เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔


เถรี
09-08-2011, 09:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กผู้หญิงจะโตเร็วกว่าเด็กผู้ชายเป็นปกติ คนโบราณก็เลยกำหนดการโกนจุกที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น ให้เด็กผู้หญิงโกนจุกตอนอายุ ๑๑ ปี เด็กผู้ชายโกนจุกตอนอายุ ๑๓ ปี แสดงว่าเด็กผู้หญิงโตเร็วกว่าเด็กผู้ชาย ในเรื่องพระอภัยมณีก็ได้กล่าวยืนยันเอาไว้ว่า...


อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง........เนื้อดั่งทองนพคุณจำรูญศรี

เพิ่งโสกันต์ชันษาสิบสามปี............พระชนนีรักใคร่ดังนัยนา


โสกันต์ คือ พิธีโกนจุก"

เถรี
09-08-2011, 09:35
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องวัตถุมงคลว่า "ในเรื่องของการเล่นพระเครื่องพระบูชานั้น เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ น่ากลัวมาก เพราะใช้คอมพิวเตอร์ลอกแบบได้ แบบที่ออกมาจะเหมือนทุกกระเบียดนิ้วเลย ก็ต้องไปพิจารณาความเก่าใหม่ของวัสดุ ซึ่งมีไม่กี่คนที่ชำนาญ

แล้วไม่ต้องเสียเวลาไปจับพลังหรอก มีพลังแน่นอน เพราะแม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่า วัตถุทุกอย่างแกนกลางเป็นพลังงานอยู่แล้ว"

เถรี
09-08-2011, 16:10
ถาม : ไปปฏิบัติกับวัดสายพระป่าหลักสูตร ๓ วัน ท่านว่าทำได้ดี จึงโทรมาตามให้ไปปฏิบัติหลักสูตร ๖ วัน แต่หนูชอบแบบวัดท่าซุงมากกว่า ?
ตอบ : การปฏิบัติทุกอย่างท้ายสุดลงที่เดียวกันหมด เพียงแต่ว่าเราชอบหรือไม่ชอบแนวปฏิบัตินั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่เคยห้ามเรื่องแนวการปฏิบัติ เคยปฏิบัติมาแล้วก็ให้ทำต่อจากของเดิม

ถาม : หนูภาวนาแล้วมักจะมีประสบการณ์รู้เห็นมาก ทั้งที่ไม่เคยฝึกทิพจักขุญาณมาก่อน ?
ตอบ : ของเก่ามีมา ไม่ต้องไปทำใหม่ให้เสียเวลา พอกำลังใจทรงตัวเดี๋ยวก็มาเอง

ถาม : สายพระป่าท่านถือการรู้เห็นเป็นนิมิตที่ต้องละ ?
ตอบ : ท่านให้ละพวกนี้ออก อาตมาเองโตมากับสายพระป่า ก่อนหน้านี้คลุกคลีกับหลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่น ในสมัยที่ท่านยังอยู่กันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ไปติดขัดเรื่องการปฏิบัติ พอการรู้เห็นเกิดขึ้น ท่านบอกให้ละ ๆ ๆ ซึ่งไม่ถูกกับอารมณ์ตัวเอง พอมาเจอสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจึงเปลี่ยนมาทางด้านนี้ เพราะตรงกับเรามากกว่า

ถาม : ระยะนี้พอภาวนาแล้วมักจะฟุ้งซ่านมากกว่าแต่ก่อน
ตอบ : ไม่เป็นไร ทันทีที่รู้ตัว ดึงความรู้สึกมาอยู่กับลมหายใจ แรก ๆ ก็ต้องบังคับกันหน่อยเพราะเราไปปล่อยทิ้งมานาน

ถาม : หนูควรจะทำอย่างไรให้กำลังใจทรงตัวแบบเดิมคะ ?
ตอบ : พยายามไปฟื้นใหม่ แรก ๆ ก็ลำบากหน่อย เหมือนกับกระจกที่โดนสิ่งสกปรกทับถมเยอะ ต้องอาศัยการขัดถู แต่พอสะอาดเมื่อไรก็จะใช้งานได้ใหม่ เพราะฉะนั้น..แรก ๆ ที่เราไปฟื้นของเก่าก็อาจจะรำคาญ ว่าทำไมจิตจึงรวมยากเหลือเกิน แต่ถ้าเรารู้ตัวให้ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจ ถ้าทรงตัวสักครั้งเดียว เดี๋ยวของอื่นก็ตามมาเอง ใช้ความพยายามนิดหน่อย ไม่ต้องลำบากเหมือนคนอื่นเขา

ถาม : วันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้ จะไปสมัครปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนก่อน ?
ตอบ : ที่วัดท่าขนุนฝึกรูปแบบบังคับ เพราะว่าสำนักปฏิบัติธรรมเขาให้ฝึกแบบพองหนอยุบหนอ ซึ่งเหมาะสำหรับคนหัดใหม่ ถ้าคนที่มีพื้นฐานไปฝึกแล้วจะรู้สึกรำคาญมากกว่า..!

เถรี
09-08-2011, 19:59
ถาม : ถ้าเราเอารูปพระพุทธรูปมาขึ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นการปรามาสไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นพุทธานุสติ แต่อย่าเอาไอคอนหรือช็อตคัตไปแปะใส่หรือทับลงบนองค์พระก็แล้วกัน

เถรี
09-08-2011, 20:07
ถาม : เรื่องการปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ ตอนนี้มีปัญหาเรื่องงาน
ตอบ : หมดจากงานแล้วเราก็กองทิ้งเอาตรงนั้น แล้วมาหาความสงบทางใจ เราต้องแบ่งเวลาให้เป็น การปฏิบัติธรรมจึงจะก้าวหน้า แบ่งเวลาให้ถูก ต้องตัดให้ขาด เข้าไปยุ่งกับงานเมื่อไรก็ทำตามหน้าที่ ออกพ้นจากที่ทำงานเมื่อไรก็เป็นเวลาปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าไปเก็บเอางานมาฟุ้งซ่านก็ไม่ดีต่อการปฏิบัติของเรา

ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีปัญหา ที่ที่เราอยู่มีปัญหา แต่เรารู้จักทุกอย่างดีแล้ว เราย่อมรู้ว่าควรจะแก้ไขอย่างไร ต่อให้เราเปลี่ยนที่ใหม่ก็เหมือนเดิม เพราะคนก็เป็นคนวันยังค่ำ เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้ ต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ไปที่ใหม่ เราเจอคนใหม่ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ในชีวิตฆราวาส คนเขาไม่กลัวคนดี เขากลัวแต่คนที่ชั่วกว่า เพราะฉะนั้น..ต้องแสบให้เขาเห็นบ้าง เขาจะได้เข็ด..!

ถาม : เราโดนคนว่า เราก็เฉย แล้วเราก็โดนไม่หยุด
ตอบ : มีอยู่สองวิธี วิธีหนึ่งก็คือ ยอมเขาไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของอาตมา

วิธีที่สอง ใส่เขากลับไปเต็ม ๆ นี่แหละนิสัยของอาตมา..! ให้รู้เสียบ้างว่าเราก็มีเขี้ยวมีเล็บเหมือนกัน ส่วนการปฏิบัติรอให้กลับบ้านแล้วค่อยใช้ ไปถึงที่ทำงานงับให้กระจายไปเลย..!

ตามหลักยุทธศาสตร์ซุนวูเขาบอกว่า การรุกเป็นการตั้งรับที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น..ลุยไปข้างหน้า แนวรับจะกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่ากับตั้งรับไปในตัว แต่ถ้าเราตั้งรับไปเรื่อย และเขาตีเข้ามาเรื่อย ๆ แนวแตกเมื่อไร เราก็ไม่มีที่จะไป นี่กำลังสอนให้ทำชั่วนะ ฟังให้ดี ๆ..!

เราจะต้องมีกรอบของตัวเอง พออยู่ที่ทำงานเราก็สู้เต็มที่เลย พอกลับมาบ้านค่อยมาปฏิบัติของเรา ในแต่ละวันพยายามให้กำลังใจที่เกาะในด้านดีมีมากกว่าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเราจะขาดทุน

เถรี
10-08-2011, 15:16
ถาม : ภาวนาแล้วตัวโยก ?
ตอบ : เริ่มก้าวเข้าสู่ตัวปีติแล้ว นับไปแล้วก็เข้าอนุบาล ๑ เพียงแต่ว่าเราต้องไม่กลัว เราจะสังเกตว่าตอนนั้นใจเราจะนิ่ง เราก็แค่ดูไปเฉย ๆ ปล่อยอาการขึ้นให้เต็มที่ จะตึงตังโครมครามหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ถ้าอาการขึ้นเต็มที่แล้วจะเลิก แต่ถ้าเรากลัวหรืออายคนอื่นเขา เราไปฝืนให้หยุดก็หยุดได้ แต่ถ้ากำลังใจถึงตรงนั้นเมื่อไรก็จะเป็นอีก

ดังนั้น..เรามีหน้าที่ตามดูและปล่อยอาการให้เต็มที่ อาตมาเองตามดูอยู่เกือบสามเดือน พอข้ามตรงนั้นไปแล้วจิตจะเริ่มทรงตัวเป็นปฐมฌานแล้ว

ถาม : ควรจะทำอย่างไรต่อไปคะ ?
ตอบ : แสดงว่าที่พูดมานี่ไม่ได้ฟังใช่ไหม ? ทำไปแบบเดิม พอถึงตรงนั้นแล้วเรามีหน้าที่ดูอย่างเดียว จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไป

เถรี
10-08-2011, 15:35
ถาม : เป็นอะไรไม่ทราบค่ะ ชอบปรามาสพระรัตนตรัย เมื่อก่อนไม่เป็น แต่ตอนนี้เป็น ?
ตอบ : เรื่องปกติ..คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี มารเขาก็กันสุดชีวิต เพราะถ้าเรายังปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ เราก็ก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ถ้าคนไม่ได้เดินใกล้ประตู เขาไม่กันให้เสียเวลา เพราะฉะนั้น..เขารู้ว่าเราใกล้ความดี เขาถึงกันเรา

ให้เราตั้งหน้าตั้งตาขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่หวั่นไหว รู้ทัน เราขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจ เขารู้ว่ากันเราไม่อยู่ เขาก็ปล่อย เขาแค่กวนน้ำให้ขุ่น ถ้าเรามัวแต่ไปขุ่นและกังวลอยู่ เราก็ไม่ก้าวหน้าเสียที

ถ้าสติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ เราไม่คิดไม่ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าเราไม่หวั่นไหว ขอขมาไปเรื่อย เขาทนคนหน้าด้านไม่ไหว ก็ถอยไปเอง หลังจากนั้นก็ไม่มาอีก เพราะเขารู้ว่าทำให้เราหวั่นไหวไม่ได้

เถรี
10-08-2011, 20:26
ถาม : บุญเก่าน้อยค่ะ จึงปฏิบัติไปไม่ถึงไหนเสียที หลายปีแล้ว ?
ตอบ : ไม่ได้น้อย เพียงแต่เราเลี้ยวไม่ถูกทาง ถ้าบุญน้อยเราไม่ได้เกิดมาเป็นคนหรอก โดยเฉพาะคนบุญน้อยจะไม่รู้จักพระนิพพาน

ปล่อยวาง เห็นธรรมดาให้ได้ การเกิดมาในโลกนี้ต้องเจอสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเกิดมาแบบนี้เราจะไม่เอาอีกแล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเก่าเราเคยทำไว้ ในเมื่อเราเคยทำไว้ เราก็ต้องยอมรับผลที่เราทำนั้นให้ได้ แต่เราจะไม่รับในชาติต่อ ๆ ไปแล้ว

เราทำไว้เราก็ต้องรับ ใครทำใครได้เป็นเรื่องปกติ แสดงให้เห็นว่า ชาติก่อน ๆ เราเกเรมาไม่น้อยเลย..!

เถรี
10-08-2011, 20:41
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ปฏิบัติมาหลายปีว่า "พระพุทธเจ้าตรัสถึงการปฏิบัติว่า อย่างช้า ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็ว ๗ วัน เพราะฉะนั้น..เกิน ๗ ปีแล้วยังเอาดีไม่ได้ ควรจะรู้ไว้ว่าเราปฏิบัติมาไม่ถูกทาง"

เถรี
11-08-2011, 06:01
ถาม : เมื่อวันก่อนขับรถไปชนหมาตาย ?
ตอบ : คราวหน้าเก็บมากินด้วย จะได้ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่..!

ถาม : ครับ..?
ตอบ : คุณจะไปตื่นเต้นอะไร เราไม่ได้มีเจตนาไปไล่ชนให้ตายนี่ บางอย่างวาระกรรมที่เนื่องกันมา ทำให้เขาต้องมาตายเพราะเรา ไม่ใช่ความผิดของเรา เพราะเจตนาที่จะฆ่าเขาไม่มี

มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่อาตมากำลังเดินทาง มีหมาวิ่งข้ามถนนมา อีกศอกเดียวเขาก็จะพ้นถนนไปแล้ว แต่พอรถวิ่งมาหมาดันเลี้ยวกลับ พอเลี้ยวกลับคนขับก็หักหลบไปทางซ้าย หมาก็เลี้ยวกลับมาหารถอีกที พอคนขับหักขวาหมาก็ย้อนกลับมาอีกรอบ โดนชนเข้าเต็ม ๆ เจอแบบนั้นใครจะหลบได้มากกว่านั้นไหม ? ถึงวาระของเขาจริง ๆ วิ่งวนจนได้ตายสมใจนึก..!

เถรี
11-08-2011, 20:38
ถาม : ผมผิดหวังกับชีวิตมากเลยครับ มีธรรมะอะไรช่วยไม่ให้เครียด ?
ตอบ : ถ้ารู้จักคำว่า "ธรรมดา" ก็จบเลย ฟังดูแล้วง่าย แต่ทำใจได้ยาก ถ้าเห็นว่าธรรมดาของการเกิดมาย่อมเป็นแบบนี้ก็ไม่มีปัญหา ถ้าหากเรารู้สึกว่า "ไม่ธรรมดา" เมื่อไรก็เครียด

ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาอย่างนี้มีสำหรับเราเพียงชาติเดียว ชีวิตนี้ของเรากำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว ชีวิตเรามีแค่เสี้ยวลมหายใจ หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็จะตายแล้ว ในเมื่อมีเวลาแค่ชั่วลมหายใจเดียว เราก็จะพ้นไปแล้ว ทำไมตอนนี้เราจะอยู่ด้วยดีไม่ได้

เถรี
12-08-2011, 16:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเดินทางไปทอดกฐินที่ปักษ์ใต้ครั้งนี้ ถ้าว่ากันตามหลักการของทหาร ถือว่าอันตรายสุด ๆ สาเหตุเพราะ อันดับแรก คณะใหญ่ทำให้ไม่คล่องตัว อันดับที่สอง วันเวลาแน่นอน อันดับที่สาม เส้นทางแน่นอน เพราะฉะนั้น..จะไปโฆษณาอย่างไรก็เชิญ ไม่มีอะไรอันตรายไปกว่านี้แล้ว..!"

เถรี
12-08-2011, 16:41
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกาลเทศะว่า "การดำเนินชีวิตของบุคคล กาลเทศะเป็นสิ่งสำคัญมาก กาละ คือ เวลาเหมาะสม เทศะ คือ สถานที่อันเหมาะสม ถ้ารู้กาลเทศะเราก็จะไม่ทำให้เสียหาย

พระอานนท์เป็นเอตทัคคะด้านอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ท่านรู้ว่าเวลาไหนควรจะพาบุคคลเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เวลาไหนจึงไม่ควร ท่านจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของการรู้กาลเทศะ อีกประการหนึ่ง..พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ในสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ กาลัญญุตา รู้ว่ากาลใดควร กาลใดไม่ควร

ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักไม่รู้กาลเทศะ ยกตัวอย่างคุณเต้ยไปหล่อหลวงพ่อเหลือ ที่วัดธรรมยาน คุณเต้ยใส่เสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้นไป ทุเรศสุด ๆ..! เขาเรียกว่าไม่รู้กาลเทศะ เราจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่งตัวอย่างนั้นยังถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง แล้วพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินอีก แต่งตัวทุเรศอย่างนั้นยังอุตส่าห์ไปได้..!

พอใครถามก็ดันไปอวดว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพี่สมปอง ลูกศิษย์หลวงพี่เล็ก ฟังแล้วตูจะเป็นลม..! ส่วนเวลาที่ไม่จำเป็น ดันแต่งตัวซะหล่อ เวลาที่ดีที่สุดกลับแต่งตัวทุเรศที่สุด เพราะฉะนั้น..เรื่องกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างที่บอกว่า ปัจจุบันคนเราเอาความสบายส่วนตัว จนลืมความเหมาะสมไปแล้ว

แม้กระทั่งไปเคารพพระบรมศพ ยังเห็นเขาใส่กระโปรงกางเกงสั้นจู๋ ถึงแม้จะเป็นสีดำก็ตามเถอะ ลักษณะอย่างนั้นเรียกว่าไม่ให้เกียรติคนตาย เราจะเห็นว่างานศพระยะหลัง ๆ จะใส่สั้นกัน มากต่อมากด้วยกันที่แต่งตัวลักษณะไปเดินอวดกัน ไม่ได้ไปเคารพศพ การปฏิบัติธรรมยิ่งทำไปใจต้องยิ่งละเอียด ต้องรู้ว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ไม่ใช่ยิ่งทำก็ยิ่งเละ..!"

เถรี
12-08-2011, 16:51
ถาม : อย่างเราไปงานศพผู้ใหญ่กว่า เราควรแต่งสีอะไรครับ?
ตอบ : โดยธรรมเนียมไทยแล้ว ถ้าผู้ตายอาวุโสกว่า เราควรใส่ชุดขาว ถ้าผู้ตายเด็กกว่าจึงใส่ชุดดำ แต่ปัจจุบันนี้เขาอาวุโสกว่าสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ อีก ใส่ชุดดำกันทั้งบ้านเมือง ธรรมเนียมการแต่งสีดำเรารับมาจากตะวันตกเมื่อไม่นานนี้เอง ไม่ใช่ธรรมเนียมไทยแต่เดิม

วันก่อนไปดูพระที่นั่งวิมานเมฆ ตั้งใจจะไปดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ปรากฏว่าเขาปูลาดพระบาททุกที่ อาตมาต้องเดินตะแคงข้างไป ส่วนคนที่ไม่รู้ก็เดินขึ้นไปเหยียบ คิดว่าเขาปูพรมแดงรับ สบายใจไปเลย ถ้าเป็นสมัยโบราณโดนตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร..! เขาถือว่าตีเสมอพระเจ้าแผ่นดิน

เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้ว่าเคยได้ยินคำว่า "ตัดหน้าฉาน" หรือไม่ ? ก็คือ การที่พระเจ้าแผ่นดิน หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จ แล้วไปวิ่งตัดหน้าทางเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ท่าน สมัยก่อนกฎมณเฑียรบาลเขาให้เฆี่ยนตรงนั้นเลย โบราณเขาเฆี่ยนเพื่อให้รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ลาดพระบาทเราไม่มีสิทธิ์ข้าม ไม่มีสิทธิ์เดิน ถ้าหากว่าจำเป็นต้องข้ามจะต้องทำอย่างไร ? ให้เดินหารอยต่อให้เจอ..เลิกรอยต่อขึ้นมา พอข้ามไปแล้วค่อยปูกลับไปตามเดิม..!

เถรี
12-08-2011, 19:53
ถาม : หนูไปภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญามา ๑ เดือน เพิ่งเห็นผลเมื่อวันก่อนนี่เองค่ะ ตอนที่ตัวลอยขึ้น หนูควบคุมตัวเองไม่ได้ หน้าคว่ำลง และอาการลอยหายไปตอนไหนหนูก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน พอจะกลับมาทำใหม่ ก็จำอารมณ์นั้นไม่ได้
ตอบ : ไม่ใช่จำอารมณ์นั้นไม่ได้อย่างเดียว เราไปอยากได้ด้วย ตัวอยากได้จะทำให้เราไม่ได้ ให้เราภาวนาโดยไม่ต้องสนใจว่าผลของอภิญญาจะเกิดหรือไม่เกิด
ถ้าหากว่าเกิดผลร่างกายลอยขึ้นมา ให้บังคับลอยช้า ๆ ก่อน พยายามตั้งสติ เคลื่อนไหวจนคล่องได้อย่างที่เราต้องการแล้วค่อยลอยไปที่อื่น

ถาม : วันที่ได้ เป็นวันที่ตัดสินใจว่าจะไม่เอาผลแล้ว
ตอบ : โถ..ตั้งเดือนหนึ่งกว่าจะได้ ถ้ารู้ว่าอาตมาภาวนาเวลานั้นแล้วได้เวลานั้นเลย คงจะหมดอารมณ์..! ถ้าเดือนหนึ่งนี่แสดงว่ากำลังใจเราอยากได้มาก อยากได้มากก็ฟุ้งซ่านมาก จิตจึงไม่รวมตัวจริง ๆ เสียที

ที่ว่ามายังไม่ถือว่าได้นะ คำว่าได้ต้องใช้ผลได้เดี๋ยวนั้นเลย ของเราเป็นลักษณะของการเพิ่งเข้าถึง และยังควบคุมไม่ได้ด้วย แต่ก็ยังดี..เริ่มต้นก็เขียน ก.ไก่ได้ก่อน ค่อยเขียนสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ เดี๋ยวก็ได้เป็นคำขึ้นมาเอง

ต่อไปจะได้ไม่เปลืองค่าน้ำมัน จะไปไหนแวบเดียวก็ถึงแล้ว หลอกชาวบ้านว่าขับรถมา

เถรี
13-08-2011, 00:49
เรื่องของอภิญญาสมาบัติ คนที่สนใจปฏิบัติสายนี้มักจะมีของเก่าอยู่แล้ว ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจึงได้ประทานคาถานี้มาให้ ไม่ว่าจะเป็นโสตัตตะภิญญาก็ดี หรือสัมปะจิตฉามิก็ดี ให้ภาวนาสำหรับฟื้นของเก่า แม้จะไม่ได้ผลเต็มที่เหมือนการฝึกกสิณ ๑๐ แต่ก็มีความคล่องตัวคล้ายกัน

ถาม : พอภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญาแล้วตัวลอยขึ้น ตอนนั้นทั้งในส่วนของทิพจักขุหรือทิพโสตก็มาพร้อมกันด้วย
ตอบ : ตอนนั้นถ้าต้องการรู้อะไรก็รู้หมด มองอยู่ในห้องก็จะเห็นไปรอบบ้าน ตอนแรก ๆ ที่ทำอยู่อาตมาก็คิดว่าเราเพี้ยนหรือเปล่า เพราะผลของอภิญญานั้นคนที่ไม่เคยชินก็จะตื่นเต้น แต่พอนาน ๆ เข้าก็ขี้เกียจที่จะรู้

ช่วงที่ผ่านมา พายุเข้า ฝนตกทุกวัน โดยเฉพาะฝนตกตอนพระบิณฑบาต พระเณรเขาก็สงสัยว่าทำไมอาจารย์ไม่ห้ามฝน อาตมาก็บอกว่าไม่จำเป็น พอดีวันที่ ๒๘ ไปทำวัตรพระผู้ใหญ่ในเมือง ฝนตก งานยังไม่เสร็จ ต้องไปต่ออีกหลายแห่ง อาตมาก็ไม่อยากจะเปียก จึงภาวนาคาถาแคล้วคลาดของหลวงพ่อ

ตอนว่าคาถาเขาให้กลั้นหายใจ กว่าจะเดินถึงรถก็แทบขาดใจ พอขึ้นรถเสร็จ ถามพระครูบ่าวกับน้องเล็กว่า "เปียกไหม ?" เขาหันมาดูแล้วร้องว่า "ขี้โกงนี่นา..!" ไม่ได้โกง..แต่ตอนนี้ไม่อยากเปียกโว้ย..!

