View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔
ถาม : เวลากำลังใจตก เราจะรวบรวมกำลังใจที่มีให้กลับมาอย่างไร ?
ตอบ : รีบวิ่งไปหาลมหายใจเข้าออกก่อนเลย ถ้าหากลมหายใจเข้าออกทรงตัว ความหมอง ความน้อยใจ เสียใจ หรือกำลังใจที่ตกลงไปจะคืนมา หลังจากที่คืนมาก็พยายามรั้งเอาไว้ด้วยสมาธิ แต่ถ้าหลุดเมื่อไรก็ไปอีก
ดังนั้น..อันดับแรก วิ่งเข้าไปหาเครื่องช่วยชีวิตเราก่อน ก็คือ ลมหายใจเข้าออก
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ปกครอง ๖ ภาคด้วยกัน ก็คือภาค ๑, ๒, ๓, ๑๓, ๑๔, ๑๕ ท่านเป็นมะเร็งอยู่ครึ่งค่อนปี เวลาเจ็บปวดทนไม่ไหวก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิบ้าง พิจารณาร่างกายบ้างเพื่อจะได้ลืมความเจ็บปวดตรงนั้น ก็เลยตัดร่างกายได้
สมัยก่อนหลวงพ่อไสว (พระเทพวิสุทธิเมธี วัดอนงคาราม) ท่านก็เป็นมะเร็งเหมือนกัน แต่ท่านเป็นพระนักวิชาการอย่างเดียวเลย ให้เทศน์ได้ ให้สอนได้ แต่เรื่องการปฏิบัติพื้นฐานท่านมีน้อย
ท่านเป็นเพื่อนร่วมวงน้ำปลาพริกป่นของหลวงพ่อวัดท่าซุง พูดง่าย ๆ ก็คือ "ถึงไม่เคยรับประทานสุกร ก็เคยเห็นสุกรมาบ้าง" เวลาป่วยขึ้นมาจึงวิ่งเข้าหาสมาธิ ยังดีได้ไปเป็นพรหมชั้นที่ ๗
การเจ็บไข้ได้ป่วยสำหรับนักปฏิบัติแล้ว จะได้เปรียบกว่าคนอื่นเขา เวลาเจ็บปวดมาก ๆ เราก็มีอานาปานสติไว้เป็นที่หลบ เจ็บมากขึ้นมาก็เห็นชัดเลยว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา สั่งการไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่กลับไปกลัวเจ็บกลัวป่วยกัน"
"อาตมานี้ช่วงสองสามเดือนนี้ไม่ค่อยป่วย ชักเบื่อ ๆ เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง เป็นมาลาเรียมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ ตอนนี้ครบ ๓๐ ปีเต็มพอดี อาการเพิ่งจะคลาย แสดงว่ากรรมที่ทำไว้หนักมาก
๓๐ ปีเท่ากับเกินครึ่งชีวิตของอาตมาแล้ว..ใช่ไหม ? อาตมาเป็นมาลาเรียตอนอายุ ๒๒ ปี เริ่มมาได้ยาที่ถูกกับโรคตอนอายุ ๕๒ ปี ตอนแรกก็ว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อแต่ละคนก็นิสัยพอ ๆ กัน ทำไมเล่นแต่อาตมาคนเดียว คนอื่นเขาไม่เป็นกัน ? แต่ปรากฏว่าหลวงพี่สุรจิตรผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ หลวงพี่ประทีปตอนนี้เป็นมะเร็งอยู่ ส่วนอาตมาผ่อนส่งก็ดีแล้ว จ่ายรวดเดียวไม่ไหวหรอก อย่างหลวงตาวัชรชัยก็รับประทานสิบแปดล้อไปทั้งคัน..!
เคยมานั่งคิดว่าแต่ละคนก็แสบพอ ๆ กัน ทำไมจึงมาเล่นอาตมาอยู่คนเดียว ตอนนี้รู้แล้ว เขาต้องการเก็บไว้นานหน่อย ก็เลยให้ค่อย ๆ ผ่อน อาตมาตั้งใจว่าวันไหนนั่งไม่ค่อยติด เริ่มหลังค่อมก็ไปดีกว่า เพราะท่านั่งไม่เท่แล้ว"
พระอาจารย์เล่าถึงตอนหนึ่งในสามก๊กว่า "ยอดขุนทัพระดับสุมาอี้เผชิญหน้ากับขงเบ้ง ขงเบ้งบอกว่า "ท่านจะรบกับเราตัวต่อตัวหรือรบด้วยพยุหะก็ได้ทั้งสิ้น" ทำไมสุมาอี้จึงรบด้วยพยุหะ ? น่าจะดวลเดี่ยวกับขงเบ้งให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย
เราเคยได้ยินว่าขงเบ้งออกรบไหม ? ไม่เคยเลย แต่ความจริงขงเบ้งนั้นต้องระดับสุดยอดวิทยายุทธอย่างแน่นอน มีหลักฐานอยู่ตอนเดียวที่พวกเราลืมสังเกต เป็นตอนที่เล่าปี่ไปเชิญตัวขงเบ้งที่กระท่อมถึงสามครั้ง พอเล่าปี่เข้าไปในกระท่อมน้อย เห็นที่ข้างฝามีอาวุธทุกชนิด ได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี ถ้าคนใช้อาวุธไม่เป็นจะมีไว้ทำไม ? ยอดขุนพลระดับสุมาอี้ไม่ยอมรบด้วย แสดงว่าฝีมือขงเบ้งต้องเป็นที่เลื่องระบือ แต่ในหนังสือไม่ได้กล่าวถึงเลย ส่วนใหญ่เราจึงคิดว่า ขงเบ้งนั้นเป็นแค่กุนซือจอมเจ้าเล่ห์ ที่ไหนได้..นำทัพออกรบเองทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือใครจะกล้าออกรบเอง...
ใครที่อ่านภูผามหานที จะมีตอนตำนานแห่งผู้กล้าและตอนปาฏิหาริย์แห่งผู้กล้า ตอนตำนานแห่งผู้กล้า พระเอกเอาตัวเลขมาคิดเป็นค่ายกล เสร็จแล้วเอาค่ายกลไปช่วยในการรบได้ เป็นลักษณะของตัวเลขที่รวมจากด้านไหนก็จะได้คำตอบเท่ากันหมด ขงเบ้งก็ตั้งค่ายกล ๘ ทิศที่ใช้ในลักษณะเดียวกัน ส่วนที่เอาไปเล่นงานสุมาอี้นั้นเป็นค่ายกลอสรพิษ แต่เติมปีกเข้าไป สุมาอี้ไม่เคยเห็น ทหารที่ส่งเข้าไปทำลายพยุหะค่ายกลจึงโดนรวบซะเกลี้ยง..!
ถ้าอยากรู้ว่าคนจีนมียอดอัจฉริยะเยอะขนาดไหน ไปซื้อหนังสือ The Genius of China ต้นกำเนิด ๑๐๐ สิ่งแรกของโลก มาอ่านดู แม้กระทั่งเครื่องมือวัดแผ่นดินไหว เขาก็คิดได้ตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=12687&stc=1&d=1304226125
พระอาจารย์เล่าว่า "ประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลทั้งหมดที่เคยพบมา ในส่วนที่อาตมามั่นใจมากที่สุด คือ ธงมหาพิชัยสงครามของหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะสมัยนั้นอยู่ชายแดนที่ตาพระยา หลวงพ่อเมตตาไปมอบธงมหาพิชัยสงครามให้ทหารที่อยู่แนวหน้า
จริง ๆ แล้ว ธงมหาพิชัยสงครามเป็นธงนำทัพตั้งแต่สมัยพระร่วง อานุภาพนั้นผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน สำหรับอาตมาเป็นของมงคลอย่างเดียวที่ติดตัวอยู่ในช่วงนั้น
ปกติแล้วกำลังพลจะผลัดเปลี่ยนกันฐานละสี่เดือน เป็น ๑ ฐานแนวหน้า ๒ ฐานสนับสนุน แต่ละฐานจะหมุนเวียนกัน แต่อาตมาไปติดอยู่ที่ฐานหน้า ตาพระยา ๕-๖ เดือน เพราะมีการปะทะกันอยู่ทุกวัน ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนกำลังได้ ในช่วงที่การรบติดพันอยู่ ถ้าเราเคลื่อนย้ายกำลังหรือถอนกำลังเพื่อให้พวกเราเข้ามาแทน ถ้าฝ่ายตรงข้ามเบียดเข้ามาจะอันตรายมาก
ช่วงนั้นที่โนนหมากมุ่นนั้น เขาตีฝ่าแนวเข้ามาได้ ปะทะกันหนัก เสียชีวิตไปสามร้อยกว่าศพ ห้าเดือนกว่าที่อยู่แนวหน้า มีการปะทะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ๒๖ ครั้ง สูญเสียเพื่อนร่วมสนามไป มีร้อยเอกหนึ่งนาย ร้อยตรีหนึ่งนาย นายสิบแปดนาย ที่เหลือเป็นพลทหารอีก ๒๐ กว่านาย
ถามว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่มีข่าว ? สมัยนั้นถ้าหากว่าการรบเราไม่เสียพื้นที่ เขาถือว่าขอกันกิน..! จะไปรู้อีกทีก็ตอนงานพระราชทานเพลิงศพที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ส่วนใหญ่ปีละประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ กว่าศพ แต่ของทหารเราจะรู้ว่าเสียไปกี่ศพ เพราะทุกครั้งที่เพื่อนตาย เขาจะหักเบี้ยเลี้ยงเพื่อเอาไปช่วยงานศพเพื่อน
การปะทะ ๒๖ ครั้งนั้น ทุกครั้งเกิดเหตุอัศจรรย์ แคล้วคลาดจากอันตรายได้อย่างเหลือเชื่อ บางครั้งตกอยู่ในกลางวงล้อมของเขา กระสุนมาเป็นห่าฝนเลย แต่ด้วยความมั่นใจในวัตถุมงคลหลวงพ่อ โดยเฉพาะท่านบอกว่า ใช้วัตถุมงคลของท่านจะกลัวไม่ได้ ถ้าด้านไหนกระสุนมาหนักที่สุด ให้ฝ่าออกด้านนั้น"
"เป็นอะไรที่ชอบมาก เพราะถูกกิเลส อาตมาพอได้ยินเสียงปืนแล้วอยากวิ่งใส่ทันที..!
ครั้งที่หนักที่สุด โดนทหารญวนเฮงสัมริน บอมบ์ด้วยปืนใหญ่ ๓ กระบอก เป็นระยะเวลาประมาณ ๑๕ นาที หมู่ปืนใหญ่ที่มีความคล่องตัวมาก ๆ ประมาณ ๓ วินาทีจะยิงได้นัดหนึ่ง แล้วนาทีหนึ่งจะยิงได้กี่นัด และนี่สามกระบอกรวมกัน เฉลี่ยแล้ววันนั้นโดนไปประมาณ ๔๐๐ นัดเห็นจะได้
ถามว่าปืนใหญ่อันตรายแค่ไหน ? รัศมีฉกรรจ์ ๕๐๐ เมตร รัศมีฉกรรจ์คือโดนแล้วตายทันที ผตน. (ผู้ตรวจการหน้า) ที่เก่ง ๆ นี่ เขาสั่งการปืนใหญ่ไม่เกินสามนัดจะลงกลางเป้าแน่นอน เขาบอกให้ลดระยะหรือให้เพิ่มระยะ ไปซ้ายเท่าไร ขวาเท่าไร แล้วจะลงกลางเป้าพอดี
ตอนนั้นกระสุนปืนใหญ่บอมบ์มาขนาดนั้น อย่าว่าแต่ลงฐานเลย แค่ข้ามฐานก็ยังไม่ข้าม เหมือนกับชนกำแพงตกลงข้างหน้าฐานหมด แต่แผ่นดินไหวเป็นไกวเปลเลย และเบิร์ม (บังเกอร์ทหาร) ทรุดลง ความรู้สึกของอาตมาตอนนั้นไม่ได้กลัวเลย ทั้ง ๆ ที่ เพื่อน ๆ คว้าข้าวคว้าของเผ่นกันอุตลุด ที่อาตมาไม่กลัวเพราะว่าเชื่อมั่นในวัตถุมงคลของหลวงพ่อว่า ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน ของอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเราแล้วทำไมจะคุ้มเราไม่ได้"
"นั่นเป็นครั้งที่หนักที่สุด รองลงมาอีกสองสามครั้ง ช่วงที่อยู่ชายแดนนั้น อาตมารู้สึกสงสารกำลังพลเพราะว่าเสบียงทหารแย่จริง ๆ อาหารหลักคือปลาทูเค็ม และปลาทูเค็มที่เขาส่งมาจะบางเป็นกระดาษเลย เขาเอาใส่เข่งแล้ววางทับ ๆ กันไป ตัวข้างล่างแบนเป็นกระดาษ ถึงเวลาจะกินทีต้องบีบมะนาวใส่แล้วเอาช้อนขูด ๆ ให้เนื้อฟูขึ้นมา แล้วค่อยกินได้
เห็นทหารกินแล้วสงสาร จึงคุยกันว่า เราไปหาอาหารสดมากันดีไหม ? เขาถามว่าจะทำอย่างไร ? อาตมาบอกว่า วิ่งเข้าไปเอาที่อรัญประเทศ ระยะทาง ๕๐ กว่ากิโลเมตร ถ้าพวกเราตกลงกันได้ ข้าจะไปเอง..!
ตอนช่วงนั้นรถเสบียงจะโดนปล้นทุกวัน ถ้าไม่บ้าพอก็ไม่มีใครกล้าไป ตกลงกันว่า หักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๑๑ บาทต่อวัน เพื่อไปซื้ออาหารสดมาประกอบเลี้ยงกำลังพล วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ทุกสามวัน วันร้ายคืนร้าย ระหว่างที่วิ่งกลับ บรรทุกเสบียงมาเต็มคัน ตรงระหว่างรอยต่อของร้อยสามกับร้อยสอง จะเป็นช่วงว่างพอดี ทหารเขมรมาแอบซุ่มอยู่ พวกเราก็ไม่รู้ เพราะสุดเขตตรวจการของทั้งสองฝ่ายพอดี เขาแอบเจาะเข้ามา
พอพวกเราผ่าน เขาก็เล่นด้วยอาร์พีจี อาร์พีจีตอนนั้นมีสองประเภท คือ อาร์พีจี ๒ จะเก่าหน่อย และอาร์พีจี ๗ จะใหม่หน่อย อาร์พีจีเป็นเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังโดยเฉพาะ
อาร์พีจีมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง เวลายิงเสียงจะดังก่อน เสียงดังแว้ดมาก่อนค่อยส่งลูกออกไป ตอนนั้นพลขับคือ จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง ไม่รู้ว่าจ่าแกกระทืบเบรกท่าไหน รถหยุดกึ้กเลย อาร์พีจีตกตูมลงข้างหน้ารถ ห่างไม่ถึงสิบเมตร แรงปะทะขนาดนั้นเล่นเอาพวกเราหงายหลังติดเบาะ บอกไม่ถูกว่าหนักแค่ไหน รู้แต่ว่าตับไตไส้พุงแทบจะพุ่งออกทางปาก..!"
"ไม่รู้ว่าจ่าสมชัยเปลี่ยนเกียร์ท่าไหน รถกระโดดออกจากที่เหมือนกับโดนจับโยนไป อาร์พีจีตูมที่สองก็ลงตรงที่รถจอดพอดี ถ้าช้าไปหน่อยเดียวนี่เละแน่ ทีนี้จ่าสมชัยเหยียบคันเร่งไม่ฟังเสียง ปืนเล็กกลก็ยิงไล่มา อาร์พีจีก็ตามมา พอดีทางเรามีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว เป็นรถ รยบ. ๑/๔ ตัน ถ้าเป็นสมัยนี้เรียก จี๊ปเล็ก จะติดปืนกลเอ็ม. ๖๐ บนหลังคา ที่พวกเราเรียกกันง่าย ๆ ว่า สิงห์ทะเลทราย
พอมาถึงก็ยิงกราดกันไม่ต้องเลี้ยงเลย กระสุนหนึ่งสายร้อยนัดหมดภายในเวลาไม่ถึงนาที พลบรรจุแบกมาคนละสามสาย สามคนก็เก้าสาย หมดภายในเวลาไม่กี่นาที ยิงกันกระจายอยู่ตรงนั้น พอหนีกลับไปถึงกองร้อย ก็ลงมาถามว่า "จ่าสมชัย มีอะไรดี ?" จ่าสมชัยงัดจากคอมาให้ดูพวงเบ้อเริ่ม "ไม่รู้องค์ไหนช่วยว่ะ..!"
แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ รยบ. ๒ ๑/๒ ตัน นี่ภาษาทหารเขาเรียกอย่างนั้น คือ รถยนต์บรรทุกขนาดสองตันครึ่ง แต่ว่าภาษาชาวบ้านเรียก ยีเอ็มซี ยีเอ็มซีคันนั้นมีธงมหาพิชัยสงครามติดอยู่ตั้งแต่สมัยไหนไม่รู้ ผืนเก่าจนไม่เป็นสีแดงแล้ว ออกไปทางสีขาวมากกว่า ถามว่าจ่าไปเอาที่ไหนมาติด ? เขาก็บอกว่า "ผมไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่เบิกมาจากตอนยานยนต์ก็มีติดคารถมาแล้ว"
ลองคิดดูว่า อาร์พีจียิงไม่ถูกไม่ว่า ปืนเล็กกลกราดมาขนาดนั้นน่าจะถูกบ้าง ก็ไม่ถูกสักนัดหนึ่ง ตอนหลังสิบเอกบุญยูร ทรัพย์อุปการ เป็นรุ่นน้อง จบจากศูนย์ราบมา เขาเอารถคันนี้วิ่งไปช่วยหมู่ปืนเล็กของสิบเอกอภิชาติ ที่ไปโดนเขาล้อมยิงทางด้านเนิน ๔๒ เนิน ๔๒ เป็นภาษาทหาร คือความสูงของเนินนั้น สูง ๔๒ เมตร
เมื่อโดนเขาล้อมยิงอยู่ ทหารของฝ่ายตรงข้ามมีเยอะ หมู่บุญยูรยืมรถของจ่าสมชัยคันนี้ขับฝ่าเข้าไปกลางดงกระสุนปืนเลย ต้องบอกว่าใจถึงใช้ได้ เพื่อน ๆ เห็นรถมาก็พุ่งหลาวขึ้นยีเอ็มซีกัน ฝ่าออกมาได้โดยที่กระสุนแม้แต่นัดเดียวก็ไม่ถูกรถ แต่มีพลทหารคนหนึ่งชื่อ วรรณะ ใสรังกา เป็นคนโคราช ได้รับบาดเจ็บ พลฯ วรรณะบาดเจ็บเพราะตอนพุ่งหลาวขึ้นรถเท้าโด่ขึ้นมา โดนข้อเท้าไปนัดหนึ่ง จึงโชคดี..ได้ผ่านศึกชั้นหนึ่งไป..!"
"สมัยก่อนพวกเราอยู่ชายแดน ใครบาดเจ็บถือว่าโชคดีนะ บาดเจ็บน้อยได้ชั้นสอง พ่อแม่ได้รักษาฟรี บาดเจ็บมากได้ชั้นหนึ่ง รักษาพ่อแม่ลูกเมียได้หมดบ้านเลย เป็นสวัสดิการที่ตอบแทนให้ทหารที่ออกรบ แต่ถ้าเขาบอกว่าสามหมื่นก็แปลว่าตายแล้ว พอตายแล้วสายใจไทยจ่ายให้ก่อนสามหมื่นบาท หลังจากนั้นก็ไปตามจากองค์การทหารผ่านศึก
ดังนั้น..อาตมาเองมั่นใจในธงมหาพิชัยสงครามของหลวงพ่อเป็นพิเศษ โดยเฉพาะที่ชอบที่สุด คือ ยิงออก นิสัยแบบนี้ค่อนข้างจะบวม ๆ ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา คือ ปืนที่ยิงออกเสียงดัง ได้ยินแล้วมันในอารมณ์ ถ้ายิงไม่ออกเลยนี่ไม่สนุก ชอบใจของหลวงพ่อที่ยิงออกแต่ไม่ถูก โดยเฉพาะที่ท่านบอกว่า ถ้าเสียงปืนด้านไหนแน่นที่สุด ให้ฝ่าออกทางด้านนั้น
ตอนที่อยู่ชายแดนนั้น รู้แน่ ๆ คือ อาตมาพกอยู่หนึ่งผืน แล้วก็รถยีเอ็มซีของจ่าสมชัยติดรถอยู่หนึ่งผืน ที่ปลอดภัยมาหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็คือธงพิชัยสงครามที่ติดอยู่กับรถ เพราะนั่งหน้ารถเป็นเป้าแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเขายิงเขาจะยิงพลขับหรือไม่ก็คนคุ้มกันก่อน ทีนี้ทหารคนคุ้มกันไม่มีใครกล้าไป เนื่องจากว่าออกไปมีสิทธิ์ตายได้ทุกวัน อาตมาก็ต้องไปเอง
อยู่แนวหน้าห้าเดือนกว่า ปะทะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ๒๖ ครั้ง ยังปลอดภัยจนทุกวันนี้ จึงยืนยันได้ว่า ถ้าวัตถุมงคลสายหลวงพ่อฤๅษีด้วยกันแล้ว ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในการสู้รบคือธงมหาพิชัยสงคราม"
"ในฐานะที่เคยเป็นทหารมาก่อน เคยออกรบอยู่แนวหน้ามาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกของทหารทุกคน อยู่แนวหน้ามาปีกว่า มีคนไปเยี่ยมแค่สี่ครั้ง ทั้งสี่ครั้งไม่เคยได้เห็นหน้าคนเยี่ยมเลย เพราะจะมีคำสั่งให้ออกไปบล็อกพื้นที่เพื่อป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดแก่ผู้ที่มาเยี่ยมเรา กลับมาแล้วจึงจะได้เห็นว่า มีของที่แนวหลังอุตส่าห์จัดส่งไปให้พวกเรา ก็เอามาแจกจ่ายกัน
ส่วนใหญ่จุดยุทธศาสตร์สำคัญจะเป็นยอดเขา ถ้าฝ่ายตรงข้ามยึดได้เราจะเสียเปรียบ มีอยู่ช่วงหนึ่งเข้าเวรอยู่บนยอดเขา มีรุ่นน้องคือ สิบตรีสุรสิทธิ์ ด่านบางภูมิ ตอนนี้ท่านเป็นจ่าสิบเอกอาวุโส อยู่ที่จังหวัดตาก ตอนนั้นก็อยู่เวรกันอยู่สองคน ก็คือจะมีนายด่านกับลูกน้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน
หมู่สุรสิทธิ์ชี้มือไปไกลลิบเลย ชี้ไปที่ตัวเมืองตาพระยา มีแสงมีสี โดยเฉพาะไฟทางหลวง เขาบอกว่า "พี่..พวกนั้นเขาจะรู้ไหมว่า ในขณะที่เราลำบากกันแทบตาย แล้วพวกเขาสบายกันอย่างนั้น" ก็ได้บอกไปว่า "เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม นี่เป็นหน้าที่ซึ่งเราต้องทำอยู่แล้ว"
แต่ตอนที่ตอบเขาไปนั้น รู้สึกว่าคอหอยตัน เพราะว่าขณะที่พวกเรามาลำบากกันแทบล้มประดาตาย กอดปืนยืนหนาวทั้งง่วง ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย พวกเขากลับอยู่กับแสงสี อยู่กับความสนุก ถ้าไม่ใช่กำลังใจที่คิดว่า เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราเป็นรั้วของชาติ มีหน้าที่จะต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองของเราสงบสุข สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จะได้ตั้งมั่นอยู่ได้
ถ้าไม่มีกำลังใจตรงจุดนี้ คิดว่าคงจะคิดเตลิดเปิดเปิงเหมือนกัน แต่คราวนี้ตระหนักว่า นั่นเป็นหน้าที่ของเรา เราต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ถึงจะมีคนเห็นหรือไม่มีคนเห็นก็ตาม อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ให้ปิดทองหลังพระ ถ้าหากปิดไปนาน ๆ ทองล้นมาข้างหน้า คนเขาก็จะเห็นเอง"
"จากความรู้สึกที่ตัวเองเจอมา จึงสามารถเข้าใจได้ว่า ทหารตำรวจที่อยู่แนวหน้าทุกคนมีความรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะตอนที่มีคนไปเยี่ยมจะดีใจเป็นอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องสนับสนุนกำลังใจในสมัยนั้นก็คือ จดหมายจากแนวหลัง
ถ้ามีจดหมายไป ก็ชะเง้อคอมองหาว่าจะมีของเราหรือเปล่า ? บางคนรู้ว่าไม่มีญาติเลย แต่ก็มีจดหมายมา พอถึงเวลาแอบไปดู ปรากฏว่าเขาเขียนจดหมายถึงตัวเอง จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร จะว่าน่าขำก็น่าขำ แต่เวลาที่คนอื่นได้จดหมายแล้วดีใจเพราะได้ข่าวจากทางบ้าน ส่วนตัวเองไม่มี เป็นอะไรที่รู้สึกว่าเศร้ามาก ด้วยความที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ก็เลยทำให้ทุกคนสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ จนกระทั่งเปลี่ยนเวร ผลัดให้กองพลอื่นขึ้นไปรับผิดชอบหน้าที่แทนพวกเราบ้าง
เมื่อเป็นดังนั้น จึงอยากจะบอกกับทหารตำรวจที่อยู่แนวหน้าทุกคนว่า ในฐานะที่อาตมภาพบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว เปลี่ยนจากทหารของทางโลกมาเป็นธรรมเสนา คือทหารในทางธรรม แต่ก็ยังระลึกถึงความดีของทหารหาญทุกคน ที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ เพื่อความสงบสุขของประชาชน เพื่อในหลวงที่พวกเรารัก ดังนั้น..จึงขอโอกาสนี้อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ และหลวงปู่หลวงพ่อที่ทุกท่านยึดมั่นเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ขอได้โปรดดลบันดาลอภิบาลรักษา ให้ทุกท่านมีความปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัยแล้ว ก็ขอให้สิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนานั้นจงสำเร็จทุกประการ โดยเฉพาะให้ทุกท่านปลอดภัย ได้กลับบ้าน ไปอยู่กับครอบครัวของตนโดยถ้วนหน้ากันทุกท่าน ทุกคนเทอญ
ขอยืนยันว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกจากกำลังใจจริงของตน ทุกวันนี้ที่สวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ก็อธิษฐานขอให้ทุกท่านที่ช่วยดูแลปกปักรักษาประเทศชาติของเรา มีความสุขความเจริญมีความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ขออำนวยอวยพรให้ทุกท่านมีความปลอดภัย มีความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกคน"
พระอาจารย์กล่าวแก่คณะที่มีโครงการจะสร้างวัตถุมงคลและซีดีไปแจกจ่ายทหารที่ภาคใต้ว่า "งานพุทธาภิเษกคราวนี้ เราต้องคิดว่าไม่ใช่ธงมหาพิชัยสงคราม เพราะถ้าคิดว่าเป็นธงมหาพิชัยสงครามแล้วทำพิธีพุทธาภิเษก อานุภาพจะได้แค่หน่อยเดียว เนื่องจากว่าเป็นวิชาสืบสายพระร่วง แล้วมาหมดที่หลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราไม่ใช่ทายาทโดยสายโลหิต ก็เลยไม่สามารถที่จะรับช่วงได้
เพราะฉะนั้น..ต้องตั้งใจทำเป็นวัตถุมงคลแทน อย่าไปตั้งใจทำเป็นธงมหาพิชัยสงคราม แต่ความจริงก็ได้บอกคณะผู้จัดทำไปแล้ว แต่เขาคงถูกใจ อยากจะได้อย่างนี้กระมัง ?
ความจริงวัตถุมงคลที่เกี่ยวกับมหาอุตม์ทำง่ายนะ สมาธิทรงตัวแค่อุปจารฌานปลาย ๆ ยังไม่ถึงปฐมฌานก็ใช้ได้แล้ว พูดง่าย ๆ ว่า เวลาปลุกเสกแค่ขนลุกก็ใช้ได้แล้ว แต่วัตถุมงคลที่ทำยากที่สุด คือพวกเมตตา พวกให้ลาภ
เพราะทางด้านเมตตาต้องออกจากใจผู้ที่ทำพิธีจริง ๆ ส่วนเรื่องให้ลาภ คนทำต้องมีทานบารมีเก่ามาเหลือเฟือจริง ๆ เท่ากับแบ่งของตัวเองให้เขาไป แต่สายหลวงพ่อท่านสั่งไว้ในเรื่องมหาอุตม์ ท่านบอกว่า ส่วนใหญ่ลูกศิษย์สายท่านมีแต่ล้น ไม่มีพอดี ถ้ามีของดีเกินไปชนิดไม่มีจุดอ่อนเลย เดี๋ยวกลายเป็นโจรกันหมด ถึงไม่เป็นโจร ก็จะถูกเขายัดเยียดให้เป็น ลองนึกดูว่า คนที่ไม่ยอมลงให้ใครจะมีอนาคตเป็นอย่างไร"
พระอาจารย์กล่าวเมื่อคณะผู้จัดทำรูปเหมือนท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ มาปรึกษาว่า จะทำอย่างไรกับท่านที่โอนเงินไม่ทัน "เรื่องของระเบียบ ถ้าเราตรงไปตรงมาก็จะดี แต่ถ้ามีการผ่อนผันก็จะต้องผ่อนกันไปเรื่อย ๆ"
ถาม : เขาอธิษฐานขอปรารถนาเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
ตอบ : ขอได้ อธิษฐานใครก็อธิษฐานได้ สำคัญตรงที่ทำให้ได้อย่างอธิษฐานต่างหาก..!
ถาม : ขอธรรมะที่ใช้ในการทำงาน
ตอบ : เบื้องต้นของการทำงานต้องมีอิทธิบาท ๔ คือ ยินดีและพอใจที่จะทำ ๑ ตั้งหน้าตั้งตาทำ ๑ กำลังใจปักมั่นอยู่กับงาน ๑ ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่าทำไปถึงไหนแล้ว ๑
ส่วนข้อที่สอง ต้องมีความอดทนอดกลั้น ตรงนี้เป็นธรรมะหลักของพระพุทธศาสนาเลย พระพุทธเจ้าเริ่มโอวาทปาฏิโมกข์ก็ขึ้นด้วยขันติ การกระทบกระทั่งกันในการทำงาน ต้องมีเป็นปกติอยู่แล้ว
ประการที่สาม รับผิดชอบงานในหน้าที่เราให้ดีที่สุด นอกเหนือจากงานของเราแล้วอย่าไปยุ่งกับใคร โดยเฉพาะแต่ละคนจะมีความภูมิใจในงานของตนเองอยู่ ถ้าหากว่าเราไปยุ่งกับงานคนอื่นเมื่อไร จะกลายเป็นเราก้าวก่ายหน้าที่เขา แล้วเขาจะไม่ชอบใจ ฟังแล้วหนักใจไหม ?
ถาม : หนักใจมาก
ตอบ : หลายคนฝืนใจทำงาน ถ้าเราฝืนใจทำงาน ทำเท่าไรก็ไม่มีความสุข ให้คิดว่านี่เป็นงานที่เราต้องทำ และต้องทำให้ได้ดีด้วย แล้วทุ่มเททำไป มีภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า ในเมื่อไม่สามารถที่จะแก้ไขศัตรูให้เป็นมิตรได้ เราก็เป็นมิตรกับศัตรูเสียเอง เพราะฉะนั้น..ถึงงานจะแย่แค่ไหน ไม่ชอบแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเราจะทำงานนั้นให้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นว่าเราต้องชอบงานนั้นไปเอง
ถ้าเราทำงานด้วยความชอบ ทุกอย่างจะเบาลง ไม่เครียด แต่ถ้าเราไปทำแบบฝืนใจทำจะเครียดอยู่ตลอดเวลา พอหลายวันเข้าเดี๋ยวสติแตก ต้องเข้าใจว่ามีงานทำดีกว่าไม่มี
ถาม : อย่างบางครั้งเราเข้ากับเขาไม่ได้
ตอบ : ได้ยินก็เหมือนว่าไม่ได้ยิน ถ้าได้ยินทุกเรื่องก็เครียดอีกเหมือนกัน เพราะเราได้ยินแล้วจัดการกับความคิดตัวเองไม่ได้ มีแต่จะไปนึกคิดปรุงแต่งแล้วตัวเองก็เครียดเพิ่มเรื่อย ๆ ต้องไปนึกถึงเรื่องสามก๊กที่เล่าปี่บอกว่า คนทำโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้
เขาว่าอะไรมาก็เรื่องของเขา ถ้าเขาเหนื่อยเขาก็เลิกไปเอง อาตมาโดนเขาประชุมสงฆ์ด่าท่ามกลางชาวบ้าน อาตมาก็เป็นคนถือไมค์เดินไปส่งให้ทีละคน "ใครมีอะไรจะด่าอีก นิมนต์ครับ" จนกระทั่งเขาไม่มีปัญญาจะด่าแล้ว ปรากฏว่าพระลูกศิษย์ท่านโกรธแทน อาตมาบอกว่า ไม่ต้องไปโกรธหรอก ปล่อยเขา ใครทำใครได้อยู่แล้ว เรื่องที่เขาพูดกันเราก็รู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริง เราโกรธไปจะมีประโยชน์อะไร
เดินถือไมค์ถามทีละคนเลย "มีใครต้องการพูดอีกไหม ?" จนกระทั่งทุกวันนี้พวกเขายังสงสัยว่าอาจารย์เล็กโกรธไม่เป็นหรือ ? โกรธเป็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าพวกเอ็งยังมีความสามารถไม่พอเท่านั้น ถ้ามีความสามารถพอต้องทำให้ข้าโกรธได้..!
สมัยที่อยู่วัดท่าซุงก็มีคนมาด่าต่อหน้า แต่เขาไม่รู้จักอาตมา อาตมาจึงช่วยเขาด่าตัวเองด้วย เขาไปฟังข่าวลือมาว่า พระเล็กเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ชอบทะเลาะกับชาวบ้าน สร้างความเสื่อมเสียให้กับวัดท่าซุงมาก อาตมาก็บอกว่าใช่ เป็นคนที่แย่ที่สุด ตั้งแต่บวชมาสร้างความเดือดร้อนให้กับทางวัดมาโดยตลอด ช่วยเขาซ้ำไปเรื่อย จนกระทั่งตอนหลังเขามารู้ว่าเป็นอาตมาเอง ก็เลยทำหน้าประหลาด ๆ
คนเรามีมุมมองของเขาเอง และมีความเชื่ออย่างนั้นเสียแล้ว ในเมื่อเป็นดังนั้น โอกาสที่เราจะไปแก้เขาให้กลับเป็นดีก็ยาก อธิบายไปก็เสียเวลาเปล่า ๆ ก็เลยช่วยเขาด่าด้วย เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าตอนหลังเขารู้ เขาก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร
มุมมองแต่ละคนเห็นไม่เหมือนกัน เราไปเจอเรื่องเดียวกันมา ก็ยังเล่าไปคนละอย่างเลย เพราะแต่ละมุมที่เราเห็นไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเนื้อหาจะออกมาแนวเดียวกันเท่านั้น
ในสายตาของเราตอนนั้นก็คือรักษาของสงฆ์ ป้องกันไม่ให้ชาวบ้านขโมยปลาหน้าวัด แต่ในสายตาของชาวบ้านก็คือ เราเป็นนักบวชที่ใช้ไม่ได้ เขาหากินมาตลอดทั้งชีวิต ทำไมเราจะต้องไปขับไล่เขาด้วย มองไปคนละมุมกัน
ถาม : ถ้าเรามีงานแล้วเราแก้ไม่ได้ เป็นงานที่เร่งด่วน จะให้ทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : มีด้วยหรือ งานที่แก้ไม่ได้ ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ?
ปัญหานั้นมีอยู่สองอย่าง คือ ปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ของเราเป็นอย่างไหน ? ถ้าปัญหาที่แก้ได้ก็แก้ไป ถ้าปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะว่าแก้ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะเสียเวลาไปแก้ทำไม ?
ถ้าแก้ไม่ได้ก็แปลว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะไม่มีใครแก้ได้อยู่แล้ว ไม่มีงานอะไรที่ไม่มีอุปสรรค เพียงแต่อุปสรรคจะมากหรือน้อย ราบรื่นหรือไม่เท่านั้น
ถาม : ขอบารมีพระช่วยได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ขอได้ แต่ถ้าเกินวิสัยท่านก็นั่งมอง เพราะบางอย่างในอดีตเราก็เกเรไว้มาก ท่านจะสงเคราะห์ในส่วนที่สงเคราะห์ได้เท่านั้น
ถาม : การทำบุญบ่อย ๆ จะช่วยได้บ้างไหม ?
ตอบ : บุญส่วนบุญ กรรมส่วนกรรม แต่ถ้าสามารถสร้างบุญต่อเนื่องไปได้เรื่อย ๆ ระยะหนึ่ง กระแสบุญเข้ามาเราก็จะรับแต่ส่วนที่ดี ถามว่าช่วยได้ไหม ? จริง ๆ แล้วหักกลบลบล้างกันไม่ได้หรอก
ถึงเวลาแล้วพอส่วนที่ดีมาสนอง เราก็มักจะลืม ไปเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ ลืมว่าถ้าหมดกระแสตรงนี้ลงเมื่อไร เราก็จะรับเละอีกเหมือนเดิม
มีหลายต่อหลายครั้งเวลาไปกราบพระผู้ใหญ่ ท่านบอกว่าถ้ามีปัญหาในการงานอะไรไม่ไหวก็บอกกันบ้างนะ อาตมาก็คิดแบบเด็กอวดดีว่า "ถ้าผมไม่ไหว หลวงพ่อก็ช่วยผมไม่ได้หรอก..!"
