PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ (เดือนสุดท้าย)


เถรี
09-03-2011, 01:55
ถาม : พอจะอธิบายลักษณะของฌานใช้งาน ตั้งแต่อุปจารสมาธิจนถึงฌานสี่อย่างคร่าว ๆ ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไปเปิดตำราดูดีกว่า อาตมาอธิบายไว้เยอะแล้ว

ถาม : ไม่เหมือนกับทั่วไปไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : บางทีก็มีรายละเอียดที่เราจะต้องทำให้ถึงจริง ๆ จึงจะเข้าใจในสิ่งที่อาตมาพูดไป ถ้าทำไม่ถึงก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ว่ามา ได้แต่คิดว่า คาดว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น..ทำไปเถอะ พอทำถึงเดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง

ความจริงอุปจารสมาธิของพวกเราก็คือตอนนี้ ตอนที่เราตั้งใจทำอะไรบางอย่างโดยที่สติจดจ่ออยู่ตรงหน้า กรณีนี้หมายถึงคนทั่ว ๆ ไปนะ ถ้าคนที่เขาคล่องตัวแล้ว สติที่จดจ่ออยู่เฉพาะหน้าบางทีเขาเลยอุปจารสมาธิไปถึงไหน ๆ แล้ว

กำลังใจจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ไม่ได้เคลื่อนไปไหน นั่นคืออุปจารสมาธิ หลังจากนั้นถ้าสามารถกำหนดรู้ลมได้ตลอดสามฐานก็จะเป็นปฐมฌาน ถ้าลมหายใจเริ่มเบาลง ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราหายใจน้อยลง หรือจับลมไม่ได้ บางทีคำภาวนาก็หยุดไปด้วย ก็เป็นฌานสอง ตรงนี้เป็นหลักที่คนส่วนใหญ่จะต้องเจอ

พอเริ่มเป็นฌานสาม บางคนก็รู้สึกว่าตัวแข็ง แข็งเหมือนกับกลายเป็นหิน บางคนก็รู้สึกเหมือนว่าชา เหมือนกับกลายเป็นหินไปทั้งตัวแล้ว บางคนก็รู้สึกว่าเหมือนกับโดนมัดติดกับเสาจนแน่น ตั้งแต่หัวถึงเท้ากระดิกไม่ได้เลย อาการแรกเริ่มก็อาจจะเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่ง อย่างเช่นปลายจมูกหรือปาก บางคนนั่ง ๆ อยู่เหมือนกับเม้มปากแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความจริงไม่ใช่ นั่นเป็นอาการที่สมาธิเริ่มทรงตัวมากขึ้น

ถ้าหากเราไม่ตกใจและไม่กลัว เอาใจกำหนดดูกำหนดรู้ไปเรื่อย ตอนนั้นเราจะลืมไปด้วยซ้ำว่ามีลมหายใจหรือมีคำภาวนาหรือเปล่า ความรู้สึกของเราจะรวมอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งในร่างกาย สว่างโพลงอยู่เฉพาะที่ ไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าอย่างนั้นจะเป็นฌานสี่ ถึงตอนนั้นแล้วเวลาจะผ่านไปโดยที่เราไม่รู้ตัว บางทีเรารู้สึกว่าเดี๋ยวเดียว ลืมตาขึ้นมาผ่านไปตั้งหลายชั่วโมง

บางอย่างมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เฉพาะตัวอยู่ พอทำถึงก็อ๋อ..ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง

เถรี
09-03-2011, 02:05
ถาม : กำลังตัวใดที่เกิดในช่วงตื่นนอนใหม่ ๆ ครับ ใช่ตัวที่ ๙ ไหมครับ ? หรือเป็นตัวไหนครับ ?
ตอบ : ฮ่วย..! ตอนตื่นนอนใหม่ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าเราสามารถรักษาอารมณ์นั้นอยู่ได้ จะรู้สึกคล้าย ๆ กับว่า กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่อารมณ์ตรงจุดนั้นแหละ ที่จะรู้เห็นความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ได้ กำลังตรงนี้จะไม่ปรากฏอาการใด ๆ ที่กายเนื้อเลย