เถรี
13-08-2011, 00:52
ถาม : หนูตีเด็กนักเรียนทุกวัน ใครโดดเรียนตี ๕ ที ครั้งต่อไปตีคูณสอง ถ้าหนูอยู่ต่อก็สร้างเวรสร้างกรรมกับเด็ก ๆ หนีไปบวชดีกว่า
ตอบ : เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นจริง ๆ เราไม่ได้ตีด้วยโทสะ เขาเรียกว่าสร้างกุศลกับเด็ก เราได้อานิสงส์ตัวเมตตา การลงโทษเพราะหวังประโยชน์แก่คนอื่น จัดเป็นเมตตาบารมี

เถรี
13-08-2011, 01:34
วันเสาร์มีโยมมาถวายกระดาษสำหรับทำวุฒิบัตร พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขาปวารณาว่า กระดาษสำหรับทำวุฒิบัตรแจก ให้ขอจากเขาได้ทุกเวลา เขามีอยู่แค่โกดังเดียวเท่านั้น..! พอบอกให้เก็บเอาไว้ขาย เขาก็บอกว่ารวยแล้ว ขายกระดาษจนหมดโกดังก็ไม่ได้ทำให้ฐานะดีขึ้นกว่านี้ หมดโกดังไปก็ไม่ได้ทำให้ฐานะต่ำลงกว่านี้ ต้องโมทนากับกำลังใจของเขาจริง ๆ

อย่างกำลังใจของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี แม้ฐานะตัวเองจะตกต่ำลง เหลือแค่ข้าวต้มกับน้ำผักดอง ท่านก็ยังเลี้ยงพระ ๕๐๐ รูปอยู่ เพียงแต่ท่านรู้สึกว่าทานของท่านไม่ได้ละเอียดประณีตเหมือนแต่ก่อน

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า เรื่องของทานไม่มีหยาบ ไม่มีประณีต มีอย่างเดียวคือกำลังใจที่สละออก ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ อานิสงส์ย่อมเต็มร้อยส่วน

ดีที่สุดเท่าที่เรามีอยู่ จัดเป็นสามีทาน เสมอกับที่เรามีอยู่ จัดเป็นสหายทาน ถ้าหากว่าต่ำกว่าที่มีอยู่ ก็ให้ทำไปเถอะ ถึงแม้เป็นทาสทานก็ตาม อานิสงส์ก็ได้เป็นเศรษฐีเหมือนกัน"

เถรี
13-08-2011, 01:49
พระอาจารย์กล่าวถึงกำลังใจการตัดอาลัยของนักปฏิบัติว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหมือนนกที่บินไปจากคอน ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเหลือไว้ ธรรมชาติของนกบินแล้วบินเลย ไม่เหลียวมาดูแม้กระทั่งที่เกาะของตัวเอง เปรียบเหมือนกับผู้ปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรให้ห่วงกังวล ไปแล้วไปเลย"

เถรี
13-08-2011, 08:57
พระอาจารย์เล่าว่า "พระที่วัดท่าขนุนท่านเอาเรื่องที่สนทนากันที่นี่ไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ค และมีคนเข้ามาด่า ในลักษณะที่ว่าพูดโอ้อวดเกินจริง เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้องไม่เอาอะไรเลย

อย่างวันนี้มีโยมมาถามว่า ไปปฏิบัติกับสายพระป่าหลักสูตรสามวัน วันนี้ท่านโทรมาให้ไปปฏิบัติอีกหกวัน ควรจะไปหรือเปล่า ? เพราะชอบสายหลวงพ่อฤๅษีมากกว่า

อาตมาบอกไปว่า จริง ๆ แล้วการปฏิบัติไม่มีสายของใครหรอก ทั้งหมดมาจากพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านหยิบเอาตรงไหนมาสอน คนชอบใจแล้วปฏิบัติตามนั้นเป็นจำนวนมาก เขาก็ถือว่าเป็นสายนั้นสายนี้

เขาบอกว่าไม่ชอบสายพระป่าตรงที่อะไรก็ให้ละหมด แต่ตัวเขาเองปฏิบัติแล้วมักจะรู้เห็นเสมอ อาตมาบอกเขาว่า ถึงเวลาก็ปฏิบัติตามรูปแบบของเรา ส่วนรูปแบบเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องไปค้านเขา

ส่วนใหญ่เขาเข้าใจว่าธรรมจะต้องบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว อาตมาเคยยืนยันว่า ศาสนาพุทธไม่มีธรรมะบริสุทธิ์ เพราะว่าถูกปะปนมาตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากคำสอนของศาสนาอื่นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาว่าถูกต้อง ปฏิบัติตามแล้วจะเกิดผล ส่วนที่สองเป็นธรรมะที่ดัดแปลงของศาสนาอื่นให้เป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามแล้วเห็นผล

ส่วนสุดท้ายเป็นสิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้ ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของธรรม แต่ธรรมชาติของนักปฏิบัติ แผนภูมิจะเป็นลักษณะสามเหลี่ยมด้านเท่าเหมือนรูปพีระมิด ส่วนที่เป็นธรรมะบริสุทธิ์คือส่วนยอด ระดับปานกลางก็มากขึ้นหน่อย ส่วนระดับล่างสุดที่เป็นฐาน ก็จะมีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน"

เถรี
13-08-2011, 09:01
"ลักษณะที่เหมือนกับบัวสามเหล่า ส่วนหนึ่งกระทบแสงแดดก็บานเลย อีกส่วนหนึ่งอยู่กลางน้ำ รอเวลาที่จะขึ้นมาบานต่อไป ส่วนที่เหลือจมอยู่ใต้โคลน จะตกเป็นอาหารของเต่าและปลาเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่พอพระองค์ตรัสถึงบุคคลสี่เหล่า เราก็เอาไปเปรียบเป็นบัวสี่เหล่า ความจริงท่านมีบัวพ้นน้ำ บัวกลางน้ำ และบัวใต้น้ำ

เขาลืมธรรมชาติของคนไป ว่าในแต่ละระดับความต้องการไม่เหมือนกัน จะไปบังคับคนให้กินอาหารรสเดียวไม่ได้ เราจะไปบอกว่าหลักสูตรการศึกษาปริญญาเอกสูงสุด ดีที่สุด ให้เรียนปริญญาเอกไปเลย เด็กยังไม่ได้เริ่มเขียน ก.ไก่เลย แล้วจะไปเรียนอย่างไร ?

จึงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจว่า ส่วนใหญ่แล้วมักจะหยิบไปเฉพาะมุมใดมุมหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่งในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วก็ไปยึดมั่นว่าตรงนั้นดีที่สุด

สมัยก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้บอกพวกอาตมาว่า "พวกแกควรจะศึกษากรรมฐาน ๔๐ ให้ครบ พอไปเจอคนอื่นปฏิบัติในลักษณะอื่น ๆ จะได้รู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนของกรรมฐาน ๔๐ แล้วจะได้ไม่ต้องแสดงความโง่ด้วยการไปค้านเขา..!"

เถรี
14-08-2011, 09:38
พระอาจารย์เล่าเรื่อง "วังหน้า" ให้ฟังว่า "วังหน้าของเราหมดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว การแต่งตั้งวังหน้าและวังหลังอยู่ในลักษณะของการระมัดระวังป้องกันวังหลวงนั่นเอง จะต้องแต่งตั้งบุคคลที่ไว้วางใจได้ให้ไปทำหน้าที่นั้น ๆ แต่มักจะมีปัญหาก็คือ พออยู่ไปแล้ว ลูกน้องยกยอปอปั้นไปเรื่อย ก็มักจะคิดว่าท่านควรจะได้เป็นวังหลวงมากกว่า

ท่านที่มีสติสัมปชัญญะ รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ก็เฉย ๆ แต่บังเอิญว่า อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก พอคนผลักบ่อยเข้าเสายังไหว เมื่อเป็นดังนั้น..ก็มีหลายท่านที่ก่อการกบฏขึ้นมา

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ท่านไม่ได้คิดจะก่อการกบฏ แต่ผู้ไม่หวังดีไปเพ็ดทูลอยู่เนือง ๆ คำว่า "เพ็ดทูล" สมัยนี้หนังสือลงเป็น "เท็จทูล" กันหมด ทุเรศจริง ๆ ไม่รู้รากศัพท์แล้วยังเสือกทะลึ่งเขียน..!

ในเมื่อเพ็ดทูลเข้าหูผู้ใหญ่ ครั้งแรกก็ไม่เป็นไร ครั้งที่สองก็ไม่เป็นไร พอนานไปก็เริ่มระแวง เราต้องดูตัวอย่างสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อมีคำสั่งจากสมเด็จพระเจ้าตากสินให้เข้าเฝ้าทั้งอาวุธ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกถอดอาวุธวางไว้หน้าห้อง พอมีรับสั่งว่าให้เอาอาวุธเข้ามาได้ ท่านกระทุ้งออกนอกห้องพ้นสายตาไปเลย แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้คิดร้ายอย่างแน่นอน"

เถรี
15-08-2011, 13:49
"ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็คือวังหน้า ถ้ากรมพระราชวังบวรสถานภิมุข คือ วังหลัง เทียบเท่าตำแหน่งพระมหาอุปราชนั่นเอง

วังหน้าในรัชกาลที่ ๑ ก็คือ ท่านบุญมา (น้องชายในรัชกาลที่ ๑) เป็น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ ๒ คือ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ วังหน้าในรัชกาลที่ ๓ คือ กรมพระราชบวรมหาศักดิพลเสพย์ พอมาถึงรัชกาลที่ ๔ ทรงตั้งให้วังหน้าคือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสมอด้วยพระองค์เอง ก็คือเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงเก่งเรื่องโหราศาสตร์มาก ทรงผูกดวงแล้วเห็นว่า ดวงของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณีมีสิทธิ์เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน จึงแก้เคล็ดด้วยการตั้งให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินคู่กัน แต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็สำนึกในพระองค์เอง เพราะถ้าผิดท่าผิดทางขึ้นมาก็อาจจะหัวขาดโดยไม่รู้ตัว จึงเสด็จออกเยี่ยมราษฎรไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสนิทสนมกับบรรดาข้าราชการและประชาชนในมณฑลลาวเฉียงหรือภาคอีสานในปัจจุบัน พระองค์ท่านเป็นต้นกำเนิดเพลงลาวดวงเดือน เพราะว่าอยู่กับลาวมาเยอะ

วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ คือ พระโอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ คราวนี้สมเด็จกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญท่านเป็นนักเรียนนอก แนวความคิดค่อนข้างจะเปิดกว้างและคบหาสมาคมกับชาวต่างชาติมาก จึงมีข่าวลือว่าพระองค์ท่านจะใช้เรือปืนและอาวุธของชาวต่างชาติก่อการกบฏ ทำให้พระองค์ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษเสียหลายเดือน"

เถรี
15-08-2011, 13:57
"พอกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต รัชกาลที่ ๕ จึงยกเลิกตำแหน่งวังหน้า แต่งตั้งสยามมกุฎราชกุมารแทน จึงถือว่ากรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นวังหน้าองค์สุดท้าย

ความจริงสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตั้งพระนามกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญว่า "พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน" รัชกาลที่สี่ทรงรำคาญชื่อฝรั่ง จึงเปลี่ยนเป็น "พระองค์เจ้ายอดยิ่งประยุรยศ" ไม่มีอะไรที่ในหลวงรัชกาลที่สี่แก้ไม่ได้ ทรงแก้ได้ทุกอย่าง

แม้กระทั่งภายหลังที่เขาบอกว่า วังหน้าต้องคำสาปของสมเด็จพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑ ถ้าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านแล้ว ใครมายึดวังหน้าไปใช้ก็ขอให้ถึงแก่ความวิบัติฉิบหาย จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องวังของท่าน รัชกาลที่สี่พิจารณาแล้วจึงส่งลูกไปแต่งงานกับเชื้อสายของวังหน้าในรัชกาลที่ ๑ กลายเป็นญาติ จึงยึดวังไปใช้ได้ จึงกล่าวกันว่า ไม่มีอะไรที่รัชกาลที่สี่ทรงแก้ไม่ได้

รัชกาลที่สี่ตรวจดูดวงเมืองแล้ว พบว่าการผูกดวงเมืองในวันเวลาอย่างนี้ จะอยู่ได้แค่ ๑๕๐ ปีเท่านั้น พระองค์ท่านจึงผูกดวงเมืองใหม่ เพื่อที่จะได้อยู่ยั้งยืนยงต่อไป จึงมีการฝังศาลหลักเมืองซ้ำอีกหนึ่งต้น ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าศาลหลักเมืองมีสองต้น ไม่ได้มีต้นเดียว ไม่มีอะไรที่รัชกาลที่สี่แก้ไม่ได้จริง ๆ"

เถรี
15-08-2011, 14:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=14018&stc=1&d=1313392507


ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้ฉลองกรุงแค่ ๑๕๐ ปี แสดงว่าพระองค์ท่านรู้จริง ถ้าไม่ได้แก้ดวงเมืองไว้ก่อนตั้งแต่สมัยพระองค์ท่าน ราชวงศ์จักรีคงหมดอยู่แค่นั้น ต้องถือว่าพระองค์ท่านเป็นหนึ่งในสุดยอดโหราจารย์ของเมืองไทย ใครเรียนโหราศาสตร์ นอกจากบูชาพระยาพิเภกหรือบูชาท่านท้าวมหาพรหมแล้ว ให้บูชารัชกาลที่สี่ด้วย

หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล กล่าวกับเสด็จพ่อ คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า "เสด็จพ่อคงต้องจนไปตลอดชีวิต เพราะทูลกระหม่อมปู่ ไม่ได้อวยพรให้เสด็จพ่อรวย" รัชกาลที่สี่ทรงผูกดวงให้ลูกหลานทุกคน แล้วอวยพรให้ตามพื้นฐานดวง รัชกาลที่สี่ไม่ได้อวยพรให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพร่ำรวย เพียงแต่อวยพรให้ประสบความสำเร็จตามหน้าที่การงานของตนเท่านั้น

เถรี
15-08-2011, 14:07
วังหน้าใช้ราชาศัพท์ที่ต่างจากวังหลวงหลายอย่าง อย่างวังหลวงใช้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" วังหน้าจะเป็น "สมเด็จพระบวรราชเจ้า"

วังหลวงใช้ว่า "พระบรมราชโองการ" วังหน้าจะใช้คำว่า "พระราชบัณฑูร" ถ้าวังหน้าอภิเษกขึ้นดำรงตำแหน่งจะใช้ "อุปราชาภิเษก" วังหลวงใช้คำว่า "บรมราชาภิเษก"

ฉะนั้น..ตำแหน่งอุปราชหรืออุปราชา แปลว่า ใกล้จะเป็นพระราชา แต่หลายคนใจร้อน ไม่อยากจะใกล้เป็นพระราชา แต่อยากจะเป็นพระราชาเลย

ถาม : อย่างนั้นอุปนิสัย ?
ตอบ : อุปนิสัย แปลว่า เกือบจะเป็นสันดานถาวร ถ้าหากถาวรเลยก็เป็นนิสัย

ถาม : อุปกิเลส ?
ตอบ : อุปกิเลส แปลว่า เกือบจะเป็นกิเลส ถ้าหากพลาดเมื่อไรก็เป็นกิเลส อย่างเช่น โอภาส ถึงเวลาภาวนาแล้วแสงสว่างเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ไปยึดถือแสงสว่างนั้นก็เป็นแค่อุปกิเลส แต่ถ้ายึดเมื่อไรก็เป็นกิเลสเมื่อนั้น

เถรี
15-08-2011, 14:14
พระอาจารย์กล่าวถึง "การทำวัตร" ว่า "พอใช้คำว่า "ทำวัตร" พวกเราเคยชินว่าการทำวัตร คือ การสวดมนต์ ความจริงวัตร คือ แบบอย่างที่ควรทำ

ศีลของพระมีอยู่ส่วนหนึ่งที่บังคับในกิจวัตร คือเรื่องที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ วิธีวัตร คือ แบบอย่างต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องทำ อาคันตุกะวัตร คือ แบบอย่างที่ใช้ในการต้อนรับพระอาคันตุกะ

การทำวัตรนั้น ก็คือ การไปแสดงตนต่อพระผู้ใหญ่ ก็คืออุปัชฌาย์อาจารย์ หรือเจ้าคณะปกครอง เพื่อกราบรายงานว่าปีนี้ พรรษานี้ จำพรรษาอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร พระผู้ใหญ่ท่านจะได้รับรู้ว่าลูกศิษย์อยู่สบายดีหรือตกระกำลำบาก หรือมีอะไรต้องการความช่วยเหลือ หรือไม่ก็โผล่หน้าไปให้ท่านเห็นว่าผมยังไม่สึก ผมยังไม่ตาย เป็นต้น ซึ่งการทำวัตรนั้นเขานิยมทำในช่วงเข้าพรรษา"

เถรี
16-08-2011, 17:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "แค่เด็ก ๆ ถามคำถามอย่างเดียว พ่อแม่บางคนที่เหนื่อยจากงานกลับมาก็จะเคร่งเครียดหรือรำคาญเด็ก พูดว่าเด็กแรง ๆ

ความจริงการถามเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเด็กในการเรียนรู้ เราควรจะตอบคำถามเขาด้วยจิตใจที่เยือกเย็น ชี้แจงความถูกต้องและให้เหตุผลที่ชัดเจน

พ่อแม่เป็นพรหมของลูก ต้องเมตตา กรุณาและอุเบกขา แต่กว่าจะโตได้นี่ต้องเบรกทั้งขาและมือไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว..!"

เถรี
17-08-2011, 07:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นว่าสินค้าต่าง ๆ พยายามปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะสู้สินค้าเจ้าอื่นไม่ได้ ฉะนั้น..เราต้องปรับปรุงพัฒนากาย วาจา ใจของเราให้ดีขึ้น จะได้สู้กิเลสได้..!"

เถรี
17-08-2011, 11:13
พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่งว่า "มีหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับโยคี อ่านสนุกมาก ชื่อไทยคือ "โยคีมหัศจรรย์" ชื่อภาษาอังกฤษคือ "Paramahansa Yogananda"

ลองอ่านดู จะทราบว่าบรรดาโยคีทั้งหลายมีความสามารถตั้งแต่สมัยพุทธกาล โยคีบางรูปเข้าแต่สมาธิ ปีหนึ่งออกมาพบปะประชาชนแค่ครั้งเดียว กินบิสกิตไปแค่ไม่กี่แผ่น และดื่มน้ำตาม หายไปปีหนึ่งแล้วค่อยออกมาใหม่

เหมือนกับว่าบุคคลไม่ว่าอยู่ในสายไหนก็ตาม เมื่อปฏิบัติไปจนถึงระดับ ก็จะได้เจอกับบุคคลในระดับนั้น ๆ จะค่อย ๆ ก้าวเจอคนที่เก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ

ปัจจุบันนี้เมืองฤๅษีเกตของอินเดียก็ยังมีลักษณะเหมือนสมัยพุทธกาล ก็คือมีบรรดานักบวชหลายลัทธิ โดยเฉพาะพวกอเจลก คือ ชีเปลือย เป็นพวกที่เคร่งครัดมาก

ชีเปลือย ก็คือลัทธิทิฆัมพร (นุ่งลมห่มฟ้า) ส่วนพวกที่เคร่งน้อยหน่อย เรียกว่า เศวตัมพร (ผ้าขาว) เขาบอกว่า ถ้านุ่งผ้าอยู่แปลว่ายังมีกิเลส"



หมายเหตุ : หนังสือโยคีมหัศจรรย์ แบบออนไลน์ http://thai-version-of-yogi-translation.blogspot.com/

เถรี
17-08-2011, 14:21
ถาม : หัวใจการปฏิบัติกรรมฐานให้สำเร็จ คืออะไรครับ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือเรื่องของสติ ถ้ามีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน ทุกอย่างจะดีหมด
เพียงแต่ให้เราถือตามหลักของศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไรอย่าออกนอกกรอบของศีล เราอยู่ในกรอบ ถ้าหลุดไปก็ไปไม่ไกล โอกาสพลาดก็พลาดไม่มาก เพราะศีลเป็นเครื่องคุ้มกัน ดังนั้น..ถ้าหวังความสำเร็จให้เอาศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก

เถรี
17-08-2011, 14:31
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงปู่ปานสร้างพระเครื่องจากคำข้าว โดยคายคำที่อร่อยออกมาตากแห้งและตำเป็นผง ปั้นเป็นองค์พระหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว ท่านสั่งหลวงพ่อฤๅษีให้จัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ เพื่อทำการบวงสรวงอัญเชิญเทวดาและพระท่านมาสงเคราะห์

หลวงพ่อท่านเรียนถามหลวงปู่ปานว่า "พระองค์เล็กแค่นั้นเอง ทำไมหลวงพ่อต้องสั่งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ด้วย ?" หลวงปู่ปานท่านมองหน้า แล้วว่า "เรื่องของพระแกคิดว่ามีเล็กหรือวะ?" จำไว้นะ..คำว่า "พระ" ไม่มีเล็ก

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ สร้างพระของขวัญองค์ประมาณปลายนิ้วชี้ โยมบางคนรับไปแล้วบอกว่า "หลวงพ่อ..องค์เล็กแค่นี้เอง จะคุ้มครองไหวหรือ ?" ปรากฏว่าคืนนั้นโยมนิมิตเห็นพระของขวัญขยายใหญ่โตเต็มฟ้า ถามว่า "แค่นี้พอไหม ?"

พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ จะเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่กำลังใจของเราว่ายึดมั่นหรือไม่"

เถรี
18-08-2011, 07:13
"เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์มารับเสด็จ ทูลเชิญพระพุทธเจ้าไปประทับที่ซึ่งดีที่สุด ก็คือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์

บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นั้น กว้าง ๓๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ ถ้าพระอินทร์นั่งก็จะพอดี พระอินทร์ท่านคิดว่าพระสมณโคดมสูง ๘ ศอกของมนุษย์ ถ้าขึ้นไปนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ก็คงเหมือนแมลงวันเกาะอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่มีที่ใดเหมาะสมเท่ากับที่นั่นอีกแล้ว จะทำอย่างไรจึงไม่เป็นการหลู่พระเกียรติยศหนอ ? พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิด พอเสด็จไปถึง ประทับนั่งลงก็พอเหมาะพอดี ถึงได้บอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้

อีกรายหนึ่ง คือ อสุรินทราหู เป็นมหาอำมาตย์ยักษ์ ตั้งใจจะไปกราบพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้ไปเสียทีเพราะร่างกายท่านใหญ่โตมโหฬารมาก อรรถกถาจารย์อธิบายว่า รอยต่อหว่างคิ้วกว้าง ๑ โยชน์ ท่านเกรงว่าถ้าไปแล้วต้องก้มดูพระพุทธเจ้าจะเป็นการไม่เคารพ

พระพุทธเจ้าทราบความคิดก็เลยเสด็จไปไสยาสน์ขวางทาง จนอสุรินทราหูต้องแหงนหน้ามอง เพราะฉะนั้น..จะมีพระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหูเป็นพระปางไสยาสน์แต่ลืมเนตร ส่วนไสยาสน์หลับเนตรแล้วซ้อนเหลื่อมพระบาทเป็นปางไสยาสน์ ถ้าไสยาสน์หลับเนตรพระบาทเสมอกันเป็นปางปรินิพพาน แยกให้ออกนะจ๊ะ"

เถรี
18-08-2011, 16:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ยิ่งทำใจต้องยิ่งละเอียด ถ้าทำแล้วหยาบขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแปลว่าแย่แล้ว ทำตัวเป็นกันเองกับศีลธรรมจนมากเกินไปแล้ว"

เถรี
18-08-2011, 17:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราควรหาโอกาสไปถวายบังคมพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ถ้าเข้าไปวันพระ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามจะมีเทศน์ เราก็ฟังเทศน์ สวดมนต์ไหว้พระ แล้วค่อยกลับ ไปทั้งทีเอากำไรให้ได้หลายอย่าง ถ้ามีเงินก็เข้าพิพิธภัณฑ์ ชมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระแสงดาบซึ่งแต่ละเล่มเป็นทองคำลงยาฝังนพเก้า น่าขโมยนัก..!