ทุกวันนี้บางทีเจ้านายท่านก็บ่น ท่านบ่นในทำนองประชดว่า "คุณไม่มาหาผม ผมก็รู้ว่าคุณมีงานเยอะ ผมดีใจเสียอีกที่คุณไม่มา ไม่ใช่ว่ามาหาตลอดแต่ไม่ได้ทำงาน" ส่วนใหญ่เจ้านายที่กำลังใจต่ำ ๆ จะอยู่ในลักษณะอยากให้ลูกน้องแวะเวียนไปหาอยู่เรื่อย ๆ เจ้านายที่กำลังใจสูง ๆ มีความเข้าใจในการทำงานของลูกน้องไม่ค่อยจะมี
แต่ถ้าเขาสังเกตจะเห็นว่างานของอาตมาไม่เคยมีปัญหาขึ้นไปรบกวนผู้ใหญ่เลย ทุกอย่างจะจบลงแค่นี้ ทำได้หรือทำไม่ได้ก็จะจบลงแค่นี้ ถ้าแบกไม่ไหว อาตมาก็ยินดีให้งานนั้นทับตายไปเอง
ถาม : งานเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน ถ้าเรามีอุปสรรคในการทำงาน จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ขอบารมีในหลวงสงเคราะห์ จุดธูปปักฝากแม่ธรณีไปเลย เดี๋ยวท่านก็ส่งกำลังมาช่วยเอง แต่ถ้าทำบ่อย ๆ ก็จะมีเสียงด่าตามมาด้วย..!
ถาม : น้องเขาฝากถามมาว่า หลักปฏิบัติเพื่อความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ คืออย่างไรคะ ?
ตอบ : บอกเขาไปว่า ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องเป็น ทะลึ่งอยากจะเป็น แต่ไม่ศึกษาคุณสมบัติเอาไว้เลย แล้วจะไปเป็นทำไม..?
ถาม : ลูกเขาที่ขอมาจากพระ ต้องปฏิบัติกับเขาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องดูกติกาของเขาด้วยจ้ะ ถ้าอย่างสมัยก่อน หลวงพ่อท่านห้ามไว้ว่า ถ้าลูกพระอย่าตีหัว จะเจตนาหรือไม่เจตนา ถ้าตีหัวเด็กจะป่วยโดยไม่มีสาเหตุ จนกว่าเราจะขอขมาพระก่อนถึงจะหายป่วย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีผงวิเศษของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่เสกไตรมาส ลูกอมหลวงปู่ปาน ลูกอมหลวงปู่จง ลูกอมหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ลูกอมแก้วสารพัดนึกหลวงปู่ดู่ ชานหมากหลวงปู่สี ชานหมากหลวงปู่ครูบาวงศ์ ชานหมากหลวงพ่อฤๅษี ลูกอมหลวงปู่ทิม
ถ้ามีโอกาสจะเอาของมารวม ๆ กันทำวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่ง รุ่นรวมครูบาอาจารย์ จริง ๆ แล้วขององค์เดียวก็พอเหลือเฟือ นี่กลัวไม่ขลัง เล่นซะครบเลย
ยังมีผงจินดามณีหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม ไล่มาจนถึงรุ่นหลวงปู่เจือ"
ถาม : ลูกอมเอาไว้ทำอะไรคะ ?
ตอบ : สมัยก่อน เวลาท่านทำผง พอทำเสร็จแล้วผงเหลือติดมือ ก็ปั้นเป็นลูกอม
ถาม : ก็จะมีแค่ลูกเดียว ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก พอทำแล้วคนอยากได้ก็ขอไปเรื่อย แบบเดียวกับประคำปราบหงสาวดี ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
อาตมามีเบี้ยแก้ตัวครูของหลวงปู่เจืออยู่ด้วย ใหญ่กว่ากำปั้นเสียอีก ว่าจะเอาไปประมูล เป็นเบี้ยเปลือย ท่านจารยันต์ไว้ ให้เอาไว้ศึกษาแนวทาง จะได้ทำตามได้ ถ้าเป็นเบี้ยถักเราจะไม่เห็นตัวอย่าง
ถาม : ท่านศึกษายันต์ของเบี้ยแก้ครบแล้วหรือคะ ?
ตอบ : ศึกษาครบแล้ว แต่ว่าจะทำขลังได้เหมือนท่านหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะต้องไปนั่งนับฟันเบี้ย ต้องเป็นหอยเบี้ยที่มีฟัน ๓๒ ซี่ถึงจะใช้ได้
พระอาจารย์กล่าวถึงท่านแม่ทั้งสามว่า "สมัยก่อนพ่อค่อนข้างจะดุ ลูก ๆ ก็จะติดแม่ ส่วนใหญ่จะติดแม่ใหญ่ ลูกหลวงพ่อร้อยละ ๙๐ มักจะเป็นลูกแม่ใหญ่ แต่การมีแม่หลายคนก็ดี นึกอยากไปบ้านไหนก็ไปได้
เป็นเรื่องของการสร้างบารมีที่อธิษฐานตามกันมา เราจะสังเกตว่า พอท่านเกิดเราก็ไปเกิดอยู่รวม ๆ กับท่านทุกที ต่อให้อยู่คนละทิศคนละทาง ท้ายสุดก็ต้องมาอยู่ที่เดียวกัน
ชาตินี้ท่านแม่ลงมาไม่ได้ เพราะเป็นชาติที่หลวงพ่อท่านต้องมาสร้างเนกขัมมบารมี ถ้าท่านแม่ลงมาหลวงพ่อจะไม่ได้บวช ท้ายสุดพอท่านแม่เผลอปล่อยชาติเดียว หลวงพ่อหนีไปพระนิพพานเลย ก่อนหน้านั้นตามอยู่ตลอด เผลอปล่อยมาชาติเดียวไปเฉยเลย..!"
ถาม : บางครั้งตอนหนูนั่งสมาธิมีอาการตัวโยก
ตอบ : เป็นเรื่องปกติจ้ะ กำลังจะขึ้นอนุบาลหนึ่งแล้ว เขาเรียกอาการปีติ อย่าไปสนใจและอย่าไปกลัว อย่าอยากให้หายและอย่าอยากให้เป็น เรามีหน้าที่ภาวนาไปเฉย ๆ จนกว่าจะก้าวข้ามไปเอง
ถ้าเราไปบังคับให้หยุดก็จะหยุดได้ แต่ว่าเราจะไม่ผ่าน ทำถึงตรงนี้เมื่อไรก็จะโยกเมื่อนั้น ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ตึงตังโครมครามไปไม่นาน เดี๋ยวก็เลิกไปเอง
ถาม : เวลาฟังบทสวดมนต์ของเจ้าแม่กวนอิม จะมีน้ำตาไหล
ตอบ : อาการเดียวกัน บางทีก็โยก บางทีก็ขนลุก บางทีก็น้ำตาไหล บางทีก็ลอยไปทั้งตัว บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด เหมือนกันหมดจ้ะ เพียงแต่เป็นอาการเริ่มต้นของตัวปีติ ถ้าเป็นนักปฏิบัติเขาบอกว่าจะขึ้นอนุบาลหนึ่งแล้ว
ถาม : หนูเป็นโรคภัยไข้เจ็บมานานแล้ว อยากรู้ว่าเมื่อไรเจ้ากรรมนายเวรจึงจะเลิกซะที ?
ตอบ : อีกหลายชาติ
ถาม : อดีตชาติหนูไปทำเขามาหรือคะ ?
ตอบ : ปาณาติบาตไว้มาก ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องรับกรรม ในเมื่อรับอยู่เต็ม ๆ ก็ไม่ต้องสงสัยหรอก เราต้องทำมาแน่ ๆ
ถาม : หนูเคยทำบุญตักบาตรให้เขาอยู่ เขาก็ไม่ยอมเลิกเสียที
ตอบ : ถ้ามีคนมาฆ่าเรา ถึงเวลาเขาใส่บาตรให้เรา แล้วเราจะเลิกโกรธไหม ?
ถาม : อย่างนี้ต้องทำอย่างไรจึงจะดีคะ ?
ตอบ : ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไปเรื่อย มีโอกาสก็ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า ทำให้ต่อเนื่องยาวนานพอ เดี๋ยวก็ดีขึ้น
อาตมาปล่อยสัตว์มาจนนับตัวไม่ถ้วน เป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว ปล่อยทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอด้วยนะ ปล่อยปลาครั้งหนึ่งก็นับตัวไม่ไหวเพราะเหมาหมดตลาดเลย โยมไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก ตัวสองตัวก็ได้ สัก ๕๐ ปีเดี๋ยวเขาก็อโหสิกรรมให้เอง..!
ถาม : อย่างหนูนั่งสมาธิคนเดียว นั่งได้ไหมคะ ? ไม่มีอาจารย์มาสอน ไม่มีใครพาไป
ตอบ : ถ้ารอให้อาจารย์สอนก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก ต้องมีใจรักทำด้วยตัวเองก่อน
ถาม : เคยมีคนบอกว่า ถ้านั่งคนเดียว ออกไปแล้วเดี๋ยวไม่กลับ
ตอบ : คนบอกเคยนั่งไหม ? ถ้าไม่เคยนั่งก็ไม่ต้องไปเชื่อเขา ถ้าเขาเคยนั่งแล้วเป็นบ้า มาบอกเราก็น่าจะเชื่อได้
ความจริงที่โยมว่ามา ส่วนใหญ่ก็จะเจออย่างนั้น ก็คือเริ่มปฏิบัติก็จะมีผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายมาให้ข้อมูลสารพัด นั่งกรรมฐานเดี๋ยวจะบ้าบ้าง ถ้าหลุดออกไปเดี๋ยวจะกลับไม่ได้บ้าง จะว่าไปแล้วนั่นก็เป็นการขัดขวางของมารอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะพอเราได้ข้อมูลมาก็จะกลัว พอกลัวก็เลิกปฏิบัติ ก็ติดอยู่กับเขาต่อไป
ขอยืนยันว่า ในเรื่องการปฏิบัติ ถ้ากายในหลุดออกไปได้ ไม่มีใครที่จะไม่กลับ ไม่ต้องบังคับก็กลับเอง เพราะไม่มีอะไรที่เรารักมากไปกว่าร่างกายนี้อีกแล้ว ใครที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ส่งใจไปพระนิพพาน จะเจอประสบการณ์นี้ประจำเลย ยังไม่ทันคิดจะลงก็ลงมาแล้ว กว่าจะรู้ตัวก็กองอยู่กับพื้นแล้ว ต้องตะกายขึ้นไปใหม่ทุกที
เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปห่วงหรอกว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ ส่วนที่จะต้องห่วงมากที่สุดคือ ทำอย่างไรจะไปให้ได้มากกว่า ถ้าคราวหน้าใครเขามาบอกว่า นั่งกรรมฐานแล้วจะบ้า ให้ถามว่าเขาเคยนั่งหรือยัง ? ถ้าเคยนั่งแล้วบ้าหรือยัง ? ถ้าเคยนั่งมาแล้วและบ้ามาแล้วถึงจะเชื่อได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าคนบ้ามาบอก เราก็ไม่ควรที่จะเชื่อ เพราะสติเขาไม่สมบูรณ์
เป็นเรื่องปกติที่นักปฏิบัติจะต้องเจอ อาตมาจึงได้ยืนยันว่า ถ้าใครปฏิบัติไปแล้วยังไม่มีคนว่าเราบ้า ยังใช้ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ต้องมีใครสักคนว่าเราบ้าจนได้ การที่ทำอะไรต่างจากคนอื่นเขา เขาก็มักจะว่าบ้า แบบเดียวกับพ่อออกปะไล บ้านหนองบัว รู้นั่นเห็นนี่แล้วก็ไปเล่าให้คนอื่นฟัง เขาก็เรียก "ตาปะไลผีบ้า"
การต่างจากคนอื่น ถ้าเขาไม่เห็นว่าบ้าก็จะเห็นเป็นผู้วิเศษ ซึ่งไม่ได้เรื่องทั้งคู่ ถ้าเขาเห็นว่าเราเป็นผู้วิเศษ เขาก็มากวนไม่เลิก ถ้าเขาเห็นว่าเราบ้า เขาก็เลิกคบ สรุปแล้วโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ถาม : ปกติเวลาปฏิบัติอานาปานสติ เผลอไปบังคับลม เลยเพี้ยนครับ
ตอบ : ก็อย่าไปทำให้เป็นปกติ ถ้าปกติชอบไปบังคับ เลิกปกติก็ไม่ต้องบังคับเอง
บางทีคุณอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เพราะการปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง ถ้าอารมณ์เริ่มทรงตัว พอเราตั้งใจทำ อารมณ์ก็จะวิ่งไปที่จุดเคยชินเลย เหมือนกับเราบังคับลมหายใจ ถ้าไม่รู้สึกว่าเหนื่อย สามารถทรงตัวได้เป็นปกติ ขอให้รู้ว่านั่นไม่ใช่การบังคับลม แต่เป็นอารมณ์ใจที่ปฏิบัติแล้วเริ่มทรงตัวในระดับนั้น มีความคล่องตัวแล้ว ถึงเวลาแล้วก็เข้าถึงจุดนั้นได้เลย
ถาม : หนูสงสัยว่าจิตคนเรามีการบังคับให้เข้านอก ออกใน หรือบังคับให้อยู่กับที่ได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้
ถาม : ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูเข้าใจว่าบังคับไม่ได้
ตอบ : ความสามารถยังไม่พอ
ถาม : ก่อนหนูกินข้าวจะมีการพิจารณาก่อน อย่างอาหาเรปฏิกูลสัญญา ปฏิกูลก็คือสกปรก จำเป็นไหมว่าจะต้องพิจารณาว่าสกปรก ? เพราะว่าหนูถนัดพิจารณาเป็นธาตุมากกว่า แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบอกให้พิจารณาอาหารว่าเป็นธาตุนี่คะ ?
ตอบ : กรรมฐานทุกกอง ถ้าทำถึงก็สามารถที่จะประยุกต์รวมกันได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วแต่เรารวมไม่เป็นเอง
ถาม : อารมณ์การยึดมั่นถือมั่น แก้ยากมากเลยค่ะ
ตอบ : แก้ง่ายก็เป็นพระอรหันต์กันหมดแล้วสิ..!
ถาม : อารมณ์อยู่ตรงช่วงนี้ เหมือนเป็นจุดที่เราต้องแก้ กำลังเลาะไปเรื่อย ๆ ค่ะ
ตอบ : ทำต่อไป จนกว่าจะก้าวข้ามไปได้
ถาม : เวลาที่อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันจริง ๆ รู้สึกว่าละความมีตัวตนไป ทำไมการที่เราอยู่กับปัจจุบันตรงนั้น แล้วผลออกมาอย่างนี้ ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับปัจจุบันได้จริง ๆ จิตจะไม่ปรุงแต่ง จะว่าไปแล้วเป็นอารมณ์ที่เบาสบายที่สุด ถ้าหลุดไปในอดีตและอนาคตเมื่อไรก็แปลว่าเริ่มฟุ้งแล้ว
ถาม : ของหนูแค่นี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเท่านั้นเอง ถ้าไม่รู้ลมหายใจก็แปลว่าไม่รู้ปัจจุบัน
ถาม : วิธีปฏิบัติทางลัด ?
ตอบ : ไม่มีทางลัด มีแต่ทางตรง ศีล สมาธิ ปัญญา สามอย่างเท่านั้น ตั้งใจทำจริงก็ได้ผล ไม่ทำจริงก็ไม่ได้ผล จำไว้ว่าจะลัดกี่ทางก็อ้อมทั้งนั้นแหละ ต้องตรงอย่างเดียว เกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ปฏิบัติแค่นี้ยังจะใจร้อนอีก
ถาม : คำภาวนาระหว่างพุทโธกับนะโมพุทธายะ อย่างไหน..?
ตอบ : อยู่ที่เราถนัด ชอบอย่างไหนใช้อย่างนั้น
ถาม : อานุภาพของคาถาเล่าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจเรา กำลังใจห่วยอานุภาพก็น้อย กำลังใจดี อานุภาพก็มาก
ถาม : มีคนบอกว่า คาถานะโมพุทธายะ พลังจะเยอะกว่า
ตอบ : คนที่บอกเขาทำได้หรือยัง ? คาถาขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา ถ้าคนภาวนาพุทโธสมาธิสูงกว่า ก็จะมีผลมากกว่านะโมพุทธายะ
หลังจากที่พระอาจารย์สวดบังสุกุลเสร็จ ได้กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกเกิดเท่าไรก็ตายเท่านั้น แต่กว่าจะตายได้ก็ใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะมนุษย์เรามีอายุหลายสิบปี
เด็กที่เกิดมาใช้เวลาอยู่ในท้องไม่เกินสิบเดือน ยกเว้นพวกที่นอนเพลิน อยู่ในท้อง ๑๒ เดือนก็เคยเจอมาแล้ว แต่มีอีกรายหนึ่งอยู่ในท้อง ๓๙ ปีกว่าจะคลอดออกมา กลายเป็นหินไปเลย แต่ถ้าเหลาจื้ออยู่ในท้องแม่ ๘๐ ปี แม่ยังสาวพริ้งเหมือนสาวอายุ ๑๖ แต่ลูกออกมาแก่ หนวดยาวลากพื้นเลย"
ถาม : เป็นความจริงหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นเรายังไม่เคยเจอ ถ้าเจอเมื่อไรก็จะเป็นไปได้เอง
ถาม : เหลาจื้อมีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วเขาจะมาพูดถึงได้อย่างไร ? แล้วขงจื้อมีตัวตนไหม ? ขงจื้อเคยไปขอความรู้จากเหลาจื้อ
ไม่ว่าเหลาจื้อก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม หรือนักปราชญ์ทางด้านกรีก อย่างเพลโตหรือโซเครตีส เกิดไล่ ๆ กันหมด เหมือนกับโลกยุคนั้นท่านที่บำเพ็ญบารมีมาต่างคนต่างลงมาเกิด อยู่ในจุดที่ต้องสงเคราะห์คนหมู่มากเหมือนกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ครบถ้วน จึงจบกิจเข้าพระนิพพานไปเลย คนอื่นรู้ไม่ครบก็ต้องแสวงหากันต่อไป
ถาม : อริยสัจ..มีอะไรเป็นสัญลักษณ์..?
ตอบ : คำว่าสัญลักษณ์ไม่มีหรอก อริยสัจเป็นการใช้ตัวปัญญาเห็น ไม่ใช่สายตาเห็น ในเมื่อตัวปัญญาเห็น ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัญญาเรามีเท่าไร
ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสมาธิทรงตัว สมาธิจะทรงตัวได้ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ต้องไล่มาตั้งแต่ศีลเลย ให้รู้ว่าถ้าศีลไม่ทรงตัว ก็เป็นสัญลักษณ์บอกได้ว่าสมาธิไม่ดี ถ้าสมาธิไม่ดีก็เป็นสัญลักษณ์บอกได้ว่าปัญญาไม่พอ ดังนั้น..ถ้าปัญญาไม่พอการรู้เห็นรูปนามก็ไม่ชัดเจน การเห็นอริยสัจก็ยิ่งไม่ชัดเข้าไปใหญ่
ถาม : ก่อนนอนก็พิจารณาขันธ์ ๕ ตอนเช้ามืดฝันว่าพ่อตัวเองเหลือแค่หัว อยู่ดี ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาเล่าว่าแม่ตายในน้ำเน่า แม่ก็ตายในฝันนะคะ เห็นแม่จมน้ำตาย น้องชายที่เสียไปแล้วงัดประตูขึ้นมาก็เจอแม่ แล้วเขาหัวเราะสนุกสนาน แต่ก่อนวันจะฝันบ่น ๆ ว่าอยากถูกหวย เกี่ยวกันไหม ?
ตอบ : แสดงว่าพิจารณาแล้วได้ผล ถ้าพิจารณาแล้วไม่ได้ผล ก็จะไม่เห็นอย่างนั้น พ่อเหลือแต่หัวก็เห็นชัด ๆ ว่า ขันธ์ ๕ นี้ไม่เที่ยง แทนที่จะมาทั้งตัวก็มาแค่นั้น แม่ก็ตาย น้องก็ตายด้วย แล้วเราตายไหม ? บอกแล้วว่า ตะเถวาหัง มะริสสามิ ท้ายสุดเราก็ตายเหมือนกัน
ถาม : ตีเป็นธรรมใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เก่งมากเลย อุตส่าห์พิจารณาร่างกายก่อนนอน แต่ไม่รู้ว่าเกิดผลแล้ว
พระอาจารย์เล่าเรื่องพระวินัยที่เกี่ยวกับอาหารให้ฟังว่า "พระเขามีข้อห้ามอยู่ อันโตวุตถะ ห้ามหุงต้มเอง อันโตปักกะ ห้ามเก็บไว้เอง สามปักกะ ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตน"
ถาม : หุงต้มเองผิดพระวินัยเพราะเหตุอันใด ?
ตอบ : ถ้าหุงต้มเอง จะเลือกทำให้อร่อย สรุปว่าทำให้ตัดกิเลสไม่ได้
ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเสียเวลาในการปฏิบัติหรือครับ ?
ตอบ : มีส่วนทั้งนั้น แต่ที่แย่ที่สุดคือทำเองแล้วจะติดในรสอาหาร ห้ามเก็บไว้เองเพราะถ้าเก็บไว้เองเดี๋ยวก็ทำเอง ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตนเพราะเดี๋ยวก็แอบกิน โดนทุกรูปแบบ
ถาม : ที่จริงของในโลกนี้เป็นสมมติทั้งหมด ของที่ไม่เคยมีในโลกมาก่อนเลยนั้น ถ้ายังติดอยู่และคนนั้นมีกำลังใจสูงมาก ๆ จะสร้างขึ้นใหม่เลยได้หรือไม่ ?
ตอบ : ก็บอกอยู่ชัด ๆ แล้วว่ายังติดอยู่ ถ้ายังติดอยู่ก็ไปไหนไม่รอดหรอก เมื่อสร้าง "กรรม" ไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม สิ่งที่คุณ "สร้าง" ย่อมเกิดขึ้นมาสนองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะกำลังใจสูงหรือต่ำก็ต้องได้รับทั้งนั้น
ถาม : เวลาทำสมาธิ แล้วฟุ้งเป็นภาพพระเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดีหรือไม่ดีและควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะเอากำลังใจมั่นคง ก็เป็นโทษ แต่ถ้าคิดว่าเป็นพุทธานุสติก็ไม่เป็นไร ใช้วิธีนี้สิ..เปลี่ยนเองเลย แทนที่จะรอให้ท่านเปลี่ยน เราก็เปลี่ยนเอง
พอปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง ภาพพระก็จะเปลี่ยน ถ้าท่านเปลี่ยนเองแปลว่ากำลังใจเราทรงตัวแล้ว ถึงเวลาท่านมากี่แบบเราก็จำเอาไว้ แล้วเปลี่ยน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ใส่หมายเลขไปเลย เป็นกีฬาสมาธิ ช่วยให้กำลังใจทรงตัวได้ดี
พระอาจารย์กล่าวถึงลุงหมอว่า "หนังสือของลุงหมอ (พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน) เป็นประโยชน์แก่คนในเว็บมาก แต่ว่าคนเข้าไปอ่านน้อย เพราะธรรมะชั้นสูงคนจะให้ความสนใจน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว
เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ทำไมหลักการปฏิบัติที่เป็นธรรมะชั้นสูง คนไม่ค่อยจะสนใจครับ ?" ท่านบอกว่า "คนเข้าร้านขายเพชร กับคนเข้าร้านขายของชำ อย่างไหนเยอะกว่ากันวะ ?" กราบเรียนท่านว่า "ร้านขายของชำครับ" ท่านบอกว่า "เออ..นั่นแหละ เขาไม่ค่อยซื้อเพชรกันหรอก"
แต่ที่เอาลงไว้เพราะเห็นประโยชน์จริง ๆ จึงให้โยมไปขออนุญาตลุงหมอและเอาลงเว็บของวัดไว้ ทยอยลงเรื่อย ๆ ถ้าลงทีเดียวคนจะไม่อ่านเลย ทยอยลงทีละน้อย ๆ วันละกระทู้สองกระทู้ เป็นประโยชน์มากสำหรับคนที่เขาตั้งใจปฏิบัติ จะได้ตรวจสอบตัวเองได้เลย ว่าตอนนี้อารมณ์ใจเป็นอย่างไร
ที่เห็นชัดเจนเลยก็คือ คุณหมอสมกับเป็นนักปฏิบัติจริง ๆ เพราะตอนนั้นท่านเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจลำดับที่ ๕ มีสิทธิ์ที่จะคั่วตำแหน่งอธิบดี เพราะท่านอายุ ๕๕ เท่านั้น ยังมีอายุราชการอีกหลายปี แต่ท่านลาออกมาทำหน้าที่ของตัวเองเกือบจะ ๒๕ ปีเต็มแล้ว"
มีเสียงดนตรีขับร้องรำต่าง ๆ ในขบวนแห่นาค ดังผ่านบ้านวิริยบารมีไป พระอาจารย์จึงกล่าวกับโยมว่า "ปล่อยไปเถอะ ได้ยินก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ถ้าเราไปให้ความสนใจก็จะเป็นโทษแก่ใจเราเอง ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก
ต้องบอกว่าเขาชอบของเขาอย่างนั้น โยมลองสังเกตอย่างหนึ่งว่า พอมีพวกดนตรี พวกร้องรำเข้ามา เขาจะกระตือรือร้นคึกคักกัน สิ่งที่เข้าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะกระตุ้นปีติให้เกิดขึ้น เขาก็จะมีความสุขกันอยู่พักหนึ่ง แต่พอสิ่งกระตุ้นหมด เขาก็จะหมดความสุขไป เขาไม่รู้ว่าทำไมจึงมีความสุข และทำไมจึงหมดไป พวกนี้ก็เลยติดกินติดเที่ยวกัน เพราะทำไปแล้วรู้สึกตัวเองมีความสุข
แต่ความจริงก็คือ เป็นความสุขชั่วคราว แต่ถ้าเป็นเรื่องการปฏิบัติ ปีตินั้นเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของเราเอง เกิดข้างใน ไม่ต้องอาศัยข้างนอกมากระตุ้น และปีติที่เกิดจากการปฏิบัติจะยั่งยืนมากกว่า ทีนี้ก็ขึ้นอยู่ที่เราว่าจะรักษาได้ต่อเนื่องหรือไม่ ?"
"การปฏิบัติพอข้ามปีติไปแล้วจะเป็นฌาน พอเป็นฌานใจก็จะนิ่ง แรก ๆ เราจะรู้สึกว่าการทำบุญเราอิ่มเอิบใจมากเลย เราอยากทำเต็มที่ทุกอย่าง แต่พอทำไปนาน ๆ แล้วรู้สึกเฉย เฉยนี่ไม่ใช่ว่ากำลังใจลดลง แต่เป็นเพราะกำลังใจเกินไปแล้ว เกินปีติไปเป็นฌานแล้ว
ให้เราสังเกตว่า เรายังทำบุญเป็นปกติหรือไม่ ? ถ้ายังทำเป็นปกติ แสดงว่าเป็นฌานในทานบารมี สูงกว่าตอนแรกเยอะเลย มีหลายคนมาปรารภว่า ทำไมตอนนี้ทำบุญแล้วไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน ก็เลยบอกว่า ให้สังเกตใจตนเองว่ายังอยากทำเป็นปกติไหม ? ถ้ายังอยากทำเป็นปกติ อย่างนั้นคุณทรงฌานในจาคานุสติแล้ว
บางทีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เราไม่ต้องรู้ก็ได้ วิธีที่ต้องรู้ ก็คือ ทำอย่างไรไม่ให้นิวรณ์ ๕ อย่าง ได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา กินใจเราได้ แล้วก็พยายามสร้างกำลังใจของเรา ให้สติสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการภาวนา จนกระทั่งหลับและตื่นมีสติรู้เท่ากัน เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสกินเรา
หลับและตื่นรู้ตัวเท่ากัน นอนก็เหมือนไม่ได้นอน นอนก็รู้ตัวว่านอน หลับก็รู้ตัวว่าหลับ จะตื่นเมื่อไรก็สั่งตัวเองให้ตื่นได้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เราก็จะเริ่มสู้กิเลสได้แล้ว ถ้าหากไม่ถึงระดับนี้ ก็ยังโดนกิเลสตีอยู่เรื่อย"
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ค่อย ๆ ทำไป พระธรรมเป็นสมบัติที่พระพุทธเจ้ามอบให้ทุกคน เพียงแต่ใครจะรู้จักไขว่คว้ามาเท่านั้น คว้าไว้เร็วเท่าไรก็เป็นคุณแก่ตัวมากเท่านั้น ถ้ายังทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่ก็น่าเสียดายสำหรับเขา อาตมาเคยสรุปง่าย ๆ ว่า วางก่อนสบายก่อน
พระอาจารย์บอกว่า "วัตถุมงคลที่ใช้วัสดุมีราคา เช่น ทองคำ เทวดาที่รักษายิ่งต้องมีอานุภาพมาก นี่เป็นกฎตายตัวเลย ยิ่งมีราคาสูงเท่าไร เทวดาที่รักษาก็ยิ่งต้องมีอานุภาพเท่านั้น"
ถาม : แม่ชีที่เป็นข่าว..?
ตอบ : ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย แม่ชีท่านเป็นพุทธภูมิ เวลาทำบุญอะไรก็อธิษฐานปรารถนาพระโพธิญาณทุกครั้ง เพราะฉะนั้น..คำสอนบางอย่างอาจจะไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ตามวิสัยพระโพธิสัตว์ของท่าน
ถาม : พระของผมดีไหมครับ ? (เอาพระให้ดู)
ตอบ : องค์นี้ท่าพระจันทร์มีเอาไว้แหกตาคนที่ไม่รู้จักของ แต่หลวงพ่อโต วัดระฆัง ท่านให้พรไว้ว่า พระสมเด็จฯ ไม่ว่าจะเก่าจะใหม่ จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านด้วยความเคารพ ท่านจะสงเคราะห์ให้มีอานุภาพเหมือนของจริงที่ท่านทำเอง เพราะฉะนั้น..คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่าปลอมหรือไม่ปลอม นึกถึงท่านเป็นอันว่าใช้ได้
เรื่องของพระสมเด็จวัดระฆังที่ราคาไปไกลมากเลย ประการแรก พุทธานุภาพเชื่อถือว่าคุ้มครองได้จริง ในยุคนั้นท่านทำเองกับมือ แม้จะทำแจกก็ไม่ใช่เครื่องปั๊มแบบสมัยนี้ ก็เลยมีไม่มากพอแก่ความต้องการของคน
ประการที่สอง เป็นการฟอกเงินของนักการเมืองอย่างหนึ่ง นักการเมืองไปรับสินบนเขามา แล้วก็ไปบูชาพระ เสร็จแล้วก็เอาพระไปปล่อยต่อ กลายเป็นว่าเงินที่ตัวเองได้มา เป็นเงินที่ถูกต้องแล้ว เพราะว่าได้เอาพระเครื่องไปให้คนอื่นบูชา แล้วรับเงินมา จึงเป็นการปั่นราคาจนแพงลิบโลก
แต่หลวงปู่ท่านก็รู้จริง เวลาไปบิณฑบาตท่านก็เอาพระใส่ฝาบาตรไปแจกโยม โยมก็ทำท่าไม่อยากจะได้ ท่านบอกว่า "รับไว้หน่อยเถอะจ้ะ นานไปจะแพงมาก"
ประการสุดท้ายที่ทำให้พระเครื่องราคาแพงมาก ก็คือ เซียนพระ ถ้าทุกคนสังเกตจะเห็นว่า บรรดาเซียนพระในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็คือบรรดานักเลงเก่า พอเข้ามาในวงการพระ ก็ยังมีนิสัยนักเลงอยู่ วันก่อนก็เพิ่งจะมีข่าวยิงเซียนพระท่าพระจันทร์ตายคาวัด เป็นวัดของพระครูวัชรินทร์ เพื่อนของอาตมาเองด้วย..!
มีนายทหารอากาศยศนาวาอากาศโทท่านหนึ่ง อยากได้พระสมเด็จวัดระฆังมาก พอดีมีเจ้าของจะปล่อย ราคาสมัยนั้นหกหมื่นบาทถือว่าแพงมาก เขาก็พยายามรวบรวมเงินได้หกหมื่นบาทแล้วก็ไปบูชาพระ เซียนแหกตาให้น่าเชื่อถือ ด้วยการพาไปรับพระที่เชียงใหม่ อ้างว่าเป็นของตกทอดมาจากบรรพบุรุษของคนขาย พอบูชาสมเด็จวัดระฆังได้มาก็แขวนคอกลับ
ตอนขากลับขับรถแหกโค้ง คนที่ขายพระสมเด็จวัดระฆังให้คอหักตาย ส่วนนายทหารอากาศท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย เขายกมือไหว้ท่วมหัวบอกว่า มีของดีไม่รู้จักรักษา เอามาปล่อยต่อ ตัวเองเลยต้องตาย แต่พอเอาไปเข้าตลาดพระ ใคร ๆ ก็ฟันธงเลยว่าปลอม ปลอมก็ปลอมเถอะ เพราะมีประสบการณ์มากับตัวเองแล้ว เขามั่นใจว่าของเขาแท้
มีพระอยู่แค่สององค์ในปัจจุบันนี้ที่จะใหม่จะเก่า จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านด้วยความเคารพ ท่านจะสงเคราะห์ให้มีอานุภาพเหมือนของจริงอย่างที่ท่านทำเอง ก็คือ หลวงปู่โตวัดระฆัง กับหลวงปู่ปานวัดบางนมโค
พระท่านราคาแพงจนจับไม่ติดแล้ว ลูกหลานที่อยากได้ไว้ก็ไม่มีปัญญาจะไปบูชาหามาได้ ท่านก็เลยต้องสงเคราะห์ให้ เอาพระใหม่ ๆ มา นึกถึงท่านด้วยความเคารพก็ใช้ได้แล้ว
บางคนที่รู้จักกัน เขาเอาพระสมเด็จวัดระฆังไปเข้าประกวด เจอเซียนกี่ราย ๆ ก็บอกว่าปลอม เขาก็ถอนของออกมา จะเดินทางกลับ ปรากฏว่าเซียนมาดักอยู่ตรงลานจอดรถ "พี่..ของพี่ปลอมได้สะเด็ดมาก ผมให้สามหมื่น จะเอาไว้ดูตัวอย่าง" ของปลอมให้ตั้งสามหมื่น เชื่อเขาดีไหม ? คือ เขาช่วยกันพูดคนละทีสองทีว่าเป็นของปลอม จากของดีกลายเป็นของปลอม ราคาถูกไปเลย
ตัวอย่างที่ชัดที่สุด นายกสมาคมพระเครื่องแห่งประเทศไทย เขาเช่าบูชาพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี ๒๔๙๗ พิมพ์กรรมการ ราคา ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ราคาแพงขนาดนี้เลย ถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ อาตมาดูยังสวยสู้ของอาตมาไม่ได้ เลยส่งลูกศิษย์เอาไปแหย่ดูว่าให้ราคาเท่าไร
ปรากฏว่าเขาให้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท..! แต่ของเซียนสวยสู้ไม่ได้ราคาตั้งสองล้านห้า ราคาเซียนไปโหดขนาดนั้น เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของพระเครื่อง ถ้าเราบูชาด้วยความเคารพ จะเก่าจะใหม่ก็เหมือนกัน เป็นอนุสติเหมือนกัน
ถ้าหากว่าเป็นภาพพระพุทธก็เป็นพุทธานุสติ ถ้าเป็นรูปพระสงฆ์ก็เป็นสังฆานุสติ อย่าไปคิดถึงมูลค่าทางการตลาด เพราะจะไปเจอ "การสวด" อย่างที่บอก พูดจากของดีกลายเป็นของปลอมเลย กำลังใจจะตกเสียเปล่า ๆ
บางท่านหลักการดีมากเลย เขาเก็บพระใหม่อย่างเดียว อาตมาก็ถามว่า "อยากจะเล่นพระ ทำไมเก็บแต่พระใหม่ ?" เขาบอกว่า "ใหม่วันนี้ อีกสิบปีก็เก่า" ก็จริงของเขานะ..!
โยมท่านหนึ่งศรัทธาหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี เขาบูชาพระของหลวงพ่อมุ่ยตั้งแต่สมัยออกใหม่ ๆ อย่างละ ๒๐๐-๓๐๐ องค์
เคยถามว่า "ลุงเอาไปทำไมเยอะแยะ ?"
"เผื่อข้าตาย"
"ตายแล้วทำไม ?"
"เอาไว้แจกงานศพ ลูกหลานจะได้ไม่ต้องหาของที่ระลึก"
ปรากฏว่าลุงยังไม่ทันจะตาย ลูกหลานช่วยกันขายจนเกลี้ยง ลูกหลานช่วยฉลองคุณพ่อแม่จนหมด เพราะพระหลวงพ่อมุ่ยตอนนี้องค์ละหลายหมื่น
อาตมาเคยกลืนพระหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค ลงท้องไป องค์นั้นเป็นพระปิดตาผสมชานหมากของท่าน ตอนนั้นใส่พระไว้ในกระเป๋า ลงจากรถปิดประตูแล้วหนีบกระเป๋าแตก ไม่รู้จะทำอย่างไร ท้ายสุดตัดใจใส่ปากกลืนไปเลย เพราะไหน ๆ ก็แตกไปแล้ว
พอพระครูแสงชัยเขาไปบวช เขาก็มาถาม "พี่..เหรียญอายุยืนหลวงปู่สีเนื้อนวโลหะยังอยู่ไหม ?"
