ลัก...ยิ้ม
05-08-2011, 08:20
ให้ทบทวนพระธรรมคำสอนในอดีตแบบย่อ ๆ
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
๑. “ปฏิบัติที่ไหนให้ทิ้งกายที่นั่น คือ ทุกกาลเวลา โดยไม่เลือกสถานที่ เมื่อพึงจักเจริญกรรมฐานให้กำหนดจิตตัดร่างกาย คลายความห่วงใยเกาะติดในร่างกาย เป็นการตัดตาย แล้วผลของการปฏิบัติพระกรรมฐานจักเป็นผลดี” (การปฏิบัติกรรมฐานให้ทำที่กาย และจิตตนไม่ให้ติดร่างกายครูอาจารย์ ไม่ติดสถานที่ ให้ติดพระธรรม ไม่ให้ประมาทในความตาย มีมรณาและอุปสมาทุกลมหายใจเข้าออก ซ้อมตายและพร้อมตายอยู่เสมอ)
๒. “ให้ลองกำหนดดู การระลึกนึกถึงความตาย ซ้อมทิ้งร่างกายอยู่เสมอ ๆ จักทำให้จิตไม่ประมาท มีความขยันหมั่นเพียรที่จักเอาชนะกิเลส แม้กระทั่งอารมณ์ขี้เกียจ ก็จักคลายตัวลงไป ขอให้ตั้งใจทำให้จริงก็แล้วกัน” (ทรงเน้นเรื่องความเพียรในบารมี ๑๐ คือ วิริยะ ขันติ สัจจะบารมี โดยมีปัญญาบารมีคุม ทำความดี ความเพียรทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว ด้วยความไม่ประมาทในความตาย)
๓. “แล้วหมั่นตรวจสอบสังโยชน์ ตรวจสอบอารมณ์จิต ดูให้แน่ชัดว่ายังมีความเกาะติดอยู่ในสังโยชน์มากน้อยเพียงใด ค้นหาพระกรรมฐานแก้จริต พยายามทำให้ทรงอยู่ประจำจิตเสียให้ได้ ถ้าตั้งใจจริงก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้” (ทรงเน้นการปฏิบัติจะต้องกำหนดรู้อารมณ์จิตของตนไว้เสมอ ใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์ไว้เสมอ เมื่อรู้จริตหรืออารมณ์จิตของตน ก็คือรู้จริต ๖ และรู้กรรมฐานแก้จริตไปในตัว อย่าละความเพียรและอย่าประมาทในกรรมทั้งมวล)
๔. “อิทธิบาท ๔ อย่าทิ้ง ต้องหมั่นตรวจสอบให้มีในอารมณ์ของจิตอยู่เสมอ มิฉะนั้นก็ยากที่จักละซึ่งกิเลสได้” (ทรงทราบว่า พวกเราล้วนมีอารมณ์ขี้เกียจเป็นใหญ่ หรือปฏิบัติไม่ค่อยจริงจัง เป็นพวกลิงกลัวไม้เรียวเสียส่วนมาก ทั้งดื้อทั้งรั้น ต้องคอยกระตุ้น คอยกำราบกันอยู่เสมอ)
๕. “อย่าสนใจกิเลสภายนอก ให้สนใจกิเลสภายในเป็นสำคัญ ภายนอกแก้ไขไม่ได้ ให้แก้ไขตนเองโดยตรง แล้วจึงจักพ้นไปได้ อย่าคิดว่ายาก ถ้าตั้งใจทำจริง คำว่ายากย่อมไม่มี” (ทรงทราบว่า พวกเราไม่น้อยที่มีอารมณ์ซ่า หลงตัวหลงตนคิดที่จะไปสอนผู้อื่น ไปแก้ไขผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเรายังแก้ไขตนเองไม่ได้ ชอบตั้งตนเป็นอาจารย์ใหญ่ เที่ยวสอนคนอื่นแนะนำผู้อื่น พยากรณ์ผู้อื่นว่าเป็นขั้นนี้ขั้นโน้น ทั้ง ๆ ที่ธรรมนั้นยังไม่มีในตน จัดเป็นอุตริมนุสธรรม หากเป็นสมมุติสงฆ์ก็ต้องปรับอาบัติขั้นปาราชิก แต่นี่ยังเป็นฆราวาสก็ต้องหมั่นเตือน หมั่นให้มีสติ กำหนดรู้อารมณ์จิตของตน โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดตลอดเวลา จะได้ไม่หลงออกนอกลู่นอกทาง ขาดสติก็เพราะขาดการกำหนดรู้ลมหายใจนั่นเอง)
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com (http://www.tangnipparn.com)
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
๑. “ปฏิบัติที่ไหนให้ทิ้งกายที่นั่น คือ ทุกกาลเวลา โดยไม่เลือกสถานที่ เมื่อพึงจักเจริญกรรมฐานให้กำหนดจิตตัดร่างกาย คลายความห่วงใยเกาะติดในร่างกาย เป็นการตัดตาย แล้วผลของการปฏิบัติพระกรรมฐานจักเป็นผลดี” (การปฏิบัติกรรมฐานให้ทำที่กาย และจิตตนไม่ให้ติดร่างกายครูอาจารย์ ไม่ติดสถานที่ ให้ติดพระธรรม ไม่ให้ประมาทในความตาย มีมรณาและอุปสมาทุกลมหายใจเข้าออก ซ้อมตายและพร้อมตายอยู่เสมอ)
๒. “ให้ลองกำหนดดู การระลึกนึกถึงความตาย ซ้อมทิ้งร่างกายอยู่เสมอ ๆ จักทำให้จิตไม่ประมาท มีความขยันหมั่นเพียรที่จักเอาชนะกิเลส แม้กระทั่งอารมณ์ขี้เกียจ ก็จักคลายตัวลงไป ขอให้ตั้งใจทำให้จริงก็แล้วกัน” (ทรงเน้นเรื่องความเพียรในบารมี ๑๐ คือ วิริยะ ขันติ สัจจะบารมี โดยมีปัญญาบารมีคุม ทำความดี ความเพียรทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว ด้วยความไม่ประมาทในความตาย)
๓. “แล้วหมั่นตรวจสอบสังโยชน์ ตรวจสอบอารมณ์จิต ดูให้แน่ชัดว่ายังมีความเกาะติดอยู่ในสังโยชน์มากน้อยเพียงใด ค้นหาพระกรรมฐานแก้จริต พยายามทำให้ทรงอยู่ประจำจิตเสียให้ได้ ถ้าตั้งใจจริงก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้” (ทรงเน้นการปฏิบัติจะต้องกำหนดรู้อารมณ์จิตของตนไว้เสมอ ใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์ไว้เสมอ เมื่อรู้จริตหรืออารมณ์จิตของตน ก็คือรู้จริต ๖ และรู้กรรมฐานแก้จริตไปในตัว อย่าละความเพียรและอย่าประมาทในกรรมทั้งมวล)
๔. “อิทธิบาท ๔ อย่าทิ้ง ต้องหมั่นตรวจสอบให้มีในอารมณ์ของจิตอยู่เสมอ มิฉะนั้นก็ยากที่จักละซึ่งกิเลสได้” (ทรงทราบว่า พวกเราล้วนมีอารมณ์ขี้เกียจเป็นใหญ่ หรือปฏิบัติไม่ค่อยจริงจัง เป็นพวกลิงกลัวไม้เรียวเสียส่วนมาก ทั้งดื้อทั้งรั้น ต้องคอยกระตุ้น คอยกำราบกันอยู่เสมอ)
๕. “อย่าสนใจกิเลสภายนอก ให้สนใจกิเลสภายในเป็นสำคัญ ภายนอกแก้ไขไม่ได้ ให้แก้ไขตนเองโดยตรง แล้วจึงจักพ้นไปได้ อย่าคิดว่ายาก ถ้าตั้งใจทำจริง คำว่ายากย่อมไม่มี” (ทรงทราบว่า พวกเราไม่น้อยที่มีอารมณ์ซ่า หลงตัวหลงตนคิดที่จะไปสอนผู้อื่น ไปแก้ไขผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเรายังแก้ไขตนเองไม่ได้ ชอบตั้งตนเป็นอาจารย์ใหญ่ เที่ยวสอนคนอื่นแนะนำผู้อื่น พยากรณ์ผู้อื่นว่าเป็นขั้นนี้ขั้นโน้น ทั้ง ๆ ที่ธรรมนั้นยังไม่มีในตน จัดเป็นอุตริมนุสธรรม หากเป็นสมมุติสงฆ์ก็ต้องปรับอาบัติขั้นปาราชิก แต่นี่ยังเป็นฆราวาสก็ต้องหมั่นเตือน หมั่นให้มีสติ กำหนดรู้อารมณ์จิตของตน โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดตลอดเวลา จะได้ไม่หลงออกนอกลู่นอกทาง ขาดสติก็เพราะขาดการกำหนดรู้ลมหายใจนั่นเอง)
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com (http://www.tangnipparn.com)