึงใจ การประชุมสิ้นสุดลงได้ด้วยดี

ความเมตตาที่ท่านพ่อลีมีต่อองค์หลวงตาอีกเรื่องนั้น เป็นระยะที่สุขภาพของท่านพ่อลีเริ่มไม่ค่อยดีนัก ท่านพ่อลียังอุตส่าห์เมตตาเขียนจดหมายด้วยตนเองมาถึงท่าน มีใจความโดยย่อว่า
“ให้ท่านไปจำพรรษาที่วัดอโศการามด้วย”

แต่ในระยะนั้น ท่านเองก็เพิ่งเริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้นใหม่ ๆ เช่นกัน อีกทั้งพระเณรที่วัดก็มีไม่น้อย องค์ท่านจึงตอบกลับไปด้วยความเคารพว่า “ไม่สามารถไปจำพรรษากับท่านพ่อลีได้”

ลัก...ยิ้ม
15-07-2020, 14:34
นิสัยวาสนาเรื่องประสาน

การประชุมปรึกษาหารือกันในงานใดก็ตาม ไม่ว่าฝ่ายฆราวาสหรือสงฆ์ มักมีทางเลือกที่เหมาะสมหลายทาง การตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง ต้องกล้าหาญที่จะยกเหตุผลอันแน่นหนาและเป็นธรรม จะเป็นที่ลงใจแก่ทุกฝ่ายโดยง่าย ความกล้าหาญจริงจัง มีเหตุผล และเป็นธรรมเช่นนี้ เป็นคุณสมบัติเด่นขององค์หลวงตา จึงสามารถฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่นคราวหนึ่งมีการประชุมหารือที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี

เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเจ้าคุณธรรมเจดีย์ พระอุปัชฌาย์ของท่านถึงแก่มรณภาพแล้ว ที่ประชุมมีเรื่องปรึกษาปรารภเกี่ยวกับเรื่องเมรุ และบริขารเครื่องใช้ของเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ผู้ร่วมประชุมมีทั้งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด พระเถระหลายรูป ฝ่ายฆราวาสก็มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และตัวแทนหน่วยงานราชการอื่นเข้าร่วมประชุมด้วย ดังนี้
“... เช่นอย่างวัดโพธิฯ นี่ประชุมกัน ๒ วัน ไม่เสร็จ เจ้าคณะต่าง ๆ มา ไปไม่ได้สองวันเต็ม เอากันอยู่สองวัน มีแต่เขาโค้ง ๆ นะ โอ้.. พระทะเลาะกัน ไม่ใช่เล่น ๆ นะ เจ้าคณะฯ ทะเลาะกัน พอวันที่ ๓ ท่านเจ้าคุณเลยเอาจดหมายน้อยให้เณรถือมาแค่นี้ เพราะเป็นกันเองเรากับท่านเจ้าคุณ ตั้งแต่เป็นมหาเปรียญด้วยกันมา จนท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาคอะไร ๆ เรื่อยมา เราคงเส้นคงวาหนาแน่นเป็นหลวงตาบัวตามเดิม

คือแต่ก่อนไม่มีรถ รถมันลำบาก ทางรถไม่มี มีเป็นทางล้อทางเกวียนเสีย ถ้าเป็นหน้าแล้งก็มีแต่ทราย ต้องรถจี๊ปถึงจะไปได้ ถ้าเป็นหน้าฝนมีแต่ตมแต่โคลน เราก็เดินไปเลย วันนั้นเณรเอาจดหมายน้อยมาแค่นี้ เดินมานะ ไม่มีรถ ไม่มีทางรถมา ท่านเจ้าคุณส่งจดหมายมาถึงเราว่า
“ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ไปดับไฟวัดโพธิฯ ให้ด้วย เวลานี้ไฟกำลังโหมลุกไหม้วัดโพธิฯ จะแหลกหมดวัดแล้ว มองเห็นแต่ท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านั้น ขอนิมนต์ไปโดยด่วน”

เราไม่สบาย มีไข้เล็กน้อย เป็นไข้อยู่แต่เราก็ไป เพราะเราเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ ที่ว่าประชุมตั้ง ๒ วันไม่เสร็จนี้อย่างไรกัน สิ่งที่ควรจะลงกันได้ทำไมไม่ลง เพราะเหตุผลกลไกอะไร นี่ละ..เป็นน้ำหนักอันหนึ่ง เราจึงต้องไป สะพายบาตรไปเลย คนเดียวนะ แต่ก่อนไม่มีรถเดินถึงวัดโพธิฯ เลย จากนี้ถึงวัดโพธิฯ เลย

ฝ่ายอธิกรณ์เรียกว่าฝ่ายข้าศึกก็มีผู้ว่าฯ เป็นผู้นำมา ทางฝ่ายวัดก็ทั้งวัด เอากันเสีย ๒ วันไม่ลง เจ้าคณะภาคที่ไหนมาประชุมก็ไม่ลงกัน พอประชุมกันที่จะทำเมรุแล้วล้ม มีอยู่ ๒ – ๓ คนที่ว่าทำเมรุให้ล้ม ๆ อยู่เรื่อย เป็นอธิบดีศาลอยู่ในนั้นคนหนึ่ง เกี่ยวกับผู้ว่าฯ อีกคนหนึ่ง แล้วใครอีก ๓ คน มาทำให้เมรุล้มอยู่เรื่อย ๆ ถ้าว่าประชุมเท่านั้นล้ม ๆ ๓ คนทำให้ล้ม .. ไปวันนั้นก็ซัดกันใหญ่เลย เอาเจ้าคณะไหน ๆ มาชำระไม่ลง

เราก็เลยไป เลยตกลงมาเอาเจ้าคณะวัดป่าบ้านตาดไปเลย ๔๕ นาที เห็นไหมละ..เรียบ..! ยอมรับทั้งสองฝ่ายด้วยความพอใจ พอไปถึงก็เอากันเลย เราไม่ลืม ๔๕ นาที.. ใส่เปรี้ยง ๆ ดักนั้นดักนี้ ซัดนั้นซัดนี้ สุดท้ายยอมรับหมดเลย เป็นอันว่าหาที่ค้านไม่ได้แล้ว ยอมรับกันทั้งวัด ทั้งสองฝ่ายยอมรับด้วยเหตุผล นั่น..เห็นไหมล่ะ

นี่ล่ะ..ที่ว่าทำเมรุให้ล้ม ๆ ไปประชุมวันนั้นก็ซัดกันเลยกับเรา.. ไปทีไรไปขู่พระ สามกษัตริย์ใหญ่นี่ ในนั้นมีอธิบดีศาลคนหนึ่งด้วย ไม่ใช่น้อย ๆ ละ ไม่เคยโดนกันจังต่อจัง..ใส่กัน เข้าใจไหม ? บทเวลาเราเข้าประชุมขึ้นผางมา ทางนี้ก็ซัดกันเปรี้ยงเลย โอ๋ย.. ในที่ประชุมนี้เงียบกริบเลย เวลาได้ซัดกัน.. อย่างนี้ละ

ทางวัดรู้สึกว่าพร้อมกันหมดนะ เจ้าอาวาสพูดกับพระผู้ใหญ่ ๆ ในนั้น วันนี้ท่านอาจารย์มหาบัวจะมาชำระเรื่องนี้นะ เราเองไปนิมนต์ท่านมา ให้ฟังเสียงท่านนะทุกคน เท่านั้นละท่านสั่งเอาไว้ .. ไปก็เอาเลย ประชุมปึ๊บขึ้นมาเลยเป็นอย่างไร เหตุผลกลไกอย่างไร.. ไล่มาเรื่อย ๆ เข้าไป เราเอาหลักธรรมวินัยกางตลอด ไม่ได้นอกเหนือไปจากหลักธรรมวินัย เอากัน.. ซักกันไปซักกันมา เอาไปเอามามีแต่เราคนเดียววันนั้น เราเป็นคนซักคนนั้น เหตุที่ไม่ลงรอยเพราะใครเป็นต้นเหตุ.. ไล่เข้าไปหาผู้นั้น ซักกัน ๆ ๔๕ นาที

ผู้ว่าราชการจังหวัดไปกับฝ่ายนั้นละ ฝ่ายทำลาย.. ไม่ลง วันนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดก็มา ๆ ดูว่าเป็นฝ่ายนั้น เป็นลูกศิษย์ของฝ่ายนั้น ฝ่ายไม่ลงใคร ไปก็เอาเลยละ ทีนี้ใครก็คอยฟังเสียงเรา เพราะเรื่องอะไรมันก็ไม่เสร็จ ประชุมกันทีนี้ก็ฟังเสียงเรา เราก็ถามต้นเหตุเป็นอย่างไรไล่มา ๆ ๆ เอาธรรมวินัยเข้ากาง ๆ ซัดกันเลย มัดกันเข้าเลย เอา.. พูดง่าย ๆ อย่างนี้ละ ซัดกันเข้า มัดเข้า ๆ สุดท้ายแพ้ พอพูดอะไร
‘เอา.. ถ้าสงฆ์เห็นด้วยตรงไหนให้ยกมือขึ้น พรึบ ๆ ๆ เอา.. เจ้าของว่าอย่างไร เอ้า.. ค้านมา’

เจ้าของเงียบ เป็นอันว่ายอมรับโดยดุษณีภาพ นิ่ง ๆ เอาซักกันไป ๆ พอซักกันไปถึงจุดแล้วก็พอ เราลงจุดปึ๊บทางนี้ เอา.. นี้ผิดหรือถูก ถ้าถูกให้ยกมือขึ้น พรึบ ๆ เลย เอากัน ๔๕ นาทีเรียบร้อย ซักกันอย่างหนักนะ

นั่นละที่เจ้าคุณอุดร นิสัยท่านเรียบร้อย ท่านดุใครไม่เป็น ไอ้เรามันว่าหมาว่าแมวอยู่ในนี้หมด ทั้งกัดทั้งข่วน พอขึ้นเวทีก็ซัดกันเลย ผู้ว่าฯ ก็นั่งอยู่นั่น เราเป็นคนซัก ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายลงเลย เราสรุปเลยนะ เป็น ๔๕ นาทีนะนั่น ซัดกันมีแต่เรากับเจ้าของคดีที่ไม่ลง คือขวางกันอยู่นั่นเพราะเหตุใด เอา..ไล่มา ซัดกันไปซัดกันมา สุดท้ายลงทั้งฝ่ายนี้ฝ่ายนั้น เอา.. ถ้าไม่ลงตรงไหนให้ค้านมา เราไม่พูดถึงเรื่องราวที่ไม่ลงเพราะอะไรละ เราเอาธรรมวินัยเข้ากางกับเรื่องราวนั่น ใส่กัน ๆ เข้าไปเลย บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ยกมือพร้อม ๆ กันลงเรียบร้อยเลย

เราคนเดียว เราพูดกับคู่กรณีกันว่าอย่างนั้นเถอะ กรณีที่ให้แตกกระจาย ๆ ไม่ให้ลงได้นะนั่น มัดกันไป ซัดกันไปซัดกันมา มัดกันเข้า สุดท้ายก็เลยลงเรียบร้อย ๔๕ นาที เราไม่ลืมนะ ทีนี้พอเสร็จแล้ว เราเหนื่อยก็นอนแผ่สองสลึง พวกนั้นก็เลิกกันไป พวกพระก็เข้าไปนวดเส้นให้ เจ้าคุณอุดร.. นิสัยเรียบนะ เป็นนิสัยดุใครไม่เป็น พอนั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างนี้เงียบ ๆ ละ นิสัยของท่านนั่นแหละ พูดขึ้นอยู่คนเดียวข้าง ๆ หมู่เพื่อนนี่ละ
‘ถ้าใครอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเราให้มาดูเวลาขึ้นเวที’

พอว่าอย่างนั้นเราก็ขู่ว่า ‘ก็เรื่องราวมันเสร็จสรรพเรียบร้อยไปแล้ว.. มาอุ่นกินหาอะไร มันเน่าเฟะไปแล้ว ท้องเสียท้องบูดไปหมดนี่น่ะ มาอุ่นกินหาอะไร เรื่องแล้วไปแล้ว’

ทดลองดูท่านจะออกกิริยาไหน กิริยาเก่า ‘โอ๋.. มันก็น่าอุ่นน่ากิน กินทั้งวันก็กินได้สบาย เพราะมันมีรสชาติอยู่’

ท่านก็ว่าของท่านสบาย ขบขันนะ เราแหย่..เราขู่ท่าน นึกว่าท่านจะมีกิริยาอะไร เหมือนเดิม.. ดุใครไม่เป็น เราก็อดหัวเราะไม่ได้ โอ้..นิสัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ ดุคนไม่เป็น ไอ้เราเป็นฝ่ายดุ เจ้าคุณยังอยู่นี้ละ..ทุกวันนี้ ดุท่านนึกว่าท่านจะขึ้นแบบไหน.. ไม่ขึ้นนะ ขึ้นแบบเดิม .. ท่านเจ้าคุณอุดร ชื่อสวัสดิ์ บวชเป็นลูกวัดโพธิฯ มาแต่นู้น..จนกระทั่งป่านนี้.. ท่านดุใครไม่เป็นนะ นิสัยท่านเรียบมากทีเดียว ไม่เคยเห็นท่านดุใครเลย.. เรียบตลอด เราหาอุบายวิธีแหย่ให้ความโมโหท่านขึ้นบ้าง .. ไม่มี ท่านเรียบอยู่ตามเดิม

นี่ละ..ที่ว่าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเรา ให้ท่านมาดูเวลาขึ้เวที คือเวลาขึ้นเอาจริง ๆ นะเรา ไม่มีสูงมีต่ำ เอาธรรมกางเข้าเลย เอาธรรมกางเข้าไป ไล่เข้าหาธรรม หาวินัย.. ที่อื่นขัดกับธรรมวินัยซัดกันตรงนั้น ๆ นั่นละ..ยอมรับกันหมดทั้งวัดเลย คู่กรณีก็ยอมรับ ผู้ว่าฯ มาด้วยกันก็เงียบ ไม่มีว่าอะไรเลย คือเวลาขึ้นมันไม่มีสูงมีต่ำนะ เอาธรรมวินัยออกกางแล้วซัดไปตามนั้นเลย ทีนี้กิริยาอาการทุกอย่างมันก็ขึ้นนั่นละ อย่างที่ว่าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเราให้มาดูเวลาขึ้นเวที คือเวลาขึ้นเวทีมันซัดจริง ๆ เข้าใจไหมล่ะ เอาเปรี้ยง ๆ เลย

พูดเรื่องอธิกรณ์เรื่องอะไรนี้มักจะมีเสมอ มันจะเป็นนิสัยวาสนาอะไรไม่รู้นะ เราเข้าจุดไหนก็เป็นอันว่าเรียบลงไปทุกแห่ง ไม่ใช่ครั้งนี้.. มีทุกแห่งใหญ่ ๆ ทางภาคกลางก็เหมือนกัน.. มีใหญ่ ๆ ทั้งนั้น แต่ก็เดชะทุกครั้งไม่เคยพลาดนะ เรียบร้อยลงด้วยดี เป็นอย่างนั้นนะ มันคงจะมีนิสัยวาสนาอันหนึ่งประสาน ๆ ให้เรียบร้อยเป็นที่ลงใจกัน.. ยอมรับกัน ก็เรียบร้อยไปด้วยดีทุกแห่งที่.. เราเข้าประชุมทีไรเป็นอย่างนั้นละ ..

ไปที่ไหนมักจะเป็นนะเรา มันจะมีนิสัยวาสนาอย่างนั้นก็ไม่ทราบ คือส่วนยุแหย่ไม่มีเลย แต่ส่วนประสานนี้มีเต็มหัวใจ เต็มกิริยาอาการทุกอย่างตลอดมา คงเป็นอานิสงส์อันนี้ละมัง ? มันก็เหมือนว่าจะมีวาสนาไปทางเรื่องประสานนะ มักมีเสมอ เรามักจะไประงับได้ทุกงาน ไม่มีงานไหนที่เราได้เข้าแล้ว ได้ผ่านไปเฉย ๆ ไม่สำเร็จ ไม่เคยปรากฏ เข้าในงานไหนปั๊บ..เรียบร้อย ๆ ไป เรามักจะมีนิสัยวาสนาทางนี้ เพราะนิสัยของเราชอบประสานนะ ที่ยุแหย่ให้แตกไม่มีในเรา ...

ในวัดโพธิ์ .. นี้มีเรื่องอะไรต้องเอาเราไประงับนะ แต่เดชะนะ.. เรียบทุกที ไม่เคยข้ามหัวเราไป ไปตั้งก๊กใหม่ต่อสู้กับเราอีกอย่างนี้ไม่เคยมี พอลงแล้วหมอบ ยอมทั้งสองฝ่าย คู่กรณียอมเรา มันคงจะเป็นวาสนาอันหนึ่งอยู่ คืออะไรก็ตามระงับ อะไรเรียบหมด ๆ นะ อธิกรณ์ใหญ่ ๆ เราเข้าปั๊บ เรียบ .. ดี รู้สึกว่าสายศาสนานี้รู้สึกจะราบรื่นดีนะ ไม่เคยมีอะไรเลยนะ ตั้งแต่เริ่มบวชมาจนกระทั่งป่านนี้ ไม่เคยมีอะไรมาขัดมาข้อง หรือเรื่องราวใด ๆ มัวหมองไม่เคยมี มีแต่ระงับ.. ระงับเรื่องราวต่าง ๆ หรืออธิกรณ์ต่าง ๆ มักจะเด่นอยู่ เด่น.. อย่างวัดโพธิฯ นี้ เกิดเรื่องอะไรจะต้องมาเอาไป เอาเราไป เรียบเลยนะ ...

จิตนี้ไม่มีอับเฉา จ้าตลอดเวลา เรียกว่าภูมิใจ การตายของเราไม่มีวิตกวิจารณ์ ภูมิใจคือมันจ้าอยู่ในนี้ จึงว่าสมมรรคสมผลทางศาสนา ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ ขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยไม่สะดวก ๆ เราก็เป็นคนจะว่าทิฐิก็ถูก มันไม่ลงใครง่าย ๆ นะ ถ้าหากว่าเหตุผลไม่ลง ไม่ละนะนี่ นี่ถ้าเป็นทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยมา พอทางธรรมปั๊บติดเลย สะดวกจนกระทั่งป่านนี้

จนป่านนี้ไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรทางศาสนา นอกจากระงับดังเรื่องทั้งหลายเท่านั้น ที่จะให้เกิดเรื่องเกิดราวเราไม่เคยมี มีแต่ระงับดับเรื่องของสงฆ์ของพระมีเรื่อย ๆ ไปเลยมีมากนะ.. มันก็คงจะสายบุญสายกรรมไปทางนี้ละ ไปทางสายระงับดับเรื่องต่าง ๆ เพราะมันมากต่อมากนะเรา ใหญ่แทบทั้งนั้นละ ระงับได้เรียบ ๆ เลย ในตัวของเรารู้สึกจะทางด้านศาสนา ทางด้านธรรมะโล่งกว่ากัน ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ ตลอด ถ้าทางธรรมราบรื่นเรื่อยตั้งแต่บวชจนป่านนี้ ไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรที่จะได้รับความหนักใจจากเราไม่เคยมี นอกจากเราช่วย ๆ ยกตัวอย่างเช่น อย่างวัดโพธิฯ

เอ๊.. มันก็แปลกอยู่นะ เดชะอันหนึ่งอยู่ ไปเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์องค์ใดไม่ว่าฝ่ายปฏิบัติ ไม่ว่าฝ่ายปริยัติ รักทั้งนั้น..รักเรา เมตตามาก ทางฝ่ายปริยัติก็เมตตามาก ทางฝ่ายปฏิบัติก็เมตตามาก ยกตัวอย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นรักเมตตาอยู่ลึก ๆ นะ ไว้ใจ.. ทุกอย่างไว้ใจ ถามนู้นถามนี้อะไร ๆ ถ้าอะไรที่ยังไม่ลงกันแล้วท่านมหาว่าอย่างไร ท่านถามมาแล้วนะ เอาเราเป็นข้อสรุป ท่านมหาว่าอย่างไร ท่านว่าอย่างนั้น ๆ พอว่าอย่างนั้นเรียบ เอาล่ะ..ถูกต้องแล้วตามที่ท่านมหาพูด แน่ะ..อย่างนั้นนะ ไม่เคยค้าน ทางศาสนานี่โล่ง ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยไป ทางศาสนาปุ๊บเลย ทะลุ ๆ เลย ...

คบค้าสมาคมกับครูบาอาจารย์เรียกว่าเข้าขั้นดีมาก ทางฝ่ายปริยัติก็ตาม ครูบาอาจารย์รักทั้งนั้น ทางฝ่ายปฏิบัติเช่น พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไว้ใจเลยทุกอย่าง ก็ดี.. เป็นผู้น้อยคอยดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ท่านไว้ใจ ๆ ...”

บทสรุปของที่ประชุมคราวนั้นปรากฏว่าไม่มีใครคัดค้าน ทุกคนตกลงเห็นดีเห็นงาม และเซ็นรับรองข้อยุติร่วมกันด้วยความเรียบร้อย พร้อมนี้ยังขอให้ท่านร่วมเซ็นชื่อเป็นเกียรติด้วย แต่ท่านก็ไม่ได้เซ็นชื่อแต่อย่างใดด้วยเหตุผลว่า
“เราไม่ได้มาเพื่อการลงเอาชื่อ แต่มาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างหาก เมื่อวาระสงบเรียบร้อย เราก็พอใจแล้ว”

ด้วยอุปนิสัยของท่านที่มีเหตุมีผล และมีความจริงจังเด็ดขาด ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดหรือคนใดยิ่งกว่าธรรมนี้เอง องค์ท่านจึงมักถูกขอให้เป็นหลักในการประชุมสำคัญ ๆ อยู่เสมอ อีกทั้งการแสดงความคิดเห็นของท่าน จะพยายามหาจุดที่ถูกธรรมวินัย ดังนั้น..เรื่องที่เป็นปัญหาอยู่นั้นจึงมักไม่มีสิ่งกระทบกระทั่ง หากมีก็น้อยที่สุด แต่ก็ด้วยถือเอาเหตุผลและธรรมเป็นใหญ่ การประชุมครั้งสำคัญในที่ต่าง ๆ จึงยอมรับตกลงกันได้ง่าย และสงบเรียบร้อย

นอกจากการประชุมที่ท่านเข้าร่วมวินิจฉัยด้วยดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ท่านก็ยังมีโอกาสเข้าร่วมประชุมครั้งสำคัญ ๆ อื่น ๆ อีกมาก เช่น ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นต้น

ลัก...ยิ้ม
16-07-2020, 22:47
ที่ปรึกษาแห่งวงกรรมฐาน

ในระยะต่อ ๆ มา องค์หลวงตามักได้รับคำร้องขอจากคณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาสอยู่เนือง ๆ ขอให้รับเป็นประธานให้คำปรึกษา แนะนำและตัดสินใจในงานสำคัญต่าง ๆ ที่มีแง่มุมปลีกย่อยมากมาย อันเป็นเหตุให้มีเรื่องต้องถกเถียงกันอยู่เนือง ๆ ครั้นเมื่อมีประธานที่ปรึกษาที่เด็ดขาดจริงจัง และประกอบด้วยเหตุผลอรรถธรรม เช่นองค์ท่านเป็นผู้ตัดสินใจร่วมอยู่ด้วยแล้ว งานนั้น ๆ มักผ่านไปได้อย่างราบรื่นทุกครั้งทุกคราไป เป็นที่อบอุ่นเย็นใจแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ด้วยความเมตตาและเห็นถึงความจำเป็นดังกล่าว ทำให้องค์ท่านยอมเหน็ดเหนื่อยแบกภาระที่มาเกี่ยวข้อง และรับผิดชอบในเรื่องสำคัญ ๆ เสมอ อาทิ

- เรื่องการจัดตั้งวัดกรรมฐานในจังหวัดต่าง ๆ ทุกภาค เพราะมีเจ้าศรัทธาอยากถวายที่ดินท่านเป็นจำนวนมาก

- เรื่องสุขภาพการเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลครูบาอาจารย์องค์สำคัญที่อาพาธหนัก

- เรื่องงานพระราชทานเพลิงศพของครูบาอาจารย์ท่านนั้น ๆ

- เรื่องการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์และเจดีย์สถานของครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์องค์สำคัญ ๆ

- ฯลฯ

จากศพครูบาอาจารย์ที่องค์หลวงตามีความจำเป็นต้องได้เข้าไปเกี่ยวข้องมีจำนวนมาก อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล ท่านพระอาจารย์สีทน ลีลธโน หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ฯลฯ และงานอื่น ๆ อีกหลายวาระด้วยกัน ขอยกตัวอย่าง เฉพาะงานศพหลวงปู่ฝั้นและหลวงปู่ขาวแต่พอสังเขป ที่เป็นเหตุให้องค์หลวงตาต้องได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนี้
“พูดถึงเรื่องหลวงปู่ฝั้นท่านเมตตา .. เมตตามากอยู่นะกับเรา เอะอะก็ต้องเกี่ยวกับเรา เกี่ยวกับเราอยู่เรื่อย ๆ ท่านคงเห็นว่าหมาตัวนี้มันกัดเก่ง มันเห่าก็เก่ง กัดก็เก่ง เลยยุมันเรื่อย.. ให้มันกัดเรื่อยซิท่า แล้วเรื่องศพของท่านก็เรียบร้อยไปทุกอย่าง ... ไม่มีอะไร

อันนี้ก็เอาเราไปเป็นหัวหน้าอีกเหมือนกัน เผาศพท่านเราเป็นคนจัดแจงทุกอย่าง คนมามากต่อมาก รถนี้ไปหาจอดตามอำเภอ ตามโรงร่ำโรงเรียน ตามสถานที่ว่าง เขาเปิดทางให้พวกอำเภอพรรณาฯ ทั้งอำเภอ เปิดทางให้หมดฯ ให้รถเข้าจอดได้หมดเลย เพราะรถมากต่อมาก นี่เราไปเป็นหัวหน้างานอยู่นั้น.. ไม่ใช่เล่นนะ หลวงปู่ฝั้น.. เรารู้สึกหนักมาก...

ออกจากนั้นมา หลวงปู่ขาวอีก อันนี้ก็มาโดนกันอีกแหละกับผู้ใหญ่ กับด็อกเตอร์เชาวน์จะเป็นใครไปมานี้ เขาก็มาขอให้เราเป็นประธานอีกแหละ เจดีย์หลวงปู่ขาว เราว่า ‘โอ๊ย.. เงินก็มีแล้วนี่นะ เงินไม่อดไม่อยาก พอแล้วทุกอย่าง.. จะให้เป็นประธานอะไร’

ทางด็อกเตอร์เชาวน์พูด ‘โอ้โห เงินไม่สำคัญนะท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าประธานนะ’

เราสะดุดกึ๊ก.. วิ่งไปหาทางเจดีย์ของท่านอาจารย์ฝั้น เราก็เลยนิ่งยอมรับ ...”

ระยะต่อมาต่อเนื่องยาวไป.. จนเกือบวาระสุดท้ายขององค์หลวงตา ยิ่งมีความจำเป็นต้องเข้าไปเป็นประธาน ในการดูแลอาการอาพาธและงานศพของพระสายกรรมฐานมากยิ่งขึ้น ดังตารางในท้ายบทนี้

ลัก...ยิ้ม
16-07-2020, 23:02
ไม่เสริมมูลนิธิ มุ่งสงเคราะห์ช่วยเหลือ

องค์หลวงตาเห็นความลำบากของพระกรรมฐานอาพาธ เวลามารักษาตัวในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญเท่าที่ควร ท่านจึงยอมรับและสนับสนุน “มูลนิธิพระอาจารย์มั่น” ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ส่งเสริมให้มี “มูลนิธิ” อะไร หากไม่มีเหตุผลความจำเป็นจริง ๆ องค์ท่านให้เหตุผลว่า
“... เมื่อเร็ว ๆ นี้ พระก็มาปรึกษาหารือแล้ว มาขอเงินด้วย ปรึกษาหารือแล้ว.. ถ้าหากว่าเราเห็นด้วยก็จะขอเงินเรา แต่ตอนนั้นยังไม่ขอ.. รอไว้ก่อน จะทำบุญเลี้ยงพระแก่ว่าอย่างนั้น พระแก่ไม่มีใครเหลียวแล ขาดคนเหลียวแล ช่วยตัวเองไม่ได้ อยากทำมูลนิธิไว้สำหรับพระแก่ มาปรึกษาครูบาอาจารย์จะเห็นว่ายังไง แล้วเงินก็ไม่มี ขึ้นแล้วเรื่องเงินก็ไม่มี พอพูดออกมานั้นปั๊บ.. ถึงมีก็ไม่ให้ ตอบทันทีเลย มันถึงจุดที่จะตอบแล้วตรงนั้น

‘ถึงมีก็ไม่ให้ ผมไม่ส่งเสริม พระพุทธเจ้ามีมูลนิธิที่ไหน พระอรหันต์ท่านเป็นสรณะของพวกเรา ท่านมีมูลนิธิที่ไหน ทำไมถึงเก่งกว่าครูนัก ไม่มีใครอุปถัมภ์ดูแล ตายด้วยลำพังตนเองอัตโนมัติ หรืออัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตายด้วยตนเองนั้นมันเลิศ มันประเสริฐ ตายไม่ได้เหรอ ทำไมจึงต้องไปหาทำมูลนิธินิแธะ ต่อไปนี้มูลนิธิจะเต็มบ้านเต็มเมือง มือจะล้วงเข้าไปในบาตรไม่ได้นะ มูลนิธิจะตีข้อมือเอา มูลนิธิเป็นใหญ่กว่าแล้วเวลานี้’

ว่าอย่างนี้แหละ บอกเราไม่เห็นด้วยและไม่ให้ด้วย บอกตรง ๆ เลย ‘เอ้า มันจะตายจริง ๆ เพราะการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนี้ไม่มีใครเหลียวแล ให้เห็นเสียทีเถอะน่า.. เดี๋ยวนี้ไม่เห็น เห็นแต่ความอ่อนแอของพระเต็มบ้านเต็มเมือง เห็นเต็มไปหมดอย่างนี้น่ะ ความช่วยตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติ.. ตายลงไปแล้วเหมือนหนูตัวหนึ่งก็ตายให้มันเห็นวะ’

เราว่าอย่างนั้น นี่ก็ไม่ต้องการอยากจะตาย เกลื่อนกล่นวุ่นวายอย่างนี้นะ อยากตายแบบหนูตัวเดียว มันจะตายไม่ได้นะแบบนั้น พูดถึงขั้นจะพูดออกมาหาเจ้าของเสีย นี่อาจหาญมาก บอกตรง ๆ บอกว่ามากสุด มากสุดหัวใจ ไม่มีสะทกสะท้านเรื่องความเป็นความตาย มาเมื่อไร.. มาเราเรียนจบแล้ว บอกตรง ๆ อย่างนี้เลย ความเป็นก็เป็นอยู่ ธาตุขันธ์มันทรงตัวอยู่ ตายก็ธาตุก็ธาตุขันธ์มันสลายตัวลงไปหาธาตุเดิมของมันเท่านั้น ธรรมชาติที่เหนือกว่านั้นอยู่แล้ว ทรงไว้แล้วนี้ บกพร่องอันไหน ให้มันเป็นอย่างนั้นซี เป็นเมื่อไรตายเมื่อไร มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้เอะอะมูลนิธิ ๆ พวกบ้ามูลนิธิ เราว่าอย่างนี้แหละ เราไม่เห็นด้วย

วัดนี้เขามาขอตั้งมูลนิธิน้อยเมื่อไร หากไม่คุยนะ เขามาขอตั้งมูลนิธิ จะตั้งขึ้นโน้น.. ทางมหามกุฏฯ วัดบวรฯ ตั้งมูลนิธิไว้ เอาดอกผลมาเลี้ยงพระในวัด อย่ามาตั้งนะ พระหากินไม่ได้ให้มันตายเสีย อย่ามาตั้งให้มันยุ่งนะ ไม่ตั้งจริง ๆ ใครมาผ่านเราตัดปั๊วะทีเดียวเลย นี่ดูว่าเขาขโมยตั้งก็มีนะ อยู่กรุงเทพฯ วัดบวรฯ มหามกุฏฯ เขาบอกผลรายได้มาเราถึงรู้ อ๋อ.. นี่เขาขโมยตั้งแล้วนี่ เขาเอาดอกผลออกมาบอกเรา เราบอกว่ามอบคืนต้นมูลนิธินั่น

เราไม่เคยรับสักสตางค์ละ ส่งมาเท่าไรเราก็ส่งกลับคืน ๆ ให้เขาไปมอบนั้น แล้วพวกจะตายด้วยมูลนิธิให้ได้กินกัน เราไม่หวังกินละกับมูลนิธินิแธะนี่ นี่เราจะหวังกินกับพวกนี้ นี่มูลนิธิใหญ่ของเรานี่นั่งเต็มศาลานี้ นี่มูลนิธิใหญ่ จะไปหวังอะไรกับมูลนิธินิแธะนั่น เราเอามูลนิธิเหล่านี้มาเป็นชีวิตของเราเป็นประจำอยู่แล้ว เข้าใจหรือเปล่าล่ะ..พวกมูลนิธิน่ะ (หัวเราะ) ...”

ครั้นเมื่อองค์หลวงตายอมรับและเห็นประโยชน์ในมูลนิธินั้นแล้ว องค์ท่านก็เป็นธุระเอาใจใส่ดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันไว้จริง ๆ ดังนี้
“... การปฏิบัติธรรมมันกำลังจะล้มเหลวไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้น่ะ พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเราก็ล่วงไป ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือก็ค่อยร่วงโรยไป ๆ แล้วจืด ๆ ไป ในสิ่งที่ดีทั้งหลายจืดไป ๆ ในสิ่งที่เลวทั้งหลายแล้วเข้มข้นเข้ามา ๆ ปรากฏว่ามีรสชาติเข้ามาเรื่อย ดื่มด่ำเข้าไปเรื่อย ไม่รู้วันรู้คืนเข้าแล้วนะเวลานี้ มันจะเป็นกรรมฐานเป็นบ้านะ อันนี้ได้วิตกวิจารณ์มากทีเดียว มันจะเป็นกรรมฐานทันสมัย แล้วก็เอาชื่อครูบาอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินนะ เฉพาะอย่างยิ่งก็ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น สายท่านอาจารย์มั่นนี้สำคัญมากนะ นี่ละ..ที่ขายกินของพระโจร.. ผู้ร้ายในวงปฏิบัติเราเป็นอย่างนี้

เราอย่าเข้าใจว่า กรรมฐานนี้จะดีไปทุกรูปทุกนาม มันไม่ดีนะ ที่ดีมีน้อย ที่ชั่วเลวทรามมีมาก เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้ทำความเข้าใจเอาไว้กับตนเองว่า เราจะเป็นคนประเภทไหน พระประเภทไหน ประเภทลูกศิษย์มีครูจริง ๆ หรือประเภทแบบแหวกแนวอวดตัวดี เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ แซงหน้าแซงหลังไปอย่างนั้น มีแล้วนะเวลานี้ .. เราวิตกวิจารณ์

เพราะฉะนั้น เราจึงได้เข้าไปมูลนิธิหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด แต่เราไม่เคยบอกเลยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาดโดยสมบูรณ์แล้วในทางกฎหมาย เราไม่เคยบอกไม่เคยพูดเลย ไปมาเราก็ฟังไปฟังมา.. ยิ่งฟังเสียงมันมักจะมีผลลบขึ้นมาเรื่อย ๆ และเป็นผลลบขึ้นมาเรื่อย ๆ มันยังไงกันนี่ เพราะเราเป็นเจ้าของนี่ เราก็เข้าไปเท่านั้นซิ พอเข้าไปก็ทราบเรื่องทราบราวแล้วก็ใส่กันเปรี้ยงเลย
‘สถานที่นี้ เป็นสถานที่สำหรับพระป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเข้ามาพักผ่อนหย่อนตัวเป็นเวล่ำเวลา ก่อนที่จะเข้าไปติดต่อกับหมอและคลีนิกตลอดถึงโรงพยาบาล ให้ได้มาพักนี่สะดวกสบายต่างหากนะ และครูบาอาจารย์ที่มาด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม เพื่อจะแนะนำสั่งสอนประชาชน เป็นกาลเป็นคราวต่างหากนะ ไม่ใช่มาให้พวกกรรมฐานขี้หมูขี้หมาเรานี้มาปักกลดในเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ในกรุงเทพฯ นี้นะ แล้วก็เอาให้ทราบเสียด้วยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด ใครอย่ามาทำให้เลอะเทอะนะ นี่ยังจะหนักกว่านั้นถ้ายังเป็นอีก เรายังจะเอาหนักกว่านี้ จะได้เขียนประกาศติดไว้เลยชื่อ ชื่อมหาบัว ใส่ลงไปปึ๋งเลยแหละ..เป็นอะไรไป’

เอาขนาดนั้นนะวันนั้น เพราะเรารักษาความดีเอาไว้ ไม่งั้นมันจะเสียไปหมดนี่ จะเป็นกรรมฐานจำหน่ายขายกินไปหมดจะว่ายังไง ทั้ง ๆ ที่คนกรุงเทพฯ เขามีความเคารพนับถือวงกรรมฐานของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น.. เรานี้มากที่สุด เราจะไปขายขี้หน้าให้เขาเห็น เราไม่อยากเห็น อย่าว่าแต่เขาเลย ใครจะอยากเห็น นี่ละมันวิตกวิจารณ์ตรงนี้นะ มันเป็น.. จะไม่เป็นยังไง

สักกาโร ปุริสัง หันติ ว่าไง ลาภสักการะสำหรับคนโง่แล้วติดเร็วที่สุดเลยจะว่าไง นี่เราแปลทางภาคปฏิบัติ ถ้าแปลทางด้านปริยัติ สักกาโร ปุริสัง หันติ แปลว่า ลาภสักการะ ย่อมฆ่าบุรุษที่โง่เขลา...”

ลัก...ยิ้ม
17-07-2020, 23:02
พระเพชรน้ำหนึ่ง.. ธาตุขันธ์ยามอาพาธหนัก

องค์หลวงตามักได้เกี่ยวข้องกับการดูแลอาการอาพาธ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ ๆ เกี่ยวกับธาตุขันธ์ยามอาพาธหนักของครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่างเช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร เป็นศิษย์ผู้ใหญ่รูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ซึ่งองค์หลวงตาได้เกี่ยวข้องโดยการแนะนำให้ศาสตราจารย์ นพ.อวย และศาสตราจารย์ พญ. ม.ร.ว.ส่งศรี เกตุสิงห์ รู้จักหลวงปู่ฝั้น ทำให้คุณหมอทั้งสองมีโอกาสได้ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ฝั้นอย่างใกล้ชิด และไม่ย่อท้อโดยเฉพาะในยามอาพาธ แม้จะต้องเดินทางไปยากลำบากเพียงใดก็ตาม

หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ที่องค์หลวงตาได้เข้าไปอุปัฏฐากดูแลอาพาธในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งบรรยากาศในวัดช่วงเวลานั้นเหมือนมีงานวัด เพราะแออัดไปด้วยผู้คนหญิงชาย พระเณร และฆราวาสที่มาจากที่ต่าง ๆ จนวัดไม่อาจรับรองได้ทั่วถึง ทั้งที่พักหลับนอน อาหาร การบริโภคต่างให้รับผิดชอบตัวเอง องค์หลวงตาได้เล่าถึงการเข้ามาดูแลหลวงปู่ในครั้งนั้นว่า
“... เราก็มาอยู่กับท่านเป็นประจำ หลายวันจะกลับไปค้างวัดสักคืนสองคืน ก็ต้องรีบกลับมา ทั้งนี้เพราะเป็นห่วงท่านมาก และเพื่อความสงบเรียบร้อยในด้านอื่น ๆ แต่ก็เดชะบารมีของหลวงปู่ท่านคุ้มครองรักษา สถานการณ์ทุกด้านสงบเรียบร้อยดี สำหรับอาหารของท่านเมื่อขบฉันอะไรไม่ได้ ธาตุขันธ์ก็ยิ่งทรุดลงอย่างเห็นได้ชัดในสายตาทั่ว ๆ ไป”

องค์หลวงตาบันทึกคำพูดตอนหนึ่ง เกี่ยวกับธาตุขันธ์ยามอาพาธหนักของหลวงปู่ขาว.. ลงในประวัติหลวงปู่ขาวซึ่งองค์หลวงตาเป็นผู้เรียบเรียงเองว่า
“จะให้ผมแบกกองฟืนกองไฟไปหาอะไร โดยเข้าใจว่า ขันธ์นี้จะเอาของอัศจรรย์มาหยิบยื่นให้ ผมไม่สงสัยในขันธ์ทั้งที่กำลังครองตัวอยู่และสลายจากกันไป ผมเป็นผม ขันธ์เป็นขันธ์ จะให้คว้ายึดมาบวกกันหาอะไร การปล่อยขันธ์โดยสิ้นเชิงเท่านั้น อนาลโย จึงสมบูรณ์แบบ”

ครั้นเวลาจวนตัวจริง ๆ ท่านได้เล่าเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้อย่างถึงใจว่า
“เรายังไม่ลืมหลวงปู่ขาวท่าน เวลาท่านกำลังเพียบ คือท่านไม่ให้ใส่ออกซิเจน ท่านไม่ให้เอาใส่ แล้วพวกนั้นก็เอาไว้ข้างนอก คือท่านห้ามไม่ให้เอาใส่ เราเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์.. ไปยุ่งกับท่านทำไม ทีนี้พอเอาเข้าไปจ่อไปถูกท่าน .. ทั้ง ๆ ที่ท่านก็เพียบอยู่แล้วนะ ท่ายังปัดมือปั๊บออกเลย ขนาดหลวงปู่ขาวแล้วท่านจะมีปัญหาอะไร ว่างั้นเลย จะตายท่าไหนก็ตายซิ ท้าทายก็ได้ เอหิปัสสิโก ท้าทายธรรมของจริงได้.. ตัดผึงเดียวไปเลย ว่าจะไม่อยู่แล้ว.. ไม่อยู่ มันก็หมดแล้วนะนี่ พระประเภทเพชรน้ำหนึ่ง ๆ หมดไป ๆ”

ลัก...ยิ้ม
19-07-2020, 23:07
สำหรับครูบาอาจารย์พระกรรมฐานองค์สำคัญอื่น ๆ แม้ต่างนิกายกันก็ตาม องค์หลวงตาก็ยังได้เข้าไปเป็นธุระ เกี่ยวข้องด้วยความเคารพรักและลงใจในธรรมระหว่างกัน ดังนี้
“... พระลูกศิษย์หลวงปู่บุดดาได้ไปหาเราที่สวนแสงธรรม เราก็ได้ถามถึงอาการของหลวงปู่ท่านว่า..
‘แต่ก่อนธาตุขันธ์ของท่านเป็นคุณเป็นประโยชน์ ทำประโยชน์ให้โลกมามากต่อมาก นานแสนนานจนกระทั่งอายุถึงปูนนี้และได้เข้ามาอยู่ศิริราชแล้ว เวลานี้เพื่อจะลาขันธ์ไป เพราะขันธ์นี้ใช้ไม่ได้แล้ว นอกจากใช้ไม่ได้แล้วยังเป็นโทษรอบตัวอีก ไม่มีช่องว่างของขันธ์ที่จะไม่เป็นโทษต่อท่าน แล้วยังจะเอาท่านไว้อย่างนั้นอยู่เหรอ ? ... สมควรแล้วหรือ ? ให้ลูกหลานไปพิจารณานะ’

นี่..อาจารย์ชาก็เป็นอย่างนี้ละ เราบอกตรง ๆ เลย อาจารย์ชาก็เกี่ยวกับเราอีกเหมือนกัน คุ้นกันมาสักเท่าไหร่แล้ว แล้วนี่หลวงปู่บุดดาก็เหมือนกัน คุ้นกันมานาน สนิทสนมกันมากทั้งสององค์นี่กับเรานะ

หลวงปู่บุดดา ท่านเป็นเหมือนปู่เรานี่..จะว่าไง พอเราไปกราบที่ตักท่าน ท่านก็.. อู๊ย.. จับโน่นลูบนี้ จับนั้นจับนี่เรานะ ท่านทำด้วยความเมตตาจริง ๆ แหละ ... ท่านยังยกยอต่อลูกศิษย์ลูกหาของท่านเองด้วย เขาเอาเทปเราไปเปิดให้ท่านฟัง กัณฑ์ดี ๆ เสียด้วยนะ ... ลูกศิษย์มาเล่าให้ฟัง ท่านพูดเวลาเทศน์จบแล้วท่านว่า
‘ได้ยินชื่อท่านมานานแล้วแหละ ท่านมหาบัวนี่ คุ้นกันมาสักเท่าไรแล้ว ยังไม่รู้อยู่เหรอว่าคุ้นกัน... จะมาเล่าอะไรให้ฟังอีกล่ะ’

ทีนี้เมื่อพระมาหาเรา ... เราก็ฝากข้อคิดไปว่า ‘เวลานี้ขันธ์ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับท่านแล้ว ลูกศิษย์จะหวังชื่นชมยินดี.. เพราะไฟคือธาตุขันธ์เผาไหม้ท่านอยู่อย่างนี้ สมควรแล้วเหรอ ? .. เวลานี้ไฟขันธ์เผาตลอดไม่มีว่างเลย ... ให้ไปพิจารณานะ’

อาจารย์ชา เป็นลักษณะนี้มาหลายปี ถามทีไรก็เป็นอย่างนี้ ก็พอดีพระหนองป่าพงไปหาเราที่สวนแสงธรรม เอากันใหญ่เชียวคราวนั้น .. เปรี้ยงทีเดียว..อัดเทปเอาไว้เสร็จ พอเสร็จแล้วเขาก็เอาเทปไปเปิดเมืองอุบลฯ เลย เอาไปตั้งกึ๊กลงที่วัดหนองป่าพงเลย บรรดาลูกศิษย์ลูกหาท่านมารวมนั้นหมด ผู้ว่าฯ เป็นผู้นำเทปไปเปิด

'เอ้า.. ใครที่นี้ฟังนะ เทศน์นี่..เทศน์อาจารย์มหาบัว ท่านอาจารย์มหาบัวกับท่านอาจารย์ชาสนิทกันมานานสักเท่าไรแล้ว ฟังท่านจะพูดวันนี้นะ’

พอว่าอย่างนั้นก็เปิดทันที .. ได้เห็นผิว ๆ เผิน ๆ ได้เห็นท่านอยู่นั้นก็พอใจ ท่านจะมาห่วงอะไรในธาตุในขันธ์อันนี้ เมื่อเห็นว่าเป็นไฟพอแล้วยังจะมาห่วงอะไรอีก ห่วงไฟเผาเจ้าของนั้นมีอย่างหรือ .. ท่านพร้อมอยู่แล้วที่จะดีดตั้งแต่ระยะช่วยตัวเองไม่ได้แล้วนั่น.. ครูบาอาจารย์จะตายแล้วไม่ยอมให้ไป.. ไม่ให้ตาย เอาไฟจี้ไว้อย่างงั้น ระโยงระยางเต็มหมด ออกซิเจนช่วยลมหายใจ ช่วยลมหายใจอะไร ช่วยไฟเผา..ว่างั้นจึงถูกนะ

ถ้าเอาอันนี้ออกแล้วไฟก็หยุดเผา ท่านก็ดีดออกแล้ว นั่น..คุณก็เห็นอยู่อย่างชัด ๆ โทษก็เห็นอยู่ชัด ๆ อย่างงั้น ถ้าอันนี้จ่อไว้อยู่ตลอด ก็เผาอยู่ตลอดอยู่นั่น..จะว่าไง พอเปิดออกนี้ก็ดีดออกแล้ว เห็นชัด ๆ อยู่

ถ้าพูดถึงเรื่องของหมอ เขาก็ทำตามหลักวิชาของหมอ เหตุผลเรามียังไง อรรถธรรมมียังไง ปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ก็ควรชี้แจงให้เขาทราบ ควรปล่อยก็ปล่อยซี เอาไว้ให้ใครมันไม่เกิดประโยชน์ยังไม่แล้ว ยังเป็นโทษเอาอย่างหนักหนาทีเดียว ใครจะเอาไฟมาเผามาจี้ไว้อย่างนี้ทั้งวันได้เหรอ นี่ไม่ทราบว่าทั้งวันทั้งคืนทั้งปีอะไร จี้เผาหมด..รอบตัว ๆ

เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็รู้กันอยู่แล้ว ตั้งแต่ยังไม่ตายก็รู้แล้ว ก็เครื่องมือใช้เฉย ๆ มีจิตเป็นผู้บงการ พอจิตหดตัวเข้ามาเสียแล้ว.. สิ่งเหล่านี้ก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนไปเท่านั้น เกิดประโยชน์อะไร ก็เหมือนกับเครื่องมือเราทิ้งเกลื่อนอยู่รอบตัวนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เมื่อเจ้าของใช้การใช้งานอะไรไม่ได้แล้ว ... นั่นแหละ เรื่องจิตให้เห็นอย่างนั้นซิ เห็นชัดเจนแล้วจะถามใคร .. ประจักษ์อยู่ในหัวใจเจ้าของแล้ว พอทุกอย่าง ..

‘นี่เอาศพท่านกลับคืนไปโน่นนะ วัดกลางชูศรี ท่านเป็นเพชรน้ำหนึ่งนะนี่’

หลวงปู่บุดดานี่เพชรน้ำหนึ่ง อาจารย์ชาก็เหมือนกัน ท่านเหล่านี้เพชรน้ำหนึ่งแล้ว จะมาหวงมาห่วงอะไร ธาตุขันธ์เป็นไฟนั่น...”

ลัก...ยิ้ม
19-07-2020, 23:15
ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ที่องค์หลวงตาได้เข้าเยี่ยมอาพาธคือ หลวงปู่บุญจันทร์ โดยเฉพาะในยามอาพาธก่อนมรณภาพไม่นานนัก ท่านกล่าวกับหลวงปู่บุญจันทร์ว่า “ได้ทราบว่าไม่สบาย เลยตั้งใจมาเยี่ยม ไม่ใช่มาทรมานคนป่วยนะ เป็นอย่างไรบ้าง”

หลวงปู่ยกมือขึ้นประนมแล้วกราบเรียนว่า “ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หมอบอกว่าเป็นโรคไตรั่ว โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่หมอนิมนต์ให้เกล้ากระผมไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่เกล้ากระผมไม่ไป”

องค์หลวงตาจึงพูดขึ้นว่า “ถ้ามันครึ่งต่อครึ่งก็ไม่ไปล่ะ โรงพยาบาลก็ที่คนตายนั่นแหละ เตียงไหนคนไม่ตายใส่ไม่มีแหละ ถ้าเราไปหาหมอ หมอเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา เราก็เหมือนกับท่อนไม้ท่อนซุงนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเขาจะพลิกไปพลิกมาอย่างไร ทำไปอย่างไรบ้างตามเรื่องของเขา หมอเขาไม่มีธรรมอะไรหละ มันอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ปล่อยเท่านั้นหละ”

สักพักหนึ่ง องค์หลวงตาก็กล่าวกับหลวงปู่ว่า “เอาละนะ จะกลับล่ะ ไม่มีอะไรจะเตือนกันหรอกนะ กรรมฐานใหญ่เหมือนกัน”

จากนั้น ท่านหันไปพูดกับญาติโยมที่เข้ามากราบไหว้ท่านในขณะนั้นว่า
“ตั้งใจมาเยี่ยมอาจารย์บุญจันทร์ แต่ก่อนในคราวออกปฏิบัติ ท่านก็ออกปฏิบัติ เราก็ออกปฏิบัติ ได้เจอกัน ทุกข์ยากลำบากด้วยกัน เอาละกลับล่ะ เยี่ยมคนป่วยไม่รบกวนนานหรอก”

วาระสุดท้าย ขณะที่หลวงปู่ท่านจวนเจียนมรณภาพเต็มที่แล้ว เป็นเวลาเดียวกันกับที่องค์หลวงตาท่านเดินทางไปถึงพอดี ท่านไปอย่างรีบเร่งแล้วเข้าไปในห้องอาพาธของหลวงปู่ ท่านขยับไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ทางศีรษะ แล้วท่านเอามือเปิดผ้าที่ปิดหน้าผากหลวงปู่ออกดู พร้อมกับพูดว่า “วันนี้บวมมากกว่าวานนี้”

ในขณะนั้นหลวงปู่ได้หายใจเบาลงเหมือนกับจะขยิบตาเล็กน้อย แล้วหลวงปู่ก็หยุดหายใจ.. ละธาตุขันธ์ไปในที่สุด เมื่อเวลา ๑๐.๕๒ นาฬิกา ของวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘ จากนั้นท่านจึงถอยไปนั่งเก้าอี้แล้วมองดูหลวงปู่พร้อมกับพูดว่า “เอ้า..หยุดหายใจแล้ว”

ภายหลังต่อมา ท่านพูดถึงเรื่องนี้กับพระว่า
“ท่านบุญจันทร์คอยเรา พอเรามาถึง..เข้าไปเยี่ยม..ท่านก็ไปเลย”

ลัก...ยิ้ม
20-07-2020, 13:01
พระกรรมฐานประสบอุบัติเหตุ

เหตุการณ์ครั้งสำคัญคราวหนึ่ง ยังความโศกสลดอาลัยอาวรณ์แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยเฉพาะแวดวงกรรมฐานอย่างมากคือ เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นเหตุให้พระกรรมฐานและประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องถึงแก่กรรม

คุณหญิงไขศรี ณ ศีลวันต์ ผู้ซึ่งเป็นศิษย์องค์หลวงตาคนหนึ่ง เป็นพระอาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และเป็นภริยา ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี ตลอดจนเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นต้น

ในหนังสืออนุสรณ์คุณหญิงไขศรี ณ ศีลวันต์ กล่าวถึงการเดินทางไปกราบนมัสการ และสนทนาธรรมกับพระเถระสายหลวงปู่มั่น เป็นครั้งแรกในชีวิตของคุณหญิงคือปี พ.ศ. ๒๕๑๒ และได้เข้ากราบองค์หลวงตาและพักอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดเป็นสถานที่แรก องค์หลวงตายังเมตตาพาไปพบหลวงปู่ขาว ที่วัดถ้ำกลองเพลอีกด้วย หลังจากนั้นองค์หลวงตายังเป็นพระกรรมฐานองค์แรก ที่เมตตามาฉันที่บ้านคุณหญิง องค์หลวงตาเมตตาอบรมธรรมะแก่คุณหญิงเสมอมา จวบจนวาระสุดท้ายก่อนจะประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินเสียชีวิต คราวเดียวกับพระอาจารย์บุญมา พระอาจารย์วัน อุตตโม พระอาจารย์จวน กุลลเชฏโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม

เหตุการณ์ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คุณหญิงได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งปกติระยะนั้น องค์หลวงตาท่านจะไม่ลงอบรมธรรมะแก่ฆราวาส เพราะธาตุขันธ์ไม่สู้จะสมบูรณ์นัก แต่ตลอดช่วง ๗ วันที่คุณหญิงมาพักอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ท่านได้เรียกคุณหญิงมาสนทนาธรรมะปฏิบัติที่กุฏิหลายครั้ง และแต่ละครั้งเป็นเวลานาน และเป็นการสนทนาโดยเฉพาะ ไม่มีผู้อื่นนอกจากมีเด็กชาวบ้านตาดมานั่งเป็นเพื่อนตามพระวินัย ยังความสงสัยและแปลกใจเป็นอันมากแก่บรรดาผู้มาพักปฏิบัติธรรมในช่วงนั้น เพราะมิใช่วิสัยปกติขององค์หลวงตาที่จะปฏิบัติเช่นนี้กับผู้ใด

และโดยเฉพาะในวันกลับคือ เช้าวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ องค์หลวงตาก็ยังมีเมตตาพูดคุยสนทนาธรรมกัน จนกระทั่งจวนจะถึงเวลาเครื่องบินออก.. การสนทนาจึงยุติ ซึ่งก็ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาก่อนเช่นกัน คือในระยะที่ผ่านมาองค์หลวงตามักให้ออกจากวัดมารอที่สนามบินก่อนเป็นเวลานาน แต่คราวนี้จวนเจียนเวลามาก ในเช้าวันนั้นคุณหญิงได้กราบเรียนถามองค์หลวงตาว่า “ถ้าคุณหญิงตายไปแล้ว จะมีโอกาสได้พบอาจารย์ดี ๆ อีกไหม ?”

ท่านได้ตอบเป็นทำนองว่า “ในชาติปัจจุบันนี้ เราได้ภาวนามุ่งทำแต่ความดี ฉะนั้น ความดีนี่แหละ จะเป็นครูบาอาจารย์ของเราในวันหน้า”

และคำกล่าวนี้เป็นธรรมครั้งสุดท้ายขององค์หลวงตาที่มอบให้แก่คุณหญิง เนื่องจากการเดินทางในวันนั้นมีทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวย เกิดพายุฝนจนเป็นเหตุให้เครื่องบินตกที่บริเวณทุ่งนารังสิต จังหวัดปทุมธานี อุบัติเหตุร้ายแรงนี้.. ทราบถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงมีพระกรุณาธิคุณและพระกตัญญูกตเวทิตาคุณ เสด็จมาทอดพระเนตรศพพระอาจารย์ให้แน่พระทัยด้วยพระองค์เอง

ในครั้งนั้น ทูลกระหม่อมทรงยกมือของคุณหญิงขึ้นมาทอดพระเนตรอย่างใกล้ชิด แล้วรับสั่งว่า “ใช่อาจารย์แน่” จากนั้นทรงจัดการศพด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นพระอิริยาบถที่อ่อนโยนมิได้ทรงแสดงความรังเกียจเลย ทรงปฏิบัติเยี่ยงศิษย์ถึงกระทำต่อครูบาอาจารย์เป็นที่น่าซาบซึ้ง และประทับใจแก่บรรดาผู้อยู่ในที่นั้นเป็นยิ่งนัก ทุกคนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ

ลัก...ยิ้ม
20-07-2020, 13:17
อุบัติเหตุครั้งนั้น นับเป็นการสูญเสียศิษย์คนสำคัญขององค์หลวงตา.. ที่เป็นกำลังสำคัญของพระศาสนาทั้งฝ่ายพระ และฆราวาสไปพร้อม ๆ กันเลยทีเดียว องค์หลวงตากล่าวถึงพระอาจารย์สิงห์ทอง และพระอาจารย์สุพัฒน์ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดของท่านไว้ ดังนี้
“... ท่านจวนก็เหมือนกัน มีอยู่สององค์ ท่านจวนตกเครื่องบิน ท่านสิงห์ทองตกเครื่องบิน .. อัฐิกลายเป็นพระธาตุสององค์ ตกเครื่องบินไปงานอะไรไม่รู้ อุปคุต (พระอาจารย์สุพัฒน์) ท่านฝันแม่นยำมากนะ ที่ท่านจะไปตายคราวนี้ คือท่านฝันกลางคืนนี้จนตื่นเต้นตกใจ เสียใจ ‘แล้วกัน ทำไมถึงฝันร้ายขนาดนี้ ไปเกาะไหนก็พัง ไม่เคยฝันอย่างนี้เลย ฝันร้ายกาจไม่มีชิ้นดีเลย ไม่ใช่จะเอาเราไปตกเครื่องบินตายเหรอ’

ท่านพูดอย่างนั้นเลย แล้วเขามานิมนต์ให้ไปในงานนี้.. กับความฝันมันเข้ากันได้แล้ว.. ท่านเลยหาที่เกาะ ไปนิมนต์อาจารย์สิงห์ทอง ถ้าท่านสิงห์ทองไปเราถึงจะไป เกาะตรงนั้นนะ ถ้าท่านไม่ไปเราก็ไม่ไป เขาไปนิมนต์ท่านสิงห์ทอง ท่านสิงห์ทองรับเขาแล้วก็พังไปเลย
‘ถ้าหากว่าท่านสิงห์ทองไม่ไป ท่านจะไม่ไป ชีวิตท่านก็จะยังอยู่’

เลยตายในระยะนั้น ท่านฝันแปลกประหลาดมาก พอตื่นขึ้นมานี้ ดูอาการโศกเศร้าเหงาหงอย มันฝันร้ายเหลือเกิน ท่านว่าอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่พูดเรื่องฝันร้ายว่าเป็นอย่างไร ๆ แต่มันฝันร้ายไม่มีชิ้นดีเลย ท่านบอกอย่างนั้น มีแต่ล้มพังทั้งนั้น

พอดีเขาก็มานิมนต์ท่านก็ไปเกาะท่านสิงห์ทอง ท่านสิงห์ทองไปเราก็จะไป พอดีไปนิมนต์ท่านสิงห์ทอง ท่านก็รับเขา.. เรียกว่าเกาะแล้วพังเลย ตายด้วยกันทั้งสอง

ท่านอุปคุตนี่สำคัญ ท่านฝันไม่ดีเลยท่านว่า เขามานิมนต์โดยลำพังท่าน ท่านจะไม่รับ.. ท่านบอกทีนี้เพราะความเคารพกัน เกี่ยวกับท่านสิงห์ทองท่านรับ แล้วท่านเลยต้องรับไปด้วย แล้วก็ไปตายด้วยกัน...”

เกี่ยวกับลักษณะการนิพพานของพระอรหันต์นั้น องค์หลวงตากล่าวไว้ ดังนี้
“... จิตที่ทำลายสมมุติหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว อะไร.. เวทนาไหนจะไปแทรก นี่เราถึงได้กล้าพูดว่าพระอรหันต์ตาย ตายเมื่อไร ตายที่ไหน ตายเรื่องอะไร ด้วยเหตุผลกลไกอะไรก็ตาม ก็จิตพระอรหันต์ล้วน ๆ ว่างั้นเลย ท่านไม่มีปัญหาอะไรกับสมมุติคือการตาย กิริยาแห่งการตายต่างๆ นั้น.. เป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด ความบริสุทธิ์เต็มภูมิ จึงไม่วิตกวิจารณ์เรื่องการเป็นการตาย ...

แล้วคำว่าบริสุทธ์แล้วนั้น จะมีกาลสถานที่ เวล่ำเวลาที่ไหนเป็นกำหนดกฏเกณฑ์ เป็นที่ให้เกิดสัญญาอารมณ์กับท่าน นิพพานท่าไหนจะดี หรือนิพพานท่าไหนจะเสียที หรือตายท่าไหนดี ท่าไหนไม่ดี.. ท่านไม่มี ตายท่าไหนก็คือพระอรหันต์ตาย เอ้า.. เราพูดเรื่องตาย จะตายด้วยอุบัติเหตุอะไรก็ตาม ตายด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็ตาม จะเข้าสมาธิสมาบัติหรือไม่เข้าก็ตาม ไม่มีสิ่งใดสำคัญทั้งนั้น ไม่มีอันใดที่จะลบล้างความบริสุทธิ์นั้นได้เลย ท่านเป็นพระอรหันต์อยู่เต็มตัว.. ทุกกาลสถานที่อิริยาบถ...

เพราะการตายนี้เป็นไปตามวิบากขันธ์ บางองค์ก็จะตายด้วยความสงบของธาตุขันธ์ บางองค์ก็จะไม่สงบ .. จะดีดจะดิ้นเป็นประเภทต่าง ๆ ตามวิบากกรรมที่เป็นมาต่าง ๆ กัน แต่จิตนั้นบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ขันธ์จะตายแบบไหนก็ตาม จะตายดิ้นเหมือนหมาบ้าก็ตาม เรื่องขันธ์มันดิ้นของมันต่างหาก จิตที่บริสุทธิ์แล้วไปดิ้นหาอะไร นั่นมันเป็นคนละฝั่งละฝาอยู่นั่น เห็นกันชัด ๆ อย่างนั้น

อำนาจแห่งวิบากกรรมมีมาอย่างไร ที่เคยสร้างเคยเป็นมาแล้ว บางท่านบางองค์ก็สงบไปธรรมดา ๆ บางท่านบางองค์ก็มีดีดมีดิ้นเป็นไปธรรมดา เพราะวิบากกรรมอันนี้แก้ไม่ตกในเรื่องกรรม เกี่ยวกับเรื่องวิบากขันธ์สมมุติอันนี้ แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ตามได้แค่ขันธ์เท่านั้น ไม่ตามไปในหัวใจที่บริสุทธิ์ได้นี่นะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่มีได้มีเสียกับสิ่งเหล่านี้...”

ลัก...ยิ้ม
20-07-2020, 23:32
อัฐิกลายเป็นพระธาตุ

เกี่ยวกับอัฐิของพระอรหันต์ ที่ต่อมาได้กลายเป็นพระธาตุนั้น องค์หลวงตาได้แสดงธรรมไว้อย่างละเอียดลออ ดังนี้
“... เวลาท่านผู้สิ้นกิเลสท่านมรณภาพ เอาศพไปเผา อัฐิก็คือกระดูกเหมือนกันกับเรา ๆ ท่าน ๆ แต่กลายเป็นพระธาตุได้ยังไง อันนี้จะเป็นองค์ท่านเองรู้ชัดในธาตุขันธ์ของท่านเอง.. คนอื่นไม่รู้ เวลามีชีวิตอยู่จิตของท่านสง่างาม จ้าครอบธาตุขันธ์อันนี้ ครอบธาตุขันธ์นี้แล้ว เราก็บอกชัดเจนแล้วว่า จิตตั้งแต่บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาแล้ว

นี่ละ..ที่ว่าฟอกธาตุขันธ์ที่เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์นั้น ฟอกมาโดยลำดับ กระแสของจิตที่บริสุทธิ์นี้กระจายออกทั่วสรรพางค์ร่างกาย เรียกว่าฟอกธาตุขันธ์.. ที่เป็นส่วนหยาบเหมือนคนทั่ว ๆ ไปนี้ ให้กลายเป็นส่วนละเอียดเข้าไป ๆ ท่านรู้ของท่าน จิตของท่านผู้ที่หลุดพ้นแล้วท่านรู้

คือร่างกายนี้เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์ ทีนี้เวลาจิตบริสุทธิ์แล้วนั้น การฟอกจิตนี้..ฟอกโดยหลักธรรมชาติตั้งแต่วันบรรลุมา ฟอกนี่เรียกว่าหลักธรรมชาติอย่างละเอียดลออเรื่อย ๆ ซักฟอกอยู่ธรรมดา ยืน เดิน นั่ง นอน ซักฟอกอยู่นั้นเป็นหลักธรรมชาติ ที่เด่นที่สุดก็คือ เวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติภาวนาของท่าน นั่นละ กระแสของจิตเข้ามานี่หมด

ทีนี้พอเข้ามานี่หมด.. กระจายฟอกธาตุขันธ์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้ท่านมองดูธาตุขันธ์ของท่าน ถ้าพูดเทียบกับโลกนี้เรียกว่าเป็น “ทองทั้งแท่ง” อยู่ในนี้ แต่สายตาของเราก็เป็นคนเหมือนท่าน ๆ เรา ๆ แต่สายตาของธรรม ท่านเห็นของท่านเอง เป็นเหมือนทองคำทั้งแท่ง ๆ พากันเข้าใจเสียนะ

ลัก...ยิ้ม
20-07-2020, 23:46
นี่ละ..เรื่องธรรมที่บริสุทธิ์ ดูเรือนร่างของตัวเอง เป็นส่วนหยาบก็รู้ชัด ๆ เป็นโดยลำดับอย่างนี้ละ เวลาท่านมรณภาพไปแล้วจะไม่กลายเป็นพระธาตุได้ยังไง ก็กระจายอยู่ภายในตั้งแต่ท่านยังไม่ตายอยู่แล้ว ธาตุขันธ์ถูกซักฟอกเป็นธาตุขันธ์ที่ละเอียดลออ จนกลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ของพระอรหันต์ แต่สายตาของโลก ก็เป็นธาตุขันธ์ธรรมดาเหมือนเรา แต่สายตาของธรรมที่เป็นผู้รับผิดชอบ คือจิตที่บริสุทธิ์ของท่านครองร่างอยู่นี้ ท่านดูกระจ่างของท่านอยู่ตลอดเวลา เห็นชัดเจนหมด...”

สำหรับอัฐิพระอรหันต์แต่ละองค์ จะเป็นพระธาตุเร็วหรือช้าอย่างไรนั้น องค์หลวงตาอธิบายไว้ ดังนี้
“... คำว่าเป็นพระธาตุนี้ก็ต่างกันอีกนะ คือถ้าจิตผู้ใดได้บำเพ็ญธรรม บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็วแล้วตายไปเสีย ผู้นี้ก็เป็นพระธาตุได้..แต่เป็นช้า เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้ยังไม่ได้ซักฟอกธาตุขันธ์ โดยทางความพากเพียรตามอัธยาศัยของท่านไปนาน..แล้วมาตายเสีย ธาตุขันธ์นี้ยังไม่บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน บริสุทธิ์ตามส่วนของธาตุขันธ์ที่เป็นส่วนหยาบนะ ส่วนจิตบริสุทธิ์แล้ว

แต่องค์ไหนถ้าบำเพ็ญไปนาน ตั้งแต่สมาธิปัญญาค่อยเริ่มไปเรื่อย ซักฟอกไปเรื่อยถึงขั้นอรหันต์แล้ว ท่านนิพพานหรือตายไปเสีย..อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เร็ว คือความช้าความเร็วอยู่กับการบรรลุ แล้วทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ ถ้าทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ไปนาน จิตธรรมชาติของท่าน..ไม่ใช่ท่านตั้งใจซักฟอกนะ จิตที่บริสุทธิ์นี้ต่างหากที่ซักฟอกร่างกายนี้ ธาตุขันธ์นี้ซึ่งเป็นส่วนหยาบให้เป็นของละเอียด ๆ ๆ ไปตามส่วนหยาบของธาตุขันธ์ เวลาท่านมรณภาพไปแล้ว.. อัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ เพราะจิตซักฟอกไว้เรียบร้อยแล้ว มันเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ

ไม่ใช่พอตายไปจะเป็นพระธาตุทันที มันต่างกัน การครองขันธ์อยู่นานหรือไม่นานตั้งแต่วันสำเร็จแล้ว ถ้าครองขันธ์ไม่นาน.. กลายเป็นพระธาตุก็ช้า ถ้าครองขันธ์อยู่นานนี้ กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว มันต่างกัน เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้อยู่กับขันธ์ มันเป็นการซักฟอกขันธ์อยู่ในหลักธรรมชาติ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม หากเป็นหลักธรรมชาติที่คอยซักฟอกอย่างละเอียดลออของจิตที่บริสุทธิ์ครองขันธ์อยู่นั้นแล

ถ้ายิ่งท่านเข้าสมาธิภาวนาด้วยแล้วนี้ จิตเข้ามานี่ล้วนๆ แล้วเป็นการซักฟอกหนักเข้าไป ท่านไม่ได้เจตนาว่าจะซักฟอกธาตุขันธ์นะ ท่านมีเจตนาเกี่ยวกับอรรถกับธรรมที่ท่านจะพิจารณาของท่านต่างหาก แต่มันเกี่ยวโยงกับธาตุขันธ์ เลยเป็นการซักฟอก อันนี้หนักแน่นเข้าไปอีก มากเข้าไปอีก นั่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปอย่างนั้น เวลาท่านมรณภาพแล้วกลายเป็นพระธาตุ ๆ อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ดูเหมือนจะได้ ๔๐ กว่าปีแล้วมั้ง ท่านผ่านไปเรียบร้อยแล้ว อัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ...

ผู้หนึ่งค่อยดำเนินไป ๆ จิตค่อยสม่ำเสมอหลุดพ้นปั๊บ จะนิพพานไปในไม่ช้า.. อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว บางองค์พอพิจารณาปุบปับ.. บรรลุธรรมปึ๋งแล้วก็นิพพานไปเสีย นี้อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุช้า .. ถ้าความบริสุทธิ์อย่างขิปปาภิญญา คือรู้อย่างรวดเร็วนี้ก็ไม่แน่นะ ว่าจะเป็นพระธาตุได้ง่ายดาย เพราะรู้ได้เร็วแล้วก็ (หาก) ตายเร็ว จิตนี้ไม่ครองขันธ์อยู่นาน ก็ยังไม่ได้ฟอกเต็มที่..นี่อาจจะช้า

แต่อัฐิของสามัญชนแม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน ส่วนจิตผู้เป็นเจ้าของเต็มไปด้วยกิเลส ไม่มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นของบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตนได้ อัฐิจะกลายเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร ก็ต้องเป็นสามัญธาตุไปตามจิตของคนมีกิเลสอยู่ดี ๆ หรือจะเรียกไปตามภูมิของจิต ภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยธาตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงจะได้ เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนต่างกัน อัฐิจำต้องต่างกันอยู่โดยดี...”

ลัก...ยิ้ม
20-07-2020, 23:52
พระอรหันต์ทุกองค์ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทุกองค์หรือไม่ องค์หลวงตาได้แสดงธรรมอีกเช่นกันว่า
“... พระธาตุนี้ตีตราแล้วนะ ถึงจะบอกไม่บอกก็ตาม ถ้าลงอัฐิเป็นพระธาตุแล้ว.. ตีตราปึ๋งเลย ในตำราก็บอกไว้อย่างชัดเจนมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้นที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้ บอกไว้แล้ว ถ้าลงเป็นพระธาตุแล้วเห็นไม่เห็นก็ตามเถอะ นี่คือพระอรหันต์..ว่างั้นเลย นอกจากนั้นต้องได้ศึกษาปรารภ ถ้ามีญาณก็หยั่งดูกันซิ นอกจากนั้นก็สนทนา แย็บออกมาจับได้ทันที.. เรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วปิดไม่อยู่ เวลาไปที่ไหน ๆ เห็นมาแล้วนี่ ใครพูดที่ไหนมันก็รู้หมดล่ะซี เห็นด้วยตาเนื้อเรานี่ ไปที่ไหนเห็นด้วยตาเนื้อ ได้ยินด้วยหูของเรา มันก็ชัดเจนตามหูตามตาของเรา ในขั้นนี้เรายังไม่สงสัย ทำไมหัวใจยิ่งจ้ากว่านั้นอีก จะเอาอะไรมาสงสัยอีก สู้ตาฝ้าตาฟางนี้ไม่ได้เหรอ

แต่ก็ยังมีข้อแม้ข้อหนึ่งอยู่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคำอธิษฐานของท่านด้วย.. มีด้วยนะ ถ้าสมมุติท่านอธิษฐานให้อัฐิของท่านเป็นยังไง ๆ หรือจะไม่ให้เป็นพระธาตุนี้ก็อาจเป็นไปได้.. อย่างนั้นอาจไม่เป็นพระธาตุ แต่จะเป็นอย่างอื่นอย่างใดให้เห็นแปลก ๆ อยู่นั้นแหละ เรื่องจิตที่บริสุทธิ์จึงไม่ใช่ธรรมดา...”

ลัก...ยิ้ม
21-07-2020, 14:06
ผู้ควรแก่เจดีย์

องค์หลวงตากล่าวถึงบุคคลและสถานที่ซึ่งควรก่อเจดีย์ ตลอดถึงความเกี่ยวข้องของท่านกับบรรดาพระกรรมฐานในเรื่องการก่อเจดีย์ ดังนี้
“... ในครั้งพุทธกาล ท่านผู้ที่จะควรก่อเจดีย์เป็นปูชนียบุคคลขึ้นมา หรือปูชนียสถาน ... ผู้ที่จะควรก่อเจดีย์กราบไหว้บุชาของสัตว์โลก..ว่างั้นเลยนะ แสดงไว้ ๔ ประเภท ก็คือ พระพุทธเจ้า ๑ คำว่าพระพุทธเจ้า หมายถึงทุกพระองค์เลย พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ พระอรหันต์ ๑ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑ ทั้ง ๔ องค์นี้สมควรแก่การสร้างเจดีย์สำหรับจิตใจประชาชนให้กราบไว้บูชา

สถานที่ก่อท่านก็แนะไว้ เป็นสถานที่ชุมนุมชน เช่น ถนนสามแพร่ง สี่แพร่ง หรือที่ชุมนุมชน เขามาจะได้กราบไหว้บูชา พอเห็นเจดีย์ปั๊บ.. จิตเขาจะพุ่งถึงองค์วิเศษคือองค์ศาสดา จากนั้นรองลงมาก็พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่สามก็คือพระอรหันต์ท่าน จิตใจของประชาชนจะมุ่งจุดสูงมากทีเดียว จากนั้นก็พระเจ้าจักรพรรดิ คำว่าพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นผู้ทรงบุญญานุภาพ บุญญาบารมีกว้างขวาง เพราะฉะนั้น จึงควรได้รับการชมเชยจากพระพุทธเจ้า ไม่ปรากฏว่าพระองค์ใดจะคัดค้านนะ เป็นผู้สมควรก่อเจดีย์ให้เช่นเดียวกันกับทั้งสามพระองค์นั้น..

การทำอะไร เราก็จึงควรมีหลักมีเกณฑ์ที่จะก่อในที่ชุมนุมชน เราจึงควรคำนึง อย่าได้ก่อสุ่มสี่สุ่มห้า ซึ่งผิดกับเจตนารมณ์ของผู้ที่ได้พบได้เห็นและกราบไหว้บูชา มุ่งจิตใจไปในทางอันเลิศเลอ ... เวลาเห็นแล้วก็ให้เป็นขวัญตาขวัญใจ ตรงกับความมุ่งหมายของผู้กราบไหว้บูชาด้วยความระลึกนึกน้อมถึงองค์วิเศษท่าน

สำหรับในวงกรรมฐานนี้ พูดตรงไปตรงมาเลย ก็ส่วนมากจะมาปรึกษาหารือเรานี้แหละ เราก็ให้ข้อแนะนำอย่างที่ว่า ก่อเจดีย์ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสมควร ๆ เราเป็นผู้แนะให้ทั้งนั้นแหละ คือให้เหมาะสมกับจิตใจของผู้มุ่งธรรมอันเลิศเลอ เวลากราบไหว้บูชาให้เป็นขวัญตาขวัญใจ เป็นมหามงคลแก่จิตใจอย่างมากทีเดียว...”

ลัก...ยิ้ม
21-07-2020, 14:13
รักสงวนพระกรรมฐานฝ่ายมหานิกาย

การพบปะสนทนาพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในที่ต่าง ๆ ขององค์หลวงตานั้น มิได้จำกัดอยู่แต่ฝ่ายธรรมยุติด้วยกันเท่านั้น แม้พระกรรมฐานฝ่ายมหานิกาย.. เมื่อได้มีโอกาสอันเหมาะสมท่านก็เข้าหาเช่นกัน ดังนี้
“... เราเคยไปกราบมนัสการหลวงปู่มี โคราช โอ๋ย..ท่านดีใจ เมตตามากมาย ‘ท่านมหา ด้นดั้นมายังไง’ คึกคักเลย..เหมือนอายุยังหนุ่มเลยนะ

เราก็ว่า ‘ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหนก็มาที่นั้นแหละ พ่อแม่ญาติพี่น้องเราอยู่ที่ไหน เราก็ต้องไปหาพ่อแม่ญาติพี่น้องของเรา อันนี้ครูบาอาจารย์อยู่นี้ก็ต้องมา’ ‘เหอ ๆ’

อู๊ย.. คึกคัก ๆ อยู่ในถ้ำนะ เราจำไม่ได้ว่าเป็นมวกเหล็กหรือเป็นอะไร หากเป็นแถวนั้น ท่านเคยไปพักอยู่เป็นประจำ หลวงปู่มีเราเรียก ‘ครูจารย์ ๆ’ เลยแหละ

เราไปพักกับท่านอยู่ที่สูงเนินก็ไป (วัดป่าสูงเนิน) นั่นแล้ว พักวัดป่าสูงเนินเราก็ไป ท่านอยู่แถวมวกเหล็กหรืออะไรเราจำไม่ได้ แต่ว่าแถวนั้น ท่านมาอยู่เป็นประจำ เราไปเราก็บุกเข้าไปหาเลย อู๊ย.. ท่านดีใจ เมตตามากจริง .. รู้สึกท่านเมตตามากจริง ๆ นะ เป็นพิเศษเลย คึกคัก วัยท่านแก่ ๆ โอ๋ย.. กิริยาท่าทางไม่แก่เลย คักคัก ๆ ก็นาน ๆ จะเจอกันทีหนึ่ง พอมาเห็นบอกพระเณร
‘นี่ท่านมหาบัวนะ ลูกศิษย์ผู้โปรดท่านอาจารย์มั่น’

‘อู๊ย.. อย่าพูดอย่างนั้นเถอะ’

‘ขอพูดบ้างเถอะ นาน ๆ ได้พบกัน มันไม่ได้พูดสักที’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ

แล้วท่านก็พูดเอาอย่างเต็มปากของท่านเลย เราก็หมดท่า ท่านก็พูดกับพระกับเณรนั่นละ คุยกัน โฮ้.. สนุกสนาน

ที่ท่านพักอยู่สูงเนินก็ดี วัดป่า.. ท่านอยู่วัดป่าของท่าน เรารักเราเคารพท่านมากจริง ๆ นะ เรียกท่านเรียกว่าครูจารย์เลยแหละ คือมันติดปากมาแต่ดั้งเดิม เรียกแต่ครูจารย์ ๆ สนิทติดปาก ไปหาท่าน.. ท่านอยู่ในเขานะ ท่านแก่ ๆ อย่างนั้น อู๊ย.. คึกคัก ๆ คุยกันตั้งนานกว่าจะได้กลับ เพราะไม่ได้ค้าง เราไป..เราทราบว่าท่านอยู่ที่นั่น เราก็เข้าแวะเลย เข้าไปหาท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงออกมาแล้วก็ไปกรุงเทพฯ เป็นอย่างนั้นละ ท่านอยู่ที่ไหนเราไปหา อยู่ที่สูงเนินเราก็ดั้นไปพักกับท่านเลย มาจากกรุงเทพฯ ก็เข้าไปพักกับท่าน ไม่ได้มากน้อยก็เอา นาน ๆ ได้พบท่านทีหนึ่ง.. ได้กราบท่านพอแล้ว เพราะฉะนั้น วัดสูงเนินถึงได้ไปพักที่นั่น

ลัก...ยิ้ม
21-07-2020, 22:34
เรากับท่านเจอกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่นู้นน่ะ ท่านก็เรียนหนังสือ คุ้นกัน..สนิทสนมกันกับท่านมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ พอเรียนแล้วก็ออกปฏิบัติ พอหลังจากนั้นก็มาพบกับท่านเรื่อย ๆ เพราะการที่เคยพบกันอยู่เสมอ ๆ เรานาน ๆ ทีหนึ่ง

คราวนี้ที่ไปหาท่าน บุกเข้าไปในป่า ท่านถึงยิ่งเมตตาดีใจมาก อู๊ย.. เราไม่ได้พบกันเลย คุยกันนานนะ นี่ละลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์.. องค์นี้องค์หนึ่ง ที่ท่านเล่าให้ฟังเราจำได้หมดนั่นแหละ องค์ไหนชื่อว่ายังไง.. สมัยนั้นนะ เวลานี้ท่านก็ล่วงลับไปหมด

แม้แต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรายังล่วงลับไป ท่านบอกลูกศิษย์ของท่านฝ่ายมหานิกายที่ท่านบอกเองไม่ให้ญัตติ อาจารย์มีนี้ท่านห้ามไม่ให้ญัตติ ท่านพูดเองนี่ เมื่อท่านพูดเองแล้ว แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ฯ ท่านพูดด้วยความเมตตาสงสารมากนะ

อาจารย์ทองรัตน์ อาจารย์กินรี อาจารย์มี เท่าที่เราจำชื่อได้นะ แล้วอาจารย์ไหนบ้าง ท่านเล่าไปหมดนั่นแหละ แต่เราจำไม่ได้ ท่านแนะนำสั่งสอนตลอดมา ท่านก็เลยกระจายออกมาว่า
‘เมื่อไม่ให้ท่านเหล่านี้ญัตติแล้ว เพื่อนฝูงก็ได้มาก ทำประโยชน์ได้มากมายก่ายกอง จึงไม่อยากให้ท่านเหล่านี้ญัตติ เพราะธรรมดาโลกเราต้องถือสมมุติ คณะนั้นคณะนี้ เมื่อท่านเหล่านี้มาญัตติเสียแล้ว บรรดาเพื่อนฝูงที่เป็นสายเดียวกันก็จะเข้าหาลำบาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ญัตติ เพื่อจะเปิดทางให้บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเข้ามาแล้วได้ประโยชน์อันกว้างขวาง’

ท่านว่าอย่างนั้นก็เป็นจริง ๆ เห็นไหม..สายอาจารย์ชากว้างขนาดไหน อาจารย์ชาก็เคยไปอยู่วัดหนองผือด้วยกันนี่นะ ตอนที่ท่านไปศึกษาอบรมเราก็อยู่ที่นั่น ถึงคุ้นกันมาตั้งแต่โน้นละกับอาจารย์ชานะ ที่นี่ท่านก็มา.. อาจารย์ชาที่หนองป่าพงเราก็ไป ไปเวลาไหนเราไปพักหนองป่าพง เราไม่พักที่อื่นนะ ไปทีไรเราไปพักหนองป่าพง วัดอาจารย์ชานั่นแหละ เป็นอย่างนั้นตลอดมา

ทางอุบลฯ ไปหมดแหละ สายกรรมฐานอยู่ที่ไหน ๆ เราไปหมด จนกระทั่งถึงเขื่อนสิรินธร ที่ไหน ๆ วัดป่าเป็นสายของหนองป่าพง เราไปพักหนองป่าพงแล้วก็ให้พระที่วัดหนองป่าพงพาไป สำนักไหน ๆ ไป ๆ พอแนะยังไงเราก็แนะ ๆ เพราะเราสงวนกรรมฐานมาก คือกรรมฐานนี้ละเราแน่ใจ.. จะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลแทนองค์ศาสดาและสาวกทั้งหลายเรื่อยมา.. ด้วยภาคปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้นเราจึงสงวนมาก พระกรรมฐานอยู่ที่ไหนนี้คือกองแห่งธรรมจะอยู่ที่นี่ ธรรมจะงอกเงยขึ้นที่นี่ เพราะฉะนั้นเราถึงไป ถ้ากรรมฐานอยู่ที่ไหน อย่างไปทางกรุงเทพฯ ก็เหมือนกัน อยู่ทางด้านตะวันออกทางเมืองชลฯ ก็เหมือนกัน.. เราไปเรื่อยนะ พอไปถึงกรุงเทพฯ แล้วเราก็ไปเขาฉลาก แล้วก็แถวนั้น.. เขาเขียวเขาอะไร

พอเราบอกข่าวไป โทรศัพท์ไปบอกว่าเราจะไป ทางโน้นก็นัดแนะกันมารวม ๆ อยู่ที่วัดเขาฉลาก เราก็ไปให้โอวาททั้งสอนที่ตรงนั้นเพราะขาดครูขาดอาจารย์ เหมือนลูกเต้ามีหลายคน พ่อแม่ไม่มี โหย.. อะไรจะเป็นกองทุกข์ยิ่งกว่าลูกแตกกับพ่อกับแม่ใช่ไหมล่ะ แตกกระสานซ่านเซ็นไปก็มี อันนี้เราก็ไปเวลาว่าง ๆ ไปเราก็จี้เลย เทศน์ธรรมล้วน ๆ ให้ฟังเลย ถ้าเป็นสำนักกรรมฐานอยู่ที่ไหน เราจะเข้าถึงทันทีเลย ไม่สนใจว่าธรรมยุตมหานิกาย เราไม่สนใจจริง ๆ นะ มันเรื่องชื่อเฉย ๆ ธรรมต่างหากว่างั้น

อยู่คณะเดียวกันก็ลองดูซิ อย่างวัดป่าบ้านตาด.. ใครมาปฏิบัติขัดข้องหรือขัดขวางต่อหลักธรรมหลักวินัย เราไล่หนีทันที ถ้าหนหนึ่ง สองหนไม่ฟังนะ.. มากกว่านั้นไล่เลย อย่างหนึ่งไล่ทันทีก็มีนะ หลายแบบนะ ควรจะไล่ทันทีก็ไล่ทันที ควรจะขู่เสียก่อนก็มี มันหลายแบบ ตั้งแต่วัดเดียวกัน ชื่อเดียวกัน ธรรมยุตเดียวกันก็ตาม เราไม่ได้เอาอันนั้น เราเอาหลักธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง..ใช่ไหม ? ทีนี้เมื่อธรรมวินัยตั้งอยู่ที่ไหน ๆ เข้ากันได้หมด นั่นเราเอาตรงนั้น

พูดถึงอาจารย์มี เรารัก เราเคารพท่านมากนะ ตั้งแต่เรียนหนังสือ โอ๋ย.. ท่านเป็นพระที่สุขุมละเอียดมาก สมชื่อสมนามว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริง ๆ แต่ก่อนเรายังไม่เคยไปเห็นหลวงปู่มั่น ท่านไปเห็นมาก่อนแล้ว อยู่มาก่อนแล้ว ทีนี้พอไปอยู่กับหลวงปู่มั่นกลับมาแล้วจึงได้เข้ามาหาท่าน คราวนี้ยิ่งสนิทกันใหญ่โตเลยเทียวนะ เรียกว่าลูกพ่อแม่เดียวกันไปเลยทีเดียว กลมกลืนทันทีเลยนะ...

ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เราไม่ได้ไปงานศพท่าน ตอนนั้นเรามีอะไรนั่นแหละที่ไปไม่ได้ ที่ไหนก็เหมือนกัน เช่นอย่างศพอาจารย์ใช่ อยู่ที่เขาฉลากก็เหมือนกัน อันนั้นจะมานิมนต์มาวันเดียวกันอีกแหละ ทางนี้ก็รับนิมนต์เขาแล้วจะไปเทศน์ที่วัดถ้ำผาปู่ อาจารย์สีทน อันนั้นก็วันเดียวกัน ตกลงก็อย่างนี้แหละ รับนิมนต์ทางนี้ก่อน.. เลยตกลงก็ต้องไปทางนี้ ถ้ารับทางโน้นก่อน.. ทางโน้นต้องมีความหมายทันที อันนี้ปัดทันทีเลย คือก่อนหลังนั่นละ

นี่พูดถึงเรื่องอาจารย์มี โอ๋ย.. เราดีใจนะ พูดถึงเรื่องอาจารย์มี สูงเนิน เราเคยไปพักแล้วนี่ ไปพักกับท่านนั่นแหละ ถ้าไม่มีท่านอาจจะไม่ได้พักก็ได้ เพราะท่านเป็นแม่เหล็กใหญ่อยู่นั้น พอทราบว่าท่านอยู่ที่นั่นก็บึ่งเข้าหาเลย พักกับท่าน นั่นอย่างนั้นแล้ว โอ๊ย.. ท่านเมตตามากจริง ๆ กับหลวงตานะ รู้สึกเมตตามากจริง ๆ เหมือนหนึ่งว่าเป็นกรณีพิเศษนะ ..."

ลัก...ยิ้ม
22-07-2020, 13:53
สนิทใจได้ด้วย “ธรรม”

สายสัมพันธ์ในธรรมของท่านมิได้จำกัดไว้ในหมู่บรรพชิตเท่านั้น มีฆราวาสจำนวนมากที่สนใจประพฤติปฏิบัติธรรม และสำหรับผู้ที่มีความมุ่งมั่นจริงจัง ไม่ว่าเพศภูมิใด ย่อมประจักษ์ผลแห่งธรรมภายในใจขึ้นเป็นลำดับ ๆ ไป นักภาวนาหญิงหรือชายนั้นจะให้ผลแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร องค์หลวงตาเคยให้เหตุผลว่า
“การปฏิบัติไม่มีเพศ เรื่องมรรคผลนิพพานแล้วไม่มีเพศ เหมือนกับกิเลสไม่มีเพศ มีได้ด้วยกันทั้งนั้น ความโลภก็มีได้ทั้งหญิงทั้งชาย ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา มีได้ด้วยกัน

มัชฌิมาปฏิปทา จึงมีได้ทั้งหญิงทั้งชาย เป็นเครื่องแก้กิเลสทั้งหลาย แก้ได้ด้วยกันทั้งนั้น ด้วยอำนาจความสามารถของตนแล้ว.. มีทางหลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน”

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อโอกาสอำนวย ท่านจะไปเยี่ยมเยียนถึงสำนักปฏิบัติธรรมเหล่านั้น เช่น สำนักชีบ้านห้วยทรายของคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงของอุบาสิกากี นานายน ในตอนนี้จะขอกล่าวถึง คราวที่ท่านแวะเยียมสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ดังนี้

องค์ท่านเคยได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงของคุณยาย ก. เขาสวนหลวงมานานแล้ว ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบควรแก่การเคารพกราบไหว้ แต่มีข้อน่าประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เขาว่ากันว่าคุณยายเป็นคนไม่เอาพระ คือไม่ต้อนรับพระ สิ่งนี้เองทำให้องค์หลวงตาอยากรู้ว่าจะเป็นจริงหรือ ? หรือว่ามีเหตุผลด้วยประการใดกันแน่ เพราะหากเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ๆ แล้ว ลักษณะเช่นนี้ไม่น่าจะมีทางเป็นได้ องค์ท่านจึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อข่าวลือนี้นัก

เหตุนี้เอง เมื่อจังหวะมาถึงในคราวองค์ท่านไปกรุงเทพฯ เพื่อดูแลอาการอาพาธของท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเองที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อได้โอกาสอันควร องค์ท่านจึงเข้าไปเยี่ยมเยียนคุณยายถึงสำนักฯ เขาสวนหลวงด้วยตนเองเลยทีเดียว

พอเข้าในสำนักเท่านั้น ไม่นานก็มีเสียงระฆังเคาะดังกังวานขึ้น เรียกให้บรรดาสตรีนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พากันหลั่งไหลมากราบองค์ท่าน และให้การปฏิสันถารต้อนรับเป็นอย่างดี โดยมีคุณยาย ก. เป็นหัวหน้าอยู่ ณ ที่นั้นด้วย

หลังจากสนทนาพูดคุยกันได้ไม่นาน คุณยายกราบอาราธนาขอนิมนต์.. ให้ท่านแสดงธรรมแก่เหล่าอุบาสิกานักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย องค์หลวงตาจึงเมตตาแสดงธรรมโดยเน้นเรื่องจิตภาวนาเป็นสำคัญ

ทราบว่า หลังการแสดงธรรมจบสิ้นลง คุณยายถึงกับประกาศขึ้นด้วยความอาจหาญในธรรมปฏิบัติของคุณยายเองแก่บรรดาลูกศิษย์ในสำนักว่า
“ธรรมที่ท่านอาจารย์ได้แสดงให้พวกเราฟังนั้น สามารถยึดถือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไม่มีผิดพลาดแม้เปอร์เซ็นต์เดียว”

เหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นที่ประจักษ์แก่องค์ท่านเอง ดังคำกล่าวที่ท่านเล่าให้ผู้มากราบเยี่ยมคณะหนึ่งฟังว่า
“ที่ว่าคุณยายไม่ต้อนรับพระนั้น หมายถึงพระประเภทโกโรโกโส ไม่ได้เรื่องได้ราวต่างหาก

ถ้าเป็นพระเคารพธรรม เคารพวินัย คุณยายท่านก็ไม่เป็น ... จะว่าอะไร แม้แต่เราเองก็ไม่ต้อนรับพระประเภทนั้นเหมือนกัน”

ลัก...ยิ้ม
22-07-2020, 14:07
ขบขัน พระป่าเข้าเมือง

เหตุการณ์ระหว่างองค์หลวงตากับท่านพ่อลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งท่านเคยเล่าแบบขบขันเต็มที่ถึงความเชยของตัวท่านเอง ดังนี้
“... มันขบขัน ตอนที่ท่านป่วยมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารเรือบุคคโล (ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) นั่นละ..เราไปเยี่ยมท่าน แล้วมันก็มีออดอยู่อันหนึ่ง (ออดสำหรับคนป่วยไว้เรียกแพทย์ พยาบาลในยามฉุกเฉิน) เขาเอาวางไว้นี่ เราก็คุย ก็มันวางอยู่ข้างเรานี่ เราก็ไปนั่งคุย คุยกับท่าน เห็นออดมันวางอยู่ เราไม่รู้ว่ามันเป็นออดนี่นะ

มันขบขันดีนะ ขบขันตรงนี้ละ ตรงพระป่ามันเซ่อ ไม่รู้เรื่องอะไร ไปเห็นออดมันวางอยู่ มันติดอยู่ข้างนี่.. เราก็จับมา เห็นมันอ่อน ๆ เราก็เลยบีบดูเสีย เราไม่รู้ว่ามันเป็นออดนี่นะ พอบีบทางนี้ มันก็ไปกวนพวกหมอและพยาบาลนี่นะ พวกที่อยู่ข้างล่างก็เลย โฮ้.. เลยแตกฮือขึ้นเลย รุมขึ้นมา

‘เอ๊ะ ท่านพ่อเป็นอะไร ? เป็นอะไร ?’

ท่านพ่อว่า ‘จะเป็นอะไร แล้วเป็นอะไรกันเนี่ย ?’

‘ก็ได้ยินเสียงออดทางนู้น’

ท่านพ่อว่า ‘ออดที่ไหนน่ะ ?’

ท่านก็ไม่รู้ว่าเรากด มันขบขันตรงนี้ละ ไอ้เราเองยังไม่รู้นะ เขามาทางนู้น เราก็ยังไม่รู้ว่าอันนี้คือออด เสียงออดมันไปกวนของเขา ก็เราบีบเล่นธรรมดา อ๊อด ๆ นั่นซี เขาก็รุมขึ้นมา

‘เอ๊..ท่านพ่อเป็นอะไร ? ท่านพ่อเป็นอะไร ?’ เขามาแบบตาลีตาลานนะ มาแบบรีบด่วนจริง ๆ ... ก็มันนุ่ม ๆ เรากดเล่น

เราถามเขาว่า ‘หือ ? อันนี้เหรอ ? ที่ว่าได้ยินเสียงออด นี่อันนี้เหรอ ?’

‘อันนี้แหละ’

‘โอ๋..แล้วกันละ เราบีบเล่นอยู่นี่’

ท่านพ่อว่า ‘หุ้ย.. ทำไม่เข้าเรื่อง’

ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านพูดเท่านั้นแหละ ‘ทำไม่เข้าเรื่อง’ เขาก็แตกฮือลงไปละนะ พอรู้เรื่องว่าเพราะอันนี้เอง เราว่า ‘โอ๊ย..นี่กระผมแหละ..บีบเล่น นึกว่าอะไร..ไม่รู้เรื่อง’

ท่านพ่อว่า ‘ดื้อไม่เข้าเรื่อง’ ... พอเขารู้เรื่องแล้วต่างคนต่างหัวเราะกันลั่น

ลัก...ยิ้ม
22-07-2020, 14:48
ปาฏิหาริย์หลวงปู่ฝั้น

“... ท่านอาจารย์ฝั้นนะ กับเราจะมีอะไรเป็นพิเศษ รู้สึกว่าท่านจะเมตตาเป็นพิเศษเลย เจดีย์ของท่าน ๑๒ ล้าน เราหาให้ทุกบาททุกสตางค์นะ เจดีย์วัดอุดมสมพร ๑๒ ล้าน เราหาให้สร้างให้หมดทุกบาททุกสตางค์ เป็นเงิน ๑๒ ล้าน เหลือเงินอยู่ ๘ แสนเลยมอบให้วัดอุดมสมพร เพราะวัดนี้เป็นวัดที่รับเป็นรับตาย เศษเหลืออะไรก็ต้องมอบให้วัดนี้ เราเป็นคนสั่งเอง คณะกรรมการว่าอย่างไร ยอมรับหมด ๘ แสนเลย มอบให้ ๑๒ ล้านสร้างเจดีย์ เศษเหลือเงินอยู่แปดแสนเลยให้ท่าน

สร้างเจดีย์ท่าน ๓ ปีไม่ขึ้น.. เราปัดแล้วตั้งแต่ต้น เพราะเราทำพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น เสร็จเรียบร้อยแล้ว.. นั่นเป็นหน้าที่ของเราทำเอง ไม่มีใครมาบังคับ เราทำด้วยความสมัครใจ พอเสร็จแล้ว
ที่นี้จะทำเจดีย์หลวงปู่ฝั้น.. เราก็บอกให้พระทำ เราไม่ทำแล้ว ฟาดอยู่ ๓ ปีไม่ขึ้น ประชุมกันที่ไรเบาลง ๆ คณะกรรมการมาประชุมห้าคนหมดหวัง ทีนี้ก็ท่านสุวัจน์เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ฝั้น.. เลยตกลงกันกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจจังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งพ่อค้า ประชาชน ประชุมกันเลยนะ แล้วจะทำอย่างไรกันนี่

คือเราปัดแล้ว เราไม่เอาแล้ว ไปหาที่ไหนก็ไม่ได้แล้วก็วกกลับมา.. เลยตัดสินใจกัน ถ้าไม่ใช่ท่านอาจารย์มหาบัวไม่ขึ้น ใครก็ไม่ขึ้น ๆ ก็ยกทัพมาหาเรา เต็มกุฏิแน่นหมดเลย พ่อค้าประชาชน ผู้มีเกียรติทั้งหลาย มีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจเป็นหัวหน้าไป ไปเล่าเรื่องสุด ๆ สิ้น ๆ ให้ฟัง
‘เมื่อวานหรือวันไหนมีคณะกรรมการมาประชุมเพียง ๕ คน ปีที่ ๓ เรียกว่าหมดหวังแล้ว จึงได้มาประชุมกัน มาหาท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ท่านอาจารย์ไม่สำเร็จ’

บอกอย่างนี้เลยนะ จึงได้พากันมา ‘มาขอความหวังจากท่านอาจารย์ เจดีย์ของท่านอาจารย์ฝั้นจะขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านอาจารย์องค์เดียว’

ดูซิ..มันมาหายอ ผลสุดท้ายเราก็พิจารณามันก็ไม่ขึ้นจริง ๆ เพราะ ๓ ปีแล้ว ตั้งคณะกรรมการคนไหนขึ้นเป็นประธานก็ล้มเหลว ๆ ถูกเตะถูกยันกัน วิ่งมาหาแต่เรา เราปัด ๆ เราไม่เอา พอถึง ๓ ปีล่วงไปแล้ว เห็นจะไปไม่ไหวเราก็เลยรับให้ พอรับเท่านั้นก็ขึ้นปึ๊บเลย เรียบร้อยมา

ท่านอาจารย์ฝั้นกับเรารู้สึกท่านเมตตาเรามากอยู่นะ อย่างลึก ๆ ลับ ๆ ไม่มีใครทราบได้ ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเสียอยู่ที่วัดอุดมสมพร เราอยู่วัดดงสีชมพู เราจะกลับมาอุดรฯ วันนั้นกลับไม่ได้เลย นี่ละเรื่องธรรมแสดงปาฏิหาริย์ก็เหมือนกับกิเลสแสดง ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสเรียกว่าปลิ้นปล้อน หลอกลวง คดโกง.. อันนี้อุบายวิธีการของท่านอาจารย์ฝั้นก็เหมือนกัน

ตอนเช้าเราสั่งท่านทุย กลางคืนฝนตกทั้งคืน น้ำท่วมหมด รถเข้าออกไม่ได้เลย ทำอย่างไร ท่านทุยก็วิ่งไปเลย..ไปหาพวกญาติโยมบ้านนาขาม ท่านไปสั่งเองนะ มันพลิกตาลปัตรอย่างนี้ละ.. เรื่องธรรม ท่านทุยไปสั่งเขาพลิกปั๊บไปแบบนี้ ฟาดเสียจนตอนเที่ยงรถยังไม่มา พลิกไปพลิกมา อุบายวิธีการของท่านอาจารย์ฝั้นบังคับเอาไว้ มันมีอยู่อันหนึ่งว่าท่านเอียนมาฉันจังหันที่ตังล้งอุดร มาทราบข่าวท่านอาจารย์ฝั้นเสียที่สกลนครเมื่อคืนนี้ นั่นละ รอข่าวเพราะอย่างนั้นเรื่องอะไรจึงยุ่งไปหมด ไปไม่ได้นะ..นี่ละปาฏิหาริย์ เราได้ร้องโก้กเลย มันจะมีเรื่องนะวันนี้ ขึ้นสะเทือนใจสามหนแล้ว เราบอก
‘ทำไมคนที่เราสั่งเสียมอบความไว้วางใจให้คือท่านทุย ท่านทุยเป็นหนึ่งเรื่องความจริงความจัง และรับจากเราด้วยความเคารพ ทำไมจึงไปเหลวไหล ท่านไปสั่งอย่างนี้เขาพลิกอย่างนี้ สั่งอย่างนี้เขาพลิกอย่างนี้ ไม่ใช่ท่านทุยพลิกนะ เขาพลิกเอง อำนาจของท่านอาจารย์ฝั้น’

คือจะยังไม่ให้เราไป ให้เรารออยู่นั้น จนกระทั่งท่านเอียนไปบ่าย ๒ โมงกว่าแล้ว ท่านจึงไปจากอุดรฯ บ้านตังล้ง จึงเอาเรื่องท่านอาจารย์ฝั้นเสียไปบอกเรา พอบอกเราแล้ว รถมาแล้วติดเครื่องไม่ติด มันอัศจรรย์ไหมล่ะ กับฤทธิ์ของท่านอาจารย์ฝั้น เครื่องมันไม่ติดนะ

‘มันเป็นอย่างไรรถคันนี้ ก็มันดี ๆ อยู่ แต่นี้เป็นอย่างไรไม่ทราบ’
(พอ) ติดเครื่องปุ๊บ ๆ ๆ ก็ดับพุบ ๆ สักเดี๋ยวท่านเอียนโผล่หน้ามา มาจากอุดรฯ พอมาถึงปั๊บเรากำลังนั่งอยู่บนรถ ติดเครื่องเท่าไรรถก็ไม่ติด พอท่านเอียนวิ่งมาหาเรา เราก็จ้องคอยดู พอมาปั๊บบอกว่า ‘ท่านอาจารย์ฝั้นเสียแล้วแต่เมื่อคืนนี้ ๖ โมง ๕๐ นาที’

เราเลยไม่ลืม ‘เออ..เอาล่ะ..ได้ความ (ไปวัดหลวงปู่ฝั้นเลย)’ ทีนี้รถไม่ต้องติดเครื่อง เหยียบคันเร่งไปได้เลย ก็ผึงเลย นั้นเห็นไหม..ปาฏิหาริย์ของท่าน (เวลา) ไม่ยอมให้ไป เดี๋ยวติดนั้นขัดนี้อยู่อย่างนั้นละ นี่ละอำนาจเมตตาธรรมของท่านอาจารย์ฝั้นเกี่ยวกับเรา (เพื่อ) จะให้เราไปนู้น ท่านไม่ยอมให้ไปอุดรฯ พอทราบข่าวเท่านั้นละ (ทีนี้) ไม่มีเครื่องติดเลย เหยียบคันเร่งไปได้เลย ผึงไปวัดอุดมสมพร พระเณรก็รอกันอยู่หมด รอเราคนเดียว เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงได้กลับมาอุดรฯ นี่ละเป็นอย่างนั้นละ ท่านอาจารย์ฝั้น อำนาจจิตของท่านรุนแรงมากนะ...”

ลัก...ยิ้ม
22-07-2020, 21:31
มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก่อตั้งขึ้นเนื่องด้วยคำปรารภของพระ ซึ่งเดินทางมาร่วมวันฉลองครบรอบวันเกิดของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ กล่าวคือ การเดินทางของพระธุดงคกรรมฐานจากภาคต่าง ๆ เข้ากรุงเทพฯ เพื่อกิจธุระหรืออาพาธ มักมีอุปสรรคเกี่ยวกับการหาที่พักยาก โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรที่อ่อนอาวุโส และยังมิได้เป็นที่รู้จักของประชาชน มักจะหาที่พักไม่ค่อยได้ เมื่อคุณวรรณดี ตั้งตรงจิตร์ ซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ไปร่วมงานครั้งนี้ จึงมีความคิดสร้างเรือนพักพระภิกษุสามเณรในบริเวณที่ดินของตนเอง นอกจากนี้ยังอุทิศที่ดินและสิ่งก่อสร้างให้เป็นกุศลทั้งสิ้น การก่อตั้งเป็นมูลนิธิบริหารและดำเนินการในรูปคณะกรรมการ เพื่อให้กิจการอันเป็นกุศลนี้มั่นคงและยั่งยืนตลอดไป

สำหรับชื่อของมูลนิธินั้นได้นำมนัสการกราบเรียน ปรึกษากับองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน และขออนุญาตใช้ชื่อ “มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์พระธุดงคกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ที่จาริกมาเป็นครั้งคราว หรือมีความจำเป็นจะต้องมาพักรักษาตัวยามเจ็บป่วย ซึ่งองค์หลวงตาเห็นชอบและอนุญาต

ลัก...ยิ้ม
22-07-2020, 21:53
นวดมาเป็นแสน.. ไม่มีใครเหมือนหลวงตา

องค์หลวงตาเล่าเหตุการณ์คราวหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ยังมีชีวิตอยู่ คุณหมอนิมนต์องค์หลวงตาเข้ารับการนวดรักษา ดังนี้
“... แขนเราเป็นมาถึง ๒ ครั้งแล้วนะ แขนข้างขวานี่เป็นมา ๒ ครั้งแล้ว .. ครั้งแรกปี ๒๓ เรายังหนุ่มอยู่ แขนนี้ก็จวนจะใช้ไม่ได้ จะยกไม่ได้แล้ว ปวดก็ปวด ขัดปวด แล้วจะยกไม่ได้ ตึงหมด มันจะใช้ไม่ได้แล้ว จะยกไม่ขึ้น อาจารย์หมออวย คุณหญิงส่งศรี (เกตุสิงห์) ได้ติดต่อกับหมอทางโน้น .. แล้วก็มานิมนต์ให้มารักษาทางนี้ เขามาหาเรา เราก็เลยไปทดลองดู เขาว่าดีจริงๆ หมอนี่ เป็นหมอมีชื่อเสียงมากในกรุงเทพฯ ว่างั้น..เราจึงต้องสละเวลาไป

แกนวดเส้นเรา ไม่ได้รับเข้าในบัญชี ร้องจ๊าก ๆ แจ๊ก ๆ นี้นะ (ชี้ไปทางกลุ่มลูกศิษย์ที่มาฟังธรรมประจำ) อันนี้แตะไม่ได้ ร้องจ๊าก ๆ เราไม่ได้อยู่ในบัญชีนี้ เป็นซุงทั้งท่อนเลย เอ้า..ว่างั้นเลย เชื่อหมอแล้วนะ คือเขามาจับดู ๆ ทุกอย่าง เขาว่าเป็นเพราะเส้นล้วน ๆ ไม่มีโรคแทรก ‘นวดให้ถึงฐานมันแล้วจะหาย หรือไม่หาย’ .. ‘หาย’ เขาว่างั้น

‘เอ้า ! ถ้างั้นมอบให้เลย แขนจะขาดก็ให้ขาดไปเลย เราเชื่อหมอ เมื่อนวดเสร็จแล้วหมอจะเอาแขนเรามาต่อกันเอง เอาเลย..ใส่เต็มเหนี่ยวเลย’

นี่ละที่ว่า อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่นั้น ให้อาจารย์หมออวยได้ดูเสียบ้าง เรื่องโลกกับธรรมต่างกันอย่างไรบ้าง อาจารย์หมออวยก็เป็นหมอขนาดศาสตราจารย์ แล้วมาดูเรื่องพุทธศาสตร์ต่างกันยังไง ซัดเลยเต็มเหนี่ยว เอาให้เต็มเหนี่ยวนะเราบอก ปล่อยเลยเทียว ซัดเอาเสียเต็มเหนี่ยวเลย เราเป็นซุงทั้งท่อนเลย

ขึ้นหมดทั้งตัวเลย แต่เขาไม่ได้ขึ้นใช้เท้าเหมือนท่านสมบูรณ์ เขานวดด้วยมือ แต่มือเขานี้เป็นเหล็กเลย แข็งขนาดนั้น เราก็ปล่อยเลยเทียว พอนวดเสร็จลงมา ๒ ชั่วโมงกว่านวดครั้งแรก นวด ๓ หนนะ ครั้งแรก ๒ ชั่วโมงกว่า ครั้งที่สอง ๒ ชั่วโมงหรือขาดเล็กน้อย ครั้งที่สาม ชั่วโมงครึ่ง

นวดครั้งแรก ๒ ชั่วโมงกว่าเล็กน้อย นับเป็นครั้งที่เจ็บมากที่สุด เขาก็เอาเต็มเหนี่ยวเลย พอนวดเสร็จลงมาถึง ‘ขอกราบท่านอาจารย์อีกหนนึง’

‘กราบเพราะอะไรว่าซิ’

เขาก็พูดอย่างเต็มเหนี่ยวเลย ‘ผมนวดเส้นมานี้เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คน ผมไม่เคยเห็นรายใดเลยที่จะเป็นอย่างท่านอาจารย์ เห็นแต่ร้องจ๊าก ๆ อันนี้เฉย ผมไม่เคยเห็นเลย เพราะผมนวดเต็มเหนี่ยวผม ผมเพิ่งมาเจอวันนี้ รายเดียวเท่านั้น มีท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านั้น ผมผ่านมานี้เพิ่งเห็นองค์เดียวนี้ รายเดียวนี้เลยที่เฉยเลย..ไม่มีอะไร นอกนั้นเหมือนเสือถูกปืน ร้องจี๊กจ๊าก ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นวดแรงอะไรเลย ผมจึงขอกราบอีกทีหนึ่ง’

อู๊ย.. มือหมอเหมือนกับเหล็กนะ แข็งไหมเหล็ก..? ความหมายน่ะ คือขอกราบอีกครั้ง..ว่างั้นนะ เขาไม่เคยเห็น แล้วเว้นอีก ๓ วันมานวดอีก เว้นไปอีก ๒ วันนวดอีก นวด ๓ หนหายเลย วันแรกเป็นวันรุนแรงมาก.. นวด ถ้าธรรมดามันอดมันทนไม่ได้แหละ แต่นี้ฟังซิ..เหมือนขอนซุง เอ้า..แขนจะขาดให้ขาดไปเราเชื่อหมอแล้ว แขนขาดไปเวลาหมอนวดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอจะเอาแขนมาต่อกันเอง นู่น..เห็นไหม เรียกว่าปล่อยเต็มที่ ซัดเต็มเหนี่ยวเลย ขึ้นทั้งตัวเลยนะ แกขึ้นทั้งตัวเลย ซัดเต็มเหนี่ยว โห้ย.. นิ้วของหมอนวดนี่ไม่ใช่เล่น ไม่ได้เหมือนนิ้วมือใครนะ แข็งแกร่ง ฟาดลงไปนี้ โถ.. อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่นั้น หายเลยนะ... นี่วาระแรกนะไปนวดเส้น

ทีนี้ก็มาพักที่ ๒ อีก ที่ไปเกิดอุบัติเหตุ (ทางรถยนต์เมื่อต้นปี ๒๕๔๑) นี้อีกละ อันนี้ไม่ค่อยรุนแรงที่ท่านสมบูรณ์นวดนี่นะ ไม่รุนแรงเหมือนนู้น อันนู้นเอาจริง ๆ เพราะว่าแขนจะยกไม่ขึ้น เขาบอกว่าเป็นเพราะเส้นล้วนๆ เราก็ปล่อยให้เลยทีเดียว อันนี้มันไปเกิดอุบัติเหตุมา ให้หมอนวดก็ท่านสมบูรณ์นวดให้ ถ้าไม่ใช่ท่านสมบูรณ์แล้วเราจะเป็นอัมพาตเลยนะ เพราะมันรุนแรงมาก จะเป็นอัมพาตเลย แต่นี่ก็ปล่อยให้อย่างนั้น แต่เราไม่ได้บอกว่าปล่อยอย่างที่หมอณรงค์ศักดิ์ ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น ฝั่งธนฯ นะ นั่นเราปล่อยเลย

อันนี้เราไม่ได้บอกว่าปล่อย ธรรมดา แต่ก็ไม่เคยร้อง อุ๊ ๆ อี๊ ๆ เหมือนบ้าทั้งหลาย..ว่างั้นเถอะ เราพูดจริง ๆ เราอยากเห็นบ้าก็ลองไปให้เขานวดเส้นให้ซิ ร้องจ๊ากเลย นั่นบ้าขึ้นแล้ว อันนี้เฉยเลย เพราะฉะนั้น ท่านสมบูรณ์จึงได้เอาไปสอนท่านเพ็ง วัดถ้ำกลองเพลล่ะซิ ทางนั้นพอกดลงไปร้องจ๊าก ๆ เลย นานเข้า ๆ ก็ ‘โหย.. ทำอะไรก็ไว้ลายหลวงปู่บ้านตาดบ้างซิ เอะอะก็ร้องจ๊าก ๆ ท่านไม่เห็นร้องอะไร ท่านเฉยอยู่ตลอด’

‘เหอ’ (ลูกศิษย์พากันหัวเราะ) อาจารย์เพ็งถาม ‘ท่านไม่ได้ร้องเหรอ’ ‘โหย.. ท่านไม่ได้ร้อง ท่านเฉยเลย’

‘เหอ.. ท่านถอดวิญญาณไปไว้ที่ไหนหนอ ท่านถอดเอาดวงวิญญาณไปไว้ที่ไหนนา’ (องค์หลวงตาหัวเราะ)

‘ก็ไม่ทราบไว้ที่ไหน แต่ว่าท่านไม่เคยร้อง ท่านเฉย’

สำหรับท่านสมบูรณ์นี้ ถ้าธรรมดาเขาเรียกว่าขั้นรุนแรงนู่นน่ะ แต่ถ้าเทียบกับครั้งนั้น ไม่รุนแรงแต่ถึงยังไงก็ตาม ท่านก็บอกว่า
‘ไม่มี ท่านนวดมานี้ ที่จะเฉยอย่างนี้ไม่เคยมี ก็มีแต่หลวงปู่เท่านั้น’...”

