เถรี
01-04-2012, 08:14
อบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐
ผมกลับมาค้างคืนแล้วก็ต้องไปต่อ ร่างกายนี่ก็แปลก เวลาเหนื่อยมาก ๆ แทนที่จะหลับได้ กลับไม่ค่อยจะหลับ ตื่นขึ้นมาตอนตีสอง เห็นแม่ชีเดินจงกรมกันอยู่ ก็ดีใจว่าพวกเรารู้จักขวนขวายหาความดีใส่ตัวกัน แต่ว่าให้ระมัดระวังเอาไว้สองจุด
จุดแรกก็คือว่า การเดินจงกรมนั้น เขาเอาสติกำหนดรู้ไว้เฉพาะหน้า รู้อาการเคลื่อนไหว หรือถ้าหากว่าใครสามารถทรงฌานสมาบัติได้คล่อง จะสามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไปพร้อมกันด้วยก็ได้ แต่ถ้าเราเดินแล้วไปฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ ก็เท่ากับได้เดินเท่านั้น
แต่ถ้าเราสามารถหยุดจิตอยู่เฉพาะหน้าได้ สติ สมาธิ อยู่ตรงหน้า รับรู้อาการเคลื่อนไหวทุกอย่างของร่างกาย สัมผัสต่าง ๆ จะชัดเจนขึ้นไปเรื่อย ชัดถึงขนาดที่ว่า เวลาลมพัดมากระทบร่างกายของเราแล้ว เส้นขนไหวกี่เส้นก็ยังรู้ได้
บางทีเดินเหยียบทรายเข้าเม็ดหนึ่ง จะรู้สึกว่าใหญ่อย่างกับก้อนกรวดเม็ดโต ๆ คือถ้าจิตละเอียด สัมผัสจะชัดขึ้น แต่ถ้าความรู้สึกไม่ได้อยู่ตรงนี้ ก็แปลว่าเราเหนื่อยฟรี
อีกจุดหนึ่งก็คือว่า กำลังของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ใครสมาธิสูงจะไม่รับรู้อาการเหน็ดเหนื่อยของร่างกาย ไปของตัวเองได้เรื่อย ข้ามวันข้ามคืนก็ไปได้ ถ้าหากว่าสมาธิต่ำหน่อยเดี๋ยวเดียวก็แย่แล้ว ถ้ายิ่งสมาธิคลายตัวออกมานี่ เหนื่อยแทบลมจะจับเลย
ฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี เพราะในอุปกิเลส*นั้นมีอยู่ตัวหนึ่ง ที่เรียกว่า “ปัคคาหะ”** คือ ความเพียรมากเกินไป ถ้าร่างกายพักผ่อนไม่พอ จะทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ถ้าหากว่ามากขึ้น ๆ ก็จะสะสมตัวกลายเป็นความเครียด แล้วจะเกิดอาการสติแตก กรรมฐานแตก อะไรพวกนั้น
ในเมื่อกำลังของแต่ละคนไม่เท่ากัน มาตรฐานของการวัดก็ไม่มี ขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังสมาธิ ของแต่ละคน เพราะฉะนั้น..ให้ดูเรื่องของการพักผ่อนไว้ด้วย นอนสี่ทุ่มตื่นตีสองนี่ก็ถือว่าหนักแล้ว ถ้าใครรู้สึกว่าไม่ไหวก็ผ่อนลงนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าใครไหวจะเพิ่มมากขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเรื่องการพักผ่อนต้องมี ไม่อย่างนั้นแล้วผลเสียจะเกิดขึ้นทีหลัง
หมายเหตุ :
*วิสุทฺธิ. ๓/๒๖๗
**หนึ่งในวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ได้แก่ โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐาน อุเบกขา นิกันติ
(http://www.watthakhanun.com/webboard/#_ftnref3)
ผมกลับมาค้างคืนแล้วก็ต้องไปต่อ ร่างกายนี่ก็แปลก เวลาเหนื่อยมาก ๆ แทนที่จะหลับได้ กลับไม่ค่อยจะหลับ ตื่นขึ้นมาตอนตีสอง เห็นแม่ชีเดินจงกรมกันอยู่ ก็ดีใจว่าพวกเรารู้จักขวนขวายหาความดีใส่ตัวกัน แต่ว่าให้ระมัดระวังเอาไว้สองจุด
จุดแรกก็คือว่า การเดินจงกรมนั้น เขาเอาสติกำหนดรู้ไว้เฉพาะหน้า รู้อาการเคลื่อนไหว หรือถ้าหากว่าใครสามารถทรงฌานสมาบัติได้คล่อง จะสามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไปพร้อมกันด้วยก็ได้ แต่ถ้าเราเดินแล้วไปฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ ก็เท่ากับได้เดินเท่านั้น
แต่ถ้าเราสามารถหยุดจิตอยู่เฉพาะหน้าได้ สติ สมาธิ อยู่ตรงหน้า รับรู้อาการเคลื่อนไหวทุกอย่างของร่างกาย สัมผัสต่าง ๆ จะชัดเจนขึ้นไปเรื่อย ชัดถึงขนาดที่ว่า เวลาลมพัดมากระทบร่างกายของเราแล้ว เส้นขนไหวกี่เส้นก็ยังรู้ได้
บางทีเดินเหยียบทรายเข้าเม็ดหนึ่ง จะรู้สึกว่าใหญ่อย่างกับก้อนกรวดเม็ดโต ๆ คือถ้าจิตละเอียด สัมผัสจะชัดขึ้น แต่ถ้าความรู้สึกไม่ได้อยู่ตรงนี้ ก็แปลว่าเราเหนื่อยฟรี
อีกจุดหนึ่งก็คือว่า กำลังของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ใครสมาธิสูงจะไม่รับรู้อาการเหน็ดเหนื่อยของร่างกาย ไปของตัวเองได้เรื่อย ข้ามวันข้ามคืนก็ไปได้ ถ้าหากว่าสมาธิต่ำหน่อยเดี๋ยวเดียวก็แย่แล้ว ถ้ายิ่งสมาธิคลายตัวออกมานี่ เหนื่อยแทบลมจะจับเลย
ฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี เพราะในอุปกิเลส*นั้นมีอยู่ตัวหนึ่ง ที่เรียกว่า “ปัคคาหะ”** คือ ความเพียรมากเกินไป ถ้าร่างกายพักผ่อนไม่พอ จะทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ถ้าหากว่ามากขึ้น ๆ ก็จะสะสมตัวกลายเป็นความเครียด แล้วจะเกิดอาการสติแตก กรรมฐานแตก อะไรพวกนั้น
ในเมื่อกำลังของแต่ละคนไม่เท่ากัน มาตรฐานของการวัดก็ไม่มี ขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังสมาธิ ของแต่ละคน เพราะฉะนั้น..ให้ดูเรื่องของการพักผ่อนไว้ด้วย นอนสี่ทุ่มตื่นตีสองนี่ก็ถือว่าหนักแล้ว ถ้าใครรู้สึกว่าไม่ไหวก็ผ่อนลงนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าใครไหวจะเพิ่มมากขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเรื่องการพักผ่อนต้องมี ไม่อย่างนั้นแล้วผลเสียจะเกิดขึ้นทีหลัง
หมายเหตุ :
*วิสุทฺธิ. ๓/๒๖๗
**หนึ่งในวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ได้แก่ โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐาน อุเบกขา นิกันติ
(http://www.watthakhanun.com/webboard/#_ftnref3)