View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔
ถาม : ทำไมพระในสมัยพุทธกาลท่านชอบเข้านิโรธสมาบัติคะ ?
ตอบ : เพราะเข้าแล้วสบาย
ถาม : สมัยนั้นทุกข์มากเลยหรือคะ ?
ตอบ : ด้วยความที่จิตท่านละเอียดมาก ท่านจึงเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ในเมื่อรู้เห็นชัดเจนก็เท่ากับว่ารับทุกข์มากกว่าคนอื่น จึงรู้สึกทุกข์มากกว่าคนอื่น
ถาม : สมัยนั้นเหมือนกับสมัยนี้หรือไม่คะ ?
ตอบ : สภาพร่างกายหิวกระหาย ร้อนหนาว เจ็บไข้ได้ป่วย สกปรกโสโครก เหมือนกันหมดนั่นแหละ จะยุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน มีสภาวทุกข์ (ทุกข์ตามสภาพ) เหมือน ๆ กัน มีปกิณกทุกข์ (ทุกข์เล็กน้อยทั่วไป) เหมือน ๆ กัน มีนิพัทธทุกข์ (ทุกข์ประจำ) เหมือน ๆ กัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครอบครัวถ้าคิดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บางครั้งก็ต้องมีความลับเล็ก ๆ ต่อกัน อย่างเราบอกเขาว่าไปวัด เขาก็บ่นว่าเรา ถ้าเราบอกว่าไปเที่ยวก็จบ ไปเที่ยวกับเพื่อน ๓ วันนะ นี่เป็นศิลปะในการดำรงชีวิตที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะจัดเป็นอุดมมงคล
นอกจากศิลปะที่เป็นความรู้ในการหาเลี้ยงชีพแล้ว ยังมีศิลปะในการเอาตัวรอด ศิลปะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และท้ายสุดก็คือ ศิลปะในการต่อสู้เพื่อให้พ้นจากกิเลส พระพุทธเจ้าท่านหมายเอาหลักธรรม เราก็ดึงฟ้าต่ำลงมานิดหนึ่ง เอาเรื่องทางโลกปน ๆ ไปหน่อย"
ถาม : นี่เป็นข้าวกลายเป็นหิน ใช่หรือเปล่าคะ ? ได้มาจากฝั่งลาว
ตอบ : ไม่ใช่..โดนเขาหลอกแล้ว นี่เป็นพระธาตุสีวลี
ถาม : หนูนึกว่าเป็นหินงอกหินย้อย เกือบจะเอามะนาวทดสอบสารละลายแคลเซียมแล้วค่ะ
ตอบ : เขาเรียกว่าพระธาตุเทพนิมิต แบบเดียวกับที่คนเราสร้างพระเครื่องไว้บูชา เทวดาก็สร้างพระธาตุไว้บูชาเหมือนกัน ก็ต้องนิมิตเอาจากสิ่งธรรมชาติรอบ ๆ ข้าง
ตอนนั้นพาทิดตู่ที่ยังเป็นเณรไปถ้ำที่มีพระธาตุ เขาเห็นก็ติดใจเพราะสถานที่เย็นมาก พอกลับมาเขาก็พาโยมกลับไปใหม่ แล้วก็ไปโกยพระธาตุใส่ถุงมา
มีโยมคนหนึ่งชื่อตาธูป สมัยแรก ๆ ก็มาทำงานเป็นช่างไม้ช่างปูนอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตอนเดินกลับตาธูปรู้สึกเสียวสันหลัง เลยหันกลับไป จึงเห็นว่าระหว่างที่เดินออกมา มีรอยเท้าเหยียบตามมาด้วย มีแต่รอยนะ..ไม่เห็นตัว ตาธูปขวัญหนีดีฝ่อ ในที่สุดนึกขึ้นได้ว่า โบราณบอกว่าถ้าเจ้าของหวงก็ให้ซื้อเขา ตาธูปเลยล้วงเงินหมดตัว มีเงินเท่าไรก็ขอซื้อ แต่ทิดตู่ไม่ได้ขอซื้อ เลยโดนยันตกเขาอยู่คนเดียว..เกือบตาย..!
ถาม : พระหลวงปู่ปานองค์นี้เป็นของที่ไหน ?
ตอบ : คุณไม่ต้องสงสัยหรอก พระของหลวงปู่ปานจะจริงจะปลอม จะแท้จะเทียม ท่านให้พรไว้ว่าถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากันหมด นึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว คาถาปลุกคือ อิทธิฤทธิพุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระราหุลเป็นเอตะทัคคะทางใคร่ในการศึกษา ตอนเช้า ๆ ท่านไปล้างหน้า ก็จะกอบทรายที่ริมน้ำขึ้นมาอธิษฐานว่า “วันนี้ขอให้ได้ข้อธรรมคำสอนจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระเถระทั้งหลาย มากเท่าจำนวนเม็ดทรายในกอบนี้” อธิษฐานอย่างนั้นทุกวัน ฉะนั้น..ความใฝ่ในการศึกษาเป็นปฏิปทาเฉพาะตัวของท่าน
พระราหุลเป็นพระที่ปรินิพพานไม่เหมือนใคร ท่านไปปรินิพพานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวดาจึงต้องทำศพให้"
ถาม : เป็นมะเร็งเต้านมค่ะ
ตอบ : ต้องไปนั่งกรรมฐานเยอะ ๆ เพราะมะเร็งที่เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ทุกอย่างของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหน้าอก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ เกิดจากความเครียดแล้วทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ถ้าหากไม่เครียดก็จะหายไปเอง
ขอยืนยันว่าจริง เพราะมีโยมคนหนึ่งตั้งใจจะไปตายที่วัด ไปสวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ๔ เดือน มะเร็งหายไปเฉยเลย ไปหาหมอให้หมอตรวจ หมอถามว่าไปทำอะไรมา โยมเขาก็บอกตามความจริง หมอบอกว่าใช่เลย แต่คนอื่นเขาสู้ไม่ได้อย่างนั้น คือคนอื่นติดทำมาหากิน และไม่สามารถจะบังคับตัวเองให้นั่งสมาธิได้ แต่นั่นเขาตัดใจว่าเขาจะไปตายแล้ว ขอไปตายที่วัด
ในเมื่อตัดใจ ไม่มีห่วงไม่มีกังวล ๔ เดือนผ่านไปมะเร็งก็หายไปเอง ทั้ง ๆ ที่หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งปี แล้วหมอก็อธิบายบอกว่า มะเร็งที่เกิดจากการที่ฮอร์โมนร่างกายแปรปรวนจากความเครียด..ถ้าไม่เครียดก็หาย
ถาม : บริวารหายากค่ะ ตอนนี้ก็แก่แล้วด้วย
ตอบ : เรื่องบริวารให้บนเสด็จในกรมหลวงชุมพร บอกท่านว่าขอคนให้มาช่วยงาน เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์หาให้ แล้วเราจะถวายสังฆทานให้ท่าน
ถาม : แล้วถวายที่ไหนคะ ?
ตอบ : ที่วัดไหนก็ได้จ้ะ ถวายเป็นสังฆทานก็แล้วกัน ถ้ามีคนลักษณะนั้นมาแล้ว การค้าของเราจะไม่มีปัญหา เพราะเขาช่วยเราได้
ถาม : ทำอย่างไรจะค้าขายดีคะ ?
ตอบ : ขายถูก ๆ สิ ขายแพงใครเขาจะซื้อเล่า ? ลดราคาให้ต่ำกว่าคนอื่นหน่อยก็ขายดีไปเอง
ถาม : ขายถูก ๆ ก็เหนื่อยอีก ต้องใช้น้ำมันไปส่งไกล
ตอบ : บางปั๊มเติมแก๊สทุก ๑๐๐ บาทแถมน้ำขวดหนึ่ง อย่างอาตมาเติมทีหนึ่งก็ได้น้ำ ๕-๖ ขวด ส่วนอีกปั๊มหนึ่งนอกจากแถมน้ำร้อยละขวดแล้ว ยังลดราคาอีกลิตรละ ๒๐ สตางค์ เกี่ยงกันตรง ๒๐ สตางค์นี่แหละ อาตมาไปเข้าปั๊มลดราคาดีกว่า เห็นไหมว่าเขาลดแค่ ๒๐ สตางค์แล้วได้ลูกค้าเยอะขึ้นเยอะเลย
ถาม : เปิดร้านนวดแล้วร้านเงียบค่ะ จะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : เอาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปนั่งภาวนา ยิ่งเงียบยิ่งดี ฉันจะได้ภาวนาให้เยอะ ๆ เดี๋ยวลูกค้าก็ประดังเข้ามาเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครูบาวิฑูรย์แลดูแข็งแรงแล้ว ฟื้นตัวได้เร็ว คนหนุ่มได้เปรียบ ถ้าอาตมาโทรมขนาดนั้นคงร่วงไปแล้ว"
ถาม : ครูบาไม่ได้ฉันอาหาร ๗ วัน โทรมมากเลยหรือคะ ?
ตอบ : ครั้งนี้ท่านเข้ากรรมฐาน ๙ วัน พอออกมา กำลังจะทรงกายยังไม่ค่อยจะมีเลย ดูท่าก็รู้ บอกให้คนเอายาดมให้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านจะเป็นลม
เวลาอยู่ในสมาธิจะไม่เป็นอะไร แต่พอออกจากสมาธิมา อาการเวทนาทุกอย่างจะรับรู้หมด อย่างตอนที่อาตมาเข้ากรรมฐานอยู่สามวัน พอคลายกำลังใจออกมา ในท้องอย่างกับไฟไหม้เลย แสดงว่าร่างกายหิวมาก แต่ตอนที่อยู่ในสมาธิเราไม่รับรู้
เรื่องอย่างนี้ถ้าคนไม่ชำนาญจริง ๆ จะไม่สามารถประคองตัวจนงานเลิกได้ จะเสียภาพพจน์ เพราะกำลังใจเวลาคลายออกมา จะคลายหมดเลย ถ้ารู้ว่าได้เวลาเลิกงานแล้ว ร่างกายจะไม่เอากับเราเลย สั่งอย่างไรก็ไม่เล่นด้วยแล้ว ก็หงายแผ่ขายหน้าชาวบ้านเขา อย่างอาตมานี่ไปนอนแผ่ลับหลังดีกว่า ต่อหน้าคนอื่นต้องทำเก่งไว้ก่อน
ถาม : ถ้าอยู่ในธรรมปีติ คืออยู่ด้วยกำลังสมาธิ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่ใช่กำลังสมาธิอย่างเดียว ธรรมปีติจะอาศัยสภาพของสมาบัติปรับร่างกายไปด้วย จะดึงธาตุดินน้ำลมไฟรอบข้างไปใช้งานเอง เป็นการกินเป็นปกติ แต่กินทางผิวหนัง ไม่ได้กินทางปากเท่านั้น อธิบายไปก็บ้า เพราะคนฟังทำไม่ได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่า..ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องบังคับมันได้ อย่าให้มันบังคับเรา ถึงร่างกายบอกว่าไม่ไหว เราก็จะไป เดี๋ยวมันก็ต้องไปตามเราเอง"
พระอาจารย์เล่าว่า "น้านิล (คุณนิลประไพ บุญ-หลง) เป็นน้องสาวคนเล็กของหลวงปู่มหาอำพัน สมัยที่อาตมาไปปรนนิบัติดูแลรับใช้หลวงปู่ได้เจอน้านิล
แหวนจักรพรรดิทองคำของวัดท่าซุงที่อาตมาพกติดตัวอยู่ น้านิลเป็นคนถวาย เพราะตอนนั้นราคาแหวนจักรพรรดิสำหรับฆราวาสราคา ๖,๖๐๐ บาท ส่วนพระ..หลวงพ่อท่านคิดเฉพาะต้นทุนแค่ ๒,๒๐๐ บาท แต่ห้ามใช้สิทธิ์แทนกัน เพราะท่านถือว่าให้สิทธิแก่พระเป็นพิเศษแล้ว
แหวนจักรพรรดิเป็นวัตถุมงคลชิ้นเดียวที่หลวงพ่อท่านบอกว่าพระควรจะมีติดตัวไว้ ถามเหตุผลแล้วหลวงพ่อบอกว่า แหวนจักรพรรดิจะให้ผลในการสงเคราะห์บริวารมาก ถ้าหากว่าต่อไปพวกเราออกไปรับผิดชอบงานพระศาสนาในที่ใดก็ตาม ต่อให้มีบริวารมากขนาดไหนก็จะมีปัญญาเลี้ยงเขา
สมัยนั้นราคา ๒,๒๐๐ บาทสำหรับอาตมาถือว่าแพงมาก ไม่มีปัญญาจะบูชา คุณน้านิลประไพก็เลยตัดสินใจควักกระเป๋าจ่ายแทน นี่เขาเพิ่งส่งข่าวมาว่าคุณน้าท่านเสียแล้ว
น้องสาวของหลวงปู่มหาอำพันมีคุณน้าดวงตา คุณน้าส่าหรี คุณน้านิลประไพ คุณน้าดวงตาถึงเวลาก็จะซื้ออาหารมาถวาย สมัยนั้นธนบัตรที่ใหญ่ที่สุดในบ้านเราคือ ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาท ถ้าคุณน้าดวงตาซื้ออาหารแล้วใช้ธนบัตร ๕๐๐ บาทไม่หมดก็จะเซ็งมาก น้าต้องใช้ให้หมด ก็เลยไปเที่ยวเสาะหาอาหารแพง ๆ ประเภทกุ้งล็อบสเตอร์มาถวาย
น้าดวงตาสรุปว่า "พระเล็กเลี้ยงยาก ซื้ออะไรมาก็ไม่ค่อยจะฉัน" หันมาอีกทีเห็นอาตมาฉันผักบุ้งไฟแดงอยู่ น้ายิ่งโกรธใหญ่เลย ซื้อของแพงมาไม่กิน กินแต่ของถูก ๆ ข้างทาง
ตระกูลหลวงปู่ท่านเป็นตระกูลผู้ดีเก่า จะรู้จักแหล่งอาหารที่เป็นพวกของแพง ประเภทไข่เจียวจานละ ๖๐๐ บาท มีใครเคยกินกุ้งมังกรบ้างไหม ? เคี้ยวยางรถยนต์ยังดีกว่าตั้งเยอะ..! เหนียวอย่าบอกใคร กว่าจะหั่นออกมาได้แทบต้องใช้อีโต้จาม..! อะไรที่กินยากอาตมาไม่เอาด้วยอยู่แล้ว ต้องมานั่งเลาะเปลือก ต้องมาหั่น เสียเวลาเป็นบ้าเป็นหลัง"
ถาม : พอเราถวายข้าวพระพุทธที่บ้านแล้ว เราสามารถจะลามากินเองหรือใส่บาตรพระได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ ถ้าหากไม่มีพระมาบิณฑบาตเราก็สามารถเอาไปกินไปใช้เองได้ เพราะพระที่บ้านก็เหมือนเราบูชาท่านเฉย ๆ แต่ถ้าเป็นของที่ถวายพระที่วัดแล้ว จะเป็นของสงฆ์ ถ้าเราเอามากินมาใช้ก็จะติดหนี้สงฆ์ ต้องชำระหนี้สงฆ์จ้ะ
ถาม : ไหว้พระที่บ้านจำเป็นต้องจุดธูปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นจ้ะ ถ้าจุดธูปจะได้อานิสงส์บูชาด้วยของหอม แต่ถ้าเผลอเมื่อไรอาจจะได้อานิสงส์เผาบ้านตัวเองด้วย..! ทางที่ดีใช้ธูปไฟฟ้าดีกว่าจ้ะ อย่างเก่งก็ช็อตดับไปเอง แต่ถ้าไม่มีก็ใช้สิบนิ้ววันทาตั้งหน้าปฏิบัติแทน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังซุ่มทำวัตถุมงคลอยู่อย่างหนึ่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวง ๘๔ พรรษา ซึ่งจะมีแค่ ๘๔ ชิ้นเท่านั้น กำลังจ้างช่างฝีมือระดับโลกทำอยู่ ช่างคนนี้ในวงการโลหะถือว่าติด ๑ ใน ๑๐ ของโลก เป็นคนไทย ค่าตัวแพงหน่อย ชื่อบุญเรือน หงษ์มณี
ว่าจะใส่บรรดาโลหะที่สะสมไว้ทั้งหมดลงไป โดยเฉพาะพญาเหล็กที่บางคนเรียกว่าเหล็กไหล ตอนแรกเอาพญาเหล็กก้อนใหญ่ไปให้เขาดู ถามว่าหลอมไหวหรือไม่ ? ช่างพลิกซ้ายพลิกขวาดูแล้วบอกว่าสบาย ด้วยความรู้เกี่ยวกับโลหะศาสตร์ของเขามั่นใจว่าหลอมได้แน่
คนไทยที่ฝีมือดี ๆ มีเยอะมากเลย แต่เราจะมีโอกาสได้เจอหรือเปล่า ? อย่างช่างที่แกะพระจำหน่ายทั่วไปที่เป็นโอท็อป ต้องทำชิ้นงานเยอะ ดังนั้นความประณีตจะน้อย แต่ช่างที่อาตมาให้แกะพระยืน เขารับงานทีละชิ้น เขาจะทุ่มเทให้กับชิ้นงานได้มากกว่า ความละเอียดประณีตของงานก็จะมากกว่า"
"ส่วนตอนนี้ให้ญาติโยมเก็บเงินไว้ พอหลังงานกฐินจะเริ่มเปิดให้จองวัตถุมงคลร่วมเป็นกรรมการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่นแรกชุดพิเศษ จะมีเนื้อชินตะกั่วเพิ่มขึ้นมาอีกเนื้อหนึ่ง มี ๓๐๐ องค์เท่านั้น ราคาน่าจะอยู่ราว ๆ ๗,๕๐๐-๘,๐๐๐ บาท
เร่งเก็บสตางค์ไว้ จะได้ช่วยกันสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดของทองผาภูมิ เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำสั่งให้สร้างพระกลางแจ้ง ใจคอไม่ค่อยดี รู้สึกเหมือนกับเอาท่านไปตากแดดตากฝนอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เหตุผลของท่านก็คือ คนที่เขาเห็นองค์พระเด่นแบบนั้นก็จะเกิดศรัทธา เขาก็จะมาอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้หญิงสมัยก่อนกว่าเขาจะได้แสดงตัวให้หนุ่ม ๆ เห็น ก็ต้องรอมีงานบุญ งานแต่ง ไม่เหมือนสมัยนี้อวดตัวได้ทุกงาน แม้กระทั่งงานศพยังนุ่งสั้นไปได้ ถ้ารู้ว่าผ้ายังไม่พอก็อย่าเพิ่งไปงานเขา ก็ไม่มีใครว่าหรอก..!
เราต้องรู้กาลเทศะ ถ้าคนอื่นเขาไม่เกรงใจ เขาจะด่าเอา ถ้าแถวทองผาภูมินี่ไม่ได้หรอก โผล่ขึ้นศาลาเมื่อไรโดนเจ้าอาวาสงับ..! พวกนี้จะรู้ตัวนะ โผล่ขึ้นมาอาตมาก็ด่าออกเสียงตามสายเลย เพราะเจ้าอาวาสนั่งอยู่กับเครื่องเสียง"
ถาม : ถ้าเห็นคนแต่งตัวไม่เหมาะสม แล้วเราไปบอกเขา จะเหมาะหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าเขายังไม่เกรงใจเราก็อย่าเพิ่งไปทำ เพราะจะมีโทษมากกว่า ถ้าหากว่าเขาเกรงใจเราแล้ว คราวนี้ด่าไปเถอะ เขาไม่ว่าอะไรหรอก..!
ถาม : เด็กที่สมาธิสั้นแล้วเราให้นั่งสมาธิแบบที่ผู้ใหญ่นั่งกัน จะช่วยให้ดีขึ้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..แต่อย่านาน นับลมหายใจ ๓-๕ คู่แล้วเลิกเลย
ถาม : ตอนนี้จับพี่น้องนั่งคู่กันค่ะ ประมาณ ๑๕ นาที แต่ดูเหมือนคนพี่เขาจะไม่ค่อยนิ่งตั้งแต่เริ่ม ๆ เลย อย่างนี้ให้จับแยกกันหรือคะ ?
ตอบ : ให้อยู่ข้าง ๆ กันนี่แหละ เขาจะได้มีกำลังใจ ลืมตาขึ้นมาน้องยังอยู่ก็กัดฟันนั่งต่อ ต่อไปก็บอกว่าถ้าน้องยังไม่เลิก หนูอย่าเพิ่งเลิกนะ ถ้าเลิกก่อนสู้น้องไม่ได้ เดี๋ยวเขาก็เกิดมานะฮึดขึ้นมาเอง
สมัยก่อนอาตมาเจอทีเด็ดของเด็กเข้า หมดสภาพความเป็นครูเลย อาตมาเป็นครูสอนมโนมยิทธิ สอนแทบเป็นแทบตายกว่าจะได้สักคนหนึ่ง ปรากฏว่าเดือนถัดไปแม่เขาพาเด็ก ๒ คนมา เราสอนคนพี่ไป เขาพาคนน้องมากราบ เขาบอกว่าขอบคุณมากที่ช่วยให้ลูกเขาได้มโนมยิทธิทั้งคู่ อาตมาก็ อ้าว..ไปสอนตัวเล็กเมื่อไร ?
เขาบอกว่าพอพี่เขาได้มโนมยิทธิแล้ว กลับบ้านไปก็นั่งกรรมฐาน น้องมาถามว่าพี่ทำอะไร พี่ก็บอกว่านั่งกรรมฐานไปดูนรกสวรรค์ น้องก็ถามว่าทำอย่างไร พี่บอกว่า "ให้หลับตาแล้วไปด้วยกัน" บอกแค่นั้นน้องทำได้แล้ว อาตมาสอนแทบตาย เด็กบอกประโยคเดียวได้เลย แสดงว่าเด็กเก่งกว่าเราเยอะ เขามีภาษาที่สื่อแล้วเด็กด้วยกันเข้าใจ น้องเขาก็เชื่อว่าหลับตาไปได้..ก็ไปเลย
ใครเคยดูคลิปวีดิโอบ้าง ที่พ่อเขาเอาขนมเสียบไว้ตรงวงกบประตูแล้วให้ลูกปีนขึ้นไปเอา คนเป็นพี่สาวเห็นพ่อบอกให้ขึ้นแสดงว่าขึ้นได้ ก็ปีนขึ้นไปเอาได้ ถึงเวลาน้องเห็นพี่ขึ้นได้เราต้องขึ้นได้แน่ ก็ปีนขึ้นไปเอาได้เหมือนกัน อาตมาดูก็คิดว่า โอ้โห..ผู้ใหญ่ยังร่วงเลย นี่เด็กขึ้นไปเอาได้ กรอบประตูลื่น ๆ นะ สงสัยเป็นไอ้แมงมุมกลับชาติมาเกิด
เพราะฉะนั้น..ความมั่นใจในผู้นำเป็นหนึ่งในเวสารัชชกรณธรรม คือธรรมที่ทำให้คนกล้า ท่านบอกว่าต้องประกอบไปด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธาคือความเชื่อมั่น ท่านบอกว่าประกอบไปด้วยเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองยึดถือกันมาตามตระกูล เชื่อมั่นในผู้นำว่าสามารถนำตนไปสู้เป้าหมายได้ ท้ายสุดเชื่อมั่นในตนเองว่าทำได้สำเร็จ
ถ้ามีความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ทำให้กล้าได้ นั่นเขาเชื่อมั่นในผู้นำ พ่อบอกให้ทำแสดงว่าทำได้
ท่านชาติชาย สมัยที่เป็นหัวหน้าป่าไม้อยู่ไปจับไม้เถื่อน พวกตัดไม้ก็ยิงสู้ ลูกน้องท่านชาติชายโดนยิง หน้าท้องเปิด ไส้ทะลักมากองกับพื้น ท่านชาติชายก็เข้าไปช่วย คลานไปถึงก็จับไส้ยัด ๆ กลับเข้าไป เอาผ้าขาวม้าพันไว้ ลูกน้องก็ถามว่า “เจ้านาย..ผมจะตายไหม ?” ท่านชาติชายบอกว่า “เฮ่ย..แค่นี้เอง กูเห็นมาเยอะแล้ว ไม่เป็นไรสักคน หมอเย็บเสร็จก็หาย เอ็งนั่งอยู่นี่แหละ ใจเย็น ๆ เสร็จแล้วเดี๋ยวจะพาไปหาหมอ”
ลูกน้องก็เลยนั่งสูบบุหรี่รอ รอจนเจ้านายจัดการคดีเสร็จก็พาไปหาหมอ แล้วเขาก็รอดจริง ๆ นะ เพราะเชื่อเจ้านายว่าไม่เป็นไร แต่หมอนี่ด่ากระจายเลย ประการแรก..คุณยัดไส้เขากลับเข้าไป โดยที่ไม่ได้ทำให้ปลอดเชื้อก่อน หมอต้องล้วงออกมาล้างใหม่หมด
ประการที่สอง..ไส้ถูกลมมากไปเลยพอง ทบกลับเข้าไปยาก หมอต้องไปนั่งเรียงใหม่ เพราะถ้าเรียงผิด ไส้บิดแล้วอาจจะทำให้ไส้ตัน อาจจะถึงตายได้ ประการสุดท้าย..ทิ้งคนไข้ไว้นานเกินไป เสียเลือดไปเยอะ
นั่นเขาเชื่อมั่นในผู้นำ ผู้นำบอกว่าไม่เป็นไร กูเห็นมาเยอะแล้ว หมอเย็บเสร็จก็หาย ลูกน้องคงลืมคิดไปว่าหัวหน้าเพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเอง จะไปยิงกับใครมาสักกี่คน..!
ท่านชาติชายสอนลูกน้องยิงปืน เพื่อที่จะเอาไว้สู้กับพวกทำไม้เถื่อน ตัวเองก็อุตส่าห์ไปซ้อมที่สนามยิงปืน ร.ด. อยู่บ่อย ๆ พอจะแม่นบ้าง เวลายิงเป้าทั่ว ๆ ไปจะยิงให้อยู่ในวงกลมก็ไม่ยาก คราวนี้เขาจะสอนวิธียิงต่อสู้ ให้ลูกน้องผูกเป้าไว้แล้วตัวเองหันหลังให้เป้า..ชักปืน..หันขวับ..ยิงเปรี้ยง..เป้าหล่น..ปรากฏว่ายิงตัดเชือกพอดี..!
ถามว่าคุณทำอย่างไรต่อ ? ท่านชาติชายบอกว่า “ผมแสดงให้ดูแค่นั้น แล้วผมก็ไม่ยิงให้ดูอีกเลย เพราะไม่มีทางยิงถูกแบบนั้นอีกแล้ว..!” เขาตั้งใจจะยิงให้ถูกเป้า ดันไปตัดเชือกเข้าพอดี สมัยก่อนอาตมาเองซ้อมอยู่เป็นปีกว่าจะยิงดับเทียนได้ ยิงตัดเส้นลวดได้ยังต้องใช้ปืนยาวเลย แต่นี่ปืนสั้นยิงตัดเชือกได้ถือว่าสุดยอด ถ้ายิงซ้ำอีกทีก็ไม่ถูกหรอก เพราะฉะนั้น..เขาก็บอกว่าแค่นั้นแหละ แล้วก็ให้ลูกน้องซ้อมยิงกันเอง
ตอนแรกเห็นรุ่นพี่ที่เก่ง ๆ เขาเอาปืนลูกกรดยาวยิงดับเทียนได้ อาตมาก็ว่าไม่น่าจะยาก พอลองยิงเองถึงได้รู้ว่ายาก เพราะไปเล็งที่ไฟ ต้องเล็งตรงกลางต่ำกว่าไฟนิดหนึ่งซึ่งก็คือไส้เทียน ไปเล็งที่ไฟจะยิงดับยาก บางทียิงไส้เทียนขาดไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ไฟก็ยังติดต่อได้เพราะยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง กว่าจะรู้เคล็ดนี้ก็นาน
ถาม : การที่เราจะใช้มโนมยิทธินี่สามารถใช้ได้เรื่อย ๆ เลยหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าหากมีความคล่องตัวจะใช้เมื่อไรก็ได้จ้ะ ยกเว้นคุณสุภิตา คุณสุภิตานี่ช่างถาม ถามจนพระท่านรำคาญ จำกัดว่าให้ถามได้ไม่เกินวันละ ๑ ข้อ แต่คุณสุภิตาก็ยังคงมีข้อสงสัยต่อไปว่า “แล้วถ้าอยากถามเกิน ๑ ข้อละคะ ?” คิดดูแล้วกัน..ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะโดนจำกัด แต่ของเรานี่ไม่จำกัดหรอก ใช้ไปเถอะ...
ถ้ามีความคล่องตัวใช้ได้ทั้งวัน ใช้ได้ทุกวินาทียิ่งดี เพราะว่าจิตที่ทรงมโนมยิทธิอยู่ อย่างน้อย ๆ เรามีฌานสมาบัติเป็นเครื่องควบคุม นิวรณ์ ๕ ก็ดี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ดีจะแทรกตอนนั้นไม่ได้
ถาม : แล้วเวลารู้เห็นอะไรจะทำอย่างไรให้ไม่เตลิด ?
ตอบ : ตัวเราที่ใช้คำว่าเตลิดนี่ คนฟังไม่เข้าใจจะไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าสิ่งที่เรารู้อาจจะไม่ถูกต้อง เกิดการผิดพลาดขึ้นเนื่องจากกำลังสมาธิเราไม่พอ ถ้าหากว่ารู้ตัวว่ากำลังสมาธิของเราถอย เราก็หันกลับมาเข้าสมาธิใหม่ จนอารมณ์ทรงตัวแล้วพิจารณาตัดร่างกายอีกรอบหนึ่งจากนั้นค่อยไปใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วจะผิด ไม่ได้เตลิดเฉย ๆ หรอก ถ้าผิดแล้วเข้าป่าเข้าดงไปเลย..!
พระอาจารย์แจ้งว่า "ขอประกาศให้ญาติโยมทราบ งานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งต่อไปคือวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ อีกไม่กี่เดือน แสดงว่าสถานการณ์ปีหน้าค่อนข้างจะหนัก เพราะเสาร์ ๕ มาตั้งแต่ต้นปีเลย
แม้ว่าสถานการณ์ของประเทศชาติจะหนัก แต่ก็มีวิธีผ่อนปรนโดยการมีฤกษ์ยามที่เหมาะสม ที่เราจะทำการบวงสรวงรวมกำลังใจอธิษฐานเพื่อประเทศชาติกัน ลองดูสิว่า ๒๘ มกราคม ปีหน้าตรงกับวันเสาร์หรือเปล่า ? ใครจะไปมั่นใจได้เล่า ? เกิดไม่ใช่วันเสาร์ขึ้นมาก็หน้ามืดสิ..! ประกาศไปแล้วจัดงานไม่ได้
มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านประกาศจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชรก่อนวันงาน ๓ วัน พระพุทธเจ้าเสด็จมา ขออภัยนะ..อาตมาใช้คำพูดตามที่หลวงพ่อท่านบอก พระท่านตรัสว่า “แกแหกตาดูหรือเปล่าว่ามันวันอะไร ?” หลวงพ่อท่านบอกว่า “วันเสาร์ ๕ ครับ” พระท่านบอกว่า "วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ ใช้ได้ซะเมื่อไรเล่า ?" หลวงพ่อท่านรีบไปเปิดปฏิทินดู เป็นวันเสาร์ แรม ๕ ค่ำจริง ๆ ไม่ใช่ขึ้น ๕ ค่ำ
หลวงพ่อท่านก็เลยกราบทูลว่า “แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรครับ เพราะประกาศบอกโยมไปแล้ว ?” พระท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร..จะข้างขึ้นหรือข้างแรม ถ้าฉันทำให้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่คราวหน้าต้องรอบคอบกว่านี้”
ถ้าหากว่าตามสายครูบาอาจารย์ของเรา ต้องใช้วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เคล็ดลับอยู่ตรงคำว่า "ขึ้น" จะทำของให้ขึ้นก็ต้องข้างขึ้น ข้างแรมเขาไม่นับ ช่วงที่ผ่านมามีวันเสาร์ข้างแรม เขาตื่นเต้นกันใหญ่ จัดงานกันอุตลุด เขาว่าปีเสือ เดือนสิงห์ กระทิงวันอะไรให้ยุ่งไปหมด ถ้าหากว่าตามสายของสมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์ฯ ท่านจะใช้ฤกษ์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ท่านถือว่าสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง และโดยเฉพาะเป็นวันพระราชสมภพของท่านด้วย
แต่สมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ท่านสร้างพระตามกำลังวัน ถ้าขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับวันอาทิตย์ ท่านสร้างพระแค่ ๖ องค์ ตรงกับวันจันทร์สร้าง ๑๕ องค์ แปลว่าเต็มที่พระรุ่นนั้นจะมีไม่เกิน ๒๑ องค์ จนลูกศิษย์ทนไม่ไหวถึงได้ขอให้ท่านสร้างให้ต่างหาก ถึงได้มีการเททองกันทีหนึ่ง ๓๐๐-๔๐๐ องค์ แต่บางครั้งโลหะที่เตรียมไว้ไม่พอ ก็จะมีเทเช้าวรรณะเป็นสีเหลือง เทบ่ายวรรณะเป็นสีแดง ให้ยุ่งไปหมด ก็คือโลหะไม่พอ ต้องหาของมาเพิ่ม กลายเป็นจุดตายที่บรรดาเซียนพระเขาชี้จริงชี้ปลอมกัน"
ถาม : ทำงานให้ราชการ แต่ไม่ค่อยสบายใจ เพราะราชการทำงานไม่ค่อยตรง ผมทำงานตรงไปตรงมาจะไม่มีปัญหา แต่กรณีนี้มีผู้ที่มีอิทธิพล เขามาเรียกร้องทีหลัง ถ้าผมไม่จ่ายเขาเขาจะไม่ตรวจรับงาน เผลอ ๆ จะต้องให้ของเขา อย่างนี้จะผิดไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ไม่ถือว่าผิด คบหาพวกนี้เอาไว้นอกจากอำนวยความสะดวกให้แล้ว ต่อไปเราจะได้งานอื่นง่ายด้วย แต่ว่าให้คุยกันให้ชัดไปเลยว่าแต่ละงานจะเอากี่เปอร์เซ็นต์
ถาม : อย่างนี้ไม่ผิดหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด..จะไปผิดอะไรเล่า? เราไม่ได้มาเอาเงินเพิ่มจากราชการ แต่ว่าเราแบ่งส่วนที่จะพึงได้ให้กับเขาไป
ถาม : แต่ถ้าเรามีการคุยกันก่อนว่า งานนี้ผมได้ คนนี้ก็จะไปกันคนอื่นครับ อย่างนี้ก็เหมือนกับไปกีดกัน
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของเขา
ถาม : ไม่เกี่ยวกับเราหรือครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกับเราสิ..ก็เขาทำ
ถาม : แต่เรามีส่วนรับรู้นะครับ
ตอบ : คุณก็อย่าไปสนใจตรงนั้น คุณคิดเสียว่าเขาอำนวยความสะดวกให้เรา แล้วคุณก็จ่ายค่าอำนวยความสะดวกให้เขา ลักษณะเดียวกับภรรยาของพรานกุกกุฏมิตร สามีจะทำอะไรก็แล้วแต่ ภรรยาไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ไม่ตามไปคิดด้วย ไม่สนใจ
ถาม : แล้วกรณีคนนี้อยู่ในราชการ กับไม่อยู่ในราชการนี่ ?
ตอบ : เหมือนกัน
ถาม : คือต้องรับผลไม่ต่างกัน ?
ตอบ : เขาเองรับแน่ ความซวยตกอยู่ที่เขาเอง
ถาม : กรณีนี้ถ้ามีอีกหนึ่งบริษัทเป็นตัวแทน เข้าไปจัดการเรื่องทุกอย่าง แต่ผมไม่ยุ่ง จะปลอดภัยสุดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ถ้าเราหางานได้ก็หาซับเอเยนต์ ถ้าอย่างนี้จะแน่นอน ปล่อยเขาไปรบราฆ่าฟันกันเอง ถึงเวลางานของเราได้กี่เปอร์เซ็นต์ เราก็เบิกตามนั้น จ่ายเขาให้ตรงก็แล้วกัน
ถาม : กรณีที่ว่าแข่งขันกันสี่ราย จะต้องไปเคาะราคากันสี่ราย แล้วปรากฏว่ามีการฮั้วกันในสี่ราย แล้วไม่ยอมไปเคาะ เราก็ไม่ให้ราคามันตก กรณีนี้ถือว่าผิดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด..เพราะอย่างน้อย ๆ ถ้าอยู่ในราคากลางก็ใช้ได้
ถาม : แต่มันคือการฮั้วนะครับ
ตอบ : ฮั้วก็จริง แต่เขาไม่ได้เสียอะไรเพิ่ม ยังอยู่ในงบคือจ่ายเท่าเดิม ในเมื่อนายจ้างไม่ได้เสียอะไร พวกนี้เขาตกลงกันเอง เอาแค่ไหนก็อย่าให้มากเกินงบไปแล้วกัน
ถาม : แล้วถ้าไม่มองว่า เป็นการประหยัดงบประมาณ
ตอบ : ใช่..แต่คุณอย่าลืมว่าราคากลางที่เขาตั้งมา ต่อให้เขาไม่ให้คุณ เขาก็ไปถลุงกันเอง
ถาม : แสดงว่าทั้งหมดที่พูดมานี่ในทางกรรม..
ตอบ : ไม่ผิดตรง ๆ ถ้าอยู่ในราคากลาง แล้วไม่มีการไปซิกแซกเอาเพิ่มเติมอะไร
ถาม : แล้วกรณีที่ผมพูดมานี่ ที่เขาทำผิด เขาต้องรับโทษอย่างไรในทางกรรม ?
ตอบ : มีนรกอยู่ขุมหนึ่ง รับพวกคอรัปชั่นโดยตรง
ถาม : อย่างนี้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ ปิสสกะปัพพตะนรก
ถาม : แล้วถ้าเขามาถาม ผมจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : บอกเขาว่าพยายามเจริญกรรมฐานให้อารมณ์ใจทรงตัวให้ได้ เวลาตายอย่าหลุดก็แล้วกัน
ถาม : อยากให้ช่วยอธิบายคำว่า แก่น กระพี้ เปลือกค่ะ
ตอบ : แก่นก็คือส่วนที่แข็งแกร่งที่สุด กระพี้คือส่วนที่หุ้มแก่นอยู่ เปลือกคือส่วนที่หุ้มทั้งกระพี้และแก่น ถ้าจะเอาแก่นธรรมจริง ๆ ก็ต้องเข้าถึงพร้อมทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าเอาแค่กระพี้ก็อาจจะได้แค่ศีล ถ้าเอาแค่เปลือกสะเก็ด ๆ ผิว ๆ ก็อาจจะประเภททำ ๆ เล่น ๆ อยู่แล้วก็ดันไปคุยว่าเราทำแล้ว เสียหายกับศาสนาอีกต่างหาก เพราะทำไม่จริงแล้วไปคุย
ไปดูในอุทุมพริกสูตร ท่านจะระบุไว้ชัดเลยว่า การเข้าถึงสะเก็ดของพระศาสนาเป็นอย่างไร ? เข้าถึงกระพี้เป็นอย่างไร ? เข้าถึงแก่นเป็นอย่างไร ? ไปค้นดูในอินเตอร์เน็ตก็ได้ พิมพ์คำว่าอุทุมพริกสูตร แล้วจะรู้ว่านิโครธปริพาชกเป็นพวกช่างถามแค่ไหน
ถาม : หลวงตาวัดเขาวง เขาส่งมาให้ถามท่านค่ะ
ตอบ : อ๋อ..พอหมดท่าเข้า ท่านก็โยนมาใช่ไหม ? สมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุง ถ้าเหลือกำลังหลวงพี่อาจินต์ก็จะไปที่หลวงตา ถ้าเหลือกำลังหลวงตา จะหล่นมาที่อาตมา ถ้าเหลือกำลังอาตมาก็แปลว่าไม่มีใครช่วยได้ แต่ยังไม่เคยเจอที่เหลือกำลังนะ แต่ว่ามีประเภทหนึ่งที่เข็นเกือบจะไม่ไหว บุคคลนั้นท่านเป็นพระ มาฝึกมโนมยิทธิได้ ๖ วัน วันนั้นวันที่ ๗ แล้ว หลวงพี่อาจินต์เอารถจี๊ปซูซูกิคาริเบียนของท่านมากับหลวงตา
มาถึงหน้าตึกริมน้ำก็เรียก “เฮ้ย...เล็กเว้ย ฝากเวรเขาไว้หน่อยสิ..ไปช่วยกันที” อาตมาก็ถามว่าอะไรกันนักหนา “กูเข็นกันมา ๖ วันแล้ว เอาไม่ไป” สอนมา ๖ วันแล้วนะ วันนั้นเป็นวันที่ ๗ ตามกติกาของวัดอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน ก็เลยต้องมาดึงอาตมาไป
ปรากฏว่าสอนอยู่ ๒ ชั่วโมง ท่านไปได้แค่จุฬามณี เพราะท่านต้องการรายละเอียดมากเป็นพิเศษ ขนาดบันไดเป็นอย่างไรท่านตามดูทีละขั้น ถึงได้เข้าใจที่หลวงพ่อท่านบอกว่า บุคคลที่เป็นคนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ถ้าหลุดมาถึงมือเรา จะเหมือนกับเข็นเรือทรายบนบก คือเข็นกันจนหมดเรี่ยวหมดแรงก็ไม่อยากจะขยับ
อาตมาสอนท่านได้แค่นั้นก็หมดแรงหงายแผ่เหมือนกัน ได้แต่เรียนท่านไปว่า “วิธีการเดียวกันนี่แหละขอรับพระคุณท่าน ถึงเวลากลับวัดแล้วก็ไปปฏิบัติซักซ้อมเอง แล้วความคล่องตัวจะเกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่ต้องเสียเวลารอครู พิจารณาตัดร่างกายเสร็จก็ไปได้เลย” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้ท่านไปถึงไหนแล้ว อาจจะยังวน ๆ อยู่แถวจุฬามณีก็ได้ เพราะยังสำรวจไม่ทั่ว
ถาม : ช่วยอธิบายศีลข้อสามอย่างละเอียดหน่อยค่ะ
ตอบ : ท่านบอกไว้ถึงขนาดว่าบุคคลมีพ่อปกครอง มีแม่ปกครอง มีพี่ปกครอง มีน้องปกครอง มีญาติปกครอง มีพระราชาปกครอง ก็คือมีกฎหมายคุ้มครอง บุคคลอันผู้อื่นจองแล้วด้วยพวงมาลัย คือมีคู่หมั้น แล้วท้ายสุดบุคคลอันมีธรรมปกครอง คลุมทุกสภาพเลย เพราะฉะนั้น..ละเมิดเมื่อไรก็ผิดเมื่อนั้น
มีอยู่ทางเดียวคือทำให้ถูกต้อง อาตมายังชื่นชมว่าคนโบราณเขาเก่ง เก่งตรงที่ว่าถึงเวลาก็ฉุดกันไป พากันหนี แต่พอท้องมาสัก ๗-๘ เดือน หรือคลอดลูกมาสักคนสองคนก็กลับมาขอขมา ก็จบ บางทีพ่อตาแม่ยายงอนด้วย ไม่ยอมรับการขอขมา ขึ้นบ้านมาจะยิงให้ตกบันไดเลย ปรากฏว่าเจอลูกเขยมีนะเมตตาขึ้นมา ยิงไม่ลงอีก เพราะเล่นอุ้มหลานมาด้วย แล้วก็สอนกันมาดีเหลือเกิน สอนให้เรียกตาจ๋า..ยายจ๋า..มาแต่ไกลเลย เสร็จเขา..ต้องรับขอขมาแต่โดยดี เรียกว่าฝึกมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ
ถ้าผิดก็แก้ให้ถูก จดทะเบียนใช้ไม่ได้นะ เพราะว่าเขามีเจ้าของ ต้องขออนุญาต สมัยนี้คิดว่าจดทะเบียนสมรสก็จบแล้ว นั่นจบแค่ทางโลก ทางธรรมยังไม่จบ แต่ว่าเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมามีข่าวครูพละกับลูกศิษย์ นั่นไม่ใช่เขาพรากผู้เยาว์นะ เด็กเขาตามไปเอง แล้วพอครูโดนจับ ครูเขาคงอายเลยผูกคอตาย เด็กก็ผูกคอตายตามไปด้วย นั่นเขารักกันจริง
ถาม : ครูอายุตั้ง ๕๐ กว่าแล้วค่ะ
ตอบ : ความรักมีพรมแดนเสียเมื่อไรเล่า โบราณท่านว่า
รักกันสุดขอบฟ้า................เขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียว............ร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียว...............ตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้อง..........ป่าไม้มาบัง
อยู่ติด ๆ กันแค่ตาเห็น แต่เชิดใส่ หันหลังให้กัน ก็เหมือนกับมีป่ามาขวางอยู่ตรงหน้า
ถาม : ในทางธรรมแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าเขาเป็นคู่กัน?
ตอบ : เนื้อคู่มีบุพเพสันนิวาส คือเนื่องกันมาแต่อดีต แล้วก็มีเกื้อกูลกันในปัจจุบัน จนเห็นใจกันแต่งงานกัน ถ้าหมอดูคนไหนบอกไม่มีเนื้อคู่ ไม่ต้องไปเชื่อ ถ้าอดีตไม่มีเราหาเอาในปัจจุบันก็ได้
ชื่นชมที่สุดคือคุณสมศรี สมศรีบวชชีอยู่ที่วัดท่าขนุน น้ำหนักเขาร้อยกว่ากิโลกรัม วันนั้นสมศรีขอสึก อาตมาบอกว่า "ยายศรี..แกจะสึกไปทำไม ? หุ่นอย่างนี้จะมีใครเอาไปทำเมีย" ยายศรีบอกว่า "แค่ผู้ชาย...สบายมากอาจารย์ ออกไปเดินวนรอบตลาดรอบเดียวก็ได้แล้ว" ยายศรีหายไปชั่วโมงหนึ่ง กลับมามีผู้ชายตามมาจริง ๆ เขาทำได้จนอาตมาทึ่ง นี่ถ้ารู้จักกันมาก่อนหน้านี้ อาตมาก็คงไม่บวชหรอก จะขอลองใช้วิธีของเขาหน่อย ไม่รู้ทำอีท่าไหน เก่งจริง ๆ..!
ถาม : คนที่เหลือจากสมเด็จองค์ปัจจุบัน ทำไมถึงเข็นยากนักละคะ ?
ตอบ : ก็เพราะเหลือจากท่านแล้ว ขนาดท่านยังเข็นไม่ไปแล้วใครจะไปเข็นไหวเล่า ?
ถาม : แล้วมีที่เหลือจากองค์ก่อน ๆ อีกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่รู้ว่าเหลือหรือเปล่า ? แต่ถ้าเหลือก็กรุณาอย่าเลี้ยวมาทางนี้เลย ส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้ขึ้นมา ไม่หนาวหรอก..อบอุ่น ที่เขาอยู่อบอุ่นจะตาย มีเครื่องทำความร้อนประจำเลย ไม่ต้องเสียค่าไฟด้วย
ถาม : การที่ใครจะเกี่ยวเนื่องกับองค์ไหนนี่เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : สร้างบารมีตามกันมา อธิษฐานตามกันมา ถ้าตะเกียกตะกายไปไม่ถึง เจอใครก็ต้องยึดไว้ก่อน มีโอกาสถ้าท่านเห็นว่าวาระสมควรแล้ว เป็นดอกบัวพ้นน้ำกระทบแสงเมื่อไรก็พร้อมจะบานแล้ว ก็คงลงมาสงเคราะห์เอง หรือไม่ก็สะกิดท่านใดที่เหมาะสมในตอนนั้น ฝากคนนี้ให้ช่วยดูแลด้วย
ถาม : กรณีที่วงสมาธิแคบ ขึ้นไปแล้วเห็นได้เฉพาะจุด ถ้าเราจะให้เห็นได้กว้าง ๆ นี่คือต้องตั้งจิตอธิษฐานหรือคะ ?
ตอบ : ต้องขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ กำลังของท่านจะช่วยได้ ลำพังความสามารถของเราเห็นแค่นั้นก็ดีตายชักแล้ว
ถาม : ไม่ต้องไปพยายามฝึกให้กว้างขึ้นหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้รู้เห็นสภาพในบริเวณนั้นได้ชัดเจนตามความเป็นจริง พอวงสมาธิขยายขึ้น เราก็อาจจะช็อกตาค้าง เพราะเดินเหยียบปู่ย่าตายายไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้..!
ถาม : ผมปฏิบัติกรรมฐานครับ แต่แล้วกลายเป็นว่า ๒ คน คนหนึ่งหูหนวก คนหนึ่งตาบอด เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : สร้างมาไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมาทางทิพจักขุ คนหนึ่งมาทางทิพโสต
ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงรุ่นเก่าคือ คุณบุญถึง เป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันที่มโนรมย์ พระธาตุเสด็จคุณบุญถึงก็ได้ยิน หลวงพ่อไปด้วยกายใน สวดมนต์ให้บ้านงานเขา แกก็ได้ยิน แต่แกมองไม่เห็น
หลวงพ่อลักษณ์ วัดศรีรัตนารามชี้บอก "คุณบุญถึง..เห็นไหมอาจารย์คุณนั่งเคี้ยวหมากอยู่นั่น ?" คุณบุญถึงมองไม่เห็น เห็นแต่อาสนะเปล่า ๆ ทุกคนก็เห็นแต่อาสนะเปล่า ๆ แต่บุญถึงได้ยินเสียงหลวงพ่อตอนสวดมนต์ร่วมกับคนอื่น แกจำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงพ่อ
ถ้าถนัดทิพจักขุมาก็จะเห็น ถนัดทิพโสตมาก็จะได้ยิน ฉะนั้น..สองคนต้องไปด้วยกัน จะได้สมบูรณ์
ถาม : แล้วเมื่อไรจะได้ยิน หรือยังไม่ถึงเวลา ?
ตอบ : รอเวลา..ถ้าอภิญญาเต็มที่ก็จะได้ครบ ถ้ายังไม่เต็มที่ ก็เอาที่ตัวเองถนัดไปก่อน หรือไม่ก็ซื้อ iPad เพราะใช้ได้ทุกอย่าง เห็นด้วยได้ยินด้วย..!
พระอาจารย์แจ้งว่า "กฐินวัดท่าขนุนปีนี้ตรงกับวันที่ ๒๓ ตุลาคม ถวายกฐินเวลาบ่ายโมง และจะเป็นเวลาบ่ายโมงไปเรื่อย ๆ ทุกปี เนื่องจากตอนบ่ายเราไม่ต้องไปเกาะพระฤๅษีแล้ว ให้เขามารับพร้อมกันที่วัดท่าขนุนเลย เป็นอย่างนี้สัก ๒-๓ ปีเดี๋ยวก็ชินกันไปเอง แต่ว่าคงจะเปลืองน่าดูเลย เพราะกว่าจะถึงเวลาบ่ายนี่มีเวลากินอีกเยอะ โรงทานจะเดือดร้อน..!
โดยเฉพาะพวกมอญพม่า พอถึงเวลาประกาศว่ามีงานวัดท่าขนุนนี่ เขาล้างท้องรอไว้เลย หอบลูกจูงหลานมา มีกี่คนกินกระจาย แล้วขนทุกอย่างกลับ แม่ชีเขามักโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ อาตมาก็บอกแม่ชีว่า ไปโกรธเขาทำไม ในเมื่อเราตั้งใจเลี้ยงเขา เขาอุตส่าห์มากินให้ก็ถือว่าเขามีบุญคุณแล้ว..!
แต่บางทีเราเลี้ยงโต๊ะจีนแล้วเหลือ ๑๐ กว่าตัว แม่ชีก็เก็บกับข้าวไว้ ตั้งใจจะเลี้ยงพระวันรุ่งขึ้น พอเทใส่หม้อไว้เสร็จสรรพ หันกลับมาหายไปทั้งหม้อ เขายกหม้อไปด้วย..!
กฐินปีนี้ ๒๓ ตุลาคม แต่ปีหน้าไม่สามารถจะเป็นวันที่ ๒๓ ตุลาคมได้ เพราะมีเดือน ๘ สองหน แล้วเข้าพรรษาช้ามาก ปีหน้าเข้าพรรษาวันที่ ๒ สิงหาคม ตั้งแต่อาตมาบวชมาจนป่านนี้จะ ๓๐ ปีแล้ว เคยเข้าพรรษาเดือนสิงหาคมแค่ครั้งเดียว ปีหน้าจะเป็นครั้งที่ ๒ นาน ๆ ทีจะเลื่อนไปได้ขนาดนั้น ก็แปลว่าจะไปออกพรรษาราว ๆ เดือนพฤศจิกายน เลย ๒๓ ตุลาคมไปตั้งนาน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอปรึกษาพวกเราอย่างหนึ่งว่า ตอนแรกตั้งใจไว้เรื่องของการช่วยงานวัดอื่นในลักษณะกฐินปลดหนี้ จะไปให้ได้ทุกภาค แต่ปรากฏว่ามีหลายแห่งที่เราไม่ต้องช่วยเขาก็อยู่ได้ เพราะฉะนั้น..เราไม่จำเป็นต้องไปทุกภาค แต่เลือกเอาเฉพาะท่านที่เดือดร้อนจะดีกว่าไหม ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น ปีหน้าจะได้ไปวัดครูบาเหนือชัยก่อน เพราะว่างานท่านสาหัสจริง ๆ อาตมาไปแต่ละทีต้องหอบเงินไปให้ท่านเป็นมัด ๆ เมื่อวันก่อนที่ไปก็เหมือนกัน ท่านไปรับซองของครูบาบุญยัง อาตมาก็บอกว่า "เฮ้ย ๆ ทางนี้ไม่ใช่ซอง นี่กระสอบ..!"
ท่านต้องวางพระลูกศิษย์ไว้เป็นจุด ๆ ตามแนวชายแดน ป้องกันไม่ให้พวกคริสต์เข้าไป แต่ละจุดเข้าไปถึงยากมาก ถ้าไม่มีอาคารถาวร คนเขาไม่เห็นเป็นวัดเป็นวาก็จะไม่ไป จึงจำเป็นต้องมีตัวอาคารด้วย งานของท่านก็เลยต้องใช้เงินเยอะมาก
ถึงแม้ท่านจะมีชื่อเสียงมากกว่าอาตมา ต้องใช้คำนี้นะ มีชื่อเสียงมากกว่า แต่ว่าคณะญาติโยมที่ไปทำบุญนั่นไม่ใช่นักบุญอย่างพวกเรา อย่างพวกเราจะมากจะน้อยเราแย่งกันทำบุญ แต่ของเขาไม่ใช่ สังเกตไหม ใครไปงานนิโรธกรรม ถ้าอาจารย์เล็กไม่ไปด้วย งานท่านจะเฉา แทบจะไม่มีคนไปทำบุญเลย
เอาเป็นว่าไปช่วยกันหน่อย แล้วปีถัดไปก็วน ๆ หาพระพี่พระน้องที่เขาเดือดร้อนกัน คือเอาท่านที่ได้ประโยชน์จริง ๆ จะดีกว่า"
"อย่างจะไปช่วยหลวงพ่อหนุนหรือ ? ชื่อเสียงท่านก็ดังคับภาคอีสานอยู่แล้ว มีคนช่วยเหลือเต็มที่อยู่แล้ว ถ้ายิ่งจะไปช่วยหลวงพ่อมนัสนี่ไม่ต้องเลย ท่านดังระดับชาติไปตั้งนานแล้ว
เอาตามนี้นะ..เขาเดือดร้อนที่ไหนก็ไปตรงนั้น จะได้วนไปหาหลวงพ่อสิงห์เร็วหน่อย ตอนนี้หลวงพ่อสิงห์จ้างช่างมาทำโบสถ์ เขาขอค่าแรงเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท แต่ว่าฝีมือเขาได้อย่างใจ ตุ๊ป้อก็เลยยอม เฉพาะหัวหน้าช่างคนเดียวนะ ๕๐,๐๐๐ บาท
นี่ยังดีกว่าที่วัดท่าขนุน วัดท่าขนุนวันก่อนเขามาเบิก ๒,๖๘๘,๕๐๐ บาท เฉพาะค่าแรงทำโครงหลังคาอย่างเดียว ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท วัสดุทุกอย่างเป็นของเรานะ นั่นค่าแรงอย่างเดียว เพราะว่าการที่จะดัดเหล็กให้เป็นหลังคาทรงไทยแล้วได้รูปนี่ทำยากมาก มีช่างไม่กี่คนที่จะมีความสามารถพิเศษที่ทำได้สวย นอกจากนั้นที่เขาทำสักแต่ว่าเป็นรูปเท่านั้น
จะสังเกตเห็นว่าหลังคาทรงไทยจริง ๆ จะแอ่นโค้งสวยมาก ถ้าหากว่าฝีมือไม่ถึงแล้วเหล็กแข็ง ๆ ทั้งดุ้น เราทำอย่างไรจะให้เป็นได้ อยากได้ของสวยเราก็ต้องยอมให้เขา
ท่านเจ้าคุณปัญญา (พระราชวิสุทธิเมธี)ถามว่า “อาจารย์เล็ก แบบนั้นหลังละเท่าไร ?” อาตมากราบเรียนว่า “ไม่เคยตกลงราคากันครับ ทำเสร็จแล้วเขาเบิกเท่าไร ผมก็ให้เท่านั้น” ท่านเจ้าคุณปัญญากลืนน้ำลายเอื๊อก บอกว่า "สงสัยจะมีอาจารย์เล็กคนเดียวที่จ่ายไหว"
"น่าเห็นใจตรงที่ว่า บางทีช่างเขาตีราคาไปแล้ววัสดุขึ้นราคา เขาก็จะขาดทุนกำไร ถ้าหากว่าวัสดุขึ้นราคาแล้วยังมีปัญหาอื่นอีก อย่างเช่นว่าฝนตกทำงานไม่ได้ เท่ากับกินค่าแรงตัวเองไปเรื่อย แล้วท้ายสุดก็จะขาดทุน
มีหลายต่อหลายงานที่เขารับแล้วเขาขาดทุน เขาก็เลยทำงานกับอาตมาด้วยความสบายใจมา ๓ ปีกว่าแล้ว ไม่ต้องไปไหนเลย ทำไปเรื่อย ๆ เบิกเท่าไรเอาไปแค่นั้น คือเขาเป็นช่างที่ทำงานแล้วไม่ต้องไปคุม สั่งเสร็จเป็นอันว่าดีแน่
ส่วนอาตมาก็ไม่เดือดร้อน พอถึงเวลาจะจ่ายเงินก็ระดมจากโยม ประกาศลงเว็บวัดท่าขนุน ต้องการใช้เงินด่วน..!"
"เดือนที่แล้วทำพระปิดตารุ่น ๒ ที่จะพุทธาภิเษกวันเป่ายันต์ปีหน้า ต้องใส่ทองไปองค์ละตั้ง ๔ บาท ช่างคำนวณมาได้ว่า ๓.๕๐ บาท ตูเกือบสลบ..! เอาทองไป ๕๔ บาท ได้มา ๑๑ องค์ครึ่ง..! ท้ายสุดต้องหาทองไปเพิ่มให้ได้อีกครึ่งองค์
การหล่อพระทุกครั้ง ถ้าจะทำเป็นทองให้ใช้ทองแท่งเพราะว่าทองรูปพรรณจะสูญเสียประมาณ ๑๐-๑๕ % บางรายที่ไร้ศีลไร้ธรรมอาจจะสูญเสียถึง ๓๐ % เพราะเขาผสมโลหะอื่นมาเยอะ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พวกร้านทองผสมมาก ถึงขนาดเหลือเปอร์เซ็นต์ทองประมาณ ๖๐ กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง จนกระทั่งสมาคมผู้ค้าทองกับ สคบ.ต้องยื่นมือเข้ามา ไม่อย่างนั้นเขาคิดจะโกยกำไรอย่างเดียว
และอาตมาก็ดวงเศรษฐี ซื้อทองตอนราคา ๒๗,๒๐๐ บาท คุยได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่มีใครซื้อแพงกว่านี้อีกแล้ว เนื้อเงินรุ่นนั้นก็กิโลกรัมละ ๔๕,๐๐๐ บาท ภูมิใจมาก เป็นพระมหาเศรษฐีจริง ๆ..! แต่ก็ดีนะเพราะอาตมาจ่ายคนเดียว คนอื่นเขารอลุ้นบูชาตอนประกาศออกเว็บ
รุ่นนี้ทำน้อย ทุกเนื้อทำเต็มที่แค่ ๑,๐๐๐ องค์เท่านั้น เพราะว่าสู้ราคาวัสดุไม่ไหว อย่างพระเนื้อเมฆสิทธิ์มีส่วนผสมของทองจะเป็นสีเขียวเหลือบทอง คือเขียวเหลือง แล้วเมฆพัตรนี่จะเป็นน้ำเงินเหลือบเงิน เพราะว่าส่วนผสมหลัก ๆ ก็จะมีเงิน มีพลวง มีสังกะสี มีทองแดง ฯลฯ คราวนี้มีส่วนผสมทองก็สะดุ้งสิ เพราะฉะนั้น..เมฆสิทธิ์รุ่นนี้จะสีเหมือนเมฆพัตรมากกว่า เพราะไม่กล้าใส่ทองมาก
นวโลหะรุ่นนี้ก็ใส่แค่ ๙ บาทตามสูตรจริง ๆ รุ่น ๑ ที่เป็นพระปิดตาองค์เล็กนั่น อาตมาใส่ทองไป ๑๐๐ บาท..! ตอนช่วงนั้นทองบาทละแค่ ๑๒,๐๐๐-๑๓,๐๐๐ บาท อาตมาก็ใจป้ำ ทำทั้งทีเอาให้ดีไปเลย จึงใส่ลงไปตั้ง ๑๐๐ บาท เล่นเอาช่างตกใจ เทเสร็จนี่เขาเก็บเศษทุกชิ้นคืนมาหมดเลย กลัวจะไปปนกับของคนอื่นเขา"
ถาม : ตามสูตรนี่เอามาจากที่ไหนคะ ?
ตอบ : สมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์ แต่ท่านยืนยันว่า ตำรานี้สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สืบทอดมาถึงพระพุฒาจารย์(มา) วัดสามปลื้ม มาสมเด็จพระวันรัตน์(แดง) วัดพระเชตุพนฯ แล้วก็มาสมเด็จพระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคไอที สูตรจึงแพร่กระจายไปหมด ไม่เป็นความลับอีกแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่มีเงินเหลือเฟือสัก ๘๔,๐๐๐ บาท เก็บ ๆ เอาไว้หน่อยนะ เพราะว่าอาตมากำลังทำวัตถุมงคลชิ้นหนึ่ง เป็นที่ระลึกในหลวง ๘๔ พรรษา ก็เลยทำแค่ ๘๔ ชิ้นเท่านั้น ทำจากโลหะผสม อาตมาจะใช้โลหะอาถรรพ์ทุกอย่างที่เก็บเอาไว้ลงทีเดียวหมดเลย ไม่ว่าจะปรอทเงิน ปรอททอง พญาเหล็กสีเงินยวง สีปีกแมลงทับ สีปีกแมลงภู่อะไรก็ใส่ลงไปทีเดียวหมด
ช่างที่ขึ้นรูปวัตถุมงคลก็ถือว่าเป็นช่างที่ได้รับการยอมรับฝีมือในระดับประเทศ ส่วนท่านที่ทำหน้าที่หล่อนี้ วงการโลหะศาสตร์ของโลกยอมรับว่าเขาเป็น ๑ ใน ๑๐ ของสุดยอดนักโลหะ ที่ต้องการระดับนั้นเพราะกลัวว่า เขาจะไม่สามารถหลอมโลหะเราทุกอย่างให้เข้ากันได้
ทำแค่ ๘๔ ชิ้น คิดชิ้นละ ๘๔,๐๐๐ บาท หลาย ๆ คนรวมกันเอาไปชิ้นหนึ่งก็ได้ ทุกอย่างที่ทำออกมาจะทำให้ดูดีสมพระเกียรติที่สุด ดูแล้วก็ได้แต่ชื่นชมน้ำลายหก แตะไม่ถึง ยกเว้นว่าใครไม่กลัวกินแกลบก็ได้
นับเป็นการลงทุนมหาศาลแต่ทำงานชิ้นน้อยมาก จนกระทั่งช่างเขายังถามว่าเอาจริงหรือ ? จริงสิ..จะทำมากไปทำไมเล่า ทำน้อย ๆ ให้เขาแย่งกันดีกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก ของเรามีน้อยด้วย ทำมาก ๆ แล้วจะไปหาโลหะผสมได้สักเท่าไร"
ถาม : ออกเมื่อไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะออกภายในสิ้นปีนี้ ถ้าใครไปงานที่วัดสระพังจะเห็นอาตมาถืออยู่ เท่าของจริงทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ต้องจองหรอก ๘๔ เล่มนี่หาคนจองยากเพราะราคาแพงมาก กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะใส่ทองเท่าไรดี
ถาม : เอาเยอะ ๆ ครับ
ตอบ : เข้าใจยุนะ ให้อาจารย์เจ๊งไปก็แล้วกัน เพราะก็ราคานั้นแหละไม่ได้เพิ่มขึ้นสักบาท ตอนนี้ที่แน่ ๆ ก็คือ ใส่ตะกรุดมหาสะท้อนกับตะกรุดโสฬสลงแน่ ๆ ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ๑ ดอก หลวงปู่เนียม วัดน้อย ๑ ดอก เสียดาย..เราควรจะตะไบให้ไปหน่อยหนึ่งก็พอ นี่ดันให้เขาไปทั้งดอกเลย..!
ถาม : มีเรื่องกราบเรียนครับ ผมเห็นนิมิตว่าตอนที่ไปใต้มีระเบิดตูมขึ้นมา
ตอบ : ไม่ต้องห่วงโดนแน่..!
ถาม : แล้วเห็นเหมือนเขายิงเข็มสีดำมาเต็มท้องฟ้าเลยครับ
ตอบ : อาตมาก็มั่นใจว่าโดนแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ชวนพวกเราไปกันแบบนี้..! เขารู้กำหนดการล่วงหน้าเป็นเวลานาน ถ้าใครยังไม่ได้ทำประกันชีวิตทำไว้เยอะ ๆ เลยนะ ถ้ามีชิ้นส่วนอะไรที่เก็บกลับมาได้ อาตมาจะเก็บกลับมาให้ คราวนี้จะได้รู้ว่าวัตถุมงคลของใครเจ๋งจริง แล้วก็จะได้รู้ว่ากลัวตายหรือเปล่า ? ระเบิดนี่เหนียวแค่ไหนก็ตายเพราะแรงอัด..!
เรื่องของความตายอาตมากลืนลงท้องไปนานแล้ว จริง ๆ แล้วความตายเป็นแค่การเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปเท่านั้นเอง เหมือนกับรถยนต์ ถ้าพังไปเราก็ไปหารถคันใหม่ต่อ อย่างอาตมานี่ถ้าได้รถคันใหม่ก็คงจะหรูระดับเบนซ์หรือบีเอ็มฯ เป็นอย่างน้อย อาจจะเล่นเครื่องบินส่วนตัวไปเลย
เรื่องของระเบิดไม่น่ากลัวเท่าไสยศาสตร์ แต่จากที่เคยผจญมา ไสยศาสตร์อิสลามนี่อนุบาลมาก คือพวกมือแน่ ๆ นี่แค่เราเดินผ่านเขาก็เจ๊งแล้ว แต่ไสยศาสตร์อิสลามดังเพราะว่าส่วนใหญ่เขาทำให้กิน พอเข้าไปเป็นเลือดเป็นเนื้อแล้วจะถอนได้ยาก
ถาม : เดินผ่านแล้วเสื่อมเลยนี่เป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : เหมือนกับแสงสว่างผ่านเข้าไป ความมืดก็หายไปแล้ว
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมอยู่คนหนึ่งเล่นพระมาตลอดชีวิต เขาเป็นคนรักพระมาก ได้มากี่องค์ก็ต้องเลี่ยมทอง ท้ายสุดยกเป็นมรดกให้ลูกชาย แต่ลูกชายไม่เห็นคุณค่า พอดีมีความจำเป็นต้องการเงินไปลงทุน ลูกชายก็เลยเอาพระไปให้เซียนพระตีราคา กลับมาบอกพ่อว่า “พ่อ ๆ พระของพ่อปลอมทุกองค์เลย” พ่อก็บอกว่า "อ้าว..ไหนบอกว่าจะเอาไปปล่อยในสนาม เอาเงินไปลงทุน" ลูกชายบอกว่า “ไม่เป็นไรพ่อ เงินได้แล้ว” ถามว่าเอ็งเอามาจากไหน “ขายกรอบพระของพ่อ”
พ่อเขาเลี่ยมทองทุกองค์เลย ไม่น่าเชื่อจะเลี่ยมได้เยอะขนาดนั้น คงจะเลี่ยมตั้งแต่สมัยทองบาทละ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ แล้วมาปล่อยสมัยบาทหนึ่งเป็นหมื่น ต้องการเงินไปลงทุนนี่แกะกรอบพระ ๓๐๐-๔๐๐ องค์ขายนี่พอเลย พระจะปลอมก็ปลอมไป แต่ทองไม่ได้ปลอมด้วย"
ถาม : หนูไปที่นครพนม ผ่านวัดหนึ่งเป็นวัดที่ร่มรื่นมาก ๆ รู้สึกมีเทวดาเหมือนตอนไปบึงลับแล แต่รู้สึกว่าเขาเป็นอดีตเจ้ากรรมนายเวร เหมือนกับเขาจะมาจ้องทำร้ายเรา หนูกลัวว่าจะคิดไปเอง
ตอบ : ดินแดนแถบนั้นเป็นเขตอำนาจของลาวมาก่อน แล้วลาวเขาไม่ชอบหน้าไทย พอ ๆ กับที่ไทยไม่ชอบหน้าพม่า เพราะเราเคยไปตี ไปเผาบ้านเผาเมืองเขาจนยับเยิน แล้วยึดเอาพระพุทธรูปสำคัญของเขามาเกลี้ยงเลย เพราะฉะนั้น..ท่านเหล่านี้ก็ยังจำเราได้
อาตมาเองเข้าไปในพระราชวังมันฑะเลย์ โดนเล่นงานเสียปางตาย พลังงานอัดเข้ามาทุกทิศทุกทาง ชนิดที่แทบจะกระดิกไม่ออก ต้องใช้วิธีดื้อ ดันเข้าไปเรื่อย ๆ บอกเขาว่า นี่เรื่องของคนละชาติคนละภพกันแล้ว ยุคนี้สมัยนี้ก็ไม่ได้รบราฆ่าฟันกันแล้ว จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกันนักหนา
เขาเองก็ยังระแวง เพราะเขายังจำได้ว่านี่คือศัตรู แล้วดันบุกเข้ามาในวังหลวงด้วย เขาก็เลยต้องตามประกบทุกฝีก้าว ปรากฏว่าพอพ้นออกมา พลังคลายออก เขาไม่ยุ่งด้วยแล้ว เล่นเอาอาตมาเดินไม่เป็นเลย คือจากที่ต้องทุ่มแรงเต็มที่แล้วเดินได้ กลายเป็นทุ่มไปแล้วไม่เจออะไร เดินเป๋ไป ๗-๘ ก้าวเลย เพราะฉะนั้น..ไม่แปลกหรอกถ้าไปเจอแบบเดียวกัน
ถาม : ถ้าหนูไปตามเมืองชายแดนแม่น้ำโขง หนูก็จะเจอแบบนี้เรื่อย ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ไม่แน่..อาจจะเจอพวกเยอะก็ได้ เพราะแถวลุ่มแม่น้ำโขง พวกเก่าเราก็เยอะ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ใกล้แม่น้ำ
ถาม : ผมเป็นอิสลามครับ จะถามว่าเรื่องการตัดร่างกายเวลาจะไปด้วยมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังนี่ เป็นการปลงอสุภะใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่แต่ก็คล้ายกัน..คือต้องพิจารณาให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ร่างกายเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง เราเป็นแค่คนขับรถเท่านั้น ถึงเวลาพอรถยนต์นั้นพัง เราก็ทิ้งรถไปหาคันใหม่ได้
ดังนั้น..ต้องเห็นให้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย คล้ายกับการปลงอสุภะ ถ้าเราพิจารณาจนเห็นชัดว่าไม่ใช่ของเรา สภาพจิตจะไม่โดนดึงรั้งไว้ ก็จะไปได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยความที่จิตยังหวงร่างกายอยู่ ก็จะออกไปไม่ได้ หรือไม่ก็ออกไปแล้วก็มืดมัว มองอะไรไม่ชัดเจน
ถาม : แล้วอาการสั่นก็จะหายไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาการสั่น ถ้าเป็นตัวปีติเราต้องปล่อยให้เกิดเต็มที่ แต่ถ้าหากว่าเป็นกำลังที่จะออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าเราไม่ยึดถือร่างกายก็จะไปได้เลย แต่ถ้าหากว่าเรากลัว ๆ กล้า ๆ ก็ยังไปไม่ได้ แต่กำลังเราพอก็จะดันให้ไป เราก็ทั้งสั่นทั้งดิ้น
ถาม : แล้วจะทราบได้อย่างไรครับ ว่าเป็นอาการปีติหรือจะไปเต็มกำลัง ?
ตอบ : ทำถึงจริง ๆ ก็จะรู้เอง
ถาม : วิธีการฝึกเจโตปริยญาณต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือทิพจักขุญาณ คือตัวมโนมยิทธินั่นเอง แต่ว่าใช้ในการดูจิตดูใจของคนอื่น ว่าตอนนี้เขาคิดอะไร เขาจะพูดอะไร จะทำอะไร แต่ถ้าดูแบบนี้ประโยชน์จะมีน้อย
ที่สำคัญก็คือให้ดูใจตัวเองว่า ตอนนี้มีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่หรือเปล่า ? ถ้าหากมีก็ขับไล่ออกไป แล้วระวังไว้อย่าให้เข้ามา แล้วเรามีความดีอยู่หรือเปล่า ? ถ้าไม่มีก็สร้างให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็รักษาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้น..อย่าไปใช้ผิด รู้ใจคนอื่นอย่างเก่งก็แค่ตื่นเต้น แต่ไม่ได้ช่วยให้ตัดกิเลสเลย
ถาม : แต่ถ้าฝึกลักษณะนี้ก็จะตรวจสอบยากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำจริง ถึงเวลาเป็นก็จะรู้เอง
ถาม : ตอนนี้ผมฝึกทรงอารมณ์สมาธิให้เป็นปกติ ก็คือรู้ลมหายใจตลอดเวลา
ตอบ : ควรทำ อย่าเผลอหลุด หลุดเมื่อไรมีหวังถูกรัก โลภ โกรธ หลง ตีหงายท้องเลย..!
ถาม : คราวนี้เวลาเผลอ จิตเหมือนจะดึงกลับมาภาวนาเอง
ตอบ : จิตเคยชินกับทางไหนก็ไปทางนั้น ก่อนหน้านี้เราชินกับรัก โลภ โกรธ หลง ถึงเวลาใจก็ไปรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าใจเคยชินกับความดีก็จะไปกับความดี ทำแล้วรักษาให้ได้ ถ้าทำแล้วรักษาไม่ได้ ก็เสียเวลาเปล่า
ถาม : อารมณ์ของพระโสดาบันเป็นอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : มีความรักพระนิพพานแน่นแฟ้นอยู่ในใจ ไม่คลอนคลายด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง แม้ด้วยเหตุแห่งชีวิตท่านก็เลือกพระนิพพานมากกว่า
ถาม : แล้วที่บอกว่าถ้าเป็นพระโสดาบันยังจะต้องมาเกิดอีก ๓ ชาติ ๗ ชาตินี่หมายถึงอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่ำสุดก็เป็นอย่างนั้นแหละ ยิ่งสูงขึ้นไป รัก โลภ โกรธ หลงยิ่งเบาลง การเกิดก็เกิดน้อยลงเป็นปกติ การเกิดของท่านเกิดแล้วมีจุดจบ ขณะที่ปุถุชนทั่ว ๆ ไปเกิดแล้วไม่จบ
ถาม : พระโสดาบันที่ท่านเกาะนิพพานอยู่ได้ตลอดเวลา เวลาตายท่านก็ไม่ได้ไปพระนิพพานหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาก็ไปนิพพานกันเลย
ถาม : ไม่ต้องมาเกิดอีก ๗ ชาติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าฉลาดน้อยก็เกิดใหม่ ถ้าฉลาดมากตัดก่อนตายก็ไปได้เลย
ถาม : ตำราอื่นที่เขาบอกไม่เห็นตรงกัน ตรงที่บอกว่าจิตเกาะพระนิพพานเลย
ตอบ : ก็ลองเป็นพระโสดาบันดูสิ เป็นแล้วหายสงสัยเอง..!
ถาม : หากมีพระภิกษุท่านหนึ่ง นำเงินที่ญาติโยมเขาถวายไปทำประกันชีวิต โดยที่เห็นว่าอนาคตจะเอาเงินนี้มาบูรณะซ่อมแซมวิหารจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้..ยกเว้นเขาถวายเป็นเงินส่วนตัว ถ้าคุณเล่นไปประกันอนาคตแบบนั้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะตายก่อนหรือเปล่า ?
ถาม : แล้วถ้าตั้งใจว่าถ้าตายก็จะนำเงินส่วนนี้ถวายวัดเหมือนกัน ?
ตอบ : ไม่ทันหรอก..จะซวยซะก่อน ภิกษุห้ามสะสมเงินโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
ถาม : ในเรื่องของการสะสมเงินของพระภิกษุ มีคนเขาบอกว่าถ้ามีคนเขาบริจาค พระภิกษุท่านต้องเอาเงินไปฝากที่ธนาคาร เพราะฉะนั้น..การซื้อประกันชีวิตไว้จะต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : เจตนาคนละอย่าง ประกันชีวิตนี่เราตั้งใจเอาประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของพระ แต่ว่าการไปฝากธนาคารนี่ประโยชน์ที่เราได้รับเป็นไปตามกฎกติกา เราไม่ได้ไปเรียกร้องอะไร ถ้าเป็นอาตมานี่ไม่เหลือฝากหรอก ใช้ก่อสร้างและทำงานสาธารณประโยชน์จนหมด
ถาม : ในกรณีที่โยมซื้อประกันชีวิตถวายให้พระ ?
ตอบ : ถ้าโยมซื้อถวายไม่เป็นไร แต่พระอย่าไปซื้อเอง อาตมาก็ยังมีอยู่ ๒ กรมธรรม์ โยมเขาถวาย มีประกันสุขภาพกับประกันอุบัติเหตุ ไม่มีหรอกประเภทสะสมเผื่อรวยตอนอายุ ๖๐ แบบที่คนอื่นเขามีกัน
ถาม : ถ้าหากว่าไปวัด ๆ หนึ่งแล้วมีตู้ทำบุญที่เขาไม่ได้เขียนว่าทำอะไร เราควรตั้งใจอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ทำเป็นสังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน อธิษฐานไปได้เลย
ถาม : พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านนี้บูชาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้คาถาเงินล้าน ว่าคาถา อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด แล้วก็ตามด้วยคาถาเงินล้านสัก ๙ จบ
ถาม : ต้องว่าคาถาทุกวันไหมครับ ?
ตอบ : ทุกวัน..เพื่อความแน่นอน
พระอาจารย์เล่าว่า "คืนนี้จะนอนหลับแบบสลบไสลไม่ได้สติ เพราะเมื่อคืนกลับมาดึกมาก นั่งรถเกิน ๑๒ ชั่วโมง และนิสัยของอาตมาก็คือ เหนื่อยมาขนาดไหนก็ต้องทำงานให้ครบ ถึงเวลาก็ต้องมานั่งภาวนา ต่อให้นอนเที่ยงคืนก็ต้องตื่นขึ้นมาตี ๒-๓ เหมือนเดิม ถ้าไม่ตื่นก็จะโดนถีบจนตื่นเอง..!
สมัยอยู่ที่วัดท่าซุง ขอให้เจ้าที่ซึ่งท่านรักษาสถานที่ช่วยปลุกให้ตื่นตรงเวลาด้วย ตอนช่วงนั้นอาตมาตั้งใจตื่นตี ๓ ทุกวัน พอเวลา ๐๒.๕๕ นาฬิกา ท่านจะปลุกทุกครั้ง ถึงเวลาก็มีคนจะกระตุกปลายเท้า ทำให้สะดุ้งตื่น อาตมาก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา สรงน้ำ ครองผ้า แล้วก็เริ่มเดินจงกรมภาวนา
เรื่องของกิเลสนี่ถ้าเราตามใจเมื่อไร เราจะขี้เกียจไปเรื่อย ๆ แล้วจะเอาดีไม่ได้ อย่าไปผ่อนปรนให้เป็นอันขาด กับกิเลสเราต้องเข้มงวดอย่างเดียว ไม่มีผ่อนปรน ต่อให้มันบอกว่าจะตายเราก็จะทำ ให้มันตายลงไปเลย..!
ปรากฏว่าวันนั้นไม่ไหว เพลียจัด เพราะไปรบกับพวกเรือหาปลามาทั้งคืน ๐๒.๕๕ ถูกปลุกตามปกติ อาตมาสะดุ้งลืมตาขึ้นมา “ขออีกหน่อยนะ” เท่านั้นแหละพ่อเจ้าประคุณเอ๋ย...กระบองอันเบ้อเร่อฟาดเปรี้ยงลงกลางแสกหน้า ดาวขึ้นว่อนเลย..! ก็เลยต้องลุก เพราะถ้าไม่ลุกจะโดนซ้ำอีก ใครโดนอย่างนั้นเข้า เหนื่อยแค่ไหนก็หูตาสว่างทุกคน..!"
"อยู่ที่นั่นก็เจอผีหลอก แต่เป็นผีหลอกของคนอื่น สำหรับอาตมาเป็นตัวกวนประสาทหรือไม่ก็คู่ซ้อม ตอนที่พักอยู่ที่ตึกกองทุน ติด ๆ กับตึกเป๊ปซี่ของโยมสุภาพร จากทางด้านวัดเก่า ฝั่งหลวงพ่อ ๔ พระองค์ ถ้าเข้าไปซ้ายมือจะเป็นห้องยาม แล้วก็เป็นศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ ยาวไปจรดโรงเรียนทหารอากาศสงเคราะห์ ทางด้านขวามือก็จะเป็นห้องยาม เป็นตึกขาว เป็นตึกเป๊บซี่ แล้วจึงเป็นตึกกองทุน เป็นตึกเสริมศรี พวกเราไม่รู้จักกันหรอก เพราะเป็นชื่อเก่า ถ้าไม่ทันรุ่นเก่าก็จะไม่รู้จัก
ตึกกองทุนนั้น นอกจากชั้นล่างที่ว่างโล่งแล้ว ชั้นบนยังมีห้อง ทางซ้าย ๔ ห้อง ทางขวา ๔ ห้องใหญ่ ตรงกลางเป็นโถงยาวตลอด อาตมาเดินจงกรมภาวนาไป หมดสภาพตรงไหนก็นอนตรงนั้นแหละ นอนไม่เป็นที่เป็นทาง แล้วก็จะถูกท่านทั้งหลายเหล่านี้ก่อกวนเป็นประจำ
พอนอนภาวนาอยู่ เขาก็เดินมา ตึกไหวยวบไปทั้งหลังเลย คนอะไรตัวหนักขนาดนั้น..! อาตมานอนตะแคงอยู่ หันคนละข้างกับที่เขาเดินมา กะจังหวะที่เขาเดิน พอก้าวสุดท้าย กะว่าอยู่ในรัศมีเท้าอาตมาก็พลิกกลับเตะเลย..เตะเต็มที่..! ปรากฏว่าไม่ใช่คน เป็นลูกแมวตัวเล็ก ๆ กระโดดข้ามเท้าของอาตมาแบบนิ่มนวลมาก แถมรู้ด้วยว่าอาตมาจะเตะตอนไหน
อาตมาก็พลิกตัวตามไปมองแมว เห็นชัด ๆ ว่าหันมายิ้มหวานให้อาตมา แล้วก็เดินทะลุประตูไปเฉย ๆ ลูกแมวบ้านไหนวะ ? เดินทีหนึ่งตึกไหวทั้งหลัง..! เขาแกล้งให้หูตาสว่าง ลุกขึ้นมาภาวนาต่อได้เขาก็พอใจแล้ว เจอแบบนี้มาจนนับครั้งไม่ถ้วน เจอจนกระทั่งกลัวผีไม่เป็น ไม่รู้จะกลัวไปทำไม เพราะเจอจนเบื่อ..!"
"ถามว่าปัจจุบันนี้อาตมากลัวผีหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่ายังกลัวอยู่ เพราะเวลาผีมาจะขนลุกเกรียว ถ้าไม่กลัวขนจะลุกทำไม ?
ถ้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องว่า เวลาผีปรากฏตัวให้พวกเราเห็น เขาจะดึงเอาพลังงานบริเวณนั้นไปหมด เพื่อทำให้โมเลกุลของตัวเองหยาบขึ้น เราจะได้มองเห็น การที่เขาดึงพลังงานบริเวณนั้นไปหมด ทำให้ความร้อนหมดไปด้วย จึงทำให้เรารู้สึกหนาวกะทันหันก็เลยขนลุก นี่อธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากเลยนะ
ส่วนอาตมาถือว่า ถ้ายังขนลุกอยู่แสดงว่ายังกลัว แต่กลัวแบบไม่หนี คุยกันได้ จะให้อธิบายอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ก็บอกได้นะ อย่างที่บอกว่าวัสดุทุกอย่างเกิดจากโมเลกุลประกอบกันขึ้นมา การจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกัน ทำให้เกิดเป็นวัตถุที่ต่างกัน อย่างเราจะเปลี่ยนวัสดุให้เป็นทอง เราก็แค่เปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลให้เป็นการจัดเรียงแบบทอง เท่านี้ก็เป็นแล้ว
คราวนี้เห็นหรือยังว่าการที่ใช้กสิณและอภิญญาเปลี่ยนธาตุโลหะนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้ แต่อภิญญาแค่ใช้อำนาจจิตเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลเท่านั้นก็เป็นแล้ว ฟังดูแล้วง่ายจัง น่าจะทำวิจัยเรื่องนี้เอาปริญญาเอกดีกว่า..!"
ถาม : แล้วสีจะเปลี่ยนไปด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจัดเรียงโมเลกุลใหม่ก็จะเปลี่ยนสภาพเลย เหมือนกับเปลี่ยนตัวต่อเลโก้ (LEGO) ต่อเป็นบ้านเป็นรถต่าง ๆ เราเปลี่ยนลักษณะการต่อ ก็กลายเป็นของอีกอย่างหนึ่ง
พยายามอธิบายอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ให้มาก ๆ เผื่อสำหรับพวกที่เชื่อยาก พวกนี้เขาเชื่อวิทยาศาสตร์ แต่ไม่เชื่อเรื่องของพระ ขำที่สุดก็น้องแพร (อรอมล จงเสริมศิริสกุล) น้องแพรเรียนวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) ใช้วิธีบนพระอย่างเดียว ตกลงว่าเรียนวิทยาศาสตร์ แต่วิธีการนี่แทบจะเป็นไสยศาสตร์ล้วน ๆ..!
การรู้เห็นต่าง ๆ มีโทษมากกว่าประโยชน์ ยกเว้นว่าเรารู้ถูกทางจริง ๆ เมื่อครู่โยมผู้ชายที่ถามปัญหาเป็นอิสลาม เขาฝึกมโนมยิทธิได้ เขาก็เลยมาถามรายละเอียดที่เขาข้องขัดอยู่
ถึงได้บอกว่าสิ่งที่เรารู้เห็น ถ้าหากว่าเราเชื่อเสียทั้งหมดก็จะโดนชักจูงให้ผิดพลาดได้ง่าย และการรู้เห็นในแต่ละครั้งก็ไม่เท่ากัน วันนี้สมาธิเราดีเราอาจจะรู้เห็นได้ พรุ่งนี้สมาธิไม่ดีการรู้เห็นไม่มี ถ้าเป็นอย่างนั้นโปรดอย่ามั่ว..! ไม่ต้องกลัวเสียหน้า รู้ก็ให้บอกว่ารู้ ไม่รู้ให้บอกว่าไม่รู้ ถ้ามั่วเมื่อไร..เดี๋ยวจะพังทั้งคนบอกทั้งคนฟัง
ประการที่สอง ก็คือ การรู้เห็นของแต่ละคนกำลังไม่เท่ากัน ความชำนิชำนาญไม่เหมือนกัน ฝึกมโนมยิทธิได้เหมือน ๆ กัน คนนี้อาจจะระลึกชาติได้เก่งมากเลย ชัดเจนมาก คนอื่นได้ไม่เท่า แต่อีกคนอาจจะได้เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่นเขา ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร สามารถพูดออกมาได้ทุกคำเลย แต่ไปใช้อย่างอื่นก็ไม่ถนัด
คนนั้นได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อีกคนถนัดจุตูปปาตญาณ แล้วแต่ความถนัดของตน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะคิดให้เก่งเสมอกันทุกอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องยอมรับสภาพ อย่างที่โยมสองคนบอกว่า คนหนึ่งได้ยินเสียง อีกคนหนึ่งเห็นภาพ เพราะฉะนั้น..เอ็งไปด้วยกัน ถึงเวลาก็ตั้งกำลังใจพร้อม ๆ กัน แล้วก็เอาเรื่องมาต่อกันก็จบ
มโนมยิทธิที่มีโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะว่าส่วนใหญ่คนเห็นแล้วเชื่อเลย ตัวนี้เป็นสักกายทิฐิและมานะเต็ม ๆ "กูเห็น กูจึงเชื่อ" เห็นหรือยังว่าขึ้นด้วยตัวกูเต็ม ๆ
เมื่ออาทิตย์ก่อน มีโยมคนหนึ่งโทรมา บอกว่ามีเด็กคนหนึ่งจะโดนทิ้ง มาเข้าฝันว่าให้ไปเก็บมาเลี้ยงด้วย เพราะว่ามีกรรมเนื่องกันมาต้องชดใช้เขา ถ้าเป็นอาตมานี่เด็กคนนั้นอยู่ในถังขยะแน่นอน..! ถ้าเอ็งจะมาทวง เอ็งหาทางมาสิ แล้วจะชดใช้ให้ ไม่ใช่ให้เราไปเก็บมาเลี้ยง
นี่ไม่ใช่เรื่องของการใจร้ายใจดำ แต่เป็นการไม่ยุ่งกับกรรมของคนอื่น ถ้าเราไปยุ่งกับกรรมคนอื่นเรื่องจบยาก ไม่แน่..เขาอาจจะเป็นเครื่องมือที่มารพามาถ่วงเราเพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานช้า มัวแต่ไปห่วงไปกังวล ไปเลี้ยงไปดู ให้การศึกษา กว่าจะโตเป็นผู้เป็นคนก็ ๒๐ กว่าปี ถ้าเราตายก่อน การปฏิบัติก็ขาดช่วงไป ก็ไม่ได้อะไรเลย
ฉะนั้น..ของทุกอย่างเป็นทั้งเครื่องทดสอบและเป็นทั้งเครื่องวัดกำลังใจของเราด้วย ว่าสิ่งที่เรารู้เห็นทั้งหมดนั้น เราน้อมใจเชื่อโดยส่วนเดียว หรือว่าเชื่ออย่างคนมีปัญญา
ถ้าคุณจะทวงก็ไม่ยากหรอก ให้เขาเอามาทิ้งหน้าบ้านสิ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าต้องเลี้ยงเอง ถ้าหากว่าเขามาทิ้งไว้หน้ากุฏิ อาตมาเปิดประตูมากระแทกเด็กปลิวไป เด็กก็นอนกลิ้งอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าคลานตามมาเมื่อไรแล้วถึงจะยอมเลี้ยง..!
ถาม : ช่วยอย่างคนมีปัญญาเขาทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ช่วยอย่างคนมีปัญญาก็คือ เอาตัวรอดทุกวิถีทางที่จะไม่ต้องเลี้ยงเขา ถ้าหากว่าจับพลัดจับผลู ท้ายสุดต้องเลี้ยง นั่นถึงจะยอมรับว่าเป็นวาระกรรมที่เนื่องกันจริง ๆ
ถาม : จะไม่เป็นการขาดความเมตตาหรือคะ?
ตอบ : เมตตา กรุณา มุทิตา ท้ายสุดอุเบกขา ใช้ให้ครบสิวะ..! เมตตาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังเอาตัวไม่รอด เอ็งช่วยตัวเองไปก่อนนะ กรุณาสงสาร..อยากให้เอ็งพ้นทุกข์เหมือนกัน แต่ขอข้าพ้นก่อน มุทิตา..ถ้ามีคนเอาเอ็งไปเลี้ยง ข้าก็ยินดีด้วย เพราะข้าไม่ต้องเหนื่อย ท้ายสุดก็อุเบกขา..ตัวใครตัวมันนะ ลาก่อน
ชอบใจเพลงเพลงหนึ่งจริง ๆ เขาร้องว่า “ลำพังตัวเองยังเลี้ยงไม่รอด แล้วเธอยังดอดคิดไปมีผัว” เพราะถ้าตัวเองยังเอาไม่รอด จะไปรับภาระคนอื่นเขาไหวหรือ ?
พระอาจารย์เล่าว่า "เจ้าดอกรัก เป็นหมาวัดที่ดื้อสุด ๆ ดุอีกด้วย ถ้าใครไปตีก็จะกัด อาตมาตีกระจายเลย เจ้าดอกรักก็แปลกใจว่าคนอื่นตีไม่เจ็บ ทำไมอาตมาตีถึงเจ็บ ก็เพราะอาตมาใช้ไม้เล็ก ๆ ตี คนอื่นใช้ไม้ใหญ่ตีไม่เจ็บหรอก ไม้เล็ก ๆ ตีแล้วสะบัดเจ็บแสบดีนักแล
อาตมาไม่กลัวหมากัดด้วย กัดมาก็ตีไปเรื่อย พอกัดจนเหนื่อย ทนเจ็บไม่ไหวก็ต้องเลิกไปเอง เจ้าดอกรักจะมุดหนีไปอยู่ใต้เตียง อาตมาก็มุดตามไปตีใต้เตียง ตีจนกระทั่งเขารู้ว่ามีคนหนึ่งที่ตีได้ หลังจากนั้นพอเห็นหน้าอาตมาเจ้าดอกรักก็เผ่นแน่บ
อาจารย์สมพงษ์ไปเตะเจ้าดอกรักเข้า โดนงับขาเลือดสาดกระจาย..! แม่ชีโหล่เขาบอกว่า "ยังกัดเข้าแบบนี้ออกเหรียญไม่ได้หรอก" อาจารย์สมพงษ์ก็โกรธใหญ่ ไม่ช่วยทำแผลแล้วยังปากไม่ดีอีก อาจารย์สมพงษ์ก็ด่า แม่ชีโหล่ก็เถียง “มันกัดอาจารย์เล็กจนเหนื่อย ไม่เห็นจะเข้าเลย” อาจารย์สมพงษ์ก็ยิ่งโมโหใหญ่ “ก็มันคนเดียวกันเสียเมื่อไรเล่าวะ ?”
เจ้าดอกรักจะซ่ากับคนอื่น เพราะเวลามันแยกเขี้ยวใส่แล้วเขากลัว ส่วนอาตมาไม่กลัว ตีสวนไปเลย บางทีถูกมันกัดไม้หักไป ๓-๔ อัน อาตมาก็คว้าไม้อันใหม่ตีไปเรื่อย ถึงมุดหนีไปใต้เตียงก็ตามไปตี เวลาหมามุดไปที่แคบเขาจะถนัดกว่าเรา แต่อาตมาไม่กลัว มีปัญญาเอ็งก็กัดไป ข้าก็ตีไปเรื่อย ตีจนไม่มีที่ให้วิ่งหลบ ต้องหนีออกไปข้างนอก อาตมาใช้วิธีเดียวกันคือให้หมาเห็นว่าเราดื้อกว่า แต่เราดื้อแล้วเขาเจ็บตัวเท่านั้นเอง
ใช้ไม้ใหญ่ตีหมา..หมาช้ำ แต่ไม่เจ็บ แต่ไม้เล็ก ๆ ตีแล้วเจ็บจนสะดุ้ง เพราะฉะนั้น..ให้ใช้ไม้เรียวเล็ก ๆ บางทีก็ใช้ไม้ที่เขาเสียบเงินกัณฑ์เทศน์นั่นแหละ ตีมันดีแท้ มีเป็นร้อย ๆ อัน กัดหักอันหนึ่งก็หยิบอันใหม่มาได้เลย
อาตมาบอกกับแม่ชีเขาว่า "สอนให้รู้ตัวว่ามันเป็นหมา เพราะว่ามันทำกร่างเป็นเจ้าพ่อ" ในหอฉันเวลาเขาปูผ้าให้พระนั่งฉัน เจ้าดอกรักก็จะไปฉี่ใส่ผ้าของพระ แล้วก็จะมีเสียงของแม่ชีโหล่ว่า “ดอกรัก..ลูกอย่าทำอย่างนั้น” คงจะฟังอยู่หรอก..! อาตมาไปถึงไม่ฟังเสียงเลย ตีไว้ก่อน พอโดนเข้าก็เข็ด
ระยะหลังนี่หอฉันจะเป็นที่หมายปองของบรรดาหมาทั้งหลายมาก พวกหมาจะคอยมอง พอเห็นอาจารย์ลับหลังก็วิ่งพรวดเข้าไปเลย ขอให้เหยียบหน่อยก็ชื่นใจแล้ว พอมาถึงอาตมาตวาดแว้ดเดียว เผ่นหายหมด โยมเห็นทีไรหัวเราะทุกทีเลย ที่เขาลือว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุกว่าหมา ก็ตอนที่ตวาดหมาเผ่นหมดไม่เหลือ คนอื่นตีเท่าไรหมาก็หมอบให้ตี เพราะรู้ว่าตีไม่จริง เจอคนตีจริงเข้าก็ต้องเผ่น"
"มีอีกตัวไอ้อ้วน น่าจะเป็นเบาหวาน เพราะแผลไม่หายเสียที พอถึงเวลาก็จะย่องเข้ามาที่โรงครัว ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คนอื่นเห็นมันอ้วนและขาเป็นแผลด้วยก็สงสาร อาตมาเห็นก็ดุ “ไอ้อ้วน ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” มันก็ลุกเดินเหี่ยวออกไป มันรู้ว่าใครเอาจริงหรือไม่เอาจริง เวลาญาติโยมมาเลี้ยงเพล เห็นหมาแต่ละตัวทำท่าแล้วหัวเราะทุกคนเลย
บางตัวก็ทำถูกกติกานะ ยืนอยู่ตรงขอบประตูเลื่อนแล้วก็ยื่นหัวเข้ามา ขอแค่ให้ได้ยื่นหน้าเข้าไปนิดหนึ่งก็ชื่นใจแล้ว
เลี้ยงหมาแล้วก็จะรู้ว่าเขาก็คือคนนั่นแหละ เพียงแต่ว่ากรรมที่เขาสร้างไว้ ทำให้เขาโดนจำกัดอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉาน นิสัยเหมือนคนนี่เอง หมาบางตัวก็สง่าสุด ๆ เลยนะ ประเภทเห็นก็รู้เลยว่าไอ้นี่แน่จริง แต่ปัจจุบันนี้อาตมาจะไม่เลี้ยงหมา มีหน้าที่ดูแลควบคุม หมาบางตัวต้องการแสดงความสนิทสนม เข้ามาหาก็เกา ๆ ให้หน่อย"
ถาม : เกาทำไมคะ ?
ตอบ : เป็นภาษาหมา
ถาม : แปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : ฉันยอมรับว่าแกอยู่ในฝูงเดียวกัน เหมือนกับหมาที่งับหมัดให้กัน เห็นไหม ? บางทีเวลาหมาก็งับ ๆ ให้กัน
ถ้าหมาดุ ถึงเราปราบอยู่ แต่มันจะไม่เชื่อง อย่าให้หัวเราต่ำกว่าเป็นอันขาด ถ้าหัวเราต่ำกว่าเมื่อไร มันถือว่าเราลงให้มันแล้ว มันจะข่ม แต่ถ้าหัวยังสูงกว่ายังไม่เป็นไร
ถาม : หมาที่บ้านชอบไปนอนบนหมอนคน บางทีก็ชอบมานอนบนหัวค่ะ หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่แสดงความเป็นเจ้าของแค่นั้นเอง
อาตมาไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน ที่โรงพยาบาลทหารเรือ หลวงปู่ท่านป่วยมาตั้งเกือบ ๒ เดือน อาตมากลัวท่านจะล้มในห้องน้ำ จึงนอนขวางหน้าเตียงเลย พอหลวงปู่ขยับ เสียงเตียงลั่นอาตมาก็ลุก “หลวงปู่จะเข้าห้องน้ำหรือครับ ?” ถ้าท่านพยักหน้า อาตมาก็อุ้มท่านเข้าอุ้มท่านออก
วันนั้นพอเสียงเตียงลั่น ลืมตาขึ้นมา “หลวงปู่จะเข้าห้องน้ำใช่ไหมครับ ?” ท่านยิ้มหวานจ๋อยเลย “เข้ามาแล้ว” ท่านเป็นพระสุกขวิปัสโก อาตมาเห็นนี่ยิ่งกว่าอภิญญาอีก สำคัญที่ว่าท่านจะใช้หรือเปล่า ? เพราะว่าเรื่องฤทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นฤทธิ์ในกสิณ ๑๐ มีฤทธิ์ในการอธิษฐาน ฤทธิ์ในฌานสมาบัติ ฤทธิ์ในบุญ
อาตมานอนขวางหน้าเตียงอยู่ เป็นไปไม่ได้หรอก ที่ท่านจะไปเองได้ ขนาดขาท่านยังยกไม่ขึ้นเลย แล้วจะก้าวข้ามตัวไปได้อย่างไร ? เวลาท่านลุกขึ้น เตียงต้องดัง อาตมาต้องได้ยินแน่นอน แต่ปรากฏว่าท่านเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ท่านยิ้มหวานไม่พอ ท่านว่าอะไรรู้ไหม ? “อะไรที่เป็นระเบียบ ถ้าฝืนได้แล้วมีความสุขนะ”
เจ้าพวกนั้นก็เหมือนกัน ขอแค่ให้ได้ยื่นหน้าเข้าไปที่โรงครัวก็ชื่นใจแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภูมิปัญญาโบราณที่สั่งสมมานั้น ทำให้การกินการอยู่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศบ้านเรา พอมารุ่นใหม่นี่เห่อบ้านตามแบบฝรั่ง ปลูกบ้านติดพื้นดิน ที่ฝรั่งเขาปลูกบ้านติดดินแล้วอับทึบมาก เพราะว่าหน้าหนาวเขาจะได้เอาไว้หลบความหนาว และหลังคาจะได้ไม่รับน้ำหนักหิมะมากจนถล่มลงมา
แต่คนไทยเราไปเห็นดีเห็นงามสร้างตามแบบเขา พอขาดเครื่องปรับอากาศก็อยู่ไม่ได้ เมื่อฝนมา น้ำท่วม ก็ไม่มีที่ให้หลบ เพราะบางทีหลังคาก็ไม่เหลือ
โบราณสร้างบ้านใต้ถุนสูง มีเรือขึ้นคานรอไว้ หน้าน้ำก็ยาเรือเอาลง ปล่อยให้น้ำท่วมข้างล่างแล้วก็อยู่ชั้นบนตามปกติ พอหน้าแล้งเอาเรือขึ้นคาน ชั้นล่างก็เอาไว้ทำงานทำการสารพัด ดังนั้น..ถ้าใครสร้างบ้านก็เอาแบบโบราณนะ บ้านใต้ถุนสูงจะปลอดภัยและเหมาะกับบ้านเรามากกว่า
คุณหมอประสิทธิ์สร้างบ้านหมดเงินไป ๗๐ ล้านบาท พอไปเจออาคารเรือนไม้ที่เกาะพระฤๅษี คุณหมออยากได้มาก ถามว่าราคาเท่าไร อาตมาบอกว่าต่อเติมมา ๒ ครั้งแล้ว อยู่ในงบประมาณ ๒.๔ ล้านบาท คุณหมอคงกลับไปตีอกชกหัวตัวเอง ๒.๔ ล้านบาท กับ ๗๐ ล้านบาทนี่ต่างกันมหาศาล เพราะบ้านที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเขาคิดราคามักจะสูงเกินจริงไปเยอะ
ภูมิปัญญาโบราณเป็นสิ่งที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า อย่างช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยน ก็จะมีแกงส้มดอกแค กินแก้ไข้หัวลม ยิ่งถ้าซดร้อน ๆ เหงื่อแตกเลยยิ่งดี จะได้เป็นสิวน้อยลงด้วย"
"ฝรั่งเข้ามาทำวิจัยอาหารไทย ว่าประกอบไปด้วยเครื่องสมุนไพรรักษาได้สารพัดโรค แต่ปรากฏว่าคนไทยไปเห่อเคเอฟซี เห่อแฮมเบอร์เกอร์ เป็นอะไรที่กลับข้างกันมาก ถามคนไปเมืองฝรั่งเถอะ อาหารบ้านเขาอร่อยสู้บ้านเราไม่ได้ จะซื้ออาหารไทยที่นั่นก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะราคาแพงมาก
ตอนนี้ฝรั่งเขาบอกว่า มัสมั่นไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้นตำรับมาจากอินเดีย ไม่รู้ว่าจำได้หรือเปล่า ? เพราะบ้านเราพอของต่างชาติเข้ามาแล้ว มักจะนำมาดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นคนไทย
เรากินอาหารจีนในบ้านเราว่าอร่อย ลองไปฮ่องกงหรือไม่ก็จีนดูสิ ไปสั่งอาหารจีนบ้านเขาดูว่าจะกินลงไหม ? กินไม่ลงหรอก เพราะมีแต่มัน ๆ เลี่ยน ๆ ในไทยเราเอามาปรับให้เข้ากับลิ้นของเรา ก็แปลว่าอร่อยที่บ้านเราไม่ได้แปลว่าจะอร่อยที่บ้านเขา
อาหารหลายต่อหลายอย่างบ้านเราดัดแปลงจนต้นตำรับเขาจำไม่ได้ พวกทองหยิบ ฝอยทองอะไรพวกนั้น คุณหญิงกีมาร์ (Marie Guimar de Pinha) ฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจำหน้าตาได้หรือเปล่าว่าสอนลูกหลานไทยเอาไว้เอง
คุณหญิงกีมาร์เป็นโปรตุเกส แต่งงานกับฟอลคอน (Constantine Phaulkon) ที่เป็นกรีก ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทย แล้วรับราชการสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นออกญาหรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ภรรยาเป็นคุณท้าว คราวนี้ท่านชื่อกีมาร์ คนไทยเลยเรียกว่า "ท้าวทองกีบม้า"
"อาตมาเห็นคนไทยสมัยก่อนอ่านหนังสือแล้วกลุ้มใจ เขาอ่านตามสบายใจฉัน อย่างเช่น "แฮรี่ เบอร์นี่" คนไทยอ่านเป็น “หันแตร บารนี” ชื่อเป็นไทยมาก "เซอร์ เจมส์ บรู๊ก" คนไทยอ่านเป็น “เย สัปบุรุษ” เขาเปลี่ยนเป็นชื่อไทยได้หมด
"หมอบรัดเลย์" กลายเป็น “ปลัดเล” สถานีเขาเรียก “กะเตชั่น” แบ็ดมินตันเขาเรียก “ปั๊กกะตั้น” "เทเลกราฟ" (โทรเลข) เขาเรียกเป็น “ตะแล็บแก๊บ”
ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย ก็คือ สยามกัมมาจล ก่อนหน้านั้นเขากลัวว่าการตั้งธนาคารจะทำให้เป็นที่เพ่งเล็งของต่างชาติ เขาก็เลยตั้งเป็น "บุคคลัภย์" มาจากคำว่า Book Club เขาสามารถแปลงให้กลายเป็นภาษาไทยได้
สังเกตไหมว่าเด็กรุ่นใหม่ออกเสียง “จ” ไม่ได้ ออกเสียงเป็นตัว J หมด ปกติ จ.จานไม่ต้องห่อลิ้นนะ แต่สมัยนี้ออกเสียง จ.จาน แบบห่อลิ้น แก้ไขไม่ได้ด้วย เพราะเสียมาหลายรุ่นแล้ว
นอกจากนี้ เรายังไปออกเสียง “ญ” กับ “ย” เป็นเสียงเดียวกัน ออกเสียง “น” กับ “ณ” เป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งแท้จริงเขาแยกเสียงได้ “น” เขาออกเสียงขึ้นจมูก ถ้า “ณ” ถึงจะออกเสียงปกติ
ลองไปฟังเพลงสาวเชียงใหม่ของสุนทรี เวชานนท์ดูสิ เขาออกเสียง ย. ยักษ์ชัดมากเลย “เยือกเย็นสดใสเหมือนน้ำแม่ปิง” นั่นแหละเสียง “ย” แท้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปลดหนี้ของอาตมาจะเลือกช่วยเฉพาะวัดที่เดือดร้อนจริง ๆ ดังนั้น..กฐินปลดหนี้ปีหน้าจะไปที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ของครูบาเหนือชัย
พี่ ๆ น้อง ๆ ใครที่เดือดร้อนก็จะไปช่วย เป็นความตั้งใจมาตั้งแต่สมัยออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ ช่วงนั้นมีบุคคลอยู่จำนวนหนึ่งที่เขามองลักษณะว่า อาตมาตั้งตนเป็นอาจารย์แข่งกับสำนักใหญ่ อาตมาก็มาคิดว่า ถ้าเป็นอาตมาเองจะไม่เสียเวลาคิดอย่างนี้ ถ้าใครสามารถตั้งตัวเป็นอาจารย์ได้ จะสนับสนุนให้สุดตัวไปเลย
แล้วการสนับสนุนก็ไม่ต้องลำบากยากเข็ญอะไร ก็แค่ประกาศข่าวว่ามีพี่น้องอยู่ทางด้านนี้ด้านนั้น ให้พากันไปเยี่ยมเยียนกัน คนก็แห่ไปช่วยกันเอง ไม่ต้องแบกต้องหามกันสักหน่อย ไปแนะไปนำกันว่าเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างไร ถึงเวลาญาติโยมท่านไหนอยู่ใกล้ก็ไปทำบุญที่นั่น จะได้ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงวัดท่าซุง
ถ้าหากว่าทางวัดใหญ่ทำแบบนี้ เวลาวัดใหญ่มีงาน ทางสำนักต่าง ๆ เขาก็เต็มใจแห่กันไปช่วยอยู่แล้ว กลายเป็นว่ารวบรวมญาติโยมทางด้านนี้ไปช่วยทางสำนักใหญ่ มีแต่ได้หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือ เห็นความสามัคคีเหนียวแน่นในหมู่ลูกพ่อเดียวกัน
อย่างที่สองก็คือ ถ้าหากว่าขาดเหลืออะไร ตัวเองเป็นสำนักใหญ่ สามารถช่วยเหลือเจือจุนได้ สำนักเหล่านั้นจะสามารถตั้งหลักได้เร็ว เป็นที่พึ่งของญาติโยมได้เร็ว
อย่างที่สามก็คือ สมมติว่าญาติโยมอยู่สุไหงโกลก ญาติโยมทางด้านนั้นก็ไม่ต้องแห่ขึ้นมาไกลตั้ง ๑,๕๐๐-๑,๖๐๐ กิโลเมตร เพื่อที่จะได้มาทำบุญที่วัดท่าซุง เพราะมีวัดพี่วัดน้องที่นั่นแล้ว
กลายเป็นว่าอาตมาคิดคนละอย่างกับคนอื่น แต่ก็เป็นความตั้งใจที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ดังนั้นพองานตัวเองเบาลงนิดหนึ่ง พอที่จะช่วยที่อื่นเขาได้ ถึงได้จัดเป็นกฐินปลดหนี้ไปช่วยเขา"
"วันก่อนตุ๊ป้อสิงห์บอกว่าสร้างโบสถ์อยู่ ปัจจัยที่น้องหาให้เมื่อตอนกฐินปลดหนี้ได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะว่าหัวหน้าช่างที่เชิญมาเขาคิดค่าแรงเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท
ก็ต้องดูว่าแต่ละปีตรงไหนเร่งด่วน เราก็ไปช่วยตรงนั้นกัน ช่วยได้สักปีละวัดก็ยังดี เบื่อแล้วประเภททำกฐินเอาบุญ ทำครั้งหนึ่ง ๒๐-๓๐ วัด เฉลี่ยแล้วได้วัดละไม่กี่สตางค์ ไม่พอยาขี้ฟัน ลงไปวัดเดียวหมดเรื่องหมดราว ให้เห็นหน้าเห็นหลังไปเลย
อีกไม่กี่วันก็จะลงไปที่สุไหงปาดี กลางดงระเบิดเลย กลางดงอิสลาม ชื่อวัดอย่างเป็นทางการคือวัดรัตนานุภาพ แต่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าวัดโคกโก
อาตมาลงปักษ์ใต้ไปตั้งแต่ตอนที่ภาคใต้ยังไม่มีเรื่องไม่มีราว ลงไปจนกลายเป็นตัวประหลาดในหมู่อิสลาม ที่แปลกที่สุดก็คือ ลงไปเจอหลวงพี่นิล (พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม) ครั้งแรกที่ปักษ์ใต้ บวชใหม่ ๆ ด้วยกันทั้งคู่ อาตมาบวชได้ ๘ พรรษา ท่านเพิ่งบวชได้ ๔ พรรษา แล้วก็อยู่มาจนกระทั่งทางใต้มีเรื่องมีราว แต่อาตมาก็ยังคงลงไปตลอด
แรก ๆ ก็ลงไปปีละครั้ง ไป ๆ มา ๆ พอเขาเดือดร้อนก็ไปถี่ขึ้น มาระยะนี้ความเดือดร้อนน้อยลงก็ไปห่างหน่อย บางช่วงเหตุการณ์รุนแรงมาก อย่างระเบิดสถานีรถไฟหาดใหญ่ พออาตมาขึ้นรถไฟ ก็จะมีตำรวจเขารักษาการณ์หัวท้ายตู้ละ ๒ นาย ส่วนใหญ่พระจะมีเวรมีกรรม พอพระนั่งก็ไม่มีใครอยากนั่งด้วย ที่ตรงข้ามก็จะว่าง
พอตำรวจเดินไปเดินมาจนเมื่อย เขาก็มานั่งกับพระ แล้วถามว่า “หลวง ๆ ลงมาไม่กลัวรื้อ ?” อาตมาตอบว่า “อ๋อ..อยากให้ระเบิดที่รถคันนี้เลย จะได้ดังบ้าง” ตำรวจเดินหนีไปเลย เจอพระไม่กลัวไม่พอ ภาวนาให้ระเบิดคันนี้อีกด้วย..!
คำว่า “คัน” ในภาษารถไฟก็คือคำว่า “ตู้” พูดง่าย ๆ อยากให้เขาระเบิดตู้นี้แหละ แต่ว่าแปลก..การรถไฟเขาเรียกเป็นคัน เพราะฉะนั้น..รถไฟถ้าลงสายใต้ขบวนหนึ่งจะมี ๒๐ กว่าคัน "
"ปี ๒๕๔๗ ที่ทางใต้มีเรื่องกันแรก ๆ ตอนนั้นออกนอกที่อยู่ไม่ได้ พอออกมาก็มีมอเตอร์ไซค์รีบปาดมาจอดถาม “ไปไหนครับ ? จะไปส่ง” แต่พอตอนหลังที่เขายิงกระทั่งพระด้วย ไม่มีมอเตอร์ไซค์มารับอีกเลย ตอนที่ยิงแต่ทหารกับตำรวจ เขารีบมารับ พอพระรวมอยู่ในนั้นด้วย..ก็เลิกรับ เพราะกลายเป็นเป้าเด่น มีทั้งทหาร มีทั้งตำรวจ มีทั้งพระ
อาตมาก็ไปเดินล่อเป้าอยู่ทุกวัน ตอนที่เจ้าอ้อย(ศัลยา) อยู่โรงพยาบาล อาตมาก็ไปวันละ ๓ เที่ยว ไปให้เขาเห็นว่าเราไป เช้าเที่ยวหนึ่ง กลางวันเที่ยวหนึ่ง เย็นเที่ยวหนึ่ง กะว่าที่โดนง่ายที่สุดก็รอบค่ำ แต่บังเอิญว่าการที่ได้รับฝึกมาเป็นอย่างดี มียุทธวิธีทางทหาร ที่ทำให้คนที่คิดจะเข้ามาทำร้ายทำได้ยากมาก คือไม่ว่าอย่างไรถ้าเขามาเราจะเห็นก่อน
ต้องได้รับการฝึกมามาก ถึงจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร อาตมาก็ไปเดินล่อเป้าได้ทุกวัน เดินให้เขาคลั่งเล่นว่า ไอ้นี่ทำไมเดินแล้วยิงกบาลมันไม่ได้สักที..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทางมหาเถรสมาคมกำลังเป็นจุดศูนย์กลางในการช่วยเหลือวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ทางคณะสงฆ์ของเรามีโครงการช่วยเหลือกันเองอย่างนี้มานานแล้ว
เจ้าอาวาสทุกรูปจะโดนหักเงินเดือนในเดือนมกราคมของทุกปี เพื่อส่งเข้ากองทุนวัดช่วยวัด วัดไหนที่ลำบากเดือดร้อนก็สามารถมาขอเงินกองทุนนี้ไปใช้ได้ ตอนนี้โดนหัก ๒ เดือน สรุปว่าพระทำงานหนักกว่าโยม มีเงินเดือนแค่เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท แต่โดนหักไป ๒ เดือน เพราะว่าเดือนที่สองเป็นกองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ
กองทุนเดือนที่สองนี่จัดตั้งเป็นกองทุนของทุกจังหวัด แต่ว่าต้องส่งตัวเลขไปให้ส่วนกลางด้วย หากชาวพุทธในแต่ละจังหวัดเดือดร้อน ต้องการจะกู้เงิน ก็สามารถมากู้เงินจากกองทุนนี้ได้ โดยคิดดอกเบี้ยต่ำมาก ๆ เลย กลายเป็นว่าพระเราทั้ง ๆ ที่รายได้อื่น ๆ ก็แทบจะไม่มี แต่ต้องเสียสละตัวเองอย่างมหาศาล
กองทุนแรกคือ กองทุนวัดช่วยวัด กองทุนที่สองคือ กองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ กำลังรอว่าเมื่อไรกองทุนที่สามจะมา เพราะว่าตอนนี้มีการตั้งสถานีโทรทัศน์ของพระพุทธศาสนา การดำเนินการก็ค่อนข้างจะจำกัดด้วยงบประมาณ วัดที่เป็นที่ตั้งก็คือวัดพิชยญาติการามหรือวัดพิชัยญาติ ของหลวงพ่อพระพรหมโมลี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง
ก่อนหน้านี้หลวงพ่อพระพรหมโมลีท่านบอกว่า ตอนที่แม่ชีทศพรอยู่เราจะทำอะไรก็เหมือนกับเนรมิตได้ แม่ชีเขาบอกลูกศิษย์พักเดียวเท่านั้นก็ได้แล้ว แต่พอแม่ชีโดนคดีต้องออกจากวัดไป เราจะทำอะไรดูหนักหนาสาหัสไปหมด การงานการเงินไม่คล่องตัวเหมือนแม่ชี เพราะแม่ชีมีคนไปพึ่งพาเยอะมาก พอเอ่ยปากทำบุญเรื่องนั้นเรื่องนี้ บอกนิดเดียวก็ได้เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อัมพะ คือมะม่วง วน คือป่า ดังนั้น..อัมพวัน คือ ป่ามะม่วง วัดอัมพวันเป็นวัดในสมัยพุทธกาล
เวฬุวัน คือป่าไผ่ ลัฏฐิวันคือป่าตาล เชตวัน คือป่าของเจ้าเชต อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปขอซื้อที่จากเชตราชกุมาร เนื่องจากเชตราชกุมารมีเชื้อสายกษัตริย์ ฐานะไม่ได้ยากจน ก็ไม่คิดขาย แต่ถ้าจะซื้อที่ก็ให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินมาปูให้เต็มพื้นที่ ไม่ใช่ปูเแบบธรรมดานะ ที่ไหนเป็นหลุมเป็นบ่อก็เอาเงินมาเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน
อนาถบิณฑิกเศรษฐีสั่งคนใช้ให้เอาเกวียนทุกเล่มที่มีไปขนเงินในคลัง แล้วมาปูให้เต็มพื้น ปรากฏว่าเหลือพื้นที่ตรงหน้าประตู เชตราชกุมารดูแล้วคิดว่า เงินเยอะขนาดนี้คงไม่มีปัญญาใช้หมดแล้ว เหลือที่ตรงนี้ยกให้ฟรีก็แล้วกัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ใจป้ำ ในเมื่อให้พื้นที่ตรงนี้ฟรีก็เลยสร้างซุ้มประตูและตั้งชื่อว่าเชตวัน
วัดเชตวัน คือวัดที่เป็นป่าของเชตกุมาร สมัยนี้มีใครซื้อที่ด้วยวิธีนี้บ้างไหม ? เอาเงินปูให้เต็มพื้นที่ถึงจะได้ที่ไปเป็นของตนเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่แปลกไปจากธรรมชาติ เขาจะถือว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้อาตมามีไข่อยู่ฟองหนึ่ง เนื้อในเหมือนมรกต น้ำหนักเบาเหมือนเป็นอำพัน แต่อำพันสีเหลือง นี่เขียวปี๋เลย ได้มาจากฝั่งพม่า อยากจะให้ช่างแกะสลักเป็นรูปพระ
ตอนไปพม่าผีเขามาบอกว่า เขาเฝ้าแก้วดวงนี้อยู่นานเต็มทีแล้ว อยากจะไปเกิด ช่วย ๆ ไปเอามาหน่อย อาตมาก็ถามว่าอยู่ที่ไหน ผีบอกว่าอยู่ข้าง ๆ กอไผ่ริมน้ำ อาตมาก็ถามว่าแล้วจะไปเจอได้อย่างไร เพราะเวลาน้ำขึ้นก็ท่วมกอไผ่กอนั้น เขาบอกว่าถ้ามาแล้วเขาจะแสดงไว้ให้ชัด ๆ เลย พอไปถึงก็มีจริง ๆ วางเด่น ๆ คลุกขี้โคลนอยู่
ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นมรกต นึกว่าเป็นหินรูปธรรมดาแบบหินน้ำตกทั่วไป แต่พอมาล้างทำความสะอาดปรากฏว่ากระทบแสงแล้วเขียวปี๋ พอเอาไฟส่องดูเห็นเนื้อใสเลย หลายคนคาดว่าน่าจะเป็นไข่แก้วของพญาจระเข้ คาดว่าช่างที่ฝีมือดีที่สุดที่มีอยู่ตอนนี้ ค่าแกะคงจะไม่หนีสามหมื่นห้าถึงห้าหมื่น น่าจะได้พระหน้าตักสัก ๓ เซนติเมตร แต่เสียดายเศษที่เหลือจากการแกะ กำลังคิดว่าจะเอามาทำอะไรดี"
ถาม : ผมบนลูกชายบวชเณรไว้ครับ จะบวชนานเท่าไรดีครับ ? ตอนบนไม่ได้กำหนดไว้ครับ
ตอบ : ถ้าไม่ได้กำหนดวันไว้ บวชนานเท่าไรก็อยู่ที่เราจ้ะ บวชเสร็จก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล บอกว่าได้บวชให้เรียบร้อยแล้ว จะสึกเลยก็ได้
ส่วนที่เขาบวชเช้าสึกเย็นนั้นทำกันบ่อย โดยเฉพาะที่บวชหน้าไฟ คือจะเผาศพบ่ายโมง เขาก็บวชตอนเที่ยง พอเผาศพเสร็จ บ่าย ๓ โมงก็สึกแล้ว ถ้าไม่ได้จำกัดเวลาไว้ จะบวชยาวบวชสั้นก็อยู่ที่เรา
ถาม : หลานนอนกัดฟันค่ะ ?
ตอบ : โบราณเขาว่าให้เอามะพร้าวล้างหน้าผีมาให้กิน
ถาม : เนื้อหรือน้ำคะ ?
ตอบ : เนื้อมะพร้าว เพราะน้ำเขาใช้ล้างหน้าไปแล้ว ที่เด็กนอนกัดฟันเป็นเพราะเด็กเครียด แม่อาจจะเป็นตัวกระจายความเครียดให้ลูกให้หลาน เวลาผู้ใหญ่เครียดก็ไปทำให้เด็กเครียดด้วย ก็เลยมักจะแก้ไขไม่ได้
ถาม : ให้ลูกชายมาบวชกับท่านได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่..แต่อาตมายังไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์นะจ๊ะ ต้องไปบวชกับพระอุปัชฌาย์ก่อน บวชแล้วค่อยขอท่านไปอยู่ด้วยกันที่วัดท่าขนุน
ถาม : ที่โรงงานมีการตั้งตี่จู้เอี๊ยและตั้งศาลพระพรหมครับ หลังจากตั้งแล้วกิจการไม่ค่อยดี มีคนทักว่าเทพสององค์นี้ไม่ถูกกัน
ตอบ: คนที่พูดแบบนี้เอากิเลสมนุษย์ไปเทียบ ตัวเองระยำเองแล้วไปคิดว่าเทวดาไม่ถูกกัน..!
เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ เทวดาที่ไหนเขาจะทะเลาะกัน ? การตั้งศาลพระพรหม ถ้าไม่รู้ว่าตรงนั้นท่านดูแลรักษาอยู่จริง ๆ..อย่าไปตั้ง เพราะเท่ากับว่าเราไปใช้ผู้ใหญ่ เดี๋ยวจะซวย..! โดยเฉพาะถ้าตั้งผิดทิศจะเป็นเรื่องเลย เขาให้ตั้งทิศใต้หรือทิศตะวันตกของตัวอาคาร โรงงานคุณอยู่ตรงไหนก็เอาตัวโรงงานเป็นหลัก ไปดูว่าตั้งตรงทิศหรือไม่ ? ถ้าผิดทิศก็ไปทำพิธีย้ายเสียใหม่
ถาม : ต้องให้คนมาทำพิธีย้ายไหมครับ ?
ตอบ : ย้ายเองก็ได้ เตรียมศาลใหม่ไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วจุดธูปบอกกล่าวท่านว่า ขออนุญาตย้ายมาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ขอให้ท่านช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์และสร้างความเจริญให้กับเราด้วย
ถาม : ความเชื่อของคนโบราณที่ว่า ถ้านกแสกไปเกาะที่บ้านไหน บ้านนั้นจะมีคนตายหรือจะมีเรื่องอวมงคลเกิดขึ้น จริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แล้วบ้านไหนที่ไม่มีคนตายบ้าง ? ลองทดสอบได้ คนไหนใกล้ตายเราก็ไปนั่งรอดูว่าจะมีนกแสกมาหรือไม่ ? จริง ๆ แล้วนกแสกบินไปทุกที่ยกเว้นภาคอีสาน ถ้านกแสกไปภาคอีสาน คนยังไม่ทันจะตายหรอก นกมักจะตายก่อนทุกที กลายเป็นลาบ..! คนอีสานไม่ค่อยจะมีอะไรกิน ถ้าได้ยินเสียงนกแสกนี่วิ่งเข้าหาเลย
ถาม : ผมกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่าพุทโธ กำหนดไปจนถึงจุดหนึ่งลมหายใจหายไปเหลือแต่ตัวรู้ตัวเดียว ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีร่างกาย เวลาอยู่บนรถเมล์หรือไม่ว่าที่ไหนพอหลับตาก็เหลือสภาวะรู้สภาวะเดียว แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ผมลุกขึ้นกระทันหัน ตั้งแต่นั้นมาก็กำหนดไม่ได้ ปัจจุบันนี้เวลามองดูร่างกายตัวเองรู้สึกว่าไม่ใช่ร่างกายตนเอง ไม่ทราบว่าต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ความจริงที่ทำมานั้นดีแล้ว พอทำไปถึงระดับหนึ่งอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว เราคิดเมื่อไรก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่า สมาปัชชนวสี มีความชำนาญในการเข้าสู่อารมณ์นั้น ๆ
แต่คราวนี้เราชำนาญการเข้า ไม่ชำนาญการออก พอเราไปลุกพรวดพราดจึงหลุดหายไป พออยากจะได้ใหม่ ด้วยความที่อยากได้จึงทำให้จิตฟุ้งซ่าน ก็เลยทรงอารมณ์นั้นไม่ได้สักที
ถ้าคุณวางกำลังใจเบา ๆ สบาย ๆ ได้ก็ช่างไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา ดูลมของเราไป มีลมรู้ลม มีคำภาวนารู้คำภาวนา ไม่มีลมไม่มีคำภาวนาก็กำหนดรู้อยู่เฉพาะหน้าแค่นั้น ถ้าทำได้แบบนั้นจะกลับคืนมาเร็ว แต่ถ้าไปทำเพราะอยากได้เหมือนเดิม อารมณ์นั้นจะไม่มาหรอก เพราะใจของเราไม่นิ่ง
การที่เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ถ้าเห็นอย่างเดียวโดยไม่ได้คิดว่า ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเราแล้วเราจะจัดการอย่างไร ? ก็ดูว่าร่างกายนี้ไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เราก็ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการ ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วก็เอาใจไปเกาะตรงนั้นแทน
คนเคยทำได้แล้วครั้งต่อไปไม่ยาก กลับไปเริ่มต้นใหม่พักเดียวก็ได้ เพียงแต่วางกำลังใจให้ถูก ภาวนาแล้วอย่าอยากได้ อย่าอยากเป็น เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง น่าเสียดายนะ..เผลอหน่อยเดียวหลุด แต่พอหลุดแล้วก็เห็นชัดว่า ก่อนหน้านี้ที่รัก โลภ โกรธ หลง กินเราไม่ได้เพราะสมาธิไม่ขาดช่วง พอขาดลงคราวนี้กิเลสเล่นเราปางตายเลย..!
กลับไปเริ่มต้นใหม่ คนเคยทำได้แล้วไม่ยากหรอกจ้ะ เพียงแต่ว่าอย่าอยากเท่านั้น เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ได้หรือไม่ได้ก็ช่าง วางกำลังใจสบาย ๆ พักเดียวก็ได้เลย
ถาม : ภาวนาเหมือนเดิมหรือครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ถ้าจะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ แต่สภาพจิตจะเคยชินกับของเดิมมากกว่า เคยชินของเดิมก็ใช้ของเดิม เพียงแต่ว่าวางกำลังใจใหม่นิดเดียว คือเรามีหน้าที่ภาวนาจะเป็นหรือไม่เป็น จะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง
ถาม : โยมนั่งปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้คือนั่งครั้งละ ๑ ชั่วโมงค่ะ นั่งแล้วจะรู้สึกแค่ศีรษะกับปลายเท้าและปลายเท้าถึงศีรษะ เป็นเวลาตลอด ๑ ชั่วโมง จะรู้สึกอยู่แค่นั้น ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่คะ?
ตอบ : จริง ๆ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ตอนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออก สมาธิจะทรงตัวแนบแน่นกว่า
เมื่อสมาธิทรงตัวแนบแน่นมั่นคง รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินใจเราได้ยากกว่า การกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งที่ดีแต่ว่าไม่มั่นคง ในเมื่อไม่มั่นคง ถ้าเราคลายออกมา กระทบอะไรก็จะโกรธได้ง่าย ถ้าหากว่าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกไปจนกระทั่งชิน ถึงเราเลิกไปแล้วก็ยังรู้อัตโนมัติอยู่ จะเป็นไปเองโดยเราไม่ต้องบังคับ ถ้าอย่างนั้นจะมั่นคงกว่า ต่อให้เราจะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรกิเลสก็กินใจเราไม่ได้
ถ้าถามว่าถูกไหม..ถูก เพียงแต่ว่าความมั่นคงมีน้อยไปนิดหนึ่ง ถ้าต้องการความมั่นคงจริง ๆ เราต้องไปดูลมหายใจเข้าออกแทน
ถาม : เคยลองปฏิบัติแบบดูลมหายใจเข้าออก ๑ ชั่วโมงซึ่งจะได้ไม่เต็มชั่วโมง แต่ถ้ารู้สึกตัวทั่วพร้อมจะได้ครบ ๑ ชั่วโมงเต็ม
ตอบ : อย่าบังคับตัวเองจ้ะ เอาเป็นว่าดูลมหายใจเข้าออกได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เอาเวลาที่เหลือไปกำหนดการรู้ตัวของเราแทน ทำสองอย่างรวมกันไปเลย ของเก่าก็ไม่เสีย ของใหม่ก็จะได้ไปด้วย
ถาม : ผมนั่งปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าข้างในนิ่งอยู่อย่างนั้นครับ
ตอบ : จริง ๆ แล้วลักษณะนั้นกำลังใจทรงตัวดีแล้ว เพียงแต่ขอให้ตั้งใจว่าเราจะอยู่ในสภาพนั้นนานเท่าไร เช่นนิ่งสักครึ่งชั่วโมง เมื่อถึงเวลาครึ่งชั่วโมงสภาพจิตจะคลายออกมาโดยอัตโนมัติ เป็นอารมณ์ที่รับรู้ทุกอย่าง แล้วเราก็มาพิจารณาร่างกายของเราตามหลักไตรลักษณ์ คือให้เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จะได้ประโยชน์มาก
แต่ถ้าหากว่าเรานั่งแล้วนิ่งแค่นั้น อารมณ์ใจจะทรงตัวเฉพาะตอนที่เรานั่ง ไม่สามารถที่จะจำกัดกิเลสได้มากกว่านั้น ให้เราไม่ก้าวหน้าไปมากกว่านั้น ดังนั้น..ก่อนที่เราจะทำ ตั้งใจไว้เลยว่าจะให้นิ่งนานเท่าไร กำหนดเวลาเอาไว้ ถึงเวลาก็จะคลายจะออกมาเอง
แต่พอคลายออกมาตอนนี้ต้องรีบหางานให้ใจทำ ก็คือพิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ดูให้เห็นชัด ๆ ว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้าไม่ให้ใจมีงานทำใจก็จะฟุ้งซ่านขึ้นมาเอง บางทีคิดเรื่องเดียวกันได้เป็นวัน ๆ เลย เพราะเอากำลังจากการภาวนาไปคิดฟุ้งซ่านแทน
ฉะนั้น..โยมทำมาดีแล้ว เพียงแต่กลับมาพิจารณาใหม่เท่านั้น เมื่อพิจารณาแล้วประโยชน์จะเกิดขึ้น พออารมณ์ใจทรงตัวแล้วค่อยกลับไปภาวนาใหม่
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเห็นพวกแอฟริกันผิวดำที่ผมติดหนังศีรษะแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านปลงพระเกศาครั้งเดียวในชีวิต แล้วเส้นผมก็ขอดติดพระเศียร ไม่เคยต้องปลงอีกเลย พอไปดูพวกแอฟริกันผิวดำก็เห็นว่าผมเขาติดหนังศีรษะ ดูอย่างไรก็ไม่ยาว
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระไว้ผมยาวได้ไม่เกิน ๒ ข้อนิ้ว สำหรับ ๒ ข้อนิ้วนั้น ถ้าตั้งใจตัดจะได้ทรงกำลังสวยเลยนะ แต่ว่าพระท่านโกน การโกนศีรษะพระพุทธเจ้าอนุมัติว่าอย่าให้เกิน ๒ เดือนต่อครั้ง หรือว่าอย่าให้ความยาวเกิน ๒ ข้อนิ้ว เพราะบางคนผมยาวเร็ว ถ้าผมยาวก่อน ๒ เดือนถึง ๒ ข้อนิ้วก็ต้องโกน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยยาวถึงสักที เพราะม้วนติดหนังศีรษะ ก็เลยไม่ต้องโกนตลอดชีวิต
เราจะเห็นว่าพวกฮินดูพราหมณ์ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายจะไว้ผมยาวเสมอ แล้วก็จะเกล้ามวยผมแทนเขาไกรลาสอันเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสำคัญที่พวกเขาเคารพนับถือ
คนที่ผมสั้นเขาถือว่าเป็นกาลกิณี ไม่มีใครคบด้วย พระพุทธเจ้าทรงเสี่ยงที่สุดในโลก เพราะพระองค์ปลงพระเกศา ทำตัวเป็นคนกาลกิณี ไม่มีใครคบ ถ้าไม่บรรลุมรรคผล แปลว่าไม่สามารถจะถอยกลับไปที่เดิมได้อีกแล้ว ปิดทางถอยของพระองค์เองจนหมด ต้องเด็ดขาดแบบนั้นถึงจะเอาดีได้ ถ้าไม่เด็ดขาดอย่างนั้นจะเอาดีไม่ได้ เพราะฉะนั้น..โกน..!" (หัวเราะ)
พระอาจารย์กล่าวว่า "วายเม เถว ปุริโส เกิดเป็นคนต้องพยายามอยู่ร่ำไป จะทิ้งความเพียรไม่ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงอธิษฐานตอนช่วงที่จะตรัสรู้ว่า พระองค์ท่านจะเพียรพยายามจนสิ้นเรี่ยวแรงที่บุคคลจะพึงปฏิบัติได้ แม้ว่าเลือดเนื้อในร่างกายนี้เหือดแห้งไปก็ตามที ต่อให้ชีวิตินทรีย์นี้สิ้นลงไป ถ้าไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ พระองค์ท่านจะไม่ละจากบัลลังก์นี้
อย่าลืมนะ..พระองค์ท่านว่า "จนสิ้นเรี่ยวแรง" ก็แปลว่าทุ่มเทชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "ในงานของครูบาวิฑูรย์ มีนักเลงดีเขาลองว่าอาจารย์ใหญ่จะแน่สักแค่ไหน ? ป่านนี้คงรู้แล้วว่าอาจารย์ใหญ่แน่แค่ไหน อาตมาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ปลุกคาถามหาสะท้อนเท่านั้น คนอื่นเขาคงแปลกใจว่าทำไมอาตมาขยับแล้วขยับอีกนั่งไม่ติด เพราะตอนนั้นเหมือนกับมีเหล็กแหลมแทงจากฝ่าเท้าเข้าไปถึงกระดูก ปวดสุดใจขาดดิ้นเลย..!
ครั้งแรกก็ว่าจะยอมรับกฎของกรรมเสียหน่อย แต่ชักจะแรงขึ้นทุกที ก็เลยไม่เอาด้วยแล้ว ทีแรกกดไว้แค่หัวเข่า เขาก็ยังไม่เลิกอีก เลยดันพรวดคืนไป พอพระเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ก็เริ่มต้นเอาอีกแล้ว ในเมื่อมาใหม่ อยากได้ก็คืนไป เราไม่ได้ทำอะไรนี่หว่า..!
ถ้าเขารู้พื้นฐานดวงของอาตมาว่าอริเป็นมรณะ ก็คงจะไม่คิดทำอะไร เผอิญว่าเขาไม่รู้ พื้นฐานดวงของอาตมา พอถอดออกมาแล้ว ปัตนิเป็นโภคะ ก็คือผู้หญิงจะให้ลาภ จะได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงเสมอ
ข้อที่สอง คืออริเป็นมรณะ ใครตั้งตัวเป็นศัตรู แค่นั่งมองเฉย ๆ เขาก็ตายไปเอง ไม่ต้องไปทำอะไร อันดับสุดท้าย สหัชชะเป็นพยายะ เพื่อนจะพาจนตลอด อาตมาเลยตัดสินใจจัดกฐินปลดหนี้ให้เลย จะได้ไม่ต้องมาพาให้จนอีก
พื้นฐานดวงเป็นอย่างนี้จริง ๆ ก็เลยไม่ต้องแปลกใจนะว่าทำไมยันต์เกราะเพชรหรือตะกรุดมหาสะท้อน อาจารย์เล็กถึงทำขึ้นนักหนา จะไม่ให้ขึ้นได้อย่างไร เพราะอริเป็นมรณะ มาเท่าไรก็คืนไปหมด"
ถาม : เมื่อถึงวาระสุดท้ายที่จิตออกจากกาย จิตไปสุคติอย่างไรคะ ?
ตอบ : กำลังใจสุดท้ายเกาะอะไร ก็จะไปที่นั่น
ถาม : ระหว่างที่จิตหลุดออกไป หนูเห็นรอบข้างมีลักษณะดำ ๆ ไม่ได้มืดสนิท แต่เหมือนกับไม่มีอะไรเลย ตรงนั้นเป็นสภาพที่เขาเรียกว่าสภาพที่ไม่มีอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คือสภาพการรับรู้ของจิตจะเป็นไปตามกำลังเฉพาะของตน ไม่ได้ขอบารมีพระก็จะไม่เห็น
ถาม : ทำไมเวลาที่เราเจ็บมาก ๆ เราไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ?
ตอบ : ความจริงเราพยายามดิ้นรนให้พ้นความเจ็บ แต่ในเมื่อไม่มีทางพ้นได้ก็ไม่อยากจะอยู่ อารมณ์นั้นจริง ๆ เป็นตัวมุญจิตุกัมมยตาญาณ ขณะเดียวกันก็ใกล้จะเป็นนิพพิทาญาณ คือจะแสวงหาความหลุดพ้น ถ้าเบื่อมาก ๆ ก็จะหาว่าควรจะไปไหน
ถาม : ถ้าอย่างนั้นหนูควรจะ..?
ตอบ :ให้พิจารณาให้เห็นจริงว่า ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ใช้งานร่างกายได้ก็ทนใช้ไป หมดอายุเมื่อไรก็ไปของเรา..!
ถาม : ในสภาวะที่จิตนิ่ง พอเราเป็นแก้วก็เหมือนกับว่ารัก โลภ โกรธ หลง บางอย่างยังเกาะได้อยู่ แต่ถ้าพอจิตเรานิ่งใสเป็นประกายพรึก กิเลสละเอียดต่าง ๆ ก็จะเกาะไม่ได้อีกต่อไป หมายความว่าถ้าทำจิตสุดท้ายแบบนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องไปเกาะอะไรหรือคะ ?
ตอบ : เป็นการพ้นกิเลสโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มไว้ แต่เราต้องไปให้ถึงจริง ๆ ถ้าไปไม่ถึง เผลอเมื่อไรกิเลสต่าง ๆ ก็จะกลับมาอีก
ถาม : บางครั้งจิตจะเห็นเหมือนกับว่าสิ่งข้างนอกเป็นสิ่งที่เราเห็น นั่นคือสิ่งที่เรารับรู้ แต่สภาพในใจจริง ๆ คือ..?
ตอบ : ก็คือสภาพการรับรู้ของจิต ถ้าเราให้ความสนใจเมื่อไร ตัวนิ่งก็จะยื่นหน้าไปใกล้กับสิ่งนั้น แล้วถ้าควบคุมไม่เป็นก็จะไหวกระเพื่อมไปกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะเกิดขึ้นกับเรา
แต่ถ้าเรารับรู้เท่าที่จำเป็น รักษาความสงบไว้ ข้างนอกสักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส กิเลสก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ เพราะเท่ากับว่าอารมณ์ข้างในไม่กระเพื่อม
ถาม : อย่างนี้ส่วนสุดท้ายก็คือพยายามทำให้จิตนิ่งละเอียดถูกไหมคะ ?
ตอบ : สิ่งสำคัญที่สุดก็คืออย่าไปต่อความยาวสาวความยืด อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากสติรู้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าจำเป็นต้องยุ่งก็ออกไปด้วยความระมัดระวังอย่างมีสติ ถึงเวลาก็กลับมาสู่ความสงบอยู่ตามเดิม
โดยเฉพาะจุดที่ต้องระวังมากที่สุด คือ การยินดียินร้ายกับสิ่งใดง่ายเกินไป สภาพจิตแม้จะเป็นปีติยินดีในธรรมก็ตาม ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะเป็นแค่กำลังของกามาวจรเท่านั้น ต้องก้าวข้ามผ่านจุดนั้นไปให้ได้
พระอาจารย์เล่าว่า "พวกซามูไรญี่ปุ่นจะรักอาวุธของเขามาก ถึงขนาดทำแท่นตั้งไว้แบบแท่นบูชา ส่วนไทยเรา ดาบไทยก็มี พระขรรค์ก็มี แต่ไม่ได้รับการดูแลดีขนาดนั้น ช่างญี่ปุ่นที่ทำดาบซามูไรเก่ง ๆ เขาสืบทอดกันมาตามตระกูล หลักวิชาของเขามีมาเป็นพันปี ไม่ได้สูญหายไปไหน แต่ของไทยเราในปัจจุบันก็ได้แค่ทั่ว ๆ ไป มีไม่กี่รายที่ศึกษาค้นคว้าลึกซึ้ง แต่ก็ยังไม่ได้อย่างของโบราณ
สมัยเด็ก ๆ บ้านคุณตาข้าง ๆ บ้านเป็นโรงตีเหล็ก แกเล่าให้ฟังว่าสมัยช่วงสงคราม เหล็กหาได้ยาก พวกทหารญี่ปุ่นมาดูการทำงานของแก แกกำลังตีมีดอยู่ ทหารญี่ปุ่นเห็นแกเผามีดแล้วดึงออกมาตี เขาก็สั่นหัว คุณตาก็สงสัย ทหารญี่ปุ่นพยายามบอกใบ้ว่าจะจัดการเอง แล้วเขาก็เอาคีมคีบมีดแหย่เข้าไปในกองไฟ คุณตาก็นั่งดูไปเรื่อย
พอมีดร้อนได้ที่ก็ดึงออกมาตี ออกมาเป็นมีดพร้าเหมือนกัน เหมือนที่ใช้งานทั่ว ๆ ไป แต่พอขึ้นคมเสร็จ กลับฟันมีดอื่นขาดได้..! ทั้ง ๆ ที่เป็นเหล็กอย่างเดียวกัน เขาให้ถือไว้แล้วฟันฉับให้ดูเลย แสดงว่าพวกเขาชำนาญถึงขนาดดูว่า สีโลหะที่โดนเผาถึงระดับไหน ความแข็งความเหนียวจะได้ที่มากที่สุด"
"นักประดาน้ำไทยคนหนึ่ง เคยได้รับการจ้างจากนักธุรกิจญี่ปุ่นคนหนึ่งเมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว เป็นเงินห้าหมื่นดอลล่าร์ให้ดำน้ำให้ เขาก็ตกลงไปดำน้ำให้ จุดที่ดำน้ำเป็นจุดที่เรือญี่ปุ่นโดนตอร์ปิโดแล้วจมอยู่ตรงนั้น เขามีแผนที่ละเอียดมากเลย
เขาบอกว่าให้เข้าไปจนถึงห้องบังคับการเรือ จะมีโครงกระดูกอยู่ ไม่ต้องแตะต้อง ให้ดูที่ข้างฝา ถ้ามีดาบซามูไรแขวนอยู่ให้ปลดซามูไรเล่มนั้นออกมาให้เขา เพราะเป็นของประจำตระกูล เขาจะเอากลับไปบูชา
พอเข้าไป เพื่อนบอกว่าเกือบเอาตัวไม่รอด เพราะปลาไหลมอเรย์ไปอาศัยอยู่ในนั้น ปลาไหลทะเลยักษ์หวงที่ เกือบโดนงับตาย แต่ก็เอาซามูไรออกมาได้ เหลือเชื่อตรงที่ว่าดาบแช่น้ำทะเลอยู่ตั้งแต่สมัยสงครามโลก แต่ไม่เป็นสนิม แสดงว่าโลหะศาสตร์ของเขาก็ไม่หนีของโบราณเรา
ลองไปดูปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหมสิ ตั้งแต่สงครามสมัยเสียกรุง จนป่านนี้สนิมกินเสียเมื่อไร ความรู้โบราณถ้าไม่ได้รับการสืบทอด ไม่มีอัจฉริยะรุ่นใหม่ ๆ มา ก็จะสูญไป อย่างบ้านจ่าตุ่มถือว่าเขาพยายามเรียนรู้เรื่องโลหะศาสตร์ แต่ว่าเขายังต้องสั่งของสำเร็จจากนอกมาใช้ในการทำมีด
งานทุกอย่างที่บ้านจ่าตุ่มทำก็ถือว่าเป็นงานฝีมือในระดับที่น่าพอใจ แต่ถ้าให้เขาหลอมโลหะเองก็ยังทำไม่ได้"
ถาม : เหล็กพวกนี้หล่อร้อนแล้วตี หรือใช้เทคโนโลยี ?
ตอบ : ส่วนใหญ่สมัยก่อนเป็นเหล็กร้อน อย่างเหล็กดามัสกัส เขาเผาแล้วก็ตีทบไปเรื่อย ๆ เป็นร้อย ๆ ชั้น ต้องมีความอดทนสูงจริง ๆ บางทีทั้งชีวิตสร้างดาบดี ๆ ได้แค่เล่มเดียว
ไม่รู้ว่าตอนนี้ซามูไรของท่านมูซาชิยังอยู่หรือเปล่า ? ตอนวาระสุดท้ายปรมาจารย์มูซาชิใช้ไม้พายเล่มเดียวสู้กับซามูไรนางแอ่นเหิน ท่านพายเรือไปตามที่นัด ก่อนจะถึงที่หมายท่านมูซาชิเอาพายมาตัดด้ามแล้วก็เหลาเป็นอาวุธ
ส่วนอีกฝ่ายเขาถือว่าความเร็วของเขาสุดยอดแล้ว สามารถใช้ซามูไรฟันนกนางแอ่นที่บินอยู่กลางอากาศได้ เขาถึงกล้าไปท้าดวลกับท่านมูซาชิ
พอถึงวันนัด คนดูก็ไปรอกัน แต่เงียบ.. สองคนไม่โผล่มาสักที เพราะต่างคนต่างปฏิบัติการทางจิตวิทยาต่อกัน ท่านมูซาชิไปลอยเรืออยู่ใกล้ ๆ นอนอยู่ในเรือ อีกฝ่ายหนึ่งก็รอ จนเวลากระชั้นชิดเต็มทีแล้วถึงเดินทาง พอสู้กันปรากฏว่าท่านมูซาชิชนะ
อีกฝ่ายถามว่า กลั่นแกล้งขนาดนั้นแล้วทำไมท่านมูซาชิไม่ร้อนรนเลย ท่านมูซาชิบอกว่า ท่านแกล้งเราก็เท่ากับว่าท่านแกล้งตัวเอง เพราะท่านเองก็ต้องรอเหมือนกัน จบเลย.. แกล้งให้คนอื่นรอ ตัวเองก็ต้องรอ เครียดพอกัน เขาเรียกว่าใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ใช้ความสบายนิ่งเฉยแทนการตรากตรำ
ลองไปดูประวัติท่านมูซาชิหรือไม่ก็ซานชิโร่ ซานชิโร่พอถอดเสื้อออก คนเขาเห็นแผลที่หลัง ก็พากันดูถูกซานชิโร่ คิดว่าเป็นซามูไรที่ขี้ขลาดเพราะหันหลังให้ศัตรู ก็เลยโดนฟัน แต่ความจริงไม่ใช่ เขาป้องกันคนอื่นโดยเอาตัวเองไปขวาง จึงโดนฟันที่หลัง คนที่ประมาณการซานชิโร่ผิดนี่ตายทุกราย..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านเป็นนักเทศน์ เขาจะมีการเทศน์ประลองปฏิภาณไหวพริบกัน อย่างเช่นเมื่อก่อนเขาทอดกฐินกันทางน้ำ จะมีการแห่กฐินกันเสียงดังอีโล้งโช้งเช้งทางลำน้ำ ใครได้ยินเสียงอยากจะทำบุญกฐินก็มาดัก โบกผ้าขาวม้าไปมา แล้วทำบุญด้วยข้าวสารอาหารแห้งบ้าง หรือเงินบ้าง
มีโยมคนหนึ่งเป็นชาวประมงน้ำจืด กำลังหาปลาอยู่ ปรากฏว่าปลากะโห้ติดเบ็ด ปกติปลากะโห้จะมีขนาดใหญ่มาก น้ำหนักประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ กิโลกรัมเป็นเรื่องปกติ ปลากะโห้ก็ลากเบ็ดไป เรือก็วิ่งตามปลาที่ลากไปทั้งลำ โยมเขาก็เอาสองมือยื้อเบ็ดไว้ ผ้าขาวม้าก็ลื่นหลุด ไม่มีเวลาผูกจะมัดผ้าขาวม้าให้ดี ผ้าขาวม้าจึงสะบัดลมพั่บ ๆ ไปเหมือนธง แกลลอนหรือกระป๋องน้ำที่เตรียมเอาไว้วิดน้ำในเรือ พอโดนเรือลากก็กลิ้งกระทบซ้ายขวา ดังโคล้งเคล้ง ๆ ไปตลอดทาง ผ่านบ้านคุณยายคนหนึ่ง คุณยายเห็นก็นึกว่าขบวนกฐิน จึงยกมือขึ้นสาธุ..!
นักเทศน์ถามว่า คุณยายท่านนั้นได้บุญหรือได้บาป ? คือเขากำลังทำบาปแล้วไปโมทนา จะได้บุญหรือบาปกันแน่ ? นักเทศน์สมัยก่อนเขาเล่นกันอย่างนี้เลยนะ ถ้าไม่แม่นประเด็นจริง ๆ ตายคาธรรมาสน์แน่นอน..! สรุปว่าโยมที่ตั้งใจโมทนาได้บุญกฐินไปเต็ม ๆ เพราะไม่รู้ว่าเขาตกปลา คิดว่าเป็นขบวนเรือกฐิน เป็นการตั้งใจโมทนาความดี ไม่ใช่โมทนาความชั่ว"
ถาม : ช่วงนี้รู้สึกเบื่อเรื่องโลก ๆ ค่ะ รู้สึกทุกข์ใจมาก ถ้าหากว่านั่งสมาธิธรรมดายังไม่หาย เลยนั่งสมาธิแบบปล่อยให้ว่าง ๆ คิดว่าอะไรก็ไม่มี จนจิตดิ่งไปเรื่อย ๆ จนจิตไปเกาะนิพพาน พอเกาะไปรู้สึกว่าดับ ๆ นิ่ง ๆ และเราก็รู้ตัว รู้สึกว่าถ้าเราอยู่อย่างนี้ ทรงอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ดี แต่ถ้ามีคนมาคุยด้วย เหมือนกับต้องปล่อยมือที่เกาะออกมามือหนึ่ง เพื่อมาคุยกับเขาพักหนึ่ง บางทีก็เหนี่ยวกลับเข้ามาได้ บางทีก็เหนี่ยวเข้าไปไม่ได้ค่ะ
ตอบ : ซ้อมให้คล่องตัวจ้ะ แต่วิธีที่เราทำนี้อันตรายอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า ถ้าสมาธิเราเคลื่อน รัก โลภ โกรธ หลง จะตีเราตายเลย เพราะฉะนั้น..ใช้วิธีพิจารณาจะดีกว่า ต่อให้ไม่ชำนาญอย่างไรก็ต้องทำให้ได้จ้ะ
เพราะการพิจารณา ถ้าตัดได้ก็จะตัดไปเลย สิ่งที่เราทำอยู่คือกดกิเลสไว้ชั่วคราว ถ้าระยะเวลาไม่นานพอ กิเลสก็ยังเจริญงอกงามเป็นปกติ จะพาเราทุกข์ทีหลัง ถ้าต้องการที่จะหนีกิเลสในลักษณะนั้น จะต้องซ้อมเข้าออกให้ชำนาญจริง ๆ
ถาม : เรื่องดวงชะตา ถ้าคนที่มีดาวพุธเป็นมรณะก็คือเป็นคนปากเสีย แต่ถ้าดวงการงานตกมรณะ นี่แปลว่า จะได้ทำงานเกี่ยวกับความตาย หรืออยู่ใกล้เมรุหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เขาแปลว่า ทำงานอยู่ที่ไหนหัวหน้าหรือเจ้านายตายหมด..! เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ชอบพรรคไหนให้ไปสมัครพรรคนั้น..! (หัวเราะ)
ถาม : เวลาภาวนาแล้วตกภวังค์ สะดุ้งทุกที เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : สติขาด..จริง ๆ แล้วกำลังสมาธิตอนนั้นกำลังจะเป็นปฐมฌานหยาบอยู่แล้ว แต่สติขาด ตามไม่ทัน พอรู้ตัวจะรู้สึกเหมือนจะตกจากที่สูง สะดุ้งเฮือก ให้เราเอาความรู้สึกทั้งหมดจ่อติด ๆ กับลมหายใจไปเลย แล้วจะไม่เป็นอย่างนั้น
ถาม : เวลาหนูมาทำบุญ เขาไม่ค่อยอยากให้หนูมา หนูจะวางกำลังใจอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ถ้าเราจะทำ อะไรก็ขวางไม่ได้ ภูเขาจะกั้นขวางหน้า แดดกล้าจะร้อนเพียงใด ก็จะไปทำบุญให้ได้ เป็นตายก็จะไปทำบุญ..! ถือว่าเป็นอุปสรรคที่ทดสอบบารมีจ้ะ
ถาม : หนูเอาพระขรรค์พกติดตัวไว้ มีคนบอกว่าไม่ควรพกพระขรรค์ติดตัวไว้ ควรจะบูชาไว้บนหิ้ง แต่จริง ๆ แล้วหนูพกได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ
ถาม : อย่างในห้องนอน มีผู้ใหญ่บางท่านบอกว่า ห้ามเอาพระไว้ในห้องนอน ?
ตอบ : เขากลัวเราจะไปทำไม่ดีไม่งาม เช่น เผลอนอนหันเท้าไปทางพระ ควรเอาไว้ทางหัวนอนได้จ้ะ ก่อนนอนจะกราบพระก่อน
พระอาจารย์เล่าว่า "หนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผู้เขียนคือ ลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ลูกสาวของคุณลอร่าที่ชื่อโรส เขียนเรื่องนี้ต่อจากแม่ โดยใช้ชื่อตอนว่า "ไม่ระย่อมรสุม"
ที่โรสเขียนจริง ๆ ก็คือเนื้อหาในสี่ปีแรกและตามทางสู่เหย้าที่ลอร่าวางพล็อตเรื่องคร่าว ๆ ไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เขียนเพราะสิ้นชีวิตเสียก่อน อย่าคิดว่าคุณลอร่าอายุสั้นนะ คุณยายลอร่าเสียชีวิตตอนอายุ ๙๐ กว่าปี
คุณยายเขียนหนังสือชุดนี้ไว้ ๘ เล่ม มี บ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านเล็กในทุ่งกว้าง เด็กชายชาวนา บ้านเล็กริมห้วย ริมทะเลสาบสีเงิน ฤดูหนาวอันแสนนาน เมืองเล็กในทุ่งกว้าง ปีทองอันแสนสุข
ส่วนสี่ปีแรกกับตามทางสู่เหย้าเหมือนบันทึกย่อ ยังไม่ได้ขยายความ ตอนหลังเขาพิมพ์ออกมาเป็นชุดเดียวกัน แต่ว่าโรสที่เป็นลูกสาวนั้นเอาพล็อตเรื่องนี้มาจินตนาการแต่งเติมเพิ่มเข้าไป แล้วก็ดึงเอาเรื่องที่แม่เล่ามาใส่ กลายเป็นตอนไม่ระย่อมรสุม ใครที่รู้สึกท้อแท้กับชีวิต ลองไปอ่านดูบ้าง จะได้รู้ว่าที่เราว่าลำบากนั้นยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเขาเลย
ครอบครัวอิงกัลส์มีลูก ๔ คน คือ แมรี่ ลอร่า แครี่ และเกรซ เขาบรรยายว่าแมรี่พี่สาวคนโตสวยเหมือนนางฟ้า ส่วนลอร่าไม่สวย ที่พี่สาวสวยเพราะว่าผมของพี่สาวเป็นสีทองอร่าม ส่วนลอร่าผมเป็นสีน้ำตาล พระเอกในเรื่องเป็นลูกชาวนา แต่งงานกับลอร่าก็อพยพไปหาที่ทำกินใหม่ ลำบากยากแค้นเพราะว่ากำลังเพาะปลูกดี ๆ อยู่ก็มีอันเป็นไป
อย่างเช่นว่าพรุ่งนี้จะเกี่ยวข้าวได้แล้ว พายุหิมะก็ถล่มเสียคืนนั้น กำลังจะได้ผลิตผลแล้วต้องมาสูญเสียไปในพริบตา โหดร้ายเกินไปไหมนั่น ? หรือกำลังปลูกข้าวงามอร่ามเลย คิดว่าปีนี้รวยแน่ เป็นหนี้อยู่ก็ไม่ต้องกลัว คาดว่าได้ใช้หนี้หมดแน่ แต่ที่ไหนได้อยู่ ๆ เมฆมาฟ้ามืดไปหมด แล้วก็เหมือนมีอะไรตกลงมา ไม่ใช่เมฆแต่เป็นตั๊กแตน กินผลผลิตเกลี้ยงเลย กินจนราบไม่มีอะไรเหลือ
แล้วก็วางไข่ เจาะดินเสียจนพรุนเป็นรูเล็ก ๆ ไปหมด ปีถัดไปตั๊กแตนที่ออกจากไข่ก็ยิ่งหนักไปกว่าเดิมอีก เพราะว่าตั๊กแตนเพิ่งเกิดยิ่งกินหนักกว่าพ่อแม่ สรุปว่า ๒ ปีไม่มีอะไรเหลือเลย เราแค่น้ำท่วมนิดเดียวเท่านั้น ลองไปอ่านไม่ระย่อมรสุมดู จะรู้ว่ามรสุมชีวิตของคนอื่นนั้นดุเดือดขนาดไหน"
ถาม : หนูรู้สึกว่าเล่มแรก ๆ สนุกกว่าเล่มหลัง ๆ ค่ะ
ตอบ : ความจริงเนื้อหาสนุกใกล้เคียงกัน แต่ว่าเล่มแรกมีสิ่งที่บรรยายมาก ในเมื่อมีสิ่งที่บรรยายมาก ใส่รายละเอียดมากก็น่าติดตาม โดยเฉพาะบรรยากาศของท้องทุ่งป่าเขา การทำมาหากินของคนในสมัยนั้น ที่หันไปทางไหนก็ยังเป็นที่ดินว่างเปล่า ไม่มีคนจับจอง
ในชีวิตอาตมา ถ้าบอกว่าตอนที่ยากลำบากก็ยังไม่หนักอย่างที่เขาบรรยายมา รุ่นพ่อรุ่นแม่เวลาเกิดทุพภิกขภัยขึ้นมา ถึงขนาดต้องกินขุยไผ่เป็นเดือน ๆ ก็มีมาแล้ว ต้องกินกลอยก็มีมาแล้ว คนที่กินกลอยเป็นประจำ นาน ๆ เข้ายังเป็นโรคประหลาด คือจะพุงป่องแต่ผอมลีบ แต่ถ้าทำกลอยไม่เป็นก็จะเมาหัวทิ่ม อาเจียนเป็นถังเลย
"ตอนอาตมายังเด็ก ๆ ต้องบอกว่าการทำมาหากินพึ่งเทวดาอย่างเดียว ถ้าฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาลก็มีโอกาสเกิดทุพภิกขภัยได้
ทุพภิกขภัย ก็คือ ความอดอยาก ตอนเด็ก ๆ ที่ลำบาก เช่น เวลาหุงข้าวจะไม่ใช่ข้าวอย่างเดียว จะต้องปนด้วยมันเทศบ้าง ปนด้วยข้าวโพดบ้าง เพื่อให้ได้ปริมาณมากขึ้น จนกระทั่งท้ายสุดข้าวขาวไม่มี ต้องกินข้าวกล้อง เป็นข้าวกล้องประเภทที่ชาวบ้านตำเอง สีเอง กลืนไม่ค่อยลงหรอก ฝืดคอมากเลย เพราะบางทีมีเปลือกข้าว (แกลบ) ติดมาด้วย
ถัดจากนั้นเมื่อกินจนไม่มีข้าวกล้องแล้ว ก็ต้องเอาข้าวโพดที่เก็บไว้ทำพันธุ์มากิน ลองคิดดูว่าข้าวโพดแห้ง ๆ ต่อให้ต้มขนาดไหนก็ยังแห้งแข็งอยู่อย่างนั้น แต่ก็ต้องกินเข้าไป กินในลักษณะกันตายไปก่อน
ช่วงนั้นถ้าจำไม่ผิดก็คือ แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็อย่าหวังว่าจะมีของใหม่ จำได้ว่าต้องเอากระสอบข้าวมาห่มแทนผ้าห่ม คันอย่าบอกใครเลย แต่ก็ดีตรงที่ว่า ถ้าชีวิตของเราผ่านความลำบากมาแล้ว ก็จะไม่มีอะไรลำบากสำหรับเราอีก ต่อไปถ้าลำบากไม่ถึงขนาดนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับเรา ที่เขาบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ ที่สบายเพราะว่าที่ลำบากที่สุดเราผ่านไปแล้ว ที่เหลือก็สบายทั้งนั้นแหละ.."
รุ่นพวกเราแม้น้ำมันจะแพง เราก็ยังมีข้าวกิน ทองจะแพงก็ช่างหัวมัน เราไม่ได้กินทองนี่..! แต่ให้นึกถึงที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกไว้ด้วยนะ ท่านบอกว่าใครมีที่มีทางให้เก็บไว้บ้าง ปลูกผักปลูกหญ้าเอาไว้ ระยะหลังอาตมาเห็นเขาทำพวกไร่ปาล์มน้ำมัน ไร่ยางพารากันมาก ถ้าหากว่าเดือดร้อนขึ้นมาเรากินของพวกนี้ไม่ได้ ถ้าทำระบบเกษตรแบบผสมผสาน มีกินแน่เพราะว่าทุกอย่างกินได้หมด ถ้ากินไม่ได้ก็ใช้เป็นสมุนไพรใบยา
ส่วนบุคคลที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยวต้องลงทุนมาก ถ้าพลาดทีเดียวก็อาจจะล้มละลายไปเลย ตอนนี้ยางพาราก็ไม่ใช่ว่าจะราคาดีเหมือนก่อน ใครที่ทำอะไรแล้วได้ดี นอกจากบุญเก่าหนุนเสริมแล้วสายตายังต้องยาวไกล
ที่ทองผาภูมิ บุคคลแรกที่นำยางพารามาปลูกคือผู้ใหญ่เกลี้ยง ใคร ๆ ก็ว่า "ไอ้เกลี้ยงบ้า..ปลูกของกินไม่ได้.." พอผ่านไป ๑๐ ปี ถึงยุครัฐบาลทักษิณพอดี ยางขึ้นจากกิโลกรัมละ ๑๒ บาท เป็นกิโลกรัมละเกือบ ๑๐๐ บาท ผู้ใหญ่เกลี้ยงกลายเป็นคหบดีแทบจะเลี่ยมทองตัวเองได้เลย เพราะผู้ใหญ่ปลูกเอาไว้หลายร้อยไร่ แล้วแกก็ขยายไร่ของแกไปเรื่อย แกไม่สนใจว่าใครจะว่าบ้า
ตอนนี้ผู้ใหญ่เกลี้ยงเป็นเจ้าพ่อรับซื้อยางทั้งหมด เพราะแกเป็นคนวิ่งขายวิ่งส่ง จนกระทั่งรู้เส้นรู้สาย รู้หนทางดี แต่แกก็ยังไม่เลิกทำอาชีพนี้ แกปลูกสวนยางไว้ไม่รู้กี่พันไร่ เอาพวกมอญพวกพม่าเข้าไปอยู่เป็นจุด ๆ แต่ละจุดอยู่กันเป็นหมู่บ้านเพื่อให้ดูแลยางในบริเวณนั้น ถึงเวลาก็วิ่งเข้าไปส่งเสบียง พวกนั้นก็มีหน้าที่ตัดยาง รีดยาง ตากแห้งเก็บสะสมไว้ ถึงเวลาเจ้านายก็เอารถไปทยอยขนออกมา
ส่วนคนที่ทำรุ่นหลัง เจอตอนที่ยางพาราราคาตกพอดี ก็ไม่คุ้มแล้ว ผู้ใหญ่เกลี้ยงเขาลงทุนตอนยางราคาไม่เท่าไร ตอนนี้เขาเก็บอย่างเดียวเลย ก็แปลว่าโกยเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียว ในขณะที่คนอื่นเพิ่งจะเริ่มต้น ที่ดินราคาก็แพง พอเขารู้ว่าที่จะซื้อที่ไปทำสวนยาง ที่ก็ขึ้นราคาไปหลายหมื่น ต้นกล้ายางก็ขึ้นราคาจากต้นละ ๑ บาท ๒ บาท ก็กลายเป็น ๖ บาท ๑๐ บาท
เพราะฉะนั้น..เรื่องของเกษตรเชิงเดี่ยว ถ้าจะทำก็ต้องทำเป็นคนแรก ๆ พอ ๆ กับการขายตรงเลย การขายตรงคนแรกจะรวย เราจะเห็นว่าสินค้าขายตรงทุกอย่างดีหมดเลย แต่ดังในตลาดไม่นานก็ซา หายเงียบไป เดี๋ยวของใหม่มาอีกแล้ว แล้วมาทีไรพระอย่างอาตมาก็ต้องเป็นหนูลองยาทุกที เขาจะต้องเอามาถวายพระก่อน ยังดีที่เขาไม่เอาพระเป็นพรีเซ็นเตอร์..!
พระอาจารย์เล่าว่า "บุคคลที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่ อย่างไรเสียก็ต้องบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่ท่านให้ดี จะให้ท่านช่วยเหลือในเรื่องอะไรบ้างบอกไปให้ชัดเจน สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอกับเจ้าที่ไว้ว่า ถ้างานกฐินยังไม่เสร็จ ขอน้ำอย่าได้ท่วมวัด ไม่เช่นนั้นชาวบ้านจะเดือดร้อนเพราะมาทำบุญไม่ได้ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ตอนปีพ.ศ. ๒๕๒๖ อาตมาก็ไปช่วยงานหลวงพ่ออยู่ เป็นงานกฐินนี่แหละ พอถึงเวลางานกฐินเสร็จเรียบร้อยก็กลับมานอนแผ่ เพราะตอนนั้นศาลา ๒ ไร่ ยังสร้างไม่ทันจะเสร็จดี หลวงพ่อท่านพยายามช่วยโยมโดยการปูเสื่อ แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าพื้นปูนเพิ่งจะเทเสร็จใหม่ ๆ แล้วช่างเอาฝุ่นปูนซัดเพื่อให้แห้งเร็ว ทำให้มีฝุ่นปูนทั้งศาลา พอปูเสื่อไป เสื่อก็ดูดเอาฝุ่นปูนขึ้นมาหมด กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็นอนแผ่หมดแรง
อาตมาไปนอนอยู่ที่ศาลาธรรมสถิตย์ สักพักได้ยินเสียงหลวงพ่อเอาไม้เท้าฟาดประตูปัง ๆ ตะโกนว่า "เฮ้ย ๆ ลุกเร็ว รีบเก็บเสื่อ เดี๋ยวไม่ทัน" อาตมาก็อะไรหว่า ? ยังงัวเงียอยู่ แต่หลวงพ่อสั่งก็รีบม้วนเสื่อที่นอนอยู่ แล้วคว้าเป้ขึ้นไหล่ พอหันออกมา น้ำมาถึงข้อเท้าแล้ว..!
ตอนช่วงเช้าที่มีงานกฐิน อาตมาก็เห็นว่าน้ำล้นผ่านถนนแล้วนะ แต่ไม่เข้าประตูวัดเพราะว่าท่านตกลงกับเทวดาไว้อย่างนั้น ว่าก่อนกฐินอย่างไรก็ห้ามท่วม ญาติโยมทำบุญเสร็จสรรพแล้วค่อยท่วม เห็นคาตาเลยว่าทั้งที่น้ำไหลข้ามถนนหน้าวัดซึ่งสูงกว่าประตูวัดมาก แต่ไม่เข้าวัด..! ขณะเดียวกัน พอกฐินเสร็จ คนพ้นวัด เพิ่งจะเก็บข้าวของเสร็จ ไม่ทันจะชำระสะสางส่วนอื่นเลย หลวงพ่อบอกให้ม้วนเสื่อ เดี๋ยวไม่ทัน พอคว้าเป้ขึ้นไหล่ได้ ก็เห็นว่าน้ำมาครึ่งแข้งแล้ว..!
อาตมาติดนิสัยทหารมา นิสัยทหารนี่อยู่ที่ไหนต้องเก็บข้าวของให้เรียบร้อย เพราะว่าถ้าข้าศึกโจมตีกะทันหันจะได้เผ่นทัน ข้าวของจะได้ไม่ลืม ก็เลยเก็บของเข้ากระเป๋าเดียวอยู่ตลอด"
"ตอนไปอยู่วัดหนองบัวที่พม่า ตื่นเช้าขึ้นมาก็เก็บของลงย่ามเรียบร้อยทุกวัน ครูบาน้อยเห็นเข้าก็สงสัย ถามว่า “อาจารย์ทำไมต้องเก็บด้วย เดี๋ยวก็ต้องเอาออกมาอีก ?” ก็ตอบไปว่า “หลวงพ่อสอนไว้ ” ว่าต้องพร้อมอยู่เสมอที่จะเดินทาง ไม่อย่างนั้นไปกับหลวงพ่อเฉพาะย่ามมาเยอะแล้ว..!
ที่ขำที่สุดคือหลวงพี่ฐิติ งานรองของหลวงพี่ฐิติก็คือเข้าครัว พี่เขาชอบทำกับข้าว ถ้าวันไหนมีเมนูขาหมูนี่เชิญพี่ฐิติเข้าครัวเลย ฝีมือสุดยอด วันนั้นหลวงพ่อท่านจะไปจันทบุรี เวรที่จะไปกับหลวงพ่อถ้าจำไม่ผิดก็จะมีหลวงพี่วิรัช หลวงพี่บัญชา หลวงพี่ฐิติแล้วก็ท่านน้อย (อภิชัย) ทั้งหมด ๔ รูป เขาจะจัดเป็นเวรผลัดกันไปที่ละ ๔ รูป
ปกติหลวงพ่อท่านจะออกตอน ๗ โมงทุกครั้ง ตอนนั้น ๐๖.๔๕ น.แล้ว หลวงพี่ฐิติยังนั่งโซ้ยข้าวต้มกับพวกเราเลย อาตมาก็บอกว่า “พี่..ไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันป๋า” ท่านก็บอกว่า "ทันอยู่แล้ว หลวงพ่อท่านนัดไว้ ๗ โมง"
สรุปว่าครั้งนั้นมีท่านน้อยไปทันคนเดียว หลวงพี่บัญชากับหลวงพี่วิรัชก็ตกรถด้วย เพราะเชื่อหลวงพี่ฐิติ สำหรับหลวงพ่อถ้าท่านลงมาแล้วขึ้นรถ แปลว่าออกเลย เพราะฉะนั้น..เรื่องเวลามีแต่ก่อน ไม่มีหลัง อาตมาก็ชักจะติดนิสัยนี้
วันก่อนที่วัดถ้ำป่าอาชาทองเกือบจะทิ้งหลวงพี่นิลไปแล้ว ไปด้วยกันแท้ ๆ อาตมาลุกแล้ว ลงไปลาพระผู้ใหญ่แล้ว ลาครูบาเหนือชัยแล้ว เดินลงมาถึงรถมีแต่โยมตามมา หลวงพี่นิลยังไม่มา เลยบอกให้คนวิ่งไปตามหน่อย ท่านคงไม่รู้ว่าอาตมาลงมาแล้ว
โยมที่เดินทางไปด้วยกันนี่เขาจะคอยเล็งอยู่เสมอ ถ้าเขาเห็นอาตมาขยับ เขาก็วิ่งตามเลย เพราะรู้ว่าไม่มีการรีรอ โยมรุ่นเก่า ๆ โดนทิ้งมาเยอะแล้ว ไกลขนาดเชียงใหม่ลำพูนก็ทิ้ง ให้นั่งรถกลับเองสักครั้งสองครั้งเดี๋ยวก็เข็ดไปเอง แล้วก็ยังมีหน้ากลับมาหัวเราะคิกคัก ๆ กันอีกว่าใครโดนทิ้งบ้าง นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังสนุกมากเลยที่โดนทิ้ง..!"
ถาม : พระโสดาบันต้องมีปฐมฌานเป็นปกติเลยหรือครับ ?
ตอบ : ต้องได้เป็นปกติเลย ถ้าไม่ได้กำลังก็จะไม่พอตัดกิเลส ตอนอาตมาฝึกกรรมฐานใหม่ ๆ เฉพาะปฐมฌานฝึกอยู่ ๓ ปี เพราะเป้าหมายอยู่ที่พระโสดาบัน
ถาม : ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว คำว่าคิดไม่ดีต่อพระรัตนตรัยจะไม่มีเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อะไรก็ตามที่จะล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยจะด้วยกาย วาจา ใจ จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด
ถาม : นิดเดียวก็ไม่มีเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านิดเดียวยังมีก็แสดงว่ายังไม่บริสุทธิ์จริงสิวะ..! มีเป้าหมายก็ตะเกียกตะกายไปให้ถึง ไม่ใช่มาเสียเวลานั่งถาม..!
พระอาจารย์เล่าว่า "มีวัดดังอยู่วัดหนึ่ง มีแม่ชีที่สวยสุดยอด รูปร่างก็ดี หน้าตาก็ดี มนุษยสัมพันธ์ก็ดี เวลาแขกไปใครมา แม่ชีจะต้องพาเที่ยวในวัด โดยเฉพาะปีนหน้าผาขึ้นข้างบน อาตมามองดูแล้วคิดว่า ถ้ามีแม่ชีแบบนี้ พระเดือดร้อนแน่ และเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย ผ่านไปปีกว่าปรากฏว่าพระในวัดสึก พาไปด้วยกัน
ผู้หญิงบางคนเขามีเสน่ห์โดยธรรมชาติ สะดุดตาผู้ชาย พวกจริตกริยาต่าง ๆ คล้าย ๆ กับว่ายั่วหน่อย ๆ แต่เป็นธรรมชาติของเขาเอง บางคนหูตานี่ไปหมดเลย คนประเภทนี้ถ้ามาอยู่วัดอาตมาก็คงถอนใจเฮือก หนักใจแทนพระรูปอื่นว่าจะรอดไหม ?"
ถาม : เกิดจากอะไรครับ?
ตอบ : การสั่งสมมาข้ามชาติข้ามภพ กลายเป็นจริตกริยาติดตัว
ถาม : เคยถามพี่ผู้หญิงคนหนึ่งว่าทำไมไม่บวชที่วัดท่าขนุน พี่เขาบอกว่ากลัวทำพระที่วัดปั่นป่วน ต้องรอให้ตัวเองอ้วนเผละกว่านี้ก่อน
ตอบ : คงต้องรอให้เหี่ยวกว่านี้ก่อน เรื่องพวกนี้สำคัญตรงที่เราไปคิด.. ถ้าไม่คิดก็จบ คนเราถ้าสติสมาธิไม่ดีพอ หยุดไม่ทัน คือสติตัวยั้งคิดไม่มี สมาธิตัวหยุดตัวรั้งก็ไม่มี หรือถ้ามีก็มีไม่พอ ก็จะโดนกิเลสดึงให้ไปยาวเลย ยิ่งปรุงแต่งก็ยิ่งสนุกสนานกันยกใหญ่
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนเย็น ๆ พอขึ้นที่พักก็หมดสภาพ ร่างกายไม่ไหว โดยเฉพาะรู้สึกปวดหลังมาก เวลาไข้มาเลเรียขึ้นนี่จะปวดหลัง ก็ได้แต่นั่งเหี่ยว จะรอดวันนี้ไหมหนอ ? ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ทำเป็นยืดเข้าไว้
ลักษณะอย่างนี้แหละที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านป่วยแล้วคนดูไม่ออก อาตมานี่ยังมีทีท่าให้คนเขาเห็นบ้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ไม่มีเลย ดูไม่ออกว่าท่านป่วยหรือไม่ป่วย จนกว่าจะเลิกงานนั่นแหละ เวลาท่านป่วยหนัก ๆ อาตมารับท่านลงจากตึกมาขึ้นรถ เพื่อที่จะไปรับญาติโยมที่ตึกรับแขก แรก ๆ ก็จับแขนท่านลักษณะช่วยประคอง ท่านก็สะบัดออก แต่พอเห็นว่าท่านไม่ไหวจริง ๆ อาตมาก็ต้องทำ
พอถึงเวลาจับพอท่านตั้งท่าจะสะบัด อาตมาก็ล็อกแขนท่านไว้เลย ถ้าอาตมาตั้งใจล็อกนี่หลุดยาก..! แล้วก็พาท่านเดินขึ้นรถ หลวงพ่อท่านก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า “ถ้ามันเป็นระเบียบบังคับก็เอา” ไม่อย่างนั้นใหม่ ๆ นี่ทำไม่ได้หรอก ท่านสะบัดมือออกทุกที
ถึงได้เข้าใจว่า "ทิฐิพระ มานะกษัตริย์" นั้นเป็นอย่างไร? คนที่เคยเกิดเป็นผู้นำมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถึงเวลาจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ พอใช้ประโยคนี้ หลวงลุงสุนทร บอกว่า "หลวงพี่..พระมีทิฐิได้หรือ ?" อาตมาตอบว่า"มีสิ..ถ้าไม่มีสัมมาทิฐิบรรลุมรรคผลไม่ได้หรอก" เถียงหน้าด้าน ๆ เลย..!
ขัตติยมานะตัวนี้แหละทำให้พระมหาอุปราช รู้ว่าสู้พระนเรศวรไม่ได้ก็ต้องสู้ ต่อหน้าคนตั้งเท่าไรที่ล้วนแต่เป็นลูกเจ้าเมือง ว่าที่เจ้าที่เจ้าเมืองทั้งนั้น ถ้าหากว่าไปแสดงความขี้ขลาดต่อหน้าเขา ต่อไปตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ เมืองบริวารเหล่านั้นจะมีใครเชื่อถือ ทั้ง ๆ ที่ท่านรู้ว่า ถ้าให้คนรุมพระนเรศวรนี่ชนะแน่ แต่ก็ไม่เอา ยอมสู้แบบเดี่ยว ๆ ดีกว่า
เรื่องการศึกการสงคราม ถ้าเป็นภาพยนตร์มาอาตมาจะดูไม่ได้เลย พอดูแล้วจะมีภาพซ้อนขึ้นมา มีอยู่เที่ยวหนึ่งตอนนั้นตามหลวงพ่อไปวัดศรีรัตนารามที่ลพบุรี คุณปรีชา พึ่งแสงเอาหนังเรื่องสงคราม ๙ ทัพมาเปิด ถ้าจำไม่ผิดคุณสมบัติ เมทนี รับบทเป็นรัชกาลที่ ๑
อาตมาดูไม่รู้เรื่องเลย มองดูนี่ภาพซ้อนเกิดขึ้นเต็มไปหมด ท้ายสุดก็เลยหลับตาดูของตัวเองดีกว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำจนชินมาชาติแล้วชาติเล่า ถึงเวลาก็จะโผล่ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ"
ถาม : วันก่อนหนูกินข้าวก่อนนอน แล้วทีนี้กรดไหลย้อนขึ้นมา พอตื่นเช้ามามีความรู้สึกว่าร่างกายเราเองเป็นแค่ท่อ ๆ หนึ่ง แล้วก็มีเศษอาหารอยู่ข้างใน ทีนี้ก็เห็นว่าเราไม่อยากจะมีมันต่อ แต่จากนั้นก็ไม่ค่อยได้พิจารณาต่อค่ะ ต้องคิดต่ออย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ความจริงเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเรายังต้องการร่างกายนี้อีกหรือไม่ ? ถ้าไม่ต้องการแล้วเราจะไปไหน ? เราก็เกาะเป้าหมายสุดท้ายของเราไว้เท่านั้นเอง ในเมื่อเราเห็นว่าไม่ใช่ของเรา เราไม่เอาแล้ว ที่หมายสุดท้ายของเราคือที่ไหนเราก็เกาะที่นั่นเอาไว้
ถาม : วันก่อนมีปัญหากับผู้ใหญ่ รู้สึกโมโหมาก พอหลังจากนั้นมา เราเริ่มเห็นว่าอารมณ์นั้นน่ารังเกียจมาก รู้สึกเจ็บใจตัวเองว่าทำไมต้องไปโกรธด้วย
ตอบ : นี่โกรธ ๒ ชั้นเลย โกรธเขาด้วย ท้ายสุดโกรธตัวเองด้วย แสดงว่ากิเลสสุดยอดมาก หลอกให้เราเสียสองต่อ
ถาม : เราจะคลายจากตรงนั้นให้ไวที่สุดได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : อันดับแรก ถ้ากำลังไม่พอ ให้หลบออกจากเหตุการณ์นั้นก่อน เพื่อที่จะไม่ต้องมาคิดปรุงแต่งให้กำเริบขึ้นมาใหม่ แล้วหลังจากนั้นเราก็มาพิจารณาให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นปกติธรรมดาที่อยู่ในโลก โดยเฉพาะถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู คำว่า "กูถูก" ก็จะมีอยู่ แล้วก็จะไปค้านกับความคิดของคนอื่นเขา ถ้าเขาไม่ยอมรับโทสะก็จะเกิด
กิเลสหลอกเราได้ยอกย้อนกันหลายชั้น เมื่อเราพิจารณาเห็นแล้ว ก็มาตัดตรงตัวกูของกูให้ได้ ถ้าหมดเมื่อไรก็ไม่ต้องกลัวว่าจะแพ้แบบนั้นอีก
ถาม : บางทีมีอารมณ์เบื่อ ท้อแท้ เบื่อที่จะดูแลขันธ์ ๕ นี้อีก เราไม่อยากจะมีอีก จากนั้นหนูมากลับมาที่อานาปานสติก็ไม่ไหว
ตอบ : แสดงว่าใช้ผิด แทนที่จะเป็นนิพพิทาญาณ กลายเป็นเบื่อทิ้งไปเฉย ๆ เพราะฉะนั้น..จะต้องเห็นให้ได้ว่าการเกิดมามีความน่าเบื่อเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก การที่เราตายชาตินี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว การไปพระนิพพานคือจบการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลายทั้งปวงลงแต่เพียงแค่นี้
การเวียนว่ายตายเกิดที่จะมีขึ้นนับชาติไม่ถ้วน ถ้าจบลงแค่ชาตินี้ ระยะเวลาก็สั้นนิดเดียว เหมือนกับการหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นแค่นั้นเอง ระยะเวลาสั้นนิดเดียวแค่นี้ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ด้วยดีไม่ได้
พอพิจารณาอย่างนี้จะเห็นว่าทน ๆ อยู่ไป อยู่ก็ได้ตายก็ดี อยู่ก็ได้สร้างบุญสร้างบารมี ตายเราก็ไปนิพพาน จะได้จบ แต่ถ้าคิดไม่เป็นแล้วก็จะหมอง ตายตอนนั้นขาดทุนยับเยิน อะไรไม่ดีมีเท่าไรนี่เขาทวงหมดทีเดียวเลย..!
ถาม : ผมมีอาการแบบมึน ๆ เบลอ ๆ อยู่ตลอด จำอะไรไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : เคยใช้ยาอะไรอยู่หรือเปล่า ?
ถาม : ไม่มีครับ
ตอบ : ถ้าไม่เกี่ยวกับยา การฝึกกรรมฐานจะช่วยได้ดีที่สุด เพราะว่าพอสติสมาธิทรงตัวอาการแบบนี้ก็จะหมดไป ถ้าเป็นเพราะยานี่อาตมาก็เคย มีอยู่บางช่วงที่ต้องใช้ยาบางตัวเป็นประจำ พอถึงเวลาจะเบลอ ต้องตั้งสติอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นแล้วไม่รู้จะไปเดินตกหลุมตกร่องเอาตอนไหน แต่นั่นเป็นเพราะอำนาจของยา
สำหรับโยมนี่อาจจะเป็นการบกพร่องของระบบประสาทร่างกาย ถ้าหากว่าฝึกกรรมฐาน พอสติสมาธิทรงตัวทุกอย่างจะแก้ได้ เอาแค่ปฐมฌานละเอียดก็พอ ไม่ต้องมากหรอก กลับบ้านไปดูลมหายใจตัวเองเป็นหลัก เรื่องอย่างนี้ง่ายมากเลย อารมณ์ใจทรงตัวเมื่อไรจะบังคับร่างกายนี้เอง
ถาม : ไม่ใช่ผลพวงมาจากการปฏิบัติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..การปฏิบัติมีแต่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าหากว่าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนั้นแสดงว่าทำผิดวิธี
ถาม : เรื่องกรรมบถ ถ้าเราพูดเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ?
ตอบ : ไม่ควรทำ..ถ้าจะทำให้ทำอย่างมีสติ อะไรที่จะก่อให้เกิดวจีกรรมเราก็หยุด ต่อให้เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงก็ไม่ควรพูด เพราะพูดไปแล้วคนอื่นเสียหาย
ถาม : เราก็ไม่ได้พูดอะไร
ตอบ : แค่คิดก็แย่พอแล้ว เพราะว่าเป็นมโนกรรม แต่ถ้าออกมาเป็นวจีกรรมหรือกายกรรม เราจะพาคนอื่นเดือดร้อนด้วย
ถาม : น้ำท่วมวัดท่าซุงคราวนี้หนักกว่าตอนปี พ.ศ ๒๕๔๙ ไหมครับ?
ตอบ : เท่าที่อาตมารู้ก็น่าจะหนักกว่า แต่ถ้าในอดีตที่ผ่านมามีหนักกว่านี้อีก ทางน้ำหน้าวัดเปลี่ยนไปเลย ก่อนหน้านั้นพื้นที่วัดท่าซุงเก่าจะอยู่เลยกึ่งกลางแม่น้ำสะแกกรังไปอีก ลองคิดดูว่าถ้าน้ำท่วมคราวนั้นไม่หนักจริง ๆ ทางน้ำจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนั้นหรือ ? อันนี้ถือว่าพูดย้อนหลังในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็น ผิดถูกอย่างไรก็ไม่มีใครยืนยัน
ถาม : ที่บ้านเลี้ยงปลากัดไว้ครับ แล้วต้องให้ลูกน้ำเพราะให้อาหารเม็ดแล้วปลาไม่ยอมกิน แบบนี้ถือว่าผิดศีลข้อ ๑ ไหมครับ ?
ตอบ : ผิดเต็ม ๆ..! สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็เคยหนีโรงเรียนไปช้อนปลากัด แต่ว่าหลังจากที่เพื่อนโดนงูเห่ากัดตายก็เลิกเล่นปลากัด เพื่อนเขาไปช้อนปลากัดใต้กอสวะ งูเห่าอยู่บนกอสวะ เพื่อนมัวแต่ช้อนปลาอยู่ ไม่ทันเห็นงูเห่าจึงโดนกัดตาย เด็กบ้านนอกสมัยก่อน ถ้าชนไก่ กัดปลา ยิงนก ตกปลาไม่เป็นนี่ ไม่ใช่เด็กบ้านนอกหรอก
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเทคโนโลยีต่าง ๆ จะดีกับพระก็ต่อเมื่อพระมีจิตสำนึกในความเป็นพระมากพอ ถ้ามีจิตสำนึกไม่พอเดี๋ยวก็จะไปโหลดหนังโป๊มาดูกัน อย่าลืมว่าสมมุติสงฆ์ที่เป็นพระในสายตาของพวกเรา ก็คือลูกของชาวบ้านที่มี รัก โลภ โกรธ หลงเท่ากับเรานั่นแหละ เพียงแต่ว่าท่านเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เปลี่ยนกติกาการดำเนินชีวิตเข้าไป ถ้าหากว่าขาดหิริโอตัปปะ ขาดความละอายชั่วกลัวบาป ก็จะไปทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเหล่านั้น"
ถาม : ถ้าตามประทีปครบแสนดวง จะมีอานิสงส์ได้ทิพจักขุญาณในชาติปัจจุบันหรือไม่คะ ?
ตอบ : สิ่งนี้เป็นอปราปรเวทนียกรรม แปลว่ากรรมที่ให้ผลในชาติที่สองที่สามไป ไม่ใช่ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่ให้ผลทันตาในชาตินี้ สำหรับอุปปัชชเวทยนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า
ถาม : เราอธิษฐานขอในชาตินี้ไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : อธิษฐานได้จ้ะ อย่างน้อยก็ได้อธิษฐาน ต้นไม้จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาห้าปีสิบปีจึงจะมีลูก เราจะให้มีลูกวันนี้ก็ลองดู เผื่อว่าจะทำได้..!
ถาม : ตอนที่สภาวะจิตนิ่ง เห็นว่าทุกอย่างเป็นภาพนิ่งที่เคลื่อนไหวติดต่อกันในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนกับปัจจุบันเป็นอดีตไปในทันที ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง เพราะว่าเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก โดยเฉพาะสภาพร่างกายของเรา แต่คราวนี้ "สันตติ" คือความสืบเนื่อง เป็นสิ่งที่ปิดบังอนิจจังเอาไว้
เราเห็นว่าร่างกายโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความจริงแล้วกำลังพังไปเรื่อย ๆ ต่างหาก เซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่เกิด สันตติก็เลยปิดบังอนิจจัง ทำให้คนที่ปัญญาไม่ถึงมองไม่เห็น
ถาม : ถ้าเราเห็นอย่างนั้นแล้วเราควรทำอย่างไรต่อคะ ?
ตอบ : ใจเรายอมรับหรือเปล่า ? ถ้ายอมรับอย่างแท้จริง เห็นว่าไม่มีอะไรเลยอย่างนี้ เราอยู่ไปจะมีประโยชน์อะไร ไปนิพพานดีกว่า
ถาม : แล้วถ้าหนูสรุปให้กับตัวเองว่า แม้แต่เวลาปัจจุบันก็ไม่ได้มีอยู่จริง เป็นของสมมติ ?
ตอบ : ก็แค่นั้นเอง เป็นเพียงสภาพจิตที่เป็นไปโดยกรรม อย่าเพิ่งรีบบรรลุนะ..เดี๋ยวคนอื่นจะอิจฉา คนเราแข่งกันทำความดี แข่งกันลดความชั่ว โลกจึงจะเจริญ แต่ถ้าหากว่าแข่งกันดีอย่างเดียว ก็เจริญยาก
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยู่วัดแล้วแรงกระทบมีเยอะ ไม่ว่าวัดไหนก็มี..ขอยืนยัน ใครที่คิดว่าแน่ เข้าวัดไปหงายท้องมาเยอะแล้ว เพราะว่ากำลังใจของผู้ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะในระดับแรก ๆ ยังเก็บกดกิเลส ยังไม่สามารถที่จะตัดได้อย่างแท้จริง พอเก็บไปนาน ๆ กระทบซ้ายกระทบขวาเข้า ไม่รู้ว่าจะไประเบิดใส่ใคร ก็ระเบิดใส่กันเอง ยิ่งวัดไหนเป็นสำนักปฏิบัติมีคนมาก ๆ แล้วจะมีสารพัดเรื่องเลย
เราเองถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรมชาติของคนที่เก็บกดกิเลสใหม่ ๆ ว่าเป็นอย่างไร เราก็จะไปนั่งคร่ำครวญว่าทำไมอยู่วัดแล้วเป็นอย่างนี้ ยุ่งไปหมด เพราะเราไปตั้งความหวังว่าเขาจะดี ที่เขาเข้าวัดก็เพื่อที่จะไปพัฒนาตัวเองให้ดี ที่เราโดนมานั้นเขาดีขึ้นมาตั้งเยอะแล้ว ถ้าหากว่าเมื่อก่อนที่เขายังไม่ทำตัวให้ดีขึ้นมา เราอาจจะโดนหนักกว่านี้อีก..!
อาตมาจึงสรุปให้กับตัวเองได้ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุงแล้วว่า “วางก่อน สบายก่อน” ถ้าใครอยากแบกก็ปล่อยให้แบกไป แต่ให้วางในลักษณะผู้มีปัญญาจริง ๆ นะ อย่าไปวางใส่หัวคนอื่น..!
อยู่ในวัดต้องไปเป็นหน้ากระดาน เวลาทหารเข้าตีข้าศึกต้องไปเป็นหน้ากระดาน เพราะว่าถ้าล้ำหน้าอาจจะโดนเพื่อนข้างหลังยิงเสียเอง ทำตัวเด่นเมื่อไรเดี๋ยวจะซวย อาจจะโดนแอบแทงข้างหลังเมื่อไรก็ได้ ให้ทำตัวกลมกลืนกับเขา แล้วแอบปฏิบัติของเราเอง"
ถาม : รู้จักพี่คนหนึ่งมานานแล้ว เขาค้าขายพวกวัตถุไสยศาสตร์ มีอยู่วันหนึ่งหนูสวดมนต์นั่งสมาธิตอนเช้าแล้วกำลังใจไม่รวมตัว รู้สึกแปลก ๆ จึงพยายามอาราธนาพระเข้ามาไว้ในกาย ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นออกไป แล้ววันนั้นก็ไปเจอคนที่หนูรู้อยู่ว่าเขายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของไสยศาสตร์ เขาก็เข้ามาทำประมาณทีเล่นทีจริงว่า “นี่ฉันป้ายเสน่ห์เธอนะ” แล้วก็เอาบางอย่างมาป้ายแขน หนูก็รู้สึกว่าเขาตั้งใจทำจริง ๆ ตอนโดนรู้สึกเย็น ๆ แบบโดนยาหม่อง มีวิชาอะไรอย่างนี้ด้วยหรือคะ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป ถ้าเขาจะทำเราเขาก็ต้องนึกถึงเราก่อน กำลังก็ส่งมาถึง เราภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขาเอาไว้ก็สิ้นเรื่อง
ถาม : ลักษณะแบบนั้นถ้าเราภาวนาไปเรื่อย ๆ พวกนี้จะทำอันตรายเราได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้..ถ้ากำลังใจเราทรงตัวไสยศาสตร์ขนาดไหนก็เข้าไม่ได้ จะได้ก็ตอนที่เราเผลอ เพราะฉะนั้น..พวกนี้เขาจะชอบทำให้เราตกใจ ถ้ากำลังใจเคลื่อนนี่เสร็จเขาเลย ลองสังเกตพวกสะกดจิต เขาจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าเราจิตนิ่งอยู่กับที่เขาก็จะสะกดเราไม่ได้หรอก ถ้าหากว่าเราไปคิดตามนี่เสร็จเลย ลักษณะเดียวกับไสยศาสตร์ เขาจะทำให้เราเสียสมาธิ คลายออกจากจุดที่เรายึดมั่น แล้วเขาก็จะครอบงำเราได้
มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งโดนน้ำมันพราย ลักษณะที่ป้ายตัวแบบนี้แหละ แต่โยมผู้หญิงท่านนั้นดวงดีสุด ๆ เลย คือเขาเข้ามาถึงแล้วจับข้อมือถามว่า “น้อง..เวลาเท่าไรแล้ว?” แต่จริง ๆ แล้วเขาป้ายน้ำมันพราย โยมผู้หญิงเขาก้มลงดู ปรากฏว่าโยมเขาแขวนพระรอดอยู่ พระแปะลงบนรอยป้ายพอดี แล้วมีควันขึ้นกลิ่นเหมือนผีตาย เขารู้ตัวทันทีเลยว่าโดน อันนี้ต้องบอกว่าคนดีพระคุ้มจริง ๆ วันนั้นถ้าเขาไม่ห้อยพระนอกเสื้อก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
เวลาหลวงพ่อวัดท่าซุงเป่ายันต์เกราะเพชร ท่านจะแนะนำไว้ว่าเพื่อความปลอดภัยให้ปลุกยันต์ทุกวัน ดังนั้น..เรื่องของวัตถุมงคลให้อาราธนาเอาไว้ทุกวัน ถ้าหากว่ากลัวพลาดก็อาราธนาเช้าเย็นไปเลย คาถาอาราธนาของสายหลวงพ่อวัดท่าซุงหลัก ๆ ก็ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะจงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุ นี้เถิด อันนี้หลัก ๆ แต่วัตถุมงคลบางชนิดมีคาถากำกับต่างหากเราก็ว่าต่อไป
ถ้าหากว่าเราปลุกอย่างนี้ไว้ทุกวันก็ปลอดภัยค่อนข้างแน่ แต่อย่าเผลอนะ บางทีเราเผลอถอดออกตอนอาบน้ำ สมัยอาตมาเป็นฆราวาสใส่สร้อยสเตนเลส จะใส่อาบน้ำไปเลย สมัยหลวงปู่ปานท่านยังเคยโดนเลย ท่านเอาพระใส่กระเป๋าอังสะไว้ ตอนนั้นเป็นช่วงของวาระกรรมเปิดพอดี ท่านถอดอังสะแขวนไว้ข้างฝาเพื่อที่จะสรงน้ำ โดนเข้าตอนนั้นหงายท้องเลย องค์ปรมาจารย์ยังโดน แล้วเราจะรอดไหม ? จึงต้องระมัดระวัง อาราธนาพระเอาไว้ทุกวัน
อาตมาเองรับยันต์เกราะเพชรใหม่ ๆ มองวันไหนก็เห็นยันต์เกราะเพชรสว่างใสอยู่ในท้อง ไปไหนก็ไปตัวเปล่า ลุยกระจาย จนกระทั่งหลวงพ่อท่านบอกไม่ให้ประมาท พกพระเอาไว้บ้าง
หลวงพ่อท่านเมตตาบอกว่า "ถ้าแกไม่เผลอ กำลังใจทรงตัวอยู่ก็รอด แต่ถ้าวันไหนเผลอแกจะโดน ยันต์เกราะเพชรไม่ได้กันไสยศาสตร์ไม่ให้ทำอันตรายอย่างสิ้นเชิง ถ้าวาระกรรมหนักมา จะกันไม่ให้ตายจากไสยศาสตร์เท่านั้น ต้องโดนบ้างเหมือนกัน"
ท่านเปรียบว่าเหมือนกับคนเขาก่อกองไฟใหญ่เอาไว้ มีวัสดุมากั้นระหว่างเรากับกองไฟ วัสดุนั้นคือยันต์เกราะเพชร ถ้ากองไฟนั้นใหญ่มาก ความร้อนก็ยังผ่านวัสดุมาถึงเราได้ แต่ว่าเปลวไฟไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ ดังนั้น..วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือภาวนาไว้ทั้งวัน..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครเคยดูวีดีโอคลิปเรื่องของน้องกัน (ทรงเสถียร ท้าวทัญ)บ้าง ที่เขาป่วยไม่สามารถเดินไปไหนได้ แม่ต้องอุ้มไปวัด น้องกันมักจะนอนฟังเสียงธรรมะ แกบอกว่าที่อยากให้แม่พามาวัดเพื่อจะได้พบพระรัตนตรัย มาวัดแล้วได้ไหว้พระพุทธรูป ได้ฟังพระเทศน์ ได้เห็นพระสงฆ์ ครบพระรัตนตรัยพอดี นั่นเด็กพูดนะ..พูดจารู้เรื่องเป็นผู้ใหญ่มาก
คนถามว่าอิจฉาน้องกี้ไหม ? เพราะว่าน้องวิ่งเล่นได้ ไปเล่นกับเพื่อน ๆ ได้ น้องกันตอบว่าแรก ๆ ก็เป็น แต่พอฟังธรรมแล้วเข้าใจว่าคนเราสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน เราทำกรรมหนักมาก็ต้องรับกรรมอย่างนี้ไป ถ้าเกิดใหม่ก็ไม่อยากจะเป็นอย่างนี้อีก เขาถามว่าเกิดใหม่อยากเป็นอะไร น้องเขาตอบว่าเกิดใหม่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า ตั้งเป้าไว้สูงมากเลย..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเราอ้วนสิ่งที่จะเสียเร็วที่สุดคือหัวเข่า เพราะฉะนั้น..ใครไม่อยากใช้ไม้เท้าตั้งแต่สาว ๆ ให้รีบลดน้ำหนัก รู้ไหมว่ามียาลดความอ้วนราคาแค่ไม่กี่สตางค์เอง ก็คือไปซื้อพลาสเตอร์มาปิดปาก ถ้ายังไม่ถึงมื้ออย่างไรก็ไม่กิน รับรองไม่กี่วันก็เห็นผล
ถ้าจะลดความอ้วนนี่อาหารมื้อเช้าสำคัญที่สุด จะต้องกินให้เต็มที่ มื้อกลางวันลดลงครึ่งหนึ่ง มื้อเย็นไม่กินเลยก็ได้ ตอนอาตมาถือศีล ๘ ใหม่ ๆ เดือนเดียวน้ำหนักหายไป ๙ กิโลกรัมครึ่ง นั่นลดแค่มื้อเย็นนะ ส่วนใหญ่พวกเราไปกินหนักมื้อเย็น มื้อเช้าเรากินได้ใช้พลังงานไปถึงกลางวัน มื้อกลางวันเรากินได้ใช้พลังงานไปถึงเย็น มื้อเย็นเรากินแล้วร่างกายเก็บไว้ ไม่ได้ใช้ ทำให้บางคนทำอย่างไรก็อ้วน เพราะไปกินหนักที่มื้อเย็น
ส่วนบางคนสงสัยว่ากินแต่นมทำไมถึงอ้วน เพราะนมมีพวกไขมันเยอะ เนยที่เป็นไขมันเข้มข้นก็ทำมาจากนม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่อยู่ในท่าเดียวเป็นชั่วโมง จะรู้สึกเมื่อย ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อแก้อาการทุกขเวทนา เรียกว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์
เมื่อครู่นี้ที่บอกไปว่า สันตติปิดบังอนิจจัง เซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่เกิดต่อเนื่องไปเรื่อย การต่อเนื่องเขาเรียกว่าสันตติ การเกิดขึ้นต่อเนื่องกันทำให้คนไม่เห็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง ส่วนอิริยาบถปิดบังความทุกข์ คือเราเมื่อย เราก็ขยับเดิน ยืน นั่ง นอน แต่ถ้าอยู่ท่าเดียวตลอดก็ไม่ไหว
สมัยอาตมาเป็นทหาร มีครูฝึกคนหนึ่ง คือ จ.ส.อ.สัจจะ ฤทธิ์ขจร เป็นครูฝึกที่ไม่แตะต้องตัวทหารเลย ครูบอกว่า "กูเป็นสุภาพบุรุษ กูไม่ทำร้ายร่างกายพวกมึงหรอก.." แต่จ่าสัจจะเวลาสั่งลงโทษทหาร แค่สั่งว่า “มึงไปกอดเสาไฟอยู่ตรงนั้น จนกว่ากูจะบอกให้เลิก” ลองคิดดู ไปยืนกอดเสาไฟนิ่ง ๆ ชั่วโมงหนึ่งแทบจะตายเสียให้ได้ เพราะฉะนั้น..จ่าสัจจะเป็นสุภาพบุรุษ แต่ทหารกลัวฉิบหายเลย คราวนี้เห็นหรือยังว่า ถ้าไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถนี่เราจะทุกข์ขนาดไหน ยืนกอดเสาไฟนิ่ง ๆ เท่านั้น พอเลิกระบมไปทั้งตัวเลย
ฆนะปิดบังอนัตตา ฆนะ คือความจับกันเป็นแท่ง เป็นก้อน ฆนะปิดบังจึงไม่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างประกอบขึ้นมาจากส่วนเล็ก ๆ ทั้งหมด เหมือนกับกำแพง เราเห็นว่าเป็นกำแพง แต่ถ้าเราถอดออกมาจริง ๆ ก็เป็นอิฐทีละก้อน ๆ มาประกอบกัน ถ้าถอดเป็นอิฐทีละก้อนก็จะเป็นอนัตตา ไม่เป็นตัวตนของกำแพง แต่คราวนี้พอรวมกันเข้าไปเป็นก้อน เป็นแท่ง เป็นแผ่น เป็นผืน ก็เลยปิดบังสภาพอนัตตาไว้ได้ คือบังความไม่มีตัวตน
เหมือนกับร่างกายของเราที่ประกอบไปด้วยอวัยวะภายใน อวัยวะภายนอก เป็นอาการ ๓๒ ปิดบังทำให้เราเห็นว่าเป็นเรา เป็นของเรา แต่ถ้าเราแยกออกเป็นชิ้น ๆ ก็หมดเลย ถ้าเราเห็นว่าสาวคนนี้สวยจังเลย หนุ่มคนนี้หล่อจังเลย ลองถอดออกมาเป็นชิ้น ๆ ดูสิว่าสวยตรงไหน ? หล่อตรงไหน ?
ถอดเอาจมูกออกมาวาง เอาตาออกมาวาง เอาหูออกมาวาง แต่ละอย่างก็ยังเหมือนเดิม แต่ทำไมพอถอดเป็นชิ้น ๆ แล้วกลับดูไม่ได้เลย พอประกอบกันเข้าไป กลับปิดบังอนัตตาไปแล้ว กลายเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้องใช้ปัญญามากพอสมควรถึงจะถอดประกอบออกมาได้
อย่างที่สมัยก่อนอาตมาสอนพวกเราให้ถอดเป็นชิ้น ๆ ระยะหลังที่ไม่สอนเพราะปล่อยให้ใช้ความพยายามกันเองบ้าง สอนมาเยอะแล้ว ลองปล่อยให้ไปหากินเองบ้าง"
ถาม : คนศาสนาอื่นที่เขามาฝึกมโนยิทธิ แล้วต้องจับภาพพระ จะถือว่าเขาผิดหลักศาสนาของเขาไหมครับ ?
ตอบ : คนศาสนาอื่นมาฝึกมโนยิทธิแล้วใช้การจับภาพพระถือว่าผิดหลักศาสนาของเขา แต่ถูกวิธีของเรา อยู่ที่ว่าเขาจะทำอีกไหม ? ถ้าคิดว่าผิดหลักศาสนาของเขาก็ผิดตั้งแต่เขามาฝึกแล้ว
ถาม : เงินที่เราหยอดกระปุกทำบุญทุกวัน เราตั้งเจตนาทำบุญชำระหนี้สงฆ์ ทีนี้เงินเป็นเหรียญเยอะ แล้วเราแลกเป็นธนบัตร แบบนี้ไม่เกิดโทษกับเราใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกิดโทษ สะดวกดีด้วย พระท่านก็ไม่ต้องแบกหนักมาก
ถาม : แล้วตั้งเจตนาเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหากว่าเราตายไปก่อนยังมีอานิสงส์ไหมครับ ?
ตอบ : มีอานิสงส์ตั้งแต่ตั้งเจตนาแล้ว
ถาม : แล้วถ้าคนอื่นเขาเอาไปเล่าครับ ?
ตอบ : เขาก็ติดหนี้สงฆ์ ความซวยเป็นของเขา เพราะฉะนั้น..เราก็เขียนติดป้ายไว้ว่าชำระหนี้สงฆ์ จะได้ช่วยเตือนสติเขาหน่อย
ถาม : ถ้าเป็นเงินเหรียญที่คนอื่นเขาทำบุญชำระหนี้สงฆ์มา เขาตั้งเจตนาชำระหนี้สงฆ์ด้วย เห็นว่าเหรียญเยอะ เราแลกเป็นธนบัตรมาทำบุญแทนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แลกเป็นธนบัตรมาก็ใช้ได้ ถือว่าทำบุญแบบคนฉลาด อานิสงส์นี้ต่อไปเวลาได้อะไรก็จะได้แบบสบาย ๆ
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะจารวัตถุมงคลแจกพวกที่ไปนราธิวาส จะได้รู้ว่าเหนียวจริงหรือเปล่า ? ปกติแล้ววัตถุมงคลทางสายหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามเหนียว หลวงพ่อท่านบอกว่า ลูกศิษย์ท่านส่วนใหญ่มาทางสายพุทธภูมิ พวกนี้มาแรงเป็นปกติ ถ้าหากว่าเหนียวเดี๋ยวจะไม่มีใครเอาอยู่ ท่านก็เลยห้ามทำวัตถุมงคลที่เหนียว ถ้าจะทำวัตถุมงคลที่เหนียว ให้เว้นข้อมือกับข้อเท้าไว้ เพื่อให้มีจุดอ่อน
แต่จริง ๆ แล้ววัตถุมงคลที่เหนียวจะเสกง่ายกว่า วัตถุมงคลที่เสกยากก็คือทางด้านเมตตา ทางด้านลาภ อาตมานี่เล่นของยากมาตลอด แต่คนเขาคิดว่าง่าย วัตถุมงคลทางด้านเมตตามหานิยม ต้องออกจากใจคนเสกจริง ๆ ถ้าคนเสกไม่มีเมตตาจริง ๆ ทำขึ้นไม่เต็มที่หรอก ส่วนวัตถุมงคลทางด้านลาภผลนั้น คนเสกต้องมีพื้นฐานของทานบารมีมาแต่อดีต ไม่อย่างนั้นเท่ากับตัดของตัวเองให้เขาหมด เดี๋ยวตัวเองได้จนตายชัก..!
แต่อาตมาชอบพวกแคล้วคลาดมากกว่า โดยเฉพาะพวกแคล้วคลาดปืน แคล้วคลาดระเบิด เสียงดัง ๆ อร่อยหูดี ถึงเวลาพวกเราก็เฮพร้อม ๆ กันบอกว่า “เอาอีก ๆ” พวกวางระเบิดคงยืนเกาหัวว่า ไอ้พวกนี้บ้าหรือเปล่า ?
สมัยก่อนทหารออกรบ ๑ กองร้อย พระไปอย่างน้อยประมาณ ๑ กองพล มากกว่าประมาณ ๑๐ เท่า พวกเราลงใต้ไปกัน ๘๐ คน พระน่าจะไปประมาณ ๘๐๐ องค์ นี่ถือว่าเกินโควตามากแล้ว สมัยที่ท่านพ่อขุนแผนตีเชียงใหม่ ไปกันแค่ ๓๗ คนเอง มีขุนแผน มีพลายงาม และเพื่อนนักโทษอีก ๓๕ คน ตีเชียงใหม่ซะเละเป็นโจ๊กเลย"
ถาม : เมื่อวานตอนกลับบ้านไปของขึ้น มีคนโทรมาถามเรื่องการปฏิบัติ พอสักพักก็ตัวสั่น เหมือนกับว่ามีกำลังส่งมา หลังจากนั้นแล้วคนนั้นก็โทรมา คนนี้ก็โทรมา หนูก็สั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่อย่างนั้นค่ะ
ตอบ : บอกท่านว่าไม่ต้องเข้า แค่ช่วยเฉย ๆ ก็พอ ถ้าหากว่าขืนเข้าเดี๋ยวหนูจะอาละวาดด่าไม่หยุด..!
ถาม : เป็นอย่างนี้บางครั้ง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง
ตอบ : บางคนอาจจะเนื่องกับท่านมา ท่านก็ส่งกำลังมาช่วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตอบคำถามไม่ถูกใจคนถาม แต่ขอโทษเถอะ..ถ้าตอบคำถามถูกใจเดี๋ยวเขาก็มากวนเราเรื่อย
ถาม : บางทีเรารู้ว่าต้องตอบอย่างนี้ แต่ก็พลิกไปใช้อีกคำพูดหนึ่งให้เหมาะกับคน ๆ นี้
ตอบ : ระวังไว้..เดี๋ยวจะเดือดร้อนขึ้นมา คนเราถ้าเขาหมายมั่นปั้นมือว่าคุณคือที่พึ่งแล้ว เขาจะเกาะหนับเป็นตุ๊กแกเลย ถ้าตอนนั้นเรามีวัตถุมงคลกี่ชิ้นฉวยขึ้นมาเลย ถือโอกาสปลุกไปในตัว อยากส่งกำลังมาดีนัก ดูดให้หมด..!
ถาม : ค้างอยู่นานหลายชั่วโมงเลยค่ะ
ตอบ : ก็ดีอยู่นะ..ตอนนั้นกิเลสกินเราไม่ได้ แต่ว่าทำให้หัวใจเราเต้นผิดจังหวะ เราจะเหนื่อย อาตมาถึงได้ไม่เอาเลย ถ้าจะมาก็มาปกติ อย่าทำให้ผิดปกติเดี๋ยวตูตายเร็ว ไม่ได้กลัวตายหรอก แต่เหนื่อยเลยไม่เอา
ถาม : ถ้าท่านส่งกำลังมาอีก แล้วเราไม่ต้องการรับ เราจะปฏิเสธอย่างไร ?
ตอบ : ก็ไม่รับแค่นั้นเอง เอาแค่เฉพาะการใช้งานของพระศาสนา นอกเหนือจากนั้นไม่เอา ไม่อย่างนั้นนาน ๆ ไปจะกลายเป็นร่างทรง
ถาม : บางทีเป็นนานแล้วหนูเหนื่อย
ตอบ : ที่วัดท่าขนุนห้ามทรง ถ้าไปทรงสั่นแหง็ก ๆ ที่นั่น จะรู้ว่าเจ้าอาวาสมือหนักแค่ไหน ผัวะเดียวร่วงมาเยอะแล้ว..!
ถาม : ถ้าปฏิเสธแล้วเขายังไม่ไป ?
ตอบ : บอกท่านว่าถ้าอยากจะใช้อย่ามาแรง ถ้ามาแรงแล้วทางวัดเขาไม่รับ นี่เราดันจะมาขลังเอาตอนนี้
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่มารับตะกรุดมหาสะท้อนว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนนี่ห้ามเด็กใช้นะจ๊ะ ถ้าเราเผลอไปตีเด็กแล้วเราจะโดนซะเอง ตะกรุดมหาสะท้อนไม่ได้คืนเท่าเดียวนะจ๊ะ คืนหลายเท่า..! แล้วอีกอย่างก็คืออย่าเผลอเข้าไปในที่ ๆ คนหรือสัตว์ที่จะคลอด เพราะว่าจะทำให้เขาคลอดไม่ออก
ช่วงที่ผ่านมาหมาวัดกำลังจะคลอด แล้วดันไปติดใจหลังกุฏิของพระรูปหนึ่งในวัด ก็คือท่านคอม(พระพิทยา ติกฺขญาโณ) ก็เลยไปทำรังเตรียมจะคลอด ปรากฏว่าร้องครางอยู่เป็นวันเลย คลอดไม่ได้สักที จนท่านคอมนึกได้ว่าหัวนอนท่านเก็บไว้ตะกรุดมหาสะท้อน ๗-๘ ดอก และหมาก็อยู่ตรงนั้นพอดี ท่านคิดว่าต้องเป็นสาเหตุนี้แน่ จึงรีบคว้าตะกรุดแล้วออกมาข้างนอก พอแม่หมายืนขึ้น ลูกก็หล่นออกมา ๕ ตัว เพราะอั้นมาเป็นวัน..!
ท่านคอมบอกว่าใจหายวาบเลย ถ้าหากว่ารู้ช้านี่แม่หมาอาจจะตาย ท่านบอกว่าท่านไม่ได้เข้าไป แต่แม่หมาเข้ามาเอง เพราะฉะนั้น..ตะกรุดมหาสะท้อนถ้าใช้ผิดก็อันตรายมาก แล้วอาตมาก็เขลาไปหน่อย สร้างพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านดันใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไปด้วย ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าพกพระรุ่นนั้นไว้ก็อาจจะคลอดไม่ได้ไปด้วย ไม่ได้เจตนา คิดแต่ว่าจะใส่ชนวนสำคัญเลยลืมไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้นั่งทำงานอยู่ข้างบน ก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่มีชาวตะวันตกหลายรายบอกว่า การทำความดีตามหลักพระศาสนาก็เพื่อความสุข แต่ทำไมพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทุกข์ ? แสดงว่าฝรั่งเขาไม่เข้าใจว่า สิ่งที่คิดว่าเป็นความสุขนั้น จริง ๆ แล้วก็คือความทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้น
ความจริงแล้วเรื่องของทุกข์ไม่มีใครอยากได้ ก็เลยพลอยผลักไสปฏิเสธไปด้วย แต่ว่าหลักของพระพุทธศาสนานั้นเป็นการย้อนทวนกระแส ความสุขทำให้คนหลงยึดติดได้ง่าย เพราะเห็นว่าสุขจึงรับเอาไว้ด้วยความยินดี หารู้ไม่ว่ามีโทษยิ่งกว่าความทุกข์อีก โดยเฉพาะบุคคลถ้าหวังความหลุดพ้น ไม่ว่าจะติดสุขหรือว่าติดทุกข์ก็ไปไม่รอดทั้งคู่
ในเรื่องของความทุกข์นั้น ความจริงแล้วเป็นของที่มีค่ามหาศาล พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เกิดจนนับชาติไม่ถ้วน ถ้าเราคำนวณว่าแต่ละชาติใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนเงินเท่าไร บวกลบคูณหารออกแล้วรับรองว่าจะได้ตัวเลขมหัศจรรย์ที่อ่านออกมาไม่ได้ เพราะมหาศาลจริง ๆ
ทั้งหมดที่พระองค์ท่านเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ใช้ทรัพยากรไปจนประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ ก็เพื่อตรัสรู้ในเรื่องของความทุกข์นี่เอง เพื่อการรู้เห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง รู้ว่าทุกข์เกิดจากสาเหตุอะไร แล้วสามารถที่จะออกจากทุกข์อย่างไร ในเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว จะเห็นว่าความทุกข์นั้นมีค่ามหาศาลที่ประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ เงินทองตลอดชีวิตที่เราทำมาได้ก็ไม่พอซื้อ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าพอทุกข์อยู่ตรงหน้าแล้วพวกเราดันเผ่นหนีกัน แล้วเมื่อไรเราจะรู้เสียทีว่าความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ในเมื่อเราไม่รู้ก็จะไม่เบื่อ ไม่เข็ด ไม่กลัว ก็ต้องทนอยู่กับทุกข์ต่อไป
แต่หากว่ารู้แล้ว ถ้าเรามี สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอ ก็จะเกิดอาการเบื่อ อาการเข็ด อาการกลัว แล้วก็เร่งหาทางพ้นจากความทุกข์ ดังนั้น..ที่ฝรั่งเขาความถามว่าหลักการของพระศาสนาต่าง ๆ เขาปฏิบัติเพื่อความสุข แต่ทำไมศาสนาพุทธพูดถึงแต่ทุกข์ทั้งนั้น ก็เพราะว่าความสุขที่ฝรั่งว่านั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นโลกียสุข เป็นความสุขที่เนื่องด้วยโลกียะ ไม่ใช่ความสุขที่เป็นโลกุตระ คือหลุดพ้นออกจากกองทุกข์ทั้งปวง
ความสุขของโลกียะนั้นไม่ยั่งยืน พอขาดตัวกระตุ้น ขาดตัวหนุนเสริม ความสุขนั้นก็หายไป แต่ความสุขที่เป็นโลกุตรสุขนั้น เมื่อเข้าถึงแล้วคงตัวอยู่ไม่ไปไหน สิ่งที่เราวิ่งหากันอยู่ทุกวันคือความสุขในการหลุดพ้น แต่จะเข้าถึงความสุขในการหลุดพ้นได้เราต้องย้อนทวนความทุกข์ไปก่อน ก้าวทะลุกำแพงทุกข์เมื่อไรก็แปลว่าพบความสุขที่ยั่งยืนและแท้จริง"
"อาตมาไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา อะไรที่ยากลำบากนี่จะวิ่งใส่เลย ถือเป็นความมันในชีวิต คิดไม่เหมือนชาวบ้านเขา คิดว่าเราสร้างบารมีมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าทำอะไรง่าย ๆ แล้วเสียศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้น..อะไรที่ยากเท่าไรก็มันเท่านั้น ใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่ต้องอึดพอ ถ้าหน้าไม่ด้านพอเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว..!
มีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าเรากระโดดเข้าหาความทุกข์ เราก็จะไม่ต้องโดนบังคับให้ทุกข์ ตรงนี้เคยพูดหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่คาดว่าญาติโยมทั้งหลายจะลืมไป บุคคลที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน ต้องเห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เข็ดกลัว แล้วหาทางหลีกหนีให้พ้นจากความทุกข์นั้น ถ้าตราบใดที่ไม่เห็นความทุกข์อย่างชัดแจ้ง ก็จะหลุดพ้นไม่ได้
แล้วพวกเราก็อธิษฐานกัน ขอถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ ไม่ดูความทุกข์สักทีแล้วเมื่อไรจะถึงพระนิพพาน พวกเราส่วนใหญ่ลงมาก่อนเวลา ในเมื่อลงมาก่อนเวลา ก็ต้องไปขออนุญาตเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ให้ท่านช่วยรับรองให้ เทวดาที่ท่านรับรองให้ก็ต้องเป็นเจ้านายใหญ่ ก็คือท่านปู่พระอินทร์แล้วก็รวมท่านย่าไปด้วย
ท่านย่าเคยบอกว่า ถ้าใครไม่ยอมพิจารณาให้เห็นทุกข์แล้วอยากจะไปนิพพาน ก็จะต้องโดนบังคับให้ทุกข์ เพราะฉะนั้น..ใครที่รู้สึกว่าชีวิตกูลำบากฉิบหายเลย ถ้าอยากจะสบายขึ้นให้รีบพิจารณาทุกข์ให้ชัดเจน ท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาบังคับ
ลองนึกดูว่าถ้าเราเลี้ยงวัว วัวตัวไหนที่น่ารัก เดินอยู่ในทาง จะไปโดนตีโดนเฆี่ยนได้อย่างไร ? ส่วนประเภทที่แวะเกะกะข้างทางไม่พอ แล้วยังไปกินข้าวชาวบ้านเขาอีก ก็ต้องโดนไม้ คราวนี้พอเจ็บพอลำบากขึ้นมาก็โวยวาย หารู้ไม่ว่าตัวเองไม่ยอมเดินไปดี ๆ เอง"
"ฉะนั้น..รีบกลับไปพิจารณาเห็นทุกข์ให้ชัด จะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้ทุกข์ วิธีบังคับให้ทุกข์ที่อาตมาเห็นมาส่วนใหญ่จะเป็นโรคมะเร็ง เจ็บปวดสาหัสดีนักแล อยากหายจากโรคมะเร็งให้รีบพิจารณาทุกข์ให้ชัด แต่อาตมาไม่ยืนยันว่าจะหายจากโรคมะเร็ง เพียงแต่บอกให้รู้ว่าถ้าตั้งใจไปพระนิพพานต้องเห็นทุกข์จนเบื่อร่างกายนี้ก่อน
อาตมาวิ่งใส่งานทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่างวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาวิ่งรถ ๒,๐๐๐ กว่ากิโลเมตร ออกตีสามกลับมาถึงที่นี่เที่ยงคืน แล้วต้องมารับสังฆทานต่อ ยอมเหนื่อยเพราะรู้ว่า แค่นี้ตัวเองยังรับได้ พอทนได้กับความเหนื่อยแค่นี้ แต่ถ้าให้เขามาเองนี่ไม่รู้ว่าเขาจะมาหนักเบาเท่าไร เพราะฉะนั้น..วิ่งใส่งานดีกว่า ดีกว่าให้ความทุกข์เข้ามาบังคับเราเอง สรุปแล้วเมื่อครู่ขึ้นไปนั่งทำงาน เลยคิดอะไรได้ตั้งเยอะแยะ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณลอร่าที่เขียนหนังสือเรื่องบ้านเล็กในป่าใหญ่ ในช่วงก่อนนั้นเขาเขียนเรียงความเพื่อที่จะสอบบรรจุครู ได้รับหัวข้อว่าความมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่บอกด้วยว่าให้เขียนในทางด้านดีหรือเลว ตั้งหัวข้อมาเฉย ๆ
ลอร่าเขาเขียนว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นผู้ตามที่ดีแต่เป็นผู้นำที่เลว เพราะฉะนั้น..ถ้ามีความมักใหญ่ใฝ่สูงต้องควมคุมเอาไว้ให้เป็นผู้ตาม จะได้สนับสนุนให้เรากระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ แต่ถ้าเป็นผู้นำเมื่อไรก็พาเละเมื่อนั้น
พวกประเภทอยากดี อยากเด่น อยากดัง บางทีก็เห็นหลายคนที่ทำลักษณะอย่างนั้น เห็นแล้วก็สลดใจ บางท่านที่เราอยู่ในฐานะที่ตักเตือนได้ก็ตักเตือน แต่บางท่านเขาก็มองคนละแง่ พอตักเตือนไปเขาก็บอกว่า “อ้าว...ก็อาจารย์มีครบแล้วก็พูดได้สิ ผมยังไม่มีก็ต้องดิ้นรนหามา” ถ้าประเภทนี้เหนื่อย เป็นผู้มากด้วยบทบาท โปรดได้ยาก..!
จะว่าไปแล้วความมักใหญ่ใฝ่สูง ความทะเยอทะยานทั้งหลายเหล่านี้เกิดจาก "ตัวกู ของกู" ก็คือสักกายทิฐิบวกอติมานะ ต้องการให้คนเห็นความสำคัญของเรา ต้องการให้คนยกย่องเรา ต้องการให้เขาสรรเสริญเยินยอเรา เป็นต้น ถ้าสิ่งเหล่านี้ถ้านำหน้าเมื่อไร ก็จะเป็นอย่างที่คุณลอร่าบอกไว้ ก็คือเป็นผู้นำที่เลว มีแต่จะพาเราไปทางเสียอย่างเดียว แต่ว่าจะเป็นผู้ตามที่ดีถ้าเราควบคุมเอาไว้ได้ ก็คือทำอย่างไรให้เป็นไปโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม
ทำอย่างไรที่เราจะค่อย ๆ สั่งสมความดีของเราไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดคนเขาเห็นแล้วเขายกย่องเอง ไม่ใช่ไปดิ้นรนตะเกียกตะกายเชียร์ตัวเองจนกระทั่งคนเขาเห็น ถ้าลักษณะอย่างนั้นไม่ได้เกิดจากความจริงใจของตัวเอง สิ่งที่เราทำต่อให้เป็นความดีก็จะไม่ยั่งยืน
อาตมาเคยพูดไว้ว่า “คนทำดีเพราะอยากทำจะทำได้ทน ทำได้นาน แต่คนทำดีเพราะอยากดี เมื่อความดียังไม่สนองตอบ อาจจะเลิกทำดีไปเลยก็ได้ เพราะขาดการอดทนและรอคอย” วาระ จังหวะ และโอกาสในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนสร้างบุญกุศลเก่าไว้มากก็มาถึงเร็ว บางคนสร้างบุญกุศลเก่าไว้น้อยก็มาถึงช้า"
"อาตมาอยากจะยกตัวอย่างท่านหนึ่งก็คือหลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ท่านมรณภาพไปแล้ว สมัยหลวงปู่พูลเริ่มพรรษามาก นครปฐมยุคนั้นเต็มไปด้วยเกจิอาจารย์ทั้งจังหวัดเลย ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา ฯลฯ
พอสิ้นรุ่นนั้นไปแล้วก็ยังมีหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม กว่าที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะสิ้นหมด หลวงปู่พูลจึงได้โผล่ขึ้นมามีชื่อเสียงตอนอายุ ๙๐ แต่ว่าช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงอยู่นั้น กลายเป็นอมตะเถราจารย์ในดวงใจของบุคคลไปเลย แม้กระทั่งมรณภาพไปแล้ว ตัวเลขทุกอย่างที่เกี่ยวโยงกับท่านออกเป็นหวยหมด เจ้ามือเจ๊ง แต่ลูกศิษย์รวยอื้อไปตาม ๆ กัน
นั่นเราจะเห็นว่าท่านไม่ได้ไปดิ้นรนไขว่คว้า ท่านยินดีในความสมถะ สันโดษ มักน้อยเป็นปกติ เคยทำความดีอย่างไร ท่านก็ทำความดีอย่างนั้นไปตามปกติ คนเขาเห็น เพียงแต่ว่าท่านที่เขาเด่นกว่ามีอยู่ คนก็ไปหาท่านนั้นก่อน แต่พอสิ่งที่เด่นกว่าทั้งหมดได้สิ้นไปแล้ว ท่านกลายเป็นเด่นที่สุด แล้วคนก็ไปหาท่านเอง เพราะฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องไปชิงดีชิงเด่นกับใคร อะไรที่เป็นของเรา พอถึงเวลาแล้วก็มาเอง ต่อให้ปฏิเสธให้ตายก็มา"
พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "จำไว้ว่า ยกมือวันทา..หมายังไม่กัดเลย หมาจะทำหน้างง ๆ ว่าเราทำอะไร อย่างหลวงพี่กิตติชัยเคยแกล้งกระทิง กระทิงโทนทั้งดุและหวงที่ วิ่งมาจะขวิด หลวงพี่ท่านทำท่าจ๋อยมันก็หยุด พอมันทำท่าจะถอย หลวงพี่ก็ทำท่าเชิดใส่ มันก็วิ่งใส่อีก ท่านบอกว่าลองอยู่ ๓-๔ เที่ยวแล้วถึงได้รู้ว่า กระทิงเกลียดคนหยิ่งมากเลย
ส่วนหมีนี่อันตรายมาก ต่อให้เราทำให้ตกใจ ก็วิ่งหนีไปพักเดียว จากนั้นจะสงสัยว่าเมื่อครู่นั้นคืออะไร แล้วก็จะย้อนมา หมีวิ่งเร็วกว่าเรา ขึ้นต้นไม้เก่งกว่าเรา ว่ายน้ำก็เร็วกว่าเรา เพราะฉะนั้น..มีทางเดียว เวลาเจอหมีนี่ให้วิ่งใส่เลยแล้วตะโกนดัง ๆ พอตกใจมันจะหนีก่อน เราก็รีบเผ่นไปคนละทิศ
ถ้าไปทำแกล้งตายนี่โดนกินเลย..! หมีเป็นสัตว์ตระกูลเสือ กินเนื้อเป็นอาหาร น้ำผึ้งเป็นเพียงของว่างเท่านั้น อาหารหลักคือเนื้อและผลไม้ คนที่เข้าใจว่าหมีกินน้ำผึ้ง ตายฟรีมาเยอะแล้ว"
"มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านไปพักที่วัดท่าขนุนก่อนที่จะเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร ท่านมีบาดแผลเหวอะหวะที่ศีรษะ ถามท่านว่าคุณไปโดนอะไรมา ท่านบอกว่าโดนหมีกัด คือหมีนอนหลับอยู่หลังขอนไม้ใหญ่ที่ล้มทับขวางทาง ท่านปีนข้ามแล้วไปหล่นลงบนตัวหมีพอดี หมีตกใจตื่นคว้าตัวได้ก็อ้าปากงับหัวเลย ท่านบอกว่าเสียงดังโป๊ะ แล้วท่านก็หมดสติไป
อาจจะเป็นเพราะหมดสติ มือเท้าอ่อนไม่ได้สู้อะไร หมีจึงคิดว่าตายแล้ว จึงทิ้งท่านไว้ตรงนั้น ท่านบอกว่าสลบไปประมาณ ๒ วันก็ฟื้นขึ้นมา เลือดนองเต็มพื้น มดกินเป็นพันตัวเลย ท่านก็เอาผ้าอาบพันศีรษะไว้ เดินโซเซออกมา จนกระทั่งถึงข้างนอก โยมมาพบเข้าก็เอามอเตอร์ไซค์ไปส่ง แล้วต่อรถสองแถวไปโรงพยาบาล รักษาหายแล้วก็กลับเข้าไปใหม่อีก เป็นพวกเราจะกล้าไปไหม ?
พระครูหน่อยของเรานี่แค่จ้องตากับเสือเท่านั้น บอกให้ไปธุดงค์ก็ไม่ไปอีกเลย ท่านบอกว่าทันทีที่สมองรายงานว่าเสือ มารู้ตัวอีกทีก็อยู่บนยอดไม้แล้ว ไม่รู้ว่าขึ้นไปได้อย่างไร นั่งปลอบใจตัวเองให้หายสั่นอยู่ราว ๒ ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ ลงมาเดินทางต่อ
เดินไปเดินมา ไม่รู้ไอ้เสือระยำเกิดสงสัยอะไร ดันย่องตามมาดู พอย่องตามมาดูจนเบื่อแล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ก็กระโดดแผล็วข้ามถนนไปต่อหน้าต่อตา พระครูหน่อยพอเห็นเป็นเสือความกลัวเดิมกลับมาหมดเลย โกยฝุ่นตลบเลย กว่าจะรู้ตัวก็อ้าปากหายใจไม่ทันแล้ว ยังดีที่ไม่หัวใจวายตายเสียก่อน หลังจากนั้นมาพูดถึงเรื่องธุดงค์นี่ไม่ไปอีกแล้ว
พอ ๆ กับอาจารย์จันทร์ วัดซายากง อาตมาพาไปเจอควายป่าทีเดียว ตั้งแต่นั้นมาชวนไปธุดงค์ด้วยไม่ไปอีกเลย แต่อย่างหลวงพี่ท่านนั้นผ่านความตายมาอย่างฉิวเฉียดก็ยังกลับเข้าไปใหม่ เราต้องชนะใจตัวเองให้ได้อย่างนั้น ถ้าชนะใจตัวเองไม่ได้อย่างนั้นก็แปลว่ายังกลัวตายอยู่ ถ้ายังกลัวตายอยู่ก็แบกสักกายทิฐิเต็ม ๆ
ถ้าเห็นบาดแผลของท่านแล้วเราจะใจหาย พูดง่าย ๆ ว่าหนังศีรษะของท่านเปิดเป็นจุด ๆ หมีขบทะลุกะโหลกเข้าไปเลย หมอต้องผ่าเอาเลือดคั่งภายในออก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระบบการจัดการน้ำของประเทศไทยเราล้าหลังสิ้นดี หวังว่าน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้จะทำให้เขาตื่นจากความเพิกเฉยกันเสียที เพราะเขามีโครงการจะตั้งกระทรวงน้ำมานานแล้ว แต่ไม่สำเร็จ เขาแยกกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพรรณพืช ออกมา ไม่รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับน้ำตั้งเป็นกรมหรือยัง ? แต่ยังไม่สามารถขึ้นเป็นกระทรวงได้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ต้องมีการจัดการอย่างรอบด้าน อย่างที่เขาใช้คำว่าบูรณาการไปพร้อม ๆ กัน
แหล่งน้ำธรรมชาติควรจะมีทุกหมู่บ้าน หนองบึงธรรมชาติก็ต้องขุดลอกเพื่อให้รับน้ำได้มากขึ้น ถ้าไม่มีก็ต้องหาพื้นที่ส่วนกลางทำเป็นหนองบึงธรรมชาติที่คนในหมู่บ้านสามารถใช้รวมกันได้ หลังจากนั้นก็จะต้องทำพวกคลองซอยส่งน้ำไปให้ทั่วถึง โดยเฉพาะแม่น้ำสายหลัก ๆ ต้องมีการขุดลอกและกำจัดพวกผักตบชวา สิ่งปลูกสร้างใด ๆ ที่กีดขวางทางน้ำต้องรื้อออกให้หมด
อาตมาถึงได้บอกว่า ถ้าอาตมาเป็นรัฐบาล จะไม่เสียเวลาดำเนินนโยบายใด ๆ เลย แค่ขอโอกาสเข้าไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในหลวงสักเดือนละครั้งสองครั้ง ขอพระราชทานแนวนโยบายว่าจะให้ทำอย่างไร แล้วก็ลุยทำไปเลย เพราะว่าสิ่งที่ในหลวงทำก็เพื่อความสุขของประชาชน รัฐบาลทำก็เท่ากับความสุขของประชาชนทั้งแผ่นดินเหมือนกัน
เคยเห็นกับตาครั้งหนึ่ง ในหลวงเสด็จแล้วบรรดาเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ตามไป ในหลวงมีพระราชดำริว่า ให้ทำการค้นคว้าและวิจัยว่าต้นไม้แต่ละชนิดที่ใบใหญ่ ใบเล็ก ใบยาว ใบสั้น มีการดูดน้ำ คายน้ำ และดูดคาร์บอนไดออกไซด์และคายออกซิเจนเท่าไร ? พระองค์ท่านต้องการที่จะเอาต้นไม้แต่ละชนิดมาปลูกเพื่อปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อม
แต่คำตอบน่าชื่นใจมาก เขาตอบเลยว่า "ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหลากหลายจนเกินไป" ในหลวงทรงถามกลับประโยคหนึ่งว่า "ที่บอกว่าทำไม่ได้นั้น ได้ลองทำแล้วหรือยัง ?" ถ้าเป็นอาตมานี่สะอึกนะ..! ในหลวงมีพระราชดำริก็ลุยทำไปสิ ทำให้ตายไปข้างหนึ่งเลย ดูซิว่าจะสำเร็จไหม ?
ในหลวงทรงเป็นสุดยอดของขันติบารมี งานที่พระองค์ท่านทำเพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้าน แทบจะไม่มีใครช่วยพระองค์ท่านได้เลย ขนาดพระราชทานพระราชดำริไปต่อหน้าต่อตา เขายังบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าเป็นเราจะมีความอดทนอดกลั้นทำเพื่อผู้อื่นขนาดนั้นไหม ? แต่ในหลวงทรงทำงานมา ๖๐ กว่าปีไม่เคยเลิก นี่แหละคือกำลังใจของพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง เป็นกำลังใจของบุคคลที่หวังความสุขของผู้อื่นมากกว่าตนเองอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้น..ถ้าใครคุยว่าปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าหากว่ายังทำเพื่อตัวเองอยู่ก็ไปเกิดใหม่เสียนะ..!"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15131&stc=1&d=1320214826
เก็บตกเดือนตุลาคมหมดแล้วค่ะ พบกันใหม่ในเดือนพฤศจิกายน
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.