ลัก...ยิ้ม
26-05-2011, 09:44
จิตถึงจิตนี่แหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนา
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
๑. “เรื่องที่ท่านฤๅษีบอกกับลูก ๆ หลาน ๆ ว่า ผู้ใดที่ไม่ทิ้งอภิญญาสมาบัติหรือมโนมยิทธิ แม้ท่านเองจะทิ้งขันธ์ ๕ ไปแล้ว ก็ยังเหมือนท่านอยู่ใกล้ ๆ เพราะเมื่อท่านฤๅษีละขันธ์ ๕ ไปแล้ว กายจริง ๆ ก็คือ จิตหรืออทิสมานกาย ซึ่งลูก ๆ หลาน ๆ ศิษย์ทุกคน จักเห็นท่านได้ด้วยอภิญญาสมาบัติหรือมโนมยิทธินั้น กำหนดจิตที่ใดก็เห็นท่านอยู่ทุกที ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าท่านอยู่ใกล้ ๆ”
๒. “จิตถึงจิต นี่แหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนานี้ กำลังของจิตมีอำนาจมหาศาล อยู่คนละภพคนละชาติหรืออีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในดินแดนอมตะ ก็ยังสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันได้ด้วยอำนาจแห่งจิตที่มีกำลังนั้น”
๓. “บุคคลผู้เข้าถึงศีล-สมาธิ-ปัญญาพร้อม ความมั่นคงของจิตก็จักเกิดขึ้นได้มากยิ่งกว่าปุถุชนที่ทรงฌานโลกีย์ อำนาจกำลังของจิตที่จักรู้ในภพต่าง ๆ ชาติต่าง ๆ หรือดินแดนอมตะ ก็จักไม่เสื่อม รู้จริง-เห็นจริง-ทราบจริงอยู่ในจิตของบุคคลผู้นั้น มีความมั่นใจในตนเองทุก ๆ เมื่อ คำว่าหลงตายไม่มีสำหรับบุคคลผู้นั้น ขอเพียงแต่อย่าติดเปลือก คือ ร่างกายของคนหรือสัตว์ ให้มองทะลุเปลือกเข้าไปถึงภายในแล้ว จิตก็จักเชื่อมโยงถึงกันและกันได้ สื่อสารเป็นความรู้ ความเข้าใจถึงกันและกันได้ด้วยภาษาของจิต นั่นแหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนา”
๔. เพื่อนของผมก็เห็นหลวงพ่อท่านนั่งยิ้มอยู่ ท่านผ่องใสเป็นสุขอย่างยิ่ง ท่านพูดว่า “ก็เพราะไม่มีขันธ์ ๕ นะสิ จึงได้สุขอย่างนี้ การไม่เกิดมีขันธ์ ๕ หรือร่างกายอีกจึงเป็นยอดของความสุข เตสังวู (สังโว) ปะสะโม สุโข อันเดียวกัน”
๕. ทรงตรัสว่า “ถ้าต้องการจะเป็นสุขอย่างท่านฤๅษี ก็จงตั้งจิตให้มั่นคงเข้าไว้ เพียรละสังโยชน์ทั้ง ๗ ประการที่คั่งค้างอยู่ในจิต อย่าท้อแท้ กำหนดรู้ทั้งวิธีตัดสังโยชน์ ใช้กรรมฐานให้ถูกกอง แก้จริตที่ยังละไม่ได้อย่างไม่หยุดยั้ง วันหนึ่งข้างหน้าคำนี้ก็จักเกิดแก่เจ้าเอง นิพพานัง ปรมัง สุขัง หรือ เตสังวู ปะสะโม สุโข นั่นแหละเหมือนกัน”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com (http://www.tangnipparn.com)
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
๑. “เรื่องที่ท่านฤๅษีบอกกับลูก ๆ หลาน ๆ ว่า ผู้ใดที่ไม่ทิ้งอภิญญาสมาบัติหรือมโนมยิทธิ แม้ท่านเองจะทิ้งขันธ์ ๕ ไปแล้ว ก็ยังเหมือนท่านอยู่ใกล้ ๆ เพราะเมื่อท่านฤๅษีละขันธ์ ๕ ไปแล้ว กายจริง ๆ ก็คือ จิตหรืออทิสมานกาย ซึ่งลูก ๆ หลาน ๆ ศิษย์ทุกคน จักเห็นท่านได้ด้วยอภิญญาสมาบัติหรือมโนมยิทธินั้น กำหนดจิตที่ใดก็เห็นท่านอยู่ทุกที ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าท่านอยู่ใกล้ ๆ”
๒. “จิตถึงจิต นี่แหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนานี้ กำลังของจิตมีอำนาจมหาศาล อยู่คนละภพคนละชาติหรืออีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในดินแดนอมตะ ก็ยังสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันได้ด้วยอำนาจแห่งจิตที่มีกำลังนั้น”
๓. “บุคคลผู้เข้าถึงศีล-สมาธิ-ปัญญาพร้อม ความมั่นคงของจิตก็จักเกิดขึ้นได้มากยิ่งกว่าปุถุชนที่ทรงฌานโลกีย์ อำนาจกำลังของจิตที่จักรู้ในภพต่าง ๆ ชาติต่าง ๆ หรือดินแดนอมตะ ก็จักไม่เสื่อม รู้จริง-เห็นจริง-ทราบจริงอยู่ในจิตของบุคคลผู้นั้น มีความมั่นใจในตนเองทุก ๆ เมื่อ คำว่าหลงตายไม่มีสำหรับบุคคลผู้นั้น ขอเพียงแต่อย่าติดเปลือก คือ ร่างกายของคนหรือสัตว์ ให้มองทะลุเปลือกเข้าไปถึงภายในแล้ว จิตก็จักเชื่อมโยงถึงกันและกันได้ สื่อสารเป็นความรู้ ความเข้าใจถึงกันและกันได้ด้วยภาษาของจิต นั่นแหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนา”
๔. เพื่อนของผมก็เห็นหลวงพ่อท่านนั่งยิ้มอยู่ ท่านผ่องใสเป็นสุขอย่างยิ่ง ท่านพูดว่า “ก็เพราะไม่มีขันธ์ ๕ นะสิ จึงได้สุขอย่างนี้ การไม่เกิดมีขันธ์ ๕ หรือร่างกายอีกจึงเป็นยอดของความสุข เตสังวู (สังโว) ปะสะโม สุโข อันเดียวกัน”
๕. ทรงตรัสว่า “ถ้าต้องการจะเป็นสุขอย่างท่านฤๅษี ก็จงตั้งจิตให้มั่นคงเข้าไว้ เพียรละสังโยชน์ทั้ง ๗ ประการที่คั่งค้างอยู่ในจิต อย่าท้อแท้ กำหนดรู้ทั้งวิธีตัดสังโยชน์ ใช้กรรมฐานให้ถูกกอง แก้จริตที่ยังละไม่ได้อย่างไม่หยุดยั้ง วันหนึ่งข้างหน้าคำนี้ก็จักเกิดแก่เจ้าเอง นิพพานัง ปรมัง สุขัง หรือ เตสังวู ปะสะโม สุโข นั่นแหละเหมือนกัน”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com (http://www.tangnipparn.com)