เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔


เถรี
10-09-2011, 21:25
ถาม : เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ใจ ทำให้ตัวเองวุ่นวาย
ตอบ : อ้าว..รู้อยู่ ก็เลิกสิวะ..!

ถาม : เราสงสารเขา ก็เลยอารมณ์ค้างว่าเราสงสาร
ตอบ : โบราณเขาเรียกว่า "วัวพันหลัก" เขาผูกวัวไว้ให้กินหญ้า จึงปักหลักผูกวัวเอาไว้ วัวมันกินหญ้าวนรอบหลักไปเรื่อย ๆ เชือกก็พันหลักไปเรื่อย เชือกก็สั้นลง ๆ จนกระทั่งวัวติดอยู่กับหลัก ไปไหนไม่ได้

ถาม : พอฟังเขา เราก็สงสาร แต่เราก็รู้ว่าที่เขาพูดถึงเป็นอารมณ์ของคนที่ยังวกวนอยู่ในนั้น
ตอบ : ไปร่วมงานกับเขาหรืออย่างไร ?

ถาม : ไม่ได้ร่วมงานค่ะ แต่เป็นที่ระบายชั่วคราวของเขา
ตอบ : รับเรื่องของผู้อื่นมา ได้แต่รับฟังไว้ อย่าเก็บเอาเข้ามาในใจ ไม่อย่างนั้นเราก็จะวุ่นวายไปด้วย

ถาม : เป็นเพราะว่าสมาธิเรายังไม่แน่นพอหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เราไปปล่อยให้อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง นำหน้า จะว่าสมาธิไม่แน่นพอก็ได้ เพราะถ้าหากว่าสมาธิเพียงพอ ก็จะสามารถทรงอยู่ได้ ไม่ปล่อยให้หลุดออกไป

ถาม : การที่จะทำให้อารมณ์สมดุลได้นั้นลำบากค่ะ เรารู้สึกว่าอยากจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา บางทีเอาใจใส่เยอะเกินไป แล้วก็เผลอรับเข้ามา
ตอบ : เริ่มต้นใหม่ รู้ตัวแล้วก็แก้ไขใหม่

เถรี
10-09-2011, 21:37
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ในเรื่องการปฏิบัติ สิ่งที่ต้องระมัดระวังที่สุดก็คือ ถ้าหากว่าเราคุยมากจะฟุ้งซ่านมาก กำลังที่เพาะสร้างมาได้จะไม่เหลือ

ถ้าทำแล้วกำลังใจไม่ทรงตัว การปฏิบัติก็จะได้ผลน้อย ไม่อย่างนั้นกำลังที่เพาะสร้างได้ พอจะสู้กิเลสได้ กดรัก โลภ โกรธ หลง ให้สงบไปชั่วคราว แต่พอไปฟุ้งซ่าน กำลังของเรารั่วหมด กิเลสก็จะมีกำลังเหนือกว่า"

เถรี
10-09-2011, 21:44
ถาม : โยมฝึกกรรมฐาน เห็นไม่ชัดเจนแจ่มใสค่ะ
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องชัดเจน ให้รู้ได้ก็พอ

ถาม : รู้ได้ก็พอ ?
ตอบ : สภาพที่จิตสงบและปฏิบัติได้ถูก จะรู้เห็นชัดเจนไปเรื่อย ๆ ก่อนหน้านั้นเวลาอาตมารู้อะไร ก็รู้แบบมืด ๆ มัว ๆ สลัวเหมือนกับตะวันใกล้ค่ำ แต่ก็พอรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร

ปกติอาตมาจะใช้วิธีซ้อมด้วยการวนไปรอบ ๆ มองสิ่งที่อยู่ใกล้ ๆ พอบวชมาได้ ๑๐ กว่าพรรษา วันหนึ่งมองไปที่ต้นไม้ เฮ้ย..! ทำไมรายละเอียดชัดขนาดนั้น ใบอ่อนหรือใบแก่แยกออกหมดเลย ก่อนหน้านั้นไม่รู้หรอก เห็นเป็นรูปต้นไม้ก็ดีเหลือเกินแล้ว

เพราะฉะนั้น..ต้องซักซ้อมสะสมไปนาน ๆ อย่าใจร้อน ถ้าหากว่ากำลังเพียงพอ หรือเราทำได้ถูกจุด จะออกมาชัดเจนเลย แรก ๆ อย่าไปอยากมาก ให้รู้ได้ก็พอ

เถรี
11-09-2011, 12:21
ถาม : มีเหตุแปลก ๆ เกิดขึ้นกับหนูค่ะ อยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกวาบขึ้นมา อย่างเช่นเคยรู้สึกว่าตัวเองจะตัดลูกไม่ได้ ติดอยู่ตรงนี้นานมาก อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า เราอยู่ในห้องแล้วเราก็แค่ออกไปรอนอกห้อง นั่งรอเฉย ๆ เดี๋ยวคนในห้องเขาก็ออกมาเหมือนกัน พอความรู้สึกนี้เกิดขึ้น จากที่คิดว่าจะตัดลูกไม่ได้ ก็หายไปหมดเลยค่ะ
ตอบ : แสดงว่าปัญญาถึงแล้ว ของที่เคยคิดไม่ตกก็พลันคิดได้ อย่างนิยายจีนเรื่องฤทธิ์มีดสั้น อาฮุยหลงลิ้มเซียนยี้อย่างหัวปักหัวปำ ทั้งเพื่อนฝูงและครูบาอาจารย์ว่าตักเตือน อาฮุยไม่ฟังใครสักคน ลิ้มเซียนยี้เขาก็มั่นใจว่าอาฮุยอยู่มือเขาแน่ จึงหลอกอาฮุยครั้งแล้วครั้งเล่า

พอจะหลอกเป็นครั้งสุดท้าย ลิ้มเซียนยี้ดึงเสื้อไว้ อาฮุยก็ถอดเสื้อที่กำลังถูกดึงนั้นทิ้ง แล้วก็เดินต่อ ลิ้มเซียนยี้ก็แปลกใจ ตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น อาฮุยบอกว่า “ไม่มีอะไร ข้าพเจ้าพลันคิดตก” จากที่อาฮุยหลงหัวปักหัวปำ ตัดไม่ได้ถึงเวลาก็ยังตัดได้

ถาม : ขนาดว่าเจาะจงพิจารณา ยังมียอมรับบ้าง ไม่ยอมรับบ้าง นี่อยู่เฉย ๆ ก็รู้เลย
ตอบ : กำลังพอในส่วนที่เราก้าวเข้าถึง เพียงแต่ว่ากำลังเราพอแค่เรื่องนี้ ยังมีอย่างอื่นอีก ต้องสะสมกำลังกันต่อไป

ถาม : เคยวาบแบบที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติก็มี
ตอบ : ตัวนี้แหละที่ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียก ซาโตริ ซาโตริแปลว่า รู้แจ้งเข้าถึงธรรมโดยฉับพลัน แต่ความจริงไม่ใช่การเข้าถึงธรรมโดยฉับพลันหรอก บางทีก็หมายถึงหัวข้อธรรมที่เราขบไม่ออก แล้วพลันขบออก

แต่คนที่เขาไม่เข้าใจเขาก็บอกว่า บางคนซาโตริได้ครั้งเดียวในชีวิต คนที่เป็นอาจารย์ใหญ่เขาก็บอกว่า ไม่จริงหรอก ผมซาโตริเป็นร้อย ๆ ครั้ง ซาโตริในความหมายนี้ของเขา ก็คือเข้าใจในหัวข้อธรรมแต่ละหัวข้อ

ถาม : แล้วจะมีโอกาสได้ไหมว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ?
ตอบ : ได้ เป็นเรื่องที่ผิดก็ได้ แต่ว่าเราต้องมีสติด้วยว่าควรจะทำหรือไม่ อาตมาเคยวางแผนปล้นรถขนเงินทหาร แผนการรัดกุมมากเลย ขั้นตอนทุกอย่างชนิดที่ว่า ต้องทำได้แน่นอน เป็นไปได้ขนาดนั้น

สมัยที่เป็นทหารอยู่ เงินเดือนของทหาร ๑ กองพล ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทเขามัดเป็นลูกบาศก์ใหญ่ ๆ ใส่รถกรงขนไป มี สห.ขนาบหน้า ๒ คน ขนาบหลัง ๒ คน มีมอเตอร์ไซค์นำหน้าและปิดท้าย เอ็ม. ๑๖ ล้วน ๆ ถ้าทำตามแผนที่วางไว้ อาตมามั่นใจว่าปล้นได้แน่นอน นั่นคือไปซาโตริในเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ได้

เถรี
11-09-2011, 12:32
ถาม : เวลาเกิดโทสะหนูรู้สึกว่าเป็นไฟ เวลาเกิดมุทิตารู้สึกว่าเป็นแสงสว่างไสว เป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือหนูคิดไปเอง ?
ตอบ : โดยสภาพแล้วก็คือว่า สิ่งนี้เป็นความร้อน สิ่งนี้เป็นความเยือกเย็น ความสะอาด ความสว่าง ความผ่องใส ถ้าสภาพจิตละเอียดพอก็สามารถที่จะแยกออกได้ โดยเฉพาะถ้าเราเข้าถึงอารมณ์นั้นจริง ๆ

ถ้าเข้าถึงจริง ๆ จะสามารถแยกออกและสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเป็นอย่างไร แต่ขอให้เข้าใจว่า สิ่งที่เราเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเข้าถึงจริง ๆ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน สิ่งที่เราเปรียบเทียบเป็นแค่ผิวหยาบ ๆ อารมณ์ที่เราเข้าถึงนั้นละเอียดกว่า เราก็ได้แต่เปรียบว่าเป็นไฟ แต่คราวนี้ไฟนั้นเผาเราอย่างไร อธิบายไปคนอื่นเขาฟังก็ไม่รู้เรื่องหรอก

เถรี
11-09-2011, 14:25
ถาม : ครั้งที่แล้วที่หนูไปช่วยงานที่วัดหนึ่ง หนูเริ่มเห็นเค้าลางของความแตกแยก ในหมู่ลูกหลานของท่านค่ะ
ตอบ : ที่ไหนก็มี สำคัญตรงที่เจ้าอาวาสเองจะต้องมั่นคงและยุติธรรม ไม่อย่างนั้นแล้วความแตกแยกจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ

ให้สังเกตว่า แต่ละวัดถ้าหากสิ้นเจ้าอาวาสแล้ว วัดจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก็เพราะว่าบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากพวกเขาได้จากไปแล้ว คนที่เขาจะเกรงใจนั้นไม่มีแล้ว ฉะนั้น..จำเป็นที่เราจะต้องหาตัวตายตัวแทน ให้เป็นคนใจกว้างหน่อย ยอมรับแนวคิดของคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วจะอยู่กันยาก

เคยเตือนเจ้าอาวาสท่านไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนที่ไปพุทธาภิเษกครั้งล่าสุด บอกท่านว่า ถ้าจะเอาคนนี้ขึ้น ก็ต้องรีบแต่งตั้งเลยนะ ถ้าท่านมัวแต่ใจเย็นอยู่ ถึงเวลาคนอื่นเขาขึ้นมาได้จะลำบาก ประการที่สองคือ เราต้องใช้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่อะไรท่านก็ใช้คนนี้อยู่คนเดียว ถ้าหากว่าคนที่ท่านใช้เกิดป่วยเข้าโรงพยาบาลไปสัก ๓ วัน ท่านแย่เลยเพราะคนอื่นจะไม่รู้งาน

ตามกฎหมาย เวลาตั้งเจ้าอาวาสเขาจะพิจารณาจากรองเจ้าอาวาสก่อน ถ้าหากว่าไม่มีรองเจ้าอาวาส ก็มาพิจารณาผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถ้าผู้ช่วยเจ้าอาวาสมีหลายรูป ให้ตั้งคณะกรรมการ คือเจ้าคณะอำเภอ ๑ เจ้าคณะตำบล ๑ และเจ้าอาวาสในเขตนั้น ๑ ให้ลงมติว่าจะเอาใคร ไม่มีเกี่ยวกับฆราวาสเลย

กฎหมายของพระเขาระบุไว้ ๓ รายนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..ฆราวาสไม่มีสิทธิ์ยุ่งอะไรหรอก คุณจะประท้วงอะไรก็แล้วแต่ เขาตั้งกันไปแล้วก็จบ แต่ส่วนใหญ่แล้วคณะสงฆ์ก็มักจะเลือกคนที่ชาวบ้านเอา เพราะเขาถือว่าต้องเอาเสียงส่วนรวมเป็นใหญ่จึงจะรักษาวัดไว้ได้

ถาม : หนูก็มองในลักษณะที่คนมาหาท่าน..
ตอบ : เคยเปรียบเทียบไว้ว่า กลุ่มลูกศิษย์แต่ละกลุ่มเหมือนกับห่วงโซ่ห่วงหนึ่ง ถ้าต่างคนต่างอยู่จะมีประโยชน์น้อย หรือใช้ประโยชน์แทบไม่ได้เลย แต่ถ้าสามารถเกี่ยวคล้องกันเป็นโซ่จะใช้งานได้สารพัด เราก็ลองเป็นตัวกลางดูสิ ยอมเหนื่อยหน่อย..ช่วยประสานให้เขาไป

เหมือนกับตอนอาตมาเป็นฆราวาสก็วิ่งกลุ่มนั้นบ้างกลุ่มนี้บ้าง จนกระทั่งโดนบางกลุ่มเขาด่าว่าเป็นนกสองหัว ในเมื่อเขาไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของเราก็ปล่อยให้เขาด่าไป

เถรี
11-09-2011, 16:11
เคยได้ยินที่ฝรั่งเขาพูดกันไหม ? ว่างานสำเร็จตรงที่ได้ทำ ไม่ได้สำเร็จตรงที่ผลงานนั้นเกิด ขอให้ได้ทำก็พอแล้ว ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ช่างหัวมัน ฟังดูเหมือนเอาความสะใจอย่างไรก็ไม่รู้

ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด เพราะว่าบุคคลที่เขาสร้างบารมีมาร่วมกัน ก็จะฟังกัน จะไปด้วยกันเป็นกลุ่ม ๆ คราวนี้ถ้าหากหัวหน้ากลุ่มกำลังใจไม่เปิดกว้างพอ ก็เหมือนกับจะปิดกั้นกลุ่มอื่น สมัยนี้เขาใช้คำว่า "จิตสาธารณะ" ใช่ไหม ? ถ้ามีจิตสาธารณะ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่า ทำเพื่อส่วนรวมไป ทุกอย่างก็จะดี ถ้าจิตสาธารณะมีน้อย ไม่ทันไรเดี๋ยวก็ตัวกูของกูขึ้นหน้า แล้วก็ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน

เถรี
11-09-2011, 19:46
ถาม : ถ้าเราใช้อำนาจสมาธิไปสะกดจิตคนอื่นนี่ได้ไหมคะ?
ตอบ : ได้..แต่ว่าไม่ควรทำ แค่พระโสดาบันตำหนิคนทำผิดขึ้นมา คนนั้นจะเกิดความละอายใจอย่างแรงกล้า ตอนนั้นจะไม่ทำผิดเลย เพราะกำลังท่านสูงมาก ต่อให้โจรจี้ท่านอยู่ จะเอาเงินหรือว่าจะฆ่าท่าน ถ้าท่านเอ่ยปากตำหนิขึ้นมานี่ เขาจะเกิดความละอายใจอย่างแรงกล้า ดีไม่ดีก็วิ่งหนีไปซึ่ง ๆ หน้า แต่ก็เปลี่ยนได้แค่ชั่วคราว แล้วเราไม่ใช่พระโสดาบันนะ

เรื่องอย่างนี้ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ ไม่ฝืนกฎของกรรม พรหมเทวดาจำนวนมากคงขนคนไปสวรรค์นิพพานไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ท่านจัดการไปหมดแล้ว แต่การที่คนเราทำดีทำชั่ว ต้องเป็นเรื่องจิตใจเขาจริง ๆ ไม่ใช่ว่าให้เขาทำดีเพราะเราไปเปิดให้เขาเห็นนรก ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ได้ทำดีเพราะสภาพจิตใจต้องการทำ แต่เขาทำเพราะกลัว..ผลดีจึงไม่บริสุทธิ์เต็มร้อยส่วน

ขณะเดียวกัน เขาทำชั่ว ก็ไม่ใช่ว่าเห็นนรกแล้วจะเลิกทำ คนที่มันจะชั่วต่อให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรงหน้า เขาก็จะชั่ว ในพระไตรปิฎก มีคนเขาจ้างไปด่าพระพุทธเจ้า ก็เดินตามด่าพระพุทธเจ้าไปเรื่อย

เรื่องของความดีความชั่วต้องปล่อยไปตามวาระ ถ้าหากว่าคนไหนเลี้ยวถูกทาง ก็ขึ้นบกขึ้นฝั่งเร็วหน่อย ถ้าหากว่าเขาเลี้ยวไม่ถูกทางก็ลอยคอในทะเล จมน้ำตายไปตอนไหนไม่รู้ สงเคราะห์เขาได้เมื่อไรเราก็สงเคราะห์ ถ้าหากว่าสงเคราะห์ไม่ได้ก็ได้แต่มองด้วยความเวทนา..!

เถรี
11-09-2011, 19:50
ถาม : ท่านที่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองบรรลุเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ?
ตอบ : ต่อให้มีคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่หลงตัวเองว่าได้ กติกาเดิมเคยทำอย่างไรท่านก็ยังทำอยู่อย่างนั้น จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ ๑. ได้รับพุทธพยากรณ์ ๒. ญาณเป็นเครื่องรู้เกิดขึ้น มั่นใจว่าตัวเองจบกิจในส่วนนั้นแล้ว เท่าที่เจอมาก็คือ มีมากต่อมากด้วยกันที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็น

สมมติว่าได้หนังสือของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา อ่านเจอว่าพระโสดาบันมีกติกาอย่างนี้ อ้าว...เราทำได้หมดแล้วนี่ แต่ท่านก็ไม่ได้ประมาท ท่านก็ทำต่อไป

ไม่ใช่ท่านโง่นะ เพียงแต่ท่านไม่ได้สนใจว่านั่นคืออะไร รู้แต่ว่าท่านต้องการทำอย่างนี้ ชอบทำอย่างนี้ ถ้าหากว่าไปนอกทุ่งนอกท่า ผิดศีลผิดธรรมท่านไม่เอาด้วย ต่อให้ตายก็ไม่ทำ กำลังใจของท่านสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไป ในเมื่อสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไปก็ไม่มีใครบังคับให้ท่านทำความชั่วได้ เพราะท่านไม่เอาด้วย

เถรี
11-09-2011, 20:03
ถาม : ถือศีล ๘ ทาครีมกันแดดได้ไหมคะ?
ตอบ : เป้าหมายในการที่ท่านห้ามเรื่องของหอม เครื่องย้อม เครื่องทา ก็คือเอาไปยั่วเพศตรงข้าม ถ้าเรามั่นใจว่าสวยพอแล้วก็ไม่ต้องไปยั่ว..(หัวเราะ)..

เราก็ให้อยู่ในลักษณะเหมือนกับพระทายารักษาโรค ทาไปด้วยเห็นไปด้วยว่า ร่างกายนี้ไม่ดีจริง ถ้าร่างกายนี้ดีจริงเราก็ไม่ต้องมาคอยทาแล้ว

เถรี
11-09-2011, 20:08
พระอาจารย์กล่าวถึงปรมาจารย์ตั๊กม้อว่า "ท่านหันหน้าเข้าหาข้างฝา ๙ ปี เพื่อสอนธรรมให้ผู้อื่นรู้ว่า ความสงบนั้นดีอย่างไร ไม่ต้องเสียเวลาเอ่ยปากสอนแม้แต่คำเดียว

เวลา ๙ ปีนี้ ลมปราณที่แผ่ออกจากร่างของท่าน ทำให้หินตรงหน้าโดนกัดเซาะจนเป็นรูปร่างของท่านไปเลย นั่นคือลักษณะแบบเดียวกับพระพุทธฉาย ท่านนั่งอยู่ ๙ ปี พูดง่าย ๆ ว่าพลังบารมีของท่านแผ่ไปจนกระทั่งรูปของท่านไปติดอยู่ที่ผนังหินได้"

เถรี
11-09-2011, 20:37
ถาม : ผมอยากถามว่า ผมชอบฝันเห็นคนใส่ชุดดำเดินเข้ามาอยู่บ่อย ๆ ผมเคยอ่านเจอในตำราพระนเรศวรบอกว่า มักจะมีสิ่งไม่ดีหรือมีคนมาปองร้าย เขามาตั้งเดือนเกือบสองเดือนแล้วครับ คืออะไรครับ
ตอบ : ฝันมีอยู่ ๔ อย่าง มีธาตุวิปริต กินมากท้องไส้ไม่ดีก็ฝันไปเรื่อยเปื่อย กรรมนิมิต ความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุ จิตนิวรณ์ เป็นความฟุ้งซ่านประสาทเสียของเรา ทำให้เก็บเอาไปฝัน แล้วก็เทพสังหรณ์ เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์

ถาม : แล้วอย่าไปสนใจหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณเลิกคิด ภาวนาจนใจสงบก็จะเลิกฝันไปเอง

เถรี
11-09-2011, 20:39
ถาม : ผมเคยอ่านบทความของหลวงพ่อวัดท่าซุง ปกติถ้าเป็นรูปพระพุทธ จะมีเทวดาคุ้มครองแม้ไม่ได้ปลุกเสก ผมอยากทราบถ้าเป็นรูปพระอริยสงฆ์จะเหมือนกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เน้นเฉพาะรูปของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าหากว่าเป็นสิ่งของที่พระอรหันต์ท่านใช้งาน จะมีเทวดารักษาอยู่

ถาม : อย่างวัตถุมงคลอะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ของใช้ส่วนตัวทั่วไป

เถรี
11-09-2011, 21:54
ถาม : ตอนที่หลวงพ่อฤๅษีมีคดีแม่ชม้อย ท่านทำใจอย่างไรคะ ? หนูกลัวว่าหนูจะเอาใจออกห่างจากพระค่ะ
ตอบ : นึกถึงคนที่เดินทางอยู่ท่ามกลางพายุ จะให้ก้าวตรงไปอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเอียงซ้ายเอียงขวาบ้างก็ช่างมัน ขอให้มุ่งตรงต่อที่หมายของเรา เมื่อพายุผ่านไป เราผ่านพ้นช่วงนั้นไปได้ เราก็จะมั่นคงอยู่ในพระรัตนตรัยเช่นเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม

ลองไปหาดูในเว็บก็ได้ เขามีลงไว้อยู่ อาตมาเขียนเอาไว้ตอนนั้นว่า

หนทางแม้สุดไกล...........ขอมุ่งไปกว่าจะถึง
ยากเข็ญมิคำนึง..............ถึงทนทุกข์สักเพียงไร
เดินตามรอยเท้าพ่อ.........มั่นคงต่อธรรมวินัย
พ่อชี้หนทางใด..............จะมุ่งไปไม่ลังเล
จิตมั่นด้วยศรัทธา............ทุกเวลาไม่หันเห
ผู้ใดจะรวนเร.................มิซวนเซตามเขาไป
พ่อนำทางให้ลูก............มีแต่ถูกลูกมั่นใจ
ขอเดินตามพ่อไป..........ตราบจนถึงซึ่งนิพพาน


อันนั้นประกาศชัดเลย จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมอาตมาถึงทำใจได้

เถรี
12-09-2011, 08:13
ถาม : หนูพยายามตั้งพุทโธให้ได้ เวลาภาวนาไปมีความรู้สึกตัว แต่พุทโธไม่เด่นเหมือนมีความคิดแทรกเข้ามา ตอนหลังมาคิดว่าเป็นเพราะหนูตั้งพุทโธผิด หนูก็เลยลองหลับตา ดูว่าจิตของตัวเองอยู่ที่ไหน ก็รู้สึกว่าจิตจะเด่นอยู่ในศีรษะ แล้วไปพอภาวนาพุทโธอีก ไม่ได้รู้สึกว่าสบาย ก็เลยไม่แน่ใจว่าทำถูกไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ เราทำถูกแล้ว เพียงแต่ว่าวิธีการบางอย่างยังไม่ใช่ ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรากับพุทโธ ไหลตามลมหายใจเข้าไป และไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าสติของเราเริ่มขาด พุทโธจะไม่ชัด เราก็ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ลมหายใจใหม่

ส่วนอาการภายนอกจะเกิดขึ้นก็เป็นปกติ ถ้ากำลังใจไปถึงระดับหนึ่ง อาจจะรู้สึกขนลุก น้ำตาไหล ตัวลอย ตัวโยกไปโยกมา บางคนก็ดิ้นตึงตังโครมคราม บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด บางทีก็เห็นแสงเห็นสี บางคนรู้สึกตัวแข็งขึ้น ๆ จนกลายเป็นหินไปเลย

ให้เราสังเกตว่าตอนนั้นจิตเราจะนิ่งอยู่กับพุทโธตรงหน้า เราก็อย่าไปสนใจร่างกายว่าจะเป็นอะไร ปล่อยให้เป็นให้เต็มที่ไปเลย บางคนดิ้นตึง ๆ จนเพื่อนตกใจ ให้สังเกตว่าต่อให้ดิ้นแรงขนาดไหน ใจก็นิ่ง ให้เราอยู่กับตรงนี้ พอเต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง จิตจะสงบนิ่ง แล้วจะสบาย

ถาม : เหมือนกับสงบใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต่อไปภาวนาเฉย ๆ อยู่แค่ลมหายใจนี้ อย่าไปคิดไปสนใจว่าถึงขั้นตอนไหน ถ้าคิดอยากได้อยากเป็นก็จะไม่นิ่ง เรามีหน้าที่ตามดูลมหายใจเข้าออกกับพุทโธเท่านั้น ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายก็ให้ช่างมัน

เถรี
12-09-2011, 08:16
ถาม : หนูเคยอ่านหนังสือที่เขาบอกว่า เวลาตายไปแล้วไม่ได้กินน้ำ พอฟื้นขึ้นมาจึงรีบทำบุญด้วยน้ำ สงสัยว่าเป็นผีแล้ว ยังต้องกินต้องใช้อีกหรือคะ ?
ตอบ : พวกที่ตายไปใหม่ ๆ อุปาทานที่ติดไปจากโลกมนุษย์ยังเยอะมาก ทำให้รู้สึกว่าต้องกินต้องใช้เหมือนคนปกติ มีที่หนึ่งซึ่งเป็นชายขอบของชั้นจาตุมหาราช เหมือนตลาดนัดจตุจักรของเรานี่แหละ พวกที่ตายแล้วจะไปเดินซื้อของ อยู่ไปอยู่มาพอรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น เขาก็ไปตามบุญของเขา สัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ที่ติดไป ทำให้เขารู้สึกว่ายังต้องกินต้องใช้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ยังไม่คุ้นชินอยู่พักหนึ่ง แต่พอรู้ตัวเขาจะปรับตัวได้เอง

เถรี
12-09-2011, 08:20
ถาม : พอนั่งสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ เราจะรู้ไหมครับว่าเราเข้าฌาน ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจในขั้นตอนจะรู้ทันที

ถาม : ถ้ารู้สึกตัวเหมือนกับว่าหลับละครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นดีที่สุดก็แค่ปฐมฌานหยาบ ถ้าหากว่ามากกว่านั้นสภาพจิตจะละเอียด จะไม่รับรู้อาการภายนอก แต่ทุกขั้นตอนที่ผ่านระดับของสมาธิจะรู้

ถาม : ถ้าถึงฌาน ๔ ล่ะครับ ลืมตาขึ้นมา..?
ตอบ : ถ้าหากว่าถึงฌาน ๔ แล้วจะนิ่งอยู่ข้างใน หากไม่ใช่บุคคลที่ฝึกหัดเรื่องฌานใช้งานมาจริง ๆ เวลาสมาธิไม่ถอยแล้วจะลืมตาไม่ขึ้น เพราะจิตกับประสาทแยกกันหมดแล้ว รวมถึงขยับปากไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ อย่างกับตอไม้อย่างนั้นแหละ แต่ข้างในสว่างโพลง เยือกเย็นมาก มีความสุขมาก

ถาม : ไม่ได้ยินเสียงภายนอก ?
ตอบ : ไม่รับรู้อาการภายนอกเลย แต่ว่าภายในรู้ตลอด

เถรี
12-09-2011, 13:37
ถาม : มีงานบางอย่างที่มาจ่อตรงหน้า เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ พอถึงจุดที่จะได้ก็จะพลาดตลอดครับ มีกรรมอะไรหรือไม่ครับ ? แล้วจะมีวิธีแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เหมือนกับว่าเคยไปขวางใครเขาไว้ คงต้องทำบุญอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร พวกอุปสรรคต่าง ๆ อย่างนี้ ถ้าปล่อยนกปล่อยปลาจะช่วยได้ เราช่วยให้เขาได้รับอิสระและความสะดวกสบาย ถึงเวลาเราก็ได้รับความสะดวกสบายไปด้วย


ถาม : เรื่องพวกนี้ เกิดจากกรรมหรือเกิดจากตัวมิจฉาทิฏฐิครับ ?
ตอบ : เกิดจากปัญญาไม่พอ ในเมื่อปัญญาไม่พอก็เลยก่อกรรมที่คิดว่าไม่มีโทษ

เถรี
12-09-2011, 16:48
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "นางวิสาขามีเครื่องประดับที่มีราคาแพง คือ มหาลดาปสาธน์ มีอยู่วันหนึ่งนางวิสาขาจะเข้าวัด จึงถอดมหาลดาปสาธน์ให้นางปุณทาสีที่เป็นคนใช้ประจำตัวนำไปเก็บ นางปุณทาสียกเครื่องประดับนี้ไหวเพราะกำลังเท่ากับเจ้านาย สาเหตุที่นางวิสาขาให้เอาเครื่องประดับไปเก็บไว้ก่อนเพราะนางจะเข้าไปหาพระ แต่งตัวหรูหราเกินไปแลดูไม่เหมาะสม นางปุณทาสีจึงเอาเครื่องประดับไปเก็บไว้ที่มุมหนึ่งของศาลา พอจะกลับ ทั้งนางวิสาขาและนางปุณทาสีลืมเครื่องประดับนี้ทั้งคู่

เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์นี้ราคา ๙ โกฏิ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ ๙๐๐ กว่าล้านบาท เครื่องประดับราคาแพงขนาดนั้นยังลืมได้ นางวิสาขาจึงให้นางปุณทาสีย้อนกลับไป บอกว่า "ไปดูสิ..ถ้าเครื่องประดับยังอยู่ก็เอามา แต่ถ้าพระท่านเก็บไว้ ถือว่าเป็นของกึ่งกลางระหว่างสงฆ์ เราจะไปไถ่คืนมา" ปรากฏว่าพระอานนท์ไปเจอเครื่องประดับเข้า พระมีศีลอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าหากว่าโยมลืมของหรือทิ้งของไว้ในวัด ต้องเก็บไว้ให้จนกว่าเจ้าของเขามาเอาคืน

ถ้าไม่ใช่พระอานนท์มาเจอ ก็ไม่มีใครยกไหวหรอก โยมลองนึกดูว่าเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ทำด้วยเงิน ๑,๐๐๐ แท่ง ทอง ๑,๐๐๐ แท่ง แก้วไพฑูรย์ ๔ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมณี ๓๓ ทะนาน ร้อยลงมาเป็นเสื้อคลุมใครจะไปยกไหว ทอง ๑,๐๐๐ แท่งก็ไม่รู้แท่งละกี่บาท นำมารีดเป็นเส้นแล้วก็ร้อยแก้ว คราวนี้พระอานนท์ท่านมีกำลัง ๗ ช้างสาร ท่านยกไหวก็เลยนำไปเก็บไว้ นางวิสาขาท่านก็คิดว่าในเมื่อพระท่านนำไปเก็บจึงเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ รับคืนมาเฉย ๆ อาจจะมีโทษได้

ท่านก็เลยนำเครื่องประดับขึ้นเกวียน ไปประกาศว่ามีใครจะซื้อบ้าง จะเอาเงินไปชำระหนี้สงฆ์ ประกาศทั้งเมืองก็ไม่มีใครกล้าซื้อ เพราะของราคาแพงจัด นางวิสาขาก็เลยซื้อเอง ชำระหนี้สงฆ์เก็บไว้ใช้เอง แล้วก็นำเงินไปสร้างวัด ชื่อว่า วัดบุพพาราม

ท่านบอกว่าสร้างวัดบุพพารามสิ้นเงินไป ๙ โกฏิ ซื้อที่ดินสิ้นเงินไป ๙ โกฏิ จัดงานฉลองหมดไปอีก ๙ โกฏิ รวม ๆ แล้ว ๒๗ โกฏิ เราจึงได้วัดสำคัญขึ้นมาอีกวัดชื่อวัดบุพพาราม ไม่ใช่บุปผาราม

บุพพาราม แปลว่า อารามเบื้องต้น คือเป็นวัดแรกในเมืองสาเกต พระพุทธเจ้าท่านจำพรรษาอยู่ที่แคว้นโกศล ๒๕ พรรษา อยู่ระหว่างวัดเชตวันของอนาถปิณฑิกเศรษฐีกับวัดบุพพารามของนางวิสาขา

เวลาพระพุทธเจ้าท่านเดินบิณฑบาตออกทางประตูไหน ชาวบ้านก็จะไปคอยดู ถ้าหากว่าออกประตูทิศนี้ก็จะไปอยู่วัดบุพพาราม ถ้าหากออกประตูทิศนี้ก็ไปวัดเชตวัน ชาวบ้านเขาช่างสังเกต"

เถรี
12-09-2011, 17:05
"ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าคนที่มีกำลังมากขนาดนั้นจะมีจริงหรือ ? มาคลายความสงสัยสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาอยู่รับใช้ท่าน หลายครั้งที่ท่านป่วยอยู่ ไม่ค่อยจะมีแรงทรงกาย แต่เรี่ยวแรงก็ยังเกินมนุษย์

ปกติท่านจะพักที่กุฏิหลังวิหาร ๑๐๐ เมตร เวลาประมาณ ๗ โมงครึ่ง ก็จะมาทำงานที่กุฏิริมน้ำ อาตมามีหน้าที่เฝ้าหน้าประตู วันหนึ่งท่านว่า "เออ...วันนี้รู้สึกมีแรง ขอออกกำลังหน่อย" ท่านขึ้นไปโยกเครื่องออกกำลังที่โยมถวายมา เครื่องออกกำลังที่เท้าถีบได้ มือโยกได้ สปริงแต่ละข้างใหญ่ประมาณท่อนแขนอาตมา หลวงพ่อโยกไม่กี่ทีสปริงขาดเลย สรุปว่าอาตมาต้องแบกเอาไปเก็บ ใช้งานไม่ได้เพราะสปริงขาด

หลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันเป็นท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี วัดสุวรรณคีรี สมัยก่อนท่านไปหาหลวงพ่อบ่อย ท่านเคารพหลวงพ่อมาก พอไปถึงก็กราบที่อก หลวงพ่อท่านก็ตบหัว “เป็นยังไงไอ้ดำ..?” หลวงพี่ดำก็ลงไปกองที่เท้าหลวงพ่อ

อาตมาเห็นก็คิดว่า หลวงพี่มหาท่านเคารพหลวงพ่อจริง ๆ กราบจากอกยันเท้าเลย ที่ไหนได้ พอหลวงพ่อไปแล้ว หลวงพี่ดำลุกขึ้นมาบอกว่า "เกือบสลบ..!" หลวงพ่อท่านตบหัวทักทาย แต่หลวงพี่ดำรู้สึกอย่างกับโดนค้อนตี ที่เห็นนั้นไม่ได้กราบเท้านะ ร่วงลงไปกองอยู่ที่เท้า..!

อาตมาก็สงสัยว่าทำไม หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นกำลังบุญ กำลังที่สั่งสมมาตั้งแต่เดิม คนที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องเกิดเป็นหัวหน้าเขา ตอนเกิดเป็นคนก็เป็นหัวหน้าคน เกิดเป็นสัตว์ก็เป็นหัวหน้าสัตว์ ถ้าไม่แข็งแรงกว่าเขา ก็เป็นหัวหน้าเขาไม่ได้"

เถรี
12-09-2011, 17:10
มีโยมอัดรูปพระอาจารย์มาถวาย ท่านกล่าวว่า "จำไว้เลยนะว่า..ถ้าไม่อยากโดนด่า อย่าทำรูปอาตมามา ตูเห็นหน้าตัวเองจนเบื่อเต็มทีแล้ว นี่ยังดีนะว่าซ่อนไว้ข้างล่าง ถ้าเห็นก่อนนี้โดนด่าตั้งแต่ตอนเอามาแล้ว เสือกทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง..!

แจ้งให้ญาติโยมทราบอีกครั้งนะจ๊ะ เผื่อประเภทหลงลืมหรือไม่เคยได้ยิน อย่าอัดรูปอาตมามาเป็นอันขาด ถ้าอยากได้รูป อาตมาทำเองและดีกว่าด้วย แทนที่จะแจกเองเสือกทะลึ่งเอามาให้อาตมาแจก ตกลงไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับอาตมาเลย นอกจากเหนื่อยเพิ่มขึ้น ถ้าอาตมาอยากจะแจก จะทำเอง ไม่ต้องเมตตาทำมา นี่ดีว่าซุกเอาไว้ ถ้าเห็นตั้งแต่เมื่อวานนี้ก็ด่าไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ต้องบอกว่ายิ่งห้ามยิ่งเจอ"

เถรี
13-09-2011, 06:23
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เดือนนี้ทั้งเดือนที่ทองผาภูมิแทบจะไม่เห็นแดดเลย โดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาบิณฑบาตเปียกฝนแทบทุกวัน
เรื่องบิณฑบาตเป็นกิจวัตร เป็นสิ่งที่พระจำเป็นต้องทำ เพราะเป็นการรักษาอริยประเพณีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ท่านบิณฑบาตแม้วาระสุดท้ายของชีวิต ก็คือบิณฑบาตที่บ้านของนายจุนทะ

อีกอย่างหนึ่งก็คือ เคยพบด้วยตัวเอง ตอนนั้นอยู่ที่วัดท่าซุงจะบิณฑบาตที่สายใต้เป็นประจำ ตอนแรกหลวงตาวัชรชัยท่านเป็นหัวหน้าสายอยู่ พออาตมาได้หลายพรรษาหน่อย หลวงตาท่านก็ไปเดินสายหลังวัด อาตมาก็เป็นหัวหน้าสายใต้แทน มีอาจารย์สมปองเดินตาม และน้อง ๆ อีก ๑๐ กว่ารูป บางทีฝนตกหนักไม่มีใครบิณฑบาต มีอาตมากับอาจารย์สมปองสองคนไป

เดินไปจนสุดทางประมาณ ๒ กิโลเมตรจากวัด มีคุณยายอายุ ๘๐ กว่าปี ยืนถือใบกล้วยบังหัวกับขันข้าวรอใส่บาตร ลองนึกดูว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้ไป คุณยายจะทำอย่างไร? คุณยายแก่ ๆ ผมขาวทั้งหัว กลัวว่าฝนตกแล้วลูกพระจะอด อุตส่าห์ยืนถือใบกล้วยบังหัวรอใส่บาตร"

เถรี
13-09-2011, 16:19
"ในวัดท่าซุงตอนนั้นมีพระอยู่ ๒ รูป ก็คืออาตมากับท่านอาจารย์สมปอง ฟ้าถล่มดินทลายอย่างไรก็ไม่เลิกบิณฑบาต พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านวางกฎระเบียบไว้ว่า ต้องบิณฑบาตกลับมาครบแล้วถึงฉันพร้อมกัน เพราะฉะนั้น..อาตมากับอาจารย์สมปองไม่รู้โดนเขาแช่งชักหักกระดูกไปเท่าไรแล้ว เพราะเวลาฝนตกเขาไม่ไปบิณฑบาตกัน แต่พวกเรา ๒ คน ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกอย่างไรก็ไป

อาตมาเองใช้ผ้าแค่ ๓ ผืน มารู้ทีหลังอาจารย์สมปองก็ใช้ ๓ ผืนเหมือนกัน พอเปียกแล้วไม่มีเปลี่ยน กลับมาถึงก็รีบบิดให้หมาด ๆ แล้วห่มเข้าวงฉัน ฉันเสร็จก็ค่อยหาทางว่าจะทำอย่างไรให้จีวรแห้ง ถ้าไม่มีแดดจริง ๆ ก็อาจจะต้องเปิดพัดลมเป่าจีวร กว่าจีวรจะแห้งพอที่จะไปทำงานอย่างอื่นได้ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน

จากที่พวกเราเอานิสัยไม่ยอมละทิ้งระเบียบ ไม่ยอมผ่อนผันให้กับตัวเองมาใช้ในการปฏิบัติ เวลาทำอะไรจึงได้มากกว่าคนอื่น ขณะที่คนอื่นถึงเวลาก็ผ่อนผันให้กับตัวเอง แต่พวกเราไม่ยอมผ่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อสอนจะถือว่าเป็นคำสั่งที่ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ฟังเป็นคำสอนผ่านหูไปเฉย ๆ ก็เลยทำให้กลายเป็นสมบัติติดตัวมา

แม้กระทั่งจนทุกวันนี้ฝนตกแดดออกอย่างไรก็ออกบิณฑบาต บางทีญาติโยมที่รู้จักเขาก็บอกว่า หลวงพ่อเป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้ พระเณรเต็มไปหมด ถ้าเป็นที่อื่นเขาให้พระเณรบิณฑบาตเลี้ยงแล้ว แต่อาตมาไม่ใช่อย่างนั้น ถ้ายังไปไหวก็ต้องไป"

เถรี
13-09-2011, 16:30
"ถ้าเป็นวันที่ต้องไปบิณฑบาต ตั้งแต่บวชมา ๒๗ ปี อาตมาขาดแค่ ๔ ครั้งเพราะป่วยจนลุกไม่ขึ้น ถ้าลุกขึ้นพอโงนเงนได้ก็ไป บางทีไข้จับหนักมาก แทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเดินไปถึงปลายทางได้อย่างไร แทบจะไม่รู้ตัวว่าเดินกลับมาที่วัดได้อย่างไร เดิน ๆ ไปก็สะดุดก้อนหิน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เลือดไหลเป็นกองเพราะเล็บหลุดไปทั้งอัน..!

เวลาไข้จับหนัก เราไม่รู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร เพราะเบลอไปหมด ตั้งสติไว้อย่างเดียวว่ากลับให้ได้ก็แล้วกัน ทำให้เห็นชัดว่า จริง ๆ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราอย่าให้เขาบังคับเรา เราต้องบังคับเขาแทน ถ้ายังไหวเอ็งไปซะดี ๆ..!

ถามว่าทำอย่างนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยคหรือไม่ ? ทรมานตนเองเกินไปหรือไม่ ? โหดร้ายขาดเมตตากับตัวเองหรือไม่ ? ไม่ใช่หรอก..ถ้ายังไปได้ต้องไป ระเบียบวินัยเป็นแค่ของหยาบ ๆ ถ้าเราทำไม่ได้ การเข้าถึงธรรมที่เป็นส่วนละเอียด เราจะเข้าถึงไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น..ใครที่เป็นคนต่อต้านระเบียบ ไม่ยอมรับระเบียบวินัย ไม่ยอมรับกฎหมายบ้านเมืองหรือกฎกติกาของสถานที่ใด ๆ ให้รู้ว่าโอกาสที่เราจะเข้าถึงธรรมมีน้อยมาก เพราะว่าของหยาบสภาพจิตของเรายังต่อต้านไม่ยอมรับ ธรรมะที่เป็นส่วนละเอียดกว่านั้นหลายเท่าเราจะไม่มีโอกาสได้เข้าถึงเลย"

เถรี
13-09-2011, 16:58
ถาม : หนูชอบทำบุญด้วยการให้เงินคนอื่นไปทำบุญ เราจะได้รับอานิสงส์ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..เราเองทำบุญรายการไหนเราก็ได้อานิสงส์อย่างนั้น แต่คนที่รับจากเราไปก็จะได้เวยยาวัจมัย คือบุญในการช่วยให้งานบุญคนอื่นสำเร็จ แปลว่าคนรับจากเราไปทำให้ ต่อไปเขาก็จะอยู่ในลักษณะที่มีภาระหรือมีการงานอะไรก็จะมีคนคอยช่วยเหลือ ส่วนเราเองก็สบายในส่วนที่ว่าไม่ต้องไปเหนื่อยเอง บางคนเหนื่อยมากแล้วกำลังใจตก ทำให้บุญลดลง

เถรี
13-09-2011, 17:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนกันยายนนี้มีวันสำคัญทางราชการอยู่ ใครรู้บ้างว่าวันอะไร ? คำตอบคือ วันเยาวชนแห่งชาติ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชสมภพ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๓๙๖ กับในหลวงรัชกาลที่ ๘ ทรงพระราชสมภพ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๖๘ พระองค์ท่านเสด็จขึ้นครองราชย์ก่อนพระชนมายุ ๒๐ ปีทั้งคู่ ก็เลยถือว่าเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๐ กันยายน ของทุกปี"

เถรี
14-09-2011, 16:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักการใช้สาลิกาลิ้นทอง เขาบอกว่าให้พูดเพราะ ๆ พูดหวานขานเพราะไปไหนคนก็รัก พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นปิยวาจา

ในเรื่องคำพูด พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น ปุปผภาณี แปลว่า วาจาที่หอมเหมือนดอกไม้ มีแต่คนอยากฟัง มธุภาณี แปลว่า คำพูดหวานเหมือนน้ำผึ้ง คนฟังจะติดใจ คูถภาณี ก็คือ วาจาเหม็นเหมือนขี้ ประเภทปากไม่ดี คนไม่อยากเข้าใกล้

เพราะฉะนั้น..ในส่วนปิยวาจานี้ต้องเว้นคูถภาณี ปุปผภาณีหรือมธุภาณีถึงใช้ได้ คำว่า "ภาณี" แปลว่าพูด สุภาณี คือ พูดดี พูดเพราะ

เราได้ยินว่า "ภาณยักษ์ ภาณพระ" ภาณตัวนี้แหละคือภาณี คือพระพูดหรือยักษ์พูด ก็คือคาถา นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มเหสินัง ข้าพเจ้าขอน้อมต่อบรรดาสมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นใหญ่ที่ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก

ตัณหังกโร มหาวีโร เมธังกโร มหายโส พระพุทธตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีความกล้าอันยิ่งใหญ่ คือกล้าที่จะต่อสู้ฝ่าฟันกับกิเลส เมธังกโร มหายโส ฯ พระพุทธเจ้ามีนามว่า เมธังกร ผู้มียศอันยิ่งใหญ่ คือคนเขายกย่องให้เหนือผู้อื่น เพราะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

คาถานี้ผูกขึ้นโดยท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านประชุมกันที่อาฏานาฏิยนครซึ่งเป็นเมืองหลวงของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ว่ายักษ์และผีที่ไม่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า ตลอดจนพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั้นมีจำนวนมาก ถ้าหากไม่ออกคำสั่งห้ามไว้ ถึงเวลาอาจจะมีการทำร้ายพระที่เป็นพุทธสาวกได้"

เถรี
14-09-2011, 16:51
"ท่านก็เลยประชุมรวมกันแต่งฉันท์สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า บอกว่า ถ้าหากว่าผู้ใดสวดสาธยายคาถาบทนี้แล้ว ห้ามผีและยักษ์ทั้งหลายไปทำร้าย ถ้าหากว่าผีหรือยักษ์ตนใดไปทำร้ายผู้ที่สวดสาธยาย ถือว่าเป็นขบถต่อท้าวจตุมหาราช

เมื่อประกาศให้ยักษ์ทั้งหลายทราบล่วงหน้าแล้ว ท่านก็นำไปกล่าวถวายพระพุทธเจ้า ตอนที่ท่านกล่าวถวายพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า ภาณยักษ์ คือยักษ์พูด เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย พระพุทธเจ้ารับมาแล้วก็มาแจ้งต่อพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยตรัสทวนให้ฟังอีกรอบ จึงเรียกว่า ภาณพระ คือพระพุทธเจ้าพูด

ใครจะเอาไปท่องก็ได้ ที่เขาขึ้นว่า วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต สิขิสสะปิ นะมัตถุ สัพพะภูตานุกัมปิโน จนกระทั่งท้ายสุด สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโตฯ ท่องไว้ทุกวัน อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัยจากพวกผีพวกยักษ์ที่จะทำร้าย เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิจะหลีกไป เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิจะช่วยรักษา"

เถรี
14-09-2011, 16:58
"แต่อย่าไปท่องอย่างท่านอาจารย์สำราญ วัดเขาวงพระจันทร์นะ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นหลวงปู่ปานไปช่วยสร้างวัดเขาวงพระจันทร์ อาจารย์สำราญท่องภาณยักษ์ทุกวัน ปกติคนเขาจะท่องด้วยความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัย แต่อาจารย์สำราญท่องเพื่อไล่ผีไล่เทวดา ไม่ให้ไปกวนแก

หลวงปู่ปานพอทราบเข้าก็ไปเตือนว่า “ท่านสำราญ...ทำอย่างนี้เดี๋ยวจะเดือดร้อน ไปไล่ผีไล่เทวดาเขาได้อย่างไร" ท่านสำราญไม่ฟัง ท่องทุกวัน อยู่ ๆ วันหนึ่งหลวงปู่ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ร้องโอดโอยอยู่บนกุฏิ พอวิ่งขึ้นไปดูเห็นคนนุ่งแดงตัวใหญ่หัวค้ำเพดาน ถือหวายท่อนเท่าแขนตีอาจารย์สำราญ หวดซ้ายป่ายขวาอุตลุด

หลวงปู่ปานก็บอกว่า “พ่อขุนด่านพอเถอะ เดี๋ยวตายเปล่า ๆ ” คนนุ่งแดงใส่แดงหันมาบอกว่า ถ้าไม่ใช่ท่านขอไว้จะล่อให้ตายจริง ๆ แล้วคนนุ่งแดงก็ก้าวขึ้นขื่อหายวับไป นั่นเจ้าพ่อขุนด่าน ถ้าใครออกไปทางด้านลพบุรี ชัยภูมิ จะผ่านจุดหนึ่งที่มีศาลเจ้าพ่อขุนด่าน

อาจารย์สำราญไปท่องไล่อยู่ทุกวัน พวกผีเล็กผีน้อยหนีหมด แต่เจ้าพ่อท่านเป็นระดับมหาอำมาตย์แล้ว ท่านไม่หนีแต่ทนไม่ไหวจึงตีเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครท่องให้ท่องด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยนะจ๊ะ ไม่ใช่ไปท่องไล่เขา ถ้าท่องไล่ผีให้ระวัง ถึงเวลาผีจะไล่เอาบ้าง"

เถรี
14-09-2011, 17:27
ถาม : การยอมรับกฎของกรรมทำให้ลดสักกายทิฐิได้อย่างไรครับ ? ผมรู้ว่ามันลดได้ แต่ไม่รู้ว่ามันลดได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : คุณต้องคิดว่าเราทำเราจึงรับ ในเมื่อเราทำเราจึงรับ กำลังใจที่คิดจะต่อต้านก็ไม่มี ก็แปลว่าเราไม่ได้แบกทิฐิ นั่นก็เท่ากับว่าลดไปในตัวอยู่แล้ว

เถรี
15-09-2011, 00:45
ถาม : เวลาที่หนูภาวนาแล้วหลุดออกไป อย่างขึ้นไปกราบพระ พอไปแล้วจะไม่ค่อยเจอใครเลยค่ะ เป็นเพราะไม่มีใครหรือเพราะหนูหยาบคะ ?
ตอบ : ความคล่องตัว ความชำนาญในสมาธิไม่มี วงสมาธิก็เลยแคบ การรู้เห็นจึงถูกจำกัดไปด้วย จำไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยอยู่พระองค์เดียว อย่างน้อย ๆ พรหมเทวดาก็ต้องอยู่ด้วยเยอะแยะ เราเองไม่รู้ว่าลุยเข้าไปจนเขากระจายทั้งวงหรือเปล่า ?

ถาม : ไปกราบพระทีไรก็เห็นแต่พระท่านองค์เดียว
ตอบ : ประมาณนั้นแหละ เพราะสมาธิยังไม่ดีพอ จึงเห็นได้เฉพาะหน้าที่มุ่งไปเท่านั้น

ถาม : เวลาหลุดออกมาแล้ว หนูตั้งใจจะไปกราบพระ แต่บางทีก็มีแรงดึงลงไปข้างล่าง แล้วคราวนี้ไม่เห็นอะไรก็เลย ไม่รู้ว่าคืออะไร ? หรือมีใครหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัยหรอก ให้เราคิดไว้ก่อนว่าถ้าเราขึ้นข้างบนไม่ได้นี่ต้องลงข้างล่างแน่ ๆ..!

ถาม : แล้วมีใครมาดึงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : กำลังใจของเราตอนนั้นมั่นคงจริงหรือเปล่า ? ถ้าไม่มั่นคงจริง โอกาสที่จะไหลลงต่ำก็มีสูง ต้องบอกว่าไปเองตามสภาพจิตของเราตอนนั้น ซึ่งอาจจะแบกรัก โลภ โกรธ หลง มาเต็มที่ทั้งวัน พอมาปฏิบัติสิ่งที่แบกเอาไว้ก็ถ่วงเราลง ต้องรีบชำระใจให้ผ่องใสโดยด่วนเลยจ้ะ

ถาม : หนูก็กลัวจะลงไปชินข้างล่าง เจออย่างนี้ทีไรก็ตะกายขึ้นไปทุกทีค่ะ
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ กลัวไว้ได้แหละดี

เถรี
15-09-2011, 00:51
ถาม : เวลาอาราธนาพระหางหมากจนหลับ ทำไมเวลาหลับจึงฝันเห็นพระ ?
ตอบ : ใครเกาะด้านดีก็ฝันในด้านดี ใครเกาะด้านไม่ดีก็ฝันไม่ดี เท่านั้นเอง

ถาม : เห็นจริงหรือไม่ ? วันหลังผมจะได้ไม่ต้องยึดติดอะไร
ตอบ : แล้วคุณจะไปยึดอะไร ?

ถาม : หรือผมฝันเห็นจริง ๆ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเอาแต่ฝัน ชาตินี้หาดีไม่ได้หรอก ต้องทำตอนลืมตา ความฝันสามารถบอกได้ถึงสภาพจิตของเราในระดับหนึ่ง ถ้าหากว่าสภาพจิตไม่ดีก็ฝันเห็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าหากว่าสภาพจิตดีก็ฝันเห็นสิ่งที่ดี

แต่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม อย่าลืมว่านั่นแค่เขาบอกว่าเราเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่คิดจะทำความดีต่อก็ไม่ได้อะไรหรอก

เถรี
15-09-2011, 01:56
ถาม : ที่เขาเวียนไปไหว้พระทำบุญที่โน่นที่นี่ มีผลอย่างไรต่อการปฏิบัติ ?
ตอบ : ได้อนุสติเต็ม ๆ และได้ทานบารมีด้วย สำหรับคนที่กำลังใจยังน้อยอยู่ก็ต้องทำอย่างนั้น ถึงกำลังใจสูงแล้วก็ไม่ควรประมาท ต้องกอบโกยบุญทุกอย่างให้เต็มที่ไว้ก่อน

เถรี
15-09-2011, 10:54
ถาม : ผมอยากทราบว่า การชอบอ่านหนังสือธรรมะ เป็นธัมมานุสติกรรมฐานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กล่าวถึงเรื่องไหน ก็เป็นอนุสติในเรื่องนั้น

ถาม : ถ้าเราอ่านหนังสือเจริญพระพุทธมนต์ แล้วเราก็คิดว่าคือการเจริญกรรมฐานนี่ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน ทำอย่างไรก็ได้ให้ใจเกาะความดี จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

ถาม : เสร็จแล้วเราก็แผ่เมตตา อานิสงส์ก็พอ ๆ กับการนั่งกรรมฐาน ?
ตอบ : ถ้าคุณสามารถทำได้โดยไม่ต้องนั่ง จะดีกว่าด้วย

เถรี
15-09-2011, 22:21
ถาม : ผมมีปัญหากับที่บ้าน ผมออกมาจากบ้านโดยไม่ได้บอกพ่อไว้ แต่เขียนทิ้งจดหมายไว้ ผมอยากกราบถามท่านว่า ผมจะได้มีโอกาสกลับไปดูแลพ่ออีกไหมครับ ?
ตอบ : จะกลับก็กลับ จะออกก็ออก การตัดสินใจอยู่ที่ตัวเรา ไม่ต้องถามคนอื่น ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนตัดลูกขาด มีแต่ลูกนั่นแหละจะตัดพ่อตัดแม่ ถึงเวลาอยากกลับก็กลับ

เถรี
15-09-2011, 22:23
ถาม : เวลาทำสมาธิ เขาบอกว่าให้ปล่อยจิตตาม... ผมก็ปล่อย แต่ทำสมาธิไม่ได้ ต้องบังคับตัวเองตลอดเวลา ให้จิตนิ่ง ๆ
ตอบ : ให้อยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้าก็พอ ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าบังคับหรือไม่บังคับ

เถรี
15-09-2011, 22:34
ถาม : พอดีจะขายบ้านค่ะ ตอนนี้ตกงานไม่ได้ทำอะไร กลัวผ่อนบ้านไม่ไหว ขายเท่าไรก็ขายไม่ได้
ตอบ : ไปจุดธูปบอกเจ้าที่ที่บ้าน บอกว่าเราจะขายที่ ขอให้ท่านช่วยให้ขายได้ไวที่สุด แล้วเราจะทำบุญสังฆทานไปให้

ถาม : บอกเจ้าที่บ้านที่จะขาย หรือบ้านที่อยู่ปัจจุบันคะ?
ตอบ : ขายหลังไหนก็บอกเจ้าที่หลังนั้นแหละ

ถาม : จุดธูปหน้าบ้านใช่หรือเปล่าคะ หรือในบ้านคะ ?
ตอบ : ไปจุดบนหลังคาบ้าน..!

ถาม : เพราะในบ้านยังไม่มีอะไรเลย ยังไม่ได้เข้าไปอยู่
ตอบ : จุดกลางแจ้ง หลังจากนั้นก็รีบติดประกาศขายเสียไว ๆ

เถรี
15-09-2011, 22:36
ถาม : ลูกสาวไปอยู่หอแล้วเหมือนมีวิญญาณมารบกวนค่ะ
ตอบ : บอกเขาให้หัดภาวนาแล้วแผ่เมตตาไว้บ้าง ถ้าหากว่าใครภาวนาแล้วแผ่เมตตา พวกนี้จะไม่รบกวนหรอก ก่อนนอนให้สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตาให้เขาก่อนค่อยนอน

เถรี
15-09-2011, 22:46
ถาม : ผมปฏิบัติโดยท่องคาถาเงินล้านไปด้วย เดินจงกรมไปด้วย แล้วก็กำหนดภาพพระพุทธเจ้าไปด้วย ระหว่างนี้คิดกำหนดมรณานุสติไปด้วยนี่จะช่วยในเรื่องตัดสังโยชน์ ๓ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำทีละอย่าง เต็มที่อย่าให้เกิน ๒ อย่าง ตั้งระยะเวลาว่าจะทำนานเท่าไร ที่ทิ้งไม่ได้เลยก็คือลมหายใจเข้าออก จะใช้คาถาเงินล้านเป็นคำภาวนาใดก็ได้ เพิ่มได้อีกอย่างเดียวคือภาพพระ

พอทำจนกระทั่งทรงตัวดี อารมณ์ไปต่อไม่ได้แล้วค่อยคลายกำลังใจลงมาแล้วก็มาคิดพิจารณา อย่างเช่นว่าเราต้องตายแน่ ๆ เพราะถ้าหากว่าทำหลายอย่างทีเดียวกำลังของเราไม่พอ เราจะฟุ้งซ่านเสียเปล่า ๆ

ถาม : เกี่ยวกับการคิดเรื่องของความตายนี่ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเราระลึกถึงความตายเฉย ๆ เป็นสมถภาวนาแต่ถ้าหากว่าเราเห็นจริงว่าความตายเป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเห็น ธรรมชาติของร่างกายเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อจะพบกับความตายอย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก ตายแล้วเราจะไปนิพพาน ถ้าอย่างนี้ก็เป็นการวิปัสสนา

จากปกติของสมถะ เราก็แค่เห็นจริงว่าความตายเป็นความตายของทุกคน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีใครที่จะหลุดพ้นความตายไปได้

เถรี
20-09-2011, 08:14
ถาม : ในวจีกรรม ๔ การพูดเพ้อเจ้อ หมายรวมถึงคำพูดตลก ๆ พูดเล่นมุกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว การพูดอะไรที่ไม่ชัดเจน ไม่เข้าหาธรรม ก็ถือว่าเพ้อเจ้อ กำลังใจแต่ละคนแต่ละระดับก็ไม่เท่ากัน ถ้ากำลังใจที่ละเอียดก็จะเห็นว่าฝ่ายที่หยาบกว่าพูดจาเพ้อเจ้อ เพราะฉะนั้น..ตัวนี้เป็นตัวที่เว้นยากสักนิดหนึ่ง

ถาม : ความละเอียดในการรักษากรรมบถ ๑๐ ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันสิคะ ?
ตอบ : ใช่..เพราะอยู่ที่ความหยาบละเอียด ถ้าเต็มที่ก็ต้องเป็นพระสกิทาคามี เพราะถ้าเป็นอนาคามี ท่านจะไม่ยุ่งอะไรกับใครแล้ว

อนาคา แปลว่า ผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน ผู้ที่ไม่มีครอบครัว อนาคาริกะ คือ ไร้ซึ่งบ้านเรือน อนาคามี ผู้ที่ไม่ย้อนกลับไปหาเรือน ไม่กลับมาเกิดใหม่แล้ว รอไปนิพพานอยู่ข้างบนอย่างเดียว

เถรี
20-09-2011, 08:16
ถาม : ถ้าเรานั่งมองพระแล้วมีรัศมีล้อมองค์พระ แล้วสักพักหนึ่งเปลี่ยนทรง จะมีความหมายอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ให้ถือเป็นพุทธานุสติเท่านั้น อย่าไปตีความ เดี๋ยวจะเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่

เถรี
20-09-2011, 08:17
ถาม : รู้สึกตัวเองแย่ลงค่ะ
ตอบ : แย่ลงก็ต้องเร่งให้ดีขึ้น ตอนนี้หันไปข้างหลังก็ไม่เห็นต้นทาง มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นจุดหมาย มีอยู่ทางเดียวคือต้องเดินขึ้นหน้าเท่านั้น

เถรี
20-09-2011, 08:31
ถาม : เพื่อนของโยมคนหนึ่ง เวลาเขาดี ๆ เขาก็บอกว่าจะไปนิพพาน แต่บางทีก็ออกมาด่า ๆ แล้วไปกราบพระใหม่
ตอบ : คนปฏิบัติใหม่ ๆ ได้อย่างนั้นก็ดีมากแล้ว เพราะว่าอย่างน้อย ๆ ก็ยังดีที่ชนะความโกรธ ชนะกิเลสได้บ้าง อย่าให้แพ้ตลอด พอไปนาน ๆ สะสมมากขึ้นก็จะชนะมากกว่าแพ้ แล้วก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี
21-09-2011, 03:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่ถ้าใครสังเกตตอนอาตมากราบพระ จะเห็นชัด ๆ ว่า เบญจางคประดิษฐ์นั้นคือ เวลากราบมือและศอกต่อเข่า ปัจจุบันนี้เห็นหลายคนกราบแล้วมือและศอกอยู่ข้างเข่า อีกประการก็คือกราบไม่ลง ไม่ถึงพื้น จะบอกว่าติดพุงก็ไม่ใช่ เพราะลูกสาวอาตมาน้ำหนัก ๙๓ กิโลกรัม ยังกราบพระได้นิ่มมาก แสดงว่าพุงไม่เกี่ยว

ปัจจุบันเวลาตั้งโต๊ะหมู่ มักจะมีโต๊ะสำหรับกราบ ถ้าเป็นโต๊ะหมู่ของพระเขาให้เอาโต๊ะสำหรับกราบออก ฆราวาสน่าจะยังนิยมตั้งโต๊ะกราบอยู่ การตั้งโต๊ะกราบทำให้กราบไม่ครบองค์ ๕ ที่แน่ ๆ ก็คือศอกกับหน้าผากไม่ลงพื้น

เพราะฉะนั้น..ให้เข้าใจไว้เลยนะว่า ถ้าหากตั้งโต๊ะหมู่ก็ให้เอาโต๊ะกราบออก ถ้ามีคนถามก็ชี้แจงเขาด้วยว่าการกราบพระนั้น เรากราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประกอบด้วยองค์ ๕ เข่า ๒ ศอก ๒ หน้าผาก ๑ ถ้ามีโต๊ะนี่ เราจะกราบได้ไม่ครบองค์ ๕ "

เถรี
21-09-2011, 04:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "ศิลปะของไทยเรามีความประณีตทุกอย่าง แม้กระทั่งพวกโขนละคร โขนละครของเรานี่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน ไม่ได้มาจากอินเดีย แม้ว่าเนื้อหาในการเล่นจะมาจากรามายณะหรือรามเกียรติ์ของอินเดียก็ตาม แต่ว่าโขนละครของเราเป็นภูมิปัญญาของตระกูลขอม พอมาถึงไทยแล้ว เราดัดแปลงจนกระทั่งดูดี ทางด้านเขมรต้องมาเลียนแบบของไทยกลับไปอีกทีหนึ่ง เป็นการส่งผ่านวัฒนธรรมย้อนไปย้อนมา

ถ้าใครเคยไปเขมร ไปเยี่ยมพระราชวังเขมรินทร์ เห็นชัด ๆ เลยว่าเขาถอดแบบพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทไป แต่ว่าฝีมือยังไม่ได้เท่าของเรา

สมัยเด็กที่เราเรียนกาพย์ห่อโคลงฯ เขาบอกว่า
จักรีพระที่นั่ง........สามยอดตั้งตรูตาชม
สำราญสถานสม...........สถิตถิ่นปิ่นนรา
ดุสิตปราสาทตั้ง............พระมนังคะศิลา
พิมานรัถยา.............อุดมอาสน์ราชฐาน"

เถรี
21-09-2011, 04:27
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำคทาใหม่ ๆ อาตมายังเป็นฆราวาสอยู่ พอสอนมโนมยิทธิเสร็จ ออกมาจากห้อง มาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ เห็นท่านใช้คทาแตะคนนั้นแตะคนนี้ อาตมาก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า "ขอผมบ้างครับ" ท่านฟาดเปรี้ยง..! เสียงสนั่นเลย เสียงสนั่นอย่างกับท่านแกล้งตีลงบนโต๊ะ

ท่านบอกว่า "ขอทั้งทีให้เบา ๆ เดี๋ยวหาว่าขี้เหนียว" คนอื่นนึกว่าท่านฟาดโต๊ะ จริง ๆ แล้วท่านฟาดหัวอาตมานั่นแหละ แต่ความรู้สึกตอนนั้นไม่รู้สึกเจ็บเลย รู้สึกพองวูบไปทั้งตัว อยู่ในท่าคุกเข่าก้มหัว ตัวลอยขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ท่านให้เยอะจริง ๆ ครั้งนั้น"

เถรี
21-09-2011, 04:42
ถาม : พระอัลเลาะห์ ?
ตอบ : พระอัลเลาะห์จริง ๆ คือ พระโยนกธรรมรักขิต เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แต่ตอนหลังคนนับถือไปนับถือมาจนเพี้ยน เพราะว่ารอจนกระทั่งประมาณ ๑,๒๐๐ ปีแล้ว ถึงมาเริ่มฟื้นฟูกันใหม่

แถว ๆ เขตนั้นเขาเรียกว่าโยนก มีในส่วนของอัฟกานิสถาน จะมีแถวที่เขาเรียกแบกเทรีย ที่เป็นอาณาจักรโบราณ แล้วก็มีทาริม ปัจจุบันสถานที่พวกนี้อยู่ในประเทศที่ลงด้วยคำว่า "สถาน" เยอะแยะไปหมด เช่น อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กิสถาน ฯลฯ

อัลเลาะห์จริง ๆ มาจากคำว่า "อัลลาฮะ" ก็คือ "อรหันต์" เขาออกเสียงได้แค่นั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไหว้พระอัลเลาะห์ถูกตัวจริง ๆ ก็จะเป็นพระอรหันต์ คือพระโยนกธรรมรักขิตตะ

ถาม : ทำไมไม่มีรูปแทนองค์พระอัลเลาะห์ ?
ตอบ : พระโยนกธรรมรักขิต ท่านตั้งใจว่า ถ้าหากยังมีสิ่งให้ยึด คนจะหลุดพ้นยาก เหมือนกับบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่ แต่ยังยืนกอดเสาอยู่ แล้วจะไปได้ไหมเล่า ? นั่นจริง ๆ เป็นเจตนาที่ดีมาก ๆ เลย

เถรี
21-09-2011, 04:52
มีหลายอย่างที่ศาสนาพุทธเข้าไปทางด้านเขา แต่เขาพยายามที่จะทำลายเสียไม่ให้เหลือ เพื่อที่จะเอาศาสนาของตัวเองอย่างเดียว อย่างงานศิวาราตรีที่เขามีการลอยบาป มีการบูชาพระศิวะกัน จำไม่ได้ว่าที่เมืองไหน เขาจะเอาดอกดาวเรืองไปสุม ๆ จนเต็มพระพักตร์พระศิวะเลย เพราะเขาไม่ต้องการให้เห็นว่าคนโบราณเขาแกะสลักพระพุทธรูปเล็ก ๆ ไว้ที่พระนลาตของพระศิวะ

ท่านที่รู้จริง ท่านเอาพระเหนือเทพ แต่ท่านที่นับถือเทพว่ายิ่งใหญ่ที่สุดท่านยอมไม่ได้ แต่คราวนี้จะไปเปลี่ยนแปลงจะไปลบไปอะไร ก็กลัวจะเป็นการลบหลู่เทพเจ้าของตัวเองที่นับถือ ก็เลยใช้วิธีนี้ ถึงเวลามีงานก็เอาดอกไม้ไปสุมไว้เสีย

ทางด้านนั้นไม่แน่ใจ แต่ว่าบรรดานักปราชญ์สมัยก่อนอย่างสมัยของเพลโต โสเครติส ท่านเดินทางจากทางด้านกรีกมาศึกษาหาความรู้ทางด้านนี้ ก็เลยสงสัยว่าคำสอนของท่านบางอย่างของเขาเหมือนกับศาสนาพุทธของเรา จะบอกว่าวิสัยนักปราชญ์มักคิดอะไรคล้าย ๆ กันก็ใช่ แต่ก็ระแวงว่าท่านเดินทางมาศึกษาก็น่าจะได้อะไรไปบ้าง

เถรี
21-09-2011, 12:46
ถาม : เวลาเรามีปัญหา จะทำให้จิตปลอดโปร่งสบาย ๆ อย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็อย่ารับปัญหาเข้ามาทับตัวเองสิ ส่วนใหญ่ที่จิตไม่ปลอดโปร่งเพราะเรารับปัญหาเข้ามาทับตัวเองเสียเยอะ แบบเดียวกับที่บอกว่าสงสารเขา สงสารไปสงสารมา แบกปัญหาแทนเขา ก็ตายสิจ๊ะ

พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของศาสดาจริง ๆ พระองค์ท่านสอนให้เรามี เมตตา กรุณา มุทิตาแล้ว ยังสอนหลักธรรมป้องกันไม่ให้เราบ้า นั่นก็คือต้องมีอุเบกขา ไม่อย่างนั้นสงสารเขา เมตตาเขาจนเกินประมาณ ช่วยเขาได้แล้วก็มาเครียด มาเศร้า มาเสียใจเอง จะบ้าเสียเปล่า ๆ

เพราะฉะนั้น..หลักธรรมท่านให้ไว้ ๔ ข้อ ต้องใช้ให้ครบ ถ้าใช้ไม่ครบแล้วเราจะแย่ ทำตัวเป็นก๊วยเจ๋งไปได้ ครั้งแรกก๊วยเจ๋งฝึกกำลังภายในอยู่ท่าเดียว พอไปเจอโอวหยางอู่จี้ลูกศิษย์เฒ่าพิษปัจฉิมซึ่งมีฝีมือเหนือกว่า โอวหยางอู่จี้ดูไปดูมาเห็นก๊วยเจ๋งเป็นอยู่ท่าเดียว จึงจัดการเสียน่วมเลย เพราะฉะนั้น..ฝึกใช้ให้ครบ ๔ นะจ๊ะ ถ้าไม่ครบ ๔ นี่กิเลสอัดเราน่วมแน่

ถาม : บางทีเราก็ยังทำไม่ได้ ?
ตอบ : ทำไม่ได้ก็พยายามต่อไป จริง ๆ แล้วทั้งหมดสำคัญตรงสมาธิ วันนี้บอกกับโยมที่ไปปฏิบัติที่วัดท่าซุงมาว่า ไปมาหลายวัน อารมณ์ใจทรงตัว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระมัดระวังรักษาอารมณ์เอาไว้ อย่าให้รั่ว พูดแค่ที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นกำลังที่เราสั่งสมเอาไว้จะรั่วออกทางวาจาหมด แล้วก็ไม่พอใช้ในการตัดกิเลส ไม่พอใช้ในการดึงตัวเองขึ้นมาให้สูงจากสภาพปกติตรงนั้น

ในเมื่อจิตใจเราไม่ได้สูงกว่าเขา ถึงเวลาไปรับภาระมากก็ทับเราแบน ถ้าหากว่าสภาพจิตใจสูงกว่า คือความเข้มแข็งมีมากกว่า เท่ากับว่าเรายืดคอพ้นขึ้นมาแล้ว อย่างน้อย ๆ หนักแค่ไหนก็ยังหายใจได้ ถ้าตอนนี้ดีที่สุดก็คือไม่รับเลย กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ

ระวังให้มาก พวกเราส่วนใหญ่เสียตรงปาก พอถึงเวลาก็โม้กระจาย กำลังที่สั่งสมไว้ก็ไปกับปากหมด เพราะกำลังนี้จะรั่วออกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รั่วทุกรูเลย พระพุทธเจ้าถึงสอนว่า ถ้าหากว่าจะจับเหี้ย เราต้องอุดรูไว้ ๕ รู เหลือแค่รูเดียว นั่งเฝ้าไว้เดี๋ยวเหี้ยก็ออกมาให้เราจับเอง ดังนั้น..ให้ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ระวังใจอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเด็กชาวนาจับเหี้ยกินไม่ได้หรอก ถ้าเปิดเอาไว้หลายรูเหี้ยก็หนีออกได้ทุกรู

เถรี
22-09-2011, 08:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางศาสนาฮินดูที่ปฏิบัติตามหลักโยคะ จะมีช่วงหนึ่งที่เขาเรียกว่าวานปรัสถ์ คือช่วงที่ออกป่าเพื่อแสวงหาธรรม

ศาสนาฮินดูนี้เหมือนเป็นข้อบังคับไปในตัวว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้วให้กลับมาสอนคนอื่น เขาจะมีวัยต้นเรียกว่า พรหมจารีย์ วัยถัดมาคือ คฤหัสถ์ วัยครองเรือน วัยถัดมาคือ วานปรัสถ์ ผู้ออกป่า วัยถัดมาคือ สันยาสี กลับมาเป็นอาจารย์สอนคนอื่น หลักการเขาดีมาก

การแสวงหาโมกษะ คือ ความหลุดพ้นตามความเข้าใจของเขา โดยการไปอยู่กับปรมาตมัน(ตัวตนผู้เป็นใหญ่) ส่วนใหญ่เขาหมายถึงพรหม ไม่ใช่การหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน"

เถรี
22-09-2011, 08:39
ถาม : การบรรลุธรรมของบางท่านที่ปฏิบัติแล้วเข้าถึงอรหัตผลเลย กับบางท่านที่ต้องผ่านเป็นขั้นเป็นตอนไป อย่างนี้เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นจริตนิสัยเฉพาะของแต่ละคน

เถรี
22-09-2011, 08:54
ถาม : หนูอยากจะร้องไห้ วนอยู่สิบรอบกว่าจะมาถึงที่นี่ มือถือก็เสีย โทรถามทางไม่ได้
ตอบ : ไม่เป็นไร ถือว่าทดสอบกำลังใจ แต่ไม่ผ่าน..! แล้วมาถึงนี่ได้อย่างไร ?

ถาม : จอดแล้วก็ถามทาง จอดแล้วก็ถามทาง
ตอบ : ถ้าทำอย่างนั้นตั้งแต่รอบแรกก็มาถึงแล้ว นิสัยไม่ถามทางเป็นนิสัยผู้ชาย เพราะผู้ชายมีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ แต่ไม่ใช่อาตมา อาตมาถือภาษิตโบราณว่า หนทางอยู่ที่ปาก ไปไหนไม่รู้จักทางก็ถามดะ ถามเองด้วย เพราะเวลาพระถามเขาจะตั้งใจตอบ

ไม่เป็นไร...จะได้รู้ว่าที่ปฏิบัติมายังไม่พอใช้งาน พอกระทบยังกำเริบได้ง่าย

ถาม : อุตส่าห์ดีใจว่าเมื่อคืนมีเทวดามาคุม นึกว่าท่านจะมาคุมเราให้มาบ้านวิริยบารมีได้สบาย แต่ที่ไหนได้..?
ตอบ : ที่แท้มาหลอกให้เราหลงทาง ตอนนี้เชื่อหรือยังว่า เจออะไรเชื่อไม่ได้สักอย่าง คิดดูแล้วกันว่า เขาบอกให้ไปขุดสมบัติตรงนั้น มีภูมิประเทศอย่างนั้น มีเครื่องหมายอย่างนั้น ตรงหมดทุกอย่าง แต่พอไปถึง ขุดแล้วไม่เจออะไร

เขามาใหม่ก็บอกว่า ตอนนั้นทำพิธีไม่ถูก ไปเวลาไม่ถูก อาตมาก็ไปใหม่ พอครั้งที่ ๓ ไม่ไปแล้ว เขาโผล่หน้ามา อาตมาบอกว่า "ถ้าจะให้ ก็เอาไปจำหน่ายเอง โอนเงินเข้าบัญชีมาแล้วจะรับ..!" ตั้งแต่นั้นมาไม่มีเทวดาที่ไหนมาทดสอบอย่างนี้อีกเลย เพราะท่านต้องเอาไปจำหน่ายเอง โอนเข้าบัญชีเองอีกต่างหาก โดนไป ๒ ครั้งก็พอแล้ว

ทุกอย่างใช่หมด ยกเว้นของที่เขาจะให้นั้นไม่ใช่ จะบอกว่ารู้ไม่ตรงก็ไม่ใช่ แค่จะหลอกให้เสียเวลา ต้องบอกว่ากำลังใจของเรายังเชื่อไม่ได้ จนกว่าจะผ่านข้อทดสอบที่แท้จริง พอทดสอบเข้าไปจริง ๆ ก็เพิ่งจะรู้ว่าไม่ผ่าน

ถาม : ถ้าผ่านแล้วจะเจอข้อต่อไปหรือคะ ?
ตอบ : ก็จะเจอที่แย่ขึ้น มีแต่หนักขึ้นไม่มีเบาลง

เถรี
22-09-2011, 09:41
ถาม : ญาติธรรมคนหนึ่งอยู่สระบุรี เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้คันไปทั้งตัว เดี๋ยวเขาก็คันตรงนั้น คันตรงนี้
ตอบ : ให้เขาเอาน้ำมันชาตรีมาอธิษฐานกิน น้ำมันชาตรีกินได้เพราะเป็นน้ำมันงา กินช้อนเดียวก็พอแล้ว ถ้าไม่เกรงใจจะกินหมดขวดก็ได้..!

เถรี
22-09-2011, 09:51
พระอาจารย์บอกว่า "พออายุมากขึ้นร่างกายเริ่มสะสมไขมัน เพราะอายุมากขึ้นการทำมาหากินไม่คล่องตัวเหมือนหนุ่มสาว ก็ต้องสะสมไว้ เผื่ออด

ในเมื่อพวกเราไม่อยากจะสะสมก็ต้องใช้ให้หมด แต่สิ่งที่เราใช้ไม่มากเท่ากับที่กิน ก็เลยเหลือ มีอยู่ ๒ อย่าง คือกินให้น้อยลงหรือใช้ให้มากขึ้น ไม่ต้องไปเข้าสำนักออกกำลังหรอก กวาดบ้านถูบ้านทำไปเถอะ กินเช้า ลดกลางวัน งดเย็น เพราะส่วนใหญ่ที่เน้นกินคือมื้อเย็น กินแล้วไม่ได้ใช้งาน ร่างกายเก็บสะสมไว้ทุกวันก็เลยอ้วน"

เถรี
22-09-2011, 10:05
ถาม : ฝันเห็นช้าง
ตอบ : ถ้าฝันว่าขี่ช้างแปลว่างานใหญ่จะสำเร็จ

ถาม : หนีช้าง
ตอบ : ถ้าฝันว่าหนีช้างก็พิจารณาว่าติดหนี้หรือติดการบนที่ไหนหรือเปล่า ?

เถรี
22-09-2011, 10:32
ถาม : นั่งสมาธิแล้วไปหยุดอยู่ที่ตัวโยกโคลง ไปต่อไม่ได้ครับ
ตอบ : ปล่อยให้เต็มที่แล้วอาการโยกโคลงจะเลิกไปเอง ถ้าหากเราไปกลัว ไปอายก็จะเป็นไม่เลิก ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่าจริง ๆ ใจตอนนั้นนิ่ง เรามีหน้าที่รับรู้อย่างเดียว ปล่อยให้ดิ้นตึงตังโครมครามให้เต็มที่ไปเลย แล้วกำลังใจจะผ่านไปทรงฌานได้

อาตมาติดอยู่ตรงนี้ ๓ เดือนกว่า ดิ้นทุกวัน ดิ้นจนคนอื่นเขาตกใจว่าบ้านจะพัง อย่ากลัวและอย่าอายคน ปล่อยเต็มที่ไปเลย คิดว่าถ้าจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป

เถรี
22-09-2011, 10:46
ถาม : ถ้าเราทำเรื่องเบิกเงินนอกเวลาไว้วันนี้ แต่วันนี้ไม่ได้ทำงาน วันหลังมาทำชดใช้จะผิดหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าเอาไปโดยไม่ชดใช้จะผิด ถ้าเรามาทำชดใช้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าตายก่อน..! ถ้าตายก่อนก็ผิดเต็ม ๆ เพราะยังไม่ได้ทำงานให้เขา

ถาม : ถ้าก่อนหน้านี้เราทำไปแล้ว แต่ไม่ได้ตั้งใจจะเบิก ถ้าเราไปเบิกย้อน ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ตั้งใจเบิกไว้ก่อน ไปเบิกทีหลังถือว่าไม่ถูกต้อง ต้องตั้งใจเบิกแล้วมาเบิกรวมกันทีหลัง

เถรี
22-09-2011, 15:53
ถาม : ยันต์มหาพิชัยสงครามนี่ถ้าไม่มีเหรียญเอกราชจะสามารถเลี่ยมแบบเดี่ยว ๆ ไหมครับ?
ตอบ : ได้...แล้วใครเขาบังคับให้เลี่ยมคู่ ?

ถาม : รบกวนปลุกด้วยครับ
ตอบ : ปลุกก็ตายห่_พอดี..! จำไว้เลยว่ายันต์พิชัยสงครามห้ามปลุกเด็ดขาด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งห้ามไว้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือหลวงตาวัชรชัยสมัยยังไม่ได้บวช พอเขาเอาผ้ายันต์พิชัยสงครามมาวางจำหน่ายที่บ้านสายลม จะมีเศษผ้าที่เขาตัดเป็นเส้นเล็ก ๆ ผูกอยู่เป็นมัด พอแกะออกหลวงตาก็เอามาคาดหัวแล้วก็ทำท่าให้ถ่ายรูป ไม่รู้เท้าใครเตะมา โครมเดียวหลวงตากระเด็นไปติดข้างฝา นั่นแค่เศษ ๆ ผ้าที่เข้าพิธีนะ..ยังห้ามเล่นเลย

หลวงตาคอเอียงเลย ต้องให้พี่ ๆ เขามานวดให้ พอพี่ตั้วช่วยจับเส้นก็ถึงกับสะบัดมือพรวดเลย เหมือนโดนไฟดูด "ไอ้ห่_ มึงไปทำอะไรมาวะ ? ของแรงปานนี้" หลวงตาสารภาพว่าเอาเศษผ้าที่ผูกยันต์พิชัยสงครามมาคาดหัวเล่น

พี่ตั้วไปเอาน้ำมนต์ของหลวงพ่อมาควั่นข้อมือตัวเองจึงนวดได้ ไม่อย่างนั้นจะเข้าตัว หลวงพ่อถึงได้เตือนว่า ธงพิชัยสงครามอย่าปลุก ถ้าปลุกแล้วทานกำลังไม่ได้ เดี๋ยวจะตายเอา ถ้าจะเป็นประเภทเส้นโลหิตในสมองแตก เป็นวัตถุมงคลอย่างเดียวที่ห้ามลองด้วยการปลุก ใครจะลองก็ไม่ว่า จองเมรุไว้ก่อนเลย..!

อะไรที่หลวงพ่อสั่ง นานแค่ไหนอาตมาก็จำไม่ลืม เพราะว่าคำสั่งที่ท่านสั่งก็เพื่อประโยชน์ของเราทั้งนั้น

เถรี
22-09-2011, 16:11
ธงมหาพิชัยสงครามพอพ้นจากหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว คนอื่นก็ทำก็ได้แค่สวยเท่านั้น ท่านบอกว่าอานุภาพได้ไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าไม่ใช่เชื้อสายของท่าน

ท้าวมหาชมพูก็คือพระร่วง ท่านเป็นเจ้าของธงมหาพิชัยสงคราม ในเมื่อหลวงพ่อท่านไม่มีลูกไม่มีหลานที่สืบสายท่านโดยตรง ท่านจึงถวายตำราพระร่วงให้กับในหลวงไป ด้วยความที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินสามารถเริ่มต้นสายวิชาการใหม่ได้ทุกประเภท อยู่ในลักษณะที่ทรงประทานให้ เพราะฉะนั้น..ใครอยากได้ให้ไปขอจากในหลวง ถ้าในหลวงประทานให้ถือว่าท่านครอบครูให้เราเป็นต้นสายใหม่

วิชาการอะไรที่ขาดช่วงลง ในหลวงสามารถที่จะครอบครูให้ใหม่ได้ เพราะถือว่าท่านเป็นทั้งเจ้าฟ้าเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เขาถือกันอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณ

เถรี
23-09-2011, 08:23
ถาม : ก่อนพุทธศาสนาจะเกิดขึ้น มีศีล ๕ ศีล ๘ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : พวกโยคีฤๅษีส่วนใหญ่เขามีศีล ๕ ศีล ๘ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..อย่าคิดว่าศีล ๕ เป็นของศาสนาพุทธ ความจริงศีล ๕ เป็นของศาสนาเชน

ถาม : ใครสร้างกฎขึ้นมา ?
ตอบ : ศาสดาเขาเห็นว่าเหมาะ เขาจึงสร้างขึ้นมา ศาสดาของศาสนาเชนคือท่านมหาวีระ มีศีล ๕ ก่อนศาสนาพุทธจะเกิดขึ้น มีวันหยุดธรรมสวนะ ศาสนาพุทธมามีตามหลัง ถึงได้บอกว่าคนที่จะเอาศาสนาพุทธบริสุทธิ์ หาทั้งชาติก็หาไม่เจอ โดยเฉพาะธรรมะของพระพุทธเจ้ามีส่วนที่ท่านเห็นว่า สิ่งที่ศาสนาอื่นบัญญัติไว้เหมาะสมแล้ว ท่านก็นำมาใช้ อย่างเช่นศีล ๕ หรือวันพระ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ท่านดัดแปลงจากศาสนาอื่นมาเพื่อให้สมบูรณ์ เช่น สิงคาลกสูตร ที่สิงคาลกมานพไหว้ทิศทั้ง ๖ อยู่ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ถ้าจะไหว้ให้ถูกต้อง ต้องไหว้ดังนี้ทิศเบื้องบน คือสมณชีพรามณ์ ต้องปฏิบัติอย่างไร ทิศเบื้องล่าง คือข้าทาสบริวาร ต้องปฏิบัติอย่างไร

ทิศเบื้องหน้า คือพ่อแม่ ต้องปฏิบัติอย่างไร ทิศเบื้องหลัง คือบุตรภริยา ต้องปฏิบัติอย่างไร ทิศเบื้องขวา คือครูบาอาจารย์ ต้องปฏิบัติอย่างไร ทิศเบื้องซ้าย คือมิตรสหาย ต้องปฏิบัติอย่างไร นี่คือส่วนที่ท่านดัดแปลงให้ถูกต้องสมบูรณ์

ส่วนที่เป็นพุทธแท้ ๆ ก็คือ อริยสัจ สิ่งที่ท่านตรัสรู้มากกว่าศาสดาอื่นเขา เพราะหลักการปฏิบัติศาสนาอื่นเขาก็มีถึงสมาบัติแปดแล้ว เพียงแต่ว่าการปฏิบัติของเขาเน้นร่างกายมากเกินไป คิดว่าใครทรมานได้ยิ่งกว่าก็จะทำให้พระเจ้ารักมากกว่า กลายเป็นผิดไปหน่อยเดียว ถ้าเลี้ยวถูกทางก็ไปลิบโลกแล้ว

แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้เท่ากับว่าบ่มเพาะตัวเองจนไปถึงระดับที่บารมีของท่านเต็ม พอฟังเทศน์จบเดียวก็บรรลุกันเป็นแถว เพราะฉะนั้น..จะว่าสิ่งท่านทำจะไม่มีประโยชน์ก็ไม่ได้ อย่างท่านที่เสียประโยชน์ไป เช่น ท่านอาฬารดาบสตายก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๗ วัน ท่านอุทกดาบสยิ่งน่าเสียดายใหญ่ ตายวันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ทันได้เจอพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้แล้ว แสดงว่าท่านอาฬารดาบสตายวันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๖ ท่านอุทกดาบสตายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันวิสาขะพอดี

เถรี
23-09-2011, 08:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "นึกถึงสมเด็จย่า...สมเด็จย่าตรัสกับในหลวงว่า "แม่แก่แล้ว..จะตายวันไหนก็ไม่รู้ ?" พระองค์ท่านย้ำอยู่บ่อย ๆ ในหลวงก็ต้องดูแลแม่มากขึ้น ช่วงท้าย ๆ ถึงขนาดไปเสวยพระกระยาหารค่ำอาทิตย์ละ ๕ วัน

พันเอกพิเศษทองคำ ศรีโยธิน ท่านเคยเป็นอาจารย์เคยสอนอาตมาอยู่ ท่านบอกว่ามีใครบ้างที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ได้อาทิตย์ละ ๕ วัน พวกข้าราชการ อธิบดี รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี ถึงเวลาอ้างติดงานไม่มีเวลาไป แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ..!"

เถรี
23-09-2011, 08:49
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ท่านอุปกาชีวกเป็นบุคคลแรกที่ได้พบพระพุทธเจ้าหลังจากที่ตรัสรู้แล้ว เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่เรียกพระพุทธเจ้าว่า อนันตชินะ แปลว่า ผู้ชนะอย่างหาประมาณไม่ได้

ตอนนั้นพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปป่าอิสิปตนมฤคทาย อุปกาชีวกเดินผ่านมาพอดี สงสัยว่าไฟไหม้ราวป่าหรืออย่างไร เพราะมีแสงสว่างไปหมด ก็คือฉัพพรรณรังสี จึงเข้าไปดูแล้วพบพระพุทธเจ้า ชอบใจมากเลยเข้าไปถาม

"ดูก่อนท่านผู้เจริญ...อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ท่านชอบใจธรรมะของผู้ใด ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ?" พระพุทธเจ้าตอบว่า "เราเป็นสวยัมภู" คือเป็นผู้รู้เอง

ท่านอุปกาชีวกถามพระพุทธเจ้าว่า "ถ้าจะไปหาท่าน จะให้บอกว่าไปหาใคร ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ให้เรียกเราว่าอนันตชินะ คือ ผู้ที่ชนะอย่างหาประมาณไม่ได้"

ในพระไตรปิฎกอธิบายว่า อุปกาชีวกแลบลิ้นสั่นศีรษะแล้วหลีกไป ทุกวันนี้อรรถกถาอธิบายว่า อุปกาชีวกไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วตอนหลังอุปกาชีวกย้อนกลับไปบวชเพื่ออะไร ?

เราลองไปทิเบตทุกวันนี้ ถ้าเขาเคารพใครมาก ๆ เขาจะแลบลิ้นให้ พวกเมารีที่ออสเตรเลียเขาก็แลบลิ้นให้ ส่วนการสั่นศีรษะของแขกแปลว่าใช่เลย เวลาพระไทยไปเมืองแขก แขกเขาเลี้ยงอาหารที่เรียกว่าอังคาสด้วยมือ ก็คือ จะมีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยเติมให้ คนไทยก็สั่นหัวไม่เอา แขกยิ่งเติมใหญ่เลย เพราะการสั่นหัวของเขา คือเอาอีกหรือใช่เลย

เพราะฉะนั้น..อุปกาชีวกแลบลิ้นคือแสดงความเคารพ ที่สั่นหัวก็คือเชื่อ แต่กิเลสยังบังหน้าอยู่ ไม่มีโอกาสขอฟังธรรม จะรีบเดินทางไปแต่งงานก่อน เพื่อนของอุปกาชีวกยกลูกสาวให้ ตอนนั้นตัณหาราคะนำหน้า อุปกาชีวกจึงไม่ได้คิดที่จะบวช ไม่ได้คิดที่จะฟังธรรม จะรีบไปแต่งงาน"

เถรี
23-09-2011, 08:54
"พอแต่งงานแล้วอุปกาชีวกไปอยู่อาศัยบ้านของผู้หญิง คือ การแต่งงานมีอาวาหมงคลกับวิวาหมงคล ถ้าผู้ชายไปอยู่บ้านผู้หญิง คืออาวาหมงคล แต่ถ้าผู้หญิงไปอยู่บ้านผู้ชาย คือวิวาหมงคล

อุปกาชีวกไปอยู่บ้านเพื่อนที่กลายเป็นพ่อตา ก็เท่ากับไปกิน ๆ นอน ๆ ที่บ้านเขา เมียก็บ่นบ้าง ด่าบ้าง เกิดมาทั้งทีหาความดีก็ไม่ได้ ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี พี่น้องเพื่อนฝูงที่เป็นคนรวยก็ไม่มี พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นคนใหญ่คนโตก็ไม่มี ท้ายสุดอุปกาชีวกทนไม่ไหวบอกว่า ตัวท่านเองมีเพื่อนที่ยิ่งใหญ่มาก ตอนนี้เป็นศาสดาเอก ภรรยาถามว่าใคร ?

อุปกาชีวกบอกว่า ท่านฟังข่าวเพื่อนคนนี้อยู่ตลอด ไปไหนมีรัศมีออกอยู่คนเดียว ชื่อว่าพระอนันตชินะ เมียก็ประชดบอกว่า มีเพื่อนก็ไปพึ่งเพื่อนสิ อุปกาชีวกก็เดินทางไปหาพระพุทธเจ้า

ตอนช่วงเช้าพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า "ถ้ามีบุคคลมาถามหาพระอนันตชินะ ให้พามาหาเรา" อุปกาชีวกก็ถามหาชื่อนี้จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านเทศน์อุปกาชีวกฟัง ท่านก็เลยบวช"

เถรี
23-09-2011, 09:01
"เรื่องของการบวชพระที่เขาถามอันตรายิกธรรม คือ กุฏฐัง คัณโฑ กิลาโส โสโส อะปะมาโร เหล่านี้เป็นโรคที่สังคมรังเกียจในยุคนั้น พวกโรคกลากเกลื้อน โรคเรื้อน ลมชัก วัณโรค

หมอชีวกโกมารภัจจ์ท่านเคารพพระพุทธเจ้ามาก ท่านรักษาแต่พระพุทธเจ้าและพระ ส่วนเวลาอื่นท่านต้องถวายการรักษาพระเจ้าแผ่นดินเพราะเป็นหมอหลวง ไม่มีเวลารักษาคนทั่วไป คนทั่วไปก็ฉลาด ใช้วิธีบวชเข้ามาเป็นพระให้หมอชีวกฯ รักษา พอหายจากโรคแล้วก็สึก

หมอชีวกโกมารภัจจ์เดินเข้าวัง พอดีสวนกับพระที่เพิ่งสึกใหม่ ๆ ก็จำได้ "ท่านสึกแล้วหรือ ?" เขาตอบว่า "เราหายจากโรคแล้วจึงสึก" ได้ยินดังนี้ หมอชีวกโกมารภัจจ์จึงเข้าใจว่า เขาบวชเข้ามาต้องการให้รักษาอย่างเดียว ท่านก็เลยขอพระพุทธเจ้าว่า บุคคลที่ป่วยด้วยโรคสังคมรังเกียจ ๕ ประการนี้ อย่าให้บวช คือให้มีการถามอันตรายิกธรรม ก็คือถามว่าเป็นโรคพวกนี้หรือเปล่า

หลังจากนั้นส่วนอื่น ๆ ก็จะมี มะนุสโสสิ เป็นมนุษย์หรือเปล่า ? เพราะเคยมีพญานาคแปลงกายมาบวช ปุริโสสิ เป็นผู้ชายหรือเปล่า ? ความจริงเขาถามว่าเป็นบุรุษหรือเปล่า ? ภุชิสโสสิ เป็นทาสหรือเปล่า ? ถ้าเป็นทาสหนีเจ้านายมาก็บวชให้ไม่ได้ เพราะเป็นคนมีเจ้าของ

อะนะโณสิ เป็นหนี้หรือเปล่า ? นะสิ ราชะภะโฏ เป็นข้าราชการหรือเปล่า ? ถ้าหนีราชการมาบวช พระเจ้าแผ่นดินสั่งประหารชีวิตจะเดือดร้อนกันใหญ่"

เถรี
23-09-2011, 09:03
"อะนะโณสิ เป็นหนี้หรือเปล่า ? ข้อนี้คนเข้าใจผิดกันเยอะว่าถ้ามีหนี้สินอยู่บวชไม่ได้ เขามีวิธีสำหรับคนเป็นหนี้แล้วอยากบวช ก็คือหาคนมารับสภาพหนี้ เช่น ทางบ้านรับปากว่า ถ้าเขามาทวงจะใช้หนี้ให้ ก็ถือว่าทางบ้านรับสภาพหนี้ให้แล้ว บวชได้

อะนุญญาโตสิ มาตาปิตูหิ พ่อแม่อนุญาตแล้วหรือยัง ? ตรงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ต้องรอให้ท่านอนุญาตหรอก เพราะทั้งชาตินี้ก็ไม่อนุญาตแน่ อย่างพระสารีบุตรท่านรู้ว่าแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าน้อง ๆ ไปขออนุญาตบวช คงไม่ได้บวชแน่ ท่านจึงรับเป็นผู้ปกครองน้อง ๆ เอง ถึงเวลาถามก็บอกว่า ท่านให้บวชก็บวชได้"

เถรี
23-09-2011, 10:22
ถาม : ท่านช่วยเคาะหัวให้ผมได้พระนิพพานเร็ว ๆ หน่อยครับ ?
ตอบ : สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้ว มรรคผลของใครของมัน ทำกันเอง คนหนึ่งช่วยอีกคนหนึ่งไม่ได้หรอก สนับสนุนได้ ส่งเสริมได้ แต่ช่วยให้หลุดพ้นไม่ได้ ถ้าช่วยได้พระพุทธเจ้าท่านเอาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว เคาะคนละโป๊กก็จบ ไม่ต้องมาเทศน์ปากเปียกปากแฉะ..!

ถาม : พระโพธิสัตว์...?
ตอบ : ไม่มีหรอก เป็นทั้งนั้น เพียงแต่ว่าท่านยินดีรับเพื่อความสุขของคนอื่น ส่วนตัวเองจะรับเละแค่ไหนไม่ว่า ถ้าความรู้สึกไม่ได้อย่างนี้ยังไม่ใช่พุทธภูมิ

เถรี
23-09-2011, 10:25
ถาม : บารมี ๑๐ เราต้องทำให้อารมณ์ทรงตัวหรือว่าต้องทำแบบไหนคะ ?
ตอบ : ให้ทุกข้อเต็มอยู่ในใจของเรา เจอแบบไหนต้องทำให้ได้ทันที อย่างทานบารมี ทันทีที่คนมีความต้องการ เราพร้อมจะให้ได้ทันที ให้แล้วก็ปลื้มใจว่าเราได้ให้ไปแล้ว ส่วนเขาจะไปทำอย่างไรเราไม่ใส่ใจ เพราะเราได้ให้ไปแล้ว

ศีลบารมี ศีลทุกข้อของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลแม้ว่าจะอยู่ในภาวะที่เดือดร้อนถึงแก่ชีวิตของตนก็ยอม เพราะฉะนั้น..ต้องทำได้จริง ๆ ไม่ใช่จำได้ จำได้ว่าบารมี ๑๐ มีอะไรบ้างจบแล้ว แบบนี้ชาติหน้าบ่าย ๆ ถึงจะบรรลุ

ถาม : คำว่าปรมัตถบารมีมีเกณฑ์ที่ชัดเจนไหมครับ ?
ตอบ : ปรมัตถบารมีเขาวัดกันด้วยชีวิต ถ้าหากว่ายอมตายเพื่อให้ได้ทำความดี ต้องเป็นปรมัตถบารมีแน่

เถรี
24-09-2011, 12:59
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ผู้หญิงมอญและพม่ายังไว้ผมยาวเป็นปกติ แล้วเกล้ามวยผมไว้ ลักษณะแทนเขาพระสุเมรุอันเป็นหลักโลก เป็นความเชื่อของฮินดู เขาเชื่อว่าเขาพระสุเมรุเป็นที่อยู่ของพระศิวะ เลยเกล้ามวยผมแทนเขาพระสุเมรุ

ถ้าชาวพม่าพบบุคคลหรือพระที่เขาเคารพมาก เขาจะคลี่มวยผมลงมาเป็นทางให้เดิน นั่ง ๒ ข้างปูลงมาเป็นแถว แรก ๆ อาตมาไม่กล้าเหยียบเพราะจั๊กกะจี้เท้า แต่นี่เป็นศรัทธาของเขา ก็เลยต้องฝืนทำไป

ส่วนพวกกะเหรี่ยงเขาจะทอดตัวเป็นทางให้เดิน เขาเอารูปแบบมาจากพระพุทธเจ้าสมัยเป็นสุเมธดาบส ที่ทอดตัวเป็นสะพานให้สมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จข้ามไป แล้วองค์สมเด็จพุทธทีปังกรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดาบสนี้อีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคตมะ ทางด้านของกะเหรี่ยงเขาชอบใจตรงประวัติส่วนนี้เขาก็จะทอดตัวให้เดิน

คราวนี้พวกกะเหรี่ยง มอญ พม่าเขาทอดตัวให้เดินก็ยังพอไปได้ แต่กะเหรี่ยงบ้านคลิตี้เขาโก้งโค้งให้เดิน โห...เดินยากมาก ถึงเวลาเขาจะตั้งซุ้มสำหรับอุ้มพระขึ้นไปสรงน้ำ เขาจะต่อรางไม้ไผ่ยาว ๆ เทใส่ ป้องกันไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระ แล้วเขาจะโก้งโค้งต่อแถวซะยาวยืด ให้พระเดินเหยียบจากที่สรงน้ำไปจนถึงกุฏิ"

เถรี
24-09-2011, 13:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำงานแล้วจะเอาประโยชน์ก็ต้องให้สติอยู่เฉพาะหน้า ไม่ให้ไปที่อื่น แล้วเราก็สังเกตว่าเราบังคับให้อยู่ตรงหน้าได้นานกี่นาที ปกติแล้วพักเดียวก็จะแวบไปที่อื่น แล้วเราก็ดึงกลับมาเริ่มต้นใหม่

เพราะฉะนั้น..เวลาทำงานถ้าใจมุ่งอยู่กับงานเฉพาะหน้าก็เป็นกรรมฐาน เพราะว่าสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า"

เถรี
24-09-2011, 14:03
ถาม : ตะกรุดลูกอมโลกธาตุ มีวิธีใช้อะไรพิเศษไหมครับ ?
ตอบ : ตะกรุดลูกอมก็ไว้อมสิจ๊ะ

ถาม : เคล็ดอย่างอื่นไม่มีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เอาไว้อม ส่วนใหญ่เพื่อป้องกันอันตราย พอฉุกเฉินก็กลืนลงไปเลย ก่อนนอนให้ปูผ้าขาวไว้ พอตื่นนอนลูกอมจะมาอยู่บนผ้าขาวเอง

ถาม : เขาลองกันมาเยอะแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาลองกันมาเยอะแล้ว อมอยู่ปากในแล้วเวลาโดนอัดหนัก ๆ อาจจะหล่นได้ ให้กลืนลงไปเลย ตะกรุดลูกอมของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หรือเปล่า ?

ถาม : ของหลวงปู่ใจ วัดเสด็จครับ
ตอบ : หลวงปู่ใจเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม

ถาม : ของหลวงปู่ยิ้มก็อยากได้อยู่ครับ
ตอบ : ของหลวงปู่ใจก็เหลือเฟือแล้ว หลวงปู่ยิ้มกับหลวงปู่เนียม ลูกศิษย์แต่ละองค์ของท่านนี่ ออกจากสำนักไป ถ้าเอ่ยชื่อคนก็รู้จักกันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วอาจารย์จะเก่งขนาดไหน ?

เถรี
25-09-2011, 10:39
ถาม : พระปิดตานี้เขาหมายถึงอะไรคะ ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือปิดทวารเพื่อไม่รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ก็คือตาไม่ดูสิ่งที่ไม่ดี หูไม่ฟังสิ่งที่ไม่ดี ปากไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี แล้วอีกนัยหนึ่งก็คือปิดทวาร ลักษณะเป็นมหาอุด ป้องกันอันตรายทุกอย่าง

เถรี
25-09-2011, 11:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง...แต่ก็ดันใช่ คือเห็นสาวสะพรั่ง หน้าตาสวยด้วยเดินเข้ามาแล้วรู้สึกสลดใจ ก่อนหน้านี้เขายังเด็ก ๆ อยู่เลย พักเดียวก็แก่ขนาดนี้แล้ว แทนที่จะปลื้มปีติชื่นชมที่เขาเจริญเติบโต แต่กลับเศร้าว่าพักเดียวเปลี่ยนไปขนาดนี้แล้ว อีกพักเดียวก็ต้องเหี่ยวแล้วสินะ ต้องบอกว่าปัญญาไปไกลเกิน

จะว่า ไกลเกินก็ยังไม่ใช่หรอก แค่นี้ยังไม่พอกิน เกิดความเศร้าขึ้นมาเราต้องรีบหยุดไว้ก่อน หยุดการปรุงแต่ง ให้เห็นว่าธรรมดาของทุกอย่างต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะพาเราผิดทาง แล้วก็เห็นต่อไปด้วยว่า อีกสักพักเขาก็ตาย คราวนี้กำลังของเราต้องหยุดแค่นั้น ไม่อย่างนั้นแล้วแทนที่ปัญญาเกิดแล้วจะดีกลายเป็นเศร้าหมองไป ต้องหยุดตัวการปรุงแต่งเอาไว้แค่นั้น"

ถาม : การพิจารณาให้มาก ๆ กับการวางเร็ว อะไรจะดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาจนใจยอมรับจริง ๆ แล้วจะวางเอง ถ้าใจไม่ยอมรับ เราพิจารณาจนตายก็วางไม่ลง

สำคัญ ตรงอารมณ์สุดท้ายว่าปัญญาพอหรือเปล่า ? ถ้าปัญญาพอ สมาธิพอ กำลังในการตัดกิเลสก็จะเข้มแข็ง เด็ดขาด ส่วนใหญ่พวกเราเด็ดไม่ค่อยขาด รู้ว่าต้องเด็ดนะ..แต่เด็ดไม่ค่อยขาด เด็ดไม่ขาดไม่พอยังไปเสริมใยเหล็กให้อีกด้วย

เถรี
26-09-2011, 11:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภายในวัดแรงกระทบเยอะกว่าข้างนอก ที่แรงกระทบเยอะกว่าเพราะเราไปตั้งเป้าว่าอยู่ในวัดแล้วทุกคนต้องดี ไม่ใช่หรอก...คนอยู่ในวัดก็ลูกชาวบ้านข้างนอกนั่นแหละ กิเลสเท่ากันหมดทุกอย่าง เพียงแต่ว่าใครจะคุมอยู่หรือคุมไม่อยู่เท่านั้น

แต่คราวนี้เราไปตั้งเป้าว่าเขาจะต้องดี ก็เจ๊งตั้งแต่ยกแรกแล้ว ถึงได้บอกว่าครูบาอาจารย์ดี สถานที่ดี ไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะดีด้วย เพราะฉะนั้น..อย่าไปตั้งความหวังกับใคร

โดยเฉพาะอยู่ในวัด หาหน้าที่ประจำให้ได้เร็วที่สุด แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของเราไป ถ้าทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์ก็ไม่มีใครตำหนิเราได้ โดยเฉพาะฝ่ายแม่ชีน่าสงสารที่สุด โดนใช้งานอย่างกับทาส แล้วจะมานั่งคิดว่าเราเป็นพจมาน สว่างวงศ์ไปตั้งแต่เมื่อไร ใช้งานซะสาหัสขนาดนี้

ม.ร.ว.หญิงศรีสุดาท่านบวชชี ถามอาตมาว่า "มีกุฏิสำหรับแม่ชีแก่ ๆ บ้างไหม ?" อาตมาบอกว่า "มี..แต่งานหนักมากนะ" เขาถามว่าแก่แล้วยังต้องทำอีกหรือ ? ก็เลยตอบว่า “ถ้ายังต้องกินก็ต้องทำ” ส่วนของแม่ชีงานหนัก แค่งานในโรงครัวก็ยากแล้ว ทำแทบจะไม่รู้จบ"

เถรี
26-09-2011, 11:21
ถาม : วันนั้นที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมที่วัดสระพัง เวลาหล่อพระเขาให้ท่องคาถาอะไรนะคะ ?
ตอบ : พุทโธ โลเก อุปปันโน แปลว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก คาถานี้เกิดจากพ่อค้าที่เข้าไปในเมืองของพระมหากัปปินะราชา สมัยก่อนนี้เวลาพ่อค้าไปค้าขายประเทศไหน ก็จะต้องเข้าไปแจ้งกับพระราชาก่อน ขออนุญาตเข้าไปทำการค้า คราวนี้ตัวเองเดินทางมาไกลหลายเมือง ก็จะได้ข่าวคราวต่าง ๆ มาด้วย

พอพระมหากัปปินะราชาถามพ่อค้าว่ามีข่าวคราวอะไรบ้าง ? พ่อค้าก็ตอบว่าข่าวที่สำคัญที่สุดก็คือ มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก พระมหากัปปินะดีใจจนสลบไปเลย จึงเขียนหนังสือให้พ่อค้าเอาไปให้พระมเหสี บอกว่าให้เบิกเงินจากคลัง เอาเงินไปเลยสามแสนกหาปณะ แจ้งพระมเหสีด้วยว่าเราจะไปบวชแล้ว แล้วก็สอบถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ทางทิศไหน จึงขี่ม้ามุ่งหน้าไปหาพระพุทธเจ้า บรรดาข้าราชบริพารก็ขี่ม้าตามไปบวชหมดเลย

ทางพ่อค้าก็เอาหนังสือที่มีลายพระหัตถ์ไปให้พระมเหสี พอพระมเหสีเห็นก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อค้าก็บอกว่าท่านแจ้งข่าวสำคัญให้พระราชาทราบ ว่ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก พระมเหสีเกิดปีติขนพองสยองเกล้า บอกว่าถ้าอย่างนั้นเราให้เธอหกแสนกหาปณะ สรุปแล้ว ๒ ประโยคได้ไปเกือบล้าน..! และพระมเหสีเด็ดขาดกว่าอีก พาพวกนางสนมบริวารตามไปอีก เพื่อไปบวชบ้าง

เถรี
26-09-2011, 12:07
พระมหากัปปินะควบม้าไป เจอแม่น้ำใหญ่ขวางหน้า เรือแพที่จะข้ามไปมันก็ไม่มี เพราะว่าท่านไปกะทันหันไม่มีใครจัดให้ ท่านก็ตั้งใจว่า ถ้าทิศเบื้องหน้านี้มีพระพุทธเจ้าอยู่จริง ก็ขอให้น้ำอย่าได้ท่วมเท้าม้าเลย แล้วก็ชักม้าลงน้ำไป ปรากฏว่าวันนั้นม้าวิ่งบนผิวน้ำได้ เพราะว่าท่านศรัทธาจริง พุทธานุภาพก็เลยคุ้มครองรักษาได้

พระมเหสีก็เช่นกัน บอกว่าถ้าทางนี้มีพระพุทธเจ้าอยู่จริงก็ขออย่าให้น้ำท่วมถึงข้อเท้าม้าเลย และม้าก็วิ่งบนผิวน้ำได้เช่นกัน พอพระมหากัปปินะไปถึง ได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระอรหันต์เลย

หลวงพ่อพระธรรมปริยัติเวที หรือหลวงพ่อเจ้าคุณสุเทพ เจ้าคณะภาค ๑๕ เวลาหล่อพระท่านจะให้ภาวนาว่า พุทโธ โลเก อุปปันโน คือพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็เลยกลายเป็นคาถาประจำตัว ถึงเวลาไปหล่อพระที่ไหนท่านก็จะใช้พุทโธ โลเก อุปปันโน

ส่วนอาตมานี้เวลาหล่อพระจะใช้บทว่า นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปันนานัง มเหสีนัง บทของภาณพระ

ถาม : แปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : นะโม เม สัพพะพุทธานัง ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงถึงซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง อุปปันนานัง มเหสีนัง ซึ่งอุบัติเกิดขึ้นแล้ว ประกอบไปด้วยศักดานุภาพอันใหญ่ยิ่ง แล้วก็จะเอ่ยนามพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ตั้งแต่ ตัณหังกะโร มหาวีโร เมธังกะโร มหายโส สรณังกะโร โลกหิโต ทีปังกะโร ชุตินธโรฯ เป็นต้น

เถรี
26-09-2011, 14:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอใกล้เวลาสอนกรรมฐาน เขาพยายามที่จะทำให้เสียงอาตมาหาย สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาท่านเป็นมาก ๆ ขึ้นมา ท่านควักยาหม่องเป็นก้อนแล้วก็ล้วงควานเข้าไปในคอ จะได้พูดมีเสียง ลองคิดดูว่านั่งมาทั้งวันไม่เป็นอะไร พอเวลาใกล้กรรมฐานเสลดกลับมาพันคอ จึงบอกว่าเขาพยายามจะขวางทุกวิถีทางจริง ๆ

การที่จะนำญาติโยมทั้งหลายปฏิบัติธรรม เท่ากับว่าพาพวกเราใกล้พระนิพพานไปเรื่อย ก็จะไม่เป็นที่ชอบใจของบรรดามารทั้งหลาย เขาก็จะหาทางขวางอยู่เสมอ ทุกครั้งก่อนที่จะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาสอนกรรมฐานและรับสังฆทาน อาการป่วยไข้ไม่สบายจะมาแบบฉับพลัน บางทีก็ป่วยขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ อยากจะป่วยก็ป่วยขึ้นมาเฉย ๆ ก็ได้แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง

เขามีหน้าที่ขัดขวางเขาก็ขวางไป เรามีหน้าที่สอนกรรมฐานเราก็สอนไป ดูว่าใครจะอึดกว่ากัน วัดกันที่ลูกอึด ถ้าไปโดนอะไรนิดหน่อยแล้วไปท้อถอยง่าย ๆ แสดงว่ากำลังใจยังใช้ไม่ได้ อย่างที่บอกเมื่อเช้าว่า จากการที่เข้มงวดกับตัวเองโดยการปฏิบัติตามระเบียบตามวินัยอย่างเคร่งครัด แม้ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไรก็ไม่ยอมละเว้นการบิณฑบาต ทำให้เอานิสัยเข้มงวดมาเข้มงวดในการปฏิบัติไปด้วย ก็เลยได้อะไรมากกว่าคนอื่นเขา

เพราะฉะนั้น..เป็นเรื่องที่พวกเรานอกจากจะต้องสำนึกรู้แล้ว ยังต้องปฏิบัติให้ได้ด้วย ทำอย่างไรที่เราจะเข้มงวดกับตัวเองให้มากเข้าไว้ บอกว่านี่เป็นเวลาปฏิบัติไม่ใช่เวลานอน นี่เป็นเวลาปฏิบัติไม่ใช่ไปสนุกเฮฮา ถ้ากำลังใจเริ่มเข้าถึงระดับที่การต่อสู้กับกิเลสเริ่มทันกัน เราก็จะสนุกอยู่กับการต่อสู้กับกิเลส ไม่สนใจเรื่องอื่นเลย เพราะต้องลุ้นกันสุดชีวิตว่าคะแนนต่อไปใครจะได้"

เถรี
26-09-2011, 15:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "นั่งนานก็ไม่ได้แปลว่าได้ดี ประเภทนั่งทนแข่งกันนี้ สมัยก่อนบางสำนักเขานิยมนั่ง ๓-๕ ชั่วโมง อาตมาก็ไปลองนั่งกับเขาบ้าง ได้ดีประมาณ ๓๐ นาที ที่เหลือนั่งแช่งชักหักกระดูกไปเรื่อย "มันจะนั่งไปทำโคตรพ่อโคตรแม่อะไรนานขนาดนี้วะ ?" นั่งได้แต่ใจไม่มีคุณภาพเลย

สมัยวัยรุ่นเห็นเขาว่าสำนักไหนดีก็ไป ท้ายสุดมาเจอสำนักวัดท่าซุง ท่านบอกนอนปฏิบัติได้นี่ถูกใจเลย แต่กว่าจะฝึกปฏิบัติให้นอนโดยไม่หลับได้นี่...สุดยอด เพราะหลับแล้วหลับอีก หลับจนนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งท้ายสุดใช้วิธีเปิดเสียงของหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วเอาจิตจดจ่อเงี่ยหูฟังชนิดที่ตั้งใจจะฟังให้ได้ทุกคำ พอสติต่อเนื่องได้ไม่ขาด ก็ไปได้เรื่อย ๆ เมื่อสภาพจิตดิ่งลึกไป ก้าวข้ามไปจนกระทั่งเริ่มเป็นฌาน ก็จะผ่านตัวตัดหลับไปได้ หลังจากนั้นก็จะสว่างโพลงอยู่

คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะบังคับให้เป็นอย่างไร ถึงเวลาสภาพจิตก็จะรวบเข้า ๆ จนสว่างอยู่จุดเดียวเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งข้างหน้า ตรงจุดนี้ก็หู ตา จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่รับรู้อะไรเลย แต่ว่าภายในก็มีความสุขเยือกเย็นอยู่อย่างนั้น และโดยเฉพาะที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ เสียงธรรมะของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจะเทศน์อย่างมากที่สุดหน้าหนึ่งก็จะไม่เกิน ๔๐ หรือ ๔๕ นาที ส่วนใหญ่ก็จะ ๓๐ นาที

แต่ตอนที่กำลังใจรวมเข้ามาก ๆ นี้ ฟังท่านได้เป็นชั่วโมง ๆ ไม่จบสักที แล้วเนื้อหาต่อไปเรื่อย ๆ ไม่วนด้วย ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแปลกใจว่า วันนี้ทำไมเทปนานแท้ ไม่จบสักที ลืมตาขึ้นมาเสียงหายวับ เครื่องเทปหยุดเล่นไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ได้ยินอยู่ตลอด...แปลกดี"

เถรี
27-09-2011, 09:55
"การฟังเทปของหลวงพ่อวัดท่าซุงได้พบเรื่องแปลก ๆ มีอยู่เที่ยวหนึ่งท่านเล่าเรื่องพระนางรูปนันทาที่ว่าป่วยเป็นโรคเรื้อน ทำให้ไม่กล้าไปหาพระพุทธเจ้า ท่านก็เล่าไปเรื่อย ๆ อาตมาก็เถียงในใจว่านี่ไม่ใช่พระนางรูปนันทา ต้องเป็นพระนางโรหิณี เสียงในเทปบอกว่าพระนางโรหิณีนั่นเป็นเรื่องในธรรมบท แต่ที่เล่านี้เป็นเรื่องของรูปนันทา เทปเถียงได้ด้วย..! เป็นอะไรแปลกจริง ๆ

แต่ก็ยังไม่เท่ากับแม่ชีท่านหนึ่ง แม่ชีท่านนั้นปฏิบัติธรรม เข้าถึงอารมณ์ที่ท่านคิดว่าดี ท่านก็ตั้งใจว่าจะไปเล่าถวายให้หลวงพ่อท่านฟัง พูดง่าย ๆ ก็คือจะไปอวด ปรากฏว่าตอนเช้าเสียงตามสายด่าท่านซะหูดับตับไหม้เลย ว่าอวดดี อวดเก่ง อวดวิเศษ ความรู้แค่หางอึ่งก็คิดว่าเก่งแล้ว ตั้งใจที่จะมาคุยอวดว่าดีอย่างไร ไอ้พวกนี้ไม่พ้นนรกสักราย ท่านก็ว่าไปเรื่อย

แม่ชีไปทุบประตูศาลานวราชโครม ๆ "ท่าน ๆ ขอเช่าเทปม้วนนี้เถอะ ไอ้เทปม้วนที่ด่าฉัน" แล้วจะหาที่ไหนให้ เทปม้วนนั้นเป็นเทปปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ไม่มีหรอกที่ตั้งใจด่าแม่ชีคนเดียว"

เถรี
27-09-2011, 10:01
ถาม : ตอนท่านอยู่วัดโดนหลวงพ่อด่าบ่อยไหมครับ ?
ตอบ : ไม่บ่อยหรอก ปีหนึ่งโดนแค่ ๓๖๕ ครั้ง อย่างไรก็ต้องมีให้โดนด่าจนได้ เพราะว่าเวลาหลวงพ่อท่านด่าคนอื่นแล้วคนอื่นเขารับไม่ได้ เขาจะตายเอา หลวงพี่บัญชาโดนเข้าหน้าเขียว มืออ่อนตีนอ่อนนั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ไปไหนไม่เป็นเลย หลวงพี่ชัยวัฒน์โดนด่าเข้าย้ายหนีจากหน้าตึกไปอยู่สวนไผ่ ไม่ยอมกลับ จนกระทั่งหลวงพ่อท่านมรณภาพ

ส่วนอาตมาค่อนข้างจะหน้าด้าน ด่าเท่าไรก็เข้าใจ ถ้ากล่าวอย่างเข้าข้างตัวเอง ก็คือ รู้ว่าถ้าท่านยังด่าแสดงว่าเรายังแก้ไขได้ และไม่มีพ่อที่ไหนที่จะฆ่าลูกหรอก เพราะฉะนั้น..ท่านด่ามาแปลว่าเราผิดจริง ให้รีบแก้ไขด่วน

บางทีคนอื่นเขาโดนด่าแล้วเขารับไม่ได้ ถ้าหลวงพ่อท่านจะด่า ท่านก็จะมาเริ่มด่าจากอาตมาก่อน พอเข้าโบสถ์ก็ใส่อาตมาไปเต็ม ๆ คนอื่นเขาก็ "เฮ้อ..มันโดนอีกแล้ว" กว่าจะรู้ว่าเลี้ยวกลับมาที่ตัวเองก็โดนไปแล้ว บางทีท่านนั่งลงก็บ่น “เฮ้อ..ไอ้วัดเรามีแต่เกินกับขาด หาพอดีไม่ได้สักคน” แล้วก็หันขวับมา “เล็ก..เอ็งเกินหรือขาดวะ ?” “ผมเกินกว่าร้อยอีกครับหลวงพ่อ” เขาก็ฮากัน

เถรี
27-09-2011, 10:18
พอเขาฮากันเสร็จ หลวงพ่อท่านเห็นว่ากำลังใจคลายตัวแล้ว ท่านก็เลี้ยวเข้ามาด่าคนที่ตั้งใจไว้จนได้ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกมาก แปลกตรงที่ว่า พอออกมาจากโบสถ์ เขาเที่ยวมาไล่ถามกันว่า "คราวนี้ใครวะที่โดนด่า ?" จนกระทั่งบางทีอาตมาทนไม่ไหวก็ว่า “ผมคนหนึ่งละ..ไอ้ที่เหลือไปแบ่งกันเองแล้วกัน”

ทำไมไม่คิดว่าที่ท่านด่าคือเรา จะได้ไปแก้ไขให้หมดเรื่องหมดราวไป ในชีวิตเสียใจอยู่อย่างเดียวคือ หลวงพ่อให้เทศน์แทนท่านแล้วอาตมาไม่รับปาก เนื่องจากว่าในช่วงนั้นไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง พี่ ๆ น้อง ๆ เขาไม่ได้โมทนาด้วย แต่เขาจ้องจะงับน่องอาตมา เพราะฉะนั้น..หลวงพ่อท่านบอกให้เทศน์แทนก็เรียนท่านว่า "ไม่ไหวครับ เดี๋ยวตกธรรมาสน์..!"

ท่านก็ยังพูดซ้ำอีกว่า "ใบฎีกาเท่ากับเป็นตัวแทน แล้วทำไมถึงไม่เทศน์แทน ?" ตอนนั้นท่านตั้งให้เป็นพระใบฎีกา คืออยู่ในสถานะที่รู้ว่า ถ้าขึ้นไปเมื่อไรแล้วก้อนอิฐก้อนหินมารอบข้าง ไม่มีดอกไม้หรอก ก็เลยปฏิเสธท่านไป

เถรี
27-09-2011, 10:47
พอออกจากวัดเลยโดนให้เทศน์เช้ายันค่ำ เอาให้เข็ด ในวัดอยากไม่เทศน์ดีนัก พอตัวเองมาป่วยแล้วถึงได้รู้ รู้ตรงที่ว่าบางทีขอให้พระท่านช่วยทำแต่ท่านไม่ทำ ท่านรออาตมาไปทำเอง อาตมาก็ป่วยจนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง พอคนอื่นไม่ทำก็ต้องกัดฟันทำซะเอง ถึงได้เข้าใจว่าตอนนั้นหลวงพ่อท่านไม่ไหวจริง ๆ ท่านถึงให้อาตมาเทศน์แทน

อาตมาเองก็ดันไปเกรงใจพี่น้อง ที่เกรงใจพี่น้องต้องบอกว่ายังรักตัวเองอยู่ ที่ยังรักตัวเองอยู่ก็คือ “ตัวกู ของกู” ยังปล่อยไม่ได้ โดนเขาด่าแล้วกลัวรับไม่ได้ โดนเขาหาว่าวัดรอยเท้าหลวงพ่อเดี๋ยวจะรับไม่ได้ มาเข้าใจก็ตอนที่แย่มาก ๆ แล้วไม่มีใครแทน ถึงได้รู้ว่าตอนนั้นหลวงพ่อท่านต้องการให้ช่วยจริง ๆ

มีอยู่เที่ยวหนึ่ง รับกิจนิมนต์ข้างนอก โทรกลับมาบอกทางวัดว่า "ให้พระครูน้อยเทศน์งานศพไปก่อน ผมกลับไปทันเผาแน่นอน ผมจะไปเป็นประธานเผาศพให้เอง" ปรากฏว่าเขาเทศน์กันบ่าย ๒ โมง บ่าย ๓ แล้ว เขาตั้งธรรมมาสน์รออาตมาไปเทศน์ อาตมานั่งรถมา ๗๐๐-๘๐๐ กิโลเมตร หมดสภาพแล้วยังต้องขึ้นธรรมาสน์ไปเทศน์

ต้องบอกว่ากรรมบางอย่างมาบัง ทำให้เขาเข้าใจผิด อาตมาบอกว่าให้เขาเทศน์ แล้วจะกลับไปเป็นประธานเผาศพ เขาฟังอย่างไรไม่รู้ว่าอาตมาจะกลับไปเทศน์..!

อย่างเมื่อเช้ามีโยมเอารถมาให้เจิม อาตมานั่งทำงานอยู่เพราะเป็นเวลารับสังฆทาน ถามเขาว่ารถจอดอยู่ตรงไหน เขาบอกว่าจอดอยู่ในวัด ก็เลยบอกให้เอารถมาจอดหน้าบ้าน อาตมาจะได้ลงไปเจิมให้ อาตมาก็นั่งทำงานไป กะว่าพอเขาเลื่อนรถมาถึงหน้าบ้าน จึงค่อยเดินลงไป ปรากฏว่าเขาเดินตามหลังมา ให้อาตมาไปยืนรอเขาไปเอารถมาให้เจิม

ก็เลยสงสัยว่า อาตมาพูดไม่รู้เรื่องหรือคนอื่นเขาฟังไม่รู้เรื่องกันแน่ ก็ต้องคิดว่าสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้เยอะ รับกรรมไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน

เถรี
27-09-2011, 10:55
ถาม : เราได้รับทุกข์มาจนถึงทุกวันนี้ แสนสาหัสมากโดยที่เราไม่ได้ทำ เราก็ยอมรับว่าเป็นกรรม แต่ใจเราก็ยังทุกข์อยู่ จะแก้ได้อย่างไร ?
ตอบ : ทุกข์เป็นปกติจ้ะ เพราะว่าการยอมรับของเราไม่ได้ยอมรับจากปัญญาจริง ๆ การที่เราจะยอมรับจากปัญญาจริง ๆ นั้น กำลังก็ยังไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น..ถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกปัจจุบันของเราได้ เราก็จะไม่คิดเรื่องนี้

เพราะฉะนั้น..เมื่อตอนนี้เรายังกำลังไม่พอ เราก็เอาแค่นี้ก่อน ให้อยู่กับตรงหน้านี้ให้ได้ ถ้าอยู่กับตรงหน้านี้ได้เราก็ไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องไปทุกข์ แล้วหลังจากนั้นพอสะสมกำลังไปเรื่อย ๆ ปัญญาเพียงพอจะเห็นว่า ที่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องไร้สาระ

นี่เป็นเรื่องที่เคยทำเอาไว้ถึงได้รับ ในเมื่อเราเคยรังแกเขาไว้หนักขนาดนั้น เราใช้หนี้เขาไปก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าปัญญาถึงก็จะเห็นเอง แล้วใจเราจะวางไปได้ ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ถ้าหลุดจากตรงนี้ไปเมื่อไรก็จะทุกข์อีก

เถรี
27-09-2011, 12:48
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่วันหนึ่ง ตอนฉันอาหาร อาตมาก็จิ้มอาหารใส่ปาก ท่านกอล์ฟก็จิ้มใส่ปาก หลวงตาปรีชาเห็นสองคนแย่งกันจิ้มอาหารก็เอาบ้าง พอใส่ปากหลวงตาปรีชาร้องว่า “หือ..มันบูดแล้วนี่อาจารย์ ?” "ก็ผมไม่ได้บอกว่าดีนี่หว่า..!"

ถาม : ต้องฉันหรือครับ เพราะบูดแล้ว ?
ตอบ : ฉันให้รู้ว่ากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน พระรัฐบาลเถระท่านก็ฉันอาหารบูด นางทาสีจะเอาอาหารทิ้งแล้ว เดินมาที่ประตูรั้ว พระรัฐบาลเถระท่านก็บอกว่า "ภคินิ..ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเธอจะทิ้งก็เทใส่บาตรของเราก็แล้วกัน" แล้วท่านก็นั่งฉัน พ่อมาเห็นนี่แทบจะร้องไห้ ลูกมหาเศรษฐีมากินของบูด..!

หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะปลงพระเกศา อธิษฐานเพศเป็นนักบวช พอบิณฑบาตครั้งแรกออกไปนอกหมู่บ้านแล้ว ปูอาสนะนั่งลง เปิดบาตรเห็นอาหาร ท่านรู้สึกว่าเหมือนไส้จะพลิกกลับออกมาข้างนอก ก็คืออยากจะอาเจียนเดี๋ยวนั้น

เสร็จแล้วท่านก็พิจารณาว่า การที่เราตั้งใจออกบวชเพื่อปฏิบัติธรรมนั้น ความยากลำบากทั้งหลายมากกว่านี้หลายเท่านัก ถ้าอาหารอย่างนี้ยังฉันไม่ได้ แล้วจะไปประพฤติธรรมได้อย่างไร ? อย่าลืมตอนนั้นท่านยังไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ ท่านยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังไม่ได้ตรัสรู้

ท่านอยู่แบบสุขุมาลชาติ มีปราสาท ๓ ฤดู อาหารวิเศษแค่ไหนก็มีให้ แล้วต้องไปกินอาหารของชาวบ้าน อย่างนางปุณทาสีมีแป้งจี่ใส่ชายพกมา แป้งจี่ก็คือโรตีนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านรับมาก็นั่งเสวย

เถรี
27-09-2011, 14:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "คงจะมีการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประมาณต้นปีหน้า เพราะการจะสร้างพระเมรุมาศได้ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก กินเวลามาก โดยเฉพาะคนออกแบบจะกลุ้มใจมาก ออกแบบหลายครั้งชักจะหมดมุก ไปไม่เป็น

คุณอาวุธ เงินชูกลิ่น ท่านบอกว่าพวกรูปยักษ์ รูปกินรี รูปเทวดา ที่ประดับตามมุมเมรุ ตามหัวเสา ของเก่ายังพอซ่อมมาใช้งานได้ ก็แปลว่างานน้อยลงนิดหนึ่ง อย่างสมัยพระศพของสมเด็จย่า กระดาษที่ใช้ประดับเมรุหลายอย่างก็สั่งซื้อมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะ

ที่สำคัญที่สุดก็คือไม้จันทน์ที่ทำโกศ หาได้ยากเพราะบ้านเราไม้จันทน์เป็นไม้หวงห้าม ไม่ทราบเหมือนกันว่าบ้านเรามีการแบ่งไม้จันทน์หรือเปล่าว่ามีกี่ชนิด ?

ไม้หอมของไทยก็จะมีไม้จันทน์ ไม้กฤษณา ไม้เทพทาโร ถ้าต้นกฤษณาเชื้อราไม่ลง ก็จะไม่เกิดน้ำมันหอม ถ้าต้นได้รับบาดเจ็บก็จะเหมือนกับส่งน้ำมันไปรักษาตัวเอง คนรุ่นใหม่ที่ปลูกต้นกฤษณาก็เลยใช้วิธีฟันต้นให้เป็นแผล หรือไม่ก็ตอกตะปู ถึงเวลาเชื้อราลงก็จะได้เนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม แต่ว่าดมตอนนั้นก็ไม่หอม ต้องเอาไปผ่านไฟ พอโดนความร้อนเข้าถึงจะคลายกลิ่นหอมออกมา"

เถรี
27-09-2011, 14:40
"ส่วนไม้เทพทาโรนั้นกลิ่นหอมเหมือนกับตะไคร้ ใครเคยได้กลิ่นตะไคร้หอมบ้าง ? บางคนเขาเรียกตะไคร้ต้นเลย ไม้เทพทาโรจะมีทางปักษ์ใต้เยอะ แต่ที่ไปประเทศพม่ามา เขามีไม้หอมมากกว่าเรา เฉพาะไม้จันทน์อย่างเดียว พม่าเขามีถึง ๓ ชนิด จะมีไม้จันทน์ขาว ไม้จันทน์แดงและไม้จันทน์หอม

จันทน์ขาวเขาเรียกนัตตะพิว จันทน์แดงเรียกนัตตะนี จันทน์หอมเรียกซันดากู ไปที่เมืองสุกุ๊ เขาบอกว่าค้นพบร่องรอยของคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า ที่มีอุบาสก ๒ พี่น้อง คือมหาปาลและจุลปาลสร้างถวายพระพุทธเจ้าด้วยไม้จันทน์

เรื่องคันธกุฎีเองอาตมาสงสัยมานานมากแล้ว ถ้าโยมเจอไม้จันทน์แท้จะรู้ว่ากลิ่นฉุนขนาดไหน ไม่ใช่หอมเฉย ๆ นะ แต่ฉุนเลย แล้วเอามาสร้างกุฏิจะไปนอนไหวหรือ ? ปรากฏว่าพอไปพม่าที่เมืองสุกุ๊ เขากำลังสร้างคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า คือเขาสร้างครอบหลังเก่าที่ค้นเจอ

เขามีประวัติศาสตร์ว่าครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่พม่า แล้วเศรษฐี ๒ พี่น้อง คือมหาปาลกับจุลปาลสร้างคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า คราวนี้ด้วยความที่ว่าสร้างด้วยไม้นาน ๆ ไปก็ผุพัง พอเขาค้นซากเจอ พม่าก็เลยเริ่มสร้างใหม่ โดยใช้ไม้จันทน์หอมคือไม้ซันดากู

พออาตมาไปถึงเขาก็เอาไม้จันทน์หอมมาให้ดู ลองดมแล้วถึงรู้ว่าไม้อย่างนี้แหละที่สร้างคันธกุฎีได้จริง ๆ เพราะว่าเป็นกลิ่นหอมเย็น ๆ หอมอ่อน ๆ หอมคล้าย ๆ ธูปหอมบางประเภท ไม่ได้หอมฉุนแบบจันทน์หอมที่เรารู้จัก

ถ้าน้ำมันจันทน์ที่เรารู้จักบางทีหยดเดียวกลิ่นตลบไปทั้งห้องเลย แล้วก็ฉุนมาก ถ้าไม้จันทน์หอมของพม่านี้กลิ่นหอมอ่อน ๆ แบบหอมชื่นใจ ถ้าอย่างนั้นเอามาทำเป็นกุฏิอยู่ได้"

เถรี
27-09-2011, 14:45
"ส่วนไม้จันทน์แดงนั้น บางทีคนจีนเรียกไม้จันทน์ม่วง เพราะไม้จันทน์ประเภทนี้มีคุณภาพประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือยิ่งใช้จะยิ่งสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรก ๆ ที่เห็นสีแดงถนัดเลย พอใช้ไปก็จะดำเข้มขึ้น ๆ จนเหมือนกับสีม่วงดำ คนจีนเขาจึงเรียกว่าไม้จันทน์ม่วง

แล้วก็ยังมีไม้อื่นอีก อย่างทานาคา ไม้ทานาคานี้เป็นไม้หอมที่เขานำมาทำเครื่องสำอาง ทาหน้าทาตัวทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย เขาใช้กันทั้งประเทศ ถึงเวลาอาตมาเดินไปนึกว่าร้านขายฟืนเพราะเขาวางขายเป็นท่อน ๆ เรียงเป็นตับ แล้วก็มีจานสำหรับฝนลักษณะคล้าย ๆ โม่หิน เอาไว้ฝนทาหน้า ดูท่าจะได้ผลดี เพราะที่ไปพม่ามา ๕-๖ ปีไม่เคยเจอคนพม่าเป็นสิวเลย ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีคุณภาพป้องกันสิวได้หรือเปล่า ?

ยังมีไม้ตองกานกะโด ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยเรามีหรือไม่ ? ถ้าตามชื่อมันเป็นไม้ภูเขาชนิดหนึ่ง เป็นไม้หอมเหมือนกัน แล้วก็มีกาละแม็ด กาละแม็ดนี้น่าจะเป็นกฤษณาของบ้านเรา"

เถรี
27-09-2011, 14:47
"อาตมาไปรู้จักคุณละเมี้ยตอ่อง เป็นเจ้าของร้านขายของที่ระลึกที่สร้างจากไม้จันทน์ คุณละเมี้ยตอ่องบอกว่า เขาจะพยายามสั่งไม้จันทน์จากอินเดีย เพราะว่าไม้จันทน์อินเดียคุณภาพดีกว่าประเทศพม่า และไม้จันทน์พม่าคุณภาพดีกว่าไทย

ถามคุณละเมี้ยตอ่องว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เพราะเขามีประสบการณ์คลุกคลีกับไม้จันทน์มา ๓๐-๔๐ ปี คุณละเมี้ยตอ่องบอกว่า ไม้จันทน์เกิดมาเพื่อเป็นพุทธบูชา ยิ่งใกล้พุทธภูมิมากเท่าไร กลิ่นหอมจะมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น..ไม้จันทน์อินเดียจะหอมที่สุด ถัดจากอินเดียมาก็เป็นพม่าจะหอมน้อยลงมา ถึงเมืองไทยก็หอมน้อยลงไปอีก ก็แปลว่ายิ่งไกลจากอินเดียก็ยิ่งหอมน้อยลง

สมัยโบราณตอนอาตมายังเด็กอยู่ เวลาเขาจะออกไปหาไม้จันทน์ พวกพรานหรือผู้ใหญ่ที่เขาเดินป่าเก่ง ๆ รู้จักต้นไม้ เขาจะจุดธูปที่มีส่วนผสมของไม้จันทน์ ควันธูปลอยไปทางไหนก็เดินไปทางนั้น ไม่ทราบว่าดึงดูดกันได้อย่างไร ? แต่ก็ได้ผล หาไม้จันทน์เจอทุกครั้ง"

พอไปจนกระทั่งไม่แน่ใจแล้วว่าไปทิศไหนต่อก็จุดธูปใหม่ ควันธูปลอยไปทางไหนก็เดินต่อไป พาไปหาต้นจันทน์ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ฟังดูเหมือนไสยศาสตร์ แต่ว่าถ้าทางวิทยาศาสตร์นี้บอกว่าโมเลกุลของไม้ดึงดูดกัน

เถรี
27-09-2011, 14:53
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=14602&stc=1&d=1317112938

เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ พบกันใหม่ในเก็บตกเดือนตุลาคมค่ะ