นอกจากนี้ ในพิพิธภัณฑ์ยังมีเครื่องทรงเก่าของพระแก้วมรกต ที่เพิ่งเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง จะมีกำหนดเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนวัน แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ (วันเข้าพรรษา) เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาว วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูร้อน แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ จำให้แม่น ๆ จะได้ไปถูกจังหวะ ถ้าไปถูกจังหวะจะได้น้ำสรงพระแก้วมรกตด้วย

ปกติถ้าเรามองขึ้นไปจะเห็นพระแก้วมรกตองค์ไม่โตนัก ต้องสังเกตตอนในหลวงหรือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สรงน้ำ ตอนที่พระองค์ใช้ผ้าเช็ดพระแก้วมรกต สังเกตว่าองค์พระแก้วมรกตกว้างประมาณสองช่วงพระหัตถ์ ฉะนั้น..องค์พระแก้วไม่ได้มีขนาดเล็กเหมือนอย่างที่ตาเราเห็น"

เถรี
18-08-2011, 17:34
มีโยมโทรศัพท์มาแจ้งกับพระอาจารย์ว่า ได้โอนเงินทำบุญสังฆทานเข้าบัญชีแล้ว พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้นอนอยู่ที่บ้านก็ถวายสังฆทานได้ บางคนเขามีหมายเลขบัญชีของวัด พอโอนเงินเข้าบัญชีแล้วค่อยโทรมาแจ้งให้ทราบ เป็นวิธีทำบุญที่ง่าย แต่ใช้ความเพียรพยายามน้อยลง อาจจะขาดวิริยบารมีไป ไม่อย่างนั้นก็คงต้องพยายามเดินทางมาให้ถึง"

เถรี
19-08-2011, 07:52
พระอาจารย์กล่าวถึง "ย่าโม" ให้ฟังว่า "สมัยสงครามที่ทุ่งไหหิน ฝรั่งคนหนึ่งได้ภรรยาเป็นคนไทย เขาไปรบที่นั่น พอได้เวลาลาพักสามเดือนก็จะเดินทางกลับบ้าน ภรรยาก็ไปบูชาเหรียญย่าโมมาให้ บอกกับสามีว่า "ให้ติดตัวเอาไว้ แล้วจะปลอดภัยในทุกที่"

ฝรั่งเขาก็สงสัยว่า เหรียญแค่นี้จะช่วยอะไรเขาได้ จึงซักถามจนเกิดการท้าทายขึ้นระหว่างสามีภรรยา เขาตกลงกันว่า ถ้าย่าโมแสดงปาฏิหาริย์ให้เขาเห็นชัด ๆ เขาจะกลับมาเล่นเพลงโคราชถวาย ซึ่งเพลงโคราชนั้น คนไทยเองยังร้องไม่ค่อยจะได้เลย

ตอนเขาขับรถเข้ากรุงเทพฯ ปรากฏว่ายางแตก กว่าจะลากรถไปถึงอู่ กว่าจะปะยางเปลี่ยนยางเสร็จ ทำให้เขาขึ้นเครื่องไม่ทัน ตกเครื่องบินเที่ยวนั้น เขาก็ไปซื้อตั๋วใหม่ พอวันรุ่งขึ้นได้ข่าวว่า เครื่องบินลำที่ไปก่อนนั้นตกลงกลางทะเล ตายเรียบทั้งลำ..!

เขาคลำเหรียญย่าโมที่คล้องคออยู่ขนหัวตั้ง..! ท้ายสุดกลับมาเมืองไทย จึงจ้างครูเพลงโคราชช่วยฝึกซ้อมอยู่หลายเดือนกว่าจะร้องได้ และไปเล่นเพลงโคราชถวายย่าโม คนรุมดูกันเยอะแยะไปหมด ขนาดคนไทยเล่นเพลงโคราชยังหายากเลย นี่ฝรั่งมาเล่นแก้บน เขาจึงแห่กันไปดู

แต่ที่เขาบอกว่า ประตูชุมพลที่อยู่หลังอนุสาวรีย์ย่าโมนั้น ถ้าหนุ่ม ๆ ไปลอด จะได้เป็นเขยย่าโม ด้วยความอยากเป็นเขยย่าโม ครั้งล่าสุดพออาตมาไปถึงก็ลอด มีเสียงดังเข้าหูมาว่า "งานนี้พระไม่เกี่ยว..!" โธ่..ตั้งใจจะเป็นเขยย่าโม ท่านไม่รับเสียอย่างนั้น"

เถรี
19-08-2011, 07:56
พระอาจารย์เล่าให้ฟังตอนเป็นฆราวาสว่า "ครั้งหนึ่งไปขึ้นรถทัวร์ คิดว่าวันนี้เทวดาอุ้มสมแน่ ๆ เลย เพราะสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ น่ารักสุด ๆ ประเภทใครเอาปืนมาจี้ก็ไม่เปลี่ยนที่นั่งแน่นอน

สักพักพอรถโดยสารออกไปได้ไม่กี่กิโล สาวก็คว้าถุงออกมา แล้วก็ "แหวะ" น้ำลายยืด เห็นแล้วหมดอารมณ์เลย สาวเมารถตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง เราก็สงสารแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร

ที่เล่าให้พวกเราฟังจะได้รู้ว่า ที่เราเห็นกันว่าสวยนั้นสวยไม่จริง ไม่ทันไรก็แสดงความสวยไม่จริงออกมาให้เห็นเสียแล้ว"

เถรี
19-08-2011, 08:06
ถาม : ใจหนูออกไปรับรู้สภาวะต่าง ๆ ของธรรมชาติ ความละเอียดต่าง ๆ ที่อยู่ในอณูอากาศ ตัวหนูเองไม่ได้ต้องการที่จะรับรู้เรื่องต่าง ๆ แต่ก็เหมือนโดนบังคับให้เป็นไปอย่างนั้น
ตอบ : ถ้าทำไปถึงระดับหนึ่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องรู้เห็น เราอยากจะรู้หรือไม่รู้ เราก็จะรู้ อยากจะเห็นหรือไม่อยากเห็น เราก็เห็น เพียงแต่สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์เราก็รับไว้ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ปล่อยไว้ตรงนั้นแหละ

โดยเฉพาะต้องมีสติให้มาก ๆ เพราะการรู้เห็น เราต้องเน้นว่า "ต้องรู้เห็นเพื่อการหลุดพ้นเท่านั้น" ไม่อย่างนั้นจะโดนหลอกไปไกล หลอกให้รู้ไปเรื่อย ๆ พอรู้มากเข้าก็ออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ

ถาม : ถามว่าหนูอยากรับรู้ไหม ? ก็ไม่ได้อยากรับรู้
ตอบ : เขาจะหลอกให้เราอยากรู้ ยั่วให้อยากแล้วก็จะจากไป

ถาม : เวลาหนูเอนหลังลงนอน ใจก็จะออกไปรับรู้ บางทีไปเจอกับคลื่นบางอย่าง ถ้าไปเจอคลื่นกระแสดีก็แล้วไป แต่บางทีก็ไปเจอคลื่นไม่ดี อย่างเช่นพวกที่เป็นมิจฉาทิฐิ เขาเห็นเรา เขาก็ตามเรามา เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่ได้ต้องการค่ะ
ตอบ : ให้เอาภาพพระครอบไว้ก่อนแล้วค่อยไป นึกถึงพระแล้วจะปลอดภัย ต้องใส่เกราะไว้ก่อน เรื่องพวกนี้พอก่อกวนแล้วทำให้เสียเวลาปฏิบัติมาก อาตมาต้องทำเป็นตายอยู่หลายรอบ กว่าพวกนั้นเขาจะเลิก มีแต่ฝ่ายเขาทำไป แต่เราไม่รับเสียอย่าง เขานึกว่าเราตายแล้วเขาก็เลิกไปเอง

เถรี
22-08-2011, 07:17
ถาม : เขาบอกว่าพระที่แตกหักห้ามไว้บ้าน จริงหรือเปล่าครับ ? แต่ผมไม่เชื่อ
ตอบ : ถ้าเป็นสายหลวงพ่อวัดท่าซุง พระแตกนี่จะดีใจมาก เนื่องจากวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งจะมีเทวดารักษาองค์หนึ่ง ถ้าแตกเป็น ๗-๘ ชิ้น เทวดาที่รักษาก็ต้องเพิ่มเป็น ๗-๘ องค์ ถ้าสายอื่นเขาว่าไม่ดี โดยเฉพาะสมเด็จวัดระฆังแตก ๆ ส่งมาสายนี้ได้ (หัวเราะ) อย่างไม่มี ๆ ชิ้นหนึ่งก็สิบหมื่นขึ้น..!

เถรี
22-08-2011, 07:19
ถาม : สมัยก่อนพุทธกาลมีบรรดานักบวชที่เจริญสมาธิกันเยอะ ทำไมไม่ปรากฏว่ามีใครที่สามารถตัดกิเลสโดยใช้สมาธิข่มแบบเจโตวิมุตติได้คะ ?
ตอบ : เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องตัดกิเลสแบบไหน เขาหวังการหลุดพ้นตามแบบของเขาด้วยทรมานกาย จึงเอากำลังสมาธิไปสู้ทนกับการทรมานกายจนกำลังนั้นหมดไป ก็เลยไม่พอที่จะตัดรัก โลภ โกรธ หลง นอกจากจะกดให้นิ่งอยู่ชั่วคราว

ถ้าไม่เอาไปทรมานตัวเอง ก็คงจะตัดได้ไปเยอะแล้ว

เถรี
22-08-2011, 07:21
ถาม : ถ้าหากความตายจะวิ่งเข้ามาหา ตอนนี้หนูก็ไม่กลัวความตาย แต่พอพิจารณาถึงตอนที่อธิษฐาน เหมือนกับใจค้านว่า ถ้าใจเราบรรลุธรรมได้ตอนนี้ เราจะตาย ก็เกิดกลัวความตายตอนนี้ค่ะ
ตอบ : เพราะยังทำได้ไม่จริง..!

ถาม : ให้เราหมั่นพิจารณาความตายตามที่เราเคยทำมาหรือคะ ?
ตอบ : พิจารณาให้เห็นเป็นธรรมดาว่า เราต้องการหรือไม่ต้องการก็ตายแน่ ในเมื่อธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ เจ้าจะตายก็ตายไปเถิด เราจะได้พ้นไปจากเจ้าเสียที..!

เถรี
22-08-2011, 07:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมนั้น บางทีถ้าเราทำเองก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีกำลังใจอยากจะทำ แต่ถ้าไปวัดแล้วมีเพื่อนร่วมปฏิบัติเยอะ ๆ ก็มีกำลังใจที่จะปฏิบัติต่อ

แต่พวกเรามักจะขาดทุนเสียส่วนใหญ่ เพราะเวลาการปฏิบัติภายในวันหนึ่งมีแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอว่างจากการปฏิบัติก็ไปคุยจ้อกัน จนกำลังใจคลายไป การปฏิบัติที่ดีต้องรักษากำลังใจให้ทรงได้ ประคับประคองไว้ให้นานที่สุด แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเผลอ พอเจอคนที่รู้จักคุ้นเคยก็คุยไปเรื่อยจนถึงดึกดื่นค่อนคืน พอตื่นขึ้นมาก็มานั่งหลับตอนทำวัตรเช้า พอทำวัตรเสร็จก็ไปคุยต่ออีก

ช่วงเดือนสิงหาคม ทางวัดมีงานหนัก ๆ หลายงานติดกัน เริ่มจากงานเป็นเจ้าภาพประชุมพระนวกะ ถัดไปก็งานวันแม่และบวชปฏิบัติธรรม ถัดไปก็เป็นการอบรมของกระทรวงวัฒนธรรม เด็ก ๗ โรงเรียนด้วยกัน คัดตัวแทนมารวม ๒๕๐ คน

จะพยายามฝึกให้ออกมาในลักษณะที่อวดคนอื่นเขาได้ ไม่แน่ใจว่าโครงการนี้จะทำต่อได้นานเท่าไร เพราะอยากจะได้เด็กจากชั้นที่เล็ก ๆ ปีหน้าจะได้เวียนมาซ้ำอีก สิ่งที่ได้ฝึกหัดไปก็จะได้กลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เมื่อตอนเย็นโยมแม่ของคุณชลธีเดินเข้ามา อาตมามองแล้วได้แต่ประหลาดใจ โยมแม่ของคุณชลธีเป็นคนแก่ที่เดินได้สง่าจริง ๆ ลักษณะอย่างนั้นคือ ฝึกมาจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นกิริยาโดยธรรมชาติ ถ้าไม่ได้ฝึกมาก็แปลว่าต้องเป็นของเก่าที่ข้ามชาติข้ามภพมา"

เถรี
22-08-2011, 07:34
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ในเรื่องของผ้าไตรจีวรนั้น ภาษาพระเรียกว่าผ้าบังสุกุล

ปังสุกุละ แปลว่า ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าคลุกฝุ่น คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว สมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ถือว่าเป็นผู้สละแล้วซึ่งทรัพย์สมบัติทั้งปวง มีแต่ตัวเปล่า ก็ต้องไปแสวงหาผ้าเพื่อทำจีวร ต้องเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว นำมาซัก มาตัด มาเย็บ มาย้อม กลายเป็นผ้าสำหรับใช้งานของตน

ในสมัยแรก ๆ อยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ รูปแบบที่แน่นอนก็ไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มอบหมายให้พระอานนท์คิดแบบในการทำจีวรให้เหมือนกันขึ้นมา พระอานนท์ได้แนวความคิดขณะที่บิณฑบาตผ่านท้องนา เห็นชาวบ้านเขาทำนา เป็นแปลง มีคันนา ท่านก็เลยมาดัดแปลงเป็นลักษณะของจีวร ซึ่งจะมีผ้าที่เป็นจีวร มีผ้าต่อ มีผ้ากั้น มีผ้าขอบ

ตัวผ้าจีวรก็มีมณฑล ก็คือช่วงที่ยาว และอัฒฑมณฑล ช่วงที่สั้นลงครึ่งหนึ่ง และมีกุสิ ก็คือผ้ากั้นช่วงยาว อัฒฑกุสิ ผ้ากั้นช่วงสั้น และมีอนุวาต ผ้ากั้นขอบ เมื่อออกแบบมา ต้องบอกว่าท่านเป็นยอดของมัณฑกร คิดออกแบบมาสองพันกว่าปีแล้วก็ยังใช้งานได้ดีไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย"

เถรี
22-08-2011, 11:04
"ผ้าที่ได้มาชิ้นใหญ่บ้าง ชิ้นเล็กบ้าง ท่านออกแบบมามีทั้งใหญ่และเล็ก อย่างที่บอกว่ามี ๗ ขันธ์ มี ๙ ขันธ์ ก็คือ ถ้าอ้วนหน่อยก็ ๙ ขันธ์ ถ้าผอมหน่อยแค่ ๗ ขันธ์ก็พอ สำคัญตรงสีที่ย้อม พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตผ้าย้อมน้ำฝาด ก็คือ น้ำจากการต้มเปลือกไม้หรือแก่นไม้

พระอัญญาโกณฑัญญะท่านบวชตอนอายุมากแล้ว ไม่อยากยุ่งกับพระลูกพระหลาน ท่านจึงไปจำพรรษา ที่ฉัตทันตสระในป่าหิมพานต์ บริเวณนั้นไม่มีต้นไม้ที่จะนำแก่นหรือเปลือกมาทำเป็นน้ำฝาดย้อมผ้าได้ ท่านจึงไปขุดเอาดินลูกรังมาละลายน้ำ กรองเอาเฉพาะน้ำมาต้มและย้อมผ้า สีผ้าจึงค่อนข้างแดง

เมื่อถึงเวลาออกพรรษา ท่านก็มากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระลูกพระหลานเห็นเข้าก็นินทาว่า หลวงตาองค์นั้นมาจากไหนไม่รู้ ผอมจนเอ็นสะพรั่งไปทั้งตัว ห่มจีวรสีแดงอย่างกับเลือด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยิน เกรงว่าลูก ๆ หลาน ๆ จะล่วงเกินแล้วจะเกิดโทษแก่ตนเองมาก จึงเสด็จมาตรัสถามว่า

"ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นพี่ชายใหญ่ของเธอหรือไม่ ?" ท่านทั้งหลายทูลตอบว่า "ไม่เห็นพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอกว่า "หลวงตาที่ห่มจีวรสีแดงนั่นแหละ คือท่านอัญญาโกณฑัญญะ พระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา พี่ชายใหญ่ของพวกเธอ

ท่านอยู่ในเขตที่ไม่มีไม้จะทำน้ำฝาดมาย้อมผ้าได้ จึงใช้ดินลูกรังย้อมผ้ากลายเป็นสีนั้น" พระพุทธเจ้าจึงตรัสอนุญาตให้ภิกษุใช้ผ้าไตรจีวรสีเหลือง ซึ่งเป็นสีที่เกิดจากการย้อมด้วยน้ำขมิ้น สีกรักที่ย้อมด้วยแก่นขนุน และสีเจือแดงเข้ม ที่ย้อมด้วยสีลูกรัง"

เถรี
22-08-2011, 11:15
พระอาจารย์กล่าวถึงนิยายจีนว่า "เทพมารสะท้านภพ จุดมุ่งหมายที่เขาต้องการจะบอกเราก็คือ คน ๆ หนึ่ง สามารถใช้ความรักที่มีต่ออีกคนหนึ่งเป็นการสร้างเสริมความก้าวหน้าให้แก่ตัวเองได้

ล่างฟานหวินพอสูญเสียภรรยาไป เขาก็เอากำลังใจที่รักเมียมากมาทุ่มเทในการฝึกวิชาบู๊ เป็นกำลังใจที่เท่ากัน แค่เปลี่ยนมุมในการใช้เท่านั้นเอง เขาก็เลยกลายเป็นกระบี่มือหนึ่งของยุทธจักร ลักษณะเดียวกับพวกเราที่ใช้ฉันทะในทางที่ผิด เด็ก ๆ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ได้ข้ามวันข้ามคืน ถ้าใช้กำลังใจที่นั่งเล่นเกมส์มาปฏิบัติธรรม ก็จะสบายมากเลย

ในนิยายชุดนี้นั้น พอท้ายสุดก็จะก้าวข้ามความรักความเกลียดไปได้ คล้าย ๆ กับการหลุดพ้นเหมือนกัน ตอนหลังที่มาสู้กันก็อยู่ในลักษณะที่ลองดูว่า อีกฝ่ายหนึ่งไปถึงไหนแล้วแค่นั้นเอง อย่างจอมคนแผ่นดินเดือด ที่เอี้ยนเฟยช่วยศัตรูตัวร้ายอย่างซุนเอินเปิดประตูมิติลับ แล้วส่งข้ามไปในลักษณะหลุดพ้นจากโลกนี้ ก็เป็นลักษณะเดียวกัน คือความเป็นศัตรูไม่มีแล้ว เพราะจุดมุ่งหมายคนละเรื่องกัน ในเมื่อหวังความหลุดพ้น ความเกลียดความรักต้องวางหมด ฟัง ๆ ดูแล้วเหมือนศาสนาพุทธอย่างไรก็ไม่รู้"

เถรี
23-08-2011, 05:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่กระดูกจะเป็นพระธาตุนั้นมีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรก ก็คือ ตัวเองอธิษฐานให้เป็นพระธาตุ อีกอย่างคือพระท่านช่วยสงเคราะห์ให้เป็น

อย่างหลวงปู่มั่น ท่านเกรงว่าคนจะไปยึดติดอยู่กับกระดูกของท่าน ท่านก็เลยไม่อธิษฐานให้เป็น ผ่านไปสามสิบกว่าปี ลูกศิษย์ท่านกระดูกแปรสภาพเป็นพระธาตุไปหลายต่อหลายองค์ แต่ท่านไม่เป็นสักที คนก็ชักสงสัยว่าหลวงปู่มั่นปฏิบัติดีจริงหรือเปล่า ? ถ้าปฏิบัติดีจริงทำไมกระดูกไม่เป็นพระธาตุ ? พระท่านก็เลยต้องสงเคราะห์ให้เป็น สรุปว่ามาเปลี่ยนเป็นพระธาตุเอาทีหลัง"

เถรี
23-08-2011, 05:47
ถาม : หนูอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการตายแล้วฟื้น เขาบอกว่าการจะบันทึกบุญบาปของแต่ละคนจะเริ่มตอนอายุ ๖ ขวบเป็นต้นไป จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นความเชื่อของทางมหายาน ความจริงเขาบันทึกกันตั้งแต่ก่อนจะเกิดเสียอีก

ถาม : เขาให้เหตุผลว่าเด็กยังไม่รู้เรื่องค่ะ
ตอบ : ไม่จริงหรอก ลองเจอเด็กจุดไฟเผาบ้านดูสิ คุณจะลงโทษเด็กไหม ? คำว่า "ไม่รู้" นั้นไม่มี เพราะทุกอย่างทำไปตามรัก โลภ โกรธ หลง คุณจะมีสติรู้ตัวหรือไม่มีสติรู้ตัวก็เหมือนกัน เพียงแต่โทษนั้นไม่เท่ากัน

เถรี
23-08-2011, 06:26
ถาม : ทำไมเวลาผมบริกรรมแล้วเวียนศีรษะ ?
ตอบ : การปฏิบัติเขาแลกกันด้วยชีวิต การที่เกิดอาการขึ้นมาภาษาพระเรียกว่า ขันธมาร เขาแกล้งให้เราไปสนใจในร่างกายแทนที่จะภาวนา ถ้าเราคิดว่าทำความดีตรงนี้ ถึงตายลงไปก็ยอม ถ้าทุ่มเทอย่างนั้น เดี๋ยวเขาก็เลิก เขาตั้งใจจะกวนให้เราเลิกทำ เพราะฉะนั้น..ก็อย่าไปเชื่อเขาแล้วกัน

มีหลายคนในช่วงที่ไม่เคยปฏิบัติความดีที่เมาหัวทิ่มบ่อ นอนตากน้ำค้างทั้งวันทั้งคืนไม่เป็นอะไร แต่พอเลิกกินเหล้าหันมาปฏิบัติธรรมก็ป่วยเช้าป่วยเย็น จนทำให้เขาคิดว่า การทำความดีทำให้เขาป่วย จนจะเป็นมิจฉาทิฐิอยู่แล้ว

เขาเรียกว่าขันธมาร ถ้าเราไปในด้านที่จมปลักอยู่ในมือเขา เขาก็สนับสนุนเต็มที่ แต่ถ้าไปในด้านที่จะหลุดพ้นจากมือเขา เขาก็ขวางเต็มที่ ดังนั้น..ระยะแรกต้องสู้กันก่อน พอถึงเวลาถ้ากำลังเราดีกว่า เขาก็ขวางไม่อยู่แล้ว เขาเห็นว่าขวางไม่อยู่ก็เอาเรื่องใหม่มาขวางเราอีก

