View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
ถาม : กลุ้มใจ อยากทำตามใจกิเลสค่ะ
ตอบ : ก็ทำไปสิ..ถึงเวลาจะได้รู้ว่านรกมีจริง..! กิเลสชวนให้เราทำตามใจอยู่แล้ว แต่ว่าอย่างแย่ที่สุดก็อย่าให้หลุดกรอบของศีล อันดับแรก..อย่าทำศีลขาดด้วยตัวเอง อันดับที่สอง..อย่ายุให้คนอื่นทำ อันดับที่สาม..เห็นคนอื่นทำก็อย่ายินดีด้วย แค่นั้นแหละ..ไม่ได้ละเอียดมากหรอก ได้ยินก็เหนื่อยแล้ว..ใช่ไหม ?
ถาม : แล้วถ้าเราอยากได้อะไรมาก ๆ
ตอบ : อยากได้ก็หามาให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม จะขนมาสักเท่าไรไม่มีใครว่า เขาเรียกว่าสัมมาอาชีวะ แต่ถ้าถึงขนาดลักขโมย หยิบฉวย หลอกลวง ช่วงชิงของเขามา อันนั้นผิดเต็ม ๆ เพราะเกิดจากโลภะจริง ๆ
ถาม : แล้วถ้าเราขอ ?
ตอบ : ถ้าขอแล้วเขาให้ก็เอาสิ ถ้าบุญเก่าทำไว้ดี เวลาขอเขาก็ให้เอง
ถาม : แล้วบุญใหม่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : บุญใหม่ช่วยไม่ทัน บุญใหม่ต้องรอชาติต่อไป ยกเว้นว่าชาตินี้เราทำต่อเนื่องยาวนานสักระยะหนึ่ง ๕ - ๑๐ ปีติดต่อกันไม่เลิกเลย ถ้าอย่างนั้นพอจะช่วยได้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วบุญในอดีตจะส่งผลให้ในปัจจุบัน ถ้าในอดีตกำลังไม่แรงพอก็ส่งไม่ถึงปัจจุบัน ต้องรออนาคตโน่น
ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องทำให้แรงพอ คำว่าแรงพอไม่ได้หมายความว่าทำมาก แต่ให้ทำแบบคนฉลาด คนฉลาดเลือกทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่ อย่างเช่น สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน เป็นต้น แต่ว่าให้ทำในลักษณะต่อเนื่องยาวนานพอ อย่างเช่นทำทุกเดือน ๆ ติด ๆ กัน ๕ - ๑๐ ปีก็รู้ผลแล้วจ้ะ อย่าชิงตายเสียก่อนแล้วกัน
ที่บอกว่าอยากตามใจกิเลส ตอนนี้อยากจะทำอะไรบ้างจ๊ะ ?
ถาม : ไม่อยากคุยกับชาวบ้าน
ตอบ : อะไรนะ..! ไม่อยากคุยกับชาวบ้าน ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าคุยมากก็ฟุ้งซ่านมาก ทำให้ควบคุมใจตัวเองลำบาก
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ :ถ้ามีสติรู้ตัวอยู่ก็ปล่อยไปตามสภาพ ปฏิสันถารกันตามปกติ ทักทายกันตามปกติ ถึงเวลาก็สนใจเฉพาะหน้าที่ของเรา แต่ถ้าถึงเวลาไม่มีสติ ต้องคุยกันชั่วโมงหนึ่งไม่เลิก ก็ข่มใจไว้ดีกว่า
เตือนอะไรไว้อย่างหนึ่งจะเชื่อไหม ? อย่าทำอะไรเสี่ยง ๆ นิสัยเราชอบอย่างนั้น รู้สึกสนุก แต่การเสี่ยงมักจะต้องไต่ขอบเหว พลาดเมื่อไรก็เยิน..! แค่นั้นแหละ เอาไปใช้ได้ตลอดชีวิตเลย ว่าอะไรที่จะต้องเสี่ยงขึ้นมาแล้วให้นึกถึงคำนี้ไว้ อาตมาได้เตือนแล้ว
เรามีนิสัยทำพวกนั้นแล้วสนุก เสี่ยงต่อการผิดศีล เสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย เสี่ยงต่อการผิดระเบียบวินัย ข้อบังคับของหน่วยงาน ขับรถแหกกฎจราจร โอ๊ย...มีความสุขที่ได้ทำ ถ้าวันไหนย้อนศรไปเจอรถมาพอดี ไม่มีใครเขาพุทโธ่หรอก มีแต่สมน้ำหน้า..! อาตมาประกาศไว้ชัดแล้ว คนไหนขับรถย้อนศรแล้วโดนชนตายไม่ต้องเอามาสวดที่วัดท่าขนุนเลยนะ ประกาศให้ชาวบ้านรู้ไว้เลยว่า ถ้าทำอย่างนั้นอาจารย์ไม่รับเผาหรอก..!
ดังนั้น..อะไรเสี่ยงที่ว่ามา เสี่ยงต่อการผิดศีลผิดธรรม เสี่ยงต่อการผิดกฎหมายบ้านเมือง เสี่ยงต่อการผิดข้อบังคับของที่ทำงาน อย่าไปเสี่ยงเด็ดขาด
พระอาจารย์กล่าวถึงการแต่งกายในงานศพว่า "ธรรมเนียมการไว้ทุกข์หรือเข้าทุกข์ของคนไทยโบราณ นิยมแต่งกายด้วยชุดขาวล้วน เป็นการไว้ทุกข์แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ รวมถึงการไว้ทุกข์ถวายเจ้านายด้วย
การไว้ทุกข์ด้วยชุดขาวปลอดนี้ บางทีเรียกว่า "เข้าทุกข์ใหญ่" เป็นการไว้ทุกข์เต็มยศแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใส่แขนทุกข์หรือปลอกผ้าสีดำอีก ต่างจากการแต่งเครื่องแบบที่เป็นการแต่งกายตามปกติ แต่ยังไม่ได้ไว้ทุกข์ จึงต้องใส่แขนทุกข์ด้วย
อาตมาพูดมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว เห็นเด็กแต่งชุดดำไปงานศพผู้ใหญ่แล้วรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก สมัยโบราณคนที่อายุน้อยกว่าไปงานศพผู้ใหญ่กว่าต้องใส่ชุดขาวไป ถ้าหากว่าไปงานศพคนที่เด็กกว่า อายุน้อยกว่า หรือว่ายศต่ำกว่า ถึงใส่ชุดดำได้ อาตมาเห็นมาจนเบื่อแล้ว ตั้งแต่งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ งานถวายพระเพลิงสมเด็จพระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนี งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เห็นแล้วเบื่อสุด ๆ ว่าแต่ละคนที่ไปนี่ใหญ่กว่าท่านทั้งนั้นเลย
ต่อให้งานศพทั่ว ๆ ไปก็เหมือนกัน คนอยู่บนเมรุนั่นอายุ ๖๐ - ๗๐ - ๘๐ ปี เด็กเมื่อวานซืนก็ใส่ชุดดำไป คราวนี้คนรู้ธรรมเนียมอย่างอาตมา พอเห็นแล้วก็สยอง แต่พอว่าไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยใส่ใจกัน งานศพที่วัดท่าขนุนอาตมาเตือนอยู่ ๒ เรื่องทุกครั้ง เรื่องหนึ่งก็คือการไว้ทุกข์ ถ้าคนตายอาวุโสกว่าให้ใส่สีขาวไป อีกเรื่องหนึ่งก็คือเราเป็นคนส่งศพ ให้เดินตามโลงศพ ไม่ใช่ไปแย่งพระจูงศพ..!
ส่วนใหญ่สมัยนี้เขาไปแย่งกันจับสายสิญจน์จูงศพ เรื่องของการจูงศพเป็นหน้าที่ของพระของเณร ถ้าจะเดินนำศพจริง ๆ อนุญาตให้คนถือรูปผู้ตายกับกระถางธูปเท่านั้น นอกนั้นทุกอย่างไปเดินตามอยู่ข้างหลัง เตือนทุกครั้ง เตือนจนตอนนี้เริ่มเข้าหูแล้ว ถึงเวลาจึงวิ่งไปอยู่ท้ายโลง เพราะถ้าขืนมาหน้าโลงอาจจะโดนด้ามตาลปัตรจากพระอาจารย์..! เคาะกบาลเข้าถึงจะนึกได้
เขาก็บอกชัด ๆ แล้วว่าไปส่งศพ ไม่ได้ไปจูงศพ แล้วบางคนไม่รู้ไม่พอ ดุพระเณรด้วยนะ “ปล่อยสายสิญจน์ยาว ๆ หน่อยสิ ไม่พอจูง” ปล่อยให้หมดม้วนก็ไม่พอหรอก เพราะบางงานคนมาเป็นพันเลย อย่างงานศพร้อยตำรวจตรีประเสริฐ บุญยงค์ โยมพ่อของท่านนายกเทศมนตรีประเทศ บุญยงค์ แขกเกิน ๒,๐๐๐ คนแน่นอน ถ้าขืนไปจูงศพแล้วจะเอาสายสิญจน์ที่ไหนมาให้จูง ๕๐๐ เมตรก็คงไม่พอ"
"บุคคลที่จะแต่งชุดสีดำ ต้องอาวุโสด้วยวัยวุฒิคืออายุมากกว่า หรืออาวุโสด้วยคุณวุฒิก็คือยศตำแหน่งสูงกว่า อย่างสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีวัยวุฒิและตำแหน่งของพระองค์ท่านสูงมาก บุคคลที่จะแต่งดำได้จริง ๆ ปัจจุบันนี้จะมีอยู่แค่ ๔ พระองค์เท่านั้น ก็คือ ในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วก็สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เพราะว่าพระอิสริยยศสูงกว่า
แต่คราวนี้ในหลวงทรงพระราชทานอิสริยศประดับฉัตร ๗ ชั้น พอได้สัปตปฎลเศวตฉัตรไป ก็เหลือแค่ ๒ พระองค์เท่านั้นที่จะแต่งดำได้ ก็คือในหลวงกับพระบรมราชินีนาถ ความจริงฉัตร ๗ ชั้น พระยศเท่ากับสมเด็จพระราชินีนาถเลยนะ แต่เนื่องจากว่าสมเด็จพระราชินีนาถดำรงตำแหน่งที่สูงกว่า จึงสามารถที่จะแต่งดำได้
เพราะฉะนั้น..ต่อไปชาววัดท่าขนุน ถึงเวลาไปงานศพผู้ใหญ่ให้แต่งสีขาวไป สุภาพเรียบร้อยกว่าเยอะเลย แต่ว่าระยะหลังนี่มีค่านิยมอย่างหนึ่งที่เห็นแล้วหงุดหงิด อยากจะเรียกมาโบกเสียที..! ก็คือพวกที่ไปงานศพแล้วแต่งตัวเป็นแฟชั่น เคยเห็นไหม ? เขาตั้งใจแต่งตัวไปอวดกันจริง ๆ นั่นเขาเรียกว่าไม่ดูกาลเทศะ
แต่งตัวอย่างกับจะไปเดินแฟชั่นโชว์ ไม่ดูว่าเป็นงานศพ ต่อให้เป็นชุดขาวชุดดำอะไรก็เถอะ เขาถือว่าไม่ให้เกียรติผู้ตาย จะไปไว้อาลัย ไปเพราะเห็นความดีของท่าน ไปเสริมเกียรติยศของท่าน แต่ดันไปทำตัวเพื่อลดเกียรติยศของท่านเสียนี่
สรุปว่าอาตมาแก่เกินไป ตกยุค เดี๋ยวนี้เขานิยมอย่างนั้น แต่เป็นการนิยมที่ผิดกาลเทศะ"
ถาม : แล้วที่ท่านธุดงค์กันทำให้รถติด ?
ตอบ : แล้วอย่างไร ? รถติดก็หน้าที่ของตำรวจสิจ๊ะ อย่าไปยุ่งกับท่านเลย โบราณท่านเก่ง ท่านกันตัวเองออกไปเลย เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพระเถรเณรชี ท่านจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เรียกว่าชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ คำว่า "ชี" สมัยก่อนก็คือพระ แม่ชีต่างหากที่หมายถึงชีในสมัยนี้ อย่างสมัยก่อนเขาใช้ศัพท์บางคำว่า "ชีบานาสงฆ์" เป็นต้น
เมื่อเป็นดังนั้นเขาจะกันตัวเองออกไป ไม่ยุ่งเรื่องพระเถรเณรชีด้วย เพราะว่าคนเราเวลาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงพอ ก็จะอยู่ในลักษณะใส่อารมณ์ร่วมไปด้วย เกิดโทษกับตัวเองได้ง่าย แล้วอีกประการหนึ่ง ถึงจะว่ากันตรงไปตรงมาตามเหตุตามผลก็ตาม คนส่วนมากเขาเคารพเลื่อมใสบุคคลเหล่านั้น เราไปพูดตรงไปตรงมา แต่ว่าอยู่ในลักษณะไปลดความน่าเชื่อถือของเขาลง ก็มีโทษเหมือนกัน เพราะว่ากำลังใจคนส่วนใหญ่จะเสีย
สมัยนี้ก็เลยมีประเภทพวกมากลากไป ทำผิดจนกลายเป็นถูก กลายเป็นกาเมสุมิจฉาจารไป กาเมสุ เป็นสัตตมีวิภัตติ ก็คือวิภัตติที่ ๗ ของศัพท์คำว่ากามะ แปลว่าในกาม มิจฉาจาระ ก็คือความประพฤติผิด แต่คราวนี้เราดันไปกล่าวเป็นกาเมสุมิจฉาจาร ก็เลยกลายเป็นผิดแล้วดี เพราะ สุ แปลว่า ดี ถ้าพระที่ท่านเข้าใจศัพท์ตัวนี้ เวลาให้ศีลท่านจะว่า กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมณี จะเว้นตรงสุไว้นิดหนึ่งให้คนรู้ว่าเป็นศัพท์คนละตัว แต่โยมรับศีลเมื่อไรก็เป็น กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี ติดกันไปอีกจนได้ ฉะนั้น เมื่อเป็น สุมิจฉาจาร จึงแปลว่า ผิดแล้วดี..!
แรก ๆ พวกเราปฏิบัติธรรม กำลังใจของพวกเรามักจะไปแยกดีชั่ว ขาวดำอย่างชัดเจน จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่พอทำไป ๆ ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้ว่า ผิดถูกเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม
บุคคลที่ทำอกุศลกรรม ก็ตกในกระแสสีดำ ก็คือไหลลงไปเรื่อย ๆ บุคคลที่ทำกุศลกรรม ก็ตกในกระแสสีขาว ก็คือไหลขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้ทั้ง ๒ กระแส ไปไม่ถึงที่สุดหรอก ถ้าจะหลุดพ้นได้จริง ๆ ต้องผ่ากลางไปให้ได้ ก็คือเว้นชั่วทำดี แล้วท้ายสุดเลิกเกาะดีก็จบ แต่กำลังใจกว่าจะเลิกเกาะดีได้นี่ยากมาก เพราะเราต้องอาศัยดีเป็นบันได เพื่อที่เราจะก้าวหลุดพ้นไป
เพราะฉะนั้น..กว่าจะรู้ตัวว่า ดีก็ทำ ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ต้องเกิดตายกันจนนับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น..การที่เรามองอะไรขาวดำชัดเจนนั่นดี แต่ให้เราเกาะขาว ทำด้านที่ขาวเอาไว้ ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า สุกะธรรมะ ก็คือธรรมอันขาว ถ้าหากว่า กัณหะธรรมะ ก็คือธรรมอันดำ ก็คือบรรดาสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมต่าง ๆ
ท่านก็บอกว่า กัณหังธัมมัง วิปะหายะ สุกังพาเว จะ ปันฑิโต บัณฑิตย่อมละเว้นการกระทำกรรมอันดำ กระทำแต่กรรมที่ขาวเท่านั้น ก็คือเว้นจากความชั่ว ทำแต่ความดีเท่านั้น พอทำไป ๆ ความดีเต็มอยู่ในจิตในใจของตัวเอง ปัญญาเกิดถึงที่สุด จะเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้น ท้ายสุดก็วางความดีนั้นลง ก่อนที่จะวางได้ต้องทำให้เต็มที่ก่อน ไม่ใช่ประเภททำนิดหนึ่งแล้วก็ไปวาง แล้วเราจะมีอะไรให้วาง ? ต้องทำจนเต็มที่แล้วถึงจะปลดวางลงไปเอง
เมื่อเราเลิกเกาะดี ไม่ติดทั้งดีทั้งชั่วก็จะหลุดไปได้ เพราะฉะนั้น..ใครก็ตามในระยะแรกเริ่ม ถ้าสามารถเอาคนเข้าวัดมารักษาศีลปฏิบัติธรรมได้ ถือว่าใช้ได้ทั้งหมด แม้ว่านานไปแล้ว สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ใช่ความดีที่แท้จริง แต่คนที่ก้าวเข้ามาถึงจุดนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาก็เหมือนกับคนหิว คนหิวต้องรีบกินก่อน แต่พออิ่มแล้วต่อไปก็จะเลือกแล้วว่าอะไรอร่อยถูกปากหรือเปล่า
ถาม : ไม่มีถูกไม่มีผิด ต้องเว้นศีลไว้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ต่อให้ผิดศีล เขาก็ไม่ได้ทำผิด เพราะเขาคิดว่าดีเขาถึงทำ ถ้าเขารู้ว่าไม่ดี เขาก็พยายามที่จะเลิก ในเมื่อทำเพราะเห็นว่าดี เขาย่อมไม่คิดว่าเป็นความผิด เพราะฉะนั้น..ในความเป็นจริงแล้วคนเราไม่มีถูกไม่มีผิดหรอก เพียงแต่ว่าให้พยายามทำในสิ่งที่ถูก ที่เขาสมมติกันขึ้นมา ละเว้นในสิ่งที่ผิดเสีย พอถึงเวลาทำได้เต็มที่เมื่อไรก็เป็นอันว่าพ้นไปได้
ถาม : ผ้ายันต์พิชัยสงคราม บูชามาแล้วควรจะติดบ้านหรือติดตัวไว้ก่อน ?
ตอบ : ติดตัวได้จะดี หรือไม่ก็ติดบ้านอธิษฐานคลุมทั้งตึกทั้งที่ดินของเราเลยก็ได้
ถาม : เก็บไว้กับตัวได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อุตส่าห์บูชามาทั้งทีก็เอาติดตัวไว้สิ
ถาม : บทสวดอิติปิโสถอด ?
ตอบ : เขาถอดไม่รู้ตั้งกี่อุปเท่ห์ อิติปิโสแปดทิศก็มี อิติปิโสรัตนมาลาก็มี ถ้าเป็นอิติปิโสรัตนมาลาก็ ๑๐๘ บทพอดี เขาถอดอักขระแต่ละตัวออกมาเป็นพระคาถา ๑ บท อย่างเช่น อิ ก็เป็น อิฏโฐ สัพพัญญุตะญานัง อิจฉันโต อาสะวักขะยัง อิฏฐัง ธัมมัง อะนุปปัตโต อิทธิมันตัง นะ มามิหัง นี่คืออิตัวเดียว กว่าจะครบก็ตาย..ตั้ง ๑๐๘ ตัว
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่ใจเรา ถ้ากำลังใจมั่นคง ต้องการให้เป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เรื่องของคาถาไม่ได้สำคัญที่คาถา สำคัญที่ใจของเรา คาถาดีแค่ไหนถ้ากำลังใจไม่ได้เรื่องก็ไม่มีประโยชน์
ถาม : มารอาศัยอยู่กับคนหรือคะ ?
ตอบ : อาศัยความชั่วของเราเป็นเชื้อ ทุกอย่างที่เราทำไปถ้าผิดศีลผิดธรรม มารจะอาศัยความชั่วทั้งหลายเหล่านี้ แทรกเข้ามาในใจของเราตลอดเวลา สามารถชักจูงกาย วาจา ใจ ของเราให้ทำผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็หลงตามเขา ห่างพระไปทุกที สรุปว่าโทษมารไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ชั่วมารก็แทรกไม่ได้
ถาม : แล้วถ้าไปแทรกคนอื่น
ตอบ : จะไปยุ่งอะไรกับเขา ไปเสือกยุ่งเรื่องชาวบ้านเดี๋ยวเขาก็อัดเราแทน รู้เรื่องคนอื่นไม่มีประโยชน์ ต้องรู้เรื่องของตัวเอง
ถาม : มีโยมเป็นเจ้าภาพจัดสร้างหลวงพ่อโสธรจำลอง แต่ผมไม่มีความรู้ในแต่ละขั้นตอน ว่าโรงงานเขาทำแบบไหน หล่ออย่างไร มีพิธีการอะไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่าโรงงานเขาทำ เราจะให้เขารวมพิธีต่าง ๆ เข้าไปด้วยก็ได้ หรือเราจะทำด้วยตัวเราเองก็ได้ สำคัญที่เราเองนั่นแหละว่ายินดีแบบไหน
หากว่าเป็นทั่ว ๆ ไปอย่างของอาตมา ก็บวงสรวงบอกกล่าวขออนุญาตท่านทำ จะเป็นพิธีพราหมณ์หรือพิธีพุทธก็อยู่ที่เรา เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ติดต่อโรงงานที่เราพอใจ ให้เขาออกแบบหรือว่าเราหาแบบไปให้เขา เซ็นสัญญากัน ตกลงราคา กำหนดวันเวลาที่แล้วเสร็จ
ถาม : ถ้าเขาจะหล่อหรือเท ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาจะดูฤกษ์ที่เหมาะสม ถ้าเราไม่มีความรู้ก็ขอคำแนะนำจากทางโรงงานเขาก็ได้
พระอาจารย์กล่าวถึงสำนวนว่า "สำนวนขี่ม้าชมสวน คนที่ไม่เข้าใจมักคิดว่า แหม..ขี่ม้าชมสวนช่างอารมณ์ดีเหลือเกิน แต่ที่ไหนได้ขี่ม้าชมสวนหมายถึงไม่เอารายละเอียด พรวด ๆ ผ่านไปเลย
สำนวนบางอย่างพอนาน ๆ ไปแล้วคนเขาไม่เข้าใจความหมาย แค่สำนวนอย่าเอามือไปซุกหีบ ก็ไม่มีใครรู้เรื่องแล้ว คำว่า "หีบ" ในที่นี้ไม่ใช่หีบใส่เสื้อผ้า แต่หีบที่ว่านี้เป็นเครื่องหีบอ้อย เป็นเฟืองเหล็กหมุนเข้าหากัน ลองแหย่มือไปสิ ออกมาแบนเป็นกระดาษ สามารถบดมือเราเละได้เลย
อย่าเอามือไปซุกหีบ แปลว่า อย่าหาเรื่องเจ็บตัวโดยใช่เหตุ หรืออย่าหาเรื่องเดือดร้อนโดยใช่เหตุ"
http://www.ohomylife.com/images/tv/West-kanchanaburi-pratandongrung-LocalMuseum/LocalMuseumKanchanaburi24.gif
พระอาจารย์กล่าวถึงนิยายจีนกำลังภายในว่า "กระบี่เย้ยยุทธจักรล่าสุดเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นเดชคัมภีร์เทวดาไปแล้ว เรื่องเดียวกันนั่นแหละ ถ้าสำนวนแรกเลยคือผู้กล้าหาญคะนอง เป็นหนังสือที่ตีแผ่ความเป็นนักการเมืองในยุทธจักรได้อย่างถึงแก่นจริง ๆ มีทั้งประเภทชั่วอย่างตรงไปตรงมา อย่างพวกพรรคมาร ชั่วอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครว่าหรอก เพราะรู้ว่าพวกมารต้องชั่ว
นอกจากนี้มีประเภทที่ครึ่งชั่วครึ่งดี ก็คือหน้าฉากเป็นค่ายสำนักฝ่ายธรรมะ แต่วิธีการกระทำเป็นฝ่ายอธรรมชัด ๆ เลย แล้วก็มีประเภทชั่วเนียน ๆ หน้าฉากนี่สุดยอดความดีเลย แต่หลังฉากชั่วสุด ๆ เขาบอกว่ากิมย้งเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะตั้งใจที่จะงัดข้อกับระบบคอมมิวนิสต์ ช่วงนั้นไม่รู้กิมย้งรอดมาได้อย่างไร หรือว่าเขาเขียนเนียนจนกระทั่งอีกฝ่ายตามไม่ทัน
อ่านเรื่องนี้แล้วจะเห็นว่าคนที่ทำชั่วโดยที่มีหน้าฉากเป็นคนดีนั้น เป็นคนที่น่ากลัวที่สุด กิมย้งจะเขียนเรื่องพวกนี้อยู่ ๓ - ๔ เรื่องด้วยกัน จะออกมาแนวนี้เต็ม ๆ อีกเรื่องหนึ่งก็เหล็กคลั่งเลือด ตอนหลังเปลี่ยนเป็นหลั่งเลือดที่นานกิง อันนั้นก็เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ที่หลอกใช้ลูกศิษย์ให้ไปทำความชั่วแทนตัวเอง"
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/85/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%84%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg
"หนังสือนิยายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่ประทับใจ ก็คือหนังสือเกี่ยวกับพวกหมา เพราะหมาเป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดกับคนมาก เรื่องหมาที่เขียนได้ดีมาก ๆ เลยก็เรื่องเสียงเพรียกจากพงพี และไอ้เขี้ยวขาวของแจ๊ค ลอนดอน ช่วงหลัง ๆ ก็มีไชโลห์ ดิ โอลด์เยลเลอร์ แซมเถื่อน ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นแซมจอมอำมหิตกระมัง ? แล้วก็มีลิตเติ้ลอาร์ลิตที่เป็นเจ้านายของแซม มีอยู่ ๓-๔ เรื่อง คล้าย ๆ กับเป็นเรื่องชุด เขาเขียนแล้วสนุก คนอยากอ่านต่อ ก็เลยเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จบภาค ๒ ต่อภาค ๓ จบภาค ๓ ต่อภาค ๔
เรื่องเกี่ยวกับม้าก็มีลูกม้าสีแดงของจอห์น สไตน์เบ็ค มีแบล็กสตอลโลนเปลี่ยนชื่อเป็นไทยว่าอะไรก็ไม่รู้ ตัวล่าสุดคือเซบาสเตียน เป็นม้าแข่ง หุ่นห่วยแตกมาก แต่ชนะทุกสนาม ถ้าไม่ใช่นักเล่นม้าจริง ๆ จะดูไม่ออกว่าม้าหุ่นแบบนี้จะเก่งได้อย่างไร
ส่วนนิยายที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับคนก็จะมีชุดพรานล่าม้า พรานล่าหมา พรานล่าคน ที่มาลา แย้มเอิบสินแปลไว้ เป็นชุดต่อกันเลย ก็คือเขาได้ม้าคู่ใจ แล้วก็ได้หมาคู่ใจ จากนั้นไปตามล่าผู้ร้าย เรื่องนี้มี ๓ เล่ม
หนังสือของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชจะมีเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ เช่น ชีวิตสัตว์ป่า เสือขาว กระรอกเทา - เจ้าพอสซั่ม ฯลฯ เหมาะสำหรับเด็กอ่านหลายเล่มด้วยกัน มีนิทานสำหรับเด็กหลายเล่มด้วยกันที่น่าอ่าน แต่เป็นนิทานที่ไม่มีรูป ประเภทบทหนึ่งจะมีรูปประกอบสักหน้าหนึ่ง"
ถาม : ถ้าเราเจอปัญหา แล้วไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ควรจะเริ่มพิจารณาจากตรงไหน ?
ตอบ : ก็พิจารณาที่ตัวเองว่าเสือกไปสร้างปัญหาขึ้นมาทำไม ? เราสร้างปัญหานั้นขึ้นมาเพราะเหตุใด ? แล้วก็อย่าทำอย่างนั้นอีก ปัญหาใหม่ก็จะไม่เกิด ปัญหาเก่าพอระยะเวลานานไปก็จะจางลงไปเอง
ถาม : กรรมที่กำลังให้ผล ถ้าเราหาวิธีสะเดาะเคราะห์ จะมีผลอย่างไร ?
ตอบ : สะเดาะเคราะห์มีผลน้อย แต่ว่าส่วนที่น่าทำคือ ถ้าเป็นปัญหาระหว่างบุคคล ไปขอขมาเขาดีกว่า แต่ควรจะให้เขาเข้าใจด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาว่าเราบ้า..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าอาตมามีโอกาสไปเมืองจีน ตั้งใจจะไปที่ Buddhist Palace จะไปดูความอลังการของที่นั่น เป็นสถานที่ในพระพุทธศาสนาที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อแข่งรัศมีกับนครรัฐวาติกันของคริสต์
คนจีนมีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมากเป็นพิเศษ ตรงนั้นเป็นเมืองเก่าที่ฆ่ากันมาจนนับศพไม่ถ้วน จึงเป็นที่ซึ่งไม่มีใครต้องการ แต่เขาก็สร้างขึ้นมาเป็นพุทธสถานได้ อาศัยบารมีพระไปข่มเอาไว้ โดยเฉพาะหลวงพ่อโตเขาหลิงซาน เป็นพระหล่อด้วยโลหะองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ซ้ำเข้าไปอีก เขาวางตามจุดที่เห็นว่าฮวงจุ้ยไม่ดี พอเอาพระไปวาง สิ่งที่ไม่ดีก็กลายเป็นดีไปเอง
แบบเดียวกับโค้งตะลุเก้ ทางช่วงทองผาภูมิขึ้นสังขละบุรี ตรงนั้นตายซับตายซ้อนจนเกินโค้งร้อยศพ มีแต่ศาลพระภูมิเกลื่อนกลาดไปหมด แม้กระทั่งหลวงพ่ออุตตมะก็ลงโค้งนั้นจนซี่โครงหักไป ๒ ซี่ ตอนแรกท่านไม่ยอมไป ท่านบอกว่าเคราะห์ไม่ดี ไม่ไป ๆ แต่ลูกศิษย์ก็ตื๊อท่านไปจนได้ พอลงโค้งนั้นท่านต้องรักษาตัวไปครึ่งค่อนปี
มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาขึ้นไปบรรยายที่หน่วยจัดการต้นน้ำซองกาเลีย ขาขึ้นเห็นเขากำลังตั้งศาลอยู่ แสดงว่าลงไปอีกศพแล้ว วันรุ่งขึ้นบรรยายเสร็จอาตมากลับลงมา ศาลหลังนั้นราบไปอีกแล้ว มีรถแหกโค้งลงไปกวาดศาลเสียเรียบเลย พอเกิดเหตุการณ์นี้มากเข้า ๆ ก็ตั้งศาลไม่ไหว ไม่รู้เขาไปได้รับคำแนะนำจากใคร จึงทำแท่นซีเมนต์เล็ก ๆ แล้วก็เอาพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว ตั้งหันหน้าเข้าหาโค้ง ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ยังไม่มีใครตายอีกเลย
เราจะเห็นในเรื่องบารมีพระชัดมาก ถ้าในสายตาของเราคือพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ไปอยู่ตรงโค้งร้อยศพ แทบจะไปกันอะไรไม่ได้เลย แต่ปรากฏว่าองค์เล็ก ๆ นั่นแหละเอาอยู่ เพราะว่าเล็กที่ขนาด แต่ไม่ได้เล็กที่พุทธบารมี"
"หลวงปู่ปานเคยบอกหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า “แกคิดว่าพระพุทธเจ้าเล็กหรือ ?” หรือไม่ก็ลูกศิษย์หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ได้พระของขวัญจากหลวงพ่อสดไป ก็ว่า “ว้า..องค์เล็กนิดเดียว” กลางคืนฝันเห็นองค์พระขยายใหญ่ขึ้นเต็มท้องฟ้า แล้วถามว่า “ใหญ่พอหรือยัง ?” ต้องโดนอย่างนั้นถึงจะเข็ด ไปว่าท่านองค์เล็ก ตอนกลางคืนท่านทำให้ดูว่าบารมีพระไม่มีเล็ก จะเอาใหญ่แค่ไหนก็ได้
เพราะฉะนั้น..เขาก็เลยสร้างพระใหญ่ขึ้นมาบริเวณตรงจุดนั้น กลายเป็นว่าสามารถสะกดข่มสิ่งที่ไม่ดีได้ ทำสถานที่จนมีลักษณะเหมือนกับพุทธมณฑล แต่เป็นพุทธมณฑลของจีน อาตมาตั้งใจจะไปดูแค่นั้นแหละ เพราะเซี่ยงไฮ้ไม่มีอะไรให้เราดูหรอก ที่นั่นเจริญ ความเจริญอาตมาเห็นมาเยอะแล้ว แต่ต้องการดูว่าพระพุทธศาสนาเจริญอย่างไร ไปดูที่เดียวนี่น่าจะไปวันหนึ่งกลับวันหนึ่งได้ทันนะ"
ถาม : เราไปไหว้บรรพบุรุษกับทำสังฆทาน..?
ตอบ : ให้ทำทั้ง ๒ อย่าง เราไปไหว้บรรพบุรุษเพื่อกันบรรพบุรุษด่าเรา โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้ อย่างแรกเราทำเพื่อรักษาประเพณีและกันคนเป็นด่า จนกว่ารุ่นเราจะเป็นรุ่นที่อาวุโสที่สุด แล้วค่อยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานอย่างเดียว แต่ถ้ามีคนใหญ่กว่า อาวุโสกว่าก็ไหว้ไปก่อน
ผู้ใหญ่เขาทำตามประเพณีมาเรื่อย ๆ บางอย่างเขาไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร รู้แต่ว่าต้องทำ ในเมื่อกลายเป็นประเพณีแล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำตามเขาไป ที่บ้านอาตมานอกจากพี่ชายคนโตแล้วก็ไม่มีใครไหว้เจ้าแล้ว ที่พี่ชายคนโตยังไหว้เจ้าอยู่เพราะทำมาตั้งแต่เด็ก อายุ ๗๐ กว่าปีแล้วก็ยังทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะฝังหัวไปแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เข้าวัดทำบุญกัน
ถ้าเริ่มจากตอนแรกเลย ที่บ้านอาตมานับถือเจ้าแม่กวนอิม ไหว้เจ้า ไม่กินเนื้อ พออาตมาเริ่มปฏิบัติ ทุ่มเทจริง ๆ ก็ช่วงเรียนมัธยมอายุ ๑๐ กว่าปี ช่วงแรกเขาก็ว่าอาตมาบ้ากันทั้งนั้น พอทำไปแล้วเกิดผล เขาก็ค่อย ๆ มั่นใจ แล้วก็คล้อยตามมา
โดยเฉพาะตอนที่ถูกหวยนี่มั่นใจมาก..! พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ทำมาใช้ได้จริง ขนาดดูหวยยังถูก อย่างอื่นก็ต้องถูกสิน่า ความจริงเขาเข้าใจผิด การดูหวยถูก แต่การตั้งกำลังใจในการปฏิบัติอาจจะผิด แต่คราวนี้ไปทำให้เขาศรัทธาแล้ว ท้ายสุดพี่น้องลูกหลานก็ตามมาหมด แต่ถึงจะตามมาหมด กำลังใจแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
บางคนเข้าวัดก็เพราะว่าอยากได้หวย บางคนเข้าวัดเพราะอยากได้วัตถุมงคล บางคนเข้าวัดเพราะตามคนอื่นเขาไป บางคนเข้าวัดเพราะอยากจะมาปฏิบัติธรรม บางคนก็อยากเก่งเหมือนหลวงน้าหลวงตาก็ไปกันเรื่อย โดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ อยากเก่งเหมือนหลวงน้า อยากเก่งเหมือนหลวงตา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีความอดทนไม่พอ บวชได้คนละไม่กี่วันก็สึกไปกันหมด
ยิ่งมาเจอรายล่าสุดที่เพิ่งบวชมาไม่นาน ญาติโยมคงไม่อยากมีใครเอาลูกมาบวชที่วัดท่าขนุนแล้ว เพราะอาตมาฟาดกบาลด้วยด้ามตาลปัตร..! เขามาอยู่วัดก่อนล่วงหน้า ๗ วันแต่ขานนาคไม่ได้ เพราะมัวแต่เล่นเกมส์อยู่ อาตมาก็เลยบอกว่า "ประโยคละที" บอกเสร็จประโยคหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงทีหนึ่ง กว่าจะบวชเสร็จก็นั่งร้องไห้คาโบสถ์ไปเลย
หลังจากนั้นให้เวลาเขา ๓ วันท่องให้ได้ เมื่อวานนี้ครบ ๓ วัน เขาท่องได้หมดเลย คิดดู..อยู่มาตั้ง ๗ วันท่องไม่ได้สักคำ แต่ ๓ วันกลับท่องได้เพราะกลัวโดนฟาดกบาลอีก ก็เลยบอกว่า จำไว้เลยนะ ไอ้พวกทำดีก็ทำได้แต่ไม่ทำ อย่าให้เจออีก..! บรรดาญาติ ๆ คงไปลือกันอีกเยอะ
ตอนแรกที่เข้มงวดกับพวกเขา หลวงพ่อวัดท่ามะขามท่านบอกว่าระวังจะต้องอยู่คนเดียว แต่ไม่ใช่แล้ว...ตอนนี้วัดท่าขนุนเป็นวัดที่มีพระเณรมากที่สุด เพราะเขาเห็นว่าเข้มงวด เอาลูกเขาอยู่ ก็เลยยัดเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ ลูกไม่อยากบวชหรอก อยากไปบวชที่อื่นเพราะสบายกว่า แต่พ่อแม่อยากให้บวชที่นี่
นี่อาตมากลับไปก็มีพระใหม่ ๒ รูปต้องมาปลงอาบัติปากเปล่า ห้ามเปิดหนังสือ กติกาวัดท่าขนุน ๓ วันต้องปลงอาบัติได้ ให้เวลาตั้ง ๓ วัน เพราะอาตมาเองครึ่งวันก็จำได้หมดแล้ว นี่อาตมาให้เวลาเขามากกว่าตั้ง ๖ - ๗ เท่าแล้ว ถ้ายังไม่ได้มีเฮ..!
ถาม : ขอวิธีสอนการปฏิบัติที่ง่ายครับ
ตอบ : ไม่มีอะไรมากหรอก มองให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แค่นั้นแหละ วิธีสอนง่ายที่สุด แต่วิธีทำยากฉิบ..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อยืนองค์ใหญ่ที่วัดท่าซุง ชื่อของท่านคือ "หลวงพ่อไหลมาเทมา" เท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้เขาลงว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" บางรายก็บอกชื่อว่า "หลวงพ่อเงินไหลมา" ต้องบอกว่าเขาพอใจแค่นั้น
ถ้าอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงว่าไว้ก็จะเป็น "หลวงพ่อไหลมาเทมา" คือเรื่องดีทุกเรื่องจะไหลมาเทมา แต่พวกนั้นเขาจำกัดจะเอาเรื่องเดียว พอนาน ๆ ไปแล้วชื่อก็จะเพี้ยน..เปลี่ยนไปเรื่อย"
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดสั้นว่า "พวกมีดที่ทำจาก Cold Steel จะอยู่ในลักษณะขึ้นรูปด้วยเครื่องมือ ไม่ใช่เหล็กที่ใช้วิธีอบความร้อนแล้วตีขึ้นมา ก็เลยเป็น Cold Steel เทคโนโลยีของฝรั่งด้านนี้เหนือชั้นกว่า แต่ว่าความประณีตและความคิดของเขาสู้เราไม่ได้ มีดของคนไทยเราทำทีละเล่ม มีเครื่องขึ้นคม ตั้งองศาได้เลยว่าจะเอาความคมขนาดไหน เวลาจะเก็บควรเช็ดให้สะอาดก่อน เพราะเวลาที่มือเราจับจะมีเหงื่อเค็ม ๆ ถึงเป็นเหล็กสเตนเลสก็จะขึ้นสนิม
วิธีการใช้มีดสั้นหลัก ๆ ก็มี แทง เชือด ปาด ฟัน ถ้าไม่ใช่ระดับสุดยอดจริง ๆ ประเภทที่ใช้ เกี่ยว ดึง กด ดัน เรายังทำไม่เป็นหรอก"
ถาม : มีดสั้นฟันอย่างไร?
ตอบ : ใช้ฟันตรง ๆ ขึ้นอยู่กับจังหวะ อย่างพวกเราเวลาจะใช้ต้องชักมีดออกมาก่อนแล้วค่อยใช้ ส่วนคนที่เป็นเขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก พอชักออกมาเขาปาดใส่ขึ้นเลย เอากำไร ๑ ทีก่อน ลักษณะกึ่งปาดกึ่งฟัน ดึงพรวดขึ้นมาก็ไปแล้ว ๑ ที ชักปาดขึ้น ถ้าหากว่าพลาดก็ก้าวตามฟันลงซ้ำอีกที ถ้าหากว่า ๒ ทีแล้วยังพลาดก็ก้าวตาม ครั้งที่ ๓ แทง หัดแค่ ๓ ท่าพอ เอาให้ชินเท่านั้นแหละ
อย่าลืมสืบเท้าตามไปนะ ถ้าไม่สืบเท้าตามไปเป้าจะออกห่าง ปาดขึ้น ฟันลง แล้วก็แทง เอาแค่ ๓ ท่าก่อน ถ้าใครหลบได้ทั้ง ๓ ท่านั่นต้องระดับสุดยอดแล้ว
การสู้กับมีดสั้นถ้าไม่ใช่คนชำนาญจริง ๆ มักจะต้องถอยห่างซึ่งเป็นจังหวะให้เราโจมตีซ้ำได้ ถ้าพวกชำนาญจริง ๆ จะประชิดตัวเข้ามา ทำให้ยิ่งใช้ยากขึ้น เราต้องหัดหักข้อมือพับแขนตัวเองให้ได้จังหวะ ไม่อย่างนั้นจะทำอันตรายเขาไม่ได้เพราะเขาอยู่ใกล้ อย่างเช่นเราปาดขึ้น ถ้าเขาประชิดเข้ามาเราต้องพลิกข้อมือให้เป็น ถ้าพลิกข้อมือเป็น คมอาวุธจะพลิกเข้าหาเขา เขาต้องถอยออก หรือไม่ก็ต้องพลิกตัวเปลี่ยนเป็นมุมอื่นเหลี่ยมอื่น
ต้องซ้อมบ่อย ๆ เหมือนกับตีเทนนิส ใครตีเทนนิสบ่อย ๆ นี่ตบใครเข้าไปทีหนึ่งก็เสร็จแล้ว ตบเสร็จเราอาจจะเจ็บมือ แต่อีกฝ่ายร่วงลงไปกองกับพื้นแล้ว
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปลายเดือนมีนาคมไปกราบหลวงพ่อมณฑล (พระครูสุชาติกาญจนโกศล) ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่สายรุ่นแรก ๆ เลย อยู่วัดท่าขนุนจนสอบได้นักธรรมเอกแล้วท่านถึงออกธุดงค์ ปัจจุบันที่อยู่ของท่านถือว่าอยู่ในป่า
ก่อนหน้านี้ที่อาตมายังไม่ได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับท่าน รู้แต่ว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์คนหนึ่งของทองผาภูมิที่มีคนเคารพนับถือมาก ด้วยความที่ท่านเป็นคนเด็ดขาด ทำอะไรทำจริง ดูแลพื้นที่ป่าอยู่ ๖,๐๐๐ กว่าไร่ คราวนี้ก็มีพวกล่าสัตว์บ้าง พวกตัดไม้บ้าง เข้ามาบุกรุกพื้นที่ท่านบ่อย ท่านก็จัดการพวกนั้นเสียสะบักสะบอมเลย พวกนั้นทำอะไรด้วยอาวุธไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีทำไสยศาสตร์
ท่านบอกว่านั่งอยู่ดี ๆ ก็ปวดท้องมาก หมดแรงนอนแผ่ ท้องก็โตขึ้น ๆ ต่อหน้าต่อตาเลย ท่านก็ทำอะไรไม่ถูก พอดีแม่ชีดาวเคยมารับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน เอาน้ำมันมาเข้าพิธี แม่ชีดาวก็เลยเอาน้ำมันทาให้ ท้องก็ยุบไปต่อหน้าต่อตา ท่านจึงถามแม่ชีดาวว่าน้ำมันของใคร แม่ชีบอกว่าของหลวงพ่อเล็ก ก็เลยเป็นอันว่ารู้จักกันครั้งแรกโดยที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน
พออาตมาขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนปีแรกก็นิมนต์ท่านมาเป็นประธานงานทำบุญหลวงปู่สาย ถือว่าท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ พอปีต่อ ๆ มานิมนต์แล้วไม่ได้ตัว เพราะท่านไปจำพรรษาต่างประเทศ ปีละ ๑ ประเทศ ปีนี้ยังไม่แน่ว่าท่านจะไปไหน พูดง่าย ๆ ว่าออกพรรษาแล้วถึงกลับเมืองไทย
ที่พูดมาถึงตรงนี้คือว่า หลวงพ่อมณฑลตั้งแต่โดนไสยศาสตร์ครั้งนั้นเข้าไป ด้วยความที่รู้ว่าของพวกนี้อันตรายแบบไหน ท่านก็เลยพกวัตถุมงคลรอบตัวเลย ถ้าถามว่ารอบตัวมากแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าน่าจะถึงร้อยองค์..! เวลาอาตมาเห็นคนอื่นพกวัตถุมงคลเยอะ ๆ อาตมาก็รู้สึกว่าหนัก ถึงได้บอกกับเต้ยว่ามีเยอะ ๆ ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าตายก็ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นมาก อะไรที่เผาได้ก็เผาตัวเองไปเลย อะไรที่เผาไม่ได้ก็เอาไว้แจกในงานศพ..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "เขาโทรมาบอกยกเลิกการอบรมครู แหม..ดีใจ เพราะเขามีคติกันว่า บุคคลที่อบรมยากที่สุด หนึ่ง..พระ สอง..ครู ยิ่ง "พระครู" นี่ยิ่งอบรมยากเข้าไปใหญ่ เป็นทั้งพระเป็นทั้งครู
ส่วนใหญ่ครูจะชินกับการสอนคนอื่น พอต้องไปเข้ารับการอบรมซึ่งตัวเองโดนสอนก็ไม่เคยชิน ส่วนพระนี่ใหญ่จนเคยตัว ไม่ค่อยจะฟังใครอยู่แล้ว"
พระอาจารย์เล่าว่า "กรุงรัตนโกสินทร์อายุครบ ๑๕๐ ปี เมื่อปี ๒๔๗๕ เนื่องจากว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์มาอย่างลึกซึ้ง ตรวจดูดวงเมืองแล้ว ถ้าหากว่าเป็นดวงเมืองเดิมอยู่ จะมีอายุแค่ ๑๕๐ ปีเท่านั้น ก็เลยทรงทำการเปลี่ยนแปลงผูกดวงเมืองเสียใหม่ ปักเสาหลักเมืองใหม่
ดังนั้น..เราจะเห็นว่ามีเสาหลักเมือง ๒ ต้นเคียงกันอยู่ ก็แปลว่าทำให้อายุของราชวงศ์จักรียืนยาวต่อไปได้อีก แต่มีนักโหราศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า เนื่องจากดวงเมืองแบ่งเป็น ๒ เพราะฉะนั้น..จะมีการแตกแยกในบ้านเมืองเป็นปกติ
วันนี้เป็นวันสถาปนาราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนาราชวงศ์จักรี ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕ นับมาถึงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ ก็เป็นเวลา ๒๓๐ ปีถ้วน ใครกัดฟันทนอยู่อีก ๒๐ ปี ก็จะได้เห็นงานฉลองใหญ่ ๆ
เสาหลักเมืองหายาก เพราะว่าส่วนใหญ่จะใช้เสาไม้ราชพฤกษ์ ก็คือต้นคูณ ต้นคูณขนาดใหญ่พอจะกลึงเป็นเสาหลักเมืองได้นั้นหายากมาก เสาหลักเมืองนครศรีธรรมราช พ่อปู่ขุนพันธฯ เอาไม้ตะเคียนทองเลย สำหรับไม้ตะเคียนนั้นพอจะหาง่าย ต้นขนาดใหญ่มี แต่เชิญยาก เพราะส่วนใหญ่นางตะเคียนฤทธิ์มาก ไม่ค่อยจะฟังใคร
จริง ๆ น่าจะเอาเสาไม้สักทองไปเลยนะ เอาต้นไหนไม่ได้ก็เอาต้นที่น้ำปาด ต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ไหน ๆ ก็ทำลายสถิติโลกแล้ว ตัดมากลึงเสาหลักเมืองไปเลย..!"
"ก่อนหน้านี้ต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในประเทศพม่า เป็นเพราะความใหญ่ต้นสักต้นนั้นก็เลยโดนฟ้าผ่าตาย ต้นสักของไทยจึงกลายเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน แต่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เห็นอยู่นั่นไม่ใหญ่เท่าของสมัยก่อน ภาษิตจีนโบราณเขาบอกว่า "ยามเมื่อท้องทะเลไร้ปูปลา กุ้งฝอยก็หาญกล้าเป็นราชันย์" เพราะไม่มีใครอีกแล้ว จึงต้องเป็นคนตัวสูงที่สุดในหมู่คนแคระ...
ต้นสักใหญ่ ๆ โดนบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าของอังกฤษตัดเสียเกลี้ยงแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้นเล็ก ๆ ของสมัยก่อนก็เลยกลายเป็นต้นใหญ่แทน
ถ้าพวกเรามีโอกาสก็แวะไปดูต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พอไปดูต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกแล้วก็จะได้แวะดูเขื่อนสิริกิติ์ แวะบ่อเหล็กน้ำพี้ ไปครั้งหนึ่งเอาให้ครบไปเลย ต้นสักอยู่อำเภอน้ำปาด บ่อเหล็กน้ำพี้อยู่อำเภอทองแสนขัน
อุตระ แปลว่า ทิศเหนือ ภาคเหนือ ด้านเหนือ ดิตถะ แปลว่าท่าเรือ แสดงว่าสมัยก่อนเขามีท่าเรืออยู่ทางด้านนั้น เพื่อนอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าพูด ก็เลยเป็นพระครูวรดิตถานุยุต คำว่า วรดิตถะ แปลว่า ท่าเรืออันประเสริฐ"
พระอาจารย์เล่าว่า "พระที่นั่งอภิเษกดุสิต เก็บงานฝีมือระดับสุดยอดของศิลปาชีพเอาไว้ ลองเข้าไปดูได้ จะได้ภูมิใจว่าคนไทยเรามีความประณีตละเอียดอ่อนขนาดไหน
ในพระที่นั่งวิมานเมฆ เก็บเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกเอาไว้ด้วย เขาทำเป็นคทาถวายในหลวง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นตอนฉลองกาญจนาภิเษก อาตมาเข้าไปแล้วได้แต่ชะโงกดูไกล ๆ มีคนนั่งเฝ้าอยู่ ๒ ข้าง
อาตมาเดินเข้าพระที่นั่งวิมานเมฆนี่ไม่มีความสุขเลย ต้องคอยตะแคงข้างไป เพราะเขาปูพรมแดงแทบทุกห้อง เป็นลาดพระบาท พอเป็นลาดพระบาทแล้วเดินบนลาดพระบาทไม่ได้ ต้องเขย่งข้างไป คนอื่นเขาก็ย่ำกันโครม ๆ
พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นพระที่นั่งไม้สักทองใหญ่ที่สุดในโลก ตอนสร้างก็ไม่ได้คิดจะให้ใหญ่ที่สุดในโลกหรอก เอาแค่พออยู่สบาย พอหาไม้สักทองไม่ได้ในปัจจุบัน จึงกลายเป็นใหญ่ที่สุดในโลก เพราะไม่มีใครสร้างแข่งด้วย"
ถาม : สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือคะ ?
ตอบ : สมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อรัชกาลที่ ๖ เพราะช่วงนั้นพระองค์มีโอรสธิดามาก ถึงเวลาก็ต้องสร้างวังตรงนั้นหลังหนึ่ง ตรงนี้หลังหนึ่ง พอสมัยรัชกาลที่ ๖ ต้องบอกว่าเกิดดอกออกผล ก็คือบรรดาพระญาติพระวงศ์ที่ไปเรียนต่างประเทศ จบกลับมารับราชการ ทรงกรมกันเป็นแถว เพื่อให้สมพระเกียรติก็ต้องมีวังให้
ถาม : สมัยก่อนประทับในพระบรมมหาราชวังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ประทับในพระบรมมหาราชวังก็มีอยู่แต่ว่าไม่มาก ส่วนใหญ่จะใช้พระบรมมหาราชวังตอนงานพระราชพิธีเท่านั้น
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่ผ่านมาไปปฏิบัติธรรมของมหาวิทยาลัยรอบสุดท้าย ๑๕ วัน สังเกตได้อย่างหนึ่งว่า คนอื่นมาปฏิบัติแล้วทุกข์ทรมานมากเพราะใจไม่ยอมรับ ส่วนอาตมารู้ว่าต้องทำตามกติกาก็ทำไป แค่นั้นก็จบแล้ว คนอื่นก็ไปนั่งกลุ้มใจ เครียด ไม่เป็นอันเดิน ไม่เป็นอันนั่ง ส่วนอาตมาทำเต็มที่เลย ชาร์จแบ็ตฯ จนกระทั่งหม้อแบ็ตฯ เกือบจะไหม้ วันดีคืนดีก็ไปเดินเหยียบผึ้งหลวงเข้า ผึ้งมาเล่นไฟแล้วตกอยู่บนพื้น พอเหยียบก็โดนต่อยที่ง่ามนิ้วเท้าพอดี ตรงที่เขาเรียกประตูลม จนเท้าบวมอืด
ที่ขำที่สุดก็คือ บวมได้แค่ข้อเท้า ขึ้นสูงกว่านี้ไม่ได้ คนอื่นเห็นก็ขำกันว่าทำไมบวมแปลก ๆ สรุปว่ายันต์เกราะเพชรยังอยู่ เจ็บก็ไม่เจ็บ ได้แต่คันอย่างเดียว เดินไม่ถนัดอยู่ ๒ วัน จึงขออนุญาตพระวิปัสสนาจารย์นั่งภาวนาแทน คราวนี้สบาย เพราะนั่งยาวไปเลย ตั้งแต่ตีสี่ครึ่งจนถึงเจ็ดโมงเช้า
พอฉันเช้าเสร็จ ได้พักผ่อนหน่อยแล้วก็ไปปฏิบัติอีกตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงครึ่ง ที่เขาให้เวลาถึงแค่ ๑๐ โมงครึ่งเพราะว่าตอนเดินไปหอฉัน นักปฏิบัติเขาให้เดินช้า ๆ เดินครึ่งชั่วโมงยังไปไม่ถึงเลย หลังจากฉันเพลพักผ่อนแล้ว เวลาบ่ายโมงยันสี่โมงเย็นก็มาปฏิบัติอีก จากนั้นก็มีเวลาสรงน้ำซักผ้า แล้วก็มาปฏิบัติช่วงหกโมงครึ่งถึงสี่ทุ่มทุกวัน
ระยะหลังพระนิสิตต่อรองขอเวลาทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์จึงให้เลิกสามทุ่ม ตอนแรกผู้อำนวยการขอให้พระนิสิตเลิกทุ่มครึ่ง พระวิปัสสนาจารย์ไม่ยอม ลากไปจนถึงสามทุ่ม ให้เอาเวลาที่เหลือไปถ่างตาทำวิทยานิพนธ์กันเอง
มีแต่พระครูธรรมธรเล็กนั่นแหละ (ในบัญชีเขายังไม่เปลี่ยนชื่อให้) เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก อยู่แต่ในหอกรรมฐาน เพราะทำวิทยานิพนธ์เสร็จนานแล้ว ได้แต่นั่งมองคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไป"
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนตอนเรียนปริญญาตรี เวลาอาตมาทำรายงานจะเขียนบรรทัดท้าย ๆ ไว้ว่า "ผู้ใดเห็นประโยชน์ของรายงานเล่มนี้ สามารถคัดลอกเอาไปใช้ได้ โดยผู้จัดทำไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์แม้แต่ประการใด" ไป ๆ มา ๆ ท่านอาจารย์เอาผลงานของอาตมาไปขอตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้ แล้วก็มาชวนไปเลี้ยง ไม่ได้เลี้ยงอาตมาคนเดียว เลี้ยงทั้งห้องเลย
อาตมาช่วยท่านอาจารย์แก้ตำราเรียนไปเล่มหนึ่ง อาจารย์ท่านจะสั่งพิมพ์ แต่ท่านไม่แน่ใจจึงส่งเนื้อหามาให้อาตมาช่วยตรวจให้หน่อย ตรวจไปตรวจมาทนอ่านไปได้ครึ่งบท บอกกับท่านว่า “ท่านอาจารย์ครับ ขออนุญาตล้มข้อมูล แล้วทำใหม่ได้หรือเปล่าครับ ?” ข้อมูลเดิมของท่านอาจารย์นั่นแหละ แต่ขอล้มรูปแบบแล้วทำใหม่ เพราะจัดเรียงแบบอาตมาจะอ่านได้ง่ายกว่า สรุปแล้วเนื้อหาของท่านอาจารย์บทหนึ่งอาตมาย่อเหลือ ๗ บรรทัด เล่นเอาท่านอาจารย์เครียดไปเลย
พอย่อเหลือ ๗ บรรทัดพิมพ์ไปให้ท่านดู บอกว่า “ท่านอาจารย์อ่าน ๗ บรรทัดนี้เท่ากับอ่านเนื้อหาของท่านอาจารย์ทั้งบทไหมครับ ?” อาตมามองว่าไม่จำเป็นต้องน้ำท่วมทุ่งวนไปวนมาเยอะขนาดนั้น คนเรียนจะรำคาญเปล่า ๆ เนื้อหาทั้งหมดเท่ากับ ๗ บรรทัดแค่นั้นเอง
ที่บังอาจที่สุดก็คือ อาตมาไปแก้เนื้อหาของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เอาเนื้อหาของท่านมา ๑๔ หน้า เปลี่ยนแปลงเหลือแค่ ๗ หน้า หายไปครึ่งหนึ่ง..! ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ถือว่าเป็นสุดยอดของ มจร. แล้ว ยังโดนอาตมาแก้เลย เพราะว่าท่านเจ้าคุณฯ มีความรู้มาก เวลาท่านเขียนอธิบายก็จะแลบไปทางนั้นแลบไปทางนี้ กว่าจะเลี้ยวกลับมา บางทีคนลืมไปแล้วว่าหัวข้อเดิมคืออะไร เพราะฉะนั้น..ส่วนที่แลบไปก็ไม่จำเป็นต้องมี อาตมาจึงตัดทิ้งหมด เอาเฉพาะเนื้อมาแล้วเกลาให้เข้ากัน
ส่วนท่านอาจารย์ ดร.สมชัย ศรีนอก ทำตำราพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ สรุปแล้วว่าตำราของท่านอาจารย์อาตมาเป็นคนเขียนเอง เพราะท่านอาจารย์เอารายงานของอาตมาไปทั้งเล่มเลย แล้วท่านให้เครดิตตรงคำนำไว้นิดหนึ่งว่า "ได้รับข้อมูลจากพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ นิสิตปริญญาตรี ห้องเรียนวัดไร่ขิง" แต่ขายแล้วเงินเข้ากระเป๋าของท่านอาจารย์เอง..!"
ถาม : ติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ติด..เพราะว่าอาตมาบอกแล้วว่าไม่สงวนลิขสิทธิ์
ท่านอาจารย์ ดร.สมชัย ศรีนอก ท่านเป็นนักกลอน นามปากกา ช.ศรีนอก ได้ทุนไปเรียนด็อกเตอร์แต่ไม่จบ ทุนหมดต้องกลับมาเมืองไทย ต้องควักกระเป๋าแม่ยายไปเรียนด็อกเตอร์ที่ มจร.ให้จบ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถจะใช้วุฒิด็อกเตอร์ได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศไม่ได้แจ้งจบการศึกษากลับมา เป็นอะไรที่อนาถมากเลย
พอท่านอาจารย์ ดร.สมชัยเรียนปริญญาเอกที่ มจร. ต้องไปเข้ากรรมฐาน ๔๕ วัน กลับมาท่านบอกว่า “ผมเกือบจะเสียคนแล้ว” อาตมาถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่า “ไปบ้ากับคำถามเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่ง คิดฟุ้งซ่านไปเป็นอาทิตย์ ๆ เลย” ท่านอาจารย์เล่าว่าพอถึงเวลาปฏิบัติ เขาให้แยกปฏิบัติกันคนละห้อง ตอนเดินออกไปกินอาหาร เพื่อนนักศึกษาผู้หญิงร่วมชั้นเรียนเดียวกัน เขามากระซิบว่า “จำได้ไหม..ชาติก่อนเราเป็นอะไรกัน ?”
แค่นั้นแหละ..ท่านฟุ้งไปเป็นอาทิตย์เลย อาตมาจึงบอกกับท่านไปว่า “ท่านอาจารย์ตอบเขาไม่ทัน ถ้าเป็นผม..ผมจะบอกว่าชาติก่อนแกเป็นหนี้ฉัน ยังไม่ได้จ่ายคืน แล้วยอดเท่าไรเราก็แจ้งไปเลย” นี่เป็นเรื่องจริงนะ ถ้าอยู่ ๆ พวกเราโดนอย่างนั้นก็ต้องฟุ้งเหมือนกัน ปฏิบัติไปไม่คิดว่าอยู่ ๆ เขาจะมาถาม เล่นเอาฟุ้งไปเป็นอาทิตย์เลย ดีเหมือนกัน เวลา ๔๕ วันมีอะไรให้คิดเยอะดี
ท่านแบงก์ เป็นพระใหม่ที่วัดท่าขนุน จบปริญญาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มา ไฟแรงมาก มาปรึกษาว่า “ท่านอาจารย์ครับ..หนังสือวัดเรา ต้องทำเป็นอีบุ๊กอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาเอาไปฝากที่ตู้หนังสือ เวลาใครจะมาดูก็โหลดไปเลย ไม่ต้องไปแจกเขาให้เสียเวลา” อาตมาบอกว่า “เออ..ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ว่ะ เอาไว้เดี๋ยวหายเหนื่อยก่อน” ท่านก็รอจังหวะ
พอเห็นว่าอาตมาหายเหนื่อยก็วิ่งมาอีกแล้ว “ท่านอาจารย์ครับ ผมเอาหนังสือที่ผมทำมาเสนอครับ” ท่านก็ทำให้ดูอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาก็เปิดในไอแพดได้ทีละหน้า ๆ ให้ดู ว่าต้องไปฝากตู้หนังสือที่นี่ อาตมาจึงถามว่า “ดี..ตอนนี้ทำวัตรเช้าเย็นท่องได้ครบหรือยัง ?” “ยังครับ” “ไปท่องซะ..!”
อีกสองสามวันก็ค่อยมา “ท่านอาจารย์ครับ..ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมฟุ้งซ่านขนาดนั้น ถ้าท่านอาจารย์ไม่ถามว่าทำวัตรเช้าเย็นได้หรือยัง ผมยังฟุ้งไปอีกนานเลย” เห็นหรือยังว่าหลงออกนอกงานตัวเองไปไกลแค่ไหน ? หน้าที่ของพระใหม่ การสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ไปฟุ้งซ่านจะทำหนังสือให้กับทางวัด
นั่นต้องบอกว่าท่านเป็นคนรู้ตัวเร็ว โดนแค่นั้นท่านคิดทัน ถ้าเป็นคนอื่นจะคิดทันไหม ? ไปเจอประเภท “ยังครับ..ยังท่องไม่ได้ ผมจะทำหนังสือให้กับท่านอาจารย์ก่อน” ก็บรรลัยสิ..ไม่ดูตัวเอง พระพุทธเจ้าถึงได้กำหนดไว้ว่า พระใหม่ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษายังต้องถือนิสัย คือรับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลงไปไกล สร้างบ้านแปลงเมืองไปเลย
หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชวรเวที วัดราชคฤห์ ท่านนึกถึงขนาดเจาะภูเขาทำกุฏิเสร็จสรรพเลย เวลาทำกรรมฐานนั่งนึกว่าจะปรับถ้ำสักหน่อยหนึ่ง ตรงนี้ทำเป็นห้องโถงปฏิบัติธรรม ตรงนั้นทำเป็นห้องพระ ตรงนั้นทำเป็นหอฉัน นึกเจาะภูเขาเป็นลูก ๆ เลย ท่านบอกว่าคิดได้เป็นคืน ๆ ดังนั้น..เวลาพวกเราโดนหลอกให้คิดนี่ต้องรู้เท่าทัน ถ้าไม่รู้ทันเดี๋ยวก็ได้สร้างวิมานกลางอากาศเป็นหลัง ๆ
ถาม : ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมฝัน แล้วก็คิดว่าน่าเป็นจะนิมิต แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงหรือเปล่า ? ปกติผมจะฟังธรรมะก่อนนอนเป็นครั้งคราว แต่คืนนั้นจำได้ว่าเวลาใกล้รุ่ง ฝันว่าได้ไปที่ที่หนึ่งที่กว้างใหญ่มาก มีสภาพคล้ายถ้ำ ในใจก็คิดกลัวมากว่าในนั้นคืออะไร ? จิตคิดว่าอาจจะเป็นนรกหรืออาจจะเป็นดินแดนที่เราไม่เคยไป พอมองไปทางซ้ายเจอท่านหนึ่งเป็นผู้ชาย ผมก็ถามท่านว่าผมต้องมาที่นี่หรือเปล่าครับ ? ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวตรวจดูให้ แล้วท่านก็กลายร่างคล้ายยมทูต แล้วก็เปิดสมุด ถามว่าชื่ออะไร ? ผมบอกชื่อท่านไปครับ ท่านก็พูดออกมาว่า ๑๑ เดือน สักพักหนึ่งผมก็ค่อย ๆ ตื่นจากที่นอนทีละนิด ๆ ครับ ไม่ทราบว่าตรงนั้น...?
ตอบ : สรุปว่าฝัน ?
ถาม : ครับ
ตอบ : แล้วคุณจะไปเอาอะไรกับฝันเล่า ? ถ้าคิดแบบไม่ประมาทมีเวลา ๑๑ เดือนก็ทำความดีให้มากที่สุดก็เท่านั้นเอง ฝันดีเอาไว้เป็นกำลังใจของตัวเอง ฝันไม่ดีก็ลืมเสีย อย่าเก็บมาวิตก ฝันว่าจะตายก็เร่งทำความดีให้มากที่สุด หลุดพ้นไปพระนิพพานได้เลยยิ่งดี
ถาม : เจ็บหมอนรองกระดูก เป็นนานแล้วยังไม่หายค่ะ เจ้ากรรมนายเวรต้องการอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ :ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้นจ้ะ ไปหาหมอที่เป็นหมอนวดจัดกระดูก อย่าไปหาหมอสมัยใหม่ ไปหาหมอสมัยใหม่เดี๋ยวโดนผ่า หมอนวดจัดกระดูกดี ๆ มีอยู่หลายที่ ราคาไม่กี่สตางค์ จับ ๆ ดัน ๆ กด ๆ เหยียบ ๆ เดี๋ยวก็หาย
สังเกตไหมว่าสมัยนี้เขานิยมโรคกรดไหลย้อน อะไร ๆ ก็วินิจฉัยว่ากรดไหลย้อนไว้ก่อน เป็นโรคอะไรไม่รู้แต่บอกกรดไหลย้อนไว้ก่อน สมัยก่อนก็นิยมโรคอาหารเป็นพิษ อะไร ๆ ก็วินิจฉัยว่าอาหารเป็นพิษ สรุปแล้วคือป่วยตามแฟชั่น
มีโยมอยู่คนหนึ่งเป็นมะเร็งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น ไปให้หมอเขาตรวจแล้ว ผลออกมาค่าตัวเลขสูงมาก หมอรับประกันว่าต้องมีเชื้อมะเร็งแน่นอน ถ้าเป็นเนื้อก็คือเนื้อร้ายเลย เขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเป็นเดือน ทางครอบครัวพาเขาไปตรวจใหม่อีกทีเพื่อความแน่ใจ ไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งผลออกมาเป็นลบ เขาก็งง ๆ ไปตรวจอีกโรงพยาบาลหนึ่งผลออกมาบวกอีก บวกเยอะด้วย
ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คนติดต่อเขาเก่ง เขาไล่ถามว่าห้องแล็บนั้นใช้น้ำยาอะไร ห้องแล็บนี้ใช้น้ำยาอะไร ไล่ไปไล่มาผลที่เป็นบวกเพราะเขาใช้น้ำยาที่ไวต่อผลมากเป็นพิเศษ คนไม่เป็นก็รายงานว่าเป็น ก็เลยเป็นโรคที่หมอทำ ไม่ได้เป็นโรคที่เกิดจากตัวเอง ถ้าเจ้าหน้าที่เขาไม่กระตือรือร้นสอบหาสาเหตุให้คงเครียดตายเลย อยู่ ๆ ตัวเองเป็นมะเร็งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้น..ไปหาหมอเก่า ๆ อย่าไปหาหมอสมัยใหม่
ปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บบางโรคเกิดจากแรงโฆษณา ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้เขานิยมพวกอาหารเสริมแคลเซียมสูง เราก็กินกันกระจายเลย ปรากฏว่ากระดูกงอกทับประสาท เพราะแคลเซียมเยอะก็ต้องหาที่ไป ดังนั้นถ้าหากว่าเรากินอาหารครบหมู่ มีการออกกำลังกายบ้าง โดนแดดบ้าง เรื่องกระดูกผุกระดูกพังอะไรคงไม่เป็นกันง่ายนักหรอก ปู่ย่าตายายของเราทำงานเช้ายันค่ำไม่เห็นเป็นอะไรเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "การมีครอบครัวส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า โกวเล้งเขาเปรียบไว้ว่า มีคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดไม้ข้างป้อมศิลา คนข้างในป้อมมองออกมา อิจฉาว่าคนข้างนอกอยู่บนยอดไม้เย็นสบายเหลือเกิน ส่วนคนที่ยอดไม้มองเข้าไปข้างในป้อมก็อิจฉาว่า เขาอยู่ในป้อมปลอดภัยดีเหลือเกิน ต่างคนก็ต่างอยากในสิ่งที่ตัวเองไม่มี คนข้างในก็อยากออกมาปีนยอดไม้ คนข้างนอกก็อยากจะมุดเข้าไปในป้อม
คราวนี้เรื่องของชีวิตคู่ โกวเล้งเขาเปรียบว่าเหมือนกับเม่น ๒ ตัวในฤดูหนาว ถึงเวลากลัวหนาวเบียดเข้าหากัน ขนก็แทงกัน ถ้าไม่อยากให้ขนแทงกัน ห่างออกไปก็หนาวอีก สรุปแล้วว่าน่าเวทนามาก เขาใช้คำว่า "ถ้าท่านมิต้องการความเจ็บปวด ก็ต้องทนกับความหนาวเย็น ถ้าท่านจะหลีกหนีความหนาวเย็น ก็ต้องยอมทนต่อความเจ็บปวด" สรุปแล้วเละทั้งคู่..!
ตอนที่ระบายความในใจ เขาบอกว่า "อยู่คนเดียวเปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก" พอมีคนถามกลับไปว่าตอนนี้กำลังสนุกอยู่ใช่ไหม ? เขาดันไม่เข้าใจ เพราะอยู่สองครองทุกข์ แสนสนุกแต่ไม่สบาย พอโดนคนเขาถามกลับดันไม่เข้าใจเสียนี่"
ถาม : ไปเห็นคนเขาเอาอาหารหรู เช่น กุ้งมังกร มาถวายพระ แต่พระฉันไม่ได้อาจเพราะไม่คุ้นเคย อานิสงส์เขาจะได้เป็นอาหารหรูแต่กินไม่ได้ เช่นกันหรือเปล่า?
ตอบ : ไม่ใช่ เขาจะได้ของดี แต่คงจะเก็บเอาไว้อวดคนมากกว่า อาจจะต้องไปเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะกุ้งมังกร ถ้าคนกินไม่เป็น มีหวังต้องใช้ทั้งมีดทั้งค้อน เพราะเนื้อกุ้งเหนียวอย่าบอกใคร
เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง อาตมาคิดว่าถ้าเกิดสึกออกไปหาอะไรที่สบาย ๆ ทำ แบบไม่ต้องให้ใครมาเป็นนายเรา เคยคิดว่าจะไปจับกุ้งมังกรมาขายภัตตาคารอาหารทะเล จับแค่วันละ ๒ ตัวก็พอแล้ว ก็เรารู้นี่ว่ากุ้งอยู่ตรงไหนบ้าง
สมัยก่อน ตอนที่นิตยสาร อสท. ออกได้ไม่นาน มีภาพคนงมกุ้งมังกร แล้วก็มีคำบรรยายว่า
"..สองกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก
สุขกับโศกยังไม่สิ้นอยู่สับสน
หนึ่งเป็นกุ้งเก้งก้างกลางสายชล
หนึ่งเป็นคนคอยล่ากุ้งการัง.."
เขาทำหนังสือ อสท. เป็นหนังสือกฎแห่งกรรมไปเลย แต่ว่าหนังสือยุคนั้นเขาบรรยายเป็นกลอนหมด อย่างเช่นภาพปกเป็นคนปาดตาลเพชรบุรี
"..พะองโยนก้าวตีนปีนทะยาน
กระบอกตาลแขวนก้นคนละพวง.."
หนังสือสมัยเก่าเทคโนโลยีการพิมพ์ยังไม่ค่อยดี จำได้ว่าพอพิมพ์ ๔ สีได้ครั้งแรก โอ้โห..ตีโฆษณากันสนั่นหวั่นไหว แต่ความละเมียดละไมเขามีเยอะกว่ามาก อย่างหนังสือนิตยสารสมัยก่อน หน้าปกใช้รูปวาดแข่งกัน คุณเปี๊ยก โปสเตอร์รวยอื้อไปเลย
อีกรายคือคุณพรเทพ วาดรูปพวกนิยายกำลังภายใน เท่ากับเขาได้อ่านนิยายฟรีเลย อย่างเล่มหนึ่งคุณต้องการกี่หน้า เอาเท่านั้นหน้าไปให้เขาอ่าน เขาอ่านเสร็จแล้วเขาก็จะตัดสินใจว่าจะวาดรูปตอนไหนดีในเรื่องช่วงนั้น เพราะฉะนั้น..เนื้อหารูปปกกับเนื้อหาข้างในจะตรงกัน
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "คนจีนเขามีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ก็คือ เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวได้รับการคัดตัวจากแม่สื่อให้แต่งงานกัน ด้วยความรอบคอบ ต่างฝ่ายก็ต่างขอพบอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วแม่สื่อก็นัดวันเวลาให้ เจ้าบ่าวขี่ม้ามา เจ้าสาวยืนอยู่หน้าประตูถือดอกไม้ดมอยู่ ต่างคนต่างเห็นก็ตกลงแต่งงานกันเดี๋ยวนั้นเลย
ปรากฏว่าแต่งงานกันไป ฝ่ายเจ้าสาวจมูกแหว่ง ที่ถือดอกไม้ไว้ก็เพื่อบังจมูก ส่วนเจ้าบ่าวขาเป๋ ที่ขี่ม้ามาเพราะไม่กล้าเดินเอง สรุปได้ว่า..อะไรก็ตามที่ฉาบฉวยผิวเผินมักจะไม่ดี สมัยนี้ยังมีไหม ? ไม่มีแล้วนะ สมัยนี้เขาตกลงกันเองทั้งนั้น พ่อสื่อแม่สื่อไม่เกี่ยว..ไปห่าง ๆ เลย
แต่สำหรับพระ พระพุทธเจ้าทรงห้ามเด็ดขาดเลยนะ ภิกษุชักสื่อชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสสขาดความเป็นพระไปเลย จนกว่าจะไปอยู่ปริวาสชดใช้คืนครบถ้วนแล้ว ให้สงฆ์ ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระได้อีก ต้นเหตุมาจากพระอุทายี ท่านไปบ้านนั้นก็ชมว่าลูกสาวบ้านนี้สวย ไปบ้านนี้ก็ชมว่าลูกชายบ้านนี้หล่อ ท้ายสุดเขาก็ขอให้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้หน่อย ปรากฏว่าพอแต่งงานไปแล้วไม่ดีจริงอย่างที่ว่า เขาก็ไปด่าพระสิ ท่านก็เลยกลายเป็นต้นบัญญัติศีลข้อนี้
การชักสื่อน่ากลัวตรงพระหมอดู พระที่เป็นหมอดูแล้วเขามาถามว่าดวงสมพงศ์กันไหม ? ถ้าเราไปพูดว่าดวงสมพงศ์กันแล้วเขาไปแต่งงานกัน โดนอาบัติสังฆาทิเสสเลย เพราะถือว่าไปชักสื่อ แต่ถ้าอย่างหลวงพ่อพระครูสุมนสุนทรกิจ วัดทะเลบก พวกเราฟังแล้วหัวเราะกันแทบตาย โยมเขาก็พาซื่อ เอาวันเดือนปีเกิดของทั้งผู้ชายและผู้หญิงมาให้ แล้วก็ถามว่า “หลวงพ่อ..ไอ้คู่นี้มันเข้ากันได้ไหม ?” หลวงพ่อบอกว่า “โอ๊ย..มันเข้ากันได้ทุกคู่แหละ..!” จบเลย แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง"
ถาม : แต่ถ้าเขามาขอฤกษ์หมั้น ฤกษ์แต่งจากพระ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเขาตกลงกันแล้ว ให้ฤกษ์เขาไปได้ จะขอฤกษ์หมั้นฤกษ์แต่งอะไรก็ให้เขาไปเถอะ แต่ถ้าหากว่าเราไปบอกว่าดวงสมพงศ์กัน คู่นี้แต่งแล้วจะดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แล้วเขาไปแต่งกันนี่ซวยจริง ๆ
ถาม : ถ้าไปอยู่ปริวาส อยู่กี่วัน?
ตอบ : ถ้าหากว่าสารภาพในวันนั้นเลยก็โดน ๖ วัน ๖ คืน ถ้าปิดบังไว้เท่าไรก็ใช้เท่านั้นบวก ๖ วัน ๖ คืน ถ้าจำไม่ได้ท่านให้นับตั้งแต่วันที่บวชจนถึงอายุปัจจุบัน ถ้าเป็นอาตมาก็หวิด ๓๐ ปี อยู่ปริวาสกันจนอ้วกไปเลย..!
ถาม : ถ้าสมมติไปอยู่ปริวาส ๕๐ วัน ต้องอยู่ติดต่อกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ติดต่อกันจ้ะ ถ้าหากว่าจะขาดเพราะมีธุระสำคัญ เขาใช้คำว่าตัดรัตติเฉท เสร็จแล้วก็มานับต่อได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าทำบุญบ้านวิริยบารมีวันที่ ๓๑ มีนาคมนะจ๊ะ ถ้าดูไม่ผิดวันที่ ๓๑ มีนาคม น่าจะตรงกับวันอาทิตย์
ปีนี้ญาติโยมมามากกว่าที่คิด ทำให้พระปิดตาหมดภายใน ๓๐ นาที อีกครึ่งหนึ่งที่เข้าแถวอยู่ไม่ได้อะไรเลย เรื่องของวัตถุมงคล มีหลายสำนักซึ่งส่วนใหญ่เป็นสำนักเรียนด้วย กล่าวตำหนิว่าเป็นการทำให้ญาติโยมยึดติด ถ้าว่ากันตามแบบของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านบอกว่า "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล"
แต่ว่าความจริงแล้วเป็นเพราะโบราณาจารย์ท่านมีความเข้าใจสภาพของบุคคล หรือสภาพของพุทธศาสนิกชนมากกว่าคนปัจจุบัน เพราะถ้าใครศึกษามาเกี่ยวกับภาพสถิติของพุทธศาสนิกชน จะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนกับพีรามิด หรือว่า ๓ เหลี่ยม ส่วนฐานที่กว้างที่สุด ก็คือบุคคลที่ยึดติดในพิธีกรรมและสิ่งมงคลต่าง ๆ ส่วนตรงกลางคือบุคคลที่พยายามจะศึกษาให้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสั่งสอนอะไรบ้าง ส่วนยอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
เมื่อเป็นดังนั้น โบราณาจารย์ท่านจำเป็นที่จะต้องหาสิ่งที่มายึดโยงกำลังใจของพุทธศาสนิกชนให้อยู่กับพระพุทธศาสนาจนได้ ก็คือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ขึ้นมา การสร้างวัตถุมงคลขึ้นมานั้นมีประโยชน์หลายอย่าง
ประการแรก คือตัวผู้สร้างเองจะต้องทรงความดีในระดับหนึ่ง สมัยก่อนไม่ได้มีเครื่องมือเครื่องไม้ทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ แต่ละขั้นตอนของการสร้างวัตถุมงคลก็คือ เขียนด้วยมือ ปั้นด้วยมือ เป็นต้น โดยเฉพาะถ้าหากว่าศึกษาการสร้างวัตถุมงคลด้วยการลบผงวิเศษต่าง ๆ เช่น ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ก็ต้องเข้าสมาบัติ เขียนอักขระ เขียนยันต์ ลบยันต์ เพื่อให้เกิดผง จนกว่าจะได้จำนวนตามที่ต้องการ เท่ากับบังคับว่าเกจิอาจารย์ผู้สร้างนั้น จำเป็นที่จะต้องทรงความดีให้ได้ถึงระดับหนึ่ง จึงจะสามารถสร้างวัตถุมงคลให้เกิดอานุภาพ เกิดความขลังขึ้นมาได้"
"ประการที่ ๒ ก็คือ พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่กำลังใจยังยึดเกาะสิ่งต่าง ๆ อยู่ ก็จะได้มีสิ่งที่ยึดเกาะอยู่ในกรอบ อยู่ในขอบเขตที่ถูกต้องและสมควร อย่างไรเสียก็ไม่หลุดไปจากกรอบของพระพุทธศาสนา
ประการที่ ๓ การสร้างวัตถุมงคลเป็นการสืบพระพุทธศาสนาส่วนหนึ่ง ก็คือมีครูบาอาจารย์หลายต่อหลายรูป ที่มีความสามารถ มีคนให้ความเคารพศรัทธา สนับสนุนในการสร้างวัตถุมงคล เพื่อบรรจุกรุไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็ต้องสร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นต้น
ประการที่ ๔ ก็คือวัตถุมงคลที่มีอานุภาพอย่างแท้จริงนั้น สามารถช่วยตัดเคราะห์กรรมให้แก่ผู้ที่นำไปใช้ โดยเฉพาะว่าช่วยในการป้องกันรักษาประเทศชาติของเรา สมัยก่อนทหารเวลาออกรบต้องมีวัตถุมงคลที่มั่นใจว่าคุ้มครองรักษาตัวเองได้ ส่วนใหญ่ก็เน้นไปทางแคล้วคลาด หรือคงกระพันชาตรี เป็นต้น บรรพบุรุษของเราก็อาศัยวัตถุมงคลทั้งหลายเหล่านี้ในการสู้รบกับข้าศึกศัตรู จนกระทั่งสามารถปกป้องรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ได้ หรือว่าช่วงชิงแผ่นดินไทยของเรากลับคืนมา เป็นที่ตั้งของพุทธศาสนา เป็นเรือนอยู่เรือนตายของพวกเราทั้งหลายได้
ฉะนั้น..ในเรื่องของวัตถุมงคลจะว่าไปแล้วมีคุณอนันต์ แต่ว่าปัจจุบันนี้จะมีการทำในลักษณะของเชิงพาณิชย์มากเป็นพิเศษ จะมีการกำหนดราคาเพื่อเอากำไร การสร้างวัตถุมงคลส่วนใหญ่แล้ววัดไม่ได้สร้างเอง แต่ว่ามีนายหน้าที่เล็งเห็นว่า ครูบาอาจารย์วัดไหนมีชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาก ก็จะขออนุญาตไปสร้างวัตถุมงคลจำนวนเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็จะแบ่งส่วนหนึ่งถวายให้แก่ทางวัด เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายทำนุบำรุงเสนาสนะ บางเจ้าที่ตรงไปตรงมาก็มี บางเจ้าที่หลอกลวงกันก็มาก"
"หลวงปู่พระศีลมงคล (หลวงปู่เจ้าคุณทอง) วัดสำเภาเชย อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ความจริงสนิทสนมคุ้นเคยกันกับอาตมามาก ลงปักษ์ใต้แต่ละครั้งถ้าผ่านปัตตานี อาตมาต้องแวะไปกราบท่านก่อน ปรากฏว่าวันนั้นอาตมาโทรศัพท์เข้าไป ลูกศิษย์บอกว่า "ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งมาเลยครับ พ่อหลวงกำลังเครียด"
อาตมาถามว่าเครียดเรื่องอะไร ? เขาบอกว่ามีคนมาขออนุญาตสร้างวัตถุมงคล แล้วจะถวายพ่อหลวงเพื่อสร้างเจดีย์ ๒๐ ล้าน พ่อหลวงก็อนุญาตให้ไป ปรากฏว่าเขาก็ไปออกวัตถุมงคลแล้วเปิดรับจอง ทั้งทางศูนย์พระเครื่องและสื่อมวลชนต่าง ๆ ได้เงินไปเท่าไรไม่รู้ แต่เขาไปแล้วไปลับไม่กลับมา
อาตมาถามว่า "ไอ้คนที่มาขอสร้างวัตถุมงคลเป็นใคร ? หลวงพ่อท่านถึงได้เชื่อถือและยอมอนุญาตให้เขาสร้างได้ ?" ลูกศิษย์ก็บอกว่า "อย่าไปเอ่ยถึงเลยครับ เขาเป็นคุณนายของท่านแม่ทัพภาค" แม่ทัพภาคก็แปลว่าคุมทั้งภาค เขามาจึงน่าเชื่อถือ แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วก็ทนโลกธรรมไม่ได้
แรก ๆ ทุกคนที่เข้าวัดเข้าวาก็จะเหมือนกัน คือตั้งใจทำความดี แต่พอลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่ากำลังของตัวเองนั้นสามารถรับได้เท่าไร ถ้าหากว่าภูมิต้านทานน้อยก็จะเป็นอย่างที่ว่านี่แหละ ตั้งใจจะทำความดีแท้ ๆ ท้ายสุดก็มีอเวจีเป็นที่ไป..!
ดังนั้น..พวกเราเข้าวัดให้ระมัดระวังไว้อย่าให้ขาดทุน โดยเฉพาะบุคคลบางจำพวก พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้วก็ลืมตัว เห็นพระเป็นเพื่อน ไม่ได้เห็นพระเป็นพระ อันนี้ก็แปลว่ากำลังหานรกใส่ตัวโดยใช่เหตุ แล้วก็มีทุกที่ ท่านที่ลืมตัวเพราะขาดสติยังพอให้อภัย มีบุคคลบางจำพวกตั้งใจลืมตัว คือทำท่าสนิทสนมคุ้นเคยเพื่อที่จะอวดคนอื่น ในเมื่อตั้งใจจะลืมตัวก็แปลว่าตั้งใจที่จะลงนรก..!
เรื่องของพระ ถึงจะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ ถ้าหากว่าเราทำดีทำถูกก็จะมีคุณมาก แต่ถ้าเราทำผิดพลาดจะเกิดโทษใหญ่แก่ตนเองขึ้นมา จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องสังวรระวังเอาไว้เสมอ"
"อย่างที่อาตมาเคยพูดว่าให้ทำตัวเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ คือต้องรู้จักเกรงใจกัน อย่างที่สมัยก่อนเขาบอกว่า ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ได้ศึกษาสมบัติผู้ดีแล้ว รุ่นอาตมานี่เวลาผู้ใหญ่ด่า ท่านด่าเจ็บมากเลย แต่เราสมัยนี้ฟังอาจจะเฉย ๆ เขาด่าว่า "ไปเอาสมบัติผู้ดีมาต้มกินบ้างนะ" เพราะว่าหนังสือสมบัติผู้ดีสมัยก่อนนี้เขาจะระบุว่า ทำตัวอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับกาลเทศะของสังคมในช่วงนั้น แบ่งออกเป็น ๑๐ ตอนด้วยกัน อาตมายังจำได้แม่นอยู่ว่า
"สมบัติผู้ดีมีข้อ กล่าวย่อพอยกหยิบอ้าง ภาคหนึ่งระวังท่าทาง รู้วางไว้ตัวชั่วดี ภาคสองสำรวมนิสัย มิให้เสื่อมเสียราศี ภาคสามน้อมกายวจี ท่วงทีคารวะผู้ควร ภาคสี่มีกริยา วาจาน่ารักเสสรวล ภาคห้ากว้างขวางทางชวน ชักมวลหมู่เพื่อนนิยม ฯลฯ" เป็นต้น
ถ้าเราไปศึกษาจะเห็นว่าในแต่ละด้านต้องปฏิบัติตัวอย่างไร รวมแล้ว ๑๐ ด้านด้วยกัน แล้วท่านผู้รู้ก็ประพันธ์เป็นโคลงเป็นกลอนไว้ จะได้จำง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..เวลารุ่นอาตมาโดนด่าว่า "ให้ไปเอาสมบัติผู้ดีต้มกินบ้าง" นี่อายหัวหูแดงหมด ก็แปลว่าเขาด่ายันพ่อยันแม่ ยันครูบาอาจารย์เลยว่าไม่ได้อบรมเรามา สมัยนี้ด่าเด็กไม่รู้จักสมบัติผู้ดี เด็กก็นั่งหัวเราะกัน
สมัยที่เรียนหนังสือชั้นมัธยมอยู่ มีท่านอาจารย์สง่า เดชารัตน์ เวลาด่าเด็กแรงมาก คำด่าของอาจารย์ก็คือ “น่าอายมาก” คราวนี้เด็กหน้าด้านไม่อายขึ้นมา แล้วท่านอาจารย์จะทำอย่างไรได้ ? ก็ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาอาตมาไปกรุงเทพฯ ชอบนั่งรถแท็กซี่ไป เพื่อนพระหลายคนเขาว่าอาตมาเพี้ยน มีรถดี ๆ ไม่รู้จักใช้ อาตมาก็ต้องแยกแยะให้ฟังว่า ไม่ว่ารถแท็กซี่หรือว่ารถส่วนตัวก็ตาม ประการแรก...ค่าเชื้อเพลิงและค่ารถใช้ใกล้เคียงกัน ประการที่ ๒ ถ้าใช้รถส่วนตัวต้องห่วงคนขับอีก ๑ คน ว่าถ้าเราไปงานของเรา แล้วเขาจะอยู่อย่างไร จะกินอย่างไร
ประการที่ ๓ ที่จอดรถในกรุงเทพฯ หายากมาก ถ้าขึ้นแท็กซี่ ลงได้ก็สะบัดก้นไปเลย ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าเป็นรถส่วนตัว หาที่จอดไม่ได้แล้วไปจอดในที่ห้าม ก็อาจจะจ่ายค่าจอดแพงเป็นพิเศษ ประการสุดท้าย..เอารถของตัวเองออกไป ถ้าเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนอะไรขึ้นมา ค่าใช้จ่ายอาจจะมหาศาลกว่าที่คิด
ดังนั้น..เวลาเดินทางในกรุงเทพฯ อาตมามักจะไปรถโดยสาร หรือรถอะไรก็ได้ ยิ่งถ้าได้เกาะมอเตอร์ไซค์วันไหนจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ
ถ้าหากว่าญาติโยมมาที่บ้านวิริยบารมีแล้ว รถแท็กซี่น่าจะสะดวก แต่ถ้ารอว่าสถานีรถไฟฟ้าเสร็จ ก็จะเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นมาบนพื้นที่ซึ่งราคาแพงมาก เนื่องจากว่าเขารู้ว่าสถานีรถไฟฟ้าจะลงตรงจุดนี้ แต่ว่าที่ยอมจ่ายแพงก็เพื่อความสะดวกในการเดินทางของญาติโยมในอนาคต
ต่อไปถ้าใครยังนำรถส่วนตัวมา ก็ด้วยสาเหตุ ๒ ประการ ประการแรก ก็คือ ใช้รถโดยสารสาธารณะไม่เป็นจริง ๆ ประการที่ ๒ ก็คือไม่กลัวลำบาก เพราะว่าที่นี่หาที่จอดรถยากมาก สถานที่ซึ่งเห็นว่าจอดสะดวก มักจะเป็นจังหวะที่รถเขาจะต้องเลี้ยว จะต้องเข้าออก พอเราไปจอดขวางเสียคันหนึ่ง คันอื่นก็หมดสิทธิ์ที่จะไปเลย อย่างเช่น ท่านที่นำรถมอเตอร์ไซค์มา มักจะจอดแอบตรงมุมเสาไฟฟ้า แต่ว่ามุมที่จอดแอบนั่นแหละ เป็นมุมที่รถเขาจะต้องตีวงเข้าซอย เขาก็จะต้องขยับแล้วขยับอีก นั่นนับว่ายังดี..ถ้าวันไหนเขาเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา ก็คงปาดกลิ้งไปเลย..!
ที่ประกาศบอกกับญาติโยมก็เพื่อให้ทราบไว้ว่า ถ้าจอดแล้วไม่มีปัญหาเขาไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าเขาว่าแปลว่ามีปัญหาแน่ ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานอะไรที่เป็นงานโบราณ โดยเฉพาะพระราชประเพณี มีโอกาสพวกเราควรไปดูเป็นขวัญหูขวัญตาไว้ เพราะในชีวิตหนึ่งไม่ใช่จะหาดูได้ง่าย ๆ แต่ทำไมถึงประดังมาในช่วงอายุของอาตมาก็ไม่รู้ ?
สมัยก่อนหลวงปู่หลวงพ่ออายุ ๘๐ - ๙๐ ปี เป็นพระเถระ ๔ - ๕ แผ่นดิน สมัยนี้อายุ ๖๖ ปี ยังได้แค่ ๑ แผ่นดินเท่านั้น ถ้ายิ่งนับตั้งแต่รัชกาลที่ ๙ ประสูติด้วยแล้วก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ๘๕ ปีได้แค่แผ่นดินเดียว..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนเด็กทองผาภูมิบวช ๓ รูปด้วยกัน อาตมาคุยกับบรรดาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ว่า ปี ๒๕๕๗ หลวงปู่สาย อคฺควํโส ครบ ๑๐๐ ปีเกิด จะบวชพระถวายท่าน ๑๐๐ รูป ให้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ จะเฒ่าชะแรแก่ชราอย่างไรก็ให้เข็นมา ถ้าบวชแล้วตายคาวัดก็จะสวดให้
ทางด้านเทศบาลตำบลท่าขนุนเขายืนยันว่า ๑๐๐ คนไม่น่าจะมีปัญหา ใคร ๆ ก็อยากจะบวชถวายหลวงปู่ทั้งนั้น ก็เลยลองดูว่าถึงเวลาใครจะสมัครก่อน งานนี้เกินจำนวนก็ไม่รับเพราะไม่มีที่ให้นอน เอาแค่ร้อยเดียวจริง ๆ
ไล่ตามประวัติแล้ว หลวงปู่สาย อคฺควํโส ในประวัติเดิมเขาบอกว่าเกิด ๑๗ ตุลาคม ๒๔๕๗ ความจริงไม่ใช่..ท่านต้องเกิด ๑๘ ตุลาคม เพราะฉายาอคฺควํโส เป็นฉายาของคนเกิดวันอาทิตย์ ส่วน ๑๗ ตุลาคมเป็นวันเสาร์
อาตมาไปเปลี่ยนความเชื่อของเขาหลายอย่าง ประวัติเดิมท่านบอกว่า บิดาชื่อนายเพิ่ม อาตมาดูลายมือหลวงปู่ที่เขียน "โยมพ่อนายนิ่ม" แต่เขาอ่านนิ่มเป็นเพิ่มไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ลายมือหลวงปู่สวยมากเลยนะ ลักษณะลายมืออาลักษณ์เลย เขายังอุตส่าห์อ่านเป็นนายเพิ่มไปได้
โดยเฉพาะมีกระดาษเตือนความจำสั้น ๆ อยู่แผ่นหนึ่งที่ท่านหนีบเข้าแฟ้มไว้ เขียนว่า "ลำพอง ดูโลงกระจกให้ด้วย มิถุนา ๓๔" แสดงว่าหลวงปู่ท่านรู้ตัวว่าท่านจะมรณภาพเมื่อไร สั่งเตรียมโลงแก้วไว้เลย บอกล่วงหน้าตั้งครึ่งค่อนปี หลวงปู่ท่านทำงานรอบคอบมาก ถึงเวลาเขียนเตือนความจำแล้วลงวันที่เอาไว้ด้วย โยมลำพองเป็นมัคคนายกวัดท่าขนุนในช่วงนั้นอยู่"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีโยมเขาถวายสมเด็จวัดระฆังมา ให้ไปบรรจุในสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ จำไว้เลยนะ..สมเด็จวัดระฆังหรือสมเด็จวัดบางขุนพรหม ถ้าหากว่าแตกลายงา จะแตกเฉพาะด้านหน้าด้านเดียว"
พระอาจารย์เล่าว่า "ความจริงคนไม่มีลูกสบายที่สุดแล้ว แต่ทำไมคนถึงอยากมีกันจัง มีครอบครัวหนึ่งก็คือคุณวินกับคุณติ๊ก เขาพยายามสุดชีวิตที่จะมีลูกมาโดยตลอด ตั้งแต่แต่งงานอยู่กันมา ๒๐ กว่าปีก็ยังไม่มีลูกเลย หมอเก่งมีที่ไหนก็ไปหามาจนหมด แต่ไม่สำเร็จ เป็นประเภทเดียวกับโพธิราชกุมาร
โพธิราชกุมารอยากมีลูกก็มีไม่ได้ ทั้งที่มีสนมเป็นร้อยเป็นพัน ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ไปฉันในวัง ปูลาดผ้าขาวตั้งแต่ประตูวังไปถึงที่ฉัน อธิษฐานว่าถ้ามีลูกได้ขอให้พระพุทธเจ้าเดินมาบนลาดพระบาทสีขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อผ้าขาวเกลี้ยงเลยแล้วก็เดินเข้าไป โพธิราชกุมารจึงต้องนั่งร้องไห้
พระพุทธเจ้าฉันเสร็จเทศน์ให้ฟังว่า โพธิราชกุมารสร้างกรรมหนักไว้ในอดีต ชาตินี้มีลูกไม่ได้หรอก ในอดีตชาติเกิดเป็นพ่อค้าทางเรือ วันหนึ่งเรือแตกแล้วไปติดเกาะ อยู่บนเกาะนั้นก็เก็บไข่นกกิน พอกินไข่นกหมดก็เอาลูกนกมากิน พอลูกนกหมดก็กินพ่อนกแม่นก นกพวกนั้นไม่เคยเจอใครทำร้าย ก็เลยไม่กลัว ไม่หนี ขนาดพ่อนกแม่นกยังโดนกินจนหมด
พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ากินเฉพาะไข่นกจะไม่มีลูกในวัยหนุ่มสาว แต่จะมีลูกตอนวัยกลางคน แต่ถ้ากินเฉพาะไข่นกกับลูกนก จะไม่มีลูกตอนหนุ่มสาวและวัยกลางคน แต่จะมีลูกตอนแก่ นี่พ่อนกแม่นกก็กินไปด้วย ก็ไม่มีแล้วแหละ..กรรมนี้ติดตามไปตั้ง ๕๐๐ ชาติ
คุณวินกับคุณติ๊กก็คงแบบเดียวกัน ทุกวันนี้ก็ปลงแล้ว เขาพยายามขนาดนี้แล้วยังมีไม่ได้ หมอตรวจดูปกติทุกอย่างทั้งสามีภรรยา แต่ก็ไม่มีลูก ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งที่อาตมารู้จัก เมียท้องแล้วแท้งไป ๔ ครั้ง เลยตัดใจว่าไม่มีดีกว่า หมอบอกว่ามดลูกอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะเก็บเด็กไว้ได้ ถ้าหากท้องอีกเท่ากับฆ่าเด็กโดยตรง เขาก็เลยตัดใจว่าไม่เอาแล้ว อันนั้นก็คงสร้างกรรมมาใกล้เคียงกัน แต่ว่ารายหลังนี่น่าจะเป็นกรรมของเด็กด้วย คือเด็กสร้างกรรมใหญ่เกี่ยวกับปาณาติบาตไว้ ยังไม่ทันจะเป็นตัวเป็นตนเลยก็แท้งแล้ว
อาตมากลัวอย่างเดียว...กลัวว่าลูกของโยมจะเกิดมาเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยพูด แถมดุอีกต่างหาก ถ้าใช่อย่างนั้นจริง ๆ พามาหาอาตมานะ เดี๋ยวจะบอกวิธีจัดการให้"
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเป็นฆราวาส ไปวัดแต่ละที พาญาติโยมไปวัดกันหลายคน ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวรุ่น ๆ เรียนหนังสืออยู่บ้าง เรียนจบแต่ยังหางานทำไม่ได้บ้าง อยากไปทำบุญแต่หาคนที่ไว้ใจไม่ได้ คราวนี้พอพ่อแม่เขาเห็นว่าไปกับอาตมา เขาก็ไว้ใจเพราะว่าไปรับและไปส่งตรงเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามจะต้องรับส่งตรงเวลา ก็เลยกลายเป็นที่น่าเชื่อถือ มีแต่คนฝากลูกสาวมา คณะก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
พูดเรื่องนี้ก็นึกถึงหลวงพ่อสมคิด วัดตะเคียนงาม หลวงพ่อสมคิดบวชก่อนอาตมาประมาณ ๕ เดือนครึ่ง รู้จักกับอาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว อาตมาเป็นคนสอนมโนมยิทธิให้ท่านเอง ทั้ง ๆ ที่ท่านบวชก่อน แต่ท่านกราบอาตมาทุกครั้ง ท่านบอกท่านกราบในฐานะอาจารย์ จะรับหรือไม่รับท่านก็กราบ
หลวงพ่อสมคิดท่านบอกว่า "ผมนึกว่าอย่างไรชาตินี้อาจารย์ไม่ได้บวชแน่แล้ว สาว ๆ ไปด้วยเยอะปานนั้น" ไปกันทีไปเป็นหมู่คณะ ขึ้นรถโดยสารครั้งหนึ่งเต็มไปครึ่งคัน เวลาไปต่างจังหวัดตามหลวงพ่อวัดท่าซุง เขาจะมีการจัดรถตามไป พวกเราไปร่วมบุญด้วย ได้ไปทำบุญวัดต่างจังหวัดด้วย อย่างวัดหลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดหลวงพ่อบุญรัตน์ อาตมาเหมือนพี่ใหญ่ของคณะ มีหน้าที่ซื้อตั๋วแจก เหมาทีครึ่งคัน มีอยู่เที่ยวหนึ่งช้ำใจมาก ซื้อตั๋วแล้วน้องคนหนึ่งติดธุระสำคัญไปไม่ได้ ขากลับเลยซื้อตุ๊กตาชาวเขาตัวเท่าคนมานั่งแทน..!
ที่ไปลักษณะนั้นก็ตั้งใจว่าเป็นการสงเคราะห์น้อง ๆ เขาจริง ๆ เพราะว่าบางคนเรียนหนังสืออยู่บ้าง บางคนเรียนจบแล้วไม่มีงานทำบ้าง อาตมาบอกว่าเงินที่พวกเขามีอยู่ให้เอาไว้ทำบุญ เงินที่เหลืออยากจะซื้อของอะไรก็จะได้ซื้อ ส่วนเรื่องค่ารถ ค่ากิน ค่าอยู่ อาตมารับผิดชอบทั้งหมด ตอนนั้นอาตมาทำงานไม่ได้เงินเดือนเยอะแยะอะไรหรอก ประมาณ ๗ พันบาท แต่ว่า ๗ พันบาทประมาณปี ๒๕๒๐ ถือว่ามาก เพราะว่าอาตมากินไม่เป็น เที่ยวไม่เป็น ไปวัดเป็นอย่างเดียว"
"เพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วยกันชอบมายืมเงินอยู่เรื่อย เพราะเขารู้ว่ายืมแล้วไม่ทวงคืน แทนที่จะขอยืม เขาก็มักจะขอลืมไปเรื่อย พอประมาณ ๔ โมงเย็น มองซ้ายมองขวาถ้าท่านผู้จัดการไม่อยู่ ก็พยักหน้าส่งสัญญาณกัน อาตมาเด็กที่สุดในแผนก ก็ไปเอาถังสี ๒๐ ลิตรมาต่อขา ยื่นหน้าโผล่ข้ามรั้วออกไปข้างนอก "ป้า ๆ เหมือนเดิม" เหมือนเดิมของเขาก็คือ เหล้าขาว ๒ ขวด น้ำอัดลมครึ่งโหล ส่วนกับแกล้มแล้วแต่ป้าจะมีในตอนนั้น ส่วนใหญ่ก็ไข่เจียว
อาตมาได้วิธีทอดไข่เจียวจากป้าที่อยู่หน้าโรงงานไทย-ญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม ป้าสามารถทอดไข่ฟองเดียวได้จานมหึมา ใหญ่มาก ไปถามเคล็ดลับของป้าจนได้มา แล้วอาตมาก็ทอดไข่เจียวฟองเดียวได้เต็มกระทะเหมือนกัน
พอสั่งเสร็จ ป้าเขาก็เอามาส่ง เคาะประตูเรียก ยามก็เปิดประตูเล็กแอบเอาเข้ามา จนกระทั่ง ๕ โมงเย็น กริ่งเลิกงานดังขึ้นก็ติดลมยาวไปยันค่ำ อาตมาเองกินเหล้าไม่เป็นก็กินแต่กับแกล้ม พักเดียวก็โดนเขาไล่ออกมา เพราะคนไม่กินเหล้า เอาแต่กินกับทำให้เปลืองมาก
จะเห็นได้ว่าเรื่องของการคบหาสมาคมกับหมู่ผู้ที่อยู่ในอบายมุข ไม่ใช่ว่าเราจะคบไม่ได้ คบได้..แต่ว่าคบแล้วให้เราไปแค่กรอบของศีล พวกนั้นกินเหล้า สูบกัญชา เล่นไพ่ เล่นไฮโล อาตมาดูจนเป็นหมด พวกนั้นชวนเล่นก็ไม่เล่น บางทีรำคาญขึ้นมา ก็บอกว่า "เออ..มึงถือไป เล่นไป เดี๋ยวกูบอกให้" อาตมาก็บอกจนเพื่อนกินคนอื่นหมด เพื่อนเป็นคนถือไพ่ เขาหัวคำนวณไม่เก่ง อาตมาต้องเป็นคนบอก
อาตมาเคยเล่นพวกนี้กับคุณยายมา คุณยายเป็นสุดยอดมือดัมมี่เลย อายุ ๘๐ กว่านั่งตาใสแจ๋ว ถึงเวลายายจะแจกเงินหลาน ๆ คนละ ๒๐๐ บาท เรียกมาเข้าวงเล่นดัมมี่ แล้วก็โดนยายกินคืนไปหมด ไม่เหลือหรอก ยายให้ก็เท่ากับไม่ได้ให้ แกจำแม่นขนาดว่าใครเก็บตัวไหนขึ้นไป และควรจะมีตัวอะไรอยู่ในมือ แกบอกได้หมดเลย แล้วเราจะไปเหลืออะไร..?!
บางทีอาตมาคิดว่ายายโกงหรือเปล่า ? ก็ขอเปลี่ยนสำรับ ซื้อไพ่ใหม่ไป ยายก็กินพวกเราเกลี้ยงเหมือนกัน คิดว่าถ้าเป็นสำรับเก่ายายอาจจะจำหลังไพ่ได้ ความจริงไม่ใช่หรอก..แกจำแม่น ใครเก็บตัวไหนขึ้นไป ถ้ามีคู่กันสองตัวแสดงว่าคนนี้ต้องมีตัวที่สาม ไม่อย่างนั้นเขาไม่เก็บหรอก แกคำนวณได้หมด
อาตมาเองเจอยอดเซียนอย่างยายมาแล้ว พอมาเจอประเภทเด็กโรงงาน จะไปเหลือหรือ ? อุตส่าห์ไม่เล่นกับเขาแล้ว ยังมายั่วกิเลส จึงบอกเพื่อนว่า "มึงถือไว้ เดี๋ยวกูบอกให้" กินเสียให้เข็ด จะได้ไม่มาชวนอีก..!"
"ตอนอาตมาไปอยู่ชายแดนเล่นหมากรุกไม่เป็น เล่นเป็นแต่หมากฮอส พอเล่นหมากรุกไม่เป็นเพื่อนก็รำคาญ เพราะอยู่ชายแดน ถ้าไม่มีเหตุการณ์ปะทะ ก็ต้องมานั่งเซ็งเงียบ ๆ กันทั้งวัน เพื่อนจึงสอนการเล่นหมากรุกให้ พอเพื่อนสอนวิธีเดินเสร็จ เล่นกันกระดานแรกก็เสมอกัน
สำหรับหมากรุก ถ้ากินขุนไม่ได้อย่างไรก็เสมอกัน ต่อให้เหลือขุนตัวเดียวก็เสมอกัน นับศักดิ์กระดาน ๖๔ ตา ถ้าไล่แล้วไม่จนก็เสมอกัน พอกระดานที่สองอาตมาก็กินเพื่อนหมด จึงบอกว่า "มึงเสียเวลาเล่นจริง ๆ" เดินหมากแล้วผูกกันไปผูกกันมา แล้ว ดันเผลอเอง เพื่อนดูหมากไม่ทั่วกระดานหรือว่าสมองเขาจำไม่ทั่วทุกตัวก็ไม่รู้ พอเขาเผลอขยับก็เสร็จ เพราะหมากผูกยันกันอยู่ ถ้าหากเขาขยับตัวนี้มา เราก็เอาตัวนี้เข้าไปผูกไว้ เอ็งกินตัวนี้ของข้า ข้ากินตัวนี้ของเอ็ง ถ้าขาดทุนก็ไม่กินหรอก ใครลงมือเสี่ยงก่อนคนนั้นก็โดน
เวลาพวกนั้นสูบกัญชา อาตมาไม่ได้สูบกับเขา ไปนั่งลุ้นเวลาพวกนั้นหัวเราะดิ้นพลาด ๆ ไม่มีอะไรหรอก ขนาดกระดาษหนังสือพิมพ์โดนพัดลมเขายังนั่งหัวเราะเลย สูบกัญชาเสียจนเป็นอย่างนั้น ตอนไปแจกของกับหลวงพ่อสมปอง ที่ป่าแม่วงก์ นครสวรรค์ ชาวบ้านเดินมา อาตมาหันขวับไปหาทิดแม็ก ลูกศิษย์หลวงพ่อสมปอง "เฮ้ย..แม็ก ใช่ไหม ?" "ชัดเลยครับหลวงพี่" "กูก็ว่าใช่" กลิ่นกัญชาชัด ๆ เลย ชาวบ้านเขาดูดกัญชามารับของ รับผ้าห่มที่แจกให้
เรื่องอบายมุข ศึกษาไว้บ้างก็ดี คนจะได้หลอกเราไม่ได้ แต่ไม่ต้องเอาตัวไปลงทุน เล่นไพ่หรือ ? ข้าไม่เล่นกับเอ็งหรอก เพราะว่าสมัยนั้นฝึกงานอยู่ ๓ เดือน เด็กฝึกงานไม่มีอะไรให้นะ นอกจากอาหาร ถ้าหากทำกะกลางคืนก็จะมีอาหารมื้อกลางคืนให้ พอเริ่มบรรจุ ตอนนั้นอาตมาได้วันละ ๒๕ บาท อาทิตย์หนึ่งทำงาน ๖ วัน เงินเดือนออก ๑๕๐ บาท รู้สึกว่าโคตรรวยเลย เอาเงินไปให้แม่จนหมด
ทำงานอยู่ตั้งหลายปีเหมือนกับคนไม่มีเงิน เพราะว่าได้มาเท่าไรก็ให้แม่หมด จนกระทั่งเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก ทำอยู่ ๗ เดือน ไล่จากเด็กฝึกงานไป ช่วง ๓ เดือนแรกไม่มีเงินเดือน ทำอยู่ ๗ เดือนเขาเลื่อนให้เป็นหัวหน้าแผนก เพราะว่าเพื่อนพลิกแพลงปรับปรุงงานไม่เป็น เขาเห็นว่าอาตมามีแววเลยให้เป็นหัวหน้าแผนก ทีนี้เงินเดือนขึ้น ยิ่งรวยเข้าไปใหญ่"
"คนอื่นเขาคำนวณงานไม่เป็น จึงเป็นหัวหน้าแผนกไม่ได้ ตอนนั้นสินค้าหลักที่ผลิตของโรงงาน ก็คือ ตู้นิรภัยยี่ห้อโตโยมิสุ ทุกวันนี้ถ้าใครใช้ตู้ยี่ห้อนี้ ถ้ายังไม่เปลี่ยนรหัสมาบอกได้ อาตมาเปิดได้ทุกใบ เขาจะมีรหัสของโรงงานมาทุกใบ ซึ่งจะเหมือนกันหมด แล้วเจ้าของไปตั้งใหม่เอาเอง ใบไหนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนรหัสมาบอกเลย
คนอื่นเป็นหัวหน้าแผนกไม่ได้ เพราะว่าเวลาเถ้าแก่ใหญ่สั่งมาว่า อาทิตย์นี้ต้องออกตู้ให้ได้ ๖๐ ใบ เขาก็จะไม่รู้ว่าต้องคำนวณอย่างไรถึงได้ ๖๐ ใบ อาตมาจะสั่งให้แผนกปั๊ม ให้ปั๊มเปลือกนอกมาเลย ๖๐ ใบ แผนกทำความสะอาดและพ่นรองพื้นสี ๖๐ ใบ วันนี้ต้องเสร็จ แล้วก็ให้แผนกกุญแจปั๊มแผ่นอะลูมิเนียมมาเลย ๖๐ ชุด ภายใน ๓ วันต้องได้ ไล่ไปจนถึงแผนกสีว่าคุณต้องทำเท่าไร วันสุดท้ายงานจะเสร็จพอดี
พอถึงวันเสาร์ อาตมาก็จะพ่นสีขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นสีย่น สีนี้พอพ่นลงไปแล้วจะย่น ๆ อย่างกับหนังงู เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเก็บพื้นให้เรียบ ถ้ามัวแต่เก็บเรียบอยู่จะทำสีไม่ทัน เมื่อเป็นสีย่นอยู่แล้ว ต่อให้มีตามดใหญ่หน่อยก็ไม่เป็นไร ในเมื่อคนอื่นเขาคำนวณงานไม่เป็น อาตมาก็ต้องรับตำแหน่งไป เงินเดือนขึ้นจาก ๒๕ บาทต่อวันเป็น ๗๐ บาท แล้วคนกินไม่เป็นเที่ยวไม่เป็น ทำให้เหลือเงินเยอะมาก สมัยนี้หรือ ? จบมาไม่ทันมีประสบการณ์เลย เงินเดือน ๙ พันกว่าบาทแล้ว
วันเสาร์เงินเดือนออก เถ้าแก่ใหญ่จะมาเพื่อจ่ายเงินเดือน แต่ไม่ได้จ่ายเองนะ มาถึงก็เอาเงินให้สมุห์บัญชี สมุห์บัญชีจะจ่ายให้หัวหน้าแผนกแต่ละแผนก เอาไปจ่ายลูกน้องของตนเอง แต่ละคนแต่ละแผนกใช้เงินเท่าไรนั้นตายตัวอยู่ แผนกของอาตมาไม่เคยได้ช้า เพราะว่าอาตมาจะทำบัญชีและคำนวนตัวเลขส่งให้ก่อนทุกครั้ง พอถึงเวลาได้มาก็ให้ลูกน้องเซ็นรับไปเลย แต่ว่าส่วนใหญ่ ป้าแกจะถือบัญชีมายืนรอ พวกที่เคยโผล่หน้ามาตะโกนสั่งโดนหมด "ทำงานเท่าไรก็กินกันจนหมด ไม่รู้เป็นอย่างไร เก็บเงินกันไม่อยู่เลย" บางทีพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ มาแซว "เอ็งเก็บเงินอย่างไรวะ ถึงเก็บอยู่"
"ตรงจุดนี้ได้เห็นประโยชน์ของการปฏิบัติกรรมฐาน อันดับแรก คือ เรามีกำลังใจเข้มแข็งกว่า สามารถอยู่ในดงอบายมุขได้โดยไม่ไหลตามเขาไป อันดับที่สองก็คือ ในเรื่องของการใช้สมองคำนวณ คนที่ใจทรงสมาธิอยู่ การคำนวณจะง่าย
บางทีอาตมามองใบเสร็จนิดเดียว ก็วางเงินลงไปได้เลย ได้ตัวเลขออกมาแล้ว ระยะหลัง ๆ เมื่อไปซื้อของในตลาดทองผาภูมิ ถ้าไปซื้อเอง หยิบสินค้าเสร็จสรรพ แม่ค้าจะถามอาตมาที่เป็นคนซื้อว่าเท่าไร ? เพราะว่าเขาเคยเอาเครื่องคิดเลขมาไล่กดแล้วไม่เคยทัน อาตมาหยิบเงินให้แล้วบอกว่าต้องทอนเท่าไร ตอนแรก ๆ เขาก็ไม่เชื่อ พอเอาเครื่องคิดเลขมากดหลาย ๆ ครั้ง ได้เท่าที่อาตมาบอกทุกที ตั้งแต่นั้นมาเขาเลิกกดเลย อาตมาหยิบของเสร็จบอกเลยว่าเท่าไร แทนที่จะเป็นคนซื้อ ก็กลายเป็นคนขายไป ขายให้กับตัวเอง
เราจะเห็นประโยชน์ชัด ๆ ว่าสภาพจิตที่นิ่ง เรื่องของการคาดคำนวณสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องโลก ๆ เป็นของง่ายมาก เพราะว่าการดับกิเลส เราต้องดับกิเลสให้ทัน ซึ่งยุ่งกว่านั้น มีรายละเอียดมากกว่านั้น ดังนั้น..ถึงได้กล้าบอกกับเด็ก ๆ เต็มปากเต็มคำว่า ในเรื่องของการเรียน ถ้าเราฝึกสมาธิมา จะเรียนเก่งทุกคน
ตอนนี้อาตมาจบปริญญาโทแล้ว ยังสามารถรักษาที่ ๑ เอาไว้ได้ แต่ปริญญาโทไม่มีเกียรตินิยม ไม่อย่างนั้นจะเอาเกียรตินิยมมาอวดอีกใบ"
"ถึงเวลาแล้วกำลังใจที่ฝึกมา สามารถต่อสู้กับกิเลสหยาบ ๆ ก็คือพวกอบายมุขต่าง ๆ ได้ แต่เพื่อน ๆ สู้ไม่ได้เพราะว่าเขาไม่เคยฝึกเรื่องนี้มา แต่ว่าเรื่องความจำที่เห็นผลชัดที่สุดคือ ถึงเวลาเลิกงานต้องไปเล่าเรื่อง "เพชรพระอุมา" ให้เพื่อนทั้งแผนกฟัง
หนังสือเพชรพระอุมา ๑๘ เล่มใหญ่ ๆ (ตอนนั้นภาค ๑ ยังเป็นชุดปกแข็ง ๑๘ เล่ม ต่อมาปรับเป็น ๒๒ เล่ม แล้วถึงมาปรับเป็น ๒๔ เล่ม) นั่งเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนนั่งฟังแน่นไม่ไปไหนเลย เพราะว่าสามารถที่จะเล่าได้เหมือนอย่างกับเปิดหนังสืออ่าน เพราะฉะนั้น..ถ้าจำทั้ง ๑๘ เล่มได้นี่ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงหรอก"
ถาม : เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทุกวันนี้อยู่มาได้ ก็ดูลมหายใจเข้าออก ?
ตอบ : นั่นแหละ..ดีแล้ว เราต้องตั้งสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้าเราจับลมหายใจเข้าออกได้เป็นปกติ โรคต่าง ๆ ก็เหมือนกับไม่มี เพราะว่าใจไม่ได้ไปอยู่ที่ร่างกาย ใจไปอยู่ที่ลมหายใจแทน
ถ้าโยมเป็นอย่างอาตมาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่หรอก เพราะทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนอาการจะกำเริบ แล้วคิดดูว่าช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อยขนาดไหน ? ครึ้มฟ้าครึ้มฝนหน่อย อาตมาก็หมดสภาพไปแล้ว
ถาม : วิธีที่ถูกต้องคือ..?
ตอบ : พยายามให้เห็นโทษของร่างกายนี้ จนไม่อยากอยู่กับร่างกายนี้อีก เราไปพระนิพพานดีกว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เราไม่ต้องการอีกแล้ว เกิดมาในโลกที่มีแต่ความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว เป็นพรหมเทวดาพ้นทุกข์ชั่วคราวเราก็ไม่เอา เพราะเกิดใหม่เราก็ทุกข์อีก ฉะนั้น..เราไปพระนิพพานที่เดียว
เอากำลังใจเกาะภาพพระหรือลมหายใจเข้าออกไว้ คิดว่าตายเมื่อไรเราขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ส่วนโรคจะหายหรือไม่หายก็เรื่องของโรค ไม่ใช่เรื่องของเรา
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาแค่ว่าถ้ารัก โลภ โกรธ หลง มาแล้วเราดูทันก็พอ ไม่ต้องไปดูอย่างอื่น รู้ทันแล้วก็ไม่ต้องไปไล่ฆ่าไล่ฟัน พวกนี้อาย พอรู้ทันเขาก็เลิก มีสติรู้เท่าทันอยู่กับปัจจุบันก็พอ ควบคุม กาย วาจา ใจ ให้อยู่ในกรอบของศีล ถ้าหากความชั่วจะล้นออกมา ก็อย่าให้ล้นออกไปหาคนอื่น ยอมอกแตกตายอยู่คนเดียวดีกว่า
ถาม : เพียงแค่ให้สวดโพชฌงค์ แล้วหายจากอาการป่วยได้หรือครับ ?
ตอบ : เนื้อหาของโพชฌงค์ท่านบอกให้เราวางกำลังใจอยู่กับหลักธรรม ในเมื่อเอาใจอยู่กับธรรมะไม่ได้อยู่กับร่างกาย อาการป่วยหนักก็กลายเป็นเบา อาการป่วยเบาก็กลายเป็นหาย เพราะสภาพจิตทรงตัวขึ้นมา
ถาม : ฟังแล้วเกิดความสบายใจ ?
ตอบ : ฟังแล้วเหมือนกับอาศัยเสียงสวดมนต์โยงใจให้เป็นสมาธิ สวดไว้ได้ทุกวันแหละดี เพราะเป็นอานิสงส์แก่ตัวเอง อย่างน้อยที่เราทำเป็นการเคารพพระรัตนตรัย ใจเราเกาะพระอยู่แล้ว
ถาม : ภาวนาแล้วทำไมลมหายใจติดขัดคะ ?
ตอบ : ลองหายใจยาว ๆ ๓ - ๔ ครั้งก่อน แล้วค่อยภาวนา บางทีลมหายใจหยาบ ถ้าหากว่าพูดง่าย ๆ ก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในร่างกายเยอะเกินไป หายใจยาว ๆ สัก ๓ - ๔ ครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด แล้วค่อยภาวนา
ถาม : สงสัยในการปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น..ถือว่ามีปัญญาด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าสงสัยแล้วให้สามารถไขข้อข้องใจได้ด้วย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นขวางการปฏิบัติไปเรื่อย เพราะว่าสงสัยไม่เลิก
ถาม : ป่วยเป็นไซนัส ?
ตอบ : เด็กเป็นไซนัสมีแนวโน้มมาจากภูมิแพ้ อย่าให้กินนมวัวเดี๋ยวอาการก็ดีขึ้นเอง ให้กินพวกนมถั่วเหลือง อย่างนมถั่วเหลืองที่เขาเขียนว่า "เจ" ถ้าเป็นนมถั่วเหลืองทั่วไปจะผสมนมวัว ๑๕ เปอร์เซ็นต์ กินเข้าไปก็ยังป่วยเหมือนเดิม
พระอาจารย์เล่าว่า "การสืบสายตามลำดับรุ่น โบราณใช้คำว่า "ผู้ดีแปดสาแหรก" ถ้าพวกเราไปดูตารางสืบสายลำดับรุ่น จะเห็นว่าเขาโยงลงมาเป็นสาแหรก ฉะนั้น..บรรดาตระกูลผู้ดีเขาต้องสืบขึ้นไปได้ ๘ รุ่น ก็เลยเรียกว่าผู้ดีแปดสาแหรก
ฉะนั้น..พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีของเรา เอาแค่สืบสายจากรัชกาลที่ ๑ ลงมา สาแหรกก็มโหฬารแล้ว ส่วนใหญ่ไขว้กันไปไขว้กันมาจนกลายเป็นญาติกันหมด เราสังเกตไหมว่า พอถึงเวลาตรุษจีนในวังจะมีงานสังเวยพระป้าย ก็คือป้ายสถิตวิญญาณของคนจีน อันนั้นก็คือสาแหรกหนึ่งที่มาทางสายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะว่าท่านเป็นจีนแท้เลย ลูกของนายอากรบ่อนเบี้ย
เรามาสังเกตดูพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ กับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิตติยาภา "พระองค์โสม" ยังไม่เท่าไร แต่ "พระองค์ภา" ออกไปทางคนจีนชัด ๆ เลย เพียงแต่ท่านดูดีแล้วก็น่ารัก เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเชื้อจีนก็มีอยู่เต็ม ๆ ในราชวงศ์
ถ้าหากว่าสืบสายไปถึง ๘ สาแหรกแล้ว คนจีนใช้คำพูดว่า "ห้าร้อยปีก่อนเรามีปู่ทวดคนเดียวกัน" สำหรับคนอื่นไม่รู้ แต่สำหรับตระกูลอาตมามี ๕ แซ่ด้วยกัน ถ้าสืบสายขึ้นไปนี่ ปู่ทวดเป็นคนเดียวกัน ท่านมาจากนายทหาร ๘ กองธงที่พิทักษ์ราชวงศ์ชิง คราวนี้พอหยวนซื่อข่ายกับดร.ซุนยัดเซน ล้มล้างราชวงศ์ชิง ก็ต้องตัดแขนตัดขาพวกบรรดาที่เป็นมือเป็นเท้าของทางราชวงศ์ จึงต้องตามล่านายทหารทั้ง ๘ กองธงนี้"
"ปู่ทวดมีลูกชาย ๕ คน จึงให้เปลี่ยนออกเป็น ๕ แซ่ด้วยกัน ปกติคนจีนต่อให้เป็นตายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแซ่ แต่นี่บรรพบุรุษสั่งจึงต้องเปลี่ยน แล้วให้จดจำไว้ว่าทั้ง ๕ แซ่นี้ก็คือพี่น้องกัน ให้สั่งลูกสั่งหลานไว้เลยว่าถ้าหากว่าเจอ ๕ แซ่นี้เป็นพี่น้องกัน แต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันหลบหนีไป
ทางด้านตระกูลของปู่ ก็คือพ่อเข้ามาเมืองไทย แล้วก็มาเจอสายเดียวกันจริง ๆ แม้ว่าจะคนละแซ่ แต่เรารู้ว่าเป็นตระกูลเดียวกัน เพราะว่าปู่กับพ่อจะคอยเล่าตำนานเรื่องนี้ให้ฟังอยู่เสมอ ฉะนั้น..บรรดาลูก ๆ ก็จะจำได้ว่าแซ่ทั้ง ๕ นี้คือญาติพี่น้องกัน แต่คนจีนเขามีการนับกันตามลำดับรุ่น แซ่อื่นเขาไปกันเร็วเพราะแต่งงานเร็ว แต่ว่าทางด้านสายแซ่ของอาตมาแต่งงานช้า ลำดับรุ่นก็เลยสูงมาก ถึงเวลาอายุคนรุ่นราวคราวเดียวกันก็ต้องเรียกอาตมาเป็นเจ็กกง แปะกง"
ถาม : ตอนที่คุยกับเพื่อนชาวต่างชาติ เขาแปลกใจมากที่คนไทยเปลี่ยนนามสกุลง่ายมาก ของเขาจะเปลี่ยนนามสกุลใหม่จะต้องดูว่าสีประจำตระกูลสีอะไร ? มีตราประจำตระกูลอะไร ?
ตอบ : อันนั้นเขาเรียกว่ายังหวงตระกูล คนไทยเขาไม่หวง เพราะปกติเราไม่มีนามสกุลอยู่แล้ว คนไทยเราเริ่มมีนามสกุลสมัยรัชกาลที่ ๖ ขนาดสมัยอาตมาเด็ก ๆ คนทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ เขาสืบสายตระกูลขึ้นไปได้หมดแหละ พอบอกว่าเป็นใครหรือลูกใครเท่านั้นแหละ เขาจะบอกเลย อ๋อ..ปู่เอ็งคนนั้น ทวดเอ็งคนนั้น เขาบอกได้หมดเลย เขาใช้วิธีจำอย่างนี้
แต่พอระยะหลังคนมากขึ้น ๆ จำกันไม่ไหวก็ต้องมีนามสกุลขึ้นมา ขนาดมีนามสกุลแล้ว ลองไปดูทะเบียนราษฎร์สิ ชื่อเดียวกันนามสกุลเดียวกันเป็นสิบ ๆ ก็มี จนกระทั่งบางคนไม่ได้ทำคดีอะไรไว้เลย จู่ ๆ โดนหมายเรียก เพราะชื่อนามสกุลตรงกัน
อาตมาเองตอนเรียนมัธยม มีรุ่นพี่แต่เขามีศักดิ์เป็นหลาน ถึงบอกว่าลำดับตระกูลของตัวเองสูงมาก เขาเป็นรุ่นพี่ ๒ ปีแต่มีศักดิ์เป็นหลาน ชื่อเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน เป็นญาติกัน พอเขากลับไปบอกทางบ้าน กลับโดนพ่อเขาด่า บอกว่าดันไปตั้งชื่อเดียวกับอาได้อย่างไร โอ้โห..พ่อเขาพูดออกมาได้ ก็เขาเกิดก่อน สรุปแล้วเขาต้องเปลี่ยนชื่อ คนอาวุโสกว่าได้เปรียบ ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งที่เกิดทีหลัง
บางทีทางไทยเราคิดนามสกุลไม่ทัน ก็ใช้ชื่อปู่ย่าตาทวดมาผสมกันเป็นนามสกุลเยอะแยะไป ส่วนนามสกุลของชาวต่างชาติเองก็มีพวกคาร์เพ็นเตอร์ อาชีพช่างไม้ สมิธ พวกช่างทอง ช่างเหล็ก เขาก็สืบสายกันไปก็ได้ สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็ยังมีนะ นามสกุล ชาวนา ชาวไร่ มีจริง ๆ ยังมีเพื่อนหลายคนที่นามสกุลแบบนี้ นายทะเบียนคิดไม่ทันก็ใส่ไปเรื่อย
ตอนนี้ที่ทองผาภูมิ พวกบรรดา มอญ พม่า ทวาย กะเหรี่ยง ได้รับบัตรไทยมากขึ้น ขอให้ตั้งชื่อ-นามสกุลใหม่ให้ พระต้องรับภาระหนักมากเลย แล้วอยู่ ๆ ฟ้าก็มาโปรด ทางเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ ส่งนามสกุลมาให้ ๑ เล่มใหญ่ เป็นนามสกุลที่สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานมาให้
ฉะนั้น..ใครต้องการนามสกุลก็ไปเปิดหาเอา ถูกใจอันไหนก็ขีดเลือกเอาไว้ นายทะเบียนก็ลงให้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นภาระของพระต้องมาตั้งให้ล้วน ๆ แต่เขามีกติกาว่าตั้งนามสกุลได้ก่อน ส่วนชื่อยังเปลี่ยนเป็นไทยไม่ได้ จนกว่าจะครบ ๕ ปีแล้วเปลี่ยนบัตรใหม่ ถึงจะตั้งชื่อไทยได้ ถ้าภายใน ๕ ปี มีคดีขึ้นโรงพัก จะไม่ได้บัตรไทย เพราะฉะนั้น..ช่วงนี้ทองผาภูมิสงบเงียบเรียบร้อย ไม่มีคดีอะไรหรอก เพราะเขาอยากได้บัตรไทยกัน
ทองผาภูมิจะแยกออกเป็นจังหวัดจึงต้องเพิ่มประชากร ที่เราเห็นจำนวนเป็นล้านคนนั่นพวกต่างด้าวทั้งนั้น ประชากรไทยจริง ๆ มีไม่ถึงร้อยละ ๓๐ ก็เลยไม่เพียงพอที่จะแยกเป็นจังหวัด ตอนนี้ศาลจังหวัดมีแล้ว ขนส่งจังหวัดมีแล้ว เรือนจำจังหวัดมีแล้ว อะไรที่เป็นของจังหวัดเขาไปตั้งไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ทำงานไปตามปกติ แต่ยังเป็นจังหวัดไม่ได้ เจ็ดแปดปีแล้วก็ยังเป็นไม่ได้สักที
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนก็ปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ไปเรื่อย ๆ ป้ายชื่อเจ้าภาพเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พระชำระหนี้สงฆ์ ๓๖ องค์ ญาติโยมจ่ายครบแล้ว ๓๕ องค์ ยังขาดอีก ๑ องค์ ความจริงไม่ได้ขาดหรอก แต่อาตมาขี้เกียจโทรไปทวง เจอหน้ากันครั้งหนึ่งโยมก็นึกถึงครั้งหนึ่ง อาตมาไม่มีนิสัยโทรไปทวงใคร ปล่อยเขาตามสบาย..นึกได้เมื่อไรเดี๋ยวก็เอามาให้เอง
ส่วนสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอก ฐานกำลังขึ้นชั้น ๒ อยู่ จริง ๆ คำว่าชั้น ๒ ก็คือ ชั้นแรกนั่นแหละ แต่ว่าเป็นดาดฟ้าข้างบนที่จะไว้ตั้งพระ ข้างล่างที่ยกขึ้นมา ๔ เมตรนั้นจะเอาไว้ทำเป็นห้องประชุม เพราะว่าฐานพระกว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ก็ประมาณห้องโถงนี้เลย (บ้านวิริยบารมี) นึกเอาแล้วกันว่าองค์พระหน้าตัก ๒๑ ศอก จะใหญ่แค่ไหน
จะเทองค์พระวันที่ ๗ – ๑๕ กรกฎาคม ประมาณ ๑ อาทิตย์ ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครต้องการอานิสงส์ไปช่วยกันลุยได้ เดี๋ยวจะสั่งซื้อกระป๋องปูนมาสัก ๓๐๐ ใบ แต่เห็นช่างปูนเขาบอกว่าเสียเวลา เขาเองมีอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ ลักษณะเหมือนอย่างกับกรวยใหญ่ ๆ สามารถเทปูนใส่ยกขึ้นไปปล่อยพรวดเดียวได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาหิ้วกันนาน"
พระอาจารย์ถามโยมท่านหนึ่งว่า "คุณแม่อยู่คนเดียว คุณพ่อเสียไปแล้วใช่ไหมจ๊ะ ? (โยมตอบว่าใช่) อาตมามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าใช่ เพราะว่าโหงวเฮ้งคุณแม่เขาเป็นแม่หม้ายแล้ว ตำราโหงวเฮ้งของอาตมาแม่นมาก ดูได้ทุกคน จริง ๆ แล้วอยากจะถ่ายทอดให้สาว ๆ เอาไว้ จะได้รู้ว่าคนไหนมีลูกมีเมียแล้วมาหลอกเราหรือเปล่า
แต่คราวนี้ตอนที่เรียนรู้ อาตมาไปสัญญากับอาเจ็กที่สอนให้ว่าจะไม่ถ่ายทอดต่อ เพราะว่าสมัยก่อนเรื่องพวกนี้จะเป็นเรื่องที่เอาไปข่มขู่คุกคามกันได้ อย่างสมัยอาตมาเรียนมัธยม มีรุ่นพี่คนหนึ่งท้องตอนที่เรียนอยู่ ต้องย้ายหนีไปจังหวัดอื่นเลย เพราะโดนเขาด่ากันทั้งตำบล สมัยก่อนเรื่องชู้สาวเป็นเรื่องที่รับกันไม่ได้เลย
เวลาอาตมาไปขอเรียนโหงวเฮ้ง ท่านก็เลยต้องบังคับ ให้สาบานเอาไว้ว่าจะไม่ถ่ายทอดต่อ เพราะกลัวคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมจะเอาไปหักหลังคนอื่น ไปข่มขู่เขา ว่าฉันรู้ความลับแกนะ ถ้าไม่จ่ายเงินมาฉันจะเปิดเผยให้หมดเลย อะไรอย่างนี้
เวลาที่บอกโยมบางคนว่าดูออกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนนั้นมีสามีหรือภรรยามาแล้วหรือยัง ? กำลังมีอยู่หรือไม่ ? บางคนไม่เชื่อ แต่นี่ยืนยันได้ว่าอาตมาดูแม่น แค่มองหน้าก็รู้แล้ว ไม่ใช่ทิพจักขุญาณหรอก เป็นเพราะโหงวเฮ้งจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ใครมีสามีภรรยาแล้วจะมาทำเนียนหลอกอาตมาไม่ได้หรอก หลอกได้แต่คนอื่นเท่านั้น"
พระอาจารย์เล่าเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยว่า "สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อีกประมาณล้านปีข้างหน้า พวกเราจะอยู่กันถึงหรือเปล่า ? พระองค์ทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก เป็นศอกของพระองค์ท่านด้วยนะ ไม่ใช่ศอกของเรา พระองค์ท่านมีภารกิจอย่างหนึ่งก็คือ ต้องเอาสังขารของพระมหากัสสปะมาเผาในพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน เนื่องจากเวรกรรมที่เนื่องกันมาในอดีต
ในอดีตพระศรีอาริยเมตไตรยเป็นควาญช้าง พระมหากัสสปะเป็นช้างทรงของพระเจ้าแผ่นดิน วันนั้นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสอุทยาน อุทยานสมัยก่อนมีลักษณะเหมือนกับอุทยานแห่งชาติสมัยนี้ คือเป็นป่าส่วนพระองค์ของพระราชา ปรากฏว่าช้างทรงอยู่ ๆ ก็วิ่งเตลิด พระราชาหลบกิ่งไม้ใบหญ้าแทบไม่ทัน ท้ายสุดเห็นว่าอันตรายมาก ก็เลยคว้ากิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่เตี้ย โหนพระวรกายขึ้นไปอยู่ข้างบน จึงรอดไปได้
พอกลับมาพระองค์พิโรธมาก ว่าควาญช้างฝึกช้างประสาอะไร ถึงได้เตลิดขนาดนั้น ตั้งใจจะลอบปลงพระชนม์หรืออย่างไร จะสั่งประหารชีวิต ควาญช้างกราบทูลว่า ช้างทรงน่าจะได้กลิ่นช้างตัวเมีย ก็เลยเตลิดหายไป ไม่อย่างนั้นแล้วช้างทรงเชือกนี้สามารถบังคับได้ทุกอย่าง พระราชาไม่เชื่อ บอกว่าให้ทดสอบดู ถ้าบังคับไม่ได้อย่างที่ว่าก็จะประหารเสีย
ควาญช้างก็เลยต้องไปตามช้างทรงกลับมา ตอนนั้นช้างทรงเจอช้างตัวเมียพอใจแล้วก็ยอมกลับ กลับมาถึงพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งว่า ไหนลองบังคับช้างให้ได้อย่างที่ปากพูดสิ ควาญช้างก็เลยเอาแท่งเหล็กเผาจนแดง แล้วบังคับให้ช้างเอางวงจับแท่งเหล็กนั้นขึ้นมา ช้างก็ยอมเอางวงจับแท่งเหล็กขึ้นมา แต่คราวนี้ด้วยความที่แท่งเหล็กร้อนจัด ช้างทนไม่ไหวก็เลยตาย
พระราชาเห็นก็สลดพระทัยว่า โอหนอ...ไฟราคะรุนแรงขนาดนี้เลยหรือ ? ขนาดช้างทรงที่เชื่องเชื่อขนาดนี้ ควาญช้างบังคับให้หยิบแท่งเหล็กแดง ๆ ยังกล้าหยิบได้ แต่ถึงเวลาแล้วกลับไม่ฟังการบังคับเลย เตลิดไปหาช้างตัวเมียด้วยอำนาจของไฟราคะ เพราะเหตุนี้เมื่อช้างมาเกิดใหม่เป็นพระมหากัสสปะ พอพระมหากัสสปะมรณภาพก็ยังไม่สามารถที่จะเผาสังขารของตนเองได้ ลูกศิษย์ลูกหาจัดการไม่ได้ ต้องเก็บสังขารเอาไว้ก่อน รอพระศรีอาริยเมตไตรยที่เป็นควาญช้างมาเกิดใหม่ แล้วเผาด้วยเตโชธาตุในฝ่าพระหัตถ์
เรานึกดูว่าพระมหากัสสปะสูง ๘ ศอกของสมัยพุทธกาล กับ ๘๘ ศอกของพระศรีอาริยเมตไตรย เทียบแล้วพระมหากัสสปะก็น่าจะประมาณถั่วสักเมล็ดในฝ่ามือเท่านั้น แล้วเผาด้วยเตโชธาตุ เตโชธาตุนี้อธิษฐานให้เผาแค่ไหนก็เผาแค่นั้น ถ้าตั้งใจจะเผาแต่เสื้อผ้า แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่ไหม้ ท่านเองก็ไม่ร้อนอะไรหรอก แต่ว่ากรรมเนื่องกันมาจึงต้องทำอย่างนั้น"
"ถ้าใครต้องการจะไปเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านสั่งเอาไว้ว่า ให้ปฏิบัติในกรรมบถสิบเป็นปกติ แล้วตั้งใจไปเกิดในยุคของท่าน ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านเทศน์ทีเดียวก็ยกคณะไปพระนิพพานเลย แต่ว่ารอนานนะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารมีดี มีเลว มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ มีรวย มีจน ปะปนกันไป
ถ้าหากว่าเป็น พระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ สร้างบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารจะดีสวยรวยเสมอกันหมด เขตที่พระองค์ท่านประกาศศาสนา คนชั่วเข้าไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะแบบพระศรีอาริยเมตไตรย บริวารนอกจากดี สวย รวยเสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้เลย สรุปว่าที่สร้างบารมีแทบเป็นแทบตายก็คือทำเพื่อบริวาร ยอมเหนื่อยกว่าท่านอื่นเป็นเท่า ๆ ตัว
อาตมานึกว่าแค่คนชั่วเข้ามาในเขตไม่ได้ก็ดีใจจะแย่แล้ว..ใช่ไหม ? นี่โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ เกิดเฉพาะคนดีที่เป็นบริวารท่าน แล้วเทศน์กันทีก็ยกคณะไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามาฟังกันนาน
สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาสอนให้ทำบุญแล้วอธิษฐานว่า ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาพบพระศรีอาริยเมตไตรย อาตมาก็ว่าตามเขามาตลอด กว่าจะรู้จักคำว่าพระนิพพาน ก็ตอนอายุ ๑๖ ปีแล้วได้มาเจอหลวงพ่อฤๅษี พอเวลาท่านนำอธิษฐานจึงได้ขอให้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้
อาตมาก็คิดว่า เอ..ลุงมัคคนายกแกอธิษฐานทีไร ก็ขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ส่วนหลวงพ่อท่านเอาชาติปัจจุบันนี้ แค่คิดดูเท่านั้น หลวงพ่อท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ถ้าต้องการก็ชาตินี้ มัวแต่ไปรออนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น ชาติไหนไม่รู้ ลำบากอีกนาน มีใครเคยเจออนาคตกาลแบบอาตมามาบ้าง ? "ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ" ทำบุญเมื่อไรมัคคนายกก็นำอธิษฐานแบบนี้ทุกที"
"จริง ๆ แล้วคำว่ามัคคทายกเรียกว่าทายกไม่ได้นะ ต้องเรียกนายก เพราะว่าคำเต็ม ๆ คือ มัคคนายก นายกแปลว่าผู้นำ มัคคะแปลว่าหนทาง มัคคนายก คือ ผู้นำทางในการทำความดี
ถ้ามัคคทายก ทายกแปลว่า ผู้ให้ ผู้ให้ทาน (การสงเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์) เขาเอามาปนกันระหว่างคำว่า มัคคนายกที่เป็นคำถูกต้อง + คำว่าทายก กลายเป็นมัคคทายก เป็นคำผิด ฉะนั้น..ที่ถูกต้อง คือ มัคคนายก"
พระอาจารย์เล่าถึงชื่อเก่าของแต่ละจังหวัดว่า "สมัยแรก ๆ ที่อาตมาไปวัดท่าซุง ที่พักของโยม คือ ศาลาธรรมสถิตย์ โยมเข้ามาพักกันเป็นคณะ ห้องหนึ่ง ๒๕ – ๓๐ คน หลวงพ่อท่านร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เย็น ๆ จึงลงไปเยี่ยมญาติโยมที่มาทำบุญ ชวนโยมคุย
โยมเขามาคณะเดียวกัน หลวงพ่อถามโยมคนแรกว่า "มาจากไหน ?" "มาจากโคราชเจ้าค่ะ" "แล้วของโยมล่ะ ?" "มาจากนครราชสีมา" "มาคนละจังหวัดได้ ไหนบอกคณะเดียวกัน" บางทีเพราะความเคยชิน เขาไปเรียกชื่อเก่าเมืองเก่า อย่างสระบุรีสมัยก่อนเรียกปากเพรียว ปทุมธานีเรียกสามโคก นครปฐมยังเป็นนครชัยศรีอยู่ สมุทรปราการก็เป็นพระประแดง
เวลาไปเรียกชื่อเก่าเข้า คนรุ่นหลัง ๆ บางทีไม่รู้จัก อย่างที่เขาว่า "..พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว.." เปลี่ยนจากสามโคกเป็นปทุมธานี สมัยก่อนที่ชื่อสามโคกเพราะว่าพวกบรรดามอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ให้ไปอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าสามโคก ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ชื่อสามโคกหรอก ตรงนั้นเป็นทุ่งนากับป่าละเมาะ เหมาะที่จะทำไร่ทำนา
แต่พวกมอญมีฝีมือในการเผาอิฐแล้วก็ทำภาชนะด้วยดินเผา เขาก็เลยก่อเตาเผาขึ้นมา ทำไปทำมาขายดี เพราะว่าคนไทยทำได้ไม่ดีเหมือนของคนมอญ ในเมื่อขายดีก็ขยายใหญ่ขึ้น มีเตาที่ ๒ เตาที่ ๓ คราวนี้เตาใหญ่ขึ้น เวลาทิ้งร้าง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นคลุมก็กลายเป็นเนินใหญ่ เขาเลยเรียกโคก จะผ่านไปตรงนั้นพอคนเขาถามว่าไปไหน ? "ไปทางสามโคก" ไป ๆ มา ๆ ชื่อก็เลยกลายเป็นเมืองสามโคก ชื่อบ้านนามเมืองเขามีที่มา แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รู้จักชื่อเก่ากัน"
"นครปฐมมีศาลายาทุกคนรู้จัก แล้วศาลาธรรมสพน์รู้จักไหม ? ศาลาธรรมสพน์ตัวนี้เป็นภาษาสันสกฤต จริง ๆ แล้วสมัยโบราณตรงนั้นเป็นที่เผาศพ เขาเรียกศาลาทำศพ ก็คือเอาศพไปทำกันตรงนั้น รักษาที่ศาลายาไม่หาย ก็ยกไปเผากันที่ศาลาทำศพ
แต่ทีนี้พอคนได้ยินชื่อแล้วรู้สึกหวาดเสียว ทางราชการก็เลยเปลี่ยนเป็น ศาลาธรรมสพน์ แต่กลายเป็นธรรมสวนะ คือศาลาฟังธรรม ทีนี้ภาษาบาลีเป็น ว.แหวน พอไปเป็นสันสกฤต เขาเปลี่ยนเป็น พ.พาน จากธรรมสวนะจึงกลายเป็นธรรมสพน์ ไปรักษาที่ศาลายา รักษาไม่หายก็แปลว่าอีกไม่นานก็ต้องมาที่ศาลาทำศพ
ไม่มีใครเขาสงสัยบ้างหรือว่า ตลิ่งชันอยู่กรุงเทพฯ คือกรุงธนบุรีเก่า แล้วทำไมท่าแฉลบไปอยู่นครปฐม ? เขาเรียกตามลักษณะแม่น้ำลำคลองสมัยก่อน ท่าน้ำที่มีลาดขึ้นยาวมากเขาเรียกท่าแฉลบ บางคนเรียกง่าย ๆ ท่าน้ำตื้น แต่ทางธนบุรีดินถล่มอยู่เรื่อย ตลิ่งเกือบจะตั้งฉากเลย เขาจึงเรียกตลิ่งชัน ตรงส่วนที่ก่อนจะถึงเขาเรียกว่างิ้วราย เพราะว่ามีต้นงิ้วริมคลองเรียงเป็นตับ
คำว่ารายในที่นี้คือเรียงราย มีศาลายา มีสถานีรถไฟต้นสำโรง สำหรับต้นสำโรงนี่เป็นต้นไม้เนื้ออ่อน ลักษณะเดียวกับตระกูลต้นนุ่น ชอบขึ้นใกล้น้ำ เพราะฉะนั้น..นครปฐมจะเป็นต้นสำโรง ถ้าลพบุรีจะเป็นโคกสำโรง"
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อสมปองเอาผ้าป่าไปถวายที่เกาะพระฤๅษี เฉพาะเหรียญสลึง ๑ ถังสังฆทานพอดี..! คนถวายคงปลื้มใจมากเลย อุตส่าห์ไปแลกเหรียญสลึงมาถวายโดยเฉพาะ เหรียญใหม่เอี่ยมเลยนะ อาตมานับแทบตายได้มา ๗ พันบาทถ้วน..!
ต่อไปคนประเภทนี้เวลาได้อะไร เขาจะต้องได้ของประเภทแกะออกสัก ๕๐ ชั้น แล้วเหลือของข้างในนิดหนึ่ง เขาตั้งใจแลกมาถวายด้วยความปลื้มใจมาก ถวายเหรียญใหม่ ๆ แต่เล่นเอานับกันแทบตาย"
พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "ถ้าใจอยู่กับตัว มีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไร เราก็จะไม่ตกใจ แต่ถ้าใจไม่อยู่กับตัว ออกนอกแล้ววิ่งกลับเข้ามารับรู้เร็ว ๆ เขาเรียกว่าตกใจ เพราะฉะนั้น..อย่าส่งใจออกนอก"
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้ทองผาภูมิของที่ออกมากเป็นของป่า มีดอกดินเต็มตลาดเลย นอกจากนี้ก็มีผักกูด บุก อีลอก อีลอกก็คือบุกชนิดหนึ่ง พอฝนลงมาของป่าก็ออกกันเต็มไปหมด
http://www.tidso.com/board_3/picupreply/5927-9-1213034829.JPG
อีลอก
ตอนนี้ในเว็บวัดท่าขนุนกำลังสอนการยังชีพในป่ากันอยู่ ในป่าของที่กลัวว่าจะกินผิดจริง ๆ ก็คือหนามขี้แรด หน้าตาเหมือนกับชะอมทุกประการเลย คนที่ไม่เคยชินจะคิดว่าเป็นชะอม แต่อย่าเอามากินเป็นอันขาด ถ่ายท้องถึงตาย..! ถ้าหากว่ารอบคอบสักหน่อย เด็ดสักยอดสองยอดก็จะรู้แล้วว่าไม่ใช่ชะอม เพราะไม่มีกลิ่น ชะอมจะมีกลิ่นฉุน ส่วนหนามขี้แรดไม่มีกลิ่น ของที่จะกินผิดก็คือของที่เราไม่คุ้นเคย แต่มีหน้าตาไปคล้ายของที่เราเคยกิน
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=16831&stc=1&d=1334897474
หนามขี้แรด
การหาของกินในป่า บางทีก็ขึ้นอยู่กับดวง เจออะไรก็ต้องกินอย่างนั้น บางอย่างไม่ใช่ว่าเราเดินไปแล้วจะเจอเต็มไปหมดนะ บางทีเดินเป็นวันก็ยังไม่เจออะไรเลย อย่างอาตมาที่ไปกับท่านโมเช่ เดินอยู่ ๓ วันเจอแต่ดงต้นชะอม ตกลง ๓ วันนั้นกินแต่ชะอมทุกวัน กินจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เข็ดไปตาม ๆ กัน เพราะเดินไม่พ้นเขตชะอมเสียที
ด้วยความที่ว่าเป็นเด็กบ้านนอกอยู่กับต้นชะอมมา ก็คิดว่าชะอมเป็นไม้ยืนต้น ความจริงแล้วชะอมเป็นไม้เลื้อยกึ่งยืนต้น แต่ชะอมที่บ้านเราเป็นไม้ยืนต้นเพราะเขาทำในลักษณะปลูกเป็นรั้ว จึงไม่มีโอกาสที่จะเลื้อย เพราะยาวขึ้นมาก็โดนเด็ด ไปเจอในป่าเลื้อยเถาหนึ่งนี่เต็มภูเขาไปเลย เดินมุดเดินลอดกันไป เก็บไปเรื่อย ๆ ท่านโมเช่ท่านเป็นตาฤๅษี ท่านก็เก็บใส่ย่ามไปเรื่อย ๆ พอได้เวลามื้ออาหารก็เอามาทำกิน
จะไปหวังชะอมทอดไข่ก็ไม่ได้ เพราะอยู่ในป่า อย่างเก่งก็ต้มจิ้มน้ำพริก บางเที่ยวเดินไปตลอดทางก็เจอแต่ผักกูด ผักกูดจะว่าไปก็อร่อย แต่ว่าเจอเข้าไปหลาย ๆ วันก็เริ่มเบื่อเหมือนกัน"
ถาม : ชาวบ้านเขาบอกว่าสร้างโบสถ์เสร็จเจ้าอาวาสจะตาย ?
ตอบ : เขาถือกันอย่างนั้น ความจริงสมัยก่อนเขาสร้างโบสถ์กันทีหลายสิบปีกว่าจะเสร็จ แล้วเจ้าอาวาสมักจะแก่ตายพอดี เพราะใจมุ่งอยู่กับการสร้างโบสถ์ก็อยู่ได้ พอโบสถ์เสร็จกำลังใจคลายตัวก็ตายพอดี คราวนี้พอเจอตายเข้า ๒ – ๓ ราย ติด ๆ กันเขาก็เลยถือ เพราะฉะนั้น..ช่วงที่เขาผูกพัทธสีมาจะให้เจ้าอาวาสไปอยู่ที่อื่น เข้าใจว่าจะได้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมนั้นไป
ความจริงเป็นความเชื่อเฉย ๆ ถามว่าต้องไปไหม ? ชาวบ้านเขาเชื่อ คุณไปเสียหน่อยแล้วกัน ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรขึ้นมา ชาวบ้านเขาเครียดตายเลย อย่างน้อย ๆ ให้โยมเขาได้ทำตามความเชื่อหน่อย กำลังใจเขาจะได้ดีขึ้น
ถาม : ลูกนิมิตลูกที่เก้า..?
ตอบ : เขามีเอาไว้ให้ครบเก้า แล้วดันเป็นนิมิตลูกที่แพงที่สุดด้วย จริง ๆ แล้วลูกนิมิตเขาต้องการแค่ ๘ ลูกเท่านั้น ลูกตรงกลางไม่ต้องมีก็ได้ แต่ว่ากลายเป็นว่าเขาต้องการเลข ๙ ซึ่งเป็นเลขที่เรานิยมว่าเป็นมงคล
ความเชื่อของชาวบ้าน เราไม่ทำตามก็อยู่ยาก เพราะว่าขนบธรรมเนียมประเพณี ระเบียบวินัยและกฎหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งที่บังคับคนในสังคม อย่างสังคมพระก็เป็นระเบียบวินัย หากเป็นสังคมชาวบ้านก็เป็นกฎหมายบ้านเมือง ยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นความเชื่อซ้อนอยู่อีกชั้น ในเมื่อเขาเชื่อว่า ถ้าหากว่าผูกพัทธสีมาแล้วเจ้าอาวาสจะตาย คุณก็ต้องเชื่อตามเขา ถึงเวลาเขาก็ไล่เจ้าอาวาสไปไกล ๆ วัด ให้ไปอยู่ที่อื่น ผูกพัทธสีมาเสร็จแล้วค่อยกลับวัด
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ญาติโยมมาบ้านวิริยบารมีมาก แต่บ่นว่ารถติดเพราะขบวนธุดงค์ อาตมาเองก็นึกว่าธุดงค์น่าจะอยู่ในป่า ท้ายสุดก็สรุปได้ว่าเขาธุดงค์กันในป่าคอนกรีต เขาทำถูกแล้ว อาตมาคิดผิดเอง
การธุดงค์ในป่าคอนกรีตก็มีอันตรายจากรถยนต์ เหมือนอย่างกับเดินอยู่กลางโขลงช้าง จะโดนเหยียบแบนเมื่อไรไม่รู้ แต่ว่าธุดงค์แบบนี้ก็ดีนะ ช่วยให้เจ้าของสวนกุหลาบได้เงินเยอะขึ้น เพราะเขาเอากลีบกุหลาบมาโรยให้เดิน แต่ความจริงถ้าหากว่าต้องการให้รู้สัจธรรมชีวิตจริง ๆ ก็ควรจะเอาหนามกุหลาบโรยไปด้วย..!
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ บอกว่า "..ฯลฯ..การเกิดต้องเจ็บปวด ต้องร้าวรวดทรมา ในสายฝนมีสายฟ้า ในผาทึบมีถ้ำทอง..ฯลฯ" อยากรู้สัจธรรมจริง ๆ ก็ต้องพบกับความเจ็บปวดและความยากลำบากบ้าง
ป.ล. ห้ามคัดลอกข้อความนี้ออกไปเผยแพร่นอกเว็บค่ะ
พระอาจารย์กล่าวว่า "นางมณีเมขลาเป็นผู้ควบคุมบรรยากาศ อาตมาสงสัยเหมือนกันว่า ช่วงนี้มีการสั่งการผิดพลาดหรืออย่างไร อากาศก็เลยมั่วไปหมด เรื่องพวกนี้เป็นไปตามความประพฤติของมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์ไม่อยู่กับร่องกับรอย ดินฟ้าอากาศก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยเหมือนกัน
การทำฝนเป็นเรื่องยาก แม้ว่าเราผลิตฝนเทียมได้ แต่ฝนธรรมชาติก็ยังเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เทวดามาก เทวดาที่เกี่ยวข้องกับฝนก็มีวายุเทพบุตร
ปชุนนเทพบุตร วลาหกเทพบุตร สีตลาเทพบุตร มีวรุณเทพบุตรเป็นหัวหน้าทีม กว่าจะผลิตฝนได้แต่ละทีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าวรุณเทพบุตรอยู่ในตำแหน่งของเทวราชา ถือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับปลัดกระทรวงหรืออธิบดี ฟังชื่อแล้วคุ้นหูบ้างไหม ? วรุณเทพบุตรก็คือพระพิรุณ ถ้าจะคุ้นหูก็คุ้นหูท่านนี้"
ถาม : การแห่นางแมวเพื่อให้ฝนตก ?
ตอบ : อันนั้นเป็นความเชื่อ แต่ถ้าตั้งใจทำด้วยความเคารพก็ได้ผลเหมือนกัน การแห่นางแมวแล้วฝนตก เทวดาเขาคงสงสารแมว เพราะโดนน้ำรดเอา ๆ แล้วแมวเกลียดน้ำที่สุด สัตว์ตระกูลเสือตระกูลแมวจะไม่ชอบน้ำ ต่อให้ร้อนแค่ไหน ลงน้ำตูมเดียวขึ้นมาก็รีบสะบัดเกลี้ยง ถึงเวลาเอาแมวมาทรมาน เทวดาทนดูไม่ได้ก็ต้องให้ฝน สรุปแล้วเทวดาดีเหมือนเดิม แต่คนไม่ได้เรื่อง เพราะเอาสัตว์มาทรมาน
ถ้าจะห้ามฝนเดี๋ยวให้ไปปักตะไคร้ ไม่ใช่ยิ่งปักยิ่งตก ความเชื่อถือในตอนแรกเขาให้สาวพรหมจารีย์เป็นคนไปปักตะไคร้ ไป ๆ มา ๆ เขาเปลี่ยนเป็นแม่ม่ายไปปักตะไคร้ สงสัยจะหาง่ายกว่า การปักตะไคร้ต้องเอาโคนขึ้นเอาปลายลง
ถ้าหากว่าเราสังเกตดู แม้กระทั่งคำว่า "นางแมว" ก็แปลว่าเป็นเพศหญิง หรือจะเป็นสาวพรหมจารีย์หรือว่าแม่หม้ายที่ไปปักตะไคร้ก็เป็นเพศหญิง แสดงว่าในสังคมของเรายกย่องผู้หญิงเป็นใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในเมื่อยกย่องผู้หญิงให้เป็นใหญ่บ้าน เราก็เลยไม่มีการเรียกร้องสิทธิสตรี จะเรียกร้องไปทำไมเพราะมีอยู่แล้ว
ถาม : เกาะแก้วพิสดารที่ภูเก็ตอยู่ตรงไหนครับ ?
ตอบ : ลงเรือที่หาดราไวย ถามเรือแถวนั้นแล้วเช่าเรือไป แต่ว่าเลือกฤดูให้ถูก เพราะว่าบางจังหวะคลื่นแรง เทียบข้างหน้าเกาะไม่ได้ ต้องไปหลังเกาะ
ตอนที่อาตมาไปเป็นฤดูที่คลื่นแรง แต่ว่าเจ้าที่ท่านช่วย วันนั้นก็เลยวิ่งเรือด้วยสองแรงพญานาค สิบกว่านาทีถึง ไม่มีใครเขาเชื่อ เพราะปกติวิ่งเรือกันครึ่งชั่วโมง แต่คณะของเราไปด้วยสองแรงพญานาค วิ่งพักเดียวก็ถึง คลื่นแรงขนาดไหนไม่รู้ แต่เรือเทียบหน้าเกาะให้เฉยเลย ไปกับเจ้าถิ่นก็สบายหน่อย
ถาม : ควรจะไปช่วงเดือนประมาณไหนครับ ?
ตอบ : เดือนมกราคมคลื่นลมจะเบา แต่ถ้าไปแล้วเจอสึนามิพอดี รับรองจะประทับใจไปตลอดชีวิต..!
แต่สึนามิทำเอาหลี่เหลียนเจี๋ย (เจ็ทลี) ตั้งมูลนิธิหนึ่งหยวนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสังคม ตอนนั้นหลี่เหลียนเจี๋ยไปเที่ยวเกาะมัลดีฟแล้วเจอสึนามิ คว้ามือภรรยากับลูกข้างละคนวิ่งหนี มารู้ตัวอีกทีไม่รู้ลูกและภรรยาหลุดมือไปไหนแล้ว ส่วนตัวเองโดนคลื่นซัดกระแทกไปติดอยู่บนยอดไม้ พอลงมาได้ก็นั่งร้องไห้ รอบข้างมีแต่ซากศพเกลื่อนกลาดไปหมด
สำนึกตัวเองได้ว่าความเป็นซูเปอร์สตาร์ในจอไม่มีประโยชน์เลย เพราะช่วยลูกและภรรยาตัวเองไม่ได้ กำลังนั่งร้องไห้อยู่ ชาวบ้านจูงลูกและภรรยามาคืนให้ ชาวบ้านจำได้เพราะพวกเขาไปเที่ยวอยู่หลายวัน จำได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน หลี่เหลียนเจี๋ยมัวแต่ร้องไห้ดีใจที่ได้เจอภรรยากับลูก หันมาอีกทีชาวบ้านหายไปแล้ว ไม่ได้ถามเขาด้วยว่าเขาชื่ออะไร จำหน้าไม่ได้ด้วยเป็นใคร ชาวบ้านเขาก็ไม่ได้ทวงบุญทวงคุณหรือต้องการค่าตอบแทนอะไรเลย พามาส่งเฉย ๆ แล้วก็ไป
เขาก็เลยสรุปฟันธงว่า มัวแต่เป็นพระเอกอยู่ในจอไม่ได้เรื่อง ต้องเป็นพระเอกนอกจอด้วย กลับบ้านไปก็เลยไปตั้งมูลนิธิหนึ่งหยวนขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือคนลำบาก ชาวบ้านที่ยากจน เพราะว่าตัวเองรอดมาได้ก็เพราะชาวบ้านช่วยลูกช่วยเมียเอาไว้
หลี่เหลียนเจี๋ยนั้น ประเทศจีนขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณวัตถุที่มีชีวิต ไม่ใช่คนแก่นะ เพราะตอนที่ขึ้นทะเบียนเขาอายุไม่มากหรอก เล่นหนังเรื่องเสี้ยวลิ้มยี่ แสดงวิทยายุทธที่แท้จริง เพราะว่าเขาศึกษาวิทยายุทธจนกระทั่งรู้จริง สามารถแสดงได้จริง ใช้ในการต่อสู้ได้จริง ก็เลยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุที่มีชีวิต
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อสักสองอาทิตย์ที่ผ่านมาอาตมาฝันแปลก ๆ ฝันว่าได้ลูกแรดมาตัวหนึ่ง มีนอขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็วุ่นวายสิ..เพราะว่าต้องหานมมาเลี้ยง ปรากฏว่าขวดนมใหญ่ ๆ ก็ไม่มี มีแต่ขวดนมเด็ก แล้วจะไปเลี้ยงได้อย่างไร ? ขวดหนึ่งแรดดูดสามทีก็หมดแล้ว..!
ท้ายสุดแรดต้องบริการตัวเอง ด้วยการเดินไปกินใบไม้หน้าตาเฉย เพราะเห็นว่า ถ้าขืนรออาตมาชงนมให้กินคงหิวตายก่อนแน่ ๆ ดูแล้วก็ขำ ๆ ตัวเองว่า เออ..ร้อยวันพันปีจะฝันสักที ดันฝันเรื่องแบบนี้ แล้วบ้านเราจะไปหาแรดได้ที่ไหน ?"
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาขี้แมลงสาบเผาไฟ แล้วตำป่นผสมน้ำผึ้ง กวาดคอให้เด็กแล้วจะไม่เป็นซาง ไปหาแมลงสาบมาใส่ลังไว้สัก ๗ - ๘ วันเดี๋ยวก็ขี้ออกมาเอง
ถาม : จะเอาอะไรให้แมลงสาบกินครับ?
ตอบ : ไม่มีอะไรเดี๋ยวเขาก็แทะลังกินเอาเอง ไม่ต้องไปห่วงแมลงสาบหรอก แมลงสาบเอาตัวรอดมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพียงแต่ลดขนาดตัวให้เล็กลงเท่านั้น ฉะนั้น..แมลงสาบเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ ต่อให้คนตายหมดทั้งโลกก็เชื่อว่าแมลงสาบยังอยู่
ถาม : ไปแจกยันต์เกราะเพชรทางใต้ ถ้าเอายันต์เกราะเพชรมาติดเสื้อเกราะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรไม่ได้ทำให้หนังเหนียว เขาเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์
ถาม : ถ้าเอายันต์ไปติดข้างในเสื้อจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ว่าอะไร แล้วแต่เรา แต่ยืนยันว่ายันต์เกราะเพชรไม่ได้ช่วยให้เหนียว เขาเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์ ไม่ได้เอาไว้ป้องกันลูกปืน
หน่วยจู่โจมจะได้รับการสอนมาว่าให้ยิงหัว เพราะตรงหัวไม่มีอะไรกันได้ แต่ที่ยิงตัวนั้นเพื่อประกันความเสี่ยงไว้ก่อนว่าต้องโดน เพราะว่าตัวเป็นเป้าที่ใหญ่กว่าหัว แต่ว่าเขามักจะใส่เสื้อเกราะ แล้วเขายังสอนเอาไว้อีกว่า ถึงเวลาแล้วให้ยิงซ้ำทุกศพ ป้องกันพวกแกล้งตาย เพราะฉะนั้น..ไม่มีประโยชน์หรอก ถึงเขาไม่ตายจริง ๆ ก็โดนยิงซ้ำจนตาย..!
ถาม : ขายอาวุธปืนบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาวุธทุกชนิดเป็นมิจฉาวณิชา ไม่ใช่บาปโดยตรง เพราะเราไม่ได้บังคับให้เขาเอาไปฆ่าใคร คนที่เอาไปใช้ฆ่าต่างหากที่บาป พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า พุทธมามะกะไม่ควรทำเพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจจะตำหนิเอาได้
เดี๋ยวนี้เห็นคนไทยเขาพัฒนา เอาผ้าไหมมาทำเป็นเสื้อเกราะกันกระสุน ป้องกันได้แต่ปืนสั้น พวกปืนไรเฟิลจู่โจมจะกันไม่ได้ ปืนที่มีความเร็วไม่เกิน ๑,๕๐๐ ฟุตต่อวินาทีกันได้ แต่พวกไรเฟิลจู่โจมความเร็วเกิน ๒,๐๐๐ ฟุตต่อวินาทีทั้งนั้น อำนาจทะลุทะลวงสูงกว่ามาก ต่อให้กันได้จริง ๆ พอไปเจอ .๓๕๗ หรือ ๑๑ ม.ม. ก็เรียบร้อยเหมือนกัน ยิงไม่เข้าแต่กระดูกหัก..!
สมัยที่อาตมาอยู่ชายแดน เบิกเสื้อเกราะกันกระสุนไปไม่ได้ใช้หรอก โยนทิ้งไว้บนเตียงเฉย ๆ เพราะทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัว เหมือนอย่างกับว่าตัวเราไม่สามารถที่จะบิดหมุนไปตามทิศทางที่ต้องการได้ แข็งทื่อเป็นผีดิบ ตอนสมัยอาตมาอยู่ชายแดนมี ๒ อย่างที่ไม่เอาเลย คือระเบิดขว้างกับเสื้อเกราะกันกระสุน
สำหรับระเบิดขว้าง เพื่อนอาตมาชอบพกเท่ ๆ เกี่ยวไว้บนล่างรอบเอวไปหมด อาตมาเลยแถมให้ "มึงเอาของกูไปด้วย" ลองนึกดูว่าถ้าเราพกระเบิดอยู่แล้วเราหมอบ ข้าศึกยิงเราไม่ถูก แต่ไปถูกระเบิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? เพราะฉะนั้น..อาตมาไม่เอาด้วยหรอก ส่งให้เพื่อนไปเลย แหม..ทำเท่พกซะรอบตัว..!
ถาม : ถ้าใส่เสื้อเกราะรุ่นนี้จะหนักไหมคะ ?
ตอบ :หนักมาก..เพราะว่าพอร่างกายล้า ๆ น้ำหนักครึ่งกิโลกรัมก็แย่แล้ว นี่ตั้ง ๘ กิโลกรัม ต้องสำหรับฝรั่งไม่ใช่คนไทย อย่าลืมว่าเครื่องหลังเต็มอัตราของทหารแค่ ๑๓ กิโลกรัม เสื้อเกราะตัวเดียว ๘ กิโลกรัม แล้วใครจะไปอยากได้
ที่อาตมาไม่ได้สนใจ โยนเสื้อเกราะคืนคลังไปก็เพราะว่าเคยทดลองมาแล้ว เอาเสื้อเกราะ ๓ ตัวเรียงกัน ยิงด้วย เอ็ม.๑๖ ทะลุฉุยเลย แล้วอาตมาจะใส่ไปทำไม ? อย่างดีก็เลือดออกน้อยหน่อยเท่านั้น สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ดีพอ ยิงทะลุได้จริง ๆ อาจจะกันพวกสะเก็ดระเบิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ หรือกันปืนสั้นได้ แต่ว่าปืนสงครามกันไม่ได้
ที่เขาทดสอบให้เราดูว่ากันกระสุนได้เพราะว่าเขาไปจ่อยิง นึกออกไหม ? เขาจ่อยิงก็เลยไม่เข้า กระสุนปืนต้องมีระยะหมุนจนได้ระดับ ถึงจะแสดงพลังงานได้อย่างเต็มที่ อย่างเช่นว่า ยิงห่างไปสัก ๑๕ ฟุต ๒๐ ฟุต ประเภทไปทิ่มใส่แล้วยิงเลย กระสุนปืนยังไม่ทันที่จะเริ่มออกแรงก็ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น เขาทดสอบมาแล้ว ขนาดกระจกการ์เดียนที่เขาว่าแน่ ๆ พอไปถึงจ่อ เอ็ม.๑๖ กราดพรืด มีแต่รอยจุด จุด จุด แต่พออาตมาถอยออกมา ๕ เมตร ยิงเปรี้ยงเดียวทะลุฉุย ฝรั่งยังงง
ก็เลยบอกว่ากระจกกันกระสุนของคุณมีประโยชน์ตรงที่เจ้านายของคุณตายเงียบกว่าเดิมเท่านั้น มือปืนซุ่มยิงพวกสไนเปอร์ ไม่มีใครเขายิงใกล้ ๆ เพราะฉะนั้น..กระสุนไปเต็มขีปนวิถีแล้ว ไม่ใช่มือปืนบ้านเราที่ไปประกบแล้วก็เอา เอ็ม.๑๖ กราดยิงกันติด ๆ เลย ถ้าอย่างนั้นก็มีโอกาสกันกระสุนได้
มีอยู่ช่วงหนึ่งไทยสั่งเสื้อเกราะเคฟราเข้ามา แล้วก็ให้เขาเพิ่มแผ่นติดหน้าอกเข้ามาแผ่นหนึ่ง ในลักษณะที่ว่าทำเหมือนอย่างกับเป็นกระเป๋าแล้วก็สอดลงไป ถ้าใครไม่ต้องการก็ชักขึ้นมาจะได้ไม่หนักมาก ก็ช่วยให้ปลอดภัยขึ้นมานิดหนึ่ง
ถาม : ถ้าเราปฏิบัติธรรม แล้วยังมีความโกรธ ?
ตอบ : เรื่องปกติ เขาไม่ได้ห้ามโกรธ คนที่หมดความโกรธแล้วมีแต่พระอนาคามีขึ้นไป พระสกทาคามียังนึกถึงความโกรธอยู่ แต่ความโกรธไม่ค้างคาใจ พระโสดาบันยังโกรธได้เต็ม ๆ แต่ไม่ฆ่าใครไม่ทำร้ายใคร แล้วเราถึงหรือยัง ? ก็ต้องมีบ้าง
ถาม : มารู้ตัวตอนโกรธไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่เป็นไร..โกรธได้แต่อย่าไปผูกโกรธ เลิกแล้วก็ลืมเสีย พอถึงเวลาเรารู้เท่าทันก็อย่าไปแสดงออกไปทางกาย ทางวาจา เก็บไว้ในใจให้อกแตกตายไปคนเดียว ทำแบบนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวความโกรธก็ค่อย ๆ ลดกำลังลงไปเอง
ถาม : คำว่า "จาร" จริง ๆ คืออะไร ?
ตอบ : จาร คือ เขียนใส่ลงไปบนวัตถุ ต้องเขียนทีละตัว จารแปลตรง ๆ ว่าเขียน
ถาม : จารกับยันต์ก็เหมือนกัน ?
ต้อง : ต้องจารลงไป ถึงจะออกมาเป็นยันต์ จารก็คือจารึกลงไป
ถาม : จารแล้วมีผลอย่างไรคะ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจคน ถ้ากำลังใจทรงตัว เท่ากับปลุกเสกไปในตัว
ถาม : ถ้าเรามั่นใจในวัตถุมงคลก็ได้ผล ถ้าไม่มั่นใจก็ไม่ได้ผล ?
ตอบ : วัตถุมงคลเป็นเครื่องส่งและมีการส่งพลังเป็นปกติ สำคัญที่ใจเราซึ่งเป็นเครื่องรับ ถ้าไม่มั่นใจหรือกำลังใจไม่เปิดรับก็ไร้ประโยชน์
ต้องทำให้ได้จริง ๆ ด้วย ไม่ใช่ปากบอกว่ามั่นใจ แต่พอเห็นปากกระบอกปืนแล้วกำลังใจตกวูบ ถ้าอย่างนั้นก็ตายฟรี..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสถึงบัว ๓ เหล่า และบุคคล ๔ จำพวก คนก็เลยไปมั่วเป็นบัว ๔ เหล่า แล้วคิดว่าเป็นพระพุทธวจนะ พระองค์ทรงเปรียบบัว ๓ เหล่า คือ บัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำเท่านั้น
แต่บุคคลท่านกล่าวถึง ๔ เหล่าคือ อุคฆฏิตัญญู ฟังหัวข้อธรรมก็บรรลุมรรคผลได้ วิปจิตัญญู ฟังการอธิบายขยายความก็บรรลุมรรคผลได้ เนยยะ ต้องเคี่ยวเข็ญจ้ำจี้จ้ำไชกันอย่างหนัก ปทปรมะ ประเภทนี้ไปห่าง ๆ เลย ปทปรมะไม่ใช่คนโง่ แต่ฉลาดเกินจนไม่ยอมรับความคิดคนอื่น ปทปรมะเขาแปลว่ามากด้วยบทบาท ในเมื่อความรู้มากก็ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว เติมเข้าไปไม่ได้ เพราะเถียงทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่อง"
พระอาจารย์เล่าว่า "พวกที่มีนิสัยเกินร้อย อย่าไปท้าทายเข้านะ ใครเคยอ่านสามก๊กบ้าง ในเรื่องยี่เอ๋งเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของโจโฉ เป็นคนเก่ง แต่ไม่มีโอกาสแสดงความเก่ง เพราะว่าเป็นคนไม่รู้กาลเทศะ เขาบอกว่าอยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือร้าย จะโดนตะปบกินเมื่อไรก็ไม่รู้ ยี่เอ๋งถือว่าตัวเองเก่ง นึกอยากทำอะไรก็ทำ
อยู่กลางงานเลี้ยงใหญ่แท้ ๆ ดันไปแก้ผ้าตีกลอง ตีได้ไพเราะแต่ไปถอดเสื้อผ้า นั่นเก่งแต่ไม่รู้กาลเทศะ แทนที่จะได้มีโอกาสใหญ่โต สุดท้ายก็โดนประหารชีวิต "
ถาม : ทำเขี้ยวเสือของเขาหายครับ
ตอบ : ลงทุนสักสองแสน หาเขี้ยวเสือของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยไปสิ เป็นเครื่องรางเขี้ยวเสืออันดับหนึ่งของประเทศไทย แต่เขี้ยวสวย ๆ ราคาเป็นแสนแล้ว เดี๋ยวนี้ของปลอมเยอะด้วย
ถาม : พระปิดตาต่อไปราคาเป็นล้านหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องต่อไปนะ ระยะเวลาอันใกล้นี้ก็น่าจะมี ลองว่าคนแย่งกันขนาดนั้นแล้ว
ถาม : พระปิดตาจัมโบ้มีตะกรุดอยู่สามดอก ถ้าเอาไปเลี่ยมแล้วตะกรุดหายไปหนึ่งดอก จะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีผลให้เราไล่เตะคนเลี่ยม..! พวกช่างระยำบางทีไม่ได้ทำหายหรอก เขาตั้งใจแคะไป อาตมามีพระคำข้าวที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของวัดท่าซุงเอาไปให้ช่างเลื่ยม ช่างสะกิดไปเสีย ๒ องค์ สมควรตายไหม ?
ถาม : แล้วมีผลต่อพุทธานุภาพหรือไม่ครับ ?
ตอบ : พระท่านเสกทั้งองค์ ไม่ได้เสกเฉพาะตะกรุด
ถาม : ถ้าเกิดหาเขี้ยวเสือไม่ได้ หาอะไรแทนครับ ประเภทเขี้ยวสิงโต ?
ตอบ : ประเทศไทยยังไม่มีใครทำเขี้ยวสิงโตเลย มีแต่เขี้ยวเสือของหลวงปู่ปาน เขี้ยวหมีของหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ความจริงหลวงพ่อนก วัดสังกะสีท่านก็ทำเขี้ยวเสือ แต่ส่วนใหญ่เป็นเขี้ยวหมีมากกว่า
ลองไปหาดู ๑. เขี้ยวเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ๒.เขี้ยวเสือหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ๓. ราชสีห์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ๔. อันนี้หายากหน่อย ราชสีห์หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว เพราะเก่ากว่าหลวงปู่ปาน หลวงปู่เดิมอีก ๕.ผ้ายันต์ราชสีห์ของหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก
ราคาถูกที่สุดน่าจะเป็นผ้ายันต์ของหลวงปู่จง ราคาถูกก็เถอะ เจอคนหวงก็ฟาดไปเป็นหมื่นเหมือนกัน ผ้ายันต์สีหราชบรรลือของหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ใช้คาถา สีหะนาทัง นะทันเตเต ปะริสาสุ วิสาระทา ไปเปิดดูในหนังสือมนต์พิธีของหลวงพ่อพระครูอรุณธรรมรังษี มีอยู่ที่หน้า ๗๓ บรรทัดแรกเลย ขนาดบอกหน้าบอกบรรทัดเลยนะ ถ้าหาไม่เจอก็ไปฆ่าตัวตายเลย..!
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็เขี้ยวเสือหลวงพ่อนกนั่นแหละ แต่ส่วนใหญ่เป็นเขี้ยวหมี
ถาม : ท่านอยู่จังหวัดอะไรครับ ?
ตอบ : แถว ๆ บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ไม่เคยไปเลยใช่ไหม ?
ถาม : แล้วมีดหมอชาตรีล่ะครับ?
ตอบ : ความจริงอยากจะแนะนำมีดหมอหลวงพ่อเดิม แต่ถ้าไปเจอมีดหมอเก้านิ้ว ตำรวจจับแน่นอน เขาเรียกว่ามีดหมอควาญช้าง รวมด้ามแล้วยาวเป็นศอกเลย
เรื่องของคาถาอย่าไปแปล แปลแล้วไม่ขลัง อย่างคาถาหัวใจราชสีห์ ที่ว่า "ตะมัตถัง ปะกาเสนโต ตัวกูคือพระยาราชสีโห สัตถาอาหะ" ตะมัตถัง ปะกาเสนโต เมื่อจะประกาศพระพุทธศาสนา สัตถาอาหะ พระศาสดาว่าดังนี้ฯ ประโยคที่ว่า "ตัวกูคือพญาราชสีโห" โผล่มาจากไหนไม่รู้
แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้อภิญญา ท่านกำหนดขึ้นมาแล้วอธิษฐานจิตทับไว้ ใครใช้ตามก็ได้ผล ถ้าลังเลสงสัยก็ไม่ได้ผล เพราะฉะนั้น..เรื่องของคาถาอย่าไปแปล แปลแล้วไม่ขลัง แบบเดียวกับที่หลวงพ่อบางท่านทำตะกรุดให้ลูกศิษย์ไปใช้ หนังเหนียวนักหนา พอแกะตะกรุดออกมาเจอท่านเขียนเอาไว้ว่า "ไอ้โง่" แต่ทีนี้ท่านทำแล้วขลัง ท่านก็คงรู้ว่าเขาจะต้องแกะ เลยเขียนไปซะเต็ม ๆ ว่า ไอ้โง่ อยากแกะดีนัก คงจะด่าเพราะเสือกแกะให้เสียของ
วัตถุมงคลของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยอย่าไปหา เพราะของปลอมเยอะ เจ้าอาวาสรุ่นถัดมาอีก ๒ องค์ ท่านก็ทำตามครูบาอาจารย์ แล้วยังเป็นช่างรุ่นเดียวกัน ฝีมือเดียวกันอยู่ แต่ว่ารอยจารเขาดูออกว่าคนละลายมือกัน แต่ว่าพอของใช้ไปนาน ๆ แล้วความเก่าใกล้เคียงกัน เซียนเลยแกล้งโง่ ตีเป็นของหลวงปู่ปาน จะได้ขายราคาแพง ๆ
ความจริงมีคาถาอยู่บทหนึ่งแต่ว่าอาตมาเลิกใช้ก็คือ มหาอำนาจพญาครุฑ ที่เลิกใช้ก็เพราะว่าชอบเล่นกับงู พอใช้คาถานี้แล้วงูจะไม่เข้าใกล้
ถาม : คาถานี้ว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ใช้ก็เลยไม่ถ่ายทอดต่อด้วย ลักษณะเหมือนนะจังงัง ตวาดทีคนยืนนิ่งเป็นหุ่นเลย แล้วทีนี้เป็นมหาอำนาจพญาครุฑ ถึงเวลาแล้วงูไม่เข้าใกล้ จะเล่นกับงูเล่นไม่ได้ อาตมาก็เลยเลิกใช้
ถาม : แล้วโดนงูกัด เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : สี่เขี้ยวเต็ม ๆ ทิ้งไว้หลักฐานไว้ให้เห็นด้วย จะได้ยืนยันกับเขาได้ว่าโดนกัดมาจริง ๆ
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ดีกว่าหลวงพี่สมานหน่อย หลวงพี่สมานท่านสึกไปแล้ว เมื่อก่อนแกเป็นเด็กบ้านนอกชอบตีผึ้ง อุตส่าห์ไปหาคาถาหัวใจหมีมา พอได้มาแล้วท่องคาถา ให้เพื่อนปีนขึ้นไปตีผึ้ง เพื่อนเลยโดนต่อยหัวปูดลงมาเลย
ถาม : ทำไมเป็นอย่างนั้นครับ ?
ตอบ : ก็คนท่องคาถาอยู่ข้างล่าง ส่วนคนไม่ท่องขึ้นไปตีผึ้ง โง่ได้ขนาดนั้นก็สมควรโดน ส่วนเพื่อนก็เชื่อ สุดยอดจริง ๆ อย่างนี้ต่อให้คาถาหัวใจโคตรหมีก็ช่วยอะไรไม่ได้..!
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ให้เจ้าอาวาสใหม่และพระอุปัชฌาย์ใหม่ไปปฏิบัติธรรม ๔๕ วัน จากประสบการณ์ส่วนตัวของอาตมาที่เข้ากรรมฐานมา ตั้งแต่สมัยหลักสูตรพระนักเผยแผ่ หลักสูตรพระธรรมทูตสายวิปัสสนา หลักสูตรประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ พุทธศาสตรบัณฑิตและพุทธศาสตรมหาบัณฑิต เข้ากรรมฐานตามแบบสติปัฏฐานสายพองหนอยุบหนอมา น่าจะเกินกว่า ๑๐ ครั้งแล้ว
ทำให้สรุปได้ว่า ท่านที่เข้ากรรมฐานแล้วทำท่าจะตายเสียให้ได้ ก็เพราะว่าใจไปคัดค้านเขา ถ้ากำลังใจของเรายอมรับ เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นหน้าที่ซึ่งเราต้องทำ ไม่คัดค้านเขาก็จะอยู่ได้สบาย โดยเฉพาะถ้าใครสามารถเข้ากรรมฐานแบบตั้งเวลาได้จะสบายมากเลย
ช่วง ๑๕ วันที่ผ่านมา อาตมาเข้ากรรมฐานอยู่ พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ท่านบอกว่า "อาจารย์เล็กฝึกมาอย่างไรวะ ลงเป็นหลับ ถึงเวลาเป็นตื่น ?" ท่านเองตั้งนาฬิกาปลุกไว้จนเขาตื่นกันหมดทุกคนแต่ท่านยังไม่ลุกเลย อาตมาบอกท่านว่า "คุณไม่ต้องเปลืองนาฬิกาปลุกหรอกครับ เดี๋ยวผมปลุกให้" จะระยะเวลามากน้อยเท่าไร อาตมาสามารถนอนได้เท่าที่ต้องการ อย่างเช่นว่าพอฉันเพลแล้วเหลือเวลาอีกหน่อยหนึ่งก่อนปฏิบัติภาคบ่าย อาตมาก็ยังนอนได้ประมาณ ๓๐ - ๔๐ นาที แต่คนอื่นพอนอนแล้วมักจะหลับยาว ไปไม่ทันเวลาเดี๋ยวก็โดนซ่อม
หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลางรูปปัจจุบัน ท่านมีนโยบายเน้นเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานมากเป็นพิเศษ หลักสูตรปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาท่านเป็นคนผลักดันขึ้นมาเอง ตอนนี้มีงานที่พวกเราตั้งใจช่วยกันผลักดัน ก็คือจะตั้งกองวิปัสสนาธุระ ที่ใช้คำว่า "พวกเรา" เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาเอาเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดเป็นหัวหอก ก็ถือว่าอาตมาเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
ในอดีตนั้น..การศึกษาพระปริยัติธรรมจะต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กันไปด้วยเป็นปกติ พอมาถึงสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านแยกหลักสูตรปริยัติกับปฏิบัติออกจากกัน เรียนปริยัติโดยไม่ต้องปฏิบัติ ตั้งแต่นั้นมาฝ่ายวิปัสสนาธุระก็ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ แต่ก็มีบรรดาท่านที่รักการปฏิบัติโดยส่วนตัว และมักจะทำได้ดี ทำให้มีชื่อเสียงกลบฝ่ายปริยัติไปหมด"
"มาถึงยุคนี้..หลวงพ่อเจ้าคณะใหญ่หนกลางรูปปัจจุบัน ท่านพยายามผลักดันและต้องการให้มีกองวิปัสสนาธุระ เพื่อจะได้มีงบประมาณสนับสนุนอย่างเป็นทางการ เพราะว่าการศึกษาในพระพุทธศาสนานั้น ก็คือศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติ
ด้านปริยัติคือการศึกษาตำรานั้น มีแม่กองธรรมสนามหลวงแล้ว ก็คือศึกษานักธรรมตรี โท เอก มีแม่กองบาลีสนามหลวง ก็คือศึกษาเปรียญธรรมประโยค ๑ - ๙ ก็แปลว่าฝ่ายปริยัติธรรมมีแม่กอง ๒ แม่กอง แต่ว่าฝ่ายปฏิบัติไม่มีเลย จึงอยู่ในลักษณะต้องอาศัยกำลังของเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ ช่วยกันผลักดันให้เกิดกองวิปัสสนาธุระ ที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากองธรรมสนามหลวงและกองบาลีสนามหลวงขึ้นมา
คาดว่าถ้าตั้งสำเร็จ แม่กองวิปัสสนาธุระรูปแรกก็น่าจะเป็นหลวงพ่อสมเด็จฯ หนกลาง นี่ถือว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง แม้ว่าการปฏิบัติธรรมทุกวันนี้อยู่ในลักษณะคล้าย ๆ กับเป็นแฟชั่น ก็คือมีคนดัง มีดาราเข้ามาปฏิบัติกันมาก เหมือนอย่างกับว่าถ้าใครไม่ทำก็ตกยุค แต่ว่าพวกเราก็จะฉวยโอกาสนี้ผลักดันให้มีกองวิปัสสนาธุระขึ้นมา เพื่อจะได้เข้มแข็งเหมือนในอดีต แต่ว่าคงไม่ต้องเข้าแข่งขันกันเหมือนสมัยก่อนที่พระปฐมเจดีย์นะ
มีอยู่ยุคหนึ่งที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กำหนดให้พระเกจิอาจารย์มาแสดงฝีมือแข่งกัน จะได้มั่นใจว่าการปฏิบัตินั้นมีผลจริง ๆ ท่านเอากบไสไม้มาวางไว้บนท่อนไม้ นิมนต์พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยในยุคนั้นทั้งหมดมารวมกัน นั่งภาวนาบังคับกบไสไม้ให้ได้ ปรากฏว่าบางท่านที่มีความคล่องตัวก็สบายมาก ทำให้กบไสไม้ไสปรื๊ดกลับไปกลับมาได้ บางท่านกบไสไม้ก็กระโดดเป็นกบจริง ๆ
แต่ว่าหลายท่านที่มีชื่อเสียงทำไม่ได้ เพราะว่าท่านถนัดแค่วิชาการบางอย่าง แต่ไม่ชำนาญในกสิณ ๑๐ ไม่สามารถจะบังคับให้กบไสไม้ให้ไสไปมาได้ นี่เท่ากับว่าเสียเลยนะ ทั้ง ๆ ที่ท่านเก่งจริง แต่ว่าเก่งคนละด้าน ไม่ได้ฝึกกสิณ ๑๐ มา โดยเฉพาะกสิณลม ก็เรียบร้อย ไปไม่รอด แต่ว่าหลายท่านก็ประเภทดำน้ำไป บังคับให้เคลื่อนปรื๊ด ๆ อย่างคนอื่นไม่ได้ ก็เล่นกระโดดเลย เพราะว่าประเภทใช้พลังจิตบังคับ กระโดดได้ สั่นได้ เต้นได้ ช่วงนั้นเขาไปแข่งขันกันที่พระปฐมเจดีย์ สถานที่กว้างพอ กองเชียร์เข้าไปดูกันได้"
"สรุปว่าท่านที่ใช้ไสยเวทย์อาคมสู้ท่านที่มาจากสายกรรมฐาน ๔๐ ไม่ได้ เพราะสายที่มาจากสายกรรมฐาน ๔๐ ถึงเวลาท่านสามารถใช้อำนาจกสิณบังคับให้วัตถุเคลื่อนที่ได้ แบบหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เสกปลาตะเพียนโลหะ เทลงกลางแม่น้ำ ให้ว่ายกลับมาเข้ากะละมังได้ นั่นเป็นวาโยกสิณ
ครั้งนั้นทำเอาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเรื่องของคาถาอาคมเสียมวยไปหลายองค์ แต่จะไปว่าท่านไม่เก่งก็ไม่ได้ ถ้ากำหนดตามแบบที่ท่านถนัด ท่านเก่งกว่า แต่ไปเล่นของที่ท่านไม่ถนัด เคยต่อยมวยไทยอยู่ จู่ ๆ ให้ไปชกมวยสากล ท่านก็ไปไม่เป็น"
พระอาจารย์กล่าวถึงว่า "ในเรื่องของวัดควรจะเป็นการกุศล วัดไหนที่เป็นประเภทเอาเงินไว้ก่อน โยมที่เคยช่วยงานวัดแล้วเห็นว่าไม่ชอบมาพากล ก็ถอนตัวไปเรื่อย พอถอนตัวออกไปงานของวัดที่เคยมีคนช่วยก็สะดุด
โบราณเขาพูดถูกว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน พอนานไปของแท้หรือของเทียมก็จะปรากฏชัดขึ้นเอง"
ถาม : ช่วงสงกรานต์ มีก่อพระทรายที่วัดท่าขนุนหรือเปล่า ?
ตอบ : มีอยู่แล้ว วัดท่าขนุนนี่เทศบาลจะเข้ามามีบทบาทด้วย โดยเฉพาะการละเล่นพื้นเมืองต่าง ๆ อย่างปีที่แล้วปีนเสาน้ำมัน อาตมาให้รางวัลเขาพันหนึ่ง ปีนกันแทบตายก็ปีนไม่ได้ ท้ายสุดต้องยอมให้เขาต่อตัวกันขึ้นไปเอา เพราะคนทำเสาน้ำมันโหดมาก ทาน้ำมันเสร็จยังไม่พอ ยังเทใส่กระบอกไว้อีกต่างหาก พอคนปีนเขย่า ๆ น้ำมันก็ไหลลงมาอีก..(หัวเราะ)..เขากะว่าปีน ๆ ไปแล้วเสาจะแห้ง คนหลัง ๆ จะขึ้นได้ แต่นี่ไม่แห้งสักที
ส่วนเวทีมวยทะเลกลายเป็นสระน้ำเด็กไปเลย ต่อยมวยกันไปต่อยมวยกันมา เด็ก ๆ เล่นด้วย โดดลงไปแช่เลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่ ถ้าหุบปากให้เป็น อยู่ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวคนก็เห็นความดี เขาก็จะเข้ามาสนับสนุนเอง ส่วนคนที่ไม่เห็นความดี เห็นแต่ประโยชน์นั้นมีไม่กี่คนหรอก สำคัญตรงที่ต้องมีความอดทนพอ ถ้าอดทนไม่พอก็อยู่กับเขาไม่ได้
ตอนอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก ๆ เขามาข่มขู่สารพัด ขนาดมาซ้อมยิงปืนกันที่หน้ากุฏิหัวเกาะ อาตมาก็เดินออกไปดู "ถุย..! มึงยิงกันได้แค่นี้เองหรือ ? เอามา..กูจะยิงให้ดู" ยิงใส่ไปชุดเดียว เขาไม่มาอีกเลย แล้วเอาไปลือกันว่าหลวงพ่อวัดเกาะยิงปืนแม่นฉิบหา..เลย..!
ถึงเวลาพวกเขาไปทำไม้ พวกป่าไม้เขามาถามว่า "หลวงพ่อสั่งพวกมันไปทำไม้ข้างบนหรือ ?" อาตมาบอกว่า "เฮ้ย..ไม่ได้ทำ" "แต่เขาบอกว่าไม้ของหลวงพ่อ" ก็เลยชวนพวกป่าไม้ขึ้นไปดู พอไปถึงเห็นเขาตั้งแคมป์ มีคนงานอยู่สิบกว่าคน ไปถึงอาตมาก็ถามว่า "ไม้ของใครวะ ?" เขาบอกว่า "ของหลวงพ่อที่ป่าไม้ครับ" "เออ..กูเองแหละ ช่วยขนขึ้นรถให้ด้วย" กวาดมาซะเรียบเลย เอาไปแจกตามหน่วยป่าไม้ ให้เอาไปทำเรือนเพาะชำ ก็เขาบอกว่าของอาตมา เราก็มีสิทธิ์สิ
หัวหน้าคนงานบอกว่า "ถ้าอาจารย์ไม่อยู่ มันตามยิงหัวผมแน่" "ไม่เป็นไร..ถ้ามึงตายเดี๋ยวกูสวดให้"..(หัวเราะ)..ไป ๆ มา ๆ คนงานแอบมากระซิบ "อาจารย์ไม่กลัวบ้างเลยหรือ ?" อาตมาก็บอกว่า "จะไปกลัวอะไร ถ้าชกกันกูก็ไม่แพ้มันหรอก ถ้ายิงกันกูชนะแน่..!" จบเลย เล่นกับพวกนี้ต้องทำให้เขาดูว่าเราเหนือกว่า ไม่อย่างนั้นเขาไม่ยอมลงให้
เหมือนอย่างลุงพร เมาแล้วชอบซ่าในวัด พอโดนไปเปรี้ยงเดียวลืมโลก ตั้งแต่นั้นมาถึงลุงพรจะเมาแค่ไหน พอได้ยินเสียงเจ้าอาวาสวัดเกาะพระฤๅษี เดินตัวตรงแน่ว ไม่เคยเซให้เห็นเลย..!"
"ผู้ใหญ่บ้าน (ตอนนี้เป็นกำนันไปแล้ว) มาตะโกนเรียกอาตมาอยู่ที่สะพาน "อาจารย์ครับ" "มีธุระอะไร ?" "มีเรื่องอยากจะคุยด้วย" "ก็เข้ามาสิ" อาตมาเห็นเขาถือขวดอยู่ "เหล้าหรือเปล่า ?" "ไม่ใช่ครับ..น้ำอัดลม" "เออ..น้ำอัดลมข้าไม่ได้ห้าม เข้ามาเถอะ" ช่วงนั้นเขาโดนกันบ่อย ก็เลยกลัว
ก่อนอาตมาไปอยู่ปีหนึ่ง เขารุมตีพระตายไปรูปหนึ่ง เป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยสมจิตร เรื่องขัดผลประโยชน์ทำไม้ของเขาแหละ พออาตมาเข้าไปก็เลยกลายเป็นดัง ด้วยความที่วัดอยู่ในป่า ถ้าเวลากลางคืนเปิดไฟ แมลงจะมาเล่นไฟแล้วตายกันเยอะ อาตมาก็ปิดไฟ เขาก็เอาไปลือกันว่า อาจารย์ท่านเตรียมรับมือกับพวกที่จะมา ไปกันใหญ่เลย ดีเหมือนกัน..ทำให้ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย
ดู ๆ แล้วคนกับสัตว์เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือจะรังแกแต่คนที่กลัว สัตว์ก็เหมือนกัน ถ้าตัวไหนกลัว ทำตัวอ่อนแอเข้ามา โดนไล่ฟัดเลย พอไปเจอที่ไม่กลัวก็ทำอะไรไม่ถูก"
มีโยมวางพระพุทธรูปไว้บนพื้น พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไม่จำเป็นจนถึงที่สุดขนาดถึงแก่ชีวิตแล้วละก็..อย่าวางพระไว้ต่ำเลย"
พระอาจารย์กล่าวถึงสำนวนตัดหางปล่อยวัดว่า "สำนวนตัดหางปล่อยวัด เกิดจากการที่คนสมัยก่อน เอาหมาหรือไก่ไปปล่อยวัด แล้วตัดหางเพื่อให้ต่างจากหมาของตัวเองหรือไก่ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาก็จะไปหากินปนกัน ไม่รู้ว่าเป็นของใคร
อีกประการหนึ่ง ถ้าหมาโดนตัดหางแล้วมักจะจำว่าใครทำ จำว่าโดนคนนี้ทำอันตรายมา ต่อไปก็จะไม่ไปหาคนนั้นอีก เขาจะได้ปล่อยวัดได้สมใจนึก ส่วนไก่ไทยเราแต่เดิมมักจะเป็นพันธุ์ที่มีเชื้อไก่ป่า บินอย่างกับนก เขาจึงตัดหางเพื่อจะได้ไม่บินไปไกล
สรุปว่าการตัดหางปล่อยวัดมีสองความหมายด้วยกัน ความหมายแรก เพื่อให้มีความต่างจากสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ความหมายที่สอง เพื่อเป็นที่จดจำ เมื่อเป็นอย่างนั้นพอถึงเวลาใครเอาลูกเอาหลานไปไว้วัด เขาก็เลยพูดเล่นกันว่า “โดนตัดหางปล่อยวัด”
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นโยมแต่งตัวแล้วนึกถึงซินเดอเรลล่าตอนลอกคราบเป็นเจ้าหญิงแล้ว เด็ก ๆ รุ่นหลังไม่ค่อยได้อ่านนิทานเหล่านี้นะ
ครั้งหนึ่งยังมี.............ดรุณีโสภา
ชื่อซินเดอเรลล่า..........กำพร้าพ่อแม่
อยู่กับแม่เลี้ยง...........ลำเอียงมากแท้
เพราะเธอรักแต่..........ลูกสาวของตน
แม่เลี้ยงนั้นมี.............บุตรีสองสาว
นิสัยก้าวร้าว..............ดุร้ายเหลือล้น ฯลฯ
น่าเสียดาย...อะไรที่ดี ๆ มักจะไม่ค่อยเหลือสำหรับคนรุ่นหลัง เรื่องซินเดอเรลล่าไม่ดีตรงที่ทำให้เด็ก ๆ เพ้อฝัน แล้วก็รอแต่คนช่วยเหลือ แต่ว่าดีในแง่ของความกตัญญู อดทน อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ว่าทั้งนี้นิทานทั้งหมดก็ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ ทำให้เด็กคิดเป็น
อาตมาเขียนเรียงความได้คะแนนเต็มมาตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๓ เพราะอ่านนิทานพวกนี้ไว้เยอะ บางทีอาจารย์ท่านตรวจแล้ววงไว้ เขียนกำกับว่า สำนวนแรงไป อาตมาเป็นเด็ก นึกอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น แต่อาจารย์ท่านเป็นผู้ใหญ่ ให้คะแนนเต็มแต่ว่าวิจารณ์มาให้ด้วย"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอบรมเด็กหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะพวกวัยรุ่น บอกเขาว่า “พวกเธออยู่ในวัยวิกฤติ เรามักจะคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พ่อแม่มักจะเห็นเราเป็นเด็ก คราวนี้การจะเป็นผู้ใหญ่นั้นจะต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ? ให้พวกเธอลองพิจารณาดู อันดับแรก ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่เราสามารถที่จะอยู่ได้หรือไม่? ” เงียบไปทั้งศาลา
พอถามเข้าจริง ๆ ว่า ใครมั่นใจว่าถ้าพ่อแม่ตายลงวันนี้ แล้วเราอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร มียกมือมา ๓ - ๔ คนจากนักเรียนเป็นร้อย ๆ คน สรุปว่าคนที่บอกว่าไม่ต้องพึ่งใครนั่นแหละ เขาหวังพึ่งอยู่แล้ว คิดว่าถ้าพ่อแม่ตายแล้วจะไปอยู่กับใครได้บ้าง ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ผู้ใหญ่หรอก แล้วอาตมาก็พูดไล่ไปเรื่อย เรื่องความอดทน ความเสียสละ ความรู้กาลเทศะ สรุปว่าหาไม่ได้หรอก ฉะนั้น..จงยอมเป็นเด็กเสียเถอะ ยังเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้หรอก
“เวลามีปัญหาเกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นเลยหรือไม่ ?” เงียบ...สรุปแล้วเด็กมักจะคิดผิด แต่พอเตือนสติขึ้นมาแล้วเขาก็นึกได้ว่า ใช่..เขายังเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้จริง ๆ ข้อที่นึกไม่ถึง ก็คือ เขาบอกว่าผู้ใหญ่หลายคนก็เป็นอย่างนี้ แสดงว่าใหญ่แต่อายุ ใหญ่แต่ตัว ถ้าหากว่าขาดคนให้พึ่งพิงก็เอาตัวไม่รอด
แต่จะว่าไปแล้วมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม การพึ่งพิงคนอื่นเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่ต้องยืนหยัดด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด ให้คนอื่นพึ่งเป็นเรื่องที่สมควร พึ่งพิงคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าการพึ่งพิงคนอื่นไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง ถึงเวลาไม่มีเขาเราก็จะเดือดร้อน
ลักษณะเดียวกับการคิดพิจารณาว่า ถ้าเราตายลงไปตอนนี้เราพร้อมหรือไม่ ? คล้าย ๆ กัน..เราก็มาดูว่าคนที่รักมีหรือไม่ ? ของที่รักมีหรือไม่ ? ทรัพย์สมบัติมีหรือไม่ ? ทั้งหมดนี้เราทิ้งไปเลยได้หรือไม่ ? มีญาติโยมจำนวนมากไม่กล้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเอง เพราะกลัวผลกระทบที่จะตามมา ส่วนอาตมาพลิกชีวิตตัวเองเล่น ๓ - ๔ ตลบมาตลอด ก็เลยสนุกกับชีวิตมาก
เรียนหนังสืออยู่ก็วิ่งมาทำงานที่กรุงเทพฯ ทำงานกับพี่น้องอยู่ดี ๆ ไม่ต้องลำบาก ก็แหกคอกไปทำงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมทัลอุตสาหกรรม ทำไปทำมาได้เลื่อนขึ้นไปเป็นหัวหน้าแผนก ก็ลาออกมาหางานทำเอง ทำงานกำลังรุ่งก็วิ่งไปเป็นทหาร ทิ้งทุกอย่างไปเรียน จนกระทั่งกำลังรุ่งสุด ๆ ชนิดรับ ๒ ขั้นทุกปีก็ลาออก มาหางานทำใหม่ ทำไปทำมากำลังรุ่ง ๆ อีกก็มาบวช บวชไปบวชมาอยู่วัดท่าซุงจนเป็นเจ้าพ่อ ใครจะทำอะไรต้องมองหน้าอาตมาก่อน ถ้าไม่พยักหน้าเห็นด้วยเขาก็ไม่กล้าทำ แล้วก็ออกมาตกระกำลำบากใหม่"
"ถ้าหากว่าเราไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราก็จะจมอยู่แต่เรื่องเดิม ๆ เหมือนกับชีวิตตายนิ่งไปเฉย ๆ ในเมื่อตายนิ่งไปเฉย ๆ เดี๋ยวก็จะเป็นน้ำเน่า ไม่มีการขวนขวายดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แล้วจะค่อย ๆ สูญเสียกำลังใจ สูญเสียความตั้งใจ และท้ายสุดเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป ก็ได้แต่นั่งถอนใจว่า น่าจะทำเสียตั้งนานแล้ว
เพราะฉะนั้น..ถ้ายังมีแรงอยู่ต้องรีบทำ ถ้ารอให้หมดแรงก็ไม่ไหวแล้ว ได้แต่พึ่งคนอื่น เหมือนกับคนที่จะเข้าวัด ให้รีบเข้าเสียขณะที่ตัวเองยังไปเองได้ อย่ารอให้คนอื่นเขาหามเราเข้าไป เพราะถ้ารอเขาหามเข้าวัด ส่วนใหญ่เขาก็หามไปเผาแล้ว จะหามไปทำบุญใส่บาตรก็ทำอะไรไม่ถนัด เป็นใหญ่เป็นโตขนาดมีเก้าอี้ประจำตำแหน่งแล้ว พอถึงเวลาเขาก็หิ้วไปทั้งเก้าอี้ แล้วก็ไปวางแปะเอาไว้ ไปไหนก็ไม่ได้ ถ้ามีแรงมากหน่อยก็พอเข็นเก้าอี้ไปได้ ถ้าแรงไม่พอก็ทำอะไรไม่ได้อีก
ฉะนั้น..ควรเข้าวัดตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่หนุ่มสาว วางพื้นฐานให้กับตัวเอง เหมือนกับสะสมแต้มไปได้มาก ถึงเวลาถ้าจำเป็นจะต้องเดินทางไกล (ตาย) ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะว่าเสบียงอาหาร (บุญกุศล) พร้อมแล้ว แต่คนอื่นที่ไม่ได้เริ่มเลย มาทำตอนแก่ก็แย่แล้ว คราวนี้จะทำอย่างไรดี ? บุญก็ไม่ได้สะสมไว้ บาปก็บานตะเกียงเลย ท้ายสุดก็ต้องมานั่งเครียด จิตใจเศร้าหมอง ตกสู่อบายภูมิอีก เป็นอันว่าเฮงไป"
ถาม : แนวคิดของการทำงานทางโลก เขาต้องการให้เราทำไปให้เต็มที่ มีบ้าน มีรถยนต์ แต่คราวนี้เรามาทำบุญ ก็คล้าย ๆ กับสวนทางกัน ?
ตอบ : ไม่สวนทางกัน
ถาม : อยู่กับทางโลก ก็ไปทางโลกเลย
ตอบ : ตรงกลางมี หลวงปู่มหาอำพันท่านเคยให้ข้อคิดไว้ว่า “ถ้าเป็นชีวิตฆราวาสเราต้องคิดเสมอว่าเรายังไม่ตาย เราต้องทำหน้าที่การงานของเราให้เต็มที่ แต่ถ้าหากว่าเป็นชีวิตของนักบวชหรือผู้ปฏิบัติธรรมให้คิดเสมอว่า ความตายอยู่แค่ศีรษะของเรา เราต้องเร่งปฏิบัติให้เต็มที่เหมือนกัน”
อย่างที่ว่ามาก็คือตรงกลาง ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด หมายความว่า หน้าที่ของเรามีอะไรเราก็ทุ่มเทของเราไป อย่างชนิดที่ว่าจะทำเอาเหรียญทองหรือว่ารางวัลอะไรของบริษัทไปเลย แต่พอถึงเวลากลับบ้านเราก็ทุ่มให้กับการปฏิบัติของเรา ไม่มีอะไรน่าสับสนหรอกจ้ะ แค่แบ่งเวลาให้เป็นเท่านั้น
ถาม : ที่เขากล่าวว่า “การคิดเป็นเรื่องของโลก การพิจารณาเป็นเรื่องของธรรม” อันนี้ถูกต้องสมบูรณ์ไหมครับ ?
ตอบ : สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อฟังแล้วนำมาขบคิดจนเข้าใจ สภาพจิตจึงจะยอมรับตามนั้น คราวนี้คุณเห็นแล้วยังว่าต่างกันตรงไหน ?
ที่คุณพูดมาเป็นแค่การเล่นสำนวนเฉย ๆ ถ้าไม่คิดก็เข้าไม่ถึงธรรม แต่ว่าการคิดนั้นจะต้องมีระบบ และขณะเดียวกันก็ต้องมีกำลัง ถ้ากำลังไม่เพียงพอก็ได้แค่คิด สภาพจิตยังไม่สามารถที่จะก้าวข้าม ก็คือไม่สามารถจะยอมรับอย่างแท้จริงได้
คราวนี้เราจะสร้างพลังให้กับการคิดของเราได้ ก็ต้องเอาตัวสมาธิเข้าไปเสริม ตัวสมาธิของเราจะช่วยให้การคิดเป็นระบบ ชัดเจน และถ้าสิ่งนั้นไม่เกินกำลังในตอนนั้น ก็สามารถที่จะยอมรับได้ สรุปว่าไม่ว่าจะคิดหรือพิจารณา ก็เป็นเรื่องของทางโลกและทางธรรมด้วย แยกไม่ได้ เพราะว่าลำดับขั้นตอนนั้นสืบเนื่องกันไป
ถาม : สัตว์บางชนิดเกิดบนพื้นดินก็มี สัตว์บางชนิดเกิดใต้ดินก็มี สัตว์บางชนิดเกิดในน้ำ พอจะมีปัจจัยอะไรเป็นเครื่องกำหนดไหมครับว่า เพราะกรรมอะไรถึงต้องไปเกิดบนดินบ้าง ใต้ดินบ้าง หรือในน้ำ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการกระทำหรือกรรมที่สั่งสมมา และโดยเฉพาะว่าถ้าเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์อย่างนั้น แปลว่าอย่างน้อย ๆ ต้องเคยฆ่าสัตว์อย่างนั้นมา จึงต้องไปชดใช้กรรมในสภาพเดียวกัน สรุปได้ว่าทั้งหมดเกิดจากกรรมที่สั่งสมมา โดยเฉพาะความมืดบอด ไร้ปัญญา เข้าไม่ถึงความดี
จะไปโทษเขาก็ไม่ได้หรอก เพราะกว่าจะก้าวล่วงมาถึงระดับนี้ แต่ละคนเกิดมาแทบจะครบทุกอย่างแล้ว สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่เราเห็น บางทีก็เป็นปู่ย่าตาทวดหรือไม่ก็ลูกหลานของพวกเราเอง ฉะนั้น..จะบี้เขาให้ตายหรือว่าจะกินลงไป ก็ให้ระมัดระวังนิดหนึ่ง ถ้ามีเสียงเอ็ดตะโรขึ้นมาว่า “นี่ปู่เองนะเว้ย” สงสัยคงไม่มีใครกล้ากิน..!
ถาม : บางวัดจัดงานสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ ที่เขาบอกว่าเกิดจากการบันดาลของเทพยดา ขออนุญาตเรียนถามว่า พระบรมสารีริกธาตุบนโลกใบนี้ ที่เกิดจากการบันดาลของเทพยดา มีจริงหรือไม่ครับ ? และมีความแตกต่างจากพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นของจริงอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุเทพนิมิตยังไม่เคยพบ แต่ถ้าในส่วนของพระอรหันตธาตุต่าง ๆ จะมีส่วนที่เรียกว่าพระธาตุเทพนิมิต ที่เทวดาเนรมิตขึ้นมาเพื่อเอาไว้กราบไหว้บูชาของเขาเอง เรียกว่ามีก็ได้ แต่คราวนี้เราจะรู้จริงแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จะว่าไปแล้วทั้งสองอย่างนี้จะมีจริงหรือไม่มีก็ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าการบูชาของเรา เราได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือเปล่า ? เราระลึกถึงพระอรหันต์เจ้าของพระธาตุนั้นจริง ๆ หรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราระลึกถึงได้ก็เป็นพุทธานุสติ เป็นสังฆานุสติ ถือว่าทำในด้านที่ถูก ถ้าสักแต่ว่าสมโภชรื่นเริงกันไปเฉย ๆ ประโยชน์ก็น้อย
สรุปว่ามี คล้าย ๆ กับมนุษย์เราสร้างพระพุทธรูปหรือว่าสร้างรูปพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นวัตถุมงคล แต่ว่าในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุเทพนิมิตยังไม่เคยเจอ แต่พระอรหันตธาตุนี่เจอมาแล้ว ในส่วนที่ไม่เคยเจอยังไม่ยืนยันให้ ส่วนที่เคยมาแล้วยืนยันให้ได้ว่ามี
ถาม : ในยุคปัจจุบันนี้คนมักจะดื่มเหล้า ชอบเสพยาบ้า ทีนี้เวลาเข้าสังคม ถ้าเราไม่เสพยาเสพติดหรือไม่ดื่มเหล้า ก็จะโดนตำหนิติเตียน เพราะพยายามรักษาศีล คำถามผมก็คือว่าในยุคอดีตก็มีสุราอยู่แล้ว การไม่ดื่มเหล้าก็เป็นเรื่องปกติของคนในยุคนั้น ๆ ส่วนในยุคปัจจุบันนี้ การที่ไม่ดื่มเหล้าไม่เสพยา เป็นเรื่องที่ไม่ปกติของชีวิตคนธรรมดา แล้วการรักษาศีลในยุคปัจจุบัน จะได้อานิสงส์มากกว่าในยุคอดีตหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ได้เท่ากัน เพราะว่าคำว่าศีลแปลตรง ๆ ว่าปกติ คนไม่มีศีลจึงเป็นคนผิดปกติ เพียงแต่ว่าคนในยุคปัจจุบันเป็นมิจฉาทิฐิ ก็คือมีความเห็นผิดว่าการละเมิดศีลนั้นเป็นของดี แล้วก็ทำกันเป็นจำนวนมาก ทำให้คนที่รักษาศีลกลายเป็นคนส่วนน้อยไป เรื่องนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย เพราะว่าคนทำความดีมีน้อยกว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าเราจะมีความอดทนอดกลั้น และจะทำได้จริงหรือเปล่า ?
อย่างอาตมาเองรักษาศีลปฏิบัติธรรมมาแต่เด็ก ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง แม้กระทั่งญาติพี่น้องตัวเองก็บอกว่าบ้า อาตมาก็ต้องอดทนสู้กับคำของเขา จนกระทั่งผ่านระยะเวลาไปยาวนานพอ เขาเห็นว่าเราตั้งใจทำจริงและสิ่งที่ทำมีผลจริง เขาก็ค่อย ๆ คล้อยตามมา ส่วนในระยะเวลาที่ควรจะเสียมากที่สุดคือตอนที่เป็นทหารอยู่ เพราะทหารนี่เรื่องของการกินเหล้าเมายาเป็นเรื่องปกติ ขนาดเขามีคำสุภาษิตว่า “เป็นเมียทหารนับขวด”
แต่อาตมาก็ไม่ได้ไปเมาหัวทิ่มแบบเดียวกับเขา เพื่อน ๆ ก็กระแนะกระแหนเสียดสีด่าว่าอยู่ทุกวัน ว่าอะไร ๆ ก็ไม่เป็นสักอย่างหนึ่ง ไปหากระโปรงมานุ่งไป อาตมาคนเดียวด่าทหารร้อยกว่าคนกลับไปว่า “ถ้าหากว่าจะหากระโปรงมานุ่ง ก็พวกมึงนั่นแหละ..สมควรที่จะไปนุ่งกันเอง ไม่ใช่กู..กูรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี กูห้ามใจตัวเองได้ กูนี่แหละลูกผู้ชายตัวจริง แต่พวกมึงห้ามใจตัวเองไม่ได้สักคน พวกมึงนั่นแหละควรจะไปนุ่งกระโปรงกัน..!”
สรุปว่าชี้แจงให้เขารู้ด้วยว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ปล่อยให้คนส่วนมากชักจูงเราไป อาตมาอยู่ที่ไหนมักจะจูงคนส่วนมาก ไม่เคยให้คนส่วนมากจูงไป ถ้ารักจะทำความดีเลือดบ้าต้องมีมากพอเหมือนกัน โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “พวกแกจะทำความดีก็ต้องบ้า และบ้ากว่าปกติหลายเท่าด้วย ไม่อย่างนั้นแกไปไม่รอด เพราะสังคมเดินสวนทางกับแก แล้วเขาก็บอกว่าแกเดินผิดทาง”
คิดดูว่าเขาเดินลงกันหมด แล้วเราไปตะกายขึ้นเหนื่อยยากอยู่คนเดียว เขาก็ต้องว่าเราผิด เราจะมีความมั่นใจต่อเป้าหมายของเราแค่ไหน ? จึงอยู่ที่สติ สมาธิ และปัญญาของเรา ถ้าเรามีความมั่นใจเราก็ลุยของเราต่อไป แต่ว่าการรักษาศีลปฏิบัติธรรม อานิสงส์ยังคงมีเหมือนเดิมและมีเท่าเดิม เพียงแต่สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง
ถาม : ที่บอกว่า "บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร" แล้วการที่ดูแลบิดามารดาจะได้บุญเหมือนกับที่ดูแลพระอรหันต์ไหมครับ ?
ตอบ : ข้อนี้เราว่ากันเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านว่า “พฺรหฺมา จ มาตาปิตโร บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร” แปลว่าพ่อแม่จะต้องรักลูกเหมือนรักตัวเอง สงสารไม่อยากให้ลูกลำบาก ถ้าหากว่าลูกทำอะไรได้ดีก็พลอยยินดีกับลูกด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะให้อภัยลูกได้ในทุกเรื่อง แต่ที่บอกว่าบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตรนั้น เป็นการเปรียบเทียบของนักปราชญ์ในรุ่นหลัง ๆ จึงเป็นคำพูดที่สามารถคัดค้านได้ เพราะว่าไม่ใช่พุทธวจนะที่แท้จริง
การปฏิบัติต่อบิดามารดานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวถึงในส่วนของอนันตริยกรรม ๕ ว่า บุคคลที่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภทนั้นจะต้องอนันตริยกรรม ก็คือลงอเวจีมหานรกเหมือน ๆ กัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราปฏิบัติต่อท่านแล้ว จะมีอานิสงส์เหมือนกับการปฏิบัติต่อพระอรหันต์โดยตรง
ยกเว้นว่าเรามีความกตัญญูกตเวทีอย่างแท้จริง ปฏิบัติต่อบิดามารดาของเราอย่างดีที่สุดตามหน้าที่ของบุตรธิดา และขณะเดียวกันเมื่อได้พบพระอริยเจ้า เราก็ปฏิบัติต่อท่านอย่างถูกต้องตามแบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ถ้าหากว่าสามารถทำอย่างนี้ได้ แม้ว่าอานิสงส์ที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่และพระอรหันต์จะไม่เท่าเทียมกัน แต่ว่าการปฏิบัติของเรานั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตเหมือนกัน
ถาม : มีรุ่นน้องเขาถือศีล ๕ แต่ว่าบางทีเขาไปดื่มสุรา เขาเสียศีลไป ๑ ข้อ แล้วก็บอกว่ายังเหลือศีล ๔ ข้อ อย่างนี้ถือว่าศีลเขาทั้งหมดยังอยู่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าศีลข้อใดขาดก็เสียข้อนั้นข้อเดียว แต่ว่าบุคคลที่ทำให้ศีลขาดข้อหนึ่งได้ ต่อไปจะเป็นข้ออ้างในการละเมิดศีลได้ว่า "ข้อนั้นยังได้เลย" แล้วจะทำให้เขาละเมิดศีลได้ง่ายกว่าคนปกติที่มีความละอายชั่วกลัวบาปอยู่
ถาม : ถ้าเรารู้ว่าเราผิดศีลข้อนี้ เราต้องคอยต่อศีลหรืออาราธนาศีลใหม่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..ต่อให้อาราธนาศีลให้ตาย ถ้าไม่ตั้งใจงดเว้นก็ไม่เป็นศีล เรารู้ว่าศีลต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง แล้วตั้งใจงดเว้นไม่ทำให้ผิด ก็ถือว่าเป็นศีลแล้ว ไม่ต้องไปขอ ไม่ต้องไปอาราธนา
การที่เราขอศีลจากพระ ท่านใช้คำว่า "สมาทาน" คือศึกษาว่าศีลนั้นมีอะไรบ้าง เมื่อรู้แล้วเราก็ตั้งใจงดเว้นไป แต่คราวนี้การสมาทานศีลกลายเป็นรูปแบบแล้ว ดีอยู่อย่างหนึ่งว่าเราได้ทบทวนอยู่บ่อย ๆ กลายเป็นสีลานุสติ เป็นการระลึกถึงศีลไป
ถาม : สัตว์เดรัจฉานที่เกิดจากคนที่มีความคิดว่า ไปเกิดเป็นหมาดีกว่า ไปเกิดเป็นไก่ของเศรษฐีดีกว่า เพราะว่าได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี อันนี้เป็นผลจากการที่เขารักษาศีลไม่ครบทุกข้อจึงไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ว่าเป็นผู้ที่ให้ทาน ถึงแม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีผลจากอานิสงส์ของทาน อันนี้เกิดจากเหตุอย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต่อให้เรามีศีลครบถ้วน แต่ถ้ากำลังใจก่อนตายที่เรียกว่าอาสันนกรรม ไปปักมั่นว่าเราเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดนั้น ๆ ดีกว่า ก็จะทำให้เราไปเกิดก่อน เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นจนหมดกรรมแล้ว อำนาจของศีลถึงจะส่งผลเป็นอุปัชชเวทนียกรรม ส่งผลในชาติต่อไปได้เกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า
อย่างเช่นโฆสกเทพบุตร ตอนเป็นคนเห็นเศรษฐีเลี้ยงหมาด้วยข้าวมธุปายาส ใจก็ไปเกาะตรงนั้นว่าเราเกิดมาทั้งชาติ ไม่รู้ว่าข้าวมธุปายาสเป็นอย่างไร แต่เป็นหมาแล้วได้กิน ก็อยากจะเกิดเป็นหมาของเศรษฐี กำลังใจไปเกาะตรงจุดนั้นแล้วตายพอดี พอพ้นจากส่วนนั้นได้มีโอกาสไปถวายการรับใช้พระปักเจกพุทธเจ้า อานิสงส์ก็ส่งผลไปเกิดเป็นเทวดา
ดังนั้น..ในเรื่องของศีล ต่อให้รักษาแน่วแน่มั่นคง แต่ถ้าหากว่ามีอาสันนกรรมสอดแทรกเข้ามา ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเฉพาะหน้า อานิสงส์นั้นก็จะส่งผลให้ในชาติต่อไปแทน
ถาม : เรานั่งสมาธิแล้วก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา แต่ว่าไม่มีปีติเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย อันนี้เป็นไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้เป็นปกติ เพราะว่าเป็นอุปจารสมาธิขั้นต้น ยังไม่ถึงความเป็นปีติ หรือไม่ก็สมาธิก้าวล่วงตัวปีติไปแล้ว เกิดโอภาสที่เป็นอุปกิเลสขึ้นมา อันนั้นก็จะไม่เกิดอาการปีติเพราะว่าก้าวพ้นไปแล้ว
แต่ว่าไม่ว่าจะเกิดขึ้นในกรณีแรกหรือในกรณีที่สองก็ตาม อย่าเอาใจไปปักอยู่ตรงนั้น เวลานั่งสมาธิใหม่ให้เราวางกำลังใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนผลจะเกิดอย่างไรเป็นเรื่องของมัน ไม่อย่างนั้นถ้าเราภาวนาแล้วอยากเห็นแสงสว่างอีก กำลังใจจะฟุ้งซ่าน แล้วภาวนาเท่าไรใจก็จะไม่ทรงตัว
ถาม : เวลาที่เราตั้งใจภาวนาแล้วเราเห็นแสงขึ้นมาเป็นดวงเดียว แต่เวลาที่เราไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติ เป็นช่วงที่เรากำลังนั่งเก้าอี้ ก็ปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นมาแต่เป็นหลายดวง อันนี้เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นอำนาจของสมาธิเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนที่เรานั่งภาวนาอยู่นั้น ด้วยความที่เราตั้งใจภาวนามากเกิน ก็เหมือนกับยื่นคอเลยช่อง มองไม่เห็นอะไร ตั้งใจน้อยเกินก็ก้มต่ำเลยช่อง มองไม่เห็นอะไร กว่าเราจะปรับกำลังใจให้พอดี ให้เห็นแสงเห็นสีได้ก็นาน
แต่ว่าตอนช่วงที่เรานั่งลงนั้น เนื่องจากว่าจากที่ยืนแล้วมานั่ง กำลังใจคลายตัวจากความลำบากมาเป็นความสบาย อาจจะลงมาอยู่ในช่วงที่สมาธิสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้พอดี และเป็นการเห็นที่ชัดเจนกว่า เพราะว่ากำลังใจขยับมาลงร่องเอง การรู้เห็นอาจจะกว้างมากกว่าจึงเห็นอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น
ถาม : การที่เห็นแสงดวงเดียวกับการที่เห็นแสงหลายดวง หมายความว่าการที่เห็นแสงหลายดวงนี้มีความลึกของสมาธิมากกว่าหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...การที่เราเห็นแสงหลายดวงหรือดวงเดียว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความลึกความกว้างของสมาธิ สมาธิของเรายังคงเท่าเดิมอยู่ในระดับนั้นถึงเห็นได้ เพียงแต่ว่าในสภาพของจิตตอนนั้นความสบายต่างกัน ที่เมื่อครู่ได้กล่าวไว้ว่าความเบาสบายต่างกัน เพราะว่ากำลังจะได้นั่ง กำลังใจสบายแล้ว ขณะที่อีกอันหนึ่งเรานั่งเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น..ก็เหมือนอยู่ในลักษณะที่ว่า กำลังของเราที่มุ่งตรงไปด้วยความเร็วและแรง จะทำให้เราชัดเจนต่อเป้าหมายเดียวข้างหน้า แต่ถ้าหากว่าเราไปช้า ๆ เราก็จะเห็นสิ่งรอบข้างไปด้วย การเห็นก็เลยเห็นได้มากกว่า
ถาม : ที่เขากล่าวว่าผู้ที่เป็นประธานในการทอดกฐิน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ แล้วก็ไปเสวยผลบุญในลำดับรอง ๆ กันต่อไปเรื่อย ๆ ในปัจจุบันมีวัดต่าง ๆ จำนวนมากมาย มีเจ้าภาพกฐินเยอะมาก ถามว่าในอนาคตกาลจะไม่ต้องมีพระเจ้าจักรพรรดิเกิดขึ้นมากมายหรือครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติ แต่เกิดขึ้นทีละองค์ เพราะว่ากำลังใจของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน คำว่า "ไม่เท่ากัน" ก็คือทั้งสิ่งที่สั่งสมมาเป็นบารมีในอดีต และกำลังใจที่มุ่งมั่นต่อศีล สมาธิ ปัญญาในปัจจุบันตลอดจนอนาคตไม่เท่ากัน ทำให้กำลังบุญส่งผลให้ช้าเร็วต่างกันไป
พูดง่าย ๆ ก็คือมีคิวเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถ้ากำลังใจของใครเข้มข้นมากขึ้นก็ลัดคิวได้เร็วขึ้น ถ้ากำลังของใครหย่อนยานลง ทำกฐินครั้งนั้นเสร็จแล้วไม่คิดทำอะไรอีกเลย ก็กลายเป็นอยู่ท้ายแถวไป พระเจ้าจักรพรรดิเวลาเกิดขึ้นแต่ละครั้งก็ใช้ปราสาทแก้วมณีหลังเดิม เทวดาขี้เกียจสร้างใหม่ หิ้วหลังเดิมมาวางไว้ให้เลย ขี้เกียจออกแบบใหม่ให้เปลืองวัสดุ..!
ถาม : ในปัจจุบันนี้มีผู้ที่เก็บวัตถุมงคลต่าง ๆ เพื่อเก็งกำไรบ้าง เพื่อเอาไว้บูชาบ้าง ถามว่าการทำอย่างเป็นบาปไหมครับ หรือว่าเป็นกุศล ?
ตอบ : ถ้าหากว่าบาปก็คือทำผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าพื้นฐานก็คือเรื่องของศีล ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ลักขโมยใครมา หามาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าควรจะให้ความเคารพตามปกติด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าทำเพราะหวังเก็งกำไร ถ้าอย่างนั้นมีสิทธิ์ที่จะเกิดโทษใหญ่เพราะปรามาสพระรัตนตรัย
ถ้าหากว่ากำลังใจเคารพเป็นปกติ ปฏิบัติด้วยความเคารพนบนอบ ในลักษณะว่าถ้าให้คนอื่นบูชาก็คือแบ่งปันกัน ถ้าอย่างนั้นก็ทำไปเถอะ แต่ถ้ากำลังใจของเราไม่ได้ให้ความเคารพ กลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยก็เกิดโทษใหญ่โดยไม่รู้ตัว
ถาม : มีคนเขาบอกว่า ถ้าเราทำบุญให้คนตาย เขาต้องมีบุญเก่าอยู่ด้วย ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องมีจ้ะ ถ้าของเก่าไม่ส่งมา จะหลงมาถึงปัจจุบันก็เป็นไปโดยยาก
ถาม : ในสังคหวัตถุ ๔ ปิยวาจาเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เขาสามัคคีกับเราใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา สำคัญทุกตัว ไม่ใช่เฉพาะปิยวาจาอย่างเดียว สักแต่ว่าพูดหวาน ๆ แต่ใช้คนอื่นตลอด เขาก็ไม่อยากสามัคคีกับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..ต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นเขาด้วย
ถาม : พระที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย ท่านมีความสามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้..?
ตอบ : กำลังใจยังไม่ตัดเข้าสู่มรรคผลที่แท้จริง เพราะติดภาระที่ตนเองผูกพันอยู่ พูดง่าย ๆ ว่าการที่จะหลุดพ้นไปได้นั้น ต้องไม่มีอะไรเหลือแล้ว คราวนี้ยังมีเส้นสายอยู่ ๑ เส้นที่มัดขาท่านอยู่ คือความปรารถนาที่จะตรัสรู้ในอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังสูงกว่าพระอรหันต์ทั่วไปมาก แต่ว่าไม่ได้ตัดเข้าสู่มรรคผลที่แท้จริง
อาตมาเคยใช้คำว่า "กำลังใจเทียบเท่าพระอรหันต์" แต่คำว่าเทียบเท่าของท่านนั้นละเอียดกว่าเยอะมาก
ถาม : ที่เขาบอกว่าอาชีพนักร้องนักแสดง ตายแล้วจะต้องไปสู่ทุคติ จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มีความดีอื่นเลยก็ลงอเวจีหมด เพราะว่าทำให้คนยึดติด อย่างเช่น ยึดติดในรูป ยึดติดในเสียง มีความนิยมยินดีในสิ่งที่ควรจะละ เราต้องละวางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสได้ โอกาสจะไปถึงพระนิพพานหรือโอกาสที่จะหลุดพ้นถึงจะมี แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้กลับทำให้คนยึดติด
อย่างในสมัยปัจจุบัน เวลาบรรดาดารามา หลายคนก็กรี๊ดกันหูดับตับไหม้ เห็นชัด ๆ เลยว่าทำให้คนหลงยึดในตัวเขาเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นว่า ใครเป็นดารา เป็นนักร้องนักแสดง หรือแม้กระทั่งนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ ควรที่จะสร้างบุญกุศลให้มาก ๆ ไว้ ถ้าไม่มีบุญกุศลอื่นหนุนเสริม มีหวังลงทุคติหมด
ถาม : การที่เป็นดารานักร้องกับอาชีพทำประมง อันไหนถือว่าเป็นบาปกรรมที่มากกว่ากันครับ ?
ตอบ : คนที่ทำอาชีพทำประมง ถ้าหากว่าทำอยู่ทุกวันเป็นอาจินณกรรม จะลงอเวจีมหานรกเหมือนกัน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำว่า ใครทำมากทำน้อยกว่ากัน สรุปแล้วก็คือ ลงนรกขุมเดียวกันแต่ระยะเวลาต่างกัน
ถาม : อย่างนี้คนที่เป็นนักร้องนักแสดง ถ้ามีชื่อเสียงน้อยก็บาปน้อย ถ้ามีชื่อเสียงมากก็บาปมาก ถูกไหมครับ ?
ตอบ : ต้องใช้คำว่า "มีคนยึดติดน้อยก็สร้างกรรมน้อย มีคนยึดติดมากก็สร้างกรรมมาก" เคยมีดาราชายวัยรุ่นหนึ่ง ที่ไปกระโดดตึกตาย แล้วคนไปงานศพเป็นหมื่น ๆ นั่นคนเขายึดติดมาก อาตมาเห็นแล้วสลดใจว่า เขาไม่รู้ว่าตัวเองได้สร้างกรรมไว้หนักขนาดไหน เขาคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ถ้าหากว่ากำลังใจของเขาเกาะบุญเกาะกุศลได้ก็แล้วไป ถ้าเกาะไม่ได้ก็สาหัสเลย
ถาม : แล้วเขาด้วยบุญอะไรถึงได้เป็นดาราครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องมีศีล ๕ ถึงได้เกิดเป็นคน และมีความดีอื่นส่งเสริมอีกอย่าง เช่น พรหมวิหาร ๔ ไม่อย่างนั้นจะไม่เกิดมามีรูปร่างหน้าสวยงาม เพียงแต่ว่าการดำเนินชีวิตในปัจจุบันนี้ผิดทางไปเอง ต้องบอกว่าเขาทำไปเพราะไม่รู้
ตัวอย่างในพระไตรปิฎกกล่าวถึง คือ พระตาลปุตตคามิณีเถระ ท่านเป็นนักแสดงหรือที่เขาใช้คำว่า "มายากร" ที่มีชื่อเสียงมาก ไปไหนก็มีคนตามดูเป็นจำนวนพัน ๆ คน ท่านไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ยินว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ ก็หาโอกาสไปกราบ แล้วทูลถามว่า ตามความเชื่อของพวกเขาที่สืบ ๆ กันมาว่า
"บุคคลที่เป็นมายากร เมื่อตายแล้วจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างความรื่นเริงแก่ผู้อื่น จริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า?" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน...มายากร อย่าได้ถามปัญหานี้เลย” ท่านก็ยังถามใหม่ถึง ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าเองจึงจำเป็นที่จะต้องบอกความจริงว่า "บรรดานักแสดงต่าง ๆ ถ้าไม่ทำกุศลอื่นเลย จะลงอเวจีมหานรกทั้งหมด"
ในส่วนที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งก็คือ ตาลปุตตาคามิณีมาณพนั้น มีความเลื่อมใสและเชื่อมั่นในคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงร้องไห้เสียใจ แล้วก็ทูลถามว่าจะแก้ไขอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงได้แนะนำว่าให้บวชแล้วปฏิบัติธรรม ท่านก็เลยบวชแล้วปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ กรรมทั้งหมดจึงกลายเป็นอโหสิกรรม ก็คือไม่สามารถที่จะไล่ตามท่านทัน ก็หมดไปโดยปริยาย
แต่คราวนี้คนในปัจจุบัน เวลาเราพูดเรื่องนี้เขาจะมีความเชื่อถือแค่ไหน ? ยิ่งถ้าหากว่าเราไปพูดกับท่านทั้งหลายที่มีผู้คนตามนิยมชมชื่นมาก ๆ เข้า ดีไม่ดีคนพูดจะตายก่อน ต่อให้ตายแล้วไปดีก็เถอะ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะพูดต้องดูสถานที่ ดูวาระดูเวลาด้วย ถ้าเขารับไม่ได้เพราะเขามีความเชื่อมั่นของเขาอยู่ ก็ต้องปล่อยให้ทางใครทางมัน แต่ถ้าสามารถแนะนำได้ก็ควรที่จะแนะนำ
ในปัจจุบันนี้บรรดาดารานักร้องก็นิยมเข้าวัดเข้าวา ทำบุญสุนทานกันเป็นจำนวนมาก อย่างวันก่อนคุณอุดม แต้พานิชก็ไปช่วยเรี่ยไรให้กับทางด้านวัดพระธรรมกายอยู่ แล้วเพื่อนเขาก็บอกว่าคุณอุดมทำบุญเป็นปกติ ทำเป็นล้าน ๆ บาทเลย แสดงว่าเขาเองก็ยังสร้างบุญกุศลในด้านอื่นเป็นปกติอยู่ ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นอาการก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร สำหรับท่านที่ไม่เอาเรื่องบุญเรื่องกุศลเลยนี่อาการน่าเป็นห่วง
วัดของอาตมาก็มีดาราไปปฏิบัติธรรมอยู่ ตอนแรกอาตมาก็สังเกตเห็นว่าคนนี้แลดูสวยสง่า ญาติโยมมาบอกทีหลังว่าเป็นดารา เพราะอาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวิทยุโทรทัศน์อะไรมาเป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปีแล้ว ไม่รู้จักดารารุ่นใหม่ ดาราคนสุดท้ายที่รู้จักชื่อจารุณี สุขสวัสดิ์ ตอนนี้เล่นบทคุณยายได้สบายแล้ว..!
ถาม : ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่มีอาชีพเป็นทหาร ต้องเอาปืนไปสู้รบปรบมือกับข้าศึกอริราชศัตรู กับคนที่มาเป็นดาราสร้างความบันเทิงให้กับประชาชน อันไหนน่าจะได้มีโอกาสไปสวรรค์มากกว่ากัน หรือว่าไปนรกน้อยกว่ากันครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับการกระทำและสิ่งที่เขายึดก่อนตาย ทหารออกรบส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่เป็นเพราะความอาฆาตแค้นส่วนตัว เป็นการกระทำตามหน้าที่ ในเมื่อไม่มีความโกรธนำหน้า สิ่งที่กระทำไปก็ไม่เจตนาไปเข่นฆ่าเขา แต่เป็นการรักษาผืนแผ่นดิน รักษาราชบังลังก์ และโดยเฉพาะอย่างองค์บุรพมหากษัตริยาธิราชในอดีต พระองค์ท่านตั้งใจที่จะรักษาแผ่นดินนี้ไว้เป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าตั้งกำลังใจในลักษณะนี้ ส่วนที่เป็นบุญก็มีมากกว่า ส่วนที่เป็นบาปถึงจะมี แต่กำลังก็ไม่ได้มากไปกว่าบุญตรงส่วนนี้
ดังนั้น..ถ้าหากว่าทำดี ทำถูก กำลังใจก่อนตายยึดมั่นในสิ่งที่ถูก โอกาสที่จะไปสุคติก็มีมาก โดยเฉพาะอาตมาเคยเป็นทหารมาก่อน นั่งปลุกพระทุกวันเลย คาถามีกี่บทก็ว่ากันจนมั่นใจจริง ๆ แล้วถึงจะออกไป ลักษณะอย่างนี้กำลังใจเราเกาะความดีอยู่ หรือว่านักรบในอดีตเมื่อถึงเวลา ตั้งใจวางมือไม่รบราฆ่าฟันกับใครแล้ว ก็มีการถวายดาบเป็นราวเทียน เป็นพุทธบูชาไป หรือไม่ก็บวชปฏิบัติธรรมไปเลยก็มี
ในส่วนของดาราก็อย่างที่บอกว่า ปัจจุบันนี้มีการแนะนำการปฏิบัติโดยดาราออกสื่อต่าง ๆ ก็มีอยู่ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงขึ้นอยู่กับการกระทำ และจิตสุดท้ายของเขา ว่าสามารถยึดเกาะด้านใดได้มากว่า เราไม่สามารถที่จะเอามาชั่งกิโล แล้วเปรียบเทียบว่าใครจะได้ดีได้ชั่วมากกว่ากัน
ท่านใดที่จะนำเก็บตกฯ เกี่ยวกับเรื่องดารานี้ไปเผยแพร่ต่อ หากเห็นว่าไปโพสต์ยังสถานที่นั้นแล้ว เป็นประเด็นให้คนต้องมาถกเถียงแย้งกัน ตำหนิติเตียนคำสอนนี้หรือตำหนิพระอาจารย์ รบกวนว่าอย่าเสี่ยงเลยค่ะ เท่ากับเราเป็นผู้เปิดโอกาสให้ผู้อื่นสร้างวจีกรรม และมโนกรรม ต่อพระธรรมและพระสงฆ์ แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้เผยแพร่ต่อยังสถานที่นั้นแล้วไม่มีใครแย้ง เกิดเป็นความรู้ที่เป็นกุศล ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้ค่ะ
วันอาทิตย์มีการขอขมาพระอาจารย์เนื่องในวันสงกรานต์ พระอาจารย์จึงให้โอวาทว่า "เนื่องในวาระสงกรานต์ ตามประเพณีของเรานิยมรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ คราวนี้การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่นั้น เราไปในลักษณะของการรดน้ำขอพร เด็กรุ่นใหม่ทำผิดกันเยอะมาก เพราะไปรดน้ำอวยพรผู้ใหญ่ ไม่ต้องทะลึ่งไปอวยพรให้ท่านหรอก วัยวุฒิคุณวุฒิของเราไม่มีอะไรพอที่จะเป็นความดีให้ท่านได้ ถ้าหากว่าจะอวยพรให้ท่าน ต้องอ้างคุณพระรัตนตรัยแทน แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอยู่ดี เพราะว่าเราเป็นเด็กกว่า
ในส่วนที่เราได้กระทำในครั้งนี้ ข้อที่ ๑ เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ดั้งเดิมของเราเอาไว้ ข้อที่ ๒ เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ใหญ่ ต่อครูบาอาจารย์ ต่อบุคคลที่เรารัก ข้อที่ ๓ เป็นการแสดงอปจายนมัย คือการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ สิ่งที่เราทำนี้เป็นส่วนของความดีทั้งสิ้น เพราะว่าการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งช่วยให้สังคมและประเทศชาติของเราเป็นปึกแผ่นเป็นมั่นคงได้
เนื่องจากสังคมของเรานั้น ต้องประกอบไปด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมายบ้านเมือง และระเบียบวินัยของแต่ละสถานที่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นกติกา ที่ยึดโยงให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ถ้าหากว่าเราละเมิดกฎกติกา สังคมก็จะวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ยากเดือดร้อน
ดังนั้น..ที่เราทำนั้นมีผลประการแรกก็คือ เป็นการสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงของสังคมไทยเรา แสดงออกซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้ทั้งคนรุ่นหลังและคนต่างชาติได้เห็น ประการต่อมา ในส่วนของการไปแสดงอปจายนมัยต่อผู้ใหญ่ ก็เป็นไปตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในส่วนของบุญกิริยาวัตถุ เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น ทำให้คนเห็นมีความเย็นตาเย็นใจ เกิดความรักใคร่เมตตา แปลว่าเราสร้างความดีให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้อื่น
ดังนั้น..ในส่วนของคุณความดีนี้จึงเป็นอานิสงส์ที่ส่งผลมาถึงเราด้วย ว่าท่านทั้งหลายจะให้ความรักใคร่เมตตา เอ็นดูเรามากกว่าปกติ ถ้ามีสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัย ที่ท่านจะช่วยเหลือสงเคราะห์ได้ ท่านก็จะช่วยเหลือสงเคราะห์เรา "
"ในส่วนของการที่เรานำเอาวัตถุมา ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือว่าดอกไม้ของหอม ที่ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนอานิสงส์ของอามิสบูชา ซึ่งมักจะไปปรากฏเป็นโภคสมบัติ หมายความว่าในส่วนของอามิสบูชานั้น อานิสงส์ถัดไปข้างหน้าคือความร่ำรวย มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่
แต่ขณะเดียวกัน เรามาปฏิบัติในส่วนของปฏิบัติบูชา ก็คือกระทำอปจายนมัยตามวาระสำคัญของประเพณีต่าง ๆ ในส่วนนี้ถือเป็นส่วนของปฏิบัติบูชา แต่ว่าในส่วนที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ความดีที่ระดับสูงกว่านี้ คือ ศีล สมาธิ และปัญญานั้น เป็นสิ่งที่พวกเราจะทิ้งไม่ได้ การกระทำของเราในครั้งนี้เป็นพื้นฐาน ในเมื่อเรามีพื้นฐานที่หนาแน่น ศีล สมาธิ ปัญญามีที่หยั่งลงได้อย่างมั่นคง โอกาสที่เราจะก้าวล่วงขึ้นไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่า หรือว่ากระทั่งหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานก็จะมีมากกว่าปกติ
ในวาระอันสำคัญก็คือวันสงกรานต์ และท่านทั้งหลายได้กระทำซึ่งอปจายนมัย นำเอาวัตถุซึ่งเป็นอามิสทั้งหลายนี้ มาแสดงออกซึ่งความกตเวที คือความรู้คุณในสิ่งที่อาตมาได้กระทำมาตั้งแต่ต้น ก็ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นประธาน บารมีของครูบาอาจารย์มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงเป็นที่สุด ตลอดจนความดีทั้งปวงที่อาตมาภาพได้บำเพ็ญมาเป็นอเนกชาติ และความดีทั้งหลายที่ท่านได้บำเพ็ญมานับแต่ต้นจวบจนบัดนี้
ขอจงรวมกันเป็นตบะเดชะ เป็นพลวปัจจัย บันดาลดลให้ท่านทั้งหลาย มีความเป็นอยู่ที่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการ แม้ว่าปรารถนาสิ่งหนึ่งประการใด ที่ไม่ผิดศีลผิดธรรมและไม่เกินวิสัยแล้ว ขอความปรารถนาของท่านทั้งหลายนั้น จงพลันสำเร็จดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการ โดยถ้วนหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ"
ถาม : พ่อผมเสียมา ๘ ปีแล้ว ทีนี้ทางวัดต้องการใช้ที่ ผมก็เลยจะนำศพพ่อที่ยังไม่เผาออกมาเผา สามารถทำภายในวันเดียวได้เลยไหมครับ คือกลางวันเลี้ยงพระ พอบ่ายสามก็เผาเลย ?
ตอบ : ถึงคุณจะไม่เลี้ยงพระ เผาไปเลยก็ไม่เป็นอะไร
ถาม : ไม่ต้องมีฤกษ์ยามอะไรหรือครับ?
ตอบ : ไม่ต้องมี เพียงแต่ว่าใบมรณบัตรยังอยู่ไหม ? ถ้าอยู่ถ่ายเอกสารใบมรณบัตรให้ทางวัดไว้ใบหนึ่งด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเจอข้อหาเผาทำลายศพ เพราะว่าพวกรีบร้อนทำในวันเดียว ส่วนใหญ่เป็นการเผาทำลายศพ วัดท่าขนุนเคยโดนมาแล้วสมัยอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาส
เขาเอาพวกต่างด้าวยัดมาในรถคันเดียวกันเยอะ ๆ แล้วเบียดกันตาย เสร็จแล้วก็เอาไปเผาที่วัด สวดวันนั้นเผาวันนั้น อาจารย์สมพงษ์ก็ไม่ได้ขอใบมรณบัตรเอาไว้ พอถึงเวลาตำรวจสืบคดีมาถึงก็วุ่นไปหมด ยังดีที่ว่าเป็นวัดหลวงปู่สาย ตำรวจให้ความเกรงใจอยู่ เขาก็เลยลงบันทึกไปว่ามิได้เจตนา เพราะว่าไม่รู้ว่าเป็นคดีอาญา นึกว่าเป็นการตายแล้วเผาตามปกติ
ไม่อย่างนั้นก็ได้ไปสวัสดีเธอจ๋าอยู่ในตะราง เพราะว่าเจ้าพนักงานกระทำความผิดนี่หนักกว่าคนอื่นหลายเท่า มาตราที่ ๔๕ ระบุไว้ชัดเจนเลยว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ถาม : การเป็นเจ้าภาพปิดทองพระประธาน ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ดูว่าพระประธานนั้นองค์ใหญ่แค่ไหน ? ถ้าหน้าตัก ๔ ศอกขึ้นไป จะมีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ที่เราทำมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ ถ้าหากว่าหน้าตักไม่ถึง ๔ ศอก การที่เราปิดทองพระประธาน เป็นการซ่อมบำรุงพระพุทธรูปให้มีความสวยงาม เป็นที่น่าเคารพน่าเลื่อมใสของบุคคลทั่วไป อานิสงส์นี้ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงจะได้เป็นเบญจกัลยาณี ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายน่าหล่อประมาณพระมหากัจจายนะ
พระมหากัจจายนะรูปงามขนาดผู้ชายเห็นแล้วหลงเลยนะ ผู้ชายคิดว่าถ้าเมียเราสวยขนาดนี้ได้ก็ดี ด้วยความที่พระมหากัจจายนะท่านเป็นพระอรหันต์ พอไปคิดล่วงเกินท่านนิดเดียว คนคิดกลายเป็นผู้หญิงไปเลย แล้วก็อายหนีข้ามเมืองไป ดันไปตกหลุมรักเศรษฐีต่างเมือง แต่งงานแต่งการไปมีลูก ๒ คน เพื่อนเก่าตามเจอ พอเล่าให้ฟังก็บอกให้ไปขอขมาพระเถระเสีย พอท่านไปขอขมาจึงกลับเป็นผู้ชายเหมือนเดิม
แย่ละสิ..ตอนเป็นผู้ชายก็มีลูกมีเมียอยู่ทางนี้ ตอนเป็นผู้หญิงก็ไปมีลูกมีผัวทางนั้น ท้ายสุดก็เลยต้องให้พระราชาเป็นคนชี้แจงทั้ง ๒ ฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ก็เลยจบลงตรงที่ว่า พระมหากัจจายนะต้องอธิษฐานให้ท่านมีร่างกายอ้วน คนจะได้ไม่ไปหลงเสน่ห์ท่านอีก
ถ้าอานิสงส์แบบนางอุบลวรรณาเถรีนั้นมีผิวเหมือนทองเลย ขนาดเขาหล่อรูปทองคำใส่เสลี่ยงไป สาวใช้เห็นรูปหล่อทองคำนึกว่าเป็นนางอุบลวรรณาจึงตี หาว่าหนีมาแอบเล่นอยู่ที่นี้ทำให้ตามกันแทบตาย พอตีเข้าไปเพิ่งจะรู้ว่าเป็นรูปหล่อทองคำ แสดงว่านางอุบลวรรณาเถรีสวยพอ ๆ กับรูปหล่อทองคำ
อย่างพวกเราถ้าไปที่อินเดีย ก็ถือว่าอยู่ในตระกูลผิวทองเหมือนกัน สุวณฺณวณฺโณเหมือนกัน เพราะคนอินเดียเป็นนีลวณฺโณ ผิวดำ ผิวเขียว พวกเราไปนี่เป็นผิวทอง เขาถือว่าอยู่ในวรรณะที่สูง ถ้าแต่งตัวโกนหัวอย่างอาตมานี้เขาเรียกว่าจัณฑาล เพราะคนอินเดียเขาจะไว้ผมเกล้ามวยทั้งผู้หญิงผู้ชาย
ถาม : พระควัมปติกับพระมหากัจจายนะใช่องค์เดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คนละองค์กันจ้ะ พระควัมปติเป็นสหายของพระยสะ ท่านชอบเข้านิโรธสมาบัติ ทีนี้การเข้านิโรธสมาบัติก็คือการดับสัญญาและเวทนาทั้งหมด ก็คือปิดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านั้น เขาก็เลยมักจะทำเป็นรูปพระปิดตา
แต่เรื่องนี้ถ้าสืบสาวไป พระปิดตาอาจจะมีส่วนของทางฮินดูมา เพราะว่ามีการสร้างพระพิฆเนศอยู่ในปางนี้เหมือนกัน แล้วฮินดูมาก่อนศาสนาพุทธ ในเมื่อฮินดูเกิดก่อนศาสนาพุทธต้องยกให้เขาเป็นพี่ เราอาจจะเลียนแบบเขามาก็ได้
ถาม : มีวัดใหญ่แห่งหนึ่งเดินธุดงค์ในเมือง พระสงฆ์กว่า ๑,๐๐๐ รูปทำให้รถติดขัดใจกลางเมือง ผิดหลักศาสนาหรือไม่ อย่างไร?
ตอบ : การธุดงค์คือการขัดเกลากิเลสตามความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การธุดงค์จึงเป็นการละรัก โลภ โกรธ หลง ในใจของผู้ออกธุดงค์ ถ้าการกระทำของเขาทั้งหลายเหล่านั้นเป็นไปเพื่อการละรัก โลภ โกรธ หลง ก็ถือว่าไม่ผิดไปจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าการกระทำนั้นเป็นการเพิ่มรัก โลภ โกรธ หลงขึ้นมาจึงถือว่าผิดจากคำสอน เพราะฉะนั้น..จึงต้องไปถามท่านผู้เดินธุดงค์เองว่าตั้งใจละกิเลสหรือเพิ่มกิเลส ?
ส่วนการทำให้รถติดนั้นถือว่าผิดกาลเทศะไปนิดหนึ่ง เพราะว่าปรกติแล้วการเดินธุดงค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้ว่าแม้แต่จะปักกลด ก็ต้องให้ห่างจากบ้านประมาณ ๕๐๐ ชั่วธนู หมายถึงคันธนูนะ ไม่ใช่ลูกธนูยิงไป เอาคันธนูรบสมัยก่อนวางต่อ ๆ กัน ๕๐๐ คัน กะดูระยะในปัจจุบัน ก็ประมาณ ๑ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย
ดังนั้น..ในส่วนคำถามที่ว่าผิดหลักศาสนาหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเป็นการขัดเกลากิเลสของตนเอง ลดละรัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ผิด แต่ถ้าเป็นการเพิ่มกิเลสของตัวเองก็ผิด
ถาม : ใครที่ไปทำบุญวัดนี้จะได้ยินคำว่า “บริจาคมากได้บุญมาก ลำบากมากยิ่งต้องบริจาคเงินทำบุญให้มาก แล้วบุญจะกลับมาเป็นเงินมากมายหลายเท่านัก” การกระทำเช่นนี้ถูกหลักศาสนาหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าถามว่าถูกหลักศาสนาหรือไม่ ? องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราให้ทาน ก็ถือว่าถูกหลัก แต่ว่าการทำบุญนั้น อย่าให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน มีน้อยทำน้อย ถ้ามีมากจะทำมากก็ไม่เป็นไร
ถ้ามีมากทำน้อย แม้จิตยังมีความตระหนี่อยู่ อย่างน้อยได้เสียสละออกตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่ถ้ามีน้อยทำมาก ถือว่าไม่รู้ภาวะของตน จะทำให้คนรอบข้างและตนเองเดือนร้อนได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่ไม่ควรสรรเสริญ
ถาม : ทำไมผู้ที่มาทำบุญและปฏิบัติธรรมที่นี่ ถึงได้เชื่อว่าทำบุญเยอะแล้วจะเจริญทันตาเห็น ?
ตอบ : เพราะแรงโฆษณาอย่างหนึ่ง อย่างที่สองก็คือโดนตามจิกอยู่ทุกวัน ไม่ไปก็รำคาญ ก็เลยไปซื้อรำคาญ
ถาม : วัดแห่งนี้เชิงพาณิชย์เกินไปหรือไม่?
ตอบ : ถ้าหากว่าไปถามท่าน ท่านก็บอกว่ากำลังดี ฉะนั้น..คนถามต้องตัดสินใจเอง
ถาม : ลายเซ็นนี้บอกลักษณะว่าเป็นอย่างไร โปรดชี้แนะและเมตตาสงเคราะห์ด้วย ?
ตอบ : โอ้โห...ลายเซ็นนี้ถ้าเป็นอาตมาไม่คบเลย ใครอยู่ใกล้ก็เดือดร้อนไปหมด เพราะนิสัยนอกจากไม่ลงให้ใครแล้ว ยังปากไวใจเร็วอีกต่างหาก พูดง่าย ๆ ว่าชอบจิกกัดคนอื่นเป็นปกติ เลิกนิสัยนี้ได้แล้วจะดี
หมายเหตุ : คนถามเขียนคำถามใส่กระดาษมาค่ะ
ถาม : ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า ท่านเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยความกตัญญู ด้วยอานิสงส์นั้นท่านก็ได้บังเกิดเป็นพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ สำหรับท่านที่บูชาพระอรหันต์ จะได้อานิสงส์ไปเกิดเป็นพระอินทร์ในขณะที่ยังไม่เข้าพระนิพพานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าบูชาถูกต้องไม่ใช่เกิดเป็นพระอินทร์เท่านั้น แต่จะเข้าพระนิพพานไปเลย ถ้าบูชาถูกต้องแต่ทำได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็อาจจะไปเป็นพรหมหรือเทวดาอยู่ เพราะคำว่า "บูชา" นั้น ส่วนหนึ่งก็คือปฏิบัติตามในสิ่งที่ท่านได้สอนให้เราทำ คราวนี้พระอรหันต์ท่านนิยมสอนอย่างเดียวก็คือการไปพระนิพพาน
ดังนั้นว่า..ถ้าเราบูชาถูกต้อง ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ในชาตินี้ แต่ถ้าหากว่าปฏิบัติได้ไม่เต็มที่ตามที่ท่านสอน อย่างน้อย ๆ กำลังใจเกาะความดี ก็แปลว่าเราพ้นทุกข์ชั่วคราว คือการไปเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ยกเว้นว่าเป็นสุธาวาสพรหมที่เป็นตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป ไม่ต้องลงมาเกิดอีก แต่ยังมีความทุกข์อยู่ ก็คือกังวลกับการชำระใจของตนให้สะอาดเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง ถือว่ายังไม่พ้นเหมือนกัน
การจะเป็นพระอินทร์นั้นต้องปฏิบัติในวัตตบท ๗ ประการเป็นการเฉพาะ เช่น ไม่โกรธเลยตลอดชีวิต เลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยความกตัญญูรู้คุณ เป็นต้น ดังนั้น การบูชาพระอรหันต์ยังไม่ใช่กติกาโดยตรงของการปฏิบัติเพื่อเป็นพระอินทร์
ถาม : ขอถามเรื่องพระอนุรุทธเถระครับ ที่บอกว่าท่านเป็นพระวิชชาสาม ไม่ใช่พระอภิญญาหรือพระปฏิสัมภิทาญาณแล้ว ทำไมท่านเก่งเกินอภิญญา ?
ตอบ : พระอนุรุทธท่านได้วิชชาสามที่เปรียบเหมือนกับช้าง ส่วนท่านที่ได้อภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณในยุคนั้นเปรียบเป็นแค่มด เพราะฉะนั้น..แค่ช้างเดินเฉี่ยว ๆ มดก็อาจจะตายแล้ว พระอนุรุทธท่านบำเพ็ญมาเฉพาะด้าน คนอื่นจึงถนัดสู้ท่านไม่ได้ เหมือนอย่างคนเรียนหมอผ่าตัดมาโดยตรง คนอื่นไม่ได้เรียนผ่าตัดมา ต่อให้คนอื่นจบด็อกเตอร์ก็สู้หมอผ่าตัดที่้เรียนจบปริญญาตรีไม่ได้หรอก
ถาม : แสดงว่าการที่ได้ส่วนของวิชชาสามก็ดี อภิญญาก็ดี ก็ไม่ได้ตัดสินถึงความชำนาญของท่านได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นเครื่องตัดสิน บุคคลที่เรารู้สึกว่าอยู่ในระดับต่ำกว่า แต่มีความสามารถมากกว่าบุคคลที่สูงกว่านั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ ท่านจะต้องสร้างมาในลักษณะพิเศษจริง ๆ ตัวอย่างบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่สำเร็จวิชชาสามแต่ความสามารถคลุมหมดในพระอรหันต์ทุกองค์ ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..!
ถ้าไปอ่านพุทธประวัติจะเห็นว่ายามต้นพระองค์ท่านสำเร็จปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ไม่จำกัด ยามสองสำเร็จจุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน ยามสุดท้ายบรรลุอาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไป ก็วิชาสามชัด ๆ เลย เพราะฉะนั้น..อย่าเอาช้างไปเปรียบกับมด
ถาม : พระอานนท์ท่านเป็นเอตทัคคะตั้งหลายด้าน และในอดีตชาติยังเคยเกิดเป็นพระอนุชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ถ้าดูไปแล้วเหมือนท่านจะโดดเด่นมากกว่าพระอัครสาวกเสียด้วยซ้ำ ข้อนี้ผมเข้าใจผิดอย่างไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด...แต่สิ่งที่เราเข้าใจนั้นเราต้องดูตัวอย่างปัจจุบัน ถ้าสมมติว่าเลขานุการนายกรัฐมนตรีมีความสามารถเด่นมาก แต่เลขาฯ ต่อให้เด่นแค่ไหนตำแหน่งก็ยังเล็กกว่ารองนายกรัฐมนตรี
ถ้าเป็นทางประเทศจีน รูปอัครสาวกที่ยืนซ้ายขวาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ใช่พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร แต่เป็นพระมหากัสสปะและพระอานนท์ ทางมหายานเขาถือว่าพระอานนท์เป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฏก พระมหากัสสปะเป็นประธานในการรวบรวมสังคายนาพระไตรปิฎก เขาก็เลยให้ความสำคัญทั้ง ๒ องค์นี้สำคัญกว่าพระอัครสาวก ซึ่งความเชื่อไม่เหมือนกับทางเรา แต่เขามีเหตุผลรองรับของเขาอยู่
ดังนั้น..ในส่วนที่ว่าพระอานนท์มีบทบาทมากกว่าก็ถือว่าเป็นความจริง แต่ว่าลักษณะของการเผยแผ่ธรรมนั้น พระอัครสาวกทั้ง ๒ ช่วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มากมหาศาล เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ ขณะที่พระอานนท์ไม่สามารถช่วยเผยแผ่ธรรมได้มาก เนื่องจากว่ายังเป็นพระโสดาบันอยู่ บทบาทของพระอานนท์มามีมากหลังจากพระพุทธปรินิพพานแล้ว
ในช่วงที่ก่อนพระพุทธปรินิพพานพระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก ลักษณะเหมือนเลขานุการส่วนตัว ต้องบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะบำเพ็ญพุทธกิจได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้น เกิดจากการจัดสรรของพระอานนท์ส่วนหนึ่งด้วย
ถาม : ในกัปนี้ถือว่าเป็นภัทรกัป คือมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ๕ พระองค์ ในกัปหน้าจะมีพุทธเจ้ากี่พระองค์ ?
ตอบ : อีก ๕ พระองค์ ช่วงนี้เป็นภัทรกัป ๒ กัปติดต่อกัน ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้อีก ๖ พระองค์ต่อเนื่องกันไป ถือว่าเป็นช่วงที่โชคดีที่สุดของบุคคลที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เพราะว่ามีภัทรกัป ๒ ภัทรกัปติด ๆ กัน จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ต่อเนื่องกันไปถึง ๑๐ พระองค์
ถ้าหากว่าเราศึกษาประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่พระองค์ท่านยังเป็นสุเมธดาบสที่ได้รับการพยากรณ์ครั้งแรกจากองค์สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากสิ้นองค์สมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผ่านไป ๑ อสงไขยกัปจึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะอุบัติขึ้น สรุปว่าตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะมาถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีพระพุทธเจ้ามาแล้ว ๒๔ พระองค์ด้วยกัน ใช้เวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปพอดี ส่วนเรากัปเดียวได้มา ๕ องค์นี่ถือว่าโชคดีสุด ๆ แล้ว
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถามว่าเหมือนไหม? ก็ไม่เหมือนหรอก คนก็ยังเป็นคนอยู่ เพียงแต่ว่าอยู่ในภาวะที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ต่างคนต่างกอบโกยเพื่อตัวเอง ถ้าวัดจากมาตรฐานของปัจจุบัน ต้องบอกว่าต่อไปการกระทำของคนค่อนข้างจะน่าเกลียดน่าชัง แต่มาตรฐานของปัจจุบันนี้ถ้าเปรียบกับในอดีต คนอดีตก็บอกว่าน่าเกลียดมาก เพราะฉะนั้น..ไม่สามารถที่จะเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานในการวัดทั้งตนเองและผู้อื่น เพราะต้องดูว่ามาตรฐานของใคร
เราวัดว่าเราดี แต่คนที่ดีกว่ามองมาก็บอกว่าไม่เป็นเรื่องเลย ขณะเดียวกันเราว่าคนอื่นไม่ดี คนที่ด้อยกว่าคนนั้นมองมาก็บอกว่าเขาดีจังเลย เพราะฉะนั้น..มาตรฐานก็เลยขึ้นอยู่กับกำลังใจของบุคคลนั้น ๆ
ถาม : สำหรับผู้ที่ปรารถนาอรหัตผลแบบธรรมดา ไม่ได้เป็นอัครสาวก ไม่ได้เป็นเอตทัคคะ จำเป็นต้องตั้งความปรารถนาไว้ล่วงหน้าหรือไม่ครับ หรือว่าสามารถทำได้เดี๋ยวนั้นเลย ?
ตอบ : นอกจากต้องตั้งความปรารถนาไว้ล่วงหน้าแล้ว ยังต้องบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป ไม่ใช่คิดจะเป็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นได้ เหมือนกับเด็ก ๆ ไม่เคยเรียนหนังสือ รู้ว่าดีก็พยายามเรียนหัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ สระอะ สระอา ไปเรื่อย กว่าจะประสมตัวได้ก็ต้องผ่านการทดสอบความรู้ไปเรื่อย จบชั้น ป.๔ จบชั้น ป.๖ จบชั้น ม.๖ แล้วก็จบปริญญาตรี เป็นต้น ต้องไล่ไปทีละลำดับ ถ้าหากว่าคุณอยู่ในช่วงปลายเทอมท้าย ๆ ของปริญญาตรี คุณก็มีสิทธิ์สอบได้ แต่ถ้าหากว่ายังอยู่แค่ชั้น ป. ๑ ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปอีกนาน
ดังนั้น..ในเรื่องของการปรารถนาหรือว่าตั้งความหวังไว้เกี่ยวกับมรรคกับผล จะต้องผ่านการสะสมศีล สมาธิ ปัญญา มาในระยะเวลาที่พอสมควรทีเดียว ต่ำสุดก็ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป ถ้าใครจะเรียนปริญญาโทปริญญาเอกก็ใช้เวลามากกว่านั้น เอาแค่ปริญญาตรีก่อนแล้วกัน จบได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
ถาม : ในกรณีฝรั่งหรือคนที่อยู่นอกพระพุทธศาสนา ไม่ได้มาอยู่ในพระพุทธศาสนาเพราะว่าไม่เคยทำบุญหรือไม่เคยเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา หรือเพราะว่าเขายังไม่มีโอกาสที่จะบรรลุนิพพานในชาตินี้..ถูกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...แต่ละคนเวียนตายเวียนเกิด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเกิด เป็นคนชาตินั้นบ้างชาตินี้บ้าง เคยนับถือพระพุทธศาสนาบ้าง เคยนับถือศาสนาอื่นบ้าง แต่บุคคลที่ไปเกิดนอกเขตพระพุทธศาสนานั้น สาเหตุใหญ่มี ๒ ประการด้วยกัน ประการแรก..เพื่อไปนำคนหมู่มากในจุดนั้น ๆ ประการที่สอง..เพราะว่าขาดความยึดมั่นในพุทธานุสติ
ถ้าเขาต้องไปเกิดเป็นผู้นำของคนหมู่มากในจุดนั้น ๆ ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมาทางสายพระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญบารมีในลักษณะสงเคราะห์บริวารของตัวเองเป็นจำนวนมาก ครั้นเกิดมาพร้อม ๆ กันทีเดียวหลายคน จะมาแย่งเป็นผู้นำในที่เดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องแยกย้ายกันไป แต่ว่าพอวาระถัดไปก็จะหมุนเวียนกลับมาเกิดในเขตของพระพุทธศาสนาใหม่
แต่สำหรับท่านที่ไม่มั่นคงในพุทธานุสตินั้น ถ้าหากว่ายังมุ่งอยู่กับความดี ก็จะเลี้ยวกลับมาได้เร็ว ถ้าไม่ได้มุ่งอยู่กับความดี ก็อาจจะเตลิดเปิดเปิงออกไปไกล กว่าจะย้อนกลับมาก็เนิ่นนานแสนนาน แต่ถ้าบารมีที่เขาสั่งสมมาถึงระดับท้าย ๆ แล้ว การฟังธรรมสามารถเข้าถึงมรรคผลได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่ามีฝรั่งจำนวนมาก มาบวชปฏิบัติธรรมอยู่ในประเทศเรา ท่านที่บวชปฏิบัติจนอาตมามั่นใจว่าเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เพราะเคยได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวไว้ ก็คือหลวงพ่อสุเมโธ (หลวงพ่อโรเบิร์ต สุเมโธ) ตอนนี้ท่านเป็นพระราชสุเมธาจารย์
อาตมาเพิ่งจะเจอท่านเมื่อไม่นานนี้เอง ท่านจำแม่นมาก พอเจอหน้าท่านทักอาตมาก่อนเลย ตอนแรกอาตมาก็แปลกใจว่าเท้าท่านบวมหรือไม่ ? ถามพระครูสันติธรรมวิเทศที่สนิทกันว่า "หลวงพ่อท่านเป็นอะไร ?" ท่านก็บอกว่า “แสดงว่าคุณไม่เคยมองเท้าหลวงพ่อเลย..ใช่ไหม ?” "ใช่..ท่านสูงมาก ส่วนใหญ่แล้วผมต้องแหงนหน้ามองท่าน"
ท่านบอกว่า หลวงพ่อมาอยู่เมืองไทยเลยป่วยเป็นโรคเท้าช้าง เพราะปฏิบัติธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ อยู่ในป่าในดงโดนยุงกัดเข้าเลยเป็นโรคเท้าช้าง เท้าท่านจะบวม ๆ เหมือนอย่างกับเลือดคั่ง ท่านบอกว่ารำคาญหน่อยแต่ไม่ได้มีอะไร ก็ปล่อยไปเรื่อยอย่างนั้น
ถาม : พระอรหันต์ในเมื่อท่านปรินิพพานไปแล้ว แต่ว่าเราได้เคยฝากตัวเป็นศิษย์ไว้กับท่าน เมื่อเราปฏิบัติธรรมถึงจุดหนึ่ง ท่านสามารถกลับมาสอนเราได้ อันนี้เป็นความจริงไหมครับ?
ตอบ : จริง...หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่ปฏิบัติธรรม ถ้ายังไม่มีครูบาอาจารย์ที่คนมองไม่เห็นตัวถือว่ายังใช้ไม่ได้ ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไปแล้ว มีครูบาอาจารย์ที่มองไม่เห็นตัวมาให้การสงเคราะห์ จะมีโอกาสเข้าถึงมรรคผลเร็วกว่า เพราะท่านจะเน้นเฉพาะจุดที่เราติดขัดอยู่
แล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งสงสัยว่าพระอรหันต์นิพพานไปแล้วกลับมาได้หรือ ? อย่างพระนาคเสนท่านบอกว่า คนที่พ้นคุกไปแล้วสามารถกลับมาเยี่ยมเยียนคนในคุกได้ตลอดเวลา ส่วนคนที่ไม่พ้นคุกต่างหากเล่าที่ไปไหนไม่ได้
ถาม : ในเมื่อพระอรหันต์ท่านสิ้นอาสวะแล้ว คือไม่มีความอยาก ไม่มีความปรารถนาใด ๆ แล้ว ในกรณีที่เราไม่เคยปวารณาไว้ก่อน แม้ว่าเราจะต้องการให้ท่านมาสอน ท่านก็จะไม่มา อันนี้จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมา ท่านก็ไม่ให้การสงเคราะห์ เพราะว่าพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป สิ่งที่เป็นพื้นฐานเลยก็คือยอมรับกฎของกรรม ต้องรอท่านที่เคยมีกรรมเนื่องกันมากับเรา มาสงเคราะห์เราแทน นี่ไม่ต้องกล่าวถึงพระอรหันต์นะ แม้แต่ พรหม เทวดา นางฟ้า ก็เหมือนกัน ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมาท่านก็ไม่มายุ่งกับเราหรอก
ถาม : เนื่องจากว่าภพภูมินี้ยาวนานมาก ยาวนานเท่าไรเราคงไม่สามารถที่จะประมาณได้ ช่วงที่ผ่านมาก็คงจะมีเวรมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมามากมาย คงจะมีคนที่เรารู้จักไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง ถ้าท่านกับเรามีกรรมเนื่องกันมา ท่านก็สามารถที่จะมาช่วยเราได้..ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ ๑๐๐ % ครึ่ง แต่ต้องรอวาระที่เหมาะสมด้วย ท่านจะทะนุบำรุงฟูมฟักให้ผลไม้นั้นสุกงอมหอมอร่อย เหมาะแก่การเป็นอาหารของเราได้ ต้นไม้ต้นนั้นต้องออกดอกออกผลก่อน ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะโผล่จากเมล็ดมาก็จะให้ท่านมาทำหน้าที่นั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่วาระที่สมควร
ถาม : ภัทรกัปหน้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะทั้งสิ้นเลยหรือว่าแบบไหนครับ ?
ตอบ : สลับกันไป ไม่มีกัปไหนที่จะมีพระพุทธเจ้าประเภทเดียว ยกเว้นว่ากัปนั้นเป็นสารกัป คือมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว ถ้าตั้งแต่มัณฑกัปขึ้นไป พระพุทธเจ้าท่านอาจจะสร้างบารมีมาแบบเดียวกันหรือว่าต่างกันก็ได้
ภัทรกัปหน้าจะมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งที่ตอนนี้ยังอยู่ในอเวจีมหานรก แต่ไม่ต้องห่วงท่านหรอก ท่านขึ้นมาทันแน่นอน
ถาม : ป่าหิมพานต์ที่มีคนไปเอานารีผลซึ่งเป็นรูปของหญิงชัดเจนแต่ว่าเป็นเปลือกไม้ แล้วเขาก็อ้างว่ามีหลายผล ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าป่าหิมพานต์มีจริง แล้วอย่างนั้นป่าหิมพานต์อยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : เป็นมิติที่ซ้อนทับกันอยู่ ถ้าหากว่าเราเข้าถึงความละเอียดนั้นก็สามารถเข้าไปได้ ขณะเดียวกันบุคคลที่สามารถที่เข้าถึงความละเอียดนั้นสามารถนำสิ่งของที่อยู่ในมิตินั้นออกมาได้ ถ้าเป็นผู้อื่นไม่สามารถที่จะนำออกมาได้
ถาม : แสดงว่าพระคุณเจ้ายืนยันว่าป่าหิมพานต์มีจริงและมักกะลีผลก็มีจริง ?
ตอบ : มี...แต่ป่วยการ อย่างพวกเราไปก็ตายหมด โดยเฉพาะผู้ชายเจอมักกะลีผลเข้านี่เสร็จทุกราย ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ได้โลกุตรอภิญญาแล้วไม่เหลือหรอก เพราะว่าบรรดาฤๅษีชีไพร นักสิทธิ์ วิทยาธร ที่ได้ฤทธิ์อภิญญาก็ยังไปแย่งชิงมักกะลีผลกัน
มักกะลีผลไม่ได้มีเสน่ห์แต่รูปร่างเท่านั้น แค่คนได้ยินเสียงก็หลงแล้ว ยิ่งคนได้กลิ่นยิ่งหลงหนักเข้าไปใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่ารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ของเขาสมบูรณ์พร้อม ไปเจอแม่เจ้าประคุณแขวนโตงเตงอยู่ ร้องเพลงเสียงไพเราะเพราะพริ้ง เสียงเพราะชนิดได้ยินแล้วตะลึง อ้าปากจะกินข้าวก็คงอ้าค้างลืมกลืน
ถาม : มักกะลีผลนี่ออกผลมาเป็นมนุษย์จริง ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นผลไม้ในรูปมนุษย์ มีอายุแค่ ๗ วันตามแบบของผลไม้ ถึงเวลาก็เหี่ยวเฉาเน่าไป
ถาม : มีจิตใจไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี..มีแต่วิญญาณที่เป็นประสาท ลักษณะคล้ายกับต้นไม้กินแมลงแบบนั้นแหละ สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ ร้องเพลงได้ แต่ไม่สามารถที่จะมีสภาพจิตรับรู้เรื่องความสุขความทุกข์ได้เหมือนกับมนุษย์ เพราะว่าเป็นแค่ประสาทร่างกาย
ถาม : ในป่าหิมพานต์นี่ยังมีพืชผักอะไรที่แปลกพิสดารแบบมักกะลีผลอีกไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป ส่วนพวกพืชผัก พวกสัตว์ต่าง ๆ อาตมาไม่ได้ใส่ใจหรอก อาตมาใส่ใจพวกภูเขาทอง ภูเขาแก้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่ให้ ถ้าให้อาตมาจะเอาใส่ย่ามมา..!
ถาม : มีพระรูปหนึ่งกล่าวไว้ว่า บรรณศาลาของพระเวสสันดรที่พระอินทร์ท่านเนรมิตไว้ ก่อนที่พระเวสสันดรท่านจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังอยู่ในป่าหิมพานต์ ?
ตอบ : สิ่งนี้เกิดขึ้นเฉพาะบุญคน ต่อให้อยู่นอกพระพุทธศาสนาก็เป็น อย่างเช่นพอคนป่วยได้จับต้องกายพระคริสต์ก็หายป่วย พระองค์ท่านมีขนมปังแค่ ๒ ชิ้นสามารถแจกให้คนกินจนอิ่มทั่วกันเป็นร้อยเป็นพันคนได้
เพราะฉะนั้น..บุญญาบารมีที่สั่งสมมาถือว่าเป็นส่วนของกรรมวิบาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า พุทธวิสัยอย่างหนึ่ง ฌานวิสัยอย่างหนึ่ง กรรมวิบากอย่างหนึ่ง โลกจิณไตยอย่างหนึ่ง ไม่พึงคิด ผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า เพราะว่าการส่งผลหรือความสามารถของท่านทั้งหลายเหล่านี้ พิลึกพิลั่นเกินกว่ามนุษย์มนาทั่วไปจะคิดถึง ในขณะที่เราจบชั้น ป.๑ แล้วเราไปสงสัยว่าด็อกเตอร์เรียนอะไรกันก็เจ๊งพอดี
ส่วนบรรณศาลาของพระเวสสันดรนั้นเป็นของทิพย์ พอเลิกใช้ก็จะอันตรธานไปเอง
ถาม : ถ้าถวายพระไตรปิฎกแล้วเขาเอาไปเก็บไว้ ไม่มีคนเปิดอ่านเลย บุญกุศลมีมากน้อยเพียงใดครับ ?
ตอบ : ทันทีที่ทำเกิดธัมมะบูชา มหาปัญโญ เจตนาของเราตั้งใจเป็นธรรมทาน เกิดกี่ชาติก็จะมีปัญญามาก ถ้าหากว่ามีคนไปใช้งานเพิ่มเติม อานิสงส์ก็ยิ่งมากขึ้นไปตามลำดับ ถ้าไม่มีคนใช้งาน อานิสงส์มาตรฐานเราก็ได้แน่นอนอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น..บุญมาตรฐานได้แล้ว ที่เหลือเป็นส่วนเกิน ได้มาก็ถือว่ากำไร ไม่ได้มาก็เท่าทุน ไม่ได้เสียอะไร
ถาม : พระพุทธรูปสำคัญ ๆ ของประเทศไทย อย่างเช่น พระพุทธชินราชก็ดี หลวงพ่อโสธรก็ดี มีมนุษย์หรือเทวดาที่จัดสร้างไว้ ไม่ทราบว่าท่านเหล่านี้ยังเสวยกุศลอยู่ในสวรรค์หรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีผู้สร้างหลายท่านไปพระนิพพานแล้ว หลายท่านก็เวียนตายเวียนเกิดมาหลายชาติหลายภพแล้ว หลายท่านอาตมาก็รู้จักด้วย การสร้างบุญในครั้งนั้นร่วมกันสร้างหลายคน
ท่านที่มุ่งตรงระยะทางก็สั้นกว่า ถึงเป้าหมายไปแล้วก็มี ท่านที่ไม่ได้มุ่งตรง มีการแวะพักบ้างระยะทางก็ยาวขึ้น เวลามากขึ้น ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มี มาตกระกำลำบากในโลกมนุษย์ก็มี เป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหมอยู่ก็มี
ถาม : เฉพาะหลวงพ่อพระพุทธโสธรมีผู้ไปบูชาเยอะมาก แต่ว่าส่วนใหญ่ไปลักษณะของการบนบานศาลกล่าว น่าจะเป็นเทวดาที่รักษาหลวงพ่อโสธร เป็นผู้ประทานความสำเร็จให้แก่ผู้บนบาน ?
ตอบ : นอกจากเทวดาที่รักษาท่านมีจิตเมตตาให้การสงเคราะห์ไม่เลือกหน้าแล้ว บุญกุศลเดิมที่เราทำมาเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรื่องที่เราอธิษฐานหรือบนบานศาลกล่าวนั้นสำเร็จหรือไม่สำเร็จ
อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับน้ำแก้วหนึ่ง ถ้าหากว่าเราขาดน้ำอยู่แค่นิดเดียว แล้วตั้งใจว่าขอน้ำของท่านก่อน แล้วเราจะตักคืนทีหลัง ถ้าอย่างนั้นท่านสงเคราะห์ให้ได้ แต่ถ้าเรามีน้ำอยู่นิดเดียว ติดก้นแก้วอยู่ ไปขอใช้ของท่าน ถ้าท่านมีไม่พอเหมือนกัน เราเติมลงไปไม่เต็มแก้ว สิ่งที่เราบนอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
ดังนั้น..ท่านที่บนสำเร็จก็มี ไม่สำเร็จก็มี ขึ้นอยู่บุญเก่าที่เราสั่งสมไว้ด้วย ถ้าหากว่าอยู่ในจำนวนที่พอเหมาะพอสมแล้ว เรายังสัญญาว่าจะสร้างความดีเพิ่มเติม เช่น การถวายสังฆทานก็ดี จะสร้างพระแก้บนก็ดี ถวายผ้าไตรจีวรก็ดี หรือไม่ก็บวชลูกบวชหลาน เป็นต้น ผลบุญนี้เมื่อเติมเข้าไปก็พอเหมาะ พอสมพอควรกับผลรับที่จะพึงได้ สิ่งที่เราหวังไว้ก็จะสำเร็จ แต่ถ้าหากว่าสร้างไว้ไม่เพียงพอ เติมเท่าไรก็ยังไม่เต็ม ก็ไม่สามารถที่จะบนแล้วสำเร็จเช่นคนอื่นได้
ถาม : มีคนพูดถึงการตัดกรรมไว้มาก จะเป็นไปได้หรือครับว่า คนที่ทำกรรมไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม จะไปตัดผลของกรรมได้ ?
ตอบ : การตัดกรรมในพุทธศาสนา มีอยู่ข้อหนึ่งเรียกว่าอโหสิกรรม อโหสิกรรมนั้นเกิดได้ด้วย ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก...โจทก์และจำเลยอยู่ต่อหน้ากัน กล่าวสำนึกความผิด ขอโทษขออโหสิกรรมกัน ถ้าหากว่าอีกฝ่ายหนึ่งตกลง ก็แปลว่ากรรมนั้นสิ้นสุดลง สาเหตุที่สอง...บุคคลที่สร้างกรรมนั้น ชำระจิตใจของตนเองบริสุทธิ์จนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน กรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะตามได้ กลายเป็นอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติ
ถ้าหากว่าเป็นการตัดกรรมในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ากล่าวไว้แต่เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นก็ถือว่าแล้วแต่ใครจะเชื่อ
ถาม : หมายความว่าถ้าบรรลุพระนิพพานแล้ว กรรมทั้งหมดก็เป็นอโหสิกรรมถูกไหมครับ ?
ตอบ : เป็นอโหสิกรรมไป เขาก็ไม่ได้อยากอโหสิกรรมให้หรอก แต่ว่าลูกหนี้หนีไปต่างดาวแล้ว เจ้าหนี้ก็ไม่มีความสามารถตามไปทวงด้วย ก็จบกันแค่นั้น
ถาม : ท่านไม่มีอายตนะที่จะรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแล้ว กรรมจึงไม่สามารถส่งผลได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..สิ่งที่ท่านทำประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เหนือบุญเหนือบาปไปแล้ว บุญบาปจึงไม่สามารถที่จะตามท่านได้
ถาม : ในเรื่องของมาร พญามารที่มีฤทธิ์มากเพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่พระโพธิสัตว์ทุกรูปทุกนามก็ต้องเกิดเป็นมารมาด้วย ถ้าถามว่ามีฤทธิ์มากไหม ? ต่อให้หางแถวของมารเล่นงานเราก็หงายท้องเหมือนกัน ต้องบอกว่าเป็นมวยคนละชั้นกัน ท่านเองมีการซักซ้อมอยู่ตลอดเวลา ส่วนเราเองนี่นาน ๆ จะขยับที ไม่มีทางลุ้นท่านได้อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของฤทธิ์ของอภิญญาต่าง ๆ เทวดาท้ายแถวยังเหนือกว่ามนุษย์หัวแถวเยอะ เพียงแต่ว่าถ้ามนุษย์หัวแถวนั้นเป็นโลกุตรอภิญญาตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไป เทวดาท่านก็ยอมยกให้ เพราะว่าความดีสูงกว่าท่านมาก
ถาม : ขอถามเรื่องของนาคพิภพ จริง ๆ แล้วร่างของนาคนี้ไม่ใช่ร่างจริง เป็นร่างเนรมิตใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นาคมี ๒ ประเภทด้วยกัน ประเภทหนึ่งเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชที่เป็นบริวารของท้าววิรูปักข์ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เวลาปฏิบัติหน้าที่ก็แต่งตัวเป็นรูปงู เครื่องแบบของท่านเป็นอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นร่างเนรมิต พอหมดหน้าที่ก็กลับเป็นร่างเทวดานางฟ้าสวยงามเหมือนเดิม
ส่วนนาคอีกประเภทหนึ่งเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ กายเป็นงูนั้นเป็นเพศภาวะดั่งเดิมของท่าน แต่ว่าท่านสามารถเนรมิตลักษณะเหมือนเทวดานางฟ้าที่สวยงามได้ แต่ถ้าหากว่าขาดสติก็จะกลับคืนไปเป็นเพศของงูใหญ่ตามเดิม
ถาม : แล้วที่มีรอยไหม้ตามโบสถ์ ตามฝากระโปรงรถนั้น เป็นรอยนาคจริงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ถ้านาคมาจริงบ้านหลังนี้ไม่พอหรอก เลื้อยทีก็ราบไปทั้งหลัง รอยเล็กแค่นั้นไม่ใช่รอยนาคหรอก แต่ว่าท่านสามารถหดตัวลงเป็นงูตัวเล็กได้นะ เพียงแต่ว่างูเลื้อยอย่างไรก็ต้องเป็นรอยงูอยู่ ถ้าท่านตั้งใจแสดงต้องไม่ใช่มีสารพัดขาแบบนั้น
ถาม : ผมเคยฟังเทศน์ของพระอาจารย์ท่านหนึ่งในทีวี ท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องนาคไว้ว่า นาคสามารถจะเนรมิตร่างให้เป็นเรือก็ได้ เป็นผู้หญิงสวยก็ได้ เป็นคนก็ได้ แล้วก็สามารถจะเอาคนที่อยู่ริมน้ำให้ตกน้ำไปก็ได้ จริง ๆ แล้วเป็นอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : เป็นตามที่ท่านว่า แต่ส่วนหนึ่งที่เรานึกไม่ถึงก็คือ นาคตัวเดียวสามารถเนรมิตคนเป็นร้อย ๆ คน พร้อม ๆ กันได้ ไม่ใช่เนรมิตเป็นคน ๆ เดียวนะ เป็นร้อย ๆ คนเลย
ถาม : ถ้าอย่างนี้นาคก็มีฤทธิ์มาก แต่ก็ยังเป็นภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ ก็น่าจะมีสมาธิ มีฤทธิ์ได้ แต่ทำไมไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ ?
ตอบ : ในภูมิของความเป็นเดรัจฉาน ปัญญาที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงยังไม่มี ความมืดบอดในภพภูมิที่ต่ำกว่าทำให้เข้าถึงธรรมไม่ได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้รู้ว่าธรรมะดีอย่างไร จึงพยายามสร้างสมบุญกุศลเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา
ที่น่าเสียดายมากกว่าก็คือภูมิมนุษย์ของเรานี่แหละ เราอยู่ในภพภูมิที่มีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ แต่แทนที่จะสั่งสมความดีเพื่อที่จะบรรลุมรรคผลให้เร็วขึ้น กลับกลายเป็นว่าน้อยคนที่จะทำอย่างนั้น เราลองมานึกว่าปัจจุบันนี้ประชากรโลกจำนวนหกพันล้านคนแล้ว มีคนที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจริง ๆ ถึงหกล้านหรือเปล่า ? แล้วหกล้านคนที่ว่านี้ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจริง ๆ มีถึงล้านคนไหม ?
ฉะนั้น..เราเสียท่าสัตว์เดรัจฉานอย่างพญานาค เขารู้ว่าอะไรดี เขาก็พยายามสั่งสมบุญความดี ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากภพภูมิที่ต่ำอย่างนั้น เราอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า กลับละทิ้งโอกาสของตนไป เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ถาม : ผมพบกับบุคคลหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับเข้าทรงได้ แต่อยู่นอกพระพุทธศาสนา เขาสามารถที่จะบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอสมควร ถ้าเหตุการณ์ในระยะใกล้ ๆ นี้จะแม่นยำมาก ไม่ได้รู้เพราะตัวเขาเอง เขาบอกว่ามีพญานาคมาบอกเขาอีกที เขาสามารถติดต่อได้เพราะเหตุใดครับ ?
ตอบ : มีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมา ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะทำได้ ในเรื่องของร่างทรง ถ้าหากว่าเป็นการทรงจริง ๆ เราดูถูกไม่ได้เลย เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีกรรมเนื่องมา ขณะเดียวกันบางท่านก็ต้องการสร้างบุญบารมีเพิ่มเติม จึงมาให้การสงเคราะห์แก่คนหมู่มาก
การทรงจริงมีข้อสังเกตว่า ๑.จำกัดด้วยระยะเวลา บางร่างทรงมาเฉพาะวันพระ บางร่างทรงมาเฉพาะวันพฤหัสบดี บางร่างทรงมาเดือนละ ๑ ครั้งเฉพาะวันพระใหญ่ ร่างทรงบางร่างมาปีละครั้งเดียว ๒.ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากผู้อื่น ต้องการความเคารพมากกว่า ดังนั้นสิ่งที่ต้องการมักจะเป็นดอกไม้ธูปเทียน หรือถ้าเป็นเงินบูชาครูก็ ๓ บาท ๖ บาท ๙ บาท เต็มที่ที่เคยเจอมาคือ ๑๐๘ บาท ๓. สิ่งที่ท่านบอกมักจะมีผลตามนั้น
ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าร่างทรงนั้นเป็นจริงหรือปลอม ให้ดูได้จากข้อสังเกตทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าใครก็ตามที่ไปแล้วทรงได้ทุกเวลา ให้หมายเหตุไว้ในใจก่อนว่าน่าจะปลอม สมัยอาตมายังอยู่ที่วัดท่าซุง มีอยู่วันหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านปรารภว่า “เฮ้ย...เล็ก ข้ายังไม่ทันจะตายเลย สำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมี ๖๐ กว่าสำนักแล้ว” นั่นท่านบอกให้รู้เลยว่าปลอมแน่ ๆ
ถาม : นรกเป็นที่ที่ลงโทษสัตว์ สัตว์ทุกตัวตนก็รักสุขแล้วเกลียดทุกข์ นรกก็เป็นที่ที่มอบความทุกข์ให้กับสัตว์ทั้งหลาย เมื่อสัตว์ได้รับความทุกข์นั้นแล้ว สัตว์จะเข็ดหลาบแล้วจดจำไหมครับ ? ถ้านรกไม่ได้มีไว้ให้สัตว์จดจำ แล้วนรกจะมีประโยชน์อะไร ?
ตอบ : นรกไม่ได้เกิดมาเพื่อประโยชน์ นรกเกิดมาเพราะคุณสร้างขึ้นมาเอง ทุกสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม เท่ากับว่าเราได้สร้างนรก สวรรค์ พรหม พระนิพพานขึ้นมา ในเมื่อเราทำ ถึงวาระเราก็ต้องรับผลอันนั้น เขาถึงใช้คำว่า "กฎของกรรม" แต่ว่าขณะเดียวกันสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อผ่านการเกิดในภพภูมิใหม่ ถ้าความจำส่วนนี้ถ้าไม่ได้รับการฝึกหัดก็จะลบเลือนไป
เหตุที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่า ถ้าเราทำความดีเพื่อต้องการไปสวรรค์ก็ไม่ใช่ความดีที่แท้จริง ขณะเดียวถ้าเราไม่ทำความชั่วเพราะกลัวนรก ก็ไม่ใช่การทำความดีหนีชั่วที่แท้จริงเหมือนกัน ฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะต้องเกิดจากน้ำใสใจจริงของเรา ว่าเราต้องการละชั่วทำดีเพื่อมรรคผลหรือว่าเพื่อความดีนั้นจริง ๆ
เหมือนอย่างกับเขาไม่ได้ต้องการที่จะสร้างคุกขึ้นมา แต่เพราะคนไปปล้น ไปฆ่า ไปก่ออาชญากรรมต่าง ๆ จึงจำเป็นที่ต้องมีคุกขึ้นมาเพื่อเอาคนทั้งหลายเหล่านี้ไปรวมกันไว้ ไม่ให้ไปสร้างความลำบากเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่ขณะเดียวกันเราก็จะเห็นว่า นักโทษจำนวนมากด้วยกันเข้าคุกไปแล้วก็ใช่ว่าจะเข็ดหลาบ หากแต่กลายเป็นไปฝึกวิชาจนกระทั่งทำชั่วได้ถนัดขึ้น เป็นการพัฒนาขึ้นในทางชั่ว ไม่ใช่พัฒนาขึ้นในทางดี
ฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีขึ้นไม่ได้หวังประโยชน์ต่อการที่ลงโทษแล้วให้หลาบจำ แต่ว่ามีขึ้นเพราะการกระทำของเขาเอง ตัวเขาทำตัวเขาเอง เขาจึงได้รับกรรมนั้น ๆ พอศึกษาไปแล้วจะรู้ว่าคนเราชั่วกว่าที่คิด แต่ขณะเดียวกันพอทำความดีก็ดีกว่าที่คิดอีกเหมือนกัน
ถาม : เป็นไปได้ไหมครับว่าคน ๆ หนึ่งยังไม่สิ้นบุญ แต่ว่าต้องมาตายก่อนกำหนด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขายังไปเกิดไม่ได้ เพราะว่ากุศลเก่ายังค้างอยู่ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อครับ ?
ตอบ : บุคคลไม่ได้สร้างบุญอย่างเดียว แต่ว่ามีการสร้างบาปไปด้วย เมื่อถึงวาระบาปหนักในด้านปาณาติบาตมาถึง ต่อให้มีบุญเหลือมากเพียงใดก็ตาม บาปตัวนี้ก็จะมาตัดรอนกำลังบุญนั้นลง ให้ไปรับความชั่วนั้นก่อน เขาเรียกว่า อุปฆาตกรรม
เมื่อถึงเวลายังไม่หมดบุญแต่ต้องตายไป ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องไปรับบาปนั้นก่อน หรือว่าไปรับบุญนั้นก่อน เพราะว่าโดยกฎกติกาแล้วต้องรออายุขัยความเป็นมนุษย์หมดลง ถึงจะไปรับบุญรับบาปนั้นได้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงมีศัพท์เรียกเฉพาะว่า สัมภเวสี คือบุคคลที่เร่ร่อน ยังไม่มีที่ไปอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในอาการที่เขาเรียกว่า "ตายโหง"
คำว่า "ตายโหง" ส่วนใหญ่เราก็คิดว่าไม่ดี แต่ว่าในทางปฏิบัติแล้ว การตายโหงกลับได้เปรียบ เพราะว่าถ้าหากญาติสนิทมิตรสหายรู้ ทำบุญส่งไปให้ ทำไปเท่าไรเขาก็ได้เท่านั้น มีสิทธิ์โมทนาเต็ม ๆ เลย บ้านเราจะมีการกำหนดเป็นประเพณี พอถึงเวลาก็สวดศพ ๓ วัน ๕ วัน เป็นการทำบุญอุทิศให้กับผู้ตาย แล้วหลังจากนั้นก็มีการทำบุญ ๗ วัน ทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน ทำบุญครบรอบปี ถ้าท่านทั้งหลายเหล่านี้ยังไปรับความดีความชั่วไม่ได้ เมื่อได้รับผลบุญที่อุทิศไป เขามีความสุขความสบายเหมือนกับเทวดาเหมือนกับนางฟ้า เขาก็ไม่ต้องไปทนทุกข์ยากลำบากอยู่ในเขตนั้น รอเวลาหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ก็รับความดีไปเลย
แต่ถ้าหากว่าญาติพี่น้องไม่รู้จักทำบุญให้ เขาก็ต้องร่อนเร่ อด ๆ อยาก ๆ บางทีก็พยายามที่จะไปปรากฏกายเพื่อที่จะเรียกร้องให้ญาติของตนทำบุญให้ ก็โดนกล่าวหาว่ามาหลอกหลอนกันอีก ดังนั้น..คนที่ตายเพราะหมดบุญมีน้อย คนที่ตายเพราะโดนอุปฆาตกรรมมาตัดรอนมีมาก เพราะว่าเราสร้างบุญสร้างบาปสับสนปนเปกันไป กรรมที่เราได้ทำเอาไว้โดยเฉพาะฆ่าคนหรือสัตว์ใหญ่ไว้ มักจะเป็นอุปฆาตกรรมสำคัญที่มาตัดชีวิตของเราก่อนที่จะหมดบุญนั้นลง
ถาม : สัมภเวสีได้รับบุญจากการบวชเนกขัมมะกับสังฆทาน สามารถไปพระนิพพานทันทีได้เลยหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ คนถวายสังฆทานให้ยังนั่งอยู่ตรงนี้เลย แล้วจะให้คนรับไปพระนิพพาน..! เราทำได้แค่ไหนคนรับก็ได้แค่นั้น
ถาม : ปัจจุบันนี้มีผู้มีจิตศรัทธาได้สร้างสมเด็จองค์ปฐมไว้ในหลาย ๆ วัด เรียนถามว่าอานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม จะเทียบเท่ากับในสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีได้สร้างไว้สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสร้างด้วยทองคำแบบท่านก็เทียบกับท่านได้ แต่ส่วนใหญ่ที่สร้างเห็นเป็นปูนเสียมาก รูปเคารพโดยเฉพาะรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งสร้างด้วยวัตถุมีค่าสูงเท่าไร อานิสงส์ก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะสิ่งนั้นหามาได้ยาก เรายังพากเพียรพยายามที่จะเสาะหามาเพื่อสร้างขึ้น
สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อสร้างสมเด็จองค์ปฐม เฉพาะทองคำที่บริจาคมาโดยบุคคลทั่วไป ๗๘ กิโลกรัม นี่นับเฉพาะทองนะ บรรดาทองที่ติดเพชรติดพลอยมาด้วย ท่านคัดออกเก็บเอาไว้บรรจุแทน เพราะว่าเพชรพลอยถ้าลงเตาหลอมจะระเบิดหมด แต่ว่าท่านที่เรามองไม่เห็นตัวเล่นทองเป็นแท่ง ๆ เลย พวกนี้รวยกว่าเรา มาแต่ละก้อนอย่างกับอิฐมอญ ถ้าเราสร้างด้วยวัสดุมีค่าขนาดหลวงพ่อก็อานิสงส์เท่ากัน
ถาม : ผมยังติดใจเรื่องที่ว่าอาชีพดารานักร้องเป็นบาปเป็นกรรม แล้วอาชีพอะไรที่ดี เป็นอาชีพแนะนำในทางพระพุทธศาสนา นอกจากมาบวชแล้วครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สรุปปิดท้ายเสียก่อนโดนแน่ เพราะอาตมาจะแนะนำให้ไปบวช..! อาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม พระพุทธเจ้าท่านเรียก สัมมาอาชีวะ สามารถที่จะทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อเป็นการหนุนเสริมให้ตัวเองมีความคล่องตัวในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพราะว่าเมื่อเราทำมาค้าขายจนกระทั่งมีฐานะดี ก็สามารถทำบุญได้เต็มที่ การสนับสนุนพระศาสนาของเราก็มาก การสร้างบุญสร้างบารมีของเราก็มากไปด้วย
แต่ว่าให้เว้นจากมิจฉาวณิชชา ก็คืออาชีพที่ขัดต่อหลักของพุทธศาสนา ก็คือการขายอาวุธ ขายยาพิษ ขายสุรา ขายมนุษย์ และขายสัตว์ที่มีชีวิตเพื่อให้เขาฆ่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ถ้าเป็นพุทธมามกะไม่ควรทำ ต่อให้เราขายอาวุธแต่ไม่ได้บังคับให้เขาไปฆ่า คนเขาเอาอาวุธนั้นไปฆ่าฟันกันเอง คนที่ไม่เข้าใจก็จะกล่าวโทษว่าเราคนขายเป็นผู้สนับสนุน ถ้าหากว่าเราปฏิบัติความดีอยู่ในระดับของพระอริยเจ้า คนที่กล่าวโทษนั้นก็จะเกิดโทษหนักมาก
ท่านจึงกำชับไม่ให้พุทธมามกะ คือบุคคลที่ปฏิญาณตนนับถือพุทธศาสนานั้น กระทำอาชีพทั้งหลายเหล่านี้ ป้องกันคนเดือดร้อนเพราะปากและใจที่ไปคิดไปว่าเขา ส่วนอาชีพอื่นถ้าไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ทำไปเถอะ ขนาดเปิดร้านขายยาไม่ได้ฆ่าสัตว์สักตัวยังโดนว่าจนได้ เพราะเขามาซื้อยาถ่ายพยาธิพอดี..!
ถาม : เมื่อปฏิบัติแล้วคนที่ไม่ได้สมาธิอาจจะไม่มีอะไร แต่คนที่เริ่มได้สมาธิจะมีอะไรต่าง ๆ มาปรากฏเรื่อย ๆ จิตใจก็จะหวั่นไหว พอถูกทำลายสมาธิไป การที่จะกลับมาปฏิบัติแล้วได้สมาธิอีก ก็เป็นเรื่องที่ยากกว่าจะได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สมาธิมีความมั่นคงและสามารถไปได้ถึงฌานสมาบัติครับ ?
ตอบ : กระทำอย่างต่อเนื่อง รักษาอารมณ์ปฏิบัติไว้ในทุกอิริยาบถ ส่วนใหญ่พวกเราทำแล้วทิ้ง ในเมื่อทำแล้วทิ้งช่วงเวลาที่ใจสงบจะมีน้อย แต่เวลาฟุ้งซ่านมีมากกว่า ทำให้อกุศลกรรมเข้าได้มากกว่า กำลังใจจึงไม่ทรงตัว โดยเฉพาะเวลานั่งสมาธิ พอลุกแล้วเราทิ้งหมดเลย ไม่มีการประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้
การเจริญสมาธิภาวนาเหมือนกับว่ายทวนน้ำ เราต้องว่ายอยู่ตลอดเวลา ถ้าปล่อยเมื่อไรก็จะไหลตามน้ำไป ดังนั้น..การปฏิบัติให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จริงจัง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าหากว่าขาดความสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง จริงจังแล้ว โอกาสที่สมาธิทรงตัวจะมีน้อยมาก แต่ว่าบุคคลที่เคยทำได้แล้ว ถ้าวางกำลังถูกก็จะทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากว่าวางกำลังใจผิด ไปทำเพราะอยากได้เหมือนเดิม จะกลายเป็นความฟุ้งซ่าน สมาธิก็จะยิ่งทรงตัวยากขึ้น
ถาม : การทรงกำลังใจให้เต็มในกรรมฐาน โดยการไล่ไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวผมเองจะเริ่มจากพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ แต่พอทำไปถึงจุดหนึ่ง จะมีคำถามแย้งมาว่า ที่เราเคยรู้ว่ากำลังใจเต็มแล้วในกรรมฐานนั้น ๆ เราหลอกตัวเองหรือเปล่า ?
ตอบ : หลอกตัวเองแน่นอน เพราะว่ากำลังใจเต็มนั้นมี ๒ ประเภทด้วยกัน เต็มที่ของโลกียฌาน อย่างน้อยกำลังใจในกรรมฐานกองนั้นต้องทรงฌาน ๔ ได้ ถ้าหากว่าเต็มที่ในด้านโลกุตรธรรม กรรมฐานกองนั้นต้องส่งผลให้เราเข้าพระนิพพานได้
ถาม : แล้วการทรงสมถะดังกล่าวต้องระดับไหนครับ คือนึกก็เป็นฌาน ๔ ทันทีเลยหรือครับ ?
ตอบ : นึกเมื่อไรต้องเข้าฌาน ๔ ได้เมื่อนั้น ถ้ายังไม่คล่องตัวถึงระดับนั้นก็ยังเชื่อไม่ได้
ถาม : เทวดายังต้องไปทำบุญ เทวดายังต้องไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ หรือว่ายังทำวัตรอยู่ได้ไหมครับ ? หรือว่าเป็นเทวดาแล้วเสวยสุขอย่างเดียว ?
ตอบ : เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นว่าตนเองได้ดีมาเพราะบุญกุศล ก็จะเสริมสร้างบุญกุศลนั้นไปเรื่อย ๆ ส่วนเทวดาที่ท่านไม่รู้จริง ๆ จะเรียกว่ามิจฉาทิฐิก็ไม่เต็มปาก เมื่อขึ้นไปพบกับทิพยสมบัติก็เสวยสุขโดยที่ไม่ได้สนใจว่าสิ่งนี้มาอย่างไร และจะหมดสิ้นไปอย่างไร
ฉะนั้น..แบ่งออกได้ทั้ง ๒ ฝ่าย ท่านที่รู้ว่าตนเองได้ดีเพราะอะไร ก็พยายามเสริมสร้างความดีไป ส่วนท่านที่ไม่รู้สาเหตุ หลับหูหลับตาเสวยสุขอย่างเดียว รอบุญหมดเมื่อไรเหลือแต่บาปล้วน ๆ ก็เฮงไป
ถาม : ถ้ามีเงินตกอยู่เราเก็บไปทำบุญได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเงินตกอยู่ เก็บขึ้นมาไม่ถือว่าผิดศีล ถือเป็นลาภลอยที่เกิดขึ้น แต่ว่าบางทีเก็บเงินไว้เป็นของตัวเอง จะทำให้ขัดลาภใหญ่ที่จะมา สมมติว่าไปเจอเงินตกอยู่หนึ่งร้อยบาท เราเก็บใส่กระเป๋าเอาไว้ แต่ว่าจริง ๆ อีกไม่กี่วันเราจะถูกรางวัลที่ ๑ ก็เลยกลายเป็นว่าตัวนี้มาขัดลาภสิ่งที่ควรจะได้ เขาถือว่าได้แล้วก็เลยให้แค่นั้น ลาภที่มากไปกว่านั้นก็เลยไม่มา
ถาม : บางทีเรานั่งแท็กซี่อยู่ เรานั่งกอดอกแล้วรู้สึกว่ามือใหญ่ เป็นปีติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เริ่มเข้าสู่ความเป็นปีติ
ถาม : แล้วเราจะเก็บอารมณ์นี้ไปพิจารณาหรือว่าแค่ดูเฉย ๆ ?
ตอบ : กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ให้ดูลมหายใจเข้าออก มีคำภาวนาอยู่ก็ให้กำหนดคำภาวนาไป ไม่ต้องไปให้ความสนใจ ถ้าอยู่ ๆ รู้สึกว่าเกิดระเบิดตูม แท็กซี่กระจายไปทั้งคันเลย ก็ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น
ถาม : ถ้าเป็นตอนขับรถละคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นตอนขับรถมักจะใช่ แต่ว่าให้รีบคลายกำลังใจโดยเร็ว เพราะว่าถ้ามัวแต่เพลินอยู่กับสมาธิเดี๋ยวจะบังคับรถไม่ได้ มีโยมอยู่คนหนึ่งอยู่วังปลิง จ.สงขลา เขาคิดว่าตัวเองป่วย เพราะขึ้นรถจักรยานยนต์ทีไรก็แข็งไปทั้งตัว ต้องเขย่าให้หลุดแล้วก็ขับรถไป พอไปอีกหน่อยก็ต้องเขย่าให้หลุดอีก แกถามว่าแกป่วยเป็นอะไร ?
อาตมาบอกว่าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรหรอก สมาธิทรงตัวอยู่ระดับฌาน ๓ พอดี คน ๆ นี้ต่อไปจะคล่องตัวมาก เพราะซ้อมการเข้าออกฌานอยู่ทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ รอบ เขาไม่รู้ว่าสมาธิตัวเองทรงตัว การที่สมาธิทรงตัวก็เพราะว่าเวลาขับรถต้องตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจโดยเฉพาะจักรยานยนต์จะทำให้ล้ม เมื่อตั้งใจสมาธิทรงตัวลงร่องพอดี กลายเป็นว่าตัวเองเข้าฌานโดยอัตโนมัติ แล้วก็ต้องไปเขย่าให้หลุด เพื่อที่จะได้ขับรถต่อ ป่านนี้ก็คงเขย่าอย่างเพลิดเพลินอยู่นั่นแหละ
ถาม : ทำไมในสังฆทานมีรองเท้าด้วยครับ ?
ตอบ : หลวงปู่มหาอำพันท่านให้เพิ่มเข้าไป มาจากเรื่องของพระโพธิสัตว์ที่ไปปราบยักษ์ ยักษ์ได้พรจากท้าวเวสสุวรรณให้อยู่ที่โคนไม้ไทร ถ้าคนหรือสัตว์เข้าไปในบริเวณนั้นก็ให้จับกินได้ คนจึงตายกันเยอะ หาคนไปปราบยักษ์ไม่ได้สักที พระโพธิสัตว์อยากได้รางวัลไปเลี้ยงแม่ที่แก่แล้ว ก็เลยอาสาไปปราบ ขอร่ม ขอรองเท้า ขอพระขรรค์อาญาสิทธิ์จากพระราชาแล้วก็ไป
พอยักษ์เห็นพระโพธิสัตว์ก็จะมาจับ พระโพธิสัตว์ถามว่ามีสิทธิ์อะไรมาจับท่าน ยักษ์บอกว่าท่านยืนอยู่ในร่มเงาของต้นไทร เราสามารถจับได้ พระโพธิสัตว์ท่านบอกว่าไม่จริง ท่านยืนอยู่บนรองเท้า ส่วนร่มเงาก็เป็นร่มของท่านเองไม่เกี่ยวกับต้นไม้ สุดท้ายก็เจรจากันได้
ต่อมายักษ์ตนนั้นพระราชาเชิญไปเป็นองครักษ์คอยเฝ้าประตูเมือง ถ้าหากว่าข้าศึกมาให้จับกินให้หมด แล้วชาวบ้านจะหาอาหารให้กินเอง ยักษ์ก็เลยตกลง เป็นอันว่าได้ประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีข้าศึกที่ไหนกล้ามาตีเมืองนี้ ขณะเดียวกันยักษ์ก็ไม่ต้องไปจับใครกินอีก ชาวบ้านก็สบายแค่หาอาหารให้ยักษ์ หลวงปู่มหาอำพันท่านอ่านชาดกแล้วชอบใจจึงให้เพิ่มรองเท้ากับร่มเข้าไปในสังฆทานด้วย
ถาม : เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ จากขณิกสมาธิไปสู่อุปจารสมาธิ แล้วก็สู่อัปปนาสมาธิ อันนี้ท่านพอจะบรรยายเป็นคำพูดได้ไหมครับ ไม่ใช่ในส่วนของการปฏิบัติแต่เป็นในส่วนของความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วในแต่ละขั้นจิตไปจับอยู่ตรงไหน อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรกความรู้สึกทั้งหมดต้องอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หลุดจากลมหายใจเข้าออกเมื่อไรจะไม่สามารถสร้างสมาธิได้ เมื่อลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัวอยู่ในลักษณะละเอียดขึ้น นั่นจะเป็นลักษณะของขณิกสมาธิ
ปกติสภาพจิตของเราอยู่ในลักษณะน้ำที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา น้ำที่กระเพื่อมอยู่ไม่สามารถที่จะสะท้อนเงาสิ่งต่าง ๆ ลงไปได้ แต่พอน้ำเริ่มนิ่ง เงาจากสิ่งต่าง ๆ จะสะท้อนลงไปให้เห็น บางทีก็ชัดเจนเหมือนกับมองของจริงเลยก็มี การรู้เห็นจะเริ่มปรากฏ นี่เป็นขั้นตอนของอุปจารสมาธิ
ก่อนที่จะถึงฌาน สมาธิที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ ก็คือใกล้จะทรงเป็นฌานนั้นจะมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นกับร่างกายที่เรียกว่าปีติ ก็จะมี ขณิกาปีติ ก็คือบางคนก็ขนลุกเป็นพัก ๆ ถ้าขุททกาปีติก็น้ำตาไหล โอกกันติกาปีติ ร่างกายโยกไปโยกมา ดิ้นตึงตังโครมคราม ถ้าหากว่าเป็นอุเพ็งคาปีติก็ลอยขึ้นได้ ลอยไปไกล ๆ ก็มี ถ้าหากว่าเป็นผรณาปีติ บางทีก็ตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด ความรู้สึกเป็นอย่างนั้นชัดเจนมาก จนบางคนไม่กล้าทำสมาธิอีก เพราะกลัวว่าจะตาย..!
เมื่อลมหายใจเข้าออกของเราทรงตัวมากขึ้น อาการภายนอกที่เกิดกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง (ซึ่งเป็นส่วนที่ชัดเจนที่สุด) แต่ไม่ก่อเกิดความรำคาญ ความรู้สึกทั้งหมดผูกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก นี่เป็นอาการของ อัปปนาสมาธิขั้นแรกที่เรียกว่าปฐมฌาน
เมื่อก้าวเข้าไปถึงในส่วนอัปปนาสมาธิขั้นปฐมฌาน สิ่งที่มากระทบอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไม่ได้รับความสนใจ เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน สมาธิจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า พอไปถึงอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๒ ก็คือทุติยฌาน ความรู้สึกผูกแน่นอยู่กับลมหายใจเข้า รู้สึกว่าลมละเอียดขึ้น บางทีคำภาวนาก็หายไป หรือท่านที่กำลังใจหยาบหน่อยก็ไม่รู้สึกถึงลมหายใจเลยก็มี แต่ว่าความรู้สึกยังคงจดจ่อแน่วนิ่งอยู่เฉพาะภายในเท่านั้น
พอไปถึงอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๓ ที่เรียกว่าตติยฌาน ความรู้สึกทั้งหมดจะค่อย ๆ รวบเข้ามา บางทีจะรู้สึกเย็นจากปลายมือปลายเท้าเข้ามา บางทีจะรู้สึกเย็นจากปลายจมูก หรือริมฝีปาก หรือคาง แล้วขยายตัวออกไป ความเย็นที่ขยายตัวออกไปนั้นบางทีก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเราแข็งเป็นหิน หรือกลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้วก็มี บางทีก็รู้สึกว่าตึงแน่นเหมือนกับโดนมัดศีรษะจรดปลายเท้าเลยก็มี อาจจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าเหมือนโดนสาปเป็นหินไปเลยก็มี แต่ว่าความรู้สึกทั้งหมดก็ยังจดจ่อมั่นคง แน่วนิ่งอยู่ภายในเหมือนเดิม อันนี้เป็นลักษณะของอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๓ หรือตติยฌาน
แล้วความรู้สึกทั้งหมดก็จะรวบมาอยู่จุดใดจุดหนึ่งภายในร่างกายของเรา อาจจะเป็นตรงหน้าก็ดี ในศีรษะก็ดี หรืออาจจะเป็นในอกในท้องก็ตาม จะสว่างไสว สว่างโพลงอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกทั้งหมดจดจ่อแน่วนิ่งอยู่ภายใน ไม่ส่งออกมาภายนอกเลย อะไรเกิดขึ้นภายนอกไม่รับรู้โดยสิ้นเชิง อันนี้เป็นอัปปนาสมาธิขั้นสุดท้ายคือขั้นที่ ๔ คือจตุถฌาน
สรุปว่าไม่ว่าจะเป็นฌานขั้นไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิก็ตาม ใจจะจดจ่ออยู่ภายใน ไม่ได้ส่งออกนอก ส่งออกนอกเมื่อไร ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น สมาธิก็จะไม่ทรงตัว
ถาม : สำหรับผู้ที่เคยได้สมาธิขั้นต้นตั้งแต่ขณิกสมาธิขึ้นไป ยังมีโอกาสตกนรกอีกไหมครับ ?
ตอบ : ตก ๑๐๐ % ต่อให้ได้ฌาน ๔ แล้วก็มีโอกาสตกนรก ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะทรงอยู่ในสมาธินั้นในวาระก่อนที่จะตาย หรือว่าไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม โลกียอภิญญานั้นจะเปรียบไปแล้วไม่ได้ห่างจากขอบนรกเลย พร้อมที่ลงได้ตลอดเวลา ยิ่งมีความสามารถสูงกว่าคนอื่นแล้วทะนงตน ใช้ความสามารถนั้นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมควร ก็ยิ่งสั่งสมกรรมพาตนเองลงนรกได้ง่ายยิ่งขึ้น
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีญาติโยมหลายคนถามปัญหาเรื่องการธุดงค์ในป่าคอนกรีต อยากจะบอกญาติโยมว่า การถามปัญหาอย่าใส่อคติเข้าไปด้วย ถ้าเราใส่อคติเข้าไปด้วยคำถามก็อาจจะผิดเพี้ยนและได้รับคำตอบที่ไม่ถูกต้อง เพราะอาตมาตอบตามที่ถาม ถามผิดก็ได้รับคำตอบผิดไปด้วย"
ถาม : การเกิดต้องเกิดเพราะกรรม ชาติแรกไม่มีกรรมแล้วเกิดขึ้นมาได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : มี...จะใช้คำว่าเกิดเพราะความบังเอิญได้ไหม ? สมมติว่าไฮโดรเจน ๒ อะตอมบังเอิญมาชนกับออกซิเจน ๑ อะตอม จะเกิดเป็นน้ำ การเกิดของคนก็แบบนั้นแหละ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณมารวมกันก็ยังไม่เป็นคน จะเป็นคนได้ต่อเมื่อมีธาตุรู้อีกตัวหนึ่งมาชนเข้าไปพอดี
ถาม : แล้วคำว่าบาปแปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : บาปแปลว่าความชั่ว เพราะฉะนั้น..ทำอะไรที่ชั่วก็บาปทั้งนั้นแหละ
ถาม : ถ้ามีการกระทำที่ทำไปแล้ว คนอื่นทุกข์ใจแต่ว่าเราไม่ได้ตั้งใจ จะเป็นบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็น...มากน้อยก็เป็น ถ้าขาดเจตนาก็บาปน้อย ถ้ามีเจตนาก็บาปมาก
ถาม : การที่เทวดาช่วยคนเป็นบุญหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เทวดาช่วยคนถือเป็นหน้าที่ เพราะถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมาท่านก็ไม่ช่วย ส่วนช่วยแล้วจะได้บุญหรือไม่ก็ดูเจตนาของท่าน ถ้าหากว่าจิตของท่านประกอบด้วยความสงเคราะห์เป็นปกติ มีพรหมวิหารเป็นปกติ ก็เป็นการเสริมส่วนบุญของท่านด้วย แต่ถ้าหากว่าทำตามหน้าที่ไปเฉย ๆ ก็เหมือนอย่างกับปฏิบัติงานที่ตนเองได้รับผิดชอบให้สำเร็จไปเท่านั้นเอง
ถาม : ถ้าเราแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรโดยที่ไม่ระบุ เขาจะได้รับหรือเปล่าครับ?
ตอบ : ถ้าเขาอยู่ในรัศมีที่เราแผ่เมตตาถึงก็ได้รับทุกคน แต่ถ้าการอุทิศส่วนกุศลบางอย่างต้องจำเพาะเจาะจง ถ้าพูดอย่างนี้บางทีคุณอาจจะงง ๆ การแผ่เมตตาเหมือนกับเขาอยู่ที่ร้อนแล้วเราเอาร่มไปให้เขา แต่การอุทิศส่วนกุศลนั้นคนหิวแล้วเราเอาอาหารไปให้เขา ถ้าคนหิวอยู่เราเอาร่มไปให้เขา ๆ จะได้ประโยชน์ไหม ? ก็อาจจะเย็นขึ้นมาหน่อย แต่เขาก็ยังหิวอยู่เหมือนเดิม
ดังนั้น..การแผ่เมตตาถ้ากำลังของคุณถึงก็ได้ทุกคน แต่อุทิศส่วนกุศลขึ้นอยู่กับเวรกรรม ขึ้นกับการที่เราระบุหรือไม่ระบุจำเพาะเจาะจงไป
ถาม : ถ้าเราไม่จำเพาะเจาะจง ?
ตอบ : ถ้าไม่จำเพาะเจาะจง ท่านที่ไม่มีกรรมเนื่องกันมา ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนที่เราระบุออกชื่อ ก็อดไป
พระอาจารย์เตือนโยมว่า "คราวหน้าอุ้มพระพุทธรูปให้น่าหวาดเสียวน้อยกว่านี้หน่อย นี่คุณเล่นหิ้วคอพระมาเลย"
ถาม : ขอถามเรื่องการปฏิบัติครับ
ตอบ : นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม ถ้าใจละเอียดขึ้นก็จะไม่หิ้วพระมาอย่างนี้
ถาม : การปฏิบัติจำเป็นต้องหาเวลาแยกตัวไปปฏิบัติที่วัดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น...การปฏิบัติถ้าทำได้ในชีวิตประจำวันจะสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด เพราะว่าเรื่องของหลักธรรมจำเป็นที่จะต้องประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง ถ้ายังไม่ผ่านการทดสอบจากชีวิตจริงอย่าเพิ่งเชื่อว่าเราทำได้
ถาม : การบรรลุมรรคผล..?
ตอบ : ของเก่าต้องสั่งสมมามากพอและหลักการปฏิบัติในปัจจุบันต้องถูกต้องด้วย ถ้าสองส่วนรวมกันถึงจะมีโอกาส ถ้าหากว่าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปการบรรลุมรรคผลก็ไม่มี คุณสั่งสมบุญมาเต็มที่ แต่ปฏิบัติผิดไปจากหลักที่แท้จริง ก็ไปไม่ตรงทาง คุณไม่มีกำลังบุญ แต่ไปปฏิบัติตรงทาง ก็เหมือนกับคนไม่ได้พกเสบียงไป เดินทางไปไม่สุดทางก็อดตายเสียก่อน
ถาม : การภาวนาพิจารณา ถ้าไม่ถึงฌานจะมีโอกาสสำเร็จไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถสะสมต่อเนื่องกันได้สัก ๑๒๐ ปีโดยไม่ขาดช่วงอาจจะมีสิทธิ์บรรลุ..! เพราะว่าถ้ากำลังไม่ถึงปฐมฌานขึ้นไปก็ไม่พอตัดกิเลส
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ปฏิบัติไปด้วยพิจารณาไปด้วย ถ้ากำลังถึงจะได้ตัดไปเลย ไปทำให้จริงเท่านั้นแหละ
ถาม : พวกผีจองเวรที่ต้องการตัวตายตัวแทนแล้วไปเกิดมีไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...ไม่ใช่การจองเวร แต่ว่ามีผีอยู่ประเภทหนึ่งมีกรรมที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ตรงนั้น ถ้ามีบุคคลมาตายแทนตรงจุดนั้นเขาถึงจะหลุดพ้นไปได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาไปลากคนมาตายแทน แต่คนถึงที่ตายตรงนั้นพอดี เพราะวาระเขามาถึง
ถาม : นอกจากการห้ามฆ่าสัตว์แล้วทำไมไม่ห้ามกินสัตว์ด้วย เพราะเป็นการสนับสนุนทางอ้อม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณไปสั่งเขาทำจะเป็นการสนับสนุน ถ้าหากว่าคุณไม่ได้สั่งเขา อย่างไรเขาก็ทำอยู่แล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ห้าม ? เพราะว่าคนไม่ใช่สัตว์กินพืช อย่างไรส่วนของเนื้อยังมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพียงแต่ว่าให้เป็นปวัตตะมังสะ คือเนื้อสัตว์ที่เขาค้าขายกันทั่วไป ถ้าเป็นอุทิสมังสะ ไปเจาะจงสั่งเมื่อไรก็เฮงเมื่อนั้น
เราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น ครอบครัวเราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น เมืองเราทั้งเมืองไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น..คุณไม่สามารถจะแก้ไขการดำรงชีวิตของมนุษย์ได้ แต่ว่าสามารถที่จะสร้างกรรมให้น้อยที่สุดได้
หรือจะเอาอย่างทิเบตก็ได้ สมัยก่อนทิเบตไม่กินเนื้อสัตว์ รอจนกระทั่งสัตว์ตายก่อนถึงจะเอามาเป็นอาหาร แต่พอตอนหลังพวกอิสลามเข้าไปอยู่ในทิเบตจึงมีการฆ่าสัตว์ คนทิเบตก็ไปเอาเนื้อที่เขาฆ่าแล้วมากินได้
ถาม : คนธรรมดาถือศีล ๒๒๗ ข้อ ต่างกับพระไหมครับ?
ตอบ : ต่างมาก..ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปถือ ถนนธรรมดามีหลุมอยู่ ๕ หลุม เดินหลบซ้ายเลี่ยงขวาก็พ้นแล้ว เสือกทะลึ่งไปเดินถนนที่มี ๒๐๐ กว่าหลุม ก็หาเรื่องตกนรก..!
ถาม : แล้วถ้าผมคิดจะถือศีล ๒๒๗ ข้อ ?
ตอบ : บ้าตั้งแต่เริ่มคิดจะถือแล้ว ยกเว้นบุคคลที่ปฏิบัติตัวเป็นตาผ้าขาว ในลักษณะของติตถิยปริวาส ศึกษาเพื่อที่จะบวช อย่างนั้นก็ซ้อมถือไปได้ ถ้าคนทั่ว ๆ ไป ถือศีล ๒๒๗ ข้อ เขาเรียกว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง เพราะเวลาศีลขาดเรามักจะจิตใจเศร้าหมอง ตายตอนนั้นก็ลงนรก แล้วศีลมากขนาดนั้นโอกาสศีลขาดก็ยิ่งมาก
ถาม : ที่ท่านบอกว่าบวชแล้วได้อานิสงส์เลย ผมสงสัยว่าอานิสงส์มาจากไหน ?
ตอบ ประการแรก..เรางดเว้นสิ่งที่เคยทำชั่วด้วยกาย วาจา ใจ เพราะโดนตีกรอบด้วยศีลจำนวนมาก แปลว่าโดนบังคับให้ทำความดี อานิสงส์มหาศาลก็เกิดขึ้น ประการต่อไป..ถ้าเราบวชแล้วศึกษาปฏิบัติธรรมตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถทำตนให้เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้นั่นยิ่งเป็นผลานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ประการต่อไป..เมื่อศึกษาธรรมเข้าใจลึกซึ้งแล้วนำไปเผยแผ่ต่อ เป็นประโยชน์ต่อชนหมู่มาก ก็ยิ่งเป็นผลานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ประการต่อไป..เราจะเป็นบุคคลที่ชักนำเอาพ่อแม่ญาติพี่น้องเข้ามาสู่พระศาสนา เพราะว่าตามปกติแล้วคนทั่ว ๆ ไป ถ้าไม่มีคนคุ้นเคยจะไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา ในเมื่อมีเราซึ่งเป็นญาติอยู่ในวัด แม้เขาจะตั้งใจไปหาเรา แต่ก็เริ่มให้เขาเข้าวัดทำความดีได้ ดังนั้นว่า..การบวชที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บวชเฉย ๆ แต่บวชแล้วต้องปฏิบัติดีด้วย
ถาม : เมื่อลงไปใช้กรรมในนรกแล้ว ทำไมไม่ reset เศษกรรมที่เหลือทั้งหมด ?
ตอบ : ก็เพราะว่านรกมีไม่มากพอที่จะเก็บรายละเอียดกรรมทั้งหมด รายละเอียดของกรรมยังมีเขตของเปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน และมนุษย์ ที่เราจะต้องมารับกรรมไปตามลำดับ ในนรกเป็นส่วนของเงินต้นเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็คือดอกเบี้ยที่ทบต้นเข้ามา
ถาม : การเกิดเป็นคนเป็นการใช้หนี้ของเศษกรรมหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็น..แต่เราไม่รู้ตัวเองต่างหาก ป่วยก็เกิดจากเศษกรรมปาณาติบาตไม่ใช่หรือ ? ข้าวของสูญหายก็เศษกรรมจากอทินนาทาน เราใช้หนี้อยู่ตลอดแต่ไม่รู้ตัว
ถาม : การเจริญพรหมวิหาร ๔ ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ความตั้งใจที่ประกอบไปด้วยน้ำใสใจจริง ว่าเรารักผู้อื่นเสมอตัวเรา เห็นเขาได้รับความลำบากเดือดร้อนก็ต้องการช่วยเขาให้พ้นทุกข์ เห็นเขาได้ดีก็พลอยยินดีที่เขาอยู่ดีมีสุข และท้ายสุดถ้าหากว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้ก็ปล่อยวาง ยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม เมื่อสามารถที่จะทรงกำลังใจนี้ได้แล้ว ก็ให้เจริญภาวนาต่อไปเพื่อความมั่นคงด้วย
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนลืมข้าวของไว้ที่วัดหลายชิ้น ชิ้นแรกเป็นพระเลี่ยมทอง อาตมาไม่อยากได้ทองหรอก แต่อยากได้พระ ขอให้เจ้าของลืมไปเลยทีเถอะ..! เพราะว่าพระองค์นี้ถ้าไปปล่อยในท้องตลาดก็ราคาล้านบาทขึ้นไป ชิ้นที่ ๒ เป็นวัตถุมงคลที่เอาไปเข้าพิธี ๑ ลัง เขาตั้งใจทิ้งหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีใครไปเอาคืนสักที ๑ ลังเต็ม ๆ น่าจะสะสมกันมาหลายปีเลย ชิ้นที่ ๓ เป็นกระเป๋าเงิน ในกระเป๋าไม่มีอย่างอื่นเลยมีแต่เงิน เป็นธนบัตรล้วน ๆ ตอนนี้เริ่มขึ้นราแล้ว เพราะเก็บไว้ปีกว่าแล้ว เมื่อไรจะไปรับคืนโปรดแจ้งให้ทราบด้วย
สำหรับพระเป็นเรื่องลำบาก ถ้าหากว่าข้าวของตกหล่นอยู่ในวัด พระเดินผ่านแล้วไม่เก็บ ผ่านไปกี่รูปก็โดนปรับอาบัติทุกรูป เก็บไว้เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองก็ไม่ได้ ต้องรักษาไว้จนกว่าเจ้าของจะมาเอาคืน สมัยอาตมาทำหน้าที่รับญาติโยมเข้าพักที่วัดท่าซุง มีตู้ ๕ ชั้นส่วนตัวอยู่ ๔ ใบเพื่อใส่ของพวกนี้ ใส่จนฝุ่นจับหนาเป็นคืบ แต่ไม่ค่อยมีคนไปทวงคืนทั้ง ๆ ที่ประกาศอยู่ทุกครั้งเวลาที่วัดมีงาน แสดงว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นปฏิบัติธรรมแล้วเข้าถึงจริง ปล่อยวางได้ อะไรหายแล้วหายเลย ค่อยหาใหม่ น่ายินดีและน่าโมทนาด้วย แต่ลำบากพระสิ..!
ตอนนี้น่าจะ ๒๐ กว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่าพระเจ้าหน้าที่รุ่นหลัง ๆ ยังเก็บรักษาไว้หรือเปล่า ? ต่อไปน่าจะมีพิพิธภัณฑ์ของสูญหายเมื่อไปวัด ทำแสดงไว้เลยว่าเก็บไว้เมื่อวันเดือนปีที่เท่าไร แล้วก็ให้ลูกหลานไปดูว่าของใครเก่ากว่ากัน แต่คาดว่าคนจะแกล้งลืมอีกเยอะ เพราะอยากมีชื่อเข้าพิพิธภัณฑ์..!"
"มีโยมลืมหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการไว้ที่บ้านวิริยบารมี เรื่องนี้อาตมาอ่านมาตั้งแต่สมัยยังลุยห้องสมุดอยู่ ชอบใจมากเพราะว่านางเอกใจถึง นางเอกสมัยก่อนมักจะนุ่มนิ่ม อยู่ในลักษณะรอพระเอกขี่ม้าขาวมารับตัวไป แต่นางเอกเรื่องนี้ไล่ยิงผู้ชายเลย..! ถูกใจมากเพราะมาผิดยุค ยุคสมัยรัชกาลที่ ๗ - ๘ นั้นส่วนใหญ่เขารอคุณชายมาบ้านทรายทอง อันนี้ไม่ต้องรอคุณชายหรอก แล้วที่ชอบใจก็คือเขาตั้งชื่อตัวละครว่า เมตตา กรุณา มุทิตา ปราณี ไมตรี เอ็นดู ได้ยินชื่อก็เข้าท่าแล้ว
หนังสือของหลวงวิจิตรวาทการเป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก รู้สึกว่าเรื่องที่ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จน่าจะเป็นเรื่องศึกบางระจัน เพราะเขียนให้พม่าเป็นพระเอก ขอบอกว่าในหมู่คนเลวก็มีคนดี ในหมู่คนดียิ่งมากไปด้วยคนเลว ดีชั่วไม่สามารถที่จะระบุได้ชัดเจนเพราะเป็นการกระทำที่เป็นไปตามกรรมเท่านั้น คำว่าดีชั่วเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมา เพื่อสามารถระบุได้ว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นไปในลักษณะไหน
ถ้าในสายตาของบุคคลที่เข้าถึงธรรมจริง ๆ จะไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม สามารถสงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ สงเคราะห์ไม่ได้ก็ปล่อยวาง นี่คือพรหมวิหาร ส่วนใหญ่พวกเราเมตตากรุณาล้นเกิน แต่ดันไปขาดตัวอุเบกขา อุเบกขาพระพุทธเจ้าให้พวกเราไว้เพื่อป้องกันไม่ให้บ้า พอเมตตาเกินประมาณอยากจะไปช่วยเขา แต่ช่วยไม่ได้ก็คลุ้มคลั่งเอง กลายเป็นไปแบกเรื่องคนอื่นมาไว้เต็มบ่า
ที่ขำที่สุดมีคุณมหาประโยค ๙ รูปหนึ่งได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์จากญาติโยมในลักษณะคอยอุปัฏฐากให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งเรียนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยคก็ถือว่าสูงสุดในยุคนั้น วันหนึ่งญาติโยมที่เคยให้การสงเคราะห์ก็มานั่งบ่นว่าสามีตายแล้ว ตัวเองต้องเลี้ยงลูกเล็ก ๆ อยู่ ไม่มีใครช่วยเหลือกิจการ บ่นไปบ่นมาคุณมหาก็เลยสึกไปช่วยเลี้ยงลูก
แค่ช่วยเลี้ยงแต่ลูกจริง ๆ ไม่ได้ยุ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย พูดง่าย ๆ ก็คือไปเลี้ยงลูกเพื่อให้เขาทำงาน พอลูกโตเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคุณมหาก็กลับมาบวชใหม่ คนอย่างนี้ก็มีด้วย..! สุดยอดมนุษย์จริง ๆ เขาดีจนอาตมาอายเลย เขาไม่รู้หรอกว่าที่คุณผู้หญิงเธอไปพิไลรำพัน เธอต้องการให้ไปทำหน้าที่อื่นด้วย คุณมหาอยู่แต่ในวัด ด้วยความพาซื่อก็ไปช่วยเลี้ยงลูกอย่างเดียวจริง ๆ"
ถาม : สงสัยช่วงที่นักศึกษาออกมาประท้วง ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ ?
ตอบ : ทฤษฎีคอมมิวนิสต์เป็นไปไม่ได้ตามหลักพระพุทธศาสนา เพราะเขาต้องการให้ทุกคนเสมอภาคกัน พูดง่ายคือมีกินมีใช้เท่า ๆ กัน ช่วงนั้นมีความแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมีการเอาเปรียบของข้าราชการและพ่อค้า ก็เลยทำให้เกิดการปลุกระดมชาวบ้านขึ้นมาว่า ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์แล้วทุกอย่างก็จะเสมอกัน รวยเท่ากันหมด เราลองคิดว่า ถ้าคนทำบุญมาไม่เท่ากัน แล้วจะรวยเท่ากันได้อย่างไร ?
ต่อสู้กันตั้งแต่ปี ๒๕๐๘ มาสิ้นสุดลงราวปี ๒๕๒๔ เพราะว่านโยบาย ๖๖/๒๓ ออกมา รับผู้กลับใจมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่ใช่ผู้ที่ก่อคดีอาญา ฆ่าเจ้าหน้าที่หรือประชาชนจนมีหลักฐานชัดเจน ก็อภัยให้หมด จะมีการช่วยเหลือเรื่องที่ทำกินและมีเงินกองทุนให้ เราจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง
อย่างประเทศจีน ถ้าเติ้งเสี่ยวผิงไม่ปรับนโยบายใหม่ ป่านนี้ประเทศล่มจมไปแล้ว เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทำงาน เห็นว่าไม่ทำก็ได้เท่ากัน นอนเฉย ๆ กินเงินกองกลางไปเรื่อย แล้วก็ไปบังคับเอากับระดับล่าง ๆ ให้ทำงาน เติ้งเสี่ยวผิงจึงปรับนโยบายใหม่ นับว่าปรับตัวทัน รุ่นต่อ ๆ มาก็มีการพัฒนาขึ้น อย่างรุ่นของ จ้าวจื่อหยาง จูหรงจี เปิดประเทศมากขึ้น กลายเป็นคอมมิวนิสต์ทุนพัฒนา ไม่ยอมรับคำว่าทุนนิยม ปัจจุบันนี้จีนก็เจริญอย่างที่พวกเราเห็น
ส่วนในเรื่องของการเดินขบวนของนักศึกษานั้น เกิดจากการที่บ้านเราปกครองด้วยเผด็จการทหารมานาน พอนักศึกษาเรียนรู้มากเข้า ก็ต้องการระบอบประชาธิปไตย แต่จริง ๆ แล้วบ้านเรายังไม่สมควรเป็นระบอบประชาธิปไตย บ้านเราควรจะเป็นราชาธิปไตย ก็คือไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระราชามีอำนาจเด็ดขาดคนเดียว เป็นราชาธิปไตยในลักษณะว่าพระราชาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ว่ามีสิทธิ์มีเสียงในการชี้นำประเทศ ถ้าหากว่าได้พระราชาอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ประเทศชาติจะเจริญมาก
แต่คราวนี้ว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้พระองค์ท่านอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เรื่องของการชี้แนะอะไรต่าง ๆ ก็ต้องโดนตีกรอบ ในหลวงจึงต้องทำโครงการพระราชดำริของพระองค์ท่านไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็เท่ากับว่าต้องเหนื่อยเองเต็ม ๆ
เมื่อนักศึกษาต้องการที่จะได้ประชาธิปไตยก็มีการแสดงออก แต่ว่าคนที่เป็นเผด็จการอยู่ไม่อยากสูญเสียอำนาจ ความต้องการจึงสวนทางกัน เมื่อไม่อยากสูญเสียอำนาจจึงมีการปราบปรามนักศึกษา ท้ายสุดก็อยู่ไม่ได้ ต้องเผ่นออกนอกประเทศไป โดนยึดทรัพย์ไป นั่นเกิดขึ้นเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
อีกประมาณ ๓ ปีต่อมา ฝ่ายเผด็จการที่โดนขับไล่ออกไปก็กลับมา แต่กลับมาแบบวางแผนมาดี ก็คือบวชเณรเข้ามา แต่ว่านักศึกษารู้ทันจึงมีการเดินขบวนขับไล่กันใหม่ เหมือนปัจจุบันที่คุณทักษิณจะกลับบ้านแล้วมีคนคอยขวางอยู่ จะว่าไปแล้วในช่วง ๖ ตุลาคม ปี ๒๕๑๙ นั้น ถ้าหากว่าฝ่ายเผด็จการไม่ต้องการอำนาจคืน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์นองเลือด
แต่คราวนี้เขาต้องการอำนาจคืนจึงมีการใส่ไฟ ปล่อยข่าวว่าพวกนักศึกษาไปเอาคอมมิวนิสต์ญวนมาฝึกการรบแบบกองโจร ซ่อนตัวอยู่ข้างในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเอากำลังทหารเข้าไปปราบปราม อยู่ในลักษณะของการออกข่าวข้างเดียว เพราะว่าคุมสื่อมวลชนอยู่
เหมือนปัจจุบันนี้ที่เขาใส่ความกันเรื่องผังล้มเจ้า ว่าจะมีการล้มล้างพระมหากษัตริย์ เอาชื่อคนนั้นคนนี้โยงกันให้มั่วไปหมด แล้วก็หาความจริงไม่ได้ หรือเรื่องของชายชุดดำที่แฝงอยู่ในกลุ่มเสื้อแดง ปรากฏว่าถึงเวลาออกไปปราบปรามจนตายกันเกือบร้อย ไม่มีคนชุดดำเลย มีแต่ชาวบ้านธรรมดา อย่างเก่งก็ถือหนังสติ๊ก เรื่องทำนองนี้เป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยา
ช่วงนั้นเขามีการกระตุ้นอารมณ์ร่วมของชาวบ้าน โดยแต่งภาพศพที่แขวนคออยู่ให้หน้าตาเหมือนกับองค์รัชทายาท ชาวบ้านก็ยิ่งโกรธแค้นกันใหญ่ จึงสนับสนุนราชการให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับพวกนักศึกษา ก็เลยมีการยกกองกำลังเข้าไปถล่มมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พวกนักศึกษาก็ต้องหนีเข้าป่า ในเมื่อสู้กันในเมืองไม่ได้ก็เลยหนีเข้าป่า จับอาวุธต่อต้านรัฐบาลอยู่หลายปี ลองคิดดูว่าจาก พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ ตั้งกี่ปี ? ฆ่ากันเท่าไร ? สูญเสียงบประมาณและผู้คนไปเท่าไร ?
ตอนปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็อยู่ในลักษณะนี้ เขาปฏิวัติแล้วตอนแรกก็ยังอาย ๆ อยู่ ไม่กล้าเป็นนายกรัฐมนตรี ไป ๆ มา ๆ พอโดนยุ มีความรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจอยู่ในมือ หัวหน้าปฏิวัติจึงขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ชาวบ้านรับไม่ได้ก็มีการประท้วง ราชการก็เอากำลังทหารจะไปปราบชาวบ้านอีก แต่ว่าทหารตำรวจส่วนหนึ่งไม่ให้ความร่วมมือ อย่างเช่นทหารเรือ แม้ว่ายกกำลังออกไปก็จริง แต่พอชาวบ้านหนี ทหารก็เปิดทางให้
นอกจากนี้ก็มีการปล่อยข่าวเป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยาว่า ชาวบ้านสนับสนุนเขามาก ใครไม่เชื่อให้ออกมาดูว่าชาวบ้านทั้งกรุงเทพฯ ให้การสนับสนุนคณะปฏิวัติ ถ้าเราโง่ไปออกดูก็แปลว่าออกไปสนับสนุนเขาไปโดยปริยาย
เรื่องของข่าว ถ้าเราฟังดูจะต้องใช้สติสัมปชัญญะให้มากเข้าไว้ ถ้าใครยึดคุมการข่าวหรือสื่อมวลชนเอาไว้ได้ จะเป็นฝ่ายชนะเสียส่วนมาก มีอยู่ครั้งเดียวที่ฝ่ายยึดคุมการข่าวไม่สามารถชนะได้ ก็คือช่วงเมษาฮาวาย ปี ๒๕๒๔ ตอนนั้นจะไปโทษใครไม่ได้หรอก ต้องบอกว่าคนสั่งการไม่เคยชินกับการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะเขาเป็นเจ้านายเอาแต่สั่งอย่างเดียว ให้เอาพลทหารไปคุมป๋าเปรม
ตอนนั้นป๋าเปรมแต่งชุดพลเอกเต็มขั้น เดินออกมาจากบ้านหน้าตาเฉย ด้วยความเคยชินว่านี่คือเจ้านายใหญ่ พลทหารที่ไหนจะกล้าไปขวาง ป๋าเปรมขึ้นรถได้ก็ออกไปโคราช กลับบ้านตัวเองได้ก็เหมือนมังกรลงทะเล ตอนนั้นมีพลตรีอาทิตย์ กำลังเอก คุมทางด้านนั้นอยู่ เอาสถานีวิทยุของค่ายทหารที่โคราชมาออกข่าวต่อสู้กับทางด้านคณะปฏิวัติ
ในเมื่อเขาไม่สามารถที่จะจับตัวป๋าเปรมซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และในหลวง พระราชินี และองค์รัชทายาทก็ได้รับการคุ้มครองป้องกันจากอีกฝ่ายหนึ่งไปแล้ว ทำให้ชาวบ้านไม่สนับสนุน พวกปฏิวัติก็เลยกลายเป็นกบฏ เพราะทำการไม่สำเร็จ
ช่วงนั้นอาตมาเรียนจบแล้ว เพิ่งจะออกรับราชการใหม่ ๆ คำสั่งแต่งตั้งให้ออกรับราชการลงนามโดย พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก ตอนนั้นท่านเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ อาตมาใจหายวาบเลย รีบวิ่งไปถามเจ้านายว่า "นี่ผมจะโดนไปด้วยหรือเปล่าครับ ?" เจ้านายบอกว่าไม่เกี่ยวกัน อะไรก็ตามที่สั่งการก่อนการปฏิวัติรัฐประหาร ถือว่ามีผลตามกฎหมายไปแล้ว
แล้วคำสั่งก็ออกมาว่า ถ้าคณะปฏิวัติหลบหนีมาทางด้านนี้ ขอให้ทำการควบคุมตัวไว้ ทหารอย่างพวกเราก็ได้แต่ตั้งท่าไปอย่างนั้น คิดว่าถ้าพวกเขามาก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะเป็นเจ้านายเป็นลูกน้องกันมาก่อน ท้ายสุดเขาก็หนีไปอยู่พม่า ช่วงนั้นรอบ ๆ บ้านเราส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหาร เขาย่อมรู้ว่า สักวันถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ต้องหนีไปพึ่งคนอื่น เมื่อคนอื่นเขาหนีมาพึ่ง ก็ต้องช่วยเขาไว้หน่อย
ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อทองลอก?
ตอบ : ไปปิดทองใหม่ แล้วก็เสกใหม่ด้วยอิติปิโสฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะทะ ๑๐๘ จบ อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ด้วยนะ ไม่ใช่อิติปิโสฯ อย่างเดียว ใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมงก็เรียบร้อย เอาไปใช้ได้ใหม่
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานกฐินปลดหนี้ครูบาเหนือชัย เตรียมเงินไปนะ อาตมาจะเอาของในย่ามส่วนตัวนี้ ไปเปิดประมูลที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอะไรเอื้อเฟื้อกันไว้นั่นแหละดี โบราณเขาบอกว่า “ถึงไม่ใช่ญาติไม่ใช่เชื้อ แต่ถ้ามีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้ออาตมา ถึงเป็นญาติเป็นเชื้อ ถ้าไม่มีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้อในป่า”
เราลองนึกดูว่าคนไม่ใช่ญาติไม่ใช่เชื้อแต่มีความเอื้อเฟื้อกัน ถึงเวลาเราเจ็บเขาก็เจ็บด้วย ก็เหมือนกับเนื้อตัวเราเอง แต่คนเป็นญาติเป็นเชื้อแล้วเบียดเบียนกันอย่างเดียว เจอหน้าก็อยากจะเผ่นหนี เหมือนกับพวกเนื้อ (เก้ง - กวาง - ละมั่ง - สมัน - เนื้อทราย) ในป่าที่พบคนไม่ได้ ต้องเผ่นหนีไว้ก่อน โบราณเขาว่าอะไรลึกซึ้งมากเลยนะ"
ถาม : พระพิราพแปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : ครูช่าง พูดง่าย ๆ ว่าช่างทุกคนต้องไหว้พระพิราพ มาจากคำว่า "ไภรวะ" ที่หมายถึงพระอิศวรปางดุ แปลงสระไอเป็น สระอิ ภ.สำเภา เป็น พ.พาน ร.เรือสระอะ เป็น ร.เรือสระอา ว.แหวนเป็น พ.พาน กลายเป็นพระพิราพ
ถาม : แต่เห็นโขนเขาก็ไหว้ด้วยนะครับ ?
ตอบ : ไหว้ด้วย สมัยก่อนพวกเต้นพวกรำเขาเรียกว่า "ช่างฟ้อน"
ถาม : เวลาทำกรรมฐานชอบคิดเรื่องอื่น ไม่เป็นสมาธิ ?
ตอบ : ให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้าคิดเรื่องอื่นเมื่อไรก็ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ พอชำนาญเข้าจะอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้นาน
ถาม : ตั้งศาลพระภูมิอยู่หลังบ้านได้ไหมคะ ?
ตอบ : จะสร้างมุมไหนก็ได้จ้ะ ถ้าอยู่ตรงทิศ
ถาม : ทิศตะวันออกกับทิศเหนือจะอยู่ในส่วนของหลังบ้านกับข้างบ้าน ?
ตอบ : แล้วทิศตะวันออกเฉียงเหนือละจ๊ะ ?
ถาม : ก็อยู่ในส่วนข้างบ้านเหมือนกันค่ะ ?
ตอบ : ตั้งทิศนี้ได้...แต่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็ตามอย่าให้อยู่ใกล้หน้าต่างกับอย่าให้ใกล้ส้วม
ถาม : แล้วมีเงาหลังคาบังได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ตั้งอยู่ใต้หลังคาก็ได้
ถาม : คุณยายเขาโคม่า หมอให้เอากลับบ้าน หมอบอกว่าไม่ไหวแล้วครับ ?
ตอบ : หมอบอกว่าไม่ไหว แต่อาตมาไม่เชื่อ หมาของคุณพีระ หมอบอกว่าไม่รอด อายุมากระดับคุณทวดแล้ว ป่วยจนร้องครางอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังอยู่มาจนป่านนี้ หมอเขาดูตามอาการ ส่วนพระดูตามเวรตามกรรม ถ้าบุญไม่หมดหรือกรรมไม่หมดก็ยังไม่ตาย
คนเราจะตายได้ด้วย อายุขัย หมดอายุ อาหารขัย หมดอาหาร บุญขัย หมดบุญ โกรธาพลขัย ตายเพราะแรงโกรธ เหมือนหนังจีนที่กระอักเลือดตายเพราะโกรธ แต่โกรธาพลขัยส่วนใหญ่เป็นเทวดานางฟ้า เพราะว่าถ้าโกรธขึ้นมา ไฟโทสะจะเผากายทิพย์หมด เทวดานางฟ้าจึงต้องพยายามไม่โกรธ ที่บอกว่าต้นไม้โดนตัดเอา ๆ แต่ทำไมรุกขเทวดาไม่เล่นงานสักที ไปเล่นงานเขาได้ที่ไหนเล่า ? ตัวเองโดนเผาก็แย่สิ..!
ถาม : จะวางกำลังใจอย่างไรดีคะ แม่ไม่สบายแล้วไม่สามารถที่จะไปดูแลแม่ได้ ?
ตอบ : ต้องยอมรับว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตน เราทำดีที่สุดได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น
ถาม : เราไปยุ่งกับเขามากก็เหมือนกับเราไปขวางเจ้ากรรมนายเวรเขา แล้วเราก็ป่วยบ้าง ?
ตอบ : คนเราเกิดมาต้องมีกรรมร่วมกัน ก็แปลว่าเคยทำอะไรใกล้เคียงคล้ายคลึงกัน จึงต้องโดนแบบนั้นบ้าง
ถาม : หนูให้ลูกเขาภาวนาของเขาตลอดวัน พอดีเมื่อต้นเดือนเขาไปอ่านที่ท่านพูดถึงเรื่องอ่านหนังสือไปภาวนาไป ท่านพูดว่าให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาก็บอกว่าเขาเลิกภาวนาดีกว่า หนูก็เลยไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรต่อดี เขาเข้าใจผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ปล่อยเขา..วาระของเขาจะต้องเป็นอย่างนั้น คนเราเมื่อถึงเวลาก็โดนชักให้คิดผิด พูดผิด ทำผิดได้ ถ้าเขาไปมั่นใจว่าควรจะเป็นอย่างนั้นแล้วก็ปล่อยเขาไป
ถาม : เขาก็ยังไม่มั่นใจ หนูก็เลยมาถามค่ะ ?
ตอบ : ทำได้แล้วทิ้งถือว่าโง่ บอกเขาแค่นั้นพอ
ถาม : อยากขอข้อธรรมว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เนื่องในโอกาสสงกรานต์ ?
ตอบ : ทำใจให้เย็น ๆ ไว้ ฟังอะไรมาคิดก่อนอย่าเพิ่งรีบพูด เพราะปกติคนใจร้อนมักจะสวนเลย ถ้าพลาดจะเสียมากกว่าดี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตั้งท่าอมลิ้นไว้ ใครว่าอะไรเราฟังอย่างเดียว คิดจนรอบคอบจริง ๆ แล้วค่อยพูด สงกรานต์อากาศร้อน เรายิ่งต้องใจเย็นไว้
ถาม : ทำอย่างไรเราถึงจะมีสติ ชอบหลุดแล้วไปเลย ?
ตอบ : ถ้าอยากจะมีสติรั้งตัวเองได้ ก็ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราให้ชิน ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ชิน สติสมาธิจะอยู่เฉพาะตรงหน้า จะไม่หลุดไปไหนง่าย แต่ถ้าหากสติสมาธิไม่ได้อยู่ตรงหน้า หลุดไปนานแล้วเราก็ยังไม่รู้ตัว
ถาม : ถ้าขอให้ท่านคุมสติให้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ค่าจ้างแพง ไม่มีคนอื่นช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เพราะฉะนั้น..อยู่ที่การฝึกฝน
ถาม : ถ้าพยายามฝึกสติแล้วละคะ ?
ตอบ : ต้องไปเจอสถานการณ์จริงถึงจะรู้จ้ะ ต่อให้บอกว่าดีขึ้น ถ้าไปชนหงายเก๋งกลับมาก็ตัวใครตัวมัน ฉะนั้น..การทดสอบจึงควรจะมี
ถาม : จริงหรือคะเรื่องการทดสอบ ?
ตอบ : เดี๋ยวก็มา..ถ้าเราคิดว่าเราไม่โกรธเมื่อไรเดี๋ยวก็มาทันทีเลย เขาจะมาลองให้เราโกรธ
ถาม : แล้วใครทำคะ ?
ตอบ : ใครก็ช่างเถอะ..ตีเสียว่าเขาเป็นครู ครูอยากให้เราได้ดีก็เลยทดสอบ กลับไปก็ตั้งสติไว้ คิดก่อนพูด
ถาม : (มีโยมป่วยหนักนอนที่โรงพยาบาล)
ตอบ : บอกท่านว่าตัดใจให้ได้ พูดข้างหูก็ได้ น่าจะฟังได้ยิน เพราะว่าถ้าวางร่างกายไม่ได้ก็จะไม่ตาย คนที่อธิษฐานขอพระนิพพานไว้นี่ตายยาก ต้องตัดร่างกายได้จริง ๆ เพราะคำอธิษฐานค้ำไว้
บอกข้างหูก็ได้ว่าไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ตัดใจไปอยู่กับหลวงพ่อที่พระนิพพานเลย ถ้าหากว่าตัดไม่ได้ก็ยังอยู่อย่างนั้น อาตมาเจอมาหลายรายแล้ว ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจึงบอกว่า ถ้าหากว่าไม่ทรมานมาก ๆ ก็ตัดใจไม่ได้ จึงต้องทรมานกันหนักหน่อย บอกเขาให้รีบตัดใจเสีย พูดกรอกหูไปเลย
ถาม : หมายถึงว่าถ้าเขาวางร่างกายไม่ได้จะไม่ตายหรือครับ ?
ตอบ : ก็เขาไปขอพระนิพพานเอาไว้ คนตัดร่างกายไม่ได้ก็ไปพระนิพพานไม่ได้ กำลังบุญที่ตัวเองสร้างไว้ค้ำอยู่อย่างนั้น ก็ทรมานไปสิ
บุคคลที่อธิษฐานขอพระนิพพาน ทำบุญอะไรก็ขอพระนิพพานในชาตินี้ แต่ขาดการพิจารณาเพื่อที่จะละวางร่างกายนี้ เมื่อขาดการพิจารณา กำลังใจยังตัดไม่ได้ เจ็บป่วยขนาดไหนก็ทรมานอยู่นั่นแหละ เพราะไปขอพระนิพพาน กำลังบุญกับแรงอธิษฐานค้ำเอาไว้ ยังไม่ถึงพระนิพพานก็ทรมานอยู่นั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ใครรู้ตัวก็รีบพิจารณาเยอะ ๆ จะได้ตัดใจได้ ถ้าละร่างกายได้ก็ไปเลย ไม่ต้องทรมาน
ท่านย่าเคยบอกไว้ว่า “พวกแกขอพระนิพพานชาตินี้ ถ้าขี้เกียจพิจารณา ก่อนตายปวดสาหัสทุกคน เพราะต้องบังคับให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นโทษ ถ้าไม่ปวดสาหัสขนาดนั้นก็ยังคิดว่าตัวกูของกูอยู่นั่นแหละ” ฉะนั้น..พิจารณาไว้เยอะ ๆ จะได้ไม่โดน
พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องพระอภัยมณีเกิดจากการที่ในหลวงรัชกาลที่ ๒ ตั้งใจจะให้แต่งหนังสือแข่งกัน แต่ห้ามไม่ให้มียักษ์ สุนทรภู่จึงตะแบงข้างเป็นผีเสื้อ แต่รัชกาลที่ ๒ เก่งกว่า พระองค์แต่งอิเหนาโดยไม่มียักษ์เลย สุนทรภู่แต่งพระอภัยมณีท้ายสุดไปไม่รอด ต้องเอานางผีเสื้อขึ้นมา แล้วก็อ้างว่าไม่ใช่ยักษ์
พวกบรรดาเกร็ดประวัติศาสตร์ถ้าไม่เล่าให้ฟังไว้เดี๋ยวคนรุ่นหลังก็ลืมหมด โบราณถึงได้บอกว่า “ของกินถ้าไม่กินก็เน่า เรื่องเล่าถ้าไม่เล่าก็ลืม” ควรจะมีการบอกต่อเพื่อให้รุ่นต่อรุ่นได้จดจำกันต่อไป
จะว่าไปแล้วตอนนั้นเรื่องที่เขาแต่งกันขึ้นมาส่วนใหญ่ก็จะมียักษ์เป็นตัวชูโรง ส่วนมากก็เป็นผู้ร้าย โดยเฉพาะรามเกียรติ์ รัชกาลที่ ๒ ท่านคงอ่านจนเบื่อเต็มทีแล้ว ก็เลยตั้งกติกาว่าให้แต่งหนังสือแข่งกันแต่ห้ามมียักษ์ ท้ายสุดสุนทรภู่ก็มีจนได้ แต่อ้างว่าไม่ใช่ยักษ์เป็นผีเสื้อ พอเปิดถึงบทที่ ๒ ของพระอภัยมณี
จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ................................อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย
ได้เป็นใหญ่ในพวกปิศาจพราย........................สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา
ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง........................เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา
ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา............................เป็นภักษานางมารสำราญใจ ฯลฯ
แสดงว่าสุนทรภู่รู้เหมือนกันว่ามีจระเข้น้ำเค็ม"
:4672615: เก็บตกบ้านวิริยบารมีเดือนเมษายนจบแล้วค่ะ:4672615:
เดือนนี้ถึง ๑๐ หน้า เพราะมีท่านหนึ่งถามคนเดียว ๗๐ กว่าคำถามค่ะ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.