ลัก...ยิ้ม
23-07-2020, 11:10
อาพาธหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล

มีตัวอย่างหนึ่ง คัดจากหนังสือประวัติและพระธรรมเทศนาพระครูศาสนูปกรณ์ (หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล) แสดงถึงน้ำใจขององค์หลวงตาที่เป็นธุระคอยให้คำปรึกษา และเอื้อเฟื้อต่อหมู่เพื่อนที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา นั่นคือ หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล แห่งวัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ดังนี้
“... หลวงปู่บุญจันทร์ เป็นศิษย์ท่านอาจารย์มั่นอีกองค์หนึ่ง มีพรรษาน้อยกว่าหลวงตามหาบัวเพียง ๒ พรรษาเท่านั้น แต่ท่านให้ความเคารพนับถือในธรรมแก่กันและกันเป็นอย่างสูง ซึ่งนับวันจะหาดูได้ยากยิ่งในปัจจุบันนี้

ย่างเข้าเดือนที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อท่านอาจารย์สิงห์ทองได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่บุญจันทร์ป่วยหนัก จนฉันข้าวแค่วันละช้อน ๒ ช้อนเท่านั้น ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงเดินทางจากวัดมาเยี่ยมหลวงปู่

พอขึ้นไปถึงหลวงปู่ที่กุฏิ ท่านก็พูดเป็นเชิงเย้าเล่นตามนิสัยขี้เล่นของท่านว่า “เอ้า ! .. ป่วยมานอนตายอยู่ที่นี้ทำไม ?”
หลวงปู่ตอบ “ไม่นอนตายยังไง คนเดินไม่ได้”

“ทำไมไม่ไปหาหมอ ?”

คราวนี้หลวงปู่เงียบ .. ไม่ตอบว่าอะไร ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงกราบขอนิมนต์หลวงปู่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพื่อให้หมอตรวจรักษา

หลวงปู่ว่า “ถ้าจะให้ไปหาหมอ ให้ไปกราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์บ้านตาดเสียก่อน ว่าท่านจะเห็นสมควรอย่างไร ? จึงค่อยปฏิบัติตาม”

ได้โอกาสอย่างนั้น จึงให้โยมพาไปวัดป่าบ้านตาดในวันนั้นเลยทีเดียว เพื่อกราบเรียนท่านพระอาจารย์มหาบัว เกี่ยวกับเรื่องป่วยของหลวงปู่ให้ท่านฟัง ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงสั่งว่า ‘ให้ไปบอกท่านบุญจันทร์ว่า เดี๋ยวนี้หมอเขามี ไปให้หมอเขาตรวจดูก่อน ถ้าเขารักษาไม่ได้.. ค่อยกลับมาคอยวันตายที่วัด’

แล้วท่านพระอาจารย์มหาบัวก็พาท่านอาจารย์สิงห์ทองเข้ามาในเมืองอุดรฯ เพื่อจัดแจงตั๋วโดยสารไปกรุงเทพฯ ให้หลวงปู่ได้เดินทางไปหาหมอที่ รพ.ศิริราช พร้อมกับสั่งให้ท่านอาจารย์สิงห์ทองเป็นผู้ติดตามไปด้วย ... เมื่อรับคำสั่งจากท่านพระอาจารย์มหาบัวแล้ว ก็กลับมากราบเรียนให้หลวงปู่บุญจันทร์ทราบในเย็นวันนั้น.. เมื่อหลวงปู่ได้ทราบคำสั่งของครูบาอาจารย์ก็ยอมปฏิบัติตาม ...

เมื่อเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ก็มีคุณหมอเจริญ วัฒนสุชาติ มาคอยรับอยู่ก่อนแล้ว เพราะท่านพระอาจารย์มหาบัวเมตตาเป็นธุระทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถรับและเรื่องหมอที่ รพ.ศิริราช .. พอรถถึงโรงพยาบาล.. ก็มี ศ.นพ.อุดม โปษะกฤษณะ และ ศ.นพ.โรจน์ สุวรรณสุทธิ มาคอยรับหลวงปู่เช่นกัน

ในตอนนั้น ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงได้ยื่นจดหมายให้อาจารย์หมอทั้งสอง ซึ่งเป็นจดหมายของท่านพระอาจารย์มหาบัว.. ฝากพระอาจารย์บุญจันทร์ที่อาพาธให้อยู่ในความดูแลของอาจารย์หมอทั้งสองด้วย หลังจากหมอตรวจดูแล้ว จึงทราบว่าหลวงปู่ป่วยเป็นโรควัณโรคในกระดูก (ทำให้กระดูกข้อสะโพกผุ) หมอบอกว่า
“โรคนี้เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ ถ้ามาหาหมอช้ากว่านี้อีก ๒ เดือน กระดูกจะขาด.. ต้องตัดขาขวาทิ้ง”

หลังการผ่าตัด หมอให้พักฟื้นอยู่จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อเห็นว่าหลวงปู่แข็งแรงขึ้น และแผลผ่าตัดก็หายแล้ว หมอจึงอนุญาตให้หลวงปู่กลับได้ .. ท่านพระอาจารย์มหาบัวทราบว่า หมออนุญาตให้ออกโรงพยาบาลได้ จึงไปเยี่ยมหลวงปู่ในห้องผู้ป่วยและปรารภว่า
“เราเป็นผู้ส่งท่านบุญจันทร์มารักษา และได้มอบให้หมอเป็นผู้ดูแลรักษา เราคอยฟังข่าวจากหมอเป็นระยะ ๆ อยู่ เราจึงไม่มารบกวน เมื่อทราบว่าอาการป่วยดีขึ้น และหมออนุญาตให้กลับได้แล้ว เราจึงมาเยี่ยมดู เราเป็นผู้ส่งท่านมา เราจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด ทั้งค่าห้อง ค่ายา ให้ทางโรงพยาบาลคิดรวบรวมดูซิ เป็นราคาเท่าไร อาจารย์จะเป็นผู้จ่ายให้”

คุณหมอกราบเรียนว่า “สำหรับค่าหมอที่รักษา .. อาจารย์หมอนทีขอยกถวายทั้งหมด ไม่คิดค่ารักษา สำหรับค่าห้อง ค่าอาหาร ... ที่เข้ารับการรักษาเป็นเวลา ๖ เดือน ทางโรงพยาบาล ขอยกถวายทั้งหมด”

การที่หลวงปู่อาพาธในครั้งนี้ นับว่าเป็นการอาพาธครั้งใหญ่หลวง เกือบจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ว่าได้ แต่ด้วยบารมีแห่งเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ คือท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านได้ช่วยเหลือทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก.. ท่านได้ช่วยเรื่องการติดต่อฝากฝังกับหมอให้ดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทั้งการเดินทางไปและกลับ และค่ารักษาพยาบาล .. ภายใน คือเรื่องธรรม ที่หลวงปู่มีความเคารพในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ยอมไปรักษาตามคำสั่งของท่าน

หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังหลังจากกลับมาถึงวัดแล้วว่า “การป่วยครั้งนี้ เราได้เตรียมปล่อยวางทั้งหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ครูอาจารย์บ้านตาดสั่งแล้ว เราไม่ไปเลย”

หลวงปู่ได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ศิษย์ได้พึ่งพาอาศัยต่อมาอีกเป็นเวลาถึง ๒๓ ปี จึงได้ละขันธ์ไป ...”

ลัก...ยิ้ม
23-07-2020, 11:20
ธรรมสากัจฉาตามกาล


การสนทนาธรรมภาคปฏิบัติขององค์หลวงตานั้น ท่านมีโอกาสพบปะพูดคุยกับครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ หลายองค์ในวาระต่าง ๆ กัน ครูบาอาจารย์บางท่านมีพรรษามากกว่า บางท่านก็น้อยกว่า บางท่านเป็นลูกศิษย์ หรือบางท่านเป็นถึงครูบาอาจารย์ขององค์หลวงตา สำหรับหลักเกณฑ์ในการสนทนาธรรมนั้น องค์หลวงตาท่านถือปฏิบัติ ดังนี้


สนทนาธรรม เป็นธรรม เพื่อธรรม

แนวทางในการสนทนาธรรม.. ภาคปฏิบัติของพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมควรมีข้อปฏิบัติอย่างไรนั้น องค์หลวงตาเมตตากล่าวไว้ ดังนี้
“... การสนทนาธรรมะกันในทางภาคปฏิบัติ ผู้นั้นปฏิบัติอย่างนั้น ๆ มีความรู้ความเห็นอย่างนั้น ๆ ... ความรู้ความเห็นอันเป็นผลเกิดแปลก ๆ ต่าง ๆ กันมา มันเป็นคติเครื่องพยุงจิตใจซึ่งกันและกันอยู่มาก ... ก็เพราะท่านมุ่งเพื่อยึดคติจากธรรมของกันและกันจริง ๆ ไม่มีทิฐิมานะเข้าแฝงเลย แม้ต่างคนต่างยังมีกิเลสด้วยกัน .. ท่านสนทนาตามภูมิจิตภูมิธรรมที่ปรากฏขึ้นจากจิตภาวนาซึ่งตนบำเพ็ญมา .. และสงสัยก็ศึกษาไต่ถามกันเป็นระยะไป ท่านที่เข้าใจก็อธิบายให้ฟังตามลำดับแห่งความสงสัย จนอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ

การสนทนาธรรมที่เกิดจากความรู้ภายใน แม้ผู้มาเล่าและเรียนถามปัญหาจะมีพรรษาอ่อนกว่ากันอยู่มาก แต่การเล่าและการไต่ถามนั้นแฝงอยู่ด้วยความอาจหาญ มั่นใจในความรู้และปัญหาของตน ไม่พรั่นพรึงหวั่นไหวหรือประหม่ากลัวท่าน จะซักหรือทักท้วงแต่อย่างใด พูดไปและถามไปตามความรู้สึกของตน และยอมรับกันโดยทางเหตุผลของแต่ละฝ่าย

ถ้าตอนใดเหตุผลยังลงกันไม่ได้ ก็ซักซ้อมกันอยู่ในจุดนั้นจนเป็นที่เข้าใจ แล้วค่อยผ่านไปโดยไม่มีฝ่ายใดสงวนศักดิ์ศรีดีชั่วของตน อันเป็นลักษณะโลกแฝงธรรมให้นอกเหนือจากความหวัง เข้าใจต่อกัน ... ต่างมีความสนใจเอื้อเฟื้อต่อธรรมของกันโดยสม่ำเสมอแต่ต้นจนอวสานแห่งปัญหาธรรม ไม่แสดงความอิดหนาระอาใจ ไม่แสดงความดูถูกเหยียดหยามด้วยภูมิจิตภูมิธรรมของกันและกัน ต่างสนทนากันด้วยความบริสุทธิ์ใจ หวังความรู้และความอนุเคราะห์จากกันจริง ๆ ..

ในวงกรรมฐานรู้กัน องค์ไหนภูมิจิตภูมิธรรมอยู่ชั้นใดภูมิใด นี้รู้กันในวงกรรมฐาน ท่านพูดกันเรียกว่าธรรมะในครอบครัว ท่านพูดกันในวงปฏิบัติเงียบ ๆ รู้กันเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้นละ ท่านไม่ฟู่ฟ่า ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่โอ้ไม่อวด...”

ลัก...ยิ้ม
23-07-2020, 22:20
เคล็ดลับ.. ภูมิจิตภูมิธรรม

ธรรมของพระพุทธเจ้าที่สถิตอยู่ในปุถุชน หรือพระอริยบุคคลแต่ละชั้นแต่ละภูมิ เป็นได้ทั้งธรรมจริงและธรรมปลอม ดังนี้
“... พระสงฆ์มีหลายประเภทตามขั้นตามภูมิ ตั้งแต่กัลยาณปุถุชนขึ้นไปหาเสขบุคคล อเสขบุคคล คำว่าเสขบุคคล คือผู้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว แต่ยังต้องศึกษาเพื่อธรรมขั้นสูงขึ้นไป ตั้งแต่ขั้นพระโสดาถึงขั้นอรหัตมรรค ส่วนอเสขบุคคลนั้น หมายถึงผู้สิ้นสงสัย ผู้ได้บรรลุถึงพระอรหัตผลล้วน ๆ แล้ว รวมแล้วก็เรียกว่า พระอริยเจ้า...

ถึงขั้นโสดาบันแล้ว ก็เป็น อกุปปธรรม คือไม่กำเริบกลายมาเป็นตัวเป็นตนอีก สกิทาฯ อนาคาฯ เป็นอกุปปธรรมเป็นขั้น ๆ ตามขั้นของตน คือไม่เสื่อมลงมาขั้นต่ำ ยิ่งอรหัตผลแล้วก็ผ่านไปเลย หมดปัญหา กุปปธัมโม อกุปปธัมโม นั่น ...

ธรรมของพระพุทธเจ้าตามธรรมชาติแล้วเป็นของบริสุทธิ์ แต่เมื่อมาสถิตอยู่ในปุถุชนก็กลายเป็น “ธรรมปลอม” เมื่อสิงสถิตอยู่ในพระอริยบุคคลจึงเป็น “ธรรมจริงธรรมแท้”

คำว่า “อริยบุคคล” มีหลายขั้น คือ “พระโสดาบัน” เป็นอริยบุคคลชั้นต้น ชั้นสูงขึ้นไปก็มี “พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์” เป็นสี่

ธรรมในชั้นพระโสดาบันก็เป็นธรรมจริง ธรรมบริสุทธิ์สำหรับพระโสดาบัน แต่ธรรมชั้น “สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์” เหล่านี้ พระโสดาบันยังต้องปลอมอยู่ภายในใจ แม้จะจดจำได้ รู้แนวทางที่ปฏิบัติอยู่อย่างเต็มใจก็ตาม ก็ยังปลอมทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ อยู่นั่นเอง

“พระสกิทาคามี” ก็ยังปลอมอยู่ในขั้น “พระอนาคามี” และ “พระอรหันต์”

“พระอนาคามี” ก็ยังปลอมอยู่ในขั้น “อรหัตธรรม”
จนกว่าจะบรรลุถึงขั้น “อรหัตภูมิ” แล้วนั่นแล ธรรมทุกขั้นจึงจะบริบูรณ์สมบูรณ์เต็มเปี่ยมในจิตใจ ไม่มีปลอมเลย...”

เทศนาตอนหนึ่งขององค์หลวงตา กล่าวถึงการตอบปัญหาธรรมด้านจิตภาวนาของพระอริยบุคคลแต่ละขั้นละภูมิ ดังนี้
“...ในหนังสือที่มีอยู่ในธรรมบทที่กล่าวว่า กัลยาณชนไม่สามารถตอบปัญหาของพระโสดาบันได้ พระโสดาบันไม่สามารถตอบปัญหาของพระสกิทาคามีได้ พระสกิทาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอนาคามีได้ พระอนาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอรหันต์ได้

แม้พระอรหันต์ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรได้ ถึงพระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าได้ คือความสามารถต่างกัน พอถึงขั้นอรหันต์ก็พอแล้ว

ส่วนที่ว่าพระสารีบุตร โมคคัลลาน์ไม่สามารถตอบปัญหาพระพุทธเจ้าได้นั้น หมายถึงความกว้าง แคบ ลึก ตื้นแห่งความรู้นั้นต่างกัน นอกจากความบริสุทธิ์ไปแล้วยังมีความลึกตื้นต่างกัน กว้างแคบต่างกัน ภูมิของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย ภูมิของพระสารีบุตร โมคคัลลาน์เป็นสาวกวิสัย .. จึงต่างกัน

สามัญวิสัย กับ อริยวิสัย ก็ผิดกัน แต่ละขั้นละภูมิ มีเคล็บลับประจำขั้นภูมินั้น ๆ ถามเคล็ดปั๊บก็ติด ดังพระเรียนจบพระไตรปิฎกครั้งพุทธกาล แต่ลืมเนื้อลืมตัวดูถูกเหยียดหยามพระปฏิบัติ หาว่านั่งหลับหูหลับตา.. ไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่โลก เลยจะเอาปัญหามาถามพระปฏิบัติท่าน

พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงเสด็จมาท่ามกลางสงฆ์ที่กำลังสันนิบาตนั้นว่า พวกนี้กำลังจะมาทำลายลูกศิษย์เราตถาคต แล้วมันจะไปตกนรกกันทั้งหมด ท่านไม่ได้กลัวพระปฏิบัติจะเสีย ท่านว่าพวกนี้จะตกนรกกันทั้งหมด

พอเสด็จถึง พระองค์ทรงตั้งปัญหาขึ้นปั๊บ ถามพวกใบลานเปล่าตอบไม่ได้ รับสั่งถามพระปฏิบัติปั๊บ ตอบได้ผึง ยกปัญหาขึ้นปั๊บ ถามพวกนั้นนิ่งเหมือนคนตายแล้ว ตอบไม่ได้ วกกลับมาถามพระปฏิบัติ.. ตอบได้ปุ๊บ ๆ ตลอด จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมขนาบเสียอย่างเต็มที่ว่า
“พวกเธอนั้นน่ะ เหมือนกับลูกจ้างเลี้ยงโคให้เขา ได้ค่าจ้างเพียงรายวัน ๆ เท่านั้น ไม่เหมือนลูกของเรา หมายถึงพระปฏิบัติซึ่งเป็นเจ้าของโค โคก็เป็นสมบัติของตัว น้ำนมโคก็ได้ดื่มเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความต้องการ

พูดเรื่องธรรมก็เป็นเจ้าของธรรม เป็นธรรมสมบัติ เป็นมหาสมบัติ พวกเธอนี้เพียงแต่เรียนและจดจำมาเฉย ๆ ธรรมสมบัติอันแท้จริงยังไม่เคยได้ดื่มบ้างเลย ส่วนลูกของเราตถาคตทั้งได้ปฏิบัติ ทั้งได้ดื่มธรรมรสโดยสมบูรณ์ จึงไม่ควรประมาท’

ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งถามเป็นปัญหาทางด้านจิต พอมาถามพวกปฏิบัติตอบได้ผึง ๆ เลย...”

ลัก...ยิ้ม
23-07-2020, 22:37
การสนทนาธรรมระหว่างองค์หลวงตากับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ


ขอน้อมนำเป็นกรณีศึกษาเพียงบางส่วนเท่านั้น ดังนี้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี

ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้องค์หลวงตาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๗ ท่านเจ้าคุณมักมาดึงตัวองค์หลวงตาไปเทศน์ในวัดโพธิสมภรณ์ หรือในสถานที่ต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมาก การแสดงธรรมไม่ว่างานใด.. ท่านจะมอบจตุปัจจัยไทยทานทั้งหลายถวายท่านเจ้าคุณทั้งหมดทุกครั้งไป จนท่านกล่าวว่าท่านเจ้าคุณคงจะเห็นเป็นที่ระลึกระหว่างท่านเจ้าคุณกับตัวท่านเองว่า “หลวงตาเป็นลูกกตัญญู" ” จริง ๆ จนกระทั่งท่านเจ้าคุณต้องค้านเอาบ้างว่า “อ้าว ! เธอเอามาให้แต่เรา แล้วเธอจะไปเอาอะไร”

ที่ทำเช่นนี้ องค์หลวงตาท่านเคยให้เหตุผล และกล่าวถึงความรู้สึกในใจที่มีต่อท่านเจ้าคุณว่า
“เราถวายให้ท่านตลอด เราไม่เคยแตะ.. เทศน์ที่ไหน ๆ ไม่ว่าปัจจัยเงินทอง ข้าวของอะไรมอบถวายหมด เราไม่เอาแม้บาทหนึ่ง คือเราตอบแทนคุณท่าน ถึงอย่างนั้นก็ไม่เท่าคุณของท่านที่เป็นพ่อของเรา เราเป็นพระทั้งองค์ได้เพราะท่านเป็นอุปัชฌาย์ นั่น.. หลักใหญ่อยู่ตรงนั้นนะ”

องค์ท่านเล่าถึงความผูกพัน และความสนิทสนมระหว่างท่านกับท่านเจ้าคุณ จนมีเหตุให้ต้องไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดังนี้
“...แต่ก่อนท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ ท่านยังมีชีวิตอยู่ที่วัดโพธิฯ เราต้องไปพักค้างที่วัดโพธิฯ บ่อย ๆ เราไม่ไปท่านก็ให้พระมาตามเอาเราไปที่วัดโพธิฯ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ตอนนั้น ที่ท่านเสียอายุท่านก็ ๗๕ ท่านเป็นชั้นธรรม ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่นี้พระกรรมฐานมาพักวัดโพธิฯ เรื่อย ๆ เพราะท่านเมตตาติดต่อเกี่ยวข้องกับกรรมฐานเรื่อยมา ท่านเองก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น สำคัญตรงนี้นะ

วัดไหน ๆ มาค้างที่นั่นแหละ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นอย่างนี้ อยู่สกลนครก็เข้ามาค้าง ท่านอาจารย์ขาว ท่านอาจารย์อ่อน เราไปอยู่เรื่อย แล้วยิ่งมีงานในวัดโพธิฯ ด้วยแล้ว กรรมฐานยิ่งมาหมดเลย ท่านเอามาจนหมด ท่านมีความเคารพเลื่อมใส และสนใจปฏิบัติด้านธรรมกรรมฐานตลอดมา นั่งปั๊บลงนี้ไม่มีเรื่องโลกเลย ตั้งแต่ขณะนั่งจนกระทั่งลุกจากท่านมีแต่เรื่องธรรมล้วน ๆ ธรรมก็เป็นธรรมปฏิบัติด้วย เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น พูดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม

ลัก...ยิ้ม
23-07-2020, 23:32
ท่านเป็นเจ้าคณะภาค แต่เวลาไปนั้นท่านไม่สนใจ พูดแต่เรื่องธรรมปฏิบัติล้วน ๆ ท่านก็บอกตรง ๆ เลยว่า ‘ที่เป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี้ เป็นเพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน เป็นผู้ใหญ่ครอบไปหมด ไม่ให้มีใครมารังแก’

ท่านว่าอย่างนี้ แต่ธรรมดาก็ไม่มีใครรังแกแหละ แต่ท่านก็พูดของท่านอย่างนั้น นั่งปั๊บนี่พูดตั้งแต่เรื่องภาคปฏิบัติ เรื่องป่านั้นเขานี้.. ท่านเคยไปเที่ยวมาพอแล้วนี่นะ ภาวนาดีไม่ดีพระกรรมฐานสู้ท่านไม่ได้ ไปบิณฑบาตปั๊บมานี่ วางบาตรแล้วขึ้นไปไหว้พระ แล้วนั่งภาวนาก่อน จนกระทั่งได้เวลาแล้วลงมาฉัน นี่ปรกติของท่าน ฉันแล้วถ้าไม่มีแขกมีคน ท่านก็ลงไปทำวัตรเช้า พอกลับมาท่านก็ภาวนา แล้วก็พักตอนกลางวัน

พอตอนบ่าย ท่านก็เดินจงกรมอยู่ชั้นบน รับแขกตอนประมาณบ่ายโมงท่านถึงจะลงมา นี่เป็นกิจวัตรของท่านประจำ พอตกกลางคืนก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีธุระรับแขกรับคน ๒ ทุ่ม ท่านขึ้นแล้ว.. ขึ้นไปไหว้พระ นั่งภาวนา เดินจงกรม เราไปได้ยินเสียงกึ๊ก ๆ อยู่ข้างบน ท่านเดินจงกรม นี้เป็นประจำ

ท่านบอกว่า ‘เรานอนน้อยมาก เวลานอกนั้นเป็นเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งนั้น’

ฟังซินะ..พระกรรมฐานยังสู้ท่านไม่ได้ ท่านสนใจจริง ๆ ภาคปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ได้ไปดู เขาเอาศพของท่าน.. เปิดโกศออกดูทุกสัดทุกส่วนขาวทีเดียว เขาบอกว่านี่เป็นองค์ที่สี่ที่ไม่มีกลิ่น คือเอาธูปเอาอะไรมา เวลาเปิดออกแล้วไม่มีกลิ่นเลย ธรรมดา ๆ พวกมาจากสำนักพระราชวังเขามาจัดงานศพท่าน เขาบอกว่านี่เป็นองค์ที่สี่ ที่ตายแล้วไม่เน่าไม่เหม็น เป็นปรกติอยู่อย่างนี้ นี่เป็นองค์ที่สี่

ท่านสนใจธรรมปฏิบัติตลอดเลยนะ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี หลวงปู่มั่นแหละเล่าให้ฟังว่า ‘เณรจูมนี่ ต่อไปมันจะได้เป็นผู้ใหญ่นะ ดูหูมันกาง ๆ ต่อไปจะได้เป็นผู้ใหญ่ เอาไปเรียนหนังสือเสียก่อน เลยไปฝากที่วัดเทพศิรินทราวาส สอบแล้วสอบเล่า ตกแล้วตกเล่า เรียกกันว่า มหาจูมหนังสือเน่า สอบเปรียญไม่ได้สักที’

จากนั้นก็มาเป็นพระครู แล้วมาเป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี่ตลอดมา ท่านสนใจกับครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน แต่ก่อนไม่มีรถมีราท่านเดินเอานะ บ้านผือท่านก็ไป หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหนท่านจะไป หนองผือท่านไปปีละ ๒ ครั้ง ออกพรรษาแล้วหนึ่ง และเดือนพฤษภาคมหนึ่ง ท่านเดินเข้าไป ท่านสนใจมาก

ไปนั่งปั๊บนี่ไม่มีเรื่องโลกเรื่องการปกครอง เรื่องปริยัติไม่มีเลย .. มีแต่ปฏิบัติ ภาคปฏิบัติล้วน ๆ พูดเรื่องจิตภาวนา ท่านหนักแน่นมากทีเดียวทางด้านธรรมปฏิบัติ หนักแน่นจนวาระสุดท้าย ว่าเป็นพระปริยัติก็มีแต่ชื่อเฉย ๆ ท่านบอกว่าท่านเป็นเจ้าคณะภาคไว้นี่ เพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน ไม่ให้มารังแก ก็ไม่มีใครรังแกแหละ ท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านดูแล มีเรื่องอะไรปั๊บท่านเข้าถึงเลย เป็นอย่างนั้น

วัดโพธิฯ นี้กรรมฐานเข้าไปค้างบ่อย ๆ แหละ ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ จากนั้นแล้วก็ไม่ได้ไป เราเองก็ไม่ได้ไป ไปก็ไปชั่วคราวไม่ได้ค้าง แต่ก่อนพระกรรมฐานผู้ใหญ่ ๆ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน ใครต่อใครผู้ใหญ่ ๆ แหละ..มา ยิ่งมีงานแล้วเอามาหมด..กรรมฐาน มาท่านก็บอก นี่ใครจะกราบจะไหว้ก็มากราบมาไหว้เสีย พระเหล่านี้เป็นพระสำคัญทั้งนั้น นาน ๆ จะได้พบท่านทีหนึ่ง มีงานทีหนึ่งพระกรรมฐานท่านเอามาหมด แล้วประชาชนเขาก็ได้ทำบุญให้ทานกับท่าน ท่านบอกตรง ๆ เลย
‘เอ้า.. ให้พากันทำบุญให้ทานเสียนะ พบพระอย่างนี้มันพบยากนะ’

ท่านพูดอย่างนี้แหละ เพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่ แล้วพระกรรมฐานมาค้างบ่อย ท่านไปเอามาจนได้ ไม่มีงานก็ไปเอามา อย่างเรานี้ไปเรื่อย บางทีท่านมาเอาเอง ท่านมาเองเลย

คิดดูซิ ถ่ายรูปที่ต้นโพธิ์ทางทิศเหนือของวัด นั่นละ..นั่งเป็นวงกลมถ่ายรูปเจ็ดแปดองค์หรือไง เราผอม ๆ นั่นก็เราป่วยนะ เรากำลังป่วยอยู่นี้ท่านมาเอาเอง เราบอก ‘กำลังป่วยเป็นไข้’

‘เออ.. ไม่เป็นไรแหละ ไปนู่นมันหายเอง’ แล้วเอาไปเลย เราจึงผอม ๆ พระกรรมฐานมาอยู่ที่นั่นเรื่อย ๆ แล้วชุ่มเย็นไปหมดนะ ทางภาคอีสานวงกรรมฐาน ท่านไปเที่ยวซอกแซกทุกแห่ง วัดไหนสำคัญ ๆ ท่านไปหมด ท่านชอบวงกรรมฐานมากที่สุด ท่านปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นประจำเลย ไปนั่งปั๊บนี่มีแต่เรื่องอรรถ เรื่องธรรม เรื่องภาคปฏบัติ ไม่มีเรื่องการปกคงปกครอง ปริยัติอะไรไม่มีเลย เรื่องโลก เรื่องสงสารไม่มี มีแต่ภาคปฏิบัติล้วน ๆ

นั่งนี่สองสามชั่วโมงกว่าจะได้ลุก โธ่.. เราเจ็บเอวเกือบตาย..นั่นละ ไปทีไร.. ฟังท่านนั่งคุยธรรมะ ท่านก็เพลินของท่าน เราดูอาการก็รู้ ท่านเพลินในธรรมทั้งหลาย ท่านพูดด้วยความเพลินในธรรม เมื่อเห็นครูบาอาจารย์มาหาท่าน ฝ่ายกรรมฐานมามาก ๆ ท่านยิ่งรื่นเริงมากนะ ดูอาการของท่านยิ้มแย้มแจ่มใสทุกอย่าง ท่านพอใจกับวงกรรมฐานมากทีเดียว ท่านเอาแต่องค์สำคัญ ๆ แหละมา แต่ท่านเป็นนิสัยอันหนึ่ง ท่านพูดสนุกสบายธรรมดา ท่านเรียกอีตานั่นอีตานี่ ท่านไม่เรียกธรรมดา ท่านพูดสบายในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์

ส่วนมากท่านเป็นอุปัชฌาย์ทั้งนั้นแหละ ว่าอีตานั่นอีตานี่ ท่านว่างั้น ท่านว่าสบายไปเลย เราผู้ฟังขบขันจะตาย แต่ท่านพูดแบบสบายไปเลย พูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ที่สนิทสนมกัน ท่านพูดแบบสบายไปเลย อีตานั้นอีตานี่ ไม่ได้ยินท่านว่า ‘อีตา’ ตั้งแต่เราหนึ่ง กับท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ขาว สามองค์ .. เราคอยฟัง อีตานั่นอีตานี่ไม่เคยออก ท่านฝั้น ท่านขาว มหาบัว นอกนั้นอีตาทั้งนั้นแหละ ท่านเรียกอีตาติดปากท่านเป็นนิสัย

ลัก...ยิ้ม
24-07-2020, 12:23
พอมาพูดตอนนี้แล้วท่านขึ้นเทศน์ ตามธรรมดาดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิฯ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่า นิพพานเป็นอนัตตา สะดุดกึ๊กเลยใจเรา...”

คราวหนึ่งท่านเจ้าคุณได้แสดงธรรมที่ศาลาวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” ทำให้ท่านรู้สึกสะดุดใจในทันที และคิดว่าจะต้องแอบหาโอกาสเข้ากราบเรียนถวายท่านเจ้าคุณในทันที เพราะเป็นประเด็นหัวข้อธรรมที่สำคัญมาก เมื่อท่านเจ้าคุณลงจากธรรมาสน์ ท่านจึงรีบเดินตามในทันที ก็พอดีท่านเจ้าคุณก็ชวนขึ้นด้วยเช่นกันว่า “ไป.. บัวไปด้วยกัน” ท่านเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า

“... (ครั้งนั้น) ท่านขึ้นเทศน์ตามธรรมดา ดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิสมภรณ์ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่า ‘นิพพานเป็นอนัตตตา’ ตอนนั้นเราสะดุดใจกึ๊กเลย พอไปถึงก็ซัดกันเลยระหว่างพ่อกับลูก

‘ต้องขอประทานโอกาสพระเดชพระคุณ ทำไมพระเดชพระคุณจึงเทศน์ว่า นิพพานเป็นอนัตตา เพราะนิพพานบังคับไม่ได้ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา จะเป็นอนัตตาอย่างไร อนัตตาเป็นทางเดินของพระนิพพานต่างหาก จะมาเรียกพระนิพพานว่าเป็นอนัตตาได้อย่างไร ?

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน นิพพานจะมาเป็นอนัตตาอย่างไร ถ้านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิ ถ้าอันนี้ยังไม่สมบูรณ์ยังไม่ถึงพระนิพพาน อันนี้สมบูรณ์แบบแล้ว..สลัดปั๊วะ ถึงนิพพานเลย’

ท่านนิ่งเลยนะ นี่ละ..อุปัชฌาย์กับลูกศิษย์สนทนากัน เราก็เด็ดด้วย..เพราะผิดมาก ท่านนิ่งเงียบ คือผิดต่อความจริงอย่างมากมาย เพราะฉะนั้น ถึงเบิกออกทันที...”

เกี่ยวกับความเห็นในหัวข้อธรรมเดียวกันนี้ ในเวลาต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๔๒ ข้อธรรมในประเด็นนี้ เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในวงชาวพุทธ ฝ่ายปริยัติและองค์หลวงตาได้กลายมาเป็นผู้ไขปัญหาให้สังคมได้เข้าใจอย่างชัดเจน ด้วยความชัดเจนทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติว่า “นิพพานมิใช่อัตตา มิใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน” ดังนี้

“... พระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน ... ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ... มรรค ๔ นั้น ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อาหัตผล นี่เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ... คือพ้นจาก ๘ ภูมินี้ไปแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา นิพพานคือ นิพพาน

อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้ ผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงพระนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจารณาไปกับเรื่องทุกขัง เรื่องอนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นพระนิพพาน...

เช่นเดียวกับเราเดินก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นหนึ่ง สองขั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดของบันได.. ก้าวเข้าสู่บ้านของเรา เมื่อก้าวเข้าสู่บ้านแล้ว บันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้าน จะให้บ้านกับบันไดมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ นี่คำว่าไตรลักษณ์ก็ดี อัตตาก็ดี นี่คือบันไดก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อพ้นจากนี้ ปล่อยนี้หมดแล้ว... จิตก็ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน เหมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่บ้านของเรา หมดปัญหากับบันได บันไดจึงจะกลายเป็นบ้านไปไม่ได้ บ้านจะมากลายเป็นบันไดไปไม่ได้ .. บ้านต้องเป็นบ้าน บันไดต้องเป็นบันได...
นิพพาน ไม่มีลักษณะ ถ้ามีรูปร่างขึ้นมาก็ต้องมีลักษณะ พระนิพพานไม่มีรูปมีร่าง เป็นนามธรรม แต่เป็นนามธรรมที่พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านตั้งชื่อขึ้นว่านิพพาน นี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ธรรมธาตุหลัก ธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่ง อันนี้ตั้งชื่อขึ้นมา เมื่อตั้งชื่อขึ้นมานี้ก็แยกแยะไปขัดแย้งกันไปทั่ว ...

เราพูดย้ำตอนท้ายที่ว่า นิพพาน เป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ เราต้องดูหัวใจของผู้ปฏิบัติ ผู้นี้ละ..เป็นผู้ตัดสินเอง จิตที่จะเป็นวิมุตติบริสุทธิ์เต็มที่นั่น จิตต้องปล่อย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ทั้งหมดเสียก่อน.. อันนี้เป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ จิตต้องปล่อยนี้หมด สลัดนี้ออกแล้วจิตก็เป็นนิพพาน เพราะฉะนั้น คำว่านิพพานกับอัตตากับอนัตตา จึงเข้ากันไม่ได้ในภาคปฏิบัติ เรายันได้เลยในหัวใจหลวงตาบัว สามแดนโลกธาตุนี้ หลวงตาบัวไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น.. เพราะเป็นสมมุติ จิตดวงนี้เป็นวิมุตติเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเข้ามาเอื้อมถึง เราจึงเอาจิตที่ไม่มีอะไรมาเอื้อมถึงนี้มาพิจารณา แยกออกไปให้สมมุติทั้งหลายได้พิจารณาได้ฟังกันบ้าง นี่คือผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนา เห็นประจักษ์อยู่ที่ใจนี้...”

ความเคารพที่องค์หลวงตามีต่อพระอุปัชฌาย์ของท่านนั้น นอกจากจะแสดงออกด้วยการไปแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ ตามแต่พระอุปัชฌาย์จะบอกกล่าวมาแล้ว ท่านยังตอบแทนพระคุณด้วยการจัดแพทย์ชั้นหนึ่งจากโรงพยาบาลศิริราชมาถวายการรักษาอีกด้วย ซึ่งก็คือ ศ.นพ. อวย เกตุสิงห์ และ ศ.พญ. ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์ นั่นเอง เนื่องจากองค์หลวงตาเป็นพระอาจารย์กรรมฐานองค์แรกของ นพ. อวย เกตุสิงห์ ท่านจึงได้ขอร้องให้คุณหมอทั้งสองรับภาระดูแลพระอุปัชฌาย์ ซึ่งอาพาธมาช้านานที่จังหวัดอุดรธานี จากนั้นคุณหมอจึงได้นำท่านเจ้าคุณมารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชต่อไป โดยปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าคุณทุกวันมิได้ขาด จนกระทั่งหายและกลับจังหวัดอุดรธานีได้

และด้วยเหตุนี้ ภายหลังท่านเจ้าคุณจึงได้แนะนำให้ ม.ร.ว. ส่งศรี เดินทางไปวัดป่าบ้านตาด โดยเมตตาอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ เพราะสมัยนั้นการเดินทางยังยากลำบากอยู่มาก หลังจากนั้นคุณหมอทั้งสองจึงรวบรวมคณะได้ ๗ คน และนัดหมายกับท่านเจ้าคุณเดินทางไปวัดป่าบ้านตาดตามความประสงค์ต่อไป การทัวร์วัดป่าบ้านตาดในคร้งนี้ ถือเป็นการทัวร์ธรรมะวัดกรรมฐานคณะแรกเลยทีเดียวก็ว่าได้

ลัก...ยิ้ม
28-07-2020, 14:08
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

คราวหนึ่งองค์หลวงตามีโอกาสเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้เข้ากราบหลวงปู่แหวน ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่อีกองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเช่นกัน จากการสนทนาในครั้งนั้น ทำให้ท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนด้วยความเคารพบูชาว่า
“... ท่านอาจารย์แหวนองค์หนึ่ง สามารถแก้ได้ตลอดทั่วถึงทางด้านจิตใจ เดี๋ยวนี้ท่านก็ไม่เอาเรื่องกับใครแล้ว ประการหนึ่งก็ไม่มีใครไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านขี้เกียจยุ่งกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ท่านก็อยู่สบาย ๆ

ลองมีผู้มีภูมิจิตภูมิธรรม มีความรู้ความเห็นต่าง ๆ ทางด้านปฏิบัติไปเล่าให้ท่านฟังดูซิ ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงท่านจะไม่ขึ้นปึ๋งปั๋ง ๆ เพราะท่านอยู่กับธรรมเท่านั้น ถึงไม่ติดธรรมท่านก็อยู่กับธรรม เป็นเครื่องรื่นเริงระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองตัวอยู่ ...

พอเข้าไปมีพระอุปัฎฐากท่านอยู่องค์เดียว เราเข้าถึงปุ๊บในห้องท่านเลยละ พวกนั้นให้เขารออยู่ข้างนอกเต็ม ไปก็เอาเลย เพราะจะเข้าหาท่านทีไรจะพูดธรรมะ โดยเฉพาะไม่มีเวลาคนรุม ๆ คราวนี้เลยได้อุบายใหม่ มาก็ตกลงกับเขาเรียบร้อย ให้อาตมาเข้าไปหาท่านเสียก่อนนะ เข้าไปคุยกับท่านพอสมควรแล้วจะออกมาแล้วให้สัญญาณ ได้เข้าเฝ้าท่านแหละวันนี้ ..พอใจ..พอว่าเขาก็แตกฮือกลับเลย เราก็เข้า..เข้าก็ฟัดกันเลย เราลืมเมื่อไร ก็มันเตรียมพร้อมใส่กันอยู่แล้ว

ขึ้นเบื้องต้นปัญหาปุ๊บเข้าไปเลยทีเดียว ปัญหานี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ ถ้าไม่รู้ตอบไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาภาคปฏิบัติภายในจิตใจโดยเฉพาะ ค้นหาคัมภีร์ไหนก็ค้นเถอะน่ะ คัมภีร์ใหญ่คือหัวใจเท่านั้น.. ที่จะได้ธรรมเหล่านี้ออกมา พอเข้าไปหาท่านใส่ปั๊บทีเดียวละ

เอาแต่ปัญหาจุดสำคัญ ๆ นะ คือนี้จะบอกในตัว ท่านตอบนี้แล้วก็แสดงว่าท่านรู้ไว้แล้ว ท่านก็จะรู้ทันทีว่ารู้แล้ว ไม่รู้จะถามปัญหาอย่างนี้ไม่ได้ มันบอกในตัวเสร็จเลย เบื้องต้นปั๊บเข้าไป ๑๐ นาที ท่านก็ผางออกมา ๑๐ นาที เข้าใจหมด

พอท่านหยุดหายใจใส่เข้าอีกปั๊บ เพราะเราหายสงสัยแล้วนี่ คราวนี้เอาใหญ่เลย ถึงรากใหญ่ของวัฏจักร คราวนี้ ๔๕ นาที เหมือนว่าท่านไม่ได้หายใจเลยนะ ธรรมถึงใจท่านเรียกว่าถ้าเป็นน้ำก็น้ำถังใหญ่ ๆ ที่สะอาดสุดยอด ไม่ควรจะนำไปใช้สอยชะล้างสิ่งใดเลย.. น้ำถังใหญ่ท่าน พอเข้าไป เรามันพระขี้ดื้อ ไปก็ไขก๊อกเลย เปิดก๊อกไว้เลย น้ำก็พังออกมา ซัดกันใหญ่ ประโยคที่สองนี่ ๔๕ นาที ประโยคแรก ๑๐ นาที โอ้.. ตัวแดงหมดนะ ไม่เคยมีใครจะเปิดหรือไขก๊อกนี้เลย หมายถึงว่าน้ำอรรถน้ำธรรมที่สะอาดสุดยอดของท่าน เก็บไว้อย่างนั้นตลอด ใครไปก็เหรียญหลวงปู่ เหรียญเราสู้หลวงปู่ ขอท่านก็เอา ๆ ถังใหญ่ไม่มีใครไปแตะ เราไปใส่ปั๊วะเลยเชียว ปั๊วะท่านก็ผางออกมาเลย ครั้งแรก ๑๐ นาที เราเข้าใจแล้ว พอท่านหยุดหายใจ.. เราก็ปั๊บเข้าอีกเลย คราวนี้โอ๋ยไปใหญ่เลย .. ตัวแดง

ท่านไม่เคยมีใครไปถามอย่างนั้น เปรี้ยง ๆ ๆ .. ออกเต็มเหนี่ยวเลย พอใจ ท่านพอใจเต็มที่ เราก็พอใจเต็มที่ พอเสร็จแล้ว ท่านใส่อย่างท้าทายเลย ‘เอ้า ! ที่พูดมาทั้งหมดนี่น่ะ ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องตรงไหน เอ้า..ท่านมหาค้านมา’

‘กระผมไม่ค้าน กระผมหาธรรมประเภทนี้แหละ’

ฟังเสียงหัวเราะ ฮ่า ๆ ๆ ‘เออ.. ท่านองค์นั้นล่ะ ได้คุยกันแล้วยัง อาจารย์องค์นั้นล่ะ ๆ ระบุชื่อ ๆ เลยนะ ธรรมะประเภทนี้น่ะ ได้คุยกับอาจารย์องค์นั้น ๆ แล้วยัง’

ความหมายว่าอย่างนั้น คือธรรมประเภทนี้น่ะ ความหมายว่าอย่างนั้น เราก็กราบเรียนท่านพอประมาณ ๆ ให้พอเหมาะพอดี ตัวท่านแดงหมดเลยละ คือไม่มีใครไปถามธรรมะประเภทนี้ ท่านก็เก็บไว้ในถังใหญ่อย่างนั้นละะ ใครไปก็ขอเหรียญเราสู้ เหรียญอะไรต่ออะไร

ที่ถามที่ตอบกันนี้มีแต่แก่นธรรมออกจากภาคปฏิบัติ เราจะไปหาในคัมภีร์ไม่เจอ ต้องหาในคัมภีร์ใหญ่ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของคัมภีร์ใหญ่ พระสาวกอรหันต์เป็นเจ้าของคัมภีร์ใหญ่.. ปั๊บลงตรงนั้นละได้ความออกมา เอากันวันนั้นก็เอากันอย่างนั้นละ นั่นแหละ..ที่ว่าเพชรน้ำหนึ่ง

เมื่อเข้าถึงกันลงถึงขีดเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านอาจารย์องค์นี้ได้ลงถึงขีดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ใครจะไปหาเรื่องหาราวว่า ท่านเป็นสังฆปาราชิก.. เฉย ไม่สนใจ หลักใหญ่เข้าถึงกันแล้ว ...”

ลัก...ยิ้ม
29-07-2020, 15:19
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

หลวงปู่ขาวเป็นลูกศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง ในสมัยหนุ่มท่านมีนิสัยอาจหาญ ทรหดอดทน และจริงจังในการบำเพ็ญเพียรมาก ท่านเที่ยวธุดงค์ไปทั้งทางภาคอีสานและเหนือ กระทั่งได้กำลังครั้งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ องค์หลวงตาเป็นผู้เรียบเรียงประวัติของหลวงปู่ขาวขึ้น เพราะมีโอกาสได้ซักถามพูดคุยข้ออรรถธรรมที่ลึกซึ้งกับท่าน คราวหนึ่งของการเทศน์อบรมพระภายในวัด ท่านพูดถึงการสนทนากันในครั้งนั้นว่า
“... ครูบาอาจารย์แต่ก่อนอย่างหลวงปู่ขาว พระเณรก็ไปเต็มอยู่นั่น หลวงปู่ฝั้น.. เต็มอยู่นั่น หลวงปู่อ่อน.. เหล่านี้เต็มทั้งนั้นละ พอองค์นั้นล่วงไป องค์นี้ล่วงไปไหลเข้ามา ๆ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหลวงปู่ขาว ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านฉลาด ไปในงานอำเภอหนองบัวลำภู ท่านสั่งเลยว่าให้เราไปงานนี้ แล้วหลวงปู่ขาวก็ไปในงานนี้ คือท่านจะให้เราสององค์พบกัน พอไปท่านก็มาบอกเลยว่าวันนี้ไม่ต้องลงไปงาน ให้อยู่สบาย ๆ ท่านสั่งไว้หมด กระต๊อบหลวงปู่ขาวอยู่นั้น เป็นร้านอยู่นั้น ร้านเราอยู่ที่นี่ติดกัน

พอถึงเวลาแล้วเขาก็ลงไปงาน เราไม่ไป.. ท่านอนุญาตให้เป็นพิเศษเลย มหาบัวกับท่านขาวไม่ต้องไปจะได้พูดได้คุยธรรมะกัน เพราะท่านทราบอยู่แล้วว่าสององค์นี้เตรียมพร้อมที่จะคุยธรรมะกัน ไปก็เอาจริง ๆ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่สุดว่างั้นเถอะ ... นี่เคยพูดกันตั้งแต่นู้น นี่ก็ไม่เคยพูดกันอีกนะ ตั้งแต่ไปอำเภอหนองบัวลำภู คุยกันสนุกสองต่อสอง ... พอสองทุ่มไปในงาน เราก็เข้าไปหาท่านอาจารย์ขาวคุยธรรมะกับท่าน ไล่แต่ ก.ไก่ ก.กา ตลอดเลยการภาวนาของเรา จนกระทั่งสุดขีด .. ๒ ทุ่มเริ่มจนกระทั่ง ๖ ทุ่ม .. ท่านให้เราพูด เราก็พูดให้ฟัง ท่านเป็นผู้ฟังนี่นะ เริ่มแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยทุกกิทุกกีเป็นยังไง ๆ ว่าไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งหมดความสามารถของเราแล้ว ... เราเล่าคนเดียวตั้ง ๓ ชั่วโมง ลำดับลำดาของจิตเล่าถวายท่านหมด .. เราก็มอบถวายท่านเลย บอกว่า
‘ท่านอาจารย์อย่าผูกเป็นความเกรงใจกระผม ถ้าติดหรือขัดข้องตรงไหน มันไม่ถูกตรงไหน ขอให้ท่านอาจารย์บอกกันอย่างตรง ๆ เอา.. ฟาดให้เต็มที่เลย

ผมหมดความสามารถเท่านี้แหละ ถ้าติดก็ติดอย่างตายใจเลย แบบไม่สนใจจะแก้เลย ขนาดนั้นแหละ หลงก็หลงขนาดนั้นแหละ’

แต่ท่านก็ไม่พูดมากนะ เราก็ไม่ลืม นี่สรุปเอาเลยนี่นะ คุยกันมาตั้งแต่ ๒ ทุ่มจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่ม เราเดินมาถึง ๕ ทุ่ม เรื่องของเรา เรื่องของท่านมีเพียงชั่วโมงเดียว ไม่ถึงชั่วโมง

พอพูดของเราเสร็จลงแล้ว มอบลงแล้วไม่ให้ท่านผูกเป็นความเกรงอกเกรงใจไว้ว่าผมเป็นมหาเปรียญ หรือได้เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มาเป็นยังไง ไม่เป็นปัญหาที่จะมากีดกัน ท่านอาจารย์ไม่ให้พูดด้วยความสะดวกไม่ได้ ไม่ต้องเอาเป็นอุปสรรค ท่านอาจารย์ก็พูดขึ้นเลยว่า
‘ยอมรับทุกอย่างล่ะ สิ่งที่มันสุดวิสัยผมแล้วไปแล้ว’

‘ผมก็พูดกราบเรียนได้เพียงเท่านี้ แค่นี้ล่ะ ถ้าหากว่าติดก็ติดแบบเจ้าของ ไม่มีความสนใจจะแก้ ไม่รู้ขนาดนั้นล่ะ ไม่รู้จนกระทั่งมันไปถึงไหนนั่นแหละ ติด ติดอยู่ตรงไหนนั่นแหละ ไม่รู้เลย ถ้าว่านอนตาย ก็นอนซะเลยเหตุเลยผลโน่นแหละ’

จากนั้นท่านก็พูดมา ท่านพูดเอาเฉพาะเคล็ดนะ
‘เออ.. การปฏิบัติทางจิตนี้ มันก็มี ๒ เคล็ดที่สำคัญ กามราคะ ๑ อวิชชา ๑ ท่านมหาก็ผ่านไปหมดแล้วโดยชอบธรรม ท่านมหาก็พูดมาหมดแล้ว ไม่มีที่ข้องใจสงสัย เป็นอันว่าถูกต้องเข้ากันได้ทุกอย่าง’

ท่านก็เลยรวบเอาเลย ‘ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านมหา ไม่มีอะไรเป็นข้อขัดแย้งกัน อุบายวิธีพิจารณากว้างแคบนั้น มันเป็นแต่อุบายของแต่ละคน ๆ แต่ว่าสำคัญที่จิตที่รวมมันเหมือนกัน’ ท่านสรุปเอาอย่างงั้นเลย

ลัก...ยิ้ม
30-07-2020, 22:25
พอดีแม่ชีมันไปนั่งอยู่ข้างนอกซิ แม่ชียุวดี จันทบุรี เราไม่รู้..นึกว่ามีสองคนกับท่าน มีฝากั้นอยู่ แล้วก็มีตั่งที่นั่งอยู่ข้างล่างข้างนอก มันก็นั่งอยู่ที่ตั่งนั่นละ เราอยู่ในฝามันอยู่นอกฝา คุยอะไรมันก็รู้หมด พอเล่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเบนคำพูดไปทางอื่น ‘มันใครนี่น่ะ’ ‘ดิฉัน’
‘ชื่อว่ายังไง’ ‘ยุวดี’

‘มาตั้งแต่เมื่อไร’ ‘มาแต่สองทุ่ม’

โอย.. หมดตับเลย แล้วก็ไปโม้ข้างนอก
‘อู๊ย.. ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์เปิดเผยธรรมะต่อกัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นก่อนสองสามชั่วโมง จากนั้นท่านอาจารย์ขาวก็ขึ้นจนกระทั่งจบ เบนคำพูดไปทางอื่นทางไหนแล้ว เห็นว่าเต็มอิ่มแล้วก็เลยกระแอม ท่านอาจารย์มหาบัวคงจะโมโหใหญ่’

‘ใคร ๆ’ ‘ยุวดี’ ‘มาจากไหน’ ‘มาในงานนี้แหละ’ ‘มาแต่เมื่อไหร่มาที่นี่’ ‘มาแต่สองทุ่ม’ ‘หมดตับ’ เราก็ว่างี้

มันฟังหมดเลย คือไขต่อกันเต็มที่เลย.. ลงใจสุดขีดร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ไปในงานนี้ละ..ขบขันดี เขาแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก เราก็ว่าเราถนัดใจ ซัดกันสองต่อสอง ที่ไหนได้..เขาไปกินอิ่มอยู่ข้างนอก

พูดถึงเรื่องหลวงปู่ขาว ท่านเป็นอยู่ที่โรงขอด ท่านเล่าให้ฟังที่อำเภอแม่แตงหรืออะไร เชียงใหม่ ท่านบอกว่า ‘ไปเป็นอยู่ที่โรงขอด’ เราก็บอกตรง ๆ เลย.. เราเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่มีอะไรค้านกัน.. รื่นเริงบันเทิงกันเพราะธรรมะทางภาคปฏิบัติ.. ผิดที่ไหนจะรู้กันทันที ๆ เลย เราก็เล่าถวายท่านสุดขีดของเราเลย เราเป็นฝ่ายเล่าถวายท่านก่อน เสร็จอะไรก็มอบถวายท่านเลย จะขัดข้องอะไรก็ให้ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเกรงใจ ให้บอกมาเลยเวลานี้สุดแล้ว ถ้าว่ากำลังก็สุดจนกระทั่งไม่แสวงหาอะไรอีกแล้ว ถ้าหากว่าหลงก็หลงเต็มที่ เราก็ว่างั้น

ท่านก็ตอบรับด้วยความเป็นมงคล เออ.. ตายใจแหละ..ท่านว่า ท่านก็เล่าของท่านย่อ ๆ นิดหน่อย เพราะอะไร ๆ ท่านมหาก็เล่าไปหมดแล้ว ท่านเลยเล่าย่อ ๆ ให้ฟังนิดหน่อย ท่านไปเป็นที่โรงขอดท่านว่า โรงขอดนี้อยู่ที่อำเภอแม่แตง เวลามันจะเป็นท่านออกไปอาบน้ำ ไปเห็นข้าวเขาเป็นรวงแก่แล้ว ท่านก็เอาข้าวมาพิจารณา ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาหมุนตัวเองนะ คือเจออะไรมันจะเป็นสติปัญญาขึ้นมาเพื่อแก้ตัวเอง ๆ ท่านเอาข้าวมาพิจารณา เกิดเป็นข้าวแล้วก็หมุนไปหมุนมา เป็นข้าวแล้วเอาไปหว่านเป็นกล้า ๆ ก็เป็นต้นข้าวแล้วเป็นข้าวแก่ ท่านก็หมุนไป วัฏวนของจิตก็เป็นอย่างนี้ ๆ ท่านพิจารณา เลยบรรลุธรรมในเวลานั้น ในคืนวันนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า ‘โรงขอด’ เราก็เล่าถวายท่านว่า ‘ที่วัดดอยธรรมเจดีย์’

เวลาท่านจะจากที่นั่นไป ‘มันแปลกนะท่านมหา ผมจึงระลึกได้ทันทีเลย อย่างต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ท่านถึงยกต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงกันกับพุทธศาสนา ท่านเห็นบุญเห็นคุณของต้นไม้นั้น’ เราก็เหมือนกันเห็นบุญเห็นคุณของกุฏิกระต๊อบหลังเล็ก ๆ ‘เวลาจำเป็นที่จะจากไป ไปแล้วยังหันหน้ากลับมาดูอีก เป็นความอาลัยอาวรณ์’ ท่านว่า เพราะกุฏินี้เป็นสถานให้บุญให้คุณแก่เรา มันก็เข้ากันได้เลยกับต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อย่างที่ท่านอาจารย์ขาวบอกว่า กระต๊อบที่โรงขอดเป็นที่ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน...”

ลัก...ยิ้ม
30-07-2020, 23:00
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
หลวงปู่ฝั้นเป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นที่องค์หลวงตาได้มีโอกาสเข้ากราบเยี่ยมและสนทนาธรรม ดังนี้
“... หลวงปู่ฝั้นท่านเตรียมพร้อมมาแล้ว ตั้งแต่หลังจากถวายเพลิงหลวงปู่มั่น เพราะท่านเป็นหัวหน้าใหญ่อยู่นั่น คอยดูการงานทุกอย่าง ทุกข์ลำบากขนาดไหนก็ทนเอา ทนเพื่อครูบาอาจารย์ต่าง ๆ พองานเสร็จแล้ว ท่านก็สลบไสล เราก็รีบมา

ท่านก็เล่าให้ฟังต่อหน้าต่อตาเลยนะ พยายามจะเข้าหาท่าน โดยเฉพาะจะพูดอรรถพูดธรรม ให้ถึงเหตุถึงผลต่อกันโดยเฉพาะ.. ไม่มีเวลา เพราะท่านมีลูกศิษย์ลูกหาไม่มาก..ก็พระเณรอยู่นั่น เราจะพูดเฉพาะกับท่านในธุระอันสำคัญ ๆ ไม่มีเวลาจะพูด แล้วพอดีท่านพูดให้ฟังเอง ที่มันชัดเจนนะ ท่านเล่าให้ฟัง

ท่านจะสลบไสลมาจากวัดสุทธาวาส พยายามอุตส่าห์ตะเกียกตะกายงานของหลวงปู่มั่นให้เสร็จ เจ้าของเป็นยังไงก็ทนเอา พองานเสร็จปั๊บท่านก็ออกเลย พอมานี้จิตมันเพียบเต็มที่แล้ว ทั้งอยากพักผ่อน ร่างกายก็เพียบเต็มที่ มาก็เข้าที่เลย ท่านเล่าให้ฟัง เวลานั้นมีพระอยู่สององค์ เวลาเราจะพูดกันแบบถึงพริกถึงขิง เหมือนกับว่าการตบการต่อยการหาความจริง..เข้าใจมั้ย เราก็ไม่อยากให้พระทั้งหลายได้ฟัง เพราะระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ พูดกันเฉพาะสองต่อสอง ถ้าควรตำหนิก็เอากันตรงนั้น ควรชมกันตรงไหนก็เอากันตรงนั้น

ทีนี้ก็มีพระอยู่นั่นสององค์สามองค์ จะคุยอะไรกับท่านโดยเฉพาะ ถามท่านโดยเฉพาะก็ไม่มีเวลา ท่านก็มาเล่าให้ฟังเสียเอง เหตุที่จำเงื่อนได้ ท่านมาเล่าขั้นที่มาถึงวัดแล้ว
‘มันจะสลบไสล จิตเข้าของมันเลย มันจะไป มันจะไม่อยู่ พอจิตรวมเข้ามาถึง เหลือแค่ความสว่างไสวจ้าอยู่ภายใน’

ท่านก็พูดตามเรื่องของท่าน แต่เราก็นั่งฟังอยู่นี่ เพราะตั้งตาอยู่แล้วที่จะต่อยกัน แต่นี่ไม่มีโอกาส ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นอาจารย์ เราก็เป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์กับครูต่อยกัน..ฝึกซ้อมกันเป็นอะไรไป ตั้งแต่นักมวยเขายังฝึกซ้อมกันใช่มั้ย นี่ลูกศิษย์กับครู..เวลาจะเอากันถึงพริกถึงขิงก็ต้องเอากันอย่างนั้น

พอท่านเล่าถึงนี่ให้ฟัง ถึงขั้นที่จิตมันจะไป จิตมันหดเข้ามาหมด ยังเหลือความสว่างไสวภายในใจจ้าอยู่นี้ สว่างจ้ามันจับได้แล้ว.. ทันทีทีเดียวไม่ต้องพูดมาก จะไปถึงจุดที่เราต้องการอยู่แล้ว.. ที่จะกราบเรียนถามให้ท่านเล่าเรื่องธรรมเหล่านั้นให้ฟัง

พอดีท่านก็บอกว่า ‘จิตมันรวมเข้าไปแล้ว มันมาอยู่นี้ ผ่องใสแจ๋วอยู่ในนี้ แสงใสแจ๋วนี่ก็จ้าออกจากความผ่องใส จิตสว่างไสว’

ทางนี้มันก็ขึ้นทันที เห็นมั้ยล่ะ..นี่ละธรรม ไม่ได้พูดว่าเคารพหรือไม่เคารพ ธรรมเหนือกว่าความเคารพเป็นไหน ๆ พอท่านพูดทางนั้น ทางนี้ก็ขึ้นรับทันที

พอท่านพูดว่าถึงจุดนี้เป็นความสง่าผ่องใสจ้าอยู่นี้เลย ทางนี้แทนที่จะชม ไม่ได้ชม ‘ยังตายอยู่นี่เหรอ นึกว่าผ่านไปถึงไหนแล้ว’ มันตอบกันภายในใจ

ลัก...ยิ้ม
31-07-2020, 20:59
เราเสียดาย เราอยากจะพูดกับท่านสักคำ พอพูดอีกสักคำถวายธรรมะ ท่านจะขึ้นทันทีไม่นาน แต่มันก็เสียดายที่พระไปยุ่ง..ไม่ได้พูดถึงพริกถึงขิง แต่ยังไงก็ตาม เราก็ถือเอาความแน่นอนว่า จิตนี่เข้าถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ไม่อยู่ จะพุ่งเลย เป็นแต่เพียงช้ากับเร็ว แต่ที่เรื่องที่จะถอยไม่มี มีแต่เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ถ้ามีผู้แนะปั๊บจะเร็วนะ ผึงเลยทันที ถ้าไม่มีผู้แนะก็ไป ไปตามลำดับเอง นี่ก็ไปแต่จะช้า

นี่ถึงจุดนี้ที่ท่านว่าใสแจ๋ว สว่างจ้า แทนที่จะชมไม่ได้ชม ยังนอนตายอยู่นี่เหรอ ฟังสิ มันขึ้นรับกัน เสียดายไม่ได้ถวายเดี๋ยวนั้น พระก็อยู่ที่นั่น ทำยังไงนะ เวลาพูดกับสมาคมก็ต้องมีสูงมีต่ำธรรมดาอย่าพระจิตคุปต์นั้นน่ะ.. นี่ล่ะ ผู้ที่บอกตามหลักความจริงจะไม่ช้า ท่านเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้น หลังจากที่พระจิตคุปต์ได้ฟังอุบายจากลูกศิษย์ซึ่งเป็นพระอรหันต์แนะเท่านั้น ท่านก็เข้าใจแล้ว ทางจะก้าวเดิน เห็นมั้ยล่ะ..ธรรมะ ถ้าผู้ไม่รู้เปิดไม่ได้นะ

เราไม่ได้ยกตนข่มท่าน ครูบาอาจารย์เช่นหลวงปู่ฝั้นนี่ เราเคารพเทิดทูนท่านมากที่สุด ทั้งรักทั้งเคารพท่าน แต่เรายังเสียดาย ยังมาพูดอย่างนี้ให้เราฟัง ‘จิตมันรวมเข้ามานี่.. มันสว่างจ้าอยู่ จุดผ่องใสแจ๋ว’ เท่านั้นจับได้แล้ว เพราะฉะนั้น มันต้องพุ่งออกมาทางนี้ มันไม่ได้ว่าธรรมดานะ การที่จะจมอยู่ในกองทุกข์ ที่จะดึงขึ้นมีคุณค่าขนาดไหน ทำไมจึงมาตายอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นี่เราแน่นอน หลังจากนั้นมาอีก ตั้งแต่ ๒๔๙๒ – ๒๕๒๐

ปี ๒๔๙๓ เผาศพหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้นมาเล่าให้ฟังตอน ๒๕๐๖ วันที่ท่านเล่ากับเรา เป็นวันที่เราไปเผาศพท่านอาจารย์กงมา เราจึงถือโอกาสจะไปเรียนถามธรรมะท่านโดยเฉพาะ ... จาก ๒๕๐๖ มาถึงปี ๒๕๒๐ ปีที่หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ เป็น ๑๔ ปีผ่านได้ เพราะอันนี้จะออก.. นี้จะพุ่งเลย ให้ไปทางอื่นไม่มี มีแต่จะพุ่งเลยถ่ายเดียว เป็นแต่ว่าชักช้าขาดผู้นำ คือผู้แนะ

ถ้าผู้แนะมีความรู้เหนือกว่าแล้ว แนะแล้วพุ่งเลย.. ยังไงก็พ้นแน่ เราจึงเชื่อเลยว่า จากนั้นมา ๑๔ ปีท่านต้องผ่านได้แล้ว ทีนี้เขามาเล่า.. อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว เราเชื่อทันทีเลย ก็เป็นเวลา ๑๔ ปี เราพูดด้วยความเทิดทูน...”

ลัก...ยิ้ม
31-07-2020, 21:08
หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย
หลวงปู่คำดีเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นอีกองค์หนึ่ง ที่น่าเคารพบูชากราบไหว้อย่างสูงสุด ในสมัยบำเพ็ญเพียรท่านก็เป็นพระที่มีความกล้าหาญในการต่อสู้กับกิเลส สมัยต่อมาเมื่อท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็เป็นพระที่มีเมตตาสูง ไม่ถือเนื้อถือตัว ด้วยท่านเคารพบูชาในอรรถธรรมสูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใด

ท่านมีอายุพรรษามากกว่าองค์หลวงตาหลายปี พระเณรลูกศิษย์ลูกหาของท่าน.. มักจะได้ยินท่านพูดปรารภถึงองค์หลวงตาอยู่เสมอ ๆ ถึงแม้ว่าหลวงปู่คำดีจะไม่ดุศิษย์คนใด แต่ท่านมักยืมองค์หลวงตามาพูดขู่ ขนาบพระเณรในวัดของท่านเองเสมอ ๆ ท่านเคยบอกกับองค์หลวงตาว่า “ผมไม่ดุใครนะ ถ้าว่าผมจะดุ.. ผมก็ยืมท่านมหามาดุ”

และเวลาที่ท่านพูดก็จะพูดขู่พระเณรในวัดว่า “พระวัดนี้นะ ถ้ากับท่านมหาบัว พวกนี้แตกกระเจิงหมดเลยนะ อยู่กับท่านไม่ได้นะ” หรือ “อยู่อย่างนี้.. อยากให้ไปอยู่กับท่านมหาบัว อย่างมากไม่เลย ๓ วัน ถูกขนาบออกจากวัดหมดเลย ไอ้เพ่น ๆ พ่าน ๆ อยู่นี้น่ะ” เป็นต้น นอกจากนี้ท่านพูดถึงเสมอเวลาเทศน์สอนพระ วันไหนประชุมถ้าไม่ขึ้นต้นท่านก็เอาตอนปลาย มักจะยกเอาองค์หลวงตามาพูดเรื่อย

ด้วยเหตุนี้เอง ลูกหลาน พระเณร ศิษย์ หลวงปู่คำดีจึงมีความรู้สึกเคารพ สนิทสนมและผูกพันกับองค์หลวงตา เสมือนหนึ่งครอบครัวเดียวกันโดยปริยาย และแม้สำหรับองค์หลวงตาเอง ท่านก็ให้ความเมตตาต่อลูกหลาน พระเณร ที่วัดถ้ำผาปู่นี้ด้วยเช่นกัน เมื่อโอกาสอำนวยคราวใด ท่านไม่เคยลืมที่จะแวะไปเยี่ยมเยียน พร้อมขนเครื่องจตุปัจจัยไทยทาน ข้าวสาร อาหารต่าง ๆ ไปให้ และเทศนาสั่งสอนพระเณร เพื่อเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ๆ เป็นระยะ ๆ ไป

ที่น่าแปลกใจคือ หลวงปู่คำดี ท่านจะกล่าวถึงองค์หลวงตาไม่เพียงเฉพาะกับพระเณรเท่านั้น ศิษย์ฆราวาสผู้หลักผู้ใหญ่กระทั่งอย่าง ฯพณฯ ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี หลวงปู่ก็ยังเคยปรารภฝากความระลึกถึงกับท่าน ดร.เชาวน์ไปถึงองค์หลวงตาด้วยว่า
“ฝากความระลึกไปถึงท่านมหาบัวด้วยนะ ท่านอาจารย์มหาบัวเป็นอาจารย์ของอาตมานะ”

มีเทศนาอบรมพระขององค์หลวงตาบางตอน ที่ท่านกล่าวพูดยกย่องถึงคุณธรรมและความกล้าหาญของหลวงปู่คำดีในสมัยปฏิบัติ คราวหนึ่งของการแสดงธรรม พูดถึงเหตุการณ์ในระยะก่อน ๆ นั้น ได้เคยพบกับหลวงปู่คำดีอยู่เรื่อย ๆ ในที่ต่าง ๆ ที่นั่นบ้านที่นี่บ้าง จากนั้นหลวงปู่คำดีได้กล่าวชมเชยท่านในการแสดงธรรมเรื่องการแจงขันธ์ ๕ ดังนี้
“การพบกับท่าน (หลวงปู่คำดี) เคยพบกันอยู่เรื่อย ๆ ท่านมาอยู่วัดหนองแซง นี่ก็เคยพบกันอยู่เรื่อย ท่านเลยพูดถึงเรื่องว่าการแจงขันธ์ ๕ นี้ ไม่มีใครแจงได้ละเอียดลออมากยิ่งกว่าท่านมหา ท่านอ่านหนังสือ แว่นดวงใจ*๑ จบหมดเลย”

==============================

*๑ “แว่นดวงใจ” เป็นหนังสือพระธรรมเทศนาโดยหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

ลัก...ยิ้ม
01-08-2020, 12:46
เหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อองค์หลวงตาเดินทางไปวัดถ้ำผาปู่ ซึ่งบังเอิญพอดีกับที่หลวงปู่คำดีได้จุดธูปนิมนต์ขอให้องค์หลวงตาเดินทางมา ท่านเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ ดังนี้
“... มันแปลกอยู่นะ คือท่าน (หลวงปู่คำดี) เดินจงกรมอยู่ ท่านอยู่กุฏิท่าน ๒ ชั้น พอดี ๔ ท่านลงมาเดินจงกรมอยู่ข้างใต้... ที่นี้เวลาเดินจงกรมอยู่ ติดปัญหาละซิ โอ๋ย.. มันเหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มลงไปเลย ปัญหามันขวางใจท่าน ‘เอ ! ทำยังไงก็แก้ไม่ตก ๆ มองหาใครไม่เห็น’ ..

นี่ละ..ท่านพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านพูดอย่างภาคภูมิใจท่านเสียด้วยนะ เวลาได้พบกันแล้ว.. ไม่มองเห็นใครเลยท่านว่าอย่างนี้ เพราะเคยคุยธรรมะกันแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยธรรมะกับท่านมาโดยลำดับลำดาแล้ว แต่พอมาถึงจุดนี้ละซิ ท่านไปติดปัญหาขึ้นทางใจของท่าน กำหนดหาครูบาอาจารย์องค์ใด.. พระองค์ใดไม่สัมผัสใจเลย จิตมันดิ่งหาแต่ท่านมหาองค์เดียว จิตมันดิ่งมาหาเรานี้องค์เดียว นอกนั้นไม่ไปไหน ดิ่งมาองค์เดียว แล้วท่านก็ปุ๊บปั๊บออกจากทางจงกรมเลย ... มาจุดธูป มีแท่นพระอยู่ชั้นล่าง ข้างบนเราไม่ได้ขึ้นไป ท่านมาจุดธูปเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอจุดธูปจุดเทียนไหว้พระเสร็จแล้ว ... ก็กล่าวว่า
‘ขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน’

เราว่า ‘โอ๊ย.. ทำไมครูบาอาจารย์พูดอย่างนี้’

ท่านว่า ขอให้ผมพูดเต็มหัวใจผมเถอะ ว่าอย่างนั้น...”

เรื่องนี้ภายหลังทราบจากคนรถที่คอยอุปัฏฐากรับใช้องค์หลวงตาว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น แกได้รับคำสั่งด่วนจากองค์หลวงตา ให้รีบเข้าไปที่วัดป่าบ้านตาดในเวลา ๑๑ โมงวันนี้ องค์หลวงตาเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า
“... พอดีตอนสายมา มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ พอเช้าวันนั้นขึ้นมาตอน ๑๑ โมง มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ เราก็สั่งให้ไปในตลาดเลย ร้านชวลิต ให้นายบุญขับรถมาหาเราเดี๋ยวนี้ ‘เราจะไปถ้ำผาปู่ ไปเดี๋ยวนี้นะ’

เขาก็บึ่งรถมาเลย มาก็ไปแบบรีบด่วนแต่ไปแบบรีบบ้าเราต่างหาก ตามประสาเรานะ พอไปก็ยังมีเวลาอีกนิดหนึ่ง ยังเป็นห่วงเพราะท่านอาจารย์ชอบคุ้นเคยกัน เลยไปแวะวัดท่านอาจารย์ชอบเสียคืนหนึ่ง ออกจากนี้ก็ไปค้างที่อาจารย์ชอบคืนหนึ่ง เช้าวันหลังจึงไปหาท่าน... พอถึงวัดถ้ำผาปู่ พอทราบว่าท่าน (หลวงปู่คำดี) พักแล้ว เราบอกพระว่า
‘อย่าไปกวนท่านนะ วันนี้ผมจะพัก ไม่กลับ.. ผมจะค้างกับท่าน อย่าไปกวนท่านนะ ผมจะไปหาที่พักก่อน พอได้เวลาแล้วจะมาหาท่าน เวลานี้ท่านยังพักอยู่’

เขาปิดประตูเงียบ พอเรามานี่.. พระองค์นั้นแอบไปทางด้านหลังไปบอกหลวงปู่คำดี พอทราบท่านจึงรีบออกมาโดยเปิดประตูเหล็กเลื่อน เรียก ‘ท่านมหา ท่านมหาอยู่นี่เหรอ ?’ โบกมือเรียก

เราเลยดุพระว่า ‘ไปรบกวนครูบาอาจารย์ทำไม ? ท่านองค์นี้น่ะ..ก็จะคุยอยู่แล้วนี่นะ’

พอไปถึงแล้ว ท่านพูดว่า ‘โฮ้..มาเร็วดีนะ’

‘เร็วอะไร ? แล้วท่านอาจารย์จะมีเรื่องคุยอะไรกัน ?’

‘เดี๋ยวมันจะได้คุยกันแหละ’

บทเวลาได้คุยกันแล้ว ท่านถึงพูดถึงเรื่องขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน คือว่ามาโดยด่วน พอผมนิมนต์เมื่อวาน.. วันนี้ท่านก็มา วัดนี้ท่านไม่เคยมาเลย ท่านมาจะให้แน่นอนขนาดไหน.. ท่านว่าอย่างนั้น

เราก็ไม่เคยไปจริง ๆ นะ ไม่เคย ก็ไปวันนั้นเป็นครั้งแรกเลยแหละ แต่ค้างที่วัดอาจารย์ชอบคืนหนึ่ง วันหลังท่านก็ยังบอกว่าเร็วอยู่ นั่นละ..ที่นี่

ท่านปิดประตูหมดเลยนะ ๖ โมงเย็น เราเข้าหาท่าน ๒ ต่อ ๒ เลย.. คุยธรรมะกัน ท่านปิดประตูหมด ไม่ให้ใครเข้าไป คุยกันตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๒ ทุ่ม ท่านเล่าวิถีจิตของท่านละเอียด เพราะเรากราบเรียนท่านว่า
‘ยังไงท่านอาจารย์ ให้พูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลยนะ กระผมจะฟังตามทุกระยะ ขัดข้องตรงไหน ๆ จะได้คุยกันสะดวก ๆ’

เพราะฉะนั้น ท่านถึงเปิดของท่านออกเรื่อย ๆ เราก็ฟังไป พอไปถึงจุดนั้นละทีนี้ จุดที่ว่ามันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงท่าน ท่านโดดขึ้นมาจุดธูปอาราธนาเรา พอมาถึงจุดนี้มันเป็นอย่างนี้ ๆ ๆ นี้ละจุดสำคัญมาก อกผมจะแตก..ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเล่าไป เล่าละเอียด พอท่านเล่าจบลงแล้ว.. เราก็ถวายธรรมท่าน พอถวายปั๊บนี้ ขึ้นดัง..โอ้ก เลยทันทีนะ..เมื่อถึงจุดสำคัญ...เหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มนะ เหมือนกับว่าถอดหลาวออก ทีนี้ก็พุ่งเลย..รู้ช่อง

‘เออ ๆ ๆ มันต้องอย่างนี้ซิ ...’

มันสะดุดใจท่านมาก ‘เออ เอาละทีนี้ รู้ช่องแล้ว’ ทีนี้เปิดโล่งแล้วยังแต่จะเข้าเท่านั้น ท่านว่านะ มันต้องอย่างนี้ ๆ ขึ้นเลย ๒ ต่อ ๒ นะ เสียงสั่นเพราะอุทาน ท่านดีใจมาก พอท่านเล่าให้ฟังเราก็รู้นี่นะ พอเล่าไปถึงจุดนั้นปั๊บ เราก็ถวายธรรมท่านข้อนั้นปั๊บ.. ท่านก็เปิดโล่ง ท่านก็บอก เออ.. ทีนี้เปิดแล้ว ๆ ยังแต่จะก้าวเท่านั้นแหละ มันต้องอย่างนี้ ๆ อุ๊ย..เสียงสั่นเลยนะ ๒ ต่อ ๒ เท่านั้นนะ บทเวลาท่านขึ้นนี้เสียงสั่นเลย..นั่นละ ขั้นนั้นแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่านก็พูดเข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถวายท่าน เปิดแล้วว่างั้นเถอะ.. ท่านก็เข้าใจแล้วหมายถึงว่า เปิดโล่งแล้ว ยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นแหละ ท่านบอก ‘เปิดโล่งแล้ว’ หมายความว่าท่านเข้าใจแล้ว ถ้าก้าวปุ๊บนี่เข้าเลย ความหมายก็ว่างั้น

จากนั้นท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ท่านจุดธูปมานิมนต์เรา เราเลยตอบท่านว่า ‘ผมก็มาสะเปะสะปะ มาประสาบ้าของผมล่ะ’

‘เอาละ ประสาอะไรช่างเถอะนะ สด ๆ ร้อน ๆ นี้เอาละ’

ทีนี้พอคราวหลังนี้ไปเยี่ยมท่านอีก ก็มีคนมีญาติโยมติดตามไปด้วยอีก เราเลยต้องเขียนจดหมายย่อ ๆ เอา เขียนจดหมายย่อ คือพูดง่าย ๆ ว่า ปัญหาที่ถามนี้ ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ แล้วปัญหาที่จะตอบนี้ ถ้าไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ ต้องเป็นภาคปฏิบัติเท่านั้น ปริยัติเอามาพูดไม่ได้เลย

เราก็ถามท่านย่อ ๆ ข้อที่ ๑ ว่าอย่างนั้น ๆ ข้อที่ ๒ ว่าอย่างนั้น ๆ เราก็ยื่นถวายท่าน พอท่านจับได้ ท่านอ่านด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส อ่านยิ้มเรื่อย ๆ ยกขึ้นแล้วยื่นมาให้เรา ท่านเขียนเสียก่อนนะ เขียนตอบเรียบร้อยแล้วยื่นมาให้เรา เราก็อ่าน พออ่านแล้วเราก็เขียนแล้วยื่นไปอีก ข้อที่ ๒ ท่านก็รับแบบเดิมนั่นละ แล้วท่านก็ยิ้มเลยเทียวนะ พอตอบข้อที่ ๒ เป็นอันว่าลงจุดแล้ว.. หมดปัญหาเรียบร้อยแล้ว

ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไม่ได้คุยกันอีก เพราะตอนนั้นท่านหูหนวกแล้ว พูดกระซิบ ท่านกระซิบกับเรา เราได้ยิน ตอนนั้นหูเราไม่หนวก แต่เราจะไปกระซิบกับท่าน ท่านจะได้ยินยังไง ตกลงต้องเขียนยื่นให้ท่านตอบมา ตั้งแต่นั้นท่านบอกเป็นอันว่าหายสงสัยแล้ว มันก็เข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถามไป ถามว่ายังไง ๆ ท่านตอบตรงนั้นแล้ว ถึงท่านไม่บอกว่าหายสงสัย มันก็เข้าใจแล้ว เข้าใจไหมละ

ไม่นานนะ ท่านก็มรณภาพ ก็เรียกว่าเป็นอยู่กุฏิท่านนั่นแหละ ไม่เป็นที่ไหนเพราะตอนนั้นท่านไปไหนไม่ค่อยได้แล้วแหละ ท่านอยู่กุฏิท่านเท่านั้นเอง ส่วนที่นั่นที่นี่เราไม่อยากพูด เราแน่ใจที่กุฏิท่าน เพราะธรรมะนี่เป็นธรรมะที่จ่อเข้าแล้วเปิดโล่งแล้ว ยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นเอง”

ลัก...ยิ้ม
01-08-2020, 19:46
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จันทปัชโชโต ป.ธ. ๙)
วัดนรนารถสุนทริการาม กทม.
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นพระมหาเถระอีกรูปหนึ่ง ที่องค์หลวงตานำมาเล่าเป็นตัวอย่างสอนแก่พระเณรว่า ครั้งหนึ่งท่านกับท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ มีธุระไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ที่วัดนรนารถฯ

เมื่อไปถึงกุฏิของเจ้าคุณสมเด็จฯ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก็ผลักประตูห้องเข้าไปตามแบบคนที่สนิทสนมกันมานาน พบว่าท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ กำลังนั่งสมาธิอยู่ เจ้าคุณสมเด็จฯ แสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นว่าเจ้าคุณธรรมเจดีย์อุตส่าห์เมตตามาเยี่ยมเยียน จากนั้นจึงได้สนทนากันอยู่พักใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์หลวงตารู้สึกประทับใจในคำกล่าวที่เป็นคติของเจ้าคุณสมเด็จฯ ดังนี้
“... ท่านเรียกเรา ‘อาจารย์’ เรียกให้เป็นเกียรติ หรือเรียกนำบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายก็ได้ ท่านแก่กว่าเราดูเหมือน ๖ พรรษาหรือไง แต่ท่านเรียกติดปากว่า ‘ท่านอาจารย์’

ข้อคิดอีกข้อหนึ่งก็คือท่านพูดถึงว่า ‘ผมนี้แม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ตามนะท่านอาจารย์ ส่วนมากไม่ได้ฉันอาหารแบบในกรุงเทพฯ นะ อยู่ที่นี่ผมไม่ได้ฉันอาหารดิบ ๆ ดี ๆ อะไรนะ ฉันอาหารแห้ง ฉันไปวันหนึ่ง ๆ เพราะถ้าฉันอาหารดี ๆ แล้วภาวนาไม่เป็นท่า ผมจะฉันอาหารแห้ง ๆ ถ้าฉันอาหารแห้ง ๆ แล้วภาวนาดี’

ท่านให้เหตุผลมันเข้ากันได้กับที่เราฝึกเรามาแล้วนะ ถ้าท่านไม่ทำแล้ว ท่านจะพูดไม่ถูก...”

คำกล่าวของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ตรงนี้ทำให้องค์หลวงตารู้สึกถึงใจกับความเป็นนักภาวนาและนักต่อสู้ สังเกตใจของท่าน เพราะองค์หลวงตาท่านทราบดีว่าผู้บำเพ็ญจิตภาวนาจำต้องมีการระมัดระวัง และคอยควบคุมสิ่งที่จะทำให้ขัดขวางต่อการภาวนาได้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้องค์หลวงตาให้ความเคารพต่อท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ เสมอมา

ลัก...ยิ้ม
02-08-2020, 12:39
สำหรับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เองก็เช่นกัน สังเกตว่าท่านก็ได้ให้ความเมตตา และให้เกียรติต่อองค์หลวงตาอยู่ไม่น้อย ทุก ๆ ปีหากมีการทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะต้องได้นิมนต์องค์หลวงตาไปแสดงธรรมอยู่เสมอ ทุกครั้งที่องค์หลวงตามีโอกาสไปกราบเยี่ยมเยียนเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะคึกคักขึ้นทันทีแม้ขณะป่วยอยู่โรงพยาบาลก็ตาม ดังนี้
“... สมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนารถฯ ท่านพูดคำไหนออกมา มีเป็นคำสะดุดใจทุกประโยคนะ เราอดคิดไม่ได้ ท่านเป็นเปรียญ ๙ ประโยค ชื่อท่านชื่อสนั่น ... ท่านพูดคำไหนรู้สึกสะดุดใจกึ๊กเลยนะ พอเราเข้าไปหาท่าน ท่านรู้สึกว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นด้วยความดีใจ ท่านกำลังคุยกับโยมอะไร พอเราโผล่เข้าไป ท่านจะคึกคักขึ้นทันทีเลยนะว่า
‘โอ๊ ! พระเศรษฐีธรรมมาแล้ว พระเศรษฐีธรรมนับวันจะหายากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระเศรษฐีเงินซึ่งนับวันเกลื่อนกลาดไปหมด เศรษฐีธรรมนี้นับวันจะหายากเข้าทุกวัน แต่เศรษฐีเงินนี้นับวันจะเกลื่อนเข้าไปทุกวัน’

นั่น.. น่าคิดไหมล่ะ เราสะดุดกึ๊กทันทีเลย.. เศรษฐีธรรม เศรษฐีเงิน

ท่านพูดคำไหนออกมาทำให้คิด อย่างท่านอยู่โรงพยาบาลศิริราชก็เหมือนกัน หมอทางศิริราชแหละ เขาไปบอกว่า ‘สมเด็จฯ’ ท่านมารักษาตัวอยู่ที่ศิริราช’

ทีนี้พอได้โอกาสเราก็ไปกราบเยี่ยมท่านที่ศิริราช ไปก็พอดีเป็นเวลาที่.. ปกติก็ต้องนอนนั่นแหละ นั่งมันลำบาก นี่ไปท่านนอนหันหน้าไปทางฝาโน้น เราเข้าไปทางนี้ พระขึ้นไปเหมือนหนึ่งว่าจะไปปลุกท่าน เรารีบบอกพระ
‘ผมไม่ได้มากวนท่าน ให้ท่านอยู่สะดวกสบาย จะพบท่านเมื่อไรก็ได้ เวลานี้เป็นเวลาท่านพักผ่อน ไม่ให้กวน’

คือคุยกันเมื่อไรก็ได้ เราก็นั่งรอ ไม่นานนะท่านหันหน้ามา อันนี้ที่น่าคิดมากอีกนะ ตามธรรมดาต้องพยุงท่านขึ้นนะ เวลาท่านจะนั่งจะอะไรต้องพยุงขึ้น อันนี้พอท่านหันหน้ามามอง เห็นเรานี้ดีดผึงเลยเทียว แล้วก็มีอุทานออกแบบน่าคิด เราก็ลืม ๆ เสีย เพราะพบท่านทีไร.. ท่านจะมีคติธรรมให้เป็นที่ระลึกกับเราอยู่เสมอ

คราวนี้ก็อีกเหมือนกัน ท่านดีดผึงเลยนะ ลุกขึ้นเอง ‘พระหายากมาแล้ว พระหายาก..นับวันจะหาได้ยากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระหาง่าย..เกลื่อนตลาดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง’

เอาอีกแหละ แน่ะฟังซิ โอ๋ย.. ท่านคุยท่านรื่นเริงจริง ๆ นะ อีกสองวันหมอที่เขาบอกไปหาเราว่า ‘สมเด็จฯ ท่านกลับวัดแล้ว ท่านหายแล้ว’ ‘เหรอ’ เราก็ถาม

‘โอ๊ย.. เหมือนปาฏิหาริย์ พอหลวงพ่อไปเยี่ยม ท่านคึกคัก ขึงขังตึงตัง ยิ้มแย้มแจ่มใส พอวันหลังท่านออกจากโรงพยาบาลเลย’

ท่านว่า ‘ทีนี้ไปได้แล้ว’ ท่านไปแล้วจะออกแล้ว ท่านว่า ‘มันเป็นยังไงนะ อาจารย์มหาบัวมาเยี่ยม มันเหมือนปาฏิหาริย์ เอายาอะไรมาชะโลมเรา’

ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านพูดเอง เหมือนเอายาทิพย์มาชะโลมเรา ดีดผึงเลย มีกำลังวังชึ้นทันทีทันใด ท่านพูดคำไหนน่าคิดนะ สมเด็จฯ นี้ท่านมีความสนใจต่ออรรถต่อธรรม ท่านไม่ได้ลืมตัวนะ เพราะเคยสนิทกันมานานแล้วตั้งแต่ท่านเป็นมหาอยู่ พอเป็นสมภารเจ้าวัดท่านก็หนักแน่นในธรรมตลอดมา...”

หลังจากวันนั้นไม่นาน ท่านก็หายอาพาธอย่างรวดเร็วจนเป็นที่ประหลาดใจแก่แพทย์ผู้ให้การรักษา ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าควรปีติรื่นเริงในธรรม จัดว่าเป็นธรรมโอสถรักษาโรคชั้นเลิศทีเดียว องค์หลวงตากล่าวยกย่องคุณธรรมเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่า
“เจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุนีวงศ์เป็นพระแท้ กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ ... นอกจากท่านจะเป็นนักปริยัติแล้ว ท่านยังเป็นนักปฏิบัติ นักภาวนา เวลาพบปะสนทนากับเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะสนทนาแต่เรื่องการปฏิบัติธรรม เกี่ยวกับสมาธิภาวนาด้วยทุกครั้ง ท่านจะไม่พูดถึงเรื่องโลก ๆ ภายนอกอันเป็นสิ่งสกปรกโสมมเลย พระเณรเราควรที่จะประพฤติปฏิบัติ รักษาตามแบบอย่างที่ท่านเคยปฏิบัติเอาไว้ โดยเฉพาะเจ้าอาวาสนี้สำคัญมากนะ เพราะว่าเป็นผู้นำคนปกครองคน”

ลัก...ยิ้ม
02-08-2020, 13:11
หลวงพ่อบัว สิริปุณโณ วัดหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
หลวงพ่อบัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง มีอายุพรรษาน้อยกว่าองค์หลวงตา สถานที่ของการสนทนาธรรมในครั้งนี้ คือวัดป่าแก้วชุมพล อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ในปีนั้นหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้พักจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ด้วย การสนทนาในครั้งนี้ทำให้ปัญหาธรรมของหลวงพ่อบัว.. ผ่านพ้นไปได้ด้วยอุบายคำแนะนำขององค์หลวงตา

เหตุที่ท่านทั้งสองจะได้พบกันนั้น มีเหตุมาจากฆราวาสท่านหนึ่งชื่อโยมกล่อม ซึ่งเป็นโยมพ่อของท่านพระอาจารย์ปรีดา ฉันทกโร (หลวงพ่อทุย)* ครั้งนั้นโยมกล่อมตั้งใจมานิมนต์องค์หลวงตาไปทำบุญอายุหลวงปู่ขาว อนาลโย องค์หลวงตาถามโยมกล่อมทันทีว่า
“ไปนิมนต์หลวงพ่อบัวหรือเปล่าล่ะ ?”

แกตอบว่า “นิมนต์ครับกระผม”

องค์หลวงตาท่านว่า “ถ้าหลวงพ่อบัวไป เราจะไป เรายังไม่มีอะไร ๆ ยิบ ๆ ยิบ ๆ อยู่กับหลวงพ่อบัว พูดอะไรมันมีอะไรอยู่.. ข้อง ๆ ใจ เอานิมนต์ให้ได้นะ บอกด้วยว่าเราก็จะไปนะ”

จากนั้นโยมกล่อมก็ไปนิมนต์หลวงพ่อบัวถึงที่วัดของท่านเหมือนกัน ปรากฏว่าหลวงพ่อบัวก็ถามโยมกล่อมด้วยคำถามเดียวกันว่า “ได้นิมนต์อาจารย์มหาบัวหรือเปล่า ? ถ้าไม่นิมนต์อาจารย์มหาบัว อาตมาก็ไม่ไป ถ้าอาจารย์มหาบัวไม่ไป อาตมาก็ไม่ไป อาตมาจะไปเพราะอาจารย์องค์เดียวนี้เท่านั้น”

แกตอบว่า “ผมนิมนต์ท่านมานี้แล้ว ท่านก็ถามถึงเหมือนกันว่า หลวงพ่อบัวจะไปหรือเปล่า ?”

หลวงพ่อบัวกล่าวขึ้นทันทีว่า “โอ๋ย.. ถ้าท่านอาจารย์มหาไป เราไป ไป ไป ไป”

ว่าดังนั้นแล้ว ท่านก็ไปในงานนี้ทันที ในครั้งนั้นหลวงพ่อบัวท่านเป็นคนสั่งจัดกุฏิเองเลยทีเดียว โดยท่านพักอยู่หลังหนึ่ง และให้องค์หลวงตาพักอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับรั้วและอยู่ใกล้ ๆ กัน เพราะศาลาอยู่ลึก ๆ ตรงกลางวัด กุฏิในวัดที่ติดเขตรั้วก็มีเพียงกุฏิ ๒ หลังนี้เท่านั้น


=============================

* วัดป่าดานวิเวก (ดงสีชมพู) อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ

ลัก...ยิ้ม
02-08-2020, 13:28
เมื่อครูบาอาจารย์ทั้งสองท่านเสร็จธุระส่วนตัวแล้ว องค์หลวงตาจึงเริ่มซักไซ้ไล่เลียง หาเหตุหาผล เพื่อแก้ปัญหาข้อขัดข้องภายในของหลวงพ่อบัว ดังนี้

องค์หลวงตาเริ่มพูดก่อนว่า “ผมมามุ่งหลวงพ่อนะนี่ ผมไม่ได้มางานใด ๆ นะ”

หลวงพ่อบัวตอบว่า “ผมก็มามุ่งครูอาจารย์เหมือนกันแล้ว” องค์หลวงตาว่า “เอ้า เล่ามา..เป็นยังไง ? เอ้า.. เล่ามาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติทีแรก ภาวนาตั้งแต่เป็นตาปะขาวมาบวชทีแรก เล่าจนกระทั่งปัจจุบันเป็นยังไง อย่าปิดบัง เล่ามาโดยลำดับ เอ้า.. ผมจะฟังให้ตลอดวันนี้ ผมไม่ได้สนิทใจนักกับหลวงพ่อนะ ผมพูดตรง ๆ นะ”

จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็เล่ามาโดยลำดับ ๆ ๆ จนถึงจุดปัจจุบัน พอถึงจุดนี้ องค์หลวงตาบอกทันทีว่า
“เอ้า.. เล่าไปซี” ตอบว่า “พอ” องค์หลวงตาบอกอีก “เล่าไปซิ” ตอบว่า “หมดเท่านี้” องค์หลวงตาเลยถามว่า “แล้วความเข้าใจว่ายังไง ?” ตอบ “หมดเท่านี้”

ท่านถามอีกว่า “แล้วความเข้าใจว่ายังไงละ ? เอ้า.. ว่าซิ”

“เข้าใจว่าสิ้นแล้ว”

ท่านถามต่อว่า “แล้วเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว ?”

“เป็นมาได้ ๑๐ กว่าปีแล้ว”

เมื่อทราบความตามนั้นแล้ว องค์หลวงตาท่านก็ยังไม่ได้ตอบไปในเวลานั้น ว่าหลวงพ่อบัวสิ้นหรือยังไม่สิ้น แต่ท่านแนะนำทางเดินโดยเริ่มอธิบายในจุดที่ละเอียดให้ฟัง
“เอ้า.. ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนั้น ๆ นั้นนะ..เอาเลย ต่อจากนั้นให้เลย จับให้ดีนะ.. อธิบายให้ฟังเต็มที่ แล้ววันนี้ไม่ต้องไปสวดมนต์ ไม่ต้องไปในงานนู้น ให้ภาวนา เอาให้มันได้วันนี้ รู้วันนี้ละ มันเข้าวงแคบแล้วนี่น่า”

พอพูดกันจบเรียบร้อยแล้ว ท่านกล่าวต่อว่า “ไป..ลงไป เริ่มภาวนาตั้งแต่บัดนี้ไปนะ ทำยังงั้นล่ะ”

การอธิบายกันในคราวนั้น ท่านว่าใช้เวลานานพอสมควร เมื่อจบการอธิบายแล้ว จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็กลับไปภาวนาที่กุฏิ ส่วนองค์หลวงตาไปสวดมนต์ที่ศาลา ครั้นถึงตอนเช้า ขณะที่องค์หลวงตากำลังนั่งภาวนาอยู่ ยังไม่ทันออกจากที่ภาวนาเลย ก็มีเสียงกุ๊บกั๊บ ๆ ดังขึ้นในเวลาใกล้สว่างของวันใหม่ องค์หลวงตาจึงถามขึ้นว่า “ใครนี่ ?”

หลวงพ่อบัวตอบ “ผมครับ” “หลวงพ่อบัวเหรอ ?”

ตอบ “ใช่ครับ” องค์หลวงตาบอก “เออ.. ขึ้นมา ๆ”

จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็เล่าถึงการภาวนาในคืนนั้นให้องค์หลวงตาฟัง ดังนี้
“.. จับอุบายท่านอาจารย์ เข้าปุ๊บเลย.. เพราะแต่ก่อนมันไม่รู้นี่ ได้แต่เฝ้ากันอยู่นั้นเสีย แสดงว่าสำเร็จเสร็จสิ้นก็อยู่งั้นเสีย พอมาถึงที่นั้นแล้วก็เอาอุบายท่านอาจารย์เข้าใส่ปุ๊บ ๆ โห.. ไม่นานเลย ปรากฏเหมือนกับ.. คานกุฏิขาดยุบลงทันที เหมือนกับว่าก้นกระแทกดิน แต่ไม่เจ็บ เหมือนกับคานกุฏิขาดลง ตูมลงพื้นเลย

ฮึบ ทีเดียวเลย แต่จิตมันก็ไม่กังวลนะ เพราะมันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรนี่ ในขณะนั้นพอพึบลงไปนั่น ทีเดียวเท่านั้น นิ่ง... พอมันหายจากขณะนั้นแล้ว จิตก็รู้ตัว ออกมาข้างนอก มาก็มารู้ว่า
‘ฮื้อ.. ว่าคานกุฏิถ้าขาดแล้วมันก็ลงกันทั้งพื้นนี้ ลงไปถึงดินนั่น ทำไมมันถึงดี ๆ อยู่นี่’ มันก็รู้กันทันทีนะว่า ‘โห..นี่มันคานอวิชาขาด’

โอ้โห.. เวลานั้นมัน มันพูดไม่ถูกเลย.. พอขณะนั้น ทำงานกันไปเสร็จสิ้นไปแล้ว ทีนี้มันเหมือนกับว่า เป็นคนละโลกเลยเชียว ผมเลยไม่นอนทั้งคืน เมื่อคืนนี้...”

หลวงพ่อบัวกล่าวกับองค์หลวงตาอย่างซาบซึ้งจับจิตจับใจว่า
“... ผมกราบท่านอาจารย์ทั้งคืนเลย มันไม่ทราบเป็นยังไง มันกราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบท่านอาจารย์ตลอดคืนเลย ผมไม่นอนจนกระทั่งเดี๋ยวนี้เลย โฮ้.. มันอะไรเหมือนกับ ถ้าพูดภาษาพระพุทธเจ้าว่า เสวยวิมุตติสุข มันอะไรพูดไม่ถูก

อัศจรรย์ครูบาอาจารย์ พระธรรม เห็นคุณของท่านอาจารย์ ฮู้ย.. เห็นจริง ๆ เด่นจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ท่านเราจบไปแล้ว ไม่ไปถึงไหนแล้ว เดชะจริง ๆ กราบ ... กราบอยู่อย่างนั้น...”

องค์หลวงตาท่านปรารภถึงเรื่องนี้ว่า นับแต่นั้นมาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับหลวงพ่อบัว วัดหนองแซงอีกเลย จนกระทั่งหลวงพ่อบัวท่านมรณภาพไป องค์หลวงตาบอกว่า ถึงจุดนี้แล้วไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพิ่มเติมให้เป็นประโยชน์อีกแล้ว เพราะมันพออยู่ในตัวแล้ว หมดปัญหาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาพูดอีกแล้ว

ลัก...ยิ้ม
04-08-2020, 21:39
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

พระอาจารย์สิงห์ทอง เป็นพระกรรมฐานอีกรูปหนึ่งที่อยู่ทันสมัยหลวงปู่มั่น และได้ติดตามองค์หลวงตาไปตลอดตั้งแต่อยู่บ้านห้วยทราย จันทบุรี กระทั่งก่อตั้งวัดป่าบ้านตาด จึงมีความคุ้นเคยสนิทสนมกับองค์หลวงตามาก ครั้งหนึ่งท่านได้สนทนาธรรมในขั้นละเอียดสุด ดังนี้
“... ท่านสิงห์ทองมาถามเราเลยในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ เพราะเป็นลูกศิษย์เรามาดั้งเดิม พูดตรงไปตรงมา ท่านบอกว่า
‘เรื่องจิตของท่านเวลานี้ ในจิตมันไม่มีอะไรสงสัยแล้ว หายหมดไม่มีอะไร แต่ไม่บอกขณะ.. ไม่บอกขณะที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรเหลือในจิต ไม่มีเลย จิตไม่มีปรากฏกิเลสเลย หมด ๆ ๆ ไปเลย หายเงียบไป ในจิตนี้หายสงสัย แต่เรื่องขณะใดที่จะให้ทราบว่าสิ้นสุดขณะนั้นขณะนี้ไม่มี พิจารณาไป ๆ หมดไป ๆ หมดเอาเลย เลยไม่ทราบขณะว่าอย่างนั้น

นี่มันขัดข้องตรงนี้ แต่ไม่ได้ขัดข้องว่าเจ้าของมีกิเลสนะ มันขัดข้องครูบาอาจารย์และสาวกทั้งหลาย ท่านบรรลุธรรมอยู่ในอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน อันนี้ท่านเหล่านั้นรู้หมด.. แต่ผมไม่รู้ แต่มันหายสงสัยแล้ว.. เรื่องกิเลสนี้ไม่มี หายเงียบไปเลย’

จากนั้นเราแย็บให้ฟังว่า ‘เออ.. ที่ท่านเล่าให้ฟังนั้นน่ะ ผมไม่มีที่ค้าน จะมีก็มีแต่เงาเฉย ๆ เงาเช่นว่าเป็นขณะนั้นขณะนี้ องค์ไหนท่านเป็นท่านก็เล่าออกมา องค์ไหนไม่เป็น จำเป็นอะไรจะต้องเล่า กิเลสหมดก็หมดเท่านั้นเอง นี่อรหันต์มี ๔ ประเภท ให้ท่านเทียบก็แล้วกันนะ สุกขวิปัสสโก ผู้รู้อย่างเรียบไปเลยก็มี อย่างท่านไม่รู้เลย แต่ว่ากิเลสมีในใจ ไม่มี.. หมด แต่ไม่ได้บอกขณะใด เรียกว่าเรียบไปเลย ท่านอาจจะอยู่ในสุกขวิปัสสโก

เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์มีหลายประเภท องค์หนึ่งแสดงฤทธิ์อย่างนั้น องค์หนึ่งแสดงฤทธิ์อย่างนี้ องค์หนึ่งเงียบไปเลย อย่างท่านสิงห์ทองท่านว่าเงียบไปเลย ความสงสัยว่าเจ้าของมีกิเลสก็ไม่สงสัย หายสงสัย แต่อันนี้ไม่บอกขณะ ส่วนเตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต มีขณะบอก ๆ ๆ

ที่พูดมาแล้วไม่สงสัยในความรู้ของท่านที่เป็นแล้ว ผลของความรู้นั้นออกมาไม่มีที่ค้าน อย่างไรมันก็รู้อยู่กับจิตซึ่งเป็นนักรู้นั่นละ มันสิ้นหรือไม่สิ้นก็รู้’...”

องค์ท่านกล่าวสรุปให้ฟังว่า เรื่องขณะมันเป็นเงาต่างหาก ความจริงมันอยู่กับจิตที่เป็นนักรู้ด้วยกัน มันต้องรู้ของจริงด้วยกันและแจ้งออกมาจากนั้นเลย ภายหลังเมื่อท่านพระอาจารย์สิงห์ทองมรณภาพลงไปแล้ว อัฐิของท่านก็แปรสภาพเป็นพระธาตุในเวลาต่อมา

ลัก...ยิ้ม
05-08-2020, 23:35
ภาคปฏิบัติสอนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ จิตสอนจิตตรงแน่ว

“... ธรรมลี (หลวงปู่ลี กุสสธโร วัดภูผาแดง) ก็ตั้งแต่วันบวชแล้ว บวชวันถวายเพลิงหลวงปู่มั่น บวชวันนั้นที่วัดป่าสุทธาวาส ตั้งแต่บวชแล้วติดสอยห้อยตามเราตลอดเหมือนเด็กนะ ธรรมลีนี้เหมือนเด็ก ไม่มีธรรมวินัยอะไรเลย เอาพ่อแม่กับลูกเข้าเลย.. เป็นใหญ่กว่า เราจะไปไหนติดตาม คือไม่ต้องขออนุญาตนะ เห็นไหม.. ไปกรุงเทพฯ ด้วยต้องตาม ถ้าไปขออนุญาตท่านจะไม่ให้ไป ต้องขโมยไปแบบนี้แหละ เห็นไหมล่ะ เป็นอย่างนั้น ไปทีไร.. อยากไป ไปเลยนะ ปั๊บ.. ขโมยไปเลย เป็นอย่างนั้น นี่เป็นนิสัยอันหนึ่งเราก็ทราบ นี่ก็ตั้งแต่ต้นมาเราสอนตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยมา ...

ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่นที่ฝั่งธนฯ พอดีเราไปนวดเส้นก็ไปเจอท่านวันชัยที่นั่น ถามเหตุถามผล จะไปไหนมาไหนหลักเกณฑ์ไม่ค่อยมี ถามอาการเคลื่อนไหวของท่าน ลักษณะเป็นเร่ ๆ ร่อน ๆ ไม่มีหลัก เหมือนว่าหลักลอย ว่างั้นเถอะนะ จะไปไหนมาไหน พูดยาก ๆ ตอบยาก ๆ ลำบากการตอบ นี่แสดงให้เห็นว่าหลักลอย เราก็บอกว่า
‘ถ้าอย่างนั้นให้ไปอยู่วัดป่าบ้านตาดกับผมที่วัด’

เราก็ไม่เคยบอกใครให้เป็นอย่างนั้นนะ นี่ได้บอกเลย พอได้ความ พอเรากลับมาท่านก็ตามมา เราสอนตั้งหลักใหม่ก็ได้หลักจริง ๆ มาอยู่ที่นี่แล้วเข้า ๆ ออก ๆ จากนี้ก็ไปตั้งที่วัดนั้น เราก็ให้ไปอยู่ที่วัดภูสังโฆเรื่อยมา สักเท่าไรปีแล้ว มาอยู่กับเราตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ มันก็ ๒๓ ปีแล้วตั้งแต่เกี่ยวข้องกันมา ..

คือความตั้งใจมีแต่หาที่เกาะที่ยึดไม่ถูก มันก็ไม่มีประโยชน์นะ เพราะเราเห็นโทษของเรา เราจึงบอกเลย.. ท่านก็เลยมาที่นี่ มาได้หลักที่นี่นะ เดี๋ยวนี้ท่านได้หลักแล้ว ได้หลักมั่นคง คือท่านพูดเอง เราไม่ได้แนะไปก่อน ท่านพูดเอง แล้วตรงกับความจริง ๆ ตามขั้นของธรรม เราบอก เออ..ใช้ได้ ๆ เรื่อย ๆ ไป นี่ก็เป็นเพราะสำคัญละ เดี๋ยวนี้ท่านวันชัยดี ได้หลักเกณฑ์ดี ..

ท่านวันชัยก็มาพูดต่อปากต่อคำ เรื่องการภาวนาเป็นยังไง ๆ ขัดข้องตรงไหนเราเป็นผู้แก้ไขให้ทั้งนั้น ๆ จนกระทั่งทะลุ นี่อันหนึ่ง.. ภาคปฏิบัติเป็นของเล่นเมื่อไหร่ สอนกันสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ จิตสอนจิตนี้ตรงแน่ว ๆ ขั้นธรรมนี่ ... เช่น เสกตัวเป็นครูเป็นอาจารย์เขา เขาน้อยกว่าแต่ความรู้เขาสูงกว่าเราสอนไม่ได้นะ อาจารย์น่ะสอนลูกศิษย์ไม่ได้ ... ธรรมดาเราจะไม่บอกใครง่าย ๆ ให้มาอยู่วัดบ้านตาด .. นี่เราก็สอนมาตั้งแต่ต้นเหมือนกันกับท่านลี

ธรรมลีนี้เป็นเศรษฐีธรรมมานานแล้วนะ เรียกว่าเศรษฐีธรรม ถ้าธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรียกว่าเศรษฐีได้แล้ว เศรษฐีธรรม.. ธรรมภายในหัวอก ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วไม่จม .. การภาวนานี้ขึ้นอยู่กับผู้แนะนำ ถ้าผู้แนะมีหลักใจ มีขั้นสูงกว่า ๆ ทางนั้นพูดขึ้นมาปั๊บทางนี้เข้าใจแล้ว ที่บกพร่องตรงไหนที่ควรแก้อย่างไร เข้าใจแล้วแก้ปุ๊บ ๆ มันก็เร็ว ทำสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยความตั้งใจจริงอยู่ แต่มันไม่ค่อยได้ผลมากเท่าที่ควร ถ้ามีผู้แนะ ให้มีภูมิธรรมสูง แนะนี่ปั๊บ ๆ ถูกต้อง ๆ เกาะติด ๆ เลย..เร็ว ...”

ลัก...ยิ้ม
07-08-2020, 09:10
วัดโพธิสมภรณ์

วัดโพธิสมภรณ์ ตั้งอยู่ที่ถนนเพาะนิยม เลขที่ ๒๒ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี อยู่ทางทิศตะวันตกของหนองประจักษ์ มีเนื้อที่ ๔๐ ไร่

ความเป็นมา วัดโพธิสมภรณ์เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมหาอำมาตย์ตรี พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ เนติโพธิ) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร ได้ชักชวนราษฎรในหมู่บ้านหมากแข้งถากถางป่าจนพอควรแก่การปลูกกุฏิ ศาลาโรงธรรม สำหรับใช้เป็นที่บำเพ็ญบุญ และเป็นที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจำปีของหน่วยราชการ ใช้เวลาสร้างอยู่ประมาณ ๑ ปี ในระยะแรกชาวบ้านเรียกว่า วัดใหม่ เพราะแต่เดิมมีเพียงวัดมัชฌิมาวาส ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า วัดเก่า จากนั้นจึงได้กราบอาราธนา พระครูธรรมวินยานุยุต (หนู) เจ้าคณะเมืองอุดรธานี จากวัดมัชฌิมาวาส มาเป็นเจ้าอาวาส และได้นำความขึ้นกราบทูลขอชื่อต่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ ได้ประทานนามว่า วัดโพธิสมภรณ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ เนติโพธิ) ผู้สร้างวัดนี้

ประมาณ ๓ ปีต่อมา พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตรกับท่านเจ้าอาวาสได้เริ่มสร้างโบสถ์ด้วยอิฐถือปูน โดยใช้ผู้ต้องขังในเรือนจำเป็นแรงงาน พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร เป็นช่างผู้ควบคุมการก่อสร้างเอง แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็ได้ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕

ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ มหาเสวกโท พระยาราชนุกูลวิบูลยภักดี (อวบ เปาโรหิตย์) ขึ้นดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลภาคอีสาน และเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรธานีด้วย ได้มาเสริมสร้างวัดโพธิสมภรณ์ต่อ โดยขยายอาณาเขตให้กว้างออกไป และก่อสร้างเสนาสนะเพิ่มเติมอีกหลายหลัง พร้อมกับสร้างพระอุโบสถต่อจนแล้วเสร็จ และเห็นว่าภายในเขตเทศบาลจังหวัดอุดรธานี ยังไม่มีวัดธรรมยุตเลย สมควรจะตั้งวัดนี้ให้เป็นวัดของคณะธรรมยุตโดยแท้ จึงได้ปรึกษาหารือกับพระเทพเมธี (ติสฺโส อ้วน) เจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี โดยมีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรจัดพระเปรียญมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ เพื่อจะได้บริหารกิจการพระศาสนา ฝ่ายปริยัติธรรมและฝ่ายวิปัสสนาธุระให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จึงนำความคิดเห็นกราบเรียนต่อพระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ จากนั้นจึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธฯ ขอพระเปรียญ ๑ รูป จากวัดเทพศิรินทราวาส ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์สืบไป สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ จึงทรงมีรับสั่งให้เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เลือกเฟ้นพระเปรียญ ก็ได้พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พันธุโล) ป.ธ. ๓ น.ธ.โท ฐานานุกรมของท่าน ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักวัดเทพศิรินทราวาส เป็นเวลานานถึง ๑๕ ปี ว่าเป็นผู้เหมาะสม ทั้งยังเป็นที่ชอบใจของเจ้าพระยามุขมนตรีฯ อีกด้วย เพราะท่านได้เคยเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงอยู่ก่อนแล้ว พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พันธุโล) ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมเจดีย์ จึงได้ย้ายจากวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๖ วัดโพธิสมภรณ์จึงเป็นวัดของคณะธรรมยุตตั้งแต่บัดนั้นมา ปัจจุบันวัดโพธิสมภรณ์เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ

วัดโพธิสมภรณ์ ในระยะนั้นยังมีสภาพเป็นป่าละเมาะอยู่ มีเสนาสนะชั่วคราวพอคุ้มฝน บริเวณโดยรอบก็ยังเป็นป่า ไม่ค่อยมีบ้านเรือน เงียบสงบ อาหารบิณฑบาตตามมีตามได้ น้ำใช้ก็ได้จากบ่อบาดาลในวัด ซึ่งพระเณรช่วยกันตักหาบมาใส่ตุ่มใส่โอ่ง พระเณรระยะแรกยังมีน้อย ทั้งอัตคัตกันดารในปัจจัยสี่ แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะบริหารกิจการพระศาสนาให้เจริญก้าวหน้า พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พันธุโล) ได้ทุ่มเทพัฒนาวัดในทุก ๆ ด้าน ส่วนที่เป็นศาสนวัตถุนั้น ท่านได้บูรณะซ่อมแซมและสร้างเสริมเพิ่มเติมให้มั่นคงถาวร

ลำดับเจ้าอาวาสที่ครองวัดนี้ตั้งแต่เริ่มตั้งวัดจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้

รูปที่ ๑ พระครูธรรมวินยานุยุต (หนู) พ.ศ. ๒๔๕๐ – ๒๔๖๕

รูปที่ ๒ พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) พ.ศ. ๒๔๖๖ – ๒๕๐๕

รูปที่ ๓ พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จันททีโป) พ.ศ. ๒๕๐๕ – ปัจจุบัน

วัดโพธิสมภรณ์นี้ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองมีปูชนียวัตถุสำคัญ ดังนี้

๑. พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ มีอายุประมาณ ๖๐๐ ปี ปางมารวิชัย มีนามว่า “พระพุทธรัศมี” เป็นพระประธานในพระอุโบสถ

๒. พระพุทธรูปศิลาแลง ปางประทานพร สมัยลพบุรี มีอายุ ๑,๓๐๐ ปี ประดิษฐานไว้ที่ซุ้มฝาผนังพระอุโบสถด้านหลังเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙

๓. ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งได้หน่อมาจากรัฐบาลประเทศศรีลังกา ให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ นำมาปลูกไว้ด้านทิศเหนือพระอุโบสถ

๔. รอยพระพุทธบาทจำลอง สร้างด้วยศิลาแลง มีอายุ ๒๐๐ ปีเศษ ประดิษฐานไว้ในมณฑป ด้านทิศเหนือพระอุโบสถ

๕. พระบาทธาตุธรรมเจดีย์ เป็นเจดีย์พิพิธภัณฑ์ ๓ ชั้น บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และรูปเหมือนพระบูรพาจารย์ ๑๐ องค์ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๘

ลัก...ยิ้ม
10-08-2020, 23:15
หลวงปู่แหวนกับธนบัตร ๕๐๐ บาท

“... พูดถึงเรื่องเงินก็ระลึกถึงหลวงปู่แหวน อย่างนั้นละ..บทเวลาท่านจะทำ ท่านก็รู้ก็ปฏิบัติตามสมมุติอยู่ตลอดมา ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร ท่านเคารพนับถือฝ่ายสมมุติ ท่านก็เคารพว่าเงินว่าทองไม่ให้จับ ท่านก็ไม่จับเหมือนพระทั้งหลาย บทเวลาท่านจะพลิกล็อกนะ

อยู่ ๆ ก็ฟาด..ไปเอาธนบัตรใบละห้าร้อยมามวนบุหรี่ มวนใหญ่ ๆ เข้าใจไหมล่ะ ท่านสูบบุหรี่มวนใหญ่ หลวงปู่แหวนนั่นละ บทเวลาท่านจะพลิกล็อก มาเอาธนบัตรใบละห้าร้อยมวนบุหรี่สูบ.. ปุ๊บ ๆ ๆ พวกพระเณรก็ตกตะลึงกัน
‘อุ๊ย หลวงปู่ นี่มันธนบัตรใบละห้าร้อย เอามามวนบุหรี่สูบอะไร’

‘หือ’ ท่านว่างั้นนะ

ท่านทำ ท่าอย่างนั้นละ คือจิตของท่านผ่านไปหมด เรื่องสังฆาปาราชิกนี้ไม่มีในหัวใจ พูดตรง ๆ แต่กิริยาก็มีเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ท่านถึงเคารพกิริยา ต้องอาบัตินั้น อาบัตินี้ท่านเคารพ เวลาท่านพลิกปั๊บ อย่างที่หลวงปู่แหวนเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่ ท่านมวนบุหรี่ตัวใหญ่ ๆ นะ มวนบุหรี่ใส่ปุ๊บ ๆ ๆ

‘โอ๊ย หลวงปู่ทำไมเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่สูบอย่างนี้ล่ะ’

ท่านก็ว่า ‘หือ’ ทำท่าเหมือนไม่รู้นะ บทเวลาตอบ ‘ประสากระดาษ’ เท่านั้นละ

‘ประสากระดาษ’
ท่านก็สูบเฉยจากนั้นก็ทิ้ง จากนั้นไม่เคยทำอีกนะ ทำทีเดียวพอให้โลกได้รู้บ้าง คือจิตท่านบริสุทธิ์แล้วหมดนะ นี่เราใช้ตามกิริยาของสมมุติ พระเหล่านี้เป็นสมมุติ โลกมีสมมุติ พระเราก็เป็นสมมุติ รักษาสิกขาบทวินัยตามสภาพของสมมุติ เพราะฉะนั้น ท่านจึงรักษาธรรมวินัยเช่นเดียวกันหมด แต่จิตใจท่านผ่านไปหมดแล้ว

คำว่าสังฆาปาราชิกอะไรนี้.. ไม่มีในจิต แต่มีในกิริยาที่จะต้องปฏิบัติให้เหมาะสมต่อสังคมที่อยู่ร่วมกัน นั่น..ท่านก็แยกอย่างนั้น แต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นไม่เคยเห็นนะ เวลาท่านพูดท่านพูดเฉย ๆ ท่านไม่ทำ ท่านพูดไปเหมือนกัน พูดแถวนี้แหละ แต่ท่านจะไม่ทำ หากพูด พูดใกล้เคียงกันกับที่ว่าเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนสูบ มวนบุหรี่สูบเหมือนอย่างหลวงปู่แหวน เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ทำอย่างนั้น กิริยาท่านพูดน่ะมี มีอย่างนั้น

‘คือจิตที่พ้นไปหมดแล้ว มันหมดแล้วเรื่องสมมุติ ไม่มีอะไรเข้าถึงจิตดวงนั้น เพราะทั้งหลายไม่ว่าอาบัติอาจีอะไรนี้.. มันเป็นสมมุติทั้งหมด ส่วนจิตนั้นผ่านหมดแล้ว.. เข้าไม่ถึง แต่ทีนี้เมื่อมีสมมุติอยู่ โลกทั้งหลายเขามีสมมุติ ปฏิบัติต่อกันให้เป็นความเหมาะสม ท่านจึงปฏิบัติตามสมมุติอย่างนั้น’

อย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่น ท่านไม่เคยข้ามเกินพระธรรมวินัยข้อใด ทั้ง ๆ ที่เวลาพูด.. ท่านก็พูด ท่านพูดเกี่ยวกับใจเสีย ท่านแยกออกมา สมมุติท่านก็บอกเราต้องปฏิบัติอย่างโลกเขาปฏิบัติกัน เพราะสมมุติกับสมมุติขัดกันไม่เหมาะ แน่ะ.. ว่างั้นนะ สมมุติกับสมมุติก็เคารพกัน นั่นท่านว่างั้น อย่างหลวงปู่แหวนที่ท่านว่า ท่านพลิกล็อกนะนั่น .. พลิกล็อกเป็นจิตล้วน ๆ แล้วไม่มีอะไรเข้าถึง ท่านแสดงออกมาทางกิริยาแย็บเดียว จากนั้นท่านก็ไม่เคยทำอีก ท่านทำให้เป็นข้อคิดเฉย ๆ ไม่ใช่ท่านดื้อด้าน ท่านทำเป็นข้อคิด...”

ลัก...ยิ้ม
13-08-2020, 12:54
พระสาวก ... ครั้งพุทธกาล

พระจิตคุปต์

“... อย่างพระจิตคุปต์นั้นน่ะ ไปเล่าถวายถามธรรมะท่าน เทวดาทั้งหลายมีความรักท่านมากที่สุด ท่านจะไปที่ไหนไม่ยอมให้ไปง่าย ๆ พวกเทวดาอยู่ในถ้ำนั้นน่ะ เขารักษาท่านอย่างเข้มงวดกวดขัน เวลาท่านอยู่นาน ๆ ใครนิมนต์ไปไหน ๆ ท่านก็ไม่ยอมไป แม้ที่สุดพระมหากษัตริย์นิมนต์ท่านให้ไปพระราชวัง ท่านก็ไม่ยอมไป ถึงขนาดพระมหากษัตริย์ทรงออกอุบายทีเดียว ต้องขออภัย.. ต้องเอาผ้าไปพันนมแม่ลูกอ่อน... ไม่ให้กินนมแล้ว

พระราชารับสั่งให้นำผ้าไปพันนม แล้วให้รีบไปนิมนต์พระจิตคุปต์มาพระราชวัง ไปนิมนต์ก็กราบเรียนท่านตามความจริง เวลานี้พระราชาท่านเอาผ้าพันนมแม่ลูกอ่อน
.. ไม่ให้ลูกอ่อนกินนม จนกว่าท่านอาจารย์นี่จะลงไปเยี่ยมพระราชาเมื่อไหร่ ท่านจึงประกาศเปิดผ้ากินนมแม่ลูกอ่อนให้.. ลูกถึงจะได้กินนม พอทำอย่างนั้น

พระจิตคุปต์ว่า ‘ตาย ! ถ้าอย่างนี้เด็กก็ตายหมดล่ะซิ’ คึกคักลงเดี๋ยวนั้นเลย

ทีนี้เขาร่ำลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ท่านเป็นพระอรหันต์ไป.. ก็ไปเรียนถามท่าน ไหนเวลานี้ประชาชนทั่วเขตแดนว่า ‘ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เวลานี้ท่านอาจารย์เป็นรึยัง’

‘โอ้ย ! ยังนะ’

‘ยัง เป็นยังไงเล่าให้ฟังซิ’ อาจารย์นี่ถึงจะสูงกว่าลูกศิษย์ก็สูงกว่าในฐานะเป็นอาจารย์ ลูกศิษย์ก็เป็นพระอรหันต์

พอว่างั้น ‘ท่านอาจารย์ติดข้องตรงไหน ว่ามา’

พอถวายธรรมะปึ๋งเข้าไปเท่านั้น ‘เอาล่ะ ที่นี้รู้ช่องทางแล้ว เออ ! เข้าใจแล้ว เอาล่ะ.. ที่นี้รู้ช่องทางแล้ว’

ท่านกำลังป่วยนะ เวลานั้นลูกศิษย์ไปเยี่ยม ทีนี้เวลาถามถึงภูมิธรรมท่าน... ตามที่คนเขาร่ำลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เวลาลูกศิษย์ที่เป็นพระอรหันต์ไปถาม ท่านบอกว่าท่านยัง ถ้ายังท่านขัดข้องว่ามา ท่านก็อธิบายออกมาให้ฟัง... ลูกศิษย์ก็ถวายธรรมปึ๋งเข้าไปให้พิจารณาอย่างงั้น ๆ

‘เออ ! เข้าใจแล้ว.. ทางเดินเข้าใจแล้ว ออกไปได้’ คือให้ลูกศิษย์ออกไปจากที่ท่านนอนเป็นไข้ พอลูกศิษย์ออกไปยังไม่ถึงไหน ยังไม่พ้น พอออกไป ‘เออ ! เข้าใจแล้ว’...”

ลัก...ยิ้ม
13-08-2020, 13:01
พระสาวก ... ครั้งพุทธกาล

พระอานนท์ บรรลุธรรม

“... พระอานนท์ จะเป็นพระอรหันต์ในวันทำสังคายนาตามพระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้ จึงเว้นช่องไว้สำหรับพระอานนท์ช่องเดียว ๔๙๙ ที่ ๕๐๐ เอาไว้สำหรับพระอานนท์ พระอานนท์ไม่นอนทั้งคืน ภาวนามีแต่เร่งที่จะให้ตรัสรู้ ทีนี้ไม่อยู่ในปัจจุบันธรรมที่ควรจะตรัสรู้ละซี ก็เอาแต่เรื่องที่พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้แล้ว อีก ๓ เดือนเธอจะได้บรรลุธรรม ก็เลย ๓ เดือน ๆ อยู่ข้างนอกไม่ได้เข้ามา...

จนกระทั่งจวนจะสว่างแล้ว เห็นท่าไม่ได้การ.. มุ่งจะบรรลุเท่าไร ก็มีแต่มุ่งตามวันตามคืน ตามกาลเวลาที่พระองค์ทรงทำนายไว้เท่านั้น ไม่ได้มุ่งเข้ามาจุดในปัจจุบันที่จะตรัสรู้ธรรมก็ไม่ตรัสรู้ ก็เลยทอดอาลัยเสีย เราจะไม่ไหวแล้วนะนี่ วันพรุ่งนี้จะทำสังคายนา เราจะพักสักหน่อย พอว่าพักสักหน่อย ความยึดของจิตในอดีตวันทำสังคายนานี้ก็สงบไป จิตหดเข้ามาเป็นปัจจุบัน นั่น

พอเอนกายลงไปอย่างนี้ พระอานนท์จึงสำเร็จในอิริยาบถ ๔ จะว่านั่งก็ไม่ใช่ จะว่านอนก็ไม่ใช่ จะว่ายืนว่าเดินก็ไม่ใช่ .. ท่านเอนลงกำลังจะนอน เอนลงท่านี้ หัวยังไม่ถึงหมอนนะ.. ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเวลานั้นเลย นี่..จิตเป็นปัจจุบัน หดเข้ามาเป็นปัจจุบัน.. ไม่แส่ส่ายไปตามอดีต อนาคต ก็เลยตรัสรู้ผึงขึ้นมาก็ทราบเอง...”

ลัก...ยิ้ม
13-08-2020, 13:22
องค์หลวงตากราบเยี่ยมหลวงปู่ชอบ


องค์หลวงตาได้ไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดโคกมน จังหวัดเลย ในโอกาสเดียวกันกับที่ได้เข้าสนทนาแก้ปัญหาธรรมกับหลวงปู่คำดี วัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย ดังนี้
“... พอเที่ยงเราก็ออกจาก (วัดป่าบ้านตาด) นี้ .. ออกจากนี้ไปแล้วก็ไปพักที่วัด ตื่นเช้าวันหลัง ฉันเสร็จแล้วก็จะไปหาท่านอาจารย์คำดี .. ทีนี้ไปบิณฑบาต .. เดินไปด้วยกันสององค์ พระไปก่อนแล้ว เรากับท่านเดินตาม ๆ ไปคุยกันไปเพราะมีโอกาส

เราไปค้างที่วัดโคกมนคืนหนึ่ง แต่ก่อนเป็นศาลาหลังเก่า ไปคราวนี้ไม่ได้ไปดู ยังอยู่หรือเปล่าไม่รู้..ศาลากรรมฐาน แต่ก่อนตอนไปบิณฑบาตท่านถือไม้เท้าไป ไม้เท้าก็พวกไม้เปาะ (ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง) นี่แหละ แป๊ก ๆ ไป เดินไปคุยกันไปแล้วหันหน้าปั๊บ
‘ฮ่วย ท่านมหาขอเงินสัก ๓ พันหน่อยน่ะ’

‘จะไปทำอันนั้น ๆ’ ‘เอ้อ ให้’ ว่างั้นเลย พอกลับมาเราก็จัดไปให้ท่านเลย นั่นเวลาจะพูดเป็นอย่างนั้น

หลวงปู่ชอบกับเราสนิทกันมากนะ สนิทกันมาเป็นเวลานานแต่สมัยหลวงปู่มั่น อยู่หนองผือท่านก็ไป หลวงปู่ขาวก็ไปพักที่นั่นด้วยกัน หลวงปู่ชอบก็ไป แต่นั้นมาสนิทกันมาเรื่อย โคกมนเราก็เคยไปเสมอ แต่ก่อนตอนสังขารร่างกายท่านปรกติ.. เราเคยไปพักกับท่านก็เคยไป โคกมน..

นิสัยท่านกับสัตว์ป่ามีเสือเป็นต้น รู้สึกว่าท่านสนิทกับเสือมาก เสือมาหาท่านบ่อย ๆ เราพูดอย่างนี้ใครเชื่อได้ เขาไม่เชื่อใช่ไหม ก็เขาไม่เป็นท่าน ครูอาจารย์แต่ละองค์ ๆ จะเด่นไปคนละทิศละทาง หลวงปู่ขาวนี่เกี่ยวกับช้าง ช้างป่า ช้างบ้าน คุ้นทั้งนั้น หลวงปู่ชอบนี่พวกเทวดาด้วย เสือนี่สำคัญ..มาหาบ่อย แปลกอยู่นะ พูดขึ้นว่าเสือเรายังไม่เจอก็ยังน่าหวาดเสียว ท่านไปพักประเทศพม่า ท่านอยู่บนเขาบนถ้ำ ไปพักอยู่ในถ้ำ มีแคร่เล็ก ๆ อยู่ ๆ ๕ โมงเย็นกว่า ๆ แล้ว เสือก็ขึ้นไปนั้น ทางจงกรมท่านอยู่นี้สุดนี้ แคร่ท่านอยู่นั่น

อยู่ ๆ เสือโคร่งก็โผล่ขึ้นมา ท่านมองไปเห็น ‘มาอะไร’ แน่ะ..ฟังซิ มันมองมาดูคน มองดูที่มันจะโดดขึ้น หัวจงกรม มันโดดขึ้นไปนอนอยู่นี้ มันเป็นหินเป็นลาน ๆ อยู่หน่อยหนึ่ง มันโผล่ขึ้นมาแล้วก็มองดูคน แล้วมองดูนี้สักเดี๋ยวก็็โดดปุ๊บขึ้นเลย นอนเลียแข้งเลียขาอยู่นั้นเฉย แน่ะ..เห็นไหมล่ะ ท่านก็อยู่ .. มันน่าเชื่อไหมล่ะ พวกตาบอดหูหนวกพวกเรามันไม่เชื่อง่าย ๆ แหละ ความจริงขนาดไหนมันก็ไม่ยอมเชื่อ

‘มึงขึ้นมาอะไร’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่ได้พูดอะไรกับมันแหละ ขึ้นมาก็มานอนเหมือนหมานอน เลียแข้ง เลียขา เลียเล็บมัน ดูคนนิดเดียว ๆ จนกระทั่งค่ำ ๆ เข้า ๆ ก็ยังอยู่ที่นั้น ทีนี้ท่านจะเดินจงกรมไปนั้นมันก็นอนอยู่ข้างบน ท่านเดินจงกรมนี้.. มันรู้สึกเสียว ๆ ท่านว่า ‘มีขยาด ๆ นิด ๆ จะกลัวก็ไม่เห็นกลัว’ ท่านจะเดินจงกรมเข้าไปนั้นรู้สึกเสียว ๆ นิด ๆ เพราะมันนอนอยู่นี้

วันนั้นต้องสละ กลางคืนเลยไม่กล้าเดินจงกรม นั่งสวดมนต์ภาวนาแล้วก็นอนเลย ตื่นขึ้น จุดไฟขึ้นมามันยังนอนอยู่นั้น นอนเงียบนะ ท่านก็ไม่กล้าเดิน ท่านว่าอย่างนั้น จนกระทั่งเช้าขึ้นมา ทีนี้นอนไม่กระดุกกระดิกเลย เหมือนหมานอน ถึงเวลาจะลงไปบิณฑบาตมันยังอยู่จะทำยังไง ทางบิณฑบาตก็ไปทางหัวจงกรมนี้.. ตรงไปนี้ เสือก็นอนอยู่นี้ ทีนี้เลยไปที่นั่นละ ท่านเรียบร้อยแล้ว.. ครองผ้าแล้วไป

ลัก...ยิ้ม
13-08-2020, 13:55
พอท่านเดินไปนั้นก็ว่า ‘นี่..เราจะไปบิณฑบาต พระหิวข้าวนะ’ พูดหยอกเล่นกันกับมัน มันเฉยแต่มองดูเราอยู่ ‘นี่..พระหิวข้าว’ พูดกับมัน ‘จะบิณฑบาตมาฉัน อยากไปที่ไหนก็ไป อยากอยู่ที่นี่ก็แล้วแต่ หรืออยากไปที่ไหนก็ไป’ เท่านั้น ท่านก็เดิน เขาก็นอนเฉย ๆ ท่านก็ลงไป แต่ท่านไม่กล้าพูดให้ใครฟัง กลัวเขาจะมาทำลายมัน ไม่พูดเลย..ท่านว่า กลัวเขาจะมาทำลายมัน

บิณฑบาตฉันในบ้านนะ มีแคร่ออกมาข้างนอกมาฉัน เพราะมันไกล ท่านว่าพวกญาติโยมเขาเคยปฏิบัติอยู่แล้วอย่างนั้น พอบิณฑบาตออกมาก็มีที่พัก..ฉันที่นั่น ฉันเสร็จแล้วล้างบาตรล้างอะไรเสร็จ ท่านก็สะพายบาตรขึ้นเขา มาสายเลยหายเงียบเลย เขาลงไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตั้งแต่บัดนั้นก็ไม่เห็นขึ้นมาอีก แต่เสียงมันร้องอยู่ตามข้าง ๆ โอ๋ย.. มันร้องของมันประจำท่านว่า แต่ไม่เคยขึ้นมาอีก.. อย่างนั้นละ..บ่อยนะ ท่านว่ากับเสือ เสือมาหานี่บ่อย ไม่เห็นมีทำอะไร บางทีท่านไล่มันไป มันยังนั่งดูเราอยู่เฉย ท่านเลยเอาผ้าโบก.. ไปนะ โดดโก้ก..มันตื่น ลงไปนั้นก็ไปเฉย พอมันลงไปแล้วไปบิณฑบาต หรือมันจะเล่นไม่ซื่อกับเราน้า ท่านนึกในใจ ไปนี้ก็ต้องชำเลืองดู หรือมันจะไปหมอบอยู่ข้างทาง มันลงไปแล้ว..เสือโคร่ง ท่านก็ลงไปบิณฑบาต ตามข้างทางไม่มีเลย ไปไหนไม่รู้ บ่อยละ..กับเสือ ครูบาอาจารย์ชอบ.. เรื่องเสือนี้เด่นกว่าเพื่อน ได้คุยกันสนุกสนาน เรื่องอรรถเรื่องธรรมก็สับปนกันไปนั้น

ท่านไปอยู่ประเทศพม่าตั้ง ๕ ปี ท่านพูดภาษาพม่าได้คล่อง คงจะไปอยู่กับพวกพม่าเลยหรือยังไงก็ไม่รู้ หรือพวกไทยใหญ่ เพราะประเทศพม่าก็มีหลายแห่ง เราก็ไม่ได้ถามท่าน มีแต่ว่าพม่าเท่านั้น เลยเข้าใจว่าประเทศพม่าเลย แต่ท่านพูดภาษาพม่าได้คล่องนะ แสดงว่าไปอยู่กับพวกพม่าจริง ๆ มันเป็นเรื่องแปลก..เรื่องอัศจรรย์อย่างนั้นละ เวลาแสดงขึ้นมาใครจะไปคาดได้ยังไง คาดไม่ได้

ตอนนั้นสงครามอังกฤษมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น พวกอังกฤษ ท่านไปอยู่ที่นั่น เขาเลยมาเห็นท่านว่าเป็นพระไทย ยิ่งถือเป็นข้าศึกใหญ่โต บอกเขาชี้แจงให้ทราบ ‘ท่านมานี้ ท่านมานานแล้ว.. ก่อนสงคราม ท่านมาอยู่ที่นี่’

เขาฟังแต่เขานิ่ง ๆ นะ ท่านไม่มีอะไรกับใคร กับโลกกับบ้านเมืองอะไร.. ไม่มี ท่านมาภาวนาของท่านอยู่อย่างนี้ พูดแล้วเขาก็ไป แล้ววันหลังมาอีก มาก็มาไล่เบี้ยอีกแหละ ก็ชี้แจงให้ฟัง จนกระทั่งเขายืนยันรับรอง ‘ถ้าจะทำลายท่าน ให้ทำลายคนทั้งบ้านนี้เสีย’

เขาก็ว่าอย่างนั้น เขาเชื่อ.. เขารับรองเลยว่าไม่มีอะไร ดูลักษณะเขายังไม่ไว้ใจอยู่นะ เห็นท่าไม่ได้การ นั่นละ..เหตุที่จะได้กลับเมืองไทย เขาก็เลยมาพูดกับท่าน.. อย่างนี้ไม่ไว้ใจละ ดูท่ามันมาอยู่เรื่อย เขาก็เลยพาท่านไปส่งทาง ทางมันทางป่า พวกคนป่าเขาเที่ยวหากัน ส่วนมากก็พวกยาฝิ่นยาอะไร แล้วเขาก็บอกทาง ให้จับทางนี้ไว้ให้ดี.. ไปข้างหน้าจะมีทางพวกโขลงช้าง พวกอะไรผ่านไปผ่านมา ให้จับทางนี้ไว้ให้ดี อย่าปล่อยทางนี้ ทางนี้จะถึงเมืองไทยเลยเขาบอก ไม่มีบ้านผู้บ้านคน มาในป่าไม่ได้ฉันจังหัน มากลางคืนด้วย พักที่ไหนก็พัก โอ๊ย.. สัตว์เสือเต็มป่าเต็มดง แต่ไม่มีอะไรละ ท่านก็มาของท่าน

ลัก...ยิ้ม
14-08-2020, 00:26
ทีนี้เป็นวันที่สองหรือที่สามไม่ทราบนะ เพราะท่านเดินทางอยู่เรื่อย ๆ ท่านเพลีย..เพลียเอามาก จะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว ‘เอ๊..ทำไงนี่ ยิ่งอ่อนยิ่งเพลียลงทุกวัน หิวข้าวก็หิว’ เพลียกับความหิวก็อันเดียวกันนั่นแหละ ท่านเลยนึกวิตกขึ้น อย่างนั้นนะ

‘ตั้งแต่เรายังดี ๆ อยู่ อยู่ที่ไหนเทวดาก็มาหาเราอยู่เสมอ เวลาเราจนตรอกจนมุมนี้เทวดาไปไหนหมด ไม่เห็นมีสักตนสองตน หรือจะปล่อยให้พระตาย มาหวังเอาผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้นหรือ ไม่ได้คิดถึงอรรถถึงธรรมที่กว้างขวางครอบโลกเหรอ’

ท่านนึกเฉย ๆ นะ ท่านนั่งรำพึงเพราะเหนื่อยมาก จากนั้นท่านก็เดินทางต่อไป ไม่นานนะ ห่างจากนี้ไปก็ประมาณสัก ๓๐ นาทีท่านว่า พอไปมีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาแล้วมานั่งจบอาหาร กำลังนั่งจบอยู่ อ้าว.. ดงนี้ก็เป็นดงป่าแท้ ๆ ไม่มีผู้มีคน ผู้ชายคนนี้มาจากไหนน้า ผิดสังเกตเอาเหลือเกิน ท่านก็เดินไปตามด่านนั้นแหละ เขานั่งจบอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ว่า ‘นิมนต์พระคุณเจ้าพักฉันจังหันที่นี่เสียก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไป เขาก็บอกเลยว่าจะถึงเมืองไทยในวันนี้แหละ’

เขาพูดบอกเลยนะ นี่โยมมาจากไหน มาจากโน้น ชี้ขึ้นฟ้านู่น ไม่บอกว่ามาจากบ้านใดเมืองใด มาจากนู้น ท่านก็สังเกตดูลักษณะท่าที ก็เหมือนคนเรานี่แหละไม่ได้ผิดกันเลย อะไรก็เหมือนกันหมด การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนกันหมด ทีนี้เวลาเขาเอาของมาใส่บาตร ท่านก็ปลดบาตร ปลดอะไร ของอยู่ในบาตรท่านก็ปลดออก แล้วก็รับบาตรเขา พอรับบาตรเสร็จแล้วท่านก็ให้พรเขา

คนเดียวเท่านั้นละ.. ผู้ชาย พอให้พรเสร็จแล้ว ถ้าคนอื่นพูดก็เป็นอย่างหนึ่ง นี่ท่านพูดเอง เป็นเรื่องแปลกประหลาด เรื่องอัศจรรย์ ท่านว่า พอให้พรเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็บอกว่า ‘จะลาละครับ’

เขาก็เดินไป มันมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ข้างนั้น เขาก็เดินไปข้าง ๆ พอไปยังต้นไม้นั้นแล้วหายเงียบไปเลย ท่านคอยมองดูจะเดินไปที่ไหนอีกก็ไม่เห็น ก็ต้นไม้ใหญ่ ๆ มันโล่งข้างล่าง มองไปมันก็เห็นหมด ท่านว่าไปลับต้นไม้ต้นเดียวแล้วหายเงียบเลย เอ๊.. ไปยังไงน้า มองที่ไหนก็ไม่เห็น ท่านเลยเดินตามไปดู ไปก็เห็นแต่ต้นไม้เปล่า ๆ คนนั้นก็หายเงียบเลย ท่านเลยกลับมาฉันจังหัน

แต่อาหารนี่มันแปลก ท่านว่ากลิ่นมันไม่ได้กลิ่นเหมือนอาหารธรรมดาเรา พูดไม่ถูก ท่านว่างั้น ฉันก็พอดีเลย พอดีเราอิ่ม อันนั้นก็พอดีหมด ทำไมมันจึงช่างเหมาะกันเหลือเกิน ท่านฉันแล้วก็มีกำลัง พักสักหน่อยท่านก็เดินทางต่อไป ได้รำพึงถึงเทวดานั้นยิ่งกว่าที่เขามาหาเราตอนกลางค่ำกลางคืน เพราะท่านเคยติดต่อเทศนาว่าการสอนเขาเป็นประจำ เพราะฉะนั้นถึงว่าซิ เวลาพระจะเป็นจะตายเทวดาไม่เห็นมามอง มามากต่อมาก นี่มาก็มาคนเดียว แล้วท่านก็มาถึงเมืองไทยวันนั้นแหละ แปลกอย่างนั้นละ..ฟังซิ บ้านคนไม่มี แต่อาหารมันแปลก กลิ่นไม่เหมือนอาหารเรา

ทีนี้อาหารก็เป็นอาหารคนเราธรรมดานะ ไม่ใช่เช่นอย่างอาหารเจแจอะไร..ไม่มี ก็อาหารพวกเนื้อพวกปลาธรรมดา มันก็แปลกอยู่ ท่านว่า จึงได้คิด เอ๊อ.. ความคิดความคาดนี่มันคิดไม่ได้นะ คาดไม่ได้นะ อย่างนี้จะเป็นอะไร จะให้เป็นคนธรรมดาเป็นไปไม่ได้ ท่านว่างั้น เพราะไม่ใช่บ้านผู้บ้านคน อาหารก็เหมือนกัน.. กลิ่นอาหาร โอชารสรู้สึกว่าซึ้งทุกอย่าง ฉันลงไปก็พอดีหมด พอดีอิ่ม นี่อันหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟัง

มาหลัง ๆ นี้คนยุ่งท่านตลอด พระเณรก็โกโรโกโส ทำให้เสียไปหมดนั่นแหละ พระแบบเปรต แบบผี แทรกอรรถแทรกธรรมนั่นซิ..มันมีอยู่ อยู่ด้วยกันคุยสนุกแหละกับท่านอาจารย์ชอบ เพราะคุ้นกันมาก...”

ลัก...ยิ้ม
14-08-2020, 13:40
พระอรหันต์ ๔ ประเภท

“... พระอรหันต์ ๔ ประเภทตามที่ท่านแสดงไว้ในตำรา .. สุกขวิปัสสโก ผู้รู้แจ้งเห็นจริงอย่างเรียบราบ สงบไปเลย..เงียบ ๆ สงบร่มเย็นไปเลย ไม่ผาดไม่โผน ไม่โจนทะยานในกิริยาที่กิเลสขาดจากใจ ท่านเรียบหมดไปเลย

เตวิชโช ได้วิชชา ๓ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ จุตูปปาตญาณ เล็งดูสัตว์โลกที่เกิดที่ตายเกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี้ได้ อาสวักขยญาณ ก็จ้าอยู่ในหัวใจแล้ว

ฉฬภิญโญ นี่ประเภทที่สาม ได้อภิญญา ๖ เหาะเหิน เดินฟ้า ดำดิน บินบน หูทิพย์ ตาทิพย์ เนรมิตได้หลายอย่างหลายประการ คนเดียวตั้งเป็นพันเป็นหมื่นคนก็ได้

ประเภทที่สี่ จตุปฏิสัมภิทา ๔ แตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ คือ อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา

อัตถปฏิสัมภิทานี้ พูดมาเพียงย่อแต่ตีความหมายออกได้กระจ่างแจ้งไปหมด อัตถะ คือครอบเอาไว้ บวกไว้ ถ้าเป็นมัดก็มัดไว้ เขาเรียกกระทู้ แก้กระทู้คือว่าแก้มัด เช่นมัดเป็นกองอย่างนี้ พอแก้นี้ออกกระจายออกไป

ธัมมปฏิสัมภิทา ธรรมะแต่ละแขนง ๆ แตกออกอีก ๆ ที่แตกกระจายออกไปจากอรรถนี้เป็นธรรม ธรรมแตกกระจายออกไป

นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในคำพูด วาจาการโต้การตอบ เทศนาว่าการ ไม่มีอัดมีอั้น ล้ำยุคล้ำสมัยไปตลอดเลย กระจายไปหมด แตกฉาน

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ยังแตกฉานครอบ ๓ อัตถะ ธัมมะ นิรุตติ ครอบไปอีก

พระอรหันต์ประเภทที่สี่นี้ ครอบหมดในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นประเภทที่เด่นมาก เยี่ยมในวาสนาของท่าน กิ่งก้าน สาขา ดอก ใบ นี้เป็นเครื่องประดับท่านสวยงามไปหมด ชุ่มเย็นไปหมด กระจายออกให้โลกได้รับความชุ่มเย็นไปกว้างขวางมากมาย ...

ส่วนความบริสุทธิ์นั้นเสมอกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา จนกระทั่งถึงสาวกองค์สุดท้าย เสมอภาคกันหมดเป็นอันเดียวกัน ... นี่คือพื้นฐานแห่งธรรมธาตุ ... ที่ต่างกันตามอำนาจวาสนาของผู้บำเพ็ญบารมีมา กว้าง แคบ ลึก ตื้น หนา บาง ต่างกันในวาสนาอันนี้ ตามนิสัยวาสนาที่สร้างมา ทำความปรารถนาต่างกัน ปรารถนาเป็นอรหันต์แล้ว เมื่อถึงขั้นเป็นอรหันต์แล้ว.. ขอให้มีอำนาจวาสนาหนักในทางนั้น ๆ เด่นในทางนั้น ๆ เวลาสำเร็จมาแล้วก็เป็นอย่างนั้น ...”

ลัก...ยิ้ม
14-08-2020, 13:52
๑๐. เทศนาธรรมสงเคราะห์โลก


นับแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นต้นมา ภายหลังหมดสิ้นความสงสัยในธรรมทั้งปวงแล้ว องค์หลวงตาได้เมตตาสงเคราะห์โลก ด้วยการแสดงพระธรรมเทศนาแก่หมู่เพื่อนพระเณร นักปฏิบัติด้านจิตภาวนา ตลอดถึงฆราวาสญาติโยมที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ตลอดจนสงเคราะห์ด้านวัตถุสิ่งของแก่โลก อย่างไม่อาจประมาณค่าเป็นตัวเลขได้


@@@@@@@@@@@@@@@@


องค์ท่านสอนคณะศิษย์อยู่เนือง ๆ ให้ทราบหลักการฟังธรรมที่ถูกต้องและอานิสงส์แห่งการฟังธรรม ดังนี้
“... การฟังเทศน์อบรมจิตใจ ให้ตั้งไว้ที่จิตของเรานี้ เรียกว่า สติเฝ้าบ้าน จิตนั่นแหละเป็นบ้าน เวลาท่านเทศน์ไปจะเห็นผลประจักษ์ ดังท่านแสดงไว้ในธรรมว่า การฟังเทศน์มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่าง

ข้อ ๑. ผู้ฟังจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง

ข้อ ๒. สิ่งใดที่เคยได้ยินได้ฟังแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจชัด จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดขึ้น

ข้อ ๓. จะบรรเทาความสงสัยเสียได้

ข้อ ๔. จะทำความเห็นให้ถูกต้องได้

ข้อ ๕. เป็นข้อสำคัญ จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส นี่เกิดขึ้นจากขณะฟังเทศน์ จิตเมื่อไม่ส่งออกข้างนอกย่อมสงบ เมื่อสงบย่อมผ่องใส

นี่เป็นคุณสมบัติประจำผู้ที่ฟังเทศน์ด้วยความตั้งใจจริง ๆ ผลจะปรากฏอย่างนั้น จิตสงบผ่องใสนี่สำคัญ ถ้าสงบแล้วก็ผ่องใส...”

ลัก...ยิ้ม
15-08-2020, 00:05
เทศนาอบรมพระ

การเทศนาสอนโลกขององค์หลวงตา ท่านจะแสดงธรรมอบรมพระแยกจากฆราวาส เพราะพระและฆราวาสมีชีวิตความเป็นอยู่และความมุ่งมั่นต่างกัน เนื้อธรรมที่แสดงจึงต่างกันออกไป หากแสดงธรรมรวม ๆ กันแล้วผลย่อมไม่เต็มที่ องค์ท่านเคยเปรียบเหมือนกับการปรุงแกงหม้อใหญ่ให้คนจำนวนมากได้รับประทาน จะให้ถูกปากทุก ๆ คนย่อมเป็นไปไม่ได้ จากนั้นถ้ามีเวลาเหลือพอ องค์ท่านจึงจะแสดงธรรมเพื่อชนกลุ่มน้อยด้วย เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงกัน


*****************


“ธัมโม หเว รักขติ
ธัมมาจาริง
พระธรรมย่อมรักษา
ผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว”


*****************

ลัก...ยิ้ม
15-08-2020, 00:11
สอนตนจริง สอนผู้อื่นก็จริง

ในอดีตช่วงเรียนหนังสือและออกปฏิบัติ การเทศนาว่าการของท่าน มีแต่การเทศน์สอนตนเองตลอดมา หากมีเทศน์บ้างก็เพราะเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ดังนี้
“... พอออกปฏิบัติแล้ว ทีนี้มันก็เป็นมหาแล้วล่ะ การเทศนาว่าการก็ไม่ได้เป็นอารมณ์ ... ไม่เคยสนใจกับการเทศน์ให้ใครฟัง นอกจากเทศน์สอนเจ้าของอย่างเดียว แต่ก็หากมีที่จำเป็นจนได้นั่นแหละ บางทีไปก็ไปพักอยู่บ้านใดบ้านหนึ่ง เขามีงานในบ้านของเขา เขาต้องมานิมนต์เราไปเทศน์ เราบอกว่า ‘เทศน์ไม่เป็น’

เขาไม่ยอมเชื่อเลย เขาว่า ‘เป็นมหาแล้ว โอ๊ย.. อย่าว่าเลยว่าเทศน์ไม่เป็น’ เขาว่านะเนี่ย มหาก็ฆ่าตัวเองได้เหมือนกันนะ เขาไม่ยอมเชื่อเลย ‘ลงเป็นมหาแล้ว เทศน์ไม่เป็นไม่มี’ เขาว่าเลย.. อันนั้นก็ไปเทศน์

เวลาจำเป็นจริง ๆ หากมีเป็นบางแห่ง ๆ เพราะเราเที่ยวไปหลายแห่ง ไปบางทีก็มีงานในหมู่บ้านของเขา เขาก็นิมนต์เรามาเทศน์ มันก็จำเป็นต้องได้มา นาน ๆ ที นอกนั้นไม่เอาไหนละ.. ไม่เทศน์นะ เทศน์สอนใครไม่เทศน์เลยละ

จากเรียนมาเข้าด้านปฏิบัติแล้วยิ่งไม่สนใจเลย นอกจากจำเป็นอย่างที่ว่านี้ เราก็เทศน์ให้ฟังเสียบ้างเท่านั้น นอกนั้นไม่เอาเลย ๆ จากนั้นมามันก็เกี่ยวข้องกับเพื่อนกับฝูง กับประชาชน ญาติโยม ก็ต้องได้เทศน์ไปเรื่อยละ... เรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้

ลัก...ยิ้ม
15-08-2020, 00:27
เทศน์สอนเรานี่มันยากนะ เทศน์สอนเรานี่มันเอาจริงเอาจังทุกอย่าง มัดกันทุกแง่ทุกมุมจึงเรียกว่าสอนละซิ เทศน์สอนประชาชนเขาจะเก็บได้หนักเบามากน้อย มันก็เป็นกำลังของเขา แต่เทศน์สอนตัวเองนี้มันเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ว่ายังไงต้องอย่างงั้นนะ บังคับเลยนะ เรียกว่าสอนตัวเอง บีบกันตลอดเลย นี่ละมันยากกว่าสอนประชาชนนะ...”

ครั้นเมื่อองค์ท่านสอนตนเอง บังคับตนเองจนเห็นผลเป็นที่พอใจแล้ว ต่อมามีพระเณรเข้ามาเกี่ยวข้องขออยู่ศึกษาด้วย ท่านก็ให้ความใส่ใจที่จะแนะนำสั่งสอนอย่างจริงจัง ดังนี้
“... ผมสอนจริง ๆ สอนหมู่สอนเพื่อน ขอให้เห็นใจ รับไว้แต่ละองค์ ๆ นี้ผมรับไว้จริง ๆ ด้วยเหตุด้วยผล สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มภูมิความสามารถที่จะสั่งสอนได้ การดูหมู่เพื่อนภายในวัดนี้ซึ่งเป็นเสมือนอวัยวะของผม ผมดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน.. ทุกอย่างเต็มสติกำลังความสามารถของผม ที่อื่น ๆ ผมไม่ได้สนใจ

ผมเคยพูดเสมอ พอออกนอกวัดไปแล้ว ใส่แว่นตาดำไปเลย ไม่สนใจเพราะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบแล้ว เราไม่ใช่ผู้ที่จะให้โอวาทสั่งสอนใคร ๆ นี่ เป็นเรื่องของเขา สมบัติของใครของเรา.. แต่นี้หมู่เพื่อนน้อมกาย วาจา ใจ เข้ามาเพื่อให้เราเป็นภาระ อาจริโย เม ภันเต โหหิ, อายัสมโต นิสสาย วัจฉามิ นี่ก็รับด้วย โอปายิกัง, ปฏิรูปัง, ปาสาทิเกน สัมปาเทหิ...

ท่านถึงได้ว่า พึ่งตัวเองยังไม่ได้ ต้องอาศัยครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งไปก่อน ๕ พรรษานั้น ท่านพูดไว้พอประมาณ ถ้า ๕ พรรษาล่วงแล้วยังเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องอยู่เพื่อศึกษาอบรมกับท่านผู้ดีกว่าตนต่อไป คิดดูซิ.. พระ ๖๐ พรรษาที่ยังไม่มีหลักเกณฑ์ ก็ยังต้องมาของนิสัยจากผู้ ๑๐ พรรษา.. แต่มีหลักจิตหลักธรรมวินัย ท่านบอกไว้แล้วในพระวินัย เพราะมันไม่สำคัญอยู่กับพรรษา แต่สำคัญที่ความทรงตัวได้หรือไม่ได้ สำคัญตรงนี้ต่างหาก ...”

ลัก...ยิ้ม
15-08-2020, 11:28
ด้วยความรับผิดชอบและปรารถนาดีต่อพระเณรที่มาศึกษา จึงกลายเป็นความเข้มงวดกวดขันในข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ อย่างจริงจัง ดังนี้
“เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ กับพระ กับเณรนี้เด็ดจริง ๆ เพราะฉะนั้น ท่านถึงได้นำมาพูดคือจริงจังทุกอย่าง หลักธรรมหลักวินัยเคลื่อนไม่ได้ แต่ก่อนเป็นอย่างนั้น นี่..ที่เขาร่ำลือว่าอาจารย์มหาบัวดุ ๆ คือเขาเห็นแต่เผิน ๆ คือเข้มงวดกวดขันข้อปฏิบัติ แต่ก่อนไม่ค่อยมีประชาชนญาติโยมเข้าไปเกี่ยวข้อง มีแต่พระเณรล้วน ๆ มันก็เข้มงวดกวดขันกันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย..ใช่ไหมล่ะ ?

พวกญาติโยมมา ควรว่าบ้างก็ว่าบ้างเล็กน้อย ดุบ้างอะไรบ้างอย่างนี้ละ ใครก็ร่ำลือว่าอาจารย์มหาบัวดุ ๆ เดี๋ยวนี้เขาลบลายหมดแล้ว ไม่มีเหลือละคำว่าดุ ๆ แล้วดุเท่าไรยิ่งคลานเข้ามา พวกบ้าไม่รู้จักดุ”

ลัก...ยิ้ม
15-08-2020, 11:41
หยุดเทศน์ยาวด้วยโรคหัวใจ

องค์ท่านกล่าวถึงวันที่เริ่มต้นเป็นโรคหัวใจ จนต้องยุติการแสดงธรรมนานหลายปี ดังนี้
“... ระยะ ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ เทศน์กรรมฐานล้วน ๆ พวกพระจะได้ฟังเทศน์เรา กัณฑ์มีตั้งแต่นั้นละ ฟังไม่มีใครมายุ่ง มีแต่เทศน์สอนพระร้อยเปอร์เซ็นต์พุ่ง ๆ เทศน์แต่สมาธิ – ปัญญา อย่างเดียวมันคล่องตัว.. พุ่ง

จากนั้นมาปี ๒๕๐๖ ทรุดใหญ่ โรคหัวใจกำเริบ จากนั้นมาเรื่องก็ไม่เป็นท่า ตะเกียกตะกายเทศน์ หยุดมา ๓ หรือ ๔ ปี.. ไม่เทศน์เลย แม้แต่แขกก็รับไม่ได้นะ อย่าว่าแต่ไม่เทศน์เลย รับแขกก็รับไม่ได้

เริ่มเป็นวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๐๖ เป็นตอนกำลังเทศน์ในงานเผาศพท่านอาจารย์กงมา จิรปุญโญ เจ้าอาวาสวัดดอยธรรมเจดีย์ วันนั้นคนเป็นหมื่น ๆ พระเป็นพัน ๆ

คือตามธรรมดา ๆ เทศน์ธรรมดา ๆ มันก็ไม่เร็วน่ะ เป็นธรรมดาไป ถ้าเทศน์ทั่ว ๆ ไปนี้มันก็เป็นธรรมดาทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยเร่งไม่ค่อยเร็วล่ะ...

เราก็เทศน์มุ่งไปทางพระเรามาก เพราะฉะนั้น มันถึงเผ็ดร้อน ธรรมะมันก็ผึง ๆ ๆ เลย... พอเทศน์ถึงขั้นสมาธิ .. เรื่องสมาธิเรื่องปัญญานี้เร็ว เริ่มต้นสมาธิก็เริ่มเร็วขึ้น แล้ว.. ขั้นของสมาธิกี่ขั้นกี่ภูมิไปตามความละเอียดของสมาธิ ก็เร็วไปเรื่อย ๆ และยิ่งเข้าขั้นปัญญาและปัญญาอัตโนมัติด้วยแล้วยิ่งไปใหญ่เลย.. หมุนติ้ว ๆ เวลามันเป็นอย่างนั้นมันหมุนสิ นี่เราไม่เคยเป็น.. มันอะไรพูดไม่ถูกนะ เหมือนกับเราจะสลบบนธรรมมาสน์ กึ๊กเดียวเลย กึ๊กเดียวเท่านั้น โห.. เราก็ไม่เคยเป็น หยุดกึ๊กเลยเชียว ‘ทำไมเป็นอย่างนี้’

แต่สติรู้ตลอดเวลาจนกระทั่งรู้สึก รู้สึกชัดเจนว่า
‘อ๋อ ! นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าเป็นโรคหัวใจ เป็นอย่างนี้ อย่างนี้เอง’

คือมันตัวสั่นหมด.. มันจะสลบในเวลานั้น เลยหยุด ถ้าธรรมดาแล้ว..ดีไม่ดี..ตาย แต่นี้มันก็ไม่เป็นไร จิตใจไม่มีอะไร มันเป็นอะไรก็ดูตามธาตุขันธ์ พอมันค่อยคลี่คลายออกมา ๆ นี้ .. พอค่อยเบาเรื่องภายในนี่แล้วออกมาทางส่วนร่างกายนี้ ตัวมันสั่นหมด เอวังก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี พอลงจากธรรมมาสน์ได้ก็ลงจากธรรมมาสน์เลย กราบมับ ๆ หนีเลย คนก็มืดแปดทิศแปดด้านเลย ไม่ทราบว่าเราลงธรรมมาสน์เมื่อใด เราไม่ได้เกี่ยกับใครนี่ ลงธรรมมาสน์แล้วไปเลย คนจะตาย จะอยู่ได้ยังไง

ตั้งแต่บัดนั้นมาก็รู้ว่า ‘อ๋อ ! โรคหัวใจมันเป็นอย่างนี้ ๆ รู้มาโดยลำดับ ๆ’ ...

นั่นละ..เทศน์กำลังเร่งเต็มเหนี่ยว ๆ หยุดกึ๊กเลย โรคหัวใจมันกระตุกเอาอย่างแรง ขั้นจะสลบไสล ตั้งแต่นั้นมาไม่ได้เทศน์เลย หยุดเลยต้อนรับแขกคน พูดอะไรกับใครไม่ได้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๑๒ มา เล่นกับแขกคนอะไรไม่ได้เลย...

จากนั้นปี ๒๕๑๔ – ๒๕๑๕ เริ่มพูดได้บ้างเล็กน้อย ทั้งพูดทั้งระวัง แล้วปี ๒๕๑๘ – ๒๕๑๙ เริ่มเทศน์สอนคุณเพาพงา (ป่วยเป็นมะเร็ง ขอมาปฏิบัติธรรมเตรียมตัวตาย ที่วัดป่าบ้านตาด) ... เทศน์ไม่ได้มากก็เริ่มเทศน์ เทศน์ได้พอธรรมดา ๆ เร่งไม่ได้ มันกระเทือน ต่อมามันก็กำเริบอีกในปี ๒๕๒๘ – ๒๕๒๙ ก็รุนแรงเหมือนกัน หมอเขาห้ามรับแขก จึงหลบหนีไปอยู่ทางพัทยา ... ในสวนลึก ๆ อันนั้นก็บังคับเลย เรียกว่าไม่รับแขกทั้งนั้น คนมาจังหันมากเรื่องมาก ทางกรุงเทพฯ ก็ไป ทางที่ไหนสามย่าน ตอนเช้าเต็มไปทุกวัน ๆ นั่นแหละ

แต่เรามีข้อบังคับเอาไว้ เราจะรับได้เฉพาะตอนเช้านี้ เพราะไม่ใช่เป็นเวลาพูดเทศนาว่าการ พอขบฉันเสร็จแล้วให้เลิกไปเลย ทำอย่างนั้นนานนะ ทีละอาทิตย์กว่า ๆ เกือบสองอาทิตย์ก็มี ไปพักสองหนสามหน .. จากนั้นค่อยเบามาเรื่อย ๆ แล้วค่อยเทศน์ มาทุกวันนี้เบาโรคหัวใจแทบไม่มี..ถ้าธรรมดานะ แต่ธาตุขันธ์นี้มันก็บวกกันเข้า มันก็อ่อนด้วยธาตุด้วยขันธ์
‘เทศน์ทุกวันนี้ก็เทศน์ไปอย่างนั้น ถ้าเทศน์รุนแรงก็ไม่ได้ มันไปกระเทือนตรงนั้น ให้หายมันไม่หาย เป็นแต่เพียงมันสงบเท่านั้นเอง’ ...”

ลัก...ยิ้ม
15-08-2020, 11:55
ธาตุขันธ์... เครื่องมือธรรม

ความสะดวกในธาตุขันธ์เป็นสิ่งสำคัญต่อการเทศน์ ดังที่องค์ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
“... เทศน์ของเราเวลาหนุ่มนี้ .. ไหลเลย.. เวลาอัดเทปนี้... กำลังเร่ง ๆ พอดีลมหายใจหมด เนื้อธรรมยังไม่หมด เลยต้องรีบสูดลมหายใจดังฟิ้ว ฟิ้ว เลยนะ เสียงมันติดอยู่ในเทปนะ ถึงขนาดนั้นนะ เดี๋ยวนี้ โอ๊ย.. ตายเลย.. นี่ละมันต่างกันนะ ธาตุขันธ์มันเป็นยังงั้นจริง ๆ นี่..เทศน์แต่ก่อน มันไหลออกมา

ยิ่งเทศน์ธรรมะขั้นสูงเท่าไรยิ่งฟังจนแทบไม่ทัน มันเป็นจริง ๆ นะ มันพุ่ง..พุ่งเลย เพราะธรรมะออกจากนี้ล้วน ๆ..ล้วน ๆ ไม่ได้ไปคว้าคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ ออกจากนี้.. ธรรมะสูงเท่าไรมันยิ่งเด็ด ๆ ๆ ยิ่งเร็วมันยิ่งพุ่ง เทศน์นี้เร่งจนกระทั่งถึงว่าเป็นปืนกลไปเลย... นี่ละเวลายังหนุ่มน้อย

แต่มันก็เป็นกรรมอันหนึ่งเหมือนกัน พอจากนั้นมาแล้วเป็นโรคหัวใจ ตั้งแต่ ๒๕๐๖ มาเลย นั่นละ..ล้มไปเลย เทศน์นี้หยุดหมด จนกระทั่ง ๒๕๑๒ – ๑๓ พอพูดได้บ้างเล็กน้อย จาก ๒๕๐๖ ไปถึง ๒๕๑๑ – ๑๒ นี้ไม่ได้พูดเลย แม้แต่ต้อนรับแขกก็ไม่เอา หลบหลีกปลีกตัวไปหาอยู่ในป่าในรกไป ซุ่ม ๆ ซ่อน ๆ รับแขกไม่ได้

พอ ๒๕๑๓ –๑๔ ไปแล้ว ก็มีเทศน์บ้างเล็กน้อย จนกระทั่งถึง ๒๕๒๐ ... ที่ลงหนังสือเล่มธรรมชุดเตรียมพร้อมและหนังสือศาสนาอยู่ที่ไหน.. ที่ออกมาเนี่ย เทศน์สอน ... ตั้งเกือบร้อยกัณฑ์ เทศน์สอนทุกวัน .. นั่นละเริ่มเทศนาละ ถึงไม่เข้มข้นก็ตาม ก็เรียกว่าเริ่มเทศน์ละ จากนั้นมาก็ค่อยไปเรื่อย ๆ หากอยู่ในเกณฑ์ระวังโรคหัวใจนี้อยู่ตลอด มันจึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่จะเทศน์เด็ด ๆ เผ็ด ๆ ร้อน ๆ เหมือนแต่ก่อน โอ๋.. ไม่ได้ ว่างั้นเลย จึงต้องลดลง นี่ก็เรียกว่าเป็นกรรมอันหนึ่งเหมือนกัน

หากว่าร่างกายนี้มันพร้อมมาตลอดแล้ว การเทศน์นี้รู้สึกว่าจะกว้างขวางมาก เพราะเทศน์ไม่มีหยุดนี่นะ ที่หยุดก็หยุดเพราะโรคต่างหาก โรคบีบบังคับ หยุดไปสักพักหนึ่ง ถึงมาเริ่มออก ... เทศน์แต่ก่อน จริง ๆ พูดได้จริง ๆ เพราะเราเทศน์อย่างนั้นจริง ๆ มันเป็นในนิสัยจิตใจของเราเองนี่ เทศน์ออกมานี้ ไม่ได้บีบไม่ได้บังคับ มันหากเป็นของมันเอง ยิ่งเทศน์ภาคปฏิบัติด้วยแล้ว มันยิ่งไหลเลยนะ คล่องที่สุดเลย พุ่ง..พุ่ง..พุ่งเลย...”

นอกจากโรคหัวใจจะเป็นเหตุให้ท่านหยุดเทศน์แล้ว ในช่วงที่เกิดสงครามเวียดนามก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งด้วย ที่ไม่อาจเทศน์อบรมพระได้ เนื่องจากมีเสียงรบกวนจากเครื่องบินไอพ่น ที่บินขึ้นลงสนามบินทหารในจังหวัดอุดรธานีอยู่ตลอด

หากกล่าวถึงระดับความรุนแรงโรคภัยไข้เจ็บประจำองค์ท่าน ในช่วงอดีตที่ผ่านมา ความหนักหน่วงมิได้มีผลต่อการเทศนาว่าการเท่านั้น ยังกระทบอย่างรุนแรงต่อธาตุขันธ์ร่างกายขององค์ท่าน .. ชนิดคณะแพทย์ศิริราชต้องตื่นตระหนกอีกด้วย แต่เพราะ “ใจ” และ “ธรรมโอสถ” ของท่านสามารถผ่อนหนักเป็นเบาลงได้ ดังนี้
“... เรื่องใจสำคัญนะ เรายกตัวอย่างพวกหมอศิริราช เขาตั้งหน้าตั้งตามานิมนต์เราไปค้างที่ศิริราชสักคืนหนึ่ง ให้ไปค้างที่นั่นเลย แล้วเขาเอาเครื่องอะไรพะรุงพะรังมาให้เราแบก เอาเครื่องมาวัดไว้เพื่อจะได้ดูชัดเจน พอปลดออกมาเขาดู ทีนี้ตอนหลังมาเขาปลดอันนั้นออกมา เขาว่านี่ ‘โอ้โห’ หมอคนไหนก็ ‘โอ้โห ๆ’ ทั้งนั้น ‘แล้วเป็นยังไง ?’

เขาว่า ‘ถึงแค่นี้ตายไปแล้ว นี้มันเลยไปอีกนู้น.. ท่านยังเฉยอยู่ ลงขนาดนี้แล้วมันตายไปห้าทวีปแล้ว นี่ท่านอยู่ได้ยังไง เห็นท่านเฉยธรรมดา ท่านอยู่ได้ยังไง’

นี่ก็คงกำลังใจ..ใช่ไหมล่ะ กำลังธรรมกำลังใจ เราไม่มีอะไรกับใคร พวกหมอ โอ๊ย.. ตกใจ..ตกใจกันทั้งนั้น พอออกมาดูแล้ว ก็อย่านั้นละ..กำลังใจ ก็เราไม่มีอะไร เราพูดจริง ๆ เรื่องกำลังใจ กำลังธรรม เป็นอันเดียวกันแล้ว มันจึงไม่มีสะทกสะท้านหวั่นไหวกับอะไรในสามโลกธาตุ

เราพูดจริง ๆ ให้สมชื่อสมนามว่า เราสอนลูกศิษย์นี้สอนจริง ๆ หรือสอนหลอกลวงท่านทั้งหลาย เราเป็นอยู่นี่..คิดดูซิ.. หมอเขาเอามาตรวจกลางคืน ให้เราไปค้างคืนที่ศิริราช โถ.. เนี่ย ๆ เขาว่างั้นนะ พวกหมอเขานั้นแหละ เขาว่าเนี่ย..มันตายตั้งแต่ขั้นนี้แล้ว นี่ท่านยังไปอยู่โน้น เดี๋ยวนี้น่ะไปอยู่โน้น ท่านอยู่ได้ยังไงว่างั้น พวกบ้า..เราอยากว่างี้

‘ก็อยู่ได้ด้วยธรรมละซิ พวกไม่มีธรรม มันเป็นบ้า มันตื่นกัน อย่างนั้นละ’ จบแล้ว...”

ลัก...ยิ้ม
15-08-2020, 23:33
สัญญา ... ไม่เที่ยง

นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นต้นมา องค์ท่านได้งดเทศน์อบรมพระเณรในวัด ส่วนการนิมนต์ไปเทศน์ข้างนอกนั้นท่านงดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลที่ท่านเคยกล่าวไว้ ดังนี้
“... ไปเทศน์ที่นู่นก็เทศน์ลำบากมาก ไปก็ไม่ได้พักทั้งวัน .. เหนื่อย แล้วความจำ.. เทศน์ไปก็หลง อ้าว ไปถึงไหนแล้วล่ะ ว่าอย่างนี้แล้ว อยู่บนธรรมมาสน์นั่น ลืมแล้ว ไม่ทราบเทศน์เรื่องอะไรมา เอ้า.. ตั้งใหม่ ๆ อย่างงั้นนะ..เดี๋ยวนี้ความจำไม่เป็นท่า มันไม่เอาไหนแล้วความจำ

ขันธ์ ๕ เป็นทั้งเครื่องมือของกิเลสด้วย เป็นทั้งเครื่องมือของธรรมด้วย เวลากิเลสเป็นเจ้าของมันก็เอาเป็นเครื่องมือ สนุกฟัดเหวี่ยงกัน ทีนี้มาเป็นเครื่องมือของธรรม ธรรมก็นำมาใช้ซิ ก็ใช้ขันธ์อันเดียวกันนี้ เป็นแต่เพียงว่าธรรมท่านไม่ยึดเท่านั้นเอง กิเลสมันยึดเป็นของมัน ขันธ์ ๕ ทั้งหมดเป็นของกิเลสทั้งหมด

กิเลสยึดแต่ธรรมท่านไม่ยึด.. ใช้เป็นเครื่องมือเฉย ๆ ต่างกันเท่านั้นเอง แต่ต้องเอาขันธ์ ๕ เทศน์ มันชำรุดตรงไหนก็ไม่สะดวกตรงนั้นแหละ อย่างเช่นความจำนี้ เทศน์ไป ๆ มันหลงลืมไป.. แล้วจะเอาอะไรมาเทศน์ต่อกันไป

เมื่อเงื่อนต้นหลงลืมไปแล้วจะต่อไปหาเงื่อนปลายยังไงได้ จำไม่ได้ก็ตั้งใหม่ มันก็เป็นแบบใหม่ไปอีก .. เทศน์ที่ไหน ๆ เขานิมนต์ไปที่ไหนไม่เอาแล้ว เทศน์ลำบาก.. ..เหนื่อย ทั้งความจดจำก็ยิ่งเลวลงทุกวัน ๆ ...”

อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ แม้จะชราภาพเพียงใด องค์ท่านก็ต้องยอมฝืนสังขารอีกครั้ง เดินทางไปเทศน์นอกสถานที่เกือบทั่วประเทศ เพราะความรักชาติบ้านเมือง และความเมตตาสงสารพี่น้องชาวไทยนั่นเอง หลังจากนั้นไม่นาน เทศนาของท่านก็เผยแพร่กระจายออกไปทั่วโลกส่งผ่านด้วยระบบอินเทอร์เน็ต เริ่มจากถอดคำเทศน์เป็นตัวหนังสือ ต่อมาเป็นเสียงเทศน์และวีดีโอเทศน์ ลำดับสุดท้ายเป็นการถ่ายทอดสดทั้งในวัดป่าบ้านตาด และทุกสถานที่ที่องค์หลวงตาแสดงธรรม ดังนี้
“ไปเทศน์ที่ไหนออกทั่วโลก ๆ ตลอดเลย มันก็มีขบขันที่พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง เรานี่เทศน์สอนโลกตั้งแต่โน้นแหละ มาตั้งแต่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์มาแล้วนั้น ... เทศน์มาโดยตลอด เบื้องต้นก็เทศน์สอนพระอยู่ในป่าในเขา จากนั้นพระก็มากขึ้น ๆ ประชาชนก็เกี่ยวข้องมากขึ้น”

ช่วงปลายชีวิตขององค์หลวงตา ราวต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๒ องค์ท่านเมตตากล่าวว่า “เทศน์ก็ลดลง ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้ยังเหลือแต่สูหนี่ อย่างอื่นไม่มี เหลือแต่สูหนี่”

ลัก...ยิ้ม
16-08-2020, 00:02
นิทาน “สูหนี่”

“... หลวงตาจะเล่านิทานให้ฟัง พ่อเฒ่า เรียกว่าพ่อตา ลูกเขย ลูกสาว เข้าใจไหมล่ะ พ่อตา ตื่นแต่เช้าก็ไปเผาสวนเผาไร่ที่มันเศษมันเหลือ เผาส่วนใหญ่ยังไม่เสร็จ ตอนเช้าตื่นแต่เช้าก็ไปเผาไร่เผาสวน ที่มันยังเศษยังเหลือ ยังเผาไม่หมด ไปแต่เช้าเลย ก็คิดว่าลูกสาวเขาจะไปตามหลัง

เผาสวนตั้งแต่เช้าจนสาย มันก็หิวละซิ.. ไม่ได้กินข้าว จนกระทั่งสาย ๆ หิวข้าว หิวจัด หิวมากทีเดียว จนตะวันเที่ยง ลูกเขยกับลูกสาวจึงหาบกล่องข้าว ต้อนแต้น ๆ ไป..เข้าใจบ่

มันก็โมโหซิ คนกำลังหิวข้าวหลาย ๆ สิว่าจังได๋มันก็เกินไป.. จะว่าอะไรมันก็จะเกินไป พอเห็นลูกสาวกับลูกเขยหาบกล่องข้าวต้อนแต้น ๆ ไปนั่นละ ไปเห็นหน้าเขาก็ ‘สูหนี่’ (พวกเธอนี่หนา)

มีแต่ ‘สูหนี่’ ถ้าจะว่าอะไรมันก็จะเลยเถิด ก็มีแต่ ‘สูหนี่ ๆ’ เข้าใจไหม เลยพูดอะไรไม่ได้ มันจะเลยเถิดเพราะความโกรธ ความเคียดแค้นมันเต็มหัวใจ .. จะว่าอะไรมันจะเลยเถิด เลยบังคับเครื่องเอาไว้ออกได้แต่เพียงว่า ‘สูหนี่ ๆ’ ความหมาย.. ทำไมมาสายนัก กูหิวข้าวกำลังจะตาย..สูรู้ไหม ความหมายว่างั้นแหละ

แต่นี่พูดอะไรไม่ออก ก็พูดได้แต่เพียงว่า ‘สูหนี่ ๆ’ เข้าใจไหมล่ะ นี่เทศน์กัณฑ์หนึ่งแล้ว เทศน์ ‘สูหนี่ ๆ’ อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ เรานั่งอยู่ในร่ม พวกนี้ตากแดด.. มันร้อนจะตาย แทนที่ทางนั้นจะว่าเรา ‘สูหนี่’ ไม่ว่า ‘สูหนี่ไม่ร้อนเหรอ สูหนี่ ม่ร้อนเหรอ’ เขาน่าจะโมโหว่าให้เรา เขานั่งตากแดดว่าสูหนี่.. เขาไม่กล้า ตกลงเราเลยต้องว่าเสียเอง ว่าพวกนี้นั่งตากแดดมันจะเป็นจะตาย เลย ‘สูหนี่ไม่ร้อนเหรอ’ เข้าใจเหรอ

พูดนิทานย่อ ๆ ให้ฟังเสียก่อน พูดกันอย่างนี้ละ นิทานเอาย่อมา ๆ เรื่อยมา...”

ลัก...ยิ้ม
17-08-2020, 00:25
น้ำธรรมไหลพุ่ง

ด้วยการสอนที่จริงจัง บางครั้งทำให้ผู้มาใหม่เข้าใจว่าองค์ท่านดุด่า ในเรื่องนี้องค์ท่านเมตตากล่าวถึงสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่นไว้ ดังนี้
“... พอไปถึงหลวงปู่มั่น มันหาที่ค้านไม่ได้.. อยู่นานเข้า ๆ มันรู้ เวลาท่านดุด่าพระเณร ดุใครก็ตามนะ ดุมากดุน้อย ธรรมะจะออกล้วน ๆ ๆ มากน้อย เด็ดเท่าไร.. ธรรมะยิ่งพุ่ง ๆ ก็หาที่ต้องติว่าเป็นตัณหาประเภทใดไม่ได้ เด็ดเท่าใดธรรมะยิ่งออกพุ่ง ๆ แล้วเราก็ปรับตัวของเราตลอดเวลา ปรับตัวของเราอยู่เรื่อย ๆ จึงค่อยเข้ากันได้ เข้าใจเรื่องของท่าน

สุดท้ายถ้าท่านไม่อยู่มันเหมือนกับขาดอะไร ถ้าเป็นอาหารก็ขาดอะไรยังงั้นนะ มันไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าได้ยินเสียงเปรี้ยง.. ดังเปรี้ยงปร้าง เอาละซิ ถ้าเป็นฝนก็ฟ้าร้องแล้วเตรียมหาอะไรมารองรับ

อันนี้เด็ดเท่าไร ธรรมยิ่งไหลออกมาเลย มันก็ยิ่งอบอุ่นนะ ท่านดุยังงี้มันไม่ใช่ดุ เลยย้อนหลังกลับมา มันมีแต่กำลังของธรรมล้วน ๆ ไม่ใช่ท่านดุนะ มันก็จับได้เลย

คือกิริยาท่านแสดงเอาขันธ์นี้ใช้ ขันธ์นี้เป็นเครื่องมือของกิเลสมาดั้งเดิม พอกิเลสมุดมอดไปหมดแล้ว ธรรมก็เอาขันธ์นี้เป็นเครื่องมือ กิริยาท่าทางขึงขังตึงตังจึงเป็นเหมือนกับกิเลส เพราะมันมีเครื่องมืออันเดียวกัน แต่อันนี้มันเป็นพลังของธรรม เด็ดเท่าไร.. ยิ่งมีแต่เรื่องของธรรมล้วน ๆ ออกมา กิริยาคล้ายคลึงกัน

เมื่อมันรู้แล้ว มันก็ยอมรับน่ะซิว่า.. อ๋อ เราก็เลยเทียบได้เลยว่า เหมือนกับถังน้ำ ๒ ถึงนี้ ถังนี้เต็มไปด้วยน้ำที่สกปรก.. น้ำเต็มแต่สกปรกทั้งถัง ถังนี้น้ำสะอาดเต็มที่ มาเปิดน้ำทั้ง ๒ ถังนี้ออกดูสิ ทีนี้เวลาเปิดแรงเท่าไร สมมุติเราเปิดถึงสกปรกก่อนนะ เราเปิดน้อยออกน้อย เปิดมากออกมาก เปิดเท่าไรมันก็พุ่ง ๆ ออกไปเท่าไร.. มันก็มีแต่น้ำสกปรก กว้างขวางขนาดไหนมีแต่สกปรก เลอะเทอะไปหมดเลย

ทีนี้เปิดถังน้ำที่สะอาด เปิดขนาดไหนเปิดเต็มที่มันก็ออกเต็มที่เหมือนกัน แต่เป็นน้ำที่สะอาดทั้งหมดนะ แน่ะ มันต่างกันต่างกันอย่างงั้นนะ...”

และด้วยความจริงจังดังกล่าว จึงเป็นที่ร่ำลือและกลัวเกรงแก่บรรดาพระเณร โดยเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาและประชาชน ดังนี้
“... อันนี้ก็นึกถึงท่านอาจารย์ฝั้น พวกหมู พวกชายปั๋ม (ม.ร.ว.ทองศิริ ทองแถมและคณะ) ไปโน้นละ (ไปกราบหลวงปู่ฝั้น) ไม่ค่อยมานี้ เราก็ไม่เคยสนใจกับใคร เข้าใจไหมล่ะ เรื่องนี้ไม่เคยสนใจกับใคร เข้มงวดกวดขันแต่พระเณรที่อยู่นี้ เคลื่อนไม่ได้นะ คนข้างนอกไม่ค่อยเข้ามาแหละ มีแต่พระปฏิบัติต่อกันล้วน ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกกระเบียดเลยไม่ได้คลาดเคลื่อน ข้อวัตรปฏิบัติ หลักธรรมวินัยแน่นปึ๋งตลอดเลยอยู่อย่างนั้น

องค์ไหนเคลื่อนคลาดยังไงไล่เบี้ยกันเลย ทีนี้ก็ร่ำลือไปข้างนอกว่าหลวงตาบัวนี้ดุมาก ใครเขาก็ไม่ค่อยมา เราก็ไม่เคยสนใจว่าจะให้ใครมาหาเรา เพราะปฏิบัตินิสัยเราก็เป็นอย่างนั้นมาดั้งเดิม ตั้งแต่ออกปฏิบัติไม่มีใครมายุ่งกับเราได้เลย...

แต่ทุกวันนี้ (ระยะโครงการช่วยชาติปี ๒๕๔๑ เป็นต้นมา) เหมือนหูหนวกตาบอดนะ ถ้าเทียบกับแต่ก่อน โอ๊ย.. เข้ากันไม่ได้เลยภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้น เขาถึงได้ร่ำลือกันนักหนาว่า ‘อาจารย์มหาบัว โอ๋ย.. ท่านดุมาก’

แต่ก่อนยังหนุ่มเขาก็เรียกว่าอาจารย์มหาบัว ใครไม่อยากมาล่ะ...”

ลัก...ยิ้ม
17-08-2020, 00:45
เตือน... ฟังธรรมอย่าคาดอย่าหมาย

องค์หลวงตากล่าวเตือนผู้ฟังธรรมให้ระวังการคาดการหมาย นึกน้อมเอาจิตของตนไปเป็นอย่างนั้นทั้งที่ไม่จริง ดังนี้
“... นี่พูดอย่างนี้ ก็ไม่อยากจะพูด คือเกี่ยวกับผู้มาอบรมศึกษา เวลาเข้าไปแล้ว.. พอถึงธรรมขั้นละเอียดแล้วมักจะหมายนะ คือมักจะหมายมักจะคาด ครูบาอาจารย์พูดอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วนึกน้อมเอาจิตของตัวเองไปเป็นอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่มันไม่จริง แล้วก็เป็นความผิดของผู้นั้นจึงต้องระวังเหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่อธิบายไว้บ้างพวกนี้ก็ไม่เข้าใจ เวลาไปถึงจุดใดจุดหนึ่งเข้าไปก็จะได้ยึดเอาอันนี้มาเป็นหลัก

‘อ๋อ ท่านว่าอย่างนั้นนะ มันก็มีทางที่จะพิจารณาไปอีกได้ ถ้าบอกอย่างนี้แล้ว ผู้ที่เป็นเถรตรงนั้น สติปัญญาไม่ค่อยรอบนัก ถึงว่าจะเป็นขั้นนั้นก็ตาม.. ก็ยังขึ้นอยู่กับนิสัยอีกเหมือนกัน มันจะคล่องแคล่วแกล้วกล้าต่างกัน อืดอาดต่างกัน ถึงมหาสติปัญญาเหมือนกันก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบเดียวกันหมด อาจจะไปน้อมนึกเอาอันนั้นมาเป็นของตัวเสียบ้าง เข้าใจว่าตัวเป็นอย่างนั้นเสียบ้างแล้วก็นอนใจ แน่ะ.. ลำบาก

ท่านอาจารย์มั่นรู้สึกว่าท่านฉลาดมาก พออธิบายถึงจุดนี้ท่านเว้นเสีย ปั๊บ.. ไปเอาข้างหน้าอธิบาย พอไปถึงจุดนั้นท่านเว้น ปั๊บ ๆ ท่านไม่เข้าจุดนั้นเลยคือกลัว ทำไมท่านถึงไม่เข้า ‘เราจึงมาทราบทีหลังว่า ที่ท่านไม่เข้าเพราะกลัวจะไปเกิดสัญญา.. ความสำคัญมั่นหมายขึ้นมาในวงปฏิบัติ’

อย่าไปคาดอดีต อนาคต ยิ่งกว่าปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัจธรรม.. ให้พิจารณาลงตรงนั้น

ท่านพูดอะไรก็ตามในวงปฏิบัติโดยเฉพาะแล้ว อย่าไปคาดเป็นอันขาด.. ผิด เอ้า.. รู้ขึ้นมาจากไหนก็ให้เป็นเรื่องของเราเป็นอย่างนี้ เรื่องของท่านเป็นอย่างนั้น เรื่องของเราเป็นอย่างนี้ ให้เป็นเครื่องยืนยันกันอย่างนี้ เราจะไปน้อมของเรา.. อยากให้เป็นเหมือนท่านอะไรอย่างนี้ไม่ได้.. ผิด เช่นว่าสมาธิ รวมอย่างสนิทเป็นอย่างนี้นะ แล้วก็น้อมจิตให้มันสนิททั้ง ๆ ที่มันไม่สนิทก็ผิด มันเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นตามหลักนิสัยของตัวเอง.. ให้รู้ด้วยตัวเอง เป็นสมบัติของตัวเอง สมบัติของเราเป็นอย่างนี้ สมบัติของเขาเป็นอย่างนั้น สมบัติของตัวเองเป็นอย่างนี้.. ให้รู้ชัด ๆ ว่านี้เป็นของตัว ๆ นั้นละถูกต้อง ให้ระวังกันที่เตือนนั้น

มันหากไปยึดได้ ยึดจนได้นั้นแหละ จึงต้องได้เตือนไว้เสมอ ระวัง.. จิตจะเข้าถึงขั้นละเอียดมันยึดแบบละเอียดนั่นแหละ เราไม่ทันมันเสีย นี่ละที่สอนหมู่เพื่อนถึงเรื่องสติปัญญา ก็สอนเพื่อธรรมขั้นนี้เป็นสำคัญ สติปัญญาจึงต้องประมวลมาตั้งแต่บัดนี้เรื่อยมา เริ่มฝึกสติปัญญาเมื่อเข้าตาจนแล้ว.. จะได้มีทางออกได้ด้วยสติปัญญา เพียงหยาบ ๆ สติปัญญาก็ไม่มีใช้แล้ว จะทำยังไงเมื่อเข้าถึงธรรมอันละเอียดก็ตายอยู่อย่างนั้นซิ.. ไปไม่ได้ ที่ดุด่าว่ากล่าวหมู่เพื่อนก็เพราะอย่างนี้เอง พอมองไปดู เปิดนี้ไว้แล้ว พูดออกมาคำหนึ่งสองคำก็เปิดนี้ไว้แล้ว แสดงให้เห็นความโง่ความฉลาดอยู่ในตัว...”

ลัก...ยิ้ม
17-08-2020, 12:22
การปกครองพระเณรวัดป่าบ้านตาด

องค์หลวงตาวางข้อวัตรปฏิบัติของวัดป่าบ้านตาดไว้ ดังนี้
“... วัดป่าบ้านตาดนี้ตั้งแต่สร้างวัดมา แต่ก่อนไม่รับพระมาก.. เราสงวนสถานที่และการภาวนาสำหรับพระ จึงไม่รับพระมาก ซึ่งแต่ก่อนก็มีครูบาอาจารย์หลายองค์ ครูบาอาจารย์ท่านยังไม่ร่วงโรยไป พระก็แตกกระจัดกระจายไปอยู่ที่ครูบาอาจารย์องค์นั้นบ้าง องค์นี้บ้างหลายองค์ ในวัดเราก็ผ่อนผันสั้นยาวได้ หรือจะเคร่งกว่านั้นก็ได้ เช่น ในวัดเราอย่างมากไม่ให้เลย ๑๘ องค์ แค่นั้น ๆ นะ ...

เราก็ไม่เคยสนใจกับการก่อการสร้างอะไรทั้งนั้น สร้างเฉพาะที่จำเป็น ที่อยู่กุฏิก็เป็นร้านเล็ก ๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ทำโก้ ๆ ไว้ ๒ – ๓ หลังนี้.. อวดแขก นอกนั้นมีแต่กระต๊อบเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

สำหรับวัดนี้ เราให้เป็นวัดภาวนาล้วน ๆ คงเส้นคงวาหนาแน่นด้วยข้อวัตรปฏิบัติ หลักธรรมวินัยมิให้เคลื่อนคลาด พระจะมากน้อยปฏิบัติเป็นแบบเดียวกันหมด คลาดเคลื่อนไม่ได้
‘อย่างน้อยเตือน มากกว่านั้นดุ เลยจากดุก็ขับออก’

พระเณรมีมาก ต่างชาติก็เยอะ เราก็แบ่งรับเอา แบ่งประเทศละหนึ่งองค์สององค์ไม่ให้มากกว่านั้น เพื่อพระไทยเราซึ่งเต็มทั่วเมืองไทยทุกภาคมาอยู่นี้หมด.. ให้ได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน

ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัด เปิดประตูวัดไว้แต่กลางวัน พอค่ำเข้ามาก็ปิดประตู รถจอดข้างนอก ถ้าจำเป็นที่ควรจะเข้ามาข้างในก็ให้เข้ามา

ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์เหตุผลบังคับเอาไว้.. เลอะเทอะไปหมด มนุษย์เลอะเทอะไม่เหมือนสัตว์ทั้งหลายเลอะเทอะนะ.. ทำความเสียหายได้มาก...”

ลัก...ยิ้ม
17-08-2020, 12:32
ทหารสู่สมรภูมิรบ

องค์หลวงตากล่าวถึงความเป็นมาของพระ ที่มาขออยู่ศึกษากับท่านเทียบกับชีวิตทหาร ดังนี้
“... พระมาอยู่สถานที่นี้ทั่วประเทศไทย มีทุกภาค ปริญญาตรีก็มี โทก็มี เอกก็มี และนายพัน นายพลมาบวชอยู่นี้ก็มี ... พระมาอยู่ที่นี่ ท่านมาเพื่ออะไร ท่านมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษาปรารภจากครูบาอาจารย์จริง ๆ ...

ดูภาคกลางจะมากกว่าเพื่อน ที่นี่ ภาคอื่น ๆ ก็มี หมดทุกภาคเลยนะ.. วัดนี้ไม่มีภาคไหนต่อภาคไหน เป็นชาติไทยด้วยกัน ด้วยเป็นลูกศิษย์ตถาคตศากบุตรด้วยกัน

จึงไม่มีคำว่าชาติ ชั้นวรรณะ ภาคนั้นภาคนี้ เป็นลูกชาวไทยอันเดียวกัน เป็นลูกชาวพุทธอันเดียวกัน... ท่านมาเพื่อศึกษาปรารภตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติจริง ๆ เราก็ได้อุตส่าห์พยายามสั่งสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มสติกำลังความสามารถ

ที่ว่าโรคของเรากำเริบ กำเริบทางหัวใจนี้ เราก็ยังมีความแน่ใจอยู่ว่า คงเกี่ยวกับเรื่องการแนะนำสั่งสอนนี้เองเป็นสำคัญอันหนึ่ง เพราะการสั่งสอนพระย่อมใช้กำลังวังชา สุ้มเสียงดังเป็นหลัก เผ็ดร้อนมากกว่าการสอนใคร ๆ ในบรรดาประชาชนและพระเณรทั้งหลาย

เพราะเหตุไร ... เพราะพระที่มาสู่วัดป่าบ้านตาดนี้ ส่วนมากมีแต่พระกรรมฐานตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราจะเทียบแล้วก็เหมือนกับทหารที่เข้าสู่แนวรบแล้ว การยื่นศาสตราวุธหรืออุบายวิธีการต่าง ๆ ให้ทหารที่เข้าสู่แนวรบ ย่อมจะยื่นแต่สิ่งสำคัญ ๆ อาวุธก็เป็นอาวุธที่ทันสมัย อุบายก็เป็นอุบายที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์ที่จะได้ชัยชนะมาสู่บ้านเมือง อันนี้ก็เหมือนกัน


ธรรมะอุบายต่าง ๆ ที่จะแสดงให้บรรดาพระทั้งหลาย ที่มาจากที่ต่าง ๆ เข้ามาสู่สถานที่นี้ ได้ยินได้ฟังก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น การพูดการเทศนาว่าการต่าง ๆ ตลอดถึงสุ้มเสียงโวหารสำนวนต่าง ๆ จึงมีแต่ความเผ็ดร้อนไปตาม ๆ กันหมด เพื่อให้ทันกับเหตุการณ์...”

ลัก...ยิ้ม
17-08-2020, 12:45
หลวงปู่เจี๊ยะน้ำตาร่วง

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๖ หลวงปู่เจี๊ยะมาพักจำพรรษาอยู่ด้วยที่วัดป่าบ้านตาด ในระยะนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้างกุฏิองค์หลวงตาที่ท่านใช้จนถึงปัจจุบัน เป็นกุฏิที่ยังไม่ยกขึ้น ใต้ถุนกุฏิเป็นดินโล่ง ๆ ในตอนนั้นหลวงปู่เจี๊ยะตั้งใจจะใช้คราดเกลี่ยดินบริเวณกุฏิ แต่มาทำในเวลาที่ล่วงเลยไปมากจนกลายเป็นเหตุ ดังนี้
“.. ท่านเจี๊ยะเคยมาจำพรรษาที่นี่ปีหนึ่ง จำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาดปี ๒๕๐๔ เราจำได้..นิสัยท่านตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหลายสันพันคม ตรงไปตรงมา .. เราพูดใส่ท่านเจี๊ยะที่วัดป่าบ้านตาด ปี ๒๕๐๔ ลืมเมื่อไร ก็ออกมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยกันหยก ๆ มาตอนค่ำเราจะปลูกกุฏิหลังเราอยู่ทุกวันนี้นะ เกลี่ยดินออกจากนี้ไป ค่ำ ๆ เราก็เดินจงกรม เป็นเวลาเดินจงกรม กำลังจะมืด

ฟังเสียงค้อน เสียงเปรี้ยง ๆ กลางวัด ‘เอ้า.. มันยังไงกันนักหนานี่’

เราออกจากทางจงกรมก็ไปเลย ไปเห็นอาจารย์เจี๊ยะกำลังทำคราดที่จะมาเกลี่ยดินกุฏิเรา ไปก็ยืนซัดกันเลย
‘นี่ท่านก็มาจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ผมก็มาจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น พ่อแม่ครูจารย์มั่นเคยทำอย่างนี้ไหม ผมอยากถามเท่านั้นเอง ผมเรียนน้อย’

พอว่างั้นท่านเข้าใจแล้วนี่ เราก็เดินกลับมา พอเช้ามาท่านมานั่งรออยู่ที่นั่งข้างบนที่ฉัน ท่านนั่งรออยู่แล้ว มาก็ปุ๊บปั๊บขึ้นมาเลย มาจับขาแล้วดึงออกไป เอาหัวมาถูเท้าเรา
‘ตีนนี้มันสำหรับเหยียบขี้ ไม่ใช่เหยียบหัวคนนะ’ เราว่า

‘ขอเหยียบหน่อยเถอะ มันผิดเอาเสียมากมาย มันโง่เอาเสียเหลือเกิน’ น้ำตาร่วงเลย ‘แหม.. ท่านอาจารย์ทำไมถึงพูดเอาถูกต้องเอานักหนา เมื่อคืน ผมนอนแล้วน้ำตาร่วงตลอด’

นั่นเห็นไหม ธรรมต่อธรรมเข้ากันเป็นอย่างนั้นละ ใส่เปรี้ยง ๆ เป็นธรรมทั้งนั้นนี่นะ.. ทางนั้นยอมรับก็เป็นธรรม นี่ละธรรมต่อธรรมเข้ากันได้สนิท

อาจารย์เจี๊ยะท่านก็บอกตรง ๆ เลยว่า ‘พระที่มาอยู่หัวใจของผมมีสององค์ ท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง กับท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ค่อยลงใครง่าย ๆ’

ท่านเป็นลูกเจ๊ก ท่านก็พูดแบบเจ๊กละซิ เราก็ฟังแบบเรา นี่ละ..ที่ว่าขวานผ่าซาก ดึงเท้าของเราเอาหัวมาถูเลย.. น้ำตาพังด้วยนะ เพราะฉะนั้นท่านถึงลง.. ยอมละซิ พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นไม่เคยพาทำอย่างนั้น ท่านมาทำได้อย่างไร ว่างั้นเลย ทิ้งปั๊วะเลยนะ.. ไอ้กำลังเป๊ก ๆ ทิ้งปั๊วะเลย เราก็เดินกลับเลย

ท่านเป็นธรรม ท่านตรงไปตรงมาด้วย ความเป็นธรรม.. ผิดบอกว่าผิดเลย ถูกบอกว่าถูก เรียกว่าธรรม แต่โลกของกิเลสตัณหาเขาว่าขวานผ่าซาก กิริยาท่าทางท่านไม่สวยงาม ไม่งามก็ตามแต่ออกจากใจที่สวยงามแล้วนั่นแหละ แสดงออกมากิริยาท่าทางนิสัยต่างกัน ความเป็นธรรมเป็นหลักใหญ่...”

ลัก...ยิ้ม
18-08-2020, 11:43
เทศน์โปรด.. เทวดา อินทร์ พรหม

นอกเหนือจากการแสดงธรรมแก่พระเณร นักปฏิบัติภาวนา ฆราวาสญาติโยม ตลอดประชาชน ซึ่งเป็นสังคมมนุษย์ทั่ว ๆ ไปแล้ว สำหรับองค์หลวงตาท่านยังมีภาระหน้าที่ต้องสั่งสอนเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม หรือแผ่เมตตาจิตโปรดโปรยจิตวิญญาณในภพภูมิต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งองค์หลวงตาได้เคยกล่าวในเรื่องนี้ว่า
“... เอ้า ! เทศน์อย่าว่าแต่มนุษย์มนา เทวดา อินทร์ พรหม เทศน์ได้ทั้งนั้น ภาษาเกี่ยวกับเรื่องเทวดาเป็นภาษาเช่นใด ใจเป็นภาษาเดียว อันนี้พูดไม่ได้แต่เข้าใจ พวกเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ... นี่การสอนโลก เราบอกตรง ๆ เลยว่า เราสอนด้วยความแน่ใจ.. ไม่มีสงสัย ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใด ๆ สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย.. ถอดออกมาจากจิตใจ ที่ได้ปฏิบัติผ่านมาแล้วทั้งเหตุทั้งผลสมบูรณ์แบบทุกอย่าง

การสอนโลกเราจึงไม่สงสัย สอนได้ทุกแห่งทุกหน.. นี้เรายกมนุษย์นะ.. เราพูดเพียงมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม.. เป็นอย่างไร การสอนเทวดาสอนอย่างไร พวกเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ท่านสอนกันอย่างไร ๆ นี่เป็นเรื่องของเทวดา อินทร์ พรหม กับท่านผู้สอน คนอื่นเข้าไปยุ่งไม่ได้ เวลาเห็นสอนประชาชนท่านก็ไม่มายุ่ง พวกเทวดา อินทร์ พรหม ท่านก็ไม่มายุ่งนะ เวลาสอนเทวบุตรเทวดาเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเหมือนกัน...

เราพูดนี่ เราพูดได้อย่างเต็มปาก เราหาได้อย่างเต็มใจแล้ว ไม่มีอะไรบกพร่องแล้วภายในใจของเรา เราจึงกล้าสามารถเทศนาว่าการได้ทุกแห่งทุกหน อย่าว่าแต่มนุษย์มนา ... เทวดา อินทร์ พรหม ก็เทศน์สอนได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ฐานะที่มนุษย์จะมาฟังเสียงเทศน์เทวดา คือไม่จำเป็นต้องพูดถึง เวลาพูดถึงมนุษย์ เทวดาก็ไม่มาเกี่ยวข้อง เทวดาก็เป็นเทวดา มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ เวลาสอนเทวดา.. มนุษย์ก็ไม่ไปเกี่ยวข้อง เทศน์สอนเทวดา.. ธรรมนี้ควรหมดในสามโลกธาตุ ธรรมเหนือหมดทุกอย่างเลย สอนได้หมดนั่นละ...”

ลัก...ยิ้ม
18-08-2020, 11:59
ธรรมฝ่ายเหตุมี ผลแห่งธรรมก็ต้องมี

ด้วยความเมตตาอบรมธรรมปฏิบัติด้านจิตภาวนาแก่พระเณรและฆราวาสเสมอมา บรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ได้รับแสงธรรมของพระพุทธองค์เป็นลำดับ ไม่จำกัดว่าเป็นพระหรือฆราวาส ไม่จำกัดว่าเป็นหญิงหรือชาย พยานในธรรมก็ย่อมประจักษ์ขึ้นในใจของผู้ปฏิบัติเป็นลำดับไปเช่นกัน ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า
“ภาคปฏิบัติก็คืองานอันหนึ่งของเรา ทำไมงานเรามีด้วยการประพฤติปฏิบัติ ผลทำไมจะไม่มีได้เล่า..? เหตุกับผลเป็นของคู่เคียงกันมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมเราทำมันจะไม่มีผล เมื่อเหตุเป็นไปสมควรแก่ผลจะพึงเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว”

ฉะนั้น เมื่อท่านเหล่านี้ต่างเพียรสร้างเหตุให้สมบูรณ์ขึ้นทุกขณะ.. ผลอันควรย่อมเกิดขึ้นได้ และนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นในจิตใจของท่าน กระทั่งไม่เห็นวัตถุสิ่งของ เงินทอง ลาภยศ บริษัทบริวาร หรือยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ เป็นของประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่า “ธรรม” สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัย เครื่องอำนวยความสะดวกแก่ร่างกายให้พอเป็นพอไปเท่านั้น แต่เรื่องของ “จิตใจ” นั้น ท่านถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าอย่างหาประมาณมิได้เลย

ธรรมเทศนาที่องค์หลวงตาแสดงแก่พระเณรผู้เข้ามาศึกษาอบรมรุ่นแล้วรุ่นเล่า ท่านจะย้ำอยู่เสมอว่า
“... การทำความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ จะยากลำบากเพียงไร ก็ให้ถือว่าเป็นงานอันตนจะพึงทำ หลีกเลี่ยงไปไม่ได้ถ้าต้องการพ้นจากทุกข์.. ซึ่งกีดขวางกดถ่วงจิตใจอยู่ตลอดเวลานี้.. ให้จิตใจเป็นอิสระ อย่าพึงท้อถอยทางความเพียร อย่าไปคำนึงว่าวาสนามาก วาสนาน้อยในขณะที่จะทำความดี มีการเดินจงกรม นั่งสมาธิ เพื่อมรรคผลนิพพาน เป็นต้น

ถ้าจะคิดว่าอำนาจวาสนาน้อย ในขณะที่จิตเลื่อนลอยเผลอตัวออกไป พอระลึกได้ก็ให้ทราบว่า นี่เป็นการสั่งสมในการตัดทอนนิสัยวาสนาของตนให้ด้อยลงไปโดยลำดับ ถ้ามากกว่านี้นิสัยวาสนาก็จะขาดสูญไป เพราะความชั่วเป็นสิ่งทำลายหรือเผาผลาญให้วอดวายไป

การทำความดีอยู่ตลอดเวลา ก็คือการสร้างอำนาจวาสนาขึ้นภายในจิต เพื่อจะปราบปรามสิ่งที่เป็นข้าศึกมีอยู่ภายในใจให้หมดสิ้นไปนั่นแล ใครจะไปสร้างวาสนาที่ไหนถ้าไม่สร้างที่ใจ.. วาสนาจะมาน้อยเพียงไรก็เกิดขึ้นที่ใจเป็นผู้สร้างได้

เราอย่าเข้าใจว่ามรรคผลนิพพานจะเหินห่าง จะอยู่ห่างกันจากปฏิปทาคือข้อปฏิบัติ เช่นเดียวกับบันไดมีความเกี่ยวเนื่องกันกับบ้านเรือน ตึกรามบ้านช่องจะสูงเพียงไร บันไดต้องติดแนบไปทุก ๆ ขั้นของบ้านของเรือน คำว่า “ธรรม” จะสูงขั้นไหนซึ่งเป็นฝ่ายผล ... ธรรมฝ่ายเหตุคือข้อปฏิบัตินี้จะพึงติดแนบกันไปทุกขั้นทุกภูมิ เพราะผู้ที่จะก้าวเข้าถึงธรรมขั้นนั้น ๆ ก็ต้องเป็นไปตามธรรมขั้นเหตุ คือทางดำเนิน...”

ลัก...ยิ้ม
18-08-2020, 12:13
ถือธรรมเป็นใหญ่ .. ไม่ถืออาจารย์เป็นใหญ่

องค์หลวงตาใช้หลักธรรมเป็นใหญ่ในการปกครอง จึงไม่มีการถือตัวว่าเป็นอาจารย์แล้วไม่ต้องฟังผู้ใด อย่างไรก็ถูกเสมอ ดังนี้
“... ย่นเข้ามาหาวัดป่าบ้านตาดที่เคยปกครองพระเณรทั้งหลายอยู่ ไม่ว่ามาจากเมืองนอกเมืองใน เมืองนอกคือประเทศต่าง ๆ มาอยู่ในวัดนี้ไม่น้อย และเมืองในก็คือเมืองไทยเราทั่วประเทศมาอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก ท่านไม่ยกเรื่องฐานะสูงต่ำอวดดีอวดเบ่งอย่างนั้นเข้ามาคละเคล้า ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟจะเผาไหม้กัน เข้ากันไม่สนิท ทานเอาแต่ธรรมล้วน ๆ มาหากัน อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม แนะนำตักเตือนกันได้ ใครผิดใครถูกประการใดก็แนะนำ ตักเตือนสั่งสอนกันได้

เราที่เป็นอาจารย์สอนคน เราจะยกตัวอย่างให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ สมควรว่าเป็นอาจารย์สอนพระสอนเณร สอนประชาชนไหม ? เราพูดให้ฟังชัดเจน ตัวเราเองเป็นผู้นำ

ที่อยู่เราแต่ก่อนเป็นกระต๊อบเล็ก ๆ เราทำงานอะไรอยู่ก็ไม่รู้แหละ แล้วมองดูนาฬิกา.. ความเข้าใจของเราว่า นาฬิกาเลยเวลาปัดกวาดไปแล้ว ตามธรรมดานัดปัดกวาด ๔ โมงเย็น.. ปัดกวาดกันทั่ววัด ต่างคนต่างมีนาฬิกา ไม่ต้องเคาะระฆังอะไรให้ทราบ ถึงเวลาแล้วต่างคนต่างออก

ทีนี้เราก็ดูนาฬิกาของเรา มองดูนาฬิกาเข้าใจว่ามัน ๔ โมง ๒๐ นาทีไปแล้ว ปุ๊บปั๊บออกจากที่เลย เพราะการทำข้อวัตรปฏิบัติ เรากับพระกับเณรเหมือนกัน ดีไม่ดีเรารวดเร็วยิ่งกว่าพระ สมัยที่ยังหนุ่มน้อยนะ การทำข้อวัตรปฏิบัติเหมือนกันกับพระกับเณร ดีไม่ดีคล่องตัวกว่าพระกว่าเณรอีก

พอมองดูนาฬิกาเข้าใจว่ามันเลยเวลาแล้ว ปุ๊บปั๊บโดดลงคว้าไม้ตาดปัดกวาดออกไปศาลา ไม่เห็นพระสักองค์เดียวเลย มีแต่เรากวาดออกไป

มีเณรหนึ่ง ชื่อเณรจรวด มันทิดจรวดทุกวันนี้ มันลูกพระไอ้นี่ เป็นหลานของท่านสุพัฒน์ วัดบ้านต้าย ที่ตกเครื่องบินตาย จรวดคือมันรวดเร็วดี ใช้คล่องดี

มันมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว ก็มาเป็นเณรอยู่วัดป่าบ้านตาด มันรักษาศาลาอยู่นั้น มันเห็นเราปัดกวาดออกไปก็คงจะขวางตามันละ พอไปก็ขู่ละซิ ขึ้นอย่างเด็ดนะ
‘เณร ๆ เป็นยังไงพระวัดนี้ มันตายกันหมดแล้วเหรอ ถึงเวล่ำเวลาปัดกวาดแล้ว ทำไมจึงไม่เห็นใครมาปัดกวาด เป็นยังไงมันตายกันหมด แล้วใครจะกุสลาใครล่ะ มันตายกันหมดทั้งวัดแล้ว เป็นยังไงเณร’

คือเณรมันขัดตามัน มันก็เลยเอาไม้กวาดมากวาด แคร็ก ๆ จี้เณร ‘หือ.. เณร เป็นยังไง’ เณรก็บอกว่า ‘เวลานี้นาฬิกาเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที’

คือกำหนดกัน ๔ โมงปัดกวาด เราดูนาฬิกาเข้าใจว่า ๔ โมง ๒๐ นาทีเลยปัดกวาดออกมา พอเณรว่าเท่านั้น เราก็ ‘เหอ ?’ ขึ้นเลย

เณรก็ซ้ำอีกว่า ‘นาฬิกาเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที’

เราก็ขึ้นทันที ‘เออ ถ้าอย่างนั้นหยุด ๆ อย่ามาปัดกวาด มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด’

นั่นเห็นไหมล่ะ ทีแรกแผดจะกัดจะฉีก พอเณรว่าอย่างนั้นเราก็ว่า หยุด ๆ อย่ามาปัดกวาด จะเป็นบ้ากันทั้งวัด ‘เราจะไปแก้บ้าของเรา’ เดินปึ๋ง ๆ กลับคืนเลย

นักธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ทีแรกเข้มข้นเหมือนว่าจะต้มยำพระทั้งวัดเลยทีเดียว พระไม่เห็นมาปัดกวาดถึงเวลาแล้ว มันเป็นยังไง ใครจะกุสลาใคร มันตายกันหมดทั้งวัดแล้ว พอเณรตอบมาเท่านั้น มันเป็นบ้าเราคนเดียว ... เอ้า.. ถ้างั้นหยุด ๆ ทันทีเลยนะ เอ้าหยุด ๆ เดี๋ยวมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด ใครอย่ามาปัดกวาดถ้าไม่อยากเป็นบ้า เราจะไปชำระบ้าของเราเอง เดินกลับปุ๊บ ๆ เลย ...

นี่เหตุผล..เข้าใจไหม ? จะไปถือว่าเราว่าเขาว่าใหญ่ว่าน้อยไม่ได้ ความผิดความถูกเป็นธรรม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เป็นธรรม นี้เราก็ยอมรับด้วยความเป็นธรรม จะกัดจะฉีกพระ สุดท้ายก็เลยให้พระมากัดฉีกเราคนเดียว ... การปกครองหมู่เพื่อนเราไม่ได้เอาอำนาจบาตรหลวงป่า ๆ เถื่อน ๆ เข้ามาปกครอง เราเอาธรรมเป็นเครื่องปกครอง...”

ลัก...ยิ้ม
20-08-2020, 00:42
ให้กำลังใจศิษย์

องค์หลวงตาให้กำลังใจนักปฏิบัติ ให้รีบเร่งปฏิบัติขณะยังมีพระพุทธศาสนาอยู่ ดังนี้
“... ยากลำบาก ไม่ใช่อะไรพาให้ยากนะ ถ้าว่าจะสร้างความดีนี้ มันหากมีเครื่องขัดข้องขึ้นภายในใจ นั้นแหละคือกิเลสมันกีดมันขวางเรา.. ไม่ใช่ธรรม กีดขวางไม่ให้ทำ ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วมันไม่อยากให้ทำ นั่นคือกิเลสมันขวางไว้ ๆ ..ถ้าเราได้ทำตามใจของเราแล้ว ฝืนมันทำแล้วต่อไปก็ไม่ได้ฝืน กำลังมันอ่อนลง ๆ ทีนี้ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ แน่ะ..อำนาจของความดีมีอย่างนั้น...

นี่เกิดมาชาตินี้ไม่ดีแล้ว เกิดแก้มืออีกไม่ได้นะ กรรมของเรามี..ยังไงก็ต้องไป นี่พอเหมาะเป็นจังหวะที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว และพร้อมกับได้พบพุทธศาสนา พุทธศาสนาคือศาสนาเอก ผู้สิ้นกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้สิ้นกิเลส ไม่มีศาสดาใดที่เป็นผู้สิ้นกิเลสครองศาสนาสั่งสอนสัตวโลก มีศาสนาพุทธ พุทธ ๆ นี่เท่านั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดขึ้นชื่อว่าพุทธศาสนาแล้ว.. ต้องเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส...

ไม่ใช่ศาสนาจะมีตลอดไปนะ มีเป็นวรรคเป็นตอน เช่นเวลานี้พุทธศาสนาของเรายังมี พอหมดจากนี้แล้ว กว่าจะไปถึงศาสนาพระอริยเมตไตรยนี้นั่นแหละ ท่านเรียกว่าสุญกัป...บาปบุญ คุณโทษ นรก สวรรค์ มีอยู่ดั่งเดิมก็ตาม แต่ใจสัตวโลกยังไม่ยอมรับ สิ่งที่ยอมรับคือ ความอยากความทะเยอทะยาน ความเกรี้ยวกราด อะไรทุกอย่างขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วมันไปรวมนั่นหมด ให้ดูดให้ดื่ม ให้พออกพอใจ มองเห็นหน้ากันมีแต่กัดแต่ฉีกกันทั้งนั้น...

ถ้าเกิดเช่นนั้นแล้วเรียกว่ากรรม ผู้ที่มีกรรมหนาที่สุดจึงต้องไปเกิดในย่านนั้น..ก็ไม่มีที่จะได้สร้างบุญสร้างกุศล เพราะไม่มีใครแนะนำสั่งสอนรู้ได้ สิ่งที่สัตว์ทั้งหลายทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ด้วยความดูดดื่มก็มีแต่ความชั่วช้าลามก มีแต่ฟืนแต่ไฟอันเป็นผลเผาไหม้ ไม่มีส่วนดีเลย นี่เราไม่ได้เกิดในช่วงสุญกัป เราเกิดในช่วงพุทธกัป คือกัปพระพุทธเจ้าอยู่ เวลานี้จึงให้พากันขวนขวาย

เวลานี้เราได้เกิดมาพบพุทธศาสนาเรียกว่าบุญลาภของเรา กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ แน่ะ..ออกจากนั้นก็ กิจฉัง สัทธัมมัสสวนัง ยังได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอีก ก็เป็นบุญลาภอีกอันหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเรา ท่านว่า กิจโฉ พุทธามนุปปาโท เพราะการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้านั้น..เป็นบุญลาภอันประเสริฐสุดของสัตวโลก นี่คำสอนของท่านที่เป็นองค์แทนศาสดามีอยู่ ให้ได้ยินคำสอนของท่าน นี้แลคือองค์แทนศาสดา จะไม่ผิดพลาด ให้พากันอุตส่าห์พยายาม...”

ลัก...ยิ้ม
20-08-2020, 00:51
ข้อวัตรปฏิบัติวัดป่าบ้านตาด ยุคแรก ๆ

เมื่อองค์หลวงตามีที่พักจำพรรษาอยู่เป็นที่เป็นฐานมั่นคงแล้ว พระเณรต่างหลั่งไหลมาอยู่กับท่านมากขึ้น หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม มีโอกาสจำพรรษาวัดป่าบ้านตาดในยุคแรก ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๑๐ หนังสือประวัติของท่านกล่าวถึงข้อวัตรปฏิบัติในครั้งนั้น ดังนี้
“ชีวิตประจำวันในวัดป่าบ้านตาดสมัยนั้น พระอุปัฏฐากจะมีหน้าที่จัดเตรียมอัฐบริขารขององค์หลวงตาให้พร้อม.. รอไว้เพื่อออกบิณฑบาตพร้อมกัน ส่วนมากโยมที่ใส่บาตรมักจะเป็นคนในหมู่บ้านตาด ใส่ข้าวสุกข้าวเหนียว ส่วนกับข้าวจะหิ้วตามมาที่วัด เมื่อกลับมาถึงวัด พระทุกรูปจะช่วยกันจัดและแบ่งอาหาร หลวงตาเป็นผู้ให้พร จากนั้นพวกโยมก็จะนำอาหารไปแบ่งกัน หากแต่จะยังไม่รับประทานในทันที เพราะว่าจะไปช่วยกันกวาดบริเวณรอบ ๆ ก่อนเพื่อรอพระฉันเสร็จ จึงจะรับประทานอาหารร่วมกัน”

เมื่อพระเณรฉันเสร็จแล้วจึงล้างบาตร ตลอดเวลาในการทำกิจจะไม่ปรากฏเสียงพูดคุยกันเด็ดขาด จากนั้นส่วนใหญ่จะแยกย้ายไปตามที่พักของตัว เพื่อภาวนาเดินจงกรม ยังคงมีบางรูปผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปเช็ดกุฏิองค์หลวงตา ตกเย็นพระจะลงมากวาดตาด พอเสร็จแล้วทุกรูปจะไปช่วยกันหาบน้ำจากบ่อน้ำ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นคันโยกอยู่ โยกน้ำขึ้นมาหิ้วไปเติมตามห้องน้ำกุฏิต่าง ๆ จนเต็ม แล้วถึงกลับมาสรงน้ำกันที่บ่อน้ำ จากนั้นจะมารวมกันฉันน้ำร้อน น้ำปานะที่ระเบียงศาลา ซึ่งเวลานี้เป็นจังหวะที่สามารถพูดคุยกันได้บ้าง แต่ต้องพูดคุยอย่างมีสติ ห้ามส่งเสียงดัง มิฉะนั้นจะได้ยินองค์หลวงตาถามว่า
“ชาวบ้านมาหรือ ? ชาวบ้านมาหรือ ?”

บางวันองค์หลวงตาจะลงมาฉันน้ำร้อนด้วย วันนั้นปรากฏว่าศาลาจะเงียบเป็นพิเศษ ต่อมาพระมากขึ้นและองค์หลวงตาไม่ค่อยลงมาฉันด้วย จึงย้ายที่ฉันจากระเบียงศาลาไปเป็นโรงต้มน้ำร้อนแทน พอถึงช่วงค่ำประมาณ ๑ – ๒ ทุ่มก็จะมารวมกันฟังหลวงตาเทศน์อบรมพระ

ลัก...ยิ้ม
20-08-2020, 22:42
แม้องค์หลวงตาท่านจะไม่ส่งเสริมเรื่องการก่อสร้าง แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องอาศัยพระเณร ลูกศิษย์ลูกหาที่มีฝีมือช่างให้ช่วยกันดูแลรับผิดชอบ ไม่ว่างานสร้างกุฏิ ศาลา โรงครัว โรงน้ำชา กำแพงวัด งานซ่อมหลังคากุฏิโยมแม่องค์หลวงตา ซึ่งมุงด้วยหญ้าคาต้องเปลี่ยนใหม่ทุกปีหรือ ๒ ปี หรือแม้กระทั่งงานยกศาลา ยกกุฏิต่อเติมกุฏิองค์หลวงตา ในสมัยหลังก็จะให้พระมาดูแลรับผิดชอบด้วย

ในช่วงเวลาต่าง ๆ หากองค์หลวงตามีธุระจะไปที่โรงครัว.. ท่านมักจะเรียกให้พระอาจารย์สิงห์ทอง ต่อมาก็พระอาจารย์ฟัก หรือพระอาจารย์ลี ระยะต่อมาก็พระอาจารย์ปัญญาติดตามหลวงตาไปด้วยเสมอ ซึ่งพระติดตามมักต้องหยิบเอาเครื่องบันทึกเสียง ในสมัยนั้นก็คือเครื่องเล่นเทปแบบมีสายเอาไว้คอยอัดเทปคำสอน แม่ขาวในสมัยแรก ๆ นั้นก็มีโยมแม่องค์หลวงตา คุณแม่ชีแก้ว คุณแม่ชีน้อม คุณแม่ชีบุญ เป็นต้น ระยะต่อ ๆ มามีอุบาสิกามาขอพักปฏิบัติธรรมมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงช่วยชาติ จนถึงระยะสุดท้ายขององค์หลวงตา มีอุบาสิกาจำนวนมากกว่า ๒๐๐ คน องค์หลวงตาสั่งให้พระเณรจัดเตรียมอาหารไว้ให้สำหรับทานมื้อเดียวเท่านั้น

แม้หน้าที่การงานในวัดจะมากขึ้น เพราะประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น แต่เพราะองค์หลวงตาท่านรักศิษย์พระเณรของท่านมาก ท่านจึงเข้มงวดในการรักษาสภาพวัดให้เหมาะสม สะดวกต่อการบำเพ็ญเพียรเสมอ ท่านไม่ให้พระเณรมีการงานอย่างอื่น ๆ ทำ อันเป็นการขัดต่องานจิตภาวนาซึ่งเป็นงานหลัก ท่านทะนุถนอมศิษย์พระเณรไม่ให้มีมลทิน ไม่ให้ข้องแวะกับคนภายนอกโดยไม่จำเป็น

ท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก มีโอกาสได้จำพรรษาในรุ่นถัดมา ได้กล่าวถึงบรรยากาศการปกครองพระขององค์หลวงตาในสมัยก่อน ดังนี้
“... สมัยก่อนเวลาหลวงตาดุพระ ดุจริง ๆ นะ พอดุเสร็จแล้ว.. พระองค์นั้นเสียใจจริง ๆ นะ สรุปแล้วหลวงตากับพระ จะเข้มงวดกวดขันกันในสมัยก่อน เพราะมันน้อย ติวเข้มเลย บางทีหลวงตาท่านเห็นพระ.. บางทีท่านก็ดุ แต่องค์นั้นก็ไม่ทันคิดว่าตัวเองทำผิด..ใช่ไหมล่ะ แต่หลวงตาดุ มันก็เสียใจใช่ไหมละ..เมื่อโดนดุ ซึ่งจริง ๆ เป็นกุศโลบายเพื่อสอนลูกศิษย์องค์อื่นด้วย แต่ทีนี้องค์ที่โดนดุมันเจ็บละซิ องค์ที่โดนดุนี้มันเจ็บ พอโดนด่าเท่านั้นละ.. องค์เป็นพี่ ๆ พวกเราก็ไปหา
‘เฮ้ย.. ไม่ต้องเสียใจนะ ให้ท่านเป็นเขียงรองดีแล้วละ’

‘ผมไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าตรงไหนนี้มันผิด แต่หลวงตาดุว่าไปแล้วหละ’

‘ไม่ต้องเสียใจ ท่านสอนพวกเราด้วยกัน พวกเราผิดด้วยกันในจุดนี้ พวกเราก็ไม่รู้จุดนี้ ท่านด่าที่นี่ พวกเราจะได้ระวังต่อไป’

คล้าย ๆ มาบอกว่าไม่ใช่ว่าผิดแค่เราคนเดียวนะ มันผิดกันทั้งหมู่นะ พวกหมู่ก็ไม่รู้นี่ พอพวกหมู่รู้ เออ.. ท่านเจ็บคนเดียว พวกเราก็จะได้ระวัง เออ..องค์นั้นเจ็บคนเดียว แต่ไม่ต้องเสียใจนะ มันก็ผิดด้วยกันนั้นแหละ อันนี้คือการดุการปลอบ”

หากกล่าวถึงความตั้งใจและความเคารพในข้อวัตรปฏิบัติที่เกี่ยวกับองค์หลวงตานั้น ผู้รับหน้าที่ทุกรุ่นจะตั้งใจทำด้วยความประณีตละเอียดลออยิ่ง จะพยายามไม่ให้ผิดพลาดตกหล่นไปแม้แต่น้อยนิดเลย
พระอาจารย์ภูษิต ขันติธโร ซึ่งได้จำพรรษาวัดป่าบ้านตาดในช่วงที่ ๒ เป็นผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยข้อปฏิบัติของท่านเองในระยะนั้นว่า
“เราใช้มือเรานี่แหละ ล้างส้วมพ่อแม่ครูอาจารย์ ... เข้านอกออกในกุฏิหลวงตา ทำงานทั้งหมดตั้งแต่ใส่ปลอกหมอนจนถึงเทกระโถน ล้างส้วม ซึ่งการล้างส้วมของหลวงตานี้ เราไม่ใช้ไม้ล้างโถส้วมหรอกนะ เราใช้มือของเรานี่แหละล้าง”

สำหรับการทำข้อวัตรภายในกุฏิองค์หลวงตานั้น พระผู้รับผิดชอบต้องมีความละเอียดรอบคอบ และทำด้วยความพินิจพิจารณาใช้สติปัญญาประกอบในงานเสมอ เนื่องจากองค์หลวงตาท่านเข้มงวดกวดขันมาก ดังนี้
“... ได้พูดเสมอ อย่างกุฏิเรานี้ไม่ให้เข้าไปยุ่งนะ คือมันขวางตาทันทีเลย เราเข้าไป องค์ไหนที่เข้าไปจัดทำข้อวัตรนี้ อย่างมากไม่เลย ๒ องค์สำหรับกุฏิเรา ที่ไปเกี่ยวข้องกับเรามีเท่านั้น ก็มีผู้ไปจัดยาให้ตอนเช้า ตอนเย็น นี่อันหนึ่ง มีผู้ไปคอยเช็ดอะไร ๆ ตอนเราไม่อยู่ สององค์เท่านั้น.. ไม่ให้มาก พอดูได้ดูกันไป นอกนั้นไม่ให้เข้าไปยุ่ง ไปก็ขวางทันทีเลย ขวางทันที ๆ จนกระทั่งถึงได้ออกอุทานในใจ
‘โอ๋ย.. นี่มาภาวนายังไง สติสตังไม่มีเลย ปัญญาความแยบคายอะไรเหล่านี้ไม่มีประจำเลย ไม่มีแฝงเลย มีแต่ความเซ่อ ๆ ซ่า ๆ และไม่เอาไหน’

บอกตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราถึงไม่ให้เข้าไปกุฏิเรา มันบอกตลอด แพล็บปั๊บรู้แล้ว นอกจากไม่พูดเฉย ๆ ถ้าหากธรรมดาก็ขังไว้แล้วในนี้ เผาในนี้ แต่เรามันไม่เผา.. ถึงทราบเรื่องพระเรื่องเณรผู้เกี่ยวข้องเรา เพราะอยู่ในวงของการแนะนำสั่งสอนรับผิดชอบของเรา เราต้องดูทุกอย่าง...”

ลัก...ยิ้ม
20-08-2020, 22:49
เณร : กาลนาค

“... ครั้งพุทธกาล ท่านมีเณรรับใช้พระ พระเป็น ๔๐๐ – ๕๐๐ เณรไม่ได้หลับได้นอน แต่ก็ดี เขาเรียกในบาลีเราดูมานาน.. ลืมนะ เณรรับใช้พระกลางคืน กลางวันไม่ได้นอนเพราะพระมาก รับใช้องค์นั้นรับใช้องค์นี้จะมาหลับมานอนก็ไม่ได้ เดี๋ยวองค์นั้นใช้องค์นี้ใช้ แต่เณรก็ใจดี

พระก็เคยถามว่า ‘เณรนี้ได้อุปถัมภ์อุปัฏฐากพระจำนวนมากมาย ยังไงเณรก็มีอานิสงส์มากนะ จะปรารถนาเอาอะไรควรจะสมหวังแล้ว เพราะเณรไม่เคยมีข้อขัดแย้งทิฏฐิมานะต่อพระเจ้าพระสงฆ์ ที่ท่านใช้ไปในกิจการต่าง ๆ แล้วเณรจะเอาอะไร อยากไปนิพพานมั้ย’

‘เวลานี้ยังไม่อยากไปนิพพาน’ ‘เพราะอะไร’

‘คือมันยังไม่ได้นอน ต้องนอนให้อิ่มซะก่อน’

หนังสือยังมีเรียกว่า กาลนาค คือตายแล้วเป็นพญานาค นอนตามความปรารถนา นอนจนกระทั่งพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มาตรัสรู้นี้เสียงถาดทองคำ อานุภาพแห่งธรรมแห่งทองคำไปซ้อนกัน องค์นี้ตรัสรู้แล้วถาดนี้ก็มาซ้อนกันสะท้านหวั่นไหว พญานาคที่หลับนั้น.. ตื่นนอนซะทีหนึ่ง ตื่นนอนในขณะถาดมาซ้อนกัน คือถาดอันนี้เป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้น ๆ ขึ้นมา แล้วพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ถาดก็มาซ้อนกัน เสียงสะท้านหวั่นไหว

ทีนี้พญานาคที่นอนหลับ จะตื่นในเวลาที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ มาตรัสรู้แล้วเสียงถาดสะเทือนสะท้าน จะตื่นเวลานั้น.. เมื่อวานก็ตรัสรู้องค์หนึ่ง วันนี้ก็มาตรัสรู้อีกองค์หนึ่ง คือเพลินในการหลับนอน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ห่างกันขนาดไหน พุทธันดรระหว่างพระพุทธเจ้าองค์นี้กับองค์นี้ที่มาตรัสรู้นี้เป็นสุญญกัป.. ว่างเปล่าเป็นเวลานานแสนนาน นานขนาดไหน กาลนาคองค์นั้นยังว่า เมื่อวานมาตรัสรู้องค์หนึ่ง แล้ววันนี้มาตรัสรู้องค์หนึ่ง เหมือนว่ากระชั้นชิดกันเหลือเกิน คือมากวนการหลับนอน นอนสบายมาก...”

ลัก...ยิ้ม
20-08-2020, 23:08
เณรเล่นบั้งไฟเล็ก

“... ที่วัดป่าบ้านตาดไม่ค่อยมีเณร ส่วนมากมีชั่วระยะ พอพูดอย่างนี้แล้วก็ระลึกได้ อยู่วัดป่าบ้านตาด มีเณรหนึ่งอยู่นั้น อายุประมาณ ๑๔ ปี รูปร่างมันเล็ก ๆ ไม่ได้โต นอกนั้นมีแต่พระ ทั้งวัดมีเณรองค์เดียว จะไปเล่นกับพระอะไร ๆ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวพระจะเขกกบาลเอาสิ พระท่านไม่เล่น ไม่เหมือนเด็ก มันคงจะหิวกระหายอยากเล่น ไปทำอะไรไม่รู้นะ ไปทำบั้งไฟเล็ก ๆ ขโมยทำในวัดในป่า พระไม่รู้สักองค์เดียว เขาไปขโมยทำของเขา เขาคึกคะนองภาษาเด็ก บั้งไฟเล็ก ๆ เหมือนบั้งไฟใหญ่ แต่นี่เขาทำเล็ก ๆ ซี้ด ๆ ๆ ไปจุดชิด ๆ อยู่ในป่า เวลาหลังมานี่เราถึงถามว่าบั้งไฟนี่ทำได้ยังไง ทำไมถึงรู้วิธีทำ เขาบอกว่าตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาไปกับพ่อเขาไปทำบั้งไฟอยู่ในวัด พระท่านทำบั้งไฟ ตะไลบ้างอะไรบ้าง ก็ไปดูพ่อทำ เลยได้วิชานี้มาทำ

ทางจงกรมอยู่ลึก ๆ ในป่า เพราะในวัดป่าบ้านตาด แต่ก่อนพระไม่ให้มีมากนะ อยากมากไม่ให้เกิน ๑๘ องค์ อยู่ทางจงกรมในป่าลึก ๆ นู่นล่ะเป็นสถานที่ซุ่มตัวจุดบั้งไฟอยู่ที่นั่นของเณร เรียกว่าไม่มีใครเห็นล่ะ เพราะมันอยู่ลึกจริง ๆ ไม่มีใครเข้าไป พระก็ ๑๗ – ๑๘ องค์ก็พออยู่แล้ว สงัดมากทีเดียว เพราะฉะนั้น ที่นั่นจึงเป็นที่สงัดมากกว่าที่อื่น ๆ แกก็ไปขโมยจุดบั้งไฟอยู่ในป่า

ตอนนั้นประมาณ ๒ ทุ่ม เราออกจากทางจงกรมแล้ว มันดลบันดาลยังไงไม่ทราบ แปลกอยู่นะแล้วก็บึ่งเข้าไปนั่นเลย ซึ่งแต่ก่อนเราก็ไม่เคยไป วันนั้นมาดลบันดาลยังไงไม่รู้นะ ออกจากทางจงกรมบึ่งเข้าไปเลย

พอเดินเข้าไปมืด ๆ พอจวนจะถึงแล้ว มองเห็นบั้งไฟเล็ก ๆ ซี้ด ๆ ๆ จุดเพลินอยู่คนเดียว เณรน้อยจุดบั้งไฟเพลินอยู่คนเดียว ขึ้นจริง ๆ ด้วยนะ เสียงอะไร มันก็ยิ่งให้ขยับสนใจเข้าไป ค่อยต้อนเข้าไป ยังไม่นึกว่าเป็นบั้งไฟนะ เดินเข้าไปที่ไหนได้ เณรน้อยองค์นั้นจุดบั้งไฟขึ้น คนเดียวเลยนะ

พอเราเดินเข้าไปตรงนั้น พอมันจุดนั่นขึ้นแล้ว เตรียมอีกจะจุดอีกมันมีหลายบั้งเหมือนกัน พออยู่ ๆ เราก็โผล่เข้าไปเลย มันมองเห็น โอ๊ย.. ตัวสั่นเลย ก็มองเห็นเสือโคร่งใหญ่ซะด้วยนะ ไม่ใช่ธรรมดา เสือดงเสือดาวก็ไม่เห็น ไปเจอเสือโคร่งใหญ่กำลังเข้ามาเหมือนหนึ่งว่าจะตะครุบเข้าไป

มองดูเห็นบั้งไฟอยู่ ๓ – ๔ บั้ง มันกำลังจะจุดขึ้นอีก เราก็เดินดูนั้นดูนี้ มันมีเสาเล็ก ๆ เสาบั้งไฟน้อยนั่นแหละ แล้วกำลังจะจุดขึ้นอีก พอดีเราโผล่เข้าไป เราก็ไม่ว่าอะไร เหมือนไม่มีอะไร คือมันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ลิงมันดิ้น ความหมายว่างั้นแหละ ถ้าจะบอกว่าลิงดิ้น พาลิงมาเล่นมันก็ไม่กล้าบอก เหมือนกับเพื่อนแกล่ะ ‘เณรทำอะไร’

แกนั่งตัวสั่น ‘โอ๊ย.. ทำไปอย่างงั้นล่ะ’ พูดเสียงสั่นไปหมดเลย เราเดินดูนั้นดูนี้ แกก็นั่งตัวสั่น

‘ไหนล่ะ..มีอะไรอีกล่ะ’

พอออกไปแล้วเราก็หนีไปเลย บั้งไฟที่ยังอยู่เหลือนั่น ไม่ทราบมันจุดอีกหรือมันปาเข้าป่าก็ไม่รู้ มันหมดขลัง บั้งไฟมีกี่บั้งมันก็ไม่มีขลัง หมดขลังแล้ว ลองตัวสำคัญก็เสือโคร่งใหญ่ซะด้วย ไปเวลาเงียบ ๆ ด้วย

มันโศกเศร้าเหงาหงอย ๓ วัน เราก็ไม่พูดถึงเลย เรายังไม่พูด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บั้งไฟที่มันเอาวางไว้เราก็ไม่เคยถามถึง เพราะโทษเต็มตัวมันอยู่ใน ๓ วันนี้ จนกระทั่งล่วงไปสัก ๔ – ๕ วัน ดูลักษณะท่าทาง สีหน้าสีตามันดีขึ้นค่อยปกติเข้ามา จนกลายเป็นปกติ อารมณ์ที่กลัวเราจากความผิดของตัวเองคงหายไปหมด จากนั้นเราจึงได้เรียกมาสอน ก็อบรมสั่งสอนธรรมดา ไม่มีแสดงอาการอะไร แต่เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมวินัย เราลงทัณฑกรรม คือตามหลักวินัย ศีลของเณร เณรผิดศีลผิดธรรมยังไง ควรจะปฏิบัติยังไงให้ถูกต้องตามหลักแห่งธรรมวินัย พอแนะนำสั่งสอนเรียบร้อยแล้ว

เราบอกว่าให้พระมากำกับ คือที่ตะวันตกศาลานั้น แต่ก่อนเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นหญ้า ไม่มีอะไรล่ะ เป็นดินธรรมชาติ เลยบอกให้เณรเอาดินในจอมปลวกนั้นมาถมหลุมอันนี้วันละ ๑ ชั่วโมง ไม่เอามาก แล้วให้พระมาคอยกำกับให้เณรไปขุดเอาดินบนจอมปลวกมาเท ใส่บุ้งกี๋มาเท ถม ทำอยู่ ๓ วันก็พอดี แถวนั้นก็เรียบพอดี จากนั้นก็มาสอนอีก อย่าทำอย่างนี้นะ.. ไม่ได้นะ การที่เราไม่รับเณรเข้ามาในวัดก็มันมีเหตุการณ์อย่างนี้ เพิ่งเกิดขึ้น เราคิดไว้แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ พูดถึงเรื่องว่าไม่ค่อยได้รับเณร คือเณรมันเป็นเด็ก ถึงจะเอาผ้าเหลือง ผ้าสีขนุนอะไรมาใส่มันก็เป็นผ้าเป็นสีขนุน แต่เณรมันก็เป็นเณร เด็กมันก็เป็นเด็ก นิสัยเป็นลิงมันก็ลิงตามประสาของเด็ก ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่ค่อยรับ ขบขันดีนะ คนหนึ่งกลัวจะตาย คนหนึ่งขบขัน เด็กมันเป็นอย่างงี้เอง เราไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดความพลาดอะไรของเณรนะ เณรมันเป็นอย่างนี้เอง

มันอยู่คนเดียวไม่ได้ คือมันต้องชอบสนุกเล่นนั้นเล่นนี้ ทีนี้อยู่กับพระ.. เล่นกับพระไม่ได้นะ พระท่านเอาจริงเอาจัง ท่านภาวนา ไปเล่นกับท่านได้ยังไง มันก็กลัวน่ะสิ เพราะพระองค์ไหนก็ขึงขังตึงตัง ไม่มีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกับเณรพอจะไปทะลึ่งท่านได้ แล้วมันไปทะลึ่งอะไร มันก็ไปทะลึ่งกับบั้งไฟ เข้าท่าดีนะ.. ขึ้นนะ มันจุดปั๊บขึ้น ซี้ด ๆ ๆ ขึ้น เข้าท่าดี เป็นบั้งไฟเล็ก ขึ้นสูงนะ วัดกรรมฐานไม่ค่อยมีเณร สำหรับพระปฏิบัติจริง ๆ ท่านไม่ค่อยจะยุ่งกับเณร คือเณรมันลอดตาข่ายอยู่นะ ตาข่ายแห่งธรรมแห่งวินัย มันก็ไม่พ้นที่มันจะออกนอกลู่นอกทางไปตามประสาของเณรจนได้ เราจึงไม่ค่อยรับ..ก็มีแต่พระอย่างงี้ ดีดผึง ๆ มองดูองค์ไหนเหมือนเป็นแบบพิมพ์เดียวกันเลย เอาจริงเอาจังทุกอย่าง ข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ปฏิบัติตัวเอง ต่อข้อวัตรปฏิบัติ และต่อศีลต่อธรรมตลอดเวลา เณรเข้ามาก็ขวางกันน่ะสิ มีไว้ก็สำหรับรับประเคนของเท่านั้นแหละ...”

ลัก...ยิ้ม
21-08-2020, 13:21
ตายก่อนขมาโทษพระวินัย

“... พระองค์หนึ่งที่ว่า เวลานี้ยังเป็นพญานาคอยู่ อันนี้ครั้งศาสนาของพระกัสสปะ พระองค์นั้นบวชในศาสนาของพระกัสสปะ นั่งเรือไปตามลำคลอง ท่านไม่ได้มีเจตนาแต่มือมันคะนอง พอเรือมันวิ่งผ่านไป กอตะไคร้น้ำมันอยู่ฝั่งคลอง เรือก็ไป ท่านเลยไปจับ พอจับท่านไม่เจตนาว่าจะจับจะเด็ดใบตะไคร้น้ำให้ขาด พอจับยังไม่ปล่อยเรือบึ่งไป.. ใบตะไคร้น้ำเลยติดมือมาเลย ตอนนั้นเป็นตอนสำคัญ เมื่อรู้ว่าเจ้าของเป็นโทษ ยังหาพระมาประกาศโทษของตนให้ทราบ เรียกว่าขมาโทษพระวินัย ก็ไม่มีพระวันนั้น เพราะท่านลงเรือไปในลำคลอง

พอดีท่านป่วยน่ะสิ พอป่วยก็เลยตาย จิตเป็นกังวลยังไม่ได้แสดงโทษของตน ไม่ได้ปฏิญาณโทษของตนเองต่อพระองค์ใดองค์หนึ่งตามหลักวินัยที่มี.. เลยตาย ตายแล้วก็เลยไปเป็นพญานาค ไม่ตกนรกอะไร แต่ไปเป็นพญานาคเพราะโทษอันนี้ ฟังสิ..ศาสนาพระกัสสปะกับพระศาสนาของเรานี้ก็ห่างกันเป็นพุทธันดรหนึ่ง.. ห่างนาน ระหว่างนี้เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า ระหว่างนี้เป็นศาสนาพระสมณโคดมเรา จากศาสนาของพระกัสสปะที่พระองค์นั้นทำผิดวินัย ก็มาถึงพุทธศาสนาของเรา เวลาตายแล้วไปเป็นพญานาค จะไปสวรรค์ก็ไปไม่ได้ จะตกนรกก็ไปไม่ถึง ไปเป็นหัวหน้าพวกพญานาคทั้งหลาย

ทีนี้ความเชื่อ ความเลื่อมใส.. ในพระพุทธศาสนายังฝังใจอย่างลึกทีเดียว ทีนี้พอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ทราบเท่านั้นว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น.. ปีติยินดี ทั้ง ๆ ที่เป็นพญานาค.. อยากฟังเทศน์ ฟังธรรม เราเสียท่าเสียทางเพราะความเผลอสติเท่านั้นนะ ความเผลอสตินี่ล่ะที่ไปจับเอากอตะไคร้ กอตะไคร้เลยขาดติดมือเลย ไม่มีเจตนาเพราะเรือมันก็วิ่งไป ทางนี้มือไปจับเอาตะไคร้ เรือพาไป ทีนี้มือยังไม่ได้ปล่อย.. ทำเท่านั้นก็ยังผิด มาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเกิดความปีติยินดีในธรรมว่า ถ้าธรรมดาพญานาคนี้ควรจะได้สำเร็จพระโสดาฯ ในขณะนั้นเลย แต่นี่เพราะเป็นวิสัยของประเภทของสัตว์เดรัจฉาน จึงสำเร็จพระโสดาฯ ไม่ได้ แต่อำนาจอานิสงส์ที่มาฟังเทศน์ฟังธรรมนี้สูงเด่นขึ้นไปอีก มีอำนาจวาสนากว้างขวางออกไปในวงพญานาคทั้งหลาย

ท่านแสดงไว้อย่างนั้น คือนั่นควรจะได้บรรลุพระโสดาฯ แต่เพราะโทษอันนี้กีดขวางเอาไว้เลยไม่สำเร็จ กีดขวางไว้ให้เป็นพญานาคก็ประเภทสัตว์ มนุษย์เท่านั้นที่จะสำเร็จพระโสดาฯ อันนั้นสำเร็จไม่ได้ นี่ท่านแสดงเพียงเล็กน้อย นี่หมายถึงกรรมนะ ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีอะไรมากมายนะ มันก็แสดงให้เห็นอยู่ ท่านถึงบอกว่า กรรมไม่มีลี้ลับนะ กรรมดีกรรมชั่ว.. ใครทำที่ไหนไม่มีลี้ลับ เพราะเจ้าของเป็นผู้ทำ เปิดเผยอยู่กับการกระทำของตัวเองทั้งดีและชั่ว ท่านจึงต้องให้สำรวมระวังด้วยดี มีสติระมัดระวังรักษาตัวเสมอ ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ นั่นเรียกว่าวิบากกรรม ดีชั่วเป็นผลให้เป็นสุขเป็นทุกข์ มันอยู่ที่เรา...”

ลัก...ยิ้ม
21-08-2020, 13:46
ธรรมเทศนาโดยย่อ : ข้อวัตรปฏิบัติพระเณรวัดป่าบ้านตาด


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


อุปัชฌายะตามหลักพระวินัย

“...กฎเกณฑ์คณะสงฆ์ลักษณะปกครองอะไรมีขึ้นมาทุกวันนี้ เพราะเรื่องการประพฤติของพระของเณรเรามันพิสดารไปเรื่อย เพราะฉะนั้น จึงต้องมีเรื่องกฎกระทรวงบ้าง ข้อบังคับ กฎกติกาอะไรบ้าง กฎหมายลักษณะปกครองสงฆ์บ้าง ขึ้นมาเพื่อปกครอง หลักเหล่านี้ถึงจะมีมากน้อยเพียงไรก็ตาม แต่ต้องไม่ทำลายหรือทำความกระทบกระเทือนต่อหลักพระวินัยเป็นสำคัญท่านว่า อย่างบัญญัติหรือกฎข้อบังคับให้ตั้งอุปัชฌายะนี่เหมือนกันนะ ก็ตั้งตามเขตตามภาค ใครอยู่ในเขตไหน อำเภอใด ตำบลใด ควรจะมีอุปัชฌาย์ เพื่อไม่ให้ลำบากในการอุปสมบทของกุลบุตร สุดท้ายภายหลังก็ตั้งอุปัชฌาย์ ตั้งทางโน้นก็ให้บวชให้ทางโน้น ตั้งที่ไหนก็ให้บวชทางนั้น ๆ ผู้ไม่ได้ตั้งก็ไม่ให้เป็นอุปัชฌาย์ ไม่เรียกว่าอุปัชฌาย์ นี่ความหมายของการตั้งชื่อเมื่อภายหลังนี้ว่าอย่างนั้น

แต่เมื่อมีเหตุจำเป็นที่ควรจะบวช จะบวชนี่จะผิดไหม นี่เป็นปัญหาอันหนึ่งขึ้นมา เอ้า.. พระวินัยผิดไหม พระวินัยว่ายังไง เอาพระวินัยเป็นเกณฑ์เลย คือพระวินัยพระ ที่บวชตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไปแล้วสามารถที่จะเป็นอุปัชฌายะได้ นี่ละ..ตรงนี้อันหนึ่ง ถ้าสมมุติว่าเกิดมีผู้บวชขึ้นมา หรืออย่างผมนี้มีความจำเป็นที่จะบวชกุลบุตรสุดท้ายผู้ใดก็ตาม ผมบวชขึ้นมานี้สงฆ์จะรับรองไหม นี่เป็นข้อหนึ่งขึ้นมา

ที่ผมพิจารณาหรือผมพูดออกมา เพื่อให้หมู่เพื่อนได้ใช้ความพินิจพิจารณา หรือได้พิจารณาตามเหตุผลนี้ เทียบเคียงกับหลักธรรมหลักวินัยต่างหากนะ ไม่ใช่ผมจะเป็นผู้ล่วงเกินธรรมวินัย คือมันมีหลายแง่หลายทางนี่ ที่จะถือว่าถ้าได้ตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์แล้วถึงจะบวชได้ ถ้าไม่ได้ตั้งเป็นอุปัชฌาย์แล้วบวชก็เป็นโมฆะอย่างนี้ จะเป็นโมฆะจริง ๆ เหรอ ในเมื่อหลักพระวินัยมีอยู่นี่ พระวินัยท่านว่าผู้มีอายุ ๑๐ พรรษาขึ้นไปแล้ว และเป็นผู้ทรงธรรมวินัยด้วยดี มีสัมมาคาราวะ มีอาจาระดี เป็นที่เคารพเลื่อมใสของพระเณรและประชาชนแล้ว ผู้นั้นเป็นอุปัชฌายะได้ โดยไม่ต้องตั้งจากผู้หนึ่งผู้ใดเลย แน่ะ..นี่คือพระวินัยตั้งเอง หรือศาสดาตั้งเองก็ได้ เพราะศาสดาเป็นผู้บัญญัติไว้ นี่..ยังมีข้อแม้อยู่อันหนึ่ง...

แต่ท่านไม่ทำอันนั้นเพราะเคารพในกฎอันนี้ ไม่ทำนั้นเฉย ๆ ไม่ได้หมายถึงว่าจะบวชไม่ได้เลย พระวินัยมีอยู่ทำไมบวชไม่ได้ ศาสดาแท้ ๆ เป็นผู้ตั้ง เป็นผู้บัญญัติขึ้น อันนี้เป็นพวกคณะสงฆ์เราสุดท้ายภายหลังมาตั้งขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นความวุ่นวายเกินไป เพราะสมัยทุกวันนี้.. พระองค์ที่โลภมากเป็นอุปัชฌาย์แล้วคอยแต่จะกิน มี (อย่างนั้น) นั่นจะว่าไง ไม่ใช่อุปัชฌาย์ด้วยความเมตตาสงสารกุลบุตร สุดท้ายภายหลังไม่ได้ทำด้วยความเมตตาสงสาร แต่ผู้ที่ทำด้วยความเมตตาสงสารไม่ได้หวังโลภโลเลอะไรเลย บวชตามหลักพระวินัยทำไมจะเป็นไปไม่ได้ นี่อันหนึ่งที่เป็นข้อคิด

สำหรับเราเอง เราแน่ใจว่าได้ทั้งนั้น ไม่มีใครตั้งก็ตามพระวินัยตั้งแล้ว นั่น.. พระวินัยตั้งแล้วคือศาสดาตั้งแล้ว.. บวชได้ แต่ท่านไม่ทำ..เพราะเคารพในกฎนี้ กฎนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายนี่ ท่านบวชมาสักเท่าไรแล้วไม่ทำความเสียหาย มันเป็นกฎ เป็นระเบียบอันดีงามซึ่งควรเคารพ เราจึงเคารพเรื่อยมา บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงเคารพในกฎนี้เรื่อยมา แต่ไม่ถึงกับว่าจะต้องลบล้างพระวินัยข้อนั้นทิ้งไปเลย..ไม่ให้มี ให้มีแต่ผู้ที่ตั้งเป็นอุปัชฌายะแล้วถึงจะบวชได้เท่านั้น นี้พูดเป็นข้อคิดให้คณะสงฆ์เราได้คิด แต่ไม่ใช่ให้อุตริไปทำนะ คณะสงฆ์ท่านตั้งไว้แล้วก็เป็นความสวยงามแล้ว เรียบร้อยแล้ว เราทำเป็นแง่คิดแห่งพระวินัยข้อหนึ่งขึ้นมาเท่านั้นเอง...”

ลัก...ยิ้ม
22-08-2020, 21:00
เครื่องรบกิเลส
“... เวลานี้เราทั้งหลายต่างก็คาดเครื่องรบเต็มตัวอยู่แล้ว เครื่องรบของเราทุกชิ้นซึ่งเป็นหลักธงชัย.. อันสืบเนื่องมาแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงได้ชัยชนะมาแล้ว เครื่องรบนั้นก็คือ บริขารแปดที่ประทานให้ผู้บวชเป็นพระ เป็นเณรในพระพุทธศาสนา ได้แก่ บาตร สบง จีวร สังฆาฏิ ประคดเอว มีดโกน เครื่องกรองน้ำ และกล่องเข็ม นี่คือเครื่องธรรมของนักบวช ที่ประทานให้เป็นมรดกนับแต่วันอุปสมบท ปฏิญาณตนเป็นศิษย์พระตถาคต และทรงชี้วิธีปฏิบัติและทรงดำเนินเพื่อชัยชนะข้าศึก คือ กิเลส โลโภ โทโส โมโห อันเป็นส่วนภายในทุกกรณี แต่ประโยคสำคัญคือตัวของเราเอง บัดนี้เราได้คาดการรบไว้มากน้อยเท่าไร เพื่อนำชัยชนะมาสู่ตัวเรา

เครื่องมือในการรบ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แยกออกไปตามมัชฌิมาปฏิปทามี ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป นี่เป็นองค์แห่งปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว นี่เป็นองค์แห่งศีล สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่เป็นองค์แห่งสมาธิ รวมแล้วเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าแลสาวกท่านเดินทางสายนี้แล ซึ่งโลกทั้งหลายเดินได้โดยยาก...”

ลัก...ยิ้ม
22-08-2020, 21:15
พระธรรมวินัย
“... เราที่ได้บวชมาในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่มีหน้าที่การงานซึ่งจะทำได้โดยสมบูรณ์ ไม่มีอะไรขัดข้องยุ่งเหยิงเหมือนฆราวาสเขา เป็นโอกาสที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการที่จะบำเพ็ญตนให้ถูกต้องดีงามโดยลำดับ จนถึงจุดหมายปลายทางตามทางของพระศาสดา ที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม ... ถ้าไม่ปล่อยให้ความขี้เกียจขี้คร้านอันเป็นเรื่องของกิเลส ความท้อถอยอ่อนแออันเป็นเรื่องของกิเลสเข้ามาทำงานเสีย

พระวินัยก็ดี พระธรรมก็ดี เป็นทั้งทางเดิน ทั้งรั้ว..กั้นไม่ให้ปลีกแวะ เช่นพระวินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทางไว้ ธรรมเป็นทางสายกลาง เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา พระวินัยเป็นรั้วกั้นไว้ทั้งสองฟากไม่ให้ข้าม หรือปลีกแวะออกไป ปีนรั้วปีนราวคือหลักธรรมวินัย อันเป็นสวากขาตธรรมด้วยกันทั้งนั้น การทำรั้วไว้ด้วยศีลก็คือ การปิดกั้นทางที่จะผิดเป็นโทษเป็นภัยแก่ผู้เดินทางนั้น ไม่ให้ปืนออกไปสู่ภัยสู่อันตรายทั้งหลายอันจะนำมาซึ่งโทษ และดำเนินตามสายกลางคือมัชฌิมาเป็นลำดับลำดา ไม่ปลีกแวะจากหลักมัชฌิมานี้ด้วยความอุตส่าห์พยายาม ไม่ลดละท้อถอย.. อย่างไรต้องถึงจุดที่หมายปลายทางโดยไม่ต้องสงสัย

คำว่าพระวินัยก็พอทราบกัน คือ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ เหล่านี้เป็นหลักพระวินัยทั้งนั้น ส่วนพระธรรมมีมากและละเอียดไปเป็นขั้น ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นต้น จัดเป็นหมวดธรรม พระวินัยเป็นของจำเป็นตามขั้นและเพศของผู้รักษา ... ไม่อาจเอื้อมล่วงเกิน ใจก็มีความเยือกเย็น ไม่เป็นอารมณ์เพราะเหตุแห่งความผิดศีลที่ตนรักษา จะอบรมใจให้สงบ เย็นใจ ผิวพรรณก็ผ่องใส และมีกิริยาองอาจ ไม่สะทกสะท้าน นี่เป็นศีลสมบัติที่เราได้รับในปัจจุบัน

ต่อไปก็เริ่มให้เป็นสมบัติขึ้นภายในใจ โดยวิธีอบรมจิต เช่น นั่งกำหนดอานาปานุสติ ถือลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ของใจ หรือพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดบทหนึ่งที่จริตชอบ มีสติกำกับอยู่ที่ใจซึ่งบริกรรมธรรมบทนั้น ๆ เป็นอารมณ์อยู่.. ใจจะค่อยมีความรู้เด่นขึ้นที่จุดนั้น และมีความเย็นสบาย ความสุขที่เกิดขึ้นจากความสงบ จะไม่เหมือนความสุขอื่นใดที่เคยผ่านมา ผู้ได้รับความสุขประเภทนี้แล้ว จะเป็นที่สะดุดใจทันที พร้อมทั้งความพอใจที่จะพยายามให้ความสงบสุขนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ...

ความสงบของใจมีหลายขั้น คือขั้นหยาบ ขั้นกลาง และขั้นละเอียด ตามแต่ผู้บำเพ็ญจะสามารถทำได้เป็นขั้น ๆ และพยายามทำจิตของตนให้ขยับขึ้นไปเป็นระยะ จนถึงขั้นละเอียดสุดของสมาธิ ส่วนความสุขอันเป็นผลย่อมมีความละเอียดขึ้นไปตามขั้นของสมาธิ ปัญญาก็มีขั้นหยาบ ขั้นกลาง และขั้นละเอียดเช่นเดียวกับสมาธิ และควรนำมาใช้กำกับสมาธิขั้นนั้น ๆ ได้ตามโอกาสอันควร จนเป็นความรอบคอบของนักปฏิบัติธรรมทุก ๆ ขั้นไป ...”

ลัก...ยิ้ม
23-08-2020, 12:16
อนุศาสน์ ๘ นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔

“... นิสสัย ๔ อนุศาสน์ข้อที่ ๑ ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ... ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง อัพโภกาส อันเป็นที่สะดวกแก่การบำเพ็ญสมณธรรม ปราศจากสิ่งรบกวนแล้ว จงอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด... ท่านไม่สอนว่านั้นตลาด นั้นถนนสามแพร่งสี่แพร่ง นั้นชุมนุมชนคนหนาแน่น พวกท่านจงไปกางกลดกางมุ้งอยู่ในที่ชุมนุมชนเช่นนั้น พวกท่านทั้งหลายจะปลอดภัย และถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ได้โดยพลัน อย่างนี้พระองค์ไม่ได้สอน ...

ข้อที่ ๒ ว่า ปํสุกูลจีวรํ ท่านทั้งหลายบวชมาแล้ว พึงแสวงหาผ้าบังสุกุลที่เขาทอดทิ้งตามป่าช้า ตามถนนหนทาง นำมาปะติดปะต่อ ปะชุนกันเข้าเป็นผืนสบง จีวร สังฆาฏิ พอได้ครองร่าง และชีวิตสืบต่อเพศพรหมจรรย์ให้เป็นไปในวันหนึ่ง ๆ สมกับเพศสมณะซึ่งไม่ใช่นักฟุ่มเฟือยโก้เก๋...

ข้อที่ ๓ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ เราบวชในพระศาสนาแล้ว อย่าเป็นผู้เกียจคร้าน จงบิณฑบาตมาฉันด้วยกำลังปลีแข้งของตัวโดยความบริสุทธิ์ใจ บรรดาศรัทธาญาติโยมทั้งหลายให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ ใส่บาตรให้เรามาฉันตามสมณประเพณี ซึ่งปราศจากการซื้อขาย ปราศจากการทำไร่ทำนาเหมือนอย่างประชาชน การบิณฑบาตมาฉันเป็นกิจวัตร ชื่อว่าเป็นการแห่งอาชีพที่บริสุทธิ์ของนักบวช พึงอุตส่าห์ทำอย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด

ข้อที่ ๔ คิลานเภสชฺช คือยารักษาโรค คำว่า โรคหรือไข้ เป็นได้ทั้งพระและฆราวาสไม่เลือกหน้า เมื่อความจำเป็นเกิดขึ้น เรื่องจำเป็นจะต้องแก้ไขก็ต้องมีขึ้นเป็นเงาเทียมตัว แต่พึงรู้จักประมาณในการขอจากญาติในพระศาสนา หรือคนให้โอกาสแก่การขอให้เป็นความดีที่สุด ความรู้จักประมาณเป็นธรรมจำเป็น นักบวชควรมีประจำตนตลอดเวลา...

อกรณียกิจ ๔ คือห้ามไม่ให้ทำ เด็ดขาดไปเลย เป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากในกิจ ๔ ประการ เช่น ฆ่าสัตว์อย่างนี้เป็นต้น หรืออวดอุตตริมนุสธรรม...

นี่เป็นพระโอวาทที่พระองค์ทรงสอนพระทุกองค์ที่บวชมาต้องรับโอวาทข้อนี้.. จนได้นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ หรืออนุศาสน์ ๘ นั่น แจงออกมาอย่างนี้ให้รู้กัน...

ลัก...ยิ้ม
23-08-2020, 12:20
การบำเพ็ญเพียรประจำวันของหลวงปู่มั่น

“... ปกติหลังจากฉันเสร็จแล้ว ท่าน (หลวงปู่มั่น) เริ่มเข้าทางจงกรมทำความเพียรราวหนึ่งถึงสองชั่วโมง แล้วออกจากทางจงกรมเข้าห้องพัก และทำภาวนาต่อไปจนถึงบ่ายสองโมง ถ้าไม่มีธุระอื่น ๆ ก็เข้าทางจงกรม ทำความเพียรต่อไปจนถึงเวลาปัดกวาดลานวัด ท่านถึงจะออกมาจากที่ทำความเพียร หลังจากสรงน้ำเสร็จก็เข้าทางจงกรม และเดินทำความเพียรต่อไปถึงสี่หรือห้าทุ่มจึงหยุด แล้วเข้าที่สวดมนต์ภาวนาต่อไป จนถึงเวลาจำวัดแล้วพักผ่อนร่างกาย ราวสามนาฬิกาคือ เก้าทุ่มเป็นเวลาตื่นจากจำวัด และทำความเพียรต่อไปจนถึงเวลาโคจรบิณฑบาต จึงออกบิณฑบาตมาฉันเพื่อบำบัดกายตามวิบากที่ยังครองอยู่ นี่เป็นกิจวัตรประจำวันที่ท่านจำต้องทำมิให้ขาดได้...”

ลัก...ยิ้ม
23-08-2020, 12:24
กินอยู่เรียบง่าย หรูหราด้วยธรรม

“...งานของพระที่ว่าให้ทำอย่างนั้น ก็กลายเป็นงานก่อสร้างไปหมด นั่น..หรูหราฟู่ฟ่า ฟุ่มเฟือยแล้วเอามาแข่งขันกัน วัดนั้นสวย วัดนี้งาม วัตถุเครื่องก่อสร้างต่าง ๆ สวยงามเท่าไร ยิ่งเป็นที่เกรงขาม บ๊ะ..ฟังซิน่ะ กิเลสมันเอาให้เป็นที่เกรงขามไปได้นะ มันแทรกเข้าไปอยู่ในนั้นละ ยิ่งหรูหราฟู่ฟ่า.. สวยงามเท่าไรยิ่งเป็นเครื่องประดับวัดวาอาวาส นี่ละ.. กิเลสเข้าไปประดับร้านทั้งภายนอกทั้งภายใน ไม่เพียงประดับร้านเฉย ๆ ข้างนอกนี่หลอกไว้แบบหนึ่ง ข้างในก็หลอกไว้อีกแบบหนึ่ง มันเต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณร ส่วนฆราวาสเขาไม่ต้องพูดละ เขาไม่มีแบบมีฉบับ พระเรานี้มีแบบมีฉบับ ควรจะได้แบบฉบับอันดีงามมาประดับตนและสั่งสอนประชาชน

เมื่อภายในมีหลักมีเกณฑ์ มีความสง่างามแล้ว อยู่ที่ไหนก็สง่างามหมด อดบ้างอิ่มบ้างก็ไม่เป็นทุกข์ ท่านไม่เป็นกังวล ใครจะอดอยากขาดแคลนยิ่งกว่ากรรมฐาน ผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมไม่มี ถ้าเป็นเรื่องของผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมแล้ว ต้องเป็นผู้ได้รับความทุกข์ต่าง ๆ จากปัจจัย ๔ คือที่อยู่ที่อะไร คือท่านไม่สนใจ ท่านไม่เอา เพราะไม่ใช่ทาง เพียงอยู่อาศัยวันหนึ่ง ๆ ไปเท่านั้นพอ ภายในนี้ท่านสนใจมาก...”

ลัก...ยิ้ม
24-08-2020, 13:33
พูดคุยกันเป็นอรรถ เป็นธรรม

“... นี่เป็นงานของพระพุทธเจ้า งานของสาวก ที่เกี่ยวข้องกันเป็นอย่างนั้น เรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วน ๆ ไม่มีอะไรเข้ามาเจือปนเลย ถ้าสมัยปัจจุบันก็หลวงปู่มั่น นี่ก็เหมือนกัน ตรงเป๋งเลยเชียว ไม่มีจะพูดเรื่องโลก เรื่องสงสาร.. ไม่เคย พูดอะไร ๆ ก็มีแต่พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องที่ทำความพากความเพียร ท่านพูดกันอย่างนั้น คุยกันกี่ชั่วโมงก็ตาม มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วน ๆ ฟังแล้วรื่นเริง ๆ นั่นมันต่างกันอย่างนั้นนะ นี่ละธรรม.. ธรรมออกก้าวเดินเป็นอย่างนั้น กิเลสออกก้าวเดิน กิเลสออกตีตลาด.. คำพูดคำจาจะเป็นเรื่องของกิเลส ของการบ้านการเมือง ความได้ความเสีย การซื้อการขาย เรื่องหญิงเรื่องชายไปหมด นี่คือกิเลสออกตีตลาด...”

ลัก...ยิ้ม
24-08-2020, 13:40
ไม่ก่อสร้างวัตถุ แต่สร้างหัวใจ

“... เพราะฉะนั้น เราจึงได้ขู่เข็ญวงกรรมฐานเรา ขนาดนั้นมันยังรอดออกไปได้นะ โถ.. มันเร็ว บางทีชี้หน้าเลย..ขนาดนั้น เอาอย่างหนัก เกี่ยวกับเรื่องการก่อการสร้างยุ่งเหยิงวุ่นวาย นี่เป็นการสร้างความกังวล ไม่ได้สร้างความสงบ เมื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร สติปัญญา ความคิดความอ่านไตร่ตรอง ความกังวลวุ่นวาย ความก่อกวน มันจะเข้ามาพร้อม ๆ กัน นั่นคือสร้างความวุ่นวาย ปลูกกุฏิขึ้นเพียงหลังหนึ่งเท่านั้น ก็สร้างความวุ่นวายสักเท่าไร ยิ่งสร้างศาลาขึ้นหลังใหญ่ ๆ ทั้งหลัง มันจะก่อกวนมากน้อยเพียงไร ทั้งวุ่นวาย ทั้งก่อกวน เลยกลายเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมืองไป กวนเอาห้าเอาสิบเขามาสร้างนั่นเอง เนี่ย..ที่ให้เกามันไม่ยอมเกา มันเถลไถลออกไปข้างนอก.. มันยิ่งไปใหญ่ ทีนี้เลยกลายเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมือง แทนที่จะให้เป็นความร่มเย็นแก่โลกแก่สงสาร กลับเป็นความร้อนยิ่งกว่าโลกไปซะอีก กวนโลก กวนสงสารเขาไปอีก นี่ละกิเลสมันเข้าตีตลาด ตีอย่างนี้ ไอ้เราไม่รู้ ประดับตกแต่งอะไรมีแต่เรื่องของกิเลส...”

ลัก...ยิ้ม
24-08-2020, 13:47
ไม่รับนิมนต์ไปฉันในบ้าน

“...วัดป่าบ้านตาดก็ประกาศตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมา เราบอกตรง ๆ เลยว่า วัดนี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาเพื่อสั่งสมอรรถธรรม มรรคผลนิพพานล้วน ๆ เราบอกตรง ๆ เพราะฉะนั้น การเกี่ยวข้องกันไปฉันที่นั่นที่นี่ตามบ้านตามเรือน ในเมือง นอกเมืองที่ไหน เราจึงขอบิณฑบาต เราบอก.. ขออย่ามานิมนต์พระวัดนี้ไป มันจะขาดงานการของท่านที่ท่านทำด้วยความตั้งอกตั้งใจ ไปทุกวี่ทุกวันจนจะกลายเป็นความเหลวแหลกแหวกแนวไป จึงขอบิณฑบาตจากบรรดาพี่น้องทั้งหลาย.. ไม่ให้มานิมนต์วัดนี้ไปฉันในบ้าน บ้านนั้นบ้านนี้ในเมืองนอกเมืองก็ตาม เราเป็นหัวหน้า เราเป็นหัวหน้าเป็นผู้บิณฑบาตขอพี่น้องทั้งหลาย ไม่ว่าชาวอุดรชาวไหนก็ตาม ให้เสมอกันหมด แต่ถ้าหากว่ามีความจำเป็นจริง ๆ เราไม่ได้ห้ามขาดโดยถ่ายเดียว มีข้อแม้ที่จะแยกแยะ หากว่ามีความจำเป็นจริง ๆ ซึ่งควรจะเป็นไปตามนั้น พระกับโยม โลกกับธรรมแยกกกันไม่ออกก็ต้องช่วยกัน แก้ไขดัดแปลงกันไป หนุนกันไปตามความจำเป็น เอ้า.. เราจะจัดให้ แน่ะ.. จะเอาสักกี่องค์ พระเราจัดให้เลย ถ้าไม่จำเป็นจะทำแบบซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนกลายเป็นประเพณี นั่นมันเสียทางพระ.. ธรรมไม่มี จะมีแต่เรื่องของโลกล้วน ๆ ไปหมด เราจึงตัดอันนี้เอาไว้...”

ลัก...ยิ้ม
25-08-2020, 13:11
เน้นเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

“... พระเราไม่มีความสงบเลยไม่มีความหมาย ว่างั้นเลยนะ ... สมบัติทางโลกเขา คือเงินทองข้าวของ ตึกรามบ้านช่อง สมบัติของพระก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผลนิพพาน นั่น.. สมบัติของพระเป็นอย่างนั้นนะ นี่มันมาแย่งงานของโลกมาใช้ในวัดในวา ในพระในเณร เวลานี้ธรรมจึงหมดความหมายไปทุกวัน ๆ นี่ละ ที่เรียกว่ากิเลสมันเก่ง ดูเอาสิ... ไม่มีใครคิดนะ ว่ากิเลสเข้าตีตลาด ตีแบบไหน เวลานี้มันกำลังตีแหลกหมด ไม่เลือกว่าวัดว่าวา ประชาชนญาติโยม .. ตีแหลกไปตาม ๆ กันหมดไม่ได้ยกโทษ พูดตามหลักความจริง ...

เพราะแบบแผนตำรับตำราเครื่องยืนยันกันมีอยู่ นั่น..เอาอันนั้นออกมากางซี ... งานของพระไม่มีอะไรเกินการอยู่ในป่าในเขา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ที่อยู่ของพระผู้มุ่งต่อมรรคผลนิพพานตามทางศาสดาจริง ๆ ท่านสอนอย่างนั้นนี่นะ ... พูดตั้งแต่เรื่องการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ชำระกิเลส พอพระเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า จะรับสั่งทันทีเลย เป็นยังไงไปอยู่ที่นั่น นั่นหมายถึงว่าที่ภาวนานะ ไปอยู่ที่นั่นภาวนาเป็นยังไง จิตใจเป็นยังไง ... จากนั้นพระองค์ก็ประทานโอวาท.. ให้ประกอบความพากเพียรทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ตลอดถึงการพักผ่อนก็บอกไว้หมด

ในอปัณณกปฏิปทาสูตร ท่านแสดงไว้เป็นสูตรจริง ๆ เอามาสวดมนต์อยู่นี่ ... อปัณณกปฏิปทาสูตร คือการปฏิบัติไม่ผิด ปฏิบัติโดยความสม่ำเสมอ คือตั้งแต่ปฐมยามไปให้ประกอบความเพียร จะเดินจงกรมก็ได้ จะนั่งสมาธิภาวนาก็ได้ พอถึงมัชฌิมยามก็พักผ่อนนอนหลับ พอปัจฉิมยามก็ตื่นขึ้นเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเรื่อย ๆ ไป ตอนกลางวันก็ทำนองเดียวกัน หากจะมีการพักผ่อนบ้างในตอนกลางวันก็พักได้ แต่ต้องระมัดระวังให้ปิดประตู รักษามารยาทในการพักนอน ท่านสอนไว้โดยละเอียดลออมากที่สุด...”

ลัก...ยิ้ม
25-08-2020, 13:31
อย่าติโทษพระธรรม ให้ปฏิบัติถูกธรรม

“... เราอาจจะมีความเห็นผิดไปตำหนิโทษพระศาสนาว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่เป็นนิยยานิกธรรม พอที่จะนำผู้ปฏิบัติธรรมให้พ้นจากทุกข์ไปได้จริง สมกับที่พระองค์ตรัสรู้ไว้ว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว แท้จริงทั้งวันทั้งคืนกระแสแห่งใจของเราเอนเอียงไปสู่โลกตลอดเวลา คำว่า โลก ทั้งโลกในทั้งโลกนอก พึงทราบว่าเป็นสภาพหนึ่งจากธรรมที่พระพุทธองค์ทรงมุ่งหวัง การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย มุ่งในหลักธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ เพราะเหตุนั้น ประโยคแห่งความเพียรทุก ๆ ประโยค จึงเป็นไปเพื่อความแก้ไขมลทิน จนหมดสิ้นโดยตลอดไม่มีอะไรเหลืออยู่ จากนั้นก็กลายเป็น พุทโธ ขึ้นมาให้โลกได้กราบไหว้บูชา

ที่ท่านเป็นธรรมทั้งองค์เพราะท่านปฏิบัติถูกธรรม เหตุกับผลจึงลงกันได้อย่างนี้ ส่วนเราทั้งหลายเดินจงกรม นั่งสมาธิจริง แต่กลายเป็นสมาธิหัวตอ นั่งหลับในสมาธิไม่รู้กี่ครั้งกี่หน หรือกลายเป็นเรื่องประจำ ก็อาจเป็นไปได้ในบางราย นี่ผู้เทศน์ไม่รับรองแทนได้ แต่เรื่องคงเป็นความจริงอย่างนั้น ผลจึงกลายเป็นอื่นเสมอไป ถ้าเหตุเป็นเรื่องของธรรมแล้ว.. ผลจะกลายเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะเหตุกับผลต้องสวมรอยกันไป เพราะเราทำไม่ถูกต้องตามหลักธรรม

แทนที่จะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ให้สติสัมปยุตด้วยความเพียรติดต่อกันกับบทธรรม หรือสภาวธรรมที่เราพิจารณา แต่จิตกลายเป็นอื่นไปเสีย โดยส่งกระแสใจไปตามรูป เสียง รส เครื่องสัมผัส แม้ธรรมารมณ์ที่ปรุงขึ้นกับใจ ก็ปรุงไปเพื่อรูป เสียง รส เครื่องสัมผัส ทั้งที่เป็นอดีตและอนาคต ไม่ปรากฏกับจิตเป็นปัจจุบันแม้แต่ขณะเดียว อย่างนี้ผลก็ต้องเป็นโลกเสมอไป เพราะกระแสของจิตกลายเป็นโลกอยู่ตลอดเวลา ส่วนจิตก็ต้องเป็นโลกขึ้นมา ได้แก่เรื่องของสมุทัยแดนเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ทำหัวใจของเราให้เดือดร้อนแล้วก็มาตำหนิผลว่า ทำไมจึงเกิดความรุ่มร้อน วันนี้ไม่สบาย แต่ตนก่อเหตุความไม่สบายไว้ทั้งวันทั้งคืน เพื่อความเป็นอื่นจากธรรมโดยไม่รู้สึกตัว ไม่ได้คำนึงถึงเลย เรื่องจึงเป็นอย่างนั้น...”

ลัก...ยิ้ม
25-08-2020, 13:38
ศีล สมาธิ ปัญญา

“...สีลปริภาวิโต สมาธิ มหัปผโล โหติ มหานิสังโส สมาธิที่ศีลหล่อเลี้ยงแล้ว ด้วยความระเวียงระวัง หิริโอตตัปปะ รักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์แล้ว การบำเพ็ญสมณธรรม คือสมาธิธรรม ย่อมมีความสงบร่มเย็นได้ง่าย นี่เป็นข้อแรก...

สมาธิปริภาวิตา ปัญญา มหัปผลา โหติ มหานิสังสา ปัญญาที่สมาธิเป็นเครื่องหนุนหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ ... เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วเรียกว่า จิตอิ่มอารมณ์ ไม่คิดไม่ปรุง มีแต่อารมณ์อันเดียวแน่น นั่นเรียกว่า เอกัคตารมณ์ เอกัคตาจิต ... เมื่อสมาธิมีความสงบใจ ที่เรียกว่าใจอิ่มอารมณ์ ไม่อยากคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ในเรื่องที่เป็นภัยต่อจิตใจ เพราะจิตใจอิ่มตัวด้วยสมาธิธรรม มีความสงบเย็น มีธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง แล้วปัญญาย่อมเดินได้สะดวกคล่องตัว ... ตั้งแต่ขั้นหยาบของปัญญา จนกระทั่งถึงขั้นละเอียดสุด วิมุติหลุดพ้นไปจากปัญญานี้ทั้งนั้น ... ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตยุ่งเหยิงวุ่นวาย จะพาพิจารณาทางด้านปัญญา มันกลายเป็นสัญญาอารมณ์ เป็นฝ่ายสมุทัย เป็นฝ่ายกิเลสตัณหาไปเสียโดยไม่รู้ตัว ..

ปัญญา ปริภาวิตัง จิตตัง สัมมเทว อาสเวหิ วิมุจจติ จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ คือจิตนี้จะหลุดพ้นด้วยปัญญา ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกจิตให้หลุดพ้น ... นี่ธรรม ๓ ประการ...”

ลัก...ยิ้ม
26-08-2020, 00:31
กรรมฐาน ๔๐ ห้อง

“...จะระงับความคิดปรุงทั้งหลายเหล่านี้ด้วยบทธรรม ถ้าระงับเฉย ๆ จะระงับไม่ได้ ต้องอาศัยบทธรรมเพราะจิตทำหน้าที่อันเดียว ไม่มีงานอื่นใดเข้ามาแทรกในขณะที่ทำหน้าที่อันเดียวอยู่นั้น งานสองเข้ามาก็เรียกว่าแย่งงานกัน แล้วต้องให้มีงานอันเดียว คือเราเจริญจิตใจด้วยบทภาวนา นี่ผู้ฝึกหัดเบื้องต้นนะ ให้ฝึกหัดภาวนาอบรม มีคำบริกรรมเป็นเครื่องกำกับใจอยู่เสมอ เราอย่าปล่อยคำบริกรรม

อย่างหนึ่งเห็นว่าไม่ทันการณ์ แล้วหนักเข้าไปกว่านั้นเลยกลายเป็นว่า เห็นว่าครึไปเลย เราคิดนึกแบบเรียนลัดให้จิตสงบไปเอง ๆ อย่างนี้ดีกว่า นี่เป็นความอุตริอันหนึ่งของจิต มันเกิดมาเรื่อย ๆ เพราะมันชอบอุตริชอบทะนงตัว เมื่อธรรมแทรกเข้าไป มันจึงต้องปัด ทั้ง ๆ ที่ธรรมเป็นความถูกต้องดีงาม มันยังต้องปัดจนได้ แล้วก็เรียนลัด นึกแต่ความรู้เฉย ๆ ๆ ให้สติอยู่กับความรู้ ๆ มันก็ไม่เป็นหลักเป็นเกณฑ์อะไรเลย เพราะสติเผลอได้ง่าย เมื่อสติเผลอ.. ความรู้ก็ถูกกิเลสลากให้เถลไถลไปในที่ต่าง ๆ ตามอารมณ์ที่เคยคิดเคยปรุงนั้นแล แล้วก็กลายเป็นกิเลสล้วน ๆ ขึ้นมาแทนที่ซึ่งเราว่าเราภาวนา

เพราะฉะนั้น เพื่อกำจัดอันนี้ลงไป ให้ได้ผลในการภาวนาเท่าที่ควรในเบื้องต้น จึงขอให้ยึดคำบริกรรมไว้ให้ดี คำบริกรรมในกรรมฐาน ๔๐ ห้องนั้น ควรแก่ทั้งสมถธรรมทั้งวิปัสสนาธรรม ควรแก่กันได้ทั้งนั้น ... เวลาเราภาวนา ระงับความอยากเหล่านี้ลง จะเป็นด้วยบทธรรมใดก็ตาม เช่นเรากำหนดภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือ อนุสติ ๑๐ อสุภะ ๑๐ ก็ได้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็ได้ มรณสติก็ได้ อานาปานุสติก็ได้ เหล่านี้ เป็นบทภาวนากรรมฐาน ๔๐ ห้อง เป็นบทธรรมเพื่อความสงบใจ.. แล้วให้ตั้งสติด้วยดี กำกับคำบริกรรมนี้ไว้กับจิตตนเอง อย่าถืองานอื่นใดว่าเป็นงานสำคัญยิ่งกว่างานบริกรรมที่กำกับด้วยสติอย่างเข้มงวดกวดขันนี้ นี่เรียกว่าประกอบความเพียร...”

ลัก...ยิ้ม
26-08-2020, 13:31
อานาปานุสติ

“...ผู้กำหนดอานาปานุสติก็ให้รู้แต่ลมเข้าลมออก สูงต่ำก็ช่าง ไม่สำคัญ สำคัญที่ความรู้ความสัมผัสของลมเข้าลมออก.. รู้กันอยู่ทุก ๆ ระยะ จะสูงจะต่ำ หยาบละเอียด ให้กำหนดรู้ที่ลมเข้าออกนี้เท่านั้น อย่าไปคาดหมายให้เกิดความลังเลสงสัย และตั้งลมบ่อย ๆ แบบนั้นไม่ถูก ... การตั้งลมจะตั้งสูงตั้งต่ำ เราตั้งที่ตรงไหนแล้วก็ให้จับที่ตรงนั้นไว้ แล้วกำหนดให้รู้ลมเข้ารู้ลมออกอยู่ทุกระยะ ๆ .. จับลมไม่หยุดไม่ถอย .. สุดท้ายก็เหลือแต่ลม เหลือแต่ลมก็กำหนดแต่ลมจนละเอียดเข้าไป เอ้า.. ลมจะหมดจริง ๆ ก็ให้หมด อย่าไปตกใจ อย่าไปกลัวตาย เมื่อจิตครองร่างอยู่ ลมจะหมดไปก็ไม่ตาย ... ถึงลมจะหมดไปก็ตาม ให้ทราบว่าลมที่กำหนดนั้นหมดไป แต่ความรู้ที่เป็นตัวการสำคัญซึ่งเราต้องการนั้นมีอยู่กับเรา .. นี่คือหลักของการภาวนาอานาปานุสติ

ลัก...ยิ้ม
26-08-2020, 13:36
ไตรลักษณ์

“... พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณาไตรลักษณ์ (ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) ก็เพื่อจะตัดสาเหตุการหลั่งน้ำตาของสัตว์ผู้ไปยึดไตรลักษณ์มาเป็นตน เป็นของตนเสียได้ กลายเป็นความรู้เท่าทันตามหลักความจริง และถอดถอนอุปาทาน ความยึดมั่นสำคัญผิด.. อันเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงหัวใจให้หมดไป ... บรรดาสัตว์ บุคคล ตลอดทวยเทพที่มีรูปร่าง แง่ความคิด ภูมิที่อยู่ และนิสัยวาสนา.. จำต้องยอมรับกฎของไตรลักษณ์ อันเป็นกฎของวัฏฏะอันเดียวกัน...

ทุกขัง คือความทุกข์กายไม่สบายใจ ใครจะหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับทุกข์อันเกิดขึ้นกับตนผู้เป็นต้นเหตุของทุกข์ไปไม่ได้ ... อนิจจัง คือความแปรปรวนนั้น มีอยู่รอบตัวทั่วสรรพางค์ร่างกาย ไตร่ตรองไปตามสภาวะ ซึ่งมีอยู่ในตัวอย่างสมบูรณ์ให้เห็นชัด แม้ทุกข์.. ความบีบคั้นก็มีอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่เพียงแต่ทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางใจที่เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ต่าง ๆ ก็มีอยู่เช่นเดียวกัน จงกำหนดให้เห็นชัด คำว่า อนัตตา ก็ปฏิเสธในความเป็นสัตว์ เป็นสังขาร เป็นเรา เป็นเขาอยู่ทุกขณะ เมื่อพิจารณาจนมีความชำนาญ กายก็จะรู้สึกว่าเบา ใจก็มีความอัศจรรย์ และสว่างกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับ ...”

ลัก...ยิ้ม
27-08-2020, 15:11
สติปัฏฐานสี่

“... สติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งของสติ มีสี่คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกส่วนของร่างกายรวมแล้วเรียกว่า.. กาย ความสุข ความทุกข์ และเฉย ๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ที่เป็นไปทางกายทางใจ ที่เรียกว่า.. เวทนา ใจและกระแสของใจที่เกี่ยวกับอารมณ์เรียกว่า.. จิต สิ่งที่ถูกใจและกระแสของใจเกี่ยวข้อง หรือสิ่งที่ถูกเพ่งทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง และส่วนละเอียด เรียกว่า.. ธรรม ทั้งสี่นี้มีสมบูรณ์อยู่กับตัวเราทุกท่าน และเป็นบ่อเกิดของสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ตลอดวิมุติความหลุดพ้น...”

ลัก...ยิ้ม
27-08-2020, 15:19
อริยสัจ ๔

“...หลักความจริงอันเป็นหัวใจของพระศาสนาที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ อริยสัจธรรมทั้งสี่นี้ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ... การพิจารณาทุกข์ก็เป็นอริยสัจอันหนึ่ง เมื่อเห็นเรื่องของทุกข์แล้วเป็นเหตุให้คิดต่อไปว่าทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เช่นเราเสียใจในขณะที่ประสบสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา... เราพยายามพิจารณาหาต้นหตุแห่งความเสียใจว่า เกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด และจะมีทางแก้ไขความเสียใจด้วยวิธีใด ดังนี้ก็เรียกว่าพยายามจะถอนสมุทัยอยู่ในขณะเดียวกันนั้นแล้ว ... การไตร่ตรองหรือพิจารณาทุกข์ตั้งใจดูทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์ ตั้งสติดูทุกข์ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญาทั้งนั้น .. คือสติกับปัญญาไปโดยทำนองนี้ ก็เป็นการทำให้แจ้งซึ่งนิโรธโดยลำดับในขณะเดียวกัน ... ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์มีอยู่ที่ตรงไหน มีอยู่ที่กาย มีอยู่ที่ใจ สมุทัยมีอยู่ที่ไหน สมุทัยมีอยู่ที่ใจ สมุทัยได้แก่อะไร ? ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.. ทุกข์อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ซึ่งเกิดขึ้นจากสมุทัยเป็นผู้ผลิตขึ้นมา นิโรธ ดับทุกข์จะดับที่ไหน ? ทุกข์เกิดขึ้นที่ไหน นิโรธก็ดับที่นั่น แล้วสาเหตุที่จะทำให้นิโรธดับทุกข์ได้มาจากไหน ? ก็มาจากมรรค...

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็ดี สติปัฏฐานสี่ก็ดี และไตรลักษณ์ก็ดี โปรดทราบว่ามีอยู่กับคน ๆ เดียว มิได้มีอยู่ในที่ต่างกัน ผู้ปฏิบัติต่อธรรมทั้งสามนี้สายใดสายหนึ่งชื่อว่าปฏิบัติต่อตนเอง เพราะจุดความจริงคือตัวเราเป็นฐานรับรองของธรรมทั้งสามประเภทนี้ ถ้าพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ให้ชัดเจนด้วยปัญญาแล้ว ทุกข์กับสมุทัยไม่จำต้องบังคับขู่เข็ญด้วยวิธีอื่นใด แต่จะหมดสิ้นไปเอง ตามหน้าที่ของเหตุซึ่งดำเนินโดยถูกต้อง ถ้าพิจารณาไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ให้เห็นชัดว่า กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นไตรลักษณ์แน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่น การดำเนินสายอริยสัจก็ดี สายสติปัฏฐานก็ดี และสายไตรลักษณ์ก็ดี มันเป็นเรื่องของคน ๆ เดียวกัน และเป็นทางสายเอกที่สามารถยังผู้ดำเนินตามให้ถึงธรรมอันเอกได้เช่นเดียวกัน...”

ลัก...ยิ้ม
28-08-2020, 14:19
ปัญญาอบรมสมาธิ

“... การทำจิตใจให้สงบด้วยอุบาย สมาธิอบรมปัญญา หรือด้วยอุบายปัญญาอบรมสมาธิ ทั้งสองนี้เป็นอุบายวิธีที่ถูกต้องเสมอกัน เพราะเป็นอุบายเครื่องกระตุ้นเตือนสติ ให้รู้ความเคลื่อนไหวของจิตทุกระยะในขณะทำการอบรม.. ปัญญาทำการพิจารณาหักห้ามกีดกันจิตที่กำลังฟุ้งซ่านกับอารมณ์ในเวลานั้น ให้จิตรู้สึกตัวด้วยเหตุผลโดยวิธีต่าง ๆ จนจิตยอมรับหลักเหตุผล และยอมจำนนต่อปัญญาผู้พร่ำสอนแล้วกลับตัว แล้วย้อนเข้าสู่ความสงบได้ ... การฝึกทรมานจิต ให้สงบเป็นสมาธิลงได้ ด้วยทั้งจิตกำลังฟุ้งซ่านและรำส่ำระสายด้วยอุบายที่กล่าวมา เรียกว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” เพราะทำการหักห้ามจิตลงได้ด้วยความฉลาดรอบคอบของปัญญา...”

ลัก...ยิ้ม
28-08-2020, 14:27
อารมณ์เครื่องยั่วยวน

“... ใจที่ไม่ยอมเข้าสู่ความสงบได้ตามใจหวังในเวลาบำเพ็ญนั้น โดยมากใจมีอารมณ์เครื่องยั่วยวนมาก เช่น รูปไหลเข้ามาในครองจักษุ เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสก็ไหลเข้ามาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วไหลผ่านเข้าไปถึงใจ กลายเป็นธรรมารมณ์ขึ้นมา ใจซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ ชั่ว ดี และสุข ทุกข์ จึงมีความกระเพื่อม รับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา หาโอกาสดำรงตนอยู่ด้วยความสงบสุขไม่ได้เลย

จำต้องรับรู้ รับเห็น รับสุข รับทุกข์ จนไม่มีเดือน ปี นาที ชั่วโมง เป็นเวลาพักผ่อนใจ แต่เป็นธรรมดาของสามัญจิต จะอยู่โดดเดี่ยวโดยลำพังตนเองย่อมไม่ได้ ต้องอาศัยอารมณ์เป็นผู้พาอยู่ พาไป พาให้ดี ให้ชั่ว พาให้สุข ให้ทุกข์ พาให้ดีใจและเสียใจ พาให้เพลิดเพลินและเศร้าโศกอยู่เป็นประจำ จึงไม่มีโอกาสให้เห็นความสุขอันแท้จริงของใจ ความสุขที่เกิดจากการอบรม แม้จะอาศัยธรรมเป็นอารมณ์ของใจ แต่ก็เป็นเครื่องสนับสนุนใจ ให้ได้รับความสุขเพื่อเป็นตัวของตัวขึ้นไปเป็นลำดับ จนถึงขั้นเป็นตัวของตัวได้อย่างสมบูรณ์...”

ลัก...ยิ้ม
29-08-2020, 23:35
ดับ โลภ โกรธ หลง ที่ต้นตอคือใจ

“...ความโลภเกิดขึ้น ติดตามความโลภให้รู้ว่า มันเกิดขึ้นเพราะเหตุไร ที่มันไปโลภ ไปโลภอยากได้อะไร อยากได้ไปทำไม เท่าที่มีอยู่เพราะความโลภไปเที่ยวกว้านเอามาก็หนักเหลือกำลังอยู่แล้ว ยังหาที่ปลงวางไม่ได้นี่ .. ความโกรธเกิดขึ้นก็เหมือนกัน ไม่เพ่งเล็งผู้ที่ถูกเราโกรธ ต้องย้อนเข้ามาดูตัวโกรธ ซึ่งแสดงอยู่ที่ใจและออกจากใจว่า ไม่มีอันใดที่จะรุนแรง ไม่มีอันใดที่จะให้เกิดความเดือดร้อนเสียเสียหายยิ่งกว่าความโกรธที่เกิดขึ้นภายในใจเรา ทำลายเราก่อนแล้วถึงไปทำลายคนอื่น เพราะไฟเกิดที่นี่และร้อนที่นี่แล้วจึงไปทำผู้อื่นให้ร้อนไปตาม ๆ กัน เมื่อพิจารณาอย่างนี้ไม่ลดละต้นเหตุของผู้ก่อเหตุ ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ย่อมระงับดับลง เพราะการย้อนเข้ามาพิจารณาดับที่ต้นตอของมัน ซึ่งเป็นจุดที่ถูกต้องและเป็นจุดที่สำคัญที่ควรทำลายกิเลสประเภทต่าง ๆ ได้...”

ลัก...ยิ้ม
29-08-2020, 23:42
อย่ามองกันในแง่ร้าย

“... อย่ามองกันในแง่ร้าย ให้มองกันในแง่เหตุผลและเมตตาต่อกันเสมอ เพราะคนเราความรู้และอัธยาศัยใจคอไม่เหมือนกัน ผู้มีความรู้มากก็มี ความรู้น้อยก็มี ผู้โง่ผู้ฉลาดมีสับสนปนกันไป ผู้หยาบผู้ละเอียดมี ให้ต่างคนต่างระมัดระวัง สิ่งใดที่มีอยู่ในตัวเรา ยิ่งสิ่งใดที่เป็นภัยต่อหมู่เพื่อนด้วยแล้ว ให้ระมัดระวังและกำจัดให้ได้ อย่าหวงไว้เผาตัวเองและวงคณะ และอย่าแสดงออกมาเป็นอันขาด ซึ่งเป็นการขายตัวอย่างเลวร้ายที่สุด.. ให้อภัยไม่ได้เลย นี่แหละ.. คือหลักของการปกครองของการอยู่ร่วมกันเป็นอย่างนี้ จึงต้องได้ระมัดระวังเสมอ ประมาทไม่ได้ตลอดไป...”

ลัก...ยิ้ม
30-08-2020, 21:50
เตือนพระเณร มหาภัย ๕ อย่าง

“...พระเราเป็นเพศที่หนึ่งที่จะสามารถครองมรรคครองผลได้ เพราะมีโอกาสอันดีงาม ทุกสิ่งทุกอย่างอำนวยหมด ให้พากันตั้งใจ เราเป็นห่วงเป็นใยพระลูกพระหลานของเรา กลัวจะเลินเล่อ.. เผลอสติ เป็นบ้ากับโลกกับสงสารเขา ทุกวันนี้เรื่องของกลมายาของกิเลสนั้นมีมากนะ วันนี้จะพูดให้บรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลายของเรา ได้ทราบเสียว่าจุดใหญ่มหาภัยคืออะไร

เริ่มตั้งแต่หนังสือพิมพ์เป็นข่าวเป็นคราว พระเราไม่จำเป็นต้องหาข่าวหาคราว หลีกข่าวหลีกคราวทั้งนั้นถึงถูก อย่างพระพุทธเจ้าไล่เข้าป่า เพื่อหลีกข่าวหลีกคราวทั้งหลาย อันเป็นเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายของกิเลสมันบีบบี้สีไฟนั่นเอง จากนั้นก็วิทยุให้ตัดออก อันนี้ก็เป็นเรื่องข่าวเรื่องคราว เรื่องยุยงก่อกวนจิตใจให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตามมัน เทวทัตโทรทัศน์ วีดีโอ นี่เป็นตัวสำคัญมาก อันนี้อันหนึ่งแล้ว โทรศัพท์มือถือนี้สุดยอดได้เลย จับโทรศัพท์ขึ้นใส่หูปั๊บ.. นี้คุยกับอีสาวได้ สบายเลยนัดกันไปห้องไหนหับไหน ที่ไหน ๆ ม่านรูดม่านรีดไม่สำคัญ นัดกันได้ถึงที่สุดเลย

นี่แหละ ๕ กษัตริย์นี้เอง เป็นตัวทำลายศาสนาอยู่เวลานี้ วัดวาอาวาสเราเลยจะรกจะร้างไปหมด เพราะสิ่งเหล่านี้เข้าไปทำลาย ตามวัดตามวา.. จะไม่เหลือพระเณรอยู่ในวัดแล้ว ... นี่ละตัวมหาภัย จึงได้เผดียงให้พระลูกพระหลานทั้งหลายทราบ อย่าได้คุ้นอย่าได้ชินกับมัน อย่าเห็นว่าเป็นสิริมงคล นี้คือตัวภัยสำหรับพุทธศาสนา ... ในวัดนี้มีไม่ได้ ...

สำหรับพระเณรของเรา ให้พากันระมัดระวังให้มาก ใครกล้าหาญชาญชัย ก็คือเป็นเทวทัตต่อสู้พระพุทธเจ้านั้นแล นี่เป็นจุดสำคัญมาก ขอให้พากันระมัดระวัง ... อย่าไปสนิทสนมกับมันถ้าไม่อยากจม นี่เป็นข้าศึก แม้แต่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ จิตใจของเรายังเสาะยังแสวงหายุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดเวลา จนหาเวลาว่างหาความสงบไม่ได้ ก็เพราะจิตหาอารมณ์ หาข่าว .. ให้เอาข่าวแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ... ข่าวภาวนาลงไปสู่จุดนี้ ระงับดับข่าวอื่นนั้นให้หมดไป ให้เหลือแต่ข่าวพุทโธ ธัมโม สังโฆ ข่าวอรรถข่าวธรรมอยู่ภายในใจ ใจของเราจะได้มีความสงบเยือกเย็น ข่าวธรรมกับข่าวโลก คือข่าวกิเลสกับข่าวธรรมนี้ต่างกันมากนะ...”

ลัก...ยิ้ม
30-08-2020, 22:02
มหาปเทสและสิกขาบทเล็กน้อย

“... ของอะไร ๆ ที่ตกมาใหม่ ๆ นี้ คัมภีร์พลิกไม่ทัน ตามไม่ทัน เพราะสมัยทุกวันนี้เป็นสมัยจรวด แต่พระพุทธเจ้าท่านครอบไว้หมดเลย โดยยกมหาปเทสขึ้นเป็นข้อเทียบเคียง ทรงแยกออกมา.. ส่วนหนึ่งควร ส่วนหนึ่งไม่ควร ส่วนไหนที่ควรเป็นสิ่งของที่จะใช้สอย จะขบฉันอะไรก็แล้วแต่ที่ควร แต่นี้ไม่มีในพระวินัยแต่ก่อน ก็ให้โอนลงหลักพระวินัยที่เป็นของควร เช่น น้ำอ้อยแต่ก่อนมี แต่น้ำตาลไม่มีในพระวินัย ก็ให้โอนน้ำตาลว่าเป็นของควร และฉันได้ใน ๗ วัน เช่นเดียวกับน้ำอ้อย

เป็นของไม่ควร เช่นอย่างท่านบัญญัติสุราเอาไว้ในพระวินัย แต่นอกจากนั้นซึ่งเป็นพิษเป็นภัย เป็นความผิดเหมือนกัน หากไม่มีในพระวินัย ก็โอนเข้าไปทางสุราว่าเป็นของไม่ควร เช่น พวกฝิ่น เฮโรอีน อะไรเหล่านี้ก็โอนเข้าไปทางนั้น นี่ท่านเรียกว่ามหาปเทส คือแยกอันไหนที่ควร ให้ไปทางฝ่ายพระวินัยที่ควร นั่นพระพุทธเจ้าท่านฉลาดขนาดไหน ท่านยกมหาปเทสขึ้นเทียบเคียงเข้าไปอย่างนั้น เวลาท่านจะปรินิพพานก็ยังทรงอนุญาต ถ้าสงฆ์มีความประสงค์จะถอนสิกขาบทเล็กน้อยก็ได้ แต่ท่านไม่ได้ระบุว่า สิกขาบทเล็กน้อยคืออะไร...

คิดดู ขนาดพระอริยสงฆ์ขั้นพระอรหันต์ ท่านยังไม่มีองค์ใดลงมติได้เลยว่า สิกขาบทเล็กน้อยนั้นคือสิกขาบทเช่นไร จะรวมลงในสิกขาบทเท่าไร ฟังซี ก็เพราะท่านเคารพพระพุทธเจ้านั่นเอง ถ้าหากว่าสงฆ์มีความปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยก็ได้ ท่านพูดกลาง ๆ ไว้อย่างนี้ ทีนี้เพราะความเคารพของพระสงฆ์ในครั้งนั้น ยกพระอรหันต์ขึ้นเลยแหละเป็นหลักใหญ่ ก็ไม่เห็นมีองค์ใดที่จะระบุออกมา ว่าสิกขาบทเล็กน้อยนั้นคืออันใด อันนั้นให้ถอนได้ ๆ หรือให้ถอนสิกขาบทนั้นได้ วินัยข้อนั้นได้.. ไม่เห็นมีองค์ใดกล้าตัดสิน ก็บอกไว้ในนั้นอีกแหละ เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์แม้องค์เดียวซึ่งเป็นพระอรหันต์ลงมา ไม่มีองค์ใดกล้าตัดสินลงได้ หรือจะถอนพระวินัยสิกขาบทเล็กน้อยนั้นได้ ก็เป็นอย่างนั้น...”

ลัก...ยิ้ม
30-08-2020, 22:06
การทำวัตรสวดมนต์

“.. การประชุมไหว้พระสวดมนต์ จะมีเฉพาะวันอุโบสถปาฏิโมกข์เท่านั้น... ท่านประสงค์ให้พระเณรทำวัตรและสวดมนต์ตามอัธยาศัยโดยลำพัง จะสวดมากน้อยหรือถนัดในสูตรใดและเวลาใด ก็ให้เป็นความสะดวกของแต่ละรายไป ดังนั้นการทำวัตรสวดมนต์ของท่าน จึงเป็นไปโดยลำพังแต่ละรายตามเวลาที่ต้องการ และเป็นภาวนาไปในตัว เพราะความระลึกอยู่ภายในอย่างเงียบ มิได้ออกเสียงดังเช่นทำด้วยกันหลายคน ... สวดมนต์สวดอะไรก็ตาม ดูสูตรไหนดูให้ถูกต้องแม่นยำ อย่าให้คลาดเคลื่อน อย่าถือว่าไม่สำคัญ ศาสนาสำคัญทั้งพระสูตร ทั้งพระวินัย ทั้งปรมัตถ์ สำคัญหมด สูตรต่าง ๆ ออกมาจากจำพวกไหน จำพวกพระสูตรหรือพระวินัย หรือพระปรมัตถ์ ก็ให้ถูกต้องตามนั้น อย่าทำมักง่าย..ไม่ดี...”

ลัก...ยิ้ม
01-09-2020, 12:08
การสวดปาฏิโมกข์

“...คิดดูซิ พระพุทธเจ้าบางองค์ ๗ ปีถึงประชุมปาฏิโมกข์กันหนหนึ่ง ๖ ปีย่นลงมา ๆ ปีหนึ่งลงอุโบสถสังฆกรรมทีหนึ่ง พระสงฆ์ก็อยู่ได้ด้วยความผาสุก มีความสามัคคีกลมกลืนกันดี ไม่แตกไม่ร้าว ส่วนศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราได้ภายใน ๑๕ วันเท่านั้น เห็นว่าเป็นความเหมาะสม ใน ๑๕ วันประชุมสงฆ์ลงอุโบสถครั้งหนึ่ง ท่านบอกไว้อย่างนี้ นี้เป็นความแปลกต่างกัน ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ นอกนั้นเหมือนกันหมด ..

สวดปาฏิโมกข์นี่ก็ทำไมเลวลงอีกแล้วนะ ฟังแล้วไม่น่าฟังเลย มันเลวลงอีกอย่างละนะ ก่อนที่จะสวดทำไมไม่ฝึกไม่ซ้อมตัวเองให้เรียบร้อย นี่เป็นสังฆมณฑลเป็นสันนิบาตของสงฆ์ ไม่ใช่สันนิบาตของเด็กนี่ มาทำเล่น ๆ เหมือนเด็กได้เหรอ สวดให้ถูกตามบทตามบาทดังที่เคยสวดมานั้นมันดีอยู่แล้ว..เราก็ไม่ว่า นี่มันเลวลงจะไม่ให้ว่ายังไง ก็ไม่ได้สอนเพื่อให้เลวลง สอนเพื่อให้ดีขึ้น เพียงสวดปาฏิโมกข์ที่เคยสวดอยู่แล้วยังเลวลงได้ หยาบ ๆ นี้ก็เห็นอยู่แล้ว ละเอียดจะเอาความดีมาจากไหน ความละเอียด จะละเอียดยิ่งกว่านั้นได้ยังไง

เพราะขาดความเอาใจใส่ จิตใจไม่ได้อยู่กับธรรมกับวินัย.. พอให้มีความหนักแน่นในจิตที่จะให้เกิดความสนใจจดจ่อ ก็ดูเหมือนสวดพอเป็นพิธีไปอย่างนั้น แต่เราไม่ได้ยกโทษ เราพูดตามความจริง เราได้ยินด้วยหูของเรา เรานั่งฟังปาฏิโมกข์อยู่ด้วย.. ทำไมเราจะไม่รู้ ก็เราสวดปาฏิโมกข์ได้ด้วยนี่.. ไม่ใช่สวดไม่ได้ สวดดีไม่ดีก็ต้องรู้ มีแต่มหาเปรียญทั้งนั้นสวด.. เวลาสวดไปไม่เป็นท่า ไม่สมเป็นวัดใหญ่และอยู่ในกรุงเทพฯ เอาแต่ความเร็วเข้าว่า เลยเหมือนนกขุนทอง.. ไม่ได้ศัพท์ได้แสง ไม่ทราบทีฆะ รัสสะ อย่างไร ฟาดกันไปอย่างนี้ก็มี แล้วผมเกี่ยวข้องอยู่หลายวัดนี่ในกรุงเทพฯ ไปพักวัดไหนก็ต้องได้ฟังปาฏิโมกข์วัดนั้น ๆ เช่น วัดเทพศิรินทร์ฯ สวดดี วัด... นี้เป็นรองลงไป รองอยู่มาก นี่เราพูดถึงวัดใหญ่ ๆ

เราไปอยู่ที่ไหนเราสังเกตทั้งนั้น มันอดไม่ได้ที่ไม่สังเกต มันหากสังเกตอยู่อย่างงั้นแหละ ตามความรู้สึกของเจ้าของเอง มันชอบสังเกต สังเกตหาเหตุหาผลเพื่อเป็นอรรถเป็นธรรมนั่นเอง ไม่ใช่สังเกตเพื่อจะยกโทษยกกรณ์มองใคร ๆ ในแง่ร้ายอย่างนั้นเราไม่มี มองเพื่อหาความสัตย์ความจริง มันเป็นแต่ความจริงทั้งนั้น เช่น การสวดปาฏิโมกข์ก็เป็นความจริงเหมือนกัน อะเป็นอะ อิเป็นอิ อีเป็นอี ครุ ลหุ หนักเบา อักษรนั้น ๆ สระตัวนั้นออกมาจากฐานกรณ์ใด

พวกมหาเปรียญรู้ได้ดีนี่ เพราะอันนี้เป็นหลักของบาลีที่จะสอบเป็นเปรียญด้วยต้องรู้ สิถิล ธนิต โฆสะ อโฆสะ ครุ ลหุ ทีฆะ รัสสะ พวกมหาเปรียญรู้ดี ฉะนั้น..เมื่อผ่านประโยคนี้ไปแล้ว แม้จะไม่ฝึกกับใครก็รู้ เพราะครูได้สอนอักขระฐานกรณ์ตั้งแต่เรียนบาลีอยู่แล้ว นอกจากไม่สนใจเท่านั้นเอง จะว่าไม่รู้พูดไม่ได้ ลงเป็นมหาเปรียญไม่รู้สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้..ว่างั้นเลย เพราะนี้เป็นหลักสูตรของความเป็นมหาเปรียญ เป็นหลักสูตรฝ่ายบาลี ก่อนจะไปแปลธรรมบทต้องผ่านบาลีเหล่านี้เสียก่อน สนธิ สมาส เหล่านี้ต้องคล่องตัว ศัพท์ไหนเป็นสนธิ ศัพท์ไหนเป็นสมาส เป็นตัตธิต อาขยาต นามกิตต์ รู้หมด ดีไม่ดียังรู้ไปจนกระทั่งธาตุ วิภัตติ ปัจจัย จะมาว่าอะไรแต่อักขระฐานกรณ์ที่เรียนเพื่อสวดปาฏิโมกข์เท่านั้น...

เกี่ยวกับการสวดปาฏิโมกข์อันเป็นกิจสงฆ์อย่างเต็มที่ไม่ดี นี่เป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่ง กิจสงฆ์ทั้งหมดที่จะเป็นความเรียบร้อยลงได้ในสังฆกรรมประเภทนี้ ต้องผู้สวดเป็นสำคัญ สวดปาฏิโมกข์ สวดไม่ถูกก็ไม่สมบูรณ์ สงฆ์ไว้วางใจให้ผู้นั้นทำหน้าที่เพื่อสงฆ์ทั้งวัด จึงต้องทำหน้าที่ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้เองจึงต้องเตือนเสมอ ก่อนที่ใครจะสวดต้องได้ฝึกซ้อมให้เป็นที่แน่ใจก่อน

ในระยะขั้นแรกเริ่มแห่งการสวดนี้ถึงจะไม่รวดเร็วอะไรก็ตาม เราไม่ถือเป็นสำคัญยิ่งกว่าการสวดให้ถูกต้องตามอักขระฐานกรณ์ เมื่อจำได้แม่นยำ สวดได้ถูกต้อง ในเบื้องต้น แม้จะสวดช้าไปบ้าง แต่เมื่อความเคยชินมีแล้วก็รวดเร็วไปเอง ไม่ใช่เร็วแบบไม่ได้ถ้อยได้ความ เร็วตกตามบทตามบาท ที่ไหนที่มีรัสสะมาก ๆ ก็เร็ว ที่มีทีฆะมาก ๆ ก็ช้าไปเอง ตามจังหวะของการสวดที่มีเสียงสั้นเสียงยาว เคยชินแล้วเป็นไปเอง ความเร็วก็เร็วไปเอง เร็วไปตามหลักแห่งความถูกต้อง ไม่ใช่รวดเร็วไปด้วยสักแต่ว่าอย่างนั้น.. ไม่นับเข้าในกฎเกณฑ์นี้...”

ลัก...ยิ้ม
01-09-2020, 12:14
การขอนิสัย

“... ขอนิสัย พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นให้ขอรวมกันหมดทีเดียว ท่านก็ชี้แจงเหตุผลให้ทราบ ขอในเวลาบวชเป็นอย่างหนึ่ง ขอในเวลาที่บวชเสร็จเรียบร้อยแล้วมารวมกันนี้ก็เป็นอย่างหนึ่ง ไม่ขัดต่ออาวุโสภันเต เพราะในขณะนั้นเป็นนามลูกศิษย์ขอนิสัยจากอาจารย์ด้วยกันทั้งนั้น ท่านว่าก็ถูกของท่าน แต่มีแปลกอยู่เราไม่เคยเห็น เณรท่านให้ขอนิสัยเหมือนกันนะ คือความพึ่งพิงสำหรับเณร องค์ไหนหนอ.. ท่านให้ขอนิสัยผมลืมเสียแล้ว พอได้เป็นแบบฉบับอันหนึ่งให้เป็นข้อคิดสำคัญ..."

ลัก...ยิ้ม
01-09-2020, 12:18
หลักธรรมหลักวินัยเหนืออาวุโสภันเต

“... ไอ้เราจะว่าขวานผ่าซากก็ตาม หรือจะว่าตรงไปตรงมาก็ตาม เหตุผลมียังไง ธรรมมียังไง เราพูดตามนั้นเลย ไม่น่าเลื่อมใสเราบอกว่าไม่น่าเลื่อมใส ผิดเราว่าผิดเลย เรื่องครูเรื่องอาจารย์ว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่สำคัญยิ่งกว่าธรรมกว่าวินัย เรื่องหลักธรรมหลักวินัยเป็นหลักสำคัญมากทีเดียว เราเคารพตรงนี้ ถึงเคารพอาวุโสภันเตก็ตาม ก็ต้องเป็นผู้มีหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องยืนยันพอที่จะเป็นอาวุโสภันเตได้โดยสมบูรณ์ แล้วควรกราบไหว้บูชาซึ่งกันและกัน เคารพซึ่งกันและกัน ก็ถือในหลักเกณฑ์ของธรรมวินัยเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่จะว่าบวชมาหลาย ๆ พรรษาแล้วก็ว่าเป็นอาวุโส จะให้กราบให้ไหว้เลยอย่างนั้นไม่ได้ ในหลักพระวินัยมี อายุ ๖๐ พรรษายังต้องมาขอนิสัยต่อพระผู้มีพรรษาน้อยกว่า นั่นคือไม่สามารถที่จะรักษาตนได้ อายุพรรษาจึงไม่สำคัญ...”

ลัก...ยิ้ม
01-09-2020, 12:31
การอดอาหาร อดนอน

“...ดังที่ท่านอดอาหาร ในวัดป่าบ้านตาดนี้เรียกว่าเด่นมาตลอด ใครจะว่าบ้าก็ให้ว่ามา หลวงตาบัวเป็นสมภารวัดป่าบ้านตาด พาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายดำเนินมา ผิดถูกประการใดให้พิจารณา เราเรียนมาก็เรียนมาเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่ออรรถเพื่อธรรมอย่างสูงทีเดียวตั้งแต่ต้นเลย การมาปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การปฏิบัติเหล่านี้จึงแน่ใจว่าไม่ผิด เช่น อดอาหาร ผ่อนอาหาร อาหารนี่เป็นสำคัญ พยุงทางธาตุขันธ์ แต่เป็นภัยต่อจิตใจได้ถ้าผู้ไม่พินิจพิจารณา เพราะฉะนั้น จึงให้แบ่งสันปันส่วนกันให้พอดี ธาตุขันธ์ก็ให้พอเป็นไปอย่าให้เหลือเฟือจนเกินไป จะกลายเป็นหมูขึ้นเขียงแล้วไม่ยอมลง ต้องมีการฝึกการทรมาน

พระเราถ้าฉันมาก ๆ สติไม่ดี ดีไม่ดีล้มเหลว จำให้ดีนะข้อนี้ พระพอผ่อนอาหารลงไปสติจะเริ่มดีขึ้น ผ่อนลงไปหรือตัดอาหารเป็นวัน ๆ ไป.. สติดี ดีขึ้น ปัญญาจะสอดแทรกไปตาม ๆ กัน ส่วนมากอดอาหารผ่อนอาหารนี้ถูกจริตนิสัยของผู้ปฏิบัติมากทีเดียว มากกว่าข้อปฏิบัติอย่างอื่น ๆ อย่างท่านว่าธุดงค์ ๑๓ นั่นก็เพื่อกำจัดกิเลส คำว่าธุดงค์ ก็แปลว่าเครื่องกำจัดกำเลสนั้นแหละ อะไรที่ถูกกับจริตนิสัยของตนให้ยึดมาปฏิบัติ เช่นท่านบอกว่าเนสัชชิก ไม่นอน จะกำหนดสักกี่วันกี่คืนก็แล้วแต่ แล้วปฏิบัติตามนั้น ผลเป็นยังไงบ้าง เราสังเกตดูผล ถ้าไม่ได้ผลทั้งที่เราก็พยายามทำเต็มกำลังตามธุดงค์ข้อนั้น ๆ เราก็แยกเสีย เห็นว่าไม่ถูกก็พลิกไปข้ออื่น

สำหรับอดอาหารนี้ไม่มีในธุดงค์ ๑๓ แต่มีในธรรมข้ออื่น เช่น บุพพสิกขา ไม่มีธุดงค์ ๑๓ แต่ก็มีอยู่ในธรรมเช่นเดียวกัน เช่นบุพพสิขาเป็นต้น ในบุพพสิกขาท่านแสดงไว้ว่า ถ้าพระอดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวดแล้ว.. ปรับอาบัติทุกความเคลื่อนไหวเลย ไม่ว่าจะอยู่อาการใดปรับอาบัติเป็นโทษทั้งนั้น ๆ ห้ามอด พูดง่าย ๆ ถ้าฝืนอดไปก็ปรับโทษตลอด อดอาหารเพื่อกิเลสตัณหา คืออดเพื่อโอ้เพื่ออวด เพื่อให้เขายกยอตนว่าเป็นผู้รู้ผู้ฉลาดเพราะอดอาหารอย่างนี้ ปรับอาบัติตลอดเวลา นี่คือข้อธรรม มีในคัมภีร์ เรายกมาแสดงให้ฟัง แต่ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้วอดเถิด เราตถาคตอนุญาต นี่ธรรมเหมือนกัน คืออดเพื่ออรรถเพื่อธรรม.. อดเถิด เราตถาคตอนุญาต

การอดนี้ก็ต้องสังเกตดูจริตนิสัยของตน เหมาะสมกับการอดอาหารหรือไม่เหมาะ ส่วนมากเหมาะ.. เพราะอาหารกับธาตุขันธ์มันเข้ากันได้ ธาตุขันธ์นี้มีกำลังทับจิตใจ การภาวนาไม่ค่อยสะดวก จึงต้องได้ผ่อนสั้นผ่อนยาวอยู่เสมอ ผู้ปฏิบัติอย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ด้น ๆ เดา ๆ สักแต่ว่าทำไม่เกิดประโยชน์...”

ลัก...ยิ้ม
02-09-2020, 14:15
ถือธุดงค์เข้าพรรษา

“...นี่เข้าพรรษาแล้วตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปนั่น ก็จะบิณฑบาตดังธุดงค์ที่เคยปฏิบัติมาทุกปี ประชาชนทั้งหลายมีศรัทธาก็มาใส่บาตรตามเขตที่ปักไว้แล้ว ถือเอากำแพงเก่านี้เป็นบาทฐาน เรียกว่ารับมาถึงนั้นแล้วก็หยุด เราเอาอันนี้เป็นบาทฐานไปเลย ... พระท่านรับบิณฑบาตมาแล้วก็เป็นเรื่องของท่านเอง ข้อวัตรปฏิบัติประจำพระก็คือไม่รับบิณฑบาต ไม่รับอาหารเมื่อเข้าในวัดแล้ว ... ถ้าท่านรับก็ขาดธุดงค์ข้อนี้ ท่านไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหองนะ ธุดงค์บังคับไว้ให้เป็นผู้มีความมักน้อย ได้มากได้เท่าไรก็ตามเอาเพียงเท่านี้ ๆ เพื่อจะตัดกิเลสตัวโลภมาก กินไม่พอนั่นเอง ตีลงมาธรรมะจะได้ค่อยเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเป็นลำดับ นี่การปฏิบัติตน...”

ลัก...ยิ้ม
02-09-2020, 14:31
การเข้าพรรษา

“...ประเพณีการเข้าพรรษานี้ ถือเป็นกิจสำคัญสำหรับพระนับแต่ครั้งพุทธกาลมา เริ่มแรกจริง ๆ ก็ไม่มีการจำพรรษา เห็นมีความจำเป็นเกี่ยวกับการเที่ยวของพระไม่มีเวล่ำเวลา ทำคนอื่นให้ได้รับความเสียหายบ้าง หรือมากน้อยตามแต่พระเณร.. มีจำนวนมากเที่ยวไม่มีเวลาหยุดทั้งหน้าแล้งหน้าฝน เมื่อเขากราบทูลพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการสัญจรไปมาของพระ พระองค์จึงทรงบัญญัติให้มีการจำพรรษา การอยู่จำพรรษานั้นต้องอยู่ให้ครบไตรมาสคือ ๓ เดือน มีวันนี้เป็นวันเริ่มแรก เพราะเป็นฤดูฝนสมกับการเข้าพรรษา จะอยู่ในสถานที่ใดก็ถือบริเวณนั้นเป็นขอบเขตของตน ซึ่งจะต้องจำพรรษาอยู่ที่นั้นตลอดไตรมาสคือ ๓ เดือน นี่เป็นประเพณีของพระ.. เราต้องมีการจำพรรษา จะไปเร่ ๆ ร่อน ๆ ไม่มีการจำพรรษาอย่างนั้นไม่ได้ ผิดพระวินัย ..

เขตในวัดเรานี้เป็นเขตที่กำหนดได้ง่ายที่สุด มีกำแพง นี่ในบริเวณวัดนี้เป็นเขตที่พระอยู่จำพรรษา กำหนดไตรมาส ๓ เดือน ไม่ได้ไปที่ไหนถ้าหากไม่มีความจำเป็น เมื่อมีความจำเป็นสัตตาหกรณียกิจไปได้ ๗ วันตามหลักพระวินัยแล้วกลับมา อย่างน้อยต้องมาค้างที่วัด ๑ คืนแล้วไปได้อีก ๗ วัน และกลับมาค้างที่วัดอีก ๑ คืน นี่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องไปด้วยสัตตาหะฯ ติดต่อกัน ท่านอธิบายไว้ตามพระวินัยละเอียดมากทีเดียว แต่ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นก็ห้ามไปค้างคืนที่อื่น ...”

ลัก...ยิ้ม
04-09-2020, 14:25
สัตตาหกรณียกิจ

“... สัตตาหกรณียกิจ กิจที่ควรจะไปได้มี ๗ วันท่านบอก บิดามารดาป่วย เพื่อนฝูงสหธรรมิก หรือครู หรืออาจารย์ป่วย ท่านก็บอกไว้ตามหลักพระวินัย วัดวาอาวาสชำรุดมากจนจะหาที่หลบที่ซ่อนที่อยู่ไม่ได้ เช่น ศาลาโรงฉัน เป็นต้น ให้ไปหาไม้มาทำมาซ่อมแซม สัตตาหะไปได้ แล้วก็มาค้างวัดคืนหนึ่งแล้วออกไป ภายใน ๗ วันกลับมา หรือพวกศรัทธาญาติโยมที่เป็นศรัทธาใหม่ เช่น พระมหากษัตริย์ นี่ก็ไปได้ ๗ วัน สิ่งที่ควรจะอนุโลมในสิ่งนั้นท่านก็บอกว่ามี ก็พึงอนุโลมตามนี้

อย่าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง นั่นดูไม่ได้นะ อยากไปไหนก็สัตตาหะฯ ไปเรื่อย ๆ สัตตาหะฯ ไปโน่น สัตตาหะฯ ไปนี่ เลยไม่ทราบว่าสัตตาหะฯ อะไร เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ไปอย่างนั้น มีแล้วนะ ทุกวันนี้ปรากฏแล้วทั้ง ๆ ที่เป็นครูเป็นอาจารย์นั่นแหละ ให้เห็นได้อย่างชัดเจน...”

ลัก...ยิ้ม
04-09-2020, 14:26
ประเคนหรือเทน้ำล้างบาตรก่อนบิณฑบาต

“...ตามพระวินัย พระจะออกบิณฑบาต หรือใช้บาตร ต้องให้เณรหรือญาติโยมประเคนบาตรให้ก่อน ถ้าไม่มีใครประเคน.. เทน้ำล้างบาตรเขย่าไปมา แล้วเททิ้งเสียก็พอ แต่ถ้าเอาผ้าไปเช็ด ฝุ่นละอองจากผ้าก็จะไปติดเปื้อนบาตร เป็นอามิส.. บาตรใช้ไม่ได้ ตามสายตาของโลกเอาผ้าเช็ดแห้งก็สะอาดดีแล้ว แต่จริง ๆ ในผ้าย่อมมีฝุ่นละอองอยู่โดยตามองไม่เห็น...”

ลัก...ยิ้ม
04-09-2020, 14:31
ไม่บิณฑบาตไม่ฉัน อานิสงส์บิณฑบาต

“...การบิณฑบาต ถือเป็นกิจวัตรสำคัญประจำพระธุดงค์ ในสายตาของท่านไม่ให้ขาดได้เว้น แต่ไม่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องไป ขณะไปก็สอนให้มีความเพียรทางภายใน ไม่ลดละทิ้งไปและกลับจนมาถึงที่พัก ตลอดการจัดอาหารใส่บาตรและลงมือฉัน

การบิณฑบาตเป็นกิจวัตรข้อหนึ่ง ที่อำนวยผลแก่ผู้บำเพ็ญให้ได้รับความสงบสุขทางใจ คือ เวลาเดินไปในละแวกบ้าน ก็เป็นการบำเพ็ญเพียรไปในตัวตลอดทั้งไปและกลับ เช่นเดียวกับเดินจงกรมอยู่ในสถานที่พัก หนึ่ง เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถในเวลานั้น หนึ่ง ผู้บำเพ็ญทางปัญญาโดยสม่ำเสมอแล้ว เวลาเดินบิณฑบาตขณะที่ได้เห็นหรือได้ยินสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาสัมผัสทางทวาร ย่อมเป็นเครื่องเสริมปัญญาและถือเอาประโยชน์จากสิ่งนั้น ๆ ได้โดยลำดับ หนึ่ง เพื่อดัดความเกียจคร้านประจำนิสัยมนุษย์ที่ชอบแต่ผลอย่างเดียว แต่ขี้เกียจทำเหตุซึ่งเป็นคู่ควรแก่กัน หนึ่ง เพื่อตัดทิฐิมานะ ที่เข้าใจว่าตนเป็นคนชั้นสูง ออกจากตระกูลสูงและมั่งคั่งสมบูรณ์ทุกอย่าง แล้วรังเกียจต่อการโคจรบิณฑบาตอันเป็นลักษณะคนเที่ยวขอทานท่าเดียว...”

ลัก...ยิ้ม
04-09-2020, 14:35
บิณฑบาตซ้อนผ้าสังฆาฏิ

“...การบิณฑบาต ประเพณีหรือหลักวินัยพระพุทธเจ้ายืนตัวอยู่แล้ว การไปบิณฑบาตในหมู่บ้านให้ครองผ้าซ้อนกัน สังฆาฏิ จีวร เว้นแต่บิณฑบาตตามทุ่งนาหรือในครัว ไม่ได้เข้าบ้าน นี่เป็นประเภทหนึ่ง ใช้ผืนเดียวก็ได้ไม่ขัดข้อง แต่เข้าไปในหมู่บ้านแล้วต้องซ้อนผ้า ฟังให้ดีนะ ... ถ้าลงได้เห็นแล้วเอาจริง ๆ นะ ไม่เหมือนใคร เพราะพระวินัยมีชัดเจนมากทีเดียวประจำองค์พระ ให้ซ้อนผ้า เว้นแต่ฟ้าลงฝนตก อากาศมืดครึ้มฝนจะตก นี่ที่มีข้อยกเว้นในพระวินัย ถ้าอากาศแจ่มใสและเข้าไปในหมู่บ้านด้วย ให้ซ้อนผ้าเข้าไปบิณฑบาต

ให้ยึดหลักพระวินัยคือองค์ศาสดา ให้เกาะติดนะ.. ถ้าพลาดจากพระวินัยคือพลาดจากศาสดา เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปพร้อมเลยนะ พระวินัยและธรรมนี้แล คือศาสดาของเธอทั้งหลาย.. แทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว..”

ลัก...ยิ้ม
05-09-2020, 22:34
การขบฉัน

“...การขบการฉันให้สำรวม ตาสำรวมในบาตร และเวลาฉันจังหันนี้.. ตาเหม่อมองไปที่ไหน ๆ นั่นเป็นความไม่มีสติ และเสียศักดิ์ศรีของผู้ฉันในบาตรเป็นอันมากทีเดียว นี่เราเคยเตือน มองดูแพล็บ ๆ มันขวางตานะ เพราะเราไม่เคยปฏิบัติอย่างนั้นมา ปตฺตสญฺญี ปิณฺฑปาตํ มันก็มีทั้งสองภาคไม่ใช่รึ ปตฺตสญฺญี ปิณฺฑปาตํ อันหนึ่งเป็นภาครับบิณฑบาตไม่ใช่รึ ปฏิคฺคเหสุสามีติ สิกฺขา กรณียา คือรับบาตร ทำความสัญญาอยู่ในบาตร ในขณะที่รับบาตรนั่น ปตฺตสญฺญี ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิสฺสามีติ สิกฺขา กรณียา เวลาฉันจังหันก็ให้ทำความสำคัญอยู่ในบาตร ตาก็มองอยู่นี้ อย่าไปเถ่อไปทางเน้น เถ่อไปทางนี้ มองโน้นมองนี้ มองดูเห็นหมู่เพื่อนทำให้ขวางตาอยู่ นี่..ดูไม่ได้นะ ผมเห็นอยู่นี่ เราเคยทำความเข้าใจกับเจ้าของตั้งแต่วันฉันในบาตรมาแล้ว เราทำเอาจริงเอาจังนี่นะ ทำความเข้าใจกับเจ้าของ.. จะไปฉันเหม่อ ๆ มอง ๆ ดูนั่นดูนี่ ทั้งเคี้ยวทั้งกลืน.. หาสติสตังไม่ได้ โอ้.. เสียศักดิ์ศรีของกรรมฐาน อย่างน้อยเป็นอย่างนั้น อย่างมากก็เหลว ความเลื่อนลอย ดูในนั้นในบาตร ปตฺตสญฺญี ทำความเข้าใจ ทำความสำคัญอยู่ในบาตร สำรวมอยู่ในบาตรนั้น

ฉันก็อย่าให้ได้ยินเสียงจุ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ ให้ระมัดระวังกิริยาอาการของการขบการฉัน ใน ๒๖ ข้อเสขิยวัตรท่านก็บอกไว้แล้ว ท่านสอนหมด..การขบการฉัน การขับการถ่าย โอ้โห.. สอนละเอียดลออมาก พระวินัยละเอียดมากทีเดียว ถ้าหากเราดำเนินตามพระวินัยแล้วจะมีที่ต้องติที่ไหน พระเรามีแต่ความสวยงามทั้งนั้นแหละ ที่โลกเขาต้องติหรือเพื่อนฝูงได้ต้องติ แสลงหูแสลงตา เพราะความไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยนั่นเอง มันเลยไม่น่าดู อย่ามาทำให้เห็นนะ...”

ลัก...ยิ้ม
05-09-2020, 22:40
พิจารณาอาหาร ฉันสำรวม

“...ถ้ามีญาติโยมตามออกมาแม้แต่คนหนึ่งขึ้นไป ท่านอนุโมทนา ยถา สัพพีฯ ก่อน แล้วค่อยลงมือฉัน .. ท่านเริ่มทำความสงบ อารมณ์พิจารณาปัจจเวกขณะ ปฏิสังขาโยนิโส ฯลฯ ในอาหารชนิดต่าง ๆ ที่รวมในบาตร โดยทาง อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา บ้าง ทางปฏิกูลสัญญาบ้าง ทางธาตุบ้าง ตามแต่ความถนัดของแต่ละท่าน.. จะพิจารณาแยบคายในทางใด อย่างน้อยประมาณหนึ่งนาทีขึ้นไป แล้วค่อยเริ่มลงมือฉันด้วยท่าสำรวมและมีสติประจำตัวในการขบฉัน..

มีสติระวังการบดเคี้ยวอาหารไปทุกระยะ ไม่ให้มีเสียงดังกรอบแกรบ มูมมาม ซึ่งเสียมารยาทในการฉัน และเป็นลักษณะของความเผลอเรอและตะกละตะกราม ตามองลงในบาตร.. ทำความสำคัญอยู่ในบาตรด้วยความมีสติ ไม่เหม่อมองสิ่งนั้นสิ่งนี้ในเวลาฉัน อันเป็นลักษณะของความลืมตัวขาดสติ... โดยสังเกตระหว่างจิตกับอาหารที่เข้าไปสัมผัสกับชิวหาประสาท และธาตุขันธ์ในเวลากำลังเคี้ยวกลืน ไม่ให้จิตกำเริบลำพองไปตามรสอาหารชนิดต่าง ๆ ...”

ลัก...ยิ้ม
05-09-2020, 22:44
ฉันพอประมาณ เลือกอาหารสัปปายะ

“...ได้อะไรมาจากบิณฑบาตก็ฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่พอกพูนส่งเสริมกำลังทางกายให้มาก อันเป็นข้าศึกต่อความเพียรทางใจให้ก้าวไปได้ยาก การฉันหนเดียวก็ควรฉันพอประมาณ ไม่มากเกินจนท้องอืดเฟ้อย่อยไม่ทัน เพราะเหลือกำลังของไฟในกองธาตุจะย่อยได้ ความอดความหิวถือเป็นเรื่องธรรมดาของผู้พิจารณาธรรมทั้งหลาย เพื่อความสิ้นทุกข์โดยไม่เหลือ นอกจากฉันหนเดียวแล้วยังสังเกตอาหารอีกด้วยว่า อาหารชนิดใดเป็นคุณแก่ร่างกาย ไม่ทำให้ท้องเสีย และเป็นคุณแก่จิต ภาวนาสะดวก จิตไม่มัวหมองเพราะพิษอาหารเข้าไปทำลาย

เช่น เผ็ดมากเกินไป เค็มมากเกินไป ซึ่งทำให้ออกร้อนภายในท้อง ก่อความกังวลแก่จิตใจ ไม่เป็นอันทำความเพียรได้สะดวก เพราะกายกับใจเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน และกระเทือนถึงกันได้เร็ว ท่านจึงสอนให้เลือกอาหารที่เป็นสัปปายะ ซึ่งเป็นคุณแก่ร่างกายและจิตใจถ้าพอเลือกได้ ถ้าเลือกไม่ได้แต่ทราบอยู่ว่าอาหารนี้ไม่เป็นสัปปายะก็งดเสียดีกว่า ฝืนฉันลงไปแล้วเกิดโทษแก่ร่างกาย ทำความทุกข์กังวลแก่จิตใจ ผู้ฉันหนเดียวมักทำความรู้สึกตัวได้ดี ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในรสอาหารชนิดต่าง ๆ ...”

ลัก...ยิ้ม
05-09-2020, 22:52
ห้ามฉันเนื้อ ๑๐ อย่าง และเนื้อเจาะจงอีก ๓

“...เราเป็นผู้ปฏิบัติศีลธรรม.. ไม่ปฏิบัติผิดจะเป็นอะไรไป เราเป็นผู้ขอทาน เขาให้อะไรมาก็กินไปตามเรื่องตามราวเท่านั้นเอง ไม่เป็นการรบกวนเขาให้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย อันนี้เป็นเรื่องของโลกเขาเป็นมาตั้งแต่ดั้งเดิม ห้ามอะไรเขาไม่ได้ เรื่องเนื้อ ๑๐ อย่างที่ไม่ให้ฉัน พระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้แล้ว นับตั้งแต่เนื้อมนุษย์ แน่ะ..ฟังซิ พระองค์ก็ไม่ให้ฉัน เนื้อหมา เนื้อม้า เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว เนื้องู เนื้อหมี เนื้อช้าง นี่..เนื้อเหล่านี้ห้ามหมดแล้ว

ที่ห้ามก็ห้ามแล้วนี่ แล้วก็ยังมีอุทิสสมังสะ คือเนื้อที่เขาเจาะจงอีก ๓ อย่าง เนื้อเจาะจงเป็นยังไง เขาไปฆ่ามาเพื่อถวายพระ พระเห็นอยู่ไม่ควรฉัน เห็นเขาเอาอาวุธชนิดนี้ไป แล้วได้สัตว์ชนิดนั้นมาตรงกับอาวุธชนิดนี้ เช่น ได้แหเอาไปทอดปลานี้ แล้ววันหลังเขาเอาปลานี้มาถวาย คงเป็นเหมือนกับว่าเขาไปทอดแหเอาปลานี้เพื่อมาให้พระฉัน เมื่อสงสัยอยู่ก็ไม่ควรรับ เมื่อสงสัยอยู่ได้ยินเขาว่างั้นก็ไม่ฉัน หรือเนื้อสด ๆ ร้อน องค์ใดสงสัยอย่าฉัน แน่ะ..ท่านก็บอกอยู่แล้ว องค์ไหนไม่สงสัยก็ฉันได้ บอกชัดเจนอยู่แล้วนี่ ท่านก็บอกไว้แล้วที่ห้ามฉัน ฉันนั้นเป็นอาบัตินั้น ๆ ฉันเนื้อมนุษย์เป็นอาบัติถุลลัจจัย ก็บอกไว้หมด จากนั้นก็ห้ามเนื้ออุทิสสมังสะ ที่เขาเจาะจงบอกไว้แล้ว แม้เช่นนั้นองค์ไหนไม่รู้ไม่เห็นก็ฉันได้..บอกไว้อีก...”

ลัก...ยิ้ม
05-09-2020, 23:00
กาลิกระคนกัน

“...ไปบิณฑบาตกับท่าน (หลวงปู่มั่น) เขาเอาน้ำตาลงบใส่มาให้ น้ำตาลงบ.. หลักพระวินัยมีนี่ กาลิกระคนกัน ไม่ระคนกัน บอก..เช่นน้ำตาล ถ้านำมาผสมกับข้าว อายุได้แค่ข้าวเท่านั้น จากเช้ายันเที่ยง.. น้ำตาลที่นี่จะหมดอายุถ้าเปื้อนข้าวนะ ถ้าไม่เปื้อนข้าว.. น้ำตาลนี่จะเก็บไว้ได้ตามกาล คือ ๗ วัน คือฉันได้ในเวลาวิกาลตลอดอายุ ๗ วันของมัน ถ้าผสมกับข้าวแล้วจะได้เพียงถึงเที่ยงเท่านั้น เรายกตัวอย่างเฉพาะอันเดียวนะ กาลิกนี่มีถึงสี่กาลิก ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก

ยาวกาลิก คือประเภทอาหาร รับประเคนแล้ว.. พอถึงเที่ยงหมดอายุแล้ว เอามาฉันอีกไม่ได้ ฉะนั้น..ถ้าเลยหลังฉันแล้ว อาหารมาจริง ๆ พระจึงไม่รับประเคน มีข้อพระวินัยอยู่ ส่วนยามกาลิก ได้ชั่ว ๒๔ ชั่วโมงเป็นอย่างมาก คือพวกน้ำอัฏฐบาน ส่วนสัตตาหกาลิก พวกน้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง อันนี้เมื่อไม่ประเคนกับอาหารประเภทที่อายุสั้น ก็ฉันได้ตามกาลของมัน คือ ๗ วันจึงหมดอายุ เมื่อหมดอายุแล้วต้องเสียสละไปเลยนะ มายุ่งอีกไม่ได้ ส่วนยาวชีวิกนั้นเป็นพวกยา ฉันได้ตลอดกาลของมัน คือจนกระทั่งหมด ยาวชีวิกคือตลอดชีวิตของยานั้น...”

ลัก...ยิ้ม
05-09-2020, 23:04
ฉันชามน้อย..ผ้าหลุด รสอาหารเหยียบธรรม

“...มองไป โห..ซดกันเป็นแถวในชามน้อย ๆ ในวัด...แล้วกัน มันเป็นหลักปฏิบัติอันหนึ่งแล้วนี่ นึกในใจ จนกระทั่งไปถึงเณรน้อย เราไปดู..ไม่เห็นเวลาเราไปดู มัวแต่รสเหยียบหัวใจอยู่นั่น รสอะไร ? รสอาหารเหยียบเอา รสธรรมเลยขึ้นไม่ได้ซิ ตาย..พินาศฉิบหายหมด รสอาหารมันเหยียบ รสลิ้นมันไปเหยียบ รสอาหารเข้าไปเหยียบลิ้น รสลิ้นก็เหยียบธรรม แหลกกระจัดกระจายไม่มีเหลือ จึงได้เตือน จะแก้ไข ไม่แก้ไขยังไง ก็บอกทุกคนแล้วนี่ ...

แล้วเวลาฉันจังหันก็ผ้าหลุดลุ่ยลงมานี่ มัวแต่เพลินกับรสเท่านั้น ผ้าหลุดลงไปก็ไม่เห็น ไม่สนใจ ดูไป ๆ กลัวจะบกพร่อง กลัวจะเผลอเนื้อเผลอตัวอะไร จึงได้ไปดู ๆ แล้วเป็นยังไง นาน ๆ ดูทีหนึ่ง ...”

ลัก...ยิ้ม
06-09-2020, 22:19
ขนาดบาตรเพื่อการธุดงค์

“...บาตรพระกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่น รู้สึกว่าจะมีขนาดกลางและขนาดใหญ่เป็นส่วนมาก ทั้งนี้เนื่องจากท่านชอบเที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ ตามป่าตามภูเขาประจำนิสัย.. บริขารจำเป็นที่ควรนำติดตัวไปด้วยในเวลาออกเที่ยวธุดงค์นั้นไม่มีมาก มีเพียงบาตร สังฆาฏิ จีวร สบง ผ้าอาบน้ำ กลด มุ้ง กาน้ำ เครื่องกรองน้ำ มีดโกน รองเท้า เทียนไขบ้างเล็กน้อย และโคมไฟที่เย็บหุ้มด้วยผ้าขาวสำหรับจุดเทียนเดินจงกรมทำความเพียร ...

บริขารบางอย่าง เช่น ผ้าสังฆาฏิ มุ้ง มีดโกน เทียนไข และโคมไฟ ท่านชอบใส่ลงในบาตร ดังนั้น บาตรพระธุดงค์ จึงมักใหญ่ผิดธรรมดาบาตรทั้งหลายที่ใช้กัน เพราะว่าจำต้องใส่บริขารเพื่อความสะดวกในเวลาเดินทาง พอบาตรเต็มบริขารก็หมดพอดี .. บาตรที่มีขนาดใหญ่ เวลาฉันจังหันก็สะดวก เพราะว่าท่านฉันสำรวมในบาตรใบเดียว มีคาวมีหวานท่านรวมลงในบาตรทั้งสิ้น...”

ลัก...ยิ้ม
06-09-2020, 22:23
การรักษาบาตร

“...การปฏิบัติต่อบาตร วิธีวางบาตร วิธีล้างบาตร วิธีเช็ดบาตร และวิธีรักษาบาตร... พอฉันเสร็จก็ล้างและเช็ดบาตรให้สะอาดปราศจากลิ่นอาย การล้างบาตรอย่างน้อยต้องล้างถึงสามน้ำ เมื่อเช็ดแห้งแล้วถ้ามีแดดก็ผึ่งครู่หนึ่ง แล้วเก็บไว้ในที่ควร ถ้าอากาศแจ่มใสฝนไม่ตก ก็เปิดฝาไว้เพื่อให้หายกลิ่นที่อาจค้างอยู่ภายใน

การรักษาบาตร ท่านรักษาอย่างเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษ คนไม่เคยล้าง ไม่เคยเช็ด และไม่เคยรักษาบาตร ท่านไม่อาจมอบบาตรให้อย่างง่ายดาย เพราะกลัวว่าบาตรจะขึ้นสนิม กลัวว่าจะวางไว้ในที่ไม่ปลอดภัย กลัวว่าบาตรจะกระทบของแข็งและกลัวตกลงถูกอะไร ๆ แตกหรือบุบแล้วเกิดสนิมในวาระต่อไป เมื่อเกิดสนิมแล้วต้องขัดใหม่หมดทั้งลูกทั้งข้างนอกข้างใน แล้วระบมด้วยไฟอีกถึงห้าไฟตามพระวินัยจึงจะใช้ได้ต่อไป ซึ่งเป็นความลำบากมากมาย ท่านจึงรักสงวนบาตรมากกว่าบริขารอื่น ๆ ไม่ยอมปล่อยมือให้ใครง่าย ๆ ...”

ลัก...ยิ้ม
06-09-2020, 22:30
กัปปิยภัณฑ์

“...บางทีเขาเอาปล้าร้าห่อใส่บาตรให้.. กลับพอไปถึงถ้ำ ปลาร้าเป็นปลาร้าดิบและไม่มีญาติโยมสักคน ก็ต้องเอาออก ไม่ได้กิน ภาษาทางภาคนี้เขาเรียกหมากแงว (หมากไฟ) นี่ หมากแงวอย่างอยู่หน้าศาลานี่ เขาเอามาให้กินจะกินได้ยังไง อม ๆ แล้วก็คายทิ้ง เพราะไม่ได้กัปปิยะ มะไฟก็อม ๆ สักลูกสองลูกบ้าง แล้วก็ได้ทิ้งพอรำคาญนี่นะ อมเดี๋ยวมันจะลงคอไป ไม่ได้กัปปิยะก่อน ...

กัปปิยภัณฑ์ คือสิ่งจำเป็นที่จะซื้อจะหามาสำหรับพระ แต่พระตถาคตไม่อนุญาตให้พระรับเองหรือเขารับไว้ก็ดี ถ้ามีความยินดีต่อการรับเงินรับทองนั้นปรับอาบัติอีก คือไม่ให้ยินดีในเงินในทอง ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ต่างหาก กัปปิยภัณฑ์ที่เงินทองจะแลกเปลี่ยนมา.. ให้ยินดีทางโน้นต่างหาก ไม่ให้มายินดีในเงินทอง นี่เป็นข้อผ่อนผัน ...

เพียงปัจจัยเครื่องอาศัยเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ท่านให้ระมัดระวังรักษาเอาอย่างมากมาย ดังเราทั้งหลายได้เห็นแล้วในพระวินัยของพระเป็นอย่างไร ในธรรมชาติอันนี้ท่านเข้มงวดกวดขันอย่างไรบ้าง ถึงขนาดที่ต้องสละในท่ามกลางสงฆ์ เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตไว้โดยความมีข้อแม้ ให้ถือเป็นความจำเป็นเพียงกัปปิยภัณฑ์ ไม่จำเป็นในเงินในทอง อย่ายินดีในเงินในทอง ถ้ายินดีอย่างนี้แล้วปรับโทษปรับอาบัติอีก...”

ลัก...ยิ้ม
07-09-2020, 11:05
เงินทองตกหล่นในวัด

“...ความละเอียดลออของธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ตามธรรมดาท่านห้ามจับเงินและทอง ห้าม.. ห้ามเด็ดขาด แต่ทีนี้เมื่อเวลามีสมบัติเงินทองของมีค่ามาตกอยู่ในวัดต้องจับต้องเก็บ ไม่เก็บไม่ได้.. ปรับโทษพระ ตามธรรมดาจับต้องไม่ได้ เมื่อเห็นของมีค่าของผู้ใดก็ตามมาตกอยู่ในสถานที่รับผิดชอบของพระ พระต้องเก็บและโฆษณาหาเจ้าของ ถ้าโฆษณาหาเจ้าของไม่ได้.. หมด เรียกว่าหมดความสามารถแล้ว เอาปัจจัยเอาสมบัติอันนี้ไปแลกเปลี่ยนกัน เอามาทำประโยชน์ส่วนรวมไว้ในวัด

เวลาเขามาถามมันสุดวิสัยแล้วก็ชี้บอก นี่..ทำไว้แล้วศาลาหลังนี้ นั่นพระวินัย ถ้าธรรมดาจับไม่ได้ ถ้าตกอยู่ในวัดหรือในบริเวณรับผิดชอบของพระต้องเก็บ ไม่เก็บไม่ได้ ปรับโทษพระ แน่ะ..เป็นอย่างนั้นละ จับแล้วโฆษณาหาเจ้าของไม่มีแล้ว ก็เอาของนี้ที่เป็นของมีค่าไปซื้ออะไรแลกเปลี่ยน.. มาสร้างสาธารณประโยชน์ขึ้นในสถานที่นั่น เป็นอย่างนั้น..พระวินัยของพระท่านสอนอย่างนั้น...”

ลัก...ยิ้ม
07-09-2020, 11:09
ออกพรรษาแล้วเที่ยวธุดงค์

“...พอออกพรรษาแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นจึงชอบออกเที่ยวธุดงค์ทุก ๆ ปี โดยเที่ยวไปตามป่าตามภูเขาที่มีหมู่บ้านพอได้อาศัยโคจรบิณฑบาต ... นำพระเข้าบิณฑบาตในหมู่บ้านด้วยบทธรรมหมวดต่าง ๆ คือสอนวิธีครองผ้าและท่าสำรวมในเวลาเข้าบิณฑบาต ไม่ให้มองโน่นมองนี่อันเป็นกิริยาของคนไม่มีสติอยู่กับตัว แต่ให้มองในท่าสำรวมและสงบเสงี่ยม มีสติทุกระยะที่ก้าวไปและถอยกลับ ใจรำพึงในธรรมที่เคยบำเพ็ญมาประจำนิสัย

ที่โคจรบิณฑบาตถ้ามีหมู่บ้านราว ๔ – ๕ หลังคาเรือน หรือ ๘ – ๙ หลังคา ก็พอเป็นไปสำหรับพระธุดงค์เพียงองค์เดียว ไม่ลำบากอะไรเลย ตามปกติพระธุดงค์กรรมฐานไม่ค่อยกังวลกับอาหารคาวหวานอะไรนัก บิณฑบาตได้อะไรมาท่านก็สะดวกไปเลย แม้ได้เฉพาะข้าวเปล่า ๆ ไม่มีกับเลย ท่านยังสะดวกไปเป็นวัน ๆ เพราะเคยอดเคยอิ่มมาแล้วจนเคยชิน...”

ลัก...ยิ้ม
07-09-2020, 11:16
ปวารณาออกพรรษา

“...วันนี้เป็นวันปวารณาออกพรรษา..ว่างั้นนะ เข้าพรรษาครบไตรมาส ๓ เดือนก็มาครบวันนี้ แล้วออกวันนี้.. ครบ ๓ เดือน .. คำว่า “ปวารณา” พระจะไม่ทราบก็มีนะ เวลานี้มันจะเป็นเพียงพิธีกิริยาออกมาจากความไม่มีธรรมในใจ ไม่มีวินัยในใจแล้วนะ คำว่า สงฺฆมฺ ภนฺเต ปวาเรมิ คือปวารณาตน เปิดโอกาสตนแก่สงฆ์ทั้งหลายที่นั่งรวมกันอยู่นี้ คือเปิดเผยเปิดโอกาสให้กัน.. แนะนำตักเตือนสั่งสอนได้ ผิดพลาดประการใด ได้เห็นก็ดี.. กิริยาอาการที่ไม่ถูกต้องนั้น ได้ยินก็ดี.. กิริยาแห่งการแสดงหรือการพูดออกมา หรือได้สงสัยก็ดี เหล่านี้ให้ตักเตือนสั่งสอน เมื่อทราบแล้วจะได้ปฏิบัติแก้ไข ดัดแปลงต่อไป ... คำปวารณาจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เปิดโอกาสไม่ให้มีทิฐิมานะต่อกัน ไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะ เป็นสังฆะหรือเป็นพระสงฆ์ศากยบุตรอันเดียวกัน เปิดโอกาสให้กัน

เพราะความรู้เราลำพังคนเดียว ไม่สามารถที่จะรู้รอบได้ในกิริยาความเคลื่อนไหวของตน จึงต้องได้อาศัยผู้อื่นคอยแนะนำตักเตือนสั่งสอน นับแต่ครูบาอาจารย์ลงมาถึงพระเพื่อนฝูงด้วยกัน คอยแนะนำตักเตือนสั่งสอนกัน เปิดโอกาสให้กันเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไม่ได้เพื่อทิฐิมานะ ฐานะสูงต่ำอะไรเลย สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ธรรม ความเป็นธรรมก็คือความเปิดโอกาส เพื่ออรรถเพื่อธรรมคือความถูกต้องดีงามแก่ตน เมื่อท่านผู้อื่นผู้ใดได้เห็นความไม่ดีไม่งามของเราที่แสดงออก ด้วยการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ด้วยรังเกียจ สงสัยก็ดีนั้น.. จะได้เตือนเรา ก็จะได้รับไว้ประพฤติปฏิบัติ

เรื่องทิฐิมานะนั้นเป็นเรื่องของกิเลส การเปิดโอกาสตักเตือนซึ่งกันและกันนั้นเป็นเรื่องของธรรม เพราะเราอยู่ด้วยกันหลายคน.. อาจมีความผิดพลาด จึงต้องเปิดโอกาสให้แนะนำหรือตักเตือนซึ่งกันและกันได้ ให้พากันเข้าใจตามนี้ นี่ละพระโอวาทของพระพุทธเจ้า...”

ลัก...ยิ้ม
07-09-2020, 11:28
งานกฐิน

“...กฐินตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่ง เดือน ๑๑ ไปถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ หมดเขตกฐิน ... วันเพ็ญยังทอดได้อยู่ กฐินนี้เป็นสิ่งที่อนุโลมต่างหากนะ พระพุทธเจ้าทรงอนุโลมผ่อนผันให้ พระชาวเมืองปาฐาเดินทางมา จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ กรุงสาวัตถี.. เข้าไม่ได้ เข้าไม่ทันต้องหยุดจำพรรษาที่เมืองสาเกตก่อน พอออกพรรษา.. หนทางยังเจิ่งด้วยน้ำก็รีบเดินทางมา ผ้าเปียกหมดเลย มีผ้ามาเท่านั้นเปียกหมด ท่านเลยอนุโลมผ่อนผันให้เป็นผ้าพิเศษอีก.. มีกฐินเข้าไป ให้มีการทอดกฐินเป็นการอนุโลม เพราะฉะนั้น จึงมีกฐินมาเรื่อย

เดิมจริง ๆ ไม่มีกฐิน มีแต่ผ้าบังสุกุลเป็นพื้นมาเลย บังสุกุลคือผ้าที่คลุกเคล้าอยู่ตามฝุ่นตามอะไร สกปรกโสมมไม่เลือกละ บังสุกุลคือตกอยู่ขี้ฝุ่นขี้ฝอย หรือตามป่าช้า หรือตามสายทาง ผ้าเศษผ้าเดน ผ้าทิ้ง นี่ละพระท่านไปเก็บมาชักบังสุกุล ได้มาแล้วก็มาเย็บปะติดปะต่อกันเป็นสบงบ้าง จีวรบ้าง สังฆาฏิบ้าง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงผ่อนผันเอาอย่างมากทีเดียว คือสังฆาฏินี้ธรรมดาสองชั้น แม้จะปะร้อยชั้นก็ตาม.. พระองค์ก็ทรงอนุญาต ขาดตรงไหน ๆ ท่านปะท่านชุนเข้าไปถึงร้อยชั้น.. เราตถาคตก็อนุญาต นั่นท่านทรงผ่อนผันเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติของพระ แต่ก่อนเป็นอย่างนั้น

ครั้นหลังมานี้ก็เห็นพระท่านมาจากเมืองอื่น เข้ามาเมืองที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ จีวรเปียกปอนมา.. มาประชุม มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก็เลยมาไม่ได้ จีวรเปียกปอน จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลานั้นมาไม่ได้ เพราะจีวรเปียกหมด ท่านมีผ้าเพียงสามผืน พระองค์จึงทรงผ่อนผันให้มีกฐิน อนุโลมให้มีผ้า.. จะเป็นจีวรสองผืนก็ได้ บริขารใดก็ตามเป็นสิ่งที่เศษเหลือจากไตรจีวรสามผืนนั้นก็ได้ เรื่อยมาเป็นกฐิน ทีนี้กฐินก็เลยใหญ่กว่าบังสุกุลไป...”

ลัก...ยิ้ม
15-09-2020, 20:09
ไม่ใส่รองเท้าเข้าบ้าน

“...สรุปแล้วก็คือว่า สิ่งที่เป็นอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คงจะเล็งไปตามกาลสมัย อย่างเช่น ท่านห้ามใส่รองเท้าเข้าไปในบ้านอย่างนี้น่ะ นอกจากเท้าเป็นแผล ห้ามใส่รองเท้าเข้าไปในหมู่บ้าน อันนี้เวลาเปลี่ยนแปลงมา เปลี่ยนแปลงมาจนทุกวันนี้ เศษแก้วเต็มไปหมดตามลาน ก็ทำความสะอาดลำบากเหมือนกัน นี่ก็ทำให้คิดอยู่

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับเราแล้วไม่เคยใส่รองเท้าเข้าไปหรอกแม้โง่จะตาย และเท้านี้จะเหวอะหวะเพราะแก้วตำก็ช่างมันเถอะ ขอให้เราได้บูชาตถาคตแล้วเป็นพอ นี่สำหรับเราเองเป็นอย่างนั้น แต่นี่เราพิจารณาเพื่อวงคณะทั้งหลายที่เห็นว่าเป็นความเหมาะสมอย่างไรบ้าง.. ที่ท่านห้ามใส่รองเท้าเข้าในบ้าน สำหรับในวงธรรมยุตเราไม่เคยมี นอกจากจะเป็นธรรมยุตจรวดก็เอาแน่ไม่ได้เหมือนกัน...”

ลัก...ยิ้ม
15-09-2020, 20:17
เที่ยววิเวก

“...ออกพรรษานี่ใครอยากจะออกไปเที่ยวภาวนาหาที่สงบสงัดก็ไปนะ ผมไม่ได้ห้าม ก็ไม่ทราบจะห้ามเพื่ออะไร นอกจากที่ไหนเป็นที่เหมาะสมในการประกอบความพากเพียรเท่านั้น เอ้าไป.. ว่าอย่างนั้นเลย ผมพร้อมเสมอที่จะส่งเสริมหมู่เพื่อนในทางที่เป็นผลเป็นประโยชน์ เฉพาะอย่างยิ่งคือจิตภาวนา

พอออกพรรษาแล้วก็เข้าป่าเข้าเขาเลย แต่ก่อนเป็นมาอย่างนั้น อย่างสมัยที่เราอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเป็นอย่างนั้น ... ตามธรรมดาพอออกพรรษาแล้ว ท่านก็เตรียมออกเที่ยวละ พระกรรมฐานอยู่จำพรรษาในสถานที่อันจำกัด พอออกพรรษาแล้วนี้ท่านก็ออกเที่ยวละ เที่ยวเบื้องต้นนี่ก็อยู่ตามป่าเสียก่อน ยังไม่ขึ้นภูเขา พอตอนเดือนมีนา เมษา หน้าร้อนนี่ก็ขึ้นเขา ขึ้นอยู่บนถ้ำ เย็น ๆ สบาย ๆ .. ในถ้ำมันเย็นสบายดี

น้ำสำหรับ อาบ ดื่ม ใช้สอย มีความสำคัญอย่างยิ่ง จะขาดไปไม่ได้ อาหารยังพออดได้ ทนได้ทีละหลาย ๆ วัน แต่น้ำอดไม่ได้ และไม่ค่อยมีส่วนทับถมร่างกายให้เป็นข้าศึกต่อความเพียรทางใจเหมือนกับอาหาร จึงไม่จำเป็นต้องอดให้ลำบาก ทั้งน้ำมีความจำเป็นต่อร่างกายอยู่มาก ฉะนั้น..การแสวงหาที่บำเพ็ญต้องขึ้นอยู่กับน้ำเป็นสำคัญส่วนหนึ่ง แม้จะมีอยู่ในที่ห่างไกลบ้าง.. ประมาณกิโลเมตรก็ยังนับว่าดี ไม่ลำบากในการหิ้วขนนัก...”

ลัก...ยิ้ม
16-09-2020, 20:35
ปะชุนผ้า ใช้ผ้าบังสุกุล

“...ธุดงค์ข้อถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรเป็นการตัดทอนกิเลส.. ตัวทะเยอทะยาน ชอบสวยชอบงามได้ดี กิเลสชนิดนี้เป็นที่น่าเบื่อหน่ายในวงนักปราชญ์ทั้งหลาย แต่เป็นที่กระหยิ่มลืมตัวของพาลชนทั้งหลาย พระธุดงค์ที่ต้องการความสวยงามภายใน.. เที่ยวเสาะแสวงหาผ้าบังสุกุลที่เขาทอดทิ้งไว้ตามป่าช้า หรือที่กองขยะของเศษเดนทั้งหลาย มาซักฟอกแล้วเย็บปะติดปะต่อเป็น สบง จีวร สังฆาฏิ ใช้สอยพอปกปิดกาย และบำเพ็ญสมณธรรมไปตามสมณวิสัยอย่างหายกังวล ไม่คิดเป็นอารมณ์ห่วงใยผูกพันกับใครและสิ่งใด...

การนุ่มห่มใช้สอยบริขารต่าง ๆ ของพระธุดงค์ เฉพาะท่านอาจารย์มั่น รู้สึกว่าท่านพิถีพิถันและมัธยัสถ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ยอมสุรุ่ยสุร่ายเป็นอันขาดตลอดมา ปัจจัยเครื่องอาศัยต่าง ๆ มีมากเพียงไรก็มิได้ใช้แบบฟุ่มเฟือยเห่อเหิมไป ... ผ้าสังฆาฏิ จีวร สบง ผ้าอาบน้ำ ขาด ๆ วิ่น ๆ มองเห็นแต่รอยปะติดปะต่อ ปะ ๆ ชุน ๆ เต็มไปทั้งผืน ... การปะการชุนหรือดัดแปลงซ่อมแซมไปตามกรณีนั้น ก็เพราะเห็นคุณค่าแห่งธรรมเหล่านี้มาประจำนิสัย .. ไม่ว่าผืนใดขาด ในบรรดาผ้า.. ผ้าครองหรือผ้าบริขารที่ท่านนุ่งห่มใช้สอย ผืนนั้นต้องถูกปะถูกชุนจนคนทั่วไปดูไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นใครทำกันในเมืองไทย ที่เป็นเมืองสมบูรณ์เหลือเฟือจนทำให้คนลืมตน มีนิสัยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแม้เป็นคนจน ๆ ท่านเองไม่เคยสนใจว่าใครจะตำหนิติชม...”

ลัก...ยิ้ม
16-09-2020, 20:41
ไปเมืองนอก ... ประกาศหรือขายศาสนา

“...นี่พระเราหลั่งไหลไปเมืองนอก เราก็ได้เคยถามหมู่ถามพวกที่ไปเมืองนอกมา พระเณรเราน่ะ วิตกวิจารณ์ไปขายศาสนาน่ะซิ.. ไม่ใช่ไปประกาศศาสนา กลัวจะไปขายศาสนา อ้าว.. หลงได้ง่าย ๆ เรื่องกิเลสหลอกคนนี้หลงได้ง่ายนิดเดียว ไม่มีอะไรแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสหลอกสัตว์โลกเลย หลงได้ง่ายนิดเดียว ข้อสำคัญก็ สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ น่ะซิ ลาภสักการะมันฆ่าบุรุษผู้โง่เขลาให้ฉิบหาย แปลว่าอย่างนั้นในบาลี ลาภสักการะนี่เครื่องล่อของมาร ผู้ผ่านนี้ไปได้แล้วสบายไม่หลง มีเท่าไรก็ไม่หลง นั้นเป็นนั้น ๆ ๆ นี้เป็นนี้ ๆ อยู่นั้นละไม่คละเคล้ากัน ถ้าใจไม่มีหลักแล้วคละเคล้าทันที ซึบซาบทันที

อันนี้ละเราวิตกวิจารณ์ เขานิมนต์ไปฉันที่นั่นที่นี่ไม่ให้ไป ไปทำไม ไปก็ สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ มันฆ่าคน ใครได้มาก็นับห้านับสิบละซิ ได้มานับเท่านั้นนับเท่านี้ สุดท้ายนับแต่เงิน.. ไม่ได้นับธรรมละซิ ไม่ได้หาธรรม...”

ลัก...ยิ้ม
16-09-2020, 20:47
การกัปปิยะ

กัปปิยะ หมายถึง สิ่งของเครื่องใช้ที่สมควรแก่สมณะ พระภิกษุ สามเณร บริโภคใช้สอยได้ไม่ผิดพระวินัย เรียกเต็มว่ากัปปิยภัณฑ์ ได้แก่ปัจจัย ๔ คือ ผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อาหารที่ถวายพระนั้นถ้ามีเนื้อสัตว์ ก่อนจะถวายต้องทำให้สุกด้วยไฟเสียก่อน เช่น ต้ม ทอด ย่าง สำหรับผักหรือผลไม้ที่นำมาถวาย พวกมีเมล็ดแก่ที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้ เช่น ส้ม แตงโม มะเขือเทศสุก พริก หรือมีส่วนอื่นที่นำไปปลูกได้ ไม่ว่าจะเป็นราก ลำต้น หัว เช่น ผักบุ้ง ใบโหระพา หัวหอม ขิง ตะไคร้ เป็นต้น จะต้องทำวินัยกรรมที่มักเรียกว่า “กัปปิยะ” เสียก่อน พระจึงฉันได้ (พระวินัยห้ามภิกษุพรากของเขียว คือ ตัดต้นไม้ เด็ดใบไม้นั่นเอง ซึ่งรวมไปถึงผลไม้หรือลำต้นที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้)

พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บริโภคผักผลไม้ ด้วยสมณกัปปะกรรมที่ควรแก่สมณะ ๕ คือ ผลจดด้วยไฟ ผลจดด้วยศัสตรา ผลจดด้วยเล็บ ผลไม้ไม่มีพืช และผลที่พืชจะพึงปล้อนเสียได้

เมื่อจะบริโภคพึงบังคับอนุปสัมบันว่า “กัปปิยัง กะโรหิ” ท่านจงทำกัปปิยะดังนี้เสีย แล้วจึงบริโภค เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อว่าให้พ้นจากพีชคาม ปิยการก (ผู้ทำกัปปิยะ) จะตอบท่านว่า “กัปปิยัง ภันเต”

ลัก...ยิ้ม
16-10-2020, 13:26
เทศนาอบรมนักภาวนา

การเทศนาสอนโลกขององค์หลวงตานั้น มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นต้นมา ในเบื้องต้นท่านเทศนาอบรมพระอยู่ในป่าในเขา จากนั้นพระเข้ามาศึกษากับท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ ประชาชนก็เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น เมื่อมีความจำเป็นต้องสร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เพราะโยมมารดาของท่านเป็นเหตุแล้ว การเทศนาอบรมนักภาวนาไม่ว่าจะเป็นแม่ขาว แม่ชี หรือเป็นฆราวาสผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอย่างจริงจัง ก็เริ่มปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม ดังเรื่องราวต่อไปนี้

โยมแม่ชมเชยการเทศน์

เนื่องจากโยมแม่ขององค์หลวงตามิได้ฝึกหัดอ่านเขียนหนังสือมา เพราะสมัยก่อนการศึกษายังไม่เจริญดังเช่นปัจจุบัน จึงต้องอาศัยลูกหลานหรือนักปฏิบัติธรรมสตรีที่มาพักภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด ให้ช่วยอ่านหนังสือที่ท่านเป็นผู้เขียนให้ฟังทุกวัน ดังนี้

“.. เรื่องโยมแม่ .. คุณหญิงส่งศรี (เกตุสิงห์) หนึ่ง คุณเพาพงา (วรรธนะกุล) หนึ่ง เวลามาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดแล้ว ตอนบ่าย ๔ โมงจะผลัดกันมาอ่าน “หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น” ให้โยมแม่ฟังทุกวัน อ่านวันละชั่วโมง หรือ ๔๐ กว่านาทีทุกวัน ๆ จนกระทั่งจบ

เราเข้าครัวออกครัวก็อย่างที่เราเข้าอยู่นี่ เข้าออกอยู่อย่างนั้น พอไปที่ศาลา วันนั้นไปธุระกับพระ ไม่ใช่ไปโดยลำพัง เราดูนั่นดูนี่ อันนั้นไปด้วยมีกิจธุระ พอเห็นเราเข้าไปโยมแม่ปุบปับมาเลย ตอนนั้นไม่มีใคร ศาลาหลังเล็ก ๆ แม่มาก็มานั่งพักล่างพื้นดิน พักบนคือฟากไม้ไผ่สับ เราก็ขึ้นไปนั่งนั้น พอเรานั่งปั๊บแม่ก็ว่า ‘ให้แม่ชมเชยสักหน่อยนะ’

‘ชมเชยอะไรกัน ? ทีตอนเป็นเด็กเป็นเล็กทั้งดุทั้งด่า ทั้งเฆี่ยนทั้งตี เวลาโตมาแล้ว มาชมเชยหาอะไร ?’ เราว่าอย่างนี้.. แหย่ แม่กับลูกแหย่กัน

ทางแม่ก็ตอบดีนะ ‘โอ๋ย ! เวลาเป็นเด็กก็เป็นอย่างหนึ่ง มันน่าเฆี่ยนน่าตีก็เฆี่ยนตีเอาบ้างแหละ ทีนี้เวลาโตมาแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แม่ชมเชยสักหน่อย เวลาแต่งหนังสือทำไมถึงได้เลิศเลอหยดย้อยเอานักหนา แต่งหนังสือประวัติท่านอาจารย์มั่นนี้.. อ่านจบแล้วแม่ซาบซึ้งมาก บางทีน้ำตาร่วงเลย อัศจรรย์ธรรม พระพุทธเจ้าก็อัศจรรย์ น้ำตาร่วงเกี่ยวกับหลวงปู่มั่นด้วย ที่หลวงปู่มั่นท่านได้รู้ได้เห็น ท่านดำเนินยังไงก็อัศจรรย์ แล้วอัศจรรย์ผู้แต่งนี้ก็อัศจรรย์ สำนวนนี้ทำไมถึงแต่งดิบแต่งดี’

เราบอกว่า ‘ก็หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระองค์เลิศเลอ ก็แต่งเลิศเลอตามเรื่องของท่านทุกกิทุกกี ผู้แต่งไม่ได้เลิศเลออะไรนะ’

‘โอ๋ย ! หลวงปู่มั่นเลิศเลอก็รู้ว่าเลิศเลอ ผู้แต่งนี่ก็แปลก ๆ อยู่นะ ไม่มีอะไร ๆ แต่งดีอย่างนี้ไม่ได้ แม่จึงขอชม’ ว่าอย่างนั้นนะ แล้วแม่ก็พูดว่า ‘จะให้ใครแต่งอย่างนี้.. แต่งไม่ได้นะ ทำไมถึงหยดถึงย้อยเหมือนไม่ได้เกิดในหัวอกของแม่เลยลูกคนนี้ ฟังตรงไหน.. ไพเราะเพราะพริ้งตามกันไป ธรรมท่านก็เลิศ ผู้เขียนนี่ก็เลิศ ไม่งั้นเขียนไม่ได้’

จากนั้นเราก็ถามแม่บ้างว่า ‘แล้วเป็นยังไงที่ขอเงินไปซื้อหนังสือมา เรียนมาแล้วมาแต่งหนังสือให้โยมแม่อ่าน แล้วเป็นยังไง ท มันคุ้มค่าไหม ?’

‘คุ้มมหาคุ้มลูกเอ๊ย...’ แม่ว่าอย่างนั้น เพราะตามธรรมดาพ่อกับแม่ไม่เคยชมลูก นิสัยพ่อแม่นี้กดตลอด การชมนี้ไม่เอา

เราพูดถึงเรื่องหนังสือ เรื่องเอาจริงเอาจัง เงินของโยมพ่อโยมแม่ส่งไป เราไม่ยอมที่จะไปซื้อนั่นซื้อนี่มาใช้พิเศษของเจ้าของ ไม่เอานะ ต้องเพื่อหนังสือเท่านั้น เราจริงจังมาก...”

ลัก...ยิ้ม
16-10-2020, 13:34
เริ่มเทศน์เพื่อคนป่วย

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ สตรีซึ่งเป็นศิษย์องค์หลวงตาท่านหนึ่ง ชื่อคุณเพาพงา วรรธนะกุล ได้ป่วยไข้ไม่สบาย จึงไม่คิดทำงานทางโลกอีกต่อไป คุณเพาพงาได้เขียนจดหมายขอมาปฏิบัติจิตตภาวนา.. เตรียมรับกับมรณภัยที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งท่านก็ได้ให้ความอนุเคราะห์ตามที่ขอและตั้งใจไปแสดงธรรมเป็นกรณีพิเศษ ดังนี้

“...คุณเพาเราเสีย (ชีวิต) ไปกี่ปีแล้ว ปี ๒๕๑๙ – ๒๕๒๐ ไม่รู้นะ เหตุที่ว่าอย่างนั้นก็คือว่า คุณเพานี้เป็นโรคมะเร็งในกระดูกข้าง ๆ นี้ หมอเขาบอกว่าอยู่อย่างนานได้ ๖ เดือน แกก็หมดหวังแล้ว เลยเขียนจดหมายไปหาเราที่อุดรฯ หมอว่าอย่างนั้นแล้ว เหมือนว่าหมดหวังละ เลยเขียนจดหมาย ‘อยากจะมาภาวนาก่อนตาย’

เราก็พูดเป็นสองพักเอาไว้ (ตอบจดหมาย) ‘ถ้าไปภาวนาธรรมดา ๆ นี้ อยากอยู่ที่ไหน ไปที่ใดไปก็ไปได้ ไม่ไปก็ไม่ว่า’ เราว่างั้นนะ ข้อสอง ‘ถ้าตั้งใจจะภาวนาจริง ๆ เพื่อเห็นโทษแห่งความตายของตัวเองแล้วก็เอา..! ไปได้’

เราว่าสองพัก พอแกได้รับจดหมายตอนเย็น วันนี้แกก็ออกเดินทางเลย ตอนเช้าไปถึงแล้ว ไปรถยนต์ ‘อ้าว.. จดหมายได้รับหรือยัง ?’

‘ได้รับเมื่อเย็นวานนี้ พอได้รับแล้วก็มาเลย’

‘เอ้า ถ้าอย่างนั้นให้เลือกเอา กุฏิที่อุไร ห้วยธารอยู่ กับกุฏิคุณหญิงก้อย สองหลังนี้ให้เลือกเอา เป็นที่สงัด จะพักหลังไหนก็ได้’

ก็ตอบว่า ‘พักหลังคุณหญิงก้อย’ แต่ก่อนมันเตี้ย ๆ เพิ่งยกขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้...

ตั้งแต่วันนั้นมาเราเข้าไปเทศน์ให้ฟังทุกวันนะ ดูเหมือนเป็นปี ๒๕๑๘ – ๒๕๑๙ เทศน์ให้ฟังทุกเย็น พอตกเย็นมาจวนมืดแล้วไปกับท่านปัญญา ท่านปัญญาเป็นผู้อัดเทป เราไปเทศน์ให้ฟังทุกเย็น ๆ เลย เว้นแต่วันไหนประชุมพระ หรือเรามีธุระจำเป็น เราก็บอกล่วงหน้าเอาไว้ว่า วันพรุ่งนี้จะไม่เข้ามา นอกจากนั้นเทศน์ทุกวัน ๆ ดูเหมือน ๙๐ กว่ากัณฑ์ ไปอยู่นั้นตั้ง ๓ เดือน นั่นละจึงได้หนังสือเล่มที่ว่า “ศาสนาอยู่ที่ไหน ?” หนึ่ง “ธรรมชุดเตรียมพร้อม” หนึ่ง สองเล่มนี่ที่เทศน์ติดกันไปเรื่อย ๆ เป็นหนังสือสองเล่มนี้ ก็อยู่ในย่านปี ๒๕๑๙ มั้ง แกเสียปีนั้น เราลืม ๆ เสีย...”

ลัก...ยิ้ม
18-10-2020, 12:22
โยมแม่ได้หลักใจฟังเทศน์ลูก

ในช่วงที่ท่านเมตตาสงเคราะห์คนป่วยในคราวนี้เอง ทำให้โยมแม่ของท่านมีโอกาสฟังธรรมอย่างต่อเนื่องเกิดผลทางด้านจิตใจ ดังนี้

“...โยมแม่ก็ได้มาฟังเทศน์.. ไม่มากละ เทศน์ก็ดูเหมือนประมาณสัก ๓๐ นาทีละมั้ง แต่ละกัณฑ์ ๆ ละ ๓๐ หรืออย่างมากก็ ๔๐ นาที หากเทศน์ทุกวันเลย ... นี่ละที่เทศน์สอนคุณเพาพงา เทศน์ติดเทศน์ต่อ.. เทศน์ไม่หยุดไม่ถอย ตั้งแต่นั้นมาแล้วไม่เคยเทศน์อย่างนั้นอีกนะ.. มีหนเดียวเท่านั้นในชีวิตของเรา ที่เทศน์ติดต่อกันไปเลย ใน ๓ เดือนเทศน์ทุกคืน ๆ เว้นวันประชุมพระ ถ้าวันไหนประชุมอบรมพระไม่เข้า นอกจากนั้นเข้า หรือมีธุระจำเป็นที่จะไปไหนก็ไป

โยมแม่จึงได้กำลังใจที่ไปเทศน์สอนคุณเพา โยมแม่ได้กำลังใจตอนนั้น.. ถึงขนาดที่ว่าพอคุณเพากลับไปแล้วก็พูดเปิดอกกับเรา.. นิมนต์เราให้ไปเทศน์

‘วันไหนไม่มีแขกคนมา ถ้าอาจารย์ว่างก็ขอนิมนต์มาเทศน์สอนอบรมแม่บ้างนะ เวลาฟังเทศน์นี้ไม่ได้บังคับจิตใจ พอเริ่มเทศน์จิตจ่อปั๊บเท่านี้.. เทศน์นี้จะกล่อมลงแล้วแน่วเลย.. ไม่ต้องบังคับ จิตสงบได้ทุกครั้งเลยไม่มีพลาด ฟังกัณฑ์ไหนได้เหตุผลเลย.. ไม่ต้องบังคับ พอเสียงธรรมเริ่ม.. สติก็เริ่มจับ จิตเกี่ยวโยงกันโดยลำดับ ความรู้กล่อมลง ๆ ธรรมเทศนากล่อมใจแน่วลง สงบแน่ว ๆ ๆ ถ้าแม่ทำโดยลำพังตนเอง.. นั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่ลง อยากนิมนต์อาจารย์มาเทศน์เป็นการช่วยทางด้านจิตตภาวนาได้ดี’

นั่นละ ตั้งรากตั้งฐานได้แน่นอนก็ตรงนั้น แต่เราก็ไม่ได้ไป เพราะงานเราก็มีของเรา ก็ฟังเฉย ๆ ไม่ได้ไปตามนิมนต์ เพราะงานเรามาก นี่ละ..โยมแม่ตั้งหลักตั้งฐานจิตได้ตั้งแต่บัดนั้นมา พอฟังเทศน์จิตนี้ไม่ต้องบังคับ บอกเลย.. พอเริ่มเทศน์เท่านี้จิตจ่อ สติลงที่จิต จ่อปั๊บเทศน์นี่จะไหลเข้ามา นั่น..ฟังซิ เทศน์จะไหลเข้ามาเพราะสติอยู่กับใจ

มันก็เหมือนคนอยู่ในบ้าน แขกคนมาจากที่ไหน ๆ ก็รู้ว่าใครเป็นใครมา นอกจากไม่อยู่บ้านเสีย แขกมา ขโมยมา โจรมาก็ไม่รู้ เมื่ออยู่ในบ้านแล้วก็รู้

อันนี้สติอยู่กับใจ พอเทศน์นี้ธรรมะก็ไหลเข้าไปเลย.. ธรรมะสัมผัสใจ สัมผัสติดสัมผัสต่อ จิตจ่อฟังมันก็แน่วลง ไม่ได้บังคับยาก บอกอย่างนั้นเลยนะ โยมแม่พูด

‘เวลาฟังเทศน์นี้ไม่ได้บังคับเลย พอเริ่มเทศน์จิตเริ่มจ่อปั๊บแล้วก็หมุนเข้าลงแน่ว บอกว่าทุกกัณฑ์ไม่เคยพลาด แม่จึงอยากให้อาจารย์มาเทศน์ เป็นการช่วยการภาวนาของแม่ได้ดี ดีกว่าที่บำเพ็ญภาวนาโดยลำพังตนเอง มันเคยอยู่อย่างนี้แหละ.. พอฟังเทศน์นี้ลงปั๊บ ๆ แต่ถ้าเราภาวนาโดยลำพังเราเองจะให้ลงอย่างนี้.. นั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่ลง มันต่างกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น การเทศน์นี้จึงเป็นเครื่องกล่อมใจได้เป็นอย่างดี’

ที่โยมแม่พูดก็ถูกต้อง คือเสียงเทศน์เสียงธรรมกับความรู้นี่ มันรับกันเกี่ยวเนื่องกันโดยลำดับ ทีนี้ความรู้มันก็ไม่ส่ายแส่ไปรับที่ไหนได้ มันรับแต่เสียงธรรมอย่างเดียว ๆ ติดต่อสืบเนื่อง ๆ แล้วลง

โยมแม่พูดเองเลยและมีข้อแม้ข้อหนึ่ง ‘แต่ต้องเป็นเทศน์ของอาจารย์ เทศน์องค์อื่นแม่ไม่อยากฟัง ถ้าไม่ใช่เทศน์อาจารย์ จิตมันไม่ลงนะ.. จิตถ้าเป็นเทศน์อาจารย์แล้ว..จิตมันลงได้ง่าย’ ไปอย่างนั้นนะ ก็ตรงไปตรงมาเหมือนกัน

‘เวลานี้แม่หูสูงแล้วนะ’

ทางนี้ก็จ่อเข้าไป ‘ระวังนะ หูสูง.. เดี๋ยวมันจะเป็นหูหมานะ’

ทางนั้นก็แว้ดขึ้นมาทันทีว่า ‘มันจะเป็นหูหมาได้อย่างไร นี่มันหูคน’

‘อ้าว.. มันก็เป็นตรงที่สูง ๆ นั่นแหละ’ เลยเงียบเลย สู้ลูกไม่ได้

จากนั้นก็พูดถึงเรื่องการเทศนาว่าการ ‘แม่ก็เคยฟังมามากต่อมากแล้ว’ เพราะนิสัยโยมแม่เป็นคนชอบวัดแต่ไหนแต่ไรมา

‘ท่านเทศนาว่าการอยู่นั้น ก็ฟังไปธรรมดา ๆ ไม่ได้สะดุดใจ และไม่ค่อยเห็นผลในขณะที่ฟังเหมือนอาจารย์เทศน์ให้ฟัง เวลาอาจารย์เทศน์ไม่ได้ออกไปข้างนอกนะ ตามปริยัติท่านเทศน์เล่านิทานนี้ไป เราก็ฟังไปเลย.. จิตมันไม่เข้า แต่เวลาอาจารย์เทศน์ ไม่เทศน์อย่างนั้น.. เทศน์ตีเข้ามา ๆ’

เราก็ไม่เคยคิดว่าตีเข้ามายังไง แต่มันก็เป็นในหลักธรรมชาติของธรรม ที่ตีตะล่อมจิตที่มันดีดมันดิ้นเข้ามา ๆ จนเป็นความสงบ ๆ เทศน์ทีไรตีเข้ามาทั้งนั้น.. ไม่ได้ออกข้างนอกเหมือนปริยัติ ทีนี้ตีเข้ามาหลายครั้งหลายหน จิตมันก็ลงสงบได้ ๆ ต่อไปมันก็สงบแน่วเลย พอเริ่มเทศน์ปั๊บมันก็เริ่มลงเลย นี่ละ.. ที่ว่าแม่หูสูงแล้วนะ เทศน์องค์อื่นไม่อยากฟัง ถ้าไม่ใช่เทศน์อาจารย์

นี่ละ..ที่ว่าแม่ลง.. ลงก็คือแม่ของเราเอง ลงจริง ๆ ลงโดยหลักธรรมชาติทั้ง ๆ ที่เราเป็นลูก การบวชเรียนมาตั้งแต่เริ่มบวช การปฏิบัติกรรมฐานในสถานที่ใด ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติในป่าในเขา ได้รับความทุกข์ความทรมานขนาดไหนไม่เคยเล่าให้โยมแม่ฟังนะ เพราะไม่เคยมีโอกาสที่จะไปพูดคุยกันระหว่างแม่กับลูก ก็เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไปหมดเลย เพราะฉะนั้น เรื่องราวการบวชของเราโยมแม่จึงไม่ทราบ ดีไม่ดีคนอื่นทราบยิ่งกว่าโยมแม่ เพราะไปก็ไปธรรมดา

อย่างที่ว่าเข้าไปในครัว มีอะไรก็พูด จากนั้นไปเลย ที่จะไปพูดคุยกันระหว่างแม่กับลูกนี้ไม่เคยมี ออกปฏิบัติไปอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่เคยเล่า ไม่เคยพูด ศึกษาเล่าเรียนเป็นยังไง การปฏิบัติธรรมเป็นยังไง จิตใจเป็นยังไง ๆ ไม่เคยเล่านะ มีแต่ไปก็เทศน์อย่างนี้เลยจนกระทั่งตายจากกัน

โยมแม่ไม่ทราบเรื่องราวของเราเรื่องการออกปฏิบัติ ทราบตั้งแต่เวลาเราไปอยู่กับหลวงปู่มั่น แม่เล่าให้ฟัง

‘โห.. พอได้ทราบว่าอาจารย์ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น จากศึกษาเล่าเรียนแล้วก็ไปอยู่ ทราบข่าวมาว่าอาจารย์ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น แหม ! แม่ดีใจจนขนลุกเลย พอทราบว่าไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เพราะเป็นพระที่เลิศเลออยู่แล้ว แม่เคารพนับถือมานานแล้ว ดีใจเอามาก’

ส่วนเราที่บวชมาแล้วไปเล่าเรื่องราวของตัวเองที่บวชให้แม่ฟังไม่เคยมี ไม่ว่าทางด้านปริยัติ ทางด้านปฏิบัติ หนักเบามากน้อยไม่เคยเล่า ตลอดจนแม่จากไป ไม่เคยเป็นเหมือนทั่ว ๆ ไป เราไม่เคยเล่า และไม่เคยพูดในฐานะแม่กับลูกเลย เป็นธรรมดาไปเลย ... โยมแม่เรียกเราว่า “มหา” ครั้นต่อมาค่อยเลื่อนชั้นขึ้นจนกระทั่งวาระสุดท้ายเรียกว่า “อาจารย์” โยมแม่ลงเราจริง ๆ นะ ‘เราก็พอใจที่ได้บวชโยมแม่’...”

ลัก...ยิ้ม
02-06-2021, 15:13
สอนโยมแม่ แม้วาระสุดท้าย

องค์หลวงตาเมตตาเล่าเหตุการณ์ในวาระสุดท้ายของโยมแม่ ดังนี้
"บางทีเราพูดถึงธรรมะขั้นสูง ๆ เอาจนเต็มเหนี่ยวตามสายทางแห่งธรรม บางทีมันก็เกี่ยวข้องกับตัวเอง ถึงกาลเวลาที่จะดับจะเป็นจะไป หรือจะเป็นจะตายอะไร มันก็ว่าของมันไปตามเรื่อง ด้วยหลักความเป็นจริงของธรรม

โยมแม่ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้เลยเชียวว่า "โอ๊ย ! แม่ไม่อยากได้ยินเลยอย่างนั้น คือมันเหมือนเป็นรูปเป็นภาพว่าลูกตาย"

เราก็พูดสวนทันทีว่า "ไม่อยากได้ยินก็ต้องได้ยิน มันจะเป็นจะตายด้วยกันทุกคน อย่าไปหวั่นไหวภายนอกซิ เรื่องความเป็นความตายเป็นหินลับปัญญา ให้พินิจพิจารณา ให้มันคล่องแคล่วในเรื่องความตายแล้วจะไม่กลัวตาย ที่พูดนี้ไม่ได้พูดด้วยความกล้าความกลัวตายอะไรเลย พูดตามหลักความจริง แม่จะมาเสียใจทำไม" เราก็พูดอย่างนั้น

โยมแม่ลงจริง ๆ บางทีเราพูดถึงธรรมะขั้นสูง ๆ เอาจนเต็มเหนี่ยว

โยมแม่มีนิสัยใจนักบุญอยู่แล้ว ไม่เคยลดละเรื่องวัดเรื่องวา ไปฟังเทศน์ทุกวันพระเป็นประจำ เอาถึงไหนถึงกันมาตลอดตั้งแต่เรายังไม่บวช เวลาเราบวชแล้วยิ่งหนาแน่นเข้ามา ๆ จนกระทั่งได้ออกบวช มีความแน่นหนามั่นคงมากในใจตลอดมา

ตอนวาระสุดท้ายของโยมแม่ เราไปยืนอยู่หน้ากุฏิ กุฏิหลังเล็ก ๆ มีแต่ลูกหลานเฝ้าอยู่เต็มไปหมด โยมแม่ร่างกายอ่อนลง ๆ เราตั้งใจไปถามจริง ๆ บอกตรง ๆ เลยว่า "เป็นอย่างไรล่ะ โยมแม่ ดูอาการแม่นี้จะอยู่ได้ไม่นาน จิตใจแม่เป็นอย่างไร"

แม่พูดขึ้นทันทีเลยว่า "จิตใจแม่ดี จิตใจแม่สง่าผ่องใสตลอดเวลา ไม่วิตกวิจารณ์กับความเป็นความตายเลย"

หลังจากนั้นมาได้สองวันหรือสามวัน แต่ตื่นเช้าขึ้นมาบอกลูก ๆ ว่า "เออ ! แม่จะไม่พ้นวันนี้ แม่คงจะไปวันนี้แหละ"

ตอนเช้าวันนั้นพอเวลา ๘ โมง ๔๕ นาที โยมแม่ก็เสีย ไปอย่างสงบเงียบเลย

นี่แหละ จิตเมื่อได้รับการอบรม จิตจะมีหลักยึด คือธรรมเป็นหลักยึดแล้ว จะไม่ว้าวุ่นขุ่นมัวกับสิ่งของเงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ สิ่งใดก็ตามที่เคยพัวพันกันมาด้วยความดีอกดีใจว่าเจ้าของมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ เวลาธรรมเข้าสู่ใจ.. พลังของธรรมหรือคุณค่าของธรรมนี้จะครอบหมด สิ่งเหล่านั้นจะจางไป ๆ ๆ จิตเลยเข้ามาสู่ธรรม

เมื่อเข้ามาสู่ธรรมแล้วก็หนุนกันอยู่นี้.. เย็นสบาย อะไรจะขาดจะเหลืออะไรจะหมดไป สิ้นไปไม่สนใจ อันนี้ไม่หมด สง่างามอยู่ภายในใจนี้ละเรียกว่า ใจเป็นธรรม ใจมีธรรมเป็นที่เกาะ.. สบายอย่างนั้น

เราไม่วิตกวิจารณ์สำหรับโยมแม่เสียไป แล้วบอกโยมแม่ชัดเจนว่า "โยมแม่ ไม่ต้องวิตกวิจารณ์การเป็นการตาย ป่าช้าเผาศพโยมแม่อยู่หน้าศาลานะ ลูกเป็นเจ้าภาพทั้งหมด เป็นเจ้าของศพโยมแม่ ลูกจะจัดการทั้งหมดเลย"

พอโยมแม่เสียแล้วเอาไปเผาที่หน้าศาลา อัฐิของโยมแม่ ลูกเขาจะแบ่งไปไหนก็ไม่ทราบ หากว่าเหลือบ้างไปฝังที่ต้นโพธิ์บริเวณกลางวัดป่าบ้านตาดนั่นเอง...

จึงเป็นที่เชื่อได้ว่า โยมมารดาของท่านได้ประสบสุคโต นับว่าสมเจตนารมณ์ของท่านอย่างยิ่ง ที่ได้ทดแทนพระคุณโยมมารดาอย่างเต็มที่สมดั่งที่พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญไว้ว่า
"ผู้ใดทำมารดาบิดาให้ตั้งอยู่ในคุณความดี มีศรัทธา ศีล ปัญญา เป็นต้น ผู้นั้นชื่อว่าได้สนองคุณท่านเต็มที่"

โยมมารดาได้จากโลกนี้ไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อมีอายุย่างเข้า ๙๓ ปี ตรงกับวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ และด้วยเหตุนี้เองในทุก ๆ ปีของวันที่ ๓๐ พฤษภาคม (วันทำบุญโยมมารดา หรือวันทำบุญเปิดโลกธาตุ) องค์หลวงตาไม่เคยละเว้นและไม่ลืม.. ที่จะทำบุญระลึกถึงพระคุณโยมมารดา สิ่งนี้ย่อมแสดงถึงความซาบซึ้งในบุญในคุณของโยมมารดาแบบไม่สร่างซา

สำหรับโยมบิดาของท่านนั้น ในช่วงหลายปีก่อนจะเสียชีวิต ท่านได้พยายามเขียนจดหมายมาขอร้องโยมบิดาอยู่หลายครั้ง ให้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จนในที่สุดโยมบิดาก็ยอมเชื่อและไม่ฆ่าสัตว์ใด ๆ อีกเลย ท่านกล่าวย้อนอดีตพร้อมน้ำตาร่วงด้วยระลึกถึงพระคุณของโยมบิดา ที่น้ำตาของบิดาเป็นเหตุพลิกชีวิตของท่านให้เข้าสู่ทางธรรม จนบรรลุถึงแดนบรมสุขในพระพุทธศาสนา แต่กลับไม่มีโอกาสตอบแทนพระคุณท่านอย่างที่ตั้งใจไว้ว่า

"พ่อน้ำตาร่วงลงเลย เรามองเห็นสะดุดปึ๊งทันที มองไปทางแม่ แม่เห็นพ่อน้ำตาร่วง แม่ก็น้ำตาร่วง เราลุกปุ๊บหนีเลย.. สามวันไปคิดมัดตัวเองนะ ลงจุดน้ำตาร่วงอย่างเดียวหมดเลยเทียว..ไม่ไปไหน.. เราสลดสังเวช บุญคุณพ่อของเรายิ่งใหญ่ น้ำตาของพ่อทำให้เราเป็นมาขนาดนี้ ว่าอย่างนั้นเถอะ ไม่อย่างนั้นไม่มีหวังหละ ว่าอย่างนั้นเลย ... เราเสียดายที่พ่อเสีย ไม่ได้สอนพ่อเหมือนสอนแม่ สำหรับแม่นี้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย"

ลัก...ยิ้ม
03-06-2021, 11:02
วันเปิดโลกธาตุ

วันเปิดโลกธาตุเป็นงานบุญประจำปีที่สำคัญอีกงานหนึ่งของวัดป่าบ้านตาด และเป็นที่รู้จักกันในบรรดาลูกศิษย์ขององค์หลวงตา ตรงกับวันที่ ๓๐ พฤษภาคมของทุกปี องค์หลวงตากล่าวถึงความเป็นมาของวันเปิดโลกธาตุ ดังนี้


"โยมแม่ตายวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๕ .. จึงเรียกว่าวันครบรอบ จากนั้นก็ถือโอกาสนั้นเอาโยมแม่เป็นต้นเหตุอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาทั่วแดนโลกธาตุในวันที่ ๓๐ เพราะฉะนั้น เขาถึงบอกว่าวันเปิดโลกธาตุ คือเราเป็นคนพูดเองโดยถือโยมแม่เป็นเหตุ แล้วบำเพ็ญกุศลแผ่เมตตาจิต อุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกทั่วแดนโลกธาตุ ในวันที่ ๓๐ นี้"

ด้วยเหตุนี้ งานบุญเปิดโลกธาตุจึงเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทย จะได้มีโอกาสทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว รวมทั้งเป็นการสร้างบุญกุศลเพื่อตนเองอีกด้วย และที่สำคัญยังเป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุ ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ จะได้มีโอกาสมาร่วมอนุโมทนาบุญนี้โดยทั่วกัน สำหรับสัตว์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ไร้ญาติพี่น้อง หรือมีญาติพี่น้องแต่ไม่เคยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ และอยู่ในวิสัยที่รับได้ก็จะมีโอกาสได้รับส่วนกุศลผลบุญจากผู้ร่วมบุญทั้งปวง ซึ่งมีองค์หลวงตาพระอรหันต์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่เป็นผู้นำในการแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลผลบุญไปทั่วทุกภพภูมิโดยไม่มีประมาณ ดังนี้


"นั่นเห็นไหมล่ะ กองบุญ กองมหากุศลกองพะเนิน คนละเล็กละน้อย ๆ รวมกันมาแล้ว บำเพ็ญมหากุศลเพื่อสัตว์โลก.. อุทิศส่วนกุศลแผ่กระจายไปในบรรดาพวกเปรต พวกผีไม่มีญาติมีวงศ์จะได้รับทั่วหน้ากัน เพราะอันนี้แผ่กระจายไปเลย ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่าเป็นญาติเป็นวงศ์อะไร เป็นญาติด้วยกันหมดแล้วกระจาย จึงเรียกว่าทำบุญแผ่โลกธาตุ ... นี่ละ กองไทยทานที่พี่น้องทั้งหลายบริจาค รวมรวมกันบริจาคมานี่จะไปส่งไปทางวัดป่าบ้านตาด ไปหากองบุญใหม่ทางนู้น

วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ถือเอาวันโยมแม่เสียไป วันนั้นเป็นวันที่จะตั้งเมตตาจิต บริจาคอุทิศส่วนกุศลให้ถึงบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่มีความจำเป็นทั่วหน้ากันและทั่วโลกดินแดนด้วยนะ ผู้มีญาติมีวงศ์ก็ได้อาศัยญาติวงศ์ผ่านไป ๆ เป็นยุคเป็นคราวไป แต่ผู้ไม่มีก็เสวยกรรมไปเรื่อย ๆ ไม่มีญาติก็ไม่มีใครช่วย ญาติเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ ดังที่ท่านแสดงไว้ในติโรกุฑกัณฑสูตร

ติโรกุฑกัณฑสูตร นี่เวลาเขาไปทำบุญทำกุศล พวกเปรต พวกผีหวังพึ่งญาติ ต่างตัวต่างไหลมา ๆ พวกที่มีญาติมีมิตรใจเป็นศีลเป็นทาน ใจกว้างใจขวาง ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ พวกนี้เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งหลั่งไหลไปสวรรค์.. จำนวนไม่น้อย พวกที่ไม่มีญาติมีวงศ์ ทั้ง ๆ ที่มาหวังพึ่งญาติวงศ์เหมือนกัน แต่ญาติวงศ์ไม่สนใจ ไม่อุทิศส่วนกุศลให้ พวกนี้เดือดร้อนกลับไปสถานที่เสวยกรรมของตน.. ด้วยความเป็นเปรตเป็นผี ท่านแสดงไว้ในติโรกุฑกัณฑสูตร

พวกที่เขาได้รับอนุโมทนาอุทิศส่วนกุศลจากญาติแล้ว เขาอนุโมทนาเหมือนกัน อนุโมทนาในติโรกุฑกัณฑสูตร "ขอให้ญาติของเราที่มีจิตใจเมตตาสงสารได้อุทิศส่วนกุศลให้พวกเราทั้งหลายนี้ ขอให้มีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป" นี่เป็นพวกเปรตพวกผีที่เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติจนกระทั่งถึงสวรรค์ ก็อนุโมทนาให้บรรดาญาติทั้งหลายที่แผ่ส่วนกุศลให้

ส่วนพวกเปรตพวกผีที่ไม่ได้รับส่วนกุศลจากพี่น้องทั้งหลายนี้ก็ด่าแช่ง มันต่างกันนะ "เราก็มีญาติ ญาติของเรา.. ทำไมจึงเป็นคนใจดำน้ำขุ่น ญาติทั้งหลายเขามี เขาช่วยเหลือกัน เราก็มีญาติ.. ญาติของเรามันเป็นยังไง ไม่มีใครเหลียวแลเราเลย" ต่างคนต่างกลับไปเสวยทุกข์แล้วมีความเสียอกเสียใจ ด่าว่าพวกญาติของตนว่าใจดำน้ำขุ่น เราทั้งหลายก็ให้จำเอาไว้ สร้างบุญกุศลคราวนี้ ทุก ๆ ปีก็จะมี ไม่ว่ามีญาติ ไม่มีญาติที่ไหน.. ส่วนบุญกุศลที่อุทิศกระจายทั่วไปหมด เพราะฉะนั้นพวกเปรตทั้งหลายจึงมารับได้ทั่วหน้ากัน ไม่ว่าจะเป็นญาติของใคร ไม่มีญาติก็ตามมารับได้ทั้งนั้น เพราะอันนี้แผ่กุศลกระจายทั่วไปหมด.. เป็นสาธารณกุศล

นี่เราถึงได้ทำเพราะคิดเห็นอย่างที่ว่า พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้ยังไง.. ผิดที่ไหน เอาความจริงทั้งนั้นออกมา เรื่องความทุกข์ความสุขทั้งหลายที่อาศัยกันพึ่งกัน ญาติวงศ์ที่ใจดำน้ำขุ่น ก็ไปเสวยกรรมของตัวตามเดิม

ลัก...ยิ้ม
06-06-2021, 09:17
เราจึงได้พยายามทำ แล้วยกโยมแม่เป็นตัวต้นเหตุเท่านั้นเอง ความมุ่งหมายเพื่อจะบำเพ็ญมหากุศลแผ่แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ จะมีญาติไม่มีญาติก็ตามรับได้ทั้งนั้น มหากุศลของพวกเราที่บริจาครับได้ทั้งนั้น ไม่นิยมว่าใครมีญาติ ไม่มีญาติมารับ เป็นสาธารณกุศลรับได้ ..

ทำนี้ทำอย่างมีหลักมีเกณฑ์ มีเหตุมีผล ไม่ได้ทำอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านะ เราพาพี่น้องทั้งหลายทำอะไรก็ตาม เราไม่เคยมีแบบหลักลอย ๆ ว่าทำนะ เรามีหลักมีเกณฑ์ทุกอย่าง นำตรงไหนออกให้แน่ต่อความสัตย์ ความจริง ความถูกต้องดีงาม ไม่มีความกระทบกระเทือนด้วยความผิดของตน.. ไม่ให้มี

ส่วนใครจะพอใจ ไม่พอใจ อันนั้นเป็นหัวใจคน เราต้องเล็งถึงความถูกต้องเป็นศูนย์กลาง เมื่อดำเนินด้วยความถูกต้องแล้ว ใครจะเสียใจ ดีใจ มันก็เป็นเรื่องของเขาไป เรื่องนี้เป็นเรื่องถูกต้องดีงามแล้ว ไม่สูญหาย เป็นเครื่องยืนยันว่าถูกต้อง เป็นพื้นฐานแห่งธรรมทั้งหลายแล้ว เราพาทำ ทำอย่างนี้เอง วันที่ ๓๐ พฤษภาคมถึงจะทำมาทุกปี ๆ เราก็ไม่ค่อยสนใจนะ เราสนใจแต่สัตว์โลก ที่เป็นห่วงมากก็คือว่าหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ เสวยชาติเป็นเปรตผี

เปรตผีนี่มีถึง ๑๓ จำพวกนะ ในหนังสือท่านบอกไว้ จำพวกที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม จำพวกที่หนึ่ง เปรตที่มีบาปหนามากทีเดียว พอพ้นจากนรกมาก็มาเป็นเปรตประเภทที่หนึ่ง หลักจากนั้นประเภทที่สอง ที่สามถึง ๑๓ ประเภทของเปรต ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ เหล่านี้จะได้อาศัยบุญกรรมจากบรรดาญาติมิตรทั้งหลายอุทิศให้ และเราอุทิศส่วนกุศล สาธารณกุศล สาธารณกุศลได้โดยทั่วกัน...

ลัก...ยิ้ม
07-06-2021, 18:52
สรรพสัตว์ทั่วโลกธาตุ คือญาติร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย

องค์หลวงตาท่านแผ่เมตตาไม่มีประมาณให้แก่สรรพสัตว์ทั่วโลกธาตุเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว ท่านยังถือเอาวันที่ ๓๐ พฤษภาคม มาเป็นเหตุสอนพุทธศาสนิกชนให้รู้จักมีเมตตาต่อญาติมิตร เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลอย่างไม่มีประมาณอีกด้วย ดังนี้

"... ท่านทั้งหลายเวลาทำบุญกุศลนี้ ให้แผ่บุญกุศลทั่วแดนโลกธาตุ ไม่นิยมว่าญาติ ไม่ญาติ ญาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นแหละ หวังพึ่งซึ่งกันและกันด้วยกันไปเลย ต้องตัวใครตัวมัน แต่อยู่ในแดนมนุษย์นี้พอพึ่งกันได้ พวกเปรตพวกผีนี้พึ่งได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่จะได้อาศัยพี่น้องทั้งหลายบริจาคทานในคราวนี้ เพราะฉะนั้น หลวงตาจึงได้อุตส่าห์พยายามทำบุญกุศลโดยยกโยมแม่ขึ้นเป็นต้นเหตุ วันตายของโยมแม่วันนี้ วันที่ ๓๐ เอาอันนี้เป็นต้นเหตุ

ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่มีทั่วโลก.. มากยิ่งกว่าโยมแม่เป็นไหน ๆ นั่นละ เรายกเอาอันนี้ขึ้นมาด้วยเพียงอาศัยโยมแม่เป็นต้นเหตุเท่านั้น กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้ วันนี้ได้พาพี่น้องทั้งหลายบำเพ็ญมาประจำปี ๆ เพราะเห็นความจำเป็นของสัตว์ลึกลับ ๆ นี้แหละ ตามทางของศาสดาที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง จึงได้นำธรรมนั้นมาสั่งสอน และพาพี่น้องทั้งหลายดำเนินตาม เพื่อสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นที่หวังพึ่งผู้อื่นอยู่ เขาจะได้พึ่งตามกำลังความสามารถของเขาของเรา บุญเขาบุญเรา... รับกันมากน้อยเพียงไรรับกันไป เอากันไป..

วันนี้บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่มาทำบุญงานเปิดโลกธาตุ นี่คืองานช่วยโลก บรรดาผู้ล้มหายตายจากไป มีญาติก็มี ไม่มีญาติก็มี ส่วนบุญกุศลที่เราทำเพื่อสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับญาติไม่ญาติ ใครมารับส่วนบุญนี้ได้เช่นกันทั้งนั้น ๆ ให้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลถึงญาติถึงวงศ์ของตน สัตว์ทั้งหลายมีญาติด้วยกันทั้งนั้น ญาติเก่า ญาติใหม่ ให้พากันตั้งใจอุทิศส่วนกุศล

วันนี้วันอุทิศส่วนกุศลถวายสัตว์ทั่วแดนโลกธาตุ ให้ต่างคนต่างอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ท่านผู้ล้มหายตายจากไป ผู้มีบุญมีคุณตลอดสัตว์ทั่ว ๆ ไป วันนี้จะพาทำบุญให้สัตว์ทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุ ... สัพเพ สัตตา อันว่าสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น แล้วพวกเราทั้งหลายก็ขอแผ่ส่วนบุญกุศลให้ท่านผู้ไม่ได้มา ไม่ได้รับ เพื่อท่านเหล่านั้นจะได้รับบุญของท่านอุทิศให้เป็นความยิ้มแย้มแจ่มใส

บางรายเลื่อนชั้นขึ้นไปหลายต่อหลายมากต่อมาก บางรายถึงนิพพานเลย เพราะบุญเราสร้างแล้วสร้างเล่าก็มาเข้าหัวใจของเรา บุญเข้าหัวใจแล้วไปละ.. ไปสวรรค์ชั้นไหนก็ไปตั้งแต่มนุษย์นี้ขึ้นไปเรื่อย แล้วต่ำกว่ามนุษย์ก็มีอีกเยอะนะ เราอย่าประมาทว่าสัตว์ทั้งหลายมีน้อย คนเต็มศาลานี้ สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใต้ศาลานี้ยังมากกว่าเราอีก..."

ลัก...ยิ้ม
08-06-2021, 15:37
เกี่ยวกับภพภูมิของสรรพสัตว์ต่าง ๆ ในวัฏสงสารนั้น องค์หลวงตากล่าวไว้ ดังนี้
... แดนนรกมี ๒๕ หลุม สวรรค์ก็มีหลายชั้น ตั้งแต่จาตุมฯ ขึ้นไปดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น ... วิญญาณในสามแดนโลกธาตุนี้ จึงไม่ว่างความเกิดความตายของสัตว์โลกตามภพภูมิอันหยาบอันละเอียดเท่านั้น กามภพ รูปภพ อรูปภพ ฟังซิ..เว้นแต่อนาคามีถึงสุทธาวาส ๕ ชั้นนั่น เป็นยังไงสุทธาวาส ๕ ชั้น .. อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฎฐา ...

ในโลกนี้ภพภูมิของสัตว์นั้นน่ะ มีมาก เราอย่านับเพียงหมื่น ๆ แสน ๆ ภพภูมิเลย มีมากกว่านั้น มีจิตมีทางที่จะเป็นไปต่าง ๆ นานา เพราะสิ่งที่ไม่แน่นอนเหล่านี้แล และสิ่งที่ไม่ไว้ใจเหล่านี้แลซึ่งมีมาก พระพุทธเจ้าจึงสอนลงในจุดรวมว่า ผู้ใดเป็นผู้ที่จะไปสู่ในภพชาติใด ๆ ต้องขึ้นอยู่กับจิตนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..จงสร้างจิต ฝึกฝนอบรมจิตให้ดีเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าอบรมจิตนี้ด้วยดีคือโดยศีลโดยธรรมแล้ว จะมีสักกี่ร้อยล้านภพของสัตว์ก็ตาม จิตจะเกิดในภพภูมิที่ดีเท่านั้น เหมาะสมกับวาสนาบารมีของตน...

งานบุญเปิดโลกธาตุนี้ จึงเป็นสิ่งยืนยันถึงความเมตตาขององค์หลวงตา ที่ไม่เพียงมีต่อเพื่อนมนุษย์สัตว์ร่วมโลกที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ โดยการบริจาคทานวัตถุสิ่งของเป็นการสงเคราะห์เท่านั้น ความเมตตาของท่านยังแผ่กระจายอย่างกว้างขวางทั่วโลกธาตุ ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ลึกลับในภพภูมิละเอียด ให้มีโอกาสได้รับหรืออนุโมทนาร่วมบุญในวันนี้อีกด้วย

ลัก...ยิ้ม
09-06-2021, 10:19
โยมแม่โมโหแทนลูก

ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์มักนิมนต์ให้ท่านไปแสดงธรรมอยู่เนือง ๆ ถ้าเป็นงานสำคัญ ท่านเจ้าคุณจะมารับท่านไปเทศน์ด้วยตนเองเลย มีอยู่คราวหนึ่งได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์อีกเช่นเคย ครั้งนั้นท่านไปพักค้างคืนที่วัดโพธิสมภรณ์ พอเช้าออกบิณฑบาตก็พบกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ดังนี้
"... เราก็ไปพักวัดโพธิสมภรณ์ แล้วตอนเช้าก็ออกบิณฑบาต ห้าแยก.. เราก็เดินไปตามทางฟุตบาท แล้วก็มีโยมคนหนึ่งตัวเตี้ย ๆ หัวล้าน ๆ มันเดินสวนทางมาแล้วก็หยุดกึ๊ก มันก็มาจับสายสะพายบาตรของเราไว้ มันก็แหงนหน้าขึ้นดูเราแล้วพูดว่า "บักหัวโล้น มึงบิณฑบาตได้อีหยังบ่" (ไอ้หัวล้าน มึงบิณฑบาตได้อะไรบ้าง)

เราฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ แล้วก็ไป มันก็ยังหันหน้ามาอีก ซ้ำยังพูดว่า "เอ๊ะ ! บักหัวโล้นนี่ ด่าว่ามันยังซื่ออยู่" (เฉย ๆ อยู่)

เราก็เฉย ๆ อีก ตกลงมันก็ได้แต่ลมปากมันไป เราก็เฉยไม่ว่าอะไร เพราะเรื่องเหล่านี้เราเคยได้ยินมาแล้วในโลกสงสาร ถึงเขาไม่ว่าให้เรา เราว่าเราเองก็ยังได้นี่นา "หัวโล้น" ใช่ไหม อย่างมันหัวล้านถึงไม่ว่ามันล้าน มันก็ล้านอยู่แล้วใช่ไหม มันก็ล้านอยู่แล้ว (หัวเราะ) พอเล่าให้โยมแม่ฟังว่า "นี่เขาด่าว่าให้อย่างนี้"

"ว้าย ! แม่เลี้ยงมาจนป่านนี้ ตั้งแต่ลูกบวชมาแม่ยังไม่เคยได้ว่าลูกปานนี้เลย"

"โอ๊ย ! นี่มันแม่ เค้าไม่ใช่แม่นี่น่ะ" เราก็ว่า ก็แก้ใหม่เสีย

"โอ๊ย ! น่าโมโห"

แม่เพิ่นโมโห เพิ่นคันเขี้ยว เพิ่นอยากไล่กัดเขา เขาไปฮอตทวีปไหนบ่ฮู้จัก เพิ่นคันเขี้ยว เพิ่นอยากไล่กัดลมกัดแล้งเขา "โอ๊ย ! มันน่าโมโหแท้ ๆ โว้ย !" แม่บ่นว่าพึมพำ..."

ลัก...ยิ้ม
09-06-2021, 10:57
ตัวอย่างภพภูมิต่าง ๆ จากประสบการณ์พระกรรมฐาน


องค์หลวงตาท่านเมตตาเล่าเรื่องเกี่ยวกับภพภูมิต่าง ๆ จากประสบการณ์ตรงของพระกรรมฐานผู้ชำนาญไว้ในวาระต่าง ๆ มีจำนวนไม่น้อย ขอยกตัวอย่างมาแสดงบ้าง ดังนี้

ไสยศาสตร์ การขี่เสือ

"... วิชาขี่เสือนี้เป็นวิชาไสยศาสตร์อันหนึ่ง เขาร่ายมนต์เรียกเสือมา เสือก็มาจริง ๆ อย่างที่พวกเขาขี่เสือ มีนะ นี่ละ ไสยศาสตร์ขี่เสือได้นะ ขี่เสือป่านี่ขี่เสือได้

ที่บ้านหนองแวงนี่ก็มีคนหนึ่ง เราเกิดไม่ทัน.. ผู้เฒ่าตายเสียก่อน เขาเรียกพรานป้อ คนเตี้ย ๆ ขี่เสือมาเรื่อย ดงนี้แกขี่เสือทั้งนั้น เขาเห็นกันทั้งบ้าน ไปในป่า พอไปเหนื่อย ๆ แล้วขี่เสือออกมา เขามีวิชาจับเสือขี่ อันนี้ก็มีคนหนึ่งอยู่ทางบ้านมาย อ.บ้านมาย หรือ อ.บ้านม่วง มีเสือ..ดงใหญ่ คนนี้ก็ขี่เสือได้ ไปเรียนวิชามาจากฝั่งลาว ไปเรียนกับพวกโซ่พวกข่า เขาเรียนวิชาขี่เสือ

ว่าไปด้วยกัน ๕ คน ครูนำหน้าไป พอไปตั้งทัพลงตรงนี้ปั๊บ แล้วก็นั่งร่ายมนต์เรียกเสือมา เสือตัวไหนอยู่ใกล้มันก็มา มาก็มานอนอยู่ตามนี้ เสือ..เสือโคร่งนะ คนร่ายมนต์ ที่นี้เสือก็มา ลูกศิษย์นี้ต่างพากันกลัวจนตัวสั่นแหละ อาจารย์เป็นคนร่ายเสือมา

ทีนี้พอมันมาแล้วก็สั่งคนนั้นไปขี่เสือมานี่ คือมันมานอนอยู่ตามอย่างนี้ ให้ขี่เสือตัวนั้นเข้ามาหาครูนี่ ครูนั่งอยู่นี่ ทดลองในขั้นนี้ก่อนนะ ทดลองเป็นขั้น ๆ จนกระทั่งใจกล้าหาญเชื่อวิชาตัวแล้วทีนี้ก็ปล่อย อันนี้ก็สั่งคนนี้ให้ไปขี่เสือ ไม่ยอมไป กลัวเสือกินหัวมัน อาจารย์ไล่ไม่ยอมไป เสือก็นอนดารดาษอยู่ มันดงเสือนี่นะ ตัวไหนอยู่ใกล้ก็มาก่อน ตัวไหนอยู่ไกลก็มา บางทีจนคนจะเลิกแล้วค่อยมาถึงก็มี

ทีนี้พอถึงคนที่ห้านี้ตัดสินใจเลย ตายก็ตาย ถ้าครูไม่เก่งจริงจะเรียกเสือมาไม่ได้ เอากันตรงนั้นตัดสิน ถ้าครูไม่เก่งจริงแล้วเรียกเสือมาไม่ได้ ครูต้องเก่ง นี่ครูเป็นคนบอกเองให้เราไปขี่เสือมาหาครูนี้จะเป็นอะไรไป
"เอ้า ตายก็ยอมตาย"

ไป.. ก้าวขาจะไม่ออก มันแข็งไปหมดว่างั้น เอ้า ๆ ไป บังคับให้ไป ไปก็ไปขี่เสือมาหาครู พอขี่ตัวนี้มาแล้ว ไป ๆ ขี่เสือมาอีก ขี่ตัวนี้มานอนอยู่นี่ นอนอยู่หน้าคน นี่ละไสยศาสตร์เขาเก่งไหม ก็ขี่ตัวนั้นมาขี่ตัวนี้มา.. กล้าหาญล่ะ นี่เป็นครั้งหนึ่งแล้วนะทดลองพักแรก พักที่สอง ครูนั่งอยู่ที่นี่ ให้ลูกศิษย์ไปนั่งอยู่โน่น ห่าง ๆ จากครูไป ให้ลูกศิษย์เป็นคนร่ายมนต์เรียกเสือมา มาหาแล้วก็ขี่เสือมาหาครู เขาทำหลายพักนะ เขาทดลอง คือทีแรกเรียกมาหาครูเสียก่อน ให้ลูกศิษย์คนนี้ไปขี่เสือเข้ามาหาครู ไปขี่ตัวนั้นเข้ามา จากนั้นแล้วก็ให้ลูกศิษย์นี่ไปอยู่นอก ๆ โน้น ไกล ๆ แล้วก็ไปร่ายมนต์เรียกเสือมา แล้วขี่เสือมาหาครู ทีนี้พอชำนาญแล้วถามลูกศิษย์ว่า แน่ใจแล้ว ไม่กลัวแล้วก็ปล่อยละ

อีตาคนนี้แกขี่เสือ คนบ้านมาย นี่เขาเห็นกันหมดทั้งบ้าน..ปฏิเสธได้ยังไง ทีนี้จึงรู้ว่าเสือสติมันดี รู้กันตามนี้ว่างั้น แกขี่เสือไปนี้ ไปตามด่านในดง คนมาทางโน้นเสือมันดิ้นแล้วทางนี้ คนมาไม่ใช่คนธรรมดา คนธรรมดาก็เป็นอย่างหนึ่งพูดกันจอแจมา แต่นายพรานมานั่นซิ นายพรานเขาไม่ได้จอแจนี่ เขามาจ้อเลยหายิงเนื้อล่าเนื้อ นายพรานก็รู้ พอนายพรานมาข้างหน้าโน้น ทางนี้ดิ้นแล้ว จะออกจากทาง พอเห็นท่าไม่ดีก็ปล่อย ปล่อยก็วิ่งเลยเข้าป่าปั๊บ สักเดี๋ยวนายพรานก็มา

คือสติมันดีอย่างนั้นนะ..ว่างั้น รู้ได้เร็วมาก ไอ้ที่จะไปเจอกันจริง ๆ ไม่ได้เจอง่าย ๆ แหละ มันดุกดิก ๆ แล้ว พอจวนเท่าไรมันจะดิ้นไป พอปล่อยปั๊บนี้วิ่งเลยเข้าป่า สักเดี๋ยวนายพรานก็มา บางทีเวลานอนกลางคืนเหมือนกับว่าเอาเสือเป็นหมา เจ้าของนอนอยู่กลางคืนพอตื่นขึ้นมานี้เสือมานอนอยู่ด้วยแล้ว มานอนอยู่กับคน มันไม่กลัวคนเพราะเป็นครูเขานี่ ครูเสือ นี่ละเรียกไสยศาสตร์..

คนนี้ก็ขี่เสือเก่ง คนนี้ก็เหมือนกัน ขี่เสืออยู่บ้านแวง บ้านธรรมลี (หลวงปู่ลี กุสลธโร) อยู่นี่แหละ ผาแดง เขาเรียกพรานป้อ คนเตี้ย ๆ ขี่เสือมาเรื่อย คนเจอเรื่อย ครูเขามีนะ ถ้าผู้ขี่เสือไปไม่ให้เจอคน ถ้าเจอคน เสือมันจะตะปบเจ้าของ "โฮก" ทีเดียว ตะปบเจ้าของแล้ววิ่งหนีเลย..เจ็บ เสือมันตะปบเจ็บ เลยต้องไปลับ ๆ เงียบ ๆ

พอจะมีคนต้องปล่อยเสือไป เสือมันบอกก่อนแหละ เสือสติมันดี มันบอกก่อนเลย ที่จะไปเจอคนธรรมดานี้ไม่เคยมีแม้นายพรานก็ตาม เขาไปอย่างด้อม ๆ มอง ๆ นายพรานเขาไปนี้.. เขาไปด้อม ๆ มอง ๆ หายิงสัตว์ แม้อย่างนั้นเสือมันก็รู้จนได้ หากมันทำท่าดิ้นไปดิ้นมา แสดงว่านี่มีคนมาแล้วข้างหน้า พอปล่อยนี้มันจะวิ่งเข้าป่าปั๊บ สักเดี๋ยวก็เจอคนมา นี่เขาเรียกไสยศาสตร์

เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วโลกดินแดน ใครเสาะแสวงหายังไงก็เจออย่างนั้น เพราะของมีอยู่ด้วยกัน พวกผีพวกอะไร ๆ จิตวิญญาณอะไรมันเข้าสิง

วิชานี่มีวิญญาณอยู่ในนั้นในหลักวิชา อย่างพวกที่เขาทำคนก็เหมือนกันนั่นแหละ พวกนี้ทางเขมรมีมากนะ เขมรมีมาก..วิชาอย่างนี้ พวกโซ่พวกข่ามีมาก อยู่ฝั่งลาวไปทางโน้น

แต่ก่อนเขาใช้วิชาอันนี้ทำคนให้ตายก็ได้ ทำคนให้รักกันเขาเรียกทำเสน่ห์ อะไรอย่างนั้นก็ได้ ทำคนให้ตายเลยก็ได้ ทำได้ทุกแบบวิชาพวกนี้ นี่เขาเรียกไสยศาสตร์ ถ้ามีผู้เรียนผู้รักษาอยู่ สิ่งเหล่านี้ก็มีก็ปรากฏอยู่ ถ้าไม่มีผู้เรียนผู้รักษา มีก็เหมือนไม่มี เพราะใครก็ไม่ได้สัมผัสมัน ถ้ามีวิชา วิชานั่นแหละไปเกี่ยวโยงกันกับสิ่งเหล่านี้มาอยู่กับเจ้าของ..."

ลัก...ยิ้ม
10-06-2021, 17:59
พระป่าผจญผีสาว

"...เขาถือเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าภาคไหนในเมืองไทยเรานี้ เมื่อคนตายแล้วต้องเกี่ยวข้องกับพระ พูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ระลึกถึงพระองค์ที่ว่ากล้าหาญเต็มที่ ขี้ขลาดเต็มตัวจนจะตาย ท่านไปภาวนาอยู่ในถ้ำ อดอาหาร เที่ยวไปนั่งอยู่ตามทางเสือ ทางอะไรนั่นแหละ น่าเสียดายนะ พระองค์นี้ถ้าหากว่าจิตใจได้เหนี่ยวรั้งครูอาจารย์ไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์จริง ๆ ก็จะไม่เสีย นี้สึกไปแล้ว ทราบว่าสึกแต่ผมไม่เห็น ได้ทราบว่าสึก

แต่ก่อนแกเคยเป็นนักเลง จิตใจ อู๋ย..เด็ดมาก สมเป็นนักเลง ว่าไป..ไป ว่าอยู่..อยู่ จริงจังมากทีเดียว ตอนแกปฏิบัติตัวเอง แกก็จริงจัง กลัวผีนี้เป็นเบอร์หนึ่ง เวลาจะแก้ แก้จนกระทั่งกล้าหาญเบอร์หนึ่งเหมือนกันในตัวเอง ไม่มีสะทกสะท้านเลยเรื่องผี ไปที่ไหนอยู่ได้หมดเพราะการแก้ได้ ไม่ใช่มันหายไปเฉย ๆ หายด้วยอุบายวิธีแก้ด้วยธรรม มีความรู้แปลก ๆ เหมือนกันพระองค์นี้ เวลานั่งภาวนา กลางคืน เขาตายในบ้าน ท่านก็รู้แล้ว
"เอ้อ..วันพรุ่งนี้จะมายุ่งเราอีกแล้ว นี่คนตายแล้วในบ้าน"

นั่น..ท่านรู้นะ แล้วก็มีจริง ๆ แถวนั้นก็ไม่มีพระ สถานที่อยู่ ถ้ำกับป่าช้าห่างกันเท่าไร กี่กิโล ตั้งห้าหกกิโล ลงไป..ข้าวก็ไม่ได้กิน แทบล้มแทบตาย เมื่อยล้าก็ต้องได้ไป นี่แหละเรียกว่ามันแยกกันไม่ออกอย่างนี้ คนตายรายใดเป็นรู้ แปลกอยู่นะ..พระองค์นี้ ท่านบอกนะ มันรู้และแน่นอนด้วย ถ้าสมมติเป็นแบบโลก ๆ ก็ว่าพนันกันได้เลย บ้านนี้เขาตายแล้วคืนนี้เขาจะมานิมนต์เราแล้ว บางทีก็มีเทพ พวกเทพมานะ ท่านก็พูดถึงเรื่องเทพดีเหมือนกัน เทวดาที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ ไม่ใช่เป็นรุกขเทวดา รักษาดิน..ว่างั้น อันนี้แกไม่มีเรียนมานะ มันเป็นขึ้นตามนิสัย

อย่างนี้แหละ จิตเมื่อมีความสงบเข้าไปแล้ว ไอ้เรื่องนิมิตต่าง ๆ ที่จะมาปรากฏตามจริตนิสัย หรือไม่ปรากฏนั้นก็เป็นตามจริตนิสัยด้วยกัน ไม่ต้องเรียน อันนี้เป็นขึ้นมาเอง เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วนั้นแหละ ต้องเรียนวิธีการปฏิบัติต่อสิ่งนั้นให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นผิดได้ เพราะอันนี้ไม่ใช่ของดีโดยถ่ายเดียว ถ้าหากเราได้รู้วิธีปฏิบัติกันโดยถูกต้องแล้ว ก็เป็นเครื่องมือได้ดี อันนี้พวกนักปฏิบัติรู้แปลก ๆ ต่าง ๆ

สมัยที่ปฏิบัติอยู่ด้วยกันนี้ ก็เคยเล่าสู่กันฟังสนุกสนานดีเหมือนกัน ที่เราเขียนในหนังสือปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่นหรืออะไรนั้น มีแต่ความจริงทั้งนั้นนะ เช่น บางองค์อย่างนี้ เขียนเรื่องราวขององค์ไหนออก หากแต่เราไม่ระบุเท่านั้นแหละ เอาเรื่องของท่านองค์นั้น ๆ ออกมาเลย เป็นความจริง เป็นบางรายก็ไปอยู่ ความรู้..รู้เหมือนกัน นี่ก็ค้านกันไม่ได้ เอ้า..องค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้น เอ้า..องค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้นได้ ๓ คืนเผ่นมาแล้ว มาหากัน

"โอ๊ย..อยู่ไม่ได้ ไม่ทราบเป็นยังไง มันผีหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ ผีกามมาลาก มันเอาศีรษะห้อยลงเพดานถ้ำนี่ มันหย่อนลงมานี้ ต้องขออภัยนะ มันเอานมมาใส่ตัวเรา เอาหัวหย่อนมานี้..แผ่กุศลธรรมอะไรมันก็ไม่ยอมรับ..ว่างั้น เจริญเมตตามันไม่รับ มันจะรับแต่กามกิเลส อยู่นี่ ๓ คืนไม่ได้หลับได้นอนเลย มันมาแสดงอยู่อย่างนั้นก็เลยลงไป ไปหาเพื่อนอีกก็เล่าเรื่องให้ฟัง"

"เอ้า..ถ้างั้นอยู่ถ้ำนี้ผมไปเองนะ"
พระองค์นั้นก็รู้เหมือนกัน มีความรู้ทางนี้เหมือนกัน ไปอยู่นั่นก็เหมือนกันได้ ๒ คืน เผ่นมาเลย
"โอ๊ย..จริง ๆ เอ๊..มันเทวดาอะไร ? พวกนี้มันผีอะไร ? ทำไมมันกรรมหนักกรรมหนาเอานักหนานะ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มีแต่จะเอาท่าเดียว เรื่องกิเลสกับเรื่องกาม กามราคะ ทำอะไรก็ไม่ยอมรับ เรียกว่าพวกนี้พวกหนาแบบบอกบุญไม่รับ"

ไม่ค้านกันนะ รู้จริง ๆ ทำแบบเดียวกันแหละ..ว่างั้น ทีแรกองค์นี้เล่าให้ฟังก่อน

"เอ้า..ผมลองดูหน่อย มันเป็นยังไงว่ะ"
เป็นที่รู้กัน พอไปเข้าก็ โอ๊ย..ยอมรับ อย่างนั้นละ ถ้ามันเห็นเหมือนกันรู้เหมือนกัน ค้านกันได้ยังไง เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสัญญาอารมณ์ ปุ๊บปั๊บ..ท่านเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว เคยเป็นมาแล้วนี่เข้าใจแล้ว..เข้าใจวิธีปฏิบัติ

สัญญาอารมณ์ไปหลอกเจ้าของก็มี เช่น บอกไปอย่างนั้น แล้วไปเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมาก็มี แต่นี่เป็นผู้มีพื้นเพทางนี้อยู่แล้วด้วยกัน เข้าใจด้วยกัน เคยพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องภูตผีปิศาจอะไรต่ออะไรให้กันฟังจนเคยชิน หรือเป็นที่แน่ใจต่อกันและกันแล้ว เหมือนอย่างว่า "มีอะไรอยู่นั้นนะ ผมถึงได้หนีมาที่นี่"

"เอาเถอะ ท่านไปดูซิ"

"โอ้..ใช่" แน่ะ..ตาเรามีเราก็มองเห็น "อ๋อ..ใช่" แน่ะ..เป็นอย่างนั้นจะว่าไง หูเรามีก็ได้ยิน ภายในมันก็เหมือนกัน..."

ลัก...ยิ้ม
12-07-2021, 08:23
ผีกองกอย

".. แปลก ๆ อันหนึ่งก็คือ ท่านอาจารย์ฝั้น ท่านไปพักอยู่ที่ทางภาคอีสาน เขาเรียกว่าผีกองกอย มันร้องกลางคืน เขาว่าถ้าผีชนิดนี้มาเยี่ยมบ่อย ๆ คนมักตายบ่อย ๆ มันกินคนอย่างลึกลับ เขาเรียกผีกองกอย ท่านก็ไปพักอยู่ที่นั่น คนที่มาพักเขาก็บอกว่า ที่แถวนี้มีผีกองกอย เขาเล่าให้ท่านฟัง

ตอนนั้นดูว่าท่านมีพระไปด้วย.. เป็นสององค์กับท่าน แล้วก็มีตาปะขาวคนหนึ่งรวมเป็นสามไปพักอยู่นั้น พอสามทุ่มล่วงไปแล้ว คืออยู่ในป่ามันเหมือนดึกนะ เขาบอกว่า "แถวนี้มีผีกองกอย ถ้าผีกองกอยเที่ยวไปแถวไหนแล้วคนมักจะเป็นไข้..ป่วย..แล้วตาย ผีพวกนี้มันกินตับคน"

เขาเล่ากันไปอย่างนั้นแหละ ท่านก็ฟังไป จึงได้เห็นผีนี้ชัดเจน นั่น..เห็นไหมล่ะ

พอมันร้อง ตาปะขาวอยู่ที่นั่น ตรงนั้นละ สามทุ่มกว่า ๆ ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ เสียง "กองกอย ๆ" มา ได้ยินชัดเจน เงียบ ๆ กลางคืน ที่เขาว่าเสียง "กองกอย ๆ" มันเสียงอย่างนั้นจริง ๆ เขาเรียกผีกองกอย พอมาถึงตาปะขาว ท่านก็วิตกถึงตาปะขาว กลัวมันจะมาทำอะไรตาปะขาว เพราะมันเป็นสัตว์ลึกลับ มองด้วยตาไม่เห็น

พอมันมาได้จังหวะแล้ว ท่านก็กำหนดจิตดู ท่านพูดเองนะ โอ๋ย.. มันตัวเหมือนลิงท่านว่า "มันเหมือนลิง" พอจิตท่านส่งไป โอ๋ย.. มันกลัวมากที่สุดเลย พอตามันรับกับใจของท่าน เหมือนว่าตามันรับกับตาเราว่างั้นเถอะ แต่ตาเราเป็นตาใจ พอมองเห็นปั๊บวิ่งปรู๊ดเลย กลัวมากที่สุด กลัวอย่างมากทีเดียว เราเห็นมัน..จ้องดูอยู่นี่ พอมันแพล็บเข้ามามองเห็นเรานี้.. ปรู๊ดวิ่งเลย ตั้งแต่วันนั้นเงียบเลย

"โอ๋.. ได้เห็นแล้ว มันเหมือนลิง สัตว์ตัวนี้เหมือนลิง คือมันไม่ได้เป็นรูปวัตถุนะ รูปเป็นนามธรรมแต่เหมือนลิง"

ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเล่าให้ฟัง ท่านรู้สึกพิสดารเกี่ยวกับพวกเปรต พวกผี พวกเทวบุตรเทวดา ท่านอาจารย์ฝั้นเด่นอยู่องค์หนึ่ง นั่นละ..เด่นไปคนละทาง ๆ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นนักภาวนาด้วยกัน มีนิสัยวาสนาเด่นทางไหน ก็เป็นไปในทางนั้น ๆ จะเป็นขึ้นมาเองรู้เอง

ครูบาอาจารย์ที่เป็นนักภาวนา ท่านรู้ของท่านธรรมดา ๆ แต่เรื่องของโลกมันกีดมันขวาง ท่านจึงไม่นำออกมาใช้ ไม่พูด พูดก็มีแต่การแนะนำสั่งสอนไปธรรมดาที่อยู่ในฐานะซึ่งควรจะสอนได้ แต่เรื่องภายในแล้วท่านไม่พูด.. เฉย นอกจากพวกเดียวกัน ถ้าพวกเดียวกันท่านพูดเสมอ ไปอยู่ที่นั่นมีอย่างนั้น ๆ เช่นอย่างในถ้ำ มีผี มีเทวดารักษา ท่านรู้ แต่ท่านพูดในวงของท่านเอง.. พวกนักภาวนากรรมฐานด้วยกัน คือใจนี้เป็นนักรู้ เมื่อเปิดออก ๆ นิสัยวาสนาของใครจะเด่นในทางไหน ๆ มันจะรู้ของมัน เห็นของมันไปตามนั้น จะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนา ไปคนละทิศละทาง..."

เถรี
09-06-2023, 01:14
พญานาคเคารพ...หลวงพ่อผาง

"..(หลวงพ่อผาง จิตฺตคุตฺโต) ท่านไปพักภาวนาอยู่ทางน้ำหนาวนี่ละ..ที่สำคัญนะ มีหลวงพ่อองค์หนึ่งอยู่ทางด้านโน้น เดินจงกรมอยู่กลางวันนะ ไม่ใช่กลางคืน หลวงพ่อผางเดินจงกรมอยู่ทางนี้ องค์นั้นเดินอยู่ทางนั้น งูใหญ่..ใหญ่เท่ากับต้นมะพร้าว มายกคอขึ้นอ้าปากใส่ หลวงตาองค์นี้ส่งเสียงร้องโว้ย ๆ ขึ้น..!

ตอนนั้นท่านก็เดินจงกรมอยู่ "เป็นอะไรวะ ?"
"งูใหญ่ไม่ทราบมาจากไหน กำลังจะงับผม อ้าปากใส่ผมอยู่นี่..!"

ท่านก็มาแล้วก็เห็นจริง ๆ กลางวันนะ..หายก็หายในขณะนั้นเลยต่อหน้าต่อตา เป็นยังไง..? พญานาคมีหรือไม่มี ฟังซิ..ผู้เห็นท่านเห็นอยู่อย่างนั้น ผู้หลับตามันก็หลับอยู่อย่างนั้น พอมาก็เห็น โอ๊ย..มันยกคอขึ้น ตัวเท่าต้นมะพร้าว ตัวยาว หลวงตานี้ก็เดินจงกรมตัวแข็ง มันอ้าปาก มันไม่เข้ามาใกล้แหละ ห่างประมาณสักวาเศษ ๆ มันอ้าปากอยู่อย่างนี้ ตัวใหญ่มาก

ทีนี้หลวงพ่อผางมา "ไหน..มันอยู่ไหน ?"

พอว่าท่านเดินเข้ามาเลยนะ หลวงพ่อผางไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน มันก็อ้าปาก ทางนี้ก็เดินเข้าไป "เอ้า..มึงจะกินกูหรือ เอาเลย..มึงชอบตรงไหนเอาเลย..!"

เดินบุกเข้าไปหาเลยเชียว มันกำลังอ้าปากอยู่ พรึบเดียวหายเงียบเลย ไม่ทราบหายไปไหน ตัวใหญ่ ๆ หายเดี๋ยวนั้นเลย ไปเงียบ บอกว่า "พญานาคมันมาแกล้งเฉย ๆ ภาวนาเมตตามันไม่ดี ภาวนามันไม่ค่อยแผ่เมตตา"

เห็นไหมล่ะ..? ตัวใหญ่จริง ๆ นี่หลวงพ่อผาง..ท่านบุกเข้าไปเลยนะ ที่มันอยู่นั้น ท่านเดินเข้าไปหาเลย ท่านไม่มีสะทกสะท้าน "เอาเลย..กินเลย" เดินไปหาตรงนั้น หายวูบไปเลย เงียบเลย..ไม่มี..หายหมดทั้งตัว มันหายไปไหนไม่รู้ เวลาออกมาพูดว่า

"มาแกล้งหลวงพ่อ หลวงพ่อใจดำ ไม่มีเมตตาจิต มันเลยมาแกล้งเอา"

อันนี้ก็เข้ากันได้ ก็เรียนหนังสือเหมือนกันไม่ใช่หรือ ที่พวกพาไปภาวนาไม่แผ่เมตตา พวกเทวดาทั้งหลายเกิดความเดือดร้อน มาแสดงอาการทั้งหลายให้เห็น เป็นกะโหลกหัวผีบ้างอะไรบ้าง และทำพระให้ทั้งจามทั้งไอ เป็นไข้เป็นหนาว วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า กราบทูลพระองค์ว่า เวลาไปที่นั่นไม่สบาย "ไม่สบายสิ พวกเธอใจดำ พวกเทพทั้งหลายเขาอยู่ที่นั่น เขาได้รับความลำบากลำบน เขาก็แกล้งเอาบ้าง ไม่มีเมตตาจิตไป ไปเจริญเมตตาจิต ไปอยู่ที่นั่น"

ไล่กลับมาที่เก่า ไปคราวนี้เจริญเมตตาจิตชุ่มเย็นหมดเลย อำนาจเมตตาธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นธรรมะชนะโลก สุดยอดอยู่กับเมตตาธรรม ให้พากันจำไว้นะ

เถรี
13-06-2023, 16:07
พระกลัวพญานาค

องค์หลวงตากล่าวว่า ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ท่านมีนิสัยกล้าหาญ ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ แต่คราวนี้ท่านไปพบเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งเข้าที่ภูทอก บ้านตากแดด อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งขณะนั้นมีหลวงตาองค์หนึ่งเป็นพระปฏิบัติฝ่ายมหานิกาย ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองบอกท้าพวกที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริงให้ไปลองพิสูจน์ดูบ้างที่นี่ เหตุการณ์ในครั้งนั้นองค์หลวงตาเล่าไว้ ดังนี้

"..แล้วท่านสิงห์ทอง ยังอยากจะให้พวกนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ ว่าไม่มีผีไม่มีอะไรให้ไปอยู่ภูเขาลูกนั้น ภูเขาลูกนั้นเราก็เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ มันเป็นตีนเขา ข้างบนมีถ้ำอยู่ ๒ ถ้ำ มีหลวงตาองค์หนึ่งอยู่ทางนั้นถ้ำหนึ่ง แล้วเป็นซอกเขาลงมาน้ำไหลลงมาตรงนี้ แล้วมีอีกถ้ำหนึ่ง ครั้นเวลามีพระมาใหม่ มาเยี่ยมมาพักอยู่ถ้ำนี้ ผีนั้นก็ลงมาจากโน้นนะ จากภูเขาบนหลังเขานั้นมีแอ่งน้ำอยู่ ไหลอยู่ทั้งแล้งทั้งฝนหากไม่มากนะ หากไหลอยู่.."

ทั้งแล้งทั้งฝนเขาเขียนประกาศติดไว้ว่า ไม่ให้ผู้หญิงลงอาบน้ำนั้น ถ้าผู้หญิงลงอาบ น้ำนั้นจะเหม็นคลุ้งไปหมดเลย เขาห้ามเขาเขียนประกาศติดเอาไว้ ถ้าต้องการก็ให้ตักเอามาดื่มมากินมาอาบ ห้ามไม่ให้ลงไปอาบ นั่นละ..เป็นความจริงถึงขนาดนั้นนะ น้ำเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าผู้หญิงลงไปอาบน้ำนี้เหม็นคลุ้งไปหมดเลย

มีพญานาคอยู่ที่นั่น.. หลวงตาองค์นั้นท่านอยู่ที่นั้นเป็นประจำ ท่านชินกับสัตว์ตัวนี้พอแล้ว มันลงมาจากภูเขาเหมือนกับเราลากต้นตาลทั้งต้น ลากลงมาเสียงซ่า ๆ มันค่อยลงมานะ ซ่า ๆ ลงมาซอกเขานี้ หลวงตาองค์นั้นอยู่ทางด้านนั้น ท่านอยู่ถ้ำนั้นเป็นประจำ แล้วถ้ำนี้คนมาพักบ่อย ๆ พระน่ะ

ถ้าใครมาพัก พระมาใหม่ไม่ว่าพระองค์ไหน มาจากไหนก็ตามเถอะ ตัวนี้เขาจะลงมาถามข่าว ทีนี้หลวงตาก็เลยสั่งบอกไว้ กลัวว่าพระจะกลัว คือกลัวว่าท่านสิงห์ทองจะกลัว ท่านสิงห์ทองเป็นพระขี้ดื้อ นิสัยกล้าหาญ จึงไม่ได้หมอบราบกับผีนั้น พูดท้าทายเลยทีเดียวนะ ใครเก่งบอกว่าผีไม่มีแล้ว ให้มาตรงนี้ ถ้าไม่อยากเผ่นกลางคืน ทีนี้พอมาถึง ผู้เฒ่าก็บอก

"คุณหลานเอ๊ย พี่น้องจะลงมาเยี่ยมนะ ตอนค่ำวันนี้ เพราะคุณหลานมาใหม่ เป็นพระอาคันตุกะ เป็นแขกมาเยี่ยม แล้วไอ้ตัวอยู่บนเขามันจะลงมาถามข่าวคราว ไม่ต้องกลัวนะ เขาจะลงมาธรรมดา ๆ

แต่เวลาเขาลงมาก็เหมือนลากต้นตาลมาทั้งต้น ลากลงมาซ่า ๆ เวลาเขาขึ้นก็ซ่า ๆ ลงไปตีนเขาแล้วหายเงียบนะ พอไปแค่นั้นเงียบ เวลาขึ้นมาก็ซ่า ๆ เวลาขึ้นมาไม่ทำก็มี แล้วแต่เขาจะทำ เขาจะทำแบบไหน เขาทำได้"

เถรี
13-06-2023, 16:17
พอดีท่านสิงห์ทองมาเหนื่อย ๆ เดินทางมาไม่มีรถยนต์ พอมาถึงที่นั่นก็เข้าพัก ผู้เฒ่าก็สั่งเสียไว้เรียบร้อย ทางนี้เข้าใจแล้วก็นอน ประมาณ ๓ ทุ่ม

คนจะตาย..เดินทางมาทั้งวันเหนื่อยมาก เลยนอนเสียก่อน ถึงจะค่อยลุกขึ้นเดินจงกรม พอนอนหลับไปเสียงฮ่อ ๆ อยู่หัวเตียง งูเหมือนงูใหญ่ขนาดต้นเสานี่แหละ เสียงมันฮ่อ ๆ อยู่บนหัวเรานี่ ทางด้านสิงห์ทองก็เรียก

"หลวงพ่อ ๆ "
"แม่นหยัง"
"มันเสียงงูใหญ่มาอยู่นี่แล้ว"

"มันบ่แม่น เสียงที่บอกนั่นล่ะ..อย่าไปกลัว"
"บ่กลัวยังไง มันจะงับผมอยู่เดี๋ยวนี้ มันจะกลืนผม"

"ไม่กลืน ไม่ต้องกลัว มันเคยอย่างนั้นละ จะเป็นไรไป เชื่อหลวงพ่อเถอะ เพราะหลวงพ่อเคยอยู่อย่างนั้นมานานแล้วนี่นะ"
"จะเชื่อได้อย่างไรมันจะกินคนนี่"

เลยเรียกให้พระมาด้วยองค์หนึ่ง นอนอยู่ทางโน้น ถ้ำมันยาว เรียกพระองค์นั้นให้จุดไฟใส่โคมมา แขวนมา แล้วเอาไม้ยาว ๆ มา หิ้วมานี่ เดี๋ยวจะเหยียบงู เอาไม้ยาว ๆ แล้วเอาโคมไฟห้อยมา ถือมายาว ๆ ควานไปเรื่อย ฉายไปเรื่อย พอควานมาถึงเตียง มันก็หาย เสียเงียบเลย ไม่ได้ยินอะไร หายเงียบ คนจึงกลับไป พอกลับไปสักเดี๋ยว มีเสียงขึ้นอีกแล้ว

"มาอีกแล้ว"

คนนั้นเลยจุดไฟมาหางูทั้งคืน จุดไฟมาแบบนั้นละ กลัวจะโดนงูเข้า เพราะเสียงใหญ่เสียงโตมากนี่นะ พอมาก็ไม่เห็นมีอะไร อยู่ได้คืนเดียวเท่านั้นละ

เถรี
13-06-2023, 17:06
ท่านสิงห์ทอง "ทำไมล่ะ ?"
"กลัวละสิ"
"ยอมรับว่ากลัว กลัวจริง ๆ โห..เหมือนมันจะกลืนเราทั้งคนนี่นะ ตัวมันขนาดเท่าลำตาล"

งูตัวนี้ "พญานาค"

พอตื่นขึ้นมาไปลาหลวงตา "ว่าอย่างไรละลูก"
"โอ๊ย..กลัวงูอยู่ไม่ได้แล้ว"
"ไปกลัวทำไม หลวงพ่ออยู่นี่มานานแสนนาน รู้เรื่องของมันหมด ไม่มีอะไรแหละ อย่าไปกลัวเลย"

"โอ๊ย กลัว ๆ "

ใครเก่งบอกว่าผีไม่มี ให้มา เอาจริง ๆ พญานาคเสียงมันเป็นอย่างนั้นเวลามันแสดง เลยมาเล่าให้อาจารย์หมออวย (ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์) ฟัง โอ๊ย..ตั้งใจฟัง สนใจฟัง อยากจะไปด้วยนะ อยากจะไปดูสภาพเป็นอย่างไร อยากไปดูเป็นกำลัง แต่ไม่มีเวลาพอที่จะไปดูได้

แต่เสียงมัน..ทำได้แปลก ๆ นะ แบบงูก็ได้ แบบเสือก็ได้ แบบไหนได้หมด ไม่ใช่มีแบบเดียว ที่มันน่ากลัวคือมันมาหลายแบบนั่นเอง บางทีเหมือนเสือ เห่อ ๆ ใกล้ถ้ำ

อาจารย์หมออวยอยากไปเป็นกำลัง โฮ้..ซักท่านสิงห์ทองใหญ่เลยเทียวนะ ท่านสิงห์ทองเล่าให้ฟัง ทีนี้ท่านสิงห์ทองเป็นพระกล้าหาญด้วย ไม่ใช่พระออดแอด พระโกโรโกโสนะ ท่านพูดมันน่าฟัง เราเองก็เชื่อ เพราะเราเชื่ออยู่ก่อนแล้วเรื่องเหล่านี้

"โห..มันน่ากลัวจริง ๆ นะ" ท่านว่า
"ตัวมันขนาดเท่าลำตาล แล้วมันขู่ฟ่อ ๆ อยู่บนหัวเราใกล้ ๆ ฝ่ามือเดียวเท่านั้น มันเหมือนจะกลืนเอาเลย เสียงฮ่อ ๆ แต่มองหาตัวไม่เห็น ครั้นเวลาจุดไฟมาหาไม่เห็น ไปไหนก็ไม่รู้ พอไฟดับสักเดี๋ยวขึ้นอีกแล้ว"

เขาเรียกภูทอก เราเคยผ่านไปผ่านมา เราเที่ยวกรรมฐาน แต่ไม่เคยขึ้นพักถ้ำที่่ว่า...."

เถรี
19-06-2023, 21:29
เทวดาคุ้มครองพระลูกชาย

"..เรื่องเทวบุตรเทวดา เลยพูดให้ฟัง พระผู้ท่านเชี่ยวชาญ ท่านชำนิชำนาญ ในสมัยปัจจุบันนี้เองยังมีอยู่ แต่เหมือนท่านไม่รู้ พระท่านรู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ธรรมด๊า..ธรรมดา อันใดจะเป็นประโยชน์แก่ใครก็หยิบออกมาพูด

เมื่อวานนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องเทวดาว่า พระท่านอดข้าวภาวนา อดไปหลายวัน เทวดากลัวท่านหิว กลัวท่านตาย เทวดาองค์นั้นเคยเป็นแม่ของพระองค์นั้น นั่น..ท่านรู้ขนาดนั้นนะ มาขออุปถัมภ์อุปัฏฐาก มองเห็นกัน..เดินไปเดินมา เห็นอยู่ อากัปกิริยาแสดงอะไร เห็นอยู่เหมือนคน เห็นอยู่ชัด ๆ ในเวลาเงียบ ๆ นั้น

ทางพระก็ตกใจซี ตาลืมอยู่ก็เห็น หลับตาก็เห็น เห็นอยู่อย่างนั้นชัด ๆ เหมือนคนธรรมดา จึงพูดไปว่า 'โอ๊ย..อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาโจมตีพระแหลกนะ' เทวดาว่า 'โจมตีอย่างไร ?'

'ก็มองเห็นกันอยู่นี่ ผู้หญิงกับพระอยู่ด้วยกันได้อย่างไร เทวดาก็เป็นผู้หญิง หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่ไม่ใช่หรือ ?'

'โอ๊ย..ก็ทำให้เห็นแต่ท่านเท่านั้นแหละ คนอื่นมีกี่หมื่นกี่แสนคนก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เห็น'

เอาอาหารทิพย์มาให้ พูดกันด้วยภาษาใจไม่ได้ พูดกันอย่างภาษาเรานะ เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พระท่านบอกว่า 'กินไม่ได้ เวลานี้ไม่กินข้าว อดอาหารภาวนา'

บางทีก็นำอาหารทิพยมาเวลากลางคืน 'นี่เวลานี้กลางคืน..ไม่ฉัน' ก็อ้างไป แล้วเวลากลางวันก็ว่าเวลานี้อดอาหาร..พลิกไปเสีย เทวดากลัวทุกข์ยากลำบาก..กลัวพระตาย

'ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอาข้าวมา เอาข้าวทิพย์มาแหละ มาทามาถูตามร่างกายให้ซึมเข้าไป ให้ข้าวซึมเข้าไป'

'ไม่เอา..ถ้ากลัวตายก็ไม่ต้องอด' พระท่านก็แก้ของท่านไปอย่างนั้น

เถรี
19-06-2023, 21:43
กลางวี่กลางวันก็มารออยู่ที่สูง ๆ บนถ้ำ รักษาความปลอดภัยให้ลูก ลูกอยู่คนเดียว มารักษาความปลอดภัยให้ ไม่ให้อะไรมาที่นี่ ถ้าเทวดาว่าไม่ให้มา สัตว์เสือช้างก็มาไม่ได้ ไม่ว่าช้าง ไม่ว่าเสืออะไร เทวดาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้ พวกสัตว์พวกเปรตผีอะไรไม่ให้เข้ามา เทวดารักษาอยู่ นี่อย่างนี้ก็มี..ฟังเอา

แต่พวกเทวดานี้ร่างกายเหมือนสำลีนะ เบา..เบาเหมือนสำลี ลงมาเหมือนสำลีปลิวลงมา ขึ้นก็เหมือนสำลี เดินธรรมดานี้ก็ได้..ได้ทุกแบบ แล้วแต่อาการแบบไหนที่ควรจะใช้อย่างไร..ใช้ได้ทั้งนั้น

ที่แปลกประหลาดมากก็เวลาคนตาย พระไปอยู่ในถ้ำไกล ๆ จากบ้าน บ้านในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระละซิ ในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระ ครั้นเวลาคนตายก็มานิมนต์พระท่านไปกุสลาฯ ให้ ใครตายก็ตามในหมู่บ้าน เขาต้องมานิมนต์ท่านไป กุสลา ธัมมาฯ ทีนี้พอคนตาย ทางพระนี้รู้แล้วนี่

'โห..แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องไปอีกแล้ว'

ตอนนั้นท่านไม่ได้ฉันข้าวนะ เป็นช่วงเวลาที่พระท่านอดอาหารภาวนาอยู่ ก็เลยต้องเดินทางไปกุสลาฯ ให้เขาในหมู่บ้านโน่น 'เอาอีกแล้ว คนตายแล้ว ตายในบ้านโน้น'

'คนตายในบ้านอีกแล้ว' บางทีก็รู้ขึ้นมาภายในตัวเอง บางทีเทวดามาบอกว่า 'คนตายแล้วนะ' อย่างนั้นก็มี มีได้หลายทาง มาจากเทวดาก็มี ออกจากความรู้เจ้าของก็มี พอประมาณสัก ๑๐ โมงเช้า เขาขึ้นภูเขา 'มาแล้ว'

'มาทำอะไรล่ะ ?' คอยฟังคำตอบ 'มานิมนต์ไปโปรดสัตว์'

แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์..ไม่มีผิด ไม่มีเคลื่อนเลย พอตื่นนอนขึ้นมา 'เอาแล้ววันนี้ เตรียมกุสลาฯ แล้ววันนี้' พอ ๙ โมงเช้าหรือ ๑๐ โมงเช้า คนโผล่ขึ้นไปแล้ว

'อะไรล่ะโยม ?'
'นิมนต์ไปโปรดสัตว์'

พวกเรามันตาบอด..ไม่เห็น ท่านผู้ตาดีท่านเห็นธรรมดา เหมือนเราตาดีเห็นอะไรนี่ ท่านผู้ตาดีภายใน นี่ละ..สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมด ผิดที่ตรงไหน นี่ละ..เครือของศาสนา กิ่งก้านของศาสนา มีอยู่หมดเลย ตั้งแต่อริยสัจเป็นต้นเป็นแกน ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปหาพวกเปรต พวกนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พวกเปรตพวกผีพวกอะไร ๆ นี้เป็นกิ่งก้านของอริยสัจในวงศาสนา..."

เถรี
02-08-2023, 23:49
ตัวอย่างการเทศนาอบรมนักภาวนา

องค์หลวงตาเมตตาสอนและตอบปัญหาธรรมแก่นักภาวนาทั้งชายและหญิง ทั้งผู้มาพักปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดและในสถานที่ต่าง ๆ มีจำนวนมาก ขอยกตัวอย่างมาแสดงแต่พอสังเขป ดังนี้

ถาม-ตอบปัญหาภาวนา

ถาม การพิจารณากายแรก ๆ สติไม่ค่อยต่อเนื่อง มักจะกระโดดไปสู่อดีตที่เจ็บช้ำบ่อย ๆ แต่เมื่อภาวนาพุทโธ ๆ มาก ๆ จนจิตสงบแล้ว ก็พิจารณาครั้งแรก เห็นกระดูกภายในกายเป็นเหมือนกระจก แตกเป็นเกล็ดเล็ก ๆ ในท่านั่งหนึ่งครั้งและท่านอนหนึ่งครั้ง ลูกจะดูอยู่เฉย ๆ จนหายไป ครั้งที่สามนั่งภาวนาเห็นศีรษะตัวเองหลุดกระเด็นออกมาจากตัว แต่ก็ไม่ตกใจ คิดว่าเป็นอนิจจัง ครั้งที่สี่ เดินจงกรมตอนดึกประมาณตีสอง เห็นหน้าตัวเองเป็นกระดูกผุ ๆ ไม่มีเนื้อ

หลังจากนั้นไม่กี่วันตอนเช้ามืดเดินจงกรม ได้เห็นกระดูกตัวเองแตกเป็นเม็ด ๆ เหมือนกับก้อนกรวดเล็ก ๆ ไหลพรูหลุดจากร่างกายไปรวมกันอยู่บนพื้นดินอย่างรวดเร็ว จิตคิดว่าตัวเรานี้ในที่สุดก็ต้องกลายเป็นดิน

หลังจากนั้นนานนับเป็นเดือน เดินจงกรมจนเหนื่อยและดึกมาก จึงนอนพักในท่านอนตะแคง ภาวนาพุทโธ ๆ ขณะนั้นลมภายนอกบ้านพัดแรงมาก ลูกภาวนาไม่รู้ว่ามีน้ำไหลบ่ามากับพายุด้วย น้ำไหลพัดเข้ามาในบริเวณที่ลูกนอนอยู่น่ากลัวมาก ตอนแรกตกใจมาก รีบตั้งสติว่า ตายเป็นตาย เห็นเนื้อตัวเองหลุดเป็นชิ้น ๆ ถูกน้ำพัดอย่างเร็วและแรง ลูกกำหนดจิตพุทโธ ๆ ในที่สุดก็ดับไป

การปฏิบัติของลูกรู้สึกว่ากระท่อนกระแท่นอยู่มาก เพราะเวลาไม่ต่อเนื่อง และยังไม่เข้าใจรักษาสติ ลูกขอถามว่า ลูกปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ ? และต้องทำอย่างไรต่อไป ?

หลวงตา ถูกต้อง แต่ต้องเพิ่มสติให้ติดต่อกันมากขึ้น

ถาม ขณะนี้ลูกกำลังรักษาสติให้มั่นคงหนักแน่น ด้วยการภาวนาพุทโธทุกขณะ เมื่อมีเรื่องมากระทบ ถ้าเป็นทุกข์จะสาวหาต้นเหตุและหาอุบายดับได้ทุกครั้ง ถ้าเป็นเรื่องที่สนุกสนานเพลิดเพลินใจหรือถูกใจอะไร ก็จะเตือนใจว่ามันไม่เที่ยง พยายามตั้งจิตให้เป็นกลางอยู่เสมอ กราบขอความเมตตาหลวงตาแนะนำสั่งสอนลูกด้วย ?

หลวงตา ที่ปฏิบัติมานี้ถูกต้องแล้ว พยายามให้ความเพียรสืบต่อ เฉพาะอย่างยิ่งสติเป็นสำคัญ ให้ตั้งเสมอ ถูกต้อง เรื่องจิตเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร ถูกมูตรถูกคูถ คือ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ครอบมันไว้ จิตที่มีความเลิศเลออยู่ภายในนั้นแสดงตัวออกมาไม่ได้ ถูกมูตรคูถครอบไว้เสมอตลอดมา โลกทั้งหลายจึงไม่มีค่ามีราคาในตัวเอง ทั้งๆ ที่สัตว์โลกนี้ชอบยกยอ กิเลสชอบยอ กดไม่ชอบ ตามความจริงไม่ชอบ ชอบแต่ยอ

ลืมแล้ว พูดไม่สืบต่อกันแล้ว ความหลงลืม เรื่องสติเป็นสำคัญ เอาตรงนี้เลยนะ กิเลสมันจะดันขนาดไหนก็เถอะ สติเป็นสำคัญ สติห้ามอยู่ อยู่หมัด ไม่ให้ออก เราทำมาแล้วนะ ฟาดเสียจนกระทั่งอกจะแตก สังขารมันดันออกมาจากอวิชชา นั่นละ..รังใหญ่ของกิเลส มันดันออกมาเพื่อให้หาช่องทางหากินของมัน มันกินเรานั่นแหละ ไม่ใช่กินใคร ให้เราได้รับทุกข์ความทรมาน

ทีนี้บังคับไม่ให้ออก เมื่อไม่ให้ออก มันดันนี้จนกระทั่งคับหัวอกเลยนะ แต่ไม่ยอมกัน ยังไงก็ไม่ให้เผลอ มันจะออกท่าไหนไม่ให้เผลอ มันดันตลอด มันจะออก คือสังขารคิดปรุงปั๊บออกไปนี้เป็นกิเลสแล้ว มันกว้านเอาฟืนเอาไฟความกังวลวุ่นวายทุกอย่างที่เกิดจากความคิดปรุงนี้เข้ามาเผาเรา เมื่อมันออกไม่ได้ก็ไม่มีอะไรมาเผา สติครอบเอาไว้ ๆ ทีนี้จิตเมื่อมีสติรักษาอยู่ กิเลสเหล่านี้ก็กวนไม่ได้ อย่างมากมันก็ดันอยู่ในภายในหัวอก แต่สติบังคับไม่ให้มันออก มันก็ไม่แตกกระจายเป็นฟืนเป็นไฟอะไรไป เอาให้เต็มเหนี่ยวเลย วันนี้เป็นอย่างนี้..ไม่ให้เผลอ

เถรี
02-08-2023, 23:52
พูดเรื่องนิสัย อันนี้รู้สึกจะผิดแปลกกับคนทั้งหลายอยู่พอสมควร ว่าอะไรเป็นอย่างนั้น จริงมากทีเดียว บอกไม่ให้เผลอก็ไม่เผลอจริง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ขณะไหนเผลอไปไม่มี นั่นคือบังคับกันขนาดนั้นนะ เรียกว่านักมวยเข้าวงในกัน

สติกับสังขารที่มันดันออกมานี้ต่อสู้กันไม่ให้เผลอ ถึงเผลอมันก็ออกไม่ได้ เมื่อออกไม่ได้ จิตได้รับการบำรุงรักษาด้วยสตินี้แล้ว ค่อยสงบเย็นเข้ามา ๆ ทีนี้ที่มันดันออกมาค่อย ๆ เบาลง ๆ สติติดแนบตลอด ตั้งตัวได้เลย นี่ได้ทำแล้ว

เรื่องสติเป็นสำคัญมาก มันจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามเถอะ กิเลสความโกรธก็ดี อะไรก็ดีเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว สติจับปุ๊บไม่ให้ไปยุ่งกับอารมณ์อะไรที่ว่า ไม่พอใจในคนนั้นคนนี้ อย่าออกไปหาคนนั้นคนนี้อันเป็นเรื่องสังขารปรุงออกไป ไม่ให้มันออกเรื่องก็ไม่มี ก็สงบลงด้วยสติบังคับนั่นละ สำคัญมากนะ

การภาวนาใครมีสติสืบต่อได้ดีเท่าไร ยิ่งจะก้าวหน้าเรื่อย ๆ นะ ตั้งฐานได้ไม่สงสัย เรื่องสตินี่ตั้งฐานได้เลย จิตไม่เคยสงบ สงบได้ ขอให้สติรักษาจิตอย่าให้สังขารปรุง

สังขารนี่ตัวสำคัญมากนะ มันคิดออกไปร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม ร้อยสันพันคม เข้ามาตีเรา ฟันเรา เผาเรานั่นแหละ เมื่อมันออกไม่ได้ก็ไม่มีอะไรมาเผา สติบังคับ จิตก็ค่อยสงบเย็น ๆ ตั้งฐานได้ จำให้ดีทุกคน การปฏิบัติ..จิตเป็นของสำคัญมาก เวลาถูกปิดบังหุ้มห่อนี้ เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเรา ไม่มีอะไรผิดแปลกจากกันแหละ แต่พอธรรมะได้เบิกกิเลสตัวหุ้มห่อไว้นี้ออกไป ๆ จิตจะค่อยสง่าขึ้นมา ๆ เวลามันสง่ามากขึ้น ๆ แล้วจนกระทั่งมาอัศจรรย์ตัวเอง

เถรี
03-08-2023, 00:01
โยมคนที่ ๑ ขอกราบเรียนถามการพิจารณากาย ลูกใช้สัญญาความจำภาพอสุภะจากรูปถ่ายที่อื่น และความเข้าใจที่ออกมาจากจิตถึงความเป็นกาย มาพิจารณาร่างกายตัวเอง เหมือนที่หลวงตาได้สอนว่า พิจารณาภายนอกภายใน

ลูกเปิดภาพอสุภะในเว็บไซต์ของหลวงตา และให้ติดจิตคือให้สลดในอสุภะ ให้คลายออกจากความยึดในกาย จิตมันรู้สึกสลดเข้าทุกที และจากความจำภาพอสุภะที่ดูในรูปนั้น มันเริ่มเข้ามาในจิตใจ เป็นความรู้สึกให้สลดให้วางในกาย สัญญาความจำภาพนั้นเหมือนเป็นความเข้าใจในจิตด้วยอริยสัจและไตรลักษณ์ พอถึงอริยสัจในจิตมันแน่น ๆ อยู่กลางอกเจ้าค่ะ

สติลูกตอนนี้ตั้งไม่ให้เผลอจากอสุภะ พิจารณามากขึ้น ๆ บางทีไม่ได้ตั้งใจพิจารณา แต่เห็นบุคคลทั่ว ๆ ไป มันก็แว็บ ๆ เป็นอสุภะ เนื้อไส้ส่วนต่าง ๆ ภายในกาย จิตมันก็ยิ่งสลดเข้าไป อย่างที่ลูกพิจารณาและปฏิบัตินี้ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ ?

หลวงตา ถูกต้องมาโดยลำดับนะ อันนี้ถูกต้องมาโดยลำดับแล้วไม่มีที่ต้องติ ให้เจริญให้มากเข้าไป ให้มีความคล่องแคล่วเข้าไป สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนี้มันจะเข้าในตัวของมันเอง ไปรู้ตัวเอง ปล่อยทั้งหมด

แต่จะบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ บอกไม่ได้ตอนนี้ เป็นเคล็ดลับ ให้ผู้นั้นตัดสินตัวเอง เรียกว่า สันทิฏฐิโก มอบให้ตัวเอง เป็นสันทิฏฐิโกของตัวเอง จากภาคปฏิบัติของตัวเอง ที่ครูบาอาจารย์สอนแล้วว่า ให้พิจารณาซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนคล่องตัว แล้วมันจะรวมตัวเข้าไปหาจิตทั้งหมดนั่นแหละ เรื่องความรู้ความเห็นต่าง ๆ แล้วจิตจะเป็นผู้ปล่อยเอง เอ้า..เอาแค่นี้ก่อน เอ้า..ว่าไป..ทีนี้ถูกต้องแล้ว

เถรี
03-08-2023, 00:14
โยมคนที่ ๒ กราบนมัสการเรียนถามหลวงตาดังนี้ครับ ตอนนี้ผมมีสติแน่นเข้าเรื่อย ๆ ไม่ค่อยเผลอ บริกรรมพุทโธติดแนบกับสติตามที่หลวงตาสอน แล้วระยะนี้ผมสังเกตได้ถึงพัฒนาการของจิต คือมีความระลึกตัวดีขึ้น ทำอะไรมันคิดอ่านไตร่ตรองแบบเป็นธรรมดีขึ้น ไม่ทำอะไรแบบพรวดพราดทันทีเหมือนเมื่อก่อน วันหนึ่ง ๆ ตัวเองอยากอยู่กับความสงบเย็น พอทำงานเสร็จก็กลับบ้านไม่ได้ไปไหน แต่ทุกอิริยาบถมีสติกับพุทโธตลอดนะครับ

หลวงตา เออ ถูกต้อง ๆ อันนี้ก็ถูกต้องเหมือนกัน เอ้า..ว่าไป

โยมคนที่ ๒ พยายามไม่ให้ขาด ทีนี้เวลามันมีเรื่องยุ่ง ๆ ใจมันก็ไม่ยุ่งไปด้วยครับ ใจมันก็สงบเย็น ๆ ของมัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ร้อนวุ่นวายไปตามเรื่องร้อนนั้น ๆ ครับ พอมานั่งภาวนาหรือเดินจงกรมเดี๋ยวนี้เพียงครู่เดียวครับ ไม่นานจิตมันก็ดิ่งวูบลึกลงไป แน่วสงบไป แต่ความระลึกรู้ตัวมีเสมอครับ ผมจึงไม่รู้สึกตกใจ เหมือนมีสติสัมปชัญญะประคองไว้ แล้วถึงโอกาสก็เริ่มพิจารณากายไปตามขั้นครับ อย่างนี้เป็นอาการถูกต้องของการภาวนาจิตจากการมีสติอยู่เสมอถูกต้องหรือไม่ครับผม ?

หลวงตา ถูกต้อง อันนี้ก็ถูกไปอีกแบบหนึ่งของผู้นี้นะ ไม่ผิด ถูกด้วยกันทั้ง ๒ นะ ให้เจริญให้มากกว่านี้เข้าไป เพื่อจะได้ชำนิชำนาญ ความสงบจะได้สงบและละเอียดเข้าไป ๆ และคล่องตัวเข้าไปเรื่อย ๆ การพิจารณาก็จะคล่องตัวสติก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราใช้การฝึกด้วยความมีสติฝึกตนเองอยู่ตลอดเวลานี้ จะดีขึ้นทุกอย่างในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เรากำลังเจริญเวลานี้

เถรี
05-08-2023, 09:04
สตรีนักภาวนาชาวกรุง

องค์หลวงตากล่าวถึงสตรีท่านหนึ่ง ปัจจุบันออกปฏิบัติธรรมเป็นอุบาสิกา เมื่ออดีตเคยทำงานอยู่สายงานวิศวกรรม การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพฯ การใช้ชีวิตในครั้งนั้นไม่แตกต่างอะไรจากคนทางโลกทั่วไป เพราะมีครอบครัวและบุตรธิดาถึง ๓ คน มีภาระหน้าที่การงานที่ต้องบริหารและรับผิดชอบ แต่ด้วยจิตใจรักและเห็นประโยชน์ใหญ่หลวงด้านจิตภาวนา สตรีท่านนี้จึงพยายามเจียดเวลาเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง ฝึกฝนสติปัญญาไปพร้อมกับการงาน โดยมิยอมให้เสียงานทางโลกแต่อย่างใด

อุบาสิกาท่านนี้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอมาหลายปี ด้วยความพากเพียรระหว่างทำงานอยู่ทางโลก โดยพยายามเสาะหาอุบายธรรมจากครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานหลายต่อหลายองค์ มีหลวงปู่หล้า เขมปัตโต เป็นต้น หลังจากปฏิบัติมานานนับสิบปี จึงได้มีโอกาสเข้ากราบสนทนาธรรมกับองค์หลวงตาที่สวนแสงธรรมในคราวท่านลงไปกรุงเทพฯ และได้เล่าผลอัศจรรย์อันเกิดจากจิตภาวนาถวายองค์หลวงตาเป็นที่รื่นเริงในธรรมทั้งอาจารย์และศิษย์ในขณะนั้น

เมื่อท่านกลับมาวัดป่าบ้านตาดแล้ว หลังจังหันวันหนึ่งปลายปี พ.ศ.๒๕๓๘ ท่านได้แสดงธรรมมีเนื้อหาไปสัมผัสกับเรื่องที่ได้สนทนากับอุบาสิกาท่านนี้ ดังนี้

"..พอพูดอย่างนี้ ก็ไปสัมผัสเรื่องหญิงคนหนึ่ง แกภาวนาอยู่ตามประสีประสาของแก สุดท้ายเอาจริงเอาจัง..เป็นเข้าจริง ๆ เวลาเป็นเข้าจริง ๆ แล้วเห็นโทษของกิเลสนี้ แหม..แกว่าอย่างนี้นะ

"ทำไมมันถึงร้ายแรงเอานักหนากิเลสนี่ รุนแรงมาก ทั่วสามแดนโลกธาตุกิเลสขยำคน"

ฟังซิ..แกไม่ได้เรียนนะ แกไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนทางอรรถทางธรรม ออกจากภาคปฏิบัติล้วน ๆ

"มองไปที่ไหนดูมีแต่กิเลสขยี้ขยำหัวสัตว์โลกเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด มีแต่กิเลสขย้ำเอาโงหัวไม่ขึ้นเลย สลดสังเวช บาทีก็กระซิบบอกเพื่อนฝูงบ้าง บางคนพวกคลั่งกิเลสมันก็ไม่พอใจ สุดท้ายจะทำภาวนาก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปทำอยู่ตามป่าตามอะไร เพราะทำงานอยู่ตลอดเวลา สติไม่ได้เผลอตลอดเวลา มันเป็นเองของมัน"

คำพูดอย่างนี้เป็นจริงเอามาพูดได้เหรอ ต้องออกมาจากภาคปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง

"สตินี้ดี ดีจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไร สติจ่อแล้วทำงานก็ทำไปตามเรื่อง ทำงานทางโลกก็ทำ ภายในก็ทำหมุนติ้ว"

นั่นเห็นไหม ได้ยินแต่หลวงตาบัวว่าหมุนติ้ว ๆ นี่..มีพยานแล้วนะ

เถรี
05-08-2023, 09:08
เพื่อนฝูงเขาสงสาร พอทราบว่าเราไปเพราะแกอยากพบครูบาอาจารย์ อยากพบเรา พอดีแกก็มีดีจริง ๆ คนมาก ๆ ก็ใส่เปรี้ยงเลย นั่นละ..ขึ้นเวทีแชมเปี้ยนแล้ว ไม่ใช่เวทีธรรมดา ซัดกันใหญ่เลย แกก็ออกมาอย่างกระจ่างเลยนะ เปรี้ยง ๆ ๆ นั่นละ ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นจากจิตใจ ไม่สะทกสะท้านนะ แกก็ใส่มาเปรี้ยง ๆ ทางนี้ก็ใส่กันเลย

"ก็ทำกรรมดำกรรมขาวไปอย่างนั้นละ แต่จิตมันดูดดื่มอยากทำตลอดไป แต่ทีนี้ก็ไม่ทราบว่าผิดหรือถูกประการใด ?"

บอกแกว่า "ถูกแล้ว เอ้า..เอาเลยนะ รวมตัวแล้ว ทีนี้ฟาดลงไป ถลุงมันตรงนั้น ๆ ชี้แจงเป็นระยะ ๆ เข้าไป"

แกก็พอใจเอาอย่างมาก "ทีนี้เป็นที่ตายใจแล้ว"

เราว่า "ตายใจน่ะถูกต้องแล้ว ที่ปฏิบัติมานี่ถูกต้องแล้ว"

แกก็ภาวนาได้ถึง ๑๓ ชั่วโมงก็มี ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ๑๓ ชั่วโมงก็มี พิจารณาทุกขเวทนา ทุกขเวทนาเป็นของจริงทุกส่วน เป็นของจริงแล้วไม่มีกระทบกระเทือนกันเลย จะนั่งตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ได้ อย่าว่าแต่เพียง ๑๒-๑๓ ชั่วโมงเลย ลุกออกมาเฉย ๆ นี่แหละ จะนั่งตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ได้

"ไม่มีอะไรที่จะเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจได้เลย เมื่อต่างอันต่างจริงแล้ว ไม่คละเคล้ากัน"

นั่น..ฟังซิ..แกพูด พูดอาจหาญเสียด้วยนะ เราก็รื่นเริงเห็นผลของการปฏิบัติธรรมนี่ละ ธรรมของพระพุทธเจ้าพอปรากฏขึ้นในใจ

"เห็นโทษของกิเลสเห็นจริง ๆ เห็นจนสลดสังเวช มองไปไหน ๆ พิจารณาไปไหน แหม..มีแต่กิเลสอย่างเดียว ครอบงำสัตว์โลกให้ดิ้นล้มดิ้นตายกันอยู่ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด แล้วโลกก็ไม่รู้ด้วยนะ น่าสงสารอันหนึ่ง" แกว่า

"โลกก็ไม่รู้ด้วยนะ มันขยี้ขยำจนจะตายก็ยังดิ้นเพลินกันอยู่" คนมากนะ วันนั้นวันที่แกมาหา เพราะไม่มีเวลาที่จะพูดโดยเฉพาะ

"ไม่ต้องเฉพาะ..ฟาดเลย"

เราว่าอย่างนี้แหละ แกเห็นโทษของกิเลสจริง ๆ เราไม่ตายให้กิเลสตาย มีสองอย่าง ขั้นนี้ขั้นเห็นโทษของกิเลสเห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ ทั้งสองอย่างนี้บรรจุเข้าสู่ใจแล้วเอาชีวิตเข้าแลกเลย ไม่มีความสะทกสะท้าน เรื่องกับความตาย หมุนติ้ว ๆ

เถรี
05-08-2023, 15:30
นี่ละ..คนหนึ่งจะไปได้ ไม่นานละ..แน่แล้ว เป็นผู้หญิงนะ มีลูก ๓ คน แกก็เคยส่งปัจจัยมาวัดนี้ประจำเดือน แกเล่าให้ฟัง คนฟังนี่ โห..อ้าปากไม่งับแหละ ลืมตาหลับไม่ลง เพราะขึ้นตามหลักธรรมชาตินี่ หมุนติ้ว ๆ แกพูดเปรี้ยง ๆ เอ้าเปิด ๆ ให้หมด เราว่าอย่างนั้นนะ เราก็หิวอยากฟังนี่นะ มันมีแต่พูดคนเดียวเป็นบ้าอยู่ พูดตลอดเวลา เพราะไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วย เหมือนบ้าพูดคนเดียว เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นบ้า พอดีได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นพยาน

"เอ้าพูด ๆ เลย เอาให้เต็มที่นะ"

เราอยากฟังเหลือเกินธรรมะประเภทนี้ พูดอย่างนี้แหละว่า "ไม่เคยได้ฟัง เพิ่งจะมาได้ฟังนี่แหละ เอ้า เปิดเลย" พอแกเปิดแล้วตรงไหนเป็นจุดที่ควรจะแนะ ก็แนะแก ๆ ไม่ใช่แนะธรรมดานะ ตีเปรี้ยง ๆ ลงไปเลย

"เอาจุดนี้ ๆ เอ้า ๆ"

นี่ละจวนจะไป ไม่อยู่แล้ว เป็นธรรมชาติแล้ว เป็นอัตโนมัติแล้ว หมุนเรื่อย จิตเข้าถึงขั้นนี้แล้วหมุนเรื่อย เห็นโทษของกิเลส เห็นจนจะสลบไสล กิเลสเป็นโทษแก่โลกขนาดไหน เวลาเข้าถึงตัวมันจริง ๆ แล้วจะสลบไสล โทษของมันทำให้เจ็บ ให้แสบ ให้เข็ด ให้หลาบ ให้กลัว จนไม่รู้จักเป็นจักตาย หลบกิเลสหนีกิเลส ตายก็ตาย ให้ได้พ้นจากกิเลสก็แล้วกัน ให้พ้น ๆ มันก็บืนละซิ

พระพุทธเจ้าสอนเล่นเมื่อไร พวกเราไม่เห็นนั่นซี จึงได้ว่ากิเลสแหลมคมมากนา แกพูด แกก็เปิดเต็มที่เหมือนกัน แกพูดด้วยความตื่นเต้น และแกก็ไม่มีผู้ใดที่จะตอบรับแกอย่างนั้น เราก็ตอบรับเต็มภูมิเลย เพราะหิวกระหายอยากฟังมานาน

ธรรมะประเภทนี้มีแต่ประเภทความจำ จำได้ก็มาบ้าน้ำลายกันเหมือนนกขุนทอง..แก้ว..เจ้าขา ๆ เรียนจบพระไตรปิฎก กิเลสตัวเดียวหนังไม่ถลอกเลย เห็นแต่อย่างนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง

นี่แกเอาจริงเอาจังแน่แล้ว คนนี้ไม่นานด้วยนะ เมื่อมีผู้แนะจุดสำคัญนี้แล้ว มันจะพุ่ง ไม่ลูบไม่คลำเมื่อมีผู้แนะ ความที่ดำเนินมาแล้วก็ว่าถูกต้องแล้วก็หายห่วง จุดไหนที่กำลังดำเนินก็ชี้บอก ทางนี้ก็พุ่ง ๆ เลย

เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ คนไม่เคยกับศาสนา เวลามาปฏิบัติมันเป็นขั้นนี่ละ ความรู้จากภาคปฏิบัติกระจายอย่างนี้เอง ความรู้ในหนังสือที่ท่านจดจารึกมาในตำรับตำราในพระไตรปิฎกพอประมาณเท่านั้นะ ไม่ได้ซอกแซกซิกแซ็กกระจายไปทุกแห่งทุกหนเหมือนภาคปฏิบัติ เรียกว่าทั่วท้องฟ้ามหาสมุทรเลย.."

เถรี
05-08-2023, 15:39
นับแต่เหตุการณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นต้นมา สตรีท่านนี้ยังไม่มีโอกาสเข้ากราบองค์หลวงตาอีกเลย จนกระทั่งต้นเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ณ สวนแสงธรรม ถนนพุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพมหานคร จงได้เข้ากราบองค์หลวงตาและสนทนาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาสนทนาเล็กน้อย ดังนี้

หลวงตา เวลานี้พิจารณาอะไรอยู่ ?

สตรีนักภาวนา การปฏิบัติของลูกอาจจะไม่ได้ถูกร่องรอยที่หลวงตาสอนให้พิจารณานะเจ้าคะ เพราะว่าการปฏิบัติของลูกตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน มีสติสัมปชัญญะตามรักษาจิต ใช้วิธีนี้อย่างเดียวเจ้าค่ะ ตามรักษาจิตนี้ ลูกไม่ต้องกลับมาพิจารณาเลย ทุกขณะนี้พอลูกไล่ไปเรื่อย ๆ เอาให้อยู่กับปัจจุบัน ธรรมชัด ๆ เลย อยู่กับจิตว่าง อยู่กับปัจจุบันธรรม ก็จะเห็นความเกิดดับของสัญญา ความเกิดดับของสิ่งที่รู้ทั้งหมด รู้แล้วดับ ถ้ารู้แล้วไม่หลง รู้แล้วดับหมด

พอทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็ชัดขึ้นมาว่า มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ตัวตนใด ๆ ทั้งสิ้น มันเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ เกิดดับเท่านั้นเอง เท่านั้น หลังจากช่วงนั้นแล้วก็เลิกถูกต้ม เลิกถูกจิตต้มอีกต่อไป

หลวงตา มันต้มยังไง ?

สตรีนักภาวนา ถ้าเมื่อก่อนนี้ การที่จะระมัดระวังเฝ้ารักษาจิตนี้ ต้องสติตามดูตามรู้กิเลสถึงจะเกิดนะเจ้าคะ แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว รู้เท่าทันสัญญา สติตั้งมั่นไม่หลงอารมณ์ ทุกอย่างดับหมด ดับหมด เพราะอย่างนั้น ถ้าครั้งไหนเกิดเพลินเผลอไป แล้วหลงอารมณ์ ไปคว้าอารมณ์ก็ปล่อยได้เลย เพราะว่ารู้ว่ามันโง่ไปแล้ว

เพราะฉะนั้น..ลูกกราบรายงานหลวงตาว่า การรักษาจิตของลูกนี้มิได้พิจารณาเลยเจ้าค่ะ แต่การรู้ที่เห็นเป็นขึ้นในขณะที่อยู่กับปัจจุบันธรรมตลอดเวลา แล้วทุก ๆ วันนี้สิ่งที่ปฏิบัติอยู่ของลูกนี้ แม้แต่ฟังหลวงตา แม้จะอยู่ในหมู่ผู้คน ลูกเหมือนกับมีตาอีกตาหนึ่ง เห็นจิตตลอดเวลา เฝ้าดูจิตตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอน

ฉะนั้น..การภาวนาของลูกนี้ ความเผลอเพลินในการทำงาน มีบ้างที่จิตส่งออก แต่นอกนั้นแล้วจิตจะอยู่รักษาข้างในหมด จะไม่ออกมาเพ่นพ่านเพราะรู้ดี รู้เช่นเห็นชาติหมดว่ามันออกไป มันเอามาแต่อะไร แล้วเข็ดหลาบเบื่อหน่ายเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้น..วันทั้งวันจะมีสติตามรักษาจิตโดยไม่ต้องมีใครมาบอกเลย

เถรี
05-08-2023, 15:42
หลวงตา เข้าใจ..เอาอยู่จุดนั้นละนะ เราจะไม่เร่งไม่บอกอะไรละ ให้เอาปัจจุบันนี้เป็นหลักนะ เร่งก็เร่งอยู่ในปัจจุบัน ไม่เร่งก็อยู่ในปัจจุบัน ไม่นอกปัจจุบันแล้วไม่ผิด เข้าใจไหม ? ให้อยู่ในปัจจุบัน จิตในลักษณะในธรรมชาตินี้เป็นยังงั้น

คุณก็มีครอบครัวเหย้าเรือน มีงานมีการอยู่ จึงไม่ค่อยเร่งให้ ปล่อยให้เจ้าของเร่งเจ้าของเอง เข้าใจ ? ถ้าเป็นนักบวชนักปฏิบัติแล้วไล่ตีหลงทิศไปเลย มันเป็นขั้นเป็นตอน

สตรีนักภาวนา แต่จิตที่ดูเหมือนไม่เร่ง แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยนะคะ

หลวงตา เราเข้าใจ พูดอย่างนี้เข้าใจทันทีทันทีเลย ยังบอกให้ไปตามหลักธรรมชาติปัจจุบัน ๆ อย่างนั้นละ มันไม่มีอะไรละ มันอยู่กับปัจจุบันนั้นหมดเลย พอเรียนจบปัจจุบันแล้วละ ไม่ต้องถามแล้ว ปัญหาอะไรไม่มีละ ทีนี้เอาละ ดูปัจจุบันของเจ้าของเป็นยังไง เท่านั้นละ

สตรีนักภาวนา ถ้ามีคนถามว่า ลูกจะถามอะไรหลวงตา ลูกก็ไม่รู้จะถามอะไร เพราะว่าลูกเฝ้าแต่ปัจจุบันตลอดเวลา ถ้าอยู่กับปัจจุบันเมื่อไรเกิดดับก็มาตลอดสายเจ้าค่ะ

หลวงตา ก็ยังงั้นแล้ว นี่ก็ไม่ถามอะไร เพราะงั้นจึงว่าปัจจุบันนี้พิจารณายังไงเท่านั้นเอง แน่ะ..ก็เข้าปัจจุบันแล้วใช่ไหมล่ะ ? ถามตรงนั้นแหละ ตรงปัจจุบันสำคัญมาก นี้มันลงปัจจุบันแล้ว

สตรีนักภาวนา เมื่อก่อนลูกตื่นตี ๓ นะเจ้าคะ รู้สึกว่าเวลามันน้อยไป เดี๋ยวนี้ลูกขยับมาเป็นตี ๒ ครึ่งทุกวันเจ้าค่ะ ลูกเดินจงกรมทุกวัน ลูกจะอยู่กับปัจจุบันเจ้าค่ะ อยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น..มันไม่มีความกลัวตาย ไม่มีความกลัวอะไรเลย เพราะรู้ว่าทุก ๆ ขณะจิตถ้าตายลงในขณะใดนี่ มันอยู่พรึ่บเลยเจ้าค่ะ มันไม่มีสิทธิ์เลยที่จะหลุดไปไหนเจ้าค่ะ

(การสนทนาธรรมจบลงเพียงเท่านี้)

เถรี
13-08-2023, 21:29
สตรีนักภาวนาดูกาย

สตรีอีกท่านหนึ่งเป็นนักภาวนาคนสุดท้าย ที่เขียนจดหมายมาถามปัญหาธรรมหลายครั้ง และองค์หลวงตาเมตตาตอบจดหมายด้วยตนเองทุกครั้ง หรือแทบทุกครั้ง แม้จะเข้าวัยชราภาพมากแล้วก็ตาม (ช่วง ๑๐ ปีสุดท้ายก่อนมรณภาพ)

เนื่องจากเป็นนักภาวนาที่ชอบการพิจารณาอสุภะแบบโลดโผน มีการทดสอบลิ้มรสสัมผัสให้เห็นจริง ถึงความสกปรกน่าขยะแขยงน่ารังเกียจของร่างกาย จนเห็นผลของการปฏิบัติในระดับที่องค์หลวงตาแนะให้มาปฏิบัติเต็มตัว จากนั้นไม่นานสตรีท่านนี้จึงพักชีวิตทางโลก หันมาภาวนาเต็มตัวหลายต่อหลายปีที่วัดป่าบ้านตาด เพื่อจะปฏิบัติได้เต็มที่และสะดวกต่อการเข้าปรึกษาองค์หลวงตา

สตรีท่านนี้ได้เข้าถามปัญหาจิตภาวนากับองค์หลวงตาที่กุฏิของท่านหลายครั้ง ท่านก็ให้แนะอุบายวิธีเป็นลำดับ ต่อมาเมื่อเข้าวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ สตรีท่านนี้ได้ตั้งข้อปัญหาขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ศาลาใน คำถามครั้งนี้เป็นสาเหตุให้ท่านระลึกถึงอดีต ที่เคยเกิดปัญหาธรรมขั้นสูงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ และหลงติดปัญหานี้กับตนเองนานถึง ๓ เดือนเพราะขาดครูอาจารย์แนะนำ ต่อมาเมื่อแก้ปัญหาตกลงไปได้ ก็เกิดความอัศจรรย์ในธรรมอย่างใหญ่หลวง ถึงขั้นน้ำตาร่วงขณะสำเร็จธรรม

ในการแสดงธรรมอัศจรรย์ที่ศาลาในครั้งนี้ก็เช่นกัน เนื้อหาธรรมถึงกับทำให้ท่านต้องน้ำตาร่วงออกมาอีก คลับคล้ายกับเมื่อครั้งอดีตที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จึงกราบเท้าขอน้อมนำพระธรรมเทศนาครั้งนี้มาแสดงโดยย่อ ดังนี้

ถาม หลวงตาเจ้าขา เมตตาสอนการพิจารณาให้ถึงฐานความตายด้วยเจ้าค่ะ ?

หลวงตา ฐานความตายก็อยู่ในนั้น ดูเอาตรงนั้นซิ ตายกับเกิดอยู่ในจิตดวงนั้น ตัวจิตไม่เกิดไม่ตาย สิ่งแทรกพาให้เกิดให้ตาย เข้าใจหรือเปล่า ? ดูตัวจิต ไม่เห็นพิษของจิตจะไม่เห็นพิษของสิ่งเหล่านี้ จิตเป็นภัยเวลานี้ เข้าใจหรือเปล่า ? อย่าว่าจิตเป็นคุณอย่างเดียวนะ ภัยอยู่กับจิตนั่น ฟาดตัวจิตเป็นตัวภัยแล้ว ตัวนั้นอยู่ด้วยกันมันก็พังลงไป เข้าใจหรือเปล่าล่ะ ? ถ้ายังมายอจิตอยู่เมื่อไร จมนะ..อย่าว่าไม่บอก เท่านั้นแหละ ถึงกาลเวลาแล้วปัดหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือสงวนอะไรไว้ นั่นละ..คือกองมหาพิษมหาภัย

เราพูดอย่างนี้แล้วมันก็กระเทือนถึงที่ว่า หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้าก่อนจังหันอย่างนี้ จิตมันอัศจรรย์อย่างว่านั่นแหละ อัศจรรย์บ้าอะไรก็ไม่รู้ เจ้าของอัศจรรย์เจ้าของน่ะซี

"โอ้โห..ทำไมจิตของเราถึงได้สว่างไสวอัศจรรย์เอาขนาดนี้เชียวนา" รำพึง..เดินจงกรมยืนอยู่ มันจ้าไปหมดเลย ทำไมถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้ ? จิตดวงนี้ ๆ นั่นละตัวมหาภัย คือตัวที่ว่าอัศจรรย์ นั่นเห็นไหมล่ะ..นั่นละ..ธรรมท่านกลัวไปหลงน่ะซี ก็เราติดอยู่แล้วหลงอยู่แล้วว่าไง ไม่มีอะไร ๆ ก็มาเอาจุดสุดท้าย นั่นละวัฏจักร เรียกว่าอวิชชาตรงนั้นเอง นั่นละยอดอวิชชา ยอดวัฏจักรวัฏจิต คืออวิชชา มันไม่มีอะไรแล้วก็ไปชมเชยตรงนั้น

สักเดี๋ยวขึ้นละซี ธรรมท่านเตือนขึ้นมา เพราะว่าที่ว่าสว่างไสว มันมีจุดของมันอยู่นั้น เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันจ้าอยู่นั้น ออกไปข้างนอกมันก็ออกจากไส้ตะเกียงที่สว่างจ้า นั่นละตัวสำคัญ

เถรี
13-08-2023, 21:33
เราก็อัศจรรย์ตัวนั้นเอง ขึ้นอุทานในใจเทียวนะ โอ้โห..จิตของเราทำไมถึงสว่างไสวอัศจรรย์เอาเสีย เหมือนหนึ่งว่าเหนือโลกเหนือสงสาร นั่นเห็นไหม ? อวิชชาแผลงฤทธิ์เวลาสุดท้าย..เห็นไหม ? เรารู้มันเมื่อไร ไม่รู้จะไปหลงอัศจรรย์มันหาอะไร สักเดี๋ยวธรรมะท่านกลัวหลง ท่านก็ผุดขึ้นมาเป็นคำ ๆ เราลืมเมื่อไรถ้ามีจุด จุดไส้ตะเกียงนั่นเองสว่าง นี่จุดกับต่อมเป็นไวพจน์ของกันและกันใช้แทนกันได้ ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ

นั่น..เห็นไหม..บอกตรงนี้ ตัวนี้ตัวภพ ถึงขนาดนั้นยังจับไม่ได้นะ งงไปเลย มีจุดมีต่อม คือตัวนี้เอง ถึงได้คิดพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านมรณภาพจากไปแล้วนั้น เราไปติดปัญหานี้อยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่พอกราบเรียนอย่างนี้เท่านั้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพก็จุดนั้นเอง ท่านก็ใส่เปรี้ยงเข้าไปนั้น มันก็พังทันที พอรู้ปั๊บเห็นโทษของมัน คอยจะไปอยู่แล้วนี่นะ แต่เราประคองมันไว้นั่นซี

นั่นละมหาภัยแท้ ตรงนั้นทีเดียว จุดที่รวมแห่งมหาภัยอยู่จุดที่สว่างกระจ่างแจ้งอัศจรรย์เต็มที่ของวัฏจักร ของแดนสมมติ อยู่จุดนั้นหมด เราไม่ลืม ตอนเดือนกุมภาฯ เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จแล้วก็ขึ้นบนเขา ติดปัญหาอันนี้ งงไปเลยนะ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ธรรมที่ท่านเตือนขึ้นมา แทนที่จะให้เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในเวลานั้น กลับเป็นความหลงมหาศาลเหมือนกัน เอ๊ะ..จุดต่อมที่ไหนนา ๆ ก็จุดนั้นน่ะ นั่นละเดือนกุมภาฯ เดือน ๓ เผาศพท่านเสร็จแล้วขึ้นบนเขา ไปติดปัญหาอันนี้

ไม่คิดไม่คาดว่าอันนี้เป็นตัวมหาภัย ยังว่าเป็นมหาคุณอยู่ เห็นไหม..? กิเลสหลอกขนาดว่าตัวมหาภัยมันเสกว่าเป็นมหาคุณ..เห็นไหม ? ก็แบกปัญหานี้ไป นี่ที่ติดปัญหาตั้งแต่ขณะนั้นเดือน ๓ เดือน ๖ กลับมา เป็นเวลา ๓ เดือน กลับมาก็ขึ้นที่เก่าอีก แบกปัญหานี้ไป ๓ เดือนกลับลงมา หลังเขานั่นแหละ แต่ที่ติดปัญหาอยู่ทางจงกรมข้างกันนั้นกับด้านตะวันตก ปัญหานี้จบลงก็อยู่บนหลังเขาในภูเขาลูกเดียวกัน วัดดอยธรรมเจดีย์

บทเวลามันจะม้วนเสื่อกันนั้น มันไม่มีละ..เรื่องกาลสถานที่เวล่ำเวลา จะมายุ่งไม่ได้นะ มีเฉพาะธรรมชาตินี้ เวลามันจะประมวลลงมา คือมันไม่มีที่พิจารณาแล้ว อะไรมันก็หมดทุกอย่าง ปล่อยหมดแล้ว ยังเหลืออันเดียวนี้เท่านั้น โลกธาตุนี้ว่างไปหมด ปล่อยไปหมด วางไปหมดเลย ยังเหลืออันจุดอันต่อมนี้ เห็นไหมล่ะ ? จึงเรียกว่ามหาภัยอยู่จุดนี้

เถรี
13-08-2023, 21:37
มันก็มาจับจุดนี้ มาวินิจฉัยตัวจิตนี้ มันหมดที่พิจารณาแล้ว อะไรก็ปล่อยหมดแล้ว เหลือแต่อันนี้นิดเดียวที่ปรากฏอยู่กับความรู้นั้น มันก็มาวินิจฉัยเหล่านี้เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ ออกจากอันนี้ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง มันก็ออกจากนี้ ทำไมมันเป็นหลายอย่างนั้น จิตดวงนี้น่ะ สักเดี๋ยวธรรมท่านก็ผุดขึ้นมา แน่ะอย่างนั้นนะ นี่..เรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดเป็นเครื่องผูกมัดธรรมเกิดเปิดออก นั่น..เรียกว่าธรรมเกิด

กิเลสเกิดมันแทรกอยู่ด้วยกัน สักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำ ๆ เหมือนเราพูด ขึ้นมาเป็นคำ ๆ คำว่าเศร้าหมองก็ดี นั่น..เวลาจะขึ้นนะ คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าสุขก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ นั่น..เวลาตัดกันจริง ๆ ลงในขั้นอนัตตา ในไตรลักษณ์นี้ จะเป็นอะไรขึ้นได้ทั้งนั้น ขึ้นบทสุดท้ายขึ้นได้ไตรลักษณ์นี่ แต่นี้สำหรับนิสัยเราขึ้นบทอนัตตา ปล่อยให้หมดความหมายว่างั้น

ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ คือความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี รวมลงมาแล้วเรียกว่าธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตา พอว่าเป็นอนัตตาจิตมันก็ตั้งจ่อนิ่งเลย เพราะมันลงในอนัตตาแล้ว ไม่มีที่ไปแล้ว อันนี้เปิดให้หมดหัวอกเลย..วันนี้นะ พอเท่านั้นแหละ จิตจะว่าทำงานอะไรอยู่ก็ไม่ใช่ เป็นวางเฉยในธรรมขั้นนี้ ไม่ทำการทำงานอะไรเลย จะไปสนใจกับว่าอัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี หรือสนใจว่าสุขว่าทุกข์ เศร้าหมอง ผ่องใส ก็ดี ไม่ไป อยู่จุดศูนย์กลางเฉย เฉยด้วยมหาสติมหาปัญญานะ ไม่ได้เฉย ๆ แบบเซ่อ ๆ ทั้งอ้าปากอย่างพวกเรานะ

นั่นละ..ถ้าเราจะพูดเป็นแบบโลกก็เรียกว่า ปล่อยบทเผลอ แต่นี้มันไม่ได้เผลอ เป็นแต่เพียงวางเฉย ๆ ไว้ มันไม่เผลอไม่ทำอะไร มันก็ผางขึ้นมาเลย อันนี้ก็ว่า อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เรียกว่ามันพรึบคว่ำลงไปเลย ปัดอันนี้ทั้งหมดที่ว่าจุดว่าต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมองผ่องใสอะไร ลงในอนัตตาอันเดียว ผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย..!

นี่เวลามันลบนะ..มันลบหมดเลย ผางขึ้นมานี้เหมือนฟ้าดินถล่มนู่นน่ะ ฟังซิน่ะ..กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิต กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เพราะอวิชชาตัวนี้พาเที่ยวแดนโลกธาตุ..เข้าใจไหม ? พอคว่ำอันนี้ลงแล้ว ก็เหมือนกับว่าแดนโลกธาตุนี้คว่ำลงพร้อมกันหมด ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มเลยนะ..!

เถรี
13-08-2023, 21:41
ทีนี้พอมันพรึ่บทีเดียวเท่านั้น อันนี้ไม่ได้มีอันใดที่จะเข้าไปตัดสิน หลักธรรมชาติตัดสินเอง เป็นเองขึ้นมา ฟ้าดินถล่มก็เป็นเองทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีอะไรตั้งสติสตังตอบรับกันเลย เป็นลักษณะกลาง ๆ ขึ้นมาผางทีเดียวนี้ เหมือนกันกับว่าโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย พรึ่บทีเดียวหมดเลย ทีนี้จ้าเลยทีนี้

"อู๋ย..อัศจรรย์จริง ๆ นี่..เห็นไหม ? ขันธ์ทำงาน พี่น้องทั้งหลายดูเอา ความอัศจรรย์ที่มาสอนโลกเวลานี้พิลึกพิลั่น แหม..ดูซิ..น้ำตานี่พังเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังพัง..เห็นไหม ? นี่ละขันธ์ทำงาน ธรรมชาตินั้นไม่มี..เข้าใจไหม ? นี่ละ..ผางเท่านี้ โถ..อัศจรรย์จริงๆ"

ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง อยากถามผู้มันนอนตายอยู่นี้..ว่างั้นนะ

"โอ๊ย..อัศจรรย์จริง ๆ แหม..น้ำตานี้พังพราก ๆ ๆ โถ ๆ ขึ้นมาเลยเทียวนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ ๆ ? ย้ำอยู่นั่นน่ะ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ ๆ ? ไม่เคยคาดเคยคิดนะ..มันผางขึ้นมา อู๊ย..อัศจรรย์พูดไม่ถูก คิดดูซิ..เดี๋ยวนี้ยังเป็น มันสด ๆ ร้อน ๆ"

จากนั้นแล้วมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่ากายนี้ไหวเลยเทียวนะ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่ม แดนโลกธาตุดับพรึ่บลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ..พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ ? ถามท่านหาอะไร มันเจออยู่นั้นแล้ว..จะว่าไง พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ ? พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ ? รวมเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เรียกว่าธรรมอัศจรรย์เลิศเลอ หรือว่าธรรมธาตุแล้วเท่านั้น เหอ..พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ? แต่ก่อนเราเคยคิดเมื่อไรว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน่ะ วันนี้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเต็มที่ จนกระทั่งน้ำตาร่วงให้เห็นต่อหน้าต่อตา

เถรี
26-09-2023, 17:39
เทศนาอบรมฆราวาส

หากไม่นับการแสดงธรรมในช่วงชีวิตการเรียนและการออกธุดงคกรรมฐาน องค์หลวงตาเริ่มเกี่ยวข้องกับการเทศน์สั่งสอนประชาชนปรากฎชัดเจนตั้งแต่คราวไปจำพรรษาที่จังหวัดจันทบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ และกระจายกว้างขวางขึ้น เมื่อเริ่มตั้งวัดป่าบ้านตาดในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา

การแสดงธรรมอบรมฆราวาสขององค์หลวงตาแบ่งเป็น ๒ ประเภท ตามสถานที่แสดงธรรม คือ ๑. อบรมคณะที่มากราบเยี่ยมที่วัดป่าบ้านตาด ๒. เดินทางไปอบรมนอกสถานที่

ส่วนเนื้อหาธรรมที่แสดงนั้นท่านมีหลักเกณฑ์ว่า
"การเทศนาว่าการต้องไปตามกาล สถานที่ บุคคล จะให้เสมอกันหมดไม่ได้ หากเป็นอยู่ในตัวของมัน เครื่องรับเครื่องวัดกันมันมีอยู่ในนั้น ไม่ต้องไปถามใคร รู้พอดิบพอดีตลอดเวลา"

ในระยะที่ธาตุขันธ์ของท่านยังพอเป็นพอไป ท่านเมตตารับนิมนต์ไปแสดงธรรมตามหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่เขานิมนต์มา เช่น วัด หน่วยราชการ ทหาร ตำรวจ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งจะรับหรือไม่ท่านพิจารณาตามเหตุผลความจำเป็นเป็นสำคัญ

ต่อเมื่อชราภาพมากเข้า ท่านจึงงดเว้นการออกไปแสดงธรรมนอกสถานที่ หากมีอยู่บ้างโดยมากเป็นงานเนื่องด้วยมรณภาพของพระกรรมฐานครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชา หลวงปู่คำตัน หลวงปู่หล้า เป็นต้น

ต่อมาเมื่อเปิดโครงการช่วยชาติในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป องค์หลวงตาก็เมตตารับนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่ในจังหวัดต่าง ๆ ในสถานที่ต่าง ๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้ท่านต้องลำบากตรากตรำฝืนสังขาร เดินทางไปแสดงธรรมช่วยชาติเกือบทั่วประเทศไทยตลอดระยะเวลานับสิบปี ซึ่งธรรมเทศนาในระยะช่วยชาตินี้ จักได้แสดงในบทต่อ ๆ ไป เมื่อมีโครงการช่วยชาติ พระธรรมเทศนาขององค์หลวงตายิ่งกว้างขวาง กระจายไปทั่วประเทศและทั่วโลกจนกระทั่งปัจจุบัน

เถรี
26-09-2023, 17:47
ต้อนรับคณะผู้มาเยือน

องค์หลวงตามีเมตตาต่อคณะผู้มาเยือนกลุ่มย่อยกลุ่มใหญ่จากทางใกล้ทางไกล ทั้งในและนอกประเทศที่มาขอเยี่ยมพบท่านตลอดมา แต่เมื่อกำลังอ่อนลง การต้อนรับย่อมมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้น คราวหนึ่งท่านเล่าแบบขบขันถึงคณะกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อจะขอเข้ากราบท่าน ดังนี้

"..ควรรับขนาดไหน..มันสมควรขนาดไหน เมื่อเพียบเต็มที่แล้วมันจะไปได้หรือ ? ก็ต้องหยุดพักเครื่องน่ะซี..มาตลอดทั้งวัน เรานั่งตลอดคนเดียว แล้วไม่ใช่วันหนึ่งวันเดียวด้วย นั่งมาตั้งเมื่อไร มันตายได้มนุษย์เรา ชีวิตหดสั้นย่นเข้ามาเรื่อย ๆ..เขาว่าไม่ต้อนรับ ไปกี่ครั้งกี่หนไม่ได้พบท่าน ว่าอย่างนั้น.."

ถ้าเราจะตอบก็ว่า "เฮาก็ไม่ได้พบเจ้าคือกันแล้ว ก็เว้าจั่งซั้นจะเป็นหยัง..แม่นบ่ จะมาเว้าแต่เจ้าบ่พบข้อย ข้อยก็บ่ได้พบเจ้าคือกันตั๊ว มันก็เท่ากันแล้ว" ยากอีหยัง..ตอบคน..มันสุดวิสัย

ก็เคยรับอยู่แล้ว..วันนั้นเรารับแขกทั้งวัน เราจะตายจนไม่มีลมจะพูดแล้ว กำลังจะมืด พระก็มาบอกว่า คณะญาติโยมมาจากโน้น ๆ เราก็เล็งดู จากโน้นจากนี้ก็ไกล ก็ทน "เอ้า..ให้เข้ามา" แน่นเอี้ยดกุฏิเรา เราก็เลยทำท่าละทีนี้ มันทำได้ทุกอย่าง พลิกสันก็ได้คมก็ได้

พอมาเราก็ทำท่าขึงขัง เราอดหัวเราะไม่ได้นะ แต่ทำท่าขึงขัง "แม่นหมู่เจ้า มาอีกหยังกะด้อกะเดี้ยแท้ เดี๋ยวนี้ว่ะ" .. ขู่นะ เขาตอบว่า "มาชมบารมีหลวงพ่อ"

"บารมีแม่นอีหยัง คนกำลังจะตายฮู้จักบ่..เอ้า..ไป..ลง.." ขู่แล้ว พอเท่านั้นละ หลั่งลงไปลิด ๆ จั่งซั่นแล้ว บัดจะเฮ็ด เฮ็ดจั่งซั่นแล้ว โกรธก็โกรธ เคียดก็เคียดก็ตาม ทำท่าคึกคักขึ้นโลด ของทำได้..แม่นบ่ ตั้งแต่เขาเล่นลิเกละครเขายังทำได้..ใช่ไหม ? ถึงบทหัว..หัว ถึงบทไห้..ไห้ บ้าทั้งนั้นละพวกนี้ จั่งซั่นแล้วก็เฮ็ดได้.."

"ระยะนี้มานี้เราเพียบเต็มที่ หนักมาก..มาเป็นประจำ ๆ เมื่อวานนี้เป็นวันสุดท้ายจนรับไม่ได้ ว่างั้นเถอะ หมดกำลัง ลุกเดินจะไม่ได้ ขาก็ขัดอะไรก็ขัดไปหมด ก้นก็จะแตกจะว่าไง โถ..นั่งทั้งวัน แขกไม่ใช่คณะหนึ่งคณะเดียว มาทั้งแผ่นดินนี่ คณะนั้นเข้าคณะนี้ออก อยู่อย่างนั้นแล้ว รับคนเดียว.."

เถรี
28-09-2023, 21:39
บุญประทายข้าวเปลือก

องค์ท่านกล่าวถึงความเป็นมาของงานบุญประทายข้าวเปลือกที่วัดป่าบ้านตาดไว้ว่า

"..แต่ก่อนเราไม่ค่อยสนใจนะ เพราะบ้านนี้เขาทำบุญประทายข้าวเปลือกมาเป็นประจำ เราเกิดมาเห็นอย่างนั้น ไม่มากก็น้อย เขาทำของเขาทุกปี พอทำนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาทำบุญประทายข้าวเปลือก ถ้าสมมติว่าไม่มีพระอยู่ในวัด วัดบางทีมีร้างมีอะไร เขาก็ไปหานิมนต์พระที่อื่นมาทำบุญ เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ยกข้าวถวายท่านเลย อย่างนั้นประจำ.."

เรามาสร้างวัดนี้เขาก็ทำ ว่าอะไรเขาก็ว่า "เคยมาอย่างนี้เป็นประจำ มาเลย"

ที่เขาทำนี้ พอเราเกิดมาก็เห็นแล้วนะ ไม่ทราบเขาทำมานานเท่าไร เป็นประจำทุกปี ๆ ได้มากได้น้อยเขาก็ทำของเขาอย่างนั้น มีพระอยู่ในนั้นเขาก็ทำถวายพระในนั้น ถ้าไม่มีพระบางทีวัดร้างก็มี เขาก็ไปนิมนต์เอาวัดอื่นมา

พอทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยกข้าวถวายวัดไปเลยเป็นประจำ รู้สึกจะฝังจริง ๆ ฝังนิสัยของเขาหมู่บ้านนี้ นอกนั้นเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่บ้านนี้รู้ชัด ๆ เพราะเราเกิดมาเห็นอย่างนั้นแล้ว ไม่ทราบว่าใครเป็นคนพาทำแต่เริ่มแรก เขาทำของเขาอยู่อย่างนั้น เรียกว่าฝังเป็นนิสัย เป็นประเพณีของบ้านนะ

เราจำได้ตอนที่เรามาบวชแล้วมาอยู่ที่นี่ มีปีเดียวเท่านั้น ดูเหมือนปี ๒๕๐๗ เรายังจำได้นะ ที่เราบังคับเอาเลย บอกเขาว่า "ไม่ให้ทำ" ดุด้วยบังคับด้วย ห้ามเด็ดขาดเลย ยกเหตุผลให้ต่อหน้าต่อตา

ปีนั้นเกือบจะไม่ได้ทำนากัน แต่เขาก็จะทำบุญข้าวเปลือก เราจึง "ห้ามอย่างเด็ดขาดเลย" มีงดปีนั้นเท่านั้น นอกนั้น่เขาก็ทำของเขา ปีนั้นเอาเด็ดขาดเลยนะ เขาจึงหยุดนะ รู้สึกเขาจะเสียดายอยู่เหมือนกันนะ เพราะบางคนพูด แต่ไม่กล้ามาพูดต่อหน้าเราเขาพูดนอก ๆ ว่า

"โอ๊ย..เรื่องความมีความจน ก็มีก็จนเป็นธรรมดาแหละ แต่การทำบุญให้ทานก็เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขาฝังลึก เขาอยากทำบุญให้ทานข้าวเปลือก"

อ้าว..ทีนี้เราก็แก้ไปใหม่นะ "ทำบุญข้าวเปลือกไม่ได้ก็ให้เอาข้าวสุก พระไปบิณฑบาตให้ใส่บาตรนั่นนะ"

เขาก็แก้อีก "อู๊ย..อันนี้ก็เป็นอันดับหนึ่ง อันนั้นก็เป็นอย่างหนึ่ง ก็อยากทำบุญ"

แต่พอเราพูดด้วยเหตุด้วยผล "ข้าวก็จะไม่มี ผู้จนก็จนอยู่นี้ จะพักบ้างก็ได้นี่นา เพราะไม่ใช่เราเป็นคนใจจืดใจดำ มีลดหย่อนผ่อนผันไปตามกาลตามเวลา หรือหยุดตามเหตุการณ์"

นี่ก็เราเป็นคนสั่งเอง เราดูเอง พันธุ์ข้าวก็จะไม่ได้ ปีนั้นคือฟ้าฝนไม่มี เราจำได้ว่ามีปีนั้นแหละ..แทบจะไม่ได้พันธุ์ข้าวนะ ฟ้าฝนไม่มี ได้ก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ลุ่ม ๆ ก็พอได้บ้าง ถ้าธรรมดาแทบจะไม่ได้ ถ้าเป็นนาดอนนาสูงไม่ได้เลย ไม่ได้ทำ เวลาเป็นปรกติเราก็ไม่ว่า ก็ให้ทำตามเรื่องของเขา.."

เถรี
28-09-2023, 21:46
หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ กล่าวถึงงานบุญนี้ แรกเริ่มทีเดียวจัดที่โรงเรียนบ้านตาด ก่อนจะย้ายมาจัดที่วัด ดังนี้

"จะเริ่มปฏิบัติกันมาตั้งแต่เมื่อใดนั้นก็ไม่ทราบ แต่มีความเป็นมาจากบุญคูณลาน ซึ่งเดิมชาวบ้านตาดจัดงานที่โรงเรียนบ้านตาด โดยนำข้าวเปลือกมากองรวมกัน แล้วนิมนต์องค์หลวงตาพร้อมพระไปเจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหาร ต่อมาจึงมีการจัดที่วัดป่าบ้านตาด โดยชาวบ้านนำข้าวเปลือกมารวมกันที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งในเบื้องต้นมีเฉพาะชาวบ้านตาดกับชาวบ้านกกสะทอน ที่นำข้าวเปลือกมารวมกัน หลังจากนั้นได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา"

คำว่า ประทาย นอกจากจะใช้เรียกชื่อการทำบุญที่มีชาวบ้านหลาย ๆ คนนำข้าวเปลือกมากองรวมกันแล้ว ในแถบจังหวัดอุบลราชธานีมีการใช้คำนี้ในการทำบุญก่อเจดีย์ทรายด้วย โดยจะใช้คำว่า ตบประทาย ซึ่งหมายถึง การที่ชาวบ้านแต่ละคนนำทรายมากองรวมกัน แล้วก่อเป็นเจดีย์ทรายขึ้น จากนั้นมีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ และทำบุญอุทิศคล้ายกับทำบุญประทายข้าวเปลือก

ประทายข้าวเปลือก จึงหมายถึงกองข้าวเปลือก ที่เกิดจากบุคคลหลายคน นำข้าวเปลือกมากองรวมกันเพื่อการทำบุญ ซึ่งเป็นประเพณีความเชื่อที่มีมาแต่นมนานแล้ว ชาวบ้านเขาทำนาได้ข้าว เขาก็จะเอาข้าวเปลือกมาทำบุญ ส่วนการทำน้ำพระพุทธมนต์ เป็นสิ่งมงคลที่ชาวบ้านได้ไปแล้ว จะนำไปรดสรงทั้งคนในครอบครัว เรือกสวนไร่นา ตลอดจนสิ่งของอย่างอื่น เช่น บ้านเรือน ยุ้งข้าว เกวียน รถ เป็นต้น เพื่อให้เกิดความอยู่เย็นเป็นสุข

ในระยะแรกข้าวเปลือกที่นำมาบริจาคในงานบุญประทายข้าวเปลือกเป็นของหมู่บ้านตาด ต่อมาหมู่บ้านแถบนั้นก็มาร่วมด้วย และเริ่มกระจายออกกว้างมากขึ้น ๆ จนไม่ถือเป็นงานบุญของหมู่บ้านหรือจังหวัดอุดรธานีอีกต่อไป องค์หลวงตาท่านจะนำข้าวเปลือกเหล่านี้ไปขาย เพื่อนำเงินมาสงเคราะห์ช่วยเหลือ กระจายออกเป็นประโยชน์ทั้งรายย่อยและสาธารณะตลอดมา ต่อมาเมื่อบ้านเมืองประสบวิกฤตเศรษฐกิจปลายปี พ.ศ.๒๕๔๐ องค์ท่านจึงเริ่มขอรับการบริจาคช่วยชาติ แต่ก็ยังไม่กว้างขวางนัก

จนกระทั่งวันเสาร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นวันทำบุญประทายข้าวเปลือก ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ในวันนั้นประชาชนจากทุกสารทิศเดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก ท่านจึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า จะนำเงินที่ได้จากการขายข้าวเปลือกในครั้งนี้ "บริจาคช่วยชาติ"

อันเป็นการริเริ่มเปิดตัวการรับบริจาคช่วยชาติ ให้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนได้รับรู้อย่างกว้างขวาง แต่ไม่เป็นทางการเป็นครั้งแรก และถือปฏิบัติด้วยการบริจาคช่วยชาติเช่นนั้นตลอด ๗ ปีในโครงการผ้าป่าช่วยชาติฯ จากนั้นก็เป็นการบริจาคสงเคราะห์โลกตลอดมา องค์ท่านกล่าวในเรื่องนี้ไว้ดังนี้...

เถรี
28-09-2023, 21:49
"..ระยะนี้ข้าวเปลือกก็เป็นจริงเป็นจัง เป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ เพื่อชาติของเรา มาจริงจังหนักแน่นตอนที่เราช่วยชาติ แต่ก่อนเราไม่สนใจ เขาทำของเขาเอง ตอนนี้เลยเอาอันนี้เข้าเพิ่ม เพื่อช่วยชาติเราก็ส่งเสริมไปเลย เราไม่ได้มีอะไร เราไม่ได้เป็นเศรษฐี เรามีอะไรเราก็ทาน จะรอให้เป็นเศรษฐีแล้วค่อยทานมันตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เห็นใครเกิดมาเป็นเศรษฐี เอาเศรษฐีมาอ้างแล้วจึงทำบุญ มันตายกันหมดนั่นแหละ ไม่ได้ทำบุญ เรามีเท่าไรเราก็ทำของเรา อันนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มีสมบัติเงินทองข้าวของอย่างอื่น เรามีข้าวก็เอา ก็ไปนั้นอีก จึงได้ทำ

เห็นไหมล่ะ..งานนี้ (วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) ดูคนซิ วัดป่าบ้านตาดเนื้อที่ตั้งเกือบ ๖๐๐ ไร่ คนมาแน่นวัด เพราะอะไรคนถึงมามากมายก่ายกอง ? เพราะวัดนี้ทำบุญช่วยโลก ช่วยทั่วประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้น..คนจึงมามากมาย มาทั่วประเทศไทยเหมือนกัน งานทั้งหมดเรียกว่างานเพื่อโลก สงเคราะห์โลก

วันนี้ทำบุญข้าวเปลือกช่วยโลก ข้าวเปลือกมีมากขนาดไหนนำออกช่วยโลกทั้งหมด จึงเรียกว่างานเพื่อโลก งานสงเคราะห์โลก ทำเพื่อโลกทั้งนั้นแหละ งานบุญวัดป่าบ้านตาดเรานี้ก็เป็นงานบุญเพื่อช่วยโลกนะ เราทำทั่วประเทศไทยช่วยโลกทั้งนั้น...

ปัจจัยทั้งหลายที่มาเหล่านี้ออกช่วยโลกทั้งนั้นนะ สำหรับวัดนี้ไม่เอา มีเท่าไร ๆ ออกสร้างนั้นสร้างนี้ โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง โรงพยาบาลทุกภาคทั่วประเทศไทย ขัดข้องขาดเขินอะไรก็วิ่งเข้ามาหาเรา เราก็ช่วยเหลือตามที่เกิดที่มี หลวงตาพาพี่น้องทั้งหลายนำสมบัติเข้าส่วนรวมนะ หลวงตาไม่เคยแตะต้องสมบัติของส่วนรวม มีแต่ช่วยส่วนรวมตลอดมา...

บรรดาพี่น้องทั้งหลาย..ที่หลวงตาพาทำบุญข้าวเปลือกวันนี้ก็ทำบุญเพื่อโลกของเรา ผู้ขัดสนจนใจมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า ได้อันนี้ออกไปแล้วก็เฉลี่ยเผื่อแผ่ไปทั่วถึงกันหมด จึงว่าทำบุญสงเคราะห์โลก เราทำอย่างนั้นจริง ๆ นี่ดูซิ..ข้าวกองพะเนินนี่จะออกช่วยโลกทั้งนั้น ออกช่วยโลกทั้งหมด เราไปไหนก็ไปช่วยโลก อยู่ก็อยู่ช่วยโลก เราไม่เอาอะไร ไปนี้ก็ไปช่วยโลก ช่วยไปหมดทุกแห่งทุกหน กระจายออกไปสู่ที่ขาดแคลนกันดาร ที่ไหนเราก็ออกช่วยทั้งนั้น...

สำหรับเรา เราไม่เอา กรุณาทราบไว้ตามนี้ เราพอแล้ว สมควรที่ว่าเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายออกทางด้านวัตถุ และด้านนามธรรม แนะนำสั่งสอนโลกทั่ว ๆ ไป ทั้งวัตถุเข้าสู่ส่วนรวม.."

เถรี
11-10-2023, 23:42
คุ้นเคยวัดบวรฯ วัดในกรุงเทพฯ

ในอดีตหากมีกิจธุระที่กรุงเทพมหานคร องค์หลวงตามักจะมาพำนักที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นประจำ เนื่องจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ สมัยทรงดำรงสมศักดิ์ที่พระสาสนโศภณกับองค์หลวงตา ต่างก็นับถือกันเป็นสหธรรมิก มีความสนิทสนมและห่วงใยซึ่งกันและกัน ด้วยความที่มีอายุและพรรษาใกล้เคียงกัน แม้เจ้าพระคุณเองก็ทรงไปพักภาวนาทีวัดป่าบ้านตาดหลายครั้ง ครั้งละเป็นอาทิตย์ทีเดียว

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ณ วัดเทวสังฆาราม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี องค์หลวงตายังได้ไปร่วมงานศพพระชนนีของเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระสาสนโศภณอีกด้วย องค์หลวงตากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในอดีตว่า

"เมืองกาญจน์นี้วัดอะไรอยู่ทางด้านทิศเหนือโน้น นี่ก็สงัดเหมือนกัน ตอนนั้นไปกับสมเด็จพระสังฆราช คือท่านพักอยู่วัดเหนือ เป็นวัดเดิมของท่าน ท่านนิมนต์เราไปในงานเผาศพโยมมารดาท่าน แล้วนิมนต์เราเป็นองค์แสดงธรรมด้วย เราถึงได้ไป ไปพักอยู่หลายคืนเหมือนกัน ท่านทรงเป็นเจ้าภาพมารดาของท่าน คนเคารพนับถือมาก งานจึงเป็นไปหลายวัน นั่นละ..ตอนเรามีโอกาสไปงานของท่าน งานของเราอยู่ในป่า จึงได้สนุกเที่ยวดูป่าแถวนั้น โฮ้..ภาวนาดี เราไม่ได้มาหาท่านแหละ ไปสักแต่ว่าไป ถึงเวลาแล้วก็ลงมาเท่านั้นแหละ มาเทศน์มาอะไร

มีสองครั้งสามครั้งที่เรามาเกี่ยวข้อง นอกนั้นเราไม่มา ก็เป็นภาระของท่านเอง ธุระของท่านเอง เราไม่ยุ่งท่าน ถึงได้สนุกภาวนา วัดนี้เป็นฐานหนึ่งของที่ภาวนา สะดวกสบาย เข้าไปในป่านี้สบายไปหมดเลยนะ นี่หมายถึงเมืองกาญจน์ เป็นป่าเป็นเขา ตัวเองจริง ๆ ห่างไกลกันอยู่ นั่นละ..ที่มันสงัดวิเวกดี ตอนที่เรามีโอกาสบ้างก็ตอนตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช

วัดบวรฯ จะเรียกว่าวัดเราก็ถูก กุฏิคอยท่าปราโมชเป็นกุฏิที่สมเด็จพระสังฆราชประทับอยู่ที่นั่นแต่ก่อน ระยะหลังก็คงจะอยู่ที่นั่นกระมัง เราไปพักวัดบวรฯ แรก ๆ ก็ไปพักกุฏิท่าน ท่านนิมนต์ให้พักกุฏิท่าน ให้อยู่ชั้นบนเลย ท่านนิมนต์เราขึ้นชั้นบน เราไม่ขึ้น เราบอกท่านจะพักอยู่ข้างล่าง จากนั้นเลยขอท่านพักกับเจ้าคุณยนต์ (พระเทพสารเวที) นี่แหละ แต่ก่อนท่านให้พักกับท่านทั้งนั้นแหละ พักกุฏิท่าน พักกุฏิหลังนี้ ท่านให้เลือกเอาตามชอบใจสองหลังนี้ ครั้นต่อมาเราก็เลยไปพักอยู่กับกฏิเจ้าคุณยนต์ เวลาสำคัญ ๆ ท่านจะพูดกับเราโดยเฉพาะ ปรึกษาปรารภอะไรลึกลับซับซ้อน แปลก ๆ ต่าง ๆ ท่านจะปรึกษาโดยเฉพาะ ๆ"

เถรี
12-10-2023, 00:24
โห..เวลาคุยธรรมะนี้ท่านเอาจริงเอาจังมาก เฉพาะกับเราคุยกันสองต่อสอง เรื่องจิตภาวนา ท่านสนพระทัยทางด้านอานาปานสติ ท่านก็ภาวนาเต็มที่ของท่าน เวลาคุยกันโดยเฉพาะ ก็คุยธรรมะจิตภาวนาล้วน ๆ ท่านก็ทราบเรื่องราวทราบได้ดี ทราบจนวิถีจิตวิถีธรรม การพิจารณาอะไร ๆ เพื่อจะเป็นแนวทางให้ท่านพิจารณาต่อไป ความหมายว่าแบบนั้น สอนสังฆราชต้องสอนอย่างนั้นซิ ต้องหาอุบายวิธีพูดสอนไปในตัว ท่านสนพระทัยมากกับการภาวนา เวลามีปัญหาสำคัญ ๆ ท่านจะปรึกษากับเรา ท่านไม่ให้ใครมายุ่ง ปรึกษาธรรมะธัมโมอะไรต่ออะไร ท่านทำอานาปานสติ คุยกันสนุกดีนะ สองต่อสอง

สมเด็จพระสังฆราชเรา ท่านไม่ค่อยชอบพูดแหละ ท่านเป็นนิสัยอย่างนั้น เวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์ตามนิสัยของท่าน คือท่านเทศน์ช้ามากนะ พูดขึ้นประโยคหนึ่งแล้ว กว่าจะขึ้นอีกประโยคหนึ่งนาน เหมือนว่าคิดประโยคหน้าเสียก่อนแล้วค่อยพูด ประโยคจบเหมือนว่าคิดเสียก่อนแล้วค่อยพูด เป็นประโยค ๆ ช้ามาก เวลาท่านฟังเทศน์เรา ท่านก็คงจะคิดอันหนึ่งเหมือนกันนะ ท่านไปนั่งด้วยกัน เวลาให้เราเทศน์ บางวันที่ท่านว่างท่านก็ไปด้วย แต่ให้เราเทศน์ ทีนี้เวลาเราเทศน์กับท่านเทศน์มันต่างกัน ท่านเทศน์ช้ามากเชียว แต่เราพอเริ่มแล้วมันยำเลย ท่านก็ฟัง เราเทศน์ก็เป็นเรื่องของเรา ยำเลย ของท่านฟัดเสียโป้ก แล้วก็ไปหาผักหาหญ้ามาแล้วเอามาวาง ค่อยโป้ก..แล้วไปหาเนื้อหาปลามา แล้วก็โป้กอีกทีหนึ่ง เป็นอย่างนั้น เรานี้ยำเลย มันต่างกัน

ที่สำคัญก็คือ พอเวลาเราก้าวเข้าวัดบวรฯ นี้ ภาระท่านปลดเปลื้องมาเลยเทียว เหมือนว่าท่านไว้ใจเลย มอบให้เราหมด เทศน์อบรมประชาชน พวกอุบาสกอุบาสิกา ที่เขาไปฟังเทศน์วันพระวันอะไรต่ออะไรตอนเย็น วันพระท่านทิ้งให้เราเลย ไปเทศน์อบรมกรรมฐานตอนเช้า ท่านก็ทำตามพิธีของท่าน ท่านจะไปเทศน์แต่ตอนเช้าเท่านั้น ตอนเย็นเราจะเป็นผู้อบรมประชาชน ท่านเปลื้องภาระการเทศน์ได้เยอะ ถ้าไปทีไร ท่านมอบให้เลยนะ ท่านเทศน์มักจะเทศน์เรื่องกรรมฐาน พอดีเราไปนั้นเราเป็นกรรมฐานใหญ่ เข้าใจไหม ? ท่านก็โยนตูมให้

มีนิทาน คือผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่า ไปจ๊ะเอ๋กันกับหมี คือธรรมดาหมีนี่มันไม่ค่อยวิ่งหนี ถ้าเจอใกล้ ๆ จะโดดเข้ามากัดคน ทำคนให้เสียท่าเสียก่อนมันค่อยไป พอหนุ่มคนนั้นเดินไปนั้นไปจ๊ะเอ๋กับหมี หมีก็โดดมา ทางนี้ก็เข้าต้นไม้มันก็ตะปบมา ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนอยู่ทางนั้นมันก็ตะปบสองขา แล้วคนนั้นก็จับได้ทั้งสองขาเลย จับหมีตัวนั้นได้ทั้งสองขา

ทีนี้พอจับหมีได้ หมีก็โดดจะออก หัวคนก็ชนต้นไม้ คนจะตาย คนจับขาหมีดึง หัวหมีก็ชนต้นไม้ ชนอยู่อย่างนั้น ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนเจ็บหัวซิ พอหมีโดด คนจับขามันอยู่ หัวคนชนต้นไม้ เขาก็จับขาหมีไว้ หัวหมีก็ชนต้นไม้นั่นละ เอากันอยู่ปึงปัง ๆ พอดีอีกคนหนึ่งมา "ทำอะไรนั่น ?" "นี่กำลังจับขาหมี" "มา..ช่วย" คนนั้นเห็นจับขาหมี หัวหมีกับหัวคนชนต้นไม้ต้นเดียวกัน ทางนี้ก็ตะโกนเรียก "โอ๊ย..ทำอะไรนั่น ?" ทางนี่ก็ "จับขาหมี..มาช่วยกัน" คนนั้นก็ปุ๊บปั๊บจับขาหมีได้ คนนี้ก็เปิดเลย คนนั้นก็เลยชนต้นเสาอยู่กับหมีตัวนั้นแทน

เถรี
12-10-2023, 00:32
เราไปวัดบวรฯ ก็แบบเดียวกัน คือสมเด็จพระสังฆราชท่านจับขาหมีอยู่ ซัดกันปึ้ง ๆ ปั้ง ๆ พอเห็นเราไปท่านก็ว่ามาช่วยหน่อย พอเราจับขาหมีได้ท่านเปิดหนีเลย ปล่อยขาหมีให้เรา เรากับหมีเลยซัดกันปึ้ง ๆ ปั้ง ๆ ป่านนี้ยังคงไม่หยุดละมั้ง ? ไปทีไรเป็นอย่างนั้นละ นั่นละ..นิทานย่อ ๆ รับกัน เข้าท่าดี มันมีในนิทานเหมือนกัน คือหมีนี่เวลาไปเจอใกล้ ๆ มันไม่ได้วิ่งหนีนะ ส่วนมากมันจะวิ่งมาหาคน ตะปบหรือกัดคนเสียก่อน บางทีเจ็บมากด้วยมันถึงจะไป เรามาวัดบวรฯ มีแต่มาจับขาหมี ท่านเลยปล่อยให้เราเทศน์ ตั้งแต่มาพักที่นี่แล้วก็เลยไม่ได้ไป

ไปทีไรท่านก็โยนภาระให้เราละ สำคัญตรงนี้ ไปทีไรหนักนะ ถ้าไปวัดบวรฯ หนักมาก เทศน์อบรมประชาชน ตอนเย็นละไปเทศน์กรรมฐานที่ตึกมหามกุฏฯ หรือตึกอะไรที่รวมใหญ่นั่นละ เราไปที่นั่น เขาก็มาฟังที่นั่นฟังเทศน์ เทศน์อบรมเขาทางด้านภาวนา

ท่านภาระหนักมาก เราไปทีไรรู้สึกว่าท่านเบาลงมาก เราก็หนักมากเหมือนกัน ตั้งแต่เราสร้างวัดที่สวนแสงธรรมแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย จึงไม่ค่อยได้พบได้สนทนาปราศรัยกันกับท่าน แต่ก่อนรถราก็จอดได้สะดวกสบาย ทุกวันนี้แน่นหมด แม้แต่กลางวัดบวรฯ ที่เป็นสนามก็ดูว่าเป็นตึกเป็นอะไรขึ้นแล้ว ทุกวันนี้หาที่จอดรถไม่ได้เลย ก็พอดีเรามีสวนแสงธรรม สถานที่จอดรถกว้างขวางเหมาะกัน ตั้งแต่นั้นมาเราเลยไม่ได้เข้าวัดบวรฯ ไม่ได้เข้าอีกเลย ไปก็บึ่งไปนู้นเลย ไปสวนแสงธรรมพักที่นั่นเลย

วัดไหนก็ไม่ไปพักในกรุงเทพฯ ตั้งแต่สร้างสวนแสงธรรมแล้ว ไปสวนแสงธรรมทีเดียวเลย แต่ก่อนเราเป็นพระหลายวัด ถ้ามีธุระเกี่ยวข้องใกล้กับวัดใดก็ไปพักวัดนั้น ๆ ทำธุระวัดไหนก็พักหมดแหละ เพื่อนฝูงมีเยอะในกรุงเทพฯ วัดบวรฯ วัดเทพศิรินทร์ วัดนรนาถฯ วัดบรมนิวาส วัดสัมพันธวงศ์ วัดไหนไปหมดนั่นแหละ พักวัดไหนก็พักได้ เพื่อนฝูงมีเยอะ ตั้งแต่มาสร้างสวนแสงธรรมแล้วนี้จึงไม่ไปวัดไหนเลย ไปสวนแสงธรรม คนก็ไปรวมที่นั่น สะดวกสบาย เรื่องรถราจอดได้สะดวกหมด วัดบวรฯ ทุกวันนี้ไม่มีที่จอดรถนะ เพราะแน่นไปหมดเลย

เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักกับใครเลยวัดบวรฯ พระที่เฒ่าที่แก่ก็ล่วงไปหมดแล้วแหละ ดูมองไม่เห็นใครนะ ผู้ใหญ่ ๆ ที่เป็นเพื่อนฝูงกันแต่ก่อน ปรากฏว่าล่วงลับไปหมดแล้ว คงยังเหลือแต่พระหนุ่มน้อยที่ได้สมณศักดิ์สูงขึ้นไปเป็นขั้นเป็นภูมิไป ส่วนพระที่เคยเป็นเพื่อนเป็นฝูงกันแต่ก่อนดูเหมือนหมดแล้วนะ วัดบวรฯ หมด พอดีเราก็เลยมาอยู่ที่นี่ สุดท้ายเรียกว่าหมดจริง ๆ ก็ไม่ผิด ยังเหลือแต่สมเด็จฯ กับเจ้าคุณยนต์ นอกนั้นมองไม่เห็นองค์ไหนนะ

ตั้งแต่ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว (ปี พ.ศ. ๒๕๓๒) เรายังไม่มีโอกาสจะเข้ากราบนมัสการท่านเลยจนกระทั่งป่านนี้ ท่านยังเป็นฝ่ายมา เป็นผู้ใหญ่กว่าเรามาที่นี่ ประกอบกับสร้างวัดสวนแสงธรรมก็เป็นระยะเดียวกัน แต่ก่อนเราไปพักวัดบวรฯ เป็นประจำ พอไปพักที่สวนแสงธรรมก็เลยไม่ได้เข้ามาวัดบวรฯ อีก ทีนี้วัดบวรฯ ก็เลยไม่ได้ไปอีกทีนี้นะ ไปได้ที่นู่นแล้วก็ไม่ได้มากราบนมัสการท่านเลย

ถ้าหากว่าพูดตามทางโลกแล้วเรียกว่าเรานี้ถือเนื้อถือตัว เย่อหยิ่งจองหอง แต่ภายในใจของเราแล้วไม่มี เราเคารพท่านตลอดมา ที่ไม่ไปก็เพราะว่าปรกติท่านมีพระภาระมากมายอยู่แล้ว แม้เราเพียงตัวเท่าหนู งานของเราก็ไม่เคยว่าง ไหนอาจารย์มหาบัวจะมาเยี่ยมแล้วจะยุ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ ? เพราะไปหาท่าน ไม่ไปกราบเรียนท่าน ปุบปับเข้าไปเลยก็ไม่เหมาะ ก็เสียอีกทางหนึ่ง ถ้าจะกราบเรียนท่านแล้วค่อยเข้าไปก็เสียอีกทางหนึ่ง.."

เถรี
15-10-2023, 17:54
เข้ากราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์)

ในช่วงที่องค์หลวงตามีธุระที่กรุงเทพฯ และไปพักที่วัดบวรนิเวศวิหาร คราวหนึ่งท่านหาโอกาสเข้ากราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยนั้น โดยปกติจะไม่มีผู้ใดเข้ากราบสมเด็จฯ แบบเดี่ยว ๆ แต่ในครั้งนั้นท่านเข้าไปกราบสนทนาด้วยเพียงองค์เดียวเท่านั้น ยังความประหลาดใจแก่บรรดาพระเณรภายในวัดไม่น้อยทีเดียว ดังนี้

"ตอนขบขันมากก็คือ เราขึ้นไปเฝ้าสมเด็จสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จสังฆราชองค์นี้ คือธรรมดาใครจะขึ้นเฝ้าท่าน โหย..มีคนตามหน้าตามหลังรุมเลย เป็นอย่างนั้นเป็นประจำ ก็มีพระป่าองค์เดียวนี้แหละแหวกแนว เวลาจะไป ดูไม่มีคน..ปั๊บขึ้นเลยเชียว

โอ๊ย..ท่านเมตตามากอยู่นะกับเรา ท่านคงเห็นว่าพระองค์นี้มันมาจากไหน มันกล้าหาญเหลือเกิน คงว่างั้น ใส่ปุ๊บเลยคุยกัน ท่านซักนั้นซักนี้ เรากราบทูลท่านเรื่อย ๆ มาประมาณสัก ๑๐ นาทีเราก็ลง ท่านทรงยิ้มตลอดนะ เพราะท่านไม่เคยเห็นพระขี้ดื้ออย่างนี้ ท่านยิ้ม ๆ เพราะท่านไม่เคยเห็นที่ไหน ท่านมองดูเราแล้วยิ้ม ๆ อยู่ตลอด แต่เราเฉย คือพระองค์ไหนก็ตามที่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชนี้ ต้องมีผู้นำขึ้นไป ๆ ทุก ๆ องค์

พอตอนเช้ามา มาเล่าให้สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) ฟัง โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลย "ท่านอาจารย์ไปยังไง ?"

"อุ๊ย..จะยากอะไร กรรมฐานไป" เราว่างี้ เวลาเราตอบเราตอบอย่างนั้น กรรมฐานไม่ได้ยากนะ มันยากแต่ไม่ใช่กรรมฐาน แห่หน้าแห่หลัง ท่านมองดูหน้าเรา บทเวลาจะเอา เอาอย่างนั้นนะ ขึ้นหาท่านเลย ท่านทรงเมตตามากอยู่

เถรี
15-10-2023, 18:02
เวลากลางคืนเงียบ ๆ เราก็สอบถามพระ "สมเด็จพระสังฆราชวชิรญาณวงศ์ ท่านรับแขกเวลาเท่าไร ?" ถามพระผู้ใกล้ชิดเวลาที่ท่านว่าง..ว่างั้น ท่านบอกเวลาเท่านั้น เราก็จับเวลาเอาไว้แล้วไปองค์เดียวนะ ไปแบบขโมย ด้อม ๆ ไปถามพระ ท่านนั่งอยู่เหมือนกับว่าอยู่บนธรรมาสน์สูงอยู่นะ

พอเห็นเราไป เราก็สังเกตพระด้วย สังเกตทุกอย่างเพราะเราไปแบบปลอม ๆ แปลก ๆ ไม่มีใครทำอย่างนั้นแต่เราทำ มีพระเฝ้าท่านอยู่ ๓ องค์ เราขึ้นไปองค์เดียว พอไปถึงพระก็รีบทูลท่าน "นี่อาจารย์มหาบัว"

ท่านยิ้มเลย เข้าใกล้ ๆ เลย ท่านนั่งอยู่โน้นเรานั่งอยู่นี้ ไม่นาน..ดูเหมือนไม่เลย ๑๐ นาที ท่านทรงยิ้มตลอดนะ อย่างหนึ่งก็คือว่าเห็นพระป่าพระเขาไป ไม่รู้จักขนบประเพณีธรรมเนียมอะไร ปุบปับขึ้น เหมือนพระป่าว่างั้นเถอะ ท่านยิ้มนะ ทรงยิ้มตลอด เราสังเกตดู เราเป็นพระบ้านนอก พระอยู่ในป่าในเขาขึ้นไปหาท่าน ท่านถาม "มหาบัวหรือ ? อยู่อุดรหรือ ? เอ้อ..อยู่อุดรรู้จักพระยาอุดรไหม ?"
"รู้จักบ้างครับกระผม" เราก็ว่าอย่างนั้น
"พระยาอุดรแต่ก่อนอยู่วัดบวรฯ มหาจิต จากนั้นมาแล้วก็มาอยู่เป็นผู้ว่าที่นี่ แล้วพระยาอุดรมีลูกกี่คน ?" ท่านทรงรับสั่งด้วยดี ยิ้ม ๆ ตลอด ท่านรับสั่งถาม
"ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าท่านมีลูกกี่คน"

แล้วก็ถามอะไรต่ออะไร เราก็ทูลท่านเฉพาะ ๆ จากนั้นไม่นานเราก็กลับ กราบท่านแล้วลง ทีนี้ตอนเช้าพอฉันจังหันเสร็จแล้ว ตอนนั้นท่านเป็นพระธรรมวราภรณ์ สมเด็จสังฆราชองค์ปัจจุบัน อยู่กุฏิถัดเราไป เวลาเราทำอย่างนั้นท่านก็งงเหมือนกันว่า
"เมื่อคืนได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช"
ท่านว่า "เหอ ๆ แล้วไปเมื่อไร ?" "ตอนเท่านั้นทุ่มเท่านี้ทุ่ม"
โอ๊ย..จ้อเราเลยนะ "แล้วไปกี่องค์ ?" "ไปองค์เดียว"
ว่างั้น..ท่านยิ่งจ้อใหญ่เลย "แล้วท่านรับสั่งอะไรบ้าง ?"

เถรี
15-10-2023, 18:44
เราก็กราบเรียนท่านว่ารับสั่งอย่างนั้น ๆ แล้วก็ลงมา ท่านดูเราด้วยนะ ดูด้วยความสนใจ ภาษาของเราก็ว่า "พระผีบ้า..ไปขึ้นได้ยังไง ?" ประเทศไทยไม่มีใครขึ้นอย่างนั้น ท่านขบขัน ดูเราแล้วยิ้มตลอดนะ เพราะไม่มีใครทำอย่างนั้น เราไปตามประสาของเรา ถ้าไปแบบทั้งหลายเขาไปมันก็ไม่ใช่พระป่า..เข้าใจไหม ? ต้องไปแบบพระป่า เซ่อ ๆ ซ่า ๆ แบบนั้น ขบขันดีนะ

โอ๊ย..ท่านรับสั่งยิ้ม ๆ สมเด็จสังฆราชวชิรญาณวงศ์ ท่านรับสั่งดีทุกอย่าง ยิ้มตลอด เราขึ้นไปนึกว่าท่านจะมีพระพักตร์ยังไง ๆ ไม่มีนะ มีแต่ยิ้มตลอดเลย เราก็ไม่ให้เสียเวลา ขึ้นไปเล็กน้อยแล้วเราก็ลงมา นั่นละ..ตอนเช้ามาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราชองค์ปัจจุบัน ตอนนั้นท่านเป็นธรรมวราภรณ์ เป็นขั้นธรรม โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลยเทียวนะ

ตามธรรมดาท่านไม่ค่อยชอบพูดแหละ แต่เวลาเราเกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราชขึ้นไปองค์เดียวปลอม ๆ นี่ โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลย จ้องตลอดนะ ทั้งยิ้มทั้งจ้องทั้งซัก เราก็ธรรมดา ท่านจ้องท่านซักเราทุกอย่าง ท่านรับสั่งอะไรบ้างยังไงบ้าง ท่านไม่เคยเห็นนิสัยอย่างนี้ เราก็ธรรมดา มันใช้ได้ทุกแบบนี่ว่าไง ก็โลกสมมติ เวลาจะออกใช้พลิกทางนี้ปั๊บ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ พูดให้มันชัดเจนเสียว่ามันไม่ได้ติดอะไรนี่ ถ้าติดเขาติดเรา อย่า..ถ้าลงติดเขาติดเราแล้วไปไม่รอด ถ้าไม่ติดเขาติดเราเสียอย่างเดียวเท่านั้นไปได้หมด ทะลุหมดเลย

ทีนี้เวลาจะนำมาใช้ก็ใช้ตามกาลเวลาที่เหมาะสม จะใช้แบบนี้ก็ปุ๊บ ใส่แบบนี้ปิ๊งเข้าไปเลย จะใช้แบบไหนใช้แบบนั้นเลย ใช้แล้วหายเงียบไปเลยไม่มีอะไร ใครจะเป็นบ้าอะไรก็ช่างใคร เราไม่เป็นกับใคร เฉยเลย.."

เถรี
02-02-2024, 19:46
เทศน์อย่างนี้ก็เป็น ?

มีเรื่องขบขันระหว่างท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ กับองค์หลวงตาเกี่ยวกับการเทศน์กล่าว คือหากมีเหตุให้ท่านไปแสดงธรรมที่วัดโพธิสมภรณ์คราวใด พอขึ้นธรรมมาสน์แล้ว ก่อนการแสดงธรรมท่านเจ้าคุณมักจะเดินไปบริเวณรอบ ๆ และประกาศว่า

"ใครอย่าพูดนะ เราจะฟังเทศน์มหาบัวนะ เราจะฟังเทศน์มหาบัวนะ ใครอย่าพูดเป็นอันขาดนะ"

ในบริเวณนั้นจึงเงียบหมด จากนั้นท่านเจ้าคุณก็กลับมาประจำที่และตั้งใจฟังเทศน์แบบกรรมฐาน คือ หลับตาฟังด้วยความเคารพในธรรม โดยไม่ถือตัวว่าเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านมาก่อนแต่อย่างใดเลย มิหนำซ้ำถ้าอยู่กันสองต่อสอง ท่านเจ้าคุณจะซักถามแหลก บางครั้งก็นั่งมองดูหน้ากันเฉย ๆ ดูหน้า จ้อง แล้วก็ว่า

"ข้อยพูดตามจริงนะบัว เราฟังเทศน์มาทั่วประเทศไทย ฟังมาแล้วไม่มีใครเทศน์เหมือนเธอ เธอเทศน์ใส่ตรงไหนขาดสะบั้น..ขาดสะบั้น แหม..! มันถึงใจข้อยเหลือเกิน ว่าไม่อึ๊ไม่อ๊ะ..ไหลไปเลย

ถ้าหากไม่มีปัญหาเรื่องเทศน์ ข้อยยกให้เจ้านะบัว แต่ถ้ามีปัญหาแล้ว การตอบปัญหาเจ้าเป็นที่หนึ่ง มันถึงใจข้อยเหลือเกินนะบัว..ตอบปัญหารรวดเร็วที่สุด..ปั๊บเลย ใส่ปั๊บ ๆ เลย แหม..! เรานี้อยากถามทั้งวัน แต่ไม่มีปัญหาจะมาถาม"

บางครั้งท่านเจ้าคุณยังถามอีกด้วยว่า "บัว ๆ เวลามีคนมาถามปัญหาเธอน่ะ เธอได้คิดไว้ไหม ?" และมีอยู่ครั้งหนึ่งในขณะที่อยู่กันสองต่อสองกับท่านเจ้าคุณ คราวนั้นท่านเจ้าคุณมองดูหน้าท่านด้วยแววตาที่ใสแจ๋วแล้วกล่าวว่า

"บางทีนะบัว ข้อยพูดตามความจริงนะบัว เจ้าเทศน์นี้ข้อยว่าหาตัวจับยากนะบัว ต่อไปนี้เจ้าจะเป็นเจ้าคุณอุบาลีน้อยนะบัว เจ้าเทศน์ แหม..! มันถึงใจข้อยเหลือเกิน"

ทราบกันว่าท่านเจ้าคุณเคยฟังเทศน์ของท่านแต่แบบกรรมฐานเท่านั้น ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าท่านจะเทศน์ธรรมะแบบขบขันได้ด้วย เช่นในคราวที่พระอุปัชฌาย์เอาตัวท่านไปเทศน์ที่จังหวัดนครพนม ทำให้ท่านต้องได้เทศน์หลายแบบตามลักษณะผู้ฟัง ดังนี้

"..ขึ้นเบื้องต้นด้วยขึ้นนครพนมก่อน อันนี้เทศน์ไปธรรมดาเรื่อย ๆ เขามาฟังก็มีเมียผู้ใหญ่ เมียอธิบดีศาลมาฟังเทศน์เรา พอเทศน์จบลงแล้ว ปุ๊บปั๊บคลานเข้ามาหาคุณวรรณดี ที่เป็นนายกพุทธสมาคม นิมนต์เราไปเทศน์งานฉลองตั้งรากตั้งฐานพุทธสมาคมที่นครพนม พอค่ำคนมามาก

พอเจ้าคุณไปคนก็มามาก เขานิมนต์เราขึ้นเทศน์ ก็ท่านเจ้าคุณนั่นแหละให้เทศน์ ไปไหนมีแต่ท่านแหละให้เราเทศน์ ท่านไม่เทศน์ ถ้าเราไปท่านไม่เทศน์เลย มีแต่เรานั่นแหละเทศน์ เขามานิมนต์เทศน์ พอเทศน์จบลงแล้ว ยังไม่ลืมนะ เทศน์ชั่วโมงกับหนึ่งนาที เทศน์นี้ไหลไปเลย ไม่เหมือนธาตุขันธ์ทุกวันนี้

พอเทศน์จบลงแล้ว คุณนายอธิบดีศาลคลานเข้ามาหานายกสมาคม มากระซิบถาม "เอ๊ะ ท่านองค์นี้มาจากไหน ๆ เทศน์ทำไมแปลกเหลือเกิน ฟังแล้วทำไมมันเพลิน ๆ ตลอด เราฟังเทศน์มหาเปรียญ ๘ ประโยค ๙ ประโยค เคยฟังมาก็ธรรมดา ๆ แต่อาจารย์องค์นี้มาจากไหน ทำไมเทศน์ถึงแปลกเอาเหลือเกิน จบแล้วก็ยังไม่อยากให้จบ นี่ท่านจบเสียก่อน วันพรุ่งนี้จะมานิมนต์ท่านเทศน์อีก"

เถรี
02-02-2024, 19:52
ว่างั้นนะ แล้วถาม "เป็นใคร ?" "อาจารย์มหาบัว"

"อาจารย์มหาบัวอย่างนี้ แต่ก่อนได้ยินแต่ชื่อท่าน นี่ได้เห็นองค์แล้ว โอ๋..ท่านเทศน์อย่างนี้"

พอพรุ่งนี้เช้าฉันเสร็จนิมนต์อีก ไปขอท่านเจ้าคุณนิมนต์ท่านอาจารย์มหาบัวเทศน์อีก เจ้าคุณก็ว่า "โอ๋ย..ไม่ได้ ๆ วันนี้จะเอามหาบัวไปเทศน์ที่(อำเภอ) ท่าอุเทน ไม่ได้ ๆ วันนี้จะเอามหาบัวไปเทศน์ท่าอุเทน"

ตกลงไม่ให้จริง ๆ นะวันนั้นไม่ให้เลย นี่ละทีนี้จะไปท่าอุเทน ท่านก็อยู่อำเภอท่าอุเทน ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นี่ ท่านเป็นคนท่าอุเทน ตอนนั้นกำลังบ้าบัตรบ้าเบอร์กัน อู๊ย..ไปที่ไหนบ้าบัตรบ้าเบอร์เต็มแผ่นดิน ไปวันนั้นมีแต่นักบัตรนักเบอร์เต็ม

คุณวรรณดี ตั้งตรงจิต นี่แหละที่เป็นนายกพุทธสมาคม เป็นคนขับรถให้ ไปถึงแล้วพอถึงเวลาเทศน์ คุณวรรณดีเคยฟังธรรมะขั้นสูงของเรานี่นะ เคยฟังมาพอแล้ว วันนั้นแกจ้องคอยจะฟังธรรมะขั้นสูง ทางนั้นก็ไปอยู่ตามป่าไม้เรี่ยราดอยู่นี้ ไปเทศน์ให้คนหัวเราะเสียจนจะตาย ฟังเสียหัวเราะแตกลั่น ๆ อยู่ที่ศาลา เทศน์มีแบบตลกขบขันมีข้อเปรียบเทียบมีอะไร หัวเราะกันลั่น พวกนั้นเลยเพลินด้วยการหัวเราะ เทศน์ไปไหนก็ไม่ไป

อะไรก็ไม่ขบขันเหมือนเอาเราไปเทศน์ที่ท่าอุเทนนั่นแหละ...ตั้งแต่นั้นมาพอท่านเจอหน้าเราทีไร ท่านจะต้องเอาเรื่องนั้นขึ้นทักทายก่อน เพราะท่านไม่เคยได้ยินเราเทศน์อย่างนั้น เทศน์เริ่มตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีอะไร เทศน์ให้ขบให้ขัน พวกนี้หัวเราะกันลั่นตลอดกัณฑ์เลย ท่านเจ้าคุณฯ นี้หัวเราะจนแทบล้มแทบตายจริง ๆ นะ เราจบเทศน์แล้วเขาก็ขอร้อง

"โอ๊ย..อย่าด่วนจบ ๆ..!"

ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์นี้ก็หัวเราะเป็นบ้าอยู่ข้างหลังเรา ท่านนั่งข้างหลัง เราเทศน์ข้างหน้าทางโน้นก็หัวเราะ ท่านเจ้าคุณก็หัวเราะ หัวเราะจนจะเป็นจะตายจริง ๆ น้ำตาไหล..หัวเราะตลอดเลย เราไม่ลืมนะ ๔๕ นาที เราก็เริ่มจะลง เขาบอกว่าขอฟังเทศน์อีกอย่าด่วนลง..อย่าด่วนจบ กำลังสนุกดี เราก็เริ่มลงของเรา พอจบลงแล้วลงมาพวกนั้นยังหัวเราะกันลั่น ตั้งแต่ต้นเทศน์จนกระทั่งจบเทศน์มีแต่เรื่องตลกขบขันให้หัวเราะ คนหัวเราะกันลั่น

พอลงมาจากธรรมาสน์แล้ว ลงมาแล้วมากราบพระประธานเสร็จแล้ว มองดูท่านเจ้าคุณยังหลับตาหัวเราะคิกแค็ก ๆ อยู่นั้น ยังหัว..ดิ้นล้มดิ้นตายอยู่ซิ ยังไม่ลืมตา ยังหัวเราะลั่น พอจบแล้วก็มานั่ง

พอลืมตาก็ "เอ๊..มหาบัว เจ้าเทศน์อย่างนี้ก็เป็นหรือ ? มหาบัว ๆ ข้อยบ่เคยได้ยินเจ้าเทศน์อย่างนี้"

แล้วหัวเราะอยู่ตลอด มาในรถหัวเราะมาตามทางนะ "มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น" ท่านไม่เคยได้ยินเราเทศน์แบบนั้น ก็เทศน์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป ในสถานที่นั่นเป็นยังไง ๆ ท่านก็ไม่รู้เรื่องของเราอีก..ใช่ไหมล่ะ ? เวลาเทศน์มันก็ออกแบบนั้นหัวร่อแทบล้มแทบตาย ตั้งแต่นั้นมาเจอเราทีไร

"มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น ๆ"

เถรี
02-02-2024, 19:54
หัวเราะกิ๊ก ๆ พวกนี้มันชอบบัตรชอบเบอร์ เล่นบัตรเล่นเบอร์ เราก็เทศน์เรื่องบัตรเรื่องเบอร์ เทศน์มีตลกขบขันจนกระทั่งจากกัน เจอหน้าเป็นต้องว่าละซี "มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น ๆ" อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งท่านจากไป นี่เราพูดถึงเรื่องเทศน์มันเอาแน่ไม่ได้นะ มันเป็นของมันนั่นแหละ เอาแน่ไม่ได้"

การที่ท่านเจ้าคุณฯ มอบความไว้วางใจให้ท่านเป็นผู้แสดงธรรมทางภาคปฏิบัติอยู่เนือง ๆ นั้น ท่านบอกเหตุผลไว้เช่นกันว่า

"ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นอุปัชฌาย์ของเรา พูดตรง ๆ พูดตามอรรถตามธรรม ไม่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ท่านบอกว่าท่านลงเราสุดขีดเลย ในเรื่องทางกรรมฐานท่านเจ้าคุณท่านเก่งมากนะ ท่านฟังเราตอบปัญหามามากต่อมากแล้ว ท่านหาอุบายให้เขาถามปัญหา เวลาเขาถามมาปั๊บ

"เอ้า..บัวตอบ"

ท่านจะแอบฟัง ท่านว่าอย่างนั้น ท่านถามไม่ถอย คุยไม่ถอย เราจะตายหลังจากนั่งสนทนากับท่าน ด้วยความพอใจของท่าน ท่านเอาจริง สนใจภาคปฏิบัติ สนใจมากทีเดียว"

เถรี
07-04-2024, 08:47
ไปภาคใต้ พบพ่อลูกที่นราธิวาส

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ องค์หลวงตารับนิมนต์กระทรวงมหาดไทยไปทางใต้ เพื่อร่วมงานบุญฉลองวัดเขากง จังหวัดนราธิวาส โดยพำนักอยู่วัดประชาภิรมย์ การไปงานนิมนต์ในครั้งนี้ ถึงกับทำให้ข้าราชการนายหนึ่งร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มปีติ ที่ไม่มีโอกาสได้ไปกราบ แต่กลายเป็นท่านบินฑบาตมาโปรดถึงที่อยู่ด้วยองค์ท่านเอง ดังนี้

"เราก็เดินไปคนเดียวไปบิณฑบาต เราได้รับคำยกยอคราวนั้นละ เราอยู่เมืองไทยมากี่ปีกี่เดือนไม่เคยได้รบคำยกยอ วันนั้นได้รับยกยอ พ่อกับลูกสาวยืนรอใส่บาตร พ่อเลยบอกลูกสาวว่า

"นี่ลูกดูซิ ดูพระองค์นี้ทำไมสง่างามมาก เดินอย่างสง่าผ่าเผยองค์เดียวมา ดูท่าทางการเดินการไปการมา ความสำรวมระวังเรียบไปเลย พ่อก็ไม่เคยเห็น ดูซิลูก..สวยงามมากนะ พระองค์นี้จะไม่ใช่พระอยู่แถวนี้นะลูก พระองค์นี้ต้องอยู่ในป่า อยู่แถวไหนค่อยทราบ"

พ่อกระซิบบอกลูกสาวอยู่อย่างนั้นให้ดู ดูซิลูก ๆ พระองค์นี้แปลกอยู่นะ กระซิบบอกลูกเรื่อย ดูซิลูก ๆ เรื่อย เราก็เดินเข้ามา ๆ เขาเป็นหัวหน้า ตม. (ตรวจคนเข้าเมือง) เขาพูดกับลูกสาว ลูกสาวรอใส่บาตร วันนั้นพ่อมาใส่บาตรด้วย พ่ออยากใส่บาตรเป็นกำลัง พอเดินเข้ามาจนกระทั่งถึงที่รับบาตร

พอมาถึงก็นิมนต์เราเข้าไปรับบาตร พอเรารับบาตร ก็ขันเท ๆ หรืออะไร ใส่ขันหนึ่งแล้ว เราขยับออกปุ๊บปั๊บใส่อีก เราก็เลยรับอีก พอรับที่สองแล้วยังจะเอาอีก ใส่อีก ถึงสองแล้วเราบอก "ให้รอให้องค์อื่นรับบ้าง พระท่านก็บิณฑบาตด้วยกัน มาแถวนี้แหละ ให้ท่านบ้าง"

"โอ๊ย..ผมมีเยอะอยูข้างบน" ว่าอย่างนั้นนะ

จัดบาตรอยู่ข้างบน ฟาดใส่นี่ เทหมดเลย เลยพาลูกใส่หมดเลย ที่ยกไปนั่นน่ะ เทใส่บาตรเราเต็มหมดเลย บอกเท่าไรไม่ฟังเลย ไม่สนใจมีแต่จะรุกเรื่อย พอใส่บาตรเสร็จแล้ว อ้าว..มันก็เต็มบาตรจะไปไหนนี่ ? ก็มันเต็มบาตรแล้วนี่ จะไปข้างหน้าไม่ได้แล้ว ก็มีบ้านหนึ่งอยู่ข้างหน้าเขารออยู่ ไปรับกันเสียก่อน เขาก็เตรียมปุ๊บปั๊บลงไป เขาไปเอากะละมังของเขาลงมารอเทบาตรเรา

พอใส่บาตรลงปั๊บ แกก็เอารถแก แกเป็นหัวหน้า ตม. แกมีรถ ปุ๊บปั๊บเอาบาตรเรามาเทเสร็จเรียบร้อยเต็มนะ เทหมดเราจะกลับ อ้าว..ทางนู้นก็รุมจะคอยรอใส่บาตรเรา ฟาดทีเดียวเต็มหมดเลยวันนั้นกลับมา นั่นละที่ว่า"ผมได้ยินชื่อเสียงท่านอาจารย์มานานแล้ว ผมจนหมดหวังแล้ว นี่ที่ผมดีใจมาก ทีแรกผมอยู่ ตม.หนองคาย ครั้นมาตอนนั้นถ้าหน้าฝนก็เลอะไปด้วยขี้ตมขี้โคลน..เข้าไม่ได้ ถ้าหน้าแล้งก็เต็มไปด้วยทราย รถเข้าไม่ได้ จากนั้นก็เลยย้ายไปทางอุบล จนกระทั่งย้ายมาทางนี้ หมดหวังว่าจะมากราบท่านอาจารย์ที่นี่ ไม่เคยมีวาสนา วันนี้ผมมีวาสนามาก"

เถรี
07-04-2024, 08:51
พูดน้ำตาร่วงนะ ไม่ใช่ธรรมดา ผมหมดหวังแล้ว กลับมาเจอตอนที่หมดหวังแล้ว อยู่หนองคายจะมาหาท่านอาจารย์ก็มาไม่ได้ แล้วย้ายไปอยู่อุบลฯ ย้ายจากอุบลฯ ก็ไปนราธิวาส นั่นละ..มาเจอกันที่นั่น

ทีนี้พอมาใส่บาตรหมดแล้ว วันนั้นตามทั้งวันเลย ตม.คนนี้ งานการไม่สนใจ เอารถของแกนั่นแหละ พาเราไปเที่ยวนู้นเที่ยวนี้ เฝ้าเราทั้งวัน บริการทั้งวัน บอกให้ไปทำงาน "ไม่เป็นไร..ผมมีลูกน้อง ผมสั่งลูกน้องแล้ว" ว่าอย่างนั้นนะ บริการเราทั้งวันเลยในวันนั้น ชื่อพันตำรวจโทวีระ เราเลยจำได้ แกพอใจพูดขึ้นน้ำตาร่วง ๆ นะ ครั้งสุดท้ายละที่นี่

พอเสร็จงานแล้วแกก็มารออยู่ที่ห้องเราพัก ไม่ไปทำงานที่ไหนเลย เฝ้ากลางวันก็พาไปเที่ยวทางโน้นทางนี้ ซอกแซกซิกแซ็กไปหมด บอกให้ไปทำงานก็ไม่ยอมไป "ผมพอใจแล้ว ผมมุ่งใส่ท่านอาจารย์มาตั้งแต่อยู่หนองคาย หมดหวัง ฟาดไปอุบลฯ ยิ่งหมดหวัง นี้ฟาดลงมาทางนี้แล้วหมดหวังใหญ่ ทำมาเจอเอาอย่างนี้"

แกดีใจ พูดน้ำตาร่วงเลย ทีนี้พอไปรับอะไรเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว ในงานเขาถวายมากมายของกองพะเนินเทินทึก มาวัดประชาภิรมย์ละ เราถามเขา "พระในวัดนี้มีกี่คณะ ? ให้ไปถามดู..มีกี่คณะ ?"

ถามแล้วเราก็จัดเอาของทั้งหมดที่เขาถวายเรา เอาไปแจกพระตามคณะต่าง ๆ หมดเลย เราไม่เอาอะไรเลย "อ้าว..ท่านไม่เอาอะไรเลยเหรอ ?"

"เอาแล้ว..เอาบุญแล้ว" เราว่าอย่างนั้น

แกเห็นว่าอะไร ๆ ก็ตาม พอมาในงานนิมนต์ ๆ แทนที่จะเอาอะไรตามเขาถวาย ไม่เอาเลย ให้ไปแจกคณะนั้น ๆ กี่คณะเราให้เอาไปแจกหมดเลย เพราะของมากต่อมาก

ทีนี้บทเวลาเราจะจากแกมา ก้มหน้าน้ำตาร่วง ๆ "หมดหวังแล้วทีนี้ผม แต่ก็ยังมีหวังที่ได้พบท่านอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้ไปจะไม่ได้พบท่านอาจารย์อีกแล้ว"

ว่าอย่างนั้นนะ ก้มหน้าน้ำตาร่วง ผู้ชายน้ำตาร่วง เราก็เลยขึ้นรถ จากแกมาก็นั่งรถยนต์มาขึ้นเครื่องบินที่ปัตตานีหรือนราธิวาสที่ไหนลืมแล้ว ขึ้นเครื่องบินกลับ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไม่ได้พบกันอีกเลยจนป่านนี้แหละ แกคงเกษียณแล้วนานแล้วนะ

ขบขันดีอยู่นะ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ไปอีก นราธิวาสไม่ได้ไปอีกเลย นี้ไปในงานเขานิมนต์กระทรวงมหาดไทย ตอนนั้นใครเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวง นั่นละ..เขานิมนต์เราไป แล้วไม่ได้ไปอีกเลยจนกระทั่งป่านนี้ละ นราธิวาสไม่ได้ไปอีกเลย ปัตตานีเหล่านี้ไม่ได้ไป สงขลา หาดใหญ่ ไปบ่อย แต่เป็นที่ว่าผ่าน ๆ ไม่ได้ไปซอกแซกซิกแซ็กก็คือทางภาคใต้เรา ภาคอื่นภาคไหนไปหมดแหละ ไม่มีอะไรก็ไปละ.."

เถรี
03-05-2024, 21:48
ลูกบุญธรรม..เฆี่ยนตีได้

องค์หลวงตาได้เกี่ยวข้องกับพระ เณร ประชาชน หลากหลายลักษณะ ซึ่งท่านก็มีวิธีปฏิบัติกับแต่ละบุคคลแต่ละคณะแตกต่างกันไป สำหรับความเกี่ยวข้องในลักษณะความเป็น "บุตรบุญธรรม" ขององค์หลวงตานั้น ส่วนหนึ่งของการแสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๓ และ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ กล่าวไว้ ดังนี้

"อาหารที่มาใส่บาตรทุกวันนี้ อาหารประชา (พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก) เรานี่นะ ประชานี่ลูกบุญธรรมหลวงตานะ ลูกโปรดคนหนึ่งนะ ตีได้ ฆ่าได้ เฆี่ยนได้ ลูกคนนี้ มอบภาระให้ผู้กำกับการตำรวจอุดรฯ มาถวายจังหันแทน ปิ่นโตนี้เท่าต้นเสานี่ของง่ายหรือ ?

"อ้าว มันใหญ่ก็บอกว่าใหญ่ซี ใหญ่ไปว่าเล็กมันขัดกัน"

ปิ่นโตนี้เป็นชั้น ๆ เมื่อเช้ามาก็เห็นตั้งอยู่ มาประจำหลายแล้วนะ เราก็ดูเห็นเขียนชื่อเจ้าของไว้บนปิ่นโต มาตั้งกึ๊กนี้ เราเป็นหัวหน้าก็ต้องเอาก่อนใครล่ะซี แล้วก็แจก..มาถวายตัวเป็นลูกบุญธรรม โอ๊ย นานแล้ว ตั้ง ๓๐ ปี

ฟ้าหญิงฯ ท่านมาเหมือนกัน ฟ้าหญิงฯ นิมนต์ เราไปเยี่ยม ไม่นานก็ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ พออันดับที่สองถวายตัวเป็นลูก ฟ้าหญิงเล็กนะ ถวายอยู่ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธละมั้ง ("ครับ ใช่ครับ")

นิมนต์เราไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ นี่ละอำนาจของธรรม ความคิดถึงครูบาอาจารย์นี้เป็นสำคัญมาก พวกเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลรักษาท่านเวลาท่านป่วย อยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ชื่อโรงพยาบาลก็เป็นโรงพยาบาลกรุงเทพ อยู่ในกรุงเทพฯ นั่นแหละ พูดคำไหนออกมาก็คิดถึงท่านพ่อ คืออยู่ในโรงพยาบาล

"คิดถึงท่านพ่อ อยากไปเยี่ยมท่านพ่อ" อยู่อย่างนั้น

จนกระทั่งพวกรักษาอยู่นี้น้อยใจ เสมือนหนึ่งว่าพวกหมอเหล่านี้ไม่มีความหมายเลย พูดคำไหนออกมาก็ท่านพ่อ"

สำหรับที่มาของคำว่า "ลูกบุญธรรม" ขององค์หลวงตานั้น องค์หลวงตาเล่าให้พระเณรฟังประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ถึงเหตุการณ์ในราวปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ซึ่งเป็นจุดเริ่มแรกที่ท่านเมตตารับคุณพรสวรรค์ คูสกุล มาเป็นลูกบุญธรรม พระวัดป่าบ้านตาดรูปหนึ่งได้ยินคำกล่าวขององค์ท่านในวันนั้นว่า

"โยมพรสวรรค์ตอนเด็ก ๆ ป่วย พ่อแม่ก็เลยพามายกให้เป็นลูกองค์หลวงตา ท่านก็เลยรับไว้ ในสมัยนั้นทางพระเรายังไม่ได้เรียกลูกบุญธรรม องค์หลวงตายังกล่าวให้พระเณรฟังอีกด้วยว่า "เรารับใครก็รับจริงจัง ไม่ได้รับสักแต่ว่าเป็นพิธี"

เมื่อองค์หลวงตาเมตตารับเป็นลูก ไม่นานปรากฏว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่กลับดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

เถรี
05-05-2024, 22:05
สงเคราะห์หน่วยงานราชการ

องค์หลวงตาให้ความอนุเคราะห์ ช่วยเหลือหน่วยราชการหลายหน่วยในด้านต่าง ๆ กัน เพราะท่านเห็นว่าเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการให้ความสะดวก ให้บริการช่วยเหลือแนะนำในการประกอบอาชีพ สารทุกข์สุกดิบบำบัดทุกข์บำรุงสุข รวมทั้งสวัสดิการต่าง ๆ แก่ประชาชนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

เมื่อหน่วยราชการต่าง ๆ มาขอความช่วยเหลือ หากเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและสมเหตุสมผล ท่านก็เมตตาอนุเคราะห์ให้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เครื่องอุปโภคบริโภค รถยนต์ รถตู้ รถบัส เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำงาน

สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในหน่วยราชการ ซื้อที่ดิน สร้างถนน ห้องอาบน้ำ สุขาหน่วยราชการ ทำฝนเทียม เงินว่าจ้างเจ้าหน้าที่ฯ เจาะบาดาล ติดตั้งไฟฟ้า สมทบสร้างอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

นอกจากนี้ยังมีในรูปของกองทุน เช่น ตั้งมูลนิธิพระราชญาณวิสุทธิโสภณฯ เพื่อสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๒๔ ด้วยทุนเริ่มต้น ๑๒ ล้านบาท เพื่อนำดอกผลไปช่วยเหลือด้านสวัสดิการต่าง ๆ ทั้งแก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำ ตลอดทั้งครอบครัวรวมถึงเป็นทุนการศึกษาแก่ลูกหลานอีกด้วย

หากไม่นับสถานพยาบาลและสถานศึกษา หน่วยราชการที่ท่านให้ความช่วยเหลืออื่นมีอยู่หลายจังหวัดในทุกภาคทั่วประเทศ ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลายจังหวัด หน่วยงานทหารหลายกรมกอง สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมราชทัณฑ์ กรมป่าไม้ โครงการในพระราชดำริ ที่ทำการจังหวัดหลายจังหวัด ฯลฯ

การสงเคราะห์ช่วยเหลือขององค์หลวงตานั้น ส่วนใหญ่ท่านจะดูแลด้วยองค์ท่านเอง แต่ถ้าเป็นสถานที่ไกลออกไป ท่านก็มอบหมายให้พระหรือฆราวาสที่ท่านไว้ใจ ให้รับผิดชอบดำเนินการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์แทนท่าน ขอยกตัวอย่างการแสดงธรรมเกี่ยวกับการสงเคราะห์ช่วยเหลือหน่วยราชการเพียงเล็กน้อย พอให้มองเห็นภาพรวมในเมตตาธรรมของท่านต่อหน่วยราชการ ดังนี้

เถรี
05-05-2024, 22:08
"..จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่สถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล ที่ราชการต่าง ๆ ทั่วไปหมด เวลานี้เรือนจำก็มีอยู่สองโรงหรือสามโรง ที่ช่วยอยู่เวลานี้ อุดรฯ เวลานี้กำลังปลูกสร้างหลังหนึ่ง แล้วสว่างแดนดินนั้นก็กำลังจ่ายเป็นงวด ๆ ลาดยาวนี้สองหลัง รวมแล้วอย่างน้อย ๓๐ ล้าน ขึ้นแล้วหลังหนึ่งถึงชั้นสามแล้ว หลังที่สองกำลังเทคาน ระยะนี้มีสาม หนองบัวลำภูผ่านมาแล้ว นี่ก็เรือนจำ

ทางด่านไปน้ำหนาวเราก็สร้างให้เขาเยอะเหมือนกันนะ พวกบ้านพักตำรวจ เจาะน้ำบาดาล เอาไฟฟ้าแรงสูงมา โอ๊ย..หลายอย่างนี่ก็ให้ท่านชิต ท่านชิตอยู่ที่น้ำหนาว น้ำหนาวกับอันนี้มันติดกัน สั่งท่านชิตไปเลย ให้ท่านชิตมาทำหน้าที่แทนเราเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านชิตบ้านท่านอยู่เพชรบุรี แต่ท่านเป็นพระวัดป่าบ้านตาด อยู่นี้ตั้งสิบกว่าปีนะ แล้วไปอยู่น้ำหนาว

นี่ละ..เวลาจำเป็นก็อย่างนี้ละ ต้องสั่งมอบให้ลูกศิษย์คนนั้น ๆ เพราะเจ้าของไปดูไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ตาม ใกล้ชิดกับลูกศิษย์คนไหน ๆ มอบให้ลูกศิษย์คนนั้นทำหน้าที่แทน อย่างที่ให้ท่านชิตทำแทนที่ด่านฯ แล้วให้ท่านคลาดทำแทนที่พังงา ที่อื่นก็เหมือนกัน แบบเดียวกันแหละ เพราะเราไปไม่ทั่วถึง มันไกล..ลำบาก ลูกศิษย์มากก็ดีอย่างหนึ่ง เวลาจำเป็นที่ไหนมอบให้คนนั้นทำแทน มอบทางโน้น มอบทางนี้เรื่อย ทุกแห่งนะ มอบไปเรื่อย ๆ อย่างนี้

เพราะงานเรามันกว้างขวางมาก การช่วยชาติเรียกว่าทุกภาคเสมอกันหมดเลย ความจำเป็นมากน้อยเพียงไรนี้ถือเป็นสำคัญ ช่วยมาตลอดอย่างนี้ แล้วที่เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ ก็มอบให้ลูกศิษย์ทำแทน ถ้าสงสัยอะไรให้ถามมา นี่..เรียกว่าทางวงราชการ เราก็ช่วยอย่างนี้.."

เถรี
10-05-2024, 22:42
ด้านธรรมะสำหรับชีวิตและการงาน

ท่านเมตตาให้ธรรมะเป็นข้อคิดเตือนใจแก่คณะผู้ใหญ่ผู้น้อยของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มากราบเยี่ยมท่านเสมอ ๆ ให้รู้จักนำศีลนำธรรรมมาเป็นหลักยึดเหนี่ยวในจิตใจ ไม่ให้เผลอเพลินลืมเนื้อลืมตัว

อย่าบ้า...ลาภยศสรรเสริญ

คราวหนึ่งท่านแสดงธรรมอย่างเป็นกันเองแบบลูกหลาน โปรดคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ร่วมกับนักธุรกิจจำนวนเกือบ ๕๐ คน ดังนี้

"นี่มาจากทางไหนกันบ้างนี่ ?"
"มาจาก...มาดูงานทางภาคอีสาน ก็เลยมากราบครับ"

"เหรอ..มาดูงานเหรอ ? เคยมาวัดป่านบ้านตาดคนเดียวยังล่ะ ? เหล่านี้เคยมาแล้วยัง ?"
"ครั้งแรก..ไม่เคยมาเลยครับ"

"ไม่เคยมา แต่โรงลิเกละคร ระบำรำโป๊ พวกบ้า ๆ นั่นไปทั้งนั้นใช่ไหม ? ..หือ ?"

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเลวที่สุดนะ มองไม่ทัน ถ้าเป็นหมา จับหางดึงไว้ หางขาดยังบืน (คืบคลาน) ไปได้นะ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าเป็นเรื่องศีลเรื่องธรรม นี่ก็เอาไสเข้าไปเท่าไรก็ไม่ยอมไปนะ เวลานี้โลกกำลังสกปรกมาก สกปรกจริง ๆ สายตาของธรรมดูไม่ได้นะเวลานี้ แต่กิเลสมัน แหม..มันเพลิน มันไม่รู้จักเป็นจักตายนะ..

เรื่องมั่วสุมกับกิเลส ความโกรธ ราคะ ตัณหา นี่ตัวสำคัญ สกปรก รกรุงรัง ก่อฟืนก่อไฟเผาไหม้โลกคือตัวเหล่านี้เอง แต่โลกชอบกันมาก สุดที่จะแยกออก ไปเพื่อศีลเพื่อธรรม มันไม่อยากแยกนะ มันดีดมันดิ้นอยู่นี่

พระพุทธเจ้ากี่พระองค์มาตรัสรู้ ลากไปเท่าไรมันไม่ยอมไป มันสู้ส้วมสู้ถานไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้นนะ สวรรค์นิพพานไม่ได้เลิศเลอยิ่งกว่าส้วมกว่าถาน เวลานี้กิเลสมันดึงลงไปขนาดนั้นนะ ให้เพลินในส้วมในถานไป มันไม่ค่อยเห็นเรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องคุณงามความดีที่เลิศเลอยิ่งกว่านี้ ขนาดไหนมันไม่ยอมให้เห็นนะ..กิเลส เราไม่ได้ตำหนิใครนะ กิเลสมันอยู่ในหัวใจคน เราก็ตำหนิเข้าไป มันก็ต้องโดนคนจนได้นั่นแหละ จะว่ายังไง ?"

เถรี
10-05-2024, 22:42
"พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า นานขนาดไหน..? เพราะเกิดยากแสนยากที่สุด ท่านมาสั่งสอนสัตว์โลก เมื่อเวลาได้บรรลุธรรมถึงขั้นพระอรหัตภูมิเต็มตัวแล้ว เป็นศาสดาเต็มองค์แล้ว มองสัตว์โลก..ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาเพื่อสั่งสอนสัตว์โลก ตรัสรู้เพื่อสั่งสอนสัตว์โลก

พอตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว มองดูสัตว์โลกแล้ว มืดแปดทิศแปดด้าน ทรงท้อพระทัย จะสั่งสอนไปได้ยังไง เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว ?

เห็นไหม..? ขนาดนั้นแหละ ท่านดูพวกเรา เรายังมัวเมาเกาหมัดกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ลืมหูลืมตา รื่นเริงบันเทิงกับมูตรกับคูถตลอดเวลา มันน่าสลดสังเวชไหม ?

เวลานี้ยังโอ่อ่าฟู่ฟ่าอยู่นะ เป็นบ้ากับยศกับลาภ กับสรรเสริญเยินยอ ให้เขานับหน้าถือตา อวดมั่งอวดมีอวดดีอวดเด่น อ๊วดด..ไปอย่างไม่มี ลม ๆ แล้ง ๆ หาเหตุหาผล หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ คือ กิเลสหลอกคนให้เป็นบ้ากับอันนี้ มันไม่มองดูธรรมนะ ธรรมเป็นของจริง เลิศเลอขนาดนี้กี่เท่าพันทวี สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอย่างที่เราดูฝูงหนอนมันอยู่ในส้วมนั่นล่ะ เพียงเราดูลงไปเท่านั้น มันเป็นยังไง..วิสัยหนอนกับเรา ?

ทีนี้วิสัยแห่งธรรมกับวิสัยของกิเลส ที่สกปรกสุดยอด วิสัยแห่งธรรมที่สะอาดสุดยอด ดูกัน..เป็นยังไง ? ก็เห็นกันอย่างงั้นชัดเจน..นั่นล่ะ..

นี่..โลกมันถึงไม่อยากมองดูนั้น มันมัวดูแต่ส้วมแต่ถานตลอดเวลา ไม่ว่าเขาว่าเรานะ อย่าไปตำหนิใครนะ หมายถึงหัวใจแต่ละดวง ๆ มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ถ้ากิริยาท่าทางออกมาแสดงประดับร้านว่าสวยว่างาม ว่าโอ่อ่าฟู่ฟ่า มีบ้านมีเรือน มีสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อย มีบริษัทบริวารมาก นี่..เอามาโอ่อ่าฟู่ฟ่าประดับร้าน แต่ภายในหัวใจเป็นไฟด้วยกันหมด..ฟังซิน่ะ..

เอาธรรมจับเข้าไปมันก็เห็นนะสิ ดูหัวใจดวงใดมันมีแต่ฟืนแต่ไฟ ด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความรีดความไถ ความเอารัดเอาเปรียบ มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา.."

เถรี
13-05-2024, 00:37
ความเสียสละ

"การเสียสละนี้เป็นบุญเป็นกุศล เป็นคุณแก่ตนเอง ให้ไปโน้น..ย้อนกลับมาหาเจ้าของ เหมือนเราเปิดประตู อากาศเข้ากับอากาศออกประสานกันทันที การให้ไปกับการได้มาประสานกันทันที นี่แหละการเสียสละ เปิดออก..เปิดประตูเสียสละ เปิดออกกว้างก็ออกได้กว้าง เข้าก็เข้าได้มาก เวลาเราเปิด เปิดแคบ ออกก็ออกได้น้อย เข้าก็เข้าได้น้อย

สมมติว่าอากาศก็ดี น้ำก็ดี ถ้าเปิดประตูน้ำเป็นส่วนน้อยก็เข้าน้อยออกน้อย เปิดมากก็เข้ามากออกมาก ปิดเลยไม่ให้มันออก ทีนี้มันเลยไม่เข้า..!

คนเป็นนักเสียสละ คนมีแก่ใจ ไปไหนเย็น มีเพื่อนมีฝูงก็มาก มีคนเคารพนับถือ ถ้าเป็นเด็กก็เป็นเด็กน่ารัก เป็นผู้ใหญ่ก็น่าเคารพบูชา น่าคบค้าสมาคม ความใจกว้าง ไปที่ไหนเป็นอย่างนี้ ถ้าคับแคบปิดตัน ไปที่ไหนตีบตันอั้นตู้ไปหมด เวลาจะตายก็ไม่มีใครไปกุสลามาติกาในงานศพให้ เห็นแต่หมาเดินด็อก ๆ แด็ก ๆ ในงานศพ มันมาหากินเศษอาหาร ไม่ได้กินข้าว หมาจวนจะตายเพราะความตระหนี่ของคน ถ้าตระหนี่ถี่เหนียว ตายแล้วไม่มีใครไปเผาศพ หมาจะมากินเศษอาหารก็ไม่ได้กิน ทุกข์ทั้งหมาทุกข์ทั้งคน..!

คนใจคอกว้างขวางไปไหน เพื่อนฝูงก็มาก เวลาตายนี่คนเต็มไปหมดในงานศพ บอกอย่างชัดเจนว่าคนมีอัธยาศัยกว้างขวาง ใครก็มาด้วยความเต็มอกเต็มใจ ด้วยความเคารพนับถือ ด้วยความรักความสนิทสนมกัน ความเสียดาย ไม่เหมือนคนตระหนี่ถี่เหนียวตายนะ คนไม่มีในงานศพ หมาเลยหิว อย่าทำนะแบบหมาหิว เข้าใจไหม ?"

เถรี
16-05-2024, 01:04
อย่ากินบ้าน กินเมือง

องค์หลวงตามีความเมตตาสงสารและห่วงใยชาติบ้านเมืองเป็นพื้นในจิตใจตลอดมา ดังนั้น..เมื่อมีโอกาสสั่งสอนตักเตือนกลุ่มข้าราชการงานเมือง ท่านก็มักจะแสดงธรรมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นเดียวกับคราวนี้

"นี่ละ..วัดหนึ่ง ๆ ครอบครัวหนึ่ง ๆ ขึ้นอยู่กับหัวหน้าครอบครัว ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าฯ ขึ้นไปเป็นลำดับลำดา ให้มีศีลธรรมเป็นเครื่องกำกับตัวเองอยู่เสมอ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว

เวลานี้เราปล่อยให้กิเลสเข้าไปตีตลาด ตามโรงงานต่าง ๆ มีแต่กิเลสตีตลาดทั้งนั้น แหลกเหลวไปหมด ศีลธรรมเข้าใกล้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..บ้านเมืองถึงเหลวแหลก เหลวแหลกดังที่เห็นอยู่นี่แหละ ไม่ใช่เหลวแหลกแบบไม่มีคน คนตายฉิบหาย มันเหลวแหลกด้วยความประพฤติ เหลวแหลกด้วยความเป็นอยู่ด้วยกันอย่างนี้แหละ หาความไว้วางใจกันไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมเป็นที่ไว้วางใจ

ไปที่ไหนก็เหมือนกับลิง คอยกิน..กิน คอยคด..คด คอยโกง..โกง คอยจะได้โอกาสอันไหนนี้ รีดไถทุกแบบทุกฉบับ สุดท้ายข้าราชการเลยเป็นผีตัวหนึ่ง เป็นยักษ์ตัวหนึ่ง ชาติบ้านเมืองเขาก็เอือมระอาซิ..!

เงินทุกบาททุกสตางค์ได้มาจากประชาชนราษฎรทั้งนั้น เป็นภาษีอากรเข้ามาเพื่ออุดหนุนประเทศชาติบ้านเมืองให้มีความแน่นหนามั่นคง กลับเป็นเปรตเป็นผี ให้เปรตให้ผีไปกินเสียหมด มันใช้ไม่ได้..!

วงราชการแต่ละวงเลยกลายเป็นวงสังหารประชาชน วงสังหารประเทศชาติบ้านเมือง อย่างนี้ดูไม่ได้..ใช้ไม่ได้เลย..!

เพราะฉะนั้น..ขอให้พี่น้องทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธปฏิบัติตามศีลธรรมนี้ ขอให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเข้าไปโดยลำดับ เพื่อความสงบเย็นและมั่นคงของบ้านเมืองเรา"

เถรี
16-05-2024, 01:09
"การกล่าวทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าวงราชการจะเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมดทุกรายนะ เราพูดถึงรายที่ไม่ดีต่างหาก ซึ่งมีจำนวนมากต่อมาก อันนี้มีมากจริง ๆ อยู่ที่ไหน ๆ ไม่คณนาได้ เต็มไปหมดในวงราชการแผนกต่าง ๆ ยังเย่อหยิ่งจองหองเสียด้วยนะ วงราชการไม่ระลึกเลยว่าตัวเองกินเงินเดือนของประชาชนราษฎร เย่อหยิ่งจองหองจนน่าเกลียด เป็นเจ้าอำนาจกดขี่บังคับประชาชนหลายแบบหลายฉบับนะ

คนนี้แบบนี้ คนนั้นแบบนั้น ๆ ถ้าไม่ได้ใต้โต๊ะเหนือโต๊ะเสียก่อนเป็นขัดเป็นแย้ง เป็นหาอุบายเท่านั้นเท่านี้อยู่จนได้ นี่สิ..ที่มันน่าเกลียดเอาเหลือเกินนะ เอือมระอาเอามาก ประชาชนราษฎรไปแต่ละครั้ง ๆ เสียเวล่ำเวลามาบ้านมาเรือน ค่ารถค่าราอาหารการกิน หน้าที่การงานต้องเสียไปสักเท่าไรไม่ได้คำนึง คอยแต่จะเอาใต้โต๊ะเหนือโต๊ะ ถ้าไม่ได้จะต้องหาอุบายนั้นอุบายนี้

เวลานี้วงราชการเป็นอย่างนี้นะ เสียเอามากมาย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ทุกคน นี่คือความจริง เราไม่ได้หาเรื่องใส่คน เราสอนคนเพื่อความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน

มันเป็นอย่างนี้เวลานี้ เขาเบื่อจริง ๆ เบื่อวงราชการเวลานี้ ไม่ใช่ธรรมดานะ แต่ประชาชนถึงเขามีปาก เขาก็ไม่พูดง่าย ๆ ถ้าพูดก็เป็นภัยต่อปากเจ้าของอีกแหละ เพราะพวกนี้พวกเจ้าอานาจ อำนาจอันนี้มันอำนาจบ้า ๆ เถื่อน ๆ เสียด้วยนะ ไม่ใช่อำนาจธรรมดา ไม่อย่างนั้นมันก็ทำชั่วไม่ได้ ถ้าไม่ใช้อำนาจแบบนี้

ชีวิตมันเกี่ยวโยงกันไปหมดไม่ว่าภาคไหน ๆ ชีวิตอยู่กับจุดศูนย์กลางคือชาติ ต่างคนต่างระลึกถึงชาติเสมอ อย่าระลึกถึงตนยิ่งกว่าชาติ ถ้าลงชาติได้ล่มจมไปแล้ว ใครจะไปนั่งบนเก้าอี้เป็นเทวดาอยู่ได้คนเดียว ไม่เคยมี..ต้องเป็นกองทุกข์เหมือนกันหมด ให้เราเห็นใจประชาชนราษฎร

นี่..ความห่างเหินจากศีลจากธรรมเป็นอย่างนี้ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ ศีลธรรมคือเครื่องยึดเหนี่ยวของใจและความประพฤติหน้าที่การงานทั้งปวงให้เป็นไปเพื่อความดีงาม ถ้าปราศจากศีลธรรมเสีย อะไร ๆ ก็เหลวไปตาม ๆ กัน ฉะนั้น..ศีลธรรมจึงเป็นธรรมที่จำเป็นมาก"

เถรี
21-05-2024, 00:16
อย่าเห็นแก่ตัว จงเห็นแก่ชาติ

ครั้งหนึ่งองค์หลวงตาเมตตาแสดงธรรมแก่หน่วยงานราชการกลุ่มใหญ่ ดังนี้

"การปกครองกัน ให้คำนึงถึงหลักและกฏเกณฑ์ระเบียบข้อบังคับ นำมาปกครองกัน อย่าเอาอารมณ์มาปกครองกัน อย่าเอาอำนาจวาสนาศักดานุภาพ ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ มีอำนาจมาก อยากทำอะไรก็ทำได้ มาปกครองกันโดยหาหลักเกณฑ์หาระเบียบกฎข้อบังคับไม่ได้ นั้นเป็นความผิด

ต่างคนต่างก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างปกครองในฐานะพ่อแม่กับลูก จะมีความร่วมเย็นเป็นสุข

สมบัติของกลาง เราอย่านำออกไปใช้ในกิจส่วนตัว หรือนำออกจำหน่ายขายกิน นั่นเป็นการขายชาติ เป็นการฆ่าชาติ เป็นการทำลายชาติ เพราะความเห็นแก่ตัว

ความเห็นแก่ตัวนั้นไปไม่รอด ถ้าชาติไปไม่ตลอดเราต้องจมไปด้วยชาติ เราอย่าเห็นแก่ตัว อย่าเอาตัวรอดเป็นยอดดี การคิดเอาตัวรอดแบบนั้นแลเป็นยอดที่เลวที่สุด เพราะคน ๆ หนึ่งอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยกันหลายคน เช่นประเทศไทยเรานี้ ทั้งประเทศมีความเกี่ยวโยงกันอยู่ เหมือนกับตาแหตาข่าย ตาหนึ่งขาดก็เกี่ยวเนื่องไปถึงตาแหตาข่ายทั้งหลาย ปลาก็ลอดออกไปที่นั่นได้

ถ้าชาติได้ล่มจมไปเสีย เราจะเอาตัวรอดด้วยวิธีใด ? นอกจากเราต้องจมไปกับชาติเท่านั้น ชาติจมเราต้องจม ชาติอยู่ได้เราก็อยู่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราต้องรักษาเพื่อความอยู่รอดของคนทั้งชาติ การรักษาเพื่อความอยู่รอดเฉพาะเรานั้น เป็นความคิดผิดของบุคคลผู้เห็นแก่ตัวมาก คิดเพื่อความร่ำรวย แต่หารู้ไม่ว่าความคิดนั้นคือเพชฌฆาต สังหารตนและชาติให้ล่มจม..!

ท่านหนึ่งสอนว่า สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นความเกี่ยวโยงกันไปหมด คนในชาติรักคนในชาติ ไม่มีใครที่จะรักยิ่งกว่าคนไทยรักคนไทย ไม่มีใครที่จะรับผิดชอบยิ่งกว่าคนในชาติจะรับผิดชอบคนในชาติของตน และไม่มีใครจะรับผิดชอบยิ่งกว่าเราจะรับผิดชอบในขอบเขตของเรา.."

เถรี
23-05-2024, 23:39
ตำรวจดี คนรัก

องค์หลวงตาเมตตาแสดงธรรมโปรดคณะนายตำรวจดังนี้

"เราเป็นตำรวจนี้ก็คือ เป็นผู้ที่รักษาหน้าที่การงานอันสำคัญในส่วนรวม อำนาจอะไรก็มอบให้ตำรวจเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง เพื่อความสงบสุขร่มเย็น ถ้าตำรวจไม่มี โจรมารผู้ร้ายเต็มไปหมด ที่ไหน ๆ ก็เป็นโจรได้ เป็นผู้ร้ายได้

ถ้าไม่มีสิ่งกลัวเสียอย่างเดียว คนเราจะทำชั่วได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อมีสิ่งที่บังคับบัญชา สิ่งที่น่ากลัวอยู่บ้าง ก็ต้องได้ระมัดระวังคนเรา

เพราะฉะนั้น..เมื่อมีตำรวจที่ดีรักษากฎหมายบ้านเมือง เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข มีมากน้อยในสถานที่ใด สถานที่นั้น บ้านเมืองนั้น ย่อมได้รับความสงบร่มเย็น ตำรวจก็เป็นผู้พึ่งเป็นพึ่งตายของชาวบ้าน ในขณะเดียวกันเราอย่าให้ตำรวจเป็นผีเป็นยักษ์ของชาวบ้าน รีดไถเขาก็แล้วกัน เราต้องแยกออกเป็นประเภท ๆ เพราะเรื่องความจริงมีอยู่อย่างนั้น

การประพฤติปฏิบัติตัวเรานั่นแหละ เป็นตัวอย่างอันดีแก่ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย ก่อนหน้าเขาอย่าเอาใครมาเป็นตัวอย่าง ถ้าเอาหลักกฎหมายบ้านเมืองเข้ามาบวกในความเป็นตำรวจของเรา แล้วดำเนินหน้าที่การงานเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อความซื่อสัตย์สุจริต ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ต่อประชาชน ไปที่ไหนประชาชนเขาก็จะรัก

ถ้าผิดเราก็จับจริง ๆ ปรับโทษสินไหมจริง ๆ เพราะคนนี้ผิด เมื่อเราจับอย่างมีเหตุมีผล ปรับไหมใส่โทษด้วยความมีเหตุมีผลนี้ ชาวบ้านเขาก็เห็นใจ เขาก็รักเขาก็ชอบ เขาก็รู้ว่าเราทำถูก ถ้าเราทำตรงกันข้าม ไม่มีหลักมีเกณฑ์ อาศัยแต่อำนาจของความเป็นตำรวจ เอาอำนาจของกฎหมายบ้านเมือง แล้วทำสุ่มสี่สุ่มห้า แอบหน้าแอบหลังอย่างนั้น เขาก็รู้ เพราะเหตุไร ? เพราะบ้านเมืองนั้นคือใคร ก็คือคน คนมีหัวใจ ตำรวจรู้ คนเขาก็รู้ จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ตรงแนวของตำรวจเรา ผู้มีหน้าที่รักษาชาติบ้านเมือง

ตำรวจไปที่ไหน บ้านเมืองเราจะมีความร่มเย็น คนรัก ไปไหนก็ดี มีเสน่ห์ในตัว เด็กก็รัก ไม่ว่าแต่ผู้ใหญ่รัก เด็กรัก ก็เย็นใจ ก็สบาย เหมือนเรามีคุณค่า ผู้ใหญ่รัก ก็เหมือนเรามีคุณค่า ประชาชนรัก ยิ่งเป็นผู้มีคุณค่ามาก

เพราะฉะนั้น..จงตั้งหน้าตั้งตา ทำตัวของตัวให้เป็นตัวอย่างของตัวเอง ให้มีความร่มเย็น ให้มีความพึงใจในตัวของเราเอง ก่อนที่จะไปปฏิบัติหน้าที่การงานให้เป็นที่พึงใจของประชาชนทั้งหลาย ให้พึงทำตัวเป็นหลักใจนั้นละ ทีนี้ไปที่ไหนประชาชนพลเมืองไม่ว่านักบวชหรือฆราวาสหญิงชาย รักหมด"

เถรี
27-05-2024, 23:51
เป็นทหารแล้วอย่าบ้ายศ

"..วันนี้เราน่าตำหนิไอ้หมาหางกุดสองตัว เราตำหนิมันสักหน่อย ทุกวันมันปวดเยี่ยวมันวิ่งเข้าป่า ถ้ามันปวดเยี่ยววิ่งออกมา มันอยู่ห้องที่ (หน่อย) เขาถอดเทป มันมักจะไปนอนแอบอยู่นั้นน่ะ เป็นเสี่ยวกัน หมานี้จะไปติดอยู่นั้นนอนอยู่นั้นน่ะ ครั้นเวลาไปเที่ยวที่ไหนมามานั้น มันจะไปตะกุย ๆ ประตู ก๊อก ๆ ๆ ทางนั้นเปิดประตูรับเข้าปุ๊บเลย..นอนสบาย วันนี้มันปวดเยี่ยวออกมาพอดี เป็นจังหวะเราไปที่นั่น

พอเห็นเราไปข้างนอก เขามองเห็นเรา เขาเปิดประตูปั๊บ หมาสองตัวนั้นก็ออกมา ปุ๊บปั๊บออกมา ออกมาตัวนี้ก็ไปเยี่ยวที่เขาปูเสื่อเรียบร้อยแล้ว ไปเยี่ยวใส่ตรงนั้นเลย ตัวนี้ก็ปุ๊บปั๊บออกมาด้วยกัน ออกไปที่นั่นก็ไปเยี่ยวใส่เสื่อตรงนั้นอีก โธ่..ทำไมเป็นอย่างนี้ไอ้หมาสองตัวนี้

"ทุกวันมันเป็นอย่างนั้นเหรอ ?"
"ไม่เป็น"
"ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ?"
"คือแต่ก่อน พอมันปวดเยี่ยวมันจะออกไปเที่ยว พอเปิดปั๊บวิ่งเข้าป่าไปเยี่ยวในป่า"

แล้ววันนี้ฟาดเยี่ยวบนเสื่อเลย เห็นต่อหน้าต่อตา มันเป็นยังไง ? มันขายหน้าเอานักหนา เจ้าของเป็นเสี่ยวกันมาทำไมไม่สอนกัน ? เยี่ยวราดไอ้หมาหางกุดสองตัวนั่น หมาน้อย..อันนี้น่าตำหนิก็ตำหนิ

แต่ที่น่าชมก็คือว่า คนเรานี้ปูพรมไว้อย่างเต็มเหนี่ยว ให้เป็นความสะดวกเพิ่มเกียรติยศชื่อเสียง ให้เป็นศักดิ์ศรีดีงามของมนุษย์เรา ปูเสื่อแล้ว ยังไม่แล้วเอาพรมมาปูอีก แล้วใส่รองเท้าอวด ๆ เดินเหยียบพรมเข้าไป เราเห็นแล้วเราสะดุดใจจนไม่ลืม

ไม่ใช่ผู้น้อยนะ ผู้ใหญ่เสียด้วย นี่ทำตัวที่เลวต่ำทรามที่สุด นี่มันยังไง ? ตั้งแต่หมาเขาก็ไม่เคยใส่รองเท้ามาเหยียบพรม อันนี้คนใส่รองเท้ามาเหยียบพรมที่มีราคาสูงส่ง มันยังไงเป็นอย่างนี้ ? อย่างนี้หรือจะเป็นผู้นำชาติบ้านเมือง มันคิดไปเลยทันที เพราะผู้นี้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร มันลืมตัวอย่างนั้นคนเรา ใส่รองเท้าไปเหยียบพรมที่เขาปูไว้อย่างเรียบ

"ก็ถอดเสียซิ..ถอดรองเท้า แต่หมามันยังไม่ใส่รองเท้าไปเหยียบพรม เราเป็นคนทั้งคนและเป็นผู้ปกครองชาติบ้านเมือง ทำไมจึงทำตัวเลวอย่างนี้ ? ลืมตัวขนาดนี้เชียวหรือ ? ใครอย่าไปเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าควรถอดรองเท้าให้ถอด ถ้าไม่ถอดอย่าเข้า ดีกว่าที่จะไปขายตัวอย่างนั้นนะ เลว..เลวมากทีเดียว..!"

นั่น..มันอดคิดไม่ได้นะ ตั้งแต่นั้นมามันจับติดในหัวใจ กิเลสตัวพองตัวนี้ใส่รองเท้าอวด ๆ เข้าไป ว่าตัวนี่ยศใหญ่ ยศใหญ่อะไรมันต่ำกว่าหมาขนาดไหน ? ยศ..หมาเขาไม่ได้ใส่รองเท้าไปเหยียบพรม ไอ้นี้คนแท้ ๆ เป็นผู้ใหญ่ปกครองบ้านเมือง แล้วใส่รองเท้าอวด ๆ ไปเหยียบนพรมให้คนทั้งสังคมนั้นดูอยู่ต่อหน้าต่อตา..!

เราเห็นเองเราเกิดความสลดสังเวช เลยไม่ลืมเหตุการณ์อันนี้ที่เห็นประจักษ์ใจ เพราะฉะนั้น..พี่น้องอย่าทำกันนะ อย่าลืมเนื้อลืมตัวถึงขนาดนั้น.."

เถรี
28-05-2024, 22:18
เรือนจำมนุษย์ เรือนจำนรก

"..อยู่ในเรือนจำนั้น เราอย่าเข้าใจว่านักโทษนั้นจะเป็นคนมีโทษทุกคนนะ คนบริสุทธิ์มาติดคุกติดตะรางมีเยอะนะ ก็เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความเซ่อซ่า คนที่ฉลาดเขาก็เหยียบหัว เขาก็จับคนนี้ยัดใส่คุก หลักฐานพยานยืนยันก็ลงมายืนยันกับคนโง่หมด..! คนฉลาดมันก็เอาตัวรอด บางคนก็เป็นไปด้วยนิสัยสันดาน อันนั้นไม่ดีเลย

เราสร้างคุณงามความดีเพื่อขึ้นสู่สุคติโลกสวรรค์ถึงนิพพาน นี่คือการสร้างบุญสร้างกุศล ให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด ท่านผู้บริสุทธิ์ที่มาสอนโลกมีเพียงพระองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า นอกจากนั้นมีแต่กิเลสสอนกิเลส สอนซึ่งกันและกัน ขนกันลงนรกหมกไหม้..!

นรกถ้าไม่ใช่เป็นกรรมของสัตว์แล้ว นรกนี้จะต้องได้ขยายหลุมนรก ๆ ให้กว้างขวาง ไม่อย่างนั้นไม่พอกับสัตว์ทั้งหลายที่ตกวันหนึ่ง ๆ เวลาหนึ่ง คือไม่มีประมาณ ไหลลงอยู่ตลอด เพราะสัตว์โลกทำบาปตลอดเวลา ผู้ทำบุญก็ไหลขึ้นตลอดเวลา ทั้งสองอย่างนี้ไม่ต้องขยับขยาย ไม่ต้องต่อตึกต่อร้านเหมือนอย่างบ้านเรือนของเรา

เรือนจำเขายังต้องขยาย เห็นไหมล่ะ..เมืองมนุษย์เรา ? เรือนจำคับแคบต้องสร้างเรือนจำที่นั่นที่นี่สำหรับคนชั่ว แต่นรกไม่ต้องสร้าง มันจะแน่นอัดขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นกรรมของสัตว์ อัดอยู่ในนั้นละ นรกจึงไม่ต้องขยาย

ขุมนรกมีเท่าไร ? มีมาดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่มีใครตกแต่ง หากเป็นหลักธรรมชาติ สัตว์โลกทั้งหลายก็ไหลเข้าไปสู่ตามหลักธรรมชาติแห่งความต่ำทรามของตน ผู้ที่จะไปสวรรค์ก็เหมือนกัน สวรรค์เหล่านี้ก็ไม่ได้ตกแต่ง ไม่ได้ขยับขยายอีก ว่าคนไปสวรรค์มากสวรรค์ไม่มีที่พออยู่พอกัน ไม่มี พอดิบพอดี ๆ ถึงนิพพาน

นี่เป็นความพอดีสำหรับกรรมของสัตว์โลก ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วที่มีมากน้อย ให้เชื่อนะ..พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ สอนโลกด้วยความแม่นยำ ด้วยความถูกต้อง มีพระองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า.."

เถรี
29-05-2024, 22:39
ผู้พิพากษาต้องให้ความเป็นธรรมตลอดไป

"..ผู้พิพากษานั้นเป็นหัวใจของโลก คือผู้ที่จะเรียนเป็นทางผู้พิพากษานี้ต้องเป็นธรรม อย่างนั้นจึงว่าหัวใจของโลกอยู่กับผู้พิพากษา สำคัญอย่างนี้

ถ้าผู้พิพากษาใกล้ชิดติดพันกับอรรถกับธรรมแล้ว ยิ่งแน่นหนามั่นคงเข้าไปในความตายใจของพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศเขตแดน..นี่สำคัญ เหมือนได้พ่อได้แม่ พ่อแม่กับลูก พ่อแม่จะไปทุจริตกับลูกไม่มี มีแต่ลูกมันลอกมันเลิกมันลากพ่อแม่เรื่อยนะ พ่อแม่ที่ไปเลิกไปลากลูกไม่ค่อยมีนะ

ผู้พิพากษาก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนพ่อเหมือนแม่คนภายในประเทศ..นี่ร่มเย็น เป็นผู้ให้ความเป็นธรรมเหมือนพ่อแม่กับลูก พ่อแม่ให้ความเป็นธรรมต่อลูกตลอดไป นอกจากลูกมันชอบลอกชอบเลิกชอบลากเข้าใจไหม..?"

เถรี
18-06-2024, 18:29
ทหาร ตำรวจ ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อชาติไทย

"ท่านทั้งหลายเป็นทหาร เป็นลูกของชาติไทยเรา ไม่มีใครที่จะรักชาติไทยเรายิ่งกว่าทหาร ตำรวจ นี่เป็นหัวใจของชาติไทยเรา เวลานี้ชาติไทยเราก็ดี ก่อนหน้ามาตั้งแต่บรรพพบุรุษก็ดี ถือปัจจุบันนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่ว่าศูนย์กลางก็ดี และจะเป็นไปข้างหน้าก็ดี ทหารทุก ๆ ท่านคือลูกแห่งชาติไทยของเรา ลูกกับพ่อกับแม่นี่จะแยกกันไม่ออก อะไรผ่านเข้ามาที่จะมาทำลายพ่อแม่นี่ ลูกต้องเอาคอขาดแทนเลย นี่เรียกว่าลูกรักพ่อรักแม่

ทหาร ตำรวจ ของเราก็เช่นเดียวกัน คือลูกแห่งชาติไทย อันใดที่จะมาแตะต้องทำลายส่วนรวมซึ่งเป็นหัวใจของชาติไทยเรา เป็นเหมือนกับพ่อกับแม่แห่งเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นตำรวจ ทหาร ตลอดพลเรือนทั่ว ๆ ไปนั้น เราต้องต่อสู้ ต้องรักษาสุดเหวี่ยง เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อชาติไทยของเรา คือพ่อแม่ของเรานี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่เรียกว่าทหาร

คือคำว่าทหารนี่ต้องเป็นนักสู้เพื่อตัวเอง ชาติของตัวเอง สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง พร้อมกับคนไทยทั้งชาติ นี้เรียกว่าทหารคือลูกที่ดีของพ่อของแม่คือชาติไทยของเรา...

ท่านทั้งหลายไปเพื่อรักษาชาติบ้านเมือง ก็เป็นธรรม สำหรับคนทั้งชาติอาศัยซึ่งกันและกัน ก็มีความรักษาและป้องกันเป็นธรรมดาแหละ ขอให้ไปเป็นสุข อยู่เป็นสุข มาเป็นสุข ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นสุข เขาอย่าเป็นศัตรูกับเรา เราไม่เป็นศัตรูกับเขา ต่างคนต่างไปเท่านั้นแหละ

รักษาชาติบ้านเมือง ถึงปืนจ่อกันอยู่ก็ตาม ต่างคนต่างไม่ทำลายกันแล้วปืนมันก็ไม่ดัง..เข้าใจไหมล่ะ ? แบกเต็มบ่ามันก็ไม่ดังละปืน ต่างคนต่างไม่ทำกัน แต่ก็ไปตามหน้าที่ ต่างคนต่างเห็นใจกัน เขาก็คน เราก็คน

ทางธรรมะไม่ทราบจะหนักไปทางไหน จะบอกว่าทางนี้ไป ไปอยู่ที่ไหน ๆ ฆ่ามันหมดทั้งเป็ดทั้งไก่ ชื่อว่าพวกข้าศึกอยู่ที่ไหน ให้ตามฆ่าให้หมด มันใช้ไม่ได้ ขัดกับธรรมอย่างมาก เราก็ไปตามหน้าที่ของเรา เขาก็อยู่ตามหน้าที่ของเขา เรากับเขาก็เป็นคนเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างไม่ทำลายกัน เขาก็ปลอดภัย เราก็ปลอดภัยกลับมา

เข้าใจให้ไปแบบนี้นะ คือปืนนี่ยกขึ้น เราไม่เหนี่ยวไก มันก็ไม่ลั่นละ มันอยู่เฉย ๆ แบกบนบ่าจนหนัก มันก็ไม่เป็นไร เขาเหมือนกัน เราเหมือนกัน ต่างคนต่างไม่เป็นภัยต่อกัน ต่างคนต่างแบกปืนมาหากัน ปืนมันก็อยู่เฉย ๆ มันไม่ดัง เข้าใจไหม ? อันนี้ให้เป็นแบบนั้นนะ ให้ต่างคนต่างอยู่เฉย ๆ ปืนไม่ดัง ทางนู้นก็ไม่ดัง ข้าศึกก็ไม่เกิด เราก็ไปเป็นสุข มาเป็นสุข เขาก็อยู่เป็นสุข ไปเป็นสุขเหมือนกัน

นี่ละภาษาธรรม ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ที่จะให้เป็นธรรมบอกว่า ไปนี่ให้ไปฆ่ามันหมดนะ หมู หมา เป็ด ไก่อย่าเอาไว้เลย ฆ่ามันหมด อย่างนี้ไม่ใช่ธรรม เข้าใจไหม ? เรื่องธรรมก็พูดอย่างที่ว่าละ ไปก็ให้เป็นสุข ตามจารีตประเพณีที่เราอยู่ร่วมกัน รักษาชาติบ้านเมือง ก็ไปเพื่อรักษาชาติบ้านเมือง ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะให้กระทบกระเทือนกัน ก็ไม่ควรให้กระทบกระเทือน"

เถรี
21-06-2024, 21:43
สงเคราะห์โรงพยาบาล

การสงเคราะห์ด้านโรงพยาบาลนี้ องค์หลวงตาท่านให้ความสำคัญมากตลอดมา โดยเฉพาะในระยะ ๓๐ ปีสุดท้าย ท่านยิ่งสงเคราะห์มากเป็นกรณีพิเศษ นอกจากนี้ก่อนมรณภาพเพียง ๒-๓ ปี ท่านได้เริ่มโครงการผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง สร้างตึกสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้น โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี มีประชาชนจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ร่วมกันบริจาคเข้าโครงการ จนมียอดเงินบริจาค ๔๖๙.๕ ล้านบาท เหลืออีกเพียง ๓๐.๕ ล้านบาท

และหลังจากองค์ท่านมรณภาพไม่ถึง ๒ เดือนเท่านั้น ปรากฏว่ามีเงินบริจาคมากถึง ๕๐๙ ล้านบาท เกินงบประมาณที่ตั้งไว้อีกด้วย สำหรับเหตุผลที่ช่วยเหลือสงเคราะห์โรงพยาบาลนั้นท่านกล่าวไว้ ดังนี้

"สภาพของคนไข้ที่ต่างรอคอยความหวังจากหมอ เป็นสภาพที่น่าสงสารมาก คนไข้ก็คือคนจนตรอกจนมุม เมื่อวิ่งมาหาหมอ หากหมอไม่มีเครื่องมือที่ดีที่ทันสมัย ก็ก้าวไม่ออก รักษาให้ไม่ได้ และสภาพคนชนบทเป็นคนยากจนเสียส่วนมาก การบำบัดรักษาถ้าพอเป็นไปได้ ก็ควรให้รักษาใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากในการเดินทาง ตลอดสถานที่พักอาศัย การกินอยู่หลับนอน"

หากมีโอกาสฟังเทศน์ของท่านอยู่ประจำ จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านมีความห่วงใยสงสารคนเจ็บป่วยมาก ท่านพร่ำสอนเสมอว่า

"มนุษย์เราจะยากดีมีจน บุญหนักศักดิ์ใหญ่ หรืออาภัพวาสนาอย่างไร ก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เกิดมาด้วยบุญด้วยกรรม และกรรมย่อมจำแนกแจกแจงสัตว์ ให้มีความประณีต เลวทรามต่างกัน แล้วเกิดไปตามวิบากแห่งกรรมของตน ๆ

ดังนั้น..ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน แต่ควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน เพราะหากมนุษย์ไม่ช่วยสงเคราะห์มนุษย์ด้วยกัน แล้วใครจะช่วย ? เรื่องความเจ็บป่วยนั้น ถ้าใครโดนเข้า ใครก็ทุกข์ทั้งนั้น เจ็บไปแค่หนึ่ง แต่ครอบครัวพี่น้องพ่อแม่ก็ป่วยทางใจ ป่วยด้วยความห่วงใยอีกเท่าไร จึงควรเห็นใจกัน"

เถรี
21-06-2024, 21:43
ในอดีตที่องค์หลวงตายังแข็งแรง ไปมาเองได้ ไม่มีผู้ใดติดตาม การสงเคราะห์ช่วยเหลือโรงพยาบาลของท่านในระยะนั้น ไม่มีการบันทึกไว้เลย เพราะท่านมุ่งประโยชน์ต่อคนเจ็บไข้เท่านั้น ไม่มุ่งประโยชน์อื่นจากการบันทึกข้อมูล

ดังนั้น..หากนับเฉพาะข้อมูลส่วนที่มีการบันทึกไว้ในระยะต่อมา ท่านสงเคราะห์ช่วยเหลือสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งสิ้น ๒๒๕ แห่ง ส่วนใหญ่เป็นการบริจาคเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องเอกซเรย์ เครื่องอัลตราซาวด์ เครื่องตรวจคลื่นหัวใจ เตียง เครื่องช่วยชีวิตเด็ก เครื่องช่วยหายใจเด็กทารก เครื่องดูดของเหลว เครื่องช่วยคลอด กล้องจุลทรรศน์ เตียงทำฟันพร้อมอุปกรณ์ ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีรถพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ ซื้อที่ดิน ตลอดจนการก่อสร้างต่าง ๆ เช่น สร้างตึกผู้ป่วย สร้างตึกรวมเมตตามหาคุณ สร้างตึกสงฆ์อาพาธ ห้องผ่าตัด สร้างกำแพง ฯลฯ

ความเมตตาของท่านไม่เพียงการซื้อวัสดุอุปกรณ์ รถพยาบาล และการก่อสร้างต่าง ๆ เท่านั้น ท่านยังเมตตาบริจาคเงินตั้งเป็นกองทุนเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น กองทุนตึกอุบัติเหตุ กองทุนศูนย์พิทักษ์ดวงตา กองทุนสงเคราะห์คนพิการและผู้ยากจนไร้ที่พึ่ง ฯลฯ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารคนไข้และเจ้าหน้าที่ ค่าจ้างพี่เลี้ยงเด็ก ฯลฯ หากประมาณประเภทของรายการทั้งหมดที่พอจะรวบรวมได้ ไม่น่าจะน้อยกว่า ๗๐๐ รายการ (รายการที่ซ้ำกันเกินกว่า ๑ ชิ้นหรือ ๑ ประเภท นับเป็น ๑ รายการเท่านั้น)

เถรี
25-06-2024, 23:25
เปิดโรงทาน..ทุ่มใส่รถพยาบาล

องค์หลวงตาให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือคนเจ็บไข้รายย่อยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยค่ารักษาตา ค่าฟอกไต เป็นประจำทุกเดือน หรือการรับเป็นคนไข้ในอุปถัมภ์ ฯลฯ แม้ในช่วงอาพาธและชราภาพมากแล้ว ก่อนมรณภาพไม่นาน ท่านก็ยังอุตส่าห์หันไปมองความทุกข์ของผู้อื่นและให้การช่วยเหลือ อย่างเช่นกรณีท่านเจ้าคุณอุดรคณาจารย์ วัดโพธิสมภรณ์ ดังนี้

"เจ้าคุณอุดรท่านไม่สบาย เราก็ช่วยเกือบจะ ๒ ล้าน เรายังติดตามอีก ยังมีความจำเป็นอะไรอีก คือเราจะช่วยอีก ท่านเป็นโรคอะไร (เป็นมะเร็งที่โคนลิ้น ตอนนี้ฉันได้แล้ว) ฉันได้แล้วนะ เป็นมะเร็งมีทางหายไหมละ ? (มีโอกาสหายอยู่แล้วครับ)"

และหากมีรถพยาบาลเข้ามาที่วัดป่าบ้านตาดไม่ว่าจะมาจากทางใดก็ตาม พระที่เป็นเวรประจำศาลาจะจัดข้าวของใส่เต็มรถทุกคัน ไม่ว่าจะมาวันละกี่คัน พระศาลาจะปฏิบัติตามนี้โดยเคร่งครัด มิให้ขาดตกบกพร่องโดยเด็ดขาด และหากมาจากโรงพยาบาลที่ไกลมากก็จัดให้มากเป็นกรณีพิเศษ ดังนี้

"เมื่อวานนี้ก็ข้ามเขาภูพานลงไปทางนู้น ไปทางอำเภอเขาวง กุฉินารายณ์ เขามารับของเมื่อวานนี้ พอดีเราก็ไปห้วยผึ้ง ติดกันกับกุฉินารายณ์ กุฉินารายณ์ทางนั้นห้วยผึ้งอยู่นี้ ทางกุฉินารายณ์เข้ามารับของจากโกดัง เราก็เอาไปให้ห้วยผึ้งเมื่อวานนี้ เป็นอันว่าที่กาฬสินธุ์ได้สองโรงเมื่อวาน รวมแล้วเมื่อวานนี้ ๕ โรง


โรงทานของเรามีประจำไว้สำหรับโรงพยาบาล วันละ ๓ โรง ๔ โรง ๕ โรง เป็นประจำ ขาดไม่ได้เหมือนกัน อันนี้ก็ดี อันนี้ก็เด็ดเหมือนกันนะ เด็ดไปอีกประเภทหนึ่ง เด็ดเพื่อคนไข้

(อีกคราวหนึ่ง) "วันนี้โรงพยาบาลกระบี่มารับรถตู้ที่ได้รับความเมตตาจากหลวงตา"

"เออ..ให้รอไว้ก่อนนะ" คือออกจากเรานี้ เราจะไปดูรถเสียก่อน เร่งไหม ? ไม่รีบดอกน่า เพราะเรื่องที่เราจะไปดูนี้ มันกว้างขวางยืดยาวขนาดไหน เรื่องราวใหญ่โตมาก อยู่กับจุดที่เราจะดูนี่นะ รอไว้ก่อนนะ

เวลาไป พระท่านเคยแล้ว เอาของบรรจุใส่รถเต็มเลย ไม่ว่ารถโรงพยาบาลที่ไหน ๆ มา เราให้เดินตามที่กำหนดไว้ โรงพยาบาลทั่ว ๆ ไปให้เสมอกันหมด อย่างนี้ก็ให้เป็นพิเศษอีกเพราะมาจากกระบี่ เช่น อุบลฯ มีกี่โรงพยาบาล เราจะให้เป็นพิเศษทุกโรงเลย แล้วอุตรดิตถ์ให้เป็นพิเศษ ทุกโรงเหมือนกันในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนชัยภูมิให้สองโรงที่ไกลมาก นอกนั้นให้เหมือนกันทั่ว ๆ ไป กับนาแห้ว

เราสั่งไว้อย่างไรพระจะจดเอาไว้ ๆ เวลาเห็นรถประเภทนั้นมาหรือจังหวัดนั้นมา ที่ควรจะได้รับพิเศษ พระจะจัดให้ตามที่เราเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว เราเองเป็นคนให้ สั่งรถชนิดนี้ลองดู ได้ยินมาเล่าให้ฟัง เราจะต้องไปดูเองก่อน รอให้เรียบร้อยก่อนนะ ให้พูดอะไร ๆ เสียก่อน เพราะงานเรามันมีหลายอย่างหลายด้าน"

เถรี
25-06-2024, 23:29
"มีเรื่องจ่ายช่วยเหลือโลกทั้งนั้น ช่วยตลอดเลย นั่นโกดังใหญ่ โรงพยาบาลมาไม่ต่ำกว่าวันละสองโรงสามโรง สี่ห้าโรงในระยะนี้ วันหนึ่ง ๆ วันละสามโรงสี่โรงห้าโรง มาประจำ อันนี้ให้เต็มคันรถ กำหนดไว้ให้พอ เสมอกันหมดเลย คือเราไม่ได้ทำแบบชุ่ย ๆ นะ ทำอะไรแล้วติดตามตลอด เอาให้ถึงความจริง ๆ แล้วก็เอาความเบาใจกลับไป ไม่ให้ขัดข้อง เพราะฉะนั้น..เราจึงเตือน ถามอะไรให้ได้ความก่อน บอกอย่างนั้นเลย

โรงพยาบาลจัดไว้สองประเภทในโกดัง ตั้งแต่อุบลฯ โคราช อุตรดิตถ์ ออกไปไกลกว่านั้นอีก เราให้เป็นพิเศษ ของที่เป็นพิเศษมีอะไรอีกนั่น กำหนดให้เสมอกันหมดที่พิเศษ ที่ธรรมดาก็ให้เสมอกันหมด รถที่ไหนมาที่ว่าเป็นพิเศษ ก็ให้พิเศษเสมอกันหมด แต่น้ำมันรถนั้นทุกคัน พอมาถึงวัดแล้วก็เติมน้ำมันให้เต็มถัง ๆ ทุกคันเลย ไม่ว่าใกล้ว่าไกล

เดี๋ยวนี้มันจะเป็นเดือนจะล้านกว่าละมั้ง ?..น้ำมัน แต่ก่อนถามเขาว่าเท่าไร..แสน ไม่รู้มาตั้งสิบกว่าปีแล้วแหละ เห็นรถผ่านมานี้ถังน้ำมันเต็มมาเลย ถามเขามันถังอะไร ? เขาบอกว่าถังน้ำมัน น้ำมันเอาไปไหน ? เขาก็บอกเอาไปใส่ปั๊มน้ำมัน เติมให้พวกมาเอาสิ่งของ พวกโรงพยาบาล เติมน้ำมันให้ เดี๋ยวนี้น้ำมันขึ้นราคา คิดว่าเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าล้าน..อย่างน้อยนะ เพราะน้ำมันแพงทุกวันนี้

เราเมตตาเสมอไปหมดนะ ใครอย่ามาคิดว่าเรารักคนนั้นชังคนนี้ไม่ได้ ขัดกับธรรม เสมอหมดเลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ตรงเป๋ง ๆ เลย เรียกว่าภาษาธรรมไม่อ้อมแอ้ม ไม่มีเห็นแก่หน้าแก่ตา เมื่อปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติตามนั้น พูดตามนั้น ตรงเป๋ง ๆ ไปเลย

สำหรับสมบัติของวัดนี้ เรียกว่าออกช่วยโลกทั้งนั้น พูดได้อย่างชัดเจนเลย เราไม่เก็บ เงินทอง ข้าวของ วัตถุ ปัจจัยไทยทาน ได้มามากน้อยออกหมดเลย สมควรที่จะไปวัดใด ที่เกี่ยวกับวัดกับวาก็ไปทางวัดทางวา เกี่ยวกับประชาชนส่วนรวมหรือส่วนบุคคลก็มี ก็ให้ไปตามนั้น ๆ

สำหรับรถนี้ดูเหมือนจะร้อยกว่าคันแล้ว จนจำไม่ได้ บางโรง ๓ คันก็มี ๔ คันก็มี ส่วนมากโรงละ ๑ คันตามปรกติ ถ้าสองคันหรือสามคันก็แสดงว่าผิดปรกติ เราให้ด้วยเหตุผลกลไกอย่างนี้นะ ถึงสี่คันอย่างนี้ก็เหมือนกัน สี่คันก็โรงพยาบาลศูนย์ แน่ะ..สมควรไหมล่ะ ? กับรถ ๔ คัน คันนั้นใช้อย่างนั้น ๆ เราฟังเหตุฟังผลทุกอย่างค่อยให้ไป ไม่ใช่ให้ทีเดียวตูม ๔ คันนะ ให้เป็นลำดับลำดามา แต่จำได้ว่าโรงพยาบาลศูนย์นี้ได้ให้ ๔ คัน ค่ายประจักษ์ฯ ดูเหมือนคันเดียว

ที่ได้สองคันก็เหมือนกัน มีเหตุมีผลทุกอย่าง เราทำอะไรเราไม่ได้ทำเหลาะแหละนะ ทำจริงจังทุกอย่าง ตรงกับเหตุกับผล จะให้มากน้อยนี้เราเป็นคนสั่งเอง เรียบร้อยแล้วด้วยเหตุด้วยผล เราไม่ได้ให้สุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าไม่สมควรให้เราให้ไม่ได้ พูดตรง ๆ อย่างนี้ละ นี่ละภาษาธรรม.."

เถรี
02-07-2024, 00:46
เยี่ยมโรงพยาบาล

องค์หลวงตาท่านมักจะออกเยี่ยมโรงพยาบาลต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ แม้ในปีสุดท้ายของท่าน ในการออกเยี่ยมโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ท่านจะนำข้าวสาร อาหารสด อาหารแห้ง ผ้าขาว ฯลฯ บรรทุกเต็มรถเท่าที่รถจะสามารถรับน้ำหนักได้ไหว เพื่อนำไปแจกโรงพยาบาลทุกครั้งไป พร้อมกันนี้ท่านจะถือโอกาสตรวจดูด้วยว่า ยังขาดตกบกพร่องในเครื่องไม้เครื่องมืออันใดบ้าง องค์ท่านจะได้ช่วยในจุดที่ยังขาด

ในการนำของไปแจกในที่ต่าง ๆ นั้นท่านให้เหตุผลไว้ ดังนี้

"ไปไหน ๆ แต่ละโรง ๆ นี้เป็นล้าน ๆ ระดับแสน ๆ นี่รู้สึกจะเริ่มมีน้อยแล้วเดี๋ยวนี้ มีแต่ล้าน ๆ ขึ้นไป ไปนี่ไม่ใช่ไปให้เครื่องมือแพทย์เท่านั้นนะ ยังไปดูหมออีก ดูพยาบาล กิริยามารยาทของหมอเป็นอย่างไร ? เวลาเกี่ยวข้องกับคนไข้ ดูอากัปกิริยาของเขาเป็นอย่างไร ดูไปหมด ไม่ใช่แต่ว่าใครจำเป็นอะไร ๆ แล้วเอามา อย่างนั้นไม่ได้ เราไม่ทำอย่างนั้น ให้ทั้งสิ่งของด้วย

ดูทั้งน้ำใจ ดูทั้งกิริยามารยาทความประพฤติดีงามของหมอและพยาบาลด้วย เป็นอย่างไร ? จะพอพยุงเครื่องมือของเรานี้ไปได้ไหม ? เพื่อประโยชน์แก่คนไข้ได้จริงหรือไม่ ? หรือเสียเงินเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร..ต้องดูอีก แล้วเครื่องมือเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ? หมอเหล่านี้เป็นหมอพ่อค้า พยาบาลพ่อค้า หรือเป็นหมอเป็นพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้ ? เพื่อเอาหัวใจคน เอาชีวิตจิตใจคนจริงจังหรือเป็นอย่างไรบ้าง ? ดูไปหมดไปทุกแห่งทุกหน ไปดูอย่างนั้นนะ..ที่เราไปโน้นไปนี้

วันนี้เปิดเสียให้ชัดเจน เราไม่เคยพูดแหละคำอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างนี้แหละ แล้วก็ดูสภาพของโรงพยาบาล ดูสภาพของเครื่องมือ ถ้าตรงไหนมีความจำเป็นมาก ทุ่มให้เลยเทียว เอ้า..ขาดอะไร ๆ บอกมา ๆ บอกเท่าไรให้เท่านั้น ให้เลยเป็นล้าน ๆ นั่งครู่เดียวเอาไปสองล้านสามล้านก็มี นั่น..อย่างนั้นละ ถ้าถึงใจ เราเอาจริง ถ้าไม่ถึงใจ สตางค์หนึ่งก็ไม่ให้..!"

เถรี
05-07-2024, 23:44
ไม่ทอดทิ้งถิ่นกันดาร

โรงพยาบาลบางแห่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เป็นที่ลำบากหลายสิ่งหลายประการ องค์ท่านก็ไม่ลืมที่จะไปเยี่ยมเยียนและอนุเคราะห์ดังนี้

"เวลาเราไป ก็ตามแต่เราจะเห็นสมควรไปโรงพยาบาลไหน กำหนดเวลาพอสมควร เพราะเราแยกไปโรงพยาบาลโน้น ไปโรงพยาบาลนี้ ไปให้สม่ำเสมอ เฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ในที่ลำบากลำบน ถ้าใกล้เคียงกับถนนหนทางตลาดลาดเล เราก็เห็นว่าพอถูไถกันไปได้ เราก็ไม่ค่อยหนักแน่นมากนัก ถ้าเป็นโรงพยาบาลอยู่ลึก ๆ อย่างนี้มักจะไปอยู่ตลอด

เช่น อย่างพวกภูหลวง (จ.เลย) นี้เข้าลึกในหุบเขา นี่เราก็ซอกแซกเข้าไป ภูเรือ (จ.เลย) อยู่ในกลางเขา เราก็ซอกแซกไปเป็นประจำเดือนนะ แล้วก็ให้ค่าอาหารครัวคนไข้อีกเดือนละ ๑ หมื่นเป็นประจำ นายูง (จ.อุดรธานี) ก็อยู่ในหุบเขาเหมือนกัน หุบเขากว้าง ๆ เข้าไปอยู่ลึก ๆ นู้น อันนี้เราก็ให้ค่าอาหารครัวคนไข้ ๒ หมื่นเป็นประจำ

ส่วนหนองวัวซอ (จ.อุดรธานี) ใกล้กับถนน อาจจะมีวาสนาอันหนึ่ง ทีแรกให้เดือนละ ๕ หมื่น เพราะเกี่ยวกับไฟฟ้าด้วย ๓ หมื่น ให้ค่าอาหาร ๒ หมื่น ทีนี้เห็นว่าค่าไฟฟ้าไม่มีความจำเป็นแล้ว ตัด ๓ หมื่นออก ยังเหลือให้เดือนละ ๒ หมื่น นี่ก็ใกล้ถนนเหมือนกันแต่ให้เดือนละ ๒ หมื่น รู้สึกจะเอารัดเอาเปรียบโรงพยาบาลอื่น ๆ มากไป อาจจะถูกตัดวันใดก็ได้

แล้วแต่เหตุผลของเราที่จะพิจารณา เพราะเราพิจารณาอยู่ตลอดแล้วนี่ หนักเบาแง่ไหน ๆ อันนี้ให้เป็นประจำ ที่ซอกแซกเรามักไปซอกแซก ๆ...

(อีกคราวหนึ่ง) วันนี้ก็จะไปโรงพยาบาลภูหลวง ไปดูอีกทุกห้อง ห้องไหนมีความจำเป็นอะไรก็จะช่วยเหลือกันไป เพราะเป็นโรงพยาบาลอยู่ที่คับแคบตีบตันอั้นตู้ ลำบากลำบน ไปก็เอาข้าวเอาของไปเต็มรถ ๆ เทปั๊วะ ๆ ไป คือ ถ้าตรงไหนที่อยู่ท่ามกลางของอู่ข้าวอู่น้ำ เราก็ไม่ค่อยสนใจนักนะ ถึงจะเป็นโรงพยาบาลเล็กก็ตาม แต่อยู่ท่ามกลางของอู่ข้าวอู่น้ำ ไม่ค่อยอดอยากขาดแคลนอะไรมากนัก เราก็ไม่ช่วยอย่างอื่น พวกข้าวพวกอาหารการกินไม่ค่อยช่วยมาก ช่วยแต่เครื่องมือแพทย์ไป"

เถรี
05-07-2024, 23:47
"ถ้าที่ไหนขาดแคลน อย่างนั้นเราช่วยทุกด้านเลย เครื่องมือแพทย์ก็ช่วย อาหารการกินก็ช่วย เช่น อย่างภูหลวงนี้ไม่มีข้าว ภูเรือ (จ.เลย) ก็ยิ่งอยู่ในภูเขาด้วย ซ้ำไม่มีข้าว อ.นายูง (จ.อุดรธานี) ไม่มีข้าว ทางคำตากล้า (จ.สกลนคร) ก็ไม่มี คำตากล้าไม่ได้ทำนากัน..น้ำท่วม เหล่านี้เราไปทั้งนั้นแหละ นี่ก็ยังส่องดาว (จ.สกลนคร) นี้อีก นี่เริ่มแล้ว ทางส่องดาวนี้เริ่มแล้ว อยู่ในหุบเขา ไปหาที่หุบเขา ๆ ที่จำเป็น ๆ..."

แม้โรงพยาบาลที่อยู่ไกลออกไปมาก ๆ ท่านก็ไม่เคยลืมหรือทอดทิ้ง เมื่อโอกาสอำนวยให้เมื่อใด ท่านจะรีบไปเยี่ยมทันที

"วันนี้เราก็จะไปละ เอาของไปโรงพยาบาลคำชะอีและดอนตาล (จ.มุกดาหาร) ไกลนะวันนี้..สงสาร..มันอยู่ด้วยกัน ๒ โรง จึงเอาไปไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ว่าเต็มรถนะ..หากไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะแบ่ง ๒ โรงอยู่ใกล้กัน ถ้าไปโรงเดียวก็เต็มรถ เทปั๊วะเลย..ได้มาก เอาไป ๒ โรงก็ต้องแบ่งครึ่ง แต่รถนั้นเต็มรถ วันนี้จะเป็น ๒ โรง มันไกล ๓ ชั่วโมงกว่า..กว่าจะถึง ไปส่งแล้วกลับขนาดนั้นค่ำพอดี ๆ..."

และสำหรับโรงพยาบาลอื่น ๆ ที่อยู่ไกลมาก จนไม่อาจไปดูแลเยี่ยมเยียนด้วยองค์ท่านเองได้ ท่านก็จะมอบหมายให้ผู้ที่ไว้วางใจ ได้ดำเนินการแทน ดังนี้

"เคยรู้จักท่านคลาดไหม ?"
"เคยได้ยินชื่อค่ะ"
ท่านเป็นพระวัดนี้ เป็นคนที่พังงาแต่เป็นพระวัดนี้ ท่านไปอยู่นั้นหลายปี ไปตั้งสำนัก พอดีทางโรงพยาบาลเกาะยาว พังงา ขอตึกมา เราเลยมอบให้ท่านคลาดเป็นตัวแทนเรา ให้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง ควรจะตัดจะเพิ่มจะเติมอะไร ๆ ยกให้ท่านทั้งหมดเลย ให้ท่านเป็นคนดูแลเองทุกสิ่งทุกอย่าง อำนาจให้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับเราไปสั่งเอง คือใครอยู่ที่ไหน ลูกศิษย์อยู่ที่ไหน ๆ เวลามีความจำเป็น เราจะมอบให้ลูกศิษย์ที่นั้น ๆ ทำแทนเรา"

ด้วยเหตุนี้การสงเคราะห์ของท่านจึงกระจายไปในสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ประชาชนที่เขตพื้นที่ซึ่งได้รับบริจาคจากทุกภาคทั่วประเทศ ตลอดถึงประเทศเพื่อนบ้านต่าง ๆ ได้ใช้และได้รับอานิสงส์ของทานเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว นับเป็นเมตตาธรรมอันสูงยิ่ง ที่องค์หลวงตามีต่อพี่น้องประชาชนลูกหลาน ที่ไม่อาจบรรยายได้หมดสิ้น...

เถรี
07-07-2024, 23:58
ทุ่มบริจาคเครื่องมือ "ตา"

การสงเคราะห์เกี่ยวกับตาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่องค์หลวงตาเห็นความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ดูจากการช่วยเหลือโรงพยาบาลด้านตาโดยเฉพาะ มีมากถึง ๒๓ แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมมูลค่าทั้งสิ้น ๑๙๘,๗๐๐,๐๐๐ บาท องค์ท่านอธิบายถึงเหตุผลการช่วยเหลือไว้ ดังนี้

"เรื่องตานี้รู้สึกจะกว้างขวางไปมากเวลานี้ คือก่อนที่เราจะช่วยถ้าเป็นธรรมดาให้เราพิจารณานี้ เราจะช่วยจุดที่จำเป็นคือตาเป็นอันดับหนึ่ง อวัยวะอย่างอื่นอย่างใดก็เป็นของเราเหมือนกันหมด แต่อะไรมีความจำเป็นอันดับหนึ่ง เราก็มาเล็งเห็นแต่ตาเป็นอันดับหนึ่ง จึงต้องช่วยอันนี้ก่อน เครื่องมือตาเราช่วยอันนี้ก่อน เริ่มช่วยมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้...

เมื่อสองสามวันนี้ก็ทางเชียงใหม่มาขอเครื่องมือตา ๘ ล้าน ๒ แสน ที่เราได้ช่วยวันนั้น พอไปโรงพยาบาลบึงกาฬเขาก็ฟาดเสีย ๒ ล้านกว่าบาท ตึกสามหลัง หลังคาเสียหมดเลย ทีแรกเขาก็ขอแต่เราไม่ให้ เราให้รถคันหนึ่งก่อน ไปเที่ยวนี้ฟาดเอาเสียสามหลังเลย เชียงใหม่กับบึงกาฬฟาดเสีย ๑๐ ล้านกว่าเมื่อสองวันผ่านมานี้ แล้วให้เรื่อย ๆ

อย่างเมื่อวานนี้ก็เอาอีกทางเวียงจันทน์ เริ่มแล้วสั่งรถแล้ว รถไม่ทราบราคาเท่าไร ลงสั่งแล้วเราจ่าย ส่วนที่ให้ไปแล้วเมื่อวานนี้เขาขอที่จำเป็น ๑ แสน ๘ หมื่น เราให้สองแสนเลยกับรถคันหนึ่ง

กะว่าวันที่ ๘ เราจะไปเวียงจันทน์ เรากำหนดเอง เพราะได้พูดบ้างแล้วว่า หมอจะว่างวันที่ ๘ เราก็จะไปวันนั้น ได้ติดต่อแล้วเครื่องมือแพทย์ตาเป็นอันดับหนึ่ง ฟังว่าทางโน้นแทบไม่มีเลยเครื่องมือตา มีนิดหน่อย ๆ เพราะฉะนั้น..เราถึงทุ่มให้เลย ๑๖ ล้านทีแรกให้เลย ครั้งที่สอง ๑๔ ล้าน เป็น ๓๐ ล้านพอหายใจได้บ้างแหละ..."

ต้นเหตุที่ทำให้องค์ท่านเห็นความสำคัญเครื่องมือตาเป็นกรณีพิเศษนั้น มีความเป็นมาดังนี้

"ตานี้คือเริ่มแรกที่เป็นเหตุก็คือ เราไปผ่าตาที่โรงพยาบาลรัตนิน ซอยอโศก มันก็แปลกอยู่นะ เรากับ ดร.เชาวน์ นี่มันมีอะไรกันนะ มันแปลกอยู่ มาคุยกันสองต่อสอง คุยกันอยู่กุฏินั่นนะ เพราะ ดร.เชาวน์มาพักอยู่นี้เป็นอาทิตย์นะ พักภาวนาอยู่นี้ เวลาจะไปก็ไปคุยธรรมะกันแล้ว กราบเสร็จแล้วมาว่า

"ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ไปตรวจตาด้วย ดูตาท่านอาจารย์ผิดปกติมาก"

เราไม่เคยสนใจเพราะตาเราก็ดี ๆ อยู่ ไม่เห็นมีอะไร "ดูตาท่านอาจารย์ผิดปกติมาก" ว่างั้นนะ เราก็ไม่ถือเป็นอารมณ์ แล้วอยู่ ๆ ไม่กี่วันนะ อย่างนานไม่เลย ๕ วัน มีเหตุธุระอะไรจำเป็นทางกรุงเทพฯ เลยปุ๊บปั๊บไปกรุงเทพฯ โดยด่วนเลย

พอไปกรุงเทพฯ ดร.เชาวน์ทราบก็นิมนต์ให้ไปตรวจตาเสียก่อน พอไปถึงนั่นเราก็ไปตรวจ พอเข้าไปห้องตานี้ "โอ๋ย" หมอร้องโก้กเลยนะ..!"

เถรี
08-07-2024, 00:02
"โอ้โห..ทำไมถึงมาได้พอดิบพอดีเอานักหนา ถ้าเลย ๗ วันนี้ตาบอดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย..!"

เขาว่างั้นนะ เขาเอาเข้าห้องตาตั้งแต่บัดนั้น ทางนี้ ๕ ชั่วโมง ทางหนึ่ง ๒ ชั่วโมง เป็นเวลา ๗ ชั่วโมง ไม่ได้ออกมาเลยแหละ แล้วจากนั้นเขาก็กำหนดดูตาแล้วให้มาผ่า กลับไปผ่าทีหลังนี้ออกมาสว่างจ้าหมดเลย นี่ละเป็นต้นเหตุนะ.."

ภายหลังการรักษาดวงตาในครั้งนั้น ทำให้องค์ท่านเห็นถึงความจำเป็นของเครื่องมือตา จากนั้นจึงบริจาคช่วยเหลือโรงพยาบาลต่าง ๆ อย่างจริงจังตลอดเวลา เฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลอุดรธานี ดังนี้

"อุดรฯ เชิญหมอตานี้เข้ามาประชุมกันทันทีเลย ตกลงประเดี๋ยวประด๋าว วันนั้นให้เสร็จเลย ต่างคนต่างรับรองกัน คือเราจะให้เครื่องมือทำตานี้ทั้งหมด

"แล้วเวลานี้หมอที่เกี่ยวข้องกับทางด้านตานี้เวลานี้มีครบไหม ?"

"ไม่ครบก็ครบได้ เพราะเวลานี้ที่ไม่มีก็เพราะไม่มีเครื่องมือมาก หมอจึงไม่มามาก"

"ถ้างั้นเอาเลยนะ ให้หมอกำหนดกันมาเลยให้ครบ ทางนี้จะเอาอะไรให้บอกมา เดี๋ยวนี้จะสั่งโดยด่วนเลย"

ทางนั้นเขาก็จัดการสั่งเครื่องมือตา เรียกว่าครบเลยนะ เอาโดยด่วนเลย ฟาดเลย ทางโน้นก็เอาหมอมาโดยด่วน ทางนี้ก็สั่งโดยด่วน ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ละ จึงได้เห็นคุณค่าของตามาก เฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสาน ไหลเข้ามาที่นี่หมดนะ แล้วก็ไปศรีนครินทร์ ๒ แห่งนี้ นี่ละตาที่เห็นนี่..ก็อย่างนั้นแหละ

จนกระทั่งป่านนี้เรียกว่าเปิดโอกาสหรือว่าปวารณาไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะตา อะไรบกพร่อง ควรที่จะสั่งหรือจะซ่อม ให้รีบสั่งหรือซ่อมทันที ไม่ต้องมาขออนุญาตจากเรา ให้สั่งเลย ตกมาเท่าไร ๆ เราจะเป็นคนจ่ายเงินให้ตลอดมานะ

ตานี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดมาจนกระทั่งป่านนี้ เราเห็นคุณค่าของตามาก มีมากคนเราจะเห็นได้ชัดเจน คือว่าวันไหนถ้าเราเข้าโรงพยาบาลนะ เข้าห้องตานี้อัดแน่นทุกวันนะ คนมาตรวจตาแน่นทุกวัน ๆ จนถึงกับเราสงสัยต้องถามหมอ

"แล้วคนมาจำนวนมาก ๆ นี้ตรวจเขาทันไหม ?" "ทัน"

เครื่องมือก็สั่งแล้วว่าให้เพียงพอ เพียงพออยู่แล้วนี่ ก็ทันอยู่แล้ว..เขาว่างั้น เราก็หมดปัญหาไป อย่างนี้ทุกวันนะ..ไปเมื่อไรเต็มอยู่ทุกที่ ห้องอื่นไม่ค่อยมีนะ ห้องตาเป็นที่หนึ่งตลอดมา.."

เถรี
09-07-2024, 00:37
หมอพยาบาลหญิง ห้ามถูกตัวพระ

เทศนาในคราวหนึ่งท่านกล่าวถึงความสำคัญและจำเป็นในการรักษาพยาบาลพระภิกษุไข้ในโรงพยาบาล ควรมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดเพื่อรักษาและเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยของพระ ดังนี้

"แม้เราจะพยายามรักษาตัวเองด้วยหลบหลีกไปไหน แต่ความที่โรคสุกงอมเต็มที่จึงแสดงอาการขึ้นมา ปลายปี ๒๕๒๗ ปรากฏว่าโรคหัวใจผสมกับโรคหอบที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนได้กำเริบอย่างรุนแรง ทำให้เราต้องฝืนไปยอมนอนติดต่อกันถึง ๓ คืน เนื่องจากโรคหอบนี้มักเกิดขึ้นในเวลากลางคืน

หากตกใจหรือกำเริบขึ้นขณะนอนหลับนั้นย่อมแก้ไขไม่ทัน หมอจีนที่ลูกศิษย์นำมารักษาได้ถวายยาถูกกับโรค โรคหอบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจึงสงบลงอย่างเด็ดขาดและไม่ปรากฏว่าได้แสดงอาการขึ้นอีกในภายหลัง

หมอเขารู้เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่ไหน เขาไม่รู้เรื่อง เขาก็รู้วิชาของหมอ ปฏิบัติตามเรื่องของหมอล้วน ๆ ตามหลักวิชาเขาเรียน ทีนี้พระทั้งองค์ไปมอบตัวเป็นซุงให้เขาเลย แล้วแต่เขาจะถลุง แบบไหน ๆ เราไม่เป็นตัวของเราเลย

พอพูดอย่างนี้เราก็ย้อนไปถึงโรงพยาบาลอุดรฯ เราเอาพระไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลอุดรฯ พอผ่าตัดแล้วพวกหมอผู้อำนวยการสั่งให้หมอผู้หญิงเข้ามาพะรุงพะรังกับพระ เข้ามาฉีดยา เราพูดอย่างเด็ดเลย

"อย่ามายุ่งเลยนะ ไม่มีเลยหรือผู้ที่จะปฏิบัติให้ได้รับความสะดวกตามหลักกธรรมหลักวินัย จึงต้องเอาผู้หญิงเข้ามาฉีดยายุ่งเหยิง อย่าทำ..ไม่ให้ทำ" ว่าอย่างนี้เลย

"ก็ท่านอย่ามาเคร่งครัดในเวลาป่วยนี้ไม่ได้ ท่านอย่ามาเคร่งครัดในเวลานี้" ผู้อำนวยการเสียด้วยนะ พูดอย่างนี้

เราว่าอย่างนี้ "เราเคร่งครัดมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าโรงพยาบาลแล้ว เราไม่ได้มาสังหารธรรมวินัยนี้นะ เรามาเข้าโรงพยาบาล เรามาแก้โรคต่างหาก ถ้าไม่สมควรที่จะรักษาเราก็เอากลับได้ ที่ไหนก็มีป่าช้าทั้งนั้นแหละ..!"

เถรี
14-07-2024, 00:20
เตือนหมอ...อย่าหยิ่ง อย่ารีดไถกิน

"หมอไม่รู้ศีลธรรมก็มีเยอะนี่นะ ใช่เล่นเมื่อไร หมอหยิ่งในความรู้ของเจ้าตัวว่าเป็นหมอ เหมือนกับว่าวิชาความรู้ของหมอนี้ เลิศเลอยิ่งกว่าความรู้ของพระพุทธเจ้าที่พ้นจากกิเลสไปแล้ว มีมากต่อมาก เพราะฉะนั้น..หมอจึงหยิ่ง..ไม่ค่อยเข้าศาสนา เห็นว่าศาสนาเป็นของต่ำช้าเลวทรามไป ยิ่งกว่าความรู้ของเราที่เรียนมาเพื่อความเป็นหมอ..มีมาก..เราพูดตรง ๆ อย่างนี้ เราใส่เปรี้ยง ๆ หลายหนแล้วนี่ ไม่ได้มาพูดให้ฟังเฉย ๆ หมอจึงไม่ค่อยเข้าศาสนา เพราะหมอหยิ่งในความรู้ของตัวเอง..!

ความรู้นี้เป็นความรู้ของกิเลสที่ผลิตให้ต่างหาก ไม่ใช่ความรู้ของธรรมที่พระพุทธเจ้าผลิตให้นะ..ผิดกัน ความรู้อันหนึ่งเหนือโลก ความรู้พระพุทธเจ้าเหนือโลก ความรู้อันนี้อยู่ใต้อำนาจของกิเลสต่างหาก..จะวิเศษวิโสอะไร ก็เป็นวิชาแขนงหนึ่ง ๆ เหมือนกับวิชาทางโลกที่เขาใช้กันนั่นเอง ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกกัน จะเอาอะไรมาหยิ่ง หากหยิ่งก็ในหัวใจเจ้าของคนมีกิเลสนั่นละ..!

แต่เราพูดอย่างนี้เราไม่ได้ตำหนิหมอทั่วไปนะ..ผู้ที่ดีก็มี แต่หากผู้เป็นอย่างนี้มีจำนวนมาก หยิ่งในความรู้ของเจ้าของว่ามีเกียรติ ความรู้ทางหมอนี้โลกเขาให้เกียรติ ตั้งแต่เริ่มเรียนหมอเขาก็เริ่มให้เกียรติแล้ว ยิ่งมาเป็นหมอด้วยแล้วเลยกลายเป็นอะไร ๆ ไป เพราะทิฐิมานะสูงขึ้น ๆ จิตใจจึงต่ำลง

นี่ซอกแซกจะว่าไง หากไม่พูดเฉย ๆ ถึงวาระพูดถึงจะนำมาพูด ถ้าไม่ถึงวาระพูดก็เหมือนไม่รู้ ผ่านไป ๆ เข้าลิ้นชัก ๆ หมดเลย เหมือนไม่รู้ไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้น ทำตาบอดหูหนวกไปอย่างนั้นละ

นี่เราได้เตือนหมอบรรดาลูกศิษย์ลูกหา เฉพาะอย่างยิ่ง..ศิริราชเราเตือน หมอใหญ่ ๆ พวกศาสตราจารย์ เราเป็นหมอเป็นศาสตราจารย์ ขอให้นำศาสนาของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นของเลิศเลอนี้ นำเป็นตัวอย่างเคียงข้างกันไปกับหมอนะ เราว่าอย่างนี้ คนไข้ถึงเคารพนับถือและการปฏิบัติคนไข้ก็สนิทดี ถ้ามีธรรมแทรกนะ

ถ้ามีแต่ความรู้ธรรมดาก็เหมือนคนพูดทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ รีดกันกินไถกันกินได้สบายเหมือนกัน หมอเป็นพ่อค้ามีน้อยเมื่อไร ว่าอย่างนี้แล้ว ว่าตรง ๆ อย่างนี้ ถ้ามีธรรมแทรกแล้วมีเมตตาพร้อมกันไป นี่เราก็สอน..สอนหมอ..หมอใหญ่ ๆ พวกศาสตราจารย์นั่นแหละ ก็ลูกศิษย์เราทั้งนั้นนี่ โรงพยาบาลไหนไม่มีลูกศิษย์ไม่มี โรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ นะ มีแต่ลูกศิษย์ทั้งนั้น พวกศาสตราจารย์ก็สอนได้ละซิ ลูกศิษย์กับอาจารย์สอนกันไม่ได้มีอย่างเหรอ ต้องสอนได้ ไม่ได้ก็เอา ก.ไก่ สอนเข้าไปซิ

วิชาเป็นอย่างนั้นแหละ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าหมอหันหน้าเข้าวัดกันเยอะนะ วิชาพาให้ลืมตัวเป็นได้ เข้าใจว่าเป็นความรู้ที่วิเศษวิโสยิ่งกว่า ความรู้ของเราสูงกว่าศาสนาไป ความรู้ของกิเลส อันหนึ่งความรู้ของวิมุติธรรม ความหลุดพ้นจากโลก ต่างกันขนาดไหน จะมาเทียบเคียงกันไม่ได้แหละ เหมือนอึ่งกับค่างพูดง่าย ๆ เทียบกันไม่ได้.."

เถรี
18-07-2024, 23:16
แพทย์ พยาบาล ต้องมีเมตตาธรรม

เมื่อมีโอกาสอันควร องค์ท่านจะแนะเตือนด้วยความเมตตา แก่บรรดาแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเสมอ ๆ ดังตัวอย่างหนึ่ง ท่านแสดงธรรมแก่คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข มีท่านรัฐมนตรีเป็นประธาน ดังนี้

"วันนี้ได้พูดถึงเรื่องโรงพยาบาล โรงพยาบาลกับหมอเป็นของสำคัญอยู่มาก หมอนั้นสำคัญอยู่ที่นอกจากเรียนหลักวิชาแห่งหมอมาแล้ว นั่นเป็นเพียงทางเดินกลาง ๆ แต่อัธยาศัยใจคอและจิตวิทยาของหมอที่จะปฏิบัติต่อคนไข้นั้น เป็นสิ่งลึกลับแต่จำต้องนำมาใช้

สำหรับหมอ เวลาคนไข้ได้ป่วยเจ็บหัวตัวร้อน วิ่งเข้ามาหาหมอ กิริยามารยาทที่นิ่มนวลอ่อนหวาน ที่เป็นพื้นมาจากความเมตตาของหมอนั้น ต้องออกแสดงก่อนอื่น ก่อนยาที่จะเข้าถึงตัวคนไข้ ความเอาอกเอาใจ ให้ความอบอุ่นแก่คนไข้นั้น เป็นยาขนานแรกซึ่งจะต้องเข้าถึงคนไข้ก่อนอื่น

จากนั้นก็ปฏิบัติไปตามหน้าที่ด้วยความเมตตาของหมอ เพราะคำว่าหมอนี้ โลกทั้งหลายเขายอมรับ ยอมรับให้ศักดิ์ศรีดีงาม ยอมรับนับถือให้ความเคารพทุกสิ่งทุกอย่าง ไว้วางใจกับหมอ

เพราะหมอนั้นถือกันว่าเป็นแบบพิมพ์ เป็นศักดิ์ศรีดีงามของชาติไทยหรือของโลก โลกเขาจึงยอมรับ เมื่อเราก้าวเข้ามาสู่ความเป็นหมอเริ่มตั้งแต่เรียนเป็นนักศึกษาแพทย์ ก็เริ่มมีเกียรติแล้ว โลกยอมรับนับถือเรื่อยมา จนกระทั่งถึงจบเป็นหมอออกมา โลกยิ่งยอมรับมากขึ้น นับถือมากขึ้น

เพราะฉะนั้น..การต้อนรับโลกที่นับถือนั้น เราจึงต้อนรับด้วยความเมตตาซึ่งเป็นพื้นฐานของหมอ หมอต้องมีความเมตตาเป็นพื้นฐาน สมบัติเงินทองข้าวของสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งเป็นผลพลอยได้เท่านั้น เมตตาที่มีต่อคนไข้ทั้งหลายที่เขามาพึ่งพาอาศัย เขามาขอความอบอุ่นจากเรานั้น เป็นเรื่องที่หมอจะต้องปฏิบัติ และพยาบาลจะต้องปฏิบัติให้ถึงชาวบ้านทุก ๆ รายไป นี่เป็นหลักสำคัญ

โรงพยาบาลจึงเป็นโรงชุบชีวิตของสัตว์โลกทั้งสองอย่าง คือโรงพยาบาลหมอเกี่ยวกับโรคทางร่างกายหนึ่ง โรงพยาบาลหรือสถาบันอันใหญ่หลวงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้มีความจำเป็น อย่างน้อยเสมอกัน มากกว่านั้นทางด้านจิตใจคือธรรมเป็นของสำคัญมาก.."

เถรี
20-07-2024, 00:02
คนไข้กับหมอ ดั่ง "พ่อแม่ลูก"

โรงพยาบาลที่ท่านเมตตานำพวกอาหารไปสงเคราะห์ในแต่ละวัน ๆ นั้น โดยมากแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในที่นั้น ๆ จะเคารพท่าน ถือองค์ท่านเป็นเสมือนพ่อแม่ เวลานำข้าวของไปแจกแต่ละครั้ง ๆ หลังจากที่ได้ซักถามว่ามีสิ่งใดขาดหรือไม่แล้ว ในระยะหลังหลายครั้ง องค์ท่านจะถือโอกาสสอนเตือนแก่แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ เนื่องจากองค์ท่านก็ถือเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานขององค์ท่านเองเช่นกัน ดังตัวอย่างในคราวหนึ่งที่องค์ท่านนำมาเล่าแบบขำขันให้ฟัง ดังนี้

"คนไข้เข้ามา เขาฝากเป็นฝากตาย ฝากทุกสิ่งทุกอย่าง ครอบครัวเหย้าเรือนเขาฝากมา หาหมอ หายา หาพยาบาลหมด..จะว่าไง ? เขามาหาแล้วหน้าบึ้งใส่เขา..มีอย่างหรือ ? แบบนี้ก็มีแต่แบบหน้าหมาไม่ใช่หน้าคน..! เราว่างั้น..ก็บอกชัด ๆ อย่างนี้แล้ว เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาหัวเราะ อย่าเห็นว่าเราเป็นถึงหมอ คนไข้เป็นทุคตะเข็ญใจ หรือเป็นหมาตัวหนึ่งเข้ามานี้ ต้อม ๆ เข้ามาในโรงพยาบาล ไม่เป็นเช่นนั้นนะ

คนไข้มาแต่ละคน ๆ พระเจ้าแผ่นดินแห่มานะ พระเจ้าแผ่นดินไม่แห่มายังไง ? ก็เงินเต็มกระเป๋า ตราพระเจ้าแผ่นดินตีตรามา..เห็นไหมล่ะ ? คนไข้เขามีคุณค่าต่อหมอขนาดไหน..เราต้องคิดบ้างซิ..คนไข้คนหนึ่งกับหมอเป็น "อัญญมัญญัง" อาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าไม่มีคนไข้..หมอก็หมดความหมาย โรงพยาบาลก็ล้มหมด ที่ตั้งกันอยู่ อาศัยกันอยู่ทุกวันนี้ พอเป็นไปได้ทั้งฝ่ายหมอและฝ่ายคนไข้

ก็เพราะต่างคนต่าง "อัญญมัญญัง" ซึ่งกันและกัน อย่าเห็นว่าทางไหนสูงกว่ากัน ถ้า "อัญญมัญญัง" แล้ว อยู่ด้วยกันได้ เพราะเรื่องคนไข้กับหมอแยกกันไม่ออก เหมือนพ่อแม่กับลูก เราจะว่าเป็นเทวดากับหมาได้ยังไง ? เราก็บอกถึงว่า..เงินในกระเป๋าเขามาแต่ละคน พระเจ้าแผ่นดินแห่มานะ..ว่างั้น คนหนึ่งกระเป๋าเป้ง ๆ มา เขาให้ด้วยน้ำใจ..มีเยอะนะ เขาให้ค่าหยูกค่ายาเป็นธรรมดา เขาให้ด้วยน้ำใจของหมอ น้ำใจของพยาบาล ที่มีคุณแก่คนไข้ของเขา แล้วเขาก็ตั้งใจให้ด้วยน้ำใจ..มากกว่านั้นอีกนะ มีเยอะนะ.."

เถรี
28-07-2024, 06:48
จิตแพทย์หมดทางเยียวยา

"ความอยากนั่นละ อยากนั้นอยากนี้ อยากคิด อยากปรุง อยากแต่ง อยากรู้ อยากเห็น อยากได้นั้นได้นี้ อยาก ๆ ๆ ตลอด นี่ตัวมันกวนใจ ภาวนาสติจับปุ๊บเข้าไปตรงนั้น มันจะกวนไปไหน จะสงบลง ๆ สติเข้าตรงไหนสงบตรงนั้น ไม่มีสติแล้วก็เลยเถิดเตลิดเปิดเปิง..เป็นบ้าได้เลย..!

อย่างที่เราเห็นคนบ้าอยู่ตามสี่แยกไฟเขียวไฟแดง เราไปเห็นด้วยตาเนื้อของเรา รถจะชนกันเพราะหลีกคนบ้าอยู่ในสี่แยกไฟแดง มันทำเฉยนะ หยิบนั้นหยิบนี้ใส่นั้น หยิบอันนี้ออก หยิบอันนั้นเข้า เฉยไม่สนใจกับใคร ก็เราเห็นเองนี่ รถที่หลีกคนนี้หลีกกันไปหลีกกันมาก็จะชนกันซิ..! รถเลยจะเป็นจะตายกับคน พอดีเราก็ไปเจอนั้นด้วย เราก็ได้ดู อ๋อ..นี่ไม่สนใจกับใครเลยนะ รถที่วิ่งขวักไขว่หลีกกันหลบกัน ทั้งจะชนคน ทั้งจะชนกันไม่ได้เรื่องอะไร ยุ่งเราก็ดู โอ้..เป็นอย่างนี้

ทีนี้ก็เอามาพิจารณา นี่ละคือความเคลื่อนไหวไปมา นี้คือคนเป็นมีชิวิตอยู่ ความรู้มีอยู่กับใจ แต่ไม่มีสติเครื่องรับผิดชอบในตัวเอง มันอยากทำอะไรก็ทำ นี่ละ..มีแต่จิตล้วน ๆ อยากทำอะไรก็ทำ เหมือนไส้เดือนบุ้งกือ มันคืบคลานของมันไป ไม่ใช่ไม่มีความรู้ มันมีความรู้แต่ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเครื่องรักษาตัว มันก็เป็นไปแบบนั้น

คนเราเมื่อไม่มีสติเครื่องควบคุมตัวเองรับผิดชอบตัวเองแล้ว ก็เหมือนคนบ้าที่อยู่ในสี่แยกไฟเขียวไฟแดง อยากทำอะไรก็ทำ..เฉย คนอื่นจะเป็นจะตาย..รถมา ตอนนั้นตำรวจไม่มี

นี่ละเรื่องมีแต่ความรู้อย่างเดียว ไม่มีสติรับผิดชอบเป็นได้อย่างนั้น นั่นละมีแต่ความรู้เป็นอย่างนั้น คือความรู้อันนี้มันมีกิเลสตัวสำคัญที่เรียกว่าอวิชชาครอบอยู่นั้น สติปัญญาที่จะควบคุม คอยรับผิดชอบแก้ไขกันไม่มี มันก็ปล่อยตามเรื่อง ไปไหนก็ไป มีตีความรู้ไม่ทราบว่าผิดไม่ทราบว่าถูก ไม่ทราบว่าควรไม่ควร

สิ่งที่จะให้ทราบเหล่านี้คือสติคือปัญญารับผิดชอบในตัวเอง แล้วก็รู้เรื่องคนอื่นคนใดได้เหมือนเรารู้เรื่องของเรา ถ้าไม่มีสติหรือปัญญาเสียอย่างเดียว ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องของตัวเอง คนอื่นก็ไม่รู้เรื่องของเขา อยากจะทำอะไรก็ทำไปตามความรู้สึก โดยมีอันหนึ่งดันให้อยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีความรับผิดชอบคือสติ

นักภาวนาพิจารณานะ นี่เราพูดเรื่องสติทั่ว ๆ ไป จิตทั่ว ๆ ไป ถ้าเป็นจิตของนักภาวนาต้องแหลมคมตลอด แย็บ ๆ รู้ ๆ แล้วปัญญาสอดแทรก มองพั้บรู้พั้บ ทะลุปิ๊ง ๆ นั่นละสติปัญญาที่เข้าเป็นธรรมแท่งเดียวกับใจด้วยแล้วเป็นอย่างนั้น ที่มารจะพูด อย่างโลกนี้พูดไม่ได้นะ มันไม่เหมือนโลก โลกมันเป็นโลกสมมุติ อันนั้นแม้แต่อยู่ในขันธ์ธรรมชาตินั้นเป็นวิมุติแล้ว แสดงลวดลายของวิมุติอยู่ตลอดเวลาในธรรมชาติของตนเองที่บริสุทธิ์นั้น นี้ขันธ์ก็เป็นของขันธ์ ต่างกันนะ.."

เถรี
29-07-2024, 00:44
จิตวิญญาณในโรงพยาบาล

"โรงพยาบาลจึงเป็นได้ทั้งสองประเภท ป่าช้าคน โรงพยาบาลรักษาคน มีสองประเภท เตียงนั้นคนไข้คนหาย เตียงนี้คนไข้ตาย อยู่ในนั้นเยอะ

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนอนโรงพยาบาลดูซิ มาจับแข้งจับขาดึง สัมภเวสีเสาะแสวงหาที่เกิด คือถ้ากรรมหนักจริง ๆ กรรมชั่วหนักจริง ๆ ลงปึ๋งเลย รุนแรง ขาดสะบั้นไปเลย ถ้าเป็นทางความดีนี้ก็ผึงดีดขึ้นเลย ถ้าเป็นสัมภเวสีเสาะแสวงหาที่เกิด ไม่หนักถึงขนาดนั้นทั้งชั่วทั้งดี เขาเรียกสัมภเวสีแสวงหาที่เกิดเร่ ๆ ร่อน ๆ อยู่ตามโรงพยาบาล เวลาคนไข้ไปนอนที่โรงพยาบาลมันมาทำแบบนั่นแหละ บางทีมาจับขากระตุกเอาบ้าง

เวลาคนตายกรรมไม่หนักมากนัก สัมภเวสีเร่ร่อนอยู่ตามนั้น ใครไปก็มาขอความช่วยเหลือ แต่คนว่าผีหลอก มันไม่ได้หลอก คือมาขอความช่วยเหลือ มาทำแบบไหนที่จะให้เจ้าของตื่นรู้สึกตัวหรืออะไรขึ้นมา พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็ว่าผีกวนผีหลอกอะไร เขามาขอความช่วยเหลือต่างหากนะ อย่างนั้นละ..เป็นก็อาศัยกัน ตายแล้วก็ต้องมาอาศัยกันอยู่อย่างนั้น

ถ้าผู้ที่มีบาปหนัก ๆ ก็จมไปเลย ไม่มีโอกาสที่จะได้มาเกาะมายึดติดนั้นติดนี้ ถ้าผู้มีบุญมากดีดขึ้นเลย ผู้ที่สัมภเวสีจะหนักหรือเบาอะไรมันก็พอคาราคาซัง นี่ละ..มันวกเวียนไปเป็นเปรตเฝ้าโรงพยาบาล

เตียงหนึ่ง ๆ ทั้งคนไข้หายไป ทั้งคนไข้ตายไป มีเยอะ แล้วดวงวิญญาณมาเกาะมายึดอยู่ตามนั้นละ โรงพยาบาลเป็นสถานที่ประชุมหรือชุมนุมของดวงวิญญาณที่ตายไปแล้ว อยู่ที่โรงพยาบาลแต่ละแห่ง ๆ พอตายแล้วคิดห่วงนั้นห่วงนี้ จิตวิญญาณเกาะอยู่นั้น

โรงพยาบาลจึงเป็นทั้งป่าช้า เป็นทั้งโรงพยาบาลรักษาคนไข้ รักษาไม่หายก็ตาย เตียงในนั้นทั้งเตียงคนไข้ทั้งเตียงคนตายอยู่ในนั้นละ สลับซับซ้อนเต็มไปหมด

เมื่อจิตมีความรู้สึกกับสิ่งเหล่านี้ จิตวิญญาณอะไรจะมากยิ่งกว่าจิตวิญญาณของสัตว์เกิดตาย ที่ลงอยู่ในนรกก็เยอะ เป็นชั้น ๆ ขึ้นมา ไปสวรรค์ พรหมโลก ก็เยอะเหมือนกัน ที่สัมภเวสีเป็นเปรตเป็นผีนี้ก็ยิ่งมาก เวลาทำบุญให้ทานนี้เขาอุทิศส่วนกุศล พวกนี้ไม่มีญาติมาขอทานกินเยอะนะ"

เถรี
29-07-2024, 00:48
"ไปตามโรงพยาบาลดูแล้วสลดสังเวชนะ คนไข้เกลื่อนโรงพยาบาล ในโรงพยาบาลมันป่าช้าคนเป็นคนตาย อยู่นั้นหมดเลยละ ที่หายก็ออกมา ที่ไม่หายก็ตายเป็นป่าช้าอยู่นั้นละ ตายแล้ววกเวียนก็มี ไปนรกก็มี ไปสวรรค์ก็มี ที่วกเวียนสัมภเวสีหาที่เกิดที่อะไรก็มีอยู่ในโรงพยาบาล จิตวิญญาณเป็นสัมภเวสี

ถ้าหากว่ากรรมหนัก กรรมดีก็ขึ้นเลย..ดีดเลย ถ้ากรรมชั่วก็ไม่มาก กรรมดีก็ไม่มากเป็นสัมภเวสีหาที่เกิด ในโรงพยาบาลนี่ละ โรงพยาบาลเรียกว่าป่าช้า ป่าช้าผีเป็นผีตาย..อยู่นั้นหมดเลยละ ตายแล้ววกเวียน ไปที่ไหนไม่ไปนะ อยู่ตามนั้นก็มี ถ้าผู้มีกรรมชั่วมากก็ลงนรก ผู้มีกรรมดีมากก็ไปสวรรค์

ในติโรกุฑกัณฑสูตร พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้ว น่าสงสารมาก คือมาอาศัยอยู่ตามข้างฝา ข้างบ้านของเจ้าของ ติโรกุฑกัณฑสูตรแสดงถึงเรื่องความเสาะแสวงหา ความดิ้นรนของเปรตของผี มาในบ้านในเรือน ไปโรงพยาบาล ไปหมด หาที่พึ่งหาที่อาศัย ตายแล้วไม่มีที่พึ่ง คือ เวลามีชีวิตอยู่นี้หาแต่ความชั่วใส่ตัวเอง เวลาตายลงไปแล้วไปเป็นสัมภเวสี เสาะแสวงหาที่เกิดที่อยู่ ทั้งความทุกข์ร้อนทุกอย่างเต็มตัวนี่ละ

จิตวิญญาณไม่เคยมีคำว่าตาย คำว่าสูญ คือในจิตแต่ละดวง ๆ เป็นจิตที่ไม่เคยตาย สัมภเวสีขึ้นลง ๆ สัมภเวสีอย่างนี้ตลอด

น่าสังเวชนะ..ความเกิดความตายของสัตว์ น่าสลดสังเวชมากทีเดียว ไม่ใช่ธรรมดา ตายแล้วมันไม่แล้วซี จิตสัมภเวสีหาที่เกิดเพราะทุนรอนไม่มี ถ้ามีทุนมีรอนมีบุญมีกุศลตายแล้วก็ดีดผึง ผู้ที่กรรมหนัก ๆ ก็ลงผึงเหมือนกัน ลงแรงขึ้นแรง ถ้าผู้ที่ไม่ถึงขนาดนั้นซิ พวกกวนบ้านกวนเมืองอยู่ตามโรงพยาบาล เต็มไปหมดนั่นละ แต่เขาไม่ได้ว่านะ คือเขาไม่รู้ เขาก็ว่าแต่ผีมาหลอกบ้างอะไรบ้าง มาขอความช่วยเหลือ ไม่ได้มาหลอกมาหลอนอะไร มาขอความช่วยเหลือ

เพราะฉะนั้น..ใครจึงอย่าประมาท จิตดวงนี้ไม่มีคำว่าตายคำว่าสูญ มีแต่เกิดกับตายและสัมภเวสี หาที่เกิดให้เหมาะสมกับกรรมของตน เพราะทุกคนมีกรรมทุกคน แล้วเกิดในที่ต่าง ๆ กัน น่าสลดสังเวชการเกิดการตายของสัตว์โลก เป็นทุกแบบทุกฉบับ ป่วยหนักไม่หายก็ไปเท่านั้นละ เรื่องตายเป็นอย่างนั้น.."

เถรี
31-07-2024, 00:45
สงเคราะห์ประชาชน ผู้ด้อยโอกาสและสถานสงเคราะห์

ความเมตตาสงเคราะห์โลกขององค์หลวงตาที่มีมาโดยตลอด ก่อนการช่วยเหลือสงเคราะห์โรงเรียน โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ สถานสงเคราะห์ ก็คือ การสงเคราะห์คนทุกข์ คนจน คนเจ็บคนป่วย ผู้ด้อยโอกาสรายย่อยในที่ต่าง ๆ ที่ท่านได้ประสบพบเห็นหรือรับทราบ และช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเมื่อตั้งวัดป่าบ้านตาด

ต่อ ๆ มาท่านก็ให้การส่งเคราะห์อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้นอีก ทั้งรายย่อยช่วยทุกภาคทั่วประเทศ ทั้งแบบองค์กร ก็ช่วยเหลือมากขึ้น ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ปากเกร็ด สถานสงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถานสงเคราะห์เด็กหญิงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศูนย์พัฒนาสมรรถภาพคนตาบอด มูลนิธิธรรมมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย จ.ลำปาง ศูนย์บำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพเด็กและเยาวชน มูลนิธิช่วยเหลือคนทุกข์ยากในประเทศลาว เป็นต้น

กระทั่งผู้ประสบภัยธรรมชาติร้ายแรงตามภูมิภาคต่าง ๆ ท่านก็ให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็นและเหตุผล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้วยอุปโภคบริโภค ตลอดจนเป็นที่พึ่งทางใจแก่ผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นอัคคีภัย อุทกภัย ในภาคต่าง ๆ ภัยจากสึนามิในภาคใต้ ไม่เว้นแม้แต่บุคคลไร้ญาติที่เสียชีวิตลง (ศพไร้ญาติ)

ประเภทของการสงเคราะห์มีหลายแบบแตกต่างกันไป ด้านสถานสงเคราะห์ เช่น เครื่องอุปโภคบริโภค ห้องสมุดและอุปกรณ์ภายใน เครื่องคอมพิวเตอร์ รถตู้ รับผิดชอบค่าจ้างพี่เลี้ยงผู้อภิบาลเด็กพิการทางสมองและปัญญา ซื้อรถให้ รับผิดชอบค่าก่อสร้างอาคารสถานที่ เป็นต้น

จำนวนค่าใช้จ่าย แต่ละประเภท ก็มีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักหลายล้าน บางครั้งก็ช่วยเหลือเฉพาะส่วนที่ขาด ซึ่งก็จำนวนเงินไม่น้อย อย่างเช่น การอนุเคราะห์เงินบางส่วนที่ยังขาด ซื้อรถให้กับมูลนิธิธรรมมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย จังหวัดลำปาง ประมาณ ๑๗๐,๐๐๐ บาทเศษ เป็นต้น ในด้านสาธารณประโยชน์ก็เช่น สร้างและขยายถนน สร้างสะพาน ขุดสระน้ำให้ชาวบ้าน ขุดสระน้ำให้สัตว์ได้ใช้กิน ฯลฯ

เถรี
31-07-2024, 22:43
ช่วยเงียบ อยู่ใต้ดิน

ความเมตตาอย่าหาประมาณมิได้ในส่วนนี้ขององค์หลวงตาต่อผู้ประสบทุกภัยต่าง ๆ ยังมีอีกหลายประการแจงไม่หมดสิ้น และยังแผ่ครอบคลุมกว้างขวางทั่วประเทศ ถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ขอยกคำกล่าวของท่านมาแสดงเพียงเล็กน้อย เพื่อบอกถึงที่มาและเหตุผลของการช่วยเหลือบ้าง ดังนี้

"สงเคราะห์สงหาไปเฉพาะ ๆ นี้ทั่วไปหมด ไม่ว่าคนทุกข์คนจน จังหวัดไหนเราไม่ว่านะ มีความจำเป็นอยู่ตรงไหน บางทีเจ้าของไปไม่ถึง ถามเหตุถามผลไป บางทีก็โทรศัพท์ถึงกัน คุยกันเลย โน่น..ภาคใต้ก็มี โทรศัพท์คุยกันเลย ได้เหตุได้ผลเรียบร้อยแล้วส่งเงินไปให้เลย นั่น..อย่างนั้นนะ มันทุกภาคเราช่วยไป

ไม่ว่าแต่โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ต่าง ๆ เราก็ให้ เช่น อย่างสถานสงเคราะห์บ้านข้าวสารนี่เราก็ช่วย ที่อื่นเราก็ช่วย ไม่ช่วยแต่ที่แห่งเดียว แล้วคนทุกข์คนจนมีความจำเป็นยังไงบ้างที่ควรจะช่วยเป็นรายบุคคล ๆ นั้นเราช่วยมาตลอด อันนี้กว้างขวางมาก ไปหลายจังหวัด ภาคไหนก็ไปหมด

บางทีส่งแต่เงินไปให้ก็มี บางทีเจ้าของไปดูเอง ปลูกบ้านให้ก็มี ซื้อที่ให้ก็มี ทั้งซื้อที่ทั้งปลูกบ้านให้ก็มี นี่เรียกว่าช่วยรายบุคคลที่จำเป็น ช่วยทั่วไป แต่นี้เราไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยประกาศระบุชื่ออะไรแหละ ให้แล้วเงียบไปเลย เพื่อรักษาเกียรติเขา

สิ่งที่ควรจะพูดเราก็พูดได้ เช่นรายชื่อออกทางหนังสือพิมพ์แล้วเป็นการเปิดเผยแล้ว เวลาเราช่วยเราก็พูดบ้าง ถ้าเป็นเรื่องไม่มีหนังสือพิมพ์ เป็นเรื่องมาพูดขอความช่วยเหลือกันโดยเฉพาะ ๆ นี้ เราก็ให้เป็นเรื่องเฉพาะ ๆ ไปเลย แล้วเหมือนไม่ให้ ให้แล้วผ่านไป ๆ เรื่อย ๆ อันนี้ช่วยตลอด

นี่หมายถึงเราช่วยคนทุกข์คนจนอย่างนี้ เราจะระบุชื่อไม่ได้นะ เรารักษาศักดิ์ศรีกัน..เข้าใจไหม ถ้าหนังสือพิมพ์เขาออกประกาศบ้างแล้วนั้น เราจะบอกก็ได้ ไม่บอกก็ได้ ส่วนที่เป็นเรื่องโดยเฉพาะอย่างที่ว่านี้ ความจำเป็นอย่างนี้ทั่วประเทศนะ ไม่ใช่เล็กน้อย เป็นล้าน ๆ ก็มีนะ..ที่ช่วยอย่างนี้ ช่วยด้วยความจำเป็น

ใครเมื่อจำเป็นไม่อาศัยคนอื่นจะอาศัยใคร คิดดูซิ ในครัวเรือนเรายังอาศัยกันทั้งครอบครัว ใครอยู่เป็นเอกเทศได้เมื่อไร ตั้งแต่พ่อแต่แม่ลงมา อาศัยกันโดยลำดับ ลูกเต้าหลานเหลน แม้หมู หมา เป็ด ไก่ ก็อาศัยเจ้าของ..เข้าใจไหม ทำไมคนทั้งประเทศไม่อาศัยกันหรือ ? เวลาจนตรอกอย่างนี้ จิตมันต้องวิ่งหาที่พึ่งอาศัยละซิ นี่ละ..ให้คิดอย่างนี้ละพี่น้องทั้งหลาย

อย่างคนทุกข์คนจนนี้ หมายถึงพวกที่เจ็บไข้ได้ป่วย เรียกว่าไม่มีทางอาศัยได้เลย เป็นอนาถ เจ้าของก็จะตาย นี่เรารับ ๆ ๆ ให้เป็นคนไข้ของเรา ที่ไหนใกล้ไกลเขาส่งมาถึงเรา เราก็รับปุ๊บ ๆ อย่างนั้นมาก นี่เรียกว่าคนจนประการหนึ่ง ประการย่อย ๆ ออกไปอีกนั่นก็คือว่า เป็นคนจนจริง ๆ แต่เป็นคนดี ถูกพวกคดโกงพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวง ต้มเอาเสียแหลก กว่ามารู้สึกตัวหมดตัวแล้ว..อย่างนี้ก็มี ถ้าอย่างนี้เราช่วย

ให้สืบหาเหตุหาผลชัดเจน เราไม่ใช่ช่วยง่าย ๆ นะ เข้าถึงตัวเลย เป็นยังไง ๆ พอได้ความมาแล้วเรารับปุ๊บเลย มันจะจมจริง ๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นคนดี ถูกพวกเปรตพวกผี มันคดโกงเอาละซิ

โอ๋..อย่างนี้ก็หลายรายเหมือนกัน แต่อย่างนี้เราจะไม่พูดตามที่เราเคยประกาศแล้ว ช่วยคนทุกข์คนจนนี้ทั่วประเทศไทย ของเล่นเมื่อไร แต่อันใดที่เป็นเรื่องเฉพาะเราจะไม่พูด ระบุชื่อคนนั้นคนนี้ไม่มี ช่วยเงียบ ๆ เงียบไปเลยนะเรา อันใดที่ควรจะเปิดก็เปิดออกมา เช่น เขาออกทางหนังสือพิมพ์แล้วติดตามไปดูทางหนังสือพิมพ์ เพราะเขาบอกบ้านเลขที่ นี่ก็โทรไปถาม

บางทีเราเดินทางไปดูเองก็มี ไปเงียบ ๆ อย่างนี้ที่เราปฏิบัติโลก ไปดูถนัดชัดเจนเรียบร้อยแล้ว เป็นที่เข้าใจแล้วทีนี้ตกลงกันเลย อย่างนี้มีมาก อย่างนี้เราไม่พูดเลย ถ้าหนังสือพิมพ์เขาออกเราอาจพูดบ้าง เราไปดูตามหนังสือพิมพ์เขาประกาศ ถ้าเรารู้ตามเรื่องของเขาโทรมา โทรมาหาเรา เข้ามาถึงเรา เราก็ให้สืบถามอีก ถ้าช่วยก็ช่วยไปเลย มากต่อมาก เมืองไทยเราทุกภาคที่เราช่วยแบบนี้นะ"

เถรี
31-07-2024, 22:48
"บอกได้แต่ภาคเท่านั้น บุคคล ๆ เราบอกไม่ได้ เพราะเราพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ความได้ความเสียของการบอก การบอกเหมือนกับเอาไฟไปเผาบ้านเขาอีก สกุลของเขาก็มีศักดิ์ศรีดีงาม เราให้เพื่อเป็นความสุข เย็นใจเย็นกายทุกอย่างของเขา เป็นความสะดวก แล้วเราไปให้แบบโฆษณาป้าง ๆ เอาไปไปเผาเขา ถ้าเป็นอย่างหลวงตาบัว อย่ามาให้เสียดีกว่า มาประกาศกันอย่างนี้

เพราะฉะนั้น..เราจึงไม่พูด เอาคอไปตัด ให้ตัดเลย เราสงวนศักดิ์ศรีของคนแต่ละคน ๆ แบบเงียบ ๆ นะที่เราทำ ถ้าลงว่าเงียบ เงียบจริง ไม่ได้บอกใครว่าให้ที่ไหนคนใดคนไหน ถ้าว่าส่วนใหญ่จะระบุก็เช่นภาค..มันทุกภาค จะไปว่าบ้านไหนเราไม่บอก เพราะเราสงวนรักษาศักดิ์ศรีดีงามของเขา ให้แล้วให้เขาเป็นสุขใจไปเลย เงียบไปเลย เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อเอาชื่อเอาเสียงเอาอะไร ๆ เราไม่มีอย่างนั้น มีแต่ความเมตตาล้วน ๆ

นี่เราอ่านอยู่นี้ ที่เขาจำได้เขาก็เอามาลง เขาคงจะไปหาเก็บเอาที่ไหนบ้าง อาจจะทราบจากพระจากอะไรที่เราพูดอยู่ภายในวัด แล้วเขาก็ไปเขียนออกอย่างนั้น ส่วนที่เขาไม่ทราบ เช่นอย่างเราไม่ระบุคน ไม่ทราบ..จึงไม่มีมาออกเลย ที่เราไม่ระบุมากต่อมาก ก็ไม่ได้มาออก นี่เห็นไหม..หลวงตาทำประโยชน์ให้โลก ไม่ได้ประกาศเจ้าของเพื่อโอ้อวดนะ เอาเรื่องความเมตตา เรื่องของธรรม แสดงออกจากน้ำใจให้พี่น้องทั้งหลายให้ได้เห็น เมตตาไปที่ไหนเย็นไปหมด ช่วยไปทุกแห่งทุกหน เราช่วยตลอดมา ก็บอกแล้วว่าเราไม่เก็บ เงินเราไม่เคยมีก็บอกแล้ว.."

และเพราะเหตุต้องช่วยเหลือกว้างขวางหลายแง่มุมจนไม่อาจประมาณได้เช่นนี้ องค์ท่านจึงไม่มีเงินติดเนื้อติดตัวตลอดมา ดังนี้

"สงเคราะห์คนทุกข์คนจนนี้หลายแห่งหลายหน บางทีเพียงรายเดียวเท่านี้เป็นล้าน ๆ ก็มี ไม่ใช่เล่น ๆ นะ รายละ ๓ แสน ๔ แสน รายละ ๔ หมื่น ๕ หมื่น มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยของเรา บางทีเงินจนจะไม่มีติดธนาคารแหละ แยกออก แจกออก ให้ผู้ที่ทำหน้าที่แทนเรานั้น เป็นหัวใจของเราเอง เรามอบความไว้วางใจแล้ว เขาก็ไปจัดทำตามนั้น ๆ ทุกแห่งทุกหน เขาจะจัดแจกให้ทั่วถึงกันหมด ทางผู้ที่ได้รับแล้วเขาก็ตอบรับมา ๆ เราเป็นที่แน่ใจ ๆ แล้วหายเงียบไปเลย ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ว่า นี่คือวิธีหนึ่งที่เราช่วยชาติไทยของเรา แบบช่วยเงียบ ๆ มีมากนะ ไม่ใช่ธรรมดา ทั่วประเทศไทย

การจ่ายเงินนี้จ่ายหลายประเภทนะ บางทีธนาคารเขาอาจจะสงสัยเราก็ได้ แต่เราไม่สงสัยเรานี่ เราเป็นผู้ทำเองใครจะมาสงสัย เราก็ไม่สนใจกับใครเพราะจ่ายเงินมากต่อมาก ท่านจะจ่ายไปมากมายอะไรนักหนา เขาอาจจะคิดไปแปลก ๆ ต่าง ๆ ก็อาจเป็นได้ เพราะธนาคารเขาเป็นผู้จัดการเงิน จ่ายเงินให้เราที่เสนอเข้าไป ๆ เสนอเข้าไปเท่าไหร่เขาก็ถอนออกมาตามบัญชีของเราที่มีอยู่ เรียกว่าต่ำกว่าบัญชีตลอดไป จ่ายอยู่เรื่อย เขาไม่รู้เรื่องของเราว่าจ่ายเพราะอะไร

เงินเราเป็นอย่างนั้นนา มีไม่ได้ หลวงตาบัวนี้มีเงินไม่ได้..หมด มีเท่าไรหมด อย่างนั้นแหละ..พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน ไม่เคยมีเงินติดตัวคือหลวงตาบัวนี้ ประกาศป้างได้เลย เต็มหัวออก ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมา เพราะอำนาจความเมตตา มันมีก่อนสร้างวัดอยู่แล้ว.."

เถรี
12-08-2024, 01:25
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ครั้งหนึ่งพี่น้องชาวลาวประสบภัยเดือดร้อน มีผู้อพยพจำนวนมากต่างหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่จังหวัดหนองคาย คราวนั้นหน่วยราชการต่างอลหม่าน ด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรกับผู้อพยพเหล่านี้ ทั้งจะต้องดูแลเรื่องอาหารการกินการอยู่ ที่พักหลับนอนขับถ่าย เกี่ยวกับสาธารณูปการต่าง ๆ พอได้พักได้อาศัยกันไปก่อน

เมื่อองค์ท่านทราบเรื่องก็รีบเข้าช่วยอุ้มภาระของหน่วยราชการ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความเมตตาสงสารพี่น้องชาวลาวซึ่งเป็นพี่เป็นน้องกันตลอดมา สิ่งที่กั้นกลางมีเพียงแม่น้ำโขงเท่านั้น ท่านยังกล่าวด้วยว่า ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดตายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อประสบภัยกับความทุกข์อย่างสาหัสทั้งทางกาย และตื่นตระหนกเสียขวัญทางใจเช่นนี้ด้วยแล้ว องค์ท่านจึงรีบเข้าช่วยเหลือทันที

"เช่นอย่างพวกเวียงจันทน์ พวกประเทศลาวข้ามมา ก็มาเต็มอยู่นี้ โห..หลายหมื่นเต็มอยู่ที่หนองคาย ดูเหมือนเราไปแจกของถึง ๓ ครั้งด้วยกัน แจกถึง ๒-๓ วัน ถึงหมด แต่ละครั้งนี่นะ ครั้งแรกก็ไม่เท่าไร ครั้งที่ ๒ กับที่ ๓ นี่หนักมาก แจกเอาอย่างเต็มเหนี่ยว คือแจกด้วยความยุติธรรมที่ให้เสมอกันหมด ไปสำรวจเอาตัวเลขมาเลย ไม่เอาครอบครัว เอาตัวเลข มีเท่าไหร่แจก เพราะฉะนั้น..มันถึงนาน คนเขาแจกช่วยกันเยอะนะ อย่างคนที่มารับ มันก็มาก ๒ วัน ๓ วัน

รถสิบล้อนี่ โอ้โห..จอดกันเป็นแถวเลย ข้าวเต็มเอี๊ยด ๆ และเครื่องกระป๋องก็เหมือนกันอีก รถสิบล้อ ถ้าหากว่ามันขาดตรงไหน ให้เขาวิ่งไปตลาด โห..ตลาดเขาถามเลย "จะเอาไปไหนนักหนาล่ะ ?"

พอว่า "˜อาจารย์มหาบัว" แล้ว โฮ้ย..คือเขาเสียดายที่ไม่ได้เตรียมเอาไว้ขายนี่ เวลาไปมันไม่พอละซิ เข้าไปร้านนั้นแล้วไปร้านนี้ กว้านเอาร้านนั้นร้านนี้ ให้เขาลงบัญชีเรียบร้อยไว้ ลงบัญชีไว้หมด พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจ่ายตามนั้นเลยทันที นอกนั้นไม่ได้คำนึงละ เรื่องเงินเรื่องทองนี่น่า นี่เท่าไรเอามา ว่างั้นเลย บอกเอามา พอเสร็จแล้วเราค่อยสั่งจ่ายทีเดียวปั๊บเลย หนองคายนี้ก็ ๓ ครั้งนะ.."

ขอยกตัวอย่างการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในไทยคราวหนึ่ง ดังนี้

"ไฟไหม้ที่ไหน ๆ เราจะเข้าถึงก่อนทั้งนั้น รถนี้ โถ..รถสิบล้อ ๆ นี่เป็นอัธยาศัยมาดั้งเดิม ไฟไหม้ที่ไหน ๆ อำเภอนั้นอำเภอนี้ เราจะยกขบวนไปเลย ไฟไหม้ที่ไหน ๆ ทางอำเภอบ้านดุงบ้าง ที่ไหนบ้างนะ ก็ให้เขาแจกแบบเดียวกัน เครื่องกระป๋องก็เต็มรถ เต็มรถเลย บ้านดุง (จ.อุดรธานี) นี้ดูว่าเหลือไปทางไหนบ้างนะ ไปทางโรงเรียนอะไรบ้าง...

เพราะเราเอาไปแจกมากจริง ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ นะ จนของที่ไปแจกนั้น พวกเครื่องกระป๋องเหลือเลย เขาเลยขอไปทางไหน ๆ บ้าง เราก็ให้ไป เพราะเราตั้งใจเอามาแจกอยู่แล้วนี่ ของเหลือเท่าไร ๆ ก็แยกออกไปตามโรงร่ำโรงเรียน ส่วนนี้เราก็ได้สมบูรณ์ตามจำนวนที่เรากำหนดเอาไว้ ได้เสมอกัน เหลือจากนั้นไปอีก เพราะเราเอาไปเผื่อมากมายนี่ เขาก็แยกไปโรงเรียนอะไรต่ออะไรบ้าง ก็อย่างนี้นะ นี้ก็ไม่ให้ใครลงข่าวนะ ไม่ให้ลง ทำแบบใต้ดินตลอดมา.."

เถรี
13-08-2024, 10:18
ช่วยแบบไม่ให้พร่อง

เมื่อองค์ท่านตัดสินใจช่วยรายใดแล้ว ท่านจะตรวจสอบก่อนว่ามีผู้ใดช่วยเหลือก่อนแล้วหรือไม่ ? หากยังไม่มีท่านจึงช่วยเหลือและจากนั้นก็จะติดตามผลว่าเป็นอย่างไรในระยะเวลาหนึ่ง การสังเกตขององค์ท่านถึงขนาดว่า ในระหว่างที่เขาได้รับเงินไปแล้ว เขารักษาเงินด้วยความรอบคอบหรือไม่เพียงใด ดังนี้

"เขาออกหนังสือพิมพ์เรื่องยายแก่อายุ ๖๙ ปี ตาบอด ว่ามีคนช่วยเหลือเยอะ เราก็เป็นอันว่าหมดปัญหาไป เรากำลังเขียนจดหมายไปถาม นี่เห็นเขาออกทางหนังสือพิมพ์แล้วว่ามีคนช่วยเยอะก็หมดปัญหา เขาจะตอบจดหมายหรือไม่ตอบก็ไม่มีปัญหาอะไรละ มีคนช่วยแล้ว อยู่จังหวัดสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ ทางจากนี้ไป ๔๖๐ กิโล ไม่ใช่เล่นนะ

เมื่อวานนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเขามา นี่ล่ะ..ที่เราว่าคนจนเพียงเอกเทศรายหนึ่งของรายทั้งหลาย เขามาเมื่อวาน เขามาติดต่อด้วยความจนตรอกจนมุม มีลูกชายคนหนึ่งติดตัวมา ลูกคนที่สองอยู่ในท้อง แม่กับลูกชาย กับลูกอีกคนหนึ่งในท้องมาติดต่อขอเงิน เขามาติดต่อกับพระไว้เรียบร้อยแล้ว พระให้รอเวลาเราออกมา เขาก็รออยู่ที่นั่น มาขอเงิน เมื่อวานนี้ว่าติดหนี้เขา (๖๐,๐๐๐ กว่าบาทครับ หลวงตาให้ไป ๗๐,๐๐๐ บาทครับ) ค่าอะไรต่ออะไร ๆ จะถูกเขาขับไล่

พอถึงอีกสองวันหรือสามวันเขาก็จะขับ เราดูคนก็ไม่มีท่าทางลักษณะจะมาหลอกเรา คือเดี๋ยวนี้คนเรามันหลายเล่ห์หลายเหลี่ยม เชื่อไม่ได้ง่าย ๆ พอเขามาพูดเราก็ดูด้วย ดูลักษณะทุกสิ่งทุกอย่างเต็มเลยนะ พอเห็นว่าลงไปแล้วแหละ รวมแล้ว ๖๕,๐๐๐ นะ เมื่อวานนี้ รวมทั้งหมด ๖๕,๐๐๐ เราเลยให้ ๗๐,๐๐๐ เมื่อวาน เผื่อไป ๕,๐๐๐

พอตกลงเราก็ให้เขารีบจ่ายเงิน ไปถึงกุฏิยังเป็นอารมณ์อีก ไม่แน่ใจอีกในการเก็บเงินของเขา เวลาเขาไปก็มีลูกคนเดียว ไม่มีเพื่อนมีฝูงเลย กระเป๋านี้ก็มีกระเป๋าหนึ่ง เราเลยรีบลงมาอีก ไปหาเขาอีก เขากำลังติดต่อกับคนที่จ่ายเงินอยู่ ไปก็เอาเงินให้เขาจ่าย แล้วเขาเอาเงินเข้า เราเลยต้องไปสั่งเสียทุกอย่างนะ นั่น..เห็นไหมล่ะ..มันบกพร่องอยู่ เงินที่เศษที่เหลืออะไร กับเงินก้อนที่เราให้นี้ มันเป็นอันเดียวกัน พอลากออกมานี่ก็จะเห็นทั้งหมด..ใช่ไหมล่ะ ? นี่แววมีตา

พอเห็นนั้น เราเลยสั่งใหม่ แก้ใหม่ ยืนสั่งอยู่นั้นเลย "ให้เอาปัจจัยที่จะใช้จำเป็นในเวลาออกเดินทางจากนี้ถึงบ้าน จะใช้ประมาณสักเท่าไร แล้วเผื่อเอาไว้พอประมาณ นอกจากนั้นให้เก็บให้ดีให้หมดเลย อย่าออกมาให้ใครเห็นเป็นอันขาด"

เราบอก เอาออกดู เขาก็ใส่ในกระเป๋า เขาเอาผ้าห่อยัดเข้าในกระเป๋าของเขา

"ไหนปัจจัยที่จะเอาใช้ตามทางเท่าไรดู กะพอไหมจากนี้ถึงบ้าน" "พอ"
"แล้วรถล่ะ" ถามถึงเรื่องรถเรื่องรา

สุดท้ายเราก็เลยให้ ตชด. เราไปส่งเมื่อวาน เราไม่แน่ใจ ให้ไปส่งขึ้นถึงนู้นเลย ให้ ตชด. ตามส่งไปเลย ไปถึงที่ขึ้นรถไปบ้านเขาเลย เราถึงได้นอนใจ ตายใจได้ เดี๋ยวเอาเงินไปนั้น แล้วเสร็จหมดกลางทางไม่มีเหลือ เพราะความเซ่อซ่า ดูลักษณะก็ไม่ค่อยฉลาดอะไรนัก..เราดูแล้ว

ไม่ได้ประมาทเขานะ เราดูเพื่อจะอารักขาเขา ไม่ได้เพื่อทำลายเขา ถึงขนาดไปกุฏิแล้วยังไม่แล้ว ยังลงมาอีก ลงมาก็ไปเห็นจริง ๆ อย่างที่ว่า จึงต้องได้แยกปัจจัยเป็นจำนวน ๆ ออก เขาจะเอาทั้งหมดนี้ออก แล้วจะไปจ่ายนั้นจ่ายนี้ ก็จะลากมาทั้งหมด เห็นหมดเลย เสียหมดเลย เราจึงให้แยกออก เอาไปใช้จากนี้ถึงบ้านเผื่อไว้พอประมาณ ส่วนนี้ห้ามไม่ให้ใครเห็นเด็ดขาด เก็บไว้ให้ดี แล้วสั่งที่เก็บ ให้เขาเก็บให้เราดูด้วย ให้เขาใส่ลงในกระเป๋าของเขา เราเป็นคนยืนดูอยู่ อย่างนั้นแหละ..ไม่แน่ใจ

เถรี
13-08-2024, 10:21
"นี่ก็ ๗๐,๐๐๐ เมื่อวาน นี่เรียกว่ารายย่อยในรายทั้งหลาย ที่เรียกว่าเป็นคนจน นี่ประเภทหนึ่ง จนนี้จนกว้างขวางทั่วประเทศไทยนะ ติดต่อกันทางโทรศัพท์ ทางอะไร ๆ ถึงที่ถึงฐาน ให้คนไปสืบถามติดต่อกันจนเป็นที่แน่ใจ ควรจะช่วยเหลือเท่าไร เมื่อลงใจแล้วช่วยเหลือกันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยไม่มีความบกพร่องในเรื่องที่จะให้เกิดความเสียหายบกพร่องประการใด อย่างนี้เราช่วยทั่วประเทศนะ ถ้ารายไหนเป็นเรื่องเฉพาะอย่างนี้ เราจะไม่บอกว่าเราช่วยคนนั้นคนนี้ ชื่อนั้นชื่อนี้ ผ่านไปเลย ๆ

นอกจากเขาลงหนังสือพิมพ์ ออกประกาศเราอ่านเราก็ติดตามหนังสือพิมพ์ไปดู ถ้ารายเช่นนั้นเราจะออกชื่อเขาบ้างก็ได้ ไม่ออกก็ได้ แต่ส่วนรายที่ผ่านเลยนี้ยังไงก็ไม่ออก เรียกว่ารักษาศักดิ์ศรีเขา บางแห่งเป็นล้าน ๆ ก็มี ไม่ใช่น้อย ๆ นะ ที่เป็นล้าน ๆ เพราะเหตุไร ความจำเป็นยังไง ๆ ถึงจะต้องช่วยเขาเป็นล้าน ๆ นี่มันก็บ่งบอกชัดเจนว่าสมควร

เขาเป็นคนดิบคนดีแล้วถูกเพื่อนฝูงในโรงงานเดียวกันต้มเสียแหลกเลย พลิกตัวไม่ทันจะจม ถูกเขาไล่หนีจากบ้าน เรื่องราวเขาก็ติดต่อมา เราก็ติดต่อไปจนถึงที่ถึงฐาน เรียบร้อยแล้วจัดการสั่งไปทางธนาคารเลย อันนี้จัดการให้ บอกรับรองไว้ไม่ให้ไล่ออก ถึงขนาดนั้น เราเป็นตัวยืนยันไปรับรองทางธนาคาร แล้วส่งเงินตามหลังไปเลย จนกระทั่งเรียบร้อยแล้วปล่อยเลย

รายอย่างนี้แล้วเรียกว่าเงียบเลย ๆ อย่างนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน ถ้ารายไม่ควรออกชื่อเราจะไม่ออก เพราะทำเพื่อให้มีความร่มเย็นเป็นสุขแก่กัน เป็นสิริมงคลแก่กัน แล้วไปทำลายเขาด้วยประกาศชื่อเสียงเขาเป็นความเสียหาย เราทำไม่ลง สิ่งใดที่ควรจะผ่าน เราจะผ่านเลย ถ้าควรจะบอก เราก็บอก มากนะไม่ใช่น้อย ๆ นี่ประเภทคนจน จนหลายชนิดอีก เข้าใจไหมล่ะ ?

จากนั้นก็พวกคนไข้ ให้ตามจังหวัดต่าง ๆ หรือโรงพยาบาลไหนมีความจำเป็นเขาบอกมาหาเรา เราก็สั่งไปถึงโรงพยาบาลเลยว่าให้เป็นคนไข้ของเรา ให้เขาจัดการร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย อย่างนี้เป็นคนจนประเภทหนึ่ง.."

เถรี
18-08-2024, 23:31
การช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์รายย่อยขององค์หลวงตามีจำนวนมาก ขอยกตัวอย่างมาแสดงเพียงบางรายเท่านั้น ดังนี้

หัวหน้าครอบครัวและลูก ๆ ล้มป่วย

"สำหรับคนทุกข์คนจนมีอยู่ทั่วไป นี่เราก็เปิดอกได้ทีเดียว เมื่อสองวันมานี้เราก็ส่งเงินไปแล้ว ความทุกข์ความจนนี่เรายกตัวอย่างนะ

ครอบครัวนี้อยู่ดี ๆ หัวหน้าครอบครัวก็ไปล้มป่วย ลูกเต้าทั้งหลายก็เจ็บไข้ได้ป่วยออด ๆ แอด ๆ ทีนี้เงินก็ไม่มี ต้องให้ครอบครัวอื่นเขามาช่วย จึงพอได้พ้นวันหนึ่ง ๆ บรรดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเขาก็เชื่อเรานั่นเอง เขาถึงส่งมา เขาส่งมาอ่านรายการให้ฟังแล้วสลดสังเวช ส่งปึ๋งให้เลย บอกว่า "เราไม่มี เรามีเท่านี้ เอาเสียก่อน"

ส่งไปให้ ๒ แสน เลยโอนไปเลย โอนไปแล้วก็บอกเดี๋ยวนั้น ๆ บอกว่าให้รับทางโน้น ทางนี้โอนแล้วโทรศัพท์ถึงกันเลย ทางโน้นรับรองเรียบร้อยแล้วสมบูรณ์แบบแล้ว.."

เถรี
18-08-2024, 23:34
อนาคตลูกสาวทั้งสามขึ้นกับองค์หลวงตา

"หนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น เราก็เคยติดตาม เราอยู่กรุงเทพฯ เขาเอาหนังสือพิมพ์มานั้นเราเลยอ่าน เขาบอกข่าวว่าครอบครัวที่ยากจนที่สุดในจังหวัดขอนแก่น มีลูกสาวสามคน ขึ้นรถไปเฉียดรถจักรยานคนแก่ เลยต้องรักษาให้เขา ต้องไปกู้เงินมา ๑ หมื่นบาทมารักษาเขา เขาออกทางหนังสือพิมพ์

พอเรากลับมาจากนู้น เราก็ตามไปแหละ ไปจริง ๆ ไปดูบ้านดูเรือน มีลูกสาวสามคน ลูกสาวต้องออกจากโรงเรียนหมดทุกคน ให้ออกจากโรงเรียนหมดทั้งสามคน เรียนชั้นต่าง ๆ แล้วให้ลูกไปทำงาน ได้เงินมาก็เอาไปใช้หนี้เขา

พอเราเห็นอย่างนั้น เราก็ตกลงกับพ่อเดี๋ยวนั้นเลย บอกว่า "ให้เรียกลูกกลับมาเรียนหนังสือโดยด่วน ให้มาเดี๋ยวนี้โดยด่วน"

อยู่โรงเรียนไหนให้ออกจากโรงเรียนไปทำงาน เพื่อได้เงินนี้มาใช้หนี้เขา พอเราเห็นหนังสือพิมพ์เราก็ตามไป พอไปถึงก็เห็นบ้านหลังหนึ่งเท่ากระต๊อบ เราก็เรียกพ่อกับแม่มาทันที บอกลูกอยู่ที่ไหนให้เอามาเลย กลับมาเรียนทั้งหมด เรียนหนังสืออยู่ชั้นไหนให้รีบกลับไปเรียนตามเดิม บอกตรง ๆ เราจะสงเคราะห์ทั้งหมดเด็กสามคน สงเคราะห์พี่สาวจนจบปริญญาโท (น้อง ๆ จบปริญญาตรี เขาพอพึ่งตัวเองได้ เขาเลยไม่รบกวนหลวงตา)

เราไม่เคยได้พบเขาสักที มีแต่เวลาเกี่ยวข้องกับเงินเขาเขินอะไรเขาก็มา เราจ่ายให้ตามนั้น ทั้งหมดทุกคน เด็กสามคนเรียนปริญญาโทก็มี ได้ทำงานหมดแล้วแหละ อย่างนั้นแหละความเมตตา นั่นละ..ที่ว่าเด็กสามคนเรียนหนังสือทั้งหมดทุกคนเลย เราได้สงเคราะห์ให้หมดเลย เห็นหนังสือพิมพ์อยู่กรุงเทพฯ นะ เวลาขากลับมาก็ไปตาม ไปดูบ้านเขา มันมีบ้านเลขที่อยู่ อยู่บ้านไหน ๆ เขาบอกทาง นสพ. เราจึงติดตามไปถึงบ้านเขา

เรียกพ่อเรียกแม่มา เด็กไปทำงานอยู่ที่ไหน ได้เงินมาแล้วเอาเงินมาให้พ่อ พ่อติดหนี้เขาอยู่หมื่นหนึ่ง เลยเอาเดี๋ยวนั้น เงินหมื่นเราให้ทันทีนะ ที่ว่าติดหนี้เขาเราให้เลย ให้ลูกกลับมาเรียนหนังสือตามเดิม ให้เรียนไปเรื่อย เราจะดูแลค่าศึกษา ค่าเล่าเรียนลูกเท่าไรสามคนนี้ให้หมดเลย

จนกระทั่งเขาได้เป็นปริญญาทงปริญญาโท หมดภาระแล้วเราจึงได้ปล่อยนะ ทั้งสามคนนี้เราเลี้ยงดูตลอดเลย เกี่ยวกับเรื่องการเงินเขาก็มาอยู่ บางทีมากับแม่ก็มี เราก็จ่ายเงินให้ ขัดข้องอะไรจ่ายให้จนเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้เขาทำงานแล้วแหละ อย่างนั้นละ..ความเมตตาโลก

เรื่องเมตตานี้จริง ๆ ไม่มีเหลือละกับเรา เราไม่เหลือ เราจึงไม่เคยมีเงิน ในวัดนี้ไม่มีใครจนเท่าหลวงตาบัว เรื่องการเงินการทองมีเท่าไรออกหมด ออกช่วยโลกหมด เขาติดหนี้ติดสินพะรุงพะรังที่ไหนตามไปใช้หนี้ให้ เป็นอย่างนั้นละ เรียกว่าเต็มกำลังของเราที่ช่วยโลก.."

เถรี
19-08-2024, 23:03
โอบอุ้มสองพ่อลูกที่ลพบุรี

"ลพบุรีที่เขาว่าตะกี้นี้เราก็ไปช่วยนะนั่น มีลูกสาวคนเดียวตัวเล็ก ๆ เสียด้วย ดูเหมือนเมียทิ้ง ผัวป่วย เราสลดสังเวช พอมาอ่านหนังสือพิมพ์แล้วตามไปเลยนะ ไปก็เป็นความจริง นี่เราก็จ่ายให้หมดเลย ที่อยู่ที่บ้านยังขัดข้องอะไรอยู่บ้างซื้อให้เลย ซื้อบ้านให้เลย แล้วให้เงินให้ทองไว้เรียบร้อยหมด

โอ๊ย..แกยกมือไหว้แล้วยกมือไหว้เล่า ตอนนั้นแกไม่สบายไปอยู่โรงพยาบาล เราตามเข้าไปโรงพยาบาลโคกสำโรง ไปวันนั้นกลับวันนั้นนะ อยู่โคกสำโรง ไปก็เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาล โอ้..น่าสงสาร

ตามไปโรงพยาบาลนะ ถามหาแม่เป็นอย่างไร ๆ แม่นับว่าเป็นอัปมงคล พ่อเลี้ยงลูกคนเดียว ลูกอายุ ๘-๙ ปี โอ๊ย..น่าสงสาร เราเอาเงินไปยัดใส่มือพ่อไม่ให้ใครเห็นนะ ให้คนของเราเอาเงินไปยัดใส่มือพ่อหลายหมื่นอยู่นะ อะไรที่ขาดเขินจำเป็นในเวลานั้นเราจ่ายให้หมดเลย นอกจากนั้นเอาเงินใส่มือให้ไม่ให้ใครรู้ จับยัดใส่มือลับ ๆ เป็นหมื่น ๆ นะ นั่นแกก็พอเป็นไปได้ อย่างนั้นละ..ความเมตตาสงสาร

ที่ว่าลพบุรีเราก็ไปอย่างนั้นล่ะ อำเภอโคกสำโรง กลับวันนั้นนะ หลายอย่างลพบุรีมีหลายอย่าง แกก็ยกมือไหว้แล้วยกมือไหว้เล่า แกบอกว่า

"ไม่มีที่พึ่ง เมียก็ทิ้ง ลูกตอนนี้อยู่ในความดูแลของพ่อ"

เราก็เอาเงินไปให้ด้วย แล้วช่วยอะไรอยู่ตรงไหน ความเกี่ยวข้องของแกอยู่ที่ไหนให้หมดเลย ความเมตตาเป็นอย่างนั้นละ.."

เถรี
19-08-2024, 23:08
พลิกชีวิตแม่ลูกในกรุงเทพฯ ผู้ถูกดูแคลน

"ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ทุกข์..จนมาก นี่ก็อันหนึ่งของแกเหมือนกัน ไปที่ไหนเขาเบ้ปากเลย เขาไม่อยากให้เข้าไปหน้าร้านเขาเลย เขามาพูดให้ฟัง ไม่ใช่เราเอาคำพูดสุ่มสี่สุ่มห้ามาเล่า ตอนเขาจน

"เวลามองเห็นเขากินข้าว โฮ้..น้ำลายไหล มองหาอะไรที่จะกินก็ไม่มี ความจนก็จน ความหิวก็หิว แม่ก็จะตาย ลูกก็จะตาย" เขาเล่าให้ฟัง

ทีแรกออกทางหนังสือพิมพ์ก่อนเรื่องผู้หญิงคนนี้ จากนั้นเราก็สืบเสาะไปจนกระทั่งถึงตัว ให้นักหนังสือพิมพ์นักข่าวไปติดต่อให้จนกระทั่งถึงตัว แล้วได้ตัวมาคุยกัน พูดตามความสัตย์ความจริง ทั้งพูดทั้งน้ำตาร่วง พูดตามความเป็นจริง นั่นละ..เวลาแกเสวยกรรมของแกก็เป็นอย่างนั้น

ไปที่ไหนเขาเบ้ปากเลย เขาถ่มน้ำลาย เขาไม่ให้เข้าร้านเขา เขาดูถูก เขามาเล่าให้ฟัง เราก็สงสาร เลยช่วยเลยแหละ ซื้อบ้านให้ทั้งหลังเลย บ้านราคากี่แสน ขัดข้องอะไรให้หมดเลย ผึงผังดีดขึ้นเลย

ทีนี้ร้านที่เบ้ปากก็มาประจบประแจง มาเลียแข้งเลียขาแก เห็นว่าแกมีฐานะ อย่างนั้นซี..เวลานั้นก็บุกใส่เขา ถ่มน้ำลายใส่เขา ทีนี้ก็มาเลียแข้งเลียขา นี่เห็นไหม ? โลกสกปรก เห็นเขาอยู่ในสภาพนั้นก็เหยียบย่ำลงไปอีกนะ แทนที่จะยอเขาขึ้นด้วยความเมตตาสงสาร เขากลับเหยียบย่ำลงไปอีก ทีนี้เวลาเห็นเขาดีขึ้นมาแล้ว มาประจบประแจงเลียแข้งเลียขาอีก นี่..เขาก็มาพูดให้ฟัง เห็นประจักษ์อย่างนี้เอง

เราช่วยจริง ๆ ช่วยจนฟื้นได้เลย ร้านขายของก็ซื้อให้ เป็นร้านที่ขายของดี เขาจะเซ้งก็ซื้อให้เลย เขาก็เข้าทำหน้าที่แม่ค้าใหญ่ตรงนั้นเลยเทียว บ้านซื้อให้ราคาหลายแสน ได้ฟังสภาพอย่างนั้นแล้วสงสาร เราช่วยทันทีเลย แล้วพวกที่เบ้ปากถ่มน้ำลายใส่เขา กลับมาประจบประแจงเลียแข้งเลียขาแก

เห็นไหม..ความหยาบของคน ? มันหยาบทั้งสองด้าน เวลาบ้วนน้ำลายใส่เขา เบ้ปากใส่เขา ก็เป็นต่ำประเภทหนึ่ง ทีนี้มาประจบประแจงเขาอีกก็ต่ำอีกประเภทหนึ่ง นี่ละ..อย่างนี้..เราช่วยโลก เวลามาสัมผัสเราก็พูด ที่ไม่พูดมากกว่านี้นะ ทำนองเดียวกันนี้มีเยอะ.."

เถรี
20-08-2024, 23:26
ส่งเสริมอาชีพสตรี

"ไปที่ไหนแม้ที่สุดสี่แยกไฟเขียวไฟแดง เขามาขายดอกไม้ แต่ผู้ชายเราก็พูดตรง ๆ เราไม่ให้ผู้ชาย ผู้ชายมาแย่งงานผู้หญิง ผู้ชายควรจะหากินไกลกว่านี้ กลับมาหาอย่างนี้เราไม่เสริม..ไม่ให้นะ ถึงเขาจะไปเลี้ยงครอบครัวเขาก็ตามแต่ เราก็ไม่ให้ในตัวของเขาเอง..เราตำหนิ

งานอย่างนี้ไม่ใช่งานผู้ชาย เป็นงานผู้หญิง เขาว่างเมื่อไหร่เขากระโดดปุ๊บปั๊บออกมา เขามาขายช่วยระยะหนึ่ง อย่างนี้เราให้ รายละสองร้อย ๆ ให้ผู้หญิง ทำท่าหยิ่ง ๆ นี่คนนี้ไม่รู้ตัวเลย..อย่างนี้ไม่ให้นะ..!

ความเมตตามันครอบโลกธาตุ ไปที่ไหน ๆ มันก็เป็นอย่างนั้น แม้ที่สุดไปจอดไฟแดง เห็นเขามาขายดอกไม้ตามสี่แยก งานผู้หญิงเขาอยู่ในครอบครัว เขา พอได้เขาก็วิ่งมา ผู้ชายแทนที่จะไปหาเงินไกล ๆ มาแย่งงานผู้หญิง เพราะอย่างงั้นเราถึงไม่เสริมงานนี้ เราก็รู้ว่าเขาก็เอาไปเลี้ยงครอบครัวเขา แต่เราไม่เสริมงานนี้ ถ้าผู้หญิงให้ ไม่ว่าไปที่ไหนให้หมด

ทางด้านธรรมเราก็พอ ด้านวัตถุทุกอย่างเราก็พอ กับโลกที่บกพร่องตลอดมาเราช่วย ไปที่ไหนจนพวกในสี่แยก เขาจำรถเราได้หมด จำได้จริง ๆ เพราะผ่านแล้วผ่านเล่า ไปทีไรไฟเขียวไฟแดงดอกไม้พวงละ ๓๐๐ บาท ให้เขาขายดอกไม้พวงหนึ่ง ๑๐ บาท แต่เราให้รายหนึ่ง ๓๐๐ บาท ดอกไม้ก็ไม่เอา ไปยื่นให้ ให้ไปเรื่อยเลย..อย่างนี้ละ..!

เขาจำได้หมด นั่นแหละ..เราไปไหนเขาจำได้หมด นี่ละ..อำนาจเมตตาธรรม..เขาจำได้หมด ไปที่ไหนมีแต่เมตตา..หว่านไปหมด..!"

เถรี
21-08-2024, 21:49
สงเคราะห์สัตว์

องค์หลวงตาสอนเสมอ ให้พระเณรฆราวาสลูกศิษย์ลูกหาสงเคราะห์ช่วยเหลือสัตว์ รู้จักมีความเมตตาสงสาร เห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ดังนี้

"ชาติชั้นวรรณะไม่มี ลงในคำเดียวว่า สัพเพ สัตตา อันว่าสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น ครอบหมดเลย เสมอภาคเลย เห็นอกเห็นใจกันทั่วทั้งหมดเลย นี่ละ..ธรรมพระพุทธเจ้า..ฟังเอาซิ

คือสัตว์ทุกตัวเกิดมาได้ด้วยอำนาจของกรรมทั้งนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจของชั้นวรรณะยศถาบรรดาศักดิ์อะไร เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจของกรรม กรรมเป็นพื้นฐานให้เกิด นอกนั้นก็แตกเป็นแขนงออกไป สุจริตบ้าง ทุจริตบ้าง แล้วแต่จะเกิด นั่นเป็นเรื่องนอกต่างหาก หลักของกรรมเป็นหลักใหญ่

เพราะฉะนั้น..ท่านจึงไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ไม่ให้ดูถูกเขา เวลานี้เขาเสวยกรรม อยู่ในวาระของกรรมของเขาอย่างนั้น ๆ เป็นชั้น ๆ ไปเลย ท่านจึงไม่ให้ประมาท มันเป็นวาระ เวลาพ้นแล้วเขาสูงกว่าเราก็ได้ ก็เหมือนอย่างคนขึ้นมาจากน้ำ จากหลุมจากบ่อขึ้นภูเขา ทีแรกก็อยู่ใต้ก้นบ่อ พอขึ้นมาแล้วเขาขึ้นภูเขาสูงกว่าเราอีก กรรมไม่แน่นอน แล้วแต่สร้างของใครเอาไว้

"เขาก็รักสุข เกลียดทุกข์ มีหิวมีอิ่ม มีเจ็บป่วย มีราคะตัณหา มีจิตวิญญาณเช่นเดียวกับมนุษย์เรา ตัวจิตนี้เองเป็นตัวพาท่องเที่ยว ให้เราไปเวียนว่ายตายเกิด เพราะนี่ขึ้นอยู่กับวาระของกรรม ที่ให้เสวยผลดีชั่วอย่างไรตามวาระที่เราสร้างกรรมมา จึงไม่ควรประมาทเขา ไม่ควรเบียดเบียน ไม่ควรรังแก และไม่ควรฆ่าเขา การเบียดเบียนเขาก็คือเบียดเบียนตัวเรานั่นเอง"

ด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณขององค์หลวงตาเช่นนี้ จึงปรากฎเป็นรูปธรรม สังเกตจากกิจวัตรหลักอันหนึ่งขององค์ท่าน ซึ่งพระเณรลูกศิษย์ลูกหาทุกจังหวัดทั่วประเทศเห็นตรงกันก็คือ ไม่ว่าองค์ท่านมีโอกาสเดินทางไปยังสถานที่ใด องค์ท่านจะต้องจัดหาอาหารสด อาหารแห้ง ไปแจกจ่ายเป็นทานแก่สัตว์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือจังหวัดใกล้เคียง

อาทิ ให้อาหารปลาที่วัดหงษ์ปทุมาวาส ปทุมธานี วัดไร่ขิง นครปฐม สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เขาเขียว ช้างที่อยุธยา ช้างที่ลำปาง ลิงที่ลพบุรี และกุมภวาปี ฟาร์มจระเข้ที่นครปฐมและสมุทรปราการ นกเป็ดน้ำที่วัดต่าง ๆ เสือที่กาญจนบุรี (วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ตลอดจนที่อื่น ๆ อีกจำนวนมาก

ชนิดของสัตว์ที่ให้การสงเคราะห์ก็มีหลายประเภท เช่น สุนัข ปลา จระเข้ เสือ เก้ง กวาง ชะนี ลิง ไก่ป่า กระรอก กระแต กระต่าย หมูป่า รวมถึงสัตว์ที่อยู่ตามห้วยหนองคลองบึงทั่วไป ตลอดจนในสวนสัตว์หลายแห่ง ขอยกตัวอย่างความเมตตาในเรื่องนี้มาเพียง ๒ เรื่องสั้น ๆ ซึ่งเป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต และในช่วงบั้นปลายชีวิตก่อนมรณภาพเล็กน้อย เพื่อแสดงถึงความเมตตาที่คงเส้นคงวา ต่อเนื่องไม่ผันแปรตลอดไป ดังนี้

"(เมื่อครั้งอดีต) ไปจังหวัดเชียงใหม่ ไปถึงจังหวัดพะเยา รถก็ไปเสียอยู่ตรงนั้น มีหมาตัวหนึ่งมันมาป้วนเปี้ยน ๆ มันไปสัมผัสก็ต้องพูด ถ้าไม่สัมผัสก็ไม่พูด มันไปป้วนเปี้ยน ๆ หากินตามนั้น พอเห็นมันแล้วดูท้องมันด้วย ท้องก็รู้สึกว่าแฟบไม่ป่องเลย กำลังหิว เห็นมันมาดมนั้นดมนี้เลียบ ๆ คน รถเราก็เสียที่นั่นพอดีเราก็ลงรถ"

เถรี
21-08-2024, 21:53
"พอเห็นอย่างนั้นก็ทำมือเป็นสัญญาณให้อาจารย์หมออวย เกตุสิงห์ มา "นี่..เห็นไหม ? หมาตัวนี้กำลังหิวโหย มันกำลังหากิน ไปเอาอาหารมาให้มันหน่อยนะ ให้เขาอิ่มสักทีเถอะ เขาหิวเต็มที่ ไปเอาร้านไหนก็ได้ ไปโรงข้าวแกงเขา เอาเป็นห่อมาเลย"

อาจารย์หมออวยก็ฟังจ้อ พอเข้าใจแล้วปุ๊บปั๊บปึ๋งเลยทีเดียว สักครู่ได้มาห่อขนาดนี้ (ทำมือประกอบ) พอเปิดออกดู อู๊ย..มีแต่อาหารดี ๆ อาหารประเภทของคนร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นแหละ พอวางให้เขา "เอ้า..กิน"

เขามองดูหน้า แทนที่เขาจะรีบกินด้วยความหิว..ไม่นะ เขามองดูหน้าเรา เราก็มองดูเขา "เอ้า..กิน" เขาก็กิน พอกินอิ่มแล้ว มันไม่หมดถึงครึ่งแหละ เขากินเต็มที่ของเขา อิ่มแล้วเขาก็ไป ไปนู้นไปนี้แล้วกลับมาดู ๆ คือมันเสียดาย..ท้องมันเต็มเสียก่อน..อาหารยังมี เราก็ดูอย่างนี้แหละ เขาดูเรา สุดท้ายเราก็ว่า "มึงกินอิ่มแล้วเหรอ เอาให้เต็มเหนี่ยว วันนี้เป็นวันของมึงนั่นแหละ"

เราก็เดินชิดกับมัน เขาก็ดูเรา แล้วทำหางกระดิก นั่น..เห็นไหมล่ะ ? เราไปคลอเคลียกับเขา พูดกับเขา เขาอดไม่ได้ เขาทำหางกระดิก ๆ อย่างนั้นแหละ เขาเคยเห็นเราเมื่อไร ทำไมเขาหางกระดิก ? นี่ละ..เพราะความประสานกันด้วยการให้ เห็นไหมล่ะ ? ทาน..การให้ ประสานให้หมากับคนสนิทกันได้ เขากระดิกหางใส่เรา เราก็ไม่ลืม

อาจารย์หมออวยก็ปิ๊งปั๊งทันที ปุ๊บ ๆ ไปเลย ฟาดมาเสียห่อขนาดนี้ ไปเอาจากโรงข้าวแกงเขามา ก็ยังอยู่นั่นละนะ เขาไปโน้นไปนี้ แล้วกลับมาดู เขาไปดูอาหารของเขา มีหมาตัวเดียว นี่ละ..อำนาจแห่งการเสียสละ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ไปปฏิบัติต่อกัน ต่อสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ความสงบร่มเย็นจะมีทั่วไปหมด เพราะอำนาจแห่งความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน...

(อีกคราวเมื่อต้นปี ๒๕๔๙) เมื่อวานนี้ก็ไปให้อาหารปลา ๓ จุดเมื่อวาน ไปทางนครชัยศรีล่ะ เมื่อวานปลาอดอยากขาดแคลน ปลาขึ้นมาเต็ม ผอม เราไปดูใกล้ ๆ ปลามันขึ้นมา มันหิวอาหาร เอาอาหารไปหว่านลง ๆ แล้วมันมา ปลาไม่ได้อ้วน ผอม คืออาหารไม่พอ เมื่อวานนี้ก็ทุ่มลง ค่าอาหารปลาเมื่อวานก็ตั้งแสนกว่าบาท ไม่ใช่เล่น..อย่างนั้นละ..ไปที่ไหนทำอย่างนั้น

(เมื่อต้นปี ๒๕๔๓) วันนี้เราไปให้อาหารที่เขาดิน อาหารปลา ปลาไม่ค่อยกินนะ มีแต่ปลาแก่ ๆ ตัวใหญ่ ยาว มันแก่พอแล้ว..ไม่ค่อยกิน เลยให้เล็กน้อย ต้องไปให้วัดลานบุญ อาหารเป็นเม็ดเขาไม่ค่อยชอบเหมือนขนมปัง เขากินเหมือนกัน แต่กินขนมปังมากกว่า เราให้เขามากพอนั่นแหละ จนกระทั่งขนมปังหมดพอดี เอาไปเยอะ ซื้อที่นั่นอีกเยอะ..หมด..อาหารเม็ดเอากลับมาให้ปลาเรา เพราะเราแย่งเอาจากปลาของเราไป มีเท่าไรเอาไปหมด พอเหลือแล้วก็เอากลับคืนมาให้มัน เดี๋ยวมันคิดดอกกับเรา ลำบากนะ เราจะว่าคิดดอกได้แต่คน ปลามันคิดดอกได้เหมือนกัน

อ้าว..ถ้าให้ความเป็นธรรมก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเห็นใจเขา เรากลับมาต้องเอาเพิ่มให้เขาอีก ถึงเรียกว่าคิดดอกให้เขา เราเตรียมขนมปังไปเยอะก็หมด ซื้อเอาจากนั้นเพิ่ม..หมด สงสารสัตว์จะว่าไง สัตว์หิว..สัตว์ก็เป็นทุกข์เหมือนคน ไม่ว่าคนว่าสัตว์ มีท้องมีปาก มีความหิว แล้วก็ต้องมีความทุกข์เหมือนกัน ควรจะเฉลี่ยเผื่อแผ่กัน ได้อย่างไรก็ต้องเฉลี่ยกัน อย่างไปหาเลี้ยงที่นั่นที่นี่ก็คือเห็นอย่างนี้เอง เห็นภัยแห่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความหิว เมื่อพอเป็นไปได้ ก็ช่วยกันไปอย่างนั้น"

เถรี
23-08-2024, 00:09
สัตว์พิการ ไม่ถูกทอดทิ้ง

ความเมตตาสงสารสัตว์ขององค์หลวงตาเช่นนี้เอง ทำให้เมื่อรับทราบปัญหาความทุกข์ความลำบากของสุนัขหลายร้อยชีวิต (ในระยะต้น) ที่บ้านสัตว์พิการ ซอยพระมหาการุณย์ ปากเกร็ด นนทบุรี ซึ่งเป็นสถานที่รับเลี้ยงสัตว์หลายประเภท ทั้งปกติและพิการจำนวนมาก องค์ท่านก็รีบอนุเคราะห์ช่วยเหลือทันทีด้วยการซื้อที่ดิน สร้างอาคาร ขยับขยายกว้างขึ้น และช่วยเหลือต่อเนื่องด้วยการจ่ายค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จนสามารถรองรับสุนัขพิการได้เป็นจำนวนมาก ท่านเมตตาเล่าความเป็นมาโดยย่อ ที่ได้เข้าไปช่วยเหลือบ้านสัตว์พิการแห่งนี้ว่า

"ที่ปากเกร็ด หมาตั้งสามสี่ร้อยตัว เขาออกทางหนังสือพิมพ์ เราเห็นในหนังสือพิมพ์ก็ตามไปดู โอ้โห..มีแต่หมาพิการ ยั้ว ๆ เยี้ย ๆ ไปดูสภาพของมัน แล้วเป็นยังไง ? ถามสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าของที่เลี้ยงหมา ถามทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งถึงค่าน้ำค่าไฟ ค่าบริการต่าง ๆ รอบด้าน เกี่ยวกับหมานี้เดือนหนึ่งหมดเท่าไร ? เขาว่าถ้าธรรมดาแล้วก็เดือนละแสน แต่นี้มันไม่มีเงินแสนซิ..ที่จะเลี้ยงหมา..!

บางวันเครียดเสียจนกระทั่งนอนไม่หลับ เป็นยังไงถึงเครียด ? โอ๊ย..หมาก็ร้องพอหมา คนก็ทุกข์พอคน หมาร้องหิวโหย ไม่มีอะไรจะให้กิน เจ้าของก็หมด..ไม่มีอะไรจะกิน อาชีพเพียงเป็นครูเท่านั้น เมื่อเห็นหมาก็สงสาร เอามาเลี้ยง ๆ พอคนอื่นเห็นเราเลี้ยงหมาตัวหนึ่ง เขาก็เอามาทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน แล้วก็เลี้ยงเรื่อย ๆ มาจนกระทั่งป่านนี้แหละ..!

บางวันเครียดเสียจนนอนไม่หลับ หมาก็ร้องพอหมา คนก็ทุกข์พอคน..ว่างั้น เราก็เลยถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ เขาก็บอกว่าหมดเดือนละแสน เราเลยให้เดือนละหนึ่งแสนเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาหลายปีแล้วนะให้เดือนละหนึ่งแสน ๆ ถ้าหากว่าขัดข้องอะไร จำเป็นอะไร ให้บอกอีกนะ สร้างตึกให้หลังหนึ่งให้ ๖ ล้าน แล้วซื้อที่ให้ ๔ ล้าน ๒ แสน

เราซื้อให้เลยเพราะที่มันแคบ อันนี้ที่หนึ่งไร่ เราเลยซื้อให้อีกหนึ่งไร่ขยายออกไป รถเราก็จะให้ เขาบอกเขาไม่เอารถ เราให้มอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง เขาบอกว่าอาศัยรถเพื่อนฝูงได้อยู่..ไม่เป็นไร

นอกจากนี้ก็ซื้อที่ให้หนึ่งไร่เลย แต่ก่อนเขามีอยู่หนึ่งไร่ เราซื้อให้อีกหนึ่งไร่ แล้วสร้างตึกให้อีกหนึ่งหลัง สบายทุกวันนี้ หมาปากเกร็ดสบาย.."

เถรี
25-08-2024, 01:15
สุนัขปลอดภัย..ไม่จรจัด

บ้านเลี้ยงสุนัขอีกแห่งหนึ่งที่ถนนพุทธมณฑลสาย ๓ ซึ่งมีสุนัขกว่าร้อยตัวที่ต้องเป็นภาระดูแลอยู่ที่นี่ องค์หลวงตาก็มีเมตตาให้การช่วยเหลืออีก ดังนี้

"ไปกรุงเทพฯ อีคราวนี้ เขาก็เขียนจดหมายมาหาเรา เพราะจดหมายเราเบื่อพอแล้วนะ มันจดหมายอะไร จดหมายยุ่งนี่นะ เอามาอ่าน ใจอ่อนทันที เขาพูดถึงเลี้ยงหมาไม่มีเงิน ติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรังเพราะการเลี้ยงหมานั่นเอง สงสารหมา..ไม่รู้จะทำยังไง..ก็ไปกู้ยืมเพื่อนฝูงมา ซื้ออาหารให้หมากิน เจ้าของก็จนตรอกจนมุม เวลานี้ติดหนี้ท่วมหัว

หมาบางวันก็อิ่ม บางวันก็หิวจะตาย ร้องครวญครางจะตาย แต่เจ้าของก็จะตาย ไม่ทราบจะทำยังไง ถ้าท่านจะเมตตาได้ก็จะเป็นพระเดชพระคุณอย่างยิ่ง เขาเขียนจดหมายมา

พอเห็นเท่านั้นเราให้พระตามไปเลยนะ..วันหลัง เขาบอกบ้านเลขที่ไว้เรียบร้อยที่กรุงเทพฯ ตามไปดู..ยั้วเยี้ย ๆ ตามที่บอก ถามเขาให้ชัดเจนนะ ทุกสิ่งทุกอย่างถามให้ชัดเจน พอถามเสร็จแล้วก็มา เจ้าของเขาก็ตามมา มาถึ เราก็ถามกับเจ้าของเขา ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย เขาบอกว่าติดหนี้อยู่ สำหรับเลี้ยงหมา เลี้ยงหมานี้เดือนหนึ่งหมดประมาณเท่าไร หมดประมาณหมื่นห้า..ว่างั้น เดือนหนึ่งให้พอเหมาะพอดี ประมาณหมื่นห้า หนี้ทั้งหมดนั้น..หามาเลี้ยงหมานะ..เราเห็นใจ

เอ้า..เราจะใช้ให้ เดี่ยวนี้ส่งไปแล้ว พอมาถึงปั๊บก็ส่งปุ๊บเลย เดือนละหมื่นห้านั้น เราให้เป็นเดือนละ ๓ หมื่น ประจำทุกเดือนไปเลย ให้เป็นเดือนละ ๓ หมื่น เรียกว่าทบครึ่ง เผื่อเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วใช้หนี้ก็ให้พร้อมไปเลย เราก็จะจ่ายให้ตามนั้นหมดเลย

หมาที่สวนแสงธรรมกำลังทุกข์ เราจึงช่วยให้พ้นทุกข์ พออ่านจดหมายว่าหมา ใจอ่อนเลยนะ เลยคำว่าวุ่น วุ่นนี่มายังไงกัน ? หมดเลยคำว่าวุ่น อ่อนทันทีเลย ให้ตามไปดูในวันหลัง ได้ความมาอย่างนั้นละ ก็เป็นอันว่าเปลื้องแล้วหนี้ เราก็จะให้คนนี้ ให้เขาอยู่เลี้ยงหมา ที่ไร่หนึ่งนั้นให้เลี้ยงหมาหมดเลย บุญของเขา บุญของหมา"

เถรี
29-08-2024, 19:21
ไม่ลืมสัตว์ในวัด

ความเมตตาส่วนนี้องค์ท่านถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ชนิดที่ไม่ยอมให้บกพร่องเลย นั่นคือความเมตตาสงสารสัตว์ที่อยู่ในวัดป่าบ้านตาด ซึ่งมีอยู่หลายประเภท เช่น ไก่ป่า กระรอก กระจ้อน กระแต ฯลฯ

องค์ท่านสังเกตใส่ใจดูแลเรื่องอาหารน้ำตลอดมา โดยเน้นย้ำตักเตือนพระเณรมิให้มองข้ามหรือเผลอลืมให้อาหารสัตว์ พร้อมให้เหตุผลด้วยว่า เขาอยู่กับเรา เขาก็อาศัยเรา เราจะใจจืดใจดำไม่สนใจการกินอยู่ของเขานั้นไม่ควรอย่างยิ่ง เราก็หิว เขาก็หิว เรามีปากมีท้อง เขาก็มีปากมีท้องเช่นกัน อย่าเป็นพระแบบใจดำ ๆ สิ่งใดพอจะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลก็ช่วยเหลือกันไป จึงจะสมกับเป็นลูกศิษย์ตถาคตผู้มีเมตตาธรรม

ด้วยเหตุนี้ภายในวัดจึงมีจุดให้น้ำให้อาหารกระรอกกระแต ทำเป็นร้านเล็ก ๆ สูงระดับอกกระจายอยู่ทั่ววัด กะจำนวนได้มากกว่าร้อยจุด องค์ท่านเน้นว่า ร้านกระรอกทุกร้านควรมีข้าวเหนียว กล้วยสุกหรือผลไม้สุกในปริมาณพอดีกับที่เขาต้องการ ไม่มากไปจนบูดเน่าเหม็นหรือน้อยไปจนขาดเขิน ควรเหลือไว้พอดี ๆ เสมอ ขอยกคำกล่าวของท่านที่แสดงถึงความใส่ใจในชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์มาแสดงแต่พอสังเขป ดังนี้

"เราเดินเข้าไปทีไรไม่เห็นสับปะรดสักลูกหนึ่งแขวนอยู่นั่นเลย ตรงนี้ละซี ที่ว่ากระรอกร้องห่มร้องไห้ก็ตอนนี้แหละ ขาดสับปะรด ไปทีไรไม่เห็นสักที เราก็เลยปลอบโยนกระรอกว่า

"สูกินกล้วยไปก่อนเถอะ อาจารย์สูมาแล้ว สูค่อยกินทีหลัง"

ก็มันชอบสับปะรดมากกว่ากล้วย ถ้าสับปะรดมีเท่าไรเอาหมด นอกจากไม่มีสับปะรดแล้วมันค่อยมากินกล้วย ฟาดใส่รถเต็มมา เทปั๊วะเลย ให้พวกสัตว์

ขนุนอยู่ตามริมสระข้างในครัวนั่นน่ะ มันสุกมันแก่ที่ไหนให้ตัดกันลงไปเลี้ยงกัน ๆ ทางโน้น ไม่จำเป็นต้องส่งมานี้ อยู่ทางนี้เราก็แจกกระรอก กระแต อยู่ทางนี้ให้กระรอกกระแต ทางโน้นให้ทางโน้น มันสุกที่ไหน ๆ ตัดออกมา ๆ เอาไปเลี้ยงกัน วัดนี้เหลือเฟือ ผลไม้ขนุนมีอยู่ทั่วไปสำหรับกระรอก"

เถรี
29-08-2024, 19:25
ความห่วงใยสัตว์ในลักษณะนี้ไม่เว้นแม้ขณะนั่งรถออกไปสงเคราะห์โรงพยาบาล ท่านก็ยังหวนมานึกถึงปากท้องของสัตว์ในวัด ดังนี้

"ตั้งแต่เราวิ่งรถไปมาตามทาง เห็นผลไม้ที่เขาขายอยู่ตามถนนหนทาง เรายังคิดถึงสัตว์ นี่เอาไปให้พวกสัตว์กระรอกกระแตในวัดคงจะดี เช่นอย่างที่เราไปทางหนองคาย ลงไปทางนู้นมันมีอาหารชนิดต่าง ๆ ผลไม้ที่เขานำมาขายข้างทาง ไปเห็นแล้วคิดถึงสัตว์ ก็เราไปด้วยความอิ่มท้อง ไม่ทราบว่าเขาจะอิ่มเมื่อไร ไม่อิ่มเมื่อไร หรือหิวตลอดเวลาก็ไม่ทราบ ?"

ขั้นตอนการให้อาหาร พระเณรจะมาเอากล้วยหรือผลไม้อื่น ๆ จากโรงกล้วยซึ่งเป็นจุดกลาง จากนั้นจะนำไปวางตามจุดให้อาหารที่ตนรับผิดชอบบริเวณใกล้กุฏิ

พวกไก่ป่าจะมีกระสอบข้าวสารหักวางไว้ที่จุดกลางเสมอ ๆ เพื่อไว้ให้พระเณรฆราวาสตักใส่ถังแล้วเอาไปหว่านในจุดให้อาหารทั่ววัดตามเขตรับผิดชอบของตน และคอยหมั่นสังเกตน้ำกินของสัตว์ด้วย ไม่ปล่อยให้พร่องไป สำหรับพวกกระต่าย กระจง เต่า นกยูง ฯลฯ พระเณรและญาติโยมจะคอยจัดหาผักบุ้ง กะหล่ำ ผักกาดขาว กล้วย ขนมปัง หรืออาหารอื่น ๆ มาให้อยู่เสมอ ๆ มิให้ขาดตามความชอบของสัตว์แต่ละชนิด

สิ่งเหล่านี้เป็นข้อปฏิบัติที่พระเณรผู้มาศึกษาอยู่กับองค์หลวงตาทุกระยะ นับแต่ตั้งวัดป่าบ้านตาดเป็นต้นมา ต่างองค์ต่างรับผิดชอบใส่ใจดูแลสัตว์ในวัดตลอดมาทุกรุ่นไป เมตตาธรรมอันกว้างขวางยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณของท่าน ย่อมไม่อาจบรรยายหรือแจกแจงได้หมดสิ้น สิ่งที่พอจะสื่อได้ชัดเจนที่สุดก็คือคำกล่าวขององค์ท่านเองที่ว่า

"ธรรมเป็นธรรมชาติที่นิ่มนวลอ่อนโยน เมื่อเข้าสัมผัสสัมพันธ์กับใจผู้ปฏิบัติผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสแล้ว จิตใจนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่นิ่มนวลอ่อนโยนไปด้วยเมตตาจิต ไม่เคยมีก็มี ความไม่เคยเสียสละก็เสียสละได้ เพื่อผู้อื่นเพราะความเมตตา สามารถมองเห็นเขาเห็นเราว่า มีสาระสำคัญเช่นเดียวกันได้ เพราะความเมตตา

เมื่อธรรมมีอยู่ในจิตดวงใดมากน้อย จิตดวงนั้นต้องแสดงออกทางกิริยาให้เห็น ปิดไว้ไม่อยู่ ยิ่งจิตที่บริสุทธิ์ด้วยแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะนิ่มนวล ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าจิตดวงนั้น ให้ความเสมอภาค ให้ความเมตตาแก่สัตว์ทั่ว ๆ ไป ไม่พูดพียงมนุษย์เท่านั้น

แม้สัตว์เดรัจฉานชนิดใดก็ตาม ไม่กล้าดูถูกเหยียดหยาม ไม่กล้าทำลาย ให้ความเสมอภาคตามความจริง และเมตตาโดยสม่ำเสมอ ไม่มีคำว่าเป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ ว่าคราวนั้นมีเมตตา คราวนี้ไม่มี เพราะจิตนั้นเป็นจิตเมตตา ดวงเมตตาทั้งดวงก็คือจิตดวงที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว"

เถรี
03-09-2024, 09:41
คุ้มครองและไถ่ถอนชีวิตสัตว์

ความรับผิดชอบสัตว์ภายในวัด มิใช่เพียงการดูแลเรื่องอาหารการกินเท่านั้น ยังครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองรักษาชีวิตสัตว์ให้แคล้วคลาดปลอดภัย โดยปกติท่านจะเข้มงวดกับพระเณรอย่างมาก ให้ช่วยกันจับพวกงู แมว อีเห็น (เห็นอ้ม) พังพอน (จอนฟอน) ฯลฯ ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายที่เข้ามาทำลายชีวิตสัตว์ในวัด และให้นำไปปล่อยที่อื่น

เหตุการณ์ในคราวหนึ่งเป็นตัวอย่างที่ทำให้สัตว์ภายในวัดต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เพราะเหตุ "แมวบ้าน" เพียงตัวเดียว ดังนี้

"แมวตัวนี้เป็นมหาโจร พระทั้งวัดจับแมวไม่ได้ ตัวเดียวก็ไม่ได้ ไล่กันอึกทึกเมื่อคืนนี้ เราขบขันจะตาย พระไล่จับแมวตอนกลางคืน ที่จับออกคือว่ามันอยู่ข้างในนี้มันกัดหนู กินหนูแหลก กระจ้อน กระแต สัตว์ต่าง ๆ นี้กินหมด ถ้าได้เข้า (วัด) แล้วไล่ไม่ออก ตัวไหนก็ตามเข้าแล้วไล่ไม่ออก นี่..เราเข้มงวดกวดขันมาก

คิดดูซิ..สังกะสีเราตีเกาะกับต้นเสาซีเมนต์รอบวัดหมดเลยนะนี่ เพราะว่าแมวมันขึ้นมาเอาสัตว์ตายไปเกือบหมดนะ เราถึงทำกันใหม่ จึงต้องได้พยายามจับเพื่อรักษาชีวิตสัตว์ที่อยู่ในนี้ให้แคล้วคลาดปลอดภัย เพราะฉะนั้น..จึงได้ถามพระ "ยังไม่ได้เรื่องหรือ ?" ยังไม่ได้ไปตีระฆังประชุมกันทั้งวัด

"เอ้า..แมวตัวนี้เป็นยังไง ? พระทั้งวัดจับแมวตัวเดียวนี้ไม่ได้ ก็ควรติดคุกทั้งหมดเลย พวกนี้สู้แมวไม่ได้ ถือเป็นผู้ต้องหาของแมว เอาเข้าติดคุกทั้งหมด ยกเว้นก็ยกเว้นหลวงตาบัวคนเดียว นอกนั้นเข้าคุกทั้งหมดเลย สู้แมวไม่ได้"

อู๊ย..ขบขันดีนะ เอามาคิดทั้งนั้นเรา เรื่องแมวเหล่านี้เอามาคิดหมด ความฉลาดของมันเอาจริงเอาจัง ไล่กันทั้งคืน ทุกคืนระยะนี้ ยังไม่ได้นะ ถามเมื่อเช้านี้ก็ยังไม่ได้ พระ ๓๓ องค์ไล่จับแมวตัวเดียวก็ไม่ได้ แสดงว่าใช้ไม่ได้เลย ไล่แมว..ขบขันดี

แมวที่เข้ามาอาศัยกินในวัดตั้งแต่สร้างวัดนี้ เราจับไปปล่อยไม่ต่ำกว่าร้อยตัวนะ ถ้ามันเข้ามาเป็นอย่างนี้แหละ สัตว์ตายพินาศ ไม่มีคำว่าอิ่มว่าหิวนะ พอเจอนี้ด้อมใส่เลย ได้ก็เอา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความหิวโดยถ่ายเดียว จับตัวไหนก็เรียกว่าเนรเทศเลย เอาไปปล่อยหนองคายบ้าง เขามาจังหันพวกหนองคายฝากเขาไป สกลนครบ้าง ศรีสะเกษ อุบลฯ เลย จับไปปล่อยหลายจังหวัด แมวถ้าเข้ามาแล้วแล้วละไม่ออก ก็มันมีสัตว์กินเต็ม เมื่อวานเห็นมันคายสัตว์ตัวหนึ่งออกมา ตัวเท่านกเขา ไก่มันจะขึ้นคอนนอน มันก็ไปด้อมเอามากิน

แต่ก่อนวัดนี้งูน้อยเมื่อไร งูมาก แล้วเอาไปหมด พยายามจับจงอางนี้ดูเหมือนจับไปได้ ๗ ตัว งูเห่าเหล่านี้จับ สามเหลี่ยมเขาเรียกทำทานจับไป จงอางได้มากกว่าเพื่อน แต่ก่อนทีเดียวเราไม่สนใจกับงูนะ ยั้ว ๆ เยี้ย ๆ ในวัด มันยังไม่มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ครั้นต่อมาก็มีผู้มีคนเข้ามาเกี่ยวข้อง มีเด็กเล็กเด็กน้อยอะไรทำให้คิด เลยต้องจับงูไปปล่อย ไม่งั้นจะเป็นอันตรายต่อพวกนี้ละ ปล่อยหมด งูจับไปปล่อยหมด เพราะคนเพ่นพ่าน

งูเหลือมกับสัตว์เหล่านี้กินเร็วที่สุด ลักษณะใบ้ ๆ นะ แต่เวลากิน..กินได้กระทั่งแมว แมวนี้สติดี รวดเร็ว แต่งูเหลือมก็กินได้ เรียกว่ามันมีวิชารวดเร็วยิ่งกว่าแมวอีก พวกไก่พวกอะไรเต็มอยู่ต้นไม้หมด มันขึ้นไป ๆ กินหมดเลยไก่ กินตามต้องการของมันละ อิ่มแล้วก็ไป เลยต้องจับงูเหลือมนี้ไปปล่อย"

เถรี
03-09-2024, 09:48
"เราไปดูจริง ๆ ดูสัตว์ โฮ้..สงสาร เดี๋ยวนี้จับตะกวดไปได้ตั้ง ๑๐ ตัวแล้วนะ ตะกวดที่หากิน ลูกไก่ก็กิน ไข่ไก่ก็กิน ลูกกระต่ายก็กิน พวกนี้กินหมดเลย เวลานี้สั่งพระให้จับ เอาไปปล่อยวัดถ้ำกลองเพล จะบอกสมภารก็ได้ไม่บอกก็ได้ เราคือสมภารใหญ่วัดถ้ำกลองเพล บอกงั้นเลย คือวัดถ้ำกลองเพลกว้าง เนื้อที่มันพันกว่าไร่หรือไง อันนี้ร้อยไร่เท่านั้น ทีนี้เวลาไปปล่อยโน้นพวกสัตว์อะไร ๆ ก็ไม่ค่อยมี ไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาดซึ่งเป็นที่ชุมนุมของสัตว์ ไปปล่อยนั้นเขาก็อยู่ตามเรื่องของเขา อันตรายก็ไม่ค่อยมี เพราะมีกำแพงกั้นเอาไว้ข้างใน ไม่มีใครไปรบกวน เขาก็หากินได้ตามสบาย ถ้าอยู่ที่นี่หากินแต่สัตว์ในวัด"

ความสังเกตขององค์หลวงตายังพิจารณาไปถึงความผูกพันระหว่างแม่ลูกของสัตว์ในวัดอีกด้วย และความเห็นความผูกพันระหว่างกันของสัตว์เช่นนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงพิษภัยของสัตว์ร้ายที่ต้องรีบช่วยกันจับออกไปปล่อยให้ได้ ดังนี้

"กระต่าย..เวลาเราไปใกล้เขาเฉยนะ แม่ก็เฉย ลูกก็วิ่งรอบแม่ แม่ไม่พาวิ่งลูกก็ไม่ไป วิ่งอ้อมแม่อยู่ คือลูกนั้นกลัว หาที่พึ่ง ก็วิ่งหาแม่ แม่ไม่ไปไหน..แม่เฉย ลูกก็แอบอยู่กับแม่ เราเดินไป โอ๊..เป็นอย่างนี้นะสัตว์ คือ แม่มันเชื่องกับคนแล้วไม่สนใจ เราไปเขาก็เฉย เขากินอะไรก็กินเฉย ไอ้ลูกก็วิ่งไปโน้นแล้ววิ่งมาหาแม่ วิ่งแอบแม่ เวลาเราไป แอบแม่อยู่นั้นนะ คือแม่ไม่พาวิ่ง เขาก็พึ่งแม่เขา อ๋อ..มันพึ่งแม่มันนะ

เราก็ผ่านไป ๆ มันเป็นแบบเดียวกันหมด ตัวเล็ก ๆ มันวิ่งไปไหนมันก็วิ่ง แต่ไม่พ้นที่วิ่งมาหาแม่นะ วิ่งไปแล้ววิ่งกลับมาหาแม่ มาแอบอยู่กับแม่ ทีนี้เวลาเราเดินผ่านไปแม่เฉย เขาก็แอบอยู่กับแม่ เราเดินเฉย แม่เขาก็เฉย จากนี้ไปทั่วไปหมดนะ นี่..สัตว์มันก็พึ่งแม่มัน..เห็นไหมล่ะ ? วิ่งไปไหนก็ไม่ยอมไป วิ่งกลับมาหาแม่ อ๋อ..สัตว์ก็พึ่งแม่ ถ้าแม่พาเผ่นลูกนี้ไปหมดเลย ทีนี้แม่ไม่พาวิ่งละซิ ลูกก็แอบอยู่นี่ เพราะฉะนั้น..จึงว่าให้รีบเร่งวันนี้จะหาแมวให้เห็น ให้หาทั่ววัด.."

และอีกตัวอย่างหนึ่งที่พอจะสื่อถึงความเมตตาของท่านต่อชีวิตสัตว์ เพราะสัตว์เหล่านี้ได้ถูกตีตราและกำลังจะถูกนำไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ในไม่ช้านี้ องค์ท่านก็มีความเมตตา พยายามเข้าช่วยเหลือตามกำลัง ดังนี้

"นี่เขากำลังเอาวัวมา จะแจกวัวต่อ นี่ไปเอามาจากโรงฆ่าสัตว์ วัวนี่ตามโรงฆ่าสัตว์ ตามไปกว้านเอามา ๆ จะไปแจกคนทุกข์คนจน ช่วยชีวิตสัตว์ อยู่ไหนกว้านเอามาหมด รถใส่พวกสัตว์พวกโคกระบือ ไปแล้วตีตราแดง ๆ นี่แสดงว่าแน่นอนแล้ว จะต้องถูกฆ่า กำลังจะเข้าไปโรงฆ่าสัตว์ก็ดึงออกมา ๆ ดูจะ ๕๐๐ ตัว มีแต่พวกที่จะตายพวกนี้ ไปดึงออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ กำลังจะเข้าไป เอาออกมา ๆ หมด พ้นภัยพวกนี้ ไม่อย่างนั้นตายหมด

เวลานี้กำลังปล่อยสัตว์ สัตว์ถูกฆ่ามาเป็นประจำเป็นกัปป์เป็นกัลป์แล้ว เวลานี้กำลังปล่อย ระยะนี้เป็นระยะปล่อยสัตว์ เรานี้อยากให้ปล่อยเหลือเกิน สัตว์เอาเข้าไปฆ่า ๆ ถอนออกมาพ้นภัย ๆ อย่างพวกวัวนี่น้ำตาไหลนะ เอาลงจากรถเขาไม่อยากลง เขานึกว่าจะเอาเขาไปฆ่า เขาไม่อยากลง..น้ำตาไหล ความจริงจะเอาลงไปปล่อย น่าสารมากนะ ใครจะอยากตาย สัตว์ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเขามากินเรา เช่นยุง เขาก็ไม่อยากตาย แล้วใคร ๆ จะอยากตายล่ะ ?"

เถรี
19-09-2024, 18:58
ไล่ขนาบสัตว์

บางครั้งสัตว์ที่ไม่มีพิษไม่เป็นอันตรายก็กลับสร้างปัญหาขึ้นได้เหมือนกัน โดยปกติไก่ป่าในวัดจะขันเป็นระยะ ๆ ทั้งวันในช่วงกลางวัน แต่หากมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นอันตราย ก็จะตกใจร้องกะต๊ากดังขึ้นและถี่ขึ้น จากนั้นตัวอื่น ๆ ก็จะร้องตาม ๆ กัน ยิ่งหลายตัวเท่าใดก็ยิ่งทำความรำคาญแก่นักปฏิบัติไม่น้อย องค์หลวงตามีมาตรการ ดังนี้

"ไก่ที่กะต๊ากมันมีเหตุการณ์นะ ธรรมดาเราก็เข้าไปดูมันมีอะไร หรือมีงูมีอะไรอยู่นั่นมันถึง "กะแต๊ก ๆ" อยู่งั้นตลอด ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งสายไม่หยุด ไปก็เอาใหญ่เลย คว้าได้ก้อนกรวดตามนั้นกำไว้เต็มมือ เอาหนังสะติ๊กติดมือแล้วก็ไป "มึงร้องอะไร ?" มันก็ร้องอยู่นั่นละใกล้ ๆ ก็มันไม่ได้กลัวใครนี่ มันเคยกับพระแล้ว "กะแต๊ก ๆ" อยู่งั้นมึงกลัวอะไร ?

เราก็หาดูเหตุการณ์ที่มันกลัว เช่นอย่างมีงู มันทักไว้เพื่อเตือนลูกก็ได้ ลูกมันมี ไปหาดูที่ไหนก็ไม่มี มันก็ยัง "กะแต๊ก ๆ" เราเดินเข้าไปนี้มันก็ยัง "กะแต๊ก ๆ" อยู่ไม่ยอมหยุด หาดูหมดไม่มีอะไรแล้ว ทีนี้ตั้งท่ากำก้อนกรวดในมือฟาดทางโน้นทางนี้เลย เปิดทั้งแม่ทั้งลูกเลย..หายเงียบ นั่น..มันชอบอย่างนั้น ต้องเอาอย่างนั้น..ใช่ไหม ?

มันหลายแบบนะ หลวงตาไปหาดูอันตรายก็ไม่มี มันร้องอะไรนักหนานี่นะ ลูกก็อยู่ด้วยกันนั่น ไม่เห็นตื่นเต้น แต่แม่เป็นบ้าอะไร ? นั่นละ..เอาแม่มัน สุดท้ายลูกวิ่งตามแม่ ไล่ขนาบไล่หลงทิศไปเลย เข้าป่านู้นอีกนะ เข้าตามไล่เอาจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาเงียบเลย"

เถรี
19-09-2024, 18:58
แม้จะวัย ๙๐ ปีชราภาพมากแล้วก็ตาม แต่ด้วยความจำเป็นต้องรักษาชีวิตสัตว์แบบเร่งด่วน ทำให้ท่านต้องจับสัตว์ร้ายตัวนั้นด้วยตนเองก็มีไม่น้อย ดังนี้

"ที่สนใจมากคือสัตว์ ถ้าเห็นสัตว์ตัวไหนจ้องอยู่นั้น เฝ้าดูอยู่นั้น ยิ่งกระแตด้วยแล้วยิ่งรักมาก ไปไหนถามหาแต่กระแต กระแตไปไหน มีแต่กระแตยั้ว ๆ เยี้ย ๆ นี่..ชี้มาหาคน แล้วก็เดินผ่านไป อย่างนั้นแหละ จึงได้บอกว่างูทางมะพร้าว งูสา ใครเจอแล้วให้รีบมาบอกพระ ถ้าเป็นกลางวันให้รีบมาบอกพระ ให้ดูตัวมันไว้ มันเลื้อยไปไหน คนหนึ่งให้เดินตามไป แล้วคนหนึ่งรีบออกมาบอกพระ ให้พระไปจับ

นี่ละ..ตัวสำคัญของกระแต ไม่มีเหลือนะ เทียบกับแมวตัวหนึ่ง งูนี้มันหลอกกระแตนี้ของเล่นเมื่อไร พอได้โอกาสปั๊บพันเลย..!

เราไปเห็นแล้วอยู่หน้าทางจงกรมเรา กระแตมากินน้ำ งูก็ไปเฝ้าอยู่ในน้ำ หัวจงกรมเราด้วย เราเดินจงกรมก็คอยสังเกตดู เพราะยังไงก็ไม่มีอันตรายถ้าเราอยู่ที่นั่น..ว่างั้นเถอะนะ มันจะทำแบบไหนกัน ก็เราดูอยู่ที่นั่น

สักเดี๋ยวมันหลอกกันนะ ทำให้กระแตเผลอ หลอกทำท่าอย่างนั้นอย่างนี้ กระแตก็วิ่งรอบนั้นรอบนี้ พอได้โอกาสปั๊บฉวยมับเลยนะ..พันเลย พอพันเราก็โดดใส่เลย จับได้เลย..งูนี้แหละ กระแตหลุดก็วิ่งชนต้นไม้ต้นอะไรไป แต่ไม่เป็นไรแหละ เราก็จับงูได้เลย เป็นอย่างนั้นนะ

นี่ก็ว่ากลัวงูก็กลัวนะ ธรรมดาแล้วกลัว แต่ทุกวันนี้พูดตามความจริง ไม่ทราบว่ากลัวหรือไม่กลัว เหตุผลเท่านั้น ถ้าเป็นงูไม่เป็นภัยไม่ระวังมากนัก เช่น งูทางมะพร้าว งูเขียว พระฉวยได้ยังไงเราก็ฉวยได้แบบเดียวกัน แน่ะ..คือเหตุผล

มันไม่เป็นภัยกลัวหาอะไร ไม่เป็นภัยก็ต้องไม่กลัว ถึงเรียกว่ามีเหตุผล..ใช่ไหม ? มันไม่เป็นภัยยังกลัวอยู่ ก็เรียกว่าบ้ากลัว เข้าใจไหม ? อันนี้ไม่กลัว ฉวยมับเลย จับได้เรื่อยแหละ"

เถรี
23-09-2024, 00:48
งูจงอางสัตว์เลี้ยงวัด ปล่อยสัตว์ปลอดภัย

โดยปกติองค์หลวงตาจะไม่เลี้ยงสัตว์มีพิษหรือสัตว์ตัวใหญ่ ๆ เพราะเกรงอันตรายจะเกิดกับชาวบ้านที่มาวัด ดังนี้

"สัตว์ตัวใหญ่ ๆ เอามาเลี้ยงไม่ได้นะ เป็นอันตราย ทำลายคน พวกหมูนี้ก็ไม่ได้ อีเก้งตัวผู้ก็ไม่ได้ เวลาคึกคะนองนี้ขวิดคน ต้องระวัง อย่างวัด....เขาเอากวางมาเลี้ยงไว้ เราไปเจอเข้าก็สะดุดเลย โอ๊ย..ทำไมเอากวางตัวใหญ่ ๆ มาเลี้ยงไว้ เดี๋ยวชนคนนะ มันทิ่มคน ไม่ได้นะ พอเราพูดจบคำ ท่านก็ว่ามันเคยชนคนมาหลายคนแล้ว ก็อย่างนั้นแล้ว สัตว์เหล่านี้ไม่ได้นะ ผูกโกรธด้วย พวกงูผูกโกรธเก่งนะ"

สำหรับวัดป่าบ้านตาดช่วงหนึ่ง ก่อนปี ๒๕๓๐ ยังไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเหมือนสมัยนี้ ครั้งนั้นงูจงอางซึ่งเป็นสัตว์มีพิษร้ายแรง ไม่มีใครอยากพบเห็นหรืออยู่ใกล้ กลับกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของพระประจำวัดป่าบ้านตาดในช่วงเวลานั้น ดังนี้

"งูทุกชนิดในวัดนี้ เราจับทั้งนั้น แต่ก่อนเขาอยู่กับพระป้วนเปี้ยน ๆ อย่างจงอางนี้มันเหมือนสัตว์เลี้ยง ไม่แผลงฤทธิ์ เป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงเรา อยู่กับพระป้วนเปี้ยน ๆ ไม่แสดงฤทธิ์เดช แต่งูชนิดอื่นเราไม่แน่ แต่สำหรับงูจงอางนี้แน่ว่าไม่แสดงพิษภัยอะไรเลย แต่ก่อนปล่อยให้เขาอยู่กับพระ ก็พระทั้งวัดนี่ งูไปที่ไหนก็เจอพระเรื่อย ๆ องค์ไหนก็แบบเดียวกัน

เพราะเราสั่งกับพระไว้เรียบร้อยว่า อย่าไปหยอกไปเล่นเป็นอันขาด ให้เดินผ่านไปเฉย ๆ คือ การหยอกเล่นของเรา เขาจะถือว่าจริงจังกับเขา เพราะสัตว์เหล่านี้ถือมนุษย์นี้เป็นข้าศึก เราไปทำอะไรหยอกเล่นกับเขา เขาจะถือว่าเป็นจริงกับเขา หลังจากนั้นแล้วเขาผูกโกรธผูกแค้น เวลาเห็นเราไปนี้เขาจะเจอเราก่อนไป เราไม่รู้เขาฉกปั๊บ เพราะฉะนั้น..จึงไม่ให้สนใจเลย ใครจะเจอที่ไหนให้เดินผ่านไปธรรมดา แล้วเขาจะชินเอง เขาจะรู้นิสัยของพระเอง

และมันก็เป็นอย่างนั้น ไปที่ไหนวันหนึ่งเจอพระสักกี่องค์ เจอแบบเดียวกันหมด ไม่มีใครสนใจ เดินผ่านไป บางทีขวางทาง เราไปนี้พอดีเป็นจังหวะเขาออกมาก็ไปเจอเขา เขาก็นิ่ง บางทีเราก็ไปทางหัว เขาก็นิ่ง บางทีก็ไปทางหาง เขานิ่งของเขาอยู่งั้นแหละ ทีนี้พอเราผ่านไปแล้วเขาก็เลื้อยไป เป็นประจำอย่างนั้น ที่ไหนเหมือนกันหมด ทีนี้งูจงอางกับพระเลยเป็นสัตว์เลี้ยงนะ

อยู่ในครัวนี่เวลาพระมาฉันน้ำร้อนเขาเลื้อยเข้ามาเฉย พระนั่งอยู่เขาผ่านเข้ามาตรงกลาง "มึงมาอะไรไอ้ขี้ดื้อ ?" พระท่านว่า แต่ท่านไม่หยอกเล่นนะ เขาก็เลื้อยเข้ามาเฉยไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ โอ๊ย..หลายตัว ประมาณสัก ๙ ตัว ๑๐ ตัว เท่าที่เราจำได้นี่ละ จับออกไป ๆ แต่ก่อนไม่จับ ทีนี้เวลาคนมามาก ๆ เข้า คนกับพระมันต่างกัน มาเจอเขาเข้าจะไปหยอกไปเล่นกับเขา ๑ แล้วมาแบบเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ๑ ซึ่งเป็นภัยทั้งนั้น เลยต้องจับออก ๆ ไปปล่อยในภูเขา ทุกวันนี้ไม่มีแหละ"

โดยปกติเวลาที่นำสัตว์ไปปล่อยจะใกล้หรือไกลเพียงใดเป็นไปตามชนิดของสัตว์ และความปลอดภัย ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายหรือไม่ก็ตาม ความปลอดภัยของสัตว์ตัวนั้น ๆ ต้องปลอดภัยที่สุด ส่วนมากองค์หลวงตามักให้พระหรือฝากฆราวาสที่ไว้ใจได้ไปปล่อย แต่ก็มีอยู่คราวหนึ่งที่ท่านนำไปปล่อยด้วยตัวเอง ดังนี้

เถรี
23-09-2024, 00:55
"มีปล่อยใกล้ตัวเดียว เรายังจำได้ นอกนั้นมีแต่ไกล ๆ ทั้งนั้น อันนี้เราไปเองไปปล่อย ท่านสิงห์ทองไปด้วย ส่วนใหญ่มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ไปปล่อยที่ไหน ? สกลฯ นี่ก็เราไปปล่อยเอง ไปปล่อยแถวใกล้บ้านเขานะ ไปปล่อยที่ไหนให้อยู่ใกล้บ้านเขา เพราะแมวเหล่านี้เป็นแมวบ้าน มันอยู่กับบ้าน มันมาหาลำไพ่กินกับวัดกับวา แล้วจับเนรเทศเข้าในบ้านเขา ตัวใหญ่ทั้งนั้น ตัวไหนก็ดี"

แม้แต่การนำสัตว์ไปปล่อยแต่ละครั้ง ๆ องค์ท่านก็ให้ความสำคัญและจริงจังอย่างมาก ถึงกับกำชับผู้รับผิดชอบให้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตสัตว์ทุกขั้นตอนเลยทีเดียว

"(พระ)ไปปล่อยหมู หมูหลุดตกรถ หมู ๒ ตัวตกไป มันเป็นอย่างไรไม่รู้ มันสะดุดจิต สั่งแล้วก็ไม่แน่ใจ..ไปยืนสั่งอีก คือสั่งว่าหมูนี้เอาไปปล่อยตรงนั้น ๆ บอกเรียบร้อยแล้ว แล้วไปมันขวางอยู่ในจิตอีก..มันไม่แน่ใจ เดินเข้าไปอีก..ไปบอกซ้ำเข้าอีก

"นี่ถ้าหมูปล่อยหายไป แล้วท่านมานี่..ต้องออกจากวัดทันที..!"

บอกอย่างนั้นนะ พอไปก็หายจริง ๆ ก็ต้องออกจริง ๆ ไล่ออกจากวัดเลยทันที..ทันกันละ เป็นอย่างนั้นนะเรา ถ้าว่าอะไรลงจิตมันลงขาดปุ๊ดแล้วมาค้านไม่ได้..พุ่งเลย ไปตกหายทั้งสองตัวเลย มาก็ไล่ออกจากวัด เพราะมีสัญญากันในคำพูดที่ไปสั่งเสีย ถ้าหมูนี้หลุดตกจากรถไปแล้ว ท่านต้องออกจากวัด พอดีไปตกจริง ๆ ท่านก็ออกจริง ๆ ไม่ออกไม่ได้..ไล่เลยแหละ..!

มันก็แปลกอยู่นะจิตนี่ ไม่มีอะไรบอกมัน..หากเป็นของมันเอง ถ้าอะไรไม่สนิทใจมันจะมาขวางอยู่นี้ สั่งเรียบร้อย..ไปยืนสั่งจริง ๆ เพราะไม่สนิทใจ ท่านก็เลยออกจากวัด เป็นอย่างนั้นนะเรา คือว่าอะไรต้องเป็นอย่างนั้น

เจ้าของเองก็เหมือนกั้น ถ้าสั่งอะไรผิดไปนี้ ต้องยอมรับโทษแห่งความผิดของเราว่าสั่งผิดไป ผู้ทำทำตามก็จะผิดไปอีก วันนี้เตรียมของไปให้พระที่ถูกไล่ออกจากวัด ก็ไม่ได้ไล่ด้วยความเกลียดความโมโหโทโสอะไร ไล่โดยเหตุโดยผลต่างหาก"

เถรี
28-09-2024, 00:02
พ้นเขตวัด คือแดนประหารสัตว์

องค์ท่านเบาใจเมื่อสัตว์ร้ายในวัดถูกนำไปปล่อย เพราะห่วงใยในชีวิตของสัตว์จำนวนมาก ที่จะต้องตายเพียงเพราะสัตว์ตัวสองตัวเท่านั้น ความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง และเห็นคุณค่าของสัตว์แต่ละตัว ๆ ไม่มียกเว้นแม้ในเวลาไปแจกทานระหว่างทาง หลานชายของท่านซึ่งเป็นผู้ขับรถถวายอยู่เป็นประจำจะทราบดี และขับรถด้วยความระมัดระวัง สอดคล้องกับความเมตตาของท่าน ดังนี้

"นี่ค่อยเงียบ ๆ ทางข้างใน (สัตว์ร้ายที่เพิ่งไปปล่อย) ไม่มีแล้วนะเดี๋ยวนี้ ก็แสดงว่าจะค่อยหมดปัญหาไป สัตว์จะได้งอกเงย อู๊ย..สงสารสัตว์มากนะ มองดูตัวไหน แม้แต่จิ้งเหลนกิ้งก่าวิ่งผ่านถนน พอมองเห็นบอกเลยนะ "นั่นกิ้งก่า..!"

รถก็หลีกไป ไม่เคยทับเคยเหยียบมัน นอกจากมันสุดวิสัยก็จำเป็น หลีกทั้งนั้นละเรา จิตมันเมตตาขนาดนั้นละ จึงว่าอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นหัวใจนี้ มาพูดเล่น ๆ หรือ ?"

ด้วยความเมตตาอันลึกซึ้งของท่านเช่นนี้ วัดป่าบ้านตาดจึงกลายเป็นแดนผาสุกของสัตว์ เพราะมีเมตตาธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นที่พึ่งอันแสนสงบสุขและร่มเย็น ดังนี้

"เราไปสร้างวัด ดงนี้ก็ถูกเขาทำลายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงอำเภอหนองแสงนู่นนะ สัตว์เหล่านี้ก็เลยตายหมด กระรอกเรายังจำได้มีอยู่ ๒ - ๓ ตัว เขตของวัดที่เราอยู่นี้ กระรอกอยู่ในเขตนี้ ไก่ป่าก็มี ๒ พวก พวกหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ พวกหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ แต่ก่อนมันไปยกพวกตีกันเรื่อยละ เขตนั้นกระรอกก็ตายหมด สัตว์อะไร ๆ ตายหมดทั้งนั้นแหละ..!

มีอยู่เฉพาะในเขตวัด สัตว์อะไรมีเท่าไรก็ยังอยู่เป็นปรกติ พวกกระรอก พวกกระจง อีเก้ง ถ้ามันออกไปข้างนอกถูกเขาฆ่าตาย แต่ก่อนมันมีอยู่ทั่วไปในวัด พอออกข้างนอกไปก็ถูกเขาฆ่าหมด เก้งก็หมด หมูก็หมด มีแพร่หลายอยู่แต่กระรอก ทีแรกมีอยู่ ๒ - ๓ ตัว มันแพร่พันธุ์มากเต็มวัด ยังเหลือแต่กระรอกกับไก่

เดี๋ยวนี้ไก่ป่าที่ว่า ๒ พวกที่ยกพวกมาตีกันนั่นละ ครั้นต่อไปมันก็มากขึ้น ๆ ไม่ทราบว่าพวกไหนต่อพวกไหน เลยกลายเป็น "ไก่บ้าน" ไป ไม่ได้กลัวคนเลย จาก "ไก่บ้าน" แล้วเป็น "ไก่บ้า" ไปเลย เข้าใจไหม ? ไปดูในครัวซิ มันกลัวคนเมื่อไร ไก่อยู่ในวัด เวลานี้อยู่ในขั้นบ้าทั้งหมดเลย ไม่รู้จักกลัวคน กระรอกก็เหมือนกัน เป็นแบบเดียวกัน..ไม่กลัว

อย่างนั้นละ "ธรรม" ไปอยู่ที่ไหน ถ้าธรรมอยู่ที่ไหนสัตว์ตายใจได้ทั้งนั้นละ ไม่ได้กลัวคน สัตว์ในวัดสนุกสนานรื่นเริง อาหารเราก็ให้กิน แล้วความปลอดภัยพระก็รักษาเองโดยหลักธรรมชาติ ใครจะเข้าไปยุ่งไม่มี เขาก็อยู่สบาย ๆ พวกสัตว์อะไรที่อยู่บริเวณวัดนั้น เขาอยู่ผาสุกสบายทั้งนั้นแหละ ออกจากนั้นไปตายหมด..!"

เถรี
29-09-2024, 01:02
ป่าช้าหมารอบกุฏิ

องค์หลวงตาเมตตารับสุนัขมาเลี้ยงไว้ที่วัดหลายตัว ให้พระเลี้ยงดูเป็นอย่างดี มีการแบ่งอาหารใส่ถาดแยกเป็นกลุ่ม ๆ ให้กินจนอิ่มทุกตัวไป ท่านจะกำชับพระเณรเสมอ ห้ามสุนัขเหล่านี้เข้าไปทำลายสัตว์อื่นในวัด และคอยกันไม่ให้กัดกันทะเลาะกัน หากตัวใดดื้อท่านสั่งให้พระเณรใช้ไม้เรียวตีสั่งสอนทันที นอกจากนี้ความเมตตาเอ็นดูสุนัขในวัดของท่าน ถึงกับให้ฝังตัวที่ตายแล้วไว้ในบริเวณรอบ ๆ กุฎิของท่านเลยทีเดียว นับเป็นความรักความเมตตาของท่านโดยแท้

"กระต่ายมันมีอยู่ทั่วไปหมด เดี๋ยวนี้มันออกไปหมด กระแตก็เยอะ โอ๋..เราสงสารสัตว์นะ ไปที่ไหนจะจ้องดูแต่สัตว์ พวกกระแตเชื่องมาก ไม่รู้จักกลัวคน แล้วลูกกระต่ายด้วย หมามันเข้าไปมันกัดเอานะ ข้างในหมาเข้าไปหรือเปล่า ? เห็นหมาเข้าไปไหม ? ถ้าตัวไหนไปอย่าคุ้นกับมัน เว้นแต่ไอ้หยองกับไอ้ปุ๊กกี้เท่านั้น ไอ้นี้มันไม่มีบัญชี มันก็ไม่ทำร้ายสัตว์นะ แต่ไอ้หมี (หมาตัวใหญ่) ให้ระวังให้ดี ไอ้หมีไปมันเอาจริง ๆ ก็มีไอ้หมีตัวเดียว นอกจากนั้นไม่เห็นตัวไหนเข้าไป

ทุกคนให้เตือนกันนะ แต่นี้ต่อไปไอ้หมีอย่าไปคุ้นกับมัน มันมีลูกกระต่ายแล้วจะเกิดเหตุ เราเป็นห่วงมากนะ ไปดูเรื่อย กลัวจะบกพร่อง เดี๋ยวมันเอาลูกกระต่ายไปกินแล้ว..ไม่ได้นะ เราเข้มงวดกวดขันมาก มันเข้าไปเรื่อยก็ยิงหนังสะติ๊ก ไม่ได้ยิงหมาแหละ ยิงขู่..ใส่เปี๊ยะ มันวิ่งเลย..มันกลัว ในวัดนี้พระมีหนังสะติ๊กทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เคยยิงถูกหมา เพราะไม่ได้ยิงใส่มัน พวกนี้มันกลัวหนังสะติ๊ก พอยิงแค่นี้ก็ไปเลยเผ่นเลย ต้องมีไว้ขู่ ไม่งั้นไม่ได้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของสัตว์ พระท่านมีไว้อย่างนั้นแหละ

ส่วนไอ้ปุ๊กกี้ (หมาตัวเล็ก) มันดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ถือสีถือสาเลย จะทำอะไรมีแต่หลบ ๆ แล้วเปิดหนีเลย มันรำคาญท่า ก็ดีอย่างหนึ่ง นิสัยมันดี เวลามันผิดพลาดอะไร เจ้าของตี ไม้เรียวหวด..หมอบ หวดเท่าไรก็ยิ่งหมอบ นี่ก็ดี..รู้ผิดนะ นิสัยมันดีอย่างหนึ่ง มันมีแต่ขู่เขาเท่านั้น แต่ไม่เคยกัด พอขู่เขาแล้วก็วิ่งเลย เพราะพอขู่เขาแล้วไม้เรียวลงข้างหลังละซี มันมัวแต่ขู่เขาไม้เรียวซัดลงหลังก็วิ่ง ทีนี้พอขู่เขาแล้ววิ่ง ไม้เรียวมาไม้มาวิ่งเลย เขาก็ฉลาดเหมือนกันนะ เข้าท่าดี เล่นกับหมาก็น่าดูนะ พูดเรื่องหมา นิสัยหมามันก็มีหัวใจของมัน มันรู้จักผิดถูกเหมือนกัน ตายไปเรื่อย ๆ

ตัวหนึ่งก็ตายแล้ว ไอ้จ้ำหลอด (หมาตัวใหญ่มีจุด ๆ) เอาไปฝังไว้ที่กุฏิ บริเวณกุฏิเราป่าช้าหมานะ ตัวไหนตายเราสั่งเอง ให้ไปฝังไว้ที่รอบ ๆ กุฏิของเรา ตายไปอีกตัวหนึ่งแล้ว มันตายเป็นชุดๆ ไป พอมันแก่แล้วก็ตาย.."

เถรี
02-10-2024, 10:07
ความเมตตาของวัดป่าหลวงตามหาบัว

ความเมตตาอย่างไม่มีขอบเขตขององค์หลวงตาต่อสัตว์ทั้งหลายนี้ ยังแผ่ออกกระจายอย่างทั่วถึงไปยังวัดต่าง ๆ ที่ท่านรับถวายที่ดิน รวมถึงวัดต่าง ๆ ที่องค์ท่านมักไปเยี่ยมเยียนอยู่เนือง ๆ ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง วัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน ที่กาญจนบุรีเพียงแห่งเดียว ซึ่งเด่นเรื่องความเมตตาสัตว์และองค์หลวงตามักกล่าวถึงเป็นพิเศษเสมอ ดังนี้

"ท่านจันทร์นี้เป็นพระวัดป่าบ้านตาด เป็นคนคลองด่าน สมุทรปราการ อยู่นี่หลายปี ออกจากนี้ไปก็ไปอยู่ทองผาภูมิ เราก็คอยฟังเสียงจากนั้น เขาก็มาถวายที่ที่เป็นวัดเสืออยู่ทุกวันนี้ เนื้อที่ก็กว้างอยู่ เราก็พิจารณาดูย่านกรรมฐานภาวนา เห็นว่าที่นั่นว่างมาก ไม่ค่อยมีพระกรรมฐานไปอยู่ เลยให้ท่านจันทร์ วัดเสือ มาปรึกษาหารือ ท่านก็พอใจรับ ใครจะถวายที่ที่ไหนก็ตาม เราไม่ได้รับสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะรับเพื่อประโยชน์แก่ชาติศาสนาจริง ๆ รับที่ไหนแล้วต้องเป็นภาระหนัก ไม่ได้รับทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อะไร ก็เลยรับ

อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาเหมือนกัน ท่านจันทร์ท่านบวชมา ท่านก็ไม่ได้บวชมาหาสัตว์หาเสืออย่างนี้นะ ท่านบวชมาหาอรรถหาธรรม เข้าเสาะแสวงหาครูอาจารย์ ท่านก็เลยเลี้ยงดู ท่านไม่ได้ตั้งใจบวชมาหาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสืออะไร ท่านไม่มีนะ..เจตนาเดิม ความจำเป็นมันหากแทรกเข้ามา พอรับแล้วพอดีพวกเสือก็เข้ามา พวกเสือพวกสัตว์เข้ามาในวัดนั้น เลยกลายเป็นวัดเสือ ตรงที่ทำเลภาวนามันก็เลยกลายเป็นวัดเสือไปเลย เอ้า..เป็นก็ให้เป็น..!

อย่างท่านจันทร์ท่านเมตตาสงสารเอาใจใส่สัตว์ สุดท้ายสัตว์อยู่ข้างบนภูเขาลงมากินอาหารกับท่านหมด หมูเป็นร้อย ๆ นกยูงเป็นร้อย ๆ สุดท้ายวัดเสือนี่กลายเป็นวัดสัตว์ทุกประเภทเต็มอยู่นั้นละ พวกม้าป่า วัว ควายป่า หมูป่า แพะ นกยูง ฯลฯ มันมากต่อมาก มาเองนะ ลงมาจากภูเขา ท่านจัดอาหารให้ เลี้ยงดูเขา แน่ะ..ก็อย่างนั้นละ

เมื่อเขาเคยแล้วเขาก็ลงมา ตอนเช้านั่นละ..หลั่งไหลลงมา พอกินอิ่มแล้วเขาไป เขาไม่รบกวนเรา สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ป่าทั้งหมด เวลามันออกมาจากป่ามาอยู่ในวัดนี้มันเป็นสัตว์ป่า แล้วเอามาเลี้ยงไว้ในบ้านเลยถือว่าเป็นสัตว์บ้านไปเลย ไม่นึกว่าเขาเป็นสัตว์ป่ามาแต่ก่อน

นี่ละ..อำนาจแห่งการเสียสละความเมตตา สัตว์เคยรู้จักพระที่ไหน เขาเป็นสัตว์ป่าล้วน ๆ ทำไมมาอยู่กับพระได้อย่างสนิทใจ นี่ก็คือความเมตตา ความเสียสละ สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน การให้เป็นเครื่องประสานกันสำคัญมากนะ การให้นี่ประสานกันได้ดี จิตใจอ่อนนุ่มเลยทันที เมื่อได้รับการสงเคราะห์จากกันและกัน

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถึงยกทานบารมีขึ้นก่อน ทานบารมีคือการให้ การเสียสละ เป็นพื้นฐานของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์"