"อยู่"
"ขอผมได้ไหม"
"ขอเฉย ๆ ไม่ได้ เหลืออยู่เหรียญเดียวเท่านั้น"
"ถ้าอย่างนั้นเอาเนื้อทองแดงมาแลก"
"ได้"
อาตมาก็ให้แลกไป มารู้ทีหลังว่าพ่อเจ้าประคุณเอาไปปล่อยต่อเป็นหมื่น อยากเหยียบจริง ๆ เลย..!
หลวงปู่สีมรณภาพตอนอายุ ๑๒๘ ปี ถือว่าเป็นพระเถระที่มีหลักฐานอายุที่ชัดเจนที่สุด องค์ที่รองลงไปคือหลวงปู่สุภา วัดสีลสุภาราม ปีนี้ท่านน่าจะอายุ ๑๑๔ ปีแล้ว สมัยเก่าไปหน่อยก็หลวงปู่เงิน วัดบางคลาน อายุ ๑๑๕ ปี คนรุ่นเก่า ๆ อายุยืน ไม่ได้อายุยืนอย่างเดียว ร่างกายแข็งแรงด้วย เพราะทำงานหนักมาทั้งนั้น คนรุ่นใหม่ไม่แข็งแรงพอ
ตอนนี้อาตมาสะสมวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์อยู่ มีชานหมากหลวงปู่วงศ์ ชานหมากหลวงพ่อฤๅษี ชานหมากหลวงปู่ทิม ลูกอมหลวงปู่ดู่ ลูกอมหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ลูกอมหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ลูกอมหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ยาเม็ดจินดามณี หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ฯลฯ
เดี๋ยวจะทำวัตถุมงคลรุ่นหนึ่ง จะเทไปเป็นส่วนผสมให้หมด ทำทั้งทีทำแจกไปเลย อย่าไปตั้งราคา ถ้าญาติโยมสังเกตจะเห็นว่า อาตมาจะทำวัตถุมงคลแจกก่อน พอเหลือจากที่แจกแล้วจะราคาแพง เพราะฉะนั้น..วันที่แจกใครไม่มาก็เจ็บตัวทีหลัง ต้องไปซื้อของแพง ๆ
มีของอย่างหนึ่งที่เสียดายมากเลย ก็คือ แป้งของหลวงปู่บุดดา สมัยก่อนอาตมาขนไปทียกโหล ไปให้ท่านเสก คนขอซะเกลี้ยงเลย ทีนี้พอตัวเองอยากได้ก็ตามไปขอแบ่งเขา เพราะเรารู้ว่าใครเอาไปบ้าง ตอนนั้นซื้อแป้งเด็กขวดเล็ก ๆ เป็นโหล ๆ หลวงปู่ท่านจะเสกให้ ถ้าใครไม่เอาไปท่านก็เทใส่หัวให้เลย
สาเหตุที่หลวงปู่เสกแป้งแทนเสกน้ำมนต์ เกิดจากตอนที่หลวงปู่ไม่สบาย เข้าโรงพยาบาลตำรวจ เพราะลูกศิษย์เป็นหมอใหญ่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ลูกศิษย์ที่ไปหาก็นวดถวาย มีลูกศิษย์คนหนึ่ง เขาจะมีสัญลักษณ์ประจำตัวก็คือ ใส่แหวนเพชรเกือบสิบนิ้ว เขาไม่ได้นวดหลวงปู่เฉย ๆ เขาเอาน้ำมันนวดกล้าม หรือที่พวกเราเรียกว่าน้ำมันมวย ไปนวดหลวงปู่ด้วย
ด้วยความที่หลวงปู่อายุมาก ผิวท่านบาง พอโดนน้ำมันนวดกล้ามเข้าก็อักเสบ บวมเลย หมอมาเห็นเกือบจะเป็นลม ก็เลยให้พยาบาลเอาแป้งมาทาเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ พอลูกศิษย์เห็นหลวงปู่ใช้แป้งทาแก้อักเสบ ก็ซื้อมาถวายกันใหญ่ พูดง่าย ๆ ก็คือ มีแป้งเป็นคันรถ หลวงปู่ท่านไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเสกแป้งไปเลย
ตั้งแต่นั้นมากลายเป็นธรรมเนียมว่า ไปหาหลวงปู่ต้องเอาแป้งไปด้วย แต่จะมีสักกี่คนรู้ว่าหลวงปู่ท่านใช้แป้ง หรือที่เขาเรียกว่า น้ำมนต์แห้ง ด้วยเหตุใด ก็เพราะด้วยเหตุที่ว่ามานี่แล กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ถึงเวลาก็แจกแป้งอย่างเดียว
ถาม : หนูอ่านเจอมาว่าคาถาเงินล้าน ถ้าทำได้ผลแล้วอย่าโวยวายไป เดี๋ยวผลจะหด แต่หนูจะไปชวนคนอื่นเขา บางทีต้องมีการบอกว่าเราทำได้ผลอย่างนี้ ๆ
ตอบ : บอกในลักษณะยกตัวอย่างให้ฟัง อย่าบอกลักษณะอวดว่าเราทำได้ ถ้าบอกในลักษณะอวดว่าเราทำได้ หรือบอกด้วยความปลื้มใจภูมิใจ อยากให้เขารู้ว่าเราทำได้ จะหายไปนานเลย ฉะนั้น..ถ้าหากว่าวางใจเป็นกลางได้ จะยกตัวเองเป็นตัวอย่างก็ได้ ไม่เป็นไร
ถาม : เคยได้ยินมาว่า ถ้าเกิดว่าคน ๒ คน คนหนึ่งมีอาชีพอิสระหรือมีกิจการส่วนตัว อีกคนหนึ่งเขารับเงินเดือน ถ้าทำเหมือนกันคนที่รับเงินเดือนจะได้ผลน้อยกว่า เพราะทางเข้าของเงินมันจำกัด
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เดี๋ยวเขาก็ไปเดินสะดุดเงินที่ไหนสักแห่งล้มตายไปเอง
ถาม : แม้จะไม่ได้ทำอาชีพอะไรเลยก็เหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : อยู่ ๆ อาจจะมีล็อตเตอรี่ปลิวมา เก็บเอาไว้ดูเล่นเฉย ๆ ปรากฏว่าเป็นรางวัลที่ ๑ เขามาของเขาจนได้ เหมือนอย่างคุณแม่ของคุณประยงค์ ตั้งตรงจิตร เป็นอัมพาตนอนอยู่ ภาวนาไปเรื่อย อยู่ ๆ เห็นแสงสว่างพุ่งเข้าไปในเซฟที่ทิ้งไว้ปลายเตียง เป็นเซฟเปล่า เลยบอกลูกเปิดดู เปิดออกมาแบงค์อัดเต็มตู้เลย แบงก์ร้อยล้วน ๆ เหตุที่มีแต่แบงค์ร้อยล้วน ๆ เพราะสมัยนั้นใบใหญ่ที่สุดคือแบงค์ร้อย
ถาม : หลวงพ่อคะ หลัง ๆ นี่หนูจะมีความรู้สึกว่า เรายอมรับมากขึ้นว่าเราต้องตาย คือร่างกายนี่เรายืมมา แต่ก็จะมีความรู้สึกแวบเป็นระยะว่า ช่วงที่ใช้อยู่ ยังไม่คืนนี่ขอสวยหน่อยเถอะ เงินก็เงินเรา ศีลก็ไม่ผิด มีการให้เหตุผลเรียบร้อยเลยค่ะ
ตอบ : นั่นกิเลสเขาชวน ถ้าปัญญาน้อยนี่เสร็จเลย ไม่เป็นไร..เราก็สวยอย่างมีสติ คือรู้ตัวว่าเราต้องทำให้สวย เพราะว่าจริง ๆ แล้วร่างกายนี้สกปรกเลอะเทอะ ถ้าไม่ล้างหน้าสัก ๒ วันจะมีใครมองไหม ?
ดังนั้น..เราต้องมีสติ คือที่แต่งนี่เพื่อต้องการให้สวย เพราะว่าของจริงนั้นหาความสวยไม่ได้
ถาม : บางครั้งที่ไปหลงตามนี่ กำลังใจก็จะตกไปยาวเลยค่ะ
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ
ถาม : เวลาที่เราภาวนาไปถึงฌาน ๔ แล้วตัวหลุดออกไป เนื่องจากจะให้ชินว่าตอนตายให้หลุดออกไปนิพพานค่ะ พอเวลาหลุดออกมาหนูก็เลยพยายามไปกราบพระที่นิพพานตลอด อย่างนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จ้ะ..แสดงว่ากำลังใจเข้มแข็งขึ้น สติการรู้ตัวมีมากขึ้น ถึงได้ควบคุมกายในได้ ไม่อย่างนั้นปกติถ้าหลุดออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าขาดสติควบคุม จะเปะปะไปไหนไม่ถูก แล้วท้ายสุดก็กลับ แสดงว่าการปฏิบัติดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ถาม : ล่าสุดหนูก็ทำอย่างที่ท่านบอก ขึ้นไปก็พยายามสวดคาถาเงินล้าน ได้ประมาณจบหนึ่งหนูก็ร่วงลงมาที่เดิมค่ะ
ตอบ : ได้ตั้งจบหนึ่ง..! สมัยก่อนอาตมายังไม่ทันคิดเลยก็ร่วงลงมาแล้ว
จบหนึ่งนี่เยอะมากแล้ว เพราะสภาพของพระนิพพานจริง ๆ เป็นสภาพที่ละเอียดเกินกว่าจิตปัจจุบันเรามาก เราไม่เคยชิน เกาะอยู่ได้ถือว่าเก่งมากแล้ว พยายามสร้างความเคยชินให้ได้ เกาะให้นานขึ้นไปเรื่อย ๆ ซักซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็นานขึ้นเอง
ถาม : พอร่วงลงมาหนูก็เลยออกไปใหม่ค่ะ แล้วก็เป็นอย่างนี้ประมาณ ๒-๓ รอบ พอเข้าออกหลาย ๆ รอบ เหมือนกับว่าออกไปทางหัว พอลืมตาขึ้นมาแล้วปวดหัวตรงนี้ค่ะ เป็นอาการปกติหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อาจเป็นเพราะว่าเรามุ่งมั่นมาก แล้วก็ไปใช้กำลังใจในการช่วยส่งมาก ถ้าหากว่าเราไม่ได้มุ่งมั่นไปส่งจิตออก เราก็จะไม่เครียด ต่อไปก็เปลี่ยนไปออกทางหัวแม่เท้าสิ จะได้ไม่ปวดศีรษะ..!
ถาม : เวลาหนูจะส่งจิตขึ้นไปอย่างตอนนั่งอยู่แบบนี้ หนูจะจับอารมณ์ให้เหมือนกับตอนที่หลุดขึ้นไป คือจับภาพพระแล้วให้อารมณ์เหมือนกับตอนที่ขึ้นไป แล้วมีครั้งหนึ่งที่หนูจำแม่นมาก ถ้าจะเอามาใช้ ครั้งนั้นจะจำได้ดีค่ะ แต่ครั้งนั้นหนูเห็นภาพพระองค์ใหญ่สวยงามมาก แต่บริเวณรอบ ๆ เป็นสวนสวย ๆ ค่ะ หนูเลยไม่แน่ใจเพราะบนพระนิพพานไม่น่าจะมีสวน
ตอบ : ทำไมจะไม่มีวะ..?
ถาม : มีหรือคะ ? หนูกลัวว่าไม่ใช่ เอามาใช้แล้วผิด
ตอบ : เอาพระเป็นหลักจ้ะ อย่าเอาสวน เดี๋ยวจะกลายเป็นจิ้งหรีดไป เราไม่เคยชินมาก่อน แถมยังคิดไปด้วยว่าไม่น่าจะมี ถ้าไม่ได้คิดไว้ก่อนก็เป็นของจริง ถ้าคิดไว้ก่อนเขาเรียกว่าอุปาทาน
ถาม : เป็นไปได้หรือเปล่าว่า การที่เราพิจารณาแล้วอารมณ์ไปตกตรงกับที่พระอริยเจ้าท่านเป็น แต่เราทรงอยู่ได้ไม่นาน ?
ตอบ : ไม่ใช่ว่าเป็นไปได้ไหม แต่ควรจะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าคิดแล้วไม่ได้อารมณ์อย่างนั้น ถือว่ายังคิดไม่เป็น..!
ถาม : หนูบังเอิญทำได้อยู่ครั้งหนึ่ง บรรยายเป็นภาษาคนไม่ถูกเลย คือว่าดีมาก ๆ เลยค่ะ หนูก็อยากจะได้อย่างนั้นอีกค่ะ
ตอบ : ชาติหน้าบ่าย ๆ ก็ไม่ได้..! ให้เราภาวนา พิจารณาเหมือนเดิม ส่วนจะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะได้เร็ว แต่ถ้าทำเพราะอยากได้ ตัวอยากจะกั้นไว้
ตอนสมัยอาตมายังเรียนปริญญาตรีอยู่ เขามีฝึกกรรมฐาน อาจารย์เขาบอกว่า "คุณเคยทำได้อย่างนี้ พนันกับผมไหมว่าชั่วชีวิตนี้คุณจะทำไม่ได้อีกเลย ?" เราก็ว่า อาจารย์พูดถูกแต่ถูกไม่หมด ถ้าหากลูกศิษย์วางกำลังใจถูกต้องจะทำได้ แต่ถ้าไปอยากได้อย่างนั้นก็จะไม่ได้
ถาม : มีอีกเหตุผลหนึ่งด้วยก็คือว่า ตอนนั้นที่หนูพิจารณา หนูพิจารณาตามหนังสือเล่มหนึ่งค่ะ แต่พอมาตอนหลังหนูมาได้ยินว่าหนังสือเล่มนั้นถูกไม่หมด หนูมาพิจารณาแบบเดิมหนูก็รู้สึกว่าไม่ถูกค่ะ ก็เลยทำอารมณ์แบบเดิมไม่ได้แล้ว
ตอบ : ไป..กลับไปอ่านใหม่ แล้วตั้งใจว่าต่อไปนี้ถูกทั้งหมด โดยเฉพาะส่วนที่เราทำ
ถาม : อ๋อ ก็คือเอาเฉพาะตรงส่วนที่เราทำ
ตอบ : เออ..ฉลาดจริง ๆ
ถาม : ช่วงที่เป็นสมาธิใช้งาน จะบอกว่าไม่ถึงฌาน ก็กดกิเลสได้ในระดับหนึ่งค่ะ แต่ถ้าจะมองว่าเป็นฌาน หนูก็ยังแยกไม่ได้
ตอบ : สมาธิใช้งานจะเบา ไม่หนักเหมือนกับฌานที่เรานั่งฝึก แต่ว่าจุดสังเกตที่ง่าย คือ นิวรณ์ ๕ กินใจเราไม่ได้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราตอนนั้นไม่ได้ เรารู้สึกว่าเบาเลยคิดว่าไม่น่าจะใช่ ถึงให้ดูกำลังใจ ถ้าหากว่าใจปราศจากนิวรณ์อย่างน้อย ๆ แสดงว่าสมาธิทรงตัว
ถาม : แต่ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นฌานอะไร ก็ยังไม่ต้องไปแยกแยะก็ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : แล้วจะไปแยกทำไม ? ให้ทำได้ก็แล้วกัน
ถาม : แต่ท่านเคยบอกว่าต้องแยกได้ด้วยว่าฌานไหนนี่คะ ?
ตอบ : นั่นต้องเป็นพวกที่กินอิ่มเกินไป ภาษาจีนเรียกว่า "เจียะป้าบ่สื่อ"
ถาม : แล้วพวกที่เขาไปแบบโค้งสุดท้าย แบบที่นอนใกล้ตายแล้วไปได้ตอนนั้นพอดี เขาต้องเคยได้ฌาน ๔ มาก่อนบ้างแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ได้ตรงนั้น ได้ตอนนั้นเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะทำอะไรให้เด็ดขาดอย่าไปคุยกับคนแก่ เพราะคนแก่ประสบการณ์มาก ความรอบคอบมีมากจนไม่ค่อยกล้าทำอะไร
คนแก่เหมาะที่จะเป็นที่ปรึกษาอย่างเดียว แต่เป็นที่ปรึกษาเพื่อเพิ่มความชอบธรรมให้กับเราก็พอ ไม่ใช่ปรึกษาแล้วต้องทำตาม ที่ปรึกษาเพิ่มความชอบธรรมก็คือ ให้เราอ้างกับคนอื่นว่าได้ปรึกษาแล้ว แต่กูจะเอาอย่างนี้..!"
ถาม : ....การเห็นพระนิพพาน
ตอบ : ถ้าคิดจะเห็น แปลว่าผิดตั้งแต่แรกแล้ว หลับตาอยู่จะไปเห็นอะไร มโนมยิทธิตอนแรกจะเป็นความรู้สึกก่อน ขอให้เชื่อว่าความรู้สึกนั้นถูกต้อง คล้อยตามครูฝึกไปเรื่อย
พอสมาธิทรงตัวขึ้น จิตเริ่มนิ่ง ภาพถึงจะปรากฏขึ้น แต่ภาพที่ปรากฏก็ไม่ได้ปรากฏอย่างตาเห็น แต่เป็นใจเห็น เหมือนกับเรานึกถึงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรารู้จัก ก็จะเห็นชัด ๆ แต่ไม่ใช่ตาเห็น เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งใจที่จะเห็น ก็แปลว่าผิดตั้งแต่แรกแล้ว
หลวงปู่มหาอำพันไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งแรก หลวงพ่อเล่าว่าหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ลอยคุมหลวงปู่มหาอำพันมาเลย หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ บอกว่า "ฝากน้องชายผมคนหนึ่ง ผมจนปัญญาแล้ว น้องผมจะเอาแต่ตาเห็นเป็นทิพเนตรให้ได้ เขาไม่เข้าใจคำว่าทิพจักขุญาณคือใจเห็น"
หลวงพ่อวัดท่าซุงสะกิดบอกหน่อยเดียว หลวงปู่มหาอำพันก็เข้าใจ หลังจากนั้นหลวงปู่มหาอำพันยืนยันเรื่องทิพจักขุญาณกับใคร ท่านจะย้ำเลยว่า "ใจเห็นนะ ไม่ใช่ตาเห็น" เพราะว่าท่านติดตรงตาเห็นมา ๒๐-๓๐ ปี
ถาม : จะเห็นได้ชัดต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : หลายวิธีด้วยกัน อันดับแรก ตัดร่างกายให้ได้จริง ๆ ถ้าจิตไม่ยึดร่างกายก็จะเห็นได้ชัดเจน อันดับสอง พยายามสร้างสมาธิให้สูงกว่านั้น ยิ่งได้ฌานสี่ยิ่งดี ถ้าหากสมาธิทรงตัวได้มากเท่าไร ความชัดเจนจะมีมากเท่านั้น
ความจริงต้องบอกว่า พวกเรามักจะคัน คันตรงที่ว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปหาเรื่องให้เขาตีหัวร้างข้างแตก ไม่เห็นนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว เหมือนกับอยู่ ๆ ไปรู้ว่าท่านรัฐมนตรีคนนี้ไปทำอะไรไม่ดีมาบ้าง แล้วท่านก็รู้ด้วยว่าเรารู้เห็น ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าท่านจะเล่นงานเราไหม ?
ถาม : การอุทิศส่วนกุศล..เราเจาะจงชื่อได้หลายคนหรือไม่ ?
ตอบ : แสดงว่าคุณไม่เข้าใจคำว่าเจาะจง เจาะจงคือระบุชัดว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้น..คุณจะระบุสักร้อยแปดชื่อก็ไม่มีปัญหา
ที่ต้องให้ระบุชัด เพื่อให้คนนั้นรู้ว่าสิทธิ์นั้นเป็นของเขาจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ให้ไปเถอะ มีปัญญาจะจดใส่กระดาษมาสัก ๘ แผ่น ๑๐ แผ่นก็ยังได้
พระอาจารย์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์อยุธยาให้ฟังว่า "บางทีคนเราถ้าหัดคิดในด้านชั่ว ๆ ไว้ก่อน ก็อาจจะหาทางป้องกันเรื่องไม่ดีเหล่านั้นได้ อย่างที่ออกญาพระกลาโหมกล่าวกับออกหลวงนายฤทธิ์ว่า "คนอย่างท่านทำการใหญ่แล้วไม่สามารถที่จะขึ้นไปปกครองประเทศได้หรอก เพราะไม่รู้เท่าทันว่าคนชั่วเขาคิดอย่างไร แต่ตัวข้านี้รู้ เพราะข้าชั่วกว่าพวกนั้น"
ตอนนั้นออกหลวงนายฤทธิ์ถูกจับ เพราะออกญาพระกลาโหมเป็นสมุหกลาโหม คุมทหารทั้งประเทศเลย ออกหลวงนายฤทธิ์อยู่ยงคงกระพันขนาดไหนก็โดนจับจนได้ แต่ออกญาพระกลาโหมบอกว่า จะไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิตเพราะว่าเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกัน เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และสำคัญที่สุดก็คือมีฝีมือ ขอแค่ว่าถ้าปล่อยตัวไปแล้ว มีศึกเหนือเสือใต้ที่ต่างชาติเข้ามาเบียดเบียนบีฑา ขอให้กลับมาช่วยกัน ออกหลวงนายฤทธิ์ก็ตกลง
ครั้งนั้นถ้าไม่ได้ออกญาพระกลาโหม เราอาจจะเสียกรุงศรีอยุธยาให้ญี่ปุ่น ไม่ได้เสียให้พม่า เพราะออกญาเสนาภิมุขก็คือ ยามาดะ ได้เอานินจามา ๔๐๐ คน แค่นินจา ๑๐๐ คนก็ยึดวังเกลี้ยงแล้ว เพราะนินจาคนหนึ่งสู้ได้เป็นสิบ แล้วนี่ตั้ง ๔๐๐ คน คุณต้องเอาทหารกี่กองทัพจึงจะเอาอยู่ ?"
"ตอนนั้นของเรามีทหารแค่ไม่กี่คน ส่วนเขามีนินจา ๔๐๐ คน ออกหลวงนายฤทธิ์เห็น ออกญาพระกลาโหมก็เห็น จึงช่วยกันจัดการนินจา ทีนี้นินจาเขาฝีมือดีแต่หนังไม่เหนียว แลกกันคนละทีก็ตาย เพราะฉะนั้น..ประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนเหมือนกัน ตัดสินใจผิดนิดเดียวประวัติศาสตร์สามารถเปลี่ยนได้เลย
ช่วงนั้นถ้าปล่อยให้ยามาดะลงมือก่อน ดีไม่ดีเขายึดกรุงศรีอยุธยาเลย แม้ว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะรู้ ถึงขนาดสร้างเมืองหลวงสำรองไว้ที่ลพบุรีแล้วก็ตาม พระองค์ท่านก็ต้องเสด็จไปเสด็จมา แล้วระหว่างทางจากเจ้าพระยาเข้าป่าสัก ถ้ามีคนคอยซุ่มตลอดทาง จะตายตอนไหนก็ไม่รู้ ?
เราอาจจะเห็นว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไม่ค่อยมีบทบาทอะไรเลย แต่ทำไมได้เป็นมหาราช ? พระองค์ท่านได้เป็นมหาราชเพราะว่าใช้คนเป็น ชนชาติกรีกอย่างคอนสแตนติน ฟอลคอนท่านก็ใช้งาน แต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาวิชเยนทร์ บาทหลวงลาลูแบร์ท่านก็ใช้งาน ญี่ปุ่นอย่างยามาดะท่านก็ใช้งาน
โดยเฉพาะบรรดาขุนพลขุนศึกสมัยนั้นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) พระยาสีหราชเดโช พระราชมนู อย่าลืมว่าตำแหน่งโกษาธิบดี ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้ว่าการกระทรวงการคลังนะ ขนาดคลังยังเก่งจนข้าศึกหนาว แล้วกลาโหมจะเท่าไร ?"
"เราจะสังเกตว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชท่านไม่ค่อยมีบทบาท เพราะท่านใช้คนแทน แม้กระทั่งสุดยอดหมอดูอย่างพระโหราธิบดี ท่านก็ยังใช้งานได้เป็นปกติ
ถามว่าพระโหราธิบดีเก่งแค่ไหน ? มีหนูตกจากเพดานลงมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเอาขันล้างพระพักตร์ครอบไว้ แล้วให้คนไปเรียกพระโหราธิบดีมา ถามว่าครอบอะไรไว้ ให้ช่วยทายหน่อย ? พระโหราธิบดีลงฤกษ์ยามเสร็จ บอกว่า "สัตว์สี่เท้า"
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรัสว่า "ถูกแล้วท่านอาจารย์ แล้วมีกี่ตัว ?" พระโหราธิบดีตอบว่า "๕ ตัว" หนูตกมาตัวเดียวแท้ ๆ แต่ตอบว่า ๕ ตัว สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรัสว่า "เห็นทีจะผิดเสียแล้วท่านอาจารย์" พอเปิดขันน้ำออกดูมี ๕ ตัวจริง ๆ แม่หนูตกมาแล้วคลอดลูกอีก ๔ ตัว นั่นแม่นเกินเหตุ"
ถาม : ไม่มีตกทอดวิชาหรือครับ ?
ตอบ : ตกทอดมาเหมือนกัน แต่รุ่นหลังฝึกไม่ได้ ไม่ใช่ปัญญาไม่ถึง แต่ความพยายามไม่ถึง แค่สมัยนี้พอเริ่มฝึกก็จะเอาบรรลุทันที ต้องใช้การสั่งสมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ สิ่งที่เราต้องการจึงจะบังเกิดผล ถ้าใจร้อนแล้วจะฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านไม่สงบ โอกาสที่จะสำเร็จนั้นยาก ตั้งเป้าไว้เราไปพระนิพพานแน่ และก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ ส่วนจะไปได้หรือไม่ได้ช่างเถอะ เรามีหน้าที่ทำไปก็แล้วกัน
ถาม : ..เปิดเพลงฟังแล้วนั่งสมาธิได้ดี ?..
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อจิตเราได้ยินเสียงแล้ว จะเข้าสู่สมาธิได้ง่ายแค่ไหน ? บางคนก็อาศัยความสงบโยงจิตเข้าหาสมาธิ บางคนต้องอาศัยเสียงเพื่อโยงจิตเข้าหาสมาธิ
เพราะฉะนั้น..ทางด้านตันตระจึงมีดนตรีตอนสวดมนต์ เขาเรียกว่าเอาตัณหาพาสู่พระนิพพาน แต่ส่วนใหญ่พาไม่ถึงเสียที เหมือนกับเลี้ยงเสือให้อิ่ม แล้วเสือเชื่อง ยอมให้เราลูบหัวได้ แต่เผลอเมื่อไรเสือก็กัดเราอีก
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระพุทธรูป ในความรู้สึกของคนก็คือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศาสนาพุทธ ดังนั้น..การทำลายพระพุทธรูปก็เท่ากับทำลายพระพุทธศาสนา
มีอยู่ระยะหนึ่งที่เขานิยมเอาใบลานเก่าที่จารึกพระธรรมมาเผา เพื่อทำเป็นผงสร้างพระ ขอยืนยันว่าไม่คุ้มเลย ในแง่ของตัวเลขรายได้ที่ได้มาน่าจะสูง แต่ในแง่ของการทำลายพระธรรม พอตายแล้วลงอเวจีมหานรก ไม่คุ้มกันเลย"
ถาม : โยมจะปฏิบัติธรรม แต่โยมไม่ได้เรียนมโนมยิทธิ โยมจะทำอย่างไร ?
ตอบ : มโนมยิทธิควรจะมีคนนำให้ไปได้ก่อนสักครั้งหนึ่งจ้ะ หลังจากนั้นก็จำวิธีการเอาไปทำเอง
ถาม : โยมทำมาเยอะแล้วค่ะ หลายอย่าง
ตอบ : แล้วจะเปลี่ยนทำไมละจ๊ะ ? ถ้าเราเปลี่ยนบ่อย จะไม่ตรงกับที่เราชำนาญ
ส่วนใหญ่เวลาปฏิบัติก็ให้พิจารณาดูว่า อารมณ์ใจที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นอย่างไร ? แล้วเราหยุดให้ทัน การปฏิบัติเขาดูที่ความบริสุทธิ์ของใจ การรู้เห็นเป็นแค่ของแถมเท่านั้น
ถาม : เวลาโยมไปธุดงค์วัดท่าซุง โยมไม่รู้ว่าจะใช้มโนมยิทธิไปที่ไหน ไปหาองค์ไหน ?
ตอบ : ยิ่งไม่รู้ยิ่งดี มโนมยิทธิถ้ารู้ก่อน จะไปได้ยาก ถ้าไม่รู้เรื่องเลย เขาบอกอย่างไรเราทำอย่างนั้นก็ง่ายขึ้น เขาจะมีครูฝึกมาคอยนำอยู่ พอเราไปเองได้แล้วต่อไปก็จำวิธีนั้นเอาไปใช้ได้
จำไว้ว่าอย่าตั้งใจมากเกินไป ตั้งใจมากเกินไปจะไม่รู้เห็นอะไร การรู้เห็นเหมือนกับมีช่องให้มองตรงหน้า คนที่ตั้งใจเกินไปเท่ากับยืดคอเลยช่อง ทำให้มองไม่เห็น คนที่ไม่ตั้งใจ ก็เหมือนกับก้มหัวต่ำกว่าช่องก็ไม่เห็น ต้องพอดี ๆ อธิบายได้ยากมาก จะบอกว่าตาเห็นก็ไม่ใช่ตาเห็น แต่ถ้าไม่ใช่ตาเห็นแล้วเห็นอะไร ? ก็เห็นชัด ๆ เหมือนกับตาเห็น เราลองนึกถึงบ้านเราตอนนี้ ไม่ใช่ตาเห็น แต่เรานึกถึงบ้านได้ชัด ๆ เลย การเห็นก็เห็นแบบนั้นแหละ
เพราะฉะนั้น...ครูฝึกเขาบอกให้เรายกจิตไปที่ไหน เราก็นึกว่าตรงหน้าของเราคือที่นั่น เรายกจิตไปพระจุฬามณี เราก็นึกว่าตรงหน้าเราก็คือพระจุฬามณี รู้สึกอย่างไรก็อธิบายความรู้สึกนั้นไป ถ้าเขาให้ยกจิตไปพระนิพพาน เราก็ตั้งใจว่าตรงหน้าเราคือพระนิพพาน มีพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า แรก ๆ จะเหมือนกับการนึกเอาเอง แต่พอซ้อมบ่อย ๆ เคยชินมาก ๆ เข้า ภาพจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ถาม : พอไปบ้านสายลม จะไปนั่ง เราก็นึกว่าจะไปตรงไหน เราก็เลยไม่กล้าทำ
ตอบ : ให้ขึ้นไปไหว้พระพุทธเจ้าข้างบนก่อน แล้วเราจะไปไหนก็บอกท่าน เดี๋ยวท่านพาไปเอง
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ควรเปลี่ยนสาย ถ้าเราเคยปฏิบัติมา ชินอย่างไรให้ทำอย่างนั้น แล้วจะได้เร็ว อาตมาเคยเปรียบว่าเหมือนกับการขุดบ่อน้ำ เราขุดไปตั้งสองสามวา เขาบอกตรงนั้นดีกว่า เราก็ย้ายไปขุดตรงนั้น เขาบอกตรงนี้ดีกว่า ก็ย้ายไปขุดตรงนี้ แล้วเมื่อไรจะถึงน้ำเสียที ? เพราะฉะนั้น..อย่าเปลี่ยนบ่อย ถนัดแบบไหนทำแบบนั้นอย่างเดียว
การรู้เห็นเป็นแค่ของแถมของการปฏิบัติ ต่อให้เป็นพองหนอยุบหนอก็เถอะ พอเราทำไปเรื่อย ๆ จิตสงบได้ที่ก็จะเห็นเอง แต่สายยุบหนอพองหนอ เขาให้ตัดทิ้งหมด รู้หนอ ๆ เห็นหนอ ๆ เท่านั้น
การรู้เห็นเป็นของเพียงแถม ถ้าทำถึงอย่างไรก็มาแน่
ถาม : มีครั้งหนึ่งโยมไปวัด เรากำหนดว่ารู้หนอ ๆ ได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งเขาพูด พอเช้าขึ้นมาคุยกับเขา เขาบอกว่าพี่จะได้ยินได้อย่างไร หนูนึกอยู่ในใจไม่ได้พูด แต่เราได้ยินเป็นคำพูด
ตอบ : ในเรื่องของเจโตปริยญาณ เขาคิดอะไรก็ตามเราสามารถบอกได้ทุกคำเลย แต่จริง ๆ แล้วเขาเอาไว้ดูใจตัวเอง แบบเดียวกับสายพองยุบ ที่ตอนนี้สภาวธรรมอะไรที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้ตามรู้ใจของตนเอง
รู้ใจของคนอื่นก็แค่พูดให้เขาตื่นเต้นเท่านั้น ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้กิเลสอะไรเกิดขึ้น นิวรณ์อะไรเกิดขึ้น ให้เรารู้เท่าทันให้ได้
ถาม : ........... ภาวนาก็มีความสุขดี
ตอบ : การปฏิบัติหลายคนข้ามขั้นไปเลย ไม่ต้องไปนับหนึ่งก็ได้ โยมทำอย่างนั้นก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าเราจับที่ศูนย์กลางกาย ให้ดิ่งลงตรงกลางไปเรื่อย ๆ พอจิตสงบถึงที่สุดแล้วก็จะเห็นภาพพระเอง พอภาพพระปรากฏขึ้นคราวนี้อยากไปที่ไหนก็บอกท่าน ให้ท่านพาไป
เรื่องของการปฏิบัติท้ายสุดจะลงที่เดียวกันหมด เหมือนกับเรามุ่งตรงมาที่นี่ จะมาจากกี่ที่กี่ทางก็ตาม ท้ายสุดจะมาถึงบ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้น..เรื่องการปฏิบัติสำคัญที่สุด คือ ทำอย่างไรให้ใจสงบ พอสงบแล้วปัญญาเกิด รู้เท่าทันสภาวธรรมในปัจจุบัน แล้วปล่อยวางให้ได้
ไม่ต้องไปเสียเวลาทำอะไรมากมาย อายุมากแล้วเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้เด็ก ๆ ก็พอ นึกถึงภาพพระไว้ คิดว่าเราตายเมื่อไรขอไปอยู่กับท่าน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศเกาหลี เดิมเป็นอาณาจักรใหญ่ ๓ อาณาจักรด้วยกัน คือ โกกุเรียว ชิลล่า และแพกเจ ต่อมาโกกุเรียวสามารถกลืนอีก ๒ อาณาจักรรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมาได้ ก็ตั้งเป็นอาณาจักรเกาหลี
พอมาช่วงสงครามเกาหลี ทางโลกตะวันตกตั้งใจจะช่วยกันสกัดอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ไม่ให้แผ่ขยาย หลังจากจบสงครามแล้ว เขาก็เลยแบ่งเกาหลีเป็นเหนือกับใต้ กลายเป็นว่าคนเชื้อชาติสัญชาติเดียวกัน แบ่งเป็นคนละประเทศแล้วก็รบกันเอง
ปัจจุบันนี้มีหลายอย่างที่ประเทศเขาไม่จำเป็นต้องเสียทรัพยากรมากมายมหาศาลขนาดนั้น อย่างเช่น การสร้างเขื่อนกั้นน้ำขนาดมหึมาของเกาหลีใต้ เขาไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อจะกั้นน้ำไว้ผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่เขาสร้างขึ้นมาเผื่อว่าเกาหลีเหนือปล่อยน้ำมาท่วมเกาหลีใต้
เขาคิดเผื่อไว้แล้วว่าถ้าเกิดสงคราม เกาหลีเหนือจะเล่นวิธีไหนบ้าง เช่น อาจจะระเบิดเขื่อน เพราะเกาหลีเหนืออยู่สูงกว่า น้ำก็จะทะลักมาทางเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ก็เลยต้องสร้างเขื่อนที่ใหญ่กว่า เพื่อที่จะรับน้ำทั้งหมดเอาไว้ให้ได้ กลายเป็นสูญเสียงบประมาณเป็นแสนล้านไปโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย สร้างทิ้งเอาไว้เฉย ๆ เผื่อเกาหลีเหนือจะระเบิดเขื่อน
นึกถึงบ้านเราเมืองเราปัจจุบันนี้คล้าย ๆ กันไหม ? คนไทยด้วยกันเริ่มแบ่งสีแบ่งฝ่ายยุ่งไปหมด คำว่ายุติธรรม แปลว่า ทุกอย่างหยุดลงถ้าหากเป็นธรรม คราวนี้ในการถือปฏิบัติของเรา มี ๒ มาตรฐานมาแต่ไหนแต่ไร นั่นคือมาตรฐานหนึ่งสำหรับผู้มีอิทธิพลมีเส้นมีสาย อีกมาตรฐานหนึ่งสำหรับตาสีตาสาชาวบ้านทั่วไป
ในเมื่อไม่ยุติธรรมก็กลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกลงไป ยุคสมัยหนึ่งคอมมิวนิสต์ถึงได้เกิดขึ้นในประเทศของเรา เพราะเขาปลุกระดมในข้อที่ว่า ราชการข่มเหงรังแกชาวบ้านเป็นจำนวนมาก อย่างในปัจจุบันนี้ปลุกระดมในเรื่องของการกระทำที่เป็น ๒ มาตรฐาน กลายเป็นว่าสิ่งที่เขาทำ ต่อให้ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีการศึกษา ก็เห็นอยู่อะไรเป็นอะไร ในเมื่อมาตรฐานไม่เท่ากัน ขาดความยุติธรรม คนที่เดือดร้อนและเห็นด้วยก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ"
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนสมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่นอยู่ มีครอบครัวหนึ่งที่รู้จักกัน สามีชื่อนายลิ้มจือ ส่วนภรรยานั้นเก่งมวยจีนมาก เขาก็เลยซ้อมสามีทุกวัน ทำอะไรไม่ถูกใจก็จัดการ บางวันจับสามีทุ่มใส่ข้างฝา ข้างฝาหลุดไปทั้งแถบ สามีหายจุกก็ต้องไปตามช่างมาซ่อมบ้าน
อีกครอบครัวหนึ่งตรงกันข้าม สามีซ้อมภรรยาเกือบทุกวัน จนกระทั่งในที่สุดภรรยาก็ทนระบบการปกครองด้วยมือด้วยเท้าไม่ไหว มาปรึกษาภรรยาของนายลิ้มจือว่าจะทำอย่างไร ภรรยาของนายลิ้มจือก็บอกว่า ให้ใช้ ๓ นิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง) จิ้มสามี พอจิ้มแล้วสามีก็จะยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ได้ไปพักหนึ่ง
ปรากฏว่าภรรยาไปจิ้มเข้า สามีตาย..! เขาให้ใช้ ๓ นิ้ว แต่ภรรยากลัวสามีจะเป็นอะไรมาก ก็เลยใช้แค่นิ้วเดียว สามีตายเลย..! ๓ นิ้วนั้น เวลาจิ้ม นิ้วกลางจะมีนิ้ว ๒ ข้างคอยกันอยู่ ก็จะไม่เข้าลึก อาการก็จะไม่หนัก นี่ดันกลัวผัวตายเลยจิ้มนิ้วเดียว โดนเข้าไปตายเลย..!
ตั้งแต่นั้นมาภรรยาของนายลิ้มจือก็เลิกฝึกวิทยายุทธ ภรรยานายลิ้มจือเอามือไปแช่น้ำร้อนทุกวัน แล้วก็ขูดหนังออก คือ เขาฝึกหมัดทรายเหล็กมา ต้องเอามือไปคั่วทราย จนมือเขาหนาชนิดตบกระดานแตกได้ พอทำคนตายไปคนหนึ่งก็เลยเลิก เขาบอกว่า ดีเหมือนกันจะได้สวยกับเขาสักที เอามือแช่น้ำอุ่นแล้วก็ขูดหนังทิ้งไปเรื่อย ๆ เพราะมือเขาหนาปึ้กเลย"
"คู่สร้างคู่สม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่เวรคู่กรรม คู่ของนายลิ้มจือนี่คู่เวรคู่กรรมจริง ๆ อยู่กันได้ทั้ง ๆ ที่ตีกันทุกวัน
แต่จะมีนรก มีเปรต ที่เตรียมไว้รองรับคู่สามีภรรยาที่ทำร้ายกันมา ฉะนั้น..คู่ไหนแต่งกันไปก็พยายามละนิสัยนั้นด้วย ขอยืนยันว่ามีนรกและเปรตสำหรับรองรับพวกนี้โดยเฉพาะ
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระสุบินนิมิต ๑๖ ประการ มีอยู่ประการหนึ่ง คือ เขียดไล่กินงูเห่า ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เพราะมีแต่งูเห่าไล่กินเขียด พระพุทธเจ้าทำนายว่า ต่อไปในกาลข้างหน้า ภรรยาจะทำร้ายทุบตีสามีเป็นปกติ คงใกล้ ๆ ยุคเรานี่แหละ ยุคเราเริ่มมีมากขึ้นทุกทีแล้ว
สมัยก่อนผู้ชายจะเป็นใหญ่ในครอบครัว ผู้หญิงแต่งงานไป อย่างไรก็ต้องฝืนอดทนอดกลั้นอยู่ให้ได้ เพราะถ้าสามีไม่เลี้ยง ภรรยาก็ไปไม่รอด แต่สมัยนี้ผู้หญิงทำงานเองเสียส่วนใหญ่ ก็เลยไม่ต้องง้อให้ผู้ชายเลี้ยง ในเมื่อเลี้ยงตัวเองได้ เรื่องอะไรจะหาเจ้านายมาอีกคน จึงอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น
เมื่อเป็นดังนั้น ถึงเวลาผิดหูผิดตา ผิดท่าผิดทางขึ้นมา แต่งงานกันไปแล้วก็มักไม่ค่อยจะยอมลงให้กัน ก็คือว่าไม่ต้องง้อผัวเราก็อยู่ได้"
ถาม : รับยันต์เกราะเพชร ถ้าเราไม่ได้อยู่ในพิธี เราจะทำอย่างไรได้บ้างคะ ?
ตอบ : อยู่มุมไหนของโลกก็รับได้จ้ะ พอตรงเวลาเราก็ตั้งใจบูชาพระ นั่งภาวนาพุทโธสักครึ่งชั่วโมง ระหว่างที่นั่งภาวนาอยู่ให้ตั้งใจว่า บารมีใดที่พระท่านสงเคราะห์มาเราขอรับทั้งหมด ช่วงที่ภาวนาอยู่ถ้ามีอาการขนลุกหรือคันตามตัว เหมือนมีตัวอะไรเกาะตัวอะไรไต่ บางคนก็รู้สึกร้อนเป็นระยะ ๆ บางคนก็รู้สึกหนักหัว หนักตัว ร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่ายันต์กำลังเริ่มเข้าตัว
ฉะนั้น..อยู่ที่ไหนก็รับได้ พระท่านว่าอยู่จักรวาลไหนก็รับได้ ไม่จำเป็นต้องในโลกนี้ด้วยซ้ำไป ตอนทำพิธีเป่ายันต์ครั้งแรก พวกปักษ์ใต้ที่อยู่ยะลา เขาจัดพิธีรับกันทางบ้าน รวมตัวได้สิบกว่าคน เขาสวดมนต์ไหว้พระ นั่งภาวนา ปรากฏว่ามีอาการปรากฏชัดทุกคน เขาจึงได้มั่นใจว่ารับได้จริง ครั้งต่อไปเขาก็แห่ไปวัดเอง อยู่บ้านรับได้ แล้วดันจะไปวัด..!
ถาม : ช่วงพุทธาภิเษก ของที่ไม่ได้อยู่ในพิธี ?
ตอบ : วัตถุมงคลต้องเอาไปเข้าพิธี
ถาม : นอกปะรำพิธีไม่ได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นช่วงเป่ายันต์เอาไว้ที่ตัวก็ได้ พระท่านอนุญาต
พระอาจารย์กล่าวถึงเด็ก ๆ ว่า "น้องส้มโอ อยู่วัดตอนเย็น ๆ เขาไม่กินข้าวเลยเพราะถือศีลแปด เขาเดินจงกรมกันส้มโอก็เดินตามเขา เขานั่งสมาธิกันส้มโอก็นั่งตามเขา พอชั่วโมงท้าย ๆ ของการนั่งก็บิดไปบิดมา ยังอุตส่าห์ทนอยู่ได้ เด็ก ๖ ขวบฝึกได้ขนาดนั้น ถือว่าใช้ได้เลย
น้องถิงถิงอีกคน ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ เขาไม่มีจังหวะกับใครหรอก พอซ้ายยังไม่ทันจะย่าง ถิงถิงก็วางเท้าลงแล้ว แต่เขาก็เดินได้ทั้งวัน อาตมาบอกถิงถิงว่า พยายามให้จังหวะการเดินกับที่เราพูดนั้นตรงกัน แต่เด็กเขาทำไม่ได้ เขาไม่เข้าใจ
เด็ก ๆ เราต้องค่อย ๆ ปลูกฝังไป พอถึงเวลาแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะไปเกิดดอกออกผล ตอนที่เขาไปดำเนินชีวิตของตัวเองหรือไปมีครอบครัว เขาจะมีความอดทนอดกลั้นมากกว่าคนอื่น เพราะได้รับการฝึกหัดมาดีแล้ว"
"ขอยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่ง เป็นครอบครัวไฮโซแต่เลี้ยงลูกดีมาก วันเสาร์-อาทิตย์ พาลูกไปขุดดิน ฟันหญ้า ปลูกผัก ถึงเวลาก็สอนให้ลูกตัวเองกินพวกผักพวกผลไม้ที่เด็ก ๆ ทำ เด็กเขาปลื้มใจด้วยและได้เล่นด้วย พอกินไปกินมาก็ติดนิสัยเดียวกับอาตมา
อาตมาเองอยู่กับไร่กับสวนมา มีแต่พวกผักพวกผลไม้ ไม่มีขนม สมัยก่อนจะมีขนมกินต้องรอตอนช่วงมีงาน อย่างเช่น หน้าตรุษหน้าสารท ในเมื่อกินผักผลไม้จนชินมาอย่างนั้น ก็ไม่ชินกับขนม ชินกับผลไม้มากกว่า เด็ก ๆ พวกนี้ก็เหมือนกัน
พอเข้าอนุบาล พ่อแม่เขาก็เอากล้วย กล้วยน้ำว้าสุกนี่แหละ ปาดหัวปาดท้ายเหลือแต่ลูกพอดี ๆ ใส่ปิ่นโตไปให้ เด็กเขาก็กินอร่อยของเขาทุกวัน ด้วยความที่ตัวเองกินอร่อย เขาก็อยากให้ครูได้ของอร่อยด้วย วันนั้นก็เอาไปให้ครู ครูก็มารยาทดี รับแล้วก็วางไว้บนโต๊ะ
วันที่ ๒ ก็ยังวางอยู่ วันที่ ๓ เด็กก็มาบอกว่า "คุณครูขา..ถ้าคุณครูไม่กินหนูขอคืนนะคะ" เด็กเขาเสียดาย แต่ต้องบอกว่าครอบครัวนี้เก่ง เลี้ยงลูกดี ทั้ง ๆ ที่มีเงินเป็นร้อยล้านแต่เลี้ยงลูกดีมากเลย แล้วเด็กก็แข็งแรง ไม่เป็นภูมิแพ้ อาจเป็นเพราะว่าไปคลุกดินคลุกทราย ตากแดดตากลมอยู่ทุกวัน
เด็กต้องให้ผู้ใหญ่นำ พ่อแม่ขุดดิน เด็ก ๆ มองกันตาเป็นมันเพราะว่าอยากทำ พอส่งพลั่วส่งจอบให้ เด็กก็สนุกกันใหญ่เลย ไม่ฟันหัวกันก็พอแล้ว ปล่อยให้เขาสนุกไปเถอะ"
"สมัยก่อน ลูกกบเข้าอนุบาล เพื่อน ๆ วิ่งเล่นกัน แต่ลูกกบนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่คนเดียว
ครูก็มาถามว่า "หนูทำอะไร ?" ลูกกบบอกว่า "นั่งสมาธิค่ะ"
"ใครสอนหรือจ๊ะ ?" "หลวงปู่ข้างบนท่านสอน"
"หลวงปู่สอนว่าอย่างไร ?" "หลวงปู่สอนว่าให้รักษาศีลและนั่งสมาธิทุกวัน ทำน้อยเหมือนได้ทอง ทำมากเหมือนได้เพชร"
นี่ไม่ใช่สำนวนของเด็ก เด็กอนุบาลพูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก แล้วเขาเป็นคนที่จำแม่นมาก น่าจะเป็นเพราะสมาธิดี
เขาเอาปิ่นโตไปกินที่โรงเรียน ครูคงลองชิมแล้วติดใจ ครูเขาก็เลยขอบ้าง ลูกกบบอกว่า "เดี๋ยวจะให้คุณแม่ทำมาเผื่อ" พอรุ่งขึ้นเขาเอาไปให้ครู แต่ครูลืมไปแล้วว่าขอเด็กไว้ แต่เด็กเขาจำได้
วีรกรรมของลูกกบแสบแค่ไหนต้องถามนางมารร้ายดู เขาฉลาดขนาดหลอกผู้ใหญ่ได้ คนประเภทนี้ถ้าไม่ดึงเข้าหาธรรมะก่อน คงประเภทขายโลกได้ครึ่งใบ..!"
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อ ๔-๕ วันก่อน อากาศวิปริตมาก มีโยมโทรไปถามว่าทำไมอากาศเป็นอย่างนี้ ? อาตมาบอกว่าทางใต้มีพระผู้ใหญ่ที่เป็นหลักของประเทศมรณภาพ ปรากฏว่ารุ่งขึ้นท่านมรณภาพจริง ๆ ไม่ได้แช่งท่านนะ ท่านหมดอายุแล้วจริง ๆ
เคยไปกราบท่านหลายครั้ง สมัยก่อนเวลาไปหาท่าน ก็นั่งดูท่านทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย ถักสายรัดข้อมือบ้างอะไรบ้าง สิ่งที่ท่านทำก็คือการทรงสมาธิ ท่านอยู่ปัตตานี กลางดงระเบิด
เรื่องของพระผู้ใหญ่ที่ละสังขาร ถ้าเราดูฟ้าดูดินเป็นก็จะรู้ ไม่ต้องใช้ทิพจักขุญาณอะไรหรอก ใครที่ทันสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงละสังขาร จะรู้ว่าอากาศเป็นอย่างไร ตอนนั้นเหมือนกับฟ้าปิด มืดฟ้ามัวดินไป ๗ วันเต็ม ๆ
ถ้าหากดูในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็จะมีเหตุนิมิตต่าง ๆ เกิดขึ้น กลองทิพย์บันลือขึ้น มีแผ่นดินไหว ดอกมณฑารพตกจากอากาศเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ยิ่งท่านที่มีบุญญาบารมีมากเท่าไร นิมิตที่แสดงออกก็จะยิ่งชัดมาก
ในเรื่องของคน ถ้าไม่ได้ประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บไข้ได้ป่วยมาก ๆ จนทนไม่ไหว มักจะตายตอนช่วงเปลี่ยนอากาศ เช่น ช่วงฝนต่อหนาว ช่วงหนาวต่อร้อน ช่วงร้อนไปฝน ช่วงรอยต่อระหว่างอากาศ ถ้ามีคนแก่มีคนป่วยอยู่ให้ดูแลให้ดี เพราะร่างกายของคนแก่หรือคนป่วยมักจะอ่อนแอ พอทนสภาพอากาศไม่ไหวก็ไปเลย ใครที่ป่วยบ่อย ๆ จะรู้ว่า เวลาอากาศเปลี่ยนจะเหมือนกับซ้ำให้อาการหนักขึ้น"
"กลอนพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เขาว่า
ทั้งเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ......อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล.......เกิดนิมิตพิสดารทุกบ้านเมือง
ตอนนั้นฟ้าปิดมืดหมด แต่ทางด้านใต้ฟ้ามีสีเหลือง แบบที่เรียกว่า สีหมากสุกหรือผีตากผ้าอ้อม อาตมาบอกพระเณรว่า "คุณจำไว้เลยนะ..สภาพอากาศแบบนี้ ถ้าอยู่ในทะเลให้หนีขึ้นบกสุดชีวิตเลย พายุใหญ่กำลังจะมา"
เรื่องของการดูลมฟ้าอากาศ ถ้าหากดูเป็นก็เหมือนกับมีทิพจักขุญาณ พยากรณ์ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่เกาะหลีเป๊ะมีคุณตาแก่ ๆ คนหนึ่ง เป็นคนบอกเรื่องสภาพอากาศ พอสภาพอากาศแบบนี้เกิดขึ้น ตาเขาบอกให้จับหมูมาฆ่าได้เลย จัดแจงทำรวนเค็มด้วยกระทะใบมหึมา
ก็ถามว่าทำไม ? ตาเขาบอกว่า ๗ วันนี้ออกทะเลไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีอะไรกินเพื่อนบ้านก็จะมาขอ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย ถึงเวลาพายุใหญ่มา คลื่นหัวแตกซัดโครม ๆ ทำให้เรือออกทะเลไม่ได้ เมื่อชาวเลออกทะเลไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรจะกิน ถึงเวลาก็วิ่งมาพึ่งตา ซึ่งตาทำไว้เรียบร้อยแล้ว มาถึงก็ตักแจกเพื่อนบ้านไป
ในความรู้สึกของอาตมา เหมือนกับท่านเป็นผู้วิเศษ สามารถบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่านั่นเป็นประสบการณ์ชีวิต สังเกตมามาก อยู่นานไปก็รู้ แบบเดียวกับที่มดขนไข่ขึ้นที่สูง เพราะรู้ว่าพายุฝนกำลังจะมา ยิ่งขึ้นสูงมากเท่าไรก็ตัวใครตัวมัน เพราะว่าต้องขึ้นไปให้พ้นระดับน้ำที่จะท่วม น่ากลัวขนาดไหนก็ลองนึกดู"
"ตอนเด็ก ๆ พอเริ่มหมดฝนเข้าหน้าหนาว ทางบ้านจะไปช้อนกุ้งกัน เขาจะเอาหม้อข้าวผูกเชือกแล้วโยงกับเอว ถือสวิงไล่ช้อนกุ้ง ถึงเวลาก็เทใส่หม้อ เรื่องสร้างบาปสร้างกรรมตอนเด็ก ๆ นี่อาตมาถนัดมาก
มีอาเจ็กอยู่คนหนึ่ง พอพวกเราลงน้ำแล้ว อาเจ็กก็นั่งสูบยาอยู่ แกนั่งสูบยาไปเรื่อย บางครั้งพวกเราช้อนกุ้งเป็นชั่วโมงก็เริ่มหนาว ต้องขึ้นมาจากน้ำแล้วก่อไฟผิง ถามอาเจ็กว่าไม่ลงน้ำหรือ ? อาเจ็กบอกว่า ยังไม่ได้เวลา แกก็นั่งสูบยาไปเรื่อย พอถึงเวลาแกลุกขึ้นขัดเขมรเมื่อไรแปลว่าได้เวลาแล้ว
แกลงตักไม่กี่ทีก็ได้กุ้งหม้อหนึ่ง แล้วกลับบ้านเลย ส่วนพวกเราช้อนกันตั้งครึ่งคืน ได้อย่างเก่งก็ห่อเดียว ตอนหลังอาเจ็กบอกว่า ที่นั่งสูบยานั่นคือนั่งดูดาว จะมีดาวดวงหนึ่งถ้าขึ้นเมื่อไร กุ้งจะมาออกันตรงทางน้ำไหล อาเจ็กเขาเก่งขนาดนั้น ไม่ต้องไปทนหนาวอย่างเรา
ลักษณะนี้คล้าย ๆ ทิพจักขุญาณ แต่จริง ๆ แล้วเป็นประสบการณ์ที่เขาเรียนรู้ แบบที่โบราณบอกว่าถ้าดาวหมาหลับขึ้นเมื่อไร ขโมยจะขึ้นบ้าน พิสูจน์ได้ชัดเลยที่วัดท่าขนุน อาตมาตื่นมาประมาณตีหนึ่งตีสอง เดินจะเหยียบหัวหมายังเงียบเลย หมาซึมเหมือนกับช่วงนั้นกำลังง่วงสุดขีด ใครมาก็ไม่เห่า แต่ถ้าเป็นเวลาอื่นเดินนี่ เห่าสนั่นกันทั้งวัด แต่ช่วงนั้นจะไม่เห่า แสดงว่าดาวหมาหลับต้องขึ้นตอนประมาณตีหนึ่งตีสองแน่ ๆ เลย"
"แต่ถ้าเป็นตาไป๊ไม่ต้องรอดาวหมาหลับ ตาไป๊เป็นนักย่องเบาตัวฉกาจ ย่องเบามานับไม่ถ้วน และเจ้าทรัพย์ไม่เคยจับได้สักครั้ง เขารู้อยู่ว่าตาไป๊ย่องเบา แต่ก็ไม่มีหลักฐาน จับไม่ได้คาหนังคาเขา
พอตาไป๊อายุมากแล้วก็ล้างมือ หลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนนั้นท่านอยู่วัดชิโนรสที่กรุงเทพฯ มีเวลาว่างก็ถามตาไป๊ "แกย่องเบาอีท่าไหนวะ ?" ตาไป๊บอกว่า "ถ้าผมจะขึ้นบ้านไหนผมก็ไปสังเกตลู่ทางไว้ก่อน พอเย็น ๆ ใกล้ค่ำก็ลงมือ" "ลงมืออย่างไรวะ ? ใกล้ค่ำยังไม่ทันจะมืด"
ตาไป๊บอกว่า "ประกอบเครื่องมือในการย่องเบา" พอหลวงพ่อถามเครื่องมืออะไร ตาไป๊บอกว่าเนื้อสับใส่กัญชาเยอะ ๆ ทอดให้หอม แล้วก็ไปโยนไว้แถวรั้วบ้าน เดี๋ยวหมาก็มากิน เขาบอกว่าถ้าหมากินเข้าไปแล้วจะเมากัญชา หลับชนิดจับหางลากรอบบ้านก็ไม่ตื่น
ถ้าหมาที่ได้รับการฝึกมา จะไม่ให้รับอาหารจากคนแปลกหน้า แต่นี่เขาไม่ได้ยื่นให้กิน เขาไปโยนทิ้งไว้ เท่ากับหมามาเจอเอง หมาเจอเอง นึกว่าเป็นของที่หาได้เองก็กิน
ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องเปลี่ยนแล้ว จากย่องเบาเปลี่ยนไปย่องหาสาวแทน แต่คงต้องไปทำเนื้อสับใส่กัญชาให้พ่อแม่ของสาวกินแทน..!"
"มีอีกอย่างหนึ่งที่เขาใช้รมควันแล้วทำให้หลับกันทั้งบ้านก็คือ หนังจงโคร่ง จงโคร่งทางปักษ์ใต้เขาเรียกว่า "กง" เป็นคางคก บางตัวใหญ่เกือบเท่าถาด..! อาตมาไปปีนถ้ำกระแชงที่ยะลา เจอหินก้อนใหญ่ก็เหนี่ยวไว้ ที่ไหนได้..หินก้อนนั้นกระโดดข้ามหัวลงน้ำตูมไปเลย..!
จงโคร่งจะอาศัยนอนในถ้ำ เคยมีโยมเขาเมตตา เอาใส่ตะกร้ามาให้ดู ตัวหนึ่งเกือบจะเต็มตะกร้า อาตมาบอกไปจับมาทำไม ? เขาบอกว่า "คิดว่าหลวงไม่เคยเห็น" ทางใต้เขาเรียกพระอายุไม่มากว่า "หลวง" อาตมาบอกว่า "ข้าเห็นจนขี้เกียจจะเห็นแล้ว"
ต้องเอาหนังจงโคร่งมาตากแห้งแล้วป่น ผสมกับพวกกำยาน ปั้นเป็นธูป ถึงเวลาจุดทางเหนือลม จะทำให้หลับทั้งบ้าน หลับประเภทหามไปทิ้งก็ยังไม่รู้ตัว ถ้าจะให้ฟื้นเร็ว ๆ ต้องแก้ด้วยว่านแสงอาทิตย์"
ถาม : เอาส่วนไหนของว่านหรือคะ ?
ตอบ : เอาหัวว่านมาตำผสมกับเหล้า แล้วก็ทาจมูก สงสัยเหมือนกันว่าว่านแสงอาทิตย์นี่น่าเป็นยากระตุ้นขนาดหนัก คนกำลังหลับสามารถที่จะกระตุ้นให้ฟื้นได้ ขอยืนยันว่า..เขาให้ใช้ทานะ ถ้าใช้ผิด..กินเข้าไปแล้วตาย อย่ามาโทษอาตมาก็แล้วกัน
ถาม : ถ้ากรณีเราเป็นเจ้าภาพงานบุญ แต่งานเสร็จไปแล้ว แล้วมีคนทำบุญด้วยมาทีหลัง เงินตรงนี้เราควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่ได้ทำไปมากกว่าที่เราจ่าย เราสามารถรับขึ้นมาได้ เพราะถือว่าเราจ่ายไปแล้ว
ถาม : แล้วเขาตามมาทำบุญทีหลัง อานิสงส์ที่เขาได้รับ ?
ตอบ : ถึงเวลาได้อะไร ก็จะได้ช้ากว่าคนอื่นเขา
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่หลวงตาบัวมรณภาพ ก็มาเป็นหลวงพ่อสมเด็จวัดชนะสงคราม แล้วที่เรารู้ ๆ กันก็มีหลวงปู่ผัด วัดหัวฝาย แล้วไม่กี่วันก่อนก็เป็นหลวงปู่ทอง วัดสำเภาเชย ยังมีอีก.. ต้องบอกว่าปีนี้โหดจริง ๆ จะเอาถึงสมเด็จพระสังฆราชให้ได้
ได้แต่พยายามประวิงเวลาไว้ ถ้าลากได้จนถึงวันเป่ายันต์ก็แสดงว่าดวงของบ้านเมืองของเรายังไม่เละมากนัก"
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เรื่องของพระ ท่านจะพูดเท่าที่พูดได้ ถ้าไม่พูดแปลว่าถามไปไม่มีประโยชน์ คำว่าไม่มีประโยชน์ในที่นี้ คือบางเรื่องจะก่อให้เกิดการตื่นตระหนกในวงกว้างเสียด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นพระหรือฆราวาสที่ท่านรู้จริง จะพูดเท่าที่พูดได้ ส่วนใหญ่ใครที่ทำถึงตรงนี้แล้วจะอกแตกตาย บางทีรู้เป็นร้อย แต่ท่านให้บอกแค่ ๑ หรือ ๒ เท่านั้น
ถาม : คาถามหาสะท้อนมีเคล็ดที่จะใช้ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าคิดร้ายใคร ให้ภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราไว้เฉย ๆ ก็พอ
ถาม : แต่ก่อนผมใช้แล้วได้ผลครับ เวลามีคนจะทำอะไรใส่ ก็จะรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างออกไปเวลาท่องคาถา แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าพอท่องคาถาแล้วกลับรู้สึกแย่ลง เหมือนคนที่เขาทำเรามา เขามีความสามารถที่จะทำให้เราแย่ลง รวมถึงคาถาอื่น ๆ รวมถึงอิติปิโสฯ ก็รู้สึกอย่างเดียวกันครับ
ตอบ : ให้เราเข้าใจว่าคุณพระรัตนตรัยไม่เคยให้โทษใคร ให้แต่คุณโดยส่วนเดียวเท่านั้น เราก็ภาวนาไปด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น โดยเฉพาะความเชื่อมั่นที่ว่า ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าคุณพระรัตนตรัยอีกแล้ว
อย่างที่โบราณเขาว่า "ถ้ากูเอ่ยถึงชื่อครูกู ใครก็สู้กูไม่ได้" ต้องมั่นใจขนาดนั้น แม้ว่าครูตายไปแล้ว แต่ลูกศิษย์ก็ยังเอาชนะเขาได้ เพราะมั่นใจว่าครูช่วยได้
“พระครูผู้บอกวิทยา ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง ทุกหนแห่งเลื่องลือนับถือจริง” คนสมัยก่อนเขามีความภูมิใจมากว่า ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ดีมีความสามารถ
ครูถือเป็นบุรพการี บุคคลที่ทำคุณก่อนโดยไม่หวังประโยชน์ สมัยก่อนครูมักจะถ่ายทอดวิชาให้คนไม่เกิน ๒ คนเท่านั้น คนแรก คือทายาทสืบสายโลหิต คนที่สอง คือลูกศิษย์ที่คัดแล้วคัดอีกว่าความประพฤติดี
อย่างเรื่องซังโด คนกล้าท้าโหงวเฮ้ง มีคนหนึ่งที่อาจารย์ไม่ยอมรับเป็นลูกศิษย์ แต่ก็มาอ้างว่าตนเป็นศิษย์พี่ของพระเอก เพราะตนอยู่กับอาจารย์มาก่อน เหตุที่อาจารย์ไม่ยอมรับเพราะเขาเอาวิชาไปใช้ในทางที่ผิด ไปดูว่าโหงวเฮ้งคุณเป็นอย่างนี้ แล้วจะเจออย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิต ถูกหมดทุกอย่าง แล้วเขาก็บอกว่า อย่างนี้ไม่ดีต้องเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ คือ เขาเป็นหน้าม้าให้โรงพยาบาลที่รับผ่าตัด
คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่า ทำไมอาจารย์ไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้ นั่นขนาดลักจำเอา ยังเอาไปทำมาหากินได้จนป่วนไปทั้งเมือง
ถาม : ไปผ่าตัดเปลี่ยนรูปลักษณะ แล้วยังใช้ได้อยู่หรือคะ ?
ตอบ : ได้..ใครอยากรู้ ถ้าอายุยังไม่เกิน ๒๕ ให้ลองไปผ่าตัดเสริมจมูก แล้วจะรู้ว่าดวงชะตาเปลี่ยนทันที
พระอาจารย์กล่าวว่า "เก็บเงินไว้คนละนิดคนละหน่อย เอาไว้ช่วยตั้งกองทุนการศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร พร้อมเมื่อไรจะประกาศในเว็บ
ตอนนี้ที่วัด พระเณร แม่ชี และฆราวาส รายจ่ายการเรียนค่อนข้างสูง ที่เรียนอยู่มีปริญญาโท ๗ (พระ ๕ แม่ชี ๒) ปริญญาตรี ๕ (พระ ๔ ฆราวาส ๑) มีหลายคนที่คุณสมบัติพร้อมที่จะเรียน แต่พอเอ่ยปากแล้ว เขาขอร้องหลวงพ่อว่าอย่าส่งไปเรียนต่อเลย ให้เขาไปขุดดินฟันหญ้าแบกหามอะไรก็ได้ แต่อย่าส่งไปเรียนเลย
พอดีช่วงนั้นมีพระรูปหนึ่ง เคยเป็นผู้อำนวยการกองทหารผ่านศึกมาก่อน เขาได้ยินชื่ออาตมามานานแล้ว เลยขอมาพบ พอเจอหน้าอาตมาก็จำได้ เพราะตอนเขาสอบนักธรรมตรี อาตมาเป็นคนเฉลยข้อสอบให้เขาเอง
ก็ถามว่าเมื่อไรจะเรียนนักธรรมโทเสียที เขาบอกว่าเอาแค่นี้แหละ อาตมาจึงบอกกับเขาว่า "ถ้ามีโอกาสให้เรียนไว้ก่อน เพราะมีแนวโน้มว่าในการปกครองคณะสงฆ์ต้องการวุฒิสูงขึ้นเรื่อย ๆ สมัยผมสอบนักธรรมเอก คนที่จบนักธรรมเอกยืดได้ทั่วประเทศ พอผ่านมา ๒๐ ปี สมัยนี้นักธรรมเอกเขาก็ไม่เห็นหัวแล้ว ขนาดเป็นมหาเปรียญ ถ้ายังไม่ถึงประโยค ๙ เขายังไม่แลเลย" แต่ท่านก็บอกว่า ผมพอแล้ว..แล้วท่านจะรู้ว่าแค่นี้ไม่พอใช้หรอก
ถ้าหากว่าสิ้นในหลวงอย่างกะทันหัน สิ่งหนึ่งที่วงการสงฆ์คาดไว้ก็คือว่า จะไม่มีการพระราชทานสมณศักดิ์อีก ก็แปลว่าบรรดาพระครู เจ้าคุณต่าง ๆ จะไม่ตั้งใหม่ ของเก่าใครเป็นแล้วก็เป็นไปเรื่อย ๆ"
"ตั้งแต่ตำแหน่งพระสังฆราชลงมาจะมีเงินประจำตำแหน่ง เงินประจำตำแหน่งก็ไม่มาก สมัยหลวงพ่อฤๅษีท่านเป็นเจ้าคุณพระสุธรรมยานเถระ ได้เงินประจำตำแหน่ง ๔๔๐ บาท ปัจจุบันอาตมาเป็นเจ้าอาวาสเงินประจำตำแหน่ง ๑,๕๐๐ บาท มากกว่าสมัยหลวงพ่อเป็นเจ้าคุณตั้งเยอะ
ได้ยินว่าปีนี้เขาจะปรับขึ้นให้ ความจริงสมัยคุณทักษิณตั้งใจจะปรับให้ทีหนึ่งแล้ว แต่ไม่ทันจะทำสำเร็จก็โดนเด้งเสียก่อน คุณทักษิณจะปรับให้ตำแหน่งต่ำสุดอยู่ที่คนละ ๓,๓๐๐ บาท ถามว่า ๓,๓๐๐ เอาเกณฑ์การคิดเงินเดือนจากตรงไหน ? เขาบอกว่าให้คนไปนั่งกินในร้านอาหาร คนหนึ่งสั่งกินเต็มที่เลย ดูว่าอิ่มอยู่ที่เท่าไร เขาบอกว่าประมาณ ๕๕ บาทจึงอิ่ม เอา ๕๕ x ๒ = ๑๑๐ บาท เพราะพระฉัน ๒ มื้อ แล้วคูณอีก ๓๐ วัน ได้ ๓,๓๐๐ บาท
ตอนนี้ ๑,๕๐๐ บาท ถือว่ายังดีนะ เงินประจำตำแหน่งเจ้าอาวาสก่อนหน้านี้แค่ ๕๐๐ บาท เพิ่งขึ้นมาเป็น ๑,๕๐๐ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่พอรวม ๆ แล้วทั้งประเทศ ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ อย่างตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตอนนี้อยู่ที่ ๔๒,๐๐๐ บาท สมเด็จพระราชาคณะที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม อยู่ราว ๆ ๓ หมื่นกว่านิดหน่อย
พอนับรวมทั้งประเทศลงไปถึงพระครูสัญญาบัตร จึงเป็นตัวเลขที่เยอะ เขาคิดว่าถ้าหั่นตัวเลขนี้ออก จะได้เอาไปตั้งงบถลุงกันในด้านอื่น เพราะงบของพระนี้แตะไม่ได้เลย จึงมีแนวโน้มว่าต่อไปพระครูหรือเจ้าคุณอาจจะไม่มี อาตมาจึงมองไว้ว่า เมื่อถึงตอนนั้นจะแยกออกได้อย่างไรว่าใครปกครองใคร เพราะไม่มีตำแหน่งกันแล้ว จึงคาดว่าอาจจะแยกกันด้วยวุฒิการศึกษา"
พระอาจารย์บอกว่า "มีอยู่เรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าจะบอกพวกเราดีหรือเปล่า คือว่าการกระทำของพวกเราทุกคนมีผลกระทบต่อโลกและจักรวาลอย่างมหาศาล แค่เราโมโหตะโกนใส่หน้าใครทีหนึ่ง ถ้าพลังงานเหล่านั้นรวม ๆ กัน อาจจะทำให้เกิดพายุทอร์นาโดได้ ฟังแล้วเหลือเชื่อไหม ?
เพราะฉะนั้น..เราต้องคิดดี ทำดี พูดดีต่อคนอื่น เพื่อให้ผลที่เกิดขึ้นเป็นผลเฉพาะในด้านดีเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมด อย่างที่กวีเขาบอกว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าสภาพจิตของเรายังไม่ละเอียดพอ จะไม่เห็นความเกี่ยวเนื่องนั้น
มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาไม่สบายมาก นำทำวัตรอยู่แล้วท้องเสียขึ้นมา ก็ให้พระครูหน่อยนำทำวัตรแทน แล้วก็ไปเข้าส้วม โอ้โห..เกือบตาย แต่ไม่ใช่เกือบตายเพราะท้องเสียนะ เกือบตายเพราะฟังเสียงพระครูหน่อยสวดมนต์ เหมือนกับท่านตะโกนใส่ไมค์แล้วเป็นแรงกระแทกมา
เคยฟังดนตรีที่เปิดเสียงเบสเยอะ ๆ ไหม ? เสียงตึง ๆ กระแทกเราแทบกระเด็น แบบนั้นแหละ ก็เลยกลับขึ้นมา พอสวดมนต์เสร็จก็คุยกัน บอกว่า "ผมเพิ่งรู้ว่าคุณสวดมนต์เสียงดังฉิบหายเลย..!" ใช้คำว่าฉิบหายจริง ๆ"
"การสวดมนต์ ถ้าหากเราสวดเป็น พลังงานที่ต่อเนื่องกันอย่างไม่ขาดสายจะอยู่ในลักษณะอ่อนโยนละมุนละไม จะน้อมจิตของคนให้หันเข้าหาความดี แต่ท่านที่ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ก็ใส่เข้าไปเต็มที่ที่ตัวเองทำได้ กลายเป็นว่าเอารัก โลภ โกรธ หลง ของตัวเองใส่เข้าไปด้วย เจตนาในการสวดมนต์จึงผิด คือเรื่องพวกนี้ต้องทำไปให้ถึงในระดับหนึ่ง แล้วจะเข้าใจว่าคืออะไร"
ถาม : แล้วให้วัดจากใจของเราเองหรือคะ ?
ตอบ : ให้สวดไปพร้อมกับแผ่เมตตาไปด้วย ถ้าทำอย่างนั้นได้จะรู้สึกว่าสวดได้รื่นหู เคยฟังเสียงสวดมนต์ทิเบตไหม ? อย่างนั้นฟังแล้วรื่นหู เขาเอาเสียงนี้ไปเปิดให้คนท้องฟัง เด็กเกิดมาจะสุขภาพจิตดี
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อเงินกับเนื้อนวโลหะไม่ได้วางจำหน่ายทั่วไป เพราะทำอย่างละ ๓๐๐ องค์ แต่เนื้อนวโลหะมีเกินมา ๒๐ กว่าองค์ จะจัดเป็นชุดละ ๓ องค์ มีเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ และเนื้อชุบทองพ่นทราย เอาไว้สำหรับคนที่ทำบุญเรื่องทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณร ซึ่งจะประกาศในวาระที่เหมาะสม ซึ่งมีอยู่แค่ ๓๐๐ ชุดเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย ส่วนเนื้อนวโลหะที่เกินมานั้นแจกฟรีสำหรับผู้ที่ไปรำถวายงานในเป่ายันต์ฯ
มีโลหะอยู่ตัวหนึ่งเรียกว่า "ชิน" เป็นตะกั่วผสมกับสังกะสี แต่ถ้าส่วนผสมของสังกะสีมาก พระจะกินตัวเอง คำว่ากินตัวเองก็คือเป็นสนิม แล้วเนื้อจะผุง่าย ดังนั้น..พระโบราณที่เป็นเนื้อชิน ถ้าผุแบบกรอบ ๆ ร่วงเป็นแผ่น ๆ เลย นั่นของแท้ ถ้าหากว่าไม่ผุในลักษณะนั้นก็ไม่ใช่ชิน"
"วัตถุประสงค์จริง ๆ ที่คนโบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุ คือ ต้องการทำให้เป็นทอง แต่ถ้าได้โลหะอื่นมาเขาถือว่าเป็นของแถม ก็จะมี ตรีโลหะ ส่วนผสม ๓ ชนิด ปัญจโลหะ ส่วนผสม ๕ ชนิด สัตตโลหะ ส่วนผสม ๗ ชนิด นวโลหะ ส่วนผสม ๙ ชนิด
นวโลหะนั้นออกมาในลักษณะของนาก ก็คือสีเหมือนอย่างกับทองแดงใหม่ แต่ถ้ามีส่วนผสมของเงินมาก ก็จะกลับดำ
ปัจจุบันนี้การเล่นแร่แปรธาตุที่จะให้เป็นทองนั้น เห็นอยู่เพียงสำนักเดียวคือวัดเขาอ้อ วัดเขาอ้อทำวัตถุมงคลออกมา ๒-๓ รุ่น รุ่นขุนพันธ์พุทธาคมกับรุ่นมงคลจักรวาลพุทธาคมเขาอ้อ มีพระกริ่ง พระปิดตา
เขาจะบอกแค่ว่าเป็นเนื้อทองสัตตโลหะพิเศษสูตรของวัดเขาอ้อ จริง ๆ ก็คือเขาผสมจนเป็นทองแล้ว เป็นทองที่สีไม่เปลี่ยนแล้ว อาตมาเคยบูชาไว้หลายองค์ แต่ถูกคนอื่นงาบไปเกลี้ยงแล้ว ตั้งใจจะเอาไว้ศึกษาเนื้อเท่านั้น"
"สมัยก่อนอย่างหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านก็เล่นแร่แปรธาตุพวกนี้ ที่ชัดที่สุดคือหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ที่ว่านี่หมายถึงท่านที่ทำสำเร็จเป็นทองจริง ๆ นะ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ พอทำเป็นทองแล้วพวกลูกศิษย์แย่งกันขอ ท่านก็นั่งสูบบุหรี่ของท่าน สูบไปคิดไป ในที่สุดก็หยิบเอาทองขว้างไปกลางสระน้ำ เอาค้อนทุบเตาหลอมทิ้ง เลิกทำไปตลอดชีวิต เพราะเห็นแล้วว่าคนอาจจะฆ่ากันได้ พอให้คนหนึ่ง คนที่เหลือก็ไม่พอใจที่ตัวเองไม่ได้ ครั้นจะให้ทุกคนก็ไม่มีทุนมากพอที่จะทำให้
ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ท่านเล่นแร่แปรธาตุ ได้เงินมาเท่าไรก็ไปซื้อถ่านมาสุมโลหะหมด จนกระทั่งท่านเลิกทำ ปรากฏว่าพอได้สูตรการสร้างพระกริ่งเนื้อนวโลหะมา ท่านก็เลยมาเริ่มต้นทำใหม่ กลายเป็นพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ที่ดังระเบิดมาจนถึงทุกวันนี้
พระกริ่งสายวัดสุทัศน์หลังจากสิ้นยุคเจ้าคุณศรีแล้ว พอจะเป็นที่ยอมรับในวงการได้ก็มีพระกริ่งหลังปิ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) หรือหลวงลุงเสงี่ยม ที่เรียกหลวงลุงเพราะว่า ท่านสนิทสนมคุ้นเคยกับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาก หลวงพ่อท่านเรียกว่าหลวงพี่ ลูกศิษย์ที่ตามไปจึงเรียกหลวงลุงกันหมด
หลวงลุงเสงี่ยมท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะ แต่ไม่ถือเนื้อถือตัว พระที่ไม่ถือตัวนี่อันตรายมาก เพราะถ้าเราไม่รู้จริงก็อาจจะล่วงเกินพระอริยเจ้าโดยไม่รู้ตัว"
"ในเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุ พอได้โลหะธาตุบางอย่างที่แปลกพิสดารออกไป จะเป็นวัตถุล้างอาถรรพ์ได้ อย่างสมัยก่อนที่เขาเล่นคาถาอาคมต่าง ๆ จะมีคาถาบทหนึ่งที่ชื่อว่าโองการมหาทมื่น ถือว่าเป็นคาถาที่ค่อนข้างจะครอบจักรวาล
ท่านระบุเลยว่า คงในน้ำ คงบนบก คงกลางวัน คงกลางคืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งยืน คงทั้งนั่ง คงต่อธนูธน้า มีดพร้าปืนไฟ คงต่อหอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง พอไปเจอโลหะผสมจึงกันไม่ได้ เพราะไม่มีระบุไว้ (หัวเราะ) เห็นหรือยังว่ากันขนาดไหนก็ยังมีคนแหกคอกไปเล่นเข้าจนได้
ของพวกเรานี้ ถ้าหากว่ารุ่นเก่า ๆ ที่เรียนวรรณคดีมาจะเห็นเรื่องไกรทอง ใช้หอกสัตตโลหะฆ่าพญาชาละวันได้ อย่างอื่นทำอะไรชาละวันไม่ได้ ของบางอย่างที่อยู่นอกตำราจะล้างอาถรรพ์ได้ พวกที่เล่นคาถาหนังเหนียวจะกลัวของอยู่ ๒-๓ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือ กระสุนดินธรรมดา ที่ยิงด้วยคันกระสุนที่เป็นคันธนู เพราะว่าคันกระสุนนี้จะแรงกว่าหนังสติ๊กประมาณ ๗-๘ เท่า ยิงกระบอกไม้ไผ่แตกได้
ปฐวีธาตุเป็นแม่ธาตุที่ช่วยในการอยู่ยงคงกระพัน ในเมื่อยิงด้วยปฐวีธาตุแล้วจะไปเหลืออะไร"
"อีกอย่างหนึ่งที่เขากลัวคือหลาวไม้ไผ่ เพราะเขาเชื่อว่าในอดีตชาติพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ไม้ไผ่ก็เลยกลายเป็นไม้เคล็ดล้างอาถรรพ์ เพราะว่าไม่มีอานุภาพอะไรเหนือกว่านั้น มีพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าในอดีตถึงปัจจุบันถึง ๕ พระองค์ด้วยกัน
อีกวิธีหนึ่งที่เขาใช้คือ หอกสวนทวาร ในเมื่อรอบตัวไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ต้องหาช่องเข้าให้ได้ อย่างแสนตรีเพชรกล้าในเรื่องขุนช้างขุนแผน โดนฟันโดนแทงที่ตัวเท่าไร ๆ ก็ไม่เข้า สุดท้ายเขาจับเอาหอกสวนทวาร ตายจนได้
แต่สายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ในเรื่องของการอยู่ยงคงกระพัน ท่านบอกไว้เลยว่า นอกข้อจะไม่กันให้ คือนอกข้อมือออกมาและนอกข้อเท้าลงไป เคยถามหลวงพ่อเหมือนกันว่าทำไมไม่กันให้ครบทั้งตัว ? ท่านบอกว่า "ถ้าไม่มีจุดอ่อนไว้บ้าง พวกแกจะเป็นโจรกันหมด" คือลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนใหญ่มาสายพุทธภูมิ กำลังใจเกินมนุษย์อยู่แล้ว ถ้ายิ่งหนังเหนียวชนิดที่ไม่มีจุดอ่อนเลย เดี๋ยวก็ไปรังแกชาวบ้านเขา"
"อาตมาเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุดของเรื่องนอกข้อไม่เหนียว โดนทีไรเข้าทุกที เคยโดนหมากัดฝ่ามือ แหลกหมดเลยนะ แต่ว่าข้างบนเลยข้อขึ้นไปเป็นแค่รอยขูด ๆ เท่านั้น ท่านกันให้แค่ข้อมือจริง ๆ
หมาวัดท่าซุงก็แสนรู้ ครั้งแรกอาตมาเดินไปเข้ากรรมฐานที่ตึกธัมมวิโมกข์ บ้านลุงเพชร กลีบบัว เขามีหมา ๒ ตัวดุมาก แล้วทางขึ้นตึกธัมมวิโมกข์จะเฉียดผ่านบ้านลุงเพชรไป อาตมาเดินขึ้นบันไดไป ๓ ก้าวแล้ว หมาของลุงเพชรย่องมากัดน่องกระชากตกบันไดเลย ปวดแทบตาย ให้กัดเข้าเสียยังดีกว่า กัดไม่เข้าแต่กระชากเต็ม ๆ ลองนึกดูว่าจะเจ็บแค่ไหน ?
กัดน่องไม่เข้าใช่ไหม ? ครั้งต่อไปเลยงับเอ็นร้อยหวายแทน เป็นรูโบ๋เลย ฉลาดขนาดนั้น อย่างกับรู้ว่าหลวงพ่อบอกว่านอกข้อกันไม่ได้ สุดยอดหมาจริง ๆ"
ถาม : เพื่อนเขาต้องการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่เป็นพระยืนต้องสูงเท่าไรคะ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยินว่าพระชำระหนี้สงฆ์มีพระยืนนะ แต่พระยืนนี่ปกติก็ต้อง ๒ เท่าของพระนั่ง
ถาม : ถ้าพระนั่งสี่ศอก พระยืนก็ต้องแปดศอก ?
ตอบ : อย่างน้อยก็คงจะต้อง ๘ ศอก แต่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์ที่เป็นพระยืน จึงไม่ยืนยันจ้ะ
จะไปยากอะไร ถ้าอยากสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ในลักษณะยืน เราก็สร้างพระยืนสักองค์ แล้วที่เหลือก็ไปร่วมสร้างชำระหนี้สงฆ์กับใครก็ได้
ถาม : ถือว่าเป็นพระชำระหนี้สงฆ์ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ถือว่าเป็นชำระหนี้สงฆ์ แต่เราไปสร้างร่วมกับคนอื่นเขา อย่างไรก็ได้ชำระหนี้สงฆ์อยู่ดี
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระเจ้าจักรพรรดิราชในสมัยโบราณ บอกกัลบก (ช่างตัดผม) ว่า ถ้าสังเกตเห็นว่าผมของพระองค์หงอกแล้วให้เตือนด้วย
พอช่างตัดผมตัดไป ๆ เห็นผมหงอกโผล่มา ๒-๓ เส้น ก็ทูลบอกพระเจ้าจักรพรรดิราช ปรากฏว่าพระองค์ท่านสละราชสมบัติออกบวชเลย ท่านบอกว่า ท่านทำงานเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว ตอนนี้แก่แล้ว ขอทำเพื่อตัวเองบ้าง
ต้องบอกว่า ท่านเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสารจริง ๆ เพราะว่าท่านตั้งใจเลยว่าถ้าหัวหงอกเมื่อไร ก็บวชเมื่อนั้น ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ท่านบรรลุธรรมได้ มีการตัดสินใจล่วงหน้าเด็ดขาด ถึงเวลาเมื่อไรก็ทิ้งเลย ถ้ายังละล้าละลังห่วงหน้าพะวงหลัง แสดงว่ากำลังใจยังเด็ดขาดไม่พอ ในเมื่อเด็ดไม่ขาดก็ไปไม่ได้สักที หรือว่าเด็ดแล้วยืด เหมือนเด็ดบัวแล้วยังเหลือเยื่อใย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนทำปาณาติบาตน้อย อายุจะยืน ร่างกายแข็งแรง
พระพากุลเถระ อายุยืนที่สุดที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก คือ ๑๕๐ ปี แต่ท่านเบื่อก็เลยเข้ากรรมฐานไปเลย อยู่มา ๑๕๐ ปี ไม่ป่วยสักที นอกจากความหิวที่ถือว่าเป็นโรคแล้ว ไม่เคยป่วยเป็นโรคอื่นเลย"
ถาม : ท่านเคยเทศน์ว่า กิเลสเอาความดีมาหลอกเรา แล้วเราจะคิดต่อว่าอย่างไร ?
ตอบ : ไม่เห็นต้องคิดต่อเลย ก็แค่รู้เท่าทัน แล้วก็พยายามทำตรงข้ามกับที่กิเลสต้องการ เขาหลอกให้เราทำความดีช้า เราก็เร่งทำให้เร็วขึ้น
ถาม : เมื่อวานภาวนาไปแล้วไปถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่าทำไมเราไม่มีเพศ ก็เลยนึกว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงผู้ชาย มีเสียงบอกว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่มี พระอรหันต์ก็ไม่มี ตัวเราก็ไม่มี แล้วเราก็สบาย สิบชั่วโมงผ่านไปเรารู้ว่าโลภ โกรธ หลงอยู่ครบอยู่
ตอบ : ยังดีที่รักษาได้ตั้งสิบชั่วโมง ถ้าเราสามารถประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ได้ ก็จะอยู่กับเรานานไปเรื่อย ๆ ยิ่งอยู่ได้นานเท่าไร จิตใจที่ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง จะทำให้ความผ่องใสเกิดมากขึ้น มีปัญญารู้เห็นว่าจะหลบหลีกสิ่งที่ไม่ดีอย่างไรและก็ทำสิ่งที่ดี
อารมณ์ของการทรงฌาน จะเป็นฌานใดฌานหนึ่งขึ้นไปก็ตาม เป็นคุณสมบัติของพรหม พรหมเป็นบุคคลที่ไม่มีเพศแล้ว
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้เขากำลังเห่อเลือดจระเข้กันอยู่ ใครเคยไปดูจระเข้ในฟาร์มบ้างไหม ? บ่อสกปรกสุด ๆ เลย สารพัดเชื้อโรค บางทีจระเข้กัดกันเป็นแผล แล้วก็แช่น้ำเน่าแต่ไม่เป็นอะไรสักตัว แถมยังแผลหายเร็วอีกต่างหาก
เขาไปทำวิจัย พบว่าเลือดจระเข้สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดีมาก ช่วงนี้เขาก็เลยเอาเลือดจระเข้ไปทำเป็นยาให้กับผู้ป่วยโรคเอดส์ บอกว่าทุกคนที่ได้รับยาไปในฐานะคนไข้ตัวอย่าง มีอาการดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจทั้งหมด ความซวยของจระเข้กำลังจะมาเยือน..!
อาตมาลองกินเนื้อจระเข้มา ๒-๓ ครั้งแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่อร่อย เหลืออย่างเดียวคือปิ้ง แต่ทีนี้ร้านเขาไม่ทำให้ ส่วนใหญ่เขาก็ทำผัดเผ็ด ต้มยำ คิดว่าเนื้อจระเข้ต้องปิ้งถึงจะอร่อย อย่างพวกแย้ต้องปิ้งถึงจะอร่อย แต่เนื้อจระเข้เขาไม่มีเวลาปิ้งให้เรา
เนื้อจระเข้มีฮอร์โมนสูงมาก ถ้าจะกินต้องระมัดระวังนิดหนึ่ง"
"สมัยก่อนบ้านอาตมาทำสวน พวกมดส้ม มดแดงที่เขาแหย่รังเอาไข่ไปกินจะเยอะมากเป็นพิเศษ เขาสอนต่อ ๆ กันมาว่า เอาเนื้อจระเข้ไปแขวนให้มดกิน อาทิตย์เดียวมดจะงอกปีก แล้วก็บินไปหมด แสดงว่าเนื้อจระเข้มีฮอร์โมนเยอะมาก ขนาดว่ากระตุ้นให้มดงอกปีกเตรียมผสมพันธุ์ได้ พอมดมีปีกก็จะบินไปหมด
ดังนั้น..ใครอยากลองกินเนื้อจระเข้ ก็ลองดูว่าคึกไหม ? อาจจะคึกแต่มดก็ได้ เพราะว่าของบางอย่างเหมาะกับสัตว์บางชนิด เหมาะกับคนบางคน
อาตมากินเนื้อสัตว์มาแล้วแทบทุกชนิด เนื้อบางอย่างกินแล้วจำแม่นเลย เพราะกลิ่นและรสไม่เหมือนใคร อย่างเนื้อค้างคาว ต่อให้ปิดตากินลงไป ก็รู้ว่าเนื้อค้างคาว แต่เนื้อคนยังไม่เคยลอง
ในธรรมบทมีพระเจ้าโปริสาทกินเนื้อคน ท่านเองไม่ได้ตั้งใจกินนะ แต่เป็นความไม่รอบคอบของพวกที่เตรียมเครื่องเสวย ไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นวันที่เขาหยุดฆ่าสัตว์กัน ทำให้หาเนื้อไม่ได้ พอหาเนื้อไม่ได้ก็เลยไปที่ป่าช้า เจอศพคนตายใหม่ ๆ ก็เชือดเนื้อมาทำอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน
ปรากฏว่ารสชาติเป็นที่ถูกใจ พระเจ้าโปริสาทบอกให้พรุ่งนี้เอาอย่างนี้อีก พวกพ่อครัวก็เลยซวย พอหาศพสด ๆ ไม่ได้ ก็ต้องไปตกลงกับเพชฌฆาต ถ้าหากว่ามีศพประหารให้รีบส่งมาเลย พอบางวันไม่มี ก็ต้องไปกราบทูลความจริงให้ทราบ พระเจ้าโปริสาทบอกว่าเอานักโทษในเรือนจำไปประหารวันละคน และพระองค์ก็กินนักโทษจนหมดเรือนจำ
เมื่อติดใจรสชาติเนื้อคน ก็ต้องจับชาวบ้านมา พระพุทธเจ้าที่เป็นสุตโสมมาณพในชาตินั้น ก็ต้องไปอนุเคราะห์แสดงธรรมให้ฟัง พระเจ้าโปริสาทจึงได้สติคืนมา"
"เนื้อคนรสชาติไม่น่าจะเอาอ่าว เพราะว่าอาตมาเผาศพมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน กลิ่นเหม็นเขียวแปลก ๆ กลิ่นไม่ได้น่าชวนกิน พอได้กลิ่นก็รู้เลยว่าเนื้อคน แต่ถ้ากลิ่นไม่ชวนกิน รสชาติดี ก็น่าจะพอกล้อมแกล้มลงไปได้
อีกรายหนึ่งเป็นสมัยพุทธกาล ตอนนั้นพระท่านป่วย โยมเขาปวารณาไว้ว่า ถ้าต้องการอะไรขอให้บอก พระท่านบอกโยมว่าต้องการน้ำต้มเนื้อ ก็คือซุป ปรากฏว่าเป็นวันเดียวกับที่เขาไม่ฆ่าสัตว์ โยมเลยปาดเนื้อขาอ่อนตัวเองต้มซุปถวายพระ พอพระฉันเข้าไปก็หายป่วย พอหายป่วยออกบิณฑบาต เห็นว่าโยมออกมาใส่บาตรไม่ได้ ก็เลยถาม โยมก็ต้องสารภาพว่า เอาเนื้อขาตัวเองต้มซุปให้พระ ทำให้บาดเจ็บออกมาใส่บาตรไม่ได้
พอพระท่านกลับไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเยี่ยมโยมคนนั้น ด้วยพุทธานุภาพทำให้เนื้อปิดสนิทกลับหายดีตามเดิม จึงออกมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าถึงได้มีบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีประเภทเชือดอีกคนละชิ้นสองชิ้น แล้วจะยุ่ง
ท่านห้ามเอาไว้ ๑๐ อย่าง มี เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้อหมี เนื้องู เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อราชสีห์"
ถาม : เนื้อสัตว์ที่ท่านบัญญัติเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเวลาเรากินเนื้อสัตว์ลงไป กลิ่นตัวเราจะเป็นกลิ่นของสัตว์ชนิดนั้น พอเข้าไปในเขตของเขา เราจะเป็นสัตว์แปลกหน้า เขาจะไล่ทำร้ายเอา เพื่อไล่เราให้พ้นเขตของเขา เพราะสัตว์เขาหวงถิ่นหากิน อยู่ ๆ ถ้าโดนสิงโตควบเข้าใส่จะทำอย่างไร ก็เผ่นกันไม่ทัน
มีคนเขาสงสัยว่าอินเดียไม่ได้มีสิงโต แต่ทำไมพระธรรมบทกล่าวถึงราชสีห์เยอะแยะไปหมด ไม่มีนี่ไม่ได้หมายความว่าสมัยโบราณไม่มีนะ อย่างบ้านเราตอนนี้ก็ไม่มีเนื้อสมัน แล้วทำไมเราถึงรู้ว่าเนื้อสมันมี
ถ้าเทคนิคในการสกัดดีเอ็นเอก้าวหน้ากว่านี้ เราอาจเห็นสมันมาเดินปุเลง ๆ ก็ได้ ตอนนี้ที่เขากำลังทดสอบอยู่ก็คือ สกัดดีเอ็นเอของช้างแมมมอธ ตั้งใจว่าจะฝากเอาไว้ในท้องของช้างปกติ แม่ช้างคงรู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนแม่กระจิบที่เลี้ยงลูกนกกาเหว่า
เคยเห็นไหม ? นกกระจิบตัวเล็กนิดเดียว ลูกนกกาเหว่าตัวใหญ่เบ้อเร่อ ใหญ่กว่าแม่นก ๑๐ กว่าเท่า แม่คาบหนอนมาป้อนลูก ลูกนกแทบจะอมแม่นกเข้าไปได้ทั้งตัว
นกกาเหว่ามี ๒ สี ตัวผู้สีดำ ตัวเมียสีน้ำตาลลาย ๆ ตัวที่ส่งเสียงร้องคือนกกาเหว่าตัวผู้ โบราณเรียกว่าร้องลาตะวัน หรือร้องรับตะวัน ความจริงเขาร้องประกาศเขตแดนให้รู้ว่าอยู่บริเวณนั้น พวกเดียวกันได้ยินจะได้ไม่ล่วงล้ำเข้าไป ไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ตีเอา
:4672615: ข้อมูลเพิ่มเติมโดยคุณปิยทัศน์ครับ
"อันที่จริงอินเดียมีสิงโตที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ แม้แต่เวลานี้ก็ยังมีอยู่ แต่มีจำนวนน้อยมาก เรียกว่า "สิงโตเอเซีย (Asiatic Lion)" หรือ "สิงโตอินเดีย (Indian Lion)" และเหลืออยู่เฉพาะใน Gir Forest ทางด้านตะวันตกของอินเดียเท่านั้นครับ
รายละเอียดต่าง ๆ ดูได้ตามลิงก์ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Asiatic_Lion (http://en.wikipedia.org/wiki/Asiatic_Lion)
เรื่องนี้คนทั่วไปมักจะไม่ทราบครับ แต่ผมสนใจเรื่องสัตว์ป่ามานานแล้ว ได้เคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสิงโตเอเซียมาหลายครั้งจึงทราบครับ
นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
ปิยทัศน์
ถาม : การพิจารณาขันธ์ ๕ ของ.....(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วง่ายและเหมือนกันหมด ก็คือเริ่มจากการเข้าสมาธิเต็มที่ที่ตัวเองทำได้ แล้วก็พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
เหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าระดับของการพิจารณาหยาบละเอียดต่างกัน เห็นละเอียดมากเท่าไร ยอมรับมากเท่าไร ก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นสูงมากขึ้นเท่านั้น
ถาม : แล้วต้องถอยออกมาพิจารณาขันธ์ ๕ ที่ฌานสี่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงฌาน ๔ แค่ฌาน ๑ ก็พอ มัวรอให้เข้าฌาน ๔ ได้ บางทีทั้งชีวิตก็ไม่ต้องพิจารณาเลย
ถาม : การที่กราบพระบนพระนิพพาน ........
ตอบ : ถ้ามัวแต่สนใจอยู่ตรงนั้นก็ไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น สนใจแค่ว่าไปได้ไหม ? บางอย่างรู้ไปก็ฟุ้งซ่านเพราะคิดว่ากูดีแล้ว
ถาม : เมืองเปียนฮวนในเรื่องจอมคนแผ่นดินเดือด ?
ตอบ : เปียนฮวนเป็นเมืองสมมติ อยู่ที่มุมมองของคน เหมือนกับ ๓ จังหวัดภาคใต้ ที่มีสารพัดผู้คน ขณะเดียวกันบรรดากิจการต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยจะถูกต้องตามกฎหมายก็เฟื่องฟู อยู่ที่ว่าใครจะสามารถฉวยโอกาสได้มากกว่ากัน
เหตุการณ์ ๓ จังหวัดภาคใต้ที่รุนแรง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยาเสพติดด้วย มีของเถื่อนหนีภาษีด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมืองระหว่างเชื้อชาติเท่านั้น มีการสวมรอยกันไปสวมรอยกันมา คนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือชาวบ้านตาดำ ๆ
เมืองเปียนฮวนสมัยก่อนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ อย่างสมัยก่อน ถ้าพม่าจะตีอยุธยาให้ได้ต้องยึดพิษณุโลกให้ได้ก่อน ถ้ายึดพิษณุโลกไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ตีอยุธยา เพราะถ้ายกทัพเข้ามาตีอยุธยา พิษณุโลกก็จะกระหนาบหลัง เมืองเปียนฮวนจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นที่หมายปองของทุกคน
เราลองนึกถึงสามก๊ก เล่าปี่เดินทางไปเชิญขงเบ้งถึง ๓ วาระ พอวาระที่ ๓ ขงเบ้งกางแผนที่ให้ดู แล้วเอามือจิ้มลงไปที่เมืองเสฉวนเท่านั้น ดินแดนอุดมสมบูรณ์ เสบียงอาหารพรั่งพร้อม ตั้งรับง่าย เข้าตียาก ถ้าท่านสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตนี้ได้ก็เท่ากับท่านแบ่งแผ่นดินออกแล้วเป็น ๑ ใน ๓ นี่..เห็นความสำคัญของเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์หรือยัง ?
เมืองเปียนฮวนก็อยู่ในลักษณะนั้น อยู่กึ่งอนารยะกับอารยะ คือกึ่งกลางระหว่างดินแดนเถื่อนและความเจริญ อยู่ตรงกลางพอดี สินค้าทางด้านเจริญก็ต้องมาพักที่นี่ก่อน แล้วถึงจะกระจายออกทางด้านบน สินค้าจากด้านบนก็ต้องมาผ่านตรงนี้ก่อนแล้วถึงกระจายออกด้านล่าง นอกจากนี้ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพราะมีแม่น้ำไหลผ่าน การเดินเรือทำให้สามารถยกทัพได้ง่ายและเงียบเชียบ ไม่มีร่องรอย ไม่เหมือนกับการเดินทัพทางบก
จากทางด้านบนสามารถที่จะล่องเรือบุกทะลวงไปยังจงหยวนที่ด้านล่างได้เลย กลายเป็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพาณิชย์หรือการศึกสงคราม ถือเป็นชัยภูมิที่สำคัญที่สุด ดังนั้นไม่ว่าใครก็ต้องยึดเมืองนี้ให้ได้ก่อน
ถาม : ธาตุลมกำเริบเกิดขึ้นเองหรือคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเกิดจากสภาพร่างกายของเราเอง ถ้าธาตุไม่เสมอ ตัวใดตัวหนึ่งพร่อง ตัวอื่นก็จะกำเริบหรือที่หมอเรียกว่ามากขึ้น เรื่องของธาตุไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ตามห้ามขาด
ถ้าธาตุลมขาดไป ไม่มีตัวไหนควบคุมธาตุไฟ ธาตุไฟก็ดับ เพราะเรารู้โดยธรรมชาติว่าไฟต้องมีลมถึงจะติดได้ พอธาตุไฟดับ ไม่มีใครควบคุมธาตุน้ำได้ ธาตุน้ำก็ขยายตัวดันธาตุดินให้พองขึ้น ในที่สุดก็แตก
โบราณเขาถึงได้เก่ง เขามียาคุมธาตุรักษาตามอาการ โดยเฉพาะยาครอบจักรวาล ยาแก้ลมร้อยแปดจำพวก ใครร่างกายไม่ปกติ ลองไปหากินดูบ้าง จะรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
สมัยเด็ก ๆ สงสัยว่าทำไมคนแก่ต้องกินยาลมด้วย ตอนนี้ไม่สงสัยแล้ว เพราะตัวเองก็เริ่มกิน มียาลมยี่ห้อหนึ่ง สมัยก่อนลองชิมแล้วรสชาติดุเดือดมากเลย คือ ยาหอมภูลประสิทธิ์ ตราพระอาทิตย์ดั้นเมฆ ในความรู้สึกของอาตมาว่าแรงมาก ๆ เลย แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่าทีละครึ่งตลับ..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศศรีลังกา พระสมัคร ส.ส.ได้ เป็นรัฐมนตรีได้ มีกระทรวงพระพุทธศาสนาเป็นของตัวเอง ถ้าบ้านเราให้พระลงสมัคร ส.ส.ได้คงสนุก เชื่อว่ามีหลายรายที่จะชนะแบบถล่มทลายเลย
ถามพระสงฆ์ศรีลังกาว่า ทำไมคุณไปเล่นการเมือง ? ท่านบอกว่าทำตามพระพุทธเจ้าสั่ง ตอนแรกที่พระพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์ออกไปประกาศพระศาสนา ตรัสว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย ดูก่อน.. ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก
เขาบอกว่า การเล่นการเมืองเป็นการทำประโยชน์เพื่อคนหมู่มาก ตามที่พระพุทธเจ้าสั่งเลย เล่นอ้างบาลีทำเอาอาตมาเถียงไม่ได้ แต่ของอย่างนี้อยู่ที่คนตีความ ท่านเล่นตีความว่าเล่นการเมืองได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของแม่ชีทศพร จะโทษแม่ชีทศพรก็ไม่ถนัด เพราะว่าทุกครั้งที่แม่ชีทำบุญจะอธิษฐานว่า ขอผลบุญนี้ ช่วยให้ข้าพเจ้าสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตกาล
เมื่อเป็นดังนั้น ก็แปลว่าความเป็นพระอริยเจ้าไม่มี เนื่องจากตั้งใจไปเกิดใหม่ ในเมื่อความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้มาถึง อะไรก็ตามที่เป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้า อย่างเช่นการรักศีลยิ่งชีวิตก็จะไม่มี ต่อให้มี ถ้าหากว่าจำเป็นก็จะผ่อนผัน แต่ทีนี้ความจำเป็นของท่านมากน้อยแค่ไหนเราก็ไม่รู้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะดูครอบครัวตัวอย่าง ต้องดูครอบครัว พ.อ. นพ.นพพร กลั่นสุภา ก่อนออกจากบ้าน คุณหมอเตือนใจจะมากราบสามีก่อน จริง ๆ มารยาทโบราณเขาทำอย่างนั้น
อย่างที่เมื่อเช้าคุณมุกดาบอกว่า พ่อสอนว่าสามีเป็นพระคนที่ ๒ ในบ้าน คุณมุกดายังถามพ่อว่า แล้วจะต้องกราบเท้าสามีก่อนนอนไหม ? โบราณเขากราบเท้าสามีก่อนนอนอย่างนั้นจริง ๆ
บ้านคุณหมอนพพรนั้นคุยกับลูกเหมือนลูกเป็นผู้ใหญ่ เวลาลูกมาปรึกษาพ่อ พ่อก็ว่า คุณมีความเห็นว่าอย่างไร ? ต้องการจะทำแบบไหน ? พ่อใช้สรรพนามกับลูกว่าคุณ คุณมีความเห็นว่าอย่างไร ? แล้วลูกก็บรรยายมา จากนั้นท่านก็ว่า พ่อว่าน่าจะเป็นแบบนี้นะ คุณมีอะไรจะแย้งไหม ? ทำให้เด็กกล้าแสดงออก เพราะว่าผู้ใหญ่ให้โอกาส ให้เกียรติเหมือนกับว่าเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน เสมอกัน"
"เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร ผู้อื่นก็ปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น เราให้เกียรติเขา เขาก็ให้เกียรติเรา ไม่ต้องไปดุไปว่า เพราะว่าพูดคุยกันแล้ว ตกลงกันแล้ว
สมัยที่อาตมายังเป็นเด็ก พี่สาวจะดูแลอาตมามากกว่าแม่ พี่ ๒ คน จะมีอยู่คนหนึ่งน้อง ๆ รักและแห่ไปอยู่ด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งถ้าไม่จำเป็นน้อง ๆ จะไม่เดินผ่านเลย แสดงว่าจิตวิทยาการเลี้ยงดูเด็กไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นพี่น้องกัน
คนหนึ่งใช้พระเดชจนเคย อีกคนหนึ่งใช้พระคุณ คนที่ใช้พระเดชก็ต้องทำใจว่าน้อง ๆ ไม่มาหาแน่ ส่วนคนใช้พระคุณจะบอกเลยว่า ถ้าดื้อมากเดี๋ยวจะส่งไปหาพี่อีกคน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "จังหวัดที่มีวัดมากที่สุดในประเทศไทยคือ อุบลราชธานี เหลือเชื่อไหม ? ขนาดโดนแบ่งแล้วแบ่งอีกนะ อุบลราชธานีแยกไปเป็นยโสธร แยกไปเป็นอำนาจเจริญ ขนาดนั้นยังมีวัดมากที่สุดในประเทศไทย
ตอนแรกอาตมาคิดว่าเป็นอยุธยา เพราะอยุธยานี่มีวัดแทบจะทุกสี่แยกเลย ไป ๆ มา ๆ เป็นวัดร้างเสียเยอะ วัดที่มีพระจำพรรษาก็เลยน้อย
พอแยกบึงกาฬออกจากหนองคายก็ช่วยได้เยอะเลย เพราะเท่ากับว่าหั่นครึ่งจังหวัด หนองคายเป็นจังหวัดยาว ๆ ประจวบคีรีขันธ์ก็ยาว แต่เนื้อที่ไม่มาก พะเยาก็แยกออกมาจากเชียงราย อีกจังหวัดหนึ่งที่น่าแยกมากเลยก็คือ นครราชสีมาเพราะว่าใหญ่มากเหมือนกัน
กาญจนบุรีอยากจะแยกมานานแล้ว แต่ทองผาภูมิมีประชากรไม่พอ เขาเตรียมการมานานแล้ว ทั้งเรือนจำจังหวัด ศาลจังหวัด ขนส่งจังหวัดมีแล้ว แต่ประชากรในทะเบียนบ้านมีน้อยเกิน ที่เห็นมากมายมหาศาลไปหมดนั่นเป็นคนต่างด้าว
ทางการเขาไม่สามารถที่จะให้สิทธิ์ตามกฎหมายต่างด้าวได้ เพราะตามกฎหมายต่างด้าว ถ้าคุณเข้ามาแจ้งลงทะเบียนต่างด้าวไว้ เสียภาษีครบ ๑๐ ปีแล้วจะได้สัญชาติไทย ถ้าทำอย่างนี้เขามากันหมดประเทศแน่
สมัยมาอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ พอถึงช่วงปีใหม่ สงกรานต์ พวกข้าราชการที่ต้องการหาเงินกินเหล้า ก็จับคนมอญ จับคนพม่าไปเรียกค่าไถ่ เดี๋ยวทหาร เดี๋ยวตำรวจ เดี๋ยว ตชด. เดี๋ยวผู้ใหญ่บ้าน จับไปเรียกทีละ ๓ พันบาท ๕ พันบาท
อาตมาเคยถามเขาว่า อยู่ลำบากขนาดนี้แล้วทำไมไม่กลับบ้าน ? เขาบอกว่า อยู่ประเทศไทยลำบากอย่างไรก็ยังดี ยังมีเงินเหลือ อยู่ประเทศเขา ถ้าทหารเอาจะไม่เหลืออะไรเลย ฟังแล้วอนาถใจว่ามนุษย์เราทำกันได้ขนาดนี้"
พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าใครไปงานวัดท่าขนุน แถวโรงทาน จะเห็นฝรั่งแก่ ๆ คนหนึ่งมาทำกับข้าวออกโรงทาน ฝรั่งคนนี้ชื่อ เดวิด คันนิ่งแฮม เขาอยู่เมืองไทยจนกลายเป็นคนไทยไปเลย พูดไทยไม่ได้นะ แต่ฟังออกบ้าง
ตอนแรก ๆ ป้าอุ๋ย (ภรรยา) สอนให้ใส่บาตรตอนเช้า ๆ ฝรั่งทำอะไรเขาทำจริง ลุงเดฟก็ตื่นมาหุงข้าวใส่บาตร ใส่ไปใส่มาป้าอุ๋ยขี้เกียจ นอนสบาย ปล่อยให้ลุงเดฟใส่บาตรอยู่คนเดียว
จนกระทั่งมาวันหนึ่งลุงเดฟโวยวายกับป้าอุ๋ยว่า “นี่ตกลงศาสนาของใครกันแน่ ของเธอหรือของฉัน..!?” ฝรั่งเขาทำจริง ลุกขึ้นมาใส่บาตรทุกวัน ใส่ไปใส่มาเมียขี้เกียจใส่บาตรเสียเอง"
พระอาจารย์เล่าว่า "ปัจจุบันนี้อาตมาจะให้โยมไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชร ท่านเจ้าคุณโสภณ (พระเทพคุณาภรณ์) รองเจ้าคณะภาค ๑๓ เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร ท่านให้คนดูแลดี บางวันไปท่านอยู่ ก็กุลีกุจอลงมาบัญชาการเองเลย ท่านเป็นคนหนุ่มที่อนาคตไกลมาก
ก่อนหน้านั้นท่านเป็นพระมหาโสภณ ป.ธ.๙ อยู่วัดหัวลำโพง ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไร พอดีทางคณะสงฆ์ต้องการเจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร ซึ่งไม่มีใครกล้ารับอาสา เพราะวัดเทวราชกุญชรช่วงนั้นเหมือนสลัมชัด ๆ คนเข้าไปสร้างบ้านสร้างเรือนจนดูรกไปหมด พระมหาโสภณท่านก็รับอาสาไป ท่านทำอยู่แค่ ๓ ปี ดังระเบิดเลย เพราะท่านรื้อทิ้งเสียเกลี้ยง เริ่มต้นบูรณะของเก่า ดัดแปลงขึ้นมาใหม่จนใหญ่โตดูดี"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากถามญาติโยมทั้งหลายว่า สมัยก่อนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราทำไร่ทำนาอยู่ตลอดปี แต่ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะไปวัด อย่างเช่น พอไถหว่านดำนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องรอประมาณ ๔-๖ เดือน แล้วแต่ว่าเป็นข้าวหนักหรือข้าวเบา ช่วงนั้นก็จะเป็นฤดูงานบุญ เพราะคนว่างงานแล้ว
หลังจากเกี่ยวข้าว นวดเสร็จเรียบร้อย ก็ยังว่างอีกตั้ง ๓-๔ เดือน รอจนกว่าฝนใหม่มา ถึงจะได้ไถหว่านกันอีกครั้ง สมัยนี้เครื่องมือเครื่องไม้สะดวกขึ้น รถไถก็มี รถหว่านก็มี รถเกี่ยวก็มี รถดำนาก็มี แต่ทำไมคนจึงไม่มีเวลาเหลือเลย ? เคยคิดกันบ้างไหม ? หรือว่าอาตมาฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว ?
สมัยอาตมาเด็ก ๆ เวลาจะทำบุญ เขาต้องเดินกันข้ามทุ่งเพื่อไปส่งข่าวอีกหมู่บ้านหนึ่ง อีกตำบลหนึ่ง กว่าญาติพี่น้องจะรู้กันครบก็ใช้เวลาหลายวัน สมัยนี้ยกมือถือครั้งเดียวรู้ได้ทั่วโลกเลย แต่สมัยก่อนนั่นเดินกันเป็นวัน ๆ กว่าจะไปส่งข่าวได้ครบ บางทีต้องไปค้างบ้านเขาด้วยถึงค่อยกลับบ้าน หรือไม่ก็ขี่เกวียนกลับมา
สมัยนี้ถ้าไม่ยกหูโทรศัพท์ ก็บึ่งรถทีเดียวถึง แล้วทำไมคนจึงไม่มีเวลา ? สมัยก่อนเวลาเขาว่าง ไม่มีอะไรทำก็ตีไก่ กัดปลา ทำน้ำตาลเมา หมักสาโท ทำกระแช่กินกัน ถึงเวลาตำรวจหรือสรรพสามิตมาไล่จับก็วิ่งหนีกันอุตลุด..!"
"สมัยก่อนกิจกรรมบันเทิงไม่ค่อยมี คนก็เลยมีเวลา สมัยนี้เดินห้างครั้งหนึ่งก็ ๔-๕ ชั่วโมงเข้าไปแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาเหลือ ? เดินห้างบางทีก็เพลินไม่รู้ตัว..ใช่ไหม ? เพราะเขาเปิดไฟสว่างอยู่ตลอดเวลา พอโผล่มาข้างนอกปรากฏว่ามืดตื๋อเลย..ค่ำไปตั้งนานแล้ว
ฉะนั้น..พอกิจกรรมต่าง ๆ เยอะขึ้น ก็เลยแย่งเวลาเราไปหมด อย่างพวกเราก็ต้องเข้าอินเตอร์เน็ตวันหนึ่ง ๑-๒ ชั่วโมง เด็กบางคนเข้าอินเตอร์เน็ตกันข้ามวันข้ามคืน ฉะนั้น..จะเอาเวลาที่ไหนไปสังสรรค์กับคนอื่นเขาได้ โดยเฉพาะโหลดเกมมาเล่นกันหามรุ่งหามค่ำ
สรุปได้ว่าทุกอย่างมีความสะดวกขึ้น คล่องตัวขึ้น แทนที่เวลาจะเหลือ กลับแย่งเวลาไปจนหมด เพราะกิจกรรมต่าง ๆ ที่เขาทำมีมากขึ้น เมื่อกระแสโลกแรงขึ้น ดึงเราไปง่ายขึ้น การปฏิบัติเพื่อสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งเพื่อต้านกระแสก็ยากขึ้น ต้องทำกันจริง ๆ ทุ่มเทกันจริง ๆ ถ้าหากว่าใครไปมืออ่อนหย่อนให้หน่อย มีหวังถูกกิเลสตีตายเลย..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการทำบุญ พระพุทธเจ้าตรัสอยู่แล้วว่า ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง ทำให้เร็ว ทำให้ไว แสดงออกซึ่งความเข้มแข็งในบารมีของเรา ยิ่งบารมีสูงมากเท่าไร ก็ยิ่่งทำบุญได้ง่ายมากเท่านั้น การที่เราทำบุญง่าย ถึงเวลาจะได้รับสิ่งที่ดี ๆ ก็จะได้รับง่าย ๆ"
วันอาทิตย์ คุณหมอนพพรได้มาแจ้งงานบุญประดับเพชรพระอุณาโลมสมเด็จองค์ปฐม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "อุณาโลมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นโบราณาจารย์ท่านจะถือว่าเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าได้เลย ดังนั้น..ถ้าเขาเขียนอุณาโลมตัวหนึ่งก็เท่ากับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในทางโยคศาสตร์เขาถือเป็นกุณฑาลินี คือแหล่งพลังงานที่สามารถเปล่งพลังสูงสุดได้ เป็นจักระที่สำคัญที่สุด
ในส่วนของยอดมงกุฎเราก็น่าจะรู้อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสามารถค้นพบเพชรยอดมงกุฎ คืออริยสัจ ๔ ต่อท้ายของพราหมณ์ที่เขาไปถึงสมาบัติ ๘ เพราะฉะนั้น..เพชรยอดมงกุฎในพุทธศาสนาของเราคืออริยสัจ ๔
ครอบครัวของคุณหมอนพพรกับคุณหมอเตือนใจ ทุ่มเทชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา บุญเล็กบุญใหญ่แค่ไหน ถ้ามาถึงตรงหน้าไม่เคยปฏิเสธ มีแต่จะนำเขาทำ ถ้าหากบุญใหญ่ที่เรารู้สึกว่าเกินกำลัง ถ้ามีผู้นำแบบคุณหมอทั้งสองท่านเราก็สบาย เจอบุญแบบนี้ให้วิ่งใส่เลย"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=4689&d=1272455583
พระอาจารย์กล่าวถึงท่านแม่ทั้งสามว่า "ตอนนี้ท่านเข้าพระนิพพานกันหมดแล้ว ท่านที่ขอให้ท่านแม่ช่วย ถ้าสำเร็จแล้วให้ถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านแม่ด้วย
เวลาปกติเราสวดมนต์ไหว้พระ นั่งกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศลถวายท่านเป็นประจำ จะเป็นสิ่งที่ท่านชอบใจ แต่ถ้าต้องการบนให้ท่านช่วยเรื่องอะไรเป็นการเฉพาะ ให้บนถวายผ้าไตร ขอยืนยันว่าผ้าไตรครบชุดนะจ๊ะ ไม่ใช่ชิ้นเดียว ถวายอุทิศให้ท่านแม่ทั้ง ๓ พระองค์พร้อมกัน
โดยปกติแล้ว เราเรียกท่านแม่ว่า ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่กลาง ท่านแม่เล็ก แต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจะเรียกนามในสมัยพระเจ้าศรีทรงธรรมปิฎก (สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ)
ท่านจะเรียกท่านแม่ใหญ่ว่า ท่านแม่ศรีระจิตร (มิ่งขวัญของดวงใจ) ท่านแม่กลาง ท่านเรียกว่า ท่านแม่จิตรตี (มีดวงจิตอันยินดี) ท่านแม่เล็ก ท่านเรียกว่า ท่านแม่ประภาศรี (ผู้มีมิ่งขวัญอันสว่างรุ่งเรือง)
แต่ถ้าอยู่ข้างบน ท่านแม่ใหญ่ชื่อ ท่านแม่พรรณวดีศรีโสภาคย์ ท่านแม่กลางชื่อ ท่านแม่จิตราวดีศรีโสภาคย์ ท่านแม่เล็กชื่อ ท่านแม่ประภาวดีศรีโสภาคย์ อย่าไปปะปนกับชื่อท่านย่านะจ๊ะ เดี๋ยวจะโดนท่านย่าดึงหูเอาว่าขนาดชื่อข้าก็ยังลืม
ท่านย่าชื่อ รัตนาวดีศรีโสภาคย์ แต่กรุณาอย่าเรียกชื่อเพราะเราไม่ใช่ผู้ใหญ่ เราเป็นเด็กเรียกท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่กลาง ท่านแม่เล็ก หรือว่าเรียกท่านย่าก็พอแล้ว"
ถาม : พังครานี ?
ตอบ : ท่านย่านั่นแหละ คือท่านย่าพังครานี คำว่า พังครานี คือพระราชินีแห่งพิงคนคร พวกเราพอฟังคำว่า "พังคะ" รู้สึกไม่เข้าท่า ฟังแล้วเหมือนกับมีอะไรพัง บางคนก็เลยไปเรียกท่านว่า "อินทิรานี" ก็คือพระราชินีของพระอินทร์
คราวนี้ขอให้รู้ว่า คำว่าอินทิรานีนั้นเราเรียกกันเอง ถ้านามของท่านในสมัยเชียงแสน ก็คือท่านย่าพังครานี ท่านปู่ก็คือท่านปู่พังคราช (พระราชาแห่งพิงคนคร)
เรื่องของอดีตถ้าไม่แม่นอย่าไปมั่ว เพราะถ้าข้อมูลผิดก็จะผิดไปเรื่อย ๆ แล้วคนรุ่นหลังก็จะจำผิด พากันผิดไปอีกยาวเลย
พวกเราทุกคนต้องเกิดเป็นลูกท่านแม่ใดท่านแม่หนึ่งมาอย่างน้อยก็หลายชาติ ไม่ใช่ชาติสองชาติ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดเป็นลูกของแม่ใหญ่กันทั้งนั้น แต่ก็แปลก..เกิดเป็นลูกแม่ใหญ่ แต่ไปกินข้าวบ้านแม่กลางบ้าง บ้านแม่เล็กบ้าง มีหลายแม่นี่สบาย ไปบ้านไหนก็มีให้กิน
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนที่แล้วจำได้ไหมว่าอาตมาติดค้างเรื่องอะไรไว้ ? เรื่องสาเหตุของแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าตรัสถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก พระองค์ท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า แผ่นดินไหวนั้นมีสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน
ประการที่ ๑ คือลมกำเริบ คำว่าลมกำเริบนี่เป็นภาษาโบราณ ถ้าเอาอย่างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็คือ ภายใต้โลกของเรานั้นมีแม็กม่า คือหินหลอมเหลว ซึ่งจะเดือดคลั่ก ๆ อยู่ตลอดเวลา ความร้อนที่เดือดนี้พอมากขึ้นจนไม่สามารถที่จะระบายได้ ก็จะทำให้เกิดแรงดันที่สามารถจะดันเอาพื้นโลกซึ่งไม่ได้ติดเป็นชิ้นเดียว แต่ว่าแยกเป็นชิ้น ๆ ให้เคลื่อนที่ไปได้
พอเคลื่อนที่ครั้งหนึ่งก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งหนึ่ง แล้วแต่ว่าการเคลื่อนที่นั้นหนักเบาเท่าไร ซึ่งสมัยปัจจุบันนี้เขาสามารถคิดมาตรวัดเป็นริกเตอร์สเกลได้แล้ว สูงสุดในมนุษยชาติที่วัดได้ก็คือล่าสุดนี้ ๙ ริกเตอร์สเกล สร้างความวิบัติให้กับทางประเทศญี่ปุ่นอย่างแสนสาหัส จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขให้คืนดีกลับมาได้"
"ประการที่ ๒ ท่านบอกว่าเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล คือบรรดาท่านที่ทรงอภิญญาสมาบัติ สามารถที่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อใดก็ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระอุปคุตเถระ
พระอุปคุตเถระได้รับอาราธนาจากพระเจ้าอโศกมหาราชให้มาป้องกันงานฉลองพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ในชมพูทวีป ไม่ให้งานล่มเพราะการกลั่นแกล้งของพญามาร พอพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นรูปร่างพระอุปคุตแล้วไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าจะต้องมีหุ่นแบบอาร์โนลด์ ชวาสเซเนกเกอร์ ต้องล่ำสันสูงใหญ่หน่อย ถึงจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชคิดผิด เห็นว่าพระอุปคุตเถระเป็นหลวงตาผอม ๆ จนกระทั่งบางคนเรียกว่า "กีสนาคอุปคุต" กีสะ แปลว่าผอม อย่างนางกีสาโคตมี ก็เป็นบุตรสาวของตระกูลโคตมะที่ผอมกะหร่อง เหตุที่พระอุปคุตเถระผอมไปหน่อย ก็เพราะว่าท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยจะได้ฉันข้าว"
"พระเจ้าอโศกมหาราชทดสอบด้วยการปล่อยช้างตกมันให้ไปไล่เหยียบท่าน แต่ปรากฏว่าแค่พระอุปคุตเถระหันไปมอง ช้างก็ยืนแข็งเป็นหิน ทำอะไรไม่ได้
พอทราบว่าพระเจ้าอโศกมหาราชต้องการลอง เพื่อทดสอบดูว่าท่านมีฤทธิ์จริงหรือไม่ พระอุปคุตเถระก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชก็ฉลาดสมกับเป็นพระมหากษัตริย์จริง ๆ กล่าวว่า แล้วโยมจะเชื่อได้อย่างไร ? เพราะอาจจะบังเอิญเกิดแผ่นดินไหวตอนนั้นพอดี
พระอุปคุตเถระบอกว่า ถ้าอย่างนั้นมหาบพิตรจงเอาน้ำมา ๑ ขัน อาตมภาพจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว โดยให้น้ำในขันนั้นสั่นสะเทือนเพียงครึ่งขันเท่านั้น พระเจ้าอโศกมหาราชก็อยากทดสอบ ท่านตักน้ำมา ๑ ขันวางไว้ พระอุปคุตเถระก็บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว สะเทือนไปถึงน้ำรองปฐพี ก็คือสะเทือนถึงด้านล่างใต้โลก ปกติแผ่นดินเราหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ แต่น้ำในขันสะเทือนเพียงซีกเดียวจริง ๆ
พระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้ยอมรับว่าแผ่นดินไหวนั้นเกิดจากการบันดาลของพระอุปคุตเถระจริง ๆ แล้วพระอุปคุตเถระก็สามารถที่จะป้องกันงานฉลองพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์นั้นให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทรมานจนพญามารยอมกลับใจเป็นสัมมาทิฏฐิได้ นี่เป็นสาเหตุที่ ๒ ของแผ่นดินไหว ก็คือผู้มีฤทธิ์ได้บันดาลให้เป็นไป"
"ประการที่ ๓ นั้น ท่านบอกว่าเกิดจากพระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่ครรภ์พระพุทธมารดา
ประการที่ ๔ พระโพธิสัตว์ประสูติ
ประการที่ ๕ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แล้วนะ ถ้าตรัสรู้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า
ประการที่ ๖ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ท่านใช้คำว่า ธมฺมจกฺกปฺปวตฺนํ ยังธรรมจักรให้เป็นไป
ประการที่ ๗ ท่านบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร
ประการที่ ๘ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน
พระอานนท์พอได้ยินใจหายแวบเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงปรารภถึงร่างกายของพระองค์ว่าจะไปไม่รอดแล้ว ไปไม่ไหวแล้วมาตลอดทาง พระอานนท์ก็ไม่ได้เฉลียวใจทูลอาราธนาไว้ พอได้ยินดังนั้นทราบว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้วแน่นอน ก็รีบกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ท่านดำรงพระวรกายอยู่ต่อไปให้ได้ถึง ๑ กัป
พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ทันแล้ว เพราะว่าพระองค์ท่านรับอาราธนาพญามารไปแล้วว่าอีก ๓ เดือนถัดจากนี้จะปรินิพพานที่สาลวโนทยานของกรุงกุสินารา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนถามว่า การที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานตรงกัน ก็คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ เหมือนกัน พระองค์ท่านเลือกไว้ก่อนหรือเปล่า ? ต้องบอกว่าเรื่องของบุญที่ทำมา จะเป็นตัวจัดสรรทุกอย่างให้ลงตัวอยู่แล้ว
ในเมื่อเกิดมาเป็นอัจฉริยมนุษย์ระดับพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีสิ่งอัศจรรย์บางอย่างไม่เหมือนกับคนปกติทั่วไป ก็เลยทำให้วันเกิด วันจบการศึกษา และวันตายเป็นวันเดียวกัน ต่างกันที่ปีเท่านั้น
ทำอย่างไรที่พวกเราจะเลือกวันตายได้ และที่สำคัญที่สุด เลือกว่าตายแล้วจะไปไหนได้ ? ถ้าเลือกได้นี่ประกันความเสี่ยงได้เลย นักปราชญ์ทั้งโลกบอกว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกที่อยู่ไม่ได้ เลือกกิจการงานที่ทำไม่ได้ เลือกตายไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องของทางโลก อย่างพวกเราอย่างน้อยก็เลือกได้ ๒ อย่าง คือเลือกเกิดได้กับเลือกตายได้ ถ้าทำให้จริง เลือกได้แน่นอน..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อประมาณวันที่ ๒๔ เมษายน กำลังทำวัตรเย็นอยู่ ท่านคอม (พระพิทยา ติกฺขญาโณ) ท้องเสียจึงไปเข้าห้องน้ำ เหมือนกับท่านโดนบังคับให้ท้องเสีย พอท่านออกจากห้องน้ำมา เจอวัยรุ่น ๒ คนกำลังใช้เลื่อย เลื่อยกุญแจห้องท่านอยู่พอดี ท่านร้อง "เฮ้ย..!" ขึ้นมา พวกนั้นโยนเครื่องมือทิ้ง เผ่นแน่บ..!
เราจะเห็นได้สองประการด้วยกัน ประการแรกก็คือ ถ้าไม่ได้สร้างกรรมอทินนาทานไว้ อย่างไรก็จะไม่สูญเสียทรัพย์สิน ร้อยวันพันปีท่านไม่เคยท้องเสีย มาท้องเสียเอาวันจะโดนขโมย ออกจากส้วมมาก็เจอพอดีเลย
ประการที่สองคือ คนทุกคนมีปัญญา แม้แต่คนที่กำลังจะสร้างเวรสร้างกรรม เขาก็รู้จักเลือกว่าเวลานี้พระทำวัตร จะไม่มีใครมายุ่ง แบบเดียวกับสมัยอยู่ที่วัดท่าซุง หลังจากที่อาตมาไปอาละวาดจนกระทั่งไม่มีใครมาหาปลาตอนกลางคืน เขาก็มาหาปลาตอนพระบิณฑบาต มาตอนพระฉัน พอเสียงกลองเพลดัง เขาก็ลงข่าย กว่าพระจะฉันเสร็จครึ่งชั่วโมง เขากวาดปลาไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้
อาตมาไปแอบซุ่มรออยู่ เผื่อว่าพวกนั้นจะมาอีก ในที่สุดก็สรุปได้ว่า จังหวะที่เขาจะมาก็คือช่วงทำวัตรค่ำ ตอนทำวัตรเช้าเขาไม่มา เดาว่ามี ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือเขาตื่นไม่ทัน สาเหตุที่สองคือกลัวผี..!
วัดท่าขนุนเป็นวัดเปิด เพราะทางเข้าทั้ง ๒ ฝั่งเป็นทางที่เทศบาลตำบลทองผาภูมิลงทุนทำให้ เขาขออย่างเดียวว่าให้เปิดเป็นทางสาธารณะ ถ้าไม่เปิดเป็นทางสาธารณะ เขาไม่สามารถที่จะเบิกงบประมาณมาช่วยเราได้ ในเมื่อเป็นวัดเปิด รั้วรอบขอบชิดก็ไม่มี เพราะทุกด้านเป็นถนน ขโมยก็เข้าออกได้สบาย ยกเว้นทางด้านทิศใต้ที่เป็นลำห้วยจะเข้ายากหน่อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "กล้วยจัดว่าเป็นสมุนไพรอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านทรงอนุญาตน้ำปานะทั้งกล้วยมีเมล็ดและกล้วยไม่มีเมล็ด บาลีเขาว่า โจจะปานะ (น้ำกล้วยมีเมล็ด) โมจะปานะ (น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด)
สมัยนี้จะไปทำน้ำปานะจากกล้วยคงไม่มีใครมีความอดทนพอ สมัยก่อนเขาจะขยำกล้วยจนเละ เสร็จแล้วเอาห่อผ้าแขวนไว้ ให้น้ำหยดลงมา เราคงไม่มีความอดทนพอที่จะไปรออย่างนั้น สมัยนี้เขาปั่นแล้วใส่น้ำแข็งแต่พระไม่มีสิทธิ์ฉัน เพราะท่านห้ามฉันเนื้อ ฉันได้แต่น้ำ หรือไม่เราก็ปั่นเสร็จแล้วค่อยกรองเอาแต่น้ำ
พอเทคโนโลยีดีขึ้น ความประณีต ความอดทนของคนก็น้อยลง ตอนเด็ก ๆ พอถึงเวลาจะแกงอะไร อาตมาจะโดนบังคับให้ตำน้ำพริก ด้วยความที่อยากจะไปเล่น ก็รีบ ๆ ตำ ผู้ใหญ่เขาดูแล้วบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ ให้ตำใหม่" ตอนนั้นอาตมาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้ไม่ได้ มาตอนนี้รู้แล้วว่าพริกแกงหยาบเป็นบ้าเลย ต้องตำให้ละเอียดจริง ๆ จึงจะถึงรสถึงกลิ่น สมัยนี้โยนเข้าเครื่องปั่นได้ก็เอาแล้ว"
พระอาจารย์เล่าว่า "ระยะหลังนี้เล่นสนุกกับพระมาก พระครูน้อยท่านหยิบขนมปังขึ้นมา อาตมาก็กดมือท่านเอาไว้ "เดี๋ยว..อย่าเพิ่งฉัน ไส้ขนมสีอะไร ?" พระครูน้อยก็เหวอ "สีขาวมังครับ ?" คือดูแล้วว่าไม่น่าจะมีไส้
"ไม่ต้องแทงกั๊ก ฟันธงมาเลย" ท่านก็อึกอัก พออาตมาบอกว่าสีเขียว ท่านก็แกะดู ก็บอกว่า "ไม่จริ๊ง..ไม่จริง" ไม่จริงอะไรก็เห็นอยู่ (หัวเราะ) บางวันไม่มีอะไรก็เล่นสนุก ๆ กันในวงข้าว
วัดท่าขนุนของเราจะให้พระเวียนกันขึ้น ยะถาฯ..สัพพีฯ..คราวนี้พระใหม่ท่านเพิ่งบวชก็เป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง แต่ท่านแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะขึ้นบทไหน พระอาจารย์ก็รับได้ทันทุกที จึงบอกกับท่านว่า "ก่อนคุณจะขึ้น ผมก็รู้แล้วว่าคุณจะขึ้นบทไหน ผมเลยตั้งท่ารับทัน" เล่นเอาลูกศิษย์หายโง่ไปเลย"
"ตอนที่ไปรับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์ใหม่ ๆ มีผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง น่าจะเริ่มเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว เอาลูกพลับมาถวาย ๓ ลูก แล้วก็มาถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติทิพพจักขุญาณ เรื่องอภิญญา โดยตั้งสมมุติฐานว่าจะเป็นไปได้ไหม
อาตมาบอกเขาว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน อธิบายไปก็เสียเวลา หยิบลูกพลับมา ๑ ลูก คุณบอกได้ไหมว่ามีกี่เมล็ด ? เขาบอกว่าบอกไม่ได้ แต่อาตมาบอกได้ว่ามี ๓ เมล็ด เขาบอกว่าไม่ใช่ ลูกนี้มี ๖ กลีบ น่าจะมี ๖ เมล็ด
อาตมาจึงให้เขาผ่าดู เขาก็ควั่นกลาง ดึงออกมา ปรากฏว่ามี ๓ เมล็ดจริง ๆ ถามเขาว่า เชื่อหรือยังว่า..เรื่องพวกนี้สามารถที่จะทำได้ แต่คุณต้องขยันฝึกซ้อมหน่อย อะไรก็ตามที่เราทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ แต่อะไรก็ตามที่คนอื่นทำได้ เราต้องทำได้ด้วย..!"
"ยิ่งคนรุ่นใหม่มากเท่าไร ความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาจะยิ่งน้อยลงมากเท่านั้น ทุกอย่างก้าวไปหาความเสื่อมเป็นปกติ โดยเฉพาะการปฏิบัติ
จากที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ศาสนาของเรา พันปีแรก จะมากไปด้วยพระปฏิสัมภิทาญาณ พันปีที่สอง จะมากไปด้วยพระอภิญญา ๖ พันปีที่สาม คือช่วงตอนนี้ จะมากไปด้วยพระวิชชาสาม พันปีที่สี่ จะมากไปด้วยพระสุกขวิปัสสโก พอพันปีที่ห้า มากไปด้วยพระอนาคามี คำว่ามากก็คือ มีประเภทอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากพอ
พวกเราจะเห็นว่าอยู่ในลักษณะที่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ถ้าไม่มีความพากเพียรพยายามจริง ๆ จะเอาดีได้ยาก อย่างที่เล่าว่าเคยคุยกับมารเขา มารเขาบอกว่า ที่ท่านสอนไปไม่มีประโยชน์หรอก ผมครอบไปอีกตั้งกี่ชั้นแล้วก็ไม่รู้
ความสะดวกสบายทางโลกมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ บางอย่างพอเกิดขึ้น ก็ฆ่าเทคโนโลยีเก่า ๆ ตายหมดเลย พอมีซีดีมา เทปก็ตายสนิท ตอนนี้มีเอ็มพีสามมา คาดว่าเดี๋ยวอีกไม่นานซีดีก็ตาย
ปัจจุบันนี้ไอโฟนมา คงจะฆ่าทิ้งไปอีกหลายอย่างเลย เพราะเป็นได้ทั้งโทรศัพท์ เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายรูป เครื่องนำทาง เครื่องแปลภาษา ไฟฉาย คิดดูก็แล้วกันว่าฆ่าทิ้งไปกี่อย่าง โดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือนี่ตายแน่เลย เพราะว่าไอโฟนสามารถกำหนดวันเดือนปีได้ครบ ตั้งเวลาล่วงหน้าได้เป็นปี ถึงเวลานัดหมายก็ปลุกเตือนได้อีกต่างหาก"
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเด็ก ๆ มีเรื่องผีบุญ เขาลือว่าผู้มีบุญจะมาเกิด ใครเป็นคนอีสานต้องได้ยินเรื่องนี้แน่นอน ที่เขาให้ไปเก็บก้อนหินใส่ไหไว้ พอเวลาผู้มีบุญมาเกิด หินจะกลายเป็นทองคำ ใครอยู่อีสานโดนมาแล้วทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเก็บเอาไว้สักไห เผื่อกลายเป็นทองคำจริงก็สบาย
ฉะนั้น..เรื่องของข่าวลือเป็นเรื่องของอารมณ์ ไม่เอาเหตุผล เชื่อก็คือเชื่อ นักการเมืองเขาถึงได้พยายามฉวยโอกาสบนความเชื่อของชาวบ้าน ถ้าเขาเชื่อว่าคุณเป็นคนดี ต่อให้คุณทำผิดอยู่เต็ม ๆ เขาก็ยังเห็นว่าคุณเป็นคนดี"
ถาม : กำลังใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ?
ตอบ : ของอย่างนี้ต้องเข้าถึงเอง ถึงจะรู้ว่ากำลังใจที่ล่วงพ้นทั้งสุขและทุกข์นั้นคือความสุขที่แท้จริง เป็นอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ทรงตัวมั่นคงแล้ว
ในเมื่อรัก โลภ โกรธ หลงกระทบกระทั่งไม่ได้ ความยินดียินร้ายกระทบกระทั่งไม่ได้แล้ว สิ่งนั้นคือความสุขที่แท้จริง ท่านใช้คำว่า อโสกัง ไม่มีความโศกเศร้าอีกแล้ว วิรชัง ผ่องใสปราศจากธุลี เขมัง เกษมแช่มชื่นเบิกบาน
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีแต่คนกลัวภัยธรรมชาติจะเกิดกับประเทศไทย ขอยืนยันว่าไม่ต้องกลัว บ้านเราโชคดีมหาศาล ประการแรก เรามีองค์ในหลวงที่ทรงทศพิศราชธรรม เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ บารมีของพระองค์ท่านคุ้มประเทศได้
ประการที่สอง เรามีหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าถึงวาระสำคัญท่านเหล่านี้ยอมทิ้งขันธ์เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศ จากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย ช่วงระยะเวลาที่ไม่นานผ่านมา เราก็จะเห็นหลวงตามหาบัวมรณภาพ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามมรณภาพ หลวงปู่ครูบาผัดมรณภาพ ล่าสุดก็คือหลวงปู่ทอง วัดสำเภาเชยมรณภาพ
ช่วงก่อนหลวงปู่ทองมรณภาพ ฟ้ามืดอยู่ ๒ วัน โยมเขาโทรมาถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? อาตมาบอกว่าพระที่เป็นเสาหลักของปักษ์ใต้จะมรณภาพแล้ว ให้สังเกตเอาไว้ว่าจริงไหม ? ที่กล้าเล่าเพราะเรื่องเลยไปแล้ว ถ้ายังไม่ถึงก็จะไม่บอก เพราะว่าจะทำให้แตกตื่นกันไปเปล่า ๆ
เพราะฉะนั้น..เรามีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ เมื่อถึงวาระสำคัญท่านยอมสละตนเองเพื่อความสุขของคนส่วนรวม ถามว่าท่านสละตนเองอย่างนั้นท่านลำบากไหม ? พระที่ปฏิบัติถึงระดับแล้วไม่มีท่านใดต้องการอยู่หรอก พูดง่าย ๆ คือได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ท่านเองก็พ้นจากร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ขณะเดียวกันก็ช่วยตัดกรรมหนักของชาติบ้านเมืองลงไปได้ โดยเฉพาะพระระดับใหญ่อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ใครจะไปนึกว่าพระใหญ่ระดับนั้นจะเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มรณภาพแล้วไปดีได้"
"หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเป็นมะเร็ง การเจ็บปวดจากโรคมะเร็งนี่อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ถูก อย่าลืมว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์สืบสายจากหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ภาษิตจีนเขาว่า ภายใต้เงื้อมมือของขุนพลเข้มแข็งไม่มีทหารอ่อนแอ
เมื่อหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเจ็บปวดจากมะเร็ง มีวิธีก็คือหนีความเจ็บปวด ในเมื่อเข้าสมาธิหนีแล้ว ถึงเวลาออกมาก็ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีก ท้ายสุดเมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีพิจารณาให้เห็นว่าธรรมดาของร่างกาย มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นปกติอย่างนี้ ไม่เสียทีที่ท่านเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ ไม่เสียทีที่ท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยครุ่นแรก ๆ เพราะว่าพอถึงเวลาปฏิบัติจริงท่านก็ทำได้ดี
อาตมาไปสรงน้ำท่านวันแรกเลย ก่อนน้ำหลวงพระราชทานนิดเดียว เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านมาสว่างมาก ยังคิดว่า "ท่านไปสวยดีจัง" พอดีเขาพูดกันว่า ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านบอกกับพระและญาติโยมว่า ท่านหมดภาระแล้ว
ประการสุดท้ายก็คือ พวกเรามีคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก บุคคลที่มั่นคงในคุณพระศรีรัตนตรัยจริง ๆ จะไม่เป็นอันตรายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ ยกเว้นว่าหมดอายุขัย และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ท้าวจาตุมหาราชท่านเคยให้พรไว้ว่า "บุคคลใดก็ตาม ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต"
พวกเราดีในเรื่องที่ว่า ขณะทำสิ่งที่เป็นกองบุญการกุศลแล้ว เราก็อุทิศส่วนกุศลให้กับเทพเจ้าที่ปกปักรักษาพวกเรา เทพเจ้าทั่วสากลพิภพ ตลอดจนพระยายมราช ก็แปลว่าเราต่อสายสัมพันธ์ มีการเชื่อมโยงถึงท่านอยู่ตลอดเวลา อย่างไรเสียถ้าถึงเวลาท่านก็ไม่ทิ้งเราแน่"
"แต่ว่าต้องปฏิบัติให้จริง ปัจจุบันนี้มีอยู่ส่วนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์เก่าตั้งแต่สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย ต้องบอกว่าเกิดจากการทำไม่จริง ถ้าคนทำจริงแล้วทุ่มเท พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ก็ต้องบรรลุระดับใดระดับหนึ่ง ใครทำ ๗ ปีแล้วยังไม่ได้อะไรเลยขอให้รู้ว่า ถ้าไม่ทำขาดก็ทำผิดไปเลย
อย่างที่เมื่อคืนก่อนบรรยายไปว่า จะขาดในเรื่องของขันติบารมี วิริยบารมีและปัญญาบารมี ๓ ตัวนี้ขาดกันมาก ไม่มีความอดทนอดกลั้น ไปหาพระหาเจ้าอยากให้ท่านเสกเพี้ยงเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ถ้าเป็นอย่างนั้นได้พระพุทธเจ้าคงเอาพวกเราไปหมดแล้ว พระองค์ท่านตรัสไว้ชัดแล้ว สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของจำเพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่
แปลว่า เราต้องใช้ความพากเพียรพยายาม ความอดทนอดกลั้น ทุ่มเทปฏิบัติ และต้องทุ่มเทให้ถูกทางด้วย ไม่อย่างนั้นก็แปลว่า เราขาดปัญญาบารมีจริง ๆ คือทำผิดทาง กลายเป็นเหนื่อยเปล่า
แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ต้องผิดบ้างถูกบ้างไปเรื่อย จนกว่าจะไปถึงระดับหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริง คราวนี้ก็จะรีบเร่งกันหัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะกว่าจะรู้ก็มักจะเป็นวาระท้าย ๆ ของชีวิตแล้ว..!"
"ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ อย่าได้ประมาทแม้แต่วินาทีเดียว อย่างวันนี้ที่โยมถาม เขาสังเกตว่าบุคคลที่ฝึกมโนมยิทธินั้นส่วนใหญ่ใช้ผิด อาตมาก็รับรองกับเขาว่าใช่..ใช้ผิด มโนมยิทธินี่เป็นพื้นฐานของอภิญญา คนชอบทางฤทธิ์ชอบอภิญญาที่ไม่ซนไม่มีหรอก พอได้มาก็คันไม้คันมือ ใช้มั่วตามวิสัยของตัวเอง
แต่คราวนี้ตามความหวังของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านสอนมโนมยิทธินั้น เพราะว่ามโนมยิทธิเป็นวิธีไปนิพพานที่ง่ายที่สุด เรารู้จักนิพพานได้ เราไปนิพพานตรง สามารถจดจำอารมณ์พระนิพพานแล้วนำมาปฏิบัติได้ ถ้าหากว่าเราทำถึงเมื่อไรเราจะทราบทันทีว่าเราถึงแล้ว เพราะเราเคยชินกับอารมณ์นั้น
การส่งจิตขึ้นพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา เพราะว่าพวกเราไม่ถนัดในการใช้วิปัสสนาญาณ เราถนัดแต่เรื่องของสมาธิสมาบัติ ถามว่าสมาธิสมาบัติตัดกิเลสได้ไหม ? ได้..ถ้าเราสามารถกดกิเลสไว้ได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กิเลสเกิดไม่ได้ก็เฉาตายได้เหมือนกัน เขาเรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังข่มกิเลสไว้ เหมือนเอาหินทับหญ้า ถ้าทับได้นานพอหญ้าก็ตายไปเอง"
"ส่วนการพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้นเป็นปัญญาวิมุติ คือเมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วจิตยอมรับ ก็จะปล่อยวางลงได้ ทั้งสองอย่างนั้นความจริงต้องทำร่วมกัน แต่เราถนัดด้านเดียวก็คือเรื่องของสมาธิ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้คิดค้นวิชาการที่เหมาะสมกับพวกลูกหลานอย่างพวกเรา ก็คือใช้สมาธิเป็นหลัก ส่งจิตขึ้นไปเกาะนิพพาน ซึ่งจะเป็นอารมณ์ที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง จริง ๆ
หลวงพ่อท่านเชื่อว่าพวกเราฉลาดพอ เชื่อว่าพวกเราจะเลือกได้ถูกต้อง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด พอได้แล้วแทนที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส ก็เที่ยวไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา ดูแค่นั้นก็ยังพอทน แต่ว่ามีส่วนหนึ่งไปฟื้นความสัมพันธ์เก่าขึ้นมาอีก ทีนี้ก็ยุ่งกันไปใหญ่
แทนที่จะหลุดก็ยิ่งเกาะกันนัวเนียหนักขึ้น ถามว่าแล้วมีโทษหรือไม่ ? โทษใหญ่ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ ยากที่จะหลุดพ้นได้ เพราะว่าภาระทั้งเก่าทั้งใหม่จะผูกเข้ามามากขึ้น ที่โยมเขาว่ามา อาตมาถึงได้รับรองว่าใช่ ส่วนใหญ่เราใช้ผิด นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าใช้ถูกก็เป็นการตัดกิเลสที่ง่ายจนไม่มีอะไรจะง่ายกว่านี้อีกแล้ว และเหมาะสมกับกำลังใจของพวกเราอย่างที่สุด
ดังนั้น..ในเรื่องของมโนมยิทธิ ถ้าหากว่าจะดูอดีต จะระลึกชาติ ก็ใส่ปัญญาประกอบไปด้วยว่า แต่ละชาติของเรามีชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง ชาตินี้เราก็ทุกข์อยู่แล้ว เกิดอีกก็ทุกข์อีก พอหรือยัง ? เข็ดหรือยัง ? ถ้าพอแล้วเข็ดแล้ว ชาติปัจจุบันนี้เราควรจะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เพื่อพระนิพพานเสียทีหรือยัง ? ถ้าได้คำตอบแล้วต้องรีบตะกายให้สุดชีวิต เพราะว่าเรามัวแต่สนุกจนกระทั่งเวลาเหลือน้อยมากแล้ว"
"อย่าลืมว่าชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเดียวเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเหมือนกัน ความตายมาจ่อประชิดติดตัวขนาดนี้แล้ว ถึงเวลายังไปห่วงว่า ตายแล้วเขาจะเผาเราหรือเปล่า ? ไม่ต้องห่วง..เขาไม่เก็บไว้หรอก เผาแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องรีบเร่งรัดตัดทางเข้าหาพระนิพพานให้เร็วที่สุด
การอยู่ในโลกนี้แม้แต่วินาทีเดียวก็เต็มไปด้วยความทุกข์ อยู่นาทีหนึ่งก็ทุกข์นาทีหนึ่ง อยู่ชั่วโมงหนึ่งก็ทุกข์ชั่วโมงหนึ่ง อยู่วันหนึ่งก็ทุกข์วันหนึ่ง เราย่ำเท้าอยู่บนกองทุกข์แท้ ๆ เราดำเนินชีวิตอยู่บนกองทุกข์แท้ ๆ โดนความทุกข์แผดเผาอยู่ตลอดเวลาเหมือนอยู่ในบ้านที่ไฟไหม้ ควรจะรีบหนี หรือว่านอนสบายรอให้ไฟไหม้มาถึงหัว ?
เรื่องพวกนี้เรามีปัญญาพอที่จะพิจารณาได้ แต่ให้ตระหนักไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่พอว่ากันครั้งหนึ่งก็ได้สติครั้งหนึ่ง ถึงเวลาก็เพลิดเพลินเจริญใจกันต่อ ถ้าอย่างนั้นถ้าครูบาอาจารย์ล่วงลับไป แล้วใครจะมาเตือนสติพวกเราอีก
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกแล้วว่า ฟังแล้วจำ จำแล้วคิด คิดแล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย ใครฟังเทปฟังซีดีหรืออ่านหนังสือของท่าน จะเจอข้อความทั้งหลายเหล่านี้อยู่เป็นประจำ อย่าปล่อยให้ผ่านหูผ่านตาไปเฉย ๆ
ฟังสิ่งที่ท่านสอนให้เหมือนอย่างกับว่าท่านสั่งให้เราทำ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป อย่าฟังคำสอนเป็นคำสอน ถ้าฟังคำสอนเป็นคำสอนเราอาจจะทำเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าฟังคำสอนเป็นคำสั่งเราจะต้องทำเดี๋ยวนั้น เอาอย่างทหารคือ..รับคำสั่ง ทำทันที ไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นถึงจะมีโอกาสที่จะหลุดรอดจากวัฏสงสารได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านวิริยบารมีนี้ สำหรับบางคนแล้วมายากขึ้น แต่อีกหลายคนมาสะดวกขึ้น ก็เลยมาทุกวัน วันละสามรอบ เพราะบ้านอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง แสดงว่ามีประโยชน์สำหรับบางคนเช่นกัน
ถึงแม้จะมาลำบาก แต่พอเคยชินแล้วก็จะเหมือนกับอยู่ใกล้ เมื่อคราวอาตมาไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ รู้สึกว่าไกลน่าดูเลย เพราะจากตัวจังหวัดกาญจนบุรีต้องวิ่งไปทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร แต่พอไปอยู่นาน ๆ เข้าก็เคยชิน จากไกลก็เหมือนกับใกล้ เดี๋ยวเดียวก็ถึง ก่อนหน้านั้นนั่งรถเท่าไรก็ไม่ถึงเสียที
ลักษณะก็เหมือนกับการปฏิบัติ ระยะแรก ๆ ที่ภาวนา พอทรงฌานได้ก็เริ่มสนุก ตื่นเต้นมาก เหมือนตัวเองได้อะไรเยอะแยะ ได้อะไรมโหฬาร พอทำไป ๆ เคยชินแล้ว รู้สึกว่าเหลือนิดเดียว ฉะนั้น..อะไรที่เริ่มเคยชินก็คือรู้สึกว่าธรรมดา"
ถาม : ปีติที่เกิดจากการทำบุญ ฟังธรรม การนั่งสมาธิ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะเป็นปีติที่เกิดจากการฟังธรรม การทำบุญ การนั่งสมาธิ เป็นปีติแบบเดียวกัน
แต่ถ้าเป็นปีติทางโลก ที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส จะเป็นปีติอีกอย่างหนึ่ง เป็นปีติที่ต้องมีสิ่งกระตุ้นจากภายนอกจึงจะเกิดขึ้น ตัวเองจะมีความสุขไปสักพักหนึ่ง พอสิ่งกระตุ้นหมดไป ความสุขก็หายไปด้วย จึงทำให้มีคนประเภทนี้ติดกินติดเที่ยว เพราะเขาทำแล้วเขามีความสุข แต่เป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน
ปีติที่เกิดจากการทำบุญ จากการปฏิบัติธรรม และการนั่งสมาธิภาวนา เป็นปีติที่สร้างขึ้นในใจของเราเองจะยั่งยืน คนที่ไม่เข้าใจจึงเตลิดไปไกล กลายเป็นนักเที่ยวกลางคืนไปเยอะทีเดียว น่าเสียดาย น่าเป็นห่วง การเที่ยวกลางคืนมีแต่เสียมากกว่าดี
ถาม : สมัยพุทธกาลที่มีคนฟังธรรมแล้วสำเร็จอรหันต์เลย จิตท่านไล่จากขั้นโสดาบันมาก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง จากปุถุชนเป็นพระอรหันต์ก็ได้ จากปุถุชนเป็นพระอนาคามีก็ได้ จากปุถุชนเป็นพระสกทาคามีก็ได้
ถาม : เขาลัดมาพระอรหันต์เลยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจของตนว่าเข้มแข็งระดับไหน ปัญญาระดับไหน ถ้าหากว่ามีมากก็ได้มาก
ถาม : แล้วที่บอกต้องผ่านโคตรภูญาณก่อน ?
ตอบ : โคตรภูญาณก็ผ่านเพียงแวบเดียว
ถาม : ไม่รู้สึกว่าผ่าน ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่บุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิแต่เดิมมา จะข้ามพรวดไปเลย เหมือนกับเราก้าวข้ามรางเล็ก ๆ แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิ ฐานอยู่ฝั่งหนึ่ง อีกฐานอยู่ฝั่งหนึ่ง แช่กันอยู่นาน เอาให้มั่นใจว่าใช่แน่แล้วถึงจะยอมก้าวผ่านไป
เพราะพุทธภูมิต้องไปเป็นพระพุทธเจ้าสอนเขา ถ้ารู้ไม่ครบก็สอนเขาไม่ได้ สิ่งที่สาวกก้าวพรวดข้ามเลย พุทธภูมิจะจด ๆ จ้อง ๆ อยู่นาน ต้องเอาให้มั่นใจจริง ๆ ถึงจะยอมปล่อยผ่าน
ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดมา บันไดมีกี่ขั้นบางทีเรายังไม่รู้เลย แต่พุทธภูมินอกจากจะต้องรู้ว่าบันไดมีกี่ขั้นแล้ว กว้างยาวเท่าไร ใช้วัสดุอย่างไร สร้างด้วยวิธีไหนต้องรู้หมด ถึงเวลาก็สามารถที่จะสร้างบันไดเองได้เลย
ถาม : เวลาทำสมาธิ เราควรจะจับจุดอยู่แค่ตรงปลายจมูกหรือจับสามฐานดีครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราถนัด จะไม่เอาเลยสักฐานก็ได้ ให้เรากำหนดรู้ลมไหลเข้าไหลออกก็พอ
ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิไปเรื่อย รู้สึกเหมือนกับอึดอัดครับ เราจะหายใจไม่ออก อึดอัดตลอดเวลา จะต้องหายใจออกมา
ตอบ : กำหนดรู้เฉย ๆ โดยไม่กลัวตาย แล้วจะก้าวไปสู่สมาธิที่ลึกขึ้นไปอีก แต่ถ้าเรากลัวตายก็จะถอยมาหายใจใหม่ ซึ่งเท่ากับเราถอยหลังเข้าคลอง เหมือนกับขึ้นบันไดไปหลายก้าว แล้วก็ถอยกลับมาอีก ทำให้หาความก้าวหน้าไม่ได้สักที
เขาให้ตัดใจว่าตายเป็นตาย เราทำความดีอยู่ ถ้าตายลงไปเราไปดีแน่ แต่คราวนี้เวลาพูดนั้นง่าย ถึงเวลาแล้วส่วนใหญ่มักจะกลัว
ถาม : ไม่เกี่ยวกับว่าเราเพ่งมากไปหรือครับ ?
ตอบ : การกำหนดลมหายใจเข้าออก เขาเอาสติความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมเข้าไป ไหลตามลมออกมา ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกส่วนหนึ่งส่วนใดไปเพ่ง แค่กำหนดรู้เฉย ๆ
ถ้าไปตั้งใจกดมาก ๆ บางทีก็เครียด ปวดหัวไปเลย เราหายใจเข้าออกตามธรรมดา แค่เอาความรู้สึกไหลตามเข้าไป ไหลตามออกมา เพราะฉะนั้น..เราไม่จำเป็นที่ต้องกำหนดรู้ลมเป็นฐานก็ได้ ให้รู้ตลอดลมเข้า รู้ตลอดลมออกก็พอ
ถาม : ถ้ากรรมปรามาสพระรัตนตรัยตกอยู่กับเรา ?
ตอบ : ให้ขอขมาพระรัตนตรัย
ถาม : ถ้าเราก่อกรรมปรามาสพระรัตนตรัย เราจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แปลว่าชาตินี้เสียชาติเกิด..!
ถาม : แล้วอยู่ ๆ เราคิดลบหลู่พระขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าความดีเริ่มมา ความชั่วก็จะตามมาเอง เพราะฉะนั้น..ต้องรีบขอขมาพระโดยเร็ว
มีผู้แจ้งว่าทางหลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง ประกาศหาผู้ไปอยู่ประจำเพื่อช่วยงานวัด พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการทำงานให้กับพระพุทธศาสนา จะต้องประกอบด้วยศรัทธาก่อน ถ้าคนไม่มีศรัทธา เห็นว่าอยู่วัดสบายแล้วมาอยู่ มักจะอยู่ได้ไม่นาน
สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่มีการประกาศหาคนมาช่วยงานวัด แต่ก็มีญาติโยมหลายต่อหลายรายที่มาทำงานกันเองโดยไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าตอบแทน รายที่ชัดที่สุด คือ โยมเอี่ยม บางคนก็เรียกท่านว่า "ป้าเอี่ยม" (เอี่ยมศรี อ่อนคำ) ป้าเอี่ยมตามหลวงพ่อมาตั้งแต่วัดสะพาน จ.ชัยนาท จนมาอยู่อุทัยธานี
ป้าเอี่ยมเป็นผู้หญิงแกร่ง ประเภทถือปืนลูกซองเดินเฝ้าวัด เมื่อป้าเอี่ยมมาอยู่วัด ก็อาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีวิตไปวัน ๆ และป้าเอี่ยมนี่แหละที่ทำความดีจนอาตมาต้องยอมให้หวยไปหลายงวด อยู่ ๆ ก็มาบอกว่า "หลวงพี่ขอหวยตัวหนึ่งสิ" อาตมาก็ถามว่าจะเอาไปทำไม เขาบอกว่า "อยากได้เงินไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ"
"ตัวเดียวเล่นได้หรือ ?" "เล่นได้" ก็เลยให้ป้าแกไป ไม่รู้ว่าไปเล่นมาอย่างไร ได้มา ๖๐๐ บาท และก็เอาไปถวายสังฆทานหลวงพ่อจริง ๆ
งวดต่อมาอาตมาก็แหย่เอง "งวดนี้ไม่เอาหรือ ?" "ถ้าได้ก็ดี" ให้ไปสองงวด พองวดที่สามมีคนตามมาอีก ๗-๘ คน อาตมาก็ปากคัน บอกว่า "มาเยอะแบบนี้ต้องชักเปอร์เซ็นต์" เขาถามว่าเท่าไร ? อาตมาบอกไปว่า "สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น" ตอนนั้นพูดเล่น ๆ แต่เขาเอามาให้จริง ๆ..!
คราวนั้นหลวงพ่อด่าจมดินเลย ท่านบอกว่า "รู้ ๆ อยู่แล้วไปบอกเขา เท่ากับไปปล้นเขา เดี๋ยวปรับปาราชิกเลย..!" ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านสั่งห้ามให้หวยเด็ดขาด ทีนี้ก็หมดสนุก ถ้ายังให้หวยได้ จะสนุกกว่านี้อีกเยอะ
ป้าเอี่ยมอยู่วัด ไม่มีเงินเดือน พอเห็นคนอื่นถวายสังฆทานกับหลวงพ่ออยู่บ่อย ๆ ก็อยากถวายบ้าง แต่ไม่มีเงิน เจ็บไข้ได้ป่วยมา หลวงพ่อท่านต้องควักย่ามให้ไปหาหมอ หายาให้กิน แกทุ่มเทให้กับวัดจริง ๆ ทำด้วยใจ"
"เราจะเห็นว่าคนที่มาช่วยงานหลวงพ่อ อยู่ในลักษณะมาเอง ช่วยงานเอง หลวงพ่อท่านเคยเอาพี่ชาย คือลุงวงศ์ มาทำงาน ลุงวงศ์ทำงานดีมากเลย งานทุกอย่างหนักเอาเบาสู้ ไม่ต้องเรียก ลุงหางานทำเอง
แต่ป้าฟอง เมียลุงวงศ์หรือพี่สะใภ้ของหลวงพ่อ ไม่เอาอ่าวเลย ขนาดหลวงพ่อท่านขึ้นเสียงด่าแล้ว ก็ยังรั้นสุดชีวิต หลวงพ่อท่านด่าคนเพื่อไม่ให้ทำผิดอีก คนที่ไม่เข้าใจก็ว่าทำไมพระถึงได้ด่าโยมขนาดนั้น
การเอาญาติตัวเองเข้ามา ญาติเขาไม่ได้คิดว่าท่านเป็นหลวงพ่อของคนทั้งวัด ของคนทั้งประเทศ เขาคิดว่าหลวงพ่อเป็นน้องตัว นึกออกไหม ? สมมติว่าอาตมาเอาพี่มุกดาไปทำงานด้วย แทนที่พี่เขาจะนึกว่าอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน กลับไปคิดว่าเป็นน้องชายก็บรรลัยสิ เพราะฉะนั้น..ในที่สุดป้าฟองก็โดนหลวงพ่อไล่กลับบ้านไป
ส่วนลุงวงศ์มาอยู่วัด ช่วยงานจนตายคาวัด กลายเป็นเทวดาเฝ้าวัดอีกต่างหาก คือ ท่านปู่ท้าววาหน ขอยืนยันนะว่า "วาหน" ไม่ใช่ "เวหน" หลวงพ่อท่านสร้างกุฏิหลังใหญ่ ก็คือ ศาลเจ้าที่วัดท่าซุงให้ ฉะนั้น..ท่านเจ้าที่ซึ่งดูแลวัดท่าซุงจริง ๆ ก็คือ ท่านลุงวงศ์ สังข์สุวรรณ"
"คนรุ่นเก่า ๆ ที่วัดท่าซุง เขามาทำงานกันด้วยใจ ส่วนใหญ่ตั้งใจจะช่วยวัด อย่างลุงเอี๊ยง ส่วนใหญ่ไปเรียกท่านว่า "ลุงเอี้ยง"
ลุงเอี๊ยงเป็นคณะแรกที่ไปรับหลวงพ่อจากชัยนาทมาอยู่อุทัยธานี แรก ๆ ลุงเอี๊ยงกินเหล้าเป็นปกติ ลุงบอกว่า "เวลากินแล้วนั่งสมาธิดี" จริง ๆ นะ เรื่องของยาเสพติด ถ้าอยู่ในระดับที่พอดี อารมณ์จะทรงตัวจริง ๆ ก็เลยทำให้คนบางประเภทที่เข้าใจผิด ไปติดสุรายาเสพติด
ลุงเอี๊ยงไปทำงานที่วัด หลวงพ่อจ่ายค่าแรงให้พอประมาณ แถมเหล้าให้ด้วย ปรากฏว่าพอหลวงพ่อซื้อเหล้ามาให้ ลุงเอี๊ยงกลับอาย ลุงถึงได้เลิกกิน จำไว้นะ..เราต้องรู้จริงขนาดหลวงพ่อถึงจะซื้อเหล้าให้เขา หลวงพ่อท่านรู้ว่าถ้าให้แล้วเขาจะเลิก
ลุงเอี๊ยงจะรับใช้หลวงพ่ออยู่ข้าง ๆ อาตมาไปแทนลุงเอี๊ยงประมาณปี ๒๕๒๕-๒๕๒๖ เพราะว่าลุงแก่แล้วลุกนั่งลำบาก นั่งขดอยู่ข้างหลวงพ่อเป็นวัน ๆ ก็ไม่ไหว และก็ไม่มีใครเปลี่ยน ลุงก็กัดฟันทำหน้าที่ไปเรื่อย จนกระทั่งอาตมาถามว่า "ลุง..ให้ผมช่วยไหม ?" "ได้ก็ดีไอ้หนู" แต่ลุงก็ไม่ไว้ใจนะ นั่งมองอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นเราทำคล่องตัวไม่มีผิดพลาด จึงค่อยไปพัก
คนรุ่นเก่า ๆ รับผิดชอบงานดี สมัยก่อนที่อยู่ช่วยหลวงพ่อตอนท่านรับสังฆทาน จะมีลุงเอี๊ยง จ่าประมวญ คุณประเสริฐ คุณไพบูลย์ คุณชัยณรงค์ หลวงตาวัชรชัย (ตอนนั้นยังเป็นพี่อุดมอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ) และมีอาตมา รุ่นหลัง ๆ ก็ต่อไปเรื่อย ๆ
ก่อนหน้านั้นเวลาถวายสังฆทาน หลวงพ่อท่านจะแจกวัตถุมงคล อาตมาเห็นท่านแจกแล้วเมื่อยแทน ก็เลยขออนุญาตหลวงพ่อแจกแทน ตอนแรกท่านก็มองหน้า อาตมากราบเรียนว่า "เห็นหลวงพ่อโยกอยู่บ่อย ๆ คงจะไม่ไหว" "เออ..ลองดู" ปรากฏว่าแจกใหม่ ๆ คนเขาไม่เอา เขาอยากรับกับมือหลวงพ่อมากกว่า"
"จนอาตมาต้องบอกว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ต้องรับกับมือผม ไปรอรับกับหลวงพ่อไม่ได้หรอก" หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ "เขาตั้งกฎแล้วก็รับหน่อย" ตั้งแต่นั้นมาเขาก็รับจากมืออาตมา แต่ใหม่ ๆ ใครถวายสังฆทานอาตมาก็แจกวัตถุมงคลให้ คนมาด้วยกันไม่ถวายสังฆทาน อาตมาก็ไม่แจก หลวงพ่อท่านมองหน้าแล้วบอกว่า "ให้เขาด้วย" เป็นอันว่าใครถวายหรือไม่ถวายก็แจก
ทีนี้เด็กเล็ก ๆ มา อาตมามองว่า เด็กเอาวัตถุมงคลไปใส่กระเป๋ากางเกงบ้าง วางต่ำบ้าง กลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัย ก็ไม่ให้เด็ก หลวงพ่อบอกว่า "ให้เขาด้วย" ตั้งแต่นั้นมาอาตมาก็แจกกระจาย ขนาดเจ้าของยังไม่เสียดาย เราจะไปเสียดายทำไม ? จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่า ถ้าไม่ใช่แขกผู้ใหญ่จริง ๆ ที่หลวงพ่อท่านยื่นให้ ก็เป็นอาตมาแจกเองทั้งหมด
คนที่ทำงานวัดในช่วงนั้นทำตามศรัทธา มีให้ก็กิน ไม่มีก็ควักกระเป๋าซื้อเอง อาตมาสนิทสนมกับบรรดาแม่ค้าหน้าวัด กินฟรีบ้าง กินเชื่อบ้าง ยืมเงินบ้าง อย่างเวลาไปทำบุญเพลิน ทำจนหมดตัวแล้วไม่มีเงินกลับบ้าน ก็ไปหน้าวัด "ยายบ๊วย..ยืมเงินสองร้อย..เงินหมดแล้ว" ยายบ๊วยก็ควักให้ อาตมาก็มีค่ารถกลับบ้าน
ครั้งหน้าก็รีบเอาไปคืน จำไว้ว่า..ถ้ารักจะยืมเงินใคร ต้องคืนเขาให้เร็วที่สุด เขาจะทวงหรือไม่ทวง ให้คืนไว้ก่อน ถ้าทำอย่างนี้ได้ ต่อไปก็จะมีความน่าเชื่อถือ"
"การขายของหน้าวัดก็เหมือนกัน แรก ๆ ก็ตั้งร้านขายของเกะกะหน้าวัดไปหมด ตอนหลังหลวงพี่ประทีปเป็นหัวหน้าชุดไปจัดการขึงเชือกกั้นไว้ แต่ขึงเชือกก็ยังเกะกะ ก็เปลี่ยนเป็นโรยปูนขาวเป็นเส้น บอกว่า "ห้ามล้ำเส้นนะ ร้านไหนล้ำออกมา เก็บค่าร้าน ๕๐๐ บาท ถ้าใครตั้งหลังเส้น..ฟรี" เขาก็ยอมทำตาม
โยมบ๊วยขายมะม่วงดองอยู่หน้าวัด ตอนหลังขยายกิจการไปขายหลายอย่าง มีมะดันดอง กระท้อนดอง มะขามดองเพิ่มขึ้นมา อาตมาถามโยมบ๊วยว่างานหนึ่งขายได้สักเท่าไร เขาบอกว่า "หลวงพี่อย่าเอ็ดไปนะ อย่างไม่มี ๆ ก็ห้าหกหมื่น งานใหญ่ ๆ อย่างเป่ายันต์ก็สองแสนขึ้นไป" เหลือเชื่อจริง ๆ แต่โยมบ๊วยมีลูกค้าประจำ เพราะทำอร่อย
กลายเป็นว่าร้านค้าหน้าวัดรวยเพราะหลวงพ่อ แต่ที่รู้จักทำบุญเข้าวัดมีแค่สองสามร้านเท่านั้น มีร้านโยมบ๊วย ร้านโยมสมัคร ที่เหลือนอกจากจะไม่ทำบุญแล้ว ยังต่อไฟวัดไปใช้อีกด้วย..!"
ถาม : กรรมกิเลส แปลว่า กรรมที่เนื่องจากกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่..กรรมกิเลส ๔ ข้อ คือ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การดื่มสุราเมรัย
การฆ่าสัตว์เกิดจากกิเลสใหญ่คือโทสะ การลักทรัพย์เกิดจากโลภะ การประพฤติผิดในกามเกิดจากราคะ การดื่มสุราเมรัยเกิดจากโมหะ ดื่มแล้วก็ขาดสติหลงลืม
การพูดปดจัดเป็นกรรมกิเลสไม่ได้ เพราะการพูดปดเกิดได้หลายสาเหตุ เราโลภอยากได้ของเขา เราก็โกหกหลอกลวงเขา เราโกรธเขา เราก็โกหกเพื่อปิดบังความจริงเขา การพูดปดบอกชัดไม่ได้ว่าเป็นกิเลสตัวไหน ท่านก็เลยจัดไว้แค่สี่อย่าง
ถาม : ผมบูชามีดหมอชาตรีมา จะใช้รักษาโรค ต้องใช้กี่ครั้ง ? อย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้กี่ครั้งก็ได้ แต่การรักษาโรคให้ใช้คาถากำกับว่า ทุกขา ทุกขัง ปะฏิฐิตัง สัมปะฏิจฉามิ ถ้าไม่ใช่ทำน้ำมนต์ด้วยมีดหมอเพื่อให้คนไข้ดื่ม ก็ใช้สับไล่จากข้างบนลงข้างล่าง ให้เขานั่งเหยียดปลายเท้าไปทางทิศตะวันตก ที่สำคัญอย่าให้ใครไปนั่งขวางตรงปลายเท้า เพราะคนนั้นจะซวยแทน..!
ถาม : ศีล ๕ กับกรรมบถ ๑๐ ต่างกันอย่างไรครับ?
ตอบ : กรรมบถ ๑๐ จะเน้นเรื่องวาจา ศีล ๕ แค่ห้ามโกหก แต่กรรมบถ ๑๐ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดส่อเสียด (ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน) ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ กลายเป็นบังคับเรื่องวาจา
และเน้นเรื่องใจ ไม่คิดโลภอยากได้จนเกินพอดี ถ้าอยากได้ให้หามาอย่างถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร โกรธแล้วก็ลืม ไม่ผูกโกรธ และมีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้นดีทุกอย่าง เราจะทำตาม
ถาม : ถ้าทำได้ก็ควรทำควบไปด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..รักษาศีล ๕ ควบกับกรรมบถ ๑๐ ไปด้วย
ถาม : การที่พระโพธิสัตว์ให้ทานเป็นสุรา ?
ตอบ : สุราเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระเวสสันดรก็ให้สุราเป็นทาน พระอานนท์ทูลถามว่า ผู้ดื่มสุรานั้นผิดศีล แต่ทำไมถึงให้เป็นทาน ? อย่าลืมว่าท่านให้เฉย ๆ ไม่ได้บีบคอให้เขากิน จะกินหรือไม่กินนั้นอยู่ที่ตัวเขา
ท่านให้เพราะว่าท่านต้องการให้ในสิ่งที่คนเขาชอบ นักเลงเหล้าชอบแต่เหล้า ท่านก็ให้เหล้าเขาไป ส่วนเขาจะกินหรือไม่กินไม่ได้เกี่ยวกับท่านแล้ว เพราะฉะนั้น..ให้ได้ แต่ไม่มีอานิสงส์
ถาม : การขายสุรา ?
ตอบ : การขายสุราก็ไม่ผิด บอกแล้วว่าเราไม่ได้บีบปากเขากรอกลงไปเราไม่ผิดหรอก แต่คราวนี้คนที่ไม่รู้ จะไปตำหนิว่าเขาทำผิด แล้วก็เกิดโทษแก่คนที่ตำหนิ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า บุคคลผู้เป็นพุทธมามกะไม่ควรทำ
ถาม : ควรบูชาท่านแม่ทั้งสามอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะบนท่านแม่ ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ให้บนถวายผ้าไตร ถวายองค์ละชุดไปเลยก็ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าบูชาทั่ว ๆ ไป ก็ให้สวดมนต์และเจริญกรรมฐานเป็นปกติ ท่านจะชอบอย่างนั้น เพราะว่าท่านแม่ทั้งสามตอนนี้ท่านไปนิพพานหมดแล้ว
ถ้าเป็นสมัยก่อนท่านให้ถวายด้วยผ้าสไบ แต่ว่าพอไปนิพพานแล้วท่านบอกว่าเปลี่ยนเป็นจีวรแล้วกัน พระจะได้ใช้ประโยชน์ด้วย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใน "หนังสือสมบัติพ่อให้" เล่มนี้ เราจะเห็นรูปหลวงปู่เนียม วัดน้อย ถ้าเป็นรูปจริงจะเป็นรูปที่เขาถ่ายหลังจากท่านมรณภาพแล้ว
หลวงปู่เนียมเป็นพระที่บรรดาช่างภาพกลัวมาก เครื่องมือดีแค่ไหนก็ตาม ขออนุญาตหรือไม่ขอก็ตาม ถ่ายไม่ติดทั้งนั้น รูปหลวงปู่เนียมมีอยู่ ๒ รูป ก็คือรูปนอนกับรูปนั่ง เขาจับท่านถ่ายหลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=13187&stc=1&d=1306495633
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนที่วัดท่าซุง มีรุ่นพี่อยู่ ๑ ท่าน คือหลวงพี่บรรจง กวิวํโส แต่พวกเราเรียกว่า "หลวงปู่จง" เขามีหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ก็เลยต้องมีหลวงปู่จง วัดท่าซุงด้วย
หลวงปู่จงนี่ท่านบวชรุ่นเดียวกับหลวงพี่ชัยวัฒน์ เป็นนักสะสมพระเครื่อง เล่นมาตั้งแต่ก่อนบวช วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่จงจะมีทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นแรกยันรุ่นล่าสุด หลวงปู่จงออกกิจนิมนต์ได้เงินมาเท่าไร ถวายหลวงพ่อเพื่อรับเป็นวัตถุมงคลหมด จนพวกเราล้อกันว่า "หลวงปู่จง..ดูคานกุฏิซิว่าร้าวหรือยัง ?"
มีอยู่วันหนึ่ง "ไอ้โหน่ง" (น้องสาวหลวงปู่จง) เอาพระเครื่องมาไล่ถวายพระในวัดคนละองค์สององค์ ไอ้โหน่งอยากได้บุญ ก็เลยไปรื้อห้องของหลวงปู่จงที่บ้าน เจอพระเครื่องก็ขนเอามาถวายพระในวัด พระในวัดรับไปก็ดีอกดีใจ แต่หลวงปู่จงเกือบจะคลั่ง..!
เราจะได้เห็นว่า คนที่ปฏิบัติธรรมมานาน สติ สมาธิที่จะระงับยับยั้งเรื่องของกิเลสนั้นใช้ได้จริง ๆ ของรักของหวงขนาดนั้น แล้วโดนคนอื่นเอาไปแจก หลวงปู่จงสามารถระงับตัวเองไม่ให้ด่าน้องได้ ไม่ให้ตีน้องได้ อาตมาเห็นก็รู้สึกว่าหลวงปู่จงนี่ใช้ได้เลย ถ้าเป็นของรักของหวงของเราแล้วถูกเขาเอามาไล่แจก คงได้มีรายการตุ้บตั้บกันแน่เลย"
"ส่วนอีกคนที่เห็นชัด ๆ ก็คือ หลวงพี่อาจินต์ วันหนึ่งหลวงพี่อาจินต์ก็เดินมา
"เฮ้ย..เล็ก..พี่ยังมีโทสะอยู่ว่ะ"
"อ้าว..ใครไปยั่วกิเลสพี่จนเกิดโทสะ ?"
"น้องชายของพี่เอง"
"เขาทำอะไร ?"
"รู้ไหมว่า พี่สละสมบัติทุกอย่างในบ้านหมดแล้ว เหลือเก็บไว้แต่กระบี่พระราชทานเล่มเดียว มันเอากระบี่ของพี่ไปจำนำ..!"
นาน ๆ จะเห็นรุ่นพี่เขาน็อตหลุดสักที หลวงพี่อาจินต์เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน นั่งยิ้มทั้งวัน อาตมาก็สงสัยว่าพี่เขาท่าจะหมดโกรธแล้ว วันนั้นเดินมาบอกเองเลย ว่าพี่ยังมีโทสะอยู่"
"ถ้าเป็นเรา ของพระราชทานจากในหลวงโดนน้องเอาไปจำนำจะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ..? เพราะถือว่าเป็นสิ่งมงคลสูงสุดในชีวิต
ก่อนบวชหลวงพี่อาจินต์เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนนายเรืออากาศ ยศเรืออากาศโท ถ้าเป็นนายทหารตั้งแต่ยศร้อยตรี เรือตรี ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป จะได้รับกระบี่พระราชทาน กระบี่แต่ละเล่มจะมีหมายเลขประจำตัวอยู่ว่าพระราชทานเมื่อไร รุ่นไหน สามารถที่จะตรวจสอบได้
ที่แสบที่สุดคือโรงจำนำที่กล้ารับจำนำด้วย เพราะมั่นใจว่าอย่างไรเขาก็ต้องมาไถ่คืนแน่"
"พอหลวงพี่อาจินต์พูดถึงเรื่องนี้ ก็นึกถึงตัวเองทันทีเลยว่าเหมือนกับตัวเองเลย ตอนนั้นปี ๒๕๓๐ ในหลวงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา แต่ละจังหวัดก็จะมีโครงการต่าง ๆ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลวงพ่อท่านก็นำวัดท่าซุงเข้าโครงการหลายอย่าง อย่างเช่นว่าโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา มหาวิหารแก้วร้อยเมตร มณฑปสมเด็จองค์ปฐม ทางจังหวัดก็รีบรับเข้าโครงการด้วยความยินดี ราคาตั้งร้อยล้าน พันล้าน..ใช่ไหม ?
ตอนนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี มาถึงประมาณ ๘ โมงนิดหน่อยเท่านั้น มาเร็วมากเลย แต่ว่าหลวงพ่อท่านขึ้นกุฏิไปแล้ว ช่วงเช้าหลวงพ่อท่านมาประมาณ ๗ โมงครึ่ง พอรับท่านขึ้นกุฏิ ท่านบอกว่า "เล็ก..วันนี้ใครมาหาพ่อก็บอกว่าให้รอตอนบ่ายนะ เพราะว่าจะให้น้ำเกลือ" อาตมาก็ "ครับ ๆ" แล้วส่งท่านเข้ากุฏิ
วันนั้นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ บรรดาหัวหน้าส่วนราชการมากันเยอะมาก มาถึงก็ขออนุญาตเข้าพบหลวงพ่อ อาตมาเรียนท่านว่า "ไม่ได้หรอกครับ หลวงพ่อให้น้ำเกลืออยู่" ด้วยความที่ท่านผู้ว่าฯ กระตือรือร้นกับงานหรือไม่รู้จักกาลเทศะก็ไม่รู้ ท่านบอกว่า "ให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ไม่ใช่หรือ ?"
โอ้โห..ตอนนั้นบอกได้ว่า โกรธไฟแลบเลย แต่ด้วยความที่ไม่ได้โกรธคนมาหลายปีก็เลยตีหน้าไม่ถูก ลืมไปแล้วว่าต้องทำหน้าอย่างไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าโกรธเขาฉิบหายเลย..! จึงหันหลังเดินหนีไปเฉย ๆ ปล่อยให้ท่านผู้ว่าฯ และคณะยืนเซ่ออยู่พักใหญ่ พอเขาเห็นว่าไม่ไปรายงานให้จริง ๆ ก็เลยกลับ"
"อาตมาก็ไปนึกว่า แบบเดียวกับหลวงพี่อาจินต์เลย หลวงพี่บอกว่าโกรธมากเลย แต่ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร ก็เลยเดินมาบ่นกับอาตมา เสียงพี่เขาบอกว่าโกรธ แต่หน้าตาไม่ได้บอกเลยว่าโกรธ ประเภทเดียวกันเลย ส่วนอาตมาเองไม่ได้โกรธมานาน จึงปั้นสีหน้าไม่ถูก
เรื่องที่นึกไม่ถึงก็คือ ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เหมือนกับว่าท่านจะเอาแต่งานตัวเอง ไม่ได้สนใจเลยว่าพ่อเรากำลังจะตาย พูดออกมาได้ว่า "ให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ไม่ใช่หรือ ?" ตอนนั้นปั้นหน้าไม่ทัน ถ้าเขามาตอนนี้มั่นใจว่าปั้นหน้าทัน รับรองว่าโดนไปเต็ม ๆ แน่ ตอนนั้นวิทยายุทธ์ยังไม่สูงพอ..!"
หลังจากพระอาจารย์ทำบังสุกุลให้โยมเสร็จ ท่านจึงกล่าวว่า "ที่โบราณท่านให้ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น จริง ๆ แล้วท่านให้เราปฏิบัติพระกรรมฐานโดยตรง เพียงแต่ว่าท่านแฝงเอาไว้ในพิธีกรรม เป็นมรณานุสติเต็ม ๆ เป็นอุปสมานุสติ นึกถึงพระนิพพานได้ เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเทวตานุสติ นึกถึงความดีของเทวดา กล่าวถึงสิ่งไหนเรานึกถึงสิ่งนั้น ก็เป็นการปฏิบัติในพระกรรมฐานกองนั้น ๆ"
พระอาจารย์เล่าว่า "สังคมอินเดียโบราณ ถ้าเศรษฐีไม่มีลูกชาย ถึงเวลาตายไปเขาจะยึดสมบัติเป็นของหลวงหมด เพราะอย่างนั้นพ่อแม่ของพระรัฐบาลเถระถึงได้เป็นลมตอนท่านออกบวช เพราะไม่มีใครดูแลสมบัติ สมัยก่อนเขาไม่เชื่อความสามารถลูกผู้หญิง ต้องเป็นลูกผู้ชายเท่านั้นจึงจะให้ปกครองตระกูลต่อไปได้
พระสุทินนกลันทบุตรออกบวช พ่อแม่เสียอกเสียใจ อ้อนวอนเท่าไรลูกก็ไม่สึก พอพระสุทินน์กลับไปเยี่ยมบ้าน พ่อแม่จึงเอาทรัพย์สมบัติมากองไว้เต็มบ้าน ขอให้สึกมารักษาสมบัติท่านก็ไม่สึก พ่อแม่จึงขอให้ท่านมีหลานไว้สักคนหนึ่ง ถ้ามีหลานเป็นผู้ชายจะได้รักษาสมบัติไว้ได้ ไม่อย่างนั้นจะโดนยึดเป็นของหลวงหมด
สมัยนั้นยังไม่มีศีลของพระ พระสุทินน์ก็เลยไม่รู้ว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเป็นสิ่งต้องห้าม ในเมื่อพ่อแม่ขอ ท่านก็ตกลง พ่อแม่จึงส่งภรรยาให้ไปนอนด้วย จนกระทั่งตั้งท้องขึ้นมา พระสุทินน์ก็สะกิดใจว่า เราเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์แล้วมาเสพเมถุนซึ่งเป็นเรื่องของคนคู่ ไม่น่าจะถูกต้อง
ท่านเกิดเครียด กังวลมาก ผอมดำดูไม่ได้เลย เพื่อนพระก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พระสุทินน์ท่านจึงเล่าให้ฟัง เพื่อนพระก็ไปกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจึงเรียกมาสอบถาม แล้วก็บัญญัติศีลข้อแรกขึ้นมาว่า ภิกษุเสพเมถุนต้องอาบัติปาราชิก ถ้าใครทำเช่นนี้อีกจะขาดจากความเป็นพระไปเลย..!"
"รู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลพระข้อแรกขึ้นมาในพรรษาที่เท่าไร ? ศีลพระข้อแรกของพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในพรรษาที่ ๒๑ ของพระพุทธเจ้า แสดงว่า ๒๐ ปีผ่านมาไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาเลย เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้ากันหมด ท่านรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
พระสุทินนกลันทบุตรท่านเป็นปุถุชน ท่านเองแม้จะสะกิดใจว่าไม่ควร แต่ไม่มีข้อห้าม ในเมื่อไม่มีข้อห้ามจึงกลายเป็นว่า ถึงแม้จะทำผิด แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงยกให้ว่า บุคคลผู้เป็นอาทิกัมมิกะ คือเป็นต้นบัญญัติ ไม่ถือว่าผิด เหมือนกับว่ายังไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ในเมื่อไม่มีกฎหมายก็ไม่ถือว่าทำผิด แต่ทันทีที่บัญญัติกฎหมายขึ้นมา คนต่อไปทำแล้วจะผิดทันที"
ถาม : ทำอย่างไรจะระงับโทสะได้ ?
ตอบ : เป็นพระอนาคามี..! นี่ตอบตรง ๆ เลย
อันดับแรก ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวอย่างน้อยในระดับปฐมฌานละเอียด แล้วอย่าหลุดออกจากสมาธินั้น ก็จะไม่มีรัก โลภ โกรธ หลงอะไรกวนเราได้ หลุดออกมาเมื่อไรก็โดนอีกเมื่อนั้น ทันทีที่เรารู้ตัวว่าหลุดแล้ว ให้รีบวิ่งกลับมาหาลมหายใจเข้าออกใหม่ ภาวนาให้ทรงตัวใหม่ก็จะรักษาอารมณ์ไว้ได้ตามเดิม
แสดงว่าคุณมัวแต่ไปหงุดหงิดกลุ้มใจอยู่กับความโกรธ แล้วก็ทิ้งลมหายใจไปเลย ให้รีบวิ่งกลับมาภาวนาใหม่โดยด่วน อารมณ์ทรงตัวเมื่อไรก็เลิกโกรธ หลุดเมื่อไรก็โกรธใหม่อีก นี่แค่ขั้นแรก
พออารมณ์ทรงตัวแล้วต้องไปพิจารณาตัดให้ได้ด้วย แผ่เมตตาให้เขาให้ได้ แรก ๆ ก็ให้คนที่เรารักก่อน แผ่เมตตาให้คนที่เรารักก่อน หลังจากนั้นก็ไปคนที่เรารักน้อย คนที่เราไม่รักไม่เกลียด คนที่เราเกลียดน้อย คนที่เราเกลียดมาก
ถ้าหากว่าไปให้คนที่เราไม่ชอบหน้าเลยทีเดียว ไม่ไหวหรอก เพราะกำลังเราไม่พอ ก็ต้องเริ่มจากน้อยไปหามาก แต่ว่าต้องทำบ่อย ๆ รู้ตัวเมื่อไรอย่าไปมัวแต่ขุ่นมัวอยู่กับอารมณ์นั้น อย่าไปหงุดหงิดอยู่กับความโกรธ รีบวิ่งไปหาลมหายใจเข้าออก เครื่องช่วยชีวิตของเรานี้ทิ้งไม่ได้เลย กลับมาหาลมหายใจก่อน อยู่กับปัจจุบันก่อน เรียกสติคืนมาให้ได้
ถาม : ก่อนนี้ปฏิบัติได้ดี อารมณ์ทรงตัวง่าย แต่ตอนนี้ทำไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : ต้องดูว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน แล้วเราทำได้ดี ถ้าหากว่าเราคิด พูด ทำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องอย่างนั้นอีก สมาธิก็จะทรงตัวได้ง่าย ทำได้ดีเหมือนเดิม ถ้าเราคิด พูด ทำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกต้อง อารมณ์ก็เสียต่อไปอีก
ถาม : ใช้มโนมยิทธิดูเรื่องต่าง ๆ แล้วถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเคยถูก ให้จำด้วยว่าเราวางอารมณ์แบบไหนถึงถูก ถ้าเราจำได้แล้ว ถึงเวลาใช้อารมณ์อย่างนั้นก็จะถูกไปเรื่อย แต่ถ้าเราจำไม่ได้ ไปมั่วเข้าก็จะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง
ถาม : ยกจิตไปเกาะพระนิพพาน มีอานิสงส์อย่างไร ?
ตอบ : อันดับแรกได้พุทธานุสติ ถ้ากำลังใจปักมั่นแน่วแน่ เชื่อว่าตรงนั้นคือพระนิพพานก็เป็นอุปสมานุสติ อยู่ที่ความเชื่อมั่นของเรา
สมัยก่อนบางทีอาตมาร่างกายแย่ ๆ จับภาพพระไม่เห็นองค์ท่านเลย จิตมัวมากเพราะร่างกายแย่ ป่วยหนัก เห็นแต่ยอดเกตุนิดเดียวแหลม ๆ ก็ตั้งใจน้อมกราบลงไปตรงนั้น มั่นใจว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้นก็ใช้ได้แล้ว ดังนั้น..กำลังใจของเราแต่ละวันไม่เท่ากัน บางวันก็ชัดเจน บางวันก็มัว แต่ให้เรามั่นใจว่าตรงนั้นคือพระนิพพานแน่นอน
ถาม : การปฏิบัติมโนมยิทธิที่จะให้ดี มีขั้นตอนอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีเวลา เราก็นั่งสมาธิจนทรงตัว พิจารณาตัดร่างกายได้แล้วค่อยส่งจิตไปจะดีมาก แต่ถ้าหากทำจนคล่องตัวจริง ๆ แค่นึกก็ถึงแล้ว ถ้าหากว่านึกก็ถึงแล้ว นั่นเป็นการตัดโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว นี่ว่ากันตามทฤษฎีพื้นฐานก่อน
ภาวนาให้อารมณ์ทรงตัวแล้วก็พิจารณาเพื่อความมั่นคงของเรา ให้ซ้อมทำจนคล่อง ตอนหลังก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว แค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอจิตเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นเราก็ไปได้เลย
ถาม : ฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว สามารถเป็นหมอดูได้ ?
ตอบ : ถ้าได้มโนมยิทธิแล้วไปเป็นหมอดู อย่าให้เขาถามเฉพาะหน้าแบบนี้ ถามเฉพาะหน้าแบบนี้จะต้องเก่งเท่าอาตมา เพราะเวลาเขาถามมาก ๆ เราเกิดรำคาญหงุดหงิดขึ้นมา คราวนี้เราจะเสียไปทั้งวันเลย พอจิตมัวตอบอะไรไปก็ผิด..!
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า ถ้าจะใช้มโนมยิทธิในลักษณะเป็นหมอดู อย่าไปนั่งต่อหน้าลูกค้า ให้เราอยู่ในห้องพระ แล้วเขาเขียนปัญหาให้คนส่งเข้ามาให้ ถึงเวลากำหนดใจนึกถึงพระ ขอคำตอบแล้วเขียนตอบทีละข้อ จากนั้นส่งคืนเขาไป ถ้าไปเผชิญหน้าให้เขาซักนั่นถามนี่ แล้วอารมณ์ของเราขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ทรงตัว ก็จะพังในเวลาอันรวดเร็ว
ถาม : เห็นเขาใช้มโนมยิทธิกันผิด ๆ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ทางผิดน่าสนุกกว่า มโนมยิทธิที่ถูกต้องจริง ๆ ก็คือรู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง การไปพระนิพพานนั้นเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติในตัวอยู่แล้ว ถ้าเราจดจำอารมณ์นั้นได้ แล้วเอามาปฏิบัติละให้ได้อย่างอารมณ์พระนิพพาน เราก็จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ง่าย
แต่ส่วนใหญ่ที่เจอก็คือ พอทำได้แล้วก็ไปเที่ยวดูว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้นกับฉัน คนนี้เป็นอย่างนี้กับฉัน ดูเสร็จแล้วไม่เข็ด ยังไปฟื้นความสัมพันธ์กับเขาอีก ก็ยิ่งบรรลัยกันหนักเข้าไปใหญ่ นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ จะต้องเจอทุกคนแหละ ถ้ายังไม่เข็ดก็ยังจะทำไปอยู่เรื่อย ๆ
อาตมาเองก็เคยไปสนุกอยู่กับเขา ๓ - ๔ ปี ใครถามอะไรก็ดูให้ตอบให้เขาหมด พอดีวันนั้นทำงานที่บ้านสายลม หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าบุคคลที่ได้วิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ถ้ายังไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ยังแช่อยู่ในนรกทั้งตัว..!
อาตมาได้ยินนี่เหงื่อหยดติ๋งเลย ก็ตัวเองยังไม่ได้ขนาดนั้นแล้วไม่จมนรกมิดหัวเลยหรือ ? หลวงพ่อท่านก็บอกต่อไปว่า บุคคลที่จะพ้นนรกได้ อย่างน้อยต้องเกาะความเป็นพระโสดาบันให้ได้ แล้วท่านก็อธิบายให้ว่า พระโสดาบันต้องเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าจริง ๆ ก็คือไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ต้องมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ คำว่าศีลบริสุทธิ์ก็คือไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ แล้วท้ายที่สุดต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้ได้ คือเป็นพระโสดาบันได้ ถึงจะรอดจากอบายภูมิ ตั้งแต่นั้นมาอาตมาที่เหมือนกับคนหลับอยู่แล้วหลวงพ่อปลุกให้ตื่นขึ้นมารู้ว่าตกอยู่ในอันตราย ก็โกยสุดชีวิตเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่เป็นขี้ข้าดูให้ใครอีกแล้ว มัวแต่ไปเพลินอยู่ ถ้าไปตายตอนนั้นเราก็ขาดทุนย่อยยับ..!
ถาม : ภาวนาพุทโธบ้าง นะมะพะธะบ้าง แต่พุทโธภาวนาแล้วไม่นิ่ง
ตอบ : สิ่งไหนเหมาะสำหรับเราให้ทำสิ่งนั้น โดยเฉพาะกรรมฐานอย่าเปลี่ยนกองบ่อย นอกจากว่าเราทำกองนั้นได้แน่นอนแล้ว จะขยับไปกองอื่นก็ไม่ว่า แต่ก่อนจะขยับไปกองอื่น ให้ซ้อมของเดิมให้คล่องตัวก่อนแล้วค่อยขยับไป อย่างเช่นว่าเราใช้พุทธานุสติ จะใช้อุปสมานุสติก็ขึ้นด้วยพุทธานุสติให้มั่นคงก่อน แล้วค่อยขยับไป
ถาม : พุทโธกับนะมะพะธะ ภาวนาแล้วมีผลเหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : คนละเรื่องเลย พุทโธเป็นสายสุกขวิปัสโก นะมะพะธะเป็นสายอภิญญา แต่ถ้าหากคนมีพื้นฐานมาก่อนแล้ว เมื่อทำไปถึงท้ายสุดก็เหมือนกัน แต่ตอนแรกจะไม่เหมือนกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายังคิดที่จะสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ทำด้วยเงินทั้งองค์อยู่ โครงการนี้เริ่มที่วัดท่าซุง ต่อมาที่วัดเขาวง ต่อมาวัดท่าขนุน ไม่รู้จะไปเสร็จที่วัดไหน ? แต่ต้องเสร็จจนได้
แรกเริ่มที่ทำ ปรึกษาหารือกันว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเหนื่อยเพราะพวกเรามามากแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่ลูก ๆ สามารถจะแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อได้ เราก็ควรที่จะทำ เมื่อปรึกษากันเสร็จ พวกเราคิดกันว่า สมัยปี ๒๕๑๗ พระเดชพระคุณหลวงพ่อนิมนต์หลวงปู่หลวงพ่อมา ๑๐ กว่ารูป ให้ลูก ๆ ได้ทำบุญกับพระสุปฏิปันโนที่มีความดีจริง ๆ ก็เลยคิดว่านั่นสมัยพ่อท่านทำ มาสมัยเราก็จะทำอย่างนั้นบ้าง
โดยการนิมนต์พระสุปฏิปันโนในยุคนั้นมา ซึ่งตอนนั้นก็เล็งไว้มากต่อมากด้วยกัน ที่ชัด ๆ ๒ องค์ คือหลวงพ่ออุตตมะกับหลวงพ่อคูณ อย่าลืมว่าเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว หลวงพ่อคูณยังไม่ดังแบบนี้นะ
แต่ละคนนี่ไปไล่รายชื่อพระมาเลย ตรวจสอบกันแล้วตรวจสอบกันอีก ถ้าไม่แน่ใจพระองค์ไหนก็ไปไล่ถามหลวงพี่อาจินต์ (หลวงพี่อาจินต์เหนื่อยกว่าเพื่อน) ถ้าถามหลวงพี่อาจินต์แล้วยังไม่ได้ ก็ไปถามหลวงตาวัชรชัยต่อ ถ้าถามหลวงตาวัชรชัยยังไม่ได้ จะมาจบที่อาตมาทุกที จะเป็นอย่างนั้น"
"สมัยนั้นมีการตรวจสอบพระกันว่าจะนิมนต์องค์ไหนบ้าง วางโครงการกันว่า เมื่อนิมนต์ท่านมา นอกจากทำบุญแล้วควรเอาให้คุ้ม จึงคิดสร้างวัตถุมงคลกันขึ้นมา หลวงตาวัชรชัยปรารภว่า เมื่อก่อนแม่อ๋อยเคยบอกกับท่านว่า ถ้าเป็นไปได้ให้สร้างรูปของหลวงพ่อพระปัจเจกพุทธเจ้า เจ้าของพระคาถาเงินล้าน เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณท่าน
ก็ขออนุญาตดูพุทธลักษณะของท่าน แล้วก็ร่างแบบขึ้นมา นำรูปเข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อ ท่านก็ให้ข้อแนะนำติติงแก้ไขมา พวกเราก็เริ่มประกาศงาน จากที่คำนวณกันเอาไว้ ถ้าวัตถุมงคลรุ่นนี้ทำเสร็จ หลังจากหักค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะส่วนที่ถวายหลวงปู่หลวงพ่อที่นิมนต์มาแล้ว จะเหลือปัจจัยถวายหลวงพ่อประมาณ ๒๔ ล้านบาท นั่นสมัยปี ๒๕๓๑ นะ
ทันทีที่ประกาศก็มีญาติโยมเข้ามาช่วยกัน เพียง ๒ วันมีเงินบริจาคเข้ามา ๔ แสนกว่าบาท ทองคำอีก ๒๐ บาท การทำงานนั้น พวกเราอาจจะคิดงานอย่างเดียว ไม่รอบคอบ ก็เลยมีคนที่เขาคิดรอบคอบกว่า ไปพูดกันว่าทำในลักษณะนี้เดี๋ยวก็มีการรั่วไหลเข้ากระเป๋ากัน พอเรื่องไปถึงหลวงพ่อท่านเลยต้องสั่งระงับโครงการ"
"เรื่องนี้คาใจหลวงตาวัชรชัยมากเลย เพราะทุกคนตั้งใจทุ่มเททำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง ๆ แต่ทำไมเขาไปพูดกันอย่างนั้น ส่วนอาตมานั้น พ่อสั่งก็จบ ไม่เสียเวลาคิด แต่หลวงตาเครียดเสียหนวดหงอกไปหลายเส้น..!
พอหลวงตามาอยู่เขาวงก็ยังคงไม่ลืมที่จะสร้าง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนมาเป็นทองคำหน้าตัก ๙ นิ้วแทน อาตมาคิดว่าตกลงมาตั้งแต่แรกแล้วว่าหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ในเมื่อหลวงตาไม่สร้าง เดี๋ยวอาตมาสร้างเองก็ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่าหนังสือ "คู่มือปฏิบัติกรรมฐานแบบง่าย ๆ กับหนีนรก จัดเป็นหนังสือที่อ่านง่ายมาก และคนทั่ว ๆ ไปก็จะทำได้ง่าย
หลวงพ่อท่านหวังผลสำหรับคนที่มีเวลาน้อยอย่างหนึ่ง คนที่มีข้าวของเงินทองในการทำบุญน้อยอีกอย่างหนึ่ง ท่านจะแนะนำวิธีการทำบุญง่าย ๆ ให้ได้บุญมาก พวกเรามีเวลาก็อ่านและกอบโกยประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาอย่างอาตมาก็ได้ อ่านไปชอบใจตรงไหนก็จำหน้าและบรรทัดนั้นไว้"
ถาม : เมตตาที่พระโพธิสัตว์ทำมาในอดีต แล้วให้ผลเกิดในชั้นพรหมบ้าง ชั้นเทวดาบ้าง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิบ้าง นี่เป็นผลของเมตตาภาวนา ซึ่งก็ไม่มีอานิสงส์ของทานที่เป็นสิ่งของใด ๆ ?
ตอบ : ปกติคนที่มีเมตตา ถ้าเจอคนลำบากอยู่ คุณจะให้เขาไหม ? อุตส่าห์บำเพ็ญเมตตาบารมีมาขนาดนั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ท่านไม่ได้โง่ มีอย่างเดียวคือให้แค่หมดตัว
ถาม : เมตตาภาวนานี่หมายความว่า รวมทั้งการให้สิ่งของเป็นทานด้วย ?
ตอบ : คนที่มีเมตตาสามารถให้ทานได้เป็นปกติ ให้ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง ให้ได้มากกว่าที่เราคิด ตัวอย่างของพระโพธิสัตว์มากต่อมากด้วยกัน อย่างที่ท่านเกิดเป็นกระต่าย ตั้งใจจะให้ทาน ปรากฏว่ามีพราหมณ์ผู้เฒ่าอดอาหารมา ท่านก็บอกให้พราหมณ์ก่อกองไฟขึ้น แล้วตัวเองก็กระโดดเข้ากองไฟ ให้ตัวเองเป็นอาหารของพราหมณ์
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระฤๅษี เห็นว่าเสือหาอาหารไม่ได้ จะกินลูกตัวเอง ท่านก็กระโดดลงไปให้เสือกินแทน พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระมหากษัตริย์ เจอนกเหยี่ยวไล่นกพิราบมา ท่านช่วยนกพิราบเอาไว้ เหยี่ยวก็ต่อว่าท่านช่วยนกพิราบไว้แต่จะทำให้ตัวเขาอดตาย พระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อให้นกเหยี่ยวแทน
เราจะเห็นว่าในเรื่องเมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น แม้แต่ชีวิตตัวเองก็สละได้ เรื่องทานอื่นที่จะไม่ให้นั้น เป็นไปไม่ได้หรอก
ถาม : แสดงว่าผู้ที่ทำเมตตาภาวนาต้องมีพื้นฐานมาจากทานเริ่มต้น ?
ตอบ : ศีลต้องมีครบ ทานต้องให้ได้ เพราะว่าเมตตาเป็นภาวนา คนถ้าไม่เริ่มจากทานขึ้นมาก็ไม่มีศีล เริ่มจากศีลขึ้นมาถึงจะมีภาวนา
ถาม : แล้วบุคคลที่เป็นปัจเจก ในป่าในไพรไม่มีอะไร ก็ให้ชีวิตแทนหรือครับ ?
ตอบ : หลายท่านด้วยกันที่มีอะไรท่านก็ให้อย่างนั้น มีหลายท่านที่ไม่มีอะไรก็หาพืชหาผักให้เขา มีหลายท่านเห็นเขาต้องการผ้าผ่อนท่อนสไบก็สละผ้าห่มของตัวเองให้เขา พูดง่าย ๆ ว่าให้เท่าที่ตนเองมีให้ได้
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เจ้าจูดี้หมาในวัดท่าขนุน เป็นหมาพันธุ์อะไรก็ไม่รู้ ตัวเล็ก ๆ วันหนึ่งอาตมาออกบิณฑบาต เจ้าจูดี้นึกคึกอะไรก็ไม่รู้ วิ่งตามไปด้วย
ปกติถ้าหมาตามตอนบิณฑบาต เวลาเจอหมาบ้านอื่นวิ่งไล่ ก็จะวิ่งมาพันแข้งพันขาพระเพื่อหลบภัย ทำให้พระเดินไม่ถนัด ปรากฏว่าพอเดินไปถึงสี่แยกปอมเป ฝั่งตรงข้ามมีหมา ๓ ตัวเห่าเจ้าจูดี้ แต่ละตัวใหญ่กว่าสัก ๒ เท่าครึ่งเป็นอย่างน้อย เจ้าจูดี้ตัวเล็กนิดเดียววิ่งเข้าใส่เขาเลย หมา ๓ ตัวนั้นทำอะไรไม่ถูก เลยเผ่นดีกว่า..!
พอขยับไปอีกบ้านหนึ่ง มีโดเบอร์แมน ๒ ตัวยื่นจมูกมาดม เจ้าจูดี้กระโดดงับ โดเบอร์แมนต้องรีบถอย ไปอีกบ้านหนึ่งเป็นดัลเมเชี่ยนตัวเบ้อเริ่ม เจอเจ้าจูดี้พุ่งใส่ก่อนก็เผ่นเหมือนกัน วันนั้นเจ้าจูดี้เดินสบายมาก ไม่มีหมาตัวไหนกล้ายุ่งด้วยเลย
แต่เชื่อไหมว่าพออยู่วัด เจ้าจูดี้แพ้หมาทุกตัว แพ้แม้กระทั่งหมาตัวเล็ก ๆ แต่ออกไปข้างนอก ขนาดดัลเมเชี่ยน โดเบอร์แมน ยังไม่ปล่อยเขาเลย แสดงว่าตอนอยู่ในวัดเก็บกดเอาไว้เยอะ..!"
"เวลาหมาตาย..อย่าไปร้องไห้มาก ถ้าเราตายตอนนั้นจะไปเกิดเป็นหมาจริง ๆ..! เพราะฉะนั้น..เราเลี้ยงเขา เมตตาเขาตามปกติ เวลาเขาตายก็ต้องเห็นด้วยว่าปกติเขาต้องเป็นอย่างนั้น
อาตมาเลี้ยงอีเห็นไว้ ชื่อคุณกมลา ชื่อเล่นว่าอีแสบ คุณกมลาเห็นว่าเวลาอาตมาไปไหน หมาก็ไปด้วย เขาก็เลยไม่กลัวหมา อาตมาเข้ามารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ พอกลับไปเกาะพระฤๅษี คุณกมลาตายไปแล้ว เพราะเขาไปเล่นกับหมา แต่หมาเอาจริง..!
พอคนงานเขามารายงาน อาตมาก็ถามว่า "แล้วเอ็งทำอย่างไร ?" เขาบอกว่า "ผมเอาไปฝังแล้วครับ" อาตมาก็ด่าให้ "ทำไมโง่อย่างนี้วะ ? ไม่รู้จักเอามาผัดเผ็ด..!" คนงานเอ๋อไปเลย เขาเห็นอาตมาเลี้ยงอีเห็นแล้วรักขนาดนั้น พอเวลาตายกลับกินเสียได้
อาตมาบอกเขาไปว่า "ต้องแยกแยะให้ถูก ตอนเลี้ยงก็รัก เมตตาตามปกติ พอตายก็ใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดสิวะ ผัดเผ็ดได้ก็จัดการเสียก่อน" ถ้าแยกอย่างนี้ออกก็เลี้ยงสัตว์ได้ ถ้าแยกไม่ออกเดี๋ยวใจจะหมอง เผลอเมื่อไรจะไปเกิดเป็นสัตว์นั้น ๆ"
"อาตมาเลี้ยงอีเห็นไป ๓ ครอกนี่เข็ดเลย เพราะไม่มีเวลาทำอย่างอื่น อีเห็นชอบตื่นกลางคืน แล้วก็กวนเรา คุณกมลานี่แสบสุด ๆ เวลากลางคืนหนาวจะตายชัก ยังตะกุยประตูจะออกให้ได้ จนทนรำคาญเสียงไม่ไหว ต้องไปเปิดประตูให้ออกไป พอหายไปครึ่งค่อนชั่วโมง ก็หนาวสั่นกลับมาร้องจะเข้ากุฏิ ถ้าไม่เปิดก็ร้องเรียกจนกระทั่งต้องไปเปิดให้
พอเปิดให้ก็มุดเข้ามาอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่อากาศหนาวตีนอีเห็นเย็นเจี๊ยบ พอมาเดินอยู่บนตัวเรา ก็ไม่ต้องนอนแล้วงานนี้ พอตีนอุ่นก็ร้องจะออกไปอีกแล้ว ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี เลี้ยงอีเห็นนี่ยิ่งกว่าเลี้ยงลูกอ่อนอีก
ตอนหลัง ๒ ครอก ครอกละ ๔ ตัว ได้มาตั้งแต่ยังไม่ลืมตา ต้องเอาหลอดฉีดยาหยอดนมให้ทีละหยด พ่อเขาโดนชาวบ้านยิงตายที่พื้น แม่วิ่งไปถึงปากโพรงแล้ว ดันหันกลับมาดู ถ้าหนีเข้าโพรงไปเลยจะไม่เป็นไร ทีนี้ดันหันกลับมาดูก็เลยโดนยิงกระเด็นลงมา ลูกอีเห็นร้องตกใจเสียงปืน ชาวบ้านจึงรู้ว่ามีลูกอยู่ แต่ไม่มีปัญญาจะขึ้นไปเอา เพราะต้นไม้กลม ๆ ลื่น ๆ ไม่มีกิ่งก้าน เขาขึ้นกันไม่เป็น
ส่วนอาตมาปีนต้นตาล ต้นมะพร้าว มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ก็เลยปีนเป็น เขาจึงมาตามให้ไปเอาลูกอีเห็นลงมา ชาวบ้านแถวนี้เห็นพระเป็นที่พึ่งจริง ๆ เลย สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ช่วยไปเอาลูกอีเห็นลงมาที..!"
"ตอนแรกตัวเท่านิ้วชี้ ตาก็ยังไม่ลืม สะดือก็ยังไม่หลุด ต้องค่อย ๆ เอานมหยอดทีละตัว ๆ เลี้ยงพวกนี้ให้ใช้นมจืดนะ อย่าไปใช้นมหวาน ผ่านไปอาทิตย์เดียวตัวโตเท่ากล้วยหอมได้ โตเร็วจริง ๆ เลย คราวนี้ก็แย่งกันกินอุตลุด ทั้งที่ยังไม่ลืมตานั่นแหละ พอได้กลิ่นนมก็วิ่งกรูกันเข้ามา ต้องใช้วิธีจับมา บีบเข้าปากตัวละหลอดอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ใช้วิธีนี้แล้วเดี๋ยวแย่งกัน และจะกัดกัน
จนกระทั่งลืมตาแล้วสามารถกินเองได้ ก็เทนมใส่จานให้เลียกินกันเอง พวกนี้ถึงเวลากินอิ่มก็นอนผึ่งพุงหลับทั้งวัน ตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็วิ่งมากินอีก อาหารหลัก ๆ ได้แก่ กล้วย มะละกอ เนื้อไก่ แต่เนื้อไก่จะให้แค่ ๒ มื้อเท่านั้น
ที่น่าขำก็คือ พระต้องฉันต้มตีนไก่ แต่ว่าอีเห็นกินเนื้ออกไก่ ตอนนั้นราคากิโลละตั้ง ๗๐ บาท ซื้อมาแช่ตู้เย็นไว้ ใกล้เวลาอาหารก็ต้องเอามาแช่น้ำให้หายเย็นแล้วหั่น นึกแล้วก็อนาถใจ พระต้องฉันมาม่า แต่อีเห็นกินไก่ทั้งตัว..!
ช่วงนั้นไปไหนก็ต้องหิ้วตะกร้าใส่ไปด้วย ช่วงรับสังฆทานใหม่ ๆ ที่บ้านอนุสาวรีย์ก็เหมือนกัน พวกนี้กระโดดขึ้นหัวขึ้นหู วิ่งวุ่นไปหมด ยิ่งค่ำก็ยิ่งคึก
อีเห็นเป็นสัตว์หากินกลางคืน ตอนแรกเอากระดิ่งผูกให้ ปรากฏว่าปล่อยแล้วไปไม่รอด หิวโซกลับมาทุกที จนกระทั่งนึกได้ว่า การเอากระดิ่งไปผูกคอเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ทำให้พวกเขาหากินไม่ได้ เพราะเวลาวิ่งจะมีเสียงกรุ๊งกริ๊ง สัตว์ที่ไหนจะอยู่ให้ล่าเล่า ? จึงต้องเอากระดิ่งออก
ได้แต่บอกชาวบ้านว่า ถ้าเห็นอีเห็นมาหากินใกล้ ๆ คน เวลาส่องไฟแล้วไม่หนี ให้คิดว่าเป็นของวัดไว้ก่อน ด้วยความที่เลี้ยงตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ก็เลยตัวโตขนาดหมาย่อม ๆ พวกลูกสัตว์นี่ถ้าเราอัดอาหารให้เต็มที่ จะโตมากเป็นพิเศษ"
ถาม : ภัยพิบัติของโลก คุณธรรมที่เป็นหิริโอตตัปปะ เพียงพอที่จะรักษาชีวิตไว้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีหิริโอตตัปปะจริง ๆ เว้นการทำชั่วทุกประเภท สามารถรักษาชีวิตได้แน่ แต่คราวนี้ส่วนใหญ่มีหิริโอตตัปปะไม่จริง มีเป็นบางเรื่อง บางคนก็ไม่มีสักเรื่อง..!
ถาม : ถ้าพอมีบ้าง กรรมที่มนุษย์ได้กระทำไว้ก่อน ?
ตอบ : ใครทำคนนั้นก็รับไป คนไม่ได้ทำก็รอดไป ขนาดเวียงหนองหล่มกับหนองหานก็ยังมีคุณยายรอดอยู่คนหนึ่ง
เวียงหนองหล่มที่เชียงรายกับหนองหานที่สกลนคร อยู่คนละทิศละทางกันเลย แต่มีประวัติเหมือนกัน ก็คือ มีคนไปกินปลาไหลเผือกซึ่งเป็นพญานาคแปลงกายมา ถึงเวลาพรรคพวกเขาก็มาอาละวาด คนที่กินก็โดนถล่มจมดินไปหมดทั้งเมือง ส่วนคุณยายอยู่คนเดียว ไม่มีปัญญาจะไปเอาเนื้อมากินก็เลยรอดชีวิตไป
ถ้าเป็นสมัยนี้เขาว่าภูเขาไฟระเบิด..ใช่ไหม ? แผ่นดินเลยยุบ แต่ที่บ้านสองแควมีบ่อน้ำร้อน ร้อนเกิน ๖๐ องศา เขาว่าขนาดวัวทั้งตัวตกลงไป พอลอยขึ้นมาก็สุกแล้ว เขาบอกว่าตามประวัติว่า แต่เดิมชื่อว่าเมืองเกิน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งเข้ามาบิณฑบาตที่เมืองนั้น เจ้าเมืองไม่ชอบใจจึงสั่งให้ทุกคนบ้วนน้ำลายใส่บาตรแทน
มีชายหนุ่มคนหนึ่งเห็นแล้วทนไม่ไหว จึงเอาบาตรของพระท่านไปล้าง ล้างในหนองน้ำแล้วน้ำเดือดขึ้นมา พระอรหันต์จึงบอกชายหนุ่มคนนั้นว่า ให้รีบหนีไปให้พ้นเสีย บ้านนี้เมืองนี้อยู่ไม่ได้แล้ว กำลังจะถล่ม กรรมหนักจะลงโทษคนชั่วทุกคน ชายหนุ่มเชื่อท่านก็หนี คนที่ไม่เชื่อก็หัวเราะเยาะ
ปรากฏว่าถล่มจริง ๆ ร่องรอยที่เหลืออยู่ก็คือปล่องภูเขาไฟ ๒ ปล่อง ส่วนน้ำที่เดือดคลั่ก ๆ นั่น ร้อนขนาดไหลห่างจากจุดกำเนิดเกือบ ๒ กิโลเมตรแล้ว เวลาแหย่เท้าลงไปยังสะดุ้งเลย
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บ้านอยู่ไกลวัดพระแก้วไหมจ๊ะ ? ให้ไปบนพระแก้วมรกต ถวายไข่ต้ม ๑๐๐ ฟอง แต่ไข่ต้มของท่านแปลกมาก เพราะของจิ้มจะเป็นพริกกับเกลือ แบบที่เราทำไว้สำหรับจิ้มฝรั่งดองนั่นแหละ ถ้าหากว่าสำเร็จตามที่บน เรื่องจบออกมาด้วยดี เราจะถวายไข่ต้ม ๑๐๐ ฟองพร้อมพริกกับเกลือ และพวงมาลัยดอกดาวเรือง
ไปบนท่านได้เลยจ้ะ ถ้าหากว่าสำเร็จแล้ว แก้บนแล้ว ของที่เหลือเอาไปให้ตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือพวกบ้านเมตตา บ้านราชวิถีอะไรก็ได้ สมัยก่อนหลวงปู่มหาอำพันท่านบนบ่อย พวกลูกศิษย์ก็มีหน้าที่แบกไข่ไปให้ตามบ้านพวกนั้น เขาก็เอาไปทำอาหารเลี้ยงเด็กกัน
จะบนมากกว่า ๑๐๐ ฟองก็ได้จ้ะ เราไปจุดธูปบน พอถึงเวลาก็ให้แก้บนที่หน้าโบสถ์วัดพระแก้วนั่นแหละ พอถึงเวลาธูปหมด เราลาของมาก็เอาไปแจกตามบ้านที่ว่า หรือไม่ก็เก็บเอาไปต้มพะโล้กินเองก็ได้
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ แค่นั้นก็พอแล้วจ้ะ รีบไปจัดการเสียจะได้หมดปัญหาไว ๆ กำหนดวันไปเลยว่า ภายใน ๓ เดือน ๖ เดือน จะให้เรื่องจบอย่างไรก็ว่าไปเลย ขอท่านว่าถ้าไม่เกินวิสัยขอให้เรื่องเสร็จสิ้นลงภายในระยะเวลาเท่านี้ แล้วเราจะมาแก้บน ได้แต่หวังว่าตอนแก้บนราคาไข่จะไม่ขึ้นไปอีก..!
ถาม : มีปัญหาในที่ทำงาน ?
ตอบ : เรื่องงาน อดข้าวเย็นได้ไหม ? ถ้าอดข้าวได้ให้บนพระวิสุทธิเทพจ้ะ พระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน
ให้จุดธูป ๕ ดอก ปักกลางแจ้ง บอกท่านไปเลยว่าต้องการงานหรือมีปัญหาอะไรในเรื่องการงาน ถ้าหากว่าปัญหานั้นหมดไป หรือว่าเราได้งานตามที่ต้องการ ให้แก้บนด้วยการเจริญกรรมฐาน พร้อมกับรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นเวลา ๗ วัน แต่อาตมาเคยแนะนำแล้วศีล ๘ ได้ผลมากกว่า ถึงได้ถามว่าอดข้าวเย็นได้ไหม ? ถ้าได้ก็ไปบนได้เลยจ้ะ
การเจริญกรรมฐานนั้น ตอนเช้าเราภาวนาสักชั่วโมง เย็นสักชั่วโมง แต่ว่าศีลต้องรักษาให้ได้ทั้งวันตลอด ๗ วัน จะได้ผลพิเศษก็คือ หุ่นสวยขึ้น
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จ้ะ ไม่ต้องเสียเวลาอธิษฐานหรอกจ้ะ นั่งทำกรรมฐานไปเลย ถ้าสมาธิทรงตัวดีเด็กในท้องจะดีไปด้วย ถ้าเราทำได้ผลจะเกิดกับเด็กด้วย แล้วที่ดีที่สุดก็คือ ส่วนใหญ่เด็กสมัยนี้สมาธิสั้น ถ้าแม่นั่งสมาธิได้ทุกวันยิ่งดีจ้ะ ผลจะได้ส่งไปถึงลูกด้วย
ถาม : การที่เด็กติดแม่ เป็นกิเลสที่เหนียวแน่นหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นสัญชาตญาณจ้ะ เขารู้ว่าอยู่ตรงนั้นแล้วเขาปลอดภัย มีกินมีใช้แน่นอน
:4672615: เก็บตกเดือนพฤษภาคม หมดแล้วค่ะ
พบกันใหม่ในเดือนมิถุนายนค่ะ:4672615:
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.