ถ้าหากว่าความรู้สึกเหลืออยู่อย่างนี้อย่างเดียว แล้วสามารถไปยังที่อื่น ๆ ได้ นั่นจะเป็นกำลังของฌานสี่ แต่ถ้าไปที่อื่นไม่ได้ ความรู้สึกยังอยู่ที่ร่างกายอย่างเดียว บางทีอาจจะเป็นของเก่าที่เคยทำในส่วนของอรูปฌาน ถ้าในส่วนของอรูปฌานนี้ เราจะไม่เกาะร่างกายเลย

เพราะฉะนั้น..ต้องไปพิจารณาดูเองว่า ในส่วนของการปฏิบัติมามีพื้นฐานของเก่ามาก่อนหรือเปล่า ? ส่วนวิปัสสนาญาณ ๙ นั้น ตัวสังขารุเปกขาญาณ จะปล่อยวางทุกอย่างด้วยปัญญา ที่คุณว่ามายังไม่ใช่หรอก

เถรี
10-03-2011, 00:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "แรก ๆ ของนักปฏิบัติ จะไม่กล้ากระดิกออกจากกรอบเลย พอทำไประยะหนึ่งจะเริ่มปรับได้ จะค่อย ๆ กลมกลืนขึ้นเรื่อย ๆ กลืนกับโลกขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดแล้ว ก็จะกลายเป็นคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา"

เถรี
10-03-2011, 00:16
ถาม : เวลาเข้าฌานสี่ในกสิณหรือในอะไรก็แล้วแต่ ผมทรงฌานสี่ได้นิดเดียวครับ
ตอบ : เป็นไปได้อย่างไรที่ทรงได้นิดเดียว ? ก่อนที่จะเข้าฌานให้ตั้งกำลังใจไว้ก่อน ว่าเราจะเอานานแค่ไหน

ถาม : ไม่ได้ตั้งครับผม
ตอบ : ตั้งไว้ก่อน จะเอาสักสามวันสามคืนก็ว่าไป เพราะว่าขาดตัวตั้งใจ เพียงแต่คุณมั่นใจแล้วนะว่าได้ฌานสี่จริง ๆ ? ส่วนใหญ่คนที่ได้ฌานสี่จริง ๆ มักจะเข้าฌานแล้วไม่ค่อยจะออก เขามีแต่ต้องบังคับให้ออก

ถาม : เป็นฌานสี่หยาบครับ
ตอบ : จะหยาบหรือละเอียดก็เหมือนกัน ยิ่งหยาบยิ่งไม่ค่อยอยากจะออก เพราะกำลังใจจะจมอยู่ข้างใน ไปตั้งเวลาเสีย ซ้อมเข้าซ้อมออกตามเวลา

ได้ฌานสี่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ทำให้ไม่ค่อยจะตื่นเต้นอะไรกับใคร วันก่อนทำวัตรอยู่ มีพระรูปหนึ่งท่านของขึ้น เอะอะเอ็ดตะโรขึ้นมา อาตมาก็นำทำวัตรไปเรื่อย ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งท่านสงบไปเอง พอทำวัตรเสร็จก็คุยกับพระเณรว่า "ที่พวกคุณตกใจก็เพราะว่าใจไม่อยู่กับตัว เมื่อกำลังใจไม่อยู่กับตัว ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น ใจต้องรีบวิ่งกลับมาเพื่อรับรู้ การที่ใจวิ่งกลับเข้าตัวเร็วเกินไป คืออาการตกใจ

แต่ถ้าอารมณ์ของคุณทรงตัวแล้ว จะไม่เกิดอาการตกใจหรอก เพราะว่าใจอยู่กับตัวอยู่แล้ว กว่าผมจะทำมาถึงตรงนี้ได้ก็หลายปีเหมือนกัน"

ตอนช่วงที่ทำได้ เป็นช่วงที่ไปบึงลับแล ไปกันประมาณ ๕-๖ รูป จำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง ที่แน่ ๆ มีท่านกอล์ฟรูปหนึ่ง พอไปถึงก็แยกย้ายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทำแคร่นอนกัน เพราะตั้งใจจะอยู่กันหลายวัน ถ้าอยู่แค่คืนสองคืน ส่วนใหญ่ก็แบกับดิน

อาตมาก็ไปทำแคร่นอนอยู่ตรงใกล้ ๆ ริมน้ำ ถ้าใครเคยไปบึงลับแลมาก่อน จะเห็นก้อนหินใหญ่สูงท่วมหัวอยู่ก้อนหนึ่ง อาตมาก็เอาแคร่ด้านหนึ่งชนกับก้อนหิน พอถึงเวลาก็นอนหันหัวเข้าหาก้อนหิน ค่อยปลอดภัยหน่อย

เถรี
10-03-2011, 00:34
ตอนกลางคืนเวลาประมาณห้าทุ่มกว่า แคร่พังโครมลงมา..! ลงทางด้านหัว อาตมากำลังนอนภาวนา กำลังใจทรงตัวอยู่ดี ๆ เห็นว่าแคร่พังก็ปล่อยให้พังไป ภาวนาไปเรื่อย ๆ แคร่เอียงลาดลง น้ำหนักตัวก็ถ่วงให้ตัวไหลลงไปเรื่อย ๆ จนหัวทิ่มพื้น พอเจ็บหัวอาตมาจึงลุกขึ้น

สงสัยว่าท่านกอล์ฟจะได้ยินเสียง เห็นว่าแคร่พังตั้งนานแล้วแต่อาจารย์ยังไม่กระดิก ยังเงียบอยู่ เขาก็เลยส่องไฟดู ตอนที่ท่านส่องไฟ อาตมาลุกขึ้นพอดี มองไปเห็นพระธุดงค์อยู่รูปหนึ่ง ห่มจีวรสีเดียวกับอาตมานี่แหละ ยืนพิงก้อนหินอยู่ ก็แปลกใจว่าพระธุดงค์ท่านมาตั้งแต่ตอนไหน ? ซ่อมแคร่เสร็จเดี๋ยวจะถามท่านสักหน่อยว่าท่านมาจากไหน ? ชื่อเรียงเสียงไร ?

ท่านกอล์ฟส่องไฟมา เห็นอาตมายังเงียบ ๆ อยู่ ก็เลยเขย่าไฟ พอแกว่งไฟจึงเห็นพระธุดงค์ท่านนั้นเต้นระบำได้ มองไปมองมา อ้าว..เงาเราเอง แต่ตอนเห็นเป็นพระธุดงค์นั้น เห็นชัด ๆ เหมือนจ้องกันกลางวันแสก ๆ เลย เห็นกระทั่งรูปร่างหน้าตาท่านเป็นอย่างไรด้วย ไม่ใช่เงา ก็เลยรู้ว่าที่แท้โดนผีหลอกซึ่ง ๆ หน้า พอซ่อมแคร่เสร็จเรียบร้อยก็นอนภาวนาต่อ

ทีนี้มาดูกำลังใจตอนนั้น อันดับแรก..แคร่พังลงไป กำลังใจก็ไม่คลายตัวออกมา ไม่ห่วงไม่กังวล อันดับที่สอง..พอโดนผีหลอกก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร ปกติอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

ตั้งแต่นั้นมา พอเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ได้ตกใจอะไรกับใคร ไม่ว่าจะตึงตังโครมครามขนาดไหนก็ตาม กำลังใจจะทรงตัวตลอด มานึกว่าสิ่งที่ได้ทำมา เมื่อค่อย ๆ สั่งสมมาเรื่อย ๆ พอได้ระดับก็จะเกิดผลเอง แต่ถ้ายังไม่ได้ระดับก็ต้องสั่งสมกันต่อไปอีกระยะหนึ่ง

ช่วงที่ได้ระดับ จะได้เร็วหรือได้ช้า อยู่ที่เราใช้ความพากเพียรพยายามมากเท่าไร ? แต่ละวันอยู่กับอารมณ์ภาวนามากกว่า หรืออยู่กับความฟุ้งซ่านมากกว่า ? ถ้าอยู่กับอารมณ์ภาวนามากกว่าก็เต็มเร็ว เหมือนกับคนขยันตักน้ำใส่ตุ่ม ย่อมเต็มเร็วกว่าคนที่นาน ๆ ทีจะตักน้ำใส่ลงไปสักถัง

ฉะนั้น..เรื่องของการปฏิบัติ ฉันทะ วิริยะ ต้องไปคู่ ๆ กัน คือ อยากที่จะทำ และต้องพากเพียรตั้งหน้าตั้งตาทำด้วย โดยเฉพาะจิตตะ กำลังใจปักมั่นต่อเป้าหมาย ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน และมาใช้ตัวปัญญาสุดท้าย คือ วิมังสา คอยไตร่ตรองทบทวนว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหนแล้ว ? ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไร ?

เถรี
11-03-2011, 05:03
ถาม : อารมณ์ที่ไม่ตกใจ คืออยู่ในฌานสี่หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานอยู่ แค่ปฐมฌานหยาบก็ไม่ตกใจแล้ว เพียงแต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ทรงฌาน มักจะคิดไปเรื่องไหนก็ไม่รู้

ถ้าทรงฌานอยู่ กำลังใจ สติ สมาธิ จะอยู่เฉพาะหน้า จะไม่สนใจเรื่องข้างนอก ต่อให้เป็นปฐมฌาน ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินเท่านั้น ฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องตะกายไปถึงฌานสี่หรอก แค่ปฐมฌานก็พออาศัยกินได้เยอะแล้ว

เถรี
11-03-2011, 05:10
ถาม : คนที่เขาภาวนาระหว่างวัน แต่เขาไม่ค่อยมีเวลานั่งสมาธิแบบนิ่ง ๆ เขาจะสามารถไต่ไปจนถึงฌานสี่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ดีไม่ดี เป็นฌานสี่ใช้งานเสียด้วยซ้ำไป แซงหน้าเราไปลิบโลกเลย

ถาม : ไม่จำเป็นว่าคนได้ฌานสี่ใช้งาน จะต้องได้ฌานนิ่ง ๆ มาก่อน ?
ตอบ : ไม่จำเป็นจ้ะ

ถาม : ตอนนี้หนูไม่ถนัดนั่งนิ่ง ๆ ค่ะ
ตอบ : เราก็แอโรบิกไปด้วยภาวนาไปด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองสถาน

ถาม : หนูวิ่งค่ะ
ตอบ : สมัยก่อนตอนเป็นทหารอาตมาก็วิ่ง แต่ทหารเขาวิ่งมาก วันหนึ่งประมาณ ๑๐-๑๒ กิโลเมตร อย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ ๗ กิโลเมตร เขาฝึกคนให้เป็นควาย จะได้อึดกว่าชาวบ้านเขาหน่อย

ครูฝึกคนหนึ่ง คือ สิบเอกโสภณ เป็นคนที่อ้วนมากเลย น้ำหนักน่าจะถึง ๘๐ กิโลกรัม แต่ว่าอึดมาก ถ้าบอกว่าวันนี้หมู่โสภณเป็นครูฝึก แต่ละคนสั่นหัวเลย เพราะต้องวิ่งไม่ต่ำกว่า ๑๒ กิโลเมตรแน่นอน เขาเป็นคนอ้วนที่กระตือรือร้นมาก แข็งแรงด้วย ที่ตลกก็คือ เขาวิ่งได้ทั้งขึ้นหน้าและถอยหลัง จังหวะเท้าไม่เคยผิดเลย

เวลาทหารวิ่งเขาจะบอกจังหวะไปด้วย บางทีก็ต้องร้องเพลงไปด้วย เขาวิ่งขึ้นหน้าหรือถอยหลังจังหวะเท้าไม่เคยพลาด แสดงว่าสมาธิดีมาก คนไหนที่หนักแปดสิบกิโลขึ้นไปแล้วคล่องขนาดนั้น หายากมากเลยนะ เคยเห็นอยู่คนหนึ่ง แต่เขาเป็นพระเอกหนัง ชื่อหงจินเป่า

เถรี
11-03-2011, 18:35
ถาม : เมื่อทำกสิณถึงฌานสี่แล้วจะเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองได้อรูปฌานจริงหรือเปล่า ? ผมหรือคิดไปเอง หรือกำลังหลอกตัวเอง ?
ตอบ : ทำไมโง่แท้วะ..! ถ้าทรงกสิณถึงฌานสี่ก็ใช้ผลได้แล้ว คุณก็อธิษฐานขอใช้ผลก่อนสิ ถ้าเป็นไปตามที่ต้องการเราค่อยไปเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ไม่ใช่อธิษฐานแทบตายแล้วไม่เกิดอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็หลอกตัวเองแน่นอน

ถาม : ท่าทางจะหลอกตัวเอง
ตอบ : ถ้าทรงกสิณถึงฌานสี่ได้ ก็คือ กสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิต สามารถย่อได้ ขยายได้ ให้มาได้ ให้ไปได้ ก็อธิษฐานใช้ผลได้แล้ว

ถาม : ตอนนี้ย่อได้ ขยายได้ แต่อธิษฐานใช้ผลไม่ได้ครับ
ตอบ : ถ้ายังใช้ผลไม่ได้ ไม่น่าจะใช่ ย่อได้ขยายได้ของเรากลายเป็นจินตนาการไปแล้ว

ถาม : จะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเราเริ่มจากการจับภาพกสิณมาจริง ๆ จะเห็นพัฒนาการทีละน้อย จากแรก ๆ ที่เราจับได้ครู่เดียวภาพก็หายไป ต้องลืมตามอง แล้วหลับตานึกถึงใหม่ จนกลายเป็นติดตา ติดใจ คือหลับตาหรือลืมตาก็เห็นเหมือนกัน

หลังจากนั้นพอประคับประคองไปเรื่อย ภาพก็จะค่อย ๆ เปลี่ยน เปลี่ยนจากวัตถุสีเข้มกลายเป็นสีจางลง ลักษณะจางลงก็คือ จางเหมือนกับสีเหลือง เหมือนกับเหลืองอ่อน แล้วก็เริ่มใส พอเริ่มใสมากขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างจ้า แปลว่าเริ่มเข้าสู่เขตของฌานสี่แล้ว ถ้าอธิษฐานย่อได้ ขยายได้ ให้มาได้ ให้หายได้ ก็กลายเป็นฌานสี่เต็มที่ ทีนี้เราก็อธิษฐานใช้ผล

แต่อย่างเราไม่ได้เริ่มจากการนับหนึ่งสองสามมา เรากระโดดไปตอนสุดท้าย ไปคว้าเอาส่วนใดส่วนหนึ่งมา ส่วนใหญ่เป็นแค่เราคิดว่าใช่ โดยเฉพาะคนที่ฝึกมโนมยิทธิมา กำลังใจที่ใช้ในการควบคุมความคิดตัวเอง สามารถทำได้คล่องตัวกว่าคนอื่นเขา และชัดเจนกว่า จึงทำให้คิดว่าตัวเองได้แล้วก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น..สำคัญที่สุด คือ อธิษฐานใช้ผลดู ถ้าใช้ได้แน่นอน ค่อยเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน แต่ถ้าจะทำอรูปฌานให้เว้นอากาสกสิณ เพราะอากาสกสิณทำเป็นอรูปฌานไม่ได้ และเว้นอาโลกกสิณไปด้วย ลักษณะของความสว่างกับอากาศก็ใกล้เคียงกัน ทำให้บางทีเราจะขาดความมั่นใจ แต่ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ เว้นแค่อากาสกสิณอย่างเดียวก็พอ กองอื่น ๆ สามารถทำเป็นอรูปฌานได้ทั้งหมด

เถรี
11-03-2011, 20:36
พระอาจารย์จะสร้างพระนาคปรกขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ท่านกล่าวถึงสาเหตุของการสร้างว่า "สาเหตุที่อาตมาจะทำพระนาคปรกนั้นมีหลายประการด้วยกัน

ประการแรก ในชีวิตอาตมารักงูมาตั้งแต่เด็ก ถึงขนาดแอบขุดหลุมแล้วก็เลี้ยงงู ถ้าไม่ใช่คำสั่งผู้ใหญ่ ไม่เคยฆ่างูเลย เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อน จนอาตมาสามารถที่จะจับงูเล่นได้ทุกตัว

ประการต่อมา ก็คือ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ท่านประทานพระนาคปรกให้หนึ่งองค์ ท่านบอกว่า "คุณอยู่ป่าอยู่ดง มีพระนาคปรกอย่างนี้ไว้บูชาจะดีกว่า เหมาะสมกับคุณมากกว่า"

ประการสุดท้าย ก็คือ ตามที่พระท่านบอก ลักษณะของพระนาคปรกแฝงความหมายของการพิทักษ์พระพุทธศาสนา เพราะเราทำเพื่อฉลองการที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปี"

เถรี
12-03-2011, 05:54
ถาม : พยายามตัดกาม ด้วยอสุภะและกายคตาสติก็ยังตัดไม่ได้สักที ?
ตอบ : สมัยก่อนอาตมาก็เป็นอย่างนั้น ตัดด้วยอสุภะกับกายคตาสติไม่ได้ ไปตัดได้ด้วยตัวเมตตา ลองไปค้นอ่านดูในประวัติของพระรัฐบาลเถระ จะมีวิธีบอกไว้ พระเจ้าแผ่นดินท่านสงสัยว่าพระหนุ่ม ๆ บวชอยู่ได้อย่างไร เพราะถ้าเป็นท่านอยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้แน่นอน พระรัฐบาลเถระท่านก็บอกว่าทำอย่างไร พออาตมาอ่านก็เข้าใจว่าเป็นตัวเมตตาบารมี เห็นเขาเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันกับเรา

พอไปถึงตรงจุดนั้นจึงได้เข้าใจที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกเอาไว้ว่า "กรรมฐานทุกกองถ้าเราตั้งใจทำจริง ก็เป็นพระอรหันต์ได้ทั้งหมด" ก็แปลว่าทุกกองจะต้องมีแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งที่สามารถตัดราคะ โลภะ โทสะ โมหะได้ เพียงแต่เราจะคลำแง่นั้นเจอหรือไม่ ?

ถาม : ผมทำหลายอย่างครับ ?
ตอบ : เป็นประเภทโลภมาก ขุดบ่อหลายแห่งเลยไม่เจอน้ำจริง ๆ สักที วันก่อนมีคนถามว่า เขาจับกรรมฐานหลายกองพร้อม ๆ กัน จะสามารถทำได้หรือไม่ ? อาตมาบอกเขาไปว่า ถ้าหากไม่ใช่คนที่คล่องตัวในกองกรรมฐานเหล่านั้นมาก่อนแล้ว ไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าคนที่มีความคล่องตัว ทำกองกรรมฐานนั้นจนคล่องแล้ว จึงสามารถจับหลาย ๆ กองพร้อมกันได้

ถ้าไม่เคยทำมาก่อนแล้วจับหลาย ๆ กอง ยังไม่เคยมีใครประสบผลสำเร็จ แต่คุณสามารถลองดูได้ เพราะอาจจะเป็นคนแรก..! กองเดียวยังยากเลย นี่เล่นจับหลายกองพร้อม ๆ กัน

ถาม : ผมอยู่อีสานทางขอนแก่น ยังขาดครูบาอาจารย์ที่เหมาะสมกับตัวเอง มีพระอาจารย์ใดที่พอจะแนะนำบ้างไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ สายพระป่ามีเยอะแยะ สำคัญว่าเราทำจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่สายพระป่าท่านมาแบบวิสุทธิมรรค ก็คือ นิมิตอะไรเกิดขึ้น ท่านจะให้ตัดทิ้งหมด

เมื่อเป็นดังนั้น อาตมาเองที่มาสายพระป่าแท้ ๆ ก็เลยต้องมาบวชทางด้านนี้ เพราะรู้สึกว่าไม่ตรงกับกำลังใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นคิดว่าถ้าจะบวชก็จะบวชกับสายพระป่า เพราะเคารพรักครูบาอาจารย์หลายท่านที่วัตรปฏิบัติของท่านบริสุทธิ์จริง ๆ

ถ้าอยู่ขอนแก่นก็ไปสกลนครสิ..พระอาจารย์หนุนท่านอยู่ทางนั้น (พระครูวิชัยสรคุณ วัดป่าพุทธโมกข์ จังหวัดสกลนคร) ท่านก็มอบกายถวายชีวิตให้หลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกัน ท่านไม่ใช่คนอีสานนะ แต่อยู่อีสานมาค่อนชีวิต จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนเพชรบุรี

เถรี
12-03-2011, 06:22
ถาม : ในการฝึกมโนมยิทธิของผม ยังติดอยู่ตรงที่ว่าจินตนาการและคิดไปเองอยู่
ตอบ : ซ้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้ ๆ ถ้าผลออกมาถูกต้องก็แปลว่าใช่ สมัยก่อนหลวงพ่อท่านสั่งให้อาตมาไปนั่งอยู่ข้างถนน เสียงรถมาก็กำหนดใจว่ารถคันนี้สีอะไร แล้วก็ลืมตาดู เท่ากับทดสอบได้เดี๋ยวนั้นเลยว่าใช่หรือไม่ใช่ คุณก็ไปซ้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนั้น อย่างเช่น ฟุตบอลกำลังจะเตะกัน คู่นี้ใครแพ้ใครชนะ

ถาม : หรืองวดหน้าหวยจะออกอะไร ?
ตอบ : ต้องใจเย็นหน่อย ถ้ารีบเกินไปแล้วจะพังเร็ว พอความโลภเกิดขึ้นแล้ว สมาธิจะเสียไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นเมื่อไร สมาธิจะเคลื่อน สิ่งที่รู้จะไม่ใช่แล้ว

ครั้งก่อนทั้งพระและโยมนั่งบ่นกันอุบ เวลาฉันเช้าหรือฉันเพล พอไมค์อยู่กับอาตมาก็มีเรื่องคุยไปเรื่อย คุยไปคุยมาเผลอบอกเขาไปตรง ๆ แล้วไม่มีใครซื้อเลย เพราะไม่คิดว่าจะใช่ พอหวยออกเขาถึงนึกได้ แต่ก็ไม่ทันแล้ว

ของพวกนี้จัดเป็นของแถมจากการปฏิบัติ เราต้องการหรือไม่ต้องการ ถ้ากำลังใจสงบได้ที่ บางทีการรู้เห็นจะปรากฏขึ้นเอง แต่คราวนี้คนเราส่วนใหญ่มักชอบของแถม จนลืมไปว่าเราต้องการซื้อสินค้าหลักตัวไหน บางคนซื้อเพราะจะเอาแค่ของแถมจริง ๆ

คุณตัน ภาสกรนที เอาโออิชิไปเปิดตัวที่เขมร ขายโออิชิแถมตุ๊กตา ปรากฏว่ามีแต่คนมาจับตุ๊กตาแต่ไม่ซื้อ คุณตันก็ไปยืนดูอยู่ พอรุ่งขึ้นเขาเปลี่ยนใหม่เลย ขายตุ๊กตาแถมชาโออิชิ คนก็ซื้อเพราะอยากได้ตุ๊กตา พอคนได้ชิมจึงรู้ว่าชาโออิชิรสชาติเป็นอย่างนี้ กลายเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการขายแบบกะทันหัน สินค้าหลักกลายเป็นสินค้ารองไปเลย

เรามักจะลืมเป้าหมายตัวเองว่า เราปฏิบัติเพื่ออะไร? แทนที่จะปฏิบัติเพื่อความสุขในปัจจุบัน จิตใจสงบเยือกเย็นอยู่กับปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่านไปในอดีต ไม่ฟุ้งซ่านไปในอนาคต เพื่อประโยชน์ในสัมปรายภพ ตายไปแล้วก็ไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ หรือเพื่อประโยชน์สูงสุด สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ ดันลืม..มัวแต่ไปสนุกอยู่ กลายเป็นปฏิบัติแล้วลืมเป้าหมาย เพราะไปชอบของแถมมากกว่า

เถรี
13-03-2011, 16:10
ถาม : โลภกับงกคล้าย ๆ กันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ

ถาม : เห็นบางคนเขาทำบุญแล้วเขาไม่เสียดายเงิน แต่อย่างอื่นเขาไม่อยากใช้เงิน
ตอบ : คนเขารอบคอบ ไม่ใช่งกนะ เขารอบคอบ เขาเผื่อลูกเผื่อเมียด้วย

ถาม : พี่ชายหนูเขาทำบุญแล้วลืมไวมาก สมมติทำบุญเสร็จ เขาก็ลืมไปเลย อันนี้ดีไหมคะ ?
ตอบ : ดี

ถาม : ดีกว่าไประลึกบ่อย ๆ ?
ตอบ : ความจริงการระลึกถึงบ่อย ๆ จะได้อนุสติ แต่ถ้าทำบุญแล้วตัดทิ้งเลย จัดเป็นอุเบกขาในทานบารมีแล้ว กