ลัก...ยิ้ม
30-08-2011, 08:13
โลกนี้ทั้งโลกเป็นเรื่องของคนมีความทุกข์
หรือคนไม่มีทุกข์ไม่มีในโลก
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้
๑. ทรงตรัสว่า ต่อไปนี้จักไม่สอนละเอียด จักสอนแต่หัวข้อธรรมโดยย่อ แล้วให้ใช้ปัญญาพิจารณาขยายความให้ละเอียดเอาเอง เพื่อจักช่วยทำให้ปัญญาเกิดได้อย่างดี
๒. เวลานี้กฎของกรรมกำลังเล่นงานพวกเจ้าอยู่ ให้พยายามตัดกรรมคือข่มใจ อย่าทำอารมณ์ให้ฟุ้งซ่าน ระงับอารมณ์ให้อยู่ในความสงบ ยอมรับและเคารพในกฎของกรรม
๓. ผลของการทำจิตให้สงบได้นั่นแหละ คือ การปฏิบัติพระกรรมฐานได้ผลบ้างแล้วหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมา จิตก็จักไม่มีเรื่องเข้ามาทดสอบอารมณ์อย่างหนักอย่างในขณะนี้ คำว่าสอบได้หรือไม่ได้ก็จักไม่รู้เลย
๔. ในเรื่องอาหารที่มีผู้นำมาให้ บางครั้งก็มากเกินไป แต่อาหารก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต จักต้องใช้สติปัญญามองปัจจเวกขณ์ ๔ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นต่อผู้ที่มีร่างกาย มีมากก็เป็นทุกข์ น้อยไปก็เป็นทุกข์ จุดนี้ใคร่ครวญให้ดี เป็นการตัดสักกายทิฏฐิประการหนึ่งเหมือนกัน (ข้อนี้ทรงตรัสเน้นสอนเพื่อนผมโดยเฉพาะ) ดังนั้น จักเจริญวิปัสนาให้ละเอียด ก็อย่าคิดแต่เรื่องอาหารเพียงอย่างเดียว ให้คิดหมดทั้ง ๔ ประการ คือ ที่อยู่อาศัย-อาหาร-เครื่องนุ่งห่ม-ยารักษาโรค จักได้ปัญญาเกิดขึ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่จงอย่าลืมการพิจารณาให้ใช้หลักมัชฌิมาปฏิปทา ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย)
๕. โลกนี้ทั้งโลกเป็นเรื่องของคนมีความทุกข์ทั้งหมด คนไม่มีทุกข์ไม่มีในโลก มีแต่พระนิพพานเท่านั้นเป็นดินแดนหมดทุกข์ การทำงานก็ทำไปตามหน้าที่ อย่าไปเกาะบุญเพราะเกาะบุญก็ยังต้องเกิด บุญต้องทำ แต่จิตอย่าไปยึดเกาะบุญนั้น
๖. ทำทุกอย่างทำไปโดยไม่หวังสิ่งอื่นใด นอกจากพระนิพพานจุดเดียว หากหมั่นตรวจกำลังใจอยู่อย่างนี้ จะทำให้บารมีเต็มได้ทุก ๆ โอกาส เป็นการเตือนจิตตนให้มุ่งหวังพระนิพพานโดยเฉพาะ ไม่หวังแสวงหาสิ่งอื่นใดมาตอบแทน แม้กระทั่งผลของบุญที่ทำให้เกิดเป็นพรหม-เทวดาก็ไม่เอา แม้กระทั่งในยามเจริญพระกรรมฐานก็พึงใช้อารมณ์นี้ด้วย จักได้ผลทรงตัว เพราะมีกำลังใจเตือนตนเองว่าทำเพื่ออะไรอยู่เสมอ
หรือคนไม่มีทุกข์ไม่มีในโลก
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้
๑. ทรงตรัสว่า ต่อไปนี้จักไม่สอนละเอียด จักสอนแต่หัวข้อธรรมโดยย่อ แล้วให้ใช้ปัญญาพิจารณาขยายความให้ละเอียดเอาเอง เพื่อจักช่วยทำให้ปัญญาเกิดได้อย่างดี
๒. เวลานี้กฎของกรรมกำลังเล่นงานพวกเจ้าอยู่ ให้พยายามตัดกรรมคือข่มใจ อย่าทำอารมณ์ให้ฟุ้งซ่าน ระงับอารมณ์ให้อยู่ในความสงบ ยอมรับและเคารพในกฎของกรรม
๓. ผลของการทำจิตให้สงบได้นั่นแหละ คือ การปฏิบัติพระกรรมฐานได้ผลบ้างแล้วหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมา จิตก็จักไม่มีเรื่องเข้ามาทดสอบอารมณ์อย่างหนักอย่างในขณะนี้ คำว่าสอบได้หรือไม่ได้ก็จักไม่รู้เลย
๔. ในเรื่องอาหารที่มีผู้นำมาให้ บางครั้งก็มากเกินไป แต่อาหารก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต จักต้องใช้สติปัญญามองปัจจเวกขณ์ ๔ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นต่อผู้ที่มีร่างกาย มีมากก็เป็นทุกข์ น้อยไปก็เป็นทุกข์ จุดนี้ใคร่ครวญให้ดี เป็นการตัดสักกายทิฏฐิประการหนึ่งเหมือนกัน (ข้อนี้ทรงตรัสเน้นสอนเพื่อนผมโดยเฉพาะ) ดังนั้น จักเจริญวิปัสนาให้ละเอียด ก็อย่าคิดแต่เรื่องอาหารเพียงอย่างเดียว ให้คิดหมดทั้ง ๔ ประการ คือ ที่อยู่อาศัย-อาหาร-เครื่องนุ่งห่ม-ยารักษาโรค จักได้ปัญญาเกิดขึ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่จงอย่าลืมการพิจารณาให้ใช้หลักมัชฌิมาปฏิปทา ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย)
๕. โลกนี้ทั้งโลกเป็นเรื่องของคนมีความทุกข์ทั้งหมด คนไม่มีทุกข์ไม่มีในโลก มีแต่พระนิพพานเท่านั้นเป็นดินแดนหมดทุกข์ การทำงานก็ทำไปตามหน้าที่ อย่าไปเกาะบุญเพราะเกาะบุญก็ยังต้องเกิด บุญต้องทำ แต่จิตอย่าไปยึดเกาะบุญนั้น
๖. ทำทุกอย่างทำไปโดยไม่หวังสิ่งอื่นใด นอกจากพระนิพพานจุดเดียว หากหมั่นตรวจกำลังใจอยู่อย่างนี้ จะทำให้บารมีเต็มได้ทุก ๆ โอกาส เป็นการเตือนจิตตนให้มุ่งหวังพระนิพพานโดยเฉพาะ ไม่หวังแสวงหาสิ่งอื่นใดมาตอบแทน แม้กระทั่งผลของบุญที่ทำให้เกิดเป็นพรหม-เทวดาก็ไม่เอา แม้กระทั่งในยามเจริญพระกรรมฐานก็พึงใช้อารมณ์นี้ด้วย จักได้ผลทรงตัว เพราะมีกำลังใจเตือนตนเองว่าทำเพื่ออะไรอยู่เสมอ