เถรี
23-08-2011, 06:28
ถาม : ถ้าเราภาวนาโดยพิจารณาภาพพระ แล้วอยากจะเปลี่ยนกองกรรมฐานในอนาคต จำเป็นต้องไปทำกสิณ ๑๐ ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจับภาพพระจนชินแล้วเปลี่ยนไปจับภาพกสิณ ก็แค่เดี๋ยวเดียว จำเป็นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของเราว่าจะทำอะไร

ถ้าเรายึดมั่นในพุทธานุสติ ก็เอาภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องไปฝึกกสิณอื่น แต่ถ้าเราต้องการฤทธิ์ในอภิญญาก็ต้องไปฝึกกสิณเพิ่มเติม

เถรี
23-08-2011, 08:28
ถาม : ถ้าโยมจะปฏิบัติภาวนา โยมควรจะเร่งให้เป็นสมาธิก่อนหรือไม่คะ ?
ตอบ : จริง ๆ การปฏิบัติจะต้องค่อย ๆ สั่งสมไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าสามารถทำให้สมาธิทรงตัวไปเลยจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า

ถาม : สมาธิแล้วค่อยไปวิปัสสนาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างนั้นจ้ะ เพราะการปฏิบัติสมาธิกับวิปัสสนาต้องไปด้วยกัน อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ สมาธิเหมือนคนมีกำลัง วิปัสสนาเหมือนคนมีอาวุธ คนมีกำลังถึงจะใช้อาวุธได้ดี แต่ถ้ามีแต่อาวุธไม่มีกำลังก็ยกอาวุธไม่ไหว คนมีกำลังไม่มีอาวุธจะตัดถางอะไรก็ลำบาก

เพราะฉะนั้น..เวลาภาวนาพออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่ไปต่อไม่ได้แล้ว เราจะสังเกตว่าพอถึงตรงนั้นไปต่อไม่ไหวจะถอยกลับทุกครั้ง พอถอยกลับลงมาก็มาพิจารณาวิปัสสนา ถ้าเราไม่พิจารณากำลังที่เราทำได้จะโดนไปใช้ในการฟุ้งซ่าน แล้วรัก โลภ โกรธ หลง จะแรงเป็นพิเศษเพราะว่าได้กำลังตรงนั้นไป ต่อไปอย่าเอากำลังไปให้กิเลสอีก ให้เอากำลังมาใช้พิจารณาวิปัสสนาแทน

เถรี
23-08-2011, 08:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการจัดประชุมพระนวกะหรือพระใหม่นั้น เพื่อให้พระผู้ใหญ่ได้มาบรรยายถวายความรู้ ว่าเป็นพระใหม่ควรจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร ควรจะวางกำลังใจอย่างไร มีสิ่งใดที่ต้องศึกษาเรียนรู้บ้าง และที่สำคัญก็คือให้พระท่านได้รู้จักผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ที่เหนือกว่าเจ้าอาวาสตัวเองเอาไว้บ้าง

ไม่อย่างนั้นจะเหมือนอย่างสมัยที่อาตมาไปกับหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี พอเข้าไปถึงวัด ก็ถามพระว่า "เจ้าอาวาสอยู่หรือเปล่า ?" พระท่านบอกกับหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดว่า "หลวงตาไปถามที่กุฏินั้นก็แล้วกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอยู่หรือเปล่า?" นั่นเพราะเขาไม่รู้จักเจ้าคณะจังหวัด เขาเห็นว่าเป็นหลวงตาแก่ ๆ..!"

เถรี
23-08-2011, 11:45
พระอาจารย์พูดถึงนิยายจีนเรื่องเหยี่ยวเดือนเก้า (จอมเสเพลชายแดน) ว่า "เราจะเห็นว่ามีดที่เอี๊ยบไคซัดออกไป เป็นการซัดไปด้วยความรักไม่ใช่ความแค้น แม้ว่าจะฝึกฝนจนกลายเป็นสุดยอดฝีมือไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยฆ่าคนโดยไม่จำเป็น ถ้าไม่ใช่คนชั่วช้าที่แก้ไขตัวเองไม่ได้แล้ว เอี๊ยบไคจะไม่ลงมือเลย

มีดสั้นมีความยาว ๓ นิ้ว ๗ หุน ฝีมือช่างเหล็กที่ไหนก็สามารถตีได้ แต่พออยู่ในมือของลี้คิมฮวงหรือเอี๊ยบไคแล้ว กลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดในโลก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สุทันตา เยวะ อิทธิยา ผู้ฝึกตนดีจึงเป็นผู้มีฤทธิ์ เพราะฉะนั้น..อยากเก่งแบบเขาก็ต้องขยันฝึกฝน"

เถรี
23-08-2011, 14:28
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนอาตมาไปวัดท่ามะขาม ไปฉันเพลกับหลวงพ่อพระเทพเมธากร แมวเดินตามมา ๔ ตัว เป็นแมวแม่ลูกกัน หลวงพ่อเจ้าคุณท่านเห็นก็พูดว่า "เอ๊ะ..มันไม่เคยเข้ามาเลยนะ นี่มันเห็นอาจารย์เล็ก มันเดินตามเลย มันรู้ว่าได้กินแน่" แมวรู้ขนาดนั้นเลย

พอวางอาหารให้แมวกิน แมวตัวแรกที่เป็นลูกคว้าอาหารได้ก็เอาเท้ายัน คือ เอาสองตีนหน้าตะปบอาหารไว้ ปากก็งับอาหาร แล้วเอาตีนหลังยันตัวอื่นเอาไว้ ไม่ให้มาแย่ง โอ้โห..สุดยอดจริง ๆ ตัวกูของกูนี่ไม่เว้นคน ไม่เว้นสัตว์เลย"

เถรี
24-08-2011, 05:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าคนเราไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ส่วนใหญ่คนเรามักกลัวการเริ่มต้นใหม่ ไม่แน่ใจว่างานใหม่จะเป็นอย่างไร ? เจ้านายใหม่จะเป็นอย่างไร ? เพื่อนร่วมงานใหม่จะเป็นอย่างไร ?

ขอยืนยันว่าเหมือนกันหมด เหมือนกันตรงที่ทำงานให้ได้อย่างใจเจ้านายเขาก็พอแล้ว ถ้าทำงานได้อย่างใจเจ้านาย เราจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้"

เถรี
24-08-2011, 05:36
ถาม : เวลาที่เข้าวิปัสสนา จะเหมือน....หรือเปล่าคะ?
ตอบ : เรารู้จักคำว่าวิปัสสนาดีแค่ไหน ?

จริง ๆ แล้วเรื่องของกรรมฐาน ต้องทำสองอย่างควบกัน ถ้าทำอย่างเดียว โอกาสที่จะได้ผลนั้นช้ามาก สมถะภาวนาทำให้กำลังใจของเราสงบ มีกำลังในการกดกิเลส วิปัสสนาภาวนาทำให้เห็นจริง ยอมรับ สองอย่างเหมือนกับคนที่ผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวจึงไปได้เร็ว

ถ้าเราทำสมถะภาวนาอย่างเดียว ก็เหมือนกับเราเพาะกำลังเอาไว้เยอะแยะ แข็งแรงมากเลย แต่ไม่มีอาวุธที่จะไปตัดไปฟัน ไปห้ำหั่นกับกิเลสได้ วิปัสสนาภาวนาเหมือนอาวุธที่มีคมมาก แต่ถ้าเราไม่มีกำลังก็ยกอาวุธไม่ขึ้น จึงต้องทำสองอย่างร่วมกัน

ครูบาอาจารย์ท่านจึงได้แนะนำว่า ให้ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้ว ให้คลายอารมณ์ออกมาพิจารณา แต่ส่วนใหญ่ปัจจุบันเราขาดตรงนี้ พอเราภาวนาเต็มที่แล้วเราก็เลิก การที่กำลังใจของเราทรงตัวเต็มที่ทำให้เรามีกำลังมาก เวลาไปฟุ้งซ่านก็เอากำลังตรงนี้แหละไปฟุ้งซ่าน ก็เลยฟุ้งได้มากเป็นพิเศษ ทำให้คนหลายคนเข้าใจผิดว่า ยิ่งปฏิบัติ กิเลสยิ่งมาก ความจริงไม่ได้มากหรอก มีเท่าเดิม แต่กิเลสแข็งแรงขึ้นเพราะเราไปเสริมกำลังให้

ถาม : หนูก็พิจารณาในเรื่องของวิปัสสนา แต่กิเลสก็ยังอยู่
ตอบ : ใจต้องยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ปรารถนาร่างกายนี้อีกแล้ว เป็นการยอมรับที่เกิดจากใจจริง ๆ ไม่ใช่ยอมรับเพราะรู้ว่าต้องยอมรับจึงจะใช่

เราไม่ใช่เด็กนักเรียน เด็กนักเรียนต้องตอบอย่างนี้จึงจะถูก จึงจะใช้ได้ แต่เรื่องของวิปัสสนาเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าปัญญาไม่ยอมรับจริง ๆ อย่างไรก็ไปไม่ถึง ได้แต่เห็นเงาในน้ำ แต่ไม่สามารถจะหยิบจับขึ้นมาใช้งานได้

ถาม : อย่างพิจารณาแยกกาย เห็นจนเบื่อ จนชินไปแล้ว
ตอบ : ต้องเห็นว่าธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ มีแต่ความทุกข์เป็นปกติอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์อย่างนี้จะไม่มีอีกสำหรับเรา แล้วก็เอาใจเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ ตั้งใจว่าถ้าเราตาย เราไปพระนิพพานที่เดียว

เถรี
24-08-2011, 07:37
ถาม : บางครั้งหนูก็ลืมพิจารณา
ตอบ : พิจารณาเห็นธรรมดาให้ได้ทุกเวลา ไม่อย่างนั้นถึงเวลาความทุกข์มาอีก เราก็เดือดร้อนอีก

ถาม : ต้องเห็นให้มากกว่านี้อีก ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องลงตรงคำว่า "ธรรมดา" ธรรมดาการเกิดมาในโลกนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ธรรมดาการดำรงชีวิตอยู่ต้องเจอกับเรื่องอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ก็ปล่อยให้เป็นไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาสำหรับเราชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว สรุปลงมาให้ได้จ้ะ ถ้าสรุปไม่ได้ก็ไม่จบหรอก

ถาม : แสดงว่าจิตคงดื้อ ?
ตอบ : แสดงว่าเราเห็นธรรมดาไม่ตลอด ถ้าเห็นธรรมดาตลอด จิตยอมรับก็จะไม่กลุ้มใจ

ถาม : อย่างช่วงที่เข้าสมาธิก็จะหายไปช่วงหนึ่ง บางทีหนูก็นึกว่าเข้าฌาน แต่ก็ไม่แน่ใจ
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัวสูงขึ้นแต่สติตามไม่ทัน เมื่อสติตามไม่ทันก็เหมือนกับหายไปเฉย ๆ บางคนคิดว่าตัวเองนั่งหลับ แต่ความจริงไม่ใช่ สภาพของสมาธิทรงตัวสูงขึ้น แต่สติหยาบไปหน่อย ตามไม่ทัน

ถาม : ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : เอาสติจดจ่ออยู่กับตัวภาวนาตรงหน้า จะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น คำภาวนาว่าอย่างไรกำหนดรู้อยู่ ถ้าคำภาวนาหายไป หรือคำภาวนาเบาลงก็ให้กำหนดรู้ไว้

ถาม : สติตามไม่ทัน ?
ตอบ : ถ้าสติตามทันจะไม่หาย

ถาม : หายไปช่วงหนึ่ง พอตื่นมาก็เหมือนนอนหลับชาร์จแบต
ตอบ : ส่วนใหญ่นักปฏิบัติเขาจะหลับกันแบบนั้น

ถาม : คือตัดหลับหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ตัดหลับ ตัดหลับเราจะขาดสตินอนหลับยาวไปเลย แต่นี่เรานั่งหรือภาวนาอยู่ แต่สติหยาบไปหน่อย ตามสมาธิไม่ทัน พอตามทันก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา

เถรี
24-08-2011, 11:45
ถาม : หนูปฏิบัติไม่คืบหน้า ?
ตอบ : จะรีบร้อนไปไหนเล่า ? จำไว้ว่า..ถ้าทำเพราะอยาก จะได้ยากมาก ต้องทำเพราะเห็นประโยชน์แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป ส่วนจะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็น..ก็ช่าง

การปฏิบัติจำเป็นต้องมีอุเบกขา ถ้าไม่มีอุเบกขาก็จะไม่สามารถก้าวถึงจุดสูงสุดของการปฏิบัติได้ ตัวอุเบกขาก็คือตัวช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ จะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน

ถาม : การที่อารมณ์ควบแน่นเข้ามา ควรจะ..?
ตอบ : แค่กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่ากลัว อย่าอยากให้เป็นและอย่าอยากให้หาย เรามีหน้าที่ดูอย่างเดียว ถ้าลมหายใจมีอยู่ก็กำหนดดูลมหายใจ ถ้าคำภาวนายังมีอยู่ก็กำหนดคำภาวนา ตามดูตามรู้ไปเรื่อย ๆ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าหากเราจะตายตอนนี้ หรือจะหลุดออกไปตอนนี้เราขอไปหาพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ตั้งกำลังใจไว้แค่นั้นแล้วก็ว่าไปเรื่อย

ถาม : ภาพสมเด็จองค์ปฐมมาปรากฏอยู่ตลอด หนูก็เลยคิดว่าต้องรีบฝึกกสิณภาพ
ตอบ : กองไว้ตรงนั้นก่อน รอให้ตรงนี้เรียบร้อยแล้วค่อยไปทำ การปฏิบัติอย่าหลายใจ เปลี่ยนกรรมฐานอยู่เรื่อยจะไม่ได้อะไร

ถาม : ทำอย่างไรหนูจะได้พูดคุยกับสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : ก็ไปหาท่าน กราบทูลถามอะไรก็ว่าไป ผิดท่าขึ้นมาก็กระจายเองแหละ..!

ถาม : หนูไปหาสมเด็จองค์ปฐม เมื่อไรจะได้คุยกับท่านคะ ?
ตอบ : ก็มัวแต่อยากอยู่ อีกกี่ชาติจะได้เล่า ?

ถาม : ต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ทำอย่างเดิมไปเรื่อย ๆ ถ้ากำลังถึงก็ได้เอง

เถรี
24-08-2011, 16:46
ถาม : ตอนหนูสวดมนต์รู้สึกว่ามีเข็มมาทิ่มตรงหัวใจ
ตอบ : ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย เราจะทำความดี ถ้าตายลงไปตอนนี้เราไปดีแน่ ๆ แล้วก็สวดต่อไปเรื่อย ๆ

ครั้งต่อไปเวลาสวดมนต์ให้นึกถึงลมหายใจเข้าออกด้วย ทุกเวลาที่เราสวด ทุกลมหายใจที่เราสวด คือ บารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกว่ากำลังบารมีของพระรัตนตรัยทั้งหมดที่รวมอยู่ในตัวเรา สามารถขับไล่สิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ทั้งนั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาสวดไป

ถาม : ทำสมาธิเห็นพระแม่กวนอิม จึงมาเล่าให้แฟนฟัง พอจะเล่าจิ้งจกก็ร้องทักขึ้นมาเลย แสดงว่าไม่สมควรที่จะพูดใช่ไหมคะ ? แล้วเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีคะ ?
ตอบ : พูดไปแล้วคนไม่เชื่อ เขาปรามาสก็จะเกิดโทษแก่เขามาก เขาว่าเราบ้า เขาอาจจะบ้าแทนก็ได้ ดังนั้น..เมื่อรู้เห็นอะไรต้องดูให้ดีก่อนว่า สมควรพูดหรือไม่สมควรพูด

เถรี
25-08-2011, 05:29
ถาม : การตั้งพระพุทธรูปไว้ในห้อง ควรหันหน้าไปทิศเหนือใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะตั้งพระพุทธรูปไว้ที่ไหนก็แล้วแต่ ท่านให้หันไปทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเท่านั้น หันทิศอื่นถึงจะหาเงินเก่งเท่าไรก็มีอันต้องใช้จนหมด ถ้าอยากมีเงินเหลือก็หันให้ถูกทิศ

ถาม : ศาลพระภูมิเล่าครับ ?
ตอบ : ศาลพระภูมิหันหน้าไปทางไหนก็ได้ที่เราไหว้ถนัด แต่ตัวศาลให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน หน้าศาลหันไปทางไหนก็ได้ เอาตัวบ้านเป็นหลัก แล้วก็เลือกทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน

ถาม : ถ้าหน้าบ้านผมหันไปทางทิศเหนืออยู่แล้ว ?
ตอบ : ถ้าหันหน้าไปทางทิศเหนืออยู่แล้วก็ตั้งศาลเยื้องไปทางขวามือ ก็คือตะวันออกเฉียงเหนือ กึ่งกลางของเหนือกับตะวันออก ประมาณ ๔๕ องศา

ถาม : ฤกษ์ออกรถควรจะอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าตามแบบวัดท่าซุงก็ออกวันพฤหัสบดี แล้วไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ หรือออกวันอาทิตย์แล้วไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดี

ถาม : คือออกมาวันพฤหัสแล้วยังไม่ต้องขับ ?
ตอบ : เอามาเก็บไว้ที่บ้านก่อน แล้ววันอาทิตย์ค่อยไปขับประเดิม

เถรี
25-08-2011, 05:36
ถาม : จริตมี ๖ จริต แต่ผมรู้สึกว่าผมจะเกิน ๖ จริต
ตอบ : จริตที่ ๗ ก็มี ประเภทดัดจริตกับวิกลจริต..! จริตมีแค่ ๖ เท่านั้นแหละ ไม่ได้เกินหรอก

ถาม : อย่างนี้ผมต้องทำกรรมฐานทุกกองเลยหรือครับ ?
ตอบ : มีจริตครบทุกคนแหละ แต่จะมีจริตที่เด่นมากอยู่อันหนึ่ง ให้เลือกกรรมฐานที่เป็นคู่ศึกกับจริตนั้น แล้วก็ลุยไปเลย

ถาม : มโนมยิทธินี่ได้อาโลกกสิณแล้ว เวลาผมฝึก ผมไม่ได้กำหนดจับภาพพระนะครับ ได้โดยอัตโนมัติ
ตอบ : มโนมยิทธิเป็นของเดิม ถ้าคนไม่มีของเดิม (ของเก่า) ในชาติก่อน ฝึกไม่ได้หรอก เท่ากับเรามาฟื้นของเก่าเท่านั้น ถ้าให้ไปเริ่มฝึกจากกสิณนี่ไม่รู้ว่าอีกแสนชาติจะได้หรือเปล่า

เถรี
25-08-2011, 05:56
ถาม : ผมเครียดมากจนคิดฆ่าตัวตาย ตอนที่เชือดตัวเอง แล้วเลือดไม่ยอมไหล เป็นเพราะยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก..ยังไม่ถึงที่ตาย มีคนหนึ่งค่อย ๆ ซื้อยานอนหลับสะสมจนได้ ๘๐ เม็ดแล้วกินเข้าไปรวดเดียว กะจะให้ตาย หลับไปพักใหญ่ ตื่นขึ้นมาสดชื่นมาก ยังไม่ตาย เขาก็เลยเอาใหม่ ซื้อยาสะสมไปได้อีก ๕๐ เม็ด กินอีกทีหนึ่งก็หลับไปอีกตื่นหนึ่งเท่านั้น

สรุปว่าถ้ายังไม่ถึงวาระ ไม่ว่าบุญหรือกรรมย่อมรักษา จำไว้ว่าคนเรากว่าจะเกิดเป็นคนได้นั้นแสนยาก ถ้าหากว่ายังไม่ทำประโยชน์ให้สมกับที่เกิดมาเป็นคน แล้วดันไปฆ่าตัวตายนี่โง่กว่าควายตั้งเยอะ..! คุณเคยเห็นควายตัวไหนมันฆ่าตัวตายบ้างไหมเล่า ? มีแต่โดนบังคับให้เข้าโรงเชือด แถมยังหนีสุดชีวิตอีกต่างหาก

อยากประสบความสำเร็จใจคอต้องหนักแน่น ใจคอจะหนักแน่นได้สมาธิต้องดี เพราะฉะนั้น..คำตอบอยู่ที่สมาธิ กลับไปจัดการสร้างสมาธิให้เข้มแข็งไว้ ให้สังเกตว่าเวลาสมาธิทรงตัว ทุกอย่างจะดีหมด

เถรี
25-08-2011, 06:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเลี้ยงปลาโลมาไหม ? อาตมางงมากเลยว่าสัตว์ที่ฉลาดขนาดปลาโลมาทำไมจึงไม่ครองโลก ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเพราะปลาโลมาฉลาดจึงไม่ครองโลก

เราทำอะไรเขารู้หมด แล้วเขารู้ด้วยว่าต้องอ้อนอย่างไรถึงจะได้กิน สุดยอดกว่าหมาเยอะเลย ต้องไปเจอด้วยตัวเองแล้วจะรู้ว่าเขาฉลาดแค่ไหน สรุปว่าปลาโลมารู้ว่าโลกนี้ยุ่งฉิบหาย ก็เลยไม่อยากได้ นั่นแหละ..เพราะความฉลาดของเขาจึงไม่ครองโลก

เวลาเขาร้อง คลิก..คลิก..คลิก เหมือนเขาหัวเราะ แต่จริง ๆ เขาพูด นั่นเป็นเสียงพูดของเขา เขาอาจจะบอกว่าพาไปเที่ยวข้างบนบ้างสิ เขามีความสุขที่ได้อยู่อย่างมีอิสระ

ลักษณะของการหากินของเขาอยู่ในลักษณะของโภชเนมัตตัญญุตา กินแล้วก็จบ ไม่มีการสะสมสำหรับมื้อต่อไป จะมีกินหรือไม่มีกินในมื้อหน้าเขาไม่ได้ห่วง กำลังใจอยู่เฉพาะหน้าเลย ถ้าเขามีปัจจุบันธรรมมากกว่านั้น คงได้เกิดเป็นคนหรือเป็นเทวดากันหมด"

เถรี
25-08-2011, 06:58
ถาม : หนูรู้สึกว่าเด็กเขาไม่ค่อยซาบซึ้งกับความรักความเมตตาของพ่อแม่ เวลาเขารับของจากพ่อแม่ เขาก็รู้สึกเฉย ๆ ชินกับการรับค่ะ หนูเลยบอกว่าต้องมองให้ลึกมากกว่านี้นะ ว่าทำไมเขาถึงเอามาให้เรา
ตอบ : คนอื่นเขาให้เราอย่างนี้บ้างไหมเล่า ?

ถาม : เขารู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องให้เขา
ตอบ : เข้าใจผิดแล้ว ถ้าเขาไม่ให้แล้วแกจะรอดไหม ? ตายไปตั้งแต่ไม่ทันจะรู้ภาษาแล้ว

ถาม : เขาไม่มองความรู้สึกคนอื่น ว่าทำไมต้องมาเอาใจเรา
ตอบ : เด็กสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะเข้าใจอย่างนั้น ในเมื่อเข้าใจอย่างนั้นก็เลยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พอไม่ได้อย่างใจก็อาละวาด เรียนมหาวิทยาลัยปี ๒-๓ แล้วกระโดดตึกตาย อยากให้พวกที่กระโดดตึกตกลงไปแล้วไม่ตายสักที จะได้รู้ว่ารสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร ต้องพิการไปตลอดชีวิต จะไปกระโดดใหม่ก็ไม่ไหว

ถาม : เด็กเป็นอย่างนี้เราต้องอาศัยการพูดบ่อย ๆ
ตอบ : จำเป็นมาก เพราะถ้าไม่ตอกย้ำบ่อย ๆ แล้วเขาจะไม่ซาบ ในเมื่อไม่ซาบ(ทราบ) โอกาสที่จะซึ้งก็ไม่มี ซาบกับซึ้งนี่ต่างกันนะ ซาบ(ทราบ)นี่รับรู้เฉย ๆ ซึ้งนี่เข้าใจเลย

ถาม : คิดไปคิดมา ก็เลยคิดว่าสิ่งที่พ่อกับแม่มีในชีวิตก็แค่เรา พ่อแม่มีแค่ลูกเท่านั้นที่เป็นดวงใจ ตระหนักขึ้นมาเอง เรามีความสุขจัง เราไปไหนเราก็มีความรักของพ่อแม่คุ้มครอง
ตอบ : เขาเรียกว่าบุญคุณของพ่อแม่ บุญคุณของพ่อแม่สามารถรักษาเราได้ โบราณเวลาเขาออกรบ เอาชายผ้าถุงแม่ไปชิ้นเดียวแล้วรอดกลับมา

เถรี
25-08-2011, 15:55
ถาม : คำว่า ปูชา จ ปูชนียานํ คือการบูชาบุคคลที่ควรบูชา กับ คารโว จ การเคารพต่อบุคคลที่ควรเคารพ มีความแตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : สักการะคือการกระทำสิ่งที่ดี ๆ ต่อกัน บูชาคือการแสดงความนอบน้อมเป็นอย่างสูง เคารพ คือการแสดงออกซึ่งการให้เกียรติต่อผู้อื่น

ถาม : แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ความหนักเบาต่างกัน

ถาม : แล้วการบูชาบุคคลซึ่งควรบูชา นี่รวมถึงการปฏิบัติบูชาด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ายึดพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ก็ถือเป็นปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าท่านเน้นตั้งแต่ต่ำสุดจนสูงสุด

ถาม : คำว่า อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ ?
ตอบ : อัตตสัมมาปณิธิ ก็คือเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฐิ เขาถึงเรียกว่า ตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ

ถาม : สิปฺปญฺจ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ที่ท่านเคยพูดอยู่เสมอ ๆ คือ ศิลปะในการดำรงชีวิต รวมถึงพวกวิชาชีพติดตัวด้วยไหมครับ ?
ตอบ : รวมถึงการงานทุกอย่าง แต่สำคัญที่สุดในส่วนของศิลปะในการดำรงชีวิต

เถรี
25-08-2011, 16:04
ถาม : การมีวินัยนี่เขาแปล วินโย จะ สุสิกขิโต มีวินัยที่ศึกษาอบรมดีแล้ว ผมอ่านก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ตอบ : ก็เพราะคุณไปเอาตามรากศัพท์ ความหมายคือ เป็นบุคคลที่พร้อมจะปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ หรือข้อกฎหมายทุกอย่าง ดังนั้น..ถ้าคุณไม่ฝืนระเบียบ ไม่ฝืนข้อบังคับ ไม่ฝืนข้อกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรที่คนอื่นเขาจะทำให้เราเดือดร้อนได้

ถาม : ข้อที่ ๑๖ ที่ว่า ธัมมะจะริยา คือการประพฤติธรรม ตรงนี้หมายถึง ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา

ถาม : ส่วน ๑๘ กับ ๑๙ คือ อะนะวัชชานิ กัมมานิ การทำงานไม่มีโทษ กับ อาระตี วิระตี ปาปา การงดเว้นกับการทำบาปทั้งปวง ต่างกันตรงไหน?
ตอบ : การทำงานไม่มีโทษ เขาให้เว้นจากมิจฉาวณิชชา ก็คืองานที่ผิดกฎหมายบ้านเมืองหรือศีลธรรม ส่วนการเว้นจากบาปทั้งปวงก็คือเว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต

กายทุจริต ก็คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย วจีทุจริต ก็คือเว้นจากการโกหก เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการส่อเสียด เว้นจากการพูดวาจาไร้ประโยชน์ มโนทุจริต ก็คือไม่โลภอยากจนเกินพอดี ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร มีความเห็นเป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเว้นได้ก็ไม่ต้องไปชั่วแล้ว

เถรี
25-08-2011, 16:36
ถาม : ส่วนคำว่า อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ คือความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลายนี่หมายถึงอะไรครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ต่ำสุดยันสูงสุดเลย ก็คือตั้งหน้าปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ

ถาม : อันหนึ่งที่ผมอ่านแล้วผมงงมาก คือ สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะ ในที่นี้หมายถึงการเห็นพระ แค่นี้ก็เป็นบุญ เป็นมงคลแล้วหรือครับ?
ตอบ : มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้เห็นพระพุทธเจ้าแวบเดียวก่อนตาย รอดนรกไปได้ จัดเป็นอุดมมงคลไหมเล่า ?

ถาม : มีข้อหนึ่งที่ใกล้เคียงกันมาก ผมหาความแตกต่างไม่เจอคือคำว่า ธมฺมจริยา การประพฤติธรรม กับอีกคำหนึ่ง พรหฺมจริยํ การประพฤติพรหมจรรย์
ตอบ : ประพฤติพรหมจรรย์ ต่ำสุดก็ต้องเป็นผู้ทรงสมาธิได้ทรงตัว เพราะคำว่า "พรหม" หมายถึง ผู้ใหญ่ พรัหมะจะริยา คือ จริยาของผู้ใหญ่

จริยาที่ทำให้เกิดเป็นพรหม ก็คือต้องทรงสมาธิ ต้องอยู่คนเดียว ต้องปฏิบัติในเนกขัมมะบารมี ดังนั้น..อย่างน้อย ๆ พรัหมมะจริยาจะต้องประพฤติอยู่ในลักษณะทรงศีล และปฏิบัติในเนกขัมมะบารมี

เถรี
25-08-2011, 17:12
ถาม : พระพุทธเจ้าตรัสถึงมงคล ๓๘ ประการ หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีทุกข้อ แต่ถ้ามีข้อหนึ่งข้อใดก็ถือว่าเป็นมงคลแล้ว ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ แต่ถ้าทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกข้อ ก็ไปนิพพานแน่นอน

ถาม : สามข้อหลังนี่ใกล้เคียงกันมาก ผมหาความแตกต่างไม่เจอ อะโสกัง วิระชัง เขมัง
ตอบ : อะโสกัง..สภาพจิตที่ไม่มีความเศร้าโศก วิระชัง..สภาพจิตที่ผ่องใสปราศจากธุลี เขมัง..สภาพจิตที่มีแต่ความสดชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ถ้าทำถึงก็รู้เอง

ถาม : จริง ๆ สามตัวนี้แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกันอยู่ แต่ว่าเป็นความต่างกันโดยชื่อ บุคคลที่ทำถึงจะได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ว่าได้เฉพาะอย่าง

ถาม : อริยสจฺจานทสฺสนํ คือการเห็นอริยสัจ กับ นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ การทำพระนิพพานให้แจ้ง นี่ถึงพร้อมกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเห็นในอริยสัจ ก็จะทำพระนิพพานให้แจ้งไปด้วย

เถรี
25-08-2011, 17:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในอภิสมาจารท่านกล่าวเอาไว้ว่า ภิกษุพึงกางร่มได้เฉพาะในอารามหรือในอุปจาระแห่งอารามเท่านั้น ในอารามก็คือในวัด อุปจาระแห่งอารามก็คือเขตวัด พ้นจากนั้นไปก็ไม่ใช่แล้ว

แต่ถ้าเห็นพระที่ไหนเขากางร่มก็อย่าไปว่าท่านนะ เพราะท่านมีอนุญาตว่า เพื่อป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบได้ แต่นั่นหมายถึงต้องป่วยอยู่นะ เพราะโดนฝนโดนแดดแล้วจะเป็นหนักขึ้น แต่ก็มีคนตีความเข้าข้างตัวเองว่า ป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบ คือป้องกันเป็นไข้ ว่าแล้วก็กางเลย"

ถาม : ถ้าโยมเห็นพระเดินบิณฑบาตตากฝน โยมขออนุญาตกางร่มให้ จะทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ควรจะเป็นโยมผู้ชาย ไม่ใช่เป็นโยมผู้หญิงกางร่มตาม ไม่อย่างนั้นเสียหายหลายแสน..!

เถรี
25-08-2011, 17:41
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เคยอ่านเรื่องสั้นของฝรั่งเรื่องหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งหัวค่อนข้างช้า รับกลอนจากอาจารย์บทหนึ่งไปท่องเป็นอาทิตย์ก็ยังท่องไม่ได้ พอถึงเวลาต้องไปท่องให้อาจารย์ฟังหน้าห้อง ท่องไม่ได้ก็โดนไล่ไปอยู่นอกห้อง จึงเอาตำราไปนั่งท่อง

ตรงที่เขานั่งพิงกำแพงอยู่ มีหอยทากค่อย ๆ กระดืบ ๆ ขึ้นกำแพง เขาก็เลยเกิดมานะว่า "หอยทากไปช้าขนาดนั้นยังไม่ท้อถอยเลย เพราะฉะนั้น..เราจะท่องกลอนบทนี้ให้ได้ก่อนที่หอยทากจะขึ้นถึงบนกำแพง" เกิดความมานะพยายามเพราะมีคู่แข่งแล้ว ก็เลยท่องกลอนได้จริง ๆ

เพราะฉะนั้น..ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ความพยายามอยู่ที่ไหนความพยายามก็อยู่ที่นั่น..!"

เถรี
26-08-2011, 05:20
ถาม : บารมีสิบที่คนสั่งสม มีการลดหรือเพิ่มในแต่ละวันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสั่งสมก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าทำความชั่วแล้วจิตใจเศร้าหมอง ทำให้ห่างจากความดี การทำความดีของบุคคลนั้นลดลง

จริง ๆ แล้วความดีไม่ได้ลดลงหรอก ดีกับชั่วต่างคนต่างอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราเกาะด้านไหน ถ้าหากว่าเราเกาะด้านดีก็พาเราขึ้น ถ้าเกาะด้านชั่วก็พาเราลง คราวนี้เวลาเราเกาะผิดด้าน ความดีก็เหมือนกับปรอทสองหลอดคู่ เทมาด้านไม่ดีเสียเยอะ จนกว่าเราจะมาสะสมเพิ่มก็ค่อยเพิ่มทางด้านดีมากขึ้นไปอีก

ถาม : ไม่ได้ลด ?
ตอบ : ไม่ได้ลดไปไหน

ถาม : ถ้าเป็นสาวกภูมิก็แค่..?
ตอบ : ไม่ว่าสาวกหรือว่าจะเป็นพุทธภูมิก็ตาม ก็ต้องสร้างบารมีลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ว่าระยะเวลาการสร้างมากน้อยกว่ากันเท่านั้น เหมือนกับสาวกเรียนจบปริญญาตรีก็พอแล้ว แต่ว่าพุทธภูมิอาจจะต้องเรียนเกินด็อกเตอร์

เถรี
26-08-2011, 05:28
ถาม : กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ?
ตอบ : กิเลสเป็นต้นตอทำให้เกิดตัณหา เพราะกิเลสเป็นความชั่วที่นอนนิ่งอยู่ในใจของเรา จะเป็นตัวบงการให้เราเกิดความอยากในเรื่องต่าง ๆ ก็คือตัณหา

เมื่อเกิดตัณหาขึ้นมาแล้วก็จะไปยึดมั่นถือมั่นว่า อันนี้เราชอบ อันนี้เราไม่ชอบ ก็จะเป็นอุปาทาน แล้วในส่วนของกิเลสกับตัณหาและอุปาทาน พอถึงเวลาหนึ่งจะชักจูงให้เราลงในทางที่ต่ำมากกว่า ก็คือจะไปสร้างอกุศลกรรมเหล่านั้น

พอไปสร้างอกุศลกรรมก็จะไปสั่งสมสร้างกองกิเลสนั้นให้พอกพูนมากขึ้น ๆ พวกนี้เท่ากับเป็นเชือกเส้นเดียวกัน เพียงแต่คนละเกลียวเท่านั้นเอง

ถาม : เราจะมีการทำอย่างไร ที่จะให้กำลังใจมุ่งไปทางฝ่ายดีตลอดเวลา?
ตอบ : รักษาศีลและสมาธิให้ทรงตัวไว้ อย่าให้หลุด ถ้าอย่างนั้นก็จะไปดีอย่างเดียว ถ้าหลุดเมื่อไรมีโอกาสลงไปชั่วได้

ถาม : จิตที่หลุดจากศีลและสมาธิ จะไหลไปสู่ที่ต่ำ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไหลไปสู่ที่ต่ำ แต่ "ตะเกียกตะกาย" ไปสู่ที่ต่ำ เราต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะต้อนให้กลับคืนมา แต่ท้ายสุดหลุดพ้นเหมือนกัน เพียงแต่ระยะเวลายาวนานมากน้อยต่างกันเท่านั้น

เราต้องคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราไม่เพียรพยายามแล้วจะไม่มีวันหลุดพ้น ไม่ใช่ไปรอว่าอีกเดี๋ยวเราก็หลุดพ้นแล้ว แค่รอแล้วไม่ทำอะไรเลยก็อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ได้ไปไหนเลย

เถรี
26-08-2011, 05:35
ถาม : เวลาหลบความวุ่นวาย ก็อยากไปอยู่วัด พอไปอยู่วัด อยู่ที่สงบ ก็ดิ้นอยากเข้าเมือง เป็นเพราะอะไร ? เป็นเพราะกิเลสมารหรือเป็นเพราะกิเลสเราเอง ?
ตอบ : เป็นกิเลสเรานี่แหละ ก็คือ ยังไม่เข็ด..!

ถาม : รู้สึกเบื่อ อยากไปอยู่วัด พอไปอยู่วัด ก็เบื่ออยากออกข้างนอก
ตอบ : มีพระหลายรูปบอกกับอาตมาว่า "ท่านอาจารย์..ช่วยหาที่สงบ ๆ ให้ผมหน่อย" พอส่งไปจริง ๆ เตลิดเปิดเปิงกลับมาแทบไม่ทัน เพราะเงียบเกินไปเลยอยู่ไม่ได้

ถาม : พระก็เป็นเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : เป็น..พระก็ลูกชาวบ้านนี่ เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เปลี่ยนกติกาในการดำเนินชีวิตเท่านั้นเอง กิเลสก็เท่ากันนั่นแหละ

อยากจะสงบมาก อยากจะบวชชี บวชเข้าไปละดิ้นแทบตาย ตอนนี้แม่ชีที่วัดบางคนกำลังคลุ้มคลั่ง กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก

ระวังเอาไว้...อยู่ในที่ที่สงบ แต่ใจเราไม่สงบก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ในที่ที่วุ่นวายเพียงไหน ถ้าใจเราสงบก็สงบอยู่นั่นแหละ

เถรี
26-08-2011, 05:37
ถาม : จิตที่ฟูขึ้นมา ?
ตอบ : เป็นเพราะสภาพจิตที่ปีติยินดีในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนเองชอบใจ เหมือนอย่างกับพองลมจะลอยไปได้ พอเวลาไปเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจก็เหี่ยว ร่วงไม่เป็นท่าอีก

ถาม : เป็นทั้งทางธรรมและทางโลกใช่ไหม ?
ตอบ : เป็นทุกทางเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาก็ฟูยินดี เพราะได้สิ่งที่ชอบใจ พอเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา ก็มีความทุกข์ ก็นั่งกลุ้มใจ

ถาม : ในทางธรรมและทางโลก จะเหมือนกันไหม ?
ตอบ : เหมือนกัน ในทางธรรมเราปฏิบัติธรรมไป ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัว เวลาเจออารมณ์กระทบก็ตกเหมือนกัน พอเวลาได้ในสิ่งที่ตัวเองชอบใจก็ฟูเหมือนกัน ต้องคอยระมัดระวังไว้เสมอ

เถรี
26-08-2011, 05:41
ถาม : สมัยนี้ได้ยินบ่อย ๆ เขาบอกว่าคนนี้ไปวิปัสสนา บางคนก็บอกว่าสมถะก็พอ
ตอบ : สำคัญว่าทำเป็นหรือเปล่า ? สมถะเหมือนกับคนที่มีร่างกายแข็งแรง เพาะกำลังไว้มาก วิปัสสนาเหมือนคนที่มีอาวุธที่มีความแหลมคมมาก

ถ้าร่างกายแข็งแรงแต่ไม่มีอาวุธ กว่าจะฟันฝ่าผ่านอุปสรรคไปได้ก็ลำบาก คนที่มีอาวุธแต่ร่างกายไม่แข็งแรง ยกอาวุธก็ยังไม่ขึ้น จะไปถากถางอุปสรรคขวางหน้าได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น..สองอย่างนี้ต้องทำรวมกัน พอทำรวมกันมีร่างกายที่แข็งแรง มีอาวุธที่คมกล้า ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ง่าย

คราวนี้การปฏิบัติแทบทั้งหมดจะจัดอยู่ในสมถภาวนา ในส่วนของวิปัสสนาภาวนาเป็นการใช้ปัญญา พิจารณาให้รู้เห็นความเป็นจริงว่าสภาพร่างกายนี้ โลกนี้ และสรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ถ้าเราไปยึดถือมั่นก็จะเกิดความทุกข์แก่เรา เพราะว่าไม่เหลืออะไรให้เรายึดถือเป็นตัวเป็นตนมั่นหมายได้ ท้ายสุดทุกอย่างก็พังสลายไปหมด

ถ้าเราเห็นจริง จิตใจยอมรับ ไม่ไปดิ้นรน ก็จะเกิดความสุข เพราะว่าการเกิดมาในโลกนี้ก็เหมือนกับคนติดคุก ถ้าเราไปดิ้นรนพุ่งชนประตูจะออกไปให้ได้ ไม่หัวแตกตัวช้ำก็อาจจะเสียชีวิตไปเลย แต่ถ้าเรารู้แล้วว่าไม่มีทางออกไปไหนได้ ถึงเวลาเขาก็มาเปิดประตูปล่อยเราไปเอง เราแค่นั่งเฉย ๆ ก็สบายดี การเปรียบว่านั่งเฉย ๆ หมายถึงสภาพจิตยอมรับ ไม่ไปดิ้นรน เพราะว่ามีปัญญารู้ว่าไม่ช้าก็จะพ้นไปแล้ว

ดังนั้น..ในเรื่องของวิปัสสนาก็คือการรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วยอมรับ เมื่อปัญญายอมรับก็ปล่อยวางทุกอย่างได้ ภาระที่แบกไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะร่างกายที่เป็นภาระหนัก ก็เท่ากับว่าไม่ได้แบกอะไรไว้ เพราะจิตใจปล่อยวางไปแล้ว

แต่ว่าในเรื่องของสมถะก็คือการที่เราเพาะร่างกายให้แข็งแรงพร้อมที่จะแบกภาระเหล่านั้น แม้ว่าจะแบกไหวแต่ก็ยังหนักอยู่ดี ดังนั้น..สองอย่างต้องทำด้วยกัน คือแข็งแรงแล้ววางภาระได้ยิ่งไปง่ายใหญ่เลย เพราะไม่มีอะไรให้แบกหนัก ตัวเราแข็งแรงอยู่แล้วก็ยิ่งเดินทางไปถึงจุดหมายได้ง่ายขึ้น

เถรี
26-08-2011, 11:34
ถาม : บางคนบอกว่า ถ้าทำพวกสมาธิจะทำให้ยังตัดราคะโทสะไม่ได้..?
ตอบ : ถ้าหากสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะกดราคะโทสะให้ดับลงได้ชั่วคราว แต่ถ้าเผลอหลุดเมื่อไรก็เหมือนกับเก็บกดมานาน แล้วจะกำเริบมาก เหมือนกับเราเอาก้อนหินใหญ่ ๆ มาทับต้นหญ้าไว้ ถ้าทับไปนาน ๆ หญ้าก็ตาย แต่ถ้าหญ้ายังไม่ตายแล้วเรามาพลิกก้อนหินขึ้นมาอีก คราวนี้หญ้าจะงอกงามใหญ่เลย เพราะกลัวตายก็เลยต้องดิ้นรนขึ้นของเขาอย่างเต็มที่

ลักษณะของกิเลสก็เหมือนกัน ถ้าโดนกดเอาไว้นาน ๆ แล้ว ถ้าถึงเวลากำเริบได้ จะกำเริบหนักกว่าปกติ เหตุที่กำเริบหนักกว่าปกติเพราะได้กำลังจากเราไป ก็คือกำลังสมาธิที่เราทำนั่นแหละ

เราได้สร้างสมาธิเกิดขึ้นแล้ว เราไม่ได้ไปใช้พิจารณาในการตัดละกิเลส เราสร้างขึ้นมาเฉย ๆ แล้วก็ทิ้ง สร้างขึ้นมาเฉย ๆ แล้วก็ทิ้ง พอถึงเวลาตัวกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ก็เอากำลังตรงนั้นแหละไปฟุ้งซ่าน จะไปกันใหญ่เลย เพราะว่ากิเลสแข็งแรงเสียแล้ว กลายเป็นว่าเราเลี้ยงโจรให้แข็งแรงแล้วก็มาปล้นเราหนักขึ้น

ถาม : แล้วเราจะวิปัสสนาอย่างไร ?
ตอบ : พิจารณาให้เห็นจริงอย่างที่ว่ามานั่นแหละ พอเห็นแล้ววางลงให้ได้ พอเห็นแล้วว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์เป็นโทษจริง ๆ เบื่อเหลือเกินไม่เอาอีกแล้ว ถ้าใจบอกว่าไม่เอาอีกแล้ว วางลงได้ก็จบเลย

แต่ว่าถ้าหากเบื่อ ๆ อยาก ๆ อยู่ ถึงเวลาก็จะกำเริบใหม่อีก เพราะฉะนั้น..นักปฏิบัติที่เสียคนมาเยอะต่อเยอะก็คือว่า พอจิตเริ่มสงบก็จะมีคนมาคอยกวนอยู่บ่อย ๆ พอไม่มีเวลาปฏิบัติเป็นของตัวเอง สภาพกิเลสกำเริบขึ้นมาใหม่อีก คราวนี้ก็หงายท้อง เสียผู้เสียคนไปเลย

เถรี
26-08-2011, 11:40
ถาม : ด้านราคะเราใช้อสุภสัญญามาพิจารณา ถ้าเราทำถูกจะระงับราคะได้หรือไม่ ?
ตอบ : จะพิจารณาอย่างไรก็ตาม ถ้าปัญญายังไม่ยอมรับ ก็เพียงแค่ระงับได้ชั่วคราว แต่ถ้าเรายอมรับเพราะเห็นทุกข์เห็นโทษจริง ๆ ว่าเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วนก็เพราะร่างกายนี้ ขึ้นชื่อว่าการคบหากันแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก จบกันแค่นี้ ถ้ากำลังใจเห็นอย่างนี้จริง ๆ แล้ว กำลังสมาธิเพียงพอก็จะตัดขาดไปเลย แล้วจะไม่กำเริบอีก

ถาม : จะไม่กลับไปกลับมา ?
ตอบ : ไม่กลับไปกลับมา แต่ถ้าหากกำลังใจยังไม่เห็นจริง สมาธิพอขนาดไหนก็ยังตัดไม่ได้ เพราะว่าใจไม่ยอมรับ ได้แต่ป้องกันเอาไว้ชั่วคราว

ถาม : แต่เวลาตัดจะไม่ขาดทีเดียว จะค่อย ๆ ขาด ?
ตอบ : มีทั้งตัดทีเดียวขาดและค่อย ๆ ลด ขึ้นอยู่กับกำลังของเราว่าพอไหม ? ถ้ากำลังเราพอ สมาธิเราสูงพอ ปัญญาเราพอ ตัดทีเดียวขาดเลย แต่ถ้าสมาธิและปัญญาไม่สูงพอ ก็ยังไม่ขาด แต่สามารถทำได้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ กิเลสก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อยเช่นกัน

เถรี
26-08-2011, 11:43
ถาม : ปีติยินดีมีทั้งทางธรรมและทางโลก ปีติเป็นกุศลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นกุศลก็จริง แต่ว่าก็เป็นแค่กามาวจรกุศล จิตที่ยังมียินดียินร้ายจะไม่มีทางหลุดพ้น

ถาม : ปีติเป็นกามาวจร ?
ตอบ : ใช่..กามาวจรไปได้แค่เทวดา แต่ถ้าหากว่าเป็นทางโลก เรายินดีได้ แต่ให้มีสติอยู่ในกรอบของศีล คือให้ได้มาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม อย่าถึงขนาดผิดศีลผิดธรรมด้วยการคอรัปชั่น ลักขโมย ช่วงชิง หลอกลวงเขามา ถ้าอย่างนั้นผิดศีลผิดธรรม จะพาให้เกิดโทษหนักทีหลัง

เถรี
26-08-2011, 11:56
ถาม : อย่างที่บอกว่าใช้ปัญญาในการพิจารณาตัด ก็คือ เราดูจากจุดนั้น เรายอมรับว่าจุดนั้นมีความรู้สึกอย่างไร และก็มองลงไป แล้วให้รู้สภาวะนั้นค่อย ๆ ดับลงไป ?
ตอบ : เอาอย่างนี้..ปัญญาที่เกิดขึ้นจริง ๆ จะรู้สาเหตุว่าความทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วก็จะไม่ทำเหตุอันนั้น (หยิบแก้วน้ำขึ้นมา) นี่คือแก้วน้ำ ถ้าหากว่าคนมีปัญญามอง จะหยุดอยู่แค่นั้น ก็สักแต่เป็นแก้วใบหนึ่ง ทำอะไรเราไม่ได้

แต่ถ้าคนที่ขาดปัญญามอง จิตจะเริ่มปรุงแต่งต่อว่า แก้วน้ำ..ใส่น้ำดื่มได้ ถ้าได้น้ำแช่เย็นสักหน่อยก็ดี นี่ออกไปทางโลภะแล้ว อยากมีอยากได้

วันนั้นไปกับสาว เขาสั่งน้ำปั่น นึกถึงสาวราคะเกิดอีกแล้ว วันนั้นเราแช่น้ำในตู้เย็นไว้ พรรคพวกกินจนหมดแล้วไม่เติมใหม่ เรากลับมาหิวแทบตาย ไม่มีน้ำเย็นกิน โทสะเกิดอีกแล้ว นี่แค่แก้วใบเดียว

ถ้าหากว่าปัญญาถึงก็จะเห็นเลยว่า แก้วนี้สักแต่ว่าเป็นธาตุ สักแต่ว่าเป็นรูป พอเห็นแล้วสภาพจิตจะหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ไปปรุงแต่งคิดต่อ รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดไม่ได้ ที่กิเลสเกิดเพราะเราไปคิดต่อ เปรียบเหมือนกับว่าเราซื้อก๋วยเตี๋ยวไว้ชามหนึ่ง เขาลวกเส้นเสร็จก็ใส่ชามมาให้ ไม่ได้ใส่เครื่องปรุง ไม่ได้เติมพริก ไม่ได้เติมน้ำปลา ไม่ได้เติมน้ำส้ม ไม่ได้เติมน้ำตาล เรากินไม่ลงหรอก เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า

สภาพจิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ไปช่วยปรุงแต่ง ก็คือ ไม่ไปปรุงรสให้ จิตก็ไม่อยากที่จะรับอารมณ์นั้นต่อไป เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า ก็จะปล่อยวางลงไปเอง

เถรี
26-08-2011, 12:01
เพราะฉะนั้น..ถ้าเราสามารถหยุดได้ถือว่าดี แต่ถ้าหากว่าเราตัดได้ตั้งแต่ต้นเหตุด้วยปัญญาของเรา โดยไม่ปรุงแต่งต่อได้ ก็จะจบกันแค่นั้นเลย คราวนี้การที่เราจะหยุดการปรุงแต่งได้ กำลังของสมาธิต้องดี เหมือนอย่างกับม้าวิ่งไปถึงหน้าผาแล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะดึงม้าให้หยุด คือกำลังของเราต้องดี แต่ทำอย่างไรจะหันหัวม้าออกไปให้พ้นจากทิศนั้น จะได้ไม่ต้องวิ่งไปทางเหว นั่นปัญญาของเราต้องดี

ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาก็จะเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าหากว่าศีลทรงตัว สมาธิจะตั้งมั่นได้ง่าย เพราะเราต้องคอยระมัดระวัง อย่างน้อยศีล ๕ นี้เราต้องไม่ผิด สติสมาธิของเราจะอยู่ตรงนี้ ในเมื่อระวังบ่อย ๆ รักษาศีลได้ สมาธิจะทรงตัวได้ เมื่อศีลสมาธิทรงตัว สภาพจิตจะสงบ ปัญญาจะเริ่มเกิด

พอปัญญาเริ่มเกิด รู้ว่าอะไรเป็นโทษก็เริ่มเว้น รู้ว่าอะไรดีเราก็ทำ แล้วก็เอาปัญญาตรงนี้ไปคุมศีลกับสมาธิอีกที ว่าทำอย่างไรจะทำให้ศีลของเราไม่บกพร่อง ทำอย่างไรจะทำให้สมาธิเราทรงตัว เพราะยิ่งควบคุมศีลสมาธิยิ่งดี ปัญญาก็ยิ่งเกิด จะไล่ไปเรื่อย เหมือนกับเราไขน็อต ไขไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็สุด ทุกอย่างก็จะจบ

เถรี
26-08-2011, 17:49
ถาม : อย่างเราไม่คิดอะไร ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น แต่จิตก็ยังฟุ้งซ่านไปเอง ?
ตอบ : จิตจะปรุงแต่งเองเป็นปกติ เพราะเรารู้ไม่เท่าทัน ดังนั้นเราถึงต้องใช้สมาธิมาช่วย ถ้าเราอยู่กับสมาธิเฉพาะหน้า จิตจะไม่คิดเรื่องอื่น ก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออกแค่นี้ แต่ถ้าหากเราหลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าตรงนี้เมื่อไร ถ้าไม่ไปอดีต ก็จะไปอนาคต แล้วจะสร้างทุกข์ให้เราในทันที ส่วนใหญ่ก็จะไปโหยหาอาลัยกับอดีต แล้วก็จะไปฟุ้งซ่านกับอนาคต ซึ่งทุกข์ตั้งแต่คิดแล้ว อย่าว่าแต่ทำเลย

ถาม : บางทีเราไม่ได้ไปคิดอดีต เราแค่มอง แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอดีต
ตอบ : ถ้าหากว่าจิตเราละเอียดพอ เราจะรู้ว่ามาจากอดีตหรือฟุ้งไปในอนาคต ขอให้เรารู้ว่าเราหลุดจากปัจจุบันไปแล้ว ถ้าหลุดไปจากตรงนี้เมื่อไรก็เริ่มเสร็จกิเลสแล้ว

ถาม : แล้วเราจะรู้ว่าสาเหตุมาจากอดีตหรืออนาคตได้อย่างไร ?
ตอบ : ค่อย ๆ ปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง พอสมาธิดีขึ้น ปัญญาเกิด ก็จะรู้ทันได้ เราจะเห็นช่องทางมากขึ้น แล้วก็จะประคับประคองตัวเราให้รอดได้

แต่ที่ยังไม่รอดเพราะสมาธิไม่ทรงตัว ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้คือ
ทำสมาธิเสร็จแล้วเราทิ้งเลย ก็เลยกลายเป็นรัก โลภ โกรธ หลงเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่านกันใหญ่ ทำอย่างไรเวลาเราปฏิบัติพอกำลังใจนิ่ง รัก โลภ โกรธ หลงสงบลงได้ชั่วคราว แล้วเราจะรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด

ยิ่งทำนานขึ้น ๆ สภาพจิตยิ่งผ่องใส ปัญญาจะยิ่งเกิด ก็จะเห็นช่องทางที่เราจะแก้ไข พลิกแพลง เอาตัวรอดจากตรงนั้นได้ จนกว่าสภาพจิตจะมีกำลังเพียงพอที่สามารถจะหยุดปรุงแต่งได้

เถรี
26-08-2011, 17:53
อย่างพระอาจารย์ทูล วัดป่าบ้านค้อ ท่านบอกว่าทำอย่างไรที่จะหยุดกระแสได้ พอหยุดกระแสได้ คราวนี้ทำอย่างไรจะตัดกระแสขาด แล้วคราวนี้ทำอย่างไรจะข้ามกระแสพ้น

ในลักษณะเดียวกัน พอมีสมาธิหยุดยั้งได้ ปัญญาก็จะเกิด เราจะหาช่องทางได้ว่าทำไมตรงนี้จึงสร้างความเดือดร้อนให้กับเรา เราก็จะเห็นว่า ตาที่เห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด จะเกิด ๒ อารมณ์คือชอบกับไม่ชอบ ชอบก็เป็นโลภะกับราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะกับโมหะ กินใจเราทั้งคู่

ทำอย่างไรที่เราจะไม่ให้ทั้งสองอย่างนี้เกิด ก็คือหยุดอยู่กับตอนนี้..เดี๋ยวนี้..ไม่ไปคิดต่อ ไม่ไปปรุงต่อ ในเมื่อเราสามารถทำถึงตรงนี้ได้แล้ว สามารถที่จะหยุดโดยอัตโนมัติได้ทุกครั้ง ก็แสดงว่ากำลังเราพอ ทันทีที่รู้ว่าอันตรายก็หยุด...ทันทีที่รู้ว่าอันตรายก็หยุด ถ้าอย่างนี้เราถึงจะมีโอกาสที่จะหลุดพ้นได้ แต่ถ้าหากว่ากำลังไม่พอ อย่าว่าแต่เห็นช่องทางเลย หยุดก็ยังหยุดไม่ได้ เอาตัวไม่รอด ดังนั้น..ต้องเร่งการปฏิบัติให้มากขึ้นไปอีก

เถรี
26-08-2011, 17:58
ถาม : ท่านบอกว่า ทำศีล สมาธิ แล้วปัญญาจะเกิด เป็นการเกิดขึ้นเองเลยด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เราต้องช่วยด้วย ไม่ใช่ไปรอให้เกิดเองอย่างเดียว พอถึงเวลาก็ซักซ้อมคิดให้เห็นความเป็นจริง ว่าสภาพจิตของเราไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร

แรก ๆ จะเป็นแค่ความจำ คือ สัญญา แต่พอซักซ้อมไปเรื่อย ๆ ถ้าศีล สมาธิเพียงพอ ปัญญาจริง ๆ ก็จะเกิด จากที่แค่จำได้ ก็จะกลายเป็นทำได้ จากสัญญาคือจำได้ จะกลายเป็นปัญญาคือทำได้จริง ๆ

ถาม : ส่วนหนึ่งที่บอกว่า ถ้ากำลังถึง ปัญญาก็จะถึง จะทำอย่างไรให้ปัญญาถึงขึ้นมา คือการซักซ้อมบ่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมีการพิจารณาทบทวนอยู่เสมอ ๆ จนกว่าจะยอมรับอย่างแท้จริง ซ้ำบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ ต้องบอกว่า ทำให้มากเข้าไว้แล้วจะดีเอง

เถรี
26-08-2011, 18:04
ถาม : อย่างเวลาเรานั่งภาวนา เหมือนเราดูลมหายใจ เราดูความคิด เราไม่รู้ว่าเราคิดอะไร เหมือนกับหายไป ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นสติตามไม่ทัน สมาธิเริ่มทรงตัวขึ้นแต่สติตามไม่ทัน

ถาม : แล้ววูบกลับมา ?
ตอบ : ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจี้อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ติด ๆ เลย ลมเข้าไปเราไปด้วย ลมออกมาเรามาด้วย กอดคอไปตลอดทางเลย

ถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไรจะเกิดอาการอย่างที่ว่ามา เราจะสังเกตว่าเรามารู้ตัวอีกที อ้าว..หายไปไหน แล้วเราก็มาเริ่มต้นภาวนาใหม่ คือสมาธิเริ่มทรงตัวแล้ว แต่ว่าสติตามไม่ทัน ฉะนั้น..ตามดูตามจี้ติด ๆ ไว้ ถ้าสามารถเกาะติดลมหายใจได้ก็สบาย

ถาม : สตินี่ส่วนสติ สมาธิส่วนสมาธิหรือครับ ? หรือแยกกันครับ ?
ตอบ : สองอย่างเอื้อกันอยู่ แต่ว่าจำเป็นต้องไปด้วยกัน แยกกันเมื่อไรก็เจ๊ง บอกแล้วว่าของเราสติตามสมาธิไม่ทัน เพราะว่าแยกกันไปแล้ว ถ้าหากว่าตีคู่กันไป ทันกัน เราก็จะรู้อยู่

ถาม : การฝึกสติมาก ๆ จะก่อให้เกิดสมาธิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : การฝึกสมาธิ สติจะได้ด้วย เมื่อสติทรงตัวก็จะไปควบคุมสมาธิที่ทรงตัวไปด้วย เหมือนกับด้ายของเชือกที่อยู่เส้นเดียวกัน พอถึงเวลาตีเกลียวก็เป็นเชือก ไม่อย่างนั้นต่างคนต่างอยู่

เถรี
26-08-2011, 18:09
ถาม : อย่างที่เขาบอกว่า ปฏิบัติตามรูปแบบการเดินจงกรม หรือนั่งตามแบบทั่วไป อย่างไหนสำคัญ ?
ตอบ : สำคัญที่ทำอย่างไรให้สติเราระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงรูปแบบที่บังคับให้สติ สมาธิเกิดเท่านั้น

ไม่ว่าจะเดินจงกรม จะภาวนาแบบไหนก็ตาม ในเมื่อเกิดสมาธิแล้วเราจะเอามาใช้งานจริงได้อย่างไร นั่นจึงสำคัญที่สุด เพราะว่าเราจะไปชนกับรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ทุกวัน ๆ ตลอดเวลา ทำอย่างไรที่อันดับแรก เราตั้งการ์ดป้องกันไว้ก่อนที่จะไม่ให้หัวร้างข้างแตก แล้วหลังจากนั้นค่อยทำอย่างไรถึงจะหลบเลี่ยงจากสภาวะนั้น ๆ ไม่ให้โดนอีก แล้วท้ายที่สุด ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับสภาวะนั้นอีกเลย

ถาม : เวลาเรานั่ง การนั่งเราไม่ค่อยชอบ แต่ทุกอิริยาบถเราทำตลอดเวลา
ตอบ : ถ้าทำทุกอิริยาบถได้จะดีกว่า

ถาม : ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบการนั่ง
ตอบ : ไม่จำเป็น ไม่ว่าคุณจะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ อะไรก็แล้วแต่ ให้สติควบคุมอยู่ตลอด อย่าหลุดไปในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง อย่าให้นิวรณ์ ก็คือความรักระหว่างเพศ ความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย อย่าให้เกิดขึ้นภายในใจของเรา

ให้จดจ่ออยู่กับเฉพาะหน้านี้ตลอดไป ถ้าใครทำได้ งานทุกอย่างจะดีมาก เพราะมีสติจดจ่ออยู่ตรงหน้า งานก็คืองานอย่างเดียว จดจ่ออยู่ตรงนี้เลย รัก โลภ โกรธ หลงก็เข้าไม่ได้

ถาม : ถ้าเกิดขึ้นมา แวบขึ้นมา เราตัดให้เร็ว ?
ตอบ : ถ้ารู้ตัวก็รีบผลักออกไปให้เร็วที่สุด

เถรี
27-08-2011, 04:59
ถาม : เวลานั่งสมาธิ จะมีการเรอตลอดเวลา จะทำให้อาการสมาธิขาดไป เราจะแก้อย่างไร ?
ตอบ : อาการอย่างนั้น ภาษาพระเรียกขันธมาร คือร่างกายรบกวนเพื่อให้เราเสียสมาธิ

ถาม : จะแก้อย่างไร ?
ตอบ : เรารู้ตัวว่าจะเรอก็เอาสติกดอยู่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย อย่าให้สมาธิเคลื่อน แล้วค่อยเรอ ให้รู้ตัวไว้ก่อน

ถาม : ให้เรารู้ตัวว่าเราเรอออกมา ?
ตอบ : จะได้ไม่หลุดไปไหน จะได้รู้ตลอดอยู่อย่างนั้น แล้วพอเรารู้เท่าทัน เขาแกล้งไม่ได้..เดี๋ยวก็เลิกไปเอง

เถรี
27-08-2011, 05:04
ถาม : เวลาอุทิศส่วนกุศลถวายในหลวงจะถึงหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเราตั้งใจ สิ่งแรกที่ได้คือตัวเราเอง สิ่งไหนที่ทำแล้วให้ตัวเองเจริญ ไม่ว่าจะด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราพึงกระทำ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่าไปคิดถึงตรงนั้น เพราะว่าถ้ามัวแต่ไปลังเลอยู่ เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย

เถรี
27-08-2011, 05:12
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "คุณแดง (มงคล จอมผา) เป็นบุคคลในตำนาน ลงหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์อยู่บ่อย ๆ บางทีอาตมาไม่เจอหน้าเขา ถามแม่ทองดีว่า "แม่ ๆ ไอ้แดงล่ะ? ได้โทรมาบ้างหรือเปล่า?" แม่เขาว่าอย่างไรรู้ไหม ?

“ไม่โทรมาแปลว่าสบายดี ถ้าโทรมาเมื่อไรแม่ต้องเดือดร้อนควักเงินทุกทีเลย” แม่เขาทำใจได้เลยนะ เขารู้นิสัยลูกเขา ถ้าไม่โทรมาแปลว่าสบายดี โทรมาเมื่อไรแม่เตรียมจ่ายได้เลย เพราะฉะนั้น..ต้องเป็นแม่ที่ไม่หวังให้ลูกโทรมา"

เถรี
27-08-2011, 05:19
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงพี่ประทีป (พระใบฎีกาประทีป อตฺถทสฺสี) เป็นพระรูปเดียวในวัดที่ไปขอลาสึก แต่หลวงพ่อไม่อนุญาต ปกติใครลาสึกไม่ว่าจะขนาดไหน หลวงพ่อให้สึกหมด ขนาดหลวงพี่ชัยศรีที่ใคร ๆ คิดว่าจะเป็นองค์แทนหลวงพ่อได้ยังให้สึก แต่หลวงพี่ประทีปหลวงพ่อไม่ให้สึก

ที่ขำที่สุดก็คือ พอหลวงพ่อมรณภาพ หลวงพี่ประทีป อาตมา ท่านสมนึก ๓ คนเฝ้าศพหลวงพ่ออยู่ทุกคืน คอยเปลี่ยนผ้าครอง คอยเช็ดตัวถวายหลวงพ่อ ปรากฏว่าพอทำบุญครบ ๑๐๐ วันเสร็จ หลวงพี่ประทีปก็คิดจะสึก รุ่งเช้าท่านเดินหัวปูดมาเลย อาตมาถามว่าไปโดนอะไรมา ท่านบอกว่า "เมื่อคืนโดนป๋าตีกบาลมา..!" ถามว่าโดนตอนไหน "ตอนเข้ามุ้ง"

พี่เขาคิดว่างานเสร็จก็จะสึกแล้ว ปรากฏว่าก้มหัวเข้ามุ้ง เสียงเปรี้ยง..! ดาวขึ้นว่อนเลย สรุปแล้วตอนตายท่านตีเจ็บกว่าตอนเป็นอีก หัวปูดเป็นลอนเลยนะ"

เถรี
27-08-2011, 17:33
"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในรัชกาลที่ ๖ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งปณิธานเอาไว้ว่า จะปฏิบัติตนแบบอารยชน ตามที่พระองค์ท่านได้ทรงศึกษามาจากตะวันตก พูดภาษาชาวบ้านก็คือจะมีผัวเดียวเมียเดียว แต่งงานกับใครก็ให้มีการจดทะเบียนสมรส เพื่อให้มีการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แต่พระองค์ท่านเมื่ออภิเษกสมรสแล้ว ไม่มีทั้งพระโอรสทั้งพระธิดา ก็ต้องทรงหย่า แล้วก็อภิเษกสมรสใหม่ จนกระทั่งมาถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ถึงได้มีพระประสูติกาล แต่ว่าเป็นพระราชธิดา ช่วงนั้นพระองค์ท่านรอคอยว่าจะมีผู้สืบราชสมบัติหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่พระอาการประชวรหนักมากแล้ว

พอเจ้าพระยารามราฆพแจ้งว่าสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระประสูติกาลแล้ว แต่ไม่ได้เสียงประโคม พระองค์ท่านก็ทราบทันทีว่าเป็นพระราชธิดา เพราะถ้าเป็นพระเจ้าลูกยาเธอจะมีการประโคมแตรสังข์ ฆ้อง กลอง มโหระทึก ตามขนบธรรมเนียมราชประเพณี พระองค์รับสั่งเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ลูกผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน” แล้วก็หมดพระสติ หลังจากนั้นไม่นานก็เสด็จสวรรคต

พระมเหสีในรัชกาลที่ ๖ ที่ได้รับการสถาปนาก็มีสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา, สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ส่วนพระนางเธอลักษมีลาวัณ ไม่ได้รับการสถาปนา ต้องเรียกว่าเลื่อนพระยศให้ แต่ไม่ถึงระดับสมเด็จพระนางเจ้า สรุปแล้วว่าพระองค์ท่านถึงจะมีพระมเหสีหลายองค์ แต่ว่าทรงจดทะเบียนสมรสครั้งละ ๑ องค์เท่านั้น พอเห็นว่าไม่มีพระโอรสพระธิดาจริง ๆ ถึงได้ทรงหย่า แล้วก็ทรงจดทะเบียนสมรสกับพระองค์ใหม่

พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่างให้ไพร่ฟ้าประชากรทั้งหมดในเรื่องของการมีผัวเดียวเมียเดียว ในเมื่อพระองค์ท่านทำตัวเป็นตัวอย่างแล้ว ใครที่คิดจะมีหลาย ๆ คนก็ต้องคิดให้ดีว่าเลี้ยงไหวหรือเปล่า?"

เถรี
28-08-2011, 10:15
"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นลูกพี่ลูกน้องของในหลวง ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่อาวุโสสูงสุด

พระองค์ท่านเสด็จทรงงาน ระยะหลังแม้กระทั่งประทับนั่งรถเข็นก็ยังไป พระบรมวงศานุวงศ์ของพวกเรา ส่วนใหญ่แล้วสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติจนกระทั่งวาระสุดท้ายแทบทั้งนั้น ในเมื่อพระองค์มีพระยศสูงมาก โดยเฉพาะเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ก็ต้องมีการพระราชทานเพลิงโดยสร้างพระเมรุมาศ

อยากจะบอกว่าพวกเราเกิดมาในวาระที่เหมาะสมก็ใช่ ที่ไม่เอาไหนเลยก็ใช่ เพราะว่าในช่วงชีวิตของอาตมา งานใหญ่ ๆ ซึ่งไม่น่ามีโอกาสได้เห็นก็ได้เห็น

อย่างงานพระราชพิธีรัชฎาภิเษก เมื่อปี ๒๕๑๔ ก็คืองานฉลองในหลวงทรงครองราชย์ครบ ๒๕ ปี

งานฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปีเมื่อปี ๒๕๒๕

งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ปี ๒๕๒๘

งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๐

งานฉลองรัชมังคลาภิเษกปี ๒๕๓๑

งานฉลองสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๕

งานถวายพระเพลิงสมเด็จย่า ปี ๒๕๓๙

แล้วก็มางานฉลองกาญจนาภิเษก ในหลวงทรงครองราชย์ ๕๐ ปี ปี ๒๕๓๙

งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๖ รอบ ปี ๒๕๔๒

งานฉลองในหลวงทรงครองราชย์ ๖๐ ปี ปี ๒๕๔๙

งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ปี ๒๕๕๐

งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ปี ๒๕๕๑

มาปีนี้ งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๗ รอบ ๘๔ พรรษา

ปีหน้าจะมีงานใหญ่ ๒ งาน คืองานฉลองสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา กับงานฉลองสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา แล้วยังต้องมีงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีอีกด้วย"

เถรี
28-08-2011, 10:18
"จากที่กล่าวมา เรามีโอกาสได้เห็นงานฉลองต่าง ๆ ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้วจะมีการสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติงาม ๆ จะได้เห็นแนวความคิดของบุคคลว่า เขาจะทำซุ้มเฉลิมพระเกียรติออกไปในแนวไหน

ได้เห็นพระเมรุมาศตั้งแต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระเมรุมาศของสมเด็จย่า พระเมรุมาศของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แล้วที่จะได้เห็น คือ พระเมรุมาศของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

ก็แปลว่า ในชั่วชีวิตของคนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น หรือได้เห็นน้อยมาก แต่พวกเราเห็นกันจนเบื่อไปเอง กระบวนเรือพระราชพิธีที่มีโอกาสได้เห็นน้อยมาก ก็มารื้อฟื้นขึ้นมาในรัชสมัยของในหลวงองค์ปัจจุบัน

พระราชพิธีพระราชทานเลี้ยงกษัตริย์จากราชวงศ์ต่าง ๆ ทั่วโลก จะมีใครสักกี่คนที่มีโอกาสได้เห็น ถ้าไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้ แต่จะว่าไปแล้วบรรดาพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานรื่นเริงก็เป็นสิ่งที่สมควรที่จะได้รู้ได้เห็น เก็บเอาความงดงามอลังการของราชประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีของชาวบ้าน เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้

แต่ว่าในส่วนของงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพก็ดี พระราชทานเพลิงก็ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้น้อยเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่นี่ขนาดเห็นน้อย ๆ แล้ว ชั่วชีวิตของอาตมาเห็นมาเสียเยอะแล้ว"

เถรี
29-08-2011, 06:19
ถาม : ทำงานที่ใหม่จะดีหรือไม่ดี ?
ตอบ : เรื่องของงาน เราจะต้องได้ที่ทำงานใหม่แน่ ๆ ก่อน จึงค่อยออกจากที่เดิม งานไม่ว่าที่ไหนปัญหาก็คล้าย ๆ กัน ก็คือปัญหาเรื่องงาน ปัญหาจากเพื่อนร่วมงาน

ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกันเพราะกิเลสคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เราไปที่ไหนก็เจอปัญหา แต่ว่าที่เก่าดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เรารู้แล้วว่าจะหลบหลีกอย่างไร ถ้าเป็นที่ใหม่เราก็ต้องไปเริ่มต้นกันใหม่

เถรี
29-08-2011, 06:23
ถาม : อย่างเราตั้งใจสวดคาถาเงินล้านวันละกี่จบ แต่บางครั้งเวลาสวดอาจจะง่วง มีขาดมีเกินในบางวัน ?
ตอบ : เกินดีกว่าขาด ถ้ารู้สึกไม่แน่ใจก็ให้สวดเกินเข้าไว้

เถรี
29-08-2011, 06:27
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนไปประเทศพม่า อาตมาไปเจอพระแกะจากหยกสีม่วงอ่อน เขาคิดราคา ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่กล้าซื้อ แกะสวยมาก หยกเขาไม่มีตำหนิ ใสปิ๊งเลย ต่อเท่าไรก็ไม่ลด ไม่เคยเห็นหยกสีม่วงที่สวยสมบูรณ์อย่างนั้นมาก่อน"

ถาม : หยกสีม่วงดีอย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าหยกสีม่วงพลังงานจะเหมาะกับตัวเรา ในด้านปกป้องคุ้มครองถือว่าเป็นสีที่เหมาะสมที่สุด แต่ว่าราคาแพงเหลือใจ

คนพม่าขายของไม่เป็น ขนาดสอนเขาแล้วนะ บอกเขาว่าคุณลดราคาให้ต่ำลงหน่อยแล้วจะขายได้มากขึ้น เท่ากับว่าได้กำไรมากขึ้นเอง แต่เขาก็ไม่ทำ เขายืนราคาตายตัวทั้งชาติ แม้แต่จั๊ตเดียวก็ไม่ลด ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็เจอในลักษณะนั้นทั้งหมด

แต่ก็ขึ้นอยู่ที่เราเหมือนกัน ถ้าเราให้คนพม่าที่เรารู้จักไปซื้อ จะได้อีกราคาหนึ่ง ในระยะหลังจะใช้วิธีจ้างโชเฟอร์ไปซื้อ ผมอยากได้พระองค์นั้นคุณไปจัดการให้ที เดี๋ยวผมจะให้รางวัลคุณเท่าไรก็ว่าไป เพราะเราไปจะเจอราคานักท่องเที่ยวซึ่งต่างกัน ๓-๔ เท่า ใช้เขาไปซื้ออย่างไรก็ถูกกว่า บอกเลยว่าให้ไปซื้ออะไรแล้วจะให้ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ จั๊ต

เถรี
29-08-2011, 17:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นพ่อแม่ พอยิ่งอายุมาก จิตใจจะยิ่งยึดเกาะลูกเป็นที่พึ่ง ถ้าลูกทำอะไรเป็นที่ถูกใจพ่อแม่ก็จะยิ่งปลื้มใจ เพราะฉะนั้น..ทำดีกับพ่อแม่ให้มาก ๆ เข้าไว้ กุศลนี้มักจะส่งผลให้เราในชาติปัจจุบันนี้แหละ"

เถรี
29-08-2011, 20:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำดำกินแล้วอ้วน แถมยังกระเพาะพังด้วย เขาทดลองว่าเอาน้ำดำมาหนึ่งลิตรครึ่ง ใส่ตะปู ๓ นิ้วลงไป ปิดฝาแล้วเขย่า ๆ ตั้งไว้หนึ่งอาทิตย์ เทออกมาดูตะปูเหลือบางนิดเดียว กัดเหล็กขนาดนั้นแล้วกระเพาะเราจะเหลือหรือ ?

ส่วนกาแฟทำให้เป็นโรคหัวใจในอนาคต เพราะว่าไปเร่งอัตราการเต้นของหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น พอถึงเวลาอัตราการเต้นของหัวใจก็ลดลงมาสู่อัตราปกติ แล้วก็โดนเร่งใหม่ แล้วก็ลดลงมาอีก ทำให้การเต้นหัวใจผิดปกติไปด้วย จะกลายเป็นโรคหัวใจเมื่อตอนอายุมากขึ้น เพราะฉะนั้น..คนที่ดื่มกาแฟก็เตรียมเงินไว้ผ่าตัดหัวใจด้วย เพราะต้องได้ผ่าแน่ ๆ..!"

เถรี
29-08-2011, 20:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนใต้จะผิวดำกว่าคนภาคเหนือ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อุตุนิยาม

มีนิยาม ๕ อย่าง ที่ทำให้บุคคลต่างกัน อุตุนิยาม คือสภาพดินฟ้าอากาศ คนในเขตร้อนอย่างแอฟริกาตัวดำปี๋เลย ถ้าอยู่ในเขตหนาวอย่างยุโรปก็ผิวขาว ถ้าอยู่ในเส้นศูนย์สูตรอย่างพวกเราก็ผิวเหลือง อันนี้คืออุตุนิยาม

พีชนิยาม คือเกิดจากดีเอ็นเอ (พีชะ คือ พืชพันธุ์) เกิดจากสายเลือด ทำให้เราต่างกันไป จิตนิยาม เกิดจากสภาพจิตใจของตนที่อบรมบ่มเพาะมา คนที่มีสภาพจิตใจอ่อนโยน ประกอบด้วยเมตตาเกิดมาก็สวยงามดูดี คนที่จิตใจประกอบด้วยโทสะ เกิดมาหน้าตาก็ดูไม่ได้

กรรมนิยาม เกิดจากการกระทำของตน กรรมดีกรรมชั่วที่สร้างมาส่งผลให้ต่างกันไป ธรรมนิยาม อันนี้ต้องบอกว่าธรรมะจัดสรร ถ้าหากว่าธรรมนิยามบางส่วนที่จะอธิบายนอกเหนือจากพระไตรปิฎก ก็ต้องบอกว่าเป็นการผ่าเหล่าตามกฎของเมนเดล ที่มีลักษณะเด่น ๓ ลักษณะด้อย ๑ แต่การผ่าเหล่านี้ก็เพราะสิ่งที่เขาสร้างสมมานั่นแหละ บางทีก็ผ่าเหล่าจนกลายเป็นอัจฉริยมนุษย์สุดประเสริฐอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก็มี

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของนิยาม ๕ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด จำแนกบุคคลและสัตว์ให้แตกต่างกันไป คนภาคเหนือของเราผิวขาว ภาคกลางก็คล้ำหน่อย ภาคใต้ก็ผิวดำเลย ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ

แม้กระทั่งสัตว์ก็เหมือนกัน เสือดาวอยู่แถวภาคเหนือ ภาคกลาง พอลงภาคใต้กลายเป็นเสือดำ วัวแดงอยู่แถวภาคกลาง พอลงไปปักษ์ใต้จะเป็นสีออกตาลโตนด คือออกเข้ม ๆ เหมือนวัวดำ เพราะฉะนั้น..เราต้องยอมรับว่าต่างกัน

เรื่องผิวดำ ถ้าไปถามน้องกรวดฯ ก็บอกว่า ดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้ เขาปลื้มใจในความดำของเขาเอง เขาตากแดดอย่างไรก็ไม่ดำไปกว่านั้น ส่วนเราตากแดดหน่อยเดียวก็เกรียมเลย"

เถรี
30-08-2011, 08:54
ถาม : สิ่งที่รู้ จะทำอย่างไรถึงรู้ว่าจริง ?
ตอบ : เชื่อไม่ได้สักครั้งเดียว แต่ให้รับไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเป็นตามนั้นจริงแล้วค่อยเชื่อ

เถรี
30-08-2011, 09:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "การดูอดีตชาติก็ดี ดูอนาคตก็ดี ดูปัจจุบันก็ดี หรือจะรู้ใจคนอื่น ตลอดจนรู้กรรมของบุคคลและสัตว์อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ต้องสร้างทิพจักขุญาณให้เกิดก่อน ทิพจักขุญาณที่เรียกง่าย ๆ ว่าตาทิพย์ แต่ไม่ใช่ตาเห็น เป็นใจเห็น

ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน ต้องเริ่มที่กสิณ ๓ กอง กองใดกองหนึ่ง ก็คือ อาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง โอทาตกสิณ กสิณสีขาว และเตโชกสิณ กสิณไฟ

แต่เท่าที่เคยทำมาจากประสบการณ์ กสิณน้ำก็สามารถทำเป็นทิพจักขุญาณได้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ นอสตราดามุส ถึงเวลาจะดูอนาคตเขาก็ไปดูในอ่างน้ำ อาตมาก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่า ถ้าเพ่งเฉพาะน้ำอย่างเดียวจะได้อาโปกสิณ แต่ถ้าตั้งใจเพ่งให้ถึงก้นภาชนะ จะเป็นทิพจักขุญาณด้วย เพราะฉะนั้น..ใครทำอาโปกสิณจะได้ทิพจักขุญาณด้วย ถ้าทำเป็นนะ...

แต่ถ้าหากว่ามีของเก่า ในอดีตเคยทำไว้ ถึงเวลาไปฝึกมโนมยิทธิจะเป็นการฟื้นของเก่า ทิพจักขุญาณจะคืนมา เมื่อคืนมาแล้ว ถ้าเราใช้ในการระลึกชาติ เขาเรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ใช้ในการรู้อดีต เรียกว่า อตีตังสญาณ

รู้อนาคต เรียกว่า อนาคตังสญาณ รู้ปัจจุบัน เรียกว่า ปัจจุปันนังสญาณ รู้ใจคนอื่น เรียกว่า เจโตปริยญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน เรียกว่า จุตูปปาตญาณ รู้ว่าแต่ละคนทำกรรมอะไรและจะได้รับผลของกรรมนั้นอย่างไร เรียกว่า ยถากัมมุตาญาณ"

เถรี
30-08-2011, 09:33
"ทั้งหมดเกิดจากทิพจักขุญาณอย่างเดียว แค่เปลี่ยนวิธีใช้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าต้องการ ก็ลองใช้ ๒ อย่าง อย่างแรกลองฝึกมโนมยิทธิดู ที่วัดท่าซุงมีสอนทุกวัน บ้านสายลมทุกเสาร์ - อาทิตย์ต้นเดือนก็มีสอน

ถ้าฝึกเองก็ใช้กสิณ เพ่งสีขาว เพ่งแสงสว่าง หรือลูกแก้วก็ได้ หรือไม่ก็เพ่งไฟ พออารมณ์ใจทรงตัว ภาพกสิณจะติดตาติดใจ หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น เราก็เอาสติช่วยประคับประคองไว้ จนภาพกสิณนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสว่างเจิดจ้าเมื่อไร ก็ลองอธิษฐานขอให้ใหญ่ ให้เล็กดู

ถ้าใหญ่ได้เล็กได้ มาได้ไปได้ ก็อธิษฐานขอให้เห็นนั่นเห็นนี่ได้ ใช้ความพยายามหน่อยจ้ะ ไม่กี่ชาติก็ได้แล้ว..!

การฝึกปฏิบัติเป็นการสั่งสมบารมี ไม่สำเร็จรูปเหมือนเข้าร้านสะดวกซื้อไปซื้อเอา เพราะฉะนั้น..ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ทำไป ต้องการอะไรตั้งใจเอาไว้ แต่ตอนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำ ให้ลืมความต้องการนั้นเสีย เรามีหน้าที่ปฏิบัติอย่างเดียว ถึงเวลาผลจะเกิดเอง

เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เราก็รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยของเราไป ดูแลกำจัดวัชพืช กำจัดหนอนแมลงไป ถึงเวลาต้นไม้ก็ออกดอกออกผลเอง ไม่ใช่เราไปเร่ง ดึงยอดให้โตเร็ว ๆ หน่อย แบบนั้นเดี๋ยวก็ตายคามือ..!"

เถรี
30-08-2011, 15:58
พระอาจารย์เล่าว่า "จากรูปแบบที่เคยยึดถือมา การสร้างพระจะต้องมีหลังคา แต่พอรับคำสั่งให้สร้างพระแบบไม่มีหลังคา ก็เลยงง ๆ เพราะไม่คุ้นจริง ๆ ท่านสั่งให้สร้างหน้าวัด ให้ชาวบ้านเห็นแล้วเกิดอนุสติ อยากเข้าวัดมาไหว้พระ ถ้าสร้างในตัวอาคารจะไม่เด่นพอ

อาตมาจะสร้างสัก ๒๑ ศอก ต่อไปจะกลายเป็นจุดรวมศรัทธาคน หลวงพ่อภปร.ที่ทองผาภูมิหน้าตัก ๑๘ ศอก องค์ที่สร้างใหญ่กว่านั้น ๓ ศอกหรือเมตรครึ่ง ตัวอาคาร ๓๐x๓๐ เมตร ทำเป็นห้องประชุมได้เลย

ฐานจะมี ๒ ระดับ ระดับแรก ๓๐ เมตร ระดับที่สอง ๒๐ เมตร ข้างล่างจะกลายเป็นห้องประชุมใหญ่เท่ากับได้พื้นที่ ๙๐๐ ตารางเมตร

ใครมีเงินเหลือสัก ๓ ล้าน จะเป็นเจ้าภาพสร้างพระใหญ่ก็ได้นะ ๓ ล้านคงได้แค่โครงสร้าง หรืออาจจะได้ประมาณฐานเท่านั้น"

เถรี
30-08-2011, 16:04
"ศาลาของหลวงพี่วิรัช คนไปงานเป็นหมื่นก็บรรจุได้สบาย เพราะว่าพี่เขาสร้างคร่อมอาคารพระชำระหนี้สงฆ์ทั้ง ๔ ด้าน และพระประธานใหญ่

หลวงพี่วิรัชทำบวงสรวงตอนสิบโมงเกือบครึ่ง อาตมาบอกว่า "พี่ทำบวงสรวงสายขนาดนี้ เทวดาที่ไหนจะเหลือเล่า ? ไม่มีใครอำนวยความสะดวกให้ ฝนถึงได้ตกกระหน่ำเปียกอย่างนี้"

หลวงพี่วิรัชบอกว่า อยากจะให้ทำงานต่อเนื่อง พอบวงสรวงเสร็จก็หล่อพระต่อเลย จึงกำหนดบวงสรวงเวลาสาย อาตมาก็บอกว่า "ถ้าเกินเก้าโมงครึ่ง ก็ไม่ต้องรอแล้ว เทวดาท่านไปเทวสภากันหมด"

เถรี
30-08-2011, 16:24
พระอาจารย์เล่าเรื่องหลวงพ่อประทีปให้ฟังว่า "หลวงพี่ประทีปบวชจากวัดสุขุมาราม ต่อมาหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ส่งมาอยู่รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุง

หลวงพี่ประทีปเป็นพระนอกที่เป็นยิ่งกว่าเนื้อแท้ ท่านบวชปี ๒๕๑๘ พรรษามากกว่าอาตมา ๑๑ พรรษา เป็นพระที่ทุ่มเททำงาน โดยเฉพาะงานก่อสร้าง การซ่อมแซมต่าง ๆ

ตอนที่หลวงพ่อท่านเร่งงานห้องกรรมฐานที่ศาลา ๒๕ ไร่ ท่านก็ระดมพระเณรไปช่วยทาสี อาตมาก็คิดว่าทาสีนั้นช้า น่าจะใช้สีพ่นได้ ก็ไปปรึกษากับหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ก็บอกว่า "ใช่..ถ้ามีถังพ่นขนาด ๒๐ ลิตร เราสามารถเอาสีทั้งถังใส่ลงไป ปิดฝาพ่นได้เลย" อาตมาจึงบอกว่า "พี่ไปเสนอป๋าสิ.." พระในวัดที่บวชแล้วเรียกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าป๋า มีอยู่ ๓ คน ก็คือหลวงพี่ประทีป พระปลัดน้อย และอาตมา"

เถรี
30-08-2011, 16:32
"พอหลวงพี่ประทีปนำเรื่องไปเสนอ หลวงพ่อท่านบอกว่า "ซื้อมาต้องใช้เป็นนะ" หลวงพี่ท่านก็ "ครับ ๆ" พอถึงเวลาซื้อมาปรากฏว่ามีหลวงพี่ประทีปพ่นสีเป็นอยู่คนเดียว อาตมาก็เลยต้องไปช่วย

ปกติช่วงนั้นอาตมาจะหวงเวลามาก ตอนนั้นงานอย่างอื่นโดนกรรมการสงฆ์ตัดออกหมดทุกอย่าง ยกเว้นอยู่เวรยาม พอออกเวรเสร็จอาตมาก็หลบเข้าที่พัก ภาวนาของเรา พูดง่าย ๆ ว่านอกจากหน้าที่ประจำก็ไม่เอางานอื่นเลย

พอมาทำงานพ่นสีนี้ จับกาพ่นขึ้นมา หลวงพี่ประทีปหันมาเห็นเข้าก็ถีบพลั่ก..! "เป็นงานนี่หว่า ?" คนทำมาหากินกับสีมา ๘ ปี อย่างไรก็ต้องเป็น การทำสีรถยนต์ยากที่สุด ดังนั้นการพ่นสีจึงเป็นงานง่ายสำหรับอาตมา หลวงพี่ท่านเห็นท่าจับกาพ่นก็รู้แล้วว่าเป็นงานมาก่อน "ครับ..ผมเคยทำสีรถมา ๘ ปี" "แล้วทำไมไม่มาช่วยกูบ้าง..?" โธ่..ก็พี่เคยเรียกผมให้ช่วยหรือเปล่า ? ถ้าผมเข้าไปขอช่วยแล้วพี่ว่าผมเสือก แล้วผมจะทำอย่างไร ?"

เถรี
30-08-2011, 17:00
"ในช่วง ๑๐๐ วันของหลวงพ่อวัดท่าซุง เราจะทำการเปลี่ยนจีวรหลวงพ่ออยู่เรื่อย ๆ พอเปลี่ยนจีวร หลวงพี่ประทีปก็จะเก็บจีวรทั้งหมด ท่านจึงมีจีวรหลวงพ่อมากที่สุด

ปรากฏว่า พอปี ๒๕๓๗ เกิดน้ำท่วมใหญ่ หลวงพี่ประทีปบ่นว่า "ไอ้ห่_คนมาช่วยกู กูจะขอบใจมันดีหรือจะด่ามันดีวะ..?" อาตมาก็ถามว่าทำไม ? พี่เขาบอกว่า "มันเห็นจีวรป๋าเปื้อนโคลน มันเอาไปทิ้งหมดเลย" คนไม่รู้ว่าเป็นจีวรเก่าของหลวงพ่อวัดท่าซุง นึกว่าเป็นจีวรเก่าของหลวงพี่ประทีป ก็เลยเอาไปทิ้งหมด..!

อาตมาอยากได้ของอย่างหนึ่งของหลวงพี่ประทีป นอกนั้นไม่อยากได้เลย คือมีดหมอหลวงพ่อเดิมขนาด ๙ นิ้ว ด้ามงาช้างยาวเป็นศอกเลย พี่เขาดูแลอย่างดี เช็ดถูเป็นประจำ มีสนิมขุมกินเนื้อนิดหน่อย ส่วนอื่นก็ยังขาวอยู่เลย

แต่ถ้าพระมรณภาพลง เจ้าอาวาสจะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอย่างน้อย ๓ รูป ช่วยกันจัดการแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สิน ว่าอะไรเหมาะจะให้ใคร ในปัจจุบันนี้หลายต่อหลายวัดด้วยกันมอบสิทธิ์ขาดให้เจ้าอาวาสจัดการ แล้วแต่ท่านเห็นสมควร"

เถรี
30-08-2011, 19:50
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "โยมที่โทรมาเมื่อครู่นี้ รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่วัดท่าซุง รู้จักกันเพราะเขาเล่นวิทยุสมัครเล่น ช่วงที่อาตมาอยู่วัดท่าซุงต้องเข้าเวรตอนกลางคืน บางทีนั่งทั้งคืนแล้วเบื่อก็เข้าช่องวีอาร์ ฟังเขาพูดวิทยุกัน บางทีก็แหย่เขาไปบ้าง ไม่รู้ว่าถูกใจเขาหรืออย่างไร เขาขอ ว.๑๕ ก็คือขอเจอหน้าหน่อย

อาตมาก็เลยถามว่าบ้านอยู่ไหน ? เขาบอกว่าอยู่มโนรมย์ จึงบอกให้เขาข้ามฝั่งมา วิ่งมา ๔ กิโลเมตร จะเจอรั้วเหลืองใหญ่ ๆ บ้านหลังมหึมา พอเขามาถึงก็เจอว่าเป็นพระ เขางงมาก

บ้านนี้เขามี ๒ ครอบครัว สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้เล็ก พี่แต่งกับพี่ น้องแต่งกับน้อง ลูก ๆ เขาเพิ่งจะเรียนมัธยม แต่แม่เขาใจยิ่งกว่าฝรั่งอีก ลูกสองบ้านนี้เป็นผู้หญิงหมดเลยนะ คนเล็กสุดเรียนอยู่ ม. ๒ แม่เขาบอกลูกว่า "จะเที่ยวไหนก็เที่ยวเถอะ อย่าให้ท้องก็พอ..!"

เด็กก็เลยเที่ยวหัวหกก้นขวิด กลับบ้านดึกดื่นทุกคืน พอถึงเวลาจะกลับบ้าน เขาก็จะวิทยุคุยกัน "อยู่ที่ไหน ? จะกลับแล้วนะ.." อาตมาก็แหย่ไปว่า "อ้าว..ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง ยังไม่ทันจะสว่างเลย.."

เขาสงสัยว่า ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้วอาตมารู้ทุกที ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นนักเที่ยวเหมือนกัน เมื่อสงสัยจึงบุกไปที่วัด พอเขาถามว่ารู้เรื่องได้อย่างไร อาตมาก็บอกว่า เวลาเขาพูดวิทยุ พอกดคีย์ เสียงข้าง ๆ วิทยุเข้ามาด้วย ก็เลยได้ยิน หาเรื่องแก้ตัวไปเรื่อย

อาตมาจึงแนะนำเขาว่า เรื่องอย่างนี้เป็นคุณสมบัติที่ทุกคนทำได้ แต่ต้องฝึกสมาธิเบื้องต้นให้ได้ก่อน ถ้าจิตของเราสงบก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่นิ่งสามารถสะท้อนเงาของทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง ๆ ให้เห็นได้ชัด เขาก็ลองทำดู ปรากฏว่าเทอมนั้นผลการเรียนดีขึ้นผิดหูผิดตาทั้ง ๓-๔ คน

แม่เขาที่อยู่ข้างวัด แต่ไม่เคยเข้าวัดก็เลยเริ่มเข้าวัด มาทำบุญ อาตมาเห็นลูกคนกลางของเขากลมเป็นลูกชิ้นเลย จึงขอลูกคนนี้กับแม่ของเขา แม่ก็เลยยกให้อีก ๒ คน คราวนี้พี่สาวเขารู้ก็เลยยกให้อีก ๓ สรุปแล้วขอ ๑ ได้มา ๖ ตอนนี้แต่งงานไปหมดแล้ว เจ้าตัวเล็กสุดที่ตอนนั้นอยู่ ม. ๒ ตอนนี้มีลูกสองคนแล้ว"

เถรี
30-08-2011, 19:56
"เขาเป็นตัวแทนบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตสาขาชัยนาท ทำสถิติยอดเงินประกันสูงสุดของภาคเหนือทุกปี อยู่ในลักษณะที่ลูกค้าวิ่งไปหาเขาเอง เขาไม่ต้องหาลูกค้า เพราะว่าเขาดูแลลูกค้าดีมาก

อย่างน้อย ๆ อาทิตย์หนึ่งลูกค้าจะต้องเห็นหน้าเขาครั้งหนึ่ง จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องเขาก็ไปถึงบ้านตลอด ถามสารทุกข์สุขดิบ วันเกิดปีใหม่ก็ส่งกระเช้าไปให้ ลูกค้าเกิดเรื่องอะไรเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยขนาดไหนเขาทำเคลมให้หมด

เขาไปทะเลาะกับสำนักงานใหญ่จนสำนักงานใหญ่ระอา เขาบอกว่าเป็นสิทธิของลูกค้า จะสามร้อยบาท ห้าร้อยบาท ก็เบิกให้หมด ก็เป็นสิทธิของเขาที่จะเบิกได้ คุณมีหน้าที่คุณก็จ่ายมา

บางทีแม้กระทั่งลูกค้าก็ไม่อยากได้ แต่เขาบอกว่าเซ็นมาเถอะเขาจะเคลมให้ ในเมื่อเขาดูแลดี ลูกค้ารู้ก็วิ่งมาหาเอง พอเยอะเข้า ๆ ตัวเองทำไม่ไหว จึงให้สามีออกจากโรงเรียนที่สอนอยู่ มาช่วยทำประกัน แล้วก็เอาลูกออกจากงานมาช่วยทำ ไป ๆ มา ๆ ทั้งตระกูลก็มาช่วยกันทำ

ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า การทำงานหรือปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าทุ่มเทอย่างจริง ๆ จัง ๆ คือเมื่อฉันทะเกิดแล้ว วิริยะตามมา พากเพียรทำไป จิตใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเขาก็วิ่งหาลูกค้าอยู่ตลอด พูดง่าย ๆ ว่าเดือนหนึ่งลูกค้าเห็นหน้า ๓-๔ ครั้ง ก็เกิดความมั่นใจว่าตัวแทนไม่ทิ้งเขาแน่ ถึงเวลาเรื่องเล็กเรื่องน้อยขนาดไหนเขาก็จัดการเคลมให้หมด

ขนาดตัวเองไม่ไปโรงพยาบาลก็ยังไปหาเพื่อนหมอที่คลินิก บอกให้เพื่อนเซ็นรับรองว่าป่วย ในเมื่อเขาทำได้ ลูกค้าก็วิ่งมาชนเอง เขาไปเที่ยวต่างประเทศจนเบื่อ เพราะรางวัลพวกนี้ส่วนใหญ่ให้ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปจนไม่อยากจะไปแล้ว ฟรีก็จริงแต่เวลาอยากได้อะไรก็ต้องควักกระเป๋าซื้อเอง

เรามาดูกำลังใจว่า เขาทุ่มเทให้กับงานขนาดนั้น พวกเราก็ควรทุ่มเทกับการปฏิบัติแบบนั้นบ้าง ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ถ้าไม่ได้ดีที่สุด ก็ต้องได้ให้มากที่สุด"

เถรี
30-08-2011, 21:43
ถาม : ทำพรหมวิหารสี่ให้เป็นฌานได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : แผ่เมตตาจนกระทั่งเต็มที่แล้ว ก็ให้ภาวนาต่อจ้ะ แค่นั้นเอง อย่างเราแผ่ส่วนแผ่ ภาวนาส่วนภาวนา ไปแยกกัน

ให้แผ่เมตตาตามแบบที่เคยสอนไป จนกระทั่งอารมณ์ใจเต็มที่แล้ว เราก็จับลมหายใจภาวนาต่อ

ถาม : เราเอาเมตตามาใส่ จะได้หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าเต็มที่อยู่แล้ว ถึงเวลาเราแค่ภาวนาต่อท้ายเท่านั้นเอง เท่ากับเป็นตัวสมาธิในเมตตา

เถรี
30-08-2011, 21:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราส่วนหนึ่งเวลากำลังใจตก จะไม่ค่อยกล้ามาหาพระ ไปรอว่ากำลังใจดีเมื่อไรแล้วค่อยมา ขอบอกว่าถ้าทำอย่างนั้นคิดผิดมาก

ส่วนใหญ่เพราะพวกเรากลัวว่าพระรู้เรื่องไม่ดีของตัวเองแล้วจะว่าเอา อาตมาพูดไม่ผิดหรอก..เพราะรู้จริง ๆ แต่พระไม่ได้มีหน้าที่มาพูดว่าเราทำอะไรไม่ดี พระท่านมีหน้าที่ดูว่าจะช่วยอย่างไรให้เราดี เพราะฉะนั้น..ความลับก็ยังเป็นความลับอยู่เหมือนเดิม ไม่ต้องกังวลไป

พระไม่มีหน้าที่ซ้ำเติมใคร ในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรมจริง ๆ ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามวาระของกรรม คนที่ทำกรรมดีก็ติดอยู่ในกระแสขาวที่ดึงขึ้นไป คนที่ทำความชั่วก็หลงอยู่ในกระแสดำ ที่ไหลลงต่ำไปเรื่อย ๆ พระท่านมีหน้าที่แค่ดูว่าจะเสริมเขาให้ดีอย่างไร ? จะช่วยเขาให้ดีอย่างไร ? ไม่ได้มีหน้าที่ไปดูแล้วก็ไปตำหนิด่าว่าใคร

ยกเว้นว่าการด่านั้นทำให้เขาสำนึกแล้วกลับมาดี ท่านจึงทำ ดังนั้น..ไม่ต้องเกรงใจจ้ะ ไม่ใช่รอว่าดีแล้วค่อยมาหาพระ ถ้าดีแล้วจะมาทำไมวะ..?! ถ้ารู้ตัวว่าชั่วให้รีบมาหาพระ เผื่อจะช่วยได้บ้าง ถ้ารอให้ตะเกียกตะกายเองมักจะช้า เสียเวลามากโดยใช่เหตุ ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุนยับเยิน"

เถรี
30-08-2011, 21:56
"อาตมาเป็นคนหน้าด้านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำผิดเรารู้ว่าผิด พอเข้าไปหาหลวงพ่อ ท่านไม่เคยตำหนิสักครั้งเดียวเลย แต่ถ้าทำผิดแล้วอวดดี โดนท่านด่าจมทะเลทุกครั้งเลย

เพราะฉะนั้น..ถ้าทำผิดแล้วรู้ผิด พอเข้าไปหา ท่านก็จะบอกวิธีแก้ไขให้ แต่ถ้าทำผิดแล้วไม่รู้ผิด ไม่รับผิดแล้วไปหา จะโดนด่าจมดินทุกครั้งเลย จึงทำให้เข้าใจเลยว่า เรื่องของพระจริง ๆ นั้น ท่านไม่ได้มีหน้าที่ดูว่าใครถูกใครผิด เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น กฎแห่งกรรมเขาจัดการเองอยู่แล้ว

ท่านมีแต่หน้าที่หนุนเสริมเขาให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาชั่ว จะว่าไปแล้วหน้าที่ของพระดูง่าย แต่ขอโทษเถอะ ยากยิ่งกว่าเข็นเรือเกลืออีก..!"

เถรี
30-08-2011, 23:18
ถาม : ถ้าหนูไม่อยากเจอคนที่ไม่อยากเจอในชาตินี้หรือในชาติหน้า ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ คนเราไม่ว่าจะสร้างบุญร่วมกันหรือสร้างกรรมร่วมกัน ถึงเวลาต้องเจอกัน ถ้าไม่อยากเจอเขาก็ต้องสร้างความดีให้ถึงที่สุด คือไปนิพพานให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ถ้าคนอื่นยังชั่วอยู่ โอกาสเจอก็ยากแล้ว เพราะเราไปจนเขาตามไม่ทันแล้ว

ถาม : การตัดกรรมสามารถช่วยได้ไหมคะ ?
ตอบ : การตัดกรรมไม่มีในพระพุทธศาสนา ยกเว้นอย่างเดียวคืออโหสิกรรม คือการที่โจทก์และจำเลยมาตกลงกัน ว่าจะเลิกแล้วต่อกัน ถ้าหากว่าต่างฝ่ายต่างรับรู้ ออกปากยินดียกโทษให้ ก็เป็นอันว่าจบกันไป

เถรี
30-08-2011, 23:28
ถาม : เคยได้ยินเรื่องขวานฟ้าหรือเปล่าคะ ? คืออะไร ? ใช้ทำอะไรคะ ?
ตอบ : ขวานฟ้าเป็นวัตถุอาถรรพ์ชนิดหนึ่ง เป็นเรื่องที่แปลกมากว่า ถ้าฟ้าผ่าลงตรงไหน ไปค้นดูมักจะเจอขวานหินเล็ก ๆ ถ้าดูแล้วก็เหมือนขวานของมนุษย์โบราณนั่นแหละ แต่แปลกว่าทำไมถึงจำเพาะมาอยู่ตรงที่ฟ้าผ่า

โบราณเขาเชื่อว่าขวานนี้ได้พลังอำนาจจากสายฟ้า ก็เลยเอามาใช้งาน โดยเฉพาะพวกที่เล่นไสยศาสตร์ต่าง ๆ เขาเอาไว้ทำลายอาถรรพ์

สมัยก่อนถ้าหัดมวยไทยโบราณ อย่างมวยคาดเชือก ใช้ด้ายดิบชุบน้ำข้าว ตากไว้จนแข็งโป๊ก อาจารย์เอามาพันมือให้ พอชั้นท้าย ๆ เขาจะเอาขวานฟ้าสอดเอาไว้ แล้วก็พันต่อ เขาเชื่อว่าถ้าฝ่ายตรงข้ามเล่นคาถาอาคมหรือวัตถุอาถรรพ์ มีขวานฟ้าอยู่จะสามารถแก้อาถรรพ์นั้นได้

อาจารย์โมเช่เขาบอกว่า "ที่อาจารย์มีอยู่นี่ เวลาชาวบ้านเขาตากข้าวโพด ก็โยนไว้ตรงนั้นแหละ ไก่จะไม่กล้ามากิน" อาตมาก็สงสัยว่าขวานฟ้ากันไก่ได้ด้วย ? แต่ก็ไม่เคยลอง เพราะไม่เคยตากข้าวโพด เวลาชาวบ้านเก็บข้าวโพดมา จะตากให้แห้งก่อนแล้วค่อยไปสีเอาเม็ด บางทีไก่ก็ฉวยโอกาสกินข้าวโพด พอเอาขวานฟ้าไว้กับกองข้าวโพด ไก่จะไม่กล้ากิน

เถรี
30-08-2011, 23:33
เป็นขวานเล็ก ๆ บางทีก็มีขนาด ๒ นิ้ว ๓ นิ้ว เคยเจอเต็มที่ก็ไม่เกิน ๔ นิ้วมือ จะมีหลาย ๆ สี อาตมาคิดว่า ถ้าเอามาบดใส่รวมกับวัตถุมงคล คงเข้าท่ากว่าเยอะเลย

ถาม : ใช้รักษาโรคได้ด้วยหรือคะ ?
ตอบ : ในเรื่องของพลังอำนาจ จริง ๆ แล้ววัตถุทุกชนิดมีพลังอยู่แล้ว ว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ แกนกลางของสสารเป็นพลังงานทั้งนั้น ในเมื่อมีพลังงานก็ขึ้นอยู่กับคนใช้ ว่าจะใช้ในทางไหน ดังนั้น..จะเอาขวานฟ้าไปรักษาโรคก็ได้ เพียงแต่ว่าต้องควบคุมให้เป็นด้วย

เถรี
02-09-2011, 07:21
ถาม : เครื่องสังฆทานของที่นี่ครบถ้วนไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตามสูตรวัดท่าซุงนี่ก็ครบแล้ว แต่ถ้ามีสูตรของคนอื่นมากกว่านี้ต้องไปหาเอง

ถาม : ที่ขาดไม่ได้ควรจะมีอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : ตามแบบของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเอาประสบการณ์จากที่ผีมาขอ ผีแทบทั้งหมดที่มาขอจะระบุว่า ขอพระพุทธรูปหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้ว ๑ องค์ ขอผ้าสบง จีวร หรือว่าสังฆาฏิ หรือถ้าได้ผ้าไตรทั้งชุดยิ่งดี ๑ ชุด และอาหารสดหรือแห้งก็ได้

พระพุทธรูปจะทำให้เขามีรัศมีกายสว่างมาก มีศักดานุภาพมาก ผ้าไตรจีวรจะทำให้เขามีเครื่องประดับเป็นทิพย์ อาหารจะเป็นอาหารสดหรือแห้งก็ตามจะทำให้เขาอิ่มทิพย์ เพราะฉะนั้น..เมื่อมีครบเท่านี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว

แต่ว่าหลวงปู่มหาอำพันท่านเพิ่มรองเท้ากับร่มเข้าไปด้วย เพราะท่านอ่านในพระธรรมบทที่พระโพธิสัตว์ไปปราบยักษ์ ยักษ์นั้นได้พรจากท้าวเวสสุวรรณว่า ให้ไปอาศัยอยู่ต้นไทรใหญ่นอกเมือง คนหรือสัตว์เข้ามาในร่มเงาของต้นไทรอนุญาตให้จับกินได้ คราวนี้ยักษ์กินคนไปเยอะ พระราชาส่งทหารไปปราบก็โดนกินเสียเรียบ จึงประกาศว่าถ้าใครสามารถปราบยักษ์นี้ได้จะยกสมบัติให้กึ่งหนึ่ง

พระโพธิสัตว์ท่านอยู่กับแม่ มีฐานะยากจนมาก เมื่อได้ยินดังนั้นก็อาสาจะไปปราบยักษ์ ท่านใส่รองเท้าและถือร่มไป พอเข้าไปเขตนั้นยักษ์ก็จะมาจับกิน พระโพธิสัตว์กล่าวกับยักษ์ว่า "เจ้าเอาสิทธิ์อะไรมากินข้า ถ้าเจ้าบอกว่าข้าอยู่ใต้ร่มเงาต้นไทรนี้ เจ้ามีสิทธิ์กิน แต่ข้าอยู่ใต้ร่มของตัวเอง ไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาไม้เสียหน่อย และข้ายืนอยู่บนรองเท้า ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นที่ของเจ้าสักหน่อย"

หลวงปู่มหาอำพันท่านอ่านตรงนี้แล้วท่านประทับใจมาก ท่านก็จึงใส่รองเท้ากับร่มลงไปด้วย เพราะฉะนั้น..สังฆทานของหลวงปู่มหาอำพันจะมีรองเท้ากับร่มเพิ่มขึ้นมา ถือเคล็ดว่าไปไหนจะได้ปลอดภัย

เถรี
02-09-2011, 07:23
ถาม : ได้ยินมาว่าต้องเลือกผู้ที่รับสังฆทาน ?
ตอบ : ถ้าเลือกไม่ใช่สังฆทาน เลือกเนื้อนาบุญจะได้ปาฏิปุคคลิกทาน อานิสงส์ต่ำกว่าเป็นแสนเท่า

ถาม : ถ้าผู้รับศีลไม่บริสุทธิ์ละคะ ?
ตอบ : ก็เขาเป็นตัวแทนสงฆ์ ไม่ใช่ผู้รับไปใช้เองกินเองคนเดียวเสียเมื่อไร ต้องไปดูอันตรธานปริวัตรในปฐมสมโพธิกถา น่าจะเป็นปริวัตรที่ ๒๙ ท่านกล่าวถึง วาระสุดท้ายของพระศาสนา เพศของพระจะเหลือเพียงผ้าเหลืองห้อยหูหรือผ้าพันข้อมือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นนักบวชเท่านั้น

ศีล ๒๒๗ ข้อ เหลือเพียงปาราชิก ๔ ข้อเท่านั้นที่ยังไม่ได้ล่วงละเมิด ท่านบอกว่าเพศพระและศีลแม้เหลือเพียงนั้น ถ้าถวายสังฆทานก็ยังมีอานิสงส์เหมือนอย่างกับถวายกับหมู่สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

เถรี
02-09-2011, 07:24
ถาม : มโนมยิทธิดีกว่าการปฏิบัติแบบอื่น ?
ตอบ : ก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนกัน แต่เพียงแต่ว่ามโนมยิทธิมีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ มีคุณอนันต์ก็คือเรารู้จักพระนิพพานได้ เราไปพระนิพพานตรง มีโทษมหันต์ก็คือประเภทรู้แล้วก็ไปอวดคนอื่นเขา กูเก่งกว่า กูดีกว่า กลายเป็นยึดติดมากเข้าไปอีก

ถาม : สัพพัญญูวิสัยไม่ใช่จะได้กันง่าย ๆ หมายถึง..?
ตอบ : ก็หมายความว่าสัพพัญญูวิสัย วิสัยของผู้ที่รู้แจ้งในทุกเรื่อง มีเพียงพระพุทธเจ้าอยู่องค์เดียวที่จะมีได้

เถรี
02-09-2011, 07:27
ถาม : มักมีเรื่องกระทบกันแล้วเกิดโทสะขึ้นมา..?
ตอบ : แสดงว่าเราวางไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนวางไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าจะวางให้ได้ต้องมีปัญญาประกอบด้วย เราต้องดูว่าสิ่งที่เขาทำให้เราโกรธนั้น เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่? ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ไม่น่าจะโกรธ เพราะว่าบุคคลที่แสดงเรื่องจริงกับเราก็เหมือนกับกระจก สะท้อนให้เห็นรูปร่างอันน่าเกลียดน่าชังของเรา ซึ่งคือความจริงแล้วเรารับไม่ได้ แล้วไปโกรธกระจกนั้นถูกไหม ?

แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริง บุคคลที่ไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ก็แปลว่าเขาคนนั้นปัญญาน้อยมาก คนที่โง่ขนาดนั้นก็ไม่ควรจะไปโกรธเขาหรอก สงสารเขาดีกว่า ถ้าหากว่าเราคิดเป็นก็จะไม่โกรธ แต่ถ้าคิดไม่เป็นก็แบกไปนานเลย

เพราะฉะนั้น..ถ้าจะตัดรัก โลภ โกรธ หลง สำคัญต้องมีตัวปัญญาด้วย ถ้าปัญญาไม่พอก็จะโดนเขาชักจูงไปนาน แต่ว่าอย่าท้อใจนะ ต้องใช้ความพยายาม แรก ๆ ก็ลักษณะดึงม้าที่หน้าผา ม้าจะตกหน้าผาแล้วต้องรั้งให้อยู่ ถ้าไม่อยู่ตายทั้งคู่แน่ หลังจากนั้นพอรั้งอยู่แล้ว ทำอย่างไรที่จะให้ม้าไปจากที่นั้นเสีย จะได้ไม่ตกหน้าผาอีก

ค่อย ๆ ทำไปจ้ะ ถ้าหากสมาธิดีขึ้น ตัวยับยั้งจะดีขึ้นด้วย แล้วพอสติสมาธิดีถึงที่สุด จะหยุดตรงนั้นได้ แต่จะเก็บไปคิดทีหลังแล้วโกรธอีก เพราะฉะนั้น..ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือใช้ปัญญาพิจารณาแล้วค่อย ๆ ละวาง ค่อย ๆ ทำไปจ้ะ ถ้าได้เร็วเดี๋ยวพระเขาอาย เพราะพระกว่าจะทำได้ยังตั้งนาน

เถรี
02-09-2011, 07:30
ถาม : ภาวนาอย่างไรจะให้ลูกในท้องสมบูรณ์ แข็งแรง ?
ตอบ : ไปสวดอังคุลิมาลปริตรก็ได้ ในหนังสือเจ็ดตำนาน ที่ว่ายะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา สั้น ๆ แค่ ๓-๔ บรรทัด ประโยคสุดท้ายบอกว่า โสตถิ คัพภัสสะ แปลว่า ขอให้ครรภ์นี้จงสวัสดี ก็คือ ปลอดภัยทุกอย่าง

โบราณเขาใช้เป็นคาถาทำน้ำมนต์ให้คลอดลูกง่าย เราก็ภาวนาแล้วนึกถึงลูก ขอให้แข็งแรง สมบูรณ์ เลี้ยงง่าย โตเร็ว อะไรก็ว่าไป ในหนังสือมนต์พิธีก็มีจ้ะ ภาวนาเยอะ ๆ ลูกออกมาจะได้น่ารัก

เถรี
02-09-2011, 07:32
:4672615: เก็บตกเดือนนี้หมดแล้วค่ะ :4672615: