PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕


เถรี
07-01-2012, 11:24
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานอาตมาไปพุทธาภิเษกที่สนามหลวง เจ้าของงานก็คือสมาคมศิลปินเพื่อพระพุทธศาสนา ซึ่งมีคุณดาวใจ ไพจิตรเป็นนายกสมาคม เขาสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒ แผ่นดิน ก็คือประเทศไทยกับภูฏาน อาตมาเรียก "ภูฐาน" มาตั้งแต่เด็กจนโต อยู่ ๆ เขามาเรียก"ภูฏาน" ฟังแล้วมึน

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีมอบพระทันตธาตุของสมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มาให้ชาวไทยได้สักการบูชาในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา

สมาคมนี้จึงสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คนได้บูชา แต่รายละเอียดอะไรสักอย่างก็ไม่มี กำหนดงานก็กะทันหันมาก แจ้งวันนี้จะเอาพรุ่งนี้ ที่ว่ารายละเอียดไม่มี อย่างเช่น ไม่มีพวกหนังสือประชาสัมพันธ์หรือว่ากำหนดการอะไรต่าง ๆ ไปถึงก็ไปนั่งรอจนกว่าเขาจะบอกว่าให้ทำอะไรเมื่อไร เป็นการจัดงานที่ค่อนข้างจะหละหลวมมาก

แล้วพระที่ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกทั้งหมด ๙ รูป คงมีแต่ท่านอาจารย์ตุ๊กับท่านอาจารย์โต ที่เคยได้ยินชื่อสมเด็จองค์ปฐม อย่างท่านอาจารย์โต (พระครูปลัดกฤต ฐิตวิริโย) ท่านสร้างสมเด็จองค์ปฐมที่วัดพระบาทปางแฟนเลย นี่ท่านรู้จักแน่ ท่านอาจารย์ตุ๊ (พระอาจารย์จิตติพงษ์ ปสนฺนจิตฺโต) ก็ถือว่าอยู่ในสายหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อบุญรัตน์ (พระครูปิยรัตนาภรณ์) วัดโขงขาว นอกนั้นแล้วอาตมาไม่คุ้นหน้าเลย

มีท่านหนึ่งที่ได้ยินชื่อเสียงก็คือหลวงพ่อเขียน (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ได้ยินชื่อท่านในฐานะเกจิอาจารย์ของภาคตะวันออก แต่ก็เพิ่งเคยได้พบหน้า รูปอื่น ๆ นี่ไม่เคยได้ยินชื่อเลย"

เถรี
07-01-2012, 12:38
"อาตมาสงสัยว่าทำไมถึงต้องมางานนี้ ตอนแรกอาตมาปฏิเสธไม่มางานนี้เพราะติดงานอื่นอยู่แล้ว เพราะมีการประชุมพระสังฆาธิการของอำเภอทองผาภูมิทุกวันที่ ๕ ของเดือน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดไร่ขิงก็ติดต่อไป บอกว่าให้มาทำเอกสารเพื่อมาเตรียมสอบจบด้วย จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญกว่า

คราวนี้ทางวัดไร่ขิงเขานัด ๑๐ โมงเช้า ส่วนงานพุทธาภิเษกบอกว่าบ่าย ๔ โมง ก็เลยว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว..ไปก็ไป... พอมาถึงเจอแต่ท่านที่ไม่รู้จักสมเด็จองค์ปฐมเลย ถึงได้ทราบว่าทำไมต้องมา เพราะถ้าไม่มาแล้วจะให้ใครไปกราบอาราธนาพระองค์ท่าน ?

เป็นที่น่าเสียดายก็คือว่า พระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาเอาไว้บนเวทีสูงลิบเลย แล้วไม่ให้คนขึ้นไป อาตมายังปรารภกับหลวงพ่อเจ้าคุณพระพรหมสิทธิ วัดสระเกศ ประธานในพิธีว่า “ชาวบ้านเขาอยากจะขึ้นไปกราบกันข้างบนนะครับ” ท่านบอกว่า “ถ้าให้ขึ้นมาก ๆ เวทีอาจจะพังได้..!”

งานนี้ถ้าใครไม่ได้ไปสักการบูชาให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวก็ต้องรีบไป เพราะว่าพระทันตธาตุจะอยู่อีกไม่กี่วัน แล้วจะอัญเชิญขึ้นไปวัดพระสิงห์ที่เชียงใหม่ คงจะไปจนครบทุกภาค แล้วถึงอัญเชิญไปถวายคืนแก่ประเทศภูฏาน

มีหลายคนถามว่าพระทันตธาตุของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีมาอยู่ถึงปัจจุบันนี้หรือ ? ต้องเรียกพวกสงสัยไม่เข้าเรื่อง มีข้าวให้กินอยู่ตรงหน้า ยังสงสัยว่าข้าวมีมาจนถึงปัจจุบันนี้หรือ ? เพราะข้าวมีมาแต่โบราณสมัยพระเจ้าสร้างโลกแล้ว ก็อยากจะตอบสั้น ๆ ว่า พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมเนิ่นนานกว่านั้นอีกยังมีเลย เป็นเรื่องของพุทธานุภาพ ถ้าหากว่าพระองค์ท่านต้องการจะให้มีเมื่อไรก็มีได้"

เถรี
09-01-2012, 08:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาพระท่านถามข่าวคราวกัน เป็นอย่างไรขอรับหลวงปู่ ? เป็นอย่างไรขอรับหลวงพ่อ ? สังขารยังพอเป็นไปหรือ ?

ท่านตอบมาจนเราหงายท้องตึง “ยังพอทนได้อยู่” แสดงว่าทุกข์แค่ไหนท่านก็ทนได้..!"

เถรี
09-01-2012, 08:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมายังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรถวายกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ดี ปีนี้พระองค์ท่านพระชนมายุ ๖๐ พรรษาแล้ว ประสูติปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๙๕

สมัยก่อนเห็นท่านเป็นพระราชโอรสหนุ่มน้อย แล้วไปเรียนที่ออสเตรเลีย กลับมาอีกทีสูงใหญ่เป็นฝรั่งไปเลย แต่พระองค์ท่านสง่างามมาก ๆ จนมาตอนหลังที่พระสุขภาพไม่ค่อยดี ดูพระองค์ท่านผอมไปหน่อยหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทั้งสูงใหญ่ล่ำสัน จนยืนประกบกับทหารฝรั่งได้สบายมาก

แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราก็สูงกว่าฝรั่งอีกนะ พวกเราจะสังเกตหรือเปล่าเท่านั้นเอง เวลาพระองค์ท่านประทับยืนสนทนากับพวกบรรดาผู้นำ หรือพระราชวงศ์ต่าง ๆ ของต่างประเทศ พวกฝรั่งสูงก็ไม่ใช่ว่าพระองค์ท่านจะต้องเงยพระพักตร์ตรัสด้วย เพราะว่าสูงพอกัน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระพลานามัยไม่แข็งแรง แต่ปีใหม่ทรงอำนวยพรยาวยืดเลย ระยะหลังเมื่อ ๒-๓ ปีมานี่ พระองค์ท่านตรัสได้หน่อยเดียว พอมาปีนี้ตรัสได้เยอะแสดงว่าแข็งแรงขึ้นมาก ทรงอำนวยพรเสียยาวเหยียด นานตั้ง ๘ นาที"

เถรี
09-01-2012, 10:05
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเป็นทหารมีการฝึกร่วมระหว่างออสเตรเลียกับไทย มีการนำทหารไทยไปฝึกที่ออสเตรเลีย รุ่นที่ไปมี ๗๐ คน เชื่อไหมว่า ถ้าเขาจับปิดตาแล้วไปปล่อยไว้ตรงนั้น เปิดตาขึ้นมาไม่รู้หรอกว่าอยู่ออสเตรเลีย เพราะภูมิประเทศตรงนั้นเหมือนของเราเลย

เขาพยายามหาพื้นที่เหมือนกับของเรามาให้ฝึก พอถึงเวลาจะได้คุ้นเคยกับภูมิประเทศ มีดงหญ้าคา มีหินลูกรังเหมือนบ้านเราเลย อากาศก็ร้อนตับแตกเหมือนกัน มารู้ทีหลังว่าออสเตรเลียมีทั้งเขตที่เป็นทะเลทราย เป็นป่ากึ่งร้อนอย่างของเรา มีทั้งพวกดงดิบ มีเขตที่เป็นหิมะตก

การฝึกของทหารหรือว่าการไปอยู่รับหน้าที่ในเขตที่ประกาศกฎอัยการศึก มีบางท่านพยายามหนีสุดชีวิต ถึงขนาดอาสาอยู่ส่วนหลัง ก็คือส่วนที่ไม่ต้องออกไปแนวหน้า หรือไม่ก็พยายามให้หมอบอกว่าป่วยบ้าง ตรงนี้ภาษาทหารเรียกว่า กำลังใจในการรุกรบไม่มี ในเมื่อไม่มีกำลังใจในการรุกรบ โอกาสที่จะต่อสู้กับข้าศึกก็ไม่ต้องพูดถึง

เหมือนกับพวกเราที่เป็นนักปฏิบัติ ถ้ากำลังใจในการที่จะสู้กับกิเลสไม่มี ก็แปลว่า ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ อนาคตยังไม่เห็นเลย อีกกี่กัปก็ไม่รู้..!?"

เถรี
09-01-2012, 10:11
"คนที่กลัวตายเขาก็กลัวเสียจริง ๆ อาตมาถึงได้เคยบอกว่า ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียวก็ไม่กลัวไปทุกอย่าง กลัวความสูง ตกลงไปแล้วเป็นอย่างไร..ตาย มาสรุปลงตรงตายหมด กลัวที่แคบ ติดอยู่นาน ๆ เป็นอย่างไร...ตาย กลัวผี เดี๋ยวผีมาหักคอ หักคอแล้วเป็นอย่างไร..ตาย

อาตมาตามดูคำว่ากลัวอยู่เป็นปี ๆ กลัวอะไร ท้ายสุดก็เจอ อ๋อ..กลัวตาย กลัวงู งูกัดแล้วเป็นอย่างไร..ตาย กลัวเสือ เสือกัดเป็นอย่างไร...ตาย ไม่เหลือจริง ๆ มาสรุปลงตรงตายหมดเลย

บางอย่างที่เหมือนกับไม่มีเหตุไม่มีผล อย่างกลัวจิ้งจก จิ้งจกกระโดดเกาะ ขยะแขยงสุด ๆ อาจถึงกับช็อกตาย สรุปแล้วลงตรงตายอยู่ดี ดูแล้วไม่มีอะไรหนีคำว่าตายพ้นเลย

ไปนั่งในป่าช้า รอผีมาหักคอ ดูซิว่าจะตายจริงไหม ? ผีก็ขี้เล่นเหลือเกิน ประเภทเอามือเย็นเจี๊ยบมาบีบคอ พอเราว่าพุทโธผีก็คลายมือแต่จับคาเอาไว้ พอเราเลิกพุทโธผีก็บีบต่อ พอเราพุทโธผีก็ปล่อยมือ ไม่ยอมไปไหนนะ เอามือคาไว้อย่างนั้น มือก็เย็นเจี๊ยบเลย ฟัดกันทั้งคืนจนกระทั่งเช้าบอกว่า "เฮ้ย..พอก่อน..จะไปบิณฑบาต" ผีก็ไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่ เป็นผีที่ว่าง่ายมาก"

เถรี
09-01-2012, 12:44
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้ออกพุทธาภิเษกหลายงานติด ๆ กัน ตั้งแต่พุทธาภิเษกวัตถุมงคลสำหรับแจกในงานปิดทองฝังลูกนิมิต ของวัดหนองม่วง แล้วมานั่งปรกอธิษฐานจิตเพื่อหล่อพระประธาน วัดดอนชะเอม และงานเมื่อวานพุทธาภิเษกที่สนามหลวง

ส่วนเดือนนี้ต้องทิ้งงานเพื่อนฝูงหลายงาน งานครูบาอริยชาติวันที่ ๙ ไปไม่ได้ งานพระราชทานเพลิงหลวงปู่ครูบาผัด ก็ไปไม่ได้ เพราะนั่งรับสังฆทานอยู่ตรงนี้ ส่วนงานสืบชะตาของหลวงพี่เอกก็ไปไม่ได้ เพราะอาตมาต้องรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศ ขืนไปก็ซวย ไม่เอาพัดยศเขาไม่ว่าหรอก แต่เขาจะฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ..!

เรื่องของยศตำแหน่งเราจะไม่ใส่ใจอย่างไรก็ได้ แต่พระราชทานมาแล้วต้องรับ รับแล้วคุณจะไปหมกไว้ก้นตู้ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าไม่รับเขาถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซวยไม่รู้จบจริง ๆ

ไม่ใช่เราสันโดษแล้วไม่รับ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชานํ อนุวตฺติตุง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพึงคล้อยตามพระราชา คำว่าพระราชา รวมความว่ากฎหมายด้วย เพราะสมัยก่อนพระบรมราชโองการก็คือกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเราเป็นพระแล้วก็จะทำอะไรตามใจได้"

เถรี
09-01-2012, 14:09
http://multiply.com/mu/teemisa/image/22/photos/16/1200x1200/1/img128.jpg?et=5UbWjO3VXa8nZxcLbUT66A&nmid=69980941
ภาพวาดผลงานของ อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดูรูปของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤตแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่า เวลาของอาจารย์เดินช้ากว่าคนอื่น อาจารย์จะทำอะไรในลักษณะใจเย็นสุด ๆ จนกระทั่งอาตมาสงสัยว่า เวลาของท่านเดินช้ากว่าเราหรืออย่างไร

รูปหลวงปู่ปานวัดบางนมโคกับรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงตอนสมัยอายุยังไม่มาก อาจารย์จักรพันธุ์เป็นคนวาดทั้งคู่ ที่เราเห็นว่าทำไมดูมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างกับภาพถ่าย นั่นฝีมืออาจารย์จักรพันธุ์วาด

แต่ที่ตลกกว่านั้นก็คือ แม่ของอาจารย์จักรพันธุ์ในตอนนั้น พอเห็นรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ว่า “อ้าว..พระองค์นี้ยังอยู่อีกหรือ ?” อาจารย์จักรพันธุ์ถาม “ทำไมหรือครับแม่ ?” แม่ตอบว่า “ส่วนใหญ่พระที่พูดเพราะ ๆ แบบนี้สาวเอาไปกินหมด..!” สมัยหนุ่ม ๆ หลวงพ่อเป็นพระนักเทศน์มีชื่อเสียง พูดจาไพเราะกับญาติโยม แสดงว่าโยมแม่เขาเคยเจอหลวงพ่อตอนที่อยู่วัดช่างเหล็กหรือไม่ก็ตอนที่อยู่วัดประยูรฯ"

เถรี
09-01-2012, 16:26
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=16043&stc=1&d=1326101853


พระอาจารย์พูดถึงหนังสือปกิณกธรรมเล่ม ๒ ว่า "มีคนให้ความเห็นมาว่า ทำไมเอาแต่ดอกบัวบาน ๆ มาเป็นปก แสดงว่าอาตมาชอบคนแก่ใช่ไหม ? เขาว่าซะเสียหายหลายแสน แต่ความจริงคนแก่คุยกันรู้เรื่องมากกว่านะ

สมัยก่อนเวลาอาตมาไปบ้านสาว ก็จะไปคุยกับพ่อกับแม่เขา คุยไปคุยมาจนพ่อแม่เขาทนไม่ได้ “ถามจริง ๆ เถอะ นี่มาหาใครกันแน่ ?” อาตมาก็บอกว่า ตั้งใจจะมาคุยกับคนแก่ เพราะว่าคนแก่ประสบการณ์เยอะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นคว้าเอง เขาก็แปลกใจ..เป็นเพื่อนกับลูกสาว แต่มาตั้งหน้าตั้งตาคุยกับพ่อกับแม่ ไม่ไปหาลูกสาวเลย"

เถรี
10-01-2012, 10:12
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ได้..แต่เบื่อไม่จริง เอาแค่พระที่วัดท่าขนุนก็แล้วกัน "อาจารย์ครับ..ผมขอลาไปอยู่ที่โน่น" "อาจารย์ครับ..ผมขอลาไปอยู่ที่นี่" "ผมชอบอยู่เงียบ ๆ" ไปอยู่ได้ ๓ วันเผ่นออกมาเลย เพราะว่าเงียบเกินไป แสดงว่าชอบไม่จริง

พออยู่ในที่ที่ไม่ได้พูด ไม่ได้คุยกับชาวบ้านชาวเมืองก็อยู่ไม่ได้ แสดงว่าโดนกิเลสหลอก เพราะว่านักปฏิบัติถ้าทำถึงจริง ๆ ที่ไหนก็อยู่ได้ ลองดูหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาสสิ ใคร ๆ ก็เรียกท่านว่าพระป่ากลางกรุง ที่เรียกท่านว่าพระป่ากลางกรุง เพราะว่าท่านทำวัดเหมือนกับป่า ไม่ค่อยปฏิสันถารกับใครหรอก

ถึงเวลาออกมาสวดมนต์ทำวัตร หมดธุระก็กลับกุฏิ ญาติโยมถ้าเอาอาหารมาส่งก็วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวศิษย์วัดเอามาประเคนเอง ถ้าญาติอยากรู้ข่าวคราวก็โผล่หน้ามาทางหน้าต่าง โบกมือให้เห็นว่ายังไม่ตาย กลับไปได้แล้ว

นึกถึงท่านแล้ว สุดยอดมนุษย์จริง ๆ อยู่ท่ามกลางเมืองหลวง แต่ปฏิบัติตนจนเป็นพระสุปฏิปันโนที่คนเขาเคารพนับถือทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะฉะนั้นจริง ๆ ก็คือว่าที่ไหนก็ได้ ขอให้ทำจริงเท่านั้น

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาอย่างนั้นเลยหรือ ? อึดอัดใจเมื่อไรก็แปลว่าเกิดปฏิฆะหรือแรงกระทบอยู่แล้ว ในเมื่อมีแรงกระทบขึ้นมาก็แปลว่า การปฏิบัติของเรายังไม่ได้ผลจริง

เถรี
10-01-2012, 13:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปลายเดือนนี้มีงานเป่ายันต์เกราะเพชร ปีนี้มีเสาร์ห้า ๓ ครั้ง อาตมาโดนสั่งให้เป่ายันต์ทั้ง ๓ ครั้ง รู้สึกปลื้มปีติกับสถานการณ์ประเทศชาติมาก โดยเฉพาะช่วงเดือน ๕ เดือน ๖ ของไทย ไม่ใช่เดือน ๕ เดือน ๖ ฝรั่งนะ บ้านเมืองเรายุ่งเป็นยุงตีกันเลย

คำว่า "ยุ่งเป็นยุงตีกัน" บางคนอาจจะไม่เคยเห็นยุงตีกันเป็นอย่างไร แต่อาตมาเคยเห็นมาแล้ว ไม่รู้อันไหนปีกอันไหนขา มั่วไปหมด กลิ้งเป็นก้อนอยู่กับพื้น ทะเลาะกันได้ขนาดนั้นนะ ทั้ง ๆ ที่ยุงตัวนิดเดียว รัก โลภ โกรธ หลง ยังเต็มหัวพอ ๆ กับคนเราเลย

ส่วนนกเอี้ยงตีกันชอบลุยกันเป็นฝูง ลงไปกลิ้งขนกระจายอยู่บนพื้น ตีกัน ๓-๔ คู่ ฟัดกันกลม ดู ๆ แล้วไม่ว่าจะคนหรือสัตว์พวกไหนก็ตาม ถ้าหากว่ายังไม่สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เรื่องจะไประงับ รัก โลภ โกรธ หลง นี่ไม่ต้องไปหวังเลย อย่างนกเอี้ยงตีกันเสียงเอะอะเอ็ดตะโร แล้ววันร้ายคืนร้าย ถ้าเสียงดังเรียกความสนใจ ก็อาจจะมีแมวมาเป็นกรรมการ แล้วความซวยก็จะเกิดขึ้น บางทีนกก็เสร็จแมวทั้งคู่ เพราะมัวแต่ตีกันเพลินจนลืมสังเกต"

เถรี
11-01-2012, 11:07
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ท่านทำปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทอง ปลุกด้วยคาถา จะภะกะสะ เอาใส่กาละมัง พายเรือไปเทไว้กลางแม่น้ำ แล้วก็มานั่งเรียกบนฝั่ง ปลาตะเพียนทำด้วยโลหะแท้ ๆ ถึงเวลาว่ายน้ำมาเข้ากาละมังได้"

เถรี
11-01-2012, 12:20
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีฝรั่ง ๒ คน เขามาถามหาสังขารหลวงปู่สายว่าอยู่ที่ไหน ดันมาเจอเจ้าอาวาสเข้าพอดี ก็เลยพาไปที่กุฏิหลวงปู่สาย ตรงนี้ทำให้เห็นจุดอ่อนว่าพระของเราแม้จะเก่งภาษาอังกฤษหลายรูป แต่ไม่ถนัดในการปฏิสันถารกับญาติโยม จะเป็นเพราะท่านรักสงบสันโดษหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ?

ถ้าสมมติว่าคนเข้ามาในบ้านเราก็ควรถามเขาว่ามาธุระอะไร ? ใช่ไหม ? การปฏิสันถารต้อนรับสมควรต้องมี แต่นี่เปล่าเลย..ปล่อยให้เขาเดินหาเอาเอง

ถ้าอาตมาได้ยินเสียงหมาเห่าผิดปกติ ก็จะโผล่ออกไปดู ถ้าเห็นฝรั่งมา จะถามก่อนว่า..จะไปไหน ? มีธุระอะไร ? บางคนก็บอกว่าจะไป View Point อาตมาก็บอกให้ขึ้นเขาไปโน่นเลย บันได ๒๕๘ ขั้นเอง แต่ฝรั่งเขาไม่ท้อนะ บางคนดูว่าอายุประมาณ ๖๐-๗๐ ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรงเหมือนคนอายุไม่เกิน ๔๐ ปี คนไทยเราถ้า ๖๐-๗๐ ปีก็ตะบันน้ำกินกันหมดแล้ว

อาตมาค่อนข้างจะหน้าด้านกับฝรั่ง เพราะว่าพูดภาษาเขาเราไม่กลัวผิด ก็ไม่ใช่ภาษาเรานี่ ในเมื่อไม่ใช่ภาษาเรา อุตส่าห์ใช้ภาษาของคุณแล้ว คุณฟังให้เข้าใจก็แล้วกัน อีกประการหนึ่งอาตมาเป็นคนไม่กลัวใคร ก็เลยไม่รู้ว่าพวกพระท่านกลัวหรือเปล่าเวลาต้องพูดกับฝรั่ง ? ทั้ง ๆ ที่หลายท่านนี่จบปริญญาโทจากอังกฤษมาเลย

อาตมาถือว่าถ้าฟังไม่รู้เรื่องก็เป็นปัญหาของคุณไม่ใช่ปัญหาของผม ผมพูดภาษาคุณได้ก็ดีตายชักแล้ว จะเอาอะไรมากนัก ทีเขามาบ้านเราเขายังพูดภาษาที่เราฟังไม่รู้เรื่องได้เลยนี่นา

ตอนนี้ต้องให้ท่านยี้ (พระธีราวุธ นิสโภ) ช่วยดูแลให้ บอกกับท่านยี้ว่า คุณคอยดูด้วย..ถ้าฝรั่งเข้ามาให้ดูแลเขาหน่อย ถ้าชีตุ๊ (อุบาสิกากุลภรณ์ แก้ววิลัย)อยู่ ก็ให้ชีตุ๊ช่วย เพราะว่าฝรั่งผู้หญิงไม่ค่อยจะฟังเสียงหรอก เจอพระเขาชอบใจก็คว้าแขนยืนคู่ถ่ายรูปเลย เขาไม่รู้ธรรมเนียมของเรา พอบอกว่าแตะต้องไม่ได้ เขาก็สงสัยว่าทำไมถึงแตะไม่ได้..?!"

เถรี
11-01-2012, 13:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดูชุดของพระภูฏานแล้วทะมัดทะแมงดี พวกวัชรยานสายทิเบตเขามีเสื้อกั๊กด้วย เมื่อไรเมืองไทยจะอนุญาตให้พระนุ่งกางเกงใส่เสื้อกั๊กกับเขาบ้างหนอ ?

วัชรยานสายทิเบตเข้าไปตอนที่พุทธศาสนาสายตันตระกำลังรุ่งเรือง เพราะฉะนั้น..ความเชื่อของเขาบางอย่างก็เลยค่อนข้างจะค้านกับของเรา อย่างเรื่องศักติของพระพุทธเจ้า ศักติก็คือคู่ตรงข้าม อย่างเช่นผู้ชายตรงข้ามกับผู้หญิง พระพุทธรูปของสายวัชรยานจะมีปางที่มีผู้หญิงกอดเอวอยู่ เราไม่รู้ก็ไปหาว่าเขาสร้างปางอุบาทว์ ความจริงเป็นความเชื่อของเขาอย่างนั้น

เขาว่าผู้หญิงผู้ชายต้องประสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวถึงจะประสบความสำเร็จ สามารถบรรลุธรรมได้ เขาใช้คำว่าความเข้มแข็งอย่างเดียวโดยไม่มีความอ่อนโยนมีแต่เกิน ไม่พอดี แล้วแนวความคิดอีกอย่างคือ การฆ่าเพื่อระงับฆ่า ถ้าสมมติว่าต้องฆ่าโจรสักคนหนึ่ง เพื่อไม่ให้โจรไปฆ่าคนอีกหลายคนนี่เขาก็จะทำ ก็เลยกลายเป็นความเชื่อในลีลาของพระโพธิสัตว์ ตัวเองยอมลงนรกเพื่อให้ผู้อื่นรอดไปได้"

เถรี
12-01-2012, 10:29
"อย่างหลวงจีนคงซิ่งแห่งวัดเส้าหลิน ท่านเป็นว่าที่เจ้าอาวาส แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดวิปลาสขึ้นมา ดื่มสุรากินเนื้อ ซึ่งเป็นความผิดมหันต์ของสายมหายาน เพราะมหายานกินเจ ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ท่านคงซิ่งก็เลยโดนขับไล่ออกจากวัด

ก่อนที่ท่านคงซิ่งจะโดนขับไล่ออกจากวัดนั้น ไม้เท้าพระธรรมหายสาบสูญไป ไม้เท้าพระธรรมนี้เป็นของท่านตั๊กม้อหรือท่านโพธิธรรมเถระ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดเส้าหลิน ตอนหลังสืบหาเจอปรากฏว่าเขาขายให้กับขุนนางผู้ใหญ่ประเภทเจ้าพ่อ ทำให้ไม่มีใครกล้าทวง ทางวัดขอซื้อในราคาเท่ากับที่เขาซื้อมา เขาก็ไม่ขายให้

หลวงจีนคงซิ่งที่อยู่ ๆ วิปลาสขึ้นมา ถูกขับไล่ออกจากวัด ออกไปอาละวาดอยู่ในยุทธจักร แล้วครอบครัวที่ซื้อไม้เท้าพระธรรมนั้นมาก็โดนหลวงจีนคงซิ่งบุกเข้าไปฆ่าล้างโคตร เอาไม้เท้าพระธรรมคืนมาได้ สรุปว่าตั้งแต่นั้นมาหลวงจีนคงซิ่งก็เป็นคนบาปของแผ่นดิน แต่ไม้เท้าพระธรรมกลับคืนไปสู่วัดเส้าหลิน

เขาเพิ่งจะรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ ท่านจึงวิปลาสขึ้นมา เพราะต้องแกล้งบ้า ไม่อย่างนั้นเรื่องจะเดือดร้อนถึงวัด จึงต้องให้ตัวเองโดนไล่ออกจากวัดก่อน พอโดนไล่ออกจากวัดก็แกล้งเป็นบ้า ๆ บอ ๆ ในยุทธจักร ได้โอกาสก็บุกไปฆ่าล้างทิ้งเสียเลยทั้งตระกูล เอาไม้เท้าพระธรรมคืนวัดเส้าหลินไป

คราวนี้ทางการจะไปเล่นงานอะไรวัดเส้าหลินก็ไม่ได้เพราะว่าท่านโดนไล่ออกแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับวัด นี่แหละคือลักษณะของพระโพธิสัตว์ ถ้าเพื่อประโยชน์ส่วนรวมตัวเองลำบากแค่ไหนก็ยอม"

เถรี
12-01-2012, 10:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ไม่รู้ว่าเขาฮิตอะไร จัดงานสวดมนต์ข้ามปีกันทั้งประเทศเลย เสียงตอบรับปีนี้ดีมาก เพราะชาวบ้านมาร่วมสวดมนต์ด้วยเยอะ ส่วนท่านที่ไม่ได้มาสวดมนต์ เพราะว่าต้องเตรียมการเกี่ยวกับงานของทางเทศบาล เขาบอกว่าฟังอยู่ที่บ้าน เพราะเวลาทางวัดท่าขนุนสวดมนต์เสียงจะได้ยินไปไกลเกือบทั่วอำเภอ

ช่วงใหม่ ๆ ที่วัดสวดมนต์ จะโดนคนโทรศัพท์มาด่า แต่เขาด่าผิดคน เพราะเขาไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนด่าเก่งขนาดไหน..!"

เถรี
12-01-2012, 11:07
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนโยมแม่ของอาตมาขายล็อตเตอรี่ ขายไปจนเหลือใบท้าย ๆ ขนาดลดราคาแล้วก็ไม่มีใครซื้อ ปรากฏว่าใบท้าย ๆ นั่นแหละถูก ที่ขายก็ขายไป ที่เหลือแม่ก็ถูกเองด้วย กำไร ๒ ต่อ ลดราคาแล้วเขายังไม่ซื้อเพราะว่าเลขไม่สวย เลขไม่สวยนั่นแหละออกดีนักแล

มีเจ้าหน้าที่เขื่อนวชิราลงกรณรายหนึ่งรับล็อตเตอรี่ไปส่งต่อ มีคนหนึ่งแทงหวยเลข ๐๐๐ (ตองศูนย์) แทงมา ๕,๐๐๐ บาท เจ้าหน้าที่คนนี้ก็รับกินเอง แล้วดันออกตองศูนย์ คิดดูว่าบาทละ ๕๐๐ เขาแทงมา ๕,๐๐๐ บาท ได้ไป ๒ ล้านกว่าบาท หมดตัวเลย เห็นว่าเลขนี้ไม่มีทางออก แต่ดันออกมาจริง ๆ

เรื่องของการพนัน ไม่ว่าจะเป็นหวยหรืออะไรก็ตาม เป็นลาภที่เกิดจากการทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน อย่างเช่น ออกไปเห็นเขามีกองบุญการกุศลก็ทำเลย ถ้าอย่างนั้นจะมาลักษณะลาภลอย

มีใครรู้จัก ดร.เอ (อัจฉรา เสาว์เฉลิม) บ้างไหม ? รายนั้นถ้าเล่นเป็นถูกทุกงวด แต่พอไปดูเขาเล่น เห็นบัญชีหางว่าวยาวเป็นกระดาษชำระเลย หักกลบลบล้างแล้วเหลือไม่กี่ร้อยบาท แต่เขาถูกทุกงวด ขอให้คิดจะเล่นเถอะต้องถูก หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าเป็นพวกกองลาดตระเวน เก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย เจอบุญที่ไหนเขาทำหมด ทำไปทำมาก็กลายเป็นลาภลอย

บุญก็คือ ความดีในอดีตส่งผลถึงปัจจุบัน เขาเรียก ปุพเพกตปุญฺญตา ผลบุญที่ทำมาแต่ปางก่อน ดังนั้น..เราจะหวังว่ามาทำตอนนี้แล้วก็จะได้ชาตินี้ ก็คงต้องทำต่อเนื่องกันหลาย ๆ ปีหน่อย เราทำตอนนี้ขยับไปหน่อยก็เป็นอดีตแล้ว ถึงเวลาพออดีตต่อเนื่องกันได้นาน ๆ ความดีเริ่มส่งผล ปัจจุบันก็จะดี

แต่ว่าความจริงควรจะมาเน้นในเรื่องของสมาธิภาวนา เพราะถ้าเราทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ผลการปฏิบัติก็จะดีขึ้น"

เถรี
12-01-2012, 11:18
ถาม : ผมรู้สึกว่าเบื่อการเกิดแล้วครับ แต่บางทีก็ไม่เบื่อเลย อยากจะให้เบื่อแบบจริง ๆ ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เบื่อ ๆ อยาก ๆ ใช่ไหม ? ถ้าอยากจะกลัวการเกิดแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่าทุกวินาทีในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา เรากำลังลุยอยู่บนกองทุกข์ ในเมื่อเราอยู่บนกองทุกข์ แค่ที่เห็นนี่ยังนับว่าดี แต่ถ้าหากว่าต้องพลาดลงอบายภูมิไป กองทุกข์นี้จะมหึมาขึ้นอีกหลายเท่า ถ้าหากว่าสามารถเห็นได้ว่าทุกวินาทีเราอยู่บนความทุกข์ เราไม่ปรารถนาเช่นนี้อีก เราก็จะกลัวการเกิดจริง ๆ

ถาม : กลัวอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : กลัวอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้ถึงด้วย กลัวอย่างเดียวเป็นแค่ภยตูปัฏฐานญาณ

เถรี
12-01-2012, 11:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีฝรั่งจะมาขอบวช พูดไทยได้แค่ "สวัสดีครับ" ถ้ามาเจอคำขอบวช ๕ หน้ากระดาษ คงปางตายเลย..!

วันก่อนมาย่ายังสวดมนต์ได้เลย แต่มาย่าเขาอ่านตามแบบของเขา เขาอ่านเป็น อา-เร-หะ-โต แสดงว่าเขาท่องอะระหะโตแบบภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังอุตส่าห์สวดอิติปิโสได้ ใช้ได้เหมือนกันนะ อย่างน้อย ๆ ไปปรับเอาทีหลังได้

อาตมาฟังแล้วก็ขำ จะไปว่าเด็กก็ไม่ได้ เพราะเขาท่องได้ เพียงแต่ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่านั้น อย่าไปว่าอะไรฝรั่งเลย ขนาดคนไทยแท้ ๆ ยังออกเสียงเป็น อา-รา-หัง กันแทบทั้งนั้น ทั้งที่มีแต่อะระหัง

คราวที่แล้วหยงหยงเป็นขวัญใจเพื่อนร่วมรุ่น ครั้งนี้เป็นมาย่าเพราะเป็นเด็กฝรั่ง ตอนยกย่างเหยียบ เขาเองไม่เคยชินกับการที่โดนตีกรอบ เขาก็ดึงแม่ "ไม่เอาแล้ว" พอแม่เขาไม่สนใจ มาย่าก็งอนสะบัดก้นออกจากวง ตอนที่อยู่นั้นมีเด็ก ๆ หลายคน น้องภูก็วิ่งตามมาย่าไป พักเดียวก็พากลับมา...เก่ง เด็กเขารู้ภาษาเด็กด้วยกัน เขาก็พากลับมาเล่นของเขาต่อ เล่นก็คือเดินกันต่อไป"


https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/webadmin/f68cd1325550280.jpg
น้องภู น้องมาย่า น้องบัว น้องโมจิ น้องไอวี่

เถรี
12-01-2012, 12:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปาจารี แปลว่า ผู้เป็นแบบอย่าง ปาจารีเป็นบาลี ถ้าไทยเขาอ่านเป็นบาจารี

เราเรียกว่าครูบา ครูก็คือครุ บาคือบาจารี ครุคือผู้รับภาระอันหนัก บาจารีคือผู้เป็นแบบอย่าง ก็คือแม่พิมพ์นั่นแหละ จำไว้แม่น ๆ ว่าพ่อพิมพ์ไม่มีนะ แม่พิมพ์ก็คือต้นแบบที่จะหล่อหลอมสิ่งอื่นออกมาให้เหมือนต้นแบบ คราวนี้เขาดันไปคิดว่าถ้าหากผู้หญิงเป็นแม่พิมพ์ ผู้ชายต้องเป็นพ่อพิมพ์ เข้าไม่ถึงรากศัพท์เลยไปทำเขาเพี้ยนหมด ยังดีไม่บ้าจี้เปลี่ยนแม่ทัพเป็นพ่อทัพไปด้วย..!"

เถรี
12-01-2012, 12:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเดินทางไกลครั้งนี้ เขาใช้คำว่าพลิกฟื้นพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย อันนี้เป็นคำอาราธนาของบุคคลในอดีตที่มองไม่เห็นตัว อาตมาก็เลยต้องไป บุคคลคนนี้มีนามว่าขุนอินทร์ เขาอาราธนาให้ไป

ความจริงแล้วอินโดนีเซียเป็นอาณาจักรพระพุทธศาสนาที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ก็คืออาณาจักรศรีวิชัย สมัยพระโสณเถระมาสุวรรณภูมิ ก็ไปโปรดที่นั่นจนกระทั่งสามารถที่จะตั้งพระพุทธศาสนามั่นลงได้ จนกระทั่งเกือบ ๑,๔๐๐-๑,๕๐๐ ปี กษัตริย์รุ่นต่อมาท่านหันไปนับถืออิสลาม ศาสนาพุทธก็เลยโดนเบียดเบียนเสียจนกระทั่งอยู่ไม่ได้ จึงต้องกลับไปฟื้นคืนมา"

ถาม : ขุนอินทร์นี่มาจากขุนอินโดนีเซียหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ท่านชื่ออินทร์จริง ๆ แต่ไม่รู้จะเป็นชื่อของอินโดนีเซียหรือเปล่า อาตมามีหน้าที่พกบุญไปเยอะ ๆ ไปแบ่งให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น แล้วก็เป็นภาระของท่านจัดการเองไม่เกี่ยวกับอาตมา เพียงแค่ไปให้ถึงเท่านั้น อย่างที่บางคนเขาบอกว่าไปเหยียบเสียหน่อย

คุณเกรซ(เกสรมณีช์ จารย์ไธสง)บอกว่ายังมีผู้ร่วมคณะเพิ่มไปได้นะ ลองถามเขาดูว่าเพิ่มได้สักกี่คน

เถรี
12-01-2012, 16:05
ถาม : ปีนี้ต้องระวังอะไรบ้างคะ?
ตอบ : ระวังลมหายใจเข้าออกไว้ ลืมเมื่อไรตายแน่..!

ถาม : ที่สำคัญเป็นพิเศษค่ะ
ตอบ : สำคัญที่สุดเลย หายใจเอาไว้แล้วจะปลอดภัย

ถาม : แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างคะ ?
ตอบ : โอ๊ย...เยอะแยะ ตั้งแต่หลับยันตื่น สารพัดจะเกิด มีทั้งวันแหละ

อะไรจะเกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง สำคัญที่สุดคือมีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน หยุดรัก โลภ โกรธ หลงที่จะเข้ามาทำอันตรายใจของเราให้ได้ เมื่อหยุดลงได้แล้ว พิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษ แล้วกำจัดสิ่งไม่ดีนั้นออกไปจากใจ นี่ถึงจะเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องและเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง อย่างอื่นเป็นเรื่องที่หาทุกข์ให้เราทั้งนั้น

เถรี
12-01-2012, 16:08
สมมติเด็กชายปลาบู่บอกว่าเขื่อนจะแตก ถ้าอย่างนั้นวัดท่าขนุนตายแน่เพราะอยู่ปากเขื่อน ผวาจนไม่ต้องหลับกันทั้งคืน ถ้าเด็กชายปลาบู่เก่งจริงก็คงไม่ตายตั้งแต่เด็ก

อาตมาเคยใช้คำพูดเวลามีคนเขามาถามว่า โยมท่านนั้น อาจารย์ท่านนี้ ว่าไว้อย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ค่อนข้างจะขวางโลก บอกกับเขาไปว่า “จำไว้ว่าฆราวาสที่เก่งจริงตายหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ได้เกิน ๗ วัน ที่ยังอยู่ไม่เก่งจริงหรอก ถ้าเก่งจริงถึงที่สุดก็อยู่ไม่ได้ ไปหมดแล้ว"

เพราะฉะนั้น..ที่ยังอยู่พยากรณ์อยู่ปาว ๆ นี่ ยังไม่เก่งจริงหรอก เพราะว่าทุกอย่างมีตัวแปรอยู่เสมอ ตัวแปรพวกนี้อาจจะมาในลักษณะที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ ถึงเวลาสิ่งที่พยากรณ์ไว้ก็มีการเคลื่อนมีการผิดพลาดไป อย่างเช่นบอกว่าปีนี้เขื่อนจะแตก เราก็รอดูปรากฏเขื่อนไม่แตก เราก็สบายใจ ที่ไหนได้ปีหน้าโดนไปตูมเบ้อเร่อเลย เพราะฉะนั้น..เราจะประมาทไม่ได้

สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าหยุดจิตเราอยู่กับปัจจุบันได้ความทุกข์จะน้อย นอกจากความทุกข์ตามสภาวะของร่างกายแล้ว เราไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยู่กับตอนนี้เดี๋ยวนี้มีความสุขจะตายไป ไม่เห็นต้องไปฟุ้งซ่านเรื่องอะไรเลย

เถรี
12-01-2012, 16:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสถึงม้าอาชาไนยว่าเป็นสิ่งที่ฝึกมาดีแล้ว ช้างศึกและม้าอาชาไนยถึงต้องอาวุธก็ไม่ร้อง เพราะมีความอดทนมาก

พระพุทธเจ้าต้องการให้พระภิกษุสงฆ์ของท่านได้รับการฝึกดีแล้วแบบเดียวกับม้าอาชาไนย อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง โดยมีสติรับรู้ รู้เห็นว่าความทุกข์นั้นเป็นธรรมดาของร่างกายนี้ เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวาง ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้จะไม่มีอีก

ตรงนี้เราดีกว่าม้าหน่อยหนึ่ง ดีกว่าตรงที่เราสามารถคิดต่อได้ ส่วนม้าได้แต่ทนอย่างเดียว..!"

เถรี
13-01-2012, 10:15
พระอาจารย์กล่าวถึงการรับพัดยศและเสาเสมาธรรมจักรว่า "ปีนี้อยู่ ๆ อาตมาก็ได้รางวัลใหญ่ ๒ รางวัล ก็คือ ในหลวงพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศให้ในวโรกาสที่เจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา และ วันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี อาตมาได้รางวัลเสาเสมาธรรมจักร ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา อย่างกับธรรมะจัดสรรจริง ๆ จะช้าก็ไม่ได้จะเร็วก็ไม่ได้ มาได้ในวาระสำคัญพอดีทั้งสองอย่าง

งานฉลองนั้นจะจัดขึ้นวันที่ ๙ มิถุนายน ตรงกับวันเสาร์ ที่ต้องรอรับในเดือนมิถุนายนเพราะว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรให้ในวันวิสาขบูชา ก็เลยต้องรอไปก่อน แล้วปีนี้เดือน ๘ มี ๒ หน วันวิสาขบูชาเลื่อนไปเป็นวันที่ ๒ มิถุนายน รับแล้วค่อยฉลองพร้อมกันไปเลยทีเดียว

จะไม่ฉลองก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้ชาวทองผาภูมิตื่นเต้นกันมาก อยากฉลอง..ต้องจ่ายเงินให้เข็ด..! เขาไม่รู้หรอกว่าจัดงานแต่ละครั้งพระจ่ายไปเท่าไร เห็นนิมนต์พระมาครั้งหนึ่งหลายร้อยรูป แหม..ปลื้มใจมาก ว่าแล้วก็ช่วยทำบุญ ๒๐ บาท..! อัตราต่ำสุดของอาตมา ขนาดถวายเณรยัง ๒๐๐ บาทเลย ฉะนั้น..ไม่ต้องไปพูดถึงการถวายพระหรอก

ที่ขำก็ท่านพระครูวรกาญจนโชติ รองเจ้าคณะอำเภอ ท่านบอกว่า "พวกเณรดีใจมากเลย เปิดซองมาเจออาจารย์เล็กถวายไป ๒๐๐ บาท ไม่เคยได้เยอะอย่างนี้มาก่อน แล้วรุ่งขึ้นก็มาฟ้อง หลวงพ่อครับ..ผมโดนขโมยเงินครับ..!" นี่ตกลงหลวงพ่อจะแจ้งข้อหาผมใช่ไหมว่าทำให้เณรขโมยเงินกัน(หัวเราะ) พอเห็นมีเงินเยอะเณรของท่านก็เลยขโมยกันเอง

เป็นห่วงวัดอื่นเพราะว่าเรื่องของศีลเขาไม่ค่อยมีความเข้าใจ อย่าลืมว่าสามเณรก็คือเชื้อสายของสมณะ เป็นปูชนียบุคคลที่เขาเคารพบูชาเหมือนกัน"

เถรี
13-01-2012, 10:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือประวัติวัดท่าขนุนเล่มเก่าที่เขาทำ มีรูปหลวงปู่สายกำลังเดินขึ้นสะพานอยู่ แต่ท่านเดินหันหลังให้ เขาใช้คำบรรยายว่า “สายไปเสียแล้ว” พวกเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ เขาบอกว่าท่านอาจารย์รูปนี้มีไหม ? ขอเถอะ..ติดใจจริง ๆ อาตมาบอกว่าไม่มี เป็นเจ้าอาวาสช้าไปหน่อย อะไรก็ไม่ค่อยจะเหลือมาถึง

ตอนนั้นหลวงปู่กำลังเดินข้ามสะพาน เขาถ่ายรูปทางด้านหลังท่านแล้วเอามาลงไว้ เหมือนตั้งใจให้เป็นปริศนาธรรมว่า “ท่านไปแล้วนะ” แล้วบรรยายว่า “สายไปเสียแล้ว”

เถรี
13-01-2012, 10:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่สมัยใหม่มักจะเลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่ คือทำตัวเป็นเพื่อนกับลูก พอนาน ๆ ไปเด็กจะคุ้นชินแล้วขาดความกลัวเกรง ไม่ได้เห็นแม่เป็นแม่ แต่เห็นแม่เป็นเพื่อน ก็เลยต้องมีการทำโทษไว้บ้าง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่เกรงอาชญา” คือกลัวการลงโทษ ถ้าไม่มีการลงโทษบ้างก็มักจะแหกคอกไปเรื่อย กฎหมายบ้านเมืองต่าง ๆ มีมาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็มีคนประเภทไม่กลัวกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้แทนราษฎรแท้ ๆ เลย ยังกระทำผิดซึ่งหน้าอีก

ความจริงลักษณะอย่างนั้นยอมรับผิดอย่างลูกผู้ชายไปเลย แล้วสู้คดีว่าบันดาลโทสะยังเข้าท่ากว่าเยอะ ถ้าบันดาลโทสะแล้วไม่เคยทำผิดมาก่อนนี่ ดีไม่ดีโทษนิดเดียวเอง อาจจะสั่งลงโทษเท่านั้นเท่านี้ปีแล้วรอลงอาญา"

เถรี
13-01-2012, 10:57
ถาม : ลูกจะสอบเข้าโรงเรียนสาธิตค่ะ
ตอบ : ถ้าเด็กเรียนโรงเรียนสาธิตนี่เราต้องทำใจเลยนะ เพราะโรงเรียนจะสอนให้เด็กกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เพราะฉะนั้น..เขาจะต้องเถียงแม่แน่นอนเลย

ต่อไปเราต้องรอบคอบและรัดกุมมากกว่านี้ ถ้าทำอะไรแล้วมีช่องว่างหรือรอยโหว่นี่เด็กเถียงแน่นอน

เถรี
13-01-2012, 11:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยได้ยินสำนวนว่า นอนกินบ้านกินเมืองไหม ? นอนกินบ้านกินเมืองมาจากนิทานในธรรมบทว่า ชายคนหนึ่งมีนิสัยเกียจคร้านเป็นปกติ นอนจนคนอิดหนาระอาใจ วันดีคืนดี ก็มีพระราชาของอีกเมืองหนึ่งมาท้าแข่งกับพระราชาของเมืองนี้ ให้ส่งคนมาแข่งขันการนอน ถ้าใครแพ้ก็ต้องเสียบ้านเสียเมืองให้อีกฝ่ายหนึ่ง

เจ้าเมืองก็เลยต้องประกาศหาว่ามีใครที่มีความสามารถในการนอนได้นานกว่าคนอื่น ไปเจอชายจอมขี้เกียจเข้าก็เลยเอาไปแข่ง ปรากฏว่าชนะ ก็เลยได้บ้านได้เมืองคนอื่นเขามา สรุปว่าคนเราถ้ามีความสามารถจริง ๆ อย่างเดียวก็พอแล้ว อย่างที่ในโคลงโลกนิติท่านว่า

วิชาควรรักรู้......................ฤๅขาด
อย่าหมิ่นศิลปศาสตร์............ว่าน้อย
รู้จริงสิ่งเดียวอาจ.................มีมั่ง
เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย...............ชั่วลื้อเหลนหลานฯ

เพราะฉะนั้น..นอนเก่งอย่างเดียวก็ชนะได้บ้านได้เมืองมา สำนวนนอนกินบ้านกินเมืองได้มาจากนิทานเรื่องนี้แหละ"

เถรี
13-01-2012, 11:23
มีโยมถวายบะหมี่ไวไวควิกให้พระอาจารย์ แล้วตั้งจิตปรารถนาขออานิสงส์ให้ได้อะไรเร็ว ๆ ไว ๆ

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "จะเอาเร็วจริง ๆ ไหม ? ให้ถวายเครื่องบินคองคอร์ด ๑ ลำ รถไฟแม็กเลฟ ๑ ขบวน เสือชีตาห์อีก ๑ ตัว รับรองว่าอานิสงส์เร็วทันใจ เพราะที่ว่ามานั้น เป็นสุดยอดของความเร็วทั้งนั้นเลย หรือไม่ก็ถวายนกเหยี่ยวเพเรกริน อีก ๑ ตัว"

เถรี
13-01-2012, 11:37
พระอาจารย์เตือนโยมว่า "เพศตรงข้ามที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ใช่เพราะว่าเรามีเสน่ห์ แต่มาเพราะแรงกรรม เพราะฉะนั้น..ต้องระมัดระวังให้ดี พลาดเมื่อไรจะไปต่อกรรมให้หนักเข้าไปอีก..!"

เถรี
13-01-2012, 12:25
พระอาจารย์เล่าว่า "ศาสตราจารย์ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร เป็นสุดยอดอาจารย์ที่สอนวิชาสันสกฤต ท่านเก่งสันสกฤตเพราะว่าไปได้อาจารย์ดีที่พาหุรัด

เดิมอาจารย์แสงชอบภาษาสันสกฤตอยู่แล้ว ท่านก็เลยจำพวกโคลง พวกโศลกสันสกฤตแล้วก็ท่อง วันนั้นเดินท่องไป แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนพูดภาษาสันสฤตด้วย ท่านอาจารย์ก็หันไปเจออาบังขายผ้าคนหนึ่ง ถามว่าบังมีอะไรหรือ ? อาบังก็บอกว่า “ที่พูดไปนี่ท่านไม่เข้าใจใช่ไหม ?”

“ไม่เข้าใจหรอก แต่ถ้าเขียนมาก็พอจะอ่านได้” “แล้วที่ท่องมานั่นท่านเข้าใจไหม ?” “พอจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงสักเท่าไร” อาบังก็บอกว่า “ถ้าท่านอยากเข้าใจ มีเวลาก็ให้แวะมาหา” แล้วอาบังก็ให้เลขที่ร้านของแกไว้

ท่านอาจารย์แสงแวะไปถึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้วอาบังเป็นอาจารย์ทางด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ท่านอยู่อินเดียแล้วทำมาหากินลำบาก เงินทองหายาก จึงทิ้งตำแหน่งหน้าที่มาขายผ้าที่เมืองไทย ท่านอาจารย์แสงก็เลยโชคดีได้อาจารย์ดี ไม่อย่างนั้นสมัยก่อนนี่อาจารย์แสงใช้ภาษาบาลีสันสกฤตแบบภาษาเมียเช่าฝรั่ง แต่ก็คุยรู้เรื่องนะ พูดจนกระทั่งพวกแขกอินเดียเข้าใจได้

อย่างเวลาท่านอาจารย์แสงพาพวกแขกไปเที่ยวพระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นพุทธสถานแห่งแรกในประเทศไทย ท่านอาจารย์อธิบายให้พวกแขกอินเดียเข้าใจได้ “อตีเต วนาโต พหูพยัคโฆ ปัจจุปันนะกาละวะเสนะ นัตถิ” พวกที่ฟังก็พยักหน้าหงึก ๆ ทั้งที่เป็นภาษาแบบเมียเช่า ไม่ใช่บาลี

“อตีเต วนาโต” แต่ก่อนนั้นตรงนี้เป็นป่า
“พหูพยัคโฆ” มีเสือเยอะ
“ปัจจุปันนะกาละวะเสนะ นัตถิ” เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว

พูดอย่างนี้เลย คุยกันจนรู้เรื่อง คนที่เขามีความตั้งใจจริง เขาพยายามสื่อสารจนรู้เรื่อง แล้วอีก ๒ ท่านที่เก่งทางด้านนี้ก็คือ ท่านอาจารย์กรุณา กับ ท่านอาจารย์เรืองอุไร กุศลาสัย ๒ สามีภรรยา นั่นท่านไปเรียนอยู่อินเดียมา จนกระทั่งใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่ ๒ ของชีวิตไปเลย"

เถรี
13-01-2012, 13:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ช่วงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ดินทองผาภูมิไร่หนึ่งราคาเป็นล้าน พอมีข่าวเขื่อนแตกหลายครั้งเข้า เดี๋ยวนี้ไร่หนึ่ง ๓๐,๐๐๐-๔๐,๐๐๐ บาทก็พอซื้อได้ จากไร่ละเป็นล้านนะ..คนถือครองคนสุดท้ายนี่ไม่รู้จะเอาอย่างไร ในที่สุดก็..สามหมื่นก็สามหมื่นวะ..ดีกว่าไม่ได้คืนเลย

แต่ระยะหลังทองผาภูมิไปเน้นเรื่องยางพารากับปาล์มน้ำมัน เขาเห่อทำตามคนอื่นที่รวยเพราะเรื่องนี้ เคยเตือนพวกเขาแล้วว่า การปลูกพืชจะให้ดีนั้น เมื่อถึงเวลาถ้าขายไม่ได้ควรจะกินได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะไปพึ่งพาอะไรใครได้ ขายไม่ได้ก็ไม่มีสตางค์ไปซื้อข้าวซื้อปลา ถ้าคุณมีพืชไร่อยู่ยังกินได้ คราวนี้เขาไปเห่อตามพวกที่เขารวย เห็นคนอื่นเขารวยเพราะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ก็เลยปลูกกันยกใหญ่

ถามว่าปลูกแล้วดีไหม ? ก็ดี..อย่างน้อย ๆ เท่ากับทดแทนพื้นที่ป่าได้ แต่ไม่ดีตรงที่ว่าถ้าขายไม่ได้แล้วจะกินอะไร ส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเป็นพวกเขาหรือพวกเราก็ตาม เวลาทำกิจการอะไร เรามักจะมองรายได้อย่างเดียว เรามักจะคิดแบบ ๑ + ๑ = ๒ ทำแค่นี้ เดือนหนึ่งมีรายได้แค่นี้ ปีหนึ่งมีรายได้แค่นี้ หักรายจ่ายแค่นี้ เหลือเท่าไรแล้วก็จบ

แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจจา ทุกอย่างไม่เที่ยง ถ้าเกิดว่าขายไม่ได้ขึ้นมาล่ะ ? เพราะฉะนั้น..ถ้าจะทำกิจการอะไรก็ตาม ต้องคิดหาทางถอยไว้ก่อน ว่าถ้าไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนแล้วจะแก้ไขอย่างไร จะถอยไปยืนที่จุดไหน จะดึงเอาส่วนไหนมาโปะตรงนี้ถึงจะค้ำจุนกิจการให้อยู่ได้

ถ้าสามารถคิดคำตอบตรงนี้ได้เสร็จสรรพ จะทำกิจการอะไรก็ทำไปเถอะ ถ้ายังให้คำตอบตรงนี้กับตัวเองไม่ได้ อย่าเพิ่งไปทำเลย ถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ เห็นว่าเจ๊งมาเยอะแล้ว..!"

เถรี
13-01-2012, 14:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้สุขภาพของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านไม่ค่อยไหว เพราะต้องล้างไตบ่อย ก่อนหน้านี้หมอให้ล้างไตวันหนึ่งเว้น ๒ วัน แล้วหมอไม่ให้ท่านฉันน้ำ ท่านเองก็ทรมานมาก ช่วงนั้นรู้สึกว่าสุขภาพกายสุขภาพใจทรุดไปหมดเลย เพราะสังขารแย่ ขนาดเวลาบ้วนปากแล้วเขาเอากระโถนมารอง มีน้ำเหลือนิดเดียว เพราะท่านแอบกลืนลงไป

หมอเขาจำกัดน้ำ จึงทรมานสุด ๆ ท้ายสุดท่านก็เลยตัดสินใจว่าฟอกไตทุกวันดีกว่า จะได้ฉันน้ำได้ แล้วก็ดูว่าท่านกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อย แต่ก็แบบคนแก่อายุ ๘๐ กว่านั่นแหละ ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านยังแข็งแรงอยู่ อาตมาไปกราบท่านทุกครั้ง ท่านก็ปรารภว่า “คุณกับผมแย่พอ ๆ กัน คุณไม่แข็งแรงเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ผมไม่แข็งแรงเพราะแก่"

ระยะหลังที่ไม่ได้ไปเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนท่าน แต่วันที่ ๑๑ มกราคมนี้อย่างไรก็ต้องไปเพราะมีฎีกามา เป็นงานวันเกิดครบ ๗ รอบของท่าน"

เถรี
14-01-2012, 10:42
ถาม : ผมฝันถึงน้อง เขาบอกว่าที่ผมเจริญกรรมฐานอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาไม่ได้รับ เขาต้องการอย่างอื่น
ตอบ : แสดงว่าน้องโง่..คราวหน้าถ้าน้องมาก็ด่าไปเลย..!

ถาม : หรือว่าผมกังวลไปเองครับ ?
ตอบ : น่าจะอะไรประมาณนั้นแหละ กังวลใจว่าน้องจะได้บุญไหม ก็เลยเก็บเอาไปฝัน อันนี้เรียกว่าจิตนิวรณ์ เพราะว่าฝันมีธาตุวิปริต กินมากก็ฝันเลอะเทอะไปเรื่อย กรรมนิมิต ความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุ จิตนิวรณ์ เก็บความฟุ้งซ่านไปฝัน เทพสังหรณ์ เทวดาสงเคราะห์ให้รู้

เรื่องของบุญนั้น ได้ตั้งแต่เจตนาทำแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาหํ ภิกขเว ปุญญํ วทามิ ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย การตั้งเจตนาก็เป็นบุญแล้ว นี่ขนาดเราลงมือทำบุญเขาต้องได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่ว่าผีโง่เกินไป ก็เป็นเพราะตัวเราฟุ้งซ่านเอง แต่ความจริงจะไปโทษผีก็ไม่ได้นะ เพราะว่าผีมีอาชีพหลอก ถ้าบอกผิด ๆ ก็ถือเป็นอาชีพของเขา

อาตมาเคยไปถามผีว่า เรื่องอะไรมาเที่ยวไล่หลอกชาวบ้าน เขาบอกว่าเขาไม่ได้หลอก เขาตั้งใจจะมาบอกว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่คนหนีเขาทุกที เพราะเขาบุญน้อย มาแสดงภาพให้ปรากฏได้ก็ดีตายชักแล้ว

เขาแสดงภาพให้ปรากฏได้ แต่สภาพบุญกุศลตัวเองมีน้อย หน้าตาก็เลยออกมาดูไม่ได้ หรือไม่บางทีเกิดอุบัติเหตุตายไป ก็พยายามทำภาพเก่าให้เห็นจะได้จำเขาได้ แต่ปรากฏว่าคนเราดันรับไม่ได้เอง เผ่นอ้าวกันหมด พอจะมาสวยเช้งวับ เดี๋ยวบอกว่าสบายแล้วก็ไม่ทำบุญให้อีก

เถรี
14-01-2012, 10:52
ถาม : เคยฝันเห็นคุณพ่อท่านลำบากครับ
ตอบ : ถ้าฝันเห็นได้แสดงว่าท่านไม่ลำบาก เพราะถ้าลำบากมาเข้าฝันไม่ได้หรอก แต่คราวนี้ภาพที่ติดตาเราอาจเป็นภาพที่ท่านกำลังป่วยอยู่ ก็เลยต้องแสดงภาพนั้นให้เห็น ถ้ามาในฝันได้แสดงว่ามากวนเราได้ ที่มากวนเราได้นี่ไม่ลำบากหรอก พวกที่ลำบากเขาจะมาไม่ได้เลย

ถาม : แต่พอนานไปก็ไม่ได้ฝันถึงอีก
ตอบ : ท่านสบายแล้ว มัวแต่เพลินอยู่เลยไม่ค่อยจะมา ก็เหมือนกับคนจากไปใหม่ ๆ คิดถึงกันบ่อยจึงมา พอนาน ๆ ไปความคิดถึงก็เริ่มจางลง เป็นเรื่องปกติ

ถาม : แสดงว่าถ้าไม่ได้ฝันถึง..
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือลำบากไปเลย อีกอย่างก็คือสบายแล้วเพลิน ลืมคิดถึงคนอื่น

เถรี
14-01-2012, 11:17
ถาม : ในบารมี ๑๐ ตัวไหนสำคัญที่สุดครับ ?
ตอบ : สำคัญทุกอย่าง แต่ให้ทำปัญญาบารมีให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเสียชื่อ ประเภททำทุกอย่างแต่ปัญญาไม่มี เขาเรียกว่าทำแบบโง่ ๆ ขายหน้า..เสียชื่อหลวงพ่อหมด..!

ถาม : การที่จะสอนธรรมคนอื่น เป็นฆราวาสหรือเป็นพระดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความมุ่งมั่นของคุณ ถ้าความมุ่งมั่นของเราเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคคลอื่น ในสภาพไหนเราก็ทำได้ จะเป็นฆราวาสหรือพระก็ไม่ได้ต่างกัน แต่ถ้าความน่าเชื่อถือแล้ว เป็นพระชาวบ้านเขาจะเชื่อถือกว่า

ถาม : แล้วบารมี ๓๐ ทัศละครับ ?
ตอบ : ก็คือบารมี ๑๐ นั่นแหละ ทำบารมี ๑๐ ให้ครบจริง ๆ ก็ครบ ๓๐ ทัศแล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บารมีต้น กลาง ปลาย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าไม่ถึงระดับบารมีตอนกลาง ก็ยังสละชีวิตตัวเองได้ยาก ถ้าถึงอุปบารมีตอนกลางเป็นต้นมา ก็พร้อมที่จะให้ชีวิตเป็นทานได้ ถ้ายิ่งถึงปรมัตถบารมีนี่การสละชีวิตเป็นเรื่องเล็กเลย

เมื่อเช้าเล่าเรื่องหลวงจีนคงซิ่ง ท่านบวชอยู่จนอนาคตจะเป็นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินแท้ ๆ แต่แกล้งบ้ากินเหล้ากินเนื้อจนเขาไล่ออกจากวัดมา ที่ไหนได้ ท่านเจตนาจะไปเอาไม้เท้าพระธรรมของวัดคืน เสียสละตัวเอง เขาก็เลยเรียกกันว่า "เจ้าอาวาสนอกโบสถ์" เพราะอาวุโสท่านมาก พวกลูกศิษย์รุ่นหลัง ๆ ก็เกรงใจ แล้วยิ่งรู้ว่าท่านยอมสละตัวเองขนาดนั้นเพื่ออนาคตของวัด ก็ยิ่งให้ความเคารพนับถือมาก

เถรี
14-01-2012, 11:28
ถาม : (เรื่องการเข้าทรง)
ตอบ : ทรงสมาธิให้ได้ระดับอุปจารสมาธิขั้นละเอียด หรือที่หลวงพ่อท่านเคยใช้คำว่า อุปจารฌานขึ้นไป แล้วความแจ่มใสของสภาพจิตใจจะมีเป็นปกติ ถ้ายิ่งได้ถึงปฐมฌานละเอียดขึ้นไปยิ่งดี ไม่อย่างนั้นแค่กำลังของเรานิดเดียว พอเขากดลงมาเราก็จะซึมเป็นปกติ บางคนสติขาดไปเลย ต้องออกอาการตามที่เขาต้องการ

เถรี
14-01-2012, 11:41
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อปจายนมัยเป็นของดี ถ้าเราทำได้ก็ถือว่าเป็นคุณแก่ตัว ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ได้เกิดโทษอะไร นอกจากในส่วนของธรรมะไม่ก้าวหน้าเท่านั้นเอง

เถรี
14-01-2012, 11:46
ถาม : ทำอย่างไรจะบรรเทากรรมไม่ดีให้ลดลง ?
ตอบ : ทาน ศีล ภาวนา ทำให้มากเข้าไว้ คำว่ามากเข้าไว้ ไม่ได้หมายความว่าสละทรัพย์สมบัติมาก ๆ แต่ให้ทำบ่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องของศีล เรื่องของภาวนา ถ้าสามารถรักษาให้คงสภาพอย่างชนิดที่เรียกว่าปฏิบัติทุกวัน ทำให้กำลังบุญใหญ่เกิดขึ้นกับเรา กรรมต่าง ๆ ก็จะถอยหลังไปเอง

เถรี
14-01-2012, 11:48
ถาม : การภาวนา คืออะไร ?
ตอบ : ภาวนาแปลว่าทำให้เจริญ อะไรที่ทำให้จิตของเราห่างไกลจากรัก โลภ โกรธ หลง จัดเป็นการภาวนาทั้งนั้น

เถรี
14-01-2012, 11:52
ถาม : ทีแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะถือศีล ๘ แต่ได้ยินพระท่านให้ศีลจึงพนมมือรับ แล้วถ้าผมกินข้าวเย็นจะผิดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคุณตั้งใจรับศีลถือว่าผิดสัจจะ ถ้าไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน รับเอาไว้ก็ถือว่าเป็นส่วนของกุศล เพราะว่าจะทำมากหรือทำน้อย อานุภาพศีล ๘ ย่อมมากกว่าศีล ๕ อยู่แล้ว

ถาม : ถือศีล ๘ ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้หรือครับ ?
ตอบ : จะมากหรือน้อยก็ได้ ไม่กี่นาทีก็ได้

เถรี
14-01-2012, 12:02
ถาม : อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมควรจะทำ เพื่อให้ลูกสาวสนใจทางนี้ครับ ?
ตอบ : ทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างให้เขาเห็นทุกวัน ถึงเวลาก็สวดมนต์ไหว้พระ นำเขาไปทำด้วย เขาจะรู้เรื่องไม่รู้เรื่องก็นำเขาทำ เดี๋ยวเขาก็คล้อยตามไปเอง

การปลูกฝังต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก ๆ อาตมาเองยังไม่รู้ภาษา หลับคอพับคออ่อนอยู่ พ่อพาไปสวดมนต์ทุกวัน หลับอยู่ก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง ท้ายสุดจำได้หมด พอเข้าเรียนป.๑ ครูเห็นสวดมนต์ได้ตั้งเยอะแยะก็เลยให้เป็นหัวหน้าชั้นไปเลย

เถรี
14-01-2012, 12:14
ถาม : มีคนเขาสงสัยว่าพระทันตธาตุของพระพุทธกัสสปที่เอามาให้นมัสการ สมัยพระพุทธกัสสปผ่านมานานขนาดนั้นยังมีพระธาตุอยู่อีกหรือครับ ?
ตอบ : พระธาตุของพระพุทธกัสสปยังไม่ไกลนะ ของสมเด็จองค์ปฐมยังมีอยู่เลย..!

เถรี
14-01-2012, 12:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานที่ไปสนามหลวง เห็นพวกดาราแล้วนึกถึงเรื่องหนึ่ง จะว่าขำก็ขำ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าเขาเห็นเหมือนเราหรือเปล่า ? แต่เขาต้องรู้สึกอย่างเดียวกับเราแน่ ๆ เลย

ก็คือการที่ไปไหนแล้วต้องสวยอยู่ตลอดเวลา นี่เหนื่อยน่าดูเลย เราว่าเขาเองอาจจะไม่เห็นตรงนี้ แต่เขาเองต้องรู้สึก คือเขารู้สึกว่าเขาเหนื่อย แต่เขาต้องทำ ทำอย่างไรจะให้สวยอยู่ตลอดนี่คงเหนื่อยน่าดู"

เถรี
14-01-2012, 12:35
มีคนพูดถึงข้าวของว่าราคาแพงขึ้น พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ขึ้นไปเลย ขึ้นให้เยอะ ๆ เพราะถ้าราคาไม่แพงจริงคนไทยจะไม่รู้ตัวหรอก ตอนน้ำมันขึ้น ๒๐ กว่าบาท รถเหลือบนถนนอยู่หน่อยเดียว ไป ๆ มา ๆ คนไทยชักตายด้าน รถเริ่มเต็มถนนอีกแล้ว เพราะฉะนั้น..ขึ้นได้ขึ้นไปเยอะ ๆ จะให้สมเหตุสมผลต้องสักลิตรละ ๖๐ บาท

บ้านเราส่วนใหญ่นักการเมืองมักจะทำงานโดยอิงคะแนนเสียงชาวบ้าน ก็เลยไม่มีใครกล้าทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริง ๆ เพราะกลัวเสียคะแนน ถ้าเป็นอาตมาก็ทำเอาสะใจ งานเดียวจบเลย ถึงครั้งหน้าคุณไม่เลือกผมก็ช่าง ขอให้ประเทศชาติดีก็แล้วกัน"

เถรี
14-01-2012, 12:53
มีนายทหารจากเหล่าพลาธิการมาทำบุญ พระอาจารย์ถามว่ายังมีการผลิตรองเท้าเบอร์ ๑๒ อยู่อีกหรือไม่ ? แล้วเล่าให้ฟังว่า "ทหารรุ่นอาตมามีคนที่ตัวใหญ่บึ้กเลย เพื่อน ๆ เรียกกันว่า "ไอ้ยักษ์" ชื่อศิลปชัย บำรุงกิจ กับ ฉลอง ไพรงาม เวลาแข่งกีฬา ท.บ. จะลงวอลเลย์บอล คู่นี้ยืนคู่หน้าเมื่อไร คู่ต่อสู้หนาว เพราะเขาไม่ต้องกระโดดเลย แค่ยื่นมือตบอย่างเดียว พอฝ่ายตรงข้ามเซ็ตลูก เขาก็ยื่นมือตบได้เลย กลายเป็นอีกฝ่ายเซ็ตลูกใส่มือให้

ไอ้ยักษ์เป็นทหารคนเดียวที่ดึงข้อที่บาร์เดี่ยวไม่ได้ พอเอามือจับบาร์ คางก็เกยพอดี จึงไม่สามารถที่จะดึงข้อเหมือนคนอื่นได้ ครูฝึกบอกให้เปลี่ยนไปวิดพื้น ๑ ล้านครั้ง ใช้หนี้ทุกครั้งที่เจอ เขาก็มารายงาน “ตามคำสั่งของครูฝึก ให้กระผม..นักเรียนนายสิบศิลปชัย บำรุงกิจ วิดพื้น ๑ ล้านครั้ง ขออนุญาตใช้หนี้ ๕ ครั้งครับ..!” แล้วก็วิดพื้นไป ๕ ครั้ง แบบนี้ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด เจอหน้าทุกครั้งให้ใช้หนี้ “ตอนนี้กระผมได้วิดพื้นไปแล้วทั้งหมด ๒๐ ครั้ง เหลืออีก ๙๙๙,๙๘๐ ครั้งครับ..!”

ทหารมีอะไรที่ตลกสำหรับคนนอก แต่คนที่เจอข้างในบางทีก็หัวเราะไม่ออก จะไปสนุกตอนเล่าให้คนอื่นฟังนี่แหละ อาตมาว่าเท้าตัวเองใหญ่แล้วนะ ยังใส่รองเท้าแค่เบอร์ ๗ ส่วนไอ้ยักษ์ใส่เบอร์ ๑๒..! หารองเท้าจนหมดคลังก็ไม่ได้ ต้องขอให้ทางพลาธิการตัดพิเศษให้"

เถรี
14-01-2012, 13:05
ถาม : ถั่วลาชมาศหน้าตาเป็นอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ถั่วเขียวแกะเปลือกคั่ว ถั่วเขียวที่เขาเอาไว้ทำเต้าส่วนนั่นแหละ

ถาม : หาซื้อได้ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ตลาดมีขายเป็นกุรุส ที่เขาขายไว้ทำเต้าส่วน เคยเห็นไหม ? หรือไม่เคยกินเต้าส่วนอีก เป็นถั่วเขียวแกะเปลือก เราจะเห็นเป็นเหลือง ๆ
ลาชะแปลว่าข้าวตอก มาศแปลว่าทอง ข้าวตอกทองก็คือถั่วเขียวคั่วสุก คั่วให้สุก..ไม่ใช่ให้ไหม้..!

ถาม : แล้วขนมต้มขาว ขนมต้มแดงล่ะครับ ?
ตอบ : ขนมต้มธรรมดาคือขนมต้มขาว ขนมต้มแดงจะเป็นแป้งที่เขาบี้แบน ๆ แล้วเคี่ยวน้ำตาลราดลงไปก็เลยเป็นสีแดง ความจริงเป็นสีน้ำตาลเข้มมากกว่า

ถาม : ต้องจัดของครบทั้ง ๔ ทิศไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเราตั้งโต๊ะใหญ่หรือโต๊ะเล็ก ถ้าโต๊ะเล็กก็ไม่ต้องครบ ๔ ทิศ ถ้าโต๊ะใหญ่ก็ต้องครบ

ถาม : ผมจะเอาธงพิชัยสงครามไปติดแทนรูปพระภูมิได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้..ถึงเวลาขออนุญาตท่านติดธงพิชัยสงคราม อย่างอาตมาเป็นพระ เวลาไหว้เทวดาท่านจะไม่ยอมรับ จึงต้องหาวัตถุที่ไหว้ได้ไปใส่แทน ถึงเวลาจะได้นึกถึงท่านไปด้วย เหมือนกับศาลเจ้าที่ของบ้านวิริยบารมี อาตมาเอาพระไปตั้งไว้ เวลาไหว้พระก็เท่ากับไหว้ท่านไปด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วเทวดาท่านไม่ยอมรับ

เถรี
15-01-2012, 09:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่รู้ว่าทำไมพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย จึงทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับในหลวง ที่เด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่ให้ความสำคัญกับในหลวง เพราะว่ารุ่นของเขาไม่เคยผ่านความทุกข์ยากลำบากมา เหมือนกับรุ่นพ่อรุ่นแม่

ถ้าเขาได้ผ่านช่วงสงครามโลก สงครามมหาเอเชียบูรพา เขาจะรู้ว่าในระหว่างประเทศชาติวิกฤตขนาดนั้น ศูนย์รวมใจเพียงหนึ่งเดียวของเราคือในหลวง ในระหว่างที่ประเทศชาติเกิดความแตกแยกทางความคิด ฝ่ายหนึ่งเข้าป่าจับอาวุธ อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในเมือง พระองค์ท่านทำจนกระทั่งเขาเปลี่ยนความคิด จากศัตรูกลับมาร่วมกันพัฒนาประเทศชาติได้

ในช่วงที่เผด็จการทหารครองเมือง ถึงเวลาชาวบ้านและนักศึกษาประท้วงก็โดนปราบโดนฆ่า พระองค์ท่านก็สามารถระงับเหตุทั้งหลายเหล่านั้นลงได้

บรรดาชาวเขาที่ปลูกฝิ่นเป็นอาชีพเพราะว่าทำเงินให้กับเขาได้ เนื่องจากว่าปลูกมาก็มีคนซื้อ พระองค์ท่านก็ไปเปลี่ยนเป็นการปลูกพืชผลในพื้นที่สูง จนกระทั่งมีฐานะมั่นคง มีโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ออกมา ทำให้พวกเขาอยู่กินกันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยยาเสพติด

ดังนั้น..คนรุ่นนั้นจะเห็นชัด ๆ ว่าในหลวงสร้างคุณประโยชน์มหาศาลเพื่อประเทศชาติและประชาชนขนาดไหน ก็จะเกิดความเคารพขึ้นมาเอง เกิดความรักขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปปลุกใจ ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียกร้อง แต่ว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ เขาไม่ได้ผ่านสภาวะประเทศชาติที่เป็นอย่างนั้นมาก่อน ต่อให้เกิดปี ๒๕๓๕ ที่ประเทศชาติเกิดวิกฤตครั้งสุดท้าย ปีนี้เขาก็อายุ ๒๐ ปีโดยไม่เคยเห็นเรื่องเหล่านั้นมาก่อนเลย

เพราะฉะนั้น..เด็กรุ่นหลังจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ถึงได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับในหลวงได้ขนาดนั้น ต้องบอกว่าคนรุ่นหลังนี้เสียชาติเกิดจริง ๆ..!"

เถรี
15-01-2012, 09:47
"ที่ขำ ๆ กว่านั้นก็คือ หลวงปู่หลวงพ่อรุ่นครูบาอาจารย์เก่า ๆ เป็นพระเถระ ๔-๕ แผ่นดิน เพราะถ้าเกิดช่วงรัชกาลที่ ๖-๘ ก็ไม่กี่ปี ยิ่งไปเจอหลวงปู่สีเป็นพระเถระตั้ง ๕ แผ่นดิน มารุ่นของอาตมานี่ต่อให้อายุ ๖๕ แล้วก็ยังแผ่นดินเดียว เพราะในหลวงทรงครองราชย์มาเป็นปีที่ ๖๖ แล้ว

ต่างประเทศเขารู้และเห็นคุณค่าของในหลวงมากกว่าพวกเราหลายเท่า พวกเราเหมือนหนูอยู่บนกองข้าวสาร จึงไม่เห็นคุณค่า วันไหนไปเป็นหนูในทะเลทราย กว่าจะหาข้าวสารได้สักเม็ดหนึ่งไม่รู้ว่ากี่คืนกี่วันถึงจะเห็นคุณค่า แต่ก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้"

เถรี
15-01-2012, 10:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาวะน้ำท่วมที่ผ่านมา แต่ละคนคงมีผลสรุปกับตัวเองว่า มีสิ่งที่มีมากเกินในชีวิตของตนนั้นมีอยู่เยอะมาก จนกองพะเนินเทินทึกเลย ส่วนใหญ่แช่น้ำแล้วเสียหายหมด เอาไปขายของเก่าก็ไม่ได้

มีเรื่องหนึ่งที่เขาอาจจะทำได้จริง น่าเชื่อถือ แต่อาตมาก็ขอบอกว่าอย่าไปร่วมลงทุนกับพวกนี้ คือพวกที่เขาบอกว่า การนำเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ มาแปรรูปวงจรข้างใน ที่มีส่วนผสมของพวกทองพวกเงินอยู่ เสร็จแล้วมาแยกโลหะธาตุทั้งหลายเหล่านี้ออกมาขายต่างหาก จะทำกำไรมหาศาลให้ จึงมาชักชวนเราไปร่วมลงทุนด้วย การชวนให้ลงทุนด้วย ก็อาจจะให้ลงหุ้นเป็นเงินตรง ๆ หรืออาจชักชวนไปซื้อที่ดิน ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ ไร่ เพื่อสร้างโรงงานมหึมาที่จะทำเรื่องนี้ให้ครบวงจร

ถ้าได้ยินก็ให้รู้ไว้เลยว่ากำลังจะซวยแล้ว บอกเขาไปเลยว่าถ้าดวงฉันจะรวยง่ายขนาดนั้น ก็รวยไปนานแล้ว เป็นความจริงที่ว่าวงจรของเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ จะประกอบด้วยโลหะธาตุมีค่าต่าง ๆ แต่มีน้อยมากขนาดเท่าขี้ตายุง ต้องใช้กี่แสนกี่ล้านเครื่องกว่าที่จะรวมกันแล้วมีมูลค่าทางการตลาดเพียงพอที่จะทำกำไรได้ ?

แต่คนเราพอได้ยินว่าราคาเท่านั้นราคาเท่านี้ เป็นตัวเลขมหาศาลก็จะเกิดความโลภอยากได้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทำให้กลายเป็นเหยื่อเขาได้ง่าย ถึงเวลาเขาชักชวนให้ลงทุนก็ควักกระเป๋าไป ดีไม่ดีก็ชักชวนพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ลงทุนคนละสองแสนสามแสนบาท ด้วยความหวังที่ว่า อีกไม่กี่เดือนก็คืนทุน แถมมีกำไรอีกมหาศาล

ลองถามพวกนี้สักหน่อยสิว่า ถ้ารวยขนาดนั้นทำไมไม่ไปชักชวนพี่น้องเพื่อนฝูงของคุณทำ ? ทำไมต้องมาชวนเราด้วย ? เขาก็จะบอกว่าเราเป็นคนมีบุญบารมี จะช่วยหนุนเสริมดวงของเขาได้ แบบนี้แทนที่จะเป็นวิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นไสยศาสตร์ไปเลย..!"

เถรี
15-01-2012, 10:40
"ฟังแล้วคิดให้ดี ๆ อย่าให้ความโลภบังหน้า จุดอ่อนของคนก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง เขาก็จะใช้ตรงจุดนี้แหละมาหลอกลวงเรา แบบเดียวกับที่กิเลสมารหลอก อย่างเรื่องตกทอง จนทุกวันนี้ก็ยังหากินกันได้ ทั้ง ๆ ที่เขารู้กันจนทั่วแล้วก็ยังหากินกันได้อยู่ดี

อยู่ ๆ ก็ไปเจอทองหนัก ๕ บาท เขาบอกว่าเราอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ก็ต้องมีส่วนได้ด้วย ทองตั้ง ๕ บาท จะแบ่งกันอย่างไร จะตัดก็น่าเสียดาย คุณมีทองติดตัวไหม ? ถ้ามีสร้อยมีแหวนสักบาทสองบาท เอาอันนั้นแหละมา แล้วคุณเอาทองเส้นใหญ่ ๕ บาทไป เราก็เห็นว่าทองที่เขาเจอ ๕ บาท ขณะที่ทองของเรา ๕๐ สตางค์หรือบาทเดียว ความโลภเริ่มบังหน้า ปัญญาชักจะเริ่มหมด อะไรจะมีน้ำใจขนาดนั้นนะ เขาเป็นคนเห็นแท้ ๆ เราแค่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ยังคิดจะแบ่งให้เรา

ล่าสุดมีคุณยายคนหนึ่งโดนหลอกให้ซื้อรางวัลที่ ๑ ไปหกแสนบาท ทั้ง ๆ ที่รางวัลที่ ๑ สองล้านบาท ยายไปเบิกไม่เป็น เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไม่ถูก ยายก็ควักเสียจนหมดธนาคารให้เขาไปหกแสนบาท แล้วก็ได้ล็อตเตอร์รี่ปลอมมา ๑ คู่ จะว่าปลอมก็ไม่ใช่ ของจริงนั่นแหละเพียงแต่ว่าเขาตัดเอาตัวเลขมาตัวหนึ่ง มาแปะให้ดูเหมือนรางวัลที่ ๑ เท่านั้นเอง ถ้าไม่ไปลูบ ๆ คลำ ๆ หรือส่องดูให้ดีก็เสร็จ

คุณยายพอรู้ว่าเป็นล็อตเตอร์รี่ปลอมก็เป็นลมไปเลย ยังโชคดีที่ไม่หัวใจวายตาย เงินเก็บที่จะเอาไว้ใช้ตอนแก่ติดปีกบินไปหมดแล้ว"

เถรี
15-01-2012, 10:55
"จะว่าไปแล้วตรงนี้เกิดจากกรรมเก่า ในอดีตเราต้องเคยหลอกลวงฉ้อโกงเขามา พอมาถึงชาติปัจจุบันกรรมนี้ตามมาทันเราก็โดนบ้าง พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า อย่าประมาทว่ากรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ ขณะเดียวกันก็อย่าประมาทว่ากรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ เพราะว่าความดีความชั่วแม้เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าถึงวาระ..กรรมนั้นก็ส่งผลเสมอ

เพราะฉะนั้นถ้ามีบางคนถามว่า พระพุทธศาสนาสอนว่าอะไร ? ถ้าเราตอบหลักธรรมชั้นสูงจนเกินไป บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ มีหลักหนึ่งที่ตอบได้คือ สอนให้เชื่อกรรม มีเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

เชื่อกรรม ก็คือ ทำ..แล้วถึงจะได้ เชื่อผลของกรรม ก็คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อการส่งผลของกรรม ก็คือ คุณดีในปัจจุบันนี้เพราะกรรมดีในอดีต คุณไม่ดีในปัจจุบันนี้เพราะกรรมไม่ดีในอดีต เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือ เชื่อว่าท่านรู้จริงแล้วเอามาบอกเรา

บาลีว่า กัมมสัทธา วิปากสัทธา กัมมสกตาสัทธา ตถาคตโพธิสัทธา ส่วนไทยเราว่า เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า บาลีฟังง่ายกว่าภาษาไทยอีก"

เถรี
15-01-2012, 11:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีประเพณีอยู่อย่างหนึ่งที่อาตมาเห็นแล้วขำก็ขำ ทุเรศก็ทุเรศ คือการที่เอาข้าวปลาอาหารไปตั้งหน้าโลง แล้วก็เคาะก๊อก ๆ เรียก..พ่อกินข้าว..แม่กินข้าว..ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ไม่เคยเรียกหรอก ถ้าเป็นอาตมาอยู่ในโลง จะบอกว่า "เออ..ตั้งไว้ตรงนั้นแหละ" เจอแบบนี้ ดูซิว่าจะวิ่งไหม..!

เพราะฉะนั้น..ให้รีบทำดีกับพ่อแม่ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะได้เกิดความปลื้มใจชื่นใจว่าลูก ๆ มีความรัก มีความกตัญญูต่อท่าน ไม่ใช่ว่าพอตายแล้วค่อยไปเคาะโลง ถ้าเจอผีขี้รำคาญอย่างอาตมาก็คงได้วิ่งกันกระจายทั้งศาลา..!"

เถรี
15-01-2012, 12:42
ถาม : มีความรู้สึกว่า ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : เรื่องปกติ เน้นลมหายใจเข้าออก ถ้าสมาธิทรงตัวถึงระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไปถึงจะพอใช้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วไม่พอ กว่าจะรู้ตัวก็โดน รัก โลภ โกรธ หลง ดึงไปไกลแล้ว รู้ตัวก็ให้เร่งทำไว้ ไม่ใช่ว่ารู้ตัวแล้วก็ไปนั่งดูเฉย ๆ ปล่อยให้กิเลสดึงเราไปทุกที

ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สิ่งที่ต้องรีบสร้างไว้ เมื่อไม่มีศรัทธาก็ไม่คิดที่อยากจะปฏิบัติ ในเมื่อไม่มีศรัทธา วิริยะความพากเพียรก็น้อย เมื่อไม่มีความเพียรที่จะสร้างขึ้นมาสติก็ตั้งมั่นได้ยาก เมื่อสติไม่ตั้งมั่นสมาธิก็ไม่ทรงตัว เมื่อสมาธิไม่ทรงตัวปัญญาก็ไม่เกิด ปัญญาไม่เกิดก็ไม่รู้ว่าความศรัทธาต่อสิ่งที่เราทำนั้นดีอย่างไร วนเป็นงูกินหางอย่างนี้แหละ

ท่านบอกว่าเปรียบเหมือนรถที่เทียมม้า ๕ ตัว ศรัทธากับปัญญาต้องไปด้วยกัน วิริยะกับสมาธิต้องไปด้วยกัน สติต้องนำหน้า เมื่อสตินำหน้า อีก ๒ คู่ตามหลังมาก็สามารถที่จะนำรถไปได้ดี ถ้าสลับผิดที่ผิดทางเมื่อไรก็มั่วไปหมด

ถาม : พยายามรักษาศีลเป็นเรื่องปกติ แต่ยังมีความรู้สึกหนัก
ตอบ : ถ้ายังหนักอยู่ แปลว่ากำลังใจของเรา สติสมาธิของเรา ยังไม่ค่อยได้อยู่กับศีล ยังเลื่อนไหลไปด้านอื่นอยู่มาก เราต้องคอยบังคับให้อยู่กับร่องกับรอย

ถ้าหากว่าเรามีสติสมาธิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศีล แค่ขยับตัวก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดหรือไม่ ถ้าถึงเวลานั้นก็เบาสบาย ไม่ต้องเสียเวลาไปไล่ตามกันอีก

เถรี
15-01-2012, 12:58
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่มาลาไปอเมริกาว่า "ระยะนี้ดินฟ้าอากาศแปรปรวนมาก ทางประเทศตะวันตกมีพวกพายุทอร์นาโดเพิ่มมากเป็นพิเศษ จากที่เคยมีปีละไม่กี่ลูก ก็เพิ่มมากขึ้นมาเป็นเท่าตัว

ไปที่ไหนก็อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระ ขอบารมีพระท่านคุ้มครอง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนบารมีของพระท่านก็ไปถึงอยู่แล้ว"

เถรี
15-01-2012, 13:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๕ นี้ มีงานพุทธาภิเษกและเป่ายันต์เกราะเพชร หลายต่อหลายรายมาขออนุญาตเอาวัตถุมงคลมาเข้าพิธี อาตมาไม่เคยหวงห้าม แต่จะมีปัญหาทีหลังทุกครั้ง พอถึงเวลาแล้วญาติโยมบางส่วนที่พบเห็นวัตถุมงคลชนิดนั้น ก็จะวิ่งไปเอาที่วัดท่าขนุนซึ่งไม่มีให้

ใครจะทำบุญไม่ได้ห้าม ใครจะเอาของมาเข้าพิธีไม่ได้ว่า แต่เวลาเอาของไปบอกบุญต่อ หรือเอาไปแจกเขา ให้บอกให้ชัดด้วยว่าทางวัดไม่ได้ทำ ไม่ใช่ว่าให้เขาวิ่งไปหาที่วัดอยู่ประจำ พอไม่มีเขาก็ไม่พอใจเพราะว่าเดินทางมาไกล"

เถรี
15-01-2012, 13:25
"จากการเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่าน ๆ มา มีญาติโยมจำนวนหนึ่งที่ไปโดนไสยศาสตร์มา พอไปเข้าพิธีแล้วหายจากอาการเหล่านั้น ก็ไม่ทราบว่าไปพูดต่ออย่างไร จนกลายเป็นว่าอาตมาเป็นผู้รักษาโรคพวกนี้ ทำให้มีคนหอบหิ้วกันมาให้รักษาอยู่เสมอ บางคนก็เดินทางมาไกล ๖๐๐-๗๐๐ กิโลเมตร

เพราะฉะนั้น..ขอประกาศบอกให้ทราบชัด ๆ เลยว่า อาตมาไม่มีความสามารถในการรักษาโรคพวกนี้ ที่เขาหายได้เพราะว่าไปร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งยันต์เกราะเพชรนั้นเป็นคู่ศึก เป็นสิ่งต่อต้านกับไสยศาสตร์โดยตรง

ถ้าหากว่าใครเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยไสยศาสตร์ให้ไปเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ไม่ต้องหามกันไปหาอาตมาอย่างที่ผ่าน ๆ มา ถึงไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะอาตมารักษาไม่เป็น"

เถรี
15-01-2012, 13:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของปีนี้ รู้สึกว่าทั้งหน่วยราชการและประชาชนมีความตื่นตัวมาก ในเรื่องของการรับปีใหม่วิถีพุทธ คือมีการสวดมนต์ข้ามปีและเจริญกรรมฐาน

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องดี แต่ก็มีข้อผิดพลาดเพราะขาดการประสานงานกัน ในส่วนของกรุงเทพฯ ชาวบ้านส่วนใหญ่มาร่วมกันสวดมนต์ข้ามปีที่วัดสระเกศ แต่พอออกจากวัดมาหารถเมล์กลับไม่ได้ มีหลายร้อยคนต้องเดินข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าเพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ฝั่งถนนอรุณอมรินทร์ ใช้คำว่าหลายร้อยคนเพราะเดินเหมือนกับเดินขบวนกันเลย

ทางราชการโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างความตื่นตัวให้กับชาวบ้าน แต่ไม่มีการจัดการขนส่งมวลชนมารองรับ เหมือนกับช่วงแรกที่เขาเห่อเรื่องบั้งไฟพญานาค รถติดอยู่ห่างจากตัวจังหวัดหนองคายเกือบ ๓๐ กิโลเมตร โฆษณาให้คนไปเป็นหมื่นเป็นแสนแต่ไม่มีที่จอดรถ ไม่มีที่พัก เอาแต่โหมโฆษณาอย่างเดียวโดยไม่มีแผนงานอื่นรองรับ

เรื่องที่จอดรถกับที่พักก็ยังพอทน แต่ห้องน้ำห้องส้วมจะไปหาที่ไหนเพราะคนเป็นหมื่น ๆ ที่ลำบากที่สุดก็บรรดาวัดวาอารามริมฝั่งโขง พอญาติโยมกลับกันไปทางนี้พระเณรก็เดือดร้อน ต้องเรียกหารถเทศบาลมาดูดส้วมกันอุตลุด เพราะส้วมล้นไปเลย..!"

เถรี
15-01-2012, 13:40
"การทำงานต้องคิดทุกอย่างให้รอบคอบ ว่างานอย่างนี้เกิดขึ้นจะมีอะไรตามมา จะได้เตรียมแก้ไขปัญหาล่วงหน้าเอาไว้ อย่างวัดท่าขนุนไม่มีปัญหา เพราะว่าโยมไปค้างที่วัดเลย ส่วนที่เป็นคนในพื้นที่เขาก็เดินทางมาแล้วกลับเลย และที่แน่ ๆ เรามีเสียงตามสาย คุณไม่ต้องมาถึงวัดก็ได้ยินทั่วอำเภอ เพราะฉะนั้น..ทางวัดเราไม่มีปัญหา แต่ในกรุงเทพฯ การสวดมนต์ข้ามปีกลายเป็นปัญหาใหญ่

เป็นที่น่ายินดีว่าประชาชนตื่นตัวในการต้อนรับปีใหม่แบบไทย ๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปชนแก้วนับเวลาถอยหลังกัน แต่ปรากฏว่ามาแล้วประทับใจมาก เดินกันขาลากเลย ปีหน้ายังจะกล้ามาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

วัดท่าขนุนนอกจากจัดสวดมนต์ออกเสียงตามสายแล้ว ยังมีการถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ตไปทั่วโลกด้วย เพราะฉะนั้น..ต่อให้เราไม่ได้ไปก็สามารถเปิดเข้าไปที่เว็บวัดท่าขนุนและเว็บสะพานบุญ เพื่อร่วมพิธีได้ มีทั้งภาพมีทั้งเสียงเหมือนอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ดู ๆ ไปแล้วบางคนเกิดความอยากไปขึ้นมาเฉย ๆ เพราะมีคนนั่งเต็มศาลาสวดมนต์ไปพร้อม ๆ กัน

ได้เห็น ได้ยิน เกิดศรัทธาขึ้นมา ยังไม่รู้ว่าปีหน้าที่พอจะรองรับหรือเปล่า ? ปีนี้แค่ลำพังผู้ปฏิบัติธรรมก็เต็มศาลาอยู่แล้ว ยังมีชาวบ้านเดินทางมาร่วมงานอีกส่วนหนึ่งด้วย"

เถรี
16-01-2012, 08:49
มีโยมเอาข้าวสารมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ข้าวพันธุ์นี้ชื่อว่าปิ่นเงิน สมัยอาตมาเรียนอยู่ชั้นประถม ๔-๕ ข้าวไทยประกวดชนะเลิศอันดับหนึ่งของโลก ชื่อพันธุ์ปิ่นแก้ว หลังจากนั้นมาข้าวไทยก็ชนะมาตลอด โดยเฉพาะช่วงที่พัฒนามาเป็นข้าวหอมมะลิ เพิ่งจะมีปีที่ผ่านมานี้เสียตำแหน่งให้กับพม่า ข้าวพม่ากลายเป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลกแทนไทยไปแล้ว

ความจริงประเทศพม่าแทบจะไม่มีอะไรสู้เราได้เลยในเรื่องของการเกษตร เพราะส่วนใหญ่เป็นการเกษตรแบบตามบุญตามกรรม ตามสภาพดินฟ้าอากาศ รัฐบาลเขาไม่ได้สนับสนุน แต่ว่าเขาสามารถที่จะสร้างผลผลิตออกมาให้เป็นข้าวที่ดีที่สุดแทนของไทยได้ น่าอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง..!"

เถรี
16-01-2012, 09:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้มีญาติโยมถวายทองคำเพื่อบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาหลายรายแล้ว อาตมาเองยังต้องเปลี่ยนแผน จากที่เคยนำเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วที่มีทองคำหนักหลายร้อยบาทระโยงระยางเต็มไปหมด มาไว้ที่บ้านวิริยบารมี ก็เปลี่ยนไปเป็นซื้อเจดีย์ใหม่ ถึงเวลาก็อัญเชิญมาแต่พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เจดีย์เก่าพร้อมกับทองคำก็เอาไว้ที่วัด

อาตมาจะอัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาที่บ้านวิริยบารมีนี้ทุกต้นปีที่รับสังฆทาน แค่ ๓ วันเท่านั้น ก็แปลว่าจะได้เห็นกันอย่างใกล้ชิดที่นี่ อยู่ที่วัดก็ไม่ได้เห็นหรอก เพราะทองคำบังพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วจนมิดไปหมด การถวายทองเป็นพุทธบูชาท่านบอกว่า ถ้าหากว่าเผลอเกิดใหม่ จะรวยไม่รู้จบจริง ๆ

หลังตรุษจีนราคาทองคงจะลดลงนิดหนึ่ง ช่วงที่ผ่านมาประเทศอินโดนิเซียกับประเทศอินเดียมีการใช้ทองคำมาก เพราะช่วงเทศกาลคนนิยมให้ทองคำเป็นของขวัญ ส่วนบ้านเรานิยมให้ในเทศกาลตรุษจีน ช่วงที่ผ่านมาทองขึ้นราคาต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ พอหลังตรุษจีนหมดงานแล้วราคาก็จะหล่นลงไปหน่อย

ตอนนี้รออยู่ก็คือว่าบรรดาประเทศในสหภาพยุโรปที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด เมื่อไรจะทุ่มขายทองออกมาในตลาด ถ้าขายออกมาทีหนึ่งราคาก็คงจะตกฮวบไปเลย เพราะว่าเขาต้องเอาเงินกลับไปหมุนเวียนเพื่อค้ำจุนเศรษฐกิจของเขา

ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเขาผิดทางเพราะไปตัดค่าใช้จ่าย ในเมื่อไปตัดค่าใช้จ่าย ทำให้การหมุนเวียนในท้องตลาดน้อยลง สภาพเศรษฐกิจก็ยิ่งฝืดหนักเข้าไปอีก จริง ๆ แล้วต้องลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายขึ้นมา ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูง คนก็เก็บเงินกันหมด อันนี้ปล่อยให้นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกเขาว่ากันเถอะ เราคงไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาไม่ได้หรอก"

เถรี
16-01-2012, 09:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=16098&stc=1&d=1326681587


ถาม : ภาพนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : เขาแสดงภาพที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว มีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ แต่ไม่สามารถจะจุดไฟติดได้ พระอนุรุทธเถระอยู่ในสถานที่นั้นก็แจ้งว่า พรหมเทวดาทั้งหลายยังไม่ประสงค์ให้พระราชทานเพลิงพระบรมศพในช่วงนี้ เพราะพระพุทธองค์ยังรอพระมหากัสสปะอยู่

เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึง น้อมเศียรถวายบังคม พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทะลุรางโลหะออกมาเพื่อให้พระมหากัสสปะสามารถที่จะถวายบังคมพระบรมศพครั้งสุดท้ายได้ หลังจากนั้นไฟก็ติดขึ้นเอง เพราะเทวดาจุด อันนี้มาจากภาพพุทธประวัติตอนช่วงปรินิพพาน

ในบาลีเขาใช้ภาษาว่า ถวายบังคมแทบพระบรมบาทด้วยเศียรเกล้า พระพุทธองค์ก็เลยยื่นพระบาทมาให้จริง ๆ ถ้าเป็นสมัยนี้อยู่ ๆ ถ้ามีใครยื่นเท้าโผล่มาแบบนี้ คาดว่าคงตกใจวิ่งหนีกันเป็นแน่..!

เถรี
16-01-2012, 10:27
พระอาจารย์กล่าวเมื่อเห็นญาติโยมที่อายุมาก ต้องยันพื้นเพื่อช่วยในการลุกขึ้นว่า "คนแก่พออายุมาก จะลุกจะนั่งสองขาเริ่มไม่ไหว ต้องใช้สี่ขาช่วย เหมือนที่พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากจะรู้จักนางวิสาขามหาอุบาสิกา

คุณยายวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี มีลูกชาย ๑๐ คน ลูกหญิง ๑๐ คน มีลูกเขยอีก ๑๐ คน ลูกสะใภ้อีก ๑๐ คน แล้วบรรดาลูก ๆ ลูกเขยและสะใภ้ก็มีหลานให้อีกคนละ ๒๐ รวมแล้วคุณยายวิสาขามีลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากจะรู้จัก จึงไปดักดูเวลาท่านไปทำบุญ

แต่หาไม่เจอว่าคนไหนเป็นคุณยายวิสาขา เพราะคุณยายเป็นเบญจกัลยาณี วัยงามของเบญจกัลยาณีเขาบอกว่า มีลูกคนแรกอายุเท่าไร หน้าตาจะอยู่อย่างนั้นไปตลอดชีวิต คุณยายวิสาขาแต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ก็ตีว่ามีลูกตอนอายุ ๑๗ แล้วกัน อายุเป็นร้อยแล้วก็ยังสาวพริ้งอยู่อย่างนั้น

พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านมีความฉลาดจึงใช้วิธีสังเกตเอา พอพระพุทธเจ้าเลิกเทศน์ ญาติโยมลุกเตรียมกลับ มีสาวสะพรั่งนางหนึ่งยักแย่ยักยัน เอามือท้าวพื้นแล้วค่อยลุกขึ้น แสดงว่าคนนี้ใช่เลย เพราะต่อให้ร่างกายจะดูสาวแค่ไหนก็ตาม คนแก่อย่างไรก็กำลังตก จะลุกแบบสาว ๆ ทั่วไปไม่ได้

แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลยังไม่แน่พระทัยอีก จึงบอกให้ควาญช้างปล่อยช้างลุยไปกลางวง คุณยายกับบรรดาหลาน ๆ กำลังเดินทางกลับ เห็นช้างวิ่งสวนมา หลาน ๆ ก็ตกอกตกใจ ร้องวี้ดว้ายเตรียมจะหนี คุณยายหันมา เจอช้างมาถึงตัวแล้ว

บาลีเขาบอกว่า นางวิสาขาเห็นว่าถ้าใช้มือจับงวงช้างดึง กลัวอันตรายจะเกิดแก่ช้างได้ ไม่ใช่อันตรายจะเกิดแก่ตัวเองนะ เพราะคุณยายมีกำลังเท่ากับ ๗ ช้างสาร ก็เลยใช้มือยันช้างไว้เฉย ๆ ลองนึกถึงว่าช้าง ๑ ตัววิ่งชนช้าง ๗ ตัวจะเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนกับวิ่งชนภูเขาดี ๆ นี่เอง พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เลยมั่นใจว่าใช่แน่ เพราะว่าเขาลือกันว่าคุณยายมีกำลังเท่ากับ ๗ ช้างสาร"

เถรี
16-01-2012, 10:40
"ถามว่ากำลังนี้เกิดจากอะไร ? เกิดจากกำลังบุญ ร่างกายคนแก่ก็แก่ตามสภาพ กำลังที่ไม่พอจะทรงตัวของคุณยายวิสาขานั้น ยังแข็งแรงกว่าช้างเสียอีก

เรื่องของกำลังบุญที่อาตมาเห็นชัด ๆ ก็หลวงพ่อวัดท่าซุง ญาติโยมเอาเครื่องออกกำลังไปถวายให้ท่าน ลักษณะคล้ายกรรเชียงเรือ ได้ทั้งกำลังแขนกำลังขากำลังเอว เพราะโยกไปทั้งตัว ๒ ข้างมีสปริงขนาดใหญ่ประมาณท่อนแขนของอาตมา

วันนั้นพอ ๗ โมงครึ่ง หลวงพ่อเดินทางจากวิหารร้อยเมตรมาถึงหน้าตึกริมน้ำเพื่อมาทำงานที่นั่น ท่านจะมาเซ็นหนังสือ มาตอบจดหมาย บันทึกเทปตรงนั้น ท่านขึ้นมาถึงก็บอกว่า "เฮ้ย..เล็กเว้ย..วันนี้รู้สึกร่างกายแข็งแรง ลองเอาเครื่องนั่นมาทีซิ..!" อาตมาก็ต้องแบกเครื่องออกกำลังมาวางไว้กลางห้อง หลวงพ่อท่านก็ขึ้นไปโยกสองที สปริงขาดผึง..!

อาตมาก็ได้แต่นั่งเซ็งในอารมณ์ ท่านก็หัวเราะหึ ๆ "ไอ้ของอย่างนี้ทำมาได้" สปริงตัวเท่าแขนหลวงพ่อดึง ๒ ทีขาดเลย กำลังขนาดนั้นแต่เวลาท่านไปไหนเดินเซ แสดงว่ากำลังที่ใช้ประคองร่างกายไม่พอ เพราะสภาพร่างกายคือคนแก่ แต่กำลังที่ใช้งานทั่ว ๆ ไปของท่านมากกว่าคนปกติ

อย่างเวลาที่ท่านรับสังฆทานที่ศาลานวราชบพิตรเสร็จ เวลาท่านเดินลง คนจะนั่งเรียงเป็นแถว ๒ ข้างให้หลวงพ่อเคาะหัว ท่านใช้ไม้เท้าอะลูมิเนียมที่ปรับระดับได้ แล้วมียางหุ้มอยู่ที่ปลายเคาะ ๆ หัวโยม มีอยู่รายหนึ่งเอาทิชชู่แปะหัว ถามว่าเป็นอะไร "หัวแตก..!" ขนาดมียางหุ้มแล้ว หลวงพ่อเคาะเบา ๆ หัวยังแตกเลย

ส่วนอีกรายหนึ่งคือหลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันคือท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี หลวงพี่ดำท่านเคารพหลวงพ่อมาก เจอหน้าหลวงพ่อก็วิ่งเข้าไปกราบที่อก หลวงพ่อก็ใช้มือตบหัว "เป็นอย่างไรวะ..ไอ้ดำ ?" หลวงพี่ดำก็ลงไปกราบที่เท้า อาตมาเห็นก็คิดว่าพี่เราเคารพหลวงพ่อมาก กราบที่อกแล้วยังลงไปกราบที่เท้าท่านอีก

พอหลวงพ่อเดินผ่านไป หลวงพี่ดำลุกขึ้นมาบอกว่า "โอ้โห..เกือบสลบเลยกู" อาตมาถามว่าทำไม ? "ป๋าสิ..มือหนักเป็นบ้าเลย ตบหัวเล่น ๆ เหมือนกับโดนตะลุมพุกฟาดเลย..!" อ๋อ..ที่ลงไปกองกับพื้นไม่ได้กราบเท้าหรอก ร่วงลงไปเอง..! นั่นนะเพิ่งจะรู้ว่ากำลังคนแก่ เผลอเมื่อไรกำลังบุญของท่านออกมาเราก็แย่"

เถรี
16-01-2012, 10:50
ถาม : เหมือนจะขัดแย้งกันนะคะ
ตอบ : ไม่ขัดแย้ง..เพราะสภาพร่างกายที่แข็งแรงขนาดนั้นก็เหมือนกับรถ ลองเอารถเบนซ์ไปเทียบกับรถเก๋งญี่ปุ่นดูสิ ว่าน้ำหนักต่างกันขนาดไหน

รถเบนซ์ที่วิ่งดีเพราะรถหนักมาก รถหนักการทรงตัวถึงจะดี คนที่กำลังมากร่างกายก็หนัก กำลังตัวเองที่จะแบกร่างกายไม่มีหรอก แต่พอถึงเวลาไปปะทะกับรถคันอื่น แล้วรถคันอื่นจะไหวไหม ก็คงยุบไปสักครึ่งคัน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : กำลังบุญเป็นธรรมชาติอย่างนั้นเลย เกิดจากบุญที่สร้างมา พระอานนท์ก็มีกำลังอย่างนั้น นางปุณณทาสีก็มีกำลังอย่างนั้น ถ้าไม่มีกำลังขนาดนั้นใครจะไปใส่เครื่องมหาลดาปสาธน์ได้ มีหวังโดนทับคอหักตาย

เครื่องมหาลดาปสาธน์สร้างจากทองคำ ๑,๐๐๐ แท่ง เงิน ๑,๐๐๐ แท่ง ไม่รู้ว่าแท่งหนึ่งหนักกี่กิโลกรัม แก้วมณี ๓๓ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน ร้อยกันเป็นเสื้อคลุมขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วมีมงกุฏเป็นรูปนกยูงลำแพน มีขนปีกทองคำข้างละ ๕๐๐ เส้น ไม่รู้ว่าหนักเท่าไร แต่ตอนเอาไปขายต้องใส่เกวียนไป ท้ายสุดไม่มีใครซื้อเพราะราคาตั้ง ๙๑ โกฏิ นางวิสาขาก็เลยต้องควักเงินตัวเองซื้อคืนมา ตอนใส่คุณยายใส่ได้หน้าตาเฉย แต่พอตอนขายคนอื่นต้องเอาใส่เกวียนไป ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องบรรทุกรถกระบะไป

เถรี
16-01-2012, 11:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ ๓๖ องค์ ก็ตกประมาณ ๗,๒๐๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวจะมีวัตถุมงคลมาให้บูชา เพื่อเอาเงินไปปิดทอง ถึงแม้เราไม่ได้เป็นเจ้าภาพสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ แต่เราปิดทองหมดทุกองค์ เท่ากับว่าเราได้เป็นเจ้าภาพหมดทุกองค์เลย เพราะถ้าปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์จะคุ้มกันได้เป็นคณะ จะกี่หมื่นกี่แสนคนก็ได้ รวม ๆ กันไปก็มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมดได้เหมือนกับเป็นเจ้าภาพเอง

เดี๋ยวจะให้เขาไปออกประกาศในเว็บวัดท่าขนุน เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านชุดกรรมการ ๓๐๐ ชุด ชุดละ ๗,๕๐๐ บาทเอง จะมีพระองค์หนึ่งที่ไม่เคยออกมาก่อนเลยคือเนื้อชินตะกั่ว พระชุดนี้ถ้าคิดตามราคาแต่ละองค์จะแพง แต่อาตมาไม่คิดตามราคา คิดเป็นชุด ชุดหนึ่งมี ๗-๘ องค์ จะมีเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ เนื้อเมฆสิทธิ์ เนื้อเมฆพัตร เนื้อผง เนื้อชุบทองพ่นทราย เนื้อชินตะกั่ว

เนื้อนวโลหะที่ราคาแพงมากเพราะว่ารุ่นนั้นอาตมาใส่ทองคำไป ๑๐๐ บาท ทองคำ ๑๐๐ บาทตอนนี้เข้าไปเท่าไรแล้ว ก็ตก ๒ ล้านกว่าบาทแล้ว บางคนได้พระปิดตาฯ เหลืองเป็นทองเลย เพราะว่าเป็นองค์อยู่ก้นช่อพอดี ทองคำมีน้ำหนักมาก พอเทลงไปทองคำจะวิ่งลงก่อน แต่เนื้อนวโลหะจะมีธรรมชาติ ก็คือ สีจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ภาษานักเล่นพระจะเรียกว่า กลับดำ ถ้ามีส่วนผสมเงินมากก็จะกลับดำเร็วขึ้น ถ้าผสมตามสูตรก็นานหน่อยกว่าที่จะดำ

อาตมามีพระนวโลหะที่เก็บมานานอยู่องค์หนึ่ง ตอนแรกเนื้อแดงอร่ามเหมือนนากเลย ปัจจุบันนี้ปลายพระนาสิกกับพระชานุ(หัวเข่า)เริ่มจะดำแล้ว ของโบราณสูตรเขาทนนานมาก ถ้าเราเช็ดอยู่เรื่อยจะแดงอร่ามอยู่ตลอดเวลา แต่พอเก็บไปนาน ๆ ก็จะเริ่มกลับดำ"

เถรี
16-01-2012, 11:31
"แบบเดียวกับครอบน้ำมนต์ของหลวงปู่มหาอำพัน คนไม่รู้เรื่องเห็นว่าครอบน้ำมนต์ดำปี๋เลย ดำหนา ๆ ด้วย คนก็ไม่ได้ใส่ใจเพียงแต่เคยเห็นหลวงปู่พรมน้ำมนต์ ก็รับ ๆ ไป กว่าจะรู้ว่าเป็นครอบน้ำมนต์ปทุมโลหิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ วัดสุทัศน์ก็สายไปเสียแล้ว ใครคว้าเอาไปแล้วก็ไม่รู้

พอหลวงปู่มหาอำพันมรณภาพแล้ว เขาขนทรัพย์สมบัติของท่านกันใหญ่ ไม่ได้กลัวเลยว่าจะติดหนี้สงฆ์ หลวงพี่มนตรีท่านอยู่กับหลวงปู่ เฝ้ากุฏิอยู่ โทรมาบอกว่า "พี่เล็ก..ทำอย่างไรดี พระองค์เท่าคนเขายังแบกไปกันเลย" อาตมาบอกว่า "เขาอยากเอาไฟเผาบ้านก็ให้เขาแบกไป..!"

ถาม : สมมติหนูขโมยหยิบไปโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วเอาไปให้อีกคนเช่าบูชา โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง คนที่มาเช่าต่อมีผลไหมคะ ?
ตอบ : มีผลเหมือนกัน แต่ว่าจริง ๆ แล้วให้ทำอย่างที่อาตมาเคยแนะนำพระน้องชายไป พระน้องชายเขาชอบเล่นพระเครื่อง ส่วนใหญ่พระเครื่องเก่า ๆ บางทีก็ออกจากกรุมาโดยไม่ถูกต้อง คือขโมยขุดกันมา เขาถามว่าจะแก้ไขอย่างไรไม่ให้เป็นหนี้สงฆ์

อาตมาบอกว่า ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้ว ถวายคืนสงฆ์ไปองค์ต่อองค์ เราเอาพระเครื่องมา ๑๐ องค์ก็ให้เอาพระพุทธรูปหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้วไปคืน ๑๐ องค์ เพราะว่าเรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา ไม่ได้ดูมูลค่าปัจจุบัน เพราะพระพุทธเจ้าเป็นอัปปมาโณ ประมาณราคาไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น..ให้สร้างพระหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้วไปถวายคืน ถ้าได้ ๙ นิ้วไปเลยยิ่งดี

ถาม : ทำแล้วไปถวายที่ไหนคะ ?
ตอบ : วัดไหนก็ได้ ให้เราตั้งใจถวายเพื่อชำระหนี้สงฆ์

เถรี
16-01-2012, 12:46
http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms20091210944.jpg


พระอาจารย์กล่าวว่า "ตราประจำตระกูลของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นตราพระอาทิตย์ทรงรถ เพราะท่านชื่ออาภากร

อาภากร ผู้กระทำซึ่งแสงสว่าง หมายถึงพระอาทิตย์ นอกจากพระอาทิตย์ทรงรถแล้วยังมีบาลีว่า กยิราเจ กยิราเถนัง แปลว่า ทำอะไรต้องทำให้จริง ถ้าหากว่าเราทำจริง จะสำเร็จทุกอย่าง ส่วนใหญ่แล้วของพวกเรายังทำไม่จริง ถ้าหากว่าทำจริง เขาต้องแลกกันด้วยชีวิต..!"

เถรี
16-01-2012, 12:51
ถาม : แค่ตั้งใจทำบุญก็ได้บุญนั้นแล้ว แต่ถ้ายังไม่ทันได้ทำ ก็ตัดใจเลิกทำบุญนั้นแล้ว ?
ตอบ : ก็หมดบุญ..!

ถาม : ไม่ใช่ว่าได้บุญไปแล้วหรือครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าบุญอยู่ที่ความตั้งใจ พอความตั้งใจหมด บุญก็หมดไปด้วย

ถาม : ถ้าตั้งใจใหม่ก็ได้ใหม่ ?
ตอบ : ได้ใหม่..ถ้าอยากได้บุญฟรี ต้องรีบตายก่อนที่จะเปลี่ยนใจ ไม่อย่างนั้นผลบุญนั้นยังไม่สำเร็จ..!

เถรี
16-01-2012, 14:02
ถาม : สมมติว่ามีผู้หญิงกับผู้ชายหนีไปด้วยกัน โดยที่พ่อแม่ไม่ได้ยอมรับ แล้วอยู่ ๆ ผู้หญิงก็ไปมีสามีใหม่โดยที่ไม่ได้เลิกกับสามีที่หนีตามกันไป แต่พ่อแม่ยอมรับผู้ชายคนใหม่ อย่างนี้ผู้หญิงจะผิดศีลข้อ ๓ ไหมครับ ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : แล้วผู้ชายคนใหม่ผิดศีลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพ่อแม่ยกให้ก็ไม่ผิด แต่ต้องดูด้วยว่าผู้ชายคนแรกเขายึดถือว่าเป็นเจ้าของหรือเปล่า ? ถ้าเขาหวงขึ้นมาก็โทษถึงตาย..!

ถาม : แต่พ่อแม่เขายกให้แล้วนี่ครับ ?
ตอบ : พ่อแม่ไม่ได้ยกให้ผู้ชายคนแรก แต่คุณยอมไปกับเขา ถือว่าคุณเป็นสมบัติของผู้ชายคนแรกไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงผิด ๒ ครั้ง อย่างแรกคือพ่อแม่ไม่ได้ยกให้ อย่างที่ ๒ คือสามีคนแรกไม่ได้ยกให้

ถาม : ทำไมผู้หญิงจึงผิดสองอย่าง ก็พ่อแม่ผู้หญิงยกให้ผู้ชายคนใหม่แล้วนี่ครับ ?
ตอบ : ก็เพราะผู้ชายคนแรกเขาไม่ได้ยอม ส่วนผู้ชายคนที่สอง ไม่มีโทษเพราะพ่อแม่ยกให้แล้ว แต่ผู้หญิงผิดทั้งสองรอบ

ถาม : ถ้าเกิดพ่อแม่ผู้หญิงตายไป ผู้ชายคนแรกไปขอขมาศพ เพื่อยกโทษให้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้..การขอขมาต้องอยู่ต่อหน้าโจทก์และจำเลย เอ่ยปากแล้วยินยอมกัน ถ้าไปขอขมาศพแล้วพ้นโทษได้ ป่านนี้ก็สบายกันไปหมดแล้ว

เถรี
16-01-2012, 14:11
ถาม : ทำไมเวลาสมาธิทรงตัวดี ๆ เราถึงคิดเลวได้ ?
ตอบ : เพราะเราสู้กิเลสไม่ทัน กิเลสเข้ามาเร็ว กว่าเราจะรู้ตัวกิเลสก็พาไปไกลแล้ว ถ้าหากว่าสติปัญญาไม่แหลมคม ไม่ว่องไวพอ ก็หยุดกิเลสไม่ทัน ถ้าหยุดไม่ทันก็ไม่ต้องไปหวังว่าจะฆ่ากิเลสได้

ถาม : เรามีหน้าที่หยุดกิเลสอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : ตอนแรกคือหยุดก่อน หลังจากนั้นค่อยทำลายกิเลสทีหลัง

ถาม : ผมรู้ตัวเมื่อไรก็เสร็จไปแล้วทุกที
ตอบ : เห็นหรือยังว่ากิเลสเร็วแค่ไหน ? ต้องรอให้เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินขึ้นมา เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นภาพช้า เพราะว่าสภาพจิตของเราเร็วมาก ทุกอย่างจะช้าไปหมด เมื่อเป็นอย่างนั้นกิเลสที่เข้ามาก็จะช้าไปด้วย จิตถึงสกัดกั้นกิเลสได้ทันและสามารถทำลายทิ้งได้

ถาม : อย่างนี้ถ้าเราเฉียดตายบ่อย ๆ ก็ดีสิครับ ?
ตอบ : ดี..!

ถาม : ถ้าอย่างนั้นผมอาราธนาท่านนั่งรถไปกับผมอีกนะครับ ?
ตอบ : อาตมาไม่เสี่ยงตายด้วย ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นแล้ว

ถาม : ถ้าเราไม่เจอเหตุการณ์อย่างนี้ เราจะคิดเองเป็นไหมครับ ?
ตอบ : อีกนาน ต้องค่อย ๆ สั่งสมกำลังสติ สมาธิ ปัญญาให้เพียงพอ

มีใครเคยเจออย่างนี้บ้างไหม ? ขับรถมาด้วยความเร็ว ๑๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ ๆ รถบรรทุกสิบแปดล้อตบออกมาเต็มช่องทางของเรา ถ้าชนเข้าไปรถก็เหลือแค่เมตรเดียว..! แต่ครั้งนั้นถนนขยายใหญ่ได้ รถก็เลยผ่านไปได้ (หัวเราะ)

เถรี
16-01-2012, 14:18
ถาม : .............เป็นโลภะหรือเป็นโมหะ ?
ตอบ : เป็นโลภะและเป็นโมหะทั้งคู่เลย แต่จริง ๆ แล้วโมหะมาก่อน

ถาม : เห็นสิ่งนั้นเป็นของเรา ?
ตอบ : เห็นว่าเป็นของเรา แล้วยังไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นของเรา เพียงแต่อยู่ในลักษณะที่ว่าอยู่กับร่างกายนี้อย่างมีสติ และรู้เสมอว่าเราจะต้องจากไป

ถาม : ถ้าเราเห็นว่าจิตเป็นสีขาว ๆ ขุ่น ๆ แปลว่า จิตของเรา...?
ตอบ : ต้องดูว่าสภาพจิตตอนนั้นเรารับอารมณ์อะไร เพราะว่าจริง ๆ มีกิเลสครบทุกตัว แต่ที่เด่นออกมาตอนนั้นคืออารมณ์ที่จิตรับในตอนนั้น เป็นรัก โลภ โกรธ หรือหลง ? ขอให้รู้ว่ายังมีอยู่เต็มที่ก็แล้วกัน

ถาม : ถ้าจิตเป็นโมหะ เราจะเห็นเป็นจิตดำหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ

ถาม : ถ้าจิตเป็นอีกแบบ เป็นแบบเม็ดเล็ก ๆ ?
ตอบ : อยู่ที่เราเอง ความเป็นทิพย์มีใช่ไหม ? ให้นึกถามตอนนั้นเลยว่านั่นคืออะไร

เถรี
16-01-2012, 19:39
ถาม : การพิจารณากสิณ คือการพิจารณาโดยเห็นภาพ เห็นสี ในกรณีที่จิตของเราไปสัมผัสตัวเปลวไฟ กระแสลม ที่ใช้ความรู้สึกไปจับ จะเรียกว่าเป็นกสิณ หรือเรียกเป็นมหาสติ ?
ตอบ : อย่างหนึ่งเป็นมังสะจักษุ ตาเนื้อเห็น อีกอย่างหนึ่งเป็นปัญญาจักษุ เห็นด้วยปัญญา ถ้าจิตเราจดจ่อเพ่งอยู่ตรงนั้นก็เป็นกสิณ แต่ถ้าหากว่าเราเอาสติสมาธิทั้งหมดไว้ตรงนั้นจะเป็นมหาสติ คือถ้าเราเพ่งอยู่ที่ภาพจะเป็นกสิณ ส่วนช่วงที่เราประคับประคองอยู่จะเป็นมหาสติ แต่ถ้าทำอย่างที่ว่ามาจัดเป็น "กสิณโทษ" เพราะไปสนใจสิ่งอื่นนอกเหลือดวงกสิณ จะทำให้สำเร็จกสิณกองนั้น ๆ ยาก

ถาม : ถ้าตามหลักการกสิณ สีจะเปลี่ยน แล้วถ้าเป็นในกรณีปัญญาจักษุ แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ปัญญาจักษุสามารถเห็นได้ในทุกที่ แต่ถ้ามังสะจักษุการเห็นจะจำกัด เสียดายเราไม่มีสมันตจักษุเหมือนพระพุทธเจ้า สมันตจักษุเป็นการเห็นรอบ รู้รอบ ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ท่านได้ เราเองถ้าหากว่าใช้ปัญญาพิจารณาไม่ละเอียดจริง ก็จะมองข้ามจุดที่ละเอียดไป

พระพุทธเจ้าท่านเห็นครบหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรปิดบังท่านได้เลย อย่างเวลาเราสวดทำนองสรภัญญะ พร้อมเบญจพิธจัก- ษุจรัสวิมลใส
เบญจพิธจักษุ คือ ดวงตาทั้ง ๕ ได้แก่ มังสจักษุ ทิพยจักษุ สมันตจักษุ ปัญญาจักษุ ธัมมจักษุ เพราะฉะนั้น..ภาษาไทยความหมายลึก พวกเราเองส่วนมากก็แปลไม่ออก

ธรรมะคือคุณากร คุณากร คุณากะโร แปลว่า ผู้กระทำซึ่งคุณ ธรรมะมีคุณโดยส่วนเดียว ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชัชวาล เป็นความดีที่มั่นคง เปรียบเหมือนแสงไฟที่สว่างไสว แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล ส่องเข้าไปในใจของสรรพสัตว์ที่มืดมิดให้สว่างไสวขึ้นมา

ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน พระธรรมของพระพุทธเจ้ามีองค์ ๘ คือมรรค ๔ ผล ๔ บวกนิพพานอีก ๑ ก็เป็น ๙ สมญาโลกอุดรพิสดาร เรียกว่าโลกุตรธรรมอันพิสดาร โลกอุดรคือโลกุตระ อันลึกโอฬาร พิสุทธิ์พิเศษสุกใส เพราะฉะนั้น..ต้องไปเรียนภาษาไทยใหม่ถึงจะแปลได้ ไม่อย่างนั้นแปลไม่ออก สวดกันอยู่ประจำแต่แปลกันไม่ได้

เถรี
16-01-2012, 19:45
ถาม : กรรมบถ ๑๐ มีอยู่สองข้อที่ผมไม่เข้าใจ ที่กล่าวว่าไม่มีความโลภจนเกินไป กับไม่เป็นมิจฉาทิฐิครับ ?
ตอบ : ไม่มีความโลภจนเกินไป ก็คือต้องการอะไรให้หามาอย่างถูกต้องตามศีลตามธรรม ถ้าอยู่ในลักษณะนี้จะเป็นอารมณ์พระโสดาบัน ยังต้องการอยู่ แต่ผิดศีลไม่เอา ไม่ลักขโมย ไม่หยิบฉวย ไม่ช่วงชิง ไม่คดโกง ไม่หลอกลวงใคร จริง ๆ แล้วในเรื่องกรรมบถ ๑๐ นี่อย่างต่ำ ๆ ต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป

ถาม : แม้แต่ความอยากมากจนเกินไป แต่ไม่ได้ทำผิดศีล ถือว่าผิดกรรมบถไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ผิดศีลก็ยังไม่ถือว่าอยากมากไป แต่ในขณะเดียวกันเริ่มอยากก็เริ่มทุกข์แล้ว การมีความเห็นเป็นสัมมาทิฐินั้น คือเห็นว่าทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นของดี เราควรจะปฏิบัติตามนั้น

ถาม : แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของพระโสดาบัน ที่พยายามจะเป็นพระสกิทาคามี โดยเนื้อแล้ว ท่านก็ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนหรือครับ ?
ตอบ : แล้วจะให้ปฏิบัติตามใครวะ ? ท่านลดในเรื่องของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ลงมากกว่าพระโสดาบัน ลักษณะของการลดลงก็ไม่ต้องเสียเวลาไปพยายาม ถ้าสมาธิถึงปัญญาถึงก็จะลดลงไปเอง

เถรี
16-01-2012, 19:46
ถาม : โลกุตรฌาน มีความหมายว่าอย่างไรครับ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเราก็สักแต่ว่าเรียกไป ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถ้าทรงฌานได้ก็เป็นโลกุตระฌาน

ถาม : แสดงว่าปุถุชนทรงอารมณ์นี้ไม่ได้ ?
ตอบ : ปุถุชนเป็นโลกียฌาน ทรงฌานเท่ากัน แต่ความสะอาดจากกิเลสของจิตไม่เท่ากัน

เถรี
17-01-2012, 08:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดนตรีไทยทำให้คนใจเย็น เพราะเป็นการสร้างสมาธิโดยตรง เด็กรุ่นใหม่ ๆ รับไม่ได้หรอก เพราะรู้สึกว่าช้าเกินไปสำหรับเขา

ถ้าเด็กรุ่นใหม่จะฟังดนตรีไทยเดิมต้องเพลงค้างคาวกินกล้วย หรือ ลาวแพน จังหวะจะเร็วหน่อย ถ้าเพลงเถา ๓ ชั้น ๕ ชั้น ต้องเอื้อนลูกคอ บางทีนอนหลับไป ๓ ตื่นจึงจะจบ แบบนั้นเขาไม่ฟังกันหรอก"

เถรี
17-01-2012, 08:20
ถาม : เวลาภาวนาหรือทรงสมาธิ ปกติจิตผมจะติดอยู่กับร่างกายมาก พอภาวนาไปรู้สึกว่าเกิดความเครียด ก็ปล่อยสภาวะให้สบายขึ้น อารมณ์ก็จะไปอยู่ในลักษณะไม่รู้สึก แต่รู้ตัวอยู่ แต่ไม่สามารถประคองได้นาน สักพักก็จะกลับมาเกาะอยู่กับร่างกายอีก อันนี้ถูกทางหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตอนนั้นสภาพจิตไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ถือว่าถูกทางอยู่

ถาม : ถ้าถูกทาง ทำอย่างไรจึงจะทรงอารมณ์นั้นได้อยู่ ?
ตอบ : พอรู้ตัวก็กลับไปทำใหม่ อยู่ในลักษณะการซักซ้อมเข้าออกสมาธิให้ชำนาญ ถ้ามีความชำนาญแล้ว เราจะสามารถกำหนดเวลาได้ ว่าต้องการเข้าสมาธิมากน้อยเท่าไร ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาอารมณ์สมาธิหล่นลงมาแล้วเราก็เลิก พอหล่นลงมาก็ต้องตะกายขึ้นไปใหม่ ต้องตื๊อกันไปเรื่อย ๆ

แรก ๆ ยังต้องใช้ความพยายามอยู่ พอนานไปความเคยชินเกิดขึ้น แค่นึกก็เป็นแล้ว เขาเรียกสมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าสมาธิ ถ้าเป็นวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากสมาธิ บางคนเข้าได้แล้วออกไม่ได้ ต้องดิ้นรนอึกอัก ๆ เหนื่อยแทบตาย ก็เลยเข็ด..ไม่กล้าเข้าอีก ความจริงแค่ยังขาดความชำนาญเท่านั้น ถ้าหากว่าซักซ้อมบ่อย ๆ ได้ก็จะดี

ต้องบอกว่าโดนกิเลสหลอก หลอกให้กลัว อย่างที่เคยพูดว่า ความกลัวทุกชนิดมีผลมากจากความกลัวตาย เข้าสมาธิแล้วออกไม่ได้เดี๋ยวจะตาย ในเมื่อโดนกิเลสหลอกก็ทำให้ไม่กล้าเข้าสู่สมาธิระดับนั้นอีก พอเราไม่หลบเข้าไปอยู่กับสมาธิลึก ๆ เขาก็ทำอันตรายเราได้ง่าย

ในเรื่องของการปฏิบัติ กิเลสเขาหลอกลวงเราสารพัด เขาสามารถใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขัดขวางไม่ให้เราก้าวสู่ความดี โดยเฉพาะคนที่เรารักและเกรงใจอย่างพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่

พอถึงเวลาขออนุญาตไปวัด "จะไปทำไมยังอายุน้อยอยู่ รอให้แก่ ๆ ก่อน" "ลูกยังเล็กเจ้าค่ะ" พอลูกโต "โอ๊ย..หลานยังเด็กอยู่เลยเจ้าค่ะ" คราวนี้ก็รอตอนหามเข้าไป ถ้าหามเข้าไปก็พอดีเผาทุกที ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว

เถรี
17-01-2012, 08:24
ถาม : บางคนเขาคุยว่านั่งสมาธิเห็นภาพต่าง ๆ ถ้าเราจับภาพพระที่เรานึกถึง พร้อมกับดวงจิตของเรานึกถึงพระด้วย อันนั้นถือว่าอนุสติหรือว่าโดนหลอกคะ ?
ตอบ : ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าความดีส่วนใดส่วนหนึ่งก็เป็นอนุสติ ต่อให้เป็นการหลอกก็ไม่เป็นไร ยิ่งหลอกให้เรายึดความดีได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แล้วค่อยไปว่ากันตอนสุดท้ายที่ต้องการหลุดพ้นค่อยไปปล่อย

ตอนนั้นถ้าปัญญาถึงก็จะปล่อยเอง ไม่ต้องไปเสียเวลาปฏิบัติให้มากมาย แต่ตอนแรกต้องยึดความดีก่อน ถ้าไม่มีอะไรให้ยึดก็จะไม่มีอะไรให้ปล่อย อย่างที่เคยเปรียบให้ฟังบ่อย ๆ ว่า เราเดินขึ้นบันไดก็ต้องเกาะราวบันไดก่อน พอไปถึงห้องก็ไม่มีใครแบกราวบันไดไปด้วย หรืออย่างในพระบาลีท่านว่า พายเรือข้ามฝั่ง พอขึ้นฝั่งก็ไม่มีใครแบกเรือไปด้วย

เถรี
17-01-2012, 10:21
ถาม : คำว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นอกจากความงามหรือรูป แล้ว รวมถึงจิตด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา รวมจิตด้วย

ถาม : แสดงว่าจิตก็ไม่ใช่เรา นิพพานก็ไม่ใช่เรา ?
ตอบ : เอาอย่างนี้ ไปทำให้ถึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงใคร ถ้ายังทำไม่ถึงก็เสียเวลาไปถกเรื่องที่เราไม่รู้เรื่อง เรียนอยู่ ป.๔ แล้วดันไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าด็อกเตอร์เขาเรียนอะไรกัน บ้าเสียเปล่า ๆ..!

สภาพจิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ทุกวินาที ตามอารมณ์ที่มาเสวยอยู่ในขณะนั้น แล้วจะยึดเป็นตัวตนได้หรือไม่เล่า ? เพราะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ถาม : อย่างนี้จะกล่าวได้ไหมครับว่า จิตเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ?
ตอบ : การที่จิตไปรับอารมณ์ภายนอกเข้ามาทำให้เกิดทุกข์ พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีของให้แบกแล้วดันไปเอามาแบก

ถาม : จริง ๆ จิตก็ไม่มีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเสียเวลาไปวิพากษ์ ถ้าคุณจะเอาให้มี คุณก็ตั้งเป้าจะให้มีให้ได้ ถ้าคุณไม่ต้องการให้ไม่มี คุณก็ตั้งเป้าจะให้ไม่มีให้ได้ สรุปแล้วก็เป็นทิฐิมานะทั้งคู่..!

เถรี
17-01-2012, 10:35
บางอย่างเขาเถียงกันมาตั้งแต่เทวดา พรหม ลงมาถึงมนุษย์ เป็นพัน ๆ ปีก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ อย่างเช่นมงคลสูตร จนพระพุทธเจ้าต้องมาตัดสินให้

ในเรื่องหลักของการปฏิบัติก็เหมือนกัน เราปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เอื้อต่อความหลุดพ้นท่านเรียกว่า ธรรมที่เนิ่นช้า คือทำให้เราช้าลง เสียเวลาเปล่า ๆ มัวแต่ไปวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เกิดกิเลสมาก็ยิ่งร้อยรัดทำให้เราติดหนักเข้าไปอีก

บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ ในสมัยก่อน มีอยู่ ๖๒ สำนัก แต่ละสำนักล้วนแล้วแต่มีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง อย่างเช่น ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฏบุตร เป็นต้น

ตอนแรกอาตมาก็ว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้สอนคนให้หลงผิดชัด ๆ แล้วทำไมคนถึงได้เชื่อขนาดนั้น ปรากฏว่าพอไปศึกษาในพรหมชาลสูตรแล้วถึงได้รู้

๑๘ สำนักแรกเขาจัดอยู่ในพวกปุพพันตกัปปิกทิฐิ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ระลึกชาติย้อนหลังได้ตั้งแต่ ๑ แสนชาติ ๑ กัป ๑๐ กัป ๒๐ กัป ๓๐ กัป ๔๐ กัป ท่านก็เลยยืนยันว่าเรื่องของการเกิดการตายนั้นมี คนที่เก่งถึงขนาดระลึกชาติได้ ความสามารถเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องเล็กแล้ว คนจึงให้ความเคารพนับถือท่านมาก

อีก ๔๔ สำนักเป็นพวกอปรันตกัปปิกทิฐิ เป็นพวกเห็นอนาคต ถึงได้บัญญัติทิฐิของท่านขึ้นมา บางคนก็บอกว่าตายแล้วไม่สูญ บางคนก็บอกว่าตายแล้วสูญ บางคนก็บอกว่าสูญบ้างไม่สูญบ้าง แล้วแต่ว่าเขาเห็นไปถึงรูปพรหมหรืออรูปพรหม บางคนก็เคยเกิดทั้งรูปพรหมอรูปพรหมก็เหมาว่าสูญบ้างไม่สูญบ้าง ยุ่งไปหมด ดังนั้น..สมัยก่อนจริง ๆ แล้วคนเขามีความสามารถ ในเมื่อเขามีความสามารถถึงได้มีคนตามเชื่อศรัทธากันจนขนาดนั้น

เถรี
17-01-2012, 10:42
แม้กระทั่งศาสนาเชนที่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของศาสนาพุทธ ศาสดามหาวีระก็เป็นต้นบัญญัติของศีล ๕ มาก่อน เป็นต้นบัญญัติของการฟังธรรมวันพระ เป็นต้นบัญญัติของการจำพรรษาในฤดูฝน เพราะฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วคนสมัยนั้นเขาเก่ง เพียงแต่ว่าเขาหาเพชรยอดมงกุฏคืออริยสัจไม่เจอ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าศึกษาตามพวกเขาจนถึงสมาบัติ ๘ เลยนะ ท่านเหล่านั้นเก่งขนาดไหนล่ะ ? พวกเราได้สักเสี้ยวหนึ่งไหม ?

ถ้าไม่ได้ปัญญาขนาดพระพุทธเจ้าก็จะไม่เห็นว่านั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เขาเองเห็นว่าการที่ได้ไปอยู่กับปรมาตมัน ก็คือพระผู้เป็นใหญ่ ถือว่าเป็นที่สุดของเขาแล้ว เป็นโมกษะคือความหลุดพ้นแล้ว แต่พระพุทธเจ้าท่านมั่นใจว่าไม่พ้น

แม้กระทั่งท้าวพกพรหมที่จุติแล้วเป็นพรหม จุติแล้วเป็นพรหมไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพราะท่านสร้างบุญไว้เยอะ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงไปที่อื่นสักที ท่านก็เลยมั่นใจว่าเป็นอมตะแล้ว แต่ความจริง แล้วเกิด ๆ ตาย ๆ อยู่ตลอด แต่ตนเองไม่ได้สังเกตว่านี่เป็นการตายแล้วเกิดใหม่

จนกระทั่งพอแข่งกัน พระพุทธเจ้าท่านแสดงอายตนะนิพพาน คือความละเอียดที่เหนือกว่าพรหม ยืนอยู่ตรงหน้าแต่ท้าวพกพรหมมองไม่เห็น ท่านถึงจะยอมรับ ส่วนท้าวพกพรหมไม่ว่าจะไปหลบไปซ่อนอยู่ที่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะพ้นสายพระเนตรได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนทิฐิของท่านได้

ดังนั้น..ถกเถียงไปก็เสียเวลาเปล่า สมัยก่อนเขาเถียงกันไม่รู้จบ จนกระทั่งปัจจุบันนี้แม้กระทั่งสายวัชรยานก็มีตรรกวิภาษณ์ คือการถกเถียงในเรื่องของหัวข้อธรรมต่าง ๆ ในลักษณะเอาชนะกัน ตั้งหัวข้อธรรมขึ้นมา แล้วก็หาเหตุหาผลมาว่าของใครเหนือกว่า

โดยเฉพาะทางด้านทิเบต บางทีเราจะเห็นพวกนักท่องเที่ยวเขาถ่ายภาพมาให้ มีอาการเหมือนจะลงไม้ลงมือกัน เถียงกันดังลั่นเลย เราก็นึกว่าเขาตีกัน ไม่ใช่หรอก..เขากำลังโต้วาที ถามว่าดีไหม ? ก็ดี..เพื่อให้เกิดความแตกฉานในธรรม แต่เป็นการแตกฉานในจินตมยปัญญา ขบคิดแล้วเข้าใจ ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คือสภาพจิตไม่ได้เห็นธรรมที่แท้จริง

เถรี
17-01-2012, 11:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว ถ้าถึงปีใหม่จะอัญเชิญมาที่บ้านวิริยบารมีครั้งหนึ่ง ส่วนที่วัดอาตมาจะอัญเชิญออกมาให้บูชา ๓ ครั้ง คือ มาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา นอกนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นหรอก

แรก ๆ อาตมาเอาไว้ที่สำนักงาน นานเข้าแล้วทองคำมากขึ้น ๆ ทีนี้พวกเด็ก ๆ เขาเข้าไปทำความสะอาดให้บ่อย อาตมาเองไว้ใจเขา แต่พวกเขาไม่ไว้ใจตัวเอง บอกว่า "หลวงพ่อเก็บไปเถอะ" (หัวเราะ) เรื่องของกิเลส ถ้าไม่มีโอกาสบางทีความโลภก็ไม่เกิด

สมัยอาตมาอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสอนให้ล็อกห้องทุกครั้งที่ออกมา ก็เลยกลายเป็นความเคยชิน ถ้าเราไม่เปิดโอกาส คนเขาไม่เกิดความอยากได้ ก็จะไม่ขโมย ถ้าเราไปเปิดโอกาสให้เขา เขาเห็นของที่ชอบใจก็จะเกิดการขโมย หยิบของเอาไปโดยไม่ได้บอกกล่าว"

เถรี
17-01-2012, 12:01
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)....แล้วจะป้องกันอย่างไรครับ?
ตอบ : ไม่ต้องป้องกัน ถ้าหากว่าวาระกรรมมาถึง อยู่ในมุ้งก็ตายได้ เรื่องนี้เหลือเชื่อจริง ๆ ตอนอาตมาเด็ก ๆ มีอาเจ็กข้างบ้านคนหนึ่งเป็นหมอดู ใคร ๆ ก็บอกว่าแม่นจริง ๆ แล้วอาเจ็กดูให้เพื่อน บอกว่าพรุ่งนี้เอ็งจะตายก่อนเที่ยง เพื่อนก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมออกไปไหน ดูซิว่าจะตายหรือเปล่า ?

เช้าขึ้นมาเมียหุงข้าวให้กิน แล้วก็ไปนอนเขลงอยู่ในมุ้ง พอเวลาใกล้เพล แม่ไก่ออกไข่แล้วก็บินขึ้นไปกระต๊ากอยู่บนขื่อ บนขื่อเขาวางแหลนเอาไว้ แม่ไก่เหยียบปลายแหลนกระดก พุ่งเสียบกลางอกพอดี ตายคามุ้งเลย ขนาดนอนอยู่ในมุ้งยังตาย

จะเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมจะหนีไปที่ไหนก็ไม่พ้น แต่ที่ทึ่งกว่านั้นก็คือ เขาทายแม่นขนาดนั้น บอกเวลาได้เลยนะ ก่อนเที่ยงตายแน่..!

ถาม : เป็นเรื่องของทิพจักขุญาณหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นทางโหรศาสตร์ก็เกิดจากความชำนาญ แต่อาเจ็กดูจากลักษณะโหงวเฮ้ง ก็ถือเป็นโหราศาสตร์อย่างหนึ่ง เพราะว่าโหงวเฮ้งเกิดจากบุญจากกรรมของคน แล้วแสดงออกซึ่งทางใบหน้าและร่างกาย แต่เป็นเรื่องของทิพจักขุญานหรือเปล่าก็ต้องไปถามแกอีกที แต่ตอนนี้ก็ไม่มีให้ถามแล้ว ตายไปตั้งนานแล้ว

อาตมาเคยไปขอเรียนวิชาแล้วแกก็ไม่ยอมสอน เพราะบางอย่างที่อาตมาต้องการเรียน เป็นประเภทใช้ขู่กรรโชกคนอื่นได้ ประเภทดูโหงวเฮ้งแล้วรู้ว่าเขามีความลับอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่มีความลับนั้นเครียด..กังวล เลยแสดงออกทางใบหน้า

เถรี
17-01-2012, 12:28
จะว่าไปแล้ว ผู้มีความสามารถก็มีอยู่ในทุกชาติทุกภาษา แต่ว่าตำราโหงวเฮ้งของจีน เท่าที่อาตมาทดลองใช้ดู จะแม่นสำหรับชาวเอเชีย ใช้กับชาวยุโรปจะไม่ค่อยแม่น อาจจะเป็นเพราะอยู่คนละซีกโลกกัน ลักษณะโครงสร้างร่างกายไม่เหมือนกัน จึงทำให้ดูไม่แม่น แต่ถ้าเป็นคนเอเชียก็ตรงตามตำรา

อย่างพระโหราธิบดีสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราชลุกขึ้นล้างพระพักตร์ตอนเช้า พอดีหนูตกจากขื่อลงมา พระองค์ก็เอาขันล้างพระพักตร์ครอบไว้ ให้มหาดเล็กวิ่งไปตามพระโหราธิบดีมา แล้วก็ถามว่าในขันนี้คืออะไร ?

พระโหราธิบดีก็ถามวันเวลาที่พระองค์ครอบขันลงไป ลงตัวเลขขีดเขียนเสร็จเรียบร้อยทูลว่า "สัตว์ ๔ เท้าพระเจ้าข้า" "เออ..แม่นดีท่านอาจารย์ แล้วมีกี่ตัว ?" พระโหราธิบดีบอกว่า "มี ๕ ตัวพระเจ้าข้า" พระองค์ท่านตรัสว่า "ครั้งนี้ท่าจะเหลวแล้วนะท่านอาจารย์ เพราะมีแค่ตัวเดียว"

พระโหราธิบดีกราบทูลว่า "ถ้าไม่ใช่ ๕ ตัว ยินดีถวายหัวพระเจ้าข้า" เอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยนะ พอเปิดขันขึ้นมา มี ๕ ตัวพอดี เพราะว่าหนูที่ตกลงมานั้นเป็นแม่หนู ตอนโดนขันครอบอยู่ก็คลอดลูกมา ๔ ตัว กลายเป็น ๕ ตัวพอดี เขาแม่นขนาดนั้น แสดงว่าความชำนาญในวิชาการต่าง ๆ อยู่ในระดับที่เรียกว่า สมกับที่เป็นปุโรหิตาจารย์ประจำพระองค์

เถรี
17-01-2012, 13:59
แบบเดียวกับประเทศจีนสมัยพระเจ้าโจวเจาอ๋อง แห่งราชวงศ์โจว อยู่ ๆ ก็มีแสงสว่าง ๕ สี พุ่งมาทางทิศตะวันตก น้ำขึ้นในช่วงน้ำลง แหล่งน้ำธรรมชาติมีน้ำเต็มเปี่ยมขอบทุกแห่ง และเกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าโจวเจาอ๋องจึงเรียกปุโรหิตมาถาม ปุโรหิตบอกว่า ทางทิศตะวันตกมีบุคคลผู้เป็นสุดยอดอัจฉริยบุรุษได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าโจวเจาอ๋องถามว่าจะมีโอกาสได้พบเห็นไหม ? ปุโรหิตบอกว่าอีก ๘๐ ปีข้างหน้าอัจฉริยบุรุษผู้นี้จะสิ้นชีวิต แต่ถัดจากนั้นแล้วอีก ๙๒๐ ปีข้างหน้า สิ่งที่ท่านบรรลุธรรมจะมาถึงบ้านเรา รวมแล้ว ๑,๐๐๐ ปีพอดี

คราวนี้ประเทศจีนเขาขยันบันทึก เขาก็บันทึกเรื่องราวนี้เอาไว้ เวลาผ่านไปอีก ๘๐ ปีให้หลัง ยุคของกษัตริย์โจวมู่อ๋อง อยู่ ๆ ก็มีรัศมีสีรุ้งสาดมาถึง แผ่นดินไหวและพายุพัดจัด จึงเรียกปุโรหิตาจารย์มาถาม ท่านบอกว่ากายหยาบของอัจฉริยบุรุษท่านหนึ่งกำลังแตกดับ ระยะเวลาตรงกับที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเลย ตรงนี้มีบันทึกเอาไว้ พวกบรรดาปุโรหิต ราชครูก็ศึกษากันต่อ ๆ มา

จนกระทั่งมาถึงยุคของพระเจ้าฮั่นหมิงตี้ เวลาผ่านไปครบ ๑,๐๐๐ ปีพอดี อยู่ ๆ พระองค์ท่านฝันเห็นชายผู้มีร่างกายเป็นทองคำใหญ่โตมโหฬารมาก มีรัศมีสีทองสว่างรุ่งเรืองอย่างยิ่ง เดินเข้ามาหา พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ถามปุโรหิตาจารย์ว่า นิมิตนี้หมายถึงอะไร ? ปุโรหิตบอกว่า ธรรมะของอัจฉริยะบุรุษที่มีบันทึกเมื่อพันปีก่อน ได้เวลาที่จะมาถึงเมืองจีนแล้ว สืบเนื่องกันมากี่รุ่นแล้ว ตั้ง ๑,๐๐๐ ปี..!

แสดงว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมีอยู่ในทุกยุคสมัย เพียงแต่ว่าเขาได้ทำหน้าที่ของเขาในจุดที่เป็นประวัติศาสตร์หรือเปล่า ? ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ก็จะมีการบันทึก พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ก็ส่งราชทูตไป พอดีเจอคณะของพระกาศยปมาตังคะกับพระธรรมรักษิตะ กำลังนำเอาพระพุทธรูปและคัมภีร์พระธรรมเดินทางเข้ามาสู่เมืองจีน ก็เลยรับตัวมา

ด้วยความที่คนจีนขยันจดบันทึก เขาจึงสามารถสืบประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี เพราะเขาบันทึกกันมาตั้งแต่อดีต ส่วนของเราพวกคลังสมองส่วนนี้ยังไม่ค่อยมี ใช้วิธีมุขปาฐะ จำแล้วก็บอกเล่าต่อ ๆ กันมา

เถรี
17-01-2012, 14:02
ถาม : ใช่พระถังซำจั๋งหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..พระถังซำจั๋งนั่นมาสมัยพระถังไท่จงฮ่องเต้แล้ว

สมัยพระถังซำจั๋งบ้านเมืองเกิดสงครามกันมาหลายยุคหลายสมัย หลักธรรมกระพร่องกระแพร่งไปหมด ใครฉวยตรงส่วนไหนได้ก็ไปทางด้านนั้น เมื่อพระธรรมไม่ได้รวมอยู่ที่เดียวกัน การศึกษาก็ไม่ทั่วถึง พระถังซำจั๋งจึงทูลขออนุญาตไปสืบพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย เพื่อที่จะเอาหลักธรรมที่สมบูรณ์กลับคืนมา ก็หมายความว่าพระพุทธศาสนายุคนั้นเจริญรุ่งเรืองมาจนกระทั่งเสื่อมแล้ว เสร็จแล้วก็รุ่งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อพระถังซำจั๋งอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา

เถรี
17-01-2012, 16:14
ถาม : ทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีภรรยาได้ ?
ตอบ :เราไม่เข้าใจสภาพบ้านเมืองเขาและไม่ได้คุยกับเขา เราจึงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีลูกมีเมีย พออาตมาไปคุยกับพระญี่ปุ่นแล้วจึงเข้าใจสภาพสังคมยุคนั้น

ศาสนาพุทธในญี่ปุ่นพอเจริญรุ่งเรืองมาระยะหนึ่ง ก็เข้าสู่ยุคเจ้าผู้ครองนครหรือที่เขาเรียกว่าไดเมียว มีพวกบรรดาโชกุนต่าง ๆ เป็นเหมือนกษัตริย์ ในยุคนั้นบรรดาเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ก็รบทัพจับศึกกันตลอดเวลา บ้านเมืองไม่สงบ พระจะออกไปเผยแผ่ธรรมก็ไม่ได้ พอเดินทางไปเผยแผ่ธรรมก็โดนจับโดนฆ่า เพราะเขาหาว่าเป็นจารบุรุษปลอมตัวมา

ท่านก็เลยมีแนวคิดว่า ถ้าเราไม่สามารถเผยแผ่ธรรมอย่างนี้ได้ ก็ต้องปักหลักอยู่กับที่ การปักหลักอยู่กับที่ในสภาพบ้านเมืองอย่างนี้ก็ไม่มีคนเข้ามาหาหลักธรรม จึงเกิดแนวคิดขึ้นมาว่า ถ้าตัวเองมีครอบครัวอย่างน้อยก็สามารถที่จะสอนภรรยาตัวเองได้ ถ้ามีลูกจะได้สอนลูกตัวเองได้ ถ้าพ่อแม่ตัวเองหรือพ่อตาแม่ยายฟังด้วยก็จะได้เพิ่มขึ้นอีก ก็เลยเปลี่ยนมามีครอบครัวแทน เพื่อที่จะเผยแผ่และรักษาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไว้

เถรี
17-01-2012, 16:25
ในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าเราเห็นพระญี่ปุ่นบางทีก็คิดว่าเป็นคนธรรมดา เพราะเขามีแค่แถบแสดงสัญลักษณ์อยู่ที่คอเสื้อเท่านั้นเอง ยกเว้นว่ามีพิธีทางศาสนาเต็มรูปแบบจึงจะเอาชุดมาใส่

ทำให้นึกถึงอันตรธานปริวรรต ปฐมสมโพธิกถา ตรงจุดที่ว่าลิงคอันตรธาน การเสื่อมสูญไปของเพศพระภิกษุ ที่ว่าพอนานไปเพศของพระภิกษุจะเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหู หรือว่าผ้าเหลืองพันข้อมือ เพื่อแสดงเพศภาวะว่าเป็นพระภิกษุเท่านั้น สามารถทำมาหากินได้อย่างฆราวาส

พระของญี่ปุ่นน่าจะถึงยุคนั้นแล้ว มาเร็วเหลือเกิน เพราะว่าตอนนี้เครื่องหมายของเขาเหลือหน่อยเดียวตรงแถบที่คอเสื้อเท่านั้น แต่ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ประหลาดที่สุด หลาย ๆ ศาสนาเขาอยู่รวมกันได้ คนญี่ปุ่นเกิดมาก็ไปทำพิธีรับแบบศาสนาชินโต แต่งงานก็แต่งแบบศาสนาคริสต์ พอตายก็ทำศพแบบศาสนาพุทธ ก็แปลว่าศาสนาอะไรถ้าเข้าไปข้างในนั้นก็โดนกลืนหมด

เถรี
17-01-2012, 16:32
ไม่รู้ว่ารุ่นน้องปีนี้เขาจะได้ไปดูงานกันที่ไหน อาจารย์ท่านอยากให้ไปประเทศศรีลังกา เพราะว่าพระสงฆ์ในศรีลังกามีบทบาทมากเป็นพิเศษ เล่นการเมืองได้ เป็นส.ส.ได้ เป็นรัฐมนตรีได้

จริง ๆ แล้วเรื่องของทางโลกต้องให้คนที่เขามีกิเลสไปตีกัน ไม่ใช่เรื่องของพระที่จะไปยุ่งกับเขา จำไว้ว่าถ้าทำผิดหน้าที่พระเมื่อไร ความเคารพเลื่อมใสของคนจะน้อยลง ไม่เห็นหรือว่านักการเมืองจะดีแค่ไหนก็ตาม พอเข้าไปก็โดนเขาถลกหนังทุกราย จนเขาบอกว่า "ถ้าคุณไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ให้ไปสมัครเล่นการเมือง เดี๋ยวก็มีคนขุดคุ้ยประวัติให้เอง"

เถรี
18-01-2012, 10:03
ถาม : ทำไมคนพม่าถึงนิยมสร้างเจดีย์คะ ? สร้างด้วยจิตที่เป็นกุศล หรือว่าสร้างแข่งดีกัน ?
ตอบ : ดูแล้วน่าจะมี ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ คำว่าเจดีย์ มาจากภาษาบาลีว่า เจติยะ คือ เครื่องยังความระลึกถึง โดยเฉพาะนึกถึงในลักษณะของพุทธานุสติ เมื่อสร้างเจดีย์แล้วก็จะสร้างพระประธานด้วย บางทีก็จารึกพระธรรมบรรจุไว้ด้วย ก็เท่ากับว่าเป็นทั้งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ ถ้าพระสงฆ์นำสร้างก็ได้สังฆานุสติอีกด้วย ทำแล้วจึงได้บุญมากเป็นพิเศษ

ประการที่สองคือ เราจะเห็นความใจกว้างของผู้นำสมัยนั้นว่า ท่านไม่หวงอำนาจ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมกันสร้างบุญ ใครมีความสามารถเท่าไรทำไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วในสมัยนั้น การที่เราไปสร้างแข่งดีแบบนั้น ท่านอาจจะถือว่าตั้งใจจะเป็นขบถ คิดการใหญ่ เพราะว่าเจดีย์มหึมาแต่ละหลัง ถ้าไม่ใช้กำลังคนมากก็สร้างไม่ได้หรอก เมื่อมีกำลังคนมาก อาจจะคิดขบถก็ได้

อย่างที่พระเจดีย์โลกนันดา มีสระน้ำใหญ่อยู่ อาตมาพิจารณาอยู่ตั้งนานว่า เขาต้องการน้ำใช้ขนาดนั้นเชียวหรือ ? กลายเป็นว่าไม่ใช่หรอก เขาขุดดินมาปั้นอิฐจนกลายเป็นสระน้ำขนาดมหึมาไปเองต่างหาก

ที่พุกามที่มีสภาพเป็นกึ่ง ๆ ทะเลทรายก็เพราะเรื่องการสร้างเจดีย์นี่แหละ ขุดดินมาปั้นอิฐจนหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์หมดไป แถมยังตัดต้นไม้มาเผาอิฐอีก แล้วจะเหลืออะไรล่ะ ? จะปลูกต้นไม้ใหม่ก็ไม่ขึ้น เพราะหน้าดินที่เป็นปุ๋ยไม่มี สรุปแล้วกลายเป็นสภาพกึ่งทะเลทรายไปทั้งเมือง ไปพม่าแล้วถ้ารู้จักดู รู้จักมอง รู้จักคิด เราจะเห็นอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก

เถรี
18-01-2012, 10:17
อาตมาไปประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ประเทศอินโดนีเซียเมื่อก่อนนับถือพระพุทธศาสนา แผ่นดินพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ยังโดนอิสลามเบียดจนไม่เหลือ เหลือเชื่อจริง ๆ

เรื่องของศาสนาสำคัญตรงผู้นำประเทศ ผู้นำประเทศถือศาสนาอะไร ก็มักจะบีบบังคับให้ประชาชนนับถือศาสนานั้นตามไปด้วย อย่างที่นั่นระเด่นปาทาแย่งชิงราชสมบัติไปได้ แล้วไม่นับถือศาสนาพุทธแบบพี่ชาย ไปนับถือศาสนาอิสลาม เขาว่าชายาของท่านเป็นอิสลาม ก็เลยยุสามีให้ถืออิสลามไปด้วย ในเมื่อผู้นำถืออิสลามแล้วขึ้นปกครองประเทศ ก็เลยบังคับชาวบ้านให้ถืออิสลามตามกันไปหมด

แบบเดียวกับพุทธศาสนาในอินเดียที่เจริญมากไม่ได้ เพราะผู้ปกครองเป็นพราหมณ์หรือฮินดู ที่ประเทศอินเดียถึงคุณนับถือศาสนาพุทธก็ยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะว่าตอนช่วง ๒,๕๐๐ ปีพุทธชยันตี ดร.เอมเบ็ดการ์นำพวกวรรณะศูทรห้าแสนคนปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ฟังดูแล้วเป็นจำนวนมากมโหฬาร แต่ที่ไหนได้ ไปเปรียบกับประชากรยุคนั้น ๙ ร้อยล้านคน สมัยนี้พันกว่าล้านคนแล้ว เท่ากับน้ำหยดเดียวในทะเลทราย

เนื่องจากความถือชั้นวรรณะฝังอยู่ในดีเอ็นเอของอินเดียแล้ว พอวรรณะต่ำถือศาสนาพุทธ พวกวรรณะสูงก็เลยไม่นับถือด้วย เพราะไม่อยากจะไปปนกับวรรณะต่ำให้เสนียดกาลกิณีมาติดตัวเอง ศาสนาพุทธก็เลยกลายเป็นศาสนาของชนชั้นต่ำไป ชนชั้นสูงก็ถือพราหมณ์ฮินดูหรือถือคริสต์

เถรี
18-01-2012, 10:23
เมื่อเป็นดังนั้นในอินเดียศาสนาพุทธจึงเจริญยาก ถ้าเรามาคิดดู จริง ๆ แล้วสิ่งที่ ดร.เอมเบ็ดการ์ทำ น่าจะดีกับศาสนาพุทธในระยะยาว เพราะว่าพวกวรรณะต่ำมีมากเป็นพิเศษ พอโดนเขาข่มเหงรังแก เกิดความทุกข์มาก ๆ เข้า ก็จะหันมายึดศาสนาพุทธเป็นที่พึ่ง แม้ว่าจะช้าหน่อย แต่ว่าท้ายสุดประชากรโลกที่เป็นพุทธศาสนิกชนน่าจะมากขึ้น

ปัจจุบันนี้ต่อให้เขานับถือศาสนาพุทธ เวลานิมนต์พระเข้าไปในบ้าน เข้าไปเราจะไม่เห็นอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพุทธ พอเขาเห็นพระมาถึงจึงปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน แล้วก็เปิดตู้นิมนต์พระพุทธรูปขึ้นมา ไม่อย่างนั้นต้องเก็บซ่อนเอาไว้

ตอนนี้บางรัฐมีการรณรงค์ให้ชาวพุทธทำป้ายบ้านเลขที่ให้มีรูปธรรมจักรหรือรูปพระพุทธเจ้าติดไว้ด้วย ให้รู้ ๆ กันไปเลย แล้วก็มีกลุ่มคนที่เปลี่ยนนามสกุลให้รู้ว่าถือพุทธ อย่างเช่นเปลี่ยนเป็นศากยบุตร เป็นต้น

แสดงว่าพอเทคโนโลยีของอินเดียเปิดกว้าง สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกช่องทาง ความกล้าคิดกล้าทำของคนก็มีมากขึ้น ประกาศตัวเองเป็นพุทธไม่พอ ติดบ้านเลขที่มีธรรมจักรไปเลย

ถาม : ที่ศรีลังกามีธงศาสนาพุทธเป็นสี ๆ แต่ทำไมของไทยเราเป็นภาพธรรมจักร ?
ตอบ : เพราะไทยเราถือว่าธรรมจักรกัปวัตนสูตรเป็นปฐมเทศนา อย่างของเขาไม่เรียกว่าธงธรรมจักร เขาเรียกว่า ธงฉัพพรรณรังสี คือรัศมี ๖ ประการของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าลังกาหรือพม่าจะใช้แบบนี้ ถ้าเห็นธงธรรมจักรให้รู้ว่าเป็นไทย ของเราแหกคอกไม่เหมือนเขา

เถรี
18-01-2012, 11:04
ถาม : อนันตริยกรรมที่ว่ายุให้สงฆ์แตกกัน คนที่ยุต้องเป็นพระเท่านั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ฆราวาสก็ทำได้ ขอให้ยุให้พระแตกกันได้ก็ใช้ได้แล้ว

สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็เกิดลักษณะที่คล้ายคลึงกับสังฆเภทขึ้นมา แต่ไม่ใช่สังฆเภท คือพวกเดียรถีย์เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินนับถือศาสนาพุทธ ให้การอุปถัมภ์นักบวชในพุทธศาสนามาก จึงปลอมบวชเข้ามา โกนหัวห่มผ้ากาสาวพัสตร์เข้ามาเอง โดยไม่ได้ศึกษาหลักธรรมอะไร ส่วนใหญ่ก็เอาลัทธิเดิม ๆ ของตัวมาสั่งสอนชาวบ้านที่นับถือเลื่อมใส ทำให้ศาสนาพุทธสับสนปนเปมาก

เมื่อต้องไปลงอุโบสถ บรรดาพระที่ท่านบวชมาถูกต้อง ท่านก็ไม่ต้องการที่จะลงอุโบสถด้วย ก็คือไม่ลงโบสถ์ร่วมกัน เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งเท่ากับเป็นฆราวาส เป็นอนุปสัมบันเข้าไปอยู่ในเขตสีมาแล้ว การทำสังฆกรรมก็ไม่มีผล

พอเรื่องไปถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านก็ใช้ให้อำมาตย์ไปบอกให้สงฆ์ลงสังฆกรรมร่วมกัน โดยที่พระองค์ท่านไม่มีความเข้าใจว่า ผู้ที่อยู่ในแวดวงสังฆกรรมนั้นต้องมีศีลเสมอกัน เมื่ออำมาตย์ไปถึงก็ไม่เข้าใจคำสั่งเจ้านาย ใช้วิธีบังคับพระให้ลงสังฆกรรม พระที่รักศีลท่านก็ไม่ยอมลงสังฆกรรม

อำมาตย์เห็นว่าขัดคำสั่งก็ชักดาบตัดหัวเลย ศพที่ ๑ ผ่านไป หันมาชี้รูปที่ ๒ ท่านจะลงหรือไม่ลง ? พอไม่ลงก็ฟันหัวขาดไปอีกคน คราวนี้พระติสสะเถระท่านเห็น เกรงว่าจะลงนรกไปมากกว่านี้ ท่านก็เลยมานั่งอาสนะที่ ๓ พอท่านมานั่งเท่านั้น อำมาตย์เห็นเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะท่านเป็นพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดิน

อำมาตย์จึงกลับไปกราบทูลพระเจ้าอโศกมหาราชให้ทราบ พระเจ้าอโศกพอได้ยินก็พระทัยหายวาบ บอกว่าให้ไปขอให้พระสงฆ์ลงสังฆกรรมร่วมกัน แต่อำมาตย์ดันทำเกินเหตุ ก็เลยไปกราบขอขมาพระ ปรึกษากับพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า โยมจะแก้ไขอย่างไรถึงจะลดกรรมนี้ได้ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่ามีวิธีเดียว คือจัดสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่า ท่านจะจัดการทางด้านคณะสงฆ์เอง ว่าจะจัดผู้ใดเข้าทำการสังคายนาพระไตรปิฎก ส่วนทางบ้านเมืองพระเจ้าอโศกมหาราชต้องเป็นผู้จัดการ และให้การอุปถัมภ์พระที่ทำสังคายนาด้วย พระเจ้าอโศกมหาราชก็ตกลง

เถรี
18-01-2012, 11:11
ก่อนที่จะทำสังคายนาก็มีการชำระพระศาสนา ประกาศให้นักบวชทั้งหมดมารวมกัน ใครเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาให้ออกมาข้างหน้า พอออกมาแล้วก็กวาดต้อนเข้าไปข้างใน ปิดประตูวัง ถามว่าใครปลอมบวชมา ? ถ้าหากว่ายอมสละผ้ากาสาวพัสตร์ออกแต่โดยดีจะไม่เอาโทษ เปิดประตูให้ออกได้ ก็มีพวกรู้ตัวรีบเผ่นกันเยอะ แต่ก็มีพวกหน้าด้านอยู่ เพราะเห็นว่าลาภผลมาก เพราะพระเจ้าแผ่นดินอุปถัมภ์ทุกวัน จึงไม่ยอมไป

พระเจ้าอโศกมหาราชจึงถามพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า ควรจะแก้ไขอย่างไร ? ท่านทูลว่า ให้ถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ถ้าเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศานาจริงต้องตอบได้ สรุปว่าครั้งนั้นโดนประหารไปประมาณ ๒-๓ หมื่นคน..! ขนาดไปก่อนหน้านั้นเป็นครึ่ง ๆ แล้วนะ

เวลาพระเจ้าอโศกมหาราชออกรบครั้งหนึ่ง ท่านจัดการไป ๒-๓ แสนศพ เสร็จแล้วท่านก็ไปนั่งสลดใจว่าต้องฆ่าเขามากขนาดนี้ พอดีไปเจอนิโครธสามเณรแนะนำหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้ พระองค์ท่านเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา เปลี่ยนจากยุทธวิชัยมาเป็นธรรมยุทธแทน จะไม่ชนะด้วยการรบแต่เอาชนะด้วยธรรม

พระองค์จึงให้การคุ้มครองอุปถัมภ์ค้ำชูแก่ประเทศเล็กกว่า อ่อนแอกว่า พอพระองค์ท่านมีแสนยานุภาพมากและให้การปกป้องคุ้มครองลักษณะนั้น เมืองอื่นเห็นว่าไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกัน ก็ยอมมาเป็นเมืองขึ้นแต่โดยดี นั่นฝีมือสามเณรตัวนิดเดียวแนะนำให้

เถรี
18-01-2012, 11:16
พระองค์ท่านเห็นประโยชน์ จึงอุปถัมภ์ศาสนาพุทธเป็นการใหญ่ งานนั้นก็เลยมีการสังคายนาพระธรรมวินัยอยู่ ๙ เดือน พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ รวบรวมพระอรหันต์ทั้งหมด ๑,๐๐๐ รูป ทำการสังคายนาอยู่ ๙ เดือน แล้วก็ทูลให้คำแนะนำว่า ควรที่จะส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ในแคว้นต่าง ๆ เพื่อที่พระธรรมวินัยจะได้กว้างไกลออกไป

ตรงจุดนี้เป็นจุดที่บอกว่าพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระท่านเห็นอนาคตชัดเจนเลยว่า ต่อไปศาสนาพุทธจะอยู่ในอินเดียไม่ได้ ถ้าไม่เร่งส่งออกไปข้างนอกก่อน เดี๋ยวพุทธศาสนาจะสูญหมด จึงส่งออกไป ๙ สาย สายที่ ๘ มาถึงสุวรรณภูมิ

พอสายที่ ๘ มาถึงสุวรรณภูมิก็ตียาวลงไปถึงทวารวดี ศรีวิชัย ตอนนี้ศรีวิชัยกลายเป็นอาณาจักรของอิสลามไปแล้ว ยังโชคดีที่อิสลามเก่า ๆ ถือหลักศาสนาเคร่งครัด เขาถือว่าการเหยียบย่างเข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่นจะทำให้ตกนรก บุโรพุทโธก็เลยเหลืออยู่ได้ ถ้าเป็นสมัยนี้โดนระเบิดเกลี้ยงไปแล้ว

เห็นศรัทธาของศาสนิกของเขาแล้วเสียดายมาก ถ้าเลี้ยวมาถูกทางคงจะบรรลุกันนับไม่ถ้วนเลย เขาศรัทธาขนาดยอมมอบกายถวายชีวิตให้ศาสนาได้ขนาดนั้น

ถาม : แล้วเขาจะมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์บ้างไหม ?
ตอบ : อาตมาเจอเหมือนกัน แต่เจอในลักษณะที่เหมือนกับเทข้าวสารมากระสอบหนึ่ง แล้วหาข้าวเปลือกให้เจอ ถือว่าหายากสุด ๆ ส่วนใหญ่ที่ไปก็คือไปสวรรค์ได้เพราะโมทนาบุญของคนอื่น ไม่ใช่ว่าทำเอง

เถรี
18-01-2012, 11:18
ขอประกาศให้ทราบว่า ข้อความใดที่เกี่ยวข้องหรือพาดพิงถึงศาสนาอื่นในเว็บนี้ ไม่อนุญาตให้นำออกไปโพสต์นอกเว็บเพื่อเกิดการทุ่มเถียงใด ๆ ค่ะ

และขอความร่วมมือจากทุกท่านด้วย หากได้เคยนำข้อความจากเว็บนี้ไปโพสต์ แล้วเป็นเหตุให้เถียงทะเลาะกัน รบกวนช่วยลบออกไป เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องราว พาดพิงมาถึงพระอาจารย์ค่ะ

เถรี
18-01-2012, 15:51
ถาม : ความมั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อกฎแห่งกรรม กับความไม่ประมาท แยกกันตรงไหน ?
ตอบ : แยกกันตรงความประมาท ถ้าไม่ประมาทเราก็ทำทุกอย่างเพื่อความมั่นคงในพระรัตนตรัยและความเชื่อในกฎของกรรม

เถรี
18-01-2012, 16:01
ถาม : สงสัยในอสัญญีสัตตาพรหม จิตไม่มีหรือครับ ?
ตอบ : มีทุกอย่าง แต่สภาพจิตอยู่ในฌาน ๔ เต็มระดับก็เลยไม่รับรู้อาการภายนอก นิ่งอยู่แต่ข้างในไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าหากว่าเราดูในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พอถึงเวลาบรรดาพรหมเทวดาต่าง ๆ แซ่ซ้องสาธุการที่มีพระรัตนตรัยเกิดขึ้นครบถ้วนแล้วในโลก แต่จะไม่มีอสัญญีสัตตาพรหมเพราะท่านไม่รับรู้ ถ้าหากว่าเข้าสมาธิระดับนั้นแม้แต่ฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่ได้ยิน

ถาม : ส่วนใหญ่ท่านมีพื้นฐานจาก...(ไม่ได้ยิน)..หรือกสิณครับ ?
ตอบ : จะมีพื้นฐานจากอะไรก็ตามขอให้ถึงฌาน ๔ ก็แล้วกัน
คราวนี้ท่านเองยังไม่ใช่ฌาน ๔ ละเอียด ยังเป็นฌาน ๔ หยาบอยู่ ถ้าฌาน ๔ ละเอียดกับฌานใช้งานก็จะสามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง ฌาน ๔ ละเอียดก็จะเป็นเวหัปผลาพรหม

ถาม : คนที่ได้ฌานสี่หยาบ..(ไม่ได้ยิน)...?
ตอบ : ถ้าไม่มีพัฒนาการแล้วตายช่วงนั้น ถ้าเราได้แล้วพยายามพัฒนาตัวเองจนเป็นฌาน ๔ ละเอียดก็จะก้าวข้ามตรงจุดนั้นไป

ถาม : ไม่ใช่ว่าได้ฌานสี่แล้วปรารถนาไม่ขอมีนาม ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน

ถาม : ....(ไม่ได้ยิน).....เขาบอกว่าจิตดับไปเลย
ตอบ : ทำให้ถึงจะได้คำตอบที่ชัดที่สุด สภาพจิตที่สนใจจดจ่ออยู่เฉพาะที่ ถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะไม่รับรู้เรื่องอื่น

หลักการปฏิบัติต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่เอามาคุยกันเท่ ๆ ส่วนใหญ่แล้วต้องทำให้ถึง จึงจะหมดสงสัย ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ถาม ๆ อยู่ร่ำไป

เถรี
18-01-2012, 16:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อให้มีของใหม่อยู่ แต่ถ้าของเก่ายังอยู่อาตมาก็ไม่ใช้ของใหม่ ตอนไปเรียนเพื่อนพระด้วยกันเขาบอกว่า "เดี๋ยวผมถวายจีวรใหม่ให้ชุดหนึ่ง" เขาเห็นว่าจีวรเก่า อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องหรอก ผมมีเยอะกว่าคุณอีก" (หัวเราะ)

บริขารต่าง ๆ ปัจจุบันเป็นของหาง่าย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องหาผ้ามาซัก มาเย็บ มาย้อม เพื่อทำเป็นจีวร แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหาง่ายแล้วจะฟุ่มเฟือยได้ ต้องใช้สอยอย่างประหยัดมัธยัสถ์เหมือนเดิม ถ้าขืนไปฟุ่มเฟือยก็ผิดหลักโภชเนมัตตัญญุตา เราจะสรุปว่าโภชเนมัตตัญญุตารู้ประมาณในการกินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้ประมาณในการอุปโภคและบริโภค คือทั้งกินและใช้"

เถรี
18-01-2012, 16:23
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เส้นเลือดแตกยังไม่น่ากลัว เส้นเลือดเปราะน่ากลัวกว่า บางคนโดนนิดโดนหน่อยก็ช้ำเลือดใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากอาหารการกินแทบทั้งนั้น ใครที่กินพวกไขมันอิ่มตัวมากก็อาการหนักกว่าเขาหน่อย

โดยเฉพาะสมัยนี้อาหารตะวันตกเข้ามาเยอะ บ้านเขาต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงเพื่อสู้กับความหนาว บ้านเราเป็นเมืองร้อนแต่ไปกินอาหารของคนเมืองหนาว ก็เกิดผล ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรก คืออ้วนง่ายเพราะกินแล้วไม่ได้ไปใช้ เก็บหมด อย่างที่สองคือโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มีมากขึ้น ถึงเวลาก็มีไขมันในเลือด มีเส้นเลือดอุดตัน

และโรคน่าเกลียดน่าชังที่เพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ คือ ไขมันพอกตับ ทำเป็นไก่ไปได้ มีไขมันพอกตับ..!

เถรี
19-01-2012, 10:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มีปัญหาที่วัดหนองบ้านเก่า เจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่าจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สึก ท่านสึกแบบพระที่เป็นสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือสึกอย่างเดียว เงินทองไม่ได้เอาไป ก็เลยมีปัญหาตรงที่ว่า บรรดากรรมการวัดอยากได้เงินก้อนนั้น (จำนวนเกือบ ๒ ล้านบาท)

ตอนแรกหลวงพ่อสมคิดก็มาขอพระครูบ่าวไปเป็นเจ้าอาวาส พระครูบ่าวได้ยินก็เครียด ความดันขึ้นเลย เพราะเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทก็จะแย่อยู่แล้ว ไป ๆ มา ๆ ทางกรรมการเขาก็ผลักดันพระในวัดที่เพิ่งจะ ๔ พรรษาขึ้นไปรักษาการณ์เจ้าอาวาส เพื่อจะได้ควบคุมได้

หลวงพ่อสมคิดเห็นท่าไม่ดีก็เลยใช้อำนาจทางกฎหมาย ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลปกครองเขตนั้นอยู่ จึงอายัดบัญชีเงินไว้ พวกกรรมการวัดก็มาคุ้ยแคะแกะเกา สารพัดที่จะเกลี้ยกล่อมทุกอย่าง หลวงพ่อสมคิดไม่เอาด้วยอย่างเดียว ท้ายสุดพวกกรรมการวัดก็เลยหันไปบีบว่าที่เจ้าอาวาสให้เป็นคนไปเบิก อ้างว่าจะทำนั่นทำนี่ ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างเจ้าอาวาสเก่าเขาทำไว้หมดแล้ว ถ้าปิดทองฝังลูกนิมิตก็แสดงว่าโบสถ์เสร็จแล้ว ของยากที่สุดก็เสร็จแล้ว ที่เหลือยังต้องไปทำอะไรอีก ?

ว่าที่เจ้าอาวาสทนกรรมการวัดไม่ไหว จึงหนีออกจากวัดไป หลวงพ่อสมคิดก็เลยโทรศัพท์มาปรึกษากับอาตมา ว่าจะขอตัวพระครูบ่าวอีกครั้งหนึ่ง อาตมาได้ยินแล้วก็ขำ ครั้งแรกพระครูบ่าวก็ความดันขึ้นแล้ว นั่นแค่คาดว่าจะต้องเป็นเจ้าอาวาสนะ ถ้าต้องเป็นเจ้าอาวาสแน่ ๆ ดีไม่ดีเส้นเลือดในสมองอาจจะแตกตายไปเลย..!

อาตมาก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน พระครูบ่าวดูท่าจะไม่ไหวเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี มีพระครูหน่อยอีกรูปหนึ่ง แต่ว่าท่านติดเรียนอยู่ หากจะไปบริหารอะไรก็ได้ไม่เต็มที่ในระยะแรก ตอนนี้มีตัวสำรองอยู่ก็คือหลวงพี่ใหม่"

เถรี
19-01-2012, 10:30
"หลวงพี่ใหม่เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดทรงเมตตาวนารามที่ชลบุรี ท่านเบื่อสารพันปัญหาที่เกี่ยวกับชาวบ้านก็เลยลาออก ไป ๆ มา ๆ ท่านก็มาอยู่แถวนั้น และสนิทกับมหาโรจน์ จึงบอกว่าให้ติดต่อมหาโรจน์ให้บอกหลวงพี่ใหม่ที อาจารย์เล็กขอร้องให้มาเป็นเจ้าอาวาสทีเถอะ อย่างไรถ้าเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ทางนี้ผมค่อยส่งพระครูหน่อยไปให้ ก็เลยตกลงกันตามนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยกันไปถึงไหนแล้ว ?

คนลาออกจากเจ้าอาวาสด้วยความเบื่อหน่าย แล้วให้ไปเป็นเจ้าอาวาสอีกก็คงจะยากนะ ได้แต่หวังว่าเขาคงจะเกรงใจอาตมาแล้วกัดฟันรับเอาไว้

คราวนี้โยมเห็นหรือยังว่า ปัญหาใหญ่จริง ๆ ในวัดนี่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากพระ แต่เกิดจากฆราวาสที่มาทำตัวเป็นเจ้านายพระ และฆราวาสที่เขาเข้ามา ตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีอยู่ตำแหน่งเดียว คือ ไวยาวัจกร เพราะกฎหมายระบุชัดไว้ว่า เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แต่กฎหมายคณะสงฆ์ก็ระบุไว้ชัดว่า ไวยาวัจกรมีหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ตามที่เจ้าอาวาสสั่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเข้ามาเพื่อเป็นพ่อเจ้าอาวาสทั้งนั้นเลย..!

สมัยตอนอยู่กับหลวงพ่อฤๅษีที่วัดท่าซุง ท่านถึงได้สั่งไว้ว่า “ถ้าแกไปเป็นเจ้าอาวาสที่ไหนก็ตาม เวลาตั้งกรรมการวัด ให้ตั้งพระด้วยกันให้หมดเรื่องไปเลย อย่าไปตั้งฆราวาส” แต่อาตมาเป็นคนชอบมีเรื่อง มีแล้วเกิดความมันในชีวิต อยู่เฉย ๆ แล้วเซ็งตายเลย เพราะฉะนั้น..พอเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านอาจารย์สมพงษ์ ก็ไปเลาะหาชื่อกรรมการเก่า แล้วตั้งคืนไปทุกคน ถึงเวลาประชุมกรรมการ อาตมาก็ชี้แจงบัญชีเงินทุกบาททุกสตางค์ทุกกองทุนให้เขาดู มีแต่ตัวเลขติดลบ เขาเห็นแบบนั้นก็หมดอยากไปเอง

ปีนี้ก็เพิ่งจะชี้แจงบัญชีไป ติดลบแค่ ๖ ล้านกว่าบาทเท่านั้น เพราะฉะนั้น..วิธีที่จะทำให้กรรมการวัดไม่มีอิทธิพลเหนือเจ้าอาวาสก็คือ สร้างหนี้ให้เยอะ ๆ ไว้ พอเขาเห็นว่าหาประโยชน์ไม่ได้เขาก็จะไปเอง"

เถรี
19-01-2012, 10:37
"กรรมการวัดไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรเลย นอกจากเจ้าอาวาสแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยงานวัดให้สำเร็จเรียบร้อยโดยง่าย แต่ว่าส่วนใหญ่มาแล้วจะมาเป็นพ่อเป็นแม่เจ้าอาวาสกันทุกที ส่วนใหญ่เขาก็ไม่รู้ด้วยว่ากฎหมายระบุไว้ว่า ถ้าเจ้าอาวาสพ้นหน้าที่ ไวยาวัจกรและกรรมการก็พ้นหน้าที่ไปด้วย จนกว่าเจ้าอาวาสคนใหม่จะแต่งตั้งขึ้นมา ถ้าไม่เอาคนเก่าก็ซวยไปเลย

ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสมานี่กรรมการวัดท่าขนุนสบายที่สุด ถึงเวลาประชุม กรรมการวัดไม่ต้องออกความเห็น ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ฟังอย่างเดียว...จบแล้วกลับบ้านได้ ไม่มีการบอกบุญ ไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีการแจกซองให้ไปทำทั้งนั้น ถ้าแจกซองเมื่อไรก็รั่วไหลเมื่อนั้น เขาคืนมาครบทุกซอง แต่ในซองเงินครบไหม ? กติกาวัดถ้าไม่บอกบุญไม่เรี่ยไรนี่สบายใจทั้ง ๒ ฝ่าย เราก็ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเขา เขาก็จะได้ไม่ต้องไปทุจริต

ไวยาวัจกรที่อาตมาแต่งตั้งก็สบายมาก ไม่ต้องมีอะไรเลย นอกจากถึงปีก็เซ็นรับรองบัญชีที่อาตมาทำเองนั่นแหละ เขาเห็นตัวเลขเขาก็เซ็งแล้ว ติดลบแดงโร่ได้ทุกปี มิน่า..หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า เงินปีนี้อย่าใช้ถึงปีหน้า ก็แปลว่าถลุงให้หมดเกลี้ยงภายในปีนี้แหละ ถ้ามีเงินเหลือให้หางานใหญ่กว่าเงินทำเอาไว้เสมอ จะได้ไม่คิดว่าเงินเป็นของเรา สมมติว่าเหลือเงินสัก ๑ ล้านบาท ก็หางานสัก ๓-๕ ล้านบาททำไปเลย

คราวนี้จากการที่อาตมาส่งพระที่วัดไปเป็นเจ้าอาวาสที่อื่น ส่วนใหญ่ไปแล้วดี ดังนั้น..ถึงเวลาเขาขาดเจ้าอาวาสที่ไหนเขาจะมาขอที่วัดท่าขนุน แม้กระทั่งบางรูปที่ลาออกจากเจ้าอาวาสกลับมาอยู่ที่วัดท่าขนุน อย่างพระครูน้อย ลาออกจากเจ้าอาวาสที่วัดคลิตี้มา ถึงเวลามีงาน คนคลิตี้เขาก็เอารถมาแห่กลับไป คุณไม่เป็นเจ้าอาวาสก็ไม่เป็นไร แต่ตอนวันงานคุณมาก็แล้วกัน เขารักของเขา

ชาวบ้านเขาบอกว่า เจ้าอาวาสตั้งแต่รูปแรกจนถึงรูปปัจจุบัน ที่เขาเห็นมีพระครูน้อยคนเดียวที่ไปแล้วทำตามแบบของวัดท่าขนุน มีสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ดูแลรักษาทำความสะอาดวัด คนอื่นเขาปล่อยวัดรกเป็นป่า อย่างดีก็ถูกุฏิตัวเองหลังเดียว บางทีกุฏิตัวเองก็ไม่ถู ใช้ชาวบ้านถูซะอีก

เจ้าอาวาสรูปก่อน ชาวบ้านเขาไม่ต้องการ เพราะว่าไปแล้ว ถึงเวลาชาวบ้านมานิมนต์ จะขอเก็บค่ามัดจำก่อน ๕๐๐ บาท งานใหญ่งานเล็กไม่รู้ ? จ่ายมาก่อน ๕๐๐ บาท ไม่อย่างนั้นไม่ไป..!"

เถรี
19-01-2012, 10:45
"เขาไปลักษณะเหมือนกับโดนเจ้าคณะตำบลหลอกใช้ คือรู้ว่าความประพฤติไม่ดี แต่ถ้าตัวเองหาเจ้าอาวาสไม่ได้ก็อาจจะบกพร่อง โดนพิจารณา เขาก็เลยทำตราตั้งโดยไม่มีลายเซ็น ให้ไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นตราตั้งที่ไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะไม่มีลายเซ็นเจ้าคณะตำบล โดยที่เขาบอกว่าบริหารงานให้ดีแล้วเขาจะเซ็นให้ เข้าใจแหกตามากเลย..!

พอชาวบ้านเขาไม่เอา เขาก็มาขอพระจากอาตมาไป อาตมาจึงส่งพระครูน้อยไป ทางด้านนั้นก็ไม่ยอม..ประท้วง “ผมจะรวมชาวบ้านมาขับไล่” อาตมาบอกว่า “ดี..รีบไปรวมมา” พอชาวบ้านมากันครบ อาตมาก็ประกาศบอกผู้ใหญ่บ้านว่า “เอ้าโยม..ลงคะแนนมา จะเอาเจ้าอาวาสใหม่หรือจะเอาเจ้าอาวาสเก่า” ปรากฏว่าทุกคนเอาเจ้าอาวาสใหม่ เจ้าอาวาสเก่าจึงเฉาไปเลย

อาตมาบอกว่า "คุณไม่ได้มีอำนาจอะไรตามกฎหมายเลย เพราะตราตั้งก็ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง การรายงานขึ้นไปเพื่อให้ทางคณะสงฆ์รับรองให้เป็นเจ้าอาวาสอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่มี แต่เจ้าอาวาสใหม่ตราตั้งอยู่นี่ ผมเพิ่งจะเซ็นตั้งเมื่อครู่นี้เอง"

คราวนี้พอพระครูน้อยท่านอยู่ไปนาน ๆ แล้วเหนื่อย การเป็นเจ้าอาวาสนี่เหนื่อยมาก ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง โบราณท่านใช้คำว่าสมภาร (สม+ภาระ เสมอด้วยงาน) พูดง่าย ๆ ก็คือไปแบกภาระทุกอย่างในวัด ท่านก็เลยลาออก

หลังจากพระครูน้อยออก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชาวบ้านยังไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอาวาสใหม่เลย ทุกคนรู้ว่ามีการแต่งตั้ง แต่เจ้าอาวาสใหม่ไม่เข้าไป เพราะทางไกลและลำบากเขาก็ไม่ไป แต่งตั้งตัวเองเอาไว้เพื่อเอาอาวุโสและกินเงินเดือนเฉย ๆ เงินเดือนเจ้าอาวาสก็แค่ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก็ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ

ก่อนหน้านี้หลายสิบปี เงินเดือนเจ้าอาวาส ๕๐๐ บาท เพิ่งจะมาขึ้นเงินเดือนเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนสมัยนั้นเจ้าคุณสามัญอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนที่ท่านเป็นพระสุธรรมยานเถระ เงินเดือน ๔๔๐ บาท เจ้าอาวาสได้ ๕๐๐ บาท สมเด็จพระสังฆราชเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท เพิ่งจะมาปรับในยุคหลังนี่เองไม่กี่ปี

มาช่วงรัฐบาลคุณทักษิณจะปรับเงินเดือนให้เจ้าอาวาส ๓,๓๐๐ บาท โดยเอาฐานแนวคิดจากการส่งคนไปนั่งกินข้าวในตลาด สรุปว่าคนหนึ่งถ้ากินแล้วอิ่มพอดี มื้อละ ๕๕ บาท พระฉัน ๒ มื้อ ๑๑๐ บาท คูณ ๓๐ ได้ ๓,๓๐๐ บาทพอดี แต่ไม่สำเร็จ เสนอเรื่องไปแล้วโดนตีหงายท้องกลับมา เขาให้แค่ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก็ยังดี..งอกเพิ่มมา ๑,๐๐๐ บาท ไม่อย่างนั้นก็ได้แค่ ๕๐๐ บาทเท่าเดิม"

เถรี
19-01-2012, 10:49
"ส่วนอาตมา ตั้งแต่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มา เงินเดือนพระครูสัญญาบัตร ๒,๕๐๐ บาท แต่โดนหักไปปีละ ๕,๐๐๐ บาท เข้ากองทุนวัดช่วยวัด ๒,๕๐๐ บาท เข้ากองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ ๒,๕๐๐ บาท จะหักเดือนมกราคมกับเดือนเมษายน ก็แปลว่าทำงาน ๑ ปีได้เงินเดือน ๑๐ เดือน ขนาดได้ทุกเดือนยังไม่พอยาขี้ฟันเลย..!

ส่วนใหญ่ที่คนอื่นเขาอยากเป็นเจ้าอาวาสกัน เพราะว่าเขาหวังผลประโยชน์เวลากฐินหรือผ้าป่า แต่พระสายของหลวงพ่อเรานี่ถ้าเงินมาต้องเหนื่อย เพราะไปทำให้เขาหมด พอทำแล้วไม่เสร็จก็ต้องไปหาเพิ่มให้เขาอีก ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเราไม่มีใครอยากจะเป็นเจ้าอาวาสกัน

เถรี
19-01-2012, 10:53
"ช่วงที่อาตมาอยู่เกาะพระฤๅษี อาทิตย์หนึ่งก็จะเข้าตลาดครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะไปซื้อพวกกับข้าวและข้าวของต่าง ๆ โดยเฉพาะผลไม้ ไปถึงก็เห็นเขาขายชมพู่เพชร ก็ไปสั่งเขา ๕ กิโลกรัม บอกให้เขาเลือกให้ด้วย เจ้าของร้านบอกว่าเลือกไม่เป็นจ้ะ อาจารย์เลือกเป็นไหม ?

อาตมาบอกว่า ถ้าอาตมาเลือกเองโยมน้ำตาเล็ดแน่ คราวหน้าขายไม่ได้หรอก เขาถามว่าทำไม เพราะอาตมาเลือกมีแต่ลูกหวาน ๆ จะเหลือแต่ลูกจืด ๆ เขาก็ทำหน้าเหมือนกับไม่เชื่อ ก็เลยจัดการเลือกเอง"

ปรากฏว่าตัวขี้สงสัยก็คือท่านกอล์ฟ สงสัยทุกเรื่อง บอกว่าขอเปลี่ยนลูกหนึ่งได้ไหม ? ท่านเอาชมพู่ลูกที่อาตมาเลือกออก แล้วก็เอาที่ไม่ได้เลือกมาลูกหนึ่ง แล้วจำไว้ว่าลูกไหน พอถึงเวลาซื้อมาแล้วเสร็จสรรพ ท่านกอล์ฟก็ฉวยลูกที่เลือกกับที่ไม่ได้เลือกไปกัดอย่างละคำ แล้วท่านก็ยอมรับว่า ลูกชมพู่ที่อาตมาเลือกหวาน ส่วนที่ท่านเปลี่ยนมารสชาติเปรี้ยวจืด ๆ

ท่านถามว่าทำไมอาตมาถึงรู้ ก็เพราะอาตมาเกือบจะโตมากับต้นชมพู่ สมัยเด็ก ๆ ปีนต้นเก็บกินอยู่ทุกวัน ทำไมจะไม่รู้ลูกไหนอร่อยหรือไม่อร่อย ?

ชมพู่ถ้าจะให้หวาน ก่อนออกตลาดสักอาทิตย์หนึ่งให้ตัดน้ำเสีย อย่ารดน้ำ ถ้ารดน้ำแล้วต้นจะดูดน้ำขึ้นไปมาก รสชาติจะจืด แต่คราวนี้เจ้าของเขาไม่รู้ ไปเร่งน้ำเยอะ ๆ น้ำหนักจะได้ดี ปรากฏว่ารสชาติไม่เอาอ่าวเลย"

เถรี
20-01-2012, 12:20
พระอาจารย์กล่าวถึงเด็ก ๆ ว่า "เด็ก ๆ สภาพจิตยังผ่องใสอยู่ จึงรับรู้อะไรได้ไว ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ไม่รักเขาจริง เห็นเขาเป็นภาระ บางทีเขาก็เบื่อ ไม่ยอมรับ ดังนั้น..พี่เลี้ยงต้องปรับตัวเยอะ ๆ ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องกัดฟันรักเขาให้ได้

เพราะสภาพจิตของเขายังผ่องใสอยู่ ยังไม่เหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่นี่กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทับถมมายาวนานเท่าอายุ ในเมื่อใจเขายังใสอยู่ก็รับอะไรได้เร็ว เหมือนกับหมาที่วัด อาตมาด่าหมา เขาแลบลิ้นเลียหน้าแผล็บ ๆ เพราะรู้ว่าอาตมาด่าแต่ปาก แต่เวลาเราด่าพระด่าเณรนี่นั่งหัวหดกันหมด แสดงว่าหมารู้ดีกว่า..!

มีอยู่ระยะหนึ่งตอนนั้นอาตมาราว ๆ สัก ๕-๖ พรรษา เจอเด็กแล้วรักทุกคนเลย คิดแล้วใจหาย นี่ถ้าเป็นฆราวาสได้แต่งงานมีลูกแน่ ๆ ช่วงอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นลูกใครก็น่ารักไปหมด"

เถรี
20-01-2012, 12:34
http://www.siamshop.com/uppic_pt/64/123795624264.jpg


พระอาจารย์กล่าวถึงผ้าไตรว่า "เดี๋ยวนี้ผ้าไตรพัฒนาไปเยอะ ปัจจุบันนี้ที่เขานิยมกันเป็นผ้ามัสลิน ถ้าเป็นผ้าฝ้าย ๑๐๐ % คนเห็นแล้วไม่ค่อยชอบ เพราะฝ้าย ๑๐๐ % ทอแล้วเนื้อจะเป็นขน แต่ว่าห่มสบาย แล้วก็มีผ้าโทเรซึ่งจะผสมโพลีเอสเตอร์ ๓๐ % มีผ้าไตรแพร ผ้าไตรแพรนี่จะลื่นมาก สวยอย่างเดียว แต่ห่มไม่ติด รัดอกดีแค่ไหนเดี๋ยวก็ลื่นหล่น

มีผ้าไตรไหม แบ่งเป็นไหมญี่ปุ่นกับไหมโคราช ไหมญี่ปุ่นว่าราคาแพงแล้ว ไหมโคราชยังแพงกว่าอีก ผ้าพวกนี้เป็นผ้าที่บ้านเรานิยมใช้กัน ถ้าเป็นตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ตามบทบาลีที่ว่า โขมํ กปฺปาสิกํ โกเสยฺยํ กมฺพลํ สาณํ ภงฺคํ

โขมํ ผ้าเปลือกไม้ กปฺปาสิกํ ผ้าฝ้าย โกเสยฺยํ ผ้าไหม กมฺพลํ ผ้าขนสัตว์ สาณํ ผ้าป่าน ภงฺคํ ผ้าแกมกัน เป็นผ้าเนื้อผสม อย่างฝ้ายผสมโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น

แสดงว่า การทอผ้าในสมัยโบราณก็ก้าวหน้า เพราะว่าสามารถใช้หลายอย่างผสมกันทอขึ้นมาได้ บางทีถึงขนาดใช้เส้นเงินเส้นทองมาผสมเป็นเนื้อผ้า ทอออกมาแล้วหนักมาก ถ้าไม่แข็งแรงพอก็ยกไม่ไหว

ถ้าหากว่าใครที่สะสมผ้าโบราณหรือศึกษาเรื่องนี้มา เขาดูก็รู้เลยว่าผืนนี้ผสมอะไรบ้าง ไปขอซื้อจากคุณย่าคุณยาย แต่แกมักจะไม่ค่อยขาย ส่วนใหญ่จะเก็บไว้เป็นผ้าประจำตระกูล ไว้รับขวัญ มีอบพวกบุหงาด้วย เปิดลังออกมาก็หอมตลบไปหมด"

เถรี
20-01-2012, 12:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๑ คณะรัฐมนตรีมีมติว่าให้ผู้หญิงลาบวชได้ ๓ เดือนโดยไม่ถือว่าขาดราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงานหรือลูกจ้างประจำของหน่วยงานรัฐที่เป็นสตรี

แต่ที่ทองผาภูมิ พออาตมาประกาศว่าลามาบวชที่วัดได้ เพราะว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เขาต้องประกาศก่อนว่าวัดไหนพร้อม ปรากฏว่าพวกข้าราชการที่ทองผาภูมิลาไม่ได้ หัวหน้าหน่วยงานในพื้นที่บอกว่าไม่มีคำสั่งมา

จริง ๆ แล้วเมื่อเป็นมติคณะรัฐมนตรีแล้ว ไม่ต้องมีคำสั่ง เพราะเขาถือว่าเป็นกฎหมายอยู่แล้ว อย่างนี้ต้องฟ้องให้ลือลั่นไปสักรายหนึ่ง จะได้เข็ดไปตาม ๆ กัน อาตมาเองแจ้ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด บอกว่าช่วยแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดหน่อยว่า มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ช่วยให้ทางจังหวัดมีคำสั่งลงไปทุกหน่วยงาน จะได้รู้เรื่องกันไป ไม่อย่างนั้นผู้หญิงเขาก็เสียสิทธิ์ไปโดยใช่เหตุ"

เถรี
20-01-2012, 13:00
ถาม : ตอนสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังอยู่ จัดงานเป่ายันต์ที่ศาลาไหนครับ ?
ตอบ : ครั้งแรกที่ศาลาพระพินิจอักษร เป่ายันต์ได้ครั้งเดียว เพราะว่าต้องเป่ากัน ๔-๕ รอบ แล้วก็ย้ายไปที่ศาลา ๒ ไร่ ไปที่ ศาลา ๔ ไร่ แล้วก็ไปที่ศาลา ๑๒ ไร่ ๓ ครั้งหลังนี่ใช้ศาลา ๑๒ ไร่

ถาม : แล้วท่านพักที่ตึกไหนครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้านั้นอยู่ที่ตึกกลางน้ำ แล้วก็มาย้ายไปหลังวิหาร ๑๐๐ เมตร

ถาม : หลังวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่เขาเรียกว่าเล้าเป็ดหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เล้าเป็ดเป็นกุฏิแรกของท่านที่ริมน้ำ เป็นกุฏิเล็ก ๆ แบบเพิงหมาแหงน

เถรี
20-01-2012, 13:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันอาทิตย์ช่วงเช้า ๆ คนจะน้อย เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาจะตื่นสาย เห็นเป็นวันหยุด แต่อาตมานี่ไม่ว่าจะวันหยุดหรือไม่หยุดก็ตื่นสายไม่ได้ เป็นตายอย่างไรก็จะตื่นให้ได้ ๐๑.๓๐ น.-๒.๐๐ น. ก็ตื่น เพราะเป็นความเคยชิน

ตอนเด็ก ๆ ครอบครัวคนจีนเริ่มทำงานตั้งแต่เช้ามืด พอมาฝึกกรรมฐานก็ต้องรีบตื่นเพื่อที่จะได้มีเวลาพอฝึก ก็เลยกลายเป็นความเคยชินที่ตื่นสายกับใครเขาไม่เป็น เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องตื่นขึ้นมาทำกรรมฐานให้ได้

สมัยที่หนักที่สุดก็คือตอนเรียนทหาร ช่วงฝึกยุทธวิธีรบเวลากลางคืน ช่วงนั้นเป็นเดือน ๆ ต้องตื่นตี ๕ กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่ม พอ ๔ ทุ่มก็มีเสียงเป่านกหวีดเรียกให้ตื่นไปฝึก จนตี ๒ ตี ๓ แล้วค่อยนอน ตี ๕ ตื่นใหม่ เป็นอย่างนี้ทุกวัน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาฝึกกรรมฐานได้

เพราะรู้ว่าถ้าเราไม่ฝึกตอนนี้ เวลาอื่นก็ไม่แน่นอน แม้ว่าสมัยนั้นจะสามารถวิ่งไปภาวนาไปได้ แต่กำลังใจไม่นิ่งเหมือนตอนที่นั่งภาวนา เป็นสมาธิแน่นไม่ได้ เพราะว่าถ้าสมาธิแน่นจะทำให้วิ่งไม่ออก อาตมาวิ่งภาวนาได้ก็จริง แต่สมาธิยังไม่ใช่ระดับฌานใช้งาน เป็นได้แค่อุปจารสมาธิ จึงต้องมานั่งฝึกให้สมาธิทรงตัว แต่ก็ดีตรงที่ทำให้มีกำลัง แม้ว่าจะนอนน้อยแต่ก็ยังไปได้เรื่อย

ขนาดนั้นก็ยังเคยยืนหลับ ทหารเขาฝึกท่าอาวุธ เวลาครูฝึกสั่งเรียบอาวุธ อาตมาก็ลดปืนลงจากบ่าตามขั้นตอน แต่พอจังหวะเข้าร่องไหล่ดันตัดหลับเฉยเลย

โดนครูฝึกตะโกนกรอกหูว่า “เฮ้ย..อย่าเหม่อสิวะ!” ถึงได้สะดุ้งเฮือกขึ้นมา แสดงว่าเวลาร่างกายเพลียมาก ๆ จะตัดหลับเอง ยืน ๆ อยู่ก็หลับได้ ถึงได้รู้ว่าหลับในเป็นอย่างไร หลับใน..เพราะข้างในไม่รับรู้..หลับไปแล้ว"

เถรี
20-01-2012, 13:14
"มีคนมาน้อย ๆ ประมาณ ๑๐-๒๐ คนกำลังดี ถ้าคนเยอะ ๆ แล้วคนนั้นเรื่องหนึ่งคนนี้เรื่องหนึ่งแล้ว ทำให้ปรับอารมณ์ไม่ทัน เพราะแต่ละคนกำลังใจไม่เท่ากัน ถ้าอาตมาไม่ลดกำลังใจลงไปให้เท่าเขา หรือไม่เพิ่มกำลังใจขึ้นไปให้เท่าเขา ก็จะไม่เข้าใจเรื่องนั้น ถ้าลดเพิ่มเท่ากันก็สามารถตอบปัญหาได้ เพราะจะเข้าใจว่าอารมณ์ของเขาตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร

ตรงจุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ว่า ถ้าหากไม่มีความคล่องตัวจริง ๆ แล้วมานั่งอยู่ในสถานะผู้ตอบคำถามเดี๋ยวจะยุ่ง เจอคนถามคำถามงี่เง่ามาก ๆ เข้า จะเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอีก ถ้าหากว่าโกรธขึ้นมาก็ยุ่งเลย"

เถรี
20-01-2012, 13:39
ถาม : ตอนท่านออกป่า ท่านสมาทานธุดงค์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยสมาทาน เดี๋ยวเทวดาเหยียบเอา เพราะอาตมาไม่เคร่ง แต่ก็ไปได้นานกว่าพวกที่สมาทานอีก

ถาม : ที่ว่าไม่เคร่งนี่คือในส่วนของอภิสมาจารหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ในส่วนของการฉัน เพราะว่าอาตมาเองฉัน ๒ มื้อ ส่วนหลวงตาโมเช่ท่านเกรงใจ ท่านจึงไม่ฉัน ๓ มื้อ แต่ฉัน ๒ มื้อตาม ทั้งที่ท่านเป็นตาฤๅษี

ถาม : ท่านฉันพวกผักอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงก็ถือในลักษณะของกินเจอยู่แล้ว ไปป่ากันเป็นเดือน ออกมานี่ไม่รู้ว่าผอมหัวโตกันขนาดไหน กินแต่ผักแต่หญ้า มีอยู่ช่วงหนึ่งเดินอยู่ ๒-๓ วัน มีแต่ป่าชะอมไปตลอดทาง

ด้วยความที่อาตมาเป็นเด็กชาวบ้านมาก่อน ก็คิดว่าชะอมเป็นพืชยืนต้น แต่จริง ๆ แล้วชะอมเป็นไม้เลื้อย อยู่ในป่าต้นใหญ่ขนาดขาอ่อน เลื้อยเต็มภูเขาเลย แต่ตามบ้านที่เห็นเป็นไม้ยืนต้นเพราะโตไม่พอให้เลื้อย โดนเด็ดยอดอยู่เรื่อย

ตอนช่วงนั้นอาตมาเดินจากทุ่งใหญ่ขึ้นไปอุ้มผาง ๓ วันอยู่แต่ในดงชะอมไม่ได้ไปไหนเลย อะไรจะขึ้นได้เป็นดง ๆ ขนาดนั้น แบบเดียวกับผักหวานป่า ผักหวานป่านี่ถ้ามีต้นแม่อยู่บนยอดเขา เนินเขานั้นทั้งลูกจะเป็นผักหวานป่าหมด เพราะเวลาเม็ดตกก็ขึ้นไปเรื่อย

ตอนนั้นกินชะอมจนหน้าจะเป็นหนามอยู่แล้ว พอวันที่ ๓ คงจะทำหน้าเบื่อโลกเต็มที หลวงตาโมเช่ท่านก็บอกว่า "เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เปลี่ยนผักแล้ว" พรุ่งนี้จะพ้นเนินเขานั้นแล้ว อะไรก็พอกินได้ แต่ผักชะอมฉุนจะตาย ต้องทนกินอยู่ตั้ง ๓ วัน

แต่ไปกับท่านโมเช่นั้นดีอยู่อย่างหนึ่ง เจออะไรที่กินได้ท่านจะเก็บใส่ย่ามไปเรื่อย ท่านบอกใบนั่นกินได้ หน่อนี่กินได้ ดอกนั่นกินได้ บางทีหุงข้าวแล้วอาตมานั่งเฝ้าหม้อข้าวอยู่ ท่านก็เดินหายเข้าป่าไป พักหนึ่งได้ผักมาเป็นหอบเลย ท่านบอกว่าอย่างนี้ต้องต้ม อย่างนี้ต้องเผา แต่ก็แปลก..ผักบางประเภทเวลาเคี้ยวใบสด ๆ เข้าไปแล้วโดนยางกัดปาก เพราะเป็นกรด แต่พอเผาแล้วกลับอร่อย

อาตมาเองอยากรู้ว่ากินวิธีอื่นได้หรือเปล่า ? ก็เลยลองจนท่านโมเช่โกรธ ท่านบอกว่าลูกผักหวานกินไม่ได้ กินแล้วตาย อาตมาลองชิมดู..อร่อยนี่หว่า..!

พอแกะออกหน้าตาเหมือนเม็ดบัว แต่กรอบเหมือนแห้ว กินไปเป็นหอบ ๆ เลย กินเสร็จก็เดินยิ้มย่องผ่องใส แต่ปากคอชาไปหมด แสดงว่าเป็นพิษจริง ๆ ท่านโมเช่เดินไปบ่นไป “มาด้วยกันไม่เชื่อกัน แล้วจะไปด้วยกันทำไม ?” เขาไม่เคยเห็น คนอื่นที่บอกว่ากินแล้วตายยังตั้งหน้าตั้งตากิน..!

เถรี
20-01-2012, 13:52
อยู่ในป่าอย่าไปคิดว่ามีผักผลไม้เกลื่อนกลาด ความจริงไม่ใช่หรอก..บางทีไปเจอมะพูด กินเข้าไปท้องร่วงแทบตาย จะไปถือตามที่พระธุดงค์ท่านสอนต่อ ๆ กันมาว่า “ลิงกินได้ คนก็กินได้” อาตมาเกือบตายมาแล้ว ลิงกินทุกวันจึงมีภูมิต้านทาน แต่อาตมากินไปครั้งแรกนี่ถ่ายเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้าเลย ขนาดฉันน้ำร้อนลงไปยังออกมาใส ๆ เลย พูดง่าย ๆ ว่าลำไส้ตั้งแต่ต้นยันปลายไม่มีอะไรเหลือค้างอยู่แม้แต่นิดเดียว..!

http://www.maipradabonline.com/webboard/index.php?action=dlattach%3Btopic=2536.0%3Battach=3735%3Bimage
มะพูด

หลักสูตรที่บอกว่าลิงกันได้คนก็กินได้ อาตมาไม่เชื่อเด็ดขาดเพราะเจอมาเอง บางทีก็ไปเจอผลไม้ที่หน้าตาน่ากิน แต่ดันไปเจอที่เขาเรียกว่าต้นแสลงใจ ตอนไปเจอก็แปลกใจว่ามีลูกสุกเหลืองเต็มต้นไปหมด แต่ทำไมไม่มีอะไรมากินเลย ความจริงแล้วแสลงใจเป็นพิษแรงขนาดช้างล้ม ช้างเดินผ่านด่านตรงนั้นจนราบเป็นทาง แต่ทำไมไม่กินต้นนี้บ้างเลย

พอจะเก็บสักหน่อยท่านโมเช่บอกว่า “กิงไม่ได้อาจาง ช้างยังตายเลย..!” บางวันไปเจอของน่ากินเข้า ท่านโมเช่ก็ไม่มั่นใจ เพราะไม่เคยกินมาก่อน ท่านก็ไปหาผักตำลึงหรือผักบุ้ง หรือรางจืดมาเป็นหอบเลย แล้วก็เริ่มชิมก่อน บอกว่าถ้าหากว่าแกเริ่มชักขึ้นมา ให้อาตมาเอาตำลึงหรือรางจืดที่เตรียมไว้นั่นแหละ มาตำแล้วกรอกปาก ตอนอยู่ในป่าลองกินกันด้วยวิธีนี้แหละ จะได้รู้ว่าอะไรกินได้บ้าง

ถึงได้รู้ว่าคนโบราณเขารู้ได้อย่างไรว่า อะไรที่กินได้หรือไม่ได้ เขาก็ลองกันด้วยวิธีนี้แหละ ส่วนที่พลาดก็ตายไปเลย..!

http://www.pandintong.com/Upload/ContentPic/1317610320_00118_52.jpg
แสลงใจ

แล้วที่รู้อย่างหนึ่งก็คือเห็ดหูหนูเคี่ยวไม่ได้ พอสุกแล้วต้องกินเลย อาตมาล้างจนสะอาดแล้วให้ท่านโมเช่ต้ม พรุ่งนี้จะได้กิน พอตอนเช้าอาตมาตื่นก่อนก็มาต้มต่อ ปรากฏว่าพอเดือดแล้วเสียงเหมือนเวลาต้มข้าวต้ม ลองเอาช้อนตักขึ้นมากลายเป็นกาวไปแล้ว เห็ดหูหนูต้มมาก ๆ ละลายเป็นแป้งเปียกไปเลย อยู่ในป่าเวลาเจอเห็ดหูหนูทีหนึ่งก็เก็บกันเป็นย่าม ๆ เพราะว่าเวลาเห็ดชนิดนี้ขึ้น จะขึ้นเต็มทั้งขอนไม้ แล้วขอนไม้ในป่าโตเป็นโอบ เจอกันทีก็เก็บแทบไม่ไหว ต้องเลือกเอาที่ขึ้นใหม่ ๆ ดอกใหญ่ ๆ เท่านั้น

เถรี
21-01-2012, 09:58
ถาม : เข้าป่าเคยอดนานที่สุดกี่วันครับ ?
ตอบ : ไปจริง ๆ ยังไม่เคยอด เพียงแต่ว่าต้องจำกัดอาหาร บางทีเหลือบะหมี่สำเร็จรูปคนละ ๒-๓ ซอง ระยะทางยังอีกตั้ง ๗-๘ วัน ก็ต้องจำกัดอาหาร หาผักมาเยอะ ๆ ถ้าเดินไปตามลำห้วยก็สบาย มีผักกูด ผักหนาม พอให้อาศัย ถ้านอกเส้นทางขึ้นมาก็แล้วแต่ดวง ถ้าไปเจอต้นไม้ที่รู้จักก็สบาย กินได้แน่ ถ้าไม่รู้จักก็ใช้วิธีที่ว่านั่นแหละ คนหนึ่งชิมที่เหลือก็นั่งลุ้น จะรอดหรือไม่รอดหว่า ?

ถาม : เคยอดน้ำบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เคยอดมาก ๆ ก็ตอนเข้าห้วยขาแข้ง เดินไปเจอลำห้วยหวั่นกุ๊ ห้วยแม่ดี ห้วยกรึงไกร ปกติเป็นลำห้วยสายมหึมาเลย แต่ปีนั้นแล้งจัด น้ำไหลริน ๆ เหมือนจะขาดใจ ต้องเอาฝากระติกน้ำเล็ก ๆ ไปรองทีละฝา

บางทีเดินไป ๗ วัน ๘ วัน พ้นจากบ้านคนไปแล้วอยู่กลางป่า ยังหาแหล่งน้ำไม่ได้ ไปเจอแอ่งเล็ก ๆ อยู่แอ่งเดียว ช้างก็ลุยซะเละเลย ช้างกินเสร็จก็ขี้เยี่ยวลงไปเรียบร้อย เราจะทำอย่างไรได้ก็ต้องเอามากิน ใช้วิธีเอาผ้าอาบคลุมบาตรไว้ แล้วก็ตักน้ำเทใส่ผ้าอาบให้กรองไปในตัว กรองได้แต่พวกเศษใบไม้ใบหญ้ากับดินโคลน ส่วนกลิ่นกรองไม่ได้ ยังมีกลิ่นขี้ช้างเยี่ยวช้าง เอามาต้มแล้วกลิ่นก็ยังอยู่ แต่ก็ต้องกิน ไม่กินก็ไม่รู้จะไปหากินจากที่ไหน

เถรี
21-01-2012, 11:03
ถาม : ตี้จู้เอี๊ยโดนน้ำท่วมไป ถ้าจะตั้งใหม่ ต้องมีพิธีอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องมีพิธีมากหรอก จุดธูปบอกท่านว่าขอโยนของเก่าทิ้ง แล้วเอาของใหม่มาตั้งได้เลย

ถาม : ตั้งได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งครั้งแรกต้องทำเต็มพิธี แต่ถ้าแค่เปลี่ยนใหม่ จุดธูปบอกท่านเฉย ๆ ก็ได้

เถรี
21-01-2012, 11:08
ถาม : ทำสมาธิไปถึงช่วงลมหายใจหายไป เข้าสู่อารมณ์นี้ตลอด แต่ทะลุผ่านจุดนี้ไม่ได้สักที ?
ตอบ : ก็เพราะเราไปนึกถึงลมหายใจที่หายไป แล้วตะกายไปหายใจใหม่ ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าตายเป็นตาย แล้วเราก็ตามดูไปเฉย ๆ ส่วนใหญ่พวกเราพอลมหายใจหายไป ความกลัวตายจะทำให้ตะกายกลับมาหายใจใหม่ เพราะฉะนั้น..ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าตายเป็นตาย

มีมากต่อมากด้วยกันที่เป็นแบบนี้ ระยะแรกอาตมาก็เป็นแบบนี้ พอไม่หายใจก็ตกใจ รีบกลับมาหาลมหายใจ กลายเป็นขึ้นบันไดไปแล้ว แต่ต้องย้อนกลับมาอยู่ที่ก้าวแรกทุกที

ถาม : แล้วถ้าทะลุผ่านจุดนี้ไป จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ร่างกายเหมือนกับว่าค่อย ๆ แข็งขึ้นมา จนเหมือนกับกลายเป็นหินไปเลย บางทีก็เย็นจากปลายเท้าขึ้นมา บางทีก็เริ่มเย็นจากปาก รวบเข้ามา ๆ ทั้งหมดที่รวบเข้ามาจะมาสว่างโพลงอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งข้างใน สว่างกว่าพระอาทิตย์หลายเท่าเลย ตอนนั้นฟ้าถล่มดินทลายเราก็ไม่รู้เรื่อง

ถาม : การที่มีอารมณ์แบบนี้บ่อย ๆ เป็นการซ้อมหรือครับ ?
ตอบ : ถ้ามาสายพุทธภูมิเก่าก็จะเป็นแบบนี้แหละ เข้าหลุด ๆ จนกระทั่งเราชำนาญไปเอง สามารถบอกเขาได้ทุกขั้นตอน คนอื่นเป็นแค่สักครั้งสองครั้งก็จบแล้ว ส่วนเราต้องย้ำแล้วย้ำอีก ต้องสามารถบอกเขาได้ทุกตารางมิลลิเมตร ไม่ใช่ตารางนิ้ว

สาวกภูมิทั่วไป เดินขึ้นบันไดมา มีกี่ขั้นยังไม่รู้เลย พุทธภูมินี่นอกจากต้องรู้ว่ามีกี่ขั้นแล้ว กว้างยาวเท่าไร สร้างจากวัสดุอะไร ใช้วิธีไหนสร้างต้องรู้จนหมด

เถรี
21-01-2012, 15:35
มีพระที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่มาปรึกษาเรื่องการบูรณะปรับปรุงวัด พระอาจารย์กล่าวว่า "ให้ค่อยเป็นค่อยไป อย่ารีบ..ผมยืนยัน เพราะรีบไปก็ไม่มีประโยชน์ การรีบทำแล้วจะมีผล ๒ อย่าง อย่างแรกเขาเห็นศักยภาพของเราแล้วจะยอมรับ แต่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นอย่างที่ ๒ คืออิจฉา แล้วจะหาทางเตะสกัดเรา..!

ยังดีว่าคุณมีเจ้านายอย่างหลวงพ่อสมคิดนะ ถ้าเป็นเจ้านายคนอื่น เขากลัวว่าเราจะไปเบียดตำแหน่งของเขา คราวนี้เขาจะสกัดเราฉิบหายวายป่วงหมด ผมโดนมาตั้งแต่ยกแรก ๆ เลย จนเป็นประสบการณ์แนะนำพวกคุณได้เลยว่า ให้ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ต้องรีบ"

เถรี
21-01-2012, 15:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเดือนที่ผ่านมาฝนเลื่อนลงไปที่ปักษ์ใต้ ส่วนที่เห็นชัด ๆ ว่ารุนแรงขึ้นก็คือคลื่นชายฝั่ง จากปกติที่ไม่หนักหนามากมาย เดี๋ยวนี้มีลักษณะที่เป็นพายุคลื่นที่รุนแรงมาก

ต่อไปถ้าบ้านเรือนของใครอยู่ติดชายน้ำมากก็ต้องสร้างกำแพงกันคลื่นด้วย มนุษย์ต่างดาวเขาสร้างกำแพงกันคลื่นแบบน่ารักมาก ทำเหมือนกับเราปักเสา แต่เขาปักเสาเป็น ๓ ชั้น เป็นแท่งคอนกรีตใหญ่ขึ้นไปเหมือนกับเสา ปักแล้วก็เว้นช่อง..ปักแล้วก็เว้นช่อง ส่วนแถวที่ ๒ ก็สลับฟันปลา แถวที่ ๓ ก็สลับฟันปลา

พอคลื่นมากระทบ เสาช่องที่ ๑ กับเสาช่องที่ ๒ จะทำให้คลื่นลดกำลังไปเกือบหมดแล้ว มาถึงช่องที่ ๓ ก็หมดกำลังพอดี ไม่มีอันตรายอะไร จริง ๆ แล้ว เราน่าจะเลียนแบบต่างดาวเขาบ้างนะ"

เถรี
21-01-2012, 16:03
ถาม : ขอพรหน่อยค่ะ จะแต่งงาน
ตอบ : ไม่ต้องขอพรอะไรหรอก อดทนให้มาก ๆ ก็พอ รับประกันซ่อมฟรี ชีวิตคู่เหมือนลิ้นกับฟัน เรื่องที่จะไม่กระทบกระทั่งกันไม่มีหรอก เพราะฉะนั้น..ต้องอดทนให้มาก ๆ

เถรี
21-01-2012, 16:09
มีโยมนำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระธาตุ ถึงแม้จะสร้างขึ้นมาเลียนแบบก็ตาม แต่ก็อยู่ในลักษณะเดียวกับพระพุทธรูป เป็นของที่สำคัญมาก เราจะทำเล่น ๆ ไม่ได้

พระบรมสารีริกธาตุของจริงนี่ วัตถุใดสัมผัสถูกเทวดาก็รักษาหมด เพราะฉะนั้น..ภาชนะที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไม่ใช่เราจะไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ได้ ถ้าเจอเทวดาท่านที่ปล่อยได้วางได้ปลงได้ก็แล้วไป เจอเทวดาท่านที่ไม่ชอบใจแล้วลงไม้ลงมือด้วยเราจะเดือดร้อน..!"

เถรี
21-01-2012, 16:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาตั้งราคาตะกรุดมหาสะท้อนไว้แพง เพราะว่าเป็นของอันตราย ไม่อยากให้เอาไปใช้ เห็นผลมาเยอะต่อเยอะจนอาตมาสยดสยองเองแล้ว

พวกเราส่วนใหญ่สร้างบารมีมามาก บุคคลที่สั่งสมบารมีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดเป็นบุญฤทธิ์ขึ้น ในเมื่อเป็นบุญฤทธิ์ขึ้นมา คนคิดร้ายก็แย่แล้ว แถมเรายังไปเล่นตะกรุดมหาสะท้อนด้วย คนนั้นก็เดี้ยงสถานเดียว..!

ฉะนั้น..จริง ๆ แล้วไม่ต้องมีตะกรุดหรอก ภาวนาคาถา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไว้ทุกวัน กำลังใจทรงตัวก็คุ้มได้เหมือนกับมีตะกรุดนั่นแหละ ถ้าเรารู้สึกว่าราคาแพงก็ไม่ต้องห่วง..ของฟรีมี ภาวนาเอาเองก็ได้ แต่พวกเราส่วนใหญ่พอบอกให้ไปภาวนาก็ไม่มั่นใจ ท้ายสุดก็มาเอาตะกรุดไปจนได้

มีหลายท่านสงสัยว่าพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๑ ที่อาตมาเผลอใส่ตะกรุดมหาสะท้อนไป มีเนื้อไหนบ้างที่ใส่ ก็มีเนื้อทองคำ เนื้อเงินและเนื้อนวโลหะ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครใช้พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ๓ เนื้อนี้ คนหรือสัตว์กำลังคลอดอยู่ อย่าเข้าไปใกล้นะ โปรดเมตตาเขาหน่อย ถ้าเขาคลอดไม่ได้แล้วจะยุ่ง"

เถรี
22-01-2012, 08:46
พระอาจารย์อ่านหนังสือเรื่อง ปริศนาเอสกิโม แล้วเล่าให้ฟังว่า "พวกเอสกิโมพอไปเจอสบู่อาบน้ำของฝรั่ง อยากรู้ว่าอร่อยหรือเปล่า ก็เอาใส่ปาก อาตมาเลยนึกถึง อ.โมเช่ของเรานี่แหละ อาตมาพาท่านเสียคน กลายเป็นกะเหรี่ยงที่ทันสมัยไปเลย

เวลาเอาข้าวของแปลก ๆ พวกกาแฟซอง มีโอวัลตินซองเข้าไป อ.โมเช่ก็จะถาม พอไปเจอผงซักฟอกซองเข้า ท่านถามว่าอันนี้กินอย่างไร ?(หัวเราะ) ยังดีนะว่าท่านเป็นคนฉลาด ถามก่อนทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องยา อ.โมเช่จะระวังมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ถามจนละเอียดจริง ๆ ท่านจะไม่กินเด็ดขาด เพราะรู้ว่ายาฝรั่งอันตราย ท่านยอมใช้สมุนไพรดีกว่า เป็นคนล้าสมัยแต่รอบคอบมาก

มีอยู่ครั้งหนึ่งไปค้างกัน ๗-๘ วัน ท่านต้มยาชนิดหนึ่ง ซึ่งผีบอกว่ากันเอดส์ได้ พวกเราก็แห่กันไปกิน พอกินแล้วจะเกิดผลหรือไม่ ตอนกลางคืนมืด ๆ ให้เอาฝ่ามือมาถูกันดู ถ้าเกิดผลจะมีประกายไฟแลบลั่นไปหมด ยาของท่านแปลกดีเหมือนกัน

คราวนี้พวกเราไปก็ทำอาหารเลี้ยงท่านบ้าง เพราะที่ผ่านมาให้ท่านเลี้ยงอยู่ฝ่ายเดียว ข้าง ๆ กระต๊อบมีดงไผ่ พวกเราไปเจอหน่อไม้เข้าก็เก็บมาเผา ปอกเปลือก ต้มใส่ใบย่านาง ต้มไว้ค้างคืน รุ่งขึ้นก็เอามาผ่าแล้วซอยหมักใบย่านางไว้ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง อ.โมเช่เห็นว่ายังหมักน้ำใบย่านางอยู่ ท่านก็เอาขึ้นมาเพื่อที่จะทำอาหาร พวกเราก็บอกว่า “ยัง ๆ..โมเช่..ยังกินไม่ได้”

ท่านโมเช่ว่า “โอโฮะ..๒ วันยังกินไม่ได้อีก..!” ท่านไม่เคยเจออาหารอะไรที่ทำช้าอย่างนี้มาก่อน ความจริงหน่อไม้ถ้าหมักใบย่านางแล้วจะอร่อย พวกเราทำอย่างใจเย็น ส่วนท่านประเภททำเดี๋ยวนั้นกินเดี๋ยวนั้นเลย"

เถรี
22-01-2012, 08:58
"ตอนนี้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดกู่ไจ้ที่เมียวดี ทางฝั่งพม่า เวลาขาดแคลนอะไรท่านก็จะมาบอกว่าต้องการเงินไปทำอะไร อาตมาก็ควักให้ ท่านปลื้มใจมากเพราะว่าในบริเวณ ๒ เมืองนั้น ทั้งโกกะเร่ย (กรุกกริก) และเมียวดี มีแต่ส้วมของวัดท่านที่ไม่เหม็น

ปกติส้วมพม่ามีลักษณะเหมือนส้วมซึมบ้านเรา แต่เป็นรูลงไปเฉย ๆ ไม่มีท่อกักน้ำกันกลิ่นย้อนขึ้นมา เพราะฉะนั้น..ต่อให้ส้วมพม่าอยู่ห่าง ๑๐๐ เมตรก็ยังได้กลิ่น แต่ อ.โมเช่ท่านอุตส่าห์แบกหัวส้วมจากเมืองไทยข้ามไป ทำส้วมได้ ๓ ห้อง ท่านบอกว่าต่อไปอาจารย์ไปเที่ยววัดผมได้สบายแล้ว เพราะส้วมไม่เหม็น

อีกครั้งหนึ่งหลังจากท่านหายไป ๓ ปี โผล่มา “อาจาง..ขอเงินสองหมื่น” อาตมาถามว่าจะไปทำอะไร ท่านบอกว่าจะไปติดไฟฟ้าที่เจดีย์ หายไป ๓ ปีไปสร้างเจดีย์เสร็จแล้ว อาตมาก็ถามว่าจะเอาไปเอาไฟฟ้าที่ไหน ท่านบอกว่า “เดี๋ยวไปซื้อไอ้แผง ๆ มันทำไฟได้” ท่านทันสมัยขนาดนั้น ถามว่ามีขายหรือ ท่านบอกว่า “มี ๆ ไปดูมาแล้ว”

ถามว่าไฟพอใช้หรือ ? ท่านบอกว่าถ้าใช้เฉพาะไฟที่ประดับเจดีย์ก็พอใช้ สรุปว่าท่านซื้อโซลาร์เซลล์ไป ๒ แผงจากฝั่งแม่สอด แล้วก็แบกข้ามไป อาตมาเองยังไม่รู้เลยว่าแถวนั้นมีโซลาร์เซลล์ขาย ส่วนท่านโมเช่หายไปปีกว่าแล้วยังไม่โผล่มาเลย ถ้าโผล่มาก็ยังไม่รู้จะให้ช่วยทำอะไรอีก ท่านเป็นคนที่สร้างบุญอย่างเดียว หมู่บ้านไหนจะสร้างเจดีย์มาบอกท่าน ท่านจะไปสร้างให้ มีเงินหรือไม่มีเงินท่านก็ทำจนเสร็จ

ระยะหลัง ๆ นี่สร้าง ๓-๔ แห่ง อาตมามีหน้าที่เป็นนายทุนควักเงินให้ท่านไป ท่านจะไปหาคนเอง พวกชาวบ้านที่อยู่ตามชายแดนไทยพม่าเขานิยมสร้างเจดีย์กันมาก ชอบสร้างบนยอดเขา ยิ่งสูงยิ่งดี เขาบอกได้บุญเยอะดี ท่านไม่เคยขาดแรงงาน นอกจากขาดเงินก็มาขอที่อาตมา"

เถรี
22-01-2012, 09:50
"อาตมาก็คิดว่า แล้วเขาจะเอากรวดเอาทรายที่ไหนไปสร้าง ปรากฏว่าเขาลงไปในลำห้วย เก็บก้อนกรวดก้อนหินที่เป็นหินน้ำตกลื่น ๆ กลม ๆ มาผสมปูน คนละถังสองถัง อาตมาก็มองว่าเข้าท่า ซื้อแต่ปูนอย่างเดียว หินทรายไม่ต้องซื้อ

ตอนไปช่วยสร้างเจดีย์ที่วัดห้วยหินดำ อาตมาก็ว่า “เอ๊ะ..ท่านโมเช่ เจดีย์เอียงนะ” ท่านมาเล็ง ๆ ดูแล้วบอกว่า “เอียงจริง ๆ แหละอาจาง..ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ?” "ก็พวกเราเล่นเทปูนข้างเดียว ทำนั่งร้านขึ้นข้างเดียวแล้วเทปูนลงไปแบบนั้น น้ำหนักก็ถ่วงข้างเดียว จนแบบเอียงนะสิ"

ท่านถามว่าจะทำอย่างไร? อาตมาบอกว่า "เดี๋ยวรอให้ชั้นนี้แห้ง แล้วสกัดเอาส่วนที่เอียงออกค่อยเทต่อ ต่อไปจำไว้ว่า ให้เทปูนรอบ ๆ องค์เจดีย์ ไม่ใช่ไปเทข้างเดียวแบบนั้น" งานนั้นสนุกเพราะว่าพาพวกท่านกอล์ฟ ท่านยุ้ย มหาเคไปช่วยด้วย ทิ้งให้อยู่กับท่านโมเช่เป็นเดือน ๆ

งานของพระศาสนา ไม่ว่าจะทำที่ไหนก็เป็นงานของพระศาสนา โดยเฉพาะว่าถ้าพระสงฆ์ของเราช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างที่อาตมาทำ จะเป็นมอญ พม่า กะเหรี่ยง กะหร่าง ฝั่งไทยฝั่งพม่าช่วยเขาหมด ขอให้มีแรงช่วยได้เป็นช่วยหมด แบบนี้พระศาสนาก็จะเจริญ"

เถรี
22-01-2012, 09:56
"แต่ทางฝั่งพม่ามีจุดบกพร่องอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อถึงเวลาเขาจะประดังกันมาขอความช่วยเหลือ ถึงเราบอกว่ากำลังช่วยวัดนี้อยู่ เขาไม่สนใจหรอกเพราะวัดเขาจะเอา อาตมาบอกว่า “ตูไม่ได้บ้านี่หว่า ทำทีละวัดสิวะ ไม่ใช่ทำให้มั่วไปหมด” เล่นประดังกันมาขอทีละ ๓-๔ วัดใครจะไปทำให้ไหว

อย่างท่านอาจารย์เต้ก็เหมือนกัน พออาตมาถามท่านว่าไปทอดผ้าป่าให้เขาได้เท่าไร ท่านบอกว่า "ได้เจ็ดหมื่น เขาจะทำหรือไม่ทำก็ไม่รู้ ให้ไปแล้ว" ท่านอาจารย์เต้ก็ช่วยงานทั้ง ๒ ฝั่งเหมือนกัน ถ้าจะไปเที่ยวแถวมะริด ทวาย ตะนาวศรีไปขอใบผ่านจากท่านได้

อาตมาว่าจะไปดูบ่อน้ำมันเมืองมะริดตั้งแต่ยังไม่มีถนน จนตอนนี้มีถนนแล้วก็ยังไม่ได้ไปเลย ตอนยังไม่มีถนนถามท่านอาจารย์เต้แล้ว ท่านบอกว่าเดิน ๓ วัน ตอนมีถนนคาดว่าน่าจะวันเดียวก็ถึงแล้ว

บ่อน้ำมันเมืองมะริดอยู่ริมทะเล อาตมาต้องการไปดูแค่นั้นเองว่าอยู่ตรงไหน เป็นบ่อน้ำมันดิบแต่สีออกสนิมเหล็ก ไม่ใช่น้ำมันดิบดำปี๋เหมือนยางมะตอย ใช้จุดไฟได้เลย แสดงว่าข้างใต้จะต้องมีความร้อนใต้ดินผ่าน เพราะเท่ากับกลั่นน้ำมันขึ้นมาในตัว ถ้าน้ำมันดิบแท้ ๆ จะเหนียวหนึบ ขว้างใส่หัวนี่ติดหนับแกะไม่ออกเลย"

เถรี
22-01-2012, 10:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่าถ้าเป็นพระ อย่าไปเป็นเจ้าอาวาสใกล้บ้านตัวเอง ญาติจะมากวนตายชัก ไปให้ไกล ๆ เลย ถ้าเขาอุตส่าห์ตะกายตามไปหาถึงที่ แล้วค่อยให้เขากวน เป็นเจ้าอาวาสใกล้บ้านเดี๋ยวญาติข้างนั้น เดี๋ยวญาติข้างนี้มาเต็มไปหมด ถ้าไม่เด็ดขาดพอก็เอียงกระเท่เร่ โดยเฉพาะถ้าเขาเห็นเราสงเคราะห์ใครมากกว่าก็จะมองตาเขียวปั๊ด

พวกบรรดาญาติโดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่ เขาไม่ได้เห็นเราเป็นเจ้าอาวาส ไม่ได้เห็นเราเป็นหลวงปู่หลวงพ่อเหมือนคนอื่นเขาหรอก เขาเห็นเป็นลูกเป็นหลานเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่อยากให้เขาลงนรกก็หนีไปให้ไกล ๆ เลย"

เถรี
22-01-2012, 11:30
ถาม : ครุกรรมหนักฝ่ายกุศล คือในส่วนของสมาบัติ ๘ และมรรคผลนิพพานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นิพพานไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล พ้นจากนั้นไปแล้ว ครุกรรมฝ่ายกุศลจริง ๆ เขาเน้นที่สมาบัติ ๘

ถาม : ถ้าได้สมาบัติ ๘ คือฌานโลกีย์ เวลาสิ้นชีวิตก็ไปบังเกิดเป็นอรูปพรหมฝ่ายเดียวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิม ถ้าเคยปรารถนาพุทธภูมิมา จะไม่ไปเกิดที่นั่น เพราะกติกาของความเป็นพระโพธิสัตว์จะไม่ไปเกิดในอรูปพรหม เนื่องจากว่าระยะเวลานานเกินไป ทำให้สร้างบารมียาก ถ้าหากว่าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ก็อยู่ตรงนั้นแหละ อีกอย่างก็คือ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปแล้วได้สมาบัติ ๘ ก็ไปตามกำลังของตัวเอง ถ้าเป็นโลกียฌานก็อยู่ตรงนั้นแหละ

ถาม : ถ้าคนได้สมาบัติ ๘ แล้วไม่ปรารถนาจะไปอยู่อรูปพรหม พอก่อนตายก็ไม่เข้าสมาบัติ ๘ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ส่วนใหญ่มักจะไปอยู่ตรงนั้น เพราะว่าเผลอเมื่อไรกำลังใจก็จะไปที่จุดสูงสุดที่ตัวเองเคยชิน มีอยู่อย่างเดียวคือต้องประกอบไปด้วยวุฎฐานวสี คือมีความคล่องตัวในการออกจากฌาน ถึงเวลาก็หลบลงมาที่สมาธิระดับต่ำ ๆ

ถาม : อยู่ในฌาน ๔ หรือครับ ?
ตอบ : ใช่..อย่าให้เกินนั้น หลบมาอยู่ในรูปฌาน แต่ส่วนมากแทบจะไม่มีใครรอด

ถาม : ยากนะครับ
ตอบ : เหมือนอย่างกับคุณสร้างทางใหญ่เป็นซูเปอร์ไฮเวย์ แล้วให้หลบลงทางเล็ก ๆ คุณก็ไม่ชิน มักจะไปตามซูเปอร์ไฮเวย์ของคุณนั่นแหละ

เถรี
22-01-2012, 11:37
ถาม : คำว่าสัมมาสมาธิมีความหมายว่าอะไรครับ ? ต้องเป็นสมาธิระดับสมาบัติ ๘ หรือไม่ครับ?
ตอบ : สัมมาสมาธิ หมายความว่าเราตั้งสมาธิไว้ในทางที่ถูกต้อง ก็คือเป็นสมาธิที่หนุนเสริมให้เกิดปัญญา ถ้าหากว่าหนุนเสริมให้เกิดปัญญาได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิระดับไหนก็เป็นสัมมาสมาธิทั้งนั้น

ถาม : ถ้าเราทำให้สมาบัติ ๘ เสื่อมก่อนตายล่ะครับ ?
ตอบ : ลองดูซิว่าจะทำได้ไหม ? ระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ก็ดีบ้างเสื่อมบ้าง แต่หากว่าความคล่องตัวมีจริง ๆ จิตสุดท้ายจะไปเกาะตรงนั้นทันที แล้วความซวยจะมาเยือน ถ้าเกิดในอรูปพรหมอย่างน้อย ๆ ก็สองหมื่นมหากัป..!

ถาม : แต่ถ้าเสื่อมแล้วเสื่อมหมดนี่ครับ ?
ตอบ : ตอนเสื่อมนั้นเสื่อมหมด แต่คนที่คนเคยได้แล้ว แวบเดียวก็ตีคืนได้แล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอรูปพรหมหรือรูปพรหมต้องทรงฌาน ถ้าหากว่าหลุดมาข้างนอกเมื่อไรก็อยู่แค่ชั้นจาตุมหาราช

ถาม : บุคคลที่ได้มโนยิทธิ จิตเกาะพระนิพพานได้ เป็นโลกุตรฌานไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ยังเป็นโลกียฌานเต็ม ๆ อยู่ ถ้าสามารถสัมผัสพระนิพพานได้ อารมณ์ตอนนั้นเทียบเท่าพระโสดาปัตติมรรค จนกว่าคุณจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจริง ๆ จึงจะเป็นโลกุตรฌาน

เถรี
22-01-2012, 11:42
ถาม : เวลาเข้าอรูปฌาน ถ้าเกิดคนที่ไม่เคยผ่านรูปฌานมาในชาตินี้ แต่ว่ามีปัจจัยมาก่อน สามารถจะทำอรูปฌานให้เกิดได้เลยไหมครับ ?
ตอบ : ยากจนแทบไม่มีทางเป็นไปได้..เพราะว่าอย่างน้อยเราต้องซักซ้อมรูปฌานให้คล่องตัวก่อน แล้วทรงกสิณกองใดกองหนึ่งที่ไม่ใช่อาโลกกสิณหรืออากาศกสิณขึ้นมา จึงสามารถจับเป็นอรูปฌานต่อได้

ถ้ารูปฌานไม่คล่อง โอกาสที่จะเข้าอรูปฌานเลยทีเดียวแทบเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นว่าชาติก่อนเราเป็นประเภทสุดยอดฝีมือมาจริง ๆ พอชาตินี้เผลอมองฟ้าหน่อยเดียวก็ได้เลยอะไรอย่างนี้

สรุปว่า ต้องมีพื้นฐานมาจากรูปฌานทั้งหมด อรูปถ้าไม่มีรูปเป็นพื้นฐานก็ทำไม่ได้

ถาม : ไม่ว่าจะมาจากอรูปพรหม ก็ต้องได้รูปฌานก่อน ?
ตอบ : เริ่มต้นที่รูปฌานก่อน ยกเว้นว่าท่านที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า กำลังของท่านเกินแล้ว ของเก่าจะฟื้นคืนมาเอง แต่ก็ต้องซักซ้อมความคล่องตัว เพื่อที่จะใช้งานอย่างเต็มที่

เถรี
22-01-2012, 11:47
ถาม : ปีนี้เป็นชง ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัวเข้าไว้ กำลังพวกนี้สูงอยู่แล้ว จะชงขนาดไหนก็ไปได้

ถาม : เราต้องไปทำพิธีอะไรอย่างคนอื่นเขาไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อความสบายใจก็ไปทำเสีย เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ได้กำลังใจเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามั่นใจตัวเองก็ไม่ต้องหรอก อย่างอาตมานี่แหกคอกมาตลอด ใครว่าอะไรไม่ดี กูจะทำให้ดู ทำให้ดีจนได้

เถรี
22-01-2012, 12:31
มีเด็ก ๒ คนกำลังนั่งกรรมฐาน พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "ไปยาวแล้ว (หัวเราะ) นั่งให้ได้คนละครึ่งชั่วโมงเลยลูก เอาอย่างนี้ลูก..พุทโธ ๆ ไปเรื่อย นึกถึงภาพพระไว้บนหัว แล้วค่อย ๆ เลื่อนภาพพระครอบเราลงมา ขอให้โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ หายไป"

เถรี
22-01-2012, 16:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระสำคัญต่าง ๆ จึงทำให้ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา มอบของสำคัญมาให้ทางบ้านเราได้สักการบูชากัน ซึ่งถ้าตามปกติแล้วเราเดินทางไปจนถึงบ้านเขา ยังไม่แน่ว่าจะได้กราบไหว้บูชาแบบนี้

อย่างพระบรมธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ของวัดหลินกวง ประเทศจีน พระบรมสารีริกธาตุของประเทศศรีลังกา มาครั้งนี้ก็พระทันตธาตุของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าของประเทศภูฏาน"

เถรี
23-01-2012, 14:25
ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วมีแสงสว่างขึ้นมาในตัว เป็นฌาน ๔ หรือเปล่าครับ ? เพราะผมเคยเจออยู่
ตอบ : แค่อุปจารสมาธิก็เป็นแล้ว ถ้าเป็นฌาน ๔ จะสว่างเจิดจ้าและไม่รับรู้อาการภายนอกเลย

ถาม : ผมเคยเจอเหมือนกับว่าเวลาไม่นาน แต่จริง ๆ ผ่านไป ๒ ชั่วโมงแล้ว
ตอบ : ใช่...รู้สึกว่าครู่เดียว แค่หายใจเข้าออกไม่กี่ที แต่ว่าระยะเวลาข้างนอกจะผ่านไปนานมาก

ถาม : ตอนนั้นเหมือนกับพื้นกว้างสุดลูกหูลูกตาเลย ?
ตอบ : ตอนนั้นไม่มีอะไรขวางได้แล้ว เพราะว่าทุกอย่างจะสว่างโล่งไปหมด ไปทำใหม่แล้วอย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ถ้าเราทำแล้วไปอยากให้เป็นก็จะไม่เป็นอีก เพราะตัวอยากมาขวาง ให้ไปซ้อมใหม่ ถ้าคล่องตัวเดี๋ยวก็สบายแล้ว

เถรี
23-01-2012, 14:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขามีสูตรว่าหนีช้างให้หนีขึ้นเขา เพราะช้างตัวใหญ่ขึ้นที่สูงลำบาก ถ้าหากว่าอยู่ในที่ราบอย่าวิ่งหนีเป็นทางตรง ให้วิ่งหลบวนไปวนมา ถ้ามีต้นไม้อยู่ก็วน ๆ อยู่รอบต้นไม้ เพราะช้างตัวใหญ่กลับตัวได้ยาก ถ้าวิ่งทางตรง ช้างก้าวยาวกว่าเรา ๓-๔ เท่า ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเราแล้ว

ถ้าหากว่าหนีต่อหนีผึ้งให้หนีทวนลม แต่เราจะมีสติดูทางลมหรือเปล่า ? ไม่ใช่ไปวิ่งตามลม มีแรงลมส่งผึ้งก็ถึงตัวเราเร็วขึ้น อย่างเราหนีเสือขึ้นต้นไม้ก็พอได้ ถ้าไม่ใช่พวกเสือดาวหรือเสือดำจะขึ้นต้นไม้ได้ยาก แต่ว่าขึ้นต้องขึ้นให้สูงพอ อย่างน้อย ๗-๘ เมตรไปเลย ถ้าต่ำกว่านั้นเสือกระโจนทีเดียวถึง..!

แต่ที่หนีไม่ได้คือหมี หมีวิ่งเร็วกว่าเรา ขึ้นต้นไม้เก่งกว่าเรา ว่ายน้ำเก่งกว่าเรา ไม่รู้ว่าจะหนีอย่างไร มีอย่างเดียวคือวิ่งเข้าหาแล้วตะโกนดัง ๆ ใส่หน้า พอเราตะโกนเข้าใส่ หมีตกใจจะกลับหลังหันวิ่งฝุ่นตลบเลย แล้วเราก็วิ่งหนีให้เร็วที่สุด เพราะหมีจะตกใจพักเดียว แล้วจะย้อนกลับมาใหม่ เพื่อดูว่าเมื่อกี้นี้เป็นตัวอะไรกันแน่

ถ้าหากว่าสัตว์ทำอันตรายเราไม่ได้ หรือว่าเราหนีพ้นเขต เขาก็เลิกยุ่ง เขาจะมีเขตหากินของเขาอยู่ ถ้าเราเข้าไปในเขตเขาจะถือว่าเราเป็นฝ่ายบุกรุก เขาก็จะขับไล่เราให้ออกจากเขต คราวนี้ระหว่างสัตว์กับสัตว์ด้วยกัน เวลาลงไม้ลงมือกันยังพอรับได้ แต่สัตว์แรงมากกว่าคน พอมาลงมือกับเราก็อาการหนัก ถ้าเราหนีพ้นเขตเขาก็เลิกไล่ หรือไม่ก็อย่าเข้าไปในเขตของเขาเลย

สัตว์แต่ละชนิดจะมีระยะปลอดภัยของเขาอยู่ ถ้าเราไม่ก้าวล่วงระยะปลอดภัย เขาก็จะไม่โจมตีหรอก ยืนมองช้างไปเถอะ เขาไม่ทำอะไรหรอก แต่บางทีเราก้าวเข้าไปอีกก้าวเดียว ช้างอาจจะวิ่งใส่เลย เพราะฉะนั้น..กับสัตว์แล้ว การอยู่นอกระยะปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ"

เถรี
23-01-2012, 14:46
"คุณเชน(มล.ปริญญากร วรวรรณ)โดนเสือตบหน้าแหว่งไปแถบหนึ่ง แถมเสียเลนส์เทเลโฟโตยาวเหยียดไปหนึ่งตัวด้วย คุณเชนถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ แม้ว่าเสือจะแยกเขี้ยวขู่อยู่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ขยับเกินจุดนิดเดียวเสือโดดเข้าใส่เลย คราวนี้เขี้ยวมาถึงคอหอยแล้วจะให้ทำอย่างไร คุณเชนก็เอาเลนส์กระแทกใส่ปาก เสือเลยงับเลนส์พัง ถ้าไม่มีเพื่อนป่าไม้ ๒ คนช่วยกันเอ็ดตะโร เสือคงขย้ำตายอยู่ตรงนั้น ขนาดนั้นก็ยังเย็บซะหลายเข็ม

พวกสัตว์เวลาเขาโจมตีจะเร็วมาก อาตมาเคยเลี้ยงลูกหมีควาย เขาเพิ่งให้มาใหม่ ๆ ตัวขนาดประมาณหมาไทย แต่เวลายืนขึ้น ๒ ขาสูงเกือบถึงอกเรา แต่ถ้ายืน ๔ ขาก็ประมาณหมาอ้วน ๆ หน่อย

อาตมาถือขันใส่นมไปให้ โดนตบผัวะเดียวขันกระจายเลย หมีตบไวจนมองไม่ทัน มาดูทีหลังว่าโดนตบ ๓ ทีทั้ง ๆ ที่เห็นแค่ทีเดียว นึกเอาแล้วกันว่าเร็วขนาดไหน ท่านชาติชายก็เหมือนกัน พยายามที่จะเลี้ยงงูเหลือม เอาตะเกียบคีบเนื้อไก่ไปยัดปาก งูก็ไม่ยอมกิน แหย่ไปแหย่มางูโกรธ ฉกเอาตอนไหนก็ไม่รู้ ตะเกียบกระเด็นหลุดมือไปแล้วเพิ่งจะรู้ว่างูฉก มองไม่ทัน เร็วได้ขนาดนั้น

เวลาสัตว์ชาร์จเข้ามา ความเร็วของคนสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะให้ดีอย่าเข้าไปในเขตที่เกินกว่าระยะปลอดภัยของเขา ถ้าเข้าไปแล้วโดนแน่ ๆ เคยเจอกระทิงอยู่ในป่า ตัวเกือบเท่าช้างที่เขาเอามาเดินขายอ้อย น้ำหนักเป็นตัน ๆ เลย

ที่ศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ป่าลำสะด่อง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขาไปได้วัวแดงมาตัวหนึ่ง ชื่อเจ้าเบิร์ด อาตมาเอารถปิกอัพโฟร์วีลล์ไปเทียบ ตัวใหญ่เท่าปิกอัพแต่สูงกว่า ประเภทนั้นถ้าอยู่ในป่าแล้วยิงตายก็นั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละ เพราะเอาออกมาไม่ไหวหรอก..!"

เถรี
23-01-2012, 14:54
"สัตว์ที่อยู่ในป่าตัวจะใหญ่มาก ช้างเลี้ยงกลายเป็นตัวเล็ก ๆ ไปเลย เวลาช้างป่าเดินแล้วเอาสีข้างถูต้นไม้ ขี้โคลนจะติดตามต้นไม้ซึ่งเป็นความสูงประมาณเอวของเขา รอยโคลนของต้นไม้มีความสูงขนาดอาตมาพร้อมกับด้ามกลดแหย่ไปไม่ถึง แสดงว่าช้างในป่าสูงประมาณ ๓ เมตร ช้างที่เราเห็นมาเดินให้เราลอดท้องบ้าง มาให้ซื้ออ้อยเลี้ยงบ้าง ถ้าเอาเทียบกับพวกช้างป่า จะเหลือตัวนิดเดียวเอง

พวกกระทิงในป่าตัวเกือบเท่าช้างเลี้ยงแล้ว และความเร็วก็เหลือเกิน วันนั้นอาตมาไปกับท่านโมเช่ และฤๅษีบุญทรง ท่านโมเช่เดินนำหน้า อาตมาอยู่กลาง ฤๅษีบุญทรงปิดท้าย พอเลี้ยวโค้งตรงมุมเขา เพราะลำห้วยโค้งอ้อมภูเขา พอพ้นโค้งก็เห็นท่านโมเช่วิ่งหน้าเริ่ดมา ตะโกนว่า “อาจารย์ หนีเร็ว..!” อาตมามองไปข้างหน้า ลำห้วยช่วงนั้นมีหินก้อนใหญ่เท่าบ้านเท่าตึกเยอะแยะไปหมด แล้วกระทิงกำลังก้มหน้ากินน้ำอยู่ ก็เลยดูเหมือนกับก้อนหินเพราะว่าตัวใหญ่มาก

ท่านโมเช่เดินไปเกือบจะชนก้นกระทิง ลมไม่ได้พัดมาทางเรา แต่ลมพัดจากเราไปหาเขา คราวนี้เราเพิ่งจะพ้นโค้งมา กระทิงยังไม่ทันได้กลิ่นก็เลยไปเจอกันอย่างกระชั้นชิด ตอนแรกเจ้ากระทิงหันมาหายใจพรืด..! ประเภทรำคาญ พออาตมาโผล่มาอีกคนเขาก็ชะงัก ยืดคอขึ้นมามอง พอฤๅษีบุญทรงโผล่มาอีกคนหนึ่งเขาเห็นท่าว่าคนเยอะ ไม่เอาด้วยแล้ว ก็กระโดดหนี ๓ ทีถึงยอดเขาเลย ไปอย่างกับลูกธนู..!

ตัวเขาใหญ่อย่างกับช้าง แต่ทำไมถึงแข็งแรงและเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ? กระโจนพรวด ๆ ๓ ทีถึงยอดเขาเลย ด้วยความเร็วและแรงขนาดนั้น ถ้าพุ่งใส่เราจะเหลือไหมนั่น ?"

เถรี
23-01-2012, 14:57
"มีนายพรานคนหนึ่งไปเจอหมีเข้า แล้วหมีไล่กวด แกก็วิ่งอ้อมต้นไม้ หมีก็ล้วงกรงเล็บมาตบดักหน้า แกตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรก็คว้าข้อมือหมีไว้ พอหมีล้วงอีกข้างหนึ่งแกก็คว้าข้อมือหมีเอาไว้ ยื้อกันไปยื้อกันมา จริง ๆ แล้วหมีแข็งแรงกว่า แต่ต้นไม้ขวางอยู่ ถูกนายพรานดึงตัวติดต้นไม้ หมีก็ออกแรงไม่ได้

ด้วยความกลัวตายแกก็รั้งไว้สุดชีวิต ยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงจนหมดแรงล้ม หมีหมดความสนใจก็เลยไป ถ้าหากว่าเป็นตอนหมีไล่ใหม่ ๆ นี่คงไม่ยอมนะ เพราะว่าตอนนั้นหมีกำลังโมโห จะไล่ให้พ้นเขตอย่างเดียว แต่ยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงจนหมดความสนใจแล้ว พอมือหลุดได้หมีก็เลยเดินหันหลังหนีไปเลย"

เถรี
23-01-2012, 16:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเด็กกับเห็นผู้หญิงแต่งตัวสวย ๆ แล้วเหนื่อยแทน เหนื่อยตรงที่ว่ากว่าที่เด็กจะโตก็ยังอีกนาน เขาต้องทุกข์ยากลำบากอีกเยอะเลย ส่วนผู้หญิงกว่าจะแต่งตัวสวยให้ได้อย่างนั้น และต้องพยายามสวยให้ได้ทุกวันก็ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่

ใครที่มีแฟนไม่แต่งหน้าแต่งตานี่โชคดีมหาศาล ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ อีก ถึงจะโทรมเป็นยายเพิ้งก็ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่เปลืองดี..!"

เถรี
23-01-2012, 16:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าอาตมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะย้อนหลังไปดูว่าคำขวัญวันเด็กปีไหนเข้าท่าที่สุด แล้วก็เลือกอันนั้นแหละเป็นคำขวัญวันเด็กตลอดไป เพราะถ้าเปลี่ยนคำขวัญทุกปี เด็กก็จะจำไม่ได้

อย่างรุ่นของอาตมา คำขวัญวันเด็กคือ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ ใช้มาตลอด สมัยนี้เด็กฉลาดชาติล่มจม เพราะส่วนใหญ่ฉลาดในทางโกงกิน งานวิจัยเขาสรุปออกมาว่า คนรุ่นใหม่ยอมรับว่าถ้าจะโกงบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนบ้างก็แล้วกัน

ถ้าเรื่องนี้ต้องดูอย่างคุณบรรหาร ศิลปอาชา ถามว่าคุณบรรหารโกงไหม ? ไม่ได้โกง แต่คุณบรรหารของบประมาณไปลงที่จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วเอาบริษัทตัวเองไปประมูล ในเมื่อรู้ราคากลางก็ประมูลได้ทุกทีแหละ แล้วก็ทำจนสุพรรณบุรีเจริญมากจนจังหวัดอื่น ๆ อิจฉา ในตอนนั้นถนนสายตลิ่งชัน-สุพรรณบุรีเป็นถนนลาดยาง ๔ เลน อยู่มาไม่กี่ปีก็ขูดทิ้ง ทำถนนคอนกรีตแทน ที่อื่นยังไม่มีถนนดี ๆ อย่างนี้เลยนะ นี่ขูดทิ้งแล้วไปทำเป็นคอนกรีตแทน เพราะได้งบประมาณมาทำถนนคอนกรีต

คุณบรรหารเป็นคนที่ได้งบประมาณบ่อย เคยถามท่านว่าทำอย่างไรถึงได้งบประมาณเยอะขนาดนั้น ท่านบอกว่า..ผมของบประมาณทุกอย่างที่มีสิทธิ์ขอได้ แล้วโทรไปตามจี้ด้วยตัวเอง เราลองนึกดูว่าถ้าเราเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณ รับโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วท่านบอกว่า "ผม..บรรหาร ศิลปะอาชาครับ งบประมาณเรื่องนั้น ๆ ที่ผมขอมาไปถึงไหนแล้ว ?" เป็นเราก็ต้องวิ่งทำให้จนตีนพลิกเหมือนกัน

เพราะท่านกล้าขอและกล้าทวงก็เลยได้เยอะ ในขณะที่คนอื่นขอแล้วเงียบ ไม่ได้ทวงเขาก็โยกไปใช้ทางอื่นหมด บริษัทคุณบรรหารนี่งานอื่นไม่รู้นะ แต่เรื่องทำถนนถือว่าใช้ได้เลย แต่อาตมาชอบถนนลาดยางมากกว่า ถนนคอนกรีตวิ่งแล้วเหมือนกับรถไม่ค่อยจะเกาะถนน ถนนลาดยางวิ่งแล้วมั่นใจกว่า เกาะดีกว่า ถนนคอนกรีตดีกว่าตรงซ่อมง่ายเท่านั้น พอถึงเวลาก็ตัดออกเป็นแผ่น ๆ แล้วเทใหม่เลย"

เถรี
23-01-2012, 17:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่พ่อแม่รักลูก จะว่าไปก็คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิต เพราะว่าจะได้ดูแลทารกให้เติบใหญ่ขึ้นมา แล้วก็สืบเชื้อสายพืชพันธุ์ต่อไป แต่ว่าในส่วนลึก ๆ อยู่ในใจคือความหลงตัวเอง เพราะว่าลูกหน้าตาเหมือนเรา ในเมื่อลูกหน้าตาเหมือนเรา ในใจลึก ๆ ก็จะรักโดยที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว "เรารักตัวเราเอง"

โดยเฉพาะบางคนเจอไป ๒ ชั้นเลย คาดหวังจะให้ลูกคอยดูแลตอนแก่ นี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ กลายเป็นตัวกูของกู ๒ เท่าเลย"

เถรี
23-01-2012, 17:19
"มีโฆษณาของไทยประกันชีวิต ที่ชื่อว่า ความรักแบบไร้เสียง ที่พ่อเป็นใบ้แล้วเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็ล้อว่า “ลูกไอ้ใบ้” โฆษณานี้สมบูรณ์แบบทุกอย่างเลย ไปพลาดอยู่อย่างเดียวตอนลูกฆ่าตัวตาย ลูกเชือดข้อมือตัวเองแล้วล้ม คนเป็นใบ้จะหูหนวกด้วย แล้วจะได้ยินตอนล้มได้อย่างไร ? ถ้าเป็นอาตมาจะทำให้เลือดหยดลงมาแปะบนโต๊ะตรงหน้าพ่อพอดี อย่างนั้นถึงจะสมเหตุสมผล

บางทีคนทำโฆษณาเขาก็ลืม แต่คนแสดง ๆ ได้ดีมากโดยเฉพาะภาษาใบ้ ดูเข้าใจเลยว่าเขาจะสื่ออะไร มาตอนหลังเขาก็สรุปว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร แต่เขาก็เป็นคนที่รักเรามากที่สุด พอลูกเชือดข้อมือตัวเองขึ้นมา พ่อก็รีบพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่มีเลือด พ่อก็บอกให้หมอเอาเลือดจากพ่อไป ก็เลยต้องถ่ายเลือดข้ามตัวกัน ลูกฟื้นก่อนพ่อ เห็นสายโยงมาจากแขนพ่อมาถึงตัวเอง ก็เลยรู้ว่ารอดมาได้เพราะพ่อสละเลือดให้ ระยะหลังนี้ไทยประกันชีวิตทำโฆษณาดี ๆ น่าจะได้รางวัลประเภทสร้างสรรค์ออกมาเยอะมาก"

เถรี
24-01-2012, 09:13
ถาม : ทหารไทยกับซามูไรนี่ใครเก่งกว่าครับ?
ตอบ : ซามูไรเก่งกว่า..แต่ซามูไรตายหมด เขาดวลกันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ทหารไทยสู้ไม่ได้ เพราะว่าที่มาไม่ใช่ซามูไรทั่ว ๆ ไป แต่เป็นนินจา เป็นหน่วยล่าสังหารไม่ใช่นักรบที่ปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า แต่คราวนี้พอมาสู้กับทหารไทยแล้ว ส่วนใหญ่ทหารไทยฟันไม่เข้า ก็เลยบอกว่าทหารไทยเก่งสู้ไม่ได้ แต่ซามูไรที่เก่งกว่าตายหมด..!

ถาม : แล้วเขาไม่มีที่ฟันไม่เข้าบ้างหรือครับ ?
ตอบ : มีเหมือนกัน..แต่ว่าทำได้เป็นบางคน เขาไม่รู้ว่าหลักการอย่างไรที่จะทำให้หนังเหนียวได้ทุกคน ถ้ากำลังใจถึงก็ทำได้เหมือนกัน

เถรี
24-01-2012, 10:24
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "การรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศของพระครูชั้นสัญญาบัตรในสังกัดคณะสงฆ์หนกลาง ระบุมาในกำหนดการเลยว่า ให้ทุกรูปห่มจีวรสีพระราชนิยม คำว่า จีวรสีพระราชนิยมก็คือจีวรสีที่ในหลวงทรงโปรด

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=16132&stc=1&d=1327375758



พระองค์ตรัสว่าสีพระป่าก็มืดไป สีเหลืองก็สว่างไป พระองค์ให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ตอนที่ยังเป็นสมเด็จพระญาณสังวรอยู่ ให้ไปค้นคว้าจนกระทั่งได้สีนี้มา แล้วพระองค์ท่านทรงโปรด จึงเรียกว่าสีพระราชนิยม บางคนเรียกว่า สีกรักทอง

คราวนี้มีนักเลงดีกราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ว่าทำไมหลวงพ่อไม่สั่งให้พระในหนกลางทั้งหมดห่มสีพระราชนิยมไปเลย ท่านบอกว่า “ผมไม่สามารถจะล้มล้างพระพุทธบัญญัติได้ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุใช้จีวรสีเหลือง สีกรักหรือสีเหลืองเจือแดงเข้ม ก็แปลว่าพระองค์อนุญาตให้ใครใช้ใน ๓ สีนี้ก็ได้ ถ้าผมไปสั่งให้ใช้สีเดียว ก็แปลว่าผมไปล้มล้างในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงบัญญัติ ผมก็ซวยอยู่คนเดียวสิ..!"

พระผู้ใหญ่ท่านรอบคอบและแม่นต่อกฎหมายและระเบียบวินัยจริง ๆ ถ้าเป็นเราก็คิดว่าน่าจะทำได้ใช่ไหม ? ลองไปทำเข้าดูสิ..!"

เถรี
24-01-2012, 10:39
ถาม : เวลาบวชพระ ถ้ามีพระที่ต้องอาบัติหนักแล้วไปร่วมสังฆกรรมด้วย ไม่เป็นเณรกันไปทั้งประเทศแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ขนาดนั้นเชียว..อย่างน้อย ๆ สายพระป่าท่านก็มั่นใจว่าท่านบริสุทธิ์ แต่อาตมาว่าเป็นเณรดีกว่า ศีลไม่มาก รักษาง่ายดี แต่ถ้าไปนั่งร่วมกับพระ กินร่วมกับพระ นอนร่วมกับพระ ก็นรกกินหัวอยู่ทุกวัน..!

ถาม : ถ้าเกิดเป็นเณรกันหมดละครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นไม่เป็นไร แต่คราวนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกท่านหนึ่งไม่ใช่พระ ?

ถาม : (ไม่ได้ยิน )
ตอบ : ไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ไม่เกิน ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ต่อไปไม่ได้หายแค่ลักษณะที่พระเป็นเณร หรือพระปฏิบัติไม่สมบูรณ์ถูกต้องตามพระธรรมวินัย แม้แต่เพศความเป็นพระเป็นเณรก็ค่อย ๆ หายไปด้วย ตอนนี้ลองไปดูพระญี่ปุ่นสิ ถ้าไม่ได้อยู่ในการทำพิธีท่านใส่สูทเท่เลย เขามีแถบเหลือง ๆ ติดที่คอเสื้อ นี่แค่กึ่งกลางศาสนาเท่านั้น ใกล้ ๆ ๒,๖๐๐ ปี เหลืออีกตั้ง ๒,๔๐๐ ปี ยังหายไปซะเยอะเลย

แต่ประเทศญี่ปุ่นมีสารพัดนิกาย ถ้าเป็นพวกชินโตก็สามารถมีครอบครัวได้ ถ้าเป็นเท็นไดก็จะเคร่งครัดหน่อย คุณไม่ต้องไปกังวลแทนเขาหรอก สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่วัดประยูรวงศาวาส สถานทูตญี่ปุ่นนิมนต์ท่านไปงานฉลองสถานทูต ระบุเอาไว้ในหนังสือนิมนต์ว่าถ้ามีภรรยาให้พาไปด้วย หลวงพ่อบอกว่า “เสียท่าเขาว่ะ..หาไม่ทัน..ถ้านิมนต์ล่วงหน้าหลายวันหน่อยอาจจะหาได้..!”

ถาม : เขามีเมียกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่สมัยเมจิ ราว ๆ รัชกาลที่ ๓ ของเรา เพราะว่ายุคนั้นพวกบรรดาเจ้าผู้ครองนคร(ไดเมียว)กับโชกุนต่าง ๆ รบราฆ่าฟันแย่งชิงพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา พระจะเดินทางเผยแผ่ศาสนาก็มักจะโดนจับฆ่า เพราะคิดว่าเป็นสายลับของอีกฝ่ายหนึ่ง

ท้ายสุดท่านกลัวว่าศาสนาจะสาบสูญไป ก็เลยตัดสินใจว่า ในเมื่อไม่สามารถเผยแผ่ให้ผู้อื่นได้ ก็แต่งงานมีครอบครัวดีกว่า อย่างน้อยก็สอนเมียสอนลูกได้ ก็เลยกลายเป็นลักษณะอย่างนี้มา เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องห่วงหรอก จะทำตัวแบบพระญี่ปุ่นสอนเมียสอนลูกก็ได้ แต่ไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวลูกมาสอนเราก็ยุ่งอีก..!

เถรี
24-01-2012, 10:43
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คุณจะไปเอาความถูกต้องกับเขาไม่ได้ จุดมุ่งหมายใหญ่ของเขา คือ รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ โอกาสที่จะเผยแผ่คำสอนออกไปยังมีอยู่ แม้ว่าจะเป็นภายในครอบครัว ถ้าทางด้านครอบครัวภรรยาเห็นด้วยก็จะเพิ่มขึ้นอีก ญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่ายเห็นด้วยก็จะได้คนเพิ่มขึ้นอีก ลักษณะนี้เป็นสายพระโพธิสัตว์แน่ คือกูจะลงนรกก็ไม่ว่าหรอก แต่ขอให้รักษาศาสนาไว้

แบบเดียวกับที่คุณถามว่าศาสนาอิสลามให้มีเมีย ๔ คนถูกต้องหรือเปล่า ? คุณต้องไปดูในบริบทช่วงนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น เขารบราฆ่าฟันกันจนแทบจะไม่มีผู้ชายเหลือ ถ้าคุณต้องการประชากรเพิ่มขึ้นก็ต้องมีภรรยาหลายคน เพราะว่าผู้ชายเหลือน้อย

พอเขาบัญญัติขึ้นมาแล้วรุ่นหลังไม่เปลี่ยน ก็มีไปเรื่อย ๆ เรื่องบางยุคเป็นเรื่องถูกต้อง แต่พอมาอีกยุคหนึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องไปได้ เพราะว่าค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป ถ้าคุณไปมองว่าถูกหรือผิด ขาวดำชัดเจนก็เจ๊งตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : อย่างนั้นหลักคำสอนก็ผิดเพี้ยนไปสิครับ ?
ตอบ : เพี้ยน..แต่ดีกว่าไม่มีเลย

เถรี
24-01-2012, 10:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้วัดไหนขาดเจ้าอาวาส เขาจะมาขอจากวัดท่าขนุนทุกที อาตมาผลิตให้แทบไม่ทัน

กว่าจะมีคุณสมบัติพอเป็นเจ้าอาวาสได้ อย่างน้อยต้อง ๖ พรรษา เราผลิตมาแทบเป็นแทบตาย เขามาโฉบแวบเดียวไปแล้ว แต่ก็ให้ไป..เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เอาปฏิปทาสายหลวงพ่อวัดท่าซุงไปปฏิบัติให้เขาเห็น เขาจะได้รู้ไว้ว่าพระที่ทำเพื่อพระศาสนา เพื่อส่วนรวมจริง ๆ ยังมีอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อตัวเอง"

เถรี
24-01-2012, 10:50
พระอาจารย์บอกว่า "พร้อมเมื่อไรจะบอกบุญในเว็บ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ที่วัดท่าขนุน มีพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านชุดกรรมการอยู่ ๓๐๐ ชุด คิดชุดละ ๗,๕๐๐ บาท ในแต่ละชุดจะมีพิเศษอยู่องค์หนึ่งคือเนื้อชินตะกั่วซึ่งมีแค่ ๓๐๐ องค์

เดี๋ยวรอคุณโอรส(อุดมศักดิ์ จิรบัณฑิตย์)เอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์ก่อน แล้วค่อยแบกกลับมา ส่วนพระปิดตาที่ใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไปด้วยมีเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ ๓ เนื้อนี้ ถ้าหากว่าใครคลอดลูกอยู่ก็อย่าเข้าไปใกล้ ตอนนั้นอาตมาลืมไปจริง ๆ คิดอย่างเดียวว่าจะใส่ ลืมนึกถึงอานุภาพ คิดว่ามีอะไรดี ๆ ก็จะใส่ให้หมด

อย่างตะกรุดโสฬสของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ท่านไม่มีข้อห้ามอย่างนี้ ใส่ลงไปก็ไม่มีปัญหา อันนั้นเป็นตะกรุดทองคำพอกครั่ง อาตมาก็ลอกครั่งมาใส่พระปิดตาเนื้อผง ส่วนทองคำก็แบ่งใส่เนื้อนวโลหะกับเนื้อทองคำไป

พระปิดตาเนื้อนวโลหะกับเนื้อผงจะมีส่วนผสมมากที่สุด ถ้าอยากได้ของแพงหน่อยเนื้อนวโลหะ โดยเฉพาะนวโลหะรุ่นนี้อาตมาบ้าเลือด ใส่ทองคำลงไป ๑๐๐ บาทพอดี..!"

เถรี
24-01-2012, 11:01
ถาม : รุ่นองค์ใหญ่จะให้บูชาเมื่อไรครับ?
ตอบ : ยังไม่รู้เลย ต้องดูอารมณ์ก่อน กลัวได้เงิน ได้เงินมาแล้วก็เหนื่อย ที่รีบทำไว้ก่อนเพราะรู้ว่าต่อไปของจะขึ้นราคาไปเรื่อย จึงทำเอาไว้ก่อน ของในท้องตลาดจำหน่าย ๑,๐๐๐ บาท เราก็จำหน่าย ๕๐๐ บาท เขาจำหน่าย ๕๐๐ บาท เราก็จำหน่าย ๓๐๐ บาท

อย่างวัตถุมงคลที่เป็นเนื้อทองคำ มาตรฐานเลยก็คือพอทำสำเร็จแล้วคิดน้ำหนักทองคูณราคา ๓ เท่า ถ้าสมมติว่าน้ำหนักทอง ๑ บาท ก็คิดเท่ากับราคาทอง ๓ บาท เพราะฉะนั้น..ในท้องตลาดราคาจะแพงมาก อาตมาก็ไม่รู้จะเอาเงินมากไปทำไม บางรุ่นแทบจะไม่มีกำไรเลย ปีที่แล้วติดลบไปหกล้านกว่าบาท ติดลบแบบไม่มีหนี้ คือตัวเลขติดลบแต่มีเงินจ่ายให้เขา ก็ไม่แปลกหรอก

อย่างล่าสุดที่สร้างพระนาคปรกทองคำ ให้ทองคำเขาไป ๒๖ บาท พอหล่อพระเสร็จแล้วยังเหลือเศษทองอีก ๙.๘ กรัม แต่พระที่หล่อออกมานั้นน้ำหนัก ๒๗ บาทกว่าแล้ว ก่อนนั้นครั้งหนึ่งโยมเอาทองมาเปลี่ยนเป็นพระไป เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทองเกินมา ๕ บาท แต่เขาก็ได้พระไปครบถ้วนดี ไม่มีใครเสียหาย แล้วทองคำโผล่มาจากไหน ? ของอย่างนี้เลิกคิดไปนานแล้ว ถ้าท่านจะมาก็นิมนต์เถอะ มีก็ใช้ไปเรื่อย ๆ

วันก่อนพระปลัดสถิตย์ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิเขามาบอกว่า “อาจารย์มีเศษเงินติดกระเป๋ามาสักสองหมื่นไหม ?” อาตมาก็ “เฮ้ย..สองหมื่นนี่เศษเงินหรือ ?” ท่านว่า “ถ้าของอาจารย์ก็เศษเงิน..!” อาตมาถามว่าจะทำอะไร ? ท่านบอกว่าจะทำฐานพระประธาน มีคนสร้างพระประธานมาให้แต่ไม่มีฐาน อาตมาก็เลยควักเงินให้ นับไปนับมาได้สองหมื่นถ้วน หมดตัวพอดี..!

จึงบอกว่า "นี่ถ้าขอเกินแค่บาทเดียว ผมก็ไม่มีให้" ให้ไปแล้วอาตมาก็กลับวัดตัวเปล่า เพื่อน ๆ พระด้วยกันก็อย่างนี้แหละ คนไหนโชคดีมาตอนมีก็เอาไป ถ้ามาตอนไม่มีก็แล้วไป

เถรี
24-01-2012, 12:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหนังสือปกิณกธรรมที่ใส่รูปเอาไว้เยอะ นอกจากเพื่อพักสายตาแล้วยังเป็นอนุสติด้วย เสียดายรูปสวย ๆ สมัยก่อน ตอนหัดใช้กล้องใหม่ ๆ ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ไล่ถ่ายรูปหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ่ายไปถ่ายมาได้ยินเสียงสวรรค์ลงมาว่า “แกจำไว้นะ..ถ้าใครอยากเจ๊งก็ให้เล่นกล้อง..!”

จริง ๆ ด้วย กว่าจะถ่ายรูปเป็น หมดเงินไปเป็นหมื่นของสมัยนั้น เพราะว่าบางทีถ่ายทั้งม้วนได้มาจริง ๆ แค่ ๒-๓ รูป แต่บังเอิญว่าอาตมาเป็นคนช่างสังเกตและจำแม่นว่า รูปที่ออกมาดีและสวยอยู่ในสภาพอากาศอย่างไร แสงสีเป็นอย่างไร และถ่ายจากมุมไหน หลังจากนั้นก็ปรับปรุงตัวเองมาเรื่อย ๆ จากที่ทั้งม้วนขอแค่รูปสองรูป ก็เริ่มจะได้มากขึ้น

แบบเดียวกับภาพพระธาตุอินทร์แขวน ตอนนั้นอาตมาดูซ้ายดูขวา ดูหน้าดูหลัง ใกล้จะตะวันตกดินแล้ว ตะวันจะตกมุมนั้น ถ้าถ่ายพระธาตุจากตรงนี้ถึงจะสวย คำนวณทิศทางไว้หมดแล้ว ไปยืนรอถ่ายอย่างเดียว พวกฝรั่งก็สงสัยว่าพระรูปนี้ปีนขึ้นไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ? พอเขาเห็นว่าถ่ายรูป คราวนี้กรูกันมาหมดเลย เพราะเขาเพิ่งเห็นว่ามุมนี้สวย

แต่ว่ารูปที่ถ่ายยากที่สุดก็คือรูปที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระอาทิตย์ที่นั่นตกไวมาก ถ่ายรูปแรกเสร็จจะถ่ายรูปที่ ๒ ตกลับไปครึ่งทางแล้ว ทำไมเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ?"

เถรี
24-01-2012, 12:38
ถาม : สมัยก่อนถ่ายรูปได้ ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงดูไหมครับ ?
ตอบ : นาน ๆ ที บางทีท่านถามอาตมาก็ถวายให้ท่านดู แต่ว่ามีบางรูปที่พรรคพวกขออัดกัน อย่างรูปที่หลวงพ่อท่านพรมน้ำมนต์ ท่านสะบัดมือพอดี อาตมาถ่ายไปมีน้ำมนต์เป็นรูปครึ่งวงกลมสีขาวอยู่ตรงอกท่าน แย่งกันยืมอัด ไป ๆ มา ๆ ฟิล์มม้วนนั้นไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีหลายชุดที่ถ่ายดีแล้วเขาขอฟิล์มไปอัดแล้วก็ไม่ได้คืน

มีภาพที่ถ่ายในงาน ๑๐๐ วันหลวงพ่อ อาตมาจะถ่ายไว้ทุกวัน เช้ากับเย็นเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง ปรากฏว่ากรรมการสงฆ์เขากลัวว่า อาตมาจะเอาไปหากินหรืออย่างไรไม่รู้ ? เขาให้หลวงพี่วิรัชมาขอฟิล์มไป ตอนหลังอาตมาไปหาหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ประทีปท่านหาคืนมาได้แค่ ๓ ม้วน ท่านบอกว่า “กูหาเจอแค่นี้แหละ ไม่รู้เขาเอาไปซุกไว้ที่ไหนกันหมด”

หลวงพี่ประทีปท่านเป็นพระที่เชื่อใจคนอื่น รู้ว่าอาตมามีนิสัยอย่างไร ถึงถ่ายไปก็ไม่ได้เอาไปอัดขายเหมือนคนอื่นเขาหรอก พอออกมาได้สัก ๓ ปีก็ย่องกลับไปหาบอกว่า “พี่ทีป..ยังมีรูปป๋าเหลือไหม ?” พี่เขาไปค้นมาให้ได้มาแค่นี้แหละ ท่านบอกว่า “ถ้าเอ็งไม่ได้เขียนลายมือติดไว้ ข้าก็หาไม่เจอหรอก” อาตมาจะเขียนไว้ว่าถ่ายวันไหนถึงวันไหน คนอื่นเขาไม่ได้คิดกัน โดยเฉพาะทางวัดงบประมาณเหลือเฟืออยู่แล้ว ทั้งภาพนิ่งทั้งวีดีโอควรจะถ่ายไว้ทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ทำ

เถรี
24-01-2012, 12:49
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงถ่ายรูปไหมครับ ?
ตอบ : อาตมามีภาพที่ท่านกำลังถ่ายรูปอยู่ด้วย แต่ไม่กล้าให้ใครดู กลัวโดนเตะ..! เรื่องของครูบาอาจารย์ การแสดงออกให้คนทั่วไปรู้เป็นสาธารณะควรจะเป็นภาพที่น่าเลื่อมใสศรัทธา คราวนี้การที่ท่านถ่ายรูปไม่ผิดหรอก อาตมาเองรู้สึกว่าน่ารักดีด้วย แต่ถ้าออกไปเป็นสาธารณะแล้วจะมีคนเก่งด่าท่าน คนด่าก็หานรกใส่ตัวเอง เพราะฉะนั้น..จึงก็ต้องระมัดระวัง ไม่ใช่เผยแพร่ไปส่งเดช

อย่างน้องเล็กไปวัดท่าซุงตอนหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ไปขอถ่ายรูปท่าน พอกล้องส่องตรงไปที่ท่านก็กดชัตเตอร์ไม่ได้ พอหันไปถ่ายที่อื่นถึงติด หันกลับมาที่รูปท่านก็ถ่ายไม่ติด ๗-๘ รอบจนต้องยอมรับ และกล้องรุ่นหลัง ๆ เป็นดิจิตอลหมดแล้ว ประเภทเห็นชัด ๆ ว่าถ่ายได้หรือไม่ได้ ไม่อย่างนั้นปกติก่อนนี้น้องเล็กไปก็ไม่ได้เลื่อมใสอะไร เพื่อนชวนไปก็ไป ท่านทำให้เห็น ๆ เลยว่า “ถ้าเอ็งไม่เลื่อมใสศรัทธา ก็ไม่ต้องเอารูปข้าไป..!”

อาตมาเจอหนักกว่านั้นอีก ก็คือพระแก้วมรกตของหลวงพ่อดาบส ท่านติดป้ายห้ามถ่ายรูป ซึ่งเป็นป้ายที่อาตมาไม่เคยฟังเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม พอถ่ายรูปเสร็จเอาฟิล์มไปล้างออกมาแล้วเจ็บปวดมาก เครื่องบูชาทุกอย่างถ่ายติดหมด ขาดแต่องค์พระแก้วอย่างเดียว ท่านทำให้ดูว่า “ถ้าเอ็งฝ่าฝืนในสิ่งที่ข้าไม่ชอบ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ..!” ไม่ว่าจะเป็นฉัตร เป็นแจกันดอกไม้ถ่ายติดหมด แต่ตรงองค์พระว่างไปเฉย ๆ..!

เถรี
24-01-2012, 16:24
ถาม : หลวงพ่อดาบสท่านเคยมาวัดท่าซุงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย

ถาม : แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยพาไปหาท่านไหมครับ ?
ตอบ : ท่านไม่ได้พาไป แต่ไปกันเอง เพราะว่าคนเล่าลือถึงคุณความดีของท่าน หลวงพี่วิรัชกับหลวงตาวัชรชัยก็ไปกราบขอถ่ายรูปท่าน แล้วหลวงพี่วิรัชเอาไปให้หลวงพ่อดู พอหลวงพ่อเห็น ท่านก็บอกว่า องค์นี้ได้มา ๒๐ ปีแล้ว ปัจจุบันนี้ที่น่าเป็นห่วงก็คือแม่ชีทอน ท่านดูแลทุกอย่างในสำนักแทนหลวงปู่อยู่

ถาม : แม่ชีทอนท่านเสียไปแล้วครับ ?
ตอบ : เสียไปแล้วหรือ ? ถ้าอย่างนั้นยุ่งเลย เพราะว่าตอนช่วงที่ท่านอยู่ อาตมาไปทีไรแม่ชีก็ตื๊อให้เป็นเจ้าอาวาสที่นั่น แนะนำมหาโรจน์ไป มหาโรจน์ก็บอกว่าไกลเกิน

แม่ชีทอนบอกว่า “ถ้าอาจารย์ไม่เป็นเจ้าอาวาส ก็ให้ลูกศิษย์มาเป็นก็ได้” เขาเชื่อใจพระสายหลวงพ่อมากกว่า เพราะความที่คุ้นเคยกัน ไปกันทีพวกเราก็อยู่สบายกินสบาย แม่ชีทอนตอนนั้นก็เห็นว่าตัวเองอายุมากแล้ว อยากให้คนมาเป็นหลักไว ๆ ถ้าอาตมาไปพวกเขาก็ยอมรับกัน แต่ก็ไปไม่ได้

หลังจากเผาหลวงปู่แล้วรู้สึกว่าไปอีก ๒ ครั้งเท่านั้น นอกนั้นก็วิ่งอยู่สายนอก สมัยหลวงปู่อยู่วิ่งสายในเส้นดงมะดะ ผ่านหน้าวัดเลย แม่ชีที่นั่นต้องห่มผ้าสีม่วง เพราะว่าเขาไม่ยอมให้เป็นชี พระก็ไม่ยอมให้เป็นพระ

ถาม : แล้วที่นั่นเป็นวัดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น เพราะว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนเอาไว้ คือเขาไม่ยอมให้ขึ้น คนจะรังแกก็รังแกจนถึงที่สุด ขนาดใช้ชื่ออาศรมเวฬุวัน เขายังไม่ยอมให้ใช้ เขาบอกว่าเวฬุวันเป็นวัดในพุทธศาสนา ท่านต้องไปเปลี่ยนเป็นอาศรมไผ่มรกต ไม่ต้องห่วง พวกนี้เจอกันข้างล่าง..!

ก่อนหน้านั้นอาตมาไปปีละ ๒-๓ ครั้ง แต่ว่าช่วงก่อนหน้าที่ท่านจะมรณภาพ พอขึ้นไปเห็นท่าน อาตมาก็บอกทุกคนให้รีบไปทำบุญกับท่าน เพราะว่าเข้าไปแล้วกุฏิท่านสว่างผิดปกติ สว่างอย่างกับติดไฟไว้เลย ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเปิดไฟในกุฏิ ลักษณะอย่างนี้จำไว้เลย พระจะสวยที่สุดคือวันที่บรรลุมรรคผลกับวันก่อนตาย

ตอนออกจากวัดท่าซุงก็ขึ้นไปกราบท่าน แล้วก็รายงานว่าไม่ได้อยู่วัดท่าซุงแล้ว ตอนนี้อยู่ทางด้านกาญจนบุรี หลวงปู่ท่านว่าอย่างไรรู้ไหม ? ท่านว่า “พระมาบอกให้ผมทราบแล้ว” สยองเลย..เรื่องของเด็กกระเปี๊ยกอย่างเรา พระท่านยังอุตส่าห์ไปบอกหลวงปู่

เถรี
24-01-2012, 16:26
ถาม : การไหว้พระแบบคติพุทธ จำเป็นต้องใช้ดอกไม้ธูปเทียนไหม ?
ตอบ : ถ้าถามว่าจำเป็นไหม ? ไม่จำเป็นก็ได้ แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าหากเราจะไหว้ถูกต้องจริง ๆ ก็ต้องไหว้ในลักษณะนึกถึงเป็นพุทธานุสติ อย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติบูชา แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไหว้แล้วน้อมใจนึกถึงในลักษณะของพุทธานุสติ ก็ควรที่จะมีดอกไม้ธูปเทียนที่เรียกว่าอามิสบูชา

ถ้าหากว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงควรที่จะหาไว้ อะไรที่เขาทำจนเป็นธรรมเนียมประเพณีแล้ว ถ้าเราไปฝืนเขาเดี๋ยวจะมีปัญหากับส่วนรวม เพราะฉะนั้น..เมื่อไม่ได้ผิดอะไรก็ตาม ๆ เขาไปจะดีกว่า


ถาม : การกรวดน้ำจำเป็นต้องใช้น้ำจริง ๆ ไหม ? หรือแค่สวดบทอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลก็พอ ?
ตอบ : กรวดน้ำในที่นี้หมายถึงการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำก็ได้ แต่ว่าครั้งแรกในพุทธศาสนาที่มีเรื่องนี้ คือเรื่องของพระเจ้าพิมพิสาร ญาติท่านมาขอส่วนบุญ พระพุทธเจ้าแนะนำให้ทำบุญแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้

เวลาพราหมณ์จะให้อะไรใคร เขาจะใช้น้ำรดมือคนนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว พระเจ้าพิมพิสารท่านถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน พอบอกว่าให้อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งใจจะเอาน้ำรดมือ ก็มองไม่เห็นว่ามือผีอยู่ตรงไหน จึงรดมือตัวเอง กลายเป็นรูปแบบของการกรวดน้ำมาตั้งแต่บัดนั้น

จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำก็ได้ แต่ว่าถ้าเขานิยมก็ทำตามเขาเถอะ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขา เดี๋ยวก็เขามองตาเขียวปั๊ดอีก

เถรี
24-01-2012, 19:13
พระอาจารย์อ่านหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงสรีระพระครูอดุลปุญญาภิรม (ครูบาผัด ปุญฺญกาโม)

งัว ควาย จ๊าง ม้า ต๋ายแล้วเหลือหนัง
ดูก ขน เขายังเอาใจ๊ก๋ารได้
จ๋าตี๊สุด ตังปุ๋มและไส้ คนยังกิ๋นลำอิ่มต๊อง

มนุษย์เฮาต๋าย สหายปี้น้อง ไผบ่อ่วงข้องอาลัย
สุดแต่ดูกพัวะ ยังเอาขว้างไกล๋ กลั๋วจักเป็นภัย ผีจักหลอกได้
ความชั่วรีบหนี ความดีรีบใกล้ ต๋ายแล้วจื้อหากตึงยัง


ค่าวของพญาพรหม กวีเอกแห่งล้านนา
อ้างถึงโดย พระครูสุเขตสุทธาลังการ
เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม

"เขาบอกว่าวัวควาย ช้างม้า ตายแล้วเหลือหนัง ขนและกระดูก เขายังเอาไปใช้การได้ หรือว่าที่สุดทั้งพุงและไส้ คนก็ยังกินอร่อยอิ่มท้อง แต่คนเราตายทั้งเพื่อนพี่น้องไม่มีใครห่วงข้องอาลัย แม้แต่กระดูกยังขว้างไปไกล เพราะกลัวจะเป็นภัยให้ผีมาหลอกได้

เป็นคำค่าวของพญาพรหม ซึ่งเป็นกวีเอกของล้านนา แต่ไป ๆ มา ๆ ก็กระเด็นออกจากราชสำนักเพราะคารมดีเกินไป จีบพวกสาวสรรกำนัลในเยอะไปหน่อย หัวไม่ขาดก็บุญแล้ว เขายังเห็นแก่ฝีมือก็เลยปล่อยเอาไว้ อ่านทีแรกอาตมาก็ว่าทำไมแต่งได้ไพเราะแท้ ที่แท้เป็นของสุดยอดฝีมือล้านนานี่เอง พวกค่าวพวกซอของทางเหนือ สมัยนี้หาคนแต่งฝีมือดี ๆ ยากมาก"

เถรี
25-01-2012, 08:52
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่าจิตเราบางทีก็บังคับไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ชำนาญจริง ๆ ก็บังคับไม่ได้ อย่าลืมว่าท่านสอนคนหัดใหม่นะ

ถาม : ท่านบอกว่าแม้แต่พระอรหันต์ก็ยังบังคับไม่ได้ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าพระอรหันต์ท่านชำนาญหรือเปล่า ? ถ้าขนาดนั้นแล้วยังไม่ชำนาญอีกจะเป็นไปได้อย่างไรวะ..?!

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อย่าลืมว่าที่ท่านสอน คือสอนพวกเรา คุณดันตีความไปถึงพระอรหันต์ก็หาเรื่องเดือดร้อนสิ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มัวแต่สงสัยอยู่ก็ยังไม่ได้กินหรอก อาหารอยู่ตรงหน้าแทนที่เราจะกิน ก็มานั่งเขี่ยอยู่ว่ามีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเลิกซะ..สันดานสงสัยทุกเรื่อง จะได้มีความเจริญใส่ตัวบ้าง ไม่ใช่เที่ยวไปถามเอาเท่ว่ากูสามารถตั้งคำถามได้ แต่จริง ๆ ผลที่จะเกิดขึ้นไม่มีสำหรับตัวเองเลย

การถามที่ได้ประโยชน์จริง ๆ คือถามในเรื่องที่ตัวเองติดขัดอยู่ จะได้ไปต่อได้ ไปสงสัยเรื่องรอบ ๆ ตัว สงสัยไปก็ไร้ประโยชน์เพราะเป็นเรื่องของคนอื่นทั้งนั้น

ถาม : แล้วจะเลิกนิสัยนี้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ยาก รู้แล้วก็พยายามละเท่านั้นเอง

เถรี
25-01-2012, 08:59
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ค่อย ๆ แยกแยะดูแล้วจะเห็นอย่างชัดเจน ว่าตัวผู้รู้ก็คือตัวผู้รู้ ตัวรับรู้ก็คือตัวรับรู้ บางทีภาษาบาลีเขาจะแยกชัด เป็นจิตกับชวนะ แต่ภาษาไทยบางทีก็สับสนปนเปกัน

สรุปว่าของที่ละเอียดเกินไป อย่าเพิ่งไปใส่ใจ แค่ตัวกูพยายามให้เห็นว่าไม่ใช่กูไว้ก่อน พอตัวกูไม่ใช่กูแล้วคนอื่นย่อมไม่ใช่ของกูเหมือนกัน เดี๋ยวก็จะเห็นกว้างไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่ากำลังพอ จิตก็จะยอมรับตรงนั้นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่นถือมั่นจริง ๆ

เรื่องของการปฏิบัติมีอยู่ระยะหนึ่งที่พึงระวังสุดขีดก็คือ ญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น จะเกิดความแตกฉาน ขบคิดอะไรก็เข้าใจไปหมด เห็นความสอดคล้องสัมพันธ์ของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด ไม่ว่าจะหัวข้อธรรมไหนก็เห็นว่าเกี่ยวโยงกันหมด แต่จุดที่สำคัญจริง ๆ ก็คือ สิ่งที่เรารู้มีส่วนในการตัดกิเลสของเราไหม ?

ไม่ใช่ว่ารู้ทุกเรื่องแต่เรื่องตัดกิเลสไม่รู้เลย แต่ว่าส่วนใหญ่ก็มักโดนหลอกให้หลงไปในแนวนั้น แนวที่ว่ารู้ทุกเรื่อง ยิ่งคิดยิ่งสนุก ยิ่งคิดยิ่งแตกฉาน จะสร้างยานอวกาศออกไปต่างดาวยังได้เลย แต่เรื่องตัดกิเลสกลับไม่รู้ เป็นเรื่องที่จะต้องระวังให้จงหนัก ถ้าหากว่ายังไม่ถึงตรงระดับนี้ ถึงหลงก็ยังไปไม่ไกล แต่ถ้าโผล่ไปถึงระดับนี้แล้วหลงไกลแน่ เพราะจะถูกพาเตลิดเปิดเปิงไปเรื่อย จนออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ

คิดเรื่องอะไรก็เข้าใจไปหมด เป็นส่วนของจินตามยปัญญาคือขบคิดแล้วเข้าใจ ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คือปัญญารู้แจ้งเห็นจริงแล้วปล่อยวางได้


ถาม : อย่างนี้ต้องมีสติมากเลยสิครับ ?
ตอบ : ใช่...ถ้าไม่มีสติก็ไปไม่รอดอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน ขาดสติเมื่อไรก็ถูกกิเลสพาไปไกลลิบเลย แล้วหลายคนก็อยู่ในอาการเฟื่องไปเลย ก็คือไปพูดเรื่องที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่รู้ แบบสมัยก่อนคุณกมลที่มาที่นี่ นั่นถึงขนาดจะไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร อาตมาก็เลยช่วยบอกเขาว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่บนดาวอังคารได้จริง ๆ สนุกกันใหญ่ ไหน ๆ เขาจะไปแล้ว ก็ช่วยบอกให้เขาไปถูกทางหน่อย..!

เถรี
25-01-2012, 09:10
(มีผู้ถามเรื่องการแยกเงินลงบัญชี)

ถาม : ทำอย่างนี้ก็โกงง่ายมากเลยสิครับ ?
ตอบ : ง่ายมากเลย ถึงต้องซื่อสัตย์อย่างมาก เพราะว่าต่อให้คุณปลอมขนาดไหนก็ตาม นายบัญชีข้างล่างเขาตรวจเจอทุกที ผู้ตรวจบัญชีที่อื่นตรวจไม่รู้เรื่องหรอก แต่นายบัญชีข้างล่าง คือ ท่านสิริคุตมหาอำมาตย์นายบัญชีท่านนี้แม่นจริง ๆ

ตอนช่วงนั้นเกิดอุบัติเหตุคอหัก อาตมาลงไป เห็นบัญชีเล่มหนาปึ้กเลย ท่านเปิดดูบอกว่า “อีก ๖ วันหาย” พอท่านปิดอาตมาก็รีบเผ่นแน่บ ขืนอยู่เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจเอาตัวไว้เลย อะไรจะเก่งปานนั้น แค่เห็นหน้าก็เปิดบัญชีได้ตรง ไม่มีพลาดเลย

ถาม : แล้วท่านที่จะมารับหน้าที่ต่อไปเป็นใครครับ ?
ตอบ : ยังไม่ได้ถามท่านเลย กลัวท่านจะหลอกให้อาตมาทำเสียเอง

ถาม : ท่านเหนื่อยไหมครับ ?
ตอบ : ในสภาพความเป็นทิพย์ไม่เหนื่อย แต่ในขณะที่คนอื่นเขาคว้ามรรคคว้าผลไปหมดแล้ว ตัวเองต้องมารับภาระอยู่ คงเบื่อสุด ๆ เหมือนกัน บุคคลที่มีปัญญาจะเห็นว่าถ้ายังมีภาระอยู่คือยังมีทุกข์อยู่ ฉะนั้น..ต่อให้อยู่ในความเป็นทิพย์ขนาดไหนก็ตาม ก็ยังเป็นทุกข์อยู่

ถาม : เทวดาที่ประมาท พออยู่ข้างบนแล้วไม่สร้างบุญต่อมีไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป พวกที่ขึ้นไปใหม่ ๆ ยังไม่รู้ดีรู้ชั่ว เสวยสุขไม่ลืมหูลืมตา พอหมดอายุก็มักจะลงล่าง กว่าจะรู้ก็บางทีแบบเดียวกับสุปติฏฐิตเทพบุตร วินาทีสุดท้ายจะจุติไปข้างล่างอยู่แล้ว แต่ท่านทำบุญมาดี ในอดีตท่านเคยสร้างพระพุทธรูปไว้ ชาตินี้กุศลมาสนอง ถ้าไม่ได้พระพุทธเจ้าเสด็จเทศน์ให้ฟังก็เรียบร้อย กี่ขุมก็ต้องผ่านหมด

ถาม : ความจริงถ้าเราทำบารมีต่อไปมาก ๆ บารมีเราเยอะ ก็ไม่มีโอกาสต้องลงนรกเลยถูกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวหรอก มีโอกาสแน่ เกิดมากบาปก็เยอะด้วย

ถาม : แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ทำบาปนี่ครับ ?
ตอบ : อย่างอาตมาก็ไม่ค่อยได้ทำ แต่ที่ป่วยจนงอมพระรามอยู่ทุกวันนี้ล่ะ ? ปล่อยปลาปล่อยวัวมา ๒๖ ปีก็เพราะอย่างนี้

ถาม : หลายชาติมารวมกันหรือครับ ?
ตอบ : อย่าใช้คำว่าหลายชาติเลย นับชาติไม่ถ้วน หลายวาระที่ดูแล้วตัวเองยังเป็นสัตว์เดียรัจฉานอยู่เลย แต่กรรมนั้นเพิ่งจะตามมาทัน

เถรี
25-01-2012, 10:11
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่อาตมาอยู่ชายแดน มีหมาสงครามอยู่ตัวหนึ่งชื่อเอ็กซ์ แต่พอเขาเรียก "ไอ้เอ็กซ์" ทีไร อาตมาก็ขานตอบ "ครับ" ทุกที เพราะชื่อมีเสียงใกล้เคียงกัน แต่ขอโทษ..หมาตัวนี้ยศพันตรีนะครับ เวลาเจอหน้าต้องทำความเคารพก่อน ทำความเคารพเสร็จแล้วค่อยเตะ..!

สาเหตุที่เอ็กซ์ติดพันตรีเพราะโดนระเบิดตาย เจ้าเอ็กซ์พยายามเห่าและรั้งเจ้านายไม่ให้เดินเข้าไปหาระเบิด แต่เจ้านายก็ยังโง่เดินเข้าไปหาระเบิดอีก เจ้าเอ็กซ์ก็เลยกระโดดเหยียบกับระเบิดเอง"

ถาม : อย่างนั้นตายแล้วไปไหนครับ ?
ตอบ : ฉลาดปานนั้นน่าจะไปเกิดแล้ว สัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้คนมักใกล้จะหมดกรรมของการเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้ว ถ้าใจเขาเกาะคนก็เกิดเป็นคน ถ้าใจเขาเกาะพระก็เกิดเป็นเทวดาไปเลย ฉะนั้น..โอกาสที่เขาลงต่ำมีน้อยมาก

สัตว์เดียรัจฉานไม่ใช่ไม่มีโอกาสทำชั่ว แต่ว่าส่วนใหญ่ทำโดยไม่ได้เจตนาหรือทำโดยไม่รู้ อย่างกากะเปรต พอเขาจะเอาอาหารไปถวายพระ นกกาก็ขอกินก่อนคำหนึ่ง จึงกลายไปเป็นเปรต ส่วนท่านที่ทำดีแล้วไปสบายมีเยอะแยะไปหมด เช่น เอราวัณเทพบุตร มักกะโฎเทพบุตร แล้วยังมีมัณฑุกะเทพบุตร ท่านหลังนี้เป็นกบ ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์แล้วเพลินเพราะเสียงของพระองค์ท่านไพเราะ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกแต่ชอบ กำลังฟังเพลิน ๆ อยู่ พอดีนายพรานล่าสัตว์ผ่านมาเห็นพระพุทธเจ้า จะเข้าไปกราบก็คิดว่าต่อหน้าสมณะเราไม่ควรจะถืออาวุธเข้าไป ก็เลยเอาแหลนปักพื้นไว้ ไปโดนหลังกบตายคาที่พอดี

ถาม : อย่างนี้ถือว่ามีเวรกันไหมครับ?
ตอบ : ในอดีตคงจะมีเวรต่อกันแน่นอน ไม่ได้เจตนายังต้องมาตาย แบบเดียวกับเราขับรถไม่เจตนาจะชนหมา แต่หมาบางตัวต้องตายให้ได้ นั่นแหละประเภทเคยมีเวรกันมา ตัวอย่างชัดสุด ก็สมัยที่อาตมาไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ อาตมานั่งรถ ๖ ล้อของป่าไม้ ผู้ใหญ่พงศ์ตอนนั้นยังเป็นหัวหน้าคนงานอยู่ ขับรถมาแล้วหมาเดินข้ามถนนมา เหลืออีกศอกเดียวก็จะเดินพ้นแล้ว

พอหมาเห็นรถมาดันเลี้ยวกลับเฉยเลย พอเลี้ยวกลับผู้ใหญ่พงศ์ก็หักซ้าย หมาก็เลี้ยวกลับอีกที ผู้ใหญ่พงศ์ก็หักขวา หมาก็เลี้ยวขวาตามไปอีกที ผู้ใหญ่พงศ์หักพวงมาลัยไม่ไหวแล้ว โครมเดียวหน้าเหลือ ๒ นิ้ว อาตมาบอกผู้ใหญ่พงศ์ว่าปล่อยมันเถอะ ลักษณะอย่างนี้ต้องถึงที่ตายจริง ๆ มีไอ้บ้าที่ไหนวิ่งวนอยู่ได้ตั้ง ๓ รอบอย่างนั้น ไม่ตายก็เอาจนตายได้ อันนี้เป็นกรรมปาณาติบาตแน่นอน แต่วาระที่สร้างไว้มาส่งผลพอดี

เถรี
25-01-2012, 10:18
อีกคราวก็ตอนที่มหาปิงยังไม่ได้บวช มหาปิงขับรถไปส่งอาตมาที่เกาะพระฤๅษี ไปตอนกลางคืน วิ่งไปเกือบจะถึงแถว ๆ ทุ่งก้างย่างแล้ว แมว ๒ ตัววิ่งออกมาจากข้างถนน แล้วก็ฟัดกันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่กลางถนน เร็วจนดูไม่ทัน มหาปิงหักหลบ แมวตกใจวิ่งเข้าหาล้อรถ..แบนทั้งคู่เลย..!

ถ้าหากว่าแมวหนีรถเมื่อไรมักจะตาย ถ้าหากว่าหมายังมีโอกาสรอด เพราะแมวไวเกินไป พอหนีก็จะพุ่งหาที่มืด ๆ หลบ ซึ่งส่วนที่มืด ๆ ดำ ๆ ในสายตาของแมวคือล้อรถทุกครั้ง เพราะความเร็วของแมวจึงตาย ถ้าช้าแบบหมาไม่ตายหรอก พอแมวพุ่งหลบก็ไปหลบใต้ล้อทุกที เสียงดังกรุบ มหาปิงก็หน้าเหี่ยวถามว่าทำอย่างไรดีครับ ? อาตมาบอกว่า “อุทิศส่วนกุศลให้ไปเลย” เจตนาเมื่อไรเล่า ? อุตส่าห์หลบแล้วยังวิ่งมาหาที่ตายอีก

บางทีก็สร้างกรรมเนื่องกันมาทั้งคนอื่นและเรา มีอยู่เที่ยวหนึ่งขึ้นเชียงใหม่ พอไปถึงลำปาง กำลังวิ่งตามหลังรถฮอนด้าซีวิค ที่เขาเรียกว่ารุ่นเตารีด อยู่ ๆ เหมือนกับหนังใบ้ มีหมาตัวหนึ่งลอยคว้างข้ามหลังคารถเก๋งคันหน้า มาหล่นปุอยู่ตรงหน้ารถของเรา คุณแดงก็ทับซ้ำไปเลยเพราะว่าหลบไม่ทันจริง ๆ ถ้ารถเก๋งชนหมามักจะลอยขึ้น แต่ถ้าหากว่ารถกระบะมักจะคร่อมเพราะใต้ท้องรถสูงกว่ารถเก๋ง

นี่แสดงว่าทั้งเขาและเราทำร่วมกันมา ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเลย ขับรถตามกันมากลางคืนแท้ ๆ อยู่ ๆ หมาลอยคว้างมาให้เราเหยียบได้

ถาม : แบบนี้เป็นปาณาติบาตโดยไม่เจตนาไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนี้อาตมาไม่คิดซะด้วยซ้ำไป ในเมื่อไม่เจตนาก็จบแค่นั้นเลย ขืนไปคิดต่อก็หานรกใส่ตัว..!

เถรี
25-01-2012, 10:21
ถาม : อารมณ์สงสัยไปเรื่อยนี่แก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับการภาวนาจะเลิกสงสัย แสดงว่าที่คุณฟุ้งซ่านอยู่ตลอดก็คือจับอารมณ์ภาวนาไม่ได้ ถ้าหากว่าคุณอยู่กับการภาวนา ใจจะนิ่งอยู่ตรงหน้าไม่ไปไหน

ถาม : พอภาวนาเสร็จแล้วออกมาจะพิจารณาก็จะสงสัยครับ ?
ตอบ : แสดงว่าออกมาแล้วคุณรักษาอารมณ์ไว้ไม่ได้ ถ้าพิจารณาอยู่ในองค์ธรรมจริง ๆ ก็ไม่ไปสงสัยอยู่ดี จิตก็ไปตามหัวข้อธรรมที่เราพิจารณา แต่เราเห็นแล้วสงสัยทุกเรื่องแสดงว่าสมาธิไม่ได้อยู่ตรงหน้า เตลิดเปิดเปิงไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้

เถรี
25-01-2012, 10:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้านั่ง ๆ อยู่แล้วอาตมาลุกหายไปเฉย ๆ ก็ขออภัยโยมด้วยนะจ๊ะ เพราะดูแล้ววันนี้ถ้าจะถูกมาเลเรียลงกระเพาะ เมื่อครู่ขึ้นไปครู่เดียวถ่ายไป ๓ รอบ เป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่าอย่าเกเรมาก ถ้าเกเรมากก็จะเป็นแบบนี้แหละ

ปกติแล้วถ้ามาเลเรียลงกระเพาะก็จะอาเจียน กินอะไรไม่ได้ ด้วยความที่อาตมาเป็นคนที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป รู้ว่าถ้าอาเจียนแล้วร่างกายจะแย่เพราะไม่มีอาหาร ก็เลยใช้วิธีกิน ๆ ๆ เข้าไป แล้วก็กลั้นไว้ไม่ให้อาเจียน ร่างกายเคยฝึกมาหนักจึงแข็งแรงพอทำให้กลั้นอยู่ แต่กลั้นไปกลั้นมาขึ้นข้างบนไม่ได้เลยไปลงข้างล่างแทน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาการมาเลเรียลงกระเพาะของอาตมาก็เลยกลายเป็นถ่ายท้องแทนมาจนบัดนี้

เห็ดหลินจืออาตมากินไปแล้วประมาณครึ่งตันไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย อะไรที่ว่าดีกินมาแล้วทุกชนิดก็ไม่หาย ท้ายสุดยาบีบจนอาตมาจะตาย แต่โรคก็ไม่หายจึงต้องเลิกกินยา รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมานิดหนึ่ง

เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ถ้าหากว่าเราไม่กังวล โรคภัยก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก และเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ก็คือเขาจะได้คอยตักเตือนเราอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ไม่ดี ทำให้เรามีสติ ไม่ลืม ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดร่างกายแข็งแรงดีแล้วเพลิน..ลืมอีก ต้องบอกว่าสำหรับอาตมาแล้ว ขันธมารมีบุญคุณอย่างยิ่ง ที่คอยตักเตือนอยู่เสมอ ไม่ให้ลืมว่าร่างกายนี้ไม่ดี

ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้ พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่อาจจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้

สิ่งที่ว่ามานี้เขาให้พิจารณาจนสภาพจิตยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ท่องให้คล่องปากไปเฉย ๆ ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สภาพจิตก็จะยอมรับแล้วก็ไม่ไปดิ้นรน เมื่อไม่ไปดิ้นรนความทุกข์ที่จะพึงมีก็น้อยลง"

เถรี
25-01-2012, 10:32
ถาม : พระแตกนี้ถวายให้ท่านไปหล่อใหม่ครับ
ตอบ : เดี๋ยวเตะก้านคอซะเลย..! อุตส่าห์สอนมาทั้งชีวิต พระแตกเขาให้บรรจุ ไม่ได้ให้ไปหล่อใหม่

เถรี
25-01-2012, 10:34
มีโยมเอาของหวานมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "สถิติที่น่าปลื้มใจก็คือ คนไทยกินน้ำตาลโดยเฉลี่ยมากที่สุดในโลก คนละ ๑๒ ช้อนชาต่อคนต่อวัน อาตมาไม่ฉันของหวานพวกนี้ ยังโดนบวกรวมไปด้วย สถิติของต่างประเทศ ๔-๖ ช้อนชาต่อคนต่อวัน ส่วนเรามากกว่าเขา ๒-๓ เท่า เพราะฉะนั้น..เบาหวานจงเจริญ ใครไม่เป็นไม่ทันสมัย..!"

เถรี
25-01-2012, 11:07
ญาติโยมคณะศิษย์ได้ร่วมกันนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบขอขมาพระอาจารย์เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ เสร็จแล้วพระอาจารย์จึงให้พร

"นับเป็นโอกาสอันดี ที่ปีใหม่นี้พวกเราได้มาทำอปจายนมัย คือการขอขมากรรมต่อครูบาอาจารย์ ถือว่าเป็นความดีอย่างยิ่งของพวกเรา สิ่งทั้งหลายที่เคยล่วงเกินกันมา ทั้งญาติโยมทุกท่านและตัวอาตมา ที่ผูกพันสืบเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เป็นอโหสิกรรมลงไปตั้งแต่บัดนี้

และความดีทั้งหลายที่อาตมภาพได้สร้างสมมาตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้ ไม่ว่าจะในชีวิตฆราวาสหรือว่าในชีวิตของนักบวชก็ตาม ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงมีส่วนในความดีทั้งหมดนั้นด้วย ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการ และขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานโดยถ้วนหน้ากัน ทุกท่านทุกคนเทอญ"

เถรี
25-01-2012, 11:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของยศตำแหน่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานมา ต่อให้ไม่ต้องการก็ต้องรับไว้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อรับมาก็ต้องเรียกหาในชั้นยศล่าสุดที่ได้รับ ไม่บ้ายศบ้าตำแหน่ง ไม่บ้าเห่อก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจำเป็นต้องเรียกหาตามนั้น

ถ้าหากว่าเรียกหลวงพ่อก็คือหลวงพ่อ แต่ถ้าจะมียศนำหน้าต้องเรียกตำแหน่งสุดท้าย อย่างพระมหาเปรียญก็เป็นตำแหน่งที่ทรงตั้ง ก็ถือว่าเป็นยศพระราชทานเช่นกัน คราวนี้ยศตำแหน่งพระราชาคณะชั้นราชของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าหากว่าจะเรียก ก็ต้องเรียกตำแหน่งหลวงพ่อพระราชพรหมยานไปเลย"

เถรี
25-01-2012, 11:41
http://hilight.kapook.com/img_cms2/aurora3.jpg

http://hilight.kapook.com/img_cms2/aurora4.jpg

http://hilight.kapook.com/img_cms2/aurora5.jpg


พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้จักออโรร่าไหม? ออโรร่าบางทีเขาเรียกว่าแสงเหนือ เป็นแสงที่เกิดจากการกระทบของแรงแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ ปะทะกับแรงแม่เหล็กขั้วโลก กลายเป็นสารพัดสี ไปยืนดูนาน ๆ เหมือนกับตัวเองฝันไป บางทีดูไปดูมาแล้วเหมือนกับพวกที่ภาวนาแล้วเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ จะเห็นแสงเห็นสีสารพัดเต็มไปหมด"

เถรี
25-01-2012, 17:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีใหม่นี้ทางวัดอากาศเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะว่ามรสุมตะวันตกเฉียงใต้ดันขึ้น ความกดอากาศสูงก็กดลง อากาศทองผาภูมิเปลี่ยนแปลงอาทิตย์หนึ่ง ๗-๘ วัน อากาศขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่นิ่งเลย ปกติช่วงนี้จะนิ่งอยู่ระดับ ๑๗ องศาเซลเซียส ตอนนี้กระโดดไปมาตั้งแต่ ๑๓ – ๒๓ องศาเซลเซียส ถ้าอากาศเปลี่ยนแปลงถึง ๒ องศานี่จะร้อนหนาวชัดเจนมาก แล้วอาตมามีเชื้อมาเลเรียอยู่ในร่างกาย พออากาศเปลี่ยนทีก็กำเริบที ก็เลยสนุกสนานกันยกใหญ่

ระยะเวลาที่ผ่านมาก็มีหน้าที่ประคับประคองร่างกายตนให้สามารถทำงานได้โดยที่ไม่เสียหายต่อการงาน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากมากแล้วที่จะยืนระยะให้อยู่ได้ ถึงได้กล่าวว่าความจริงแล้วขันธมารเป็นผู้ที่มีบุญคุณอย่างยิ่ง เพราะคอยตักเตือนให้อาตมารู้อยู่เสมอว่า ร่างกายนี้หาความดีไม่ได้ ถ้าไม่มีเขาคอยเตือนอยู่ อาจจะหลงเตลิดเปิดเปิง คิดว่าตัวเองแข็งแรง และท้ายสุดก็อาจจะลืมตัวไปด้วยว่าจะต้องตาย..!

ในเรื่องของโรคภัยที่เป็นอยู่ อย่างวันก่อนพอถ่ายท้องพรวดเดียวหมด เข้าไปนอนใจสั่นหวิว ๆ อยู่ในลักษณะที่ว่าชีวิตเราเหลือแค่ลมหายใจเดียว จะสิ้นสุดลงไปตอนนี้หรือเปล่าหนอ ? ก็ต้องรีบเกาะความดีไว้ ถึงได้บอกว่าเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ เป็นการทดสอบที่ดีของนักปฏิบัติมาก ๆ เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำมาเพียงพอแก่การใช้งานหรือไม่ ถ้าหากว่าพอแก่การใช้งานก็มีหน้าที่ดู รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้เอ็งจะตายก็เรื่องของเอ็งเถอะ ไม่ได้อยากจะอยู่แล้วนี่ เพราะฉะนั้น..ถ้าทำท่าจะพังเราก็เริ่มดีใจ"

เถรี
25-01-2012, 17:31
"คราวนี้ก็เลยไปเข้าใจตรงจุดที่ว่า พระปฏิบัติจะสวยที่สุด ๒ วาระด้วยกัน ก็คือวาระที่เข้าถึงมรรคผล กับวาระที่จะวางเสียซึ่งสังขารอันเป็นภาระหนักนี้แล้ว ตอนที่ได้มรรคผลก็คือยินดีว่า เข้าถึงในสิ่งที่ตนเองใฝ่หามานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เป็นสิ่งเข้าถึงได้ยากอย่างยิ่ง ต้องสั่งสมบารมีใน ศีล สมาธิ ปัญญา มานับชาติไม่ถ้วน เกิด ๆ ตาย ๆ จนกระดูกกองสูงยิ่งกว่าภูเขา

ส่วนวันที่จะต้องละเสียซึ่งสังขารนี้ ก็เกิดความยินดีเป็นอย่างยิ่งว่า ภาระอันใหญ่หลวงนี้เราจะได้วางทิ้งแล้วหนอ ไม่ต้องแบกต่อไปอีกแล้ว เกิดปีติขึ้นมา เมื่อปีติขึ้นหน้าตาก็จะผ่องใสผิดปกติ แต่โบราณเขาเก่งสรุปสั้น ๆ ว่า ถ้าเห็นหน้า..หน้านวล..ก็จวนตาย..!

เพราะฉะนั้น..ถ้าคนป่วย อยู่ ๆ เห็นผ่องใสผิดปกติ ให้รู้ว่านั่นเป็นเปลวเทียนวูบสุดท้ายแล้ว ถ้าใครเคยใช้เทียนจะสังเกตว่า ก่อนดับ..เปลวเทียนจะพุ่งสูงลิบแล้วก็ดับไป เป็นการดูดเอาน้ำตาเทียนหยดสุดท้ายขึ้นมาใช้งานจนหมดเกลี้ยง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้สามารถมาถึงตัวเราและคนรอบข้างได้ทุกเวลา เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ชีวิตของเรามีอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

เมื่อครู่ที่ได้กล่าวว่า ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่อาจจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ไม่ใช่เรื่องที่มาท่องให้คล่อง ๆ ปาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้เห็น แล้วสภาพจิตยอมรับจริง ๆ ถ้าหากว่าพิจารณาเห็นแล้วสภาพจิตยอมรับจริง ๆ ก็จะไม่มีการไปดิ้นรน ก็คือเห็นว่าธรรมดาของร่างกายนี้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องแก่ และก้าวไปหาความตายเป็นปกติ

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราทุกคนควรที่จะพิจารณาและทำให้เกิดผลจริง ๆ ถึงจะได้ไม่เสียชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ไม่เสียชื่อว่าเป็นลูกหลานหลวงปู่หลวงพ่อ ไม่ใช่ประเภทป่วยทีก็โอดครวญ จนคนรู้กันไปครึ่งโลกเลย..!"

เถรี
25-01-2012, 17:36
มีโยมทำสังฆทานโดยแบ่งถวายทีละชุดไปเรื่อย ๆ หลายครั้ง พระอาจารย์กล่าวว่า "แสดงว่าโยมไม่อยากได้รางวัลใหญ่ เมื่อวานเพิ่งปรารภถึง ดร.เอ

สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ ดร.เอ ถูกหวยทุกงวด แต่หักแล้วที่ซื้อกับที่ได้ก็แทบจะเท่ากัน ประเภทกองลาดตระเวนเก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย อย่างโยมแทนที่จะทำบุญทีเดียวก็ทำทีละครั้ง วิสัยคนก็ไม่เหมือนกันด้วย ถ้าเป็นนิสัยของอาตมาก็เทไปทีเดียวเลย ได้อะไรก็ตูมเดียวเลยเหมือนกัน มาดู ๆ แล้วจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้รู้ว่าเพราะนิสัยทำบุญทีเดียวของอาตมานี่แหละ ถึงเวลาได้อะไรก็ได้รวดเดียว

ปี ๒๕๔๗ ปีเดียวได้ตราตั้งมา ๘ ใบ จนตัวเองก็งงว่านี่ตำแหน่งอะไรบ้าง มาปีนี้ก็ได้พระครูชั้นสัญญาบัตรพร้อมเสาเสมาธรรมจักรและรับปริญญาโทด้วย ปกติเสาเสมาธรรมจักรได้ยากได้เย็น กลับเทมาทีเดียวพร้อมกัน เรื่องพวกนี้บอกนิสัยของพวกเราได้ว่าพวกเราชอบทำบุญแบบไหน ประเภททำทีเดียวถึงเวลาก็มาทีเดียว ทำหลายทีก็ทยอยกันมา

แบบสมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้ากับสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่องของลาภผลทั้ง ๒ พระองค์ มีลาภมากมหาศาลเหมือนกัน แต่พระองค์หนึ่งลาภมาอย่างกับคลื่นยักษ์ถล่มเมืองเลย อีกพระองค์ท่านหนึ่งก็ทยอยมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย ก็คือลักษณะสร้างบุญของทั้ง ๒ พระองค์ท่าน แม้ว่ามาในด้านทานบารมีเหมือนกัน แต่วิสัยในการทำไม่เหมือนกัน

ใครไม่รู้ว่าคลื่นยักษ์มาทีดุเดือดขนาดไหน ให้ลองไปดูวีดิโอที่เขาถ่ายไว้ บางคนเขาใจเย็นมากเลย ขนาดหนีขึ้นเขาไปแล้วยังอุตส่าห์ถ่ายวีดิโอไปเรื่อย แต่ก็ดีตรงที่ได้เห็นภาพ กวาดมาตูมเดียวเรือนชานบ้านช่อง รถยนต์เป็นร้อย ๆ คันหายวับไปกับตา ..!

ไม่มีอะไรเอาชนะพลังธรรมชาติได้ เห็นลักษณะนั้นแล้วจะได้รู้ว่ามนุษย์เรากระจ้อยร่อยเหลือเกิน ถ้าหากว่านับในโลกมนุษย์ของเราก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวนิดเดียว ถ้าไปนับในจักรวาลนี่เป็นเศษผงเลย แล้วทำไมถึงได้แบกมานะกันอยู่นักหนา อะไร ๆ ก็ตัวกูของกู เอากูเป็นใหญ่ไว้ก่อน ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่เศษฝุ่นชัด ๆ..!"

เถรี
25-01-2012, 17:38
:4672615: เก็บตกบ้านวิริยบารมีต้นเดือนมกราคมจบแล้วค่ะ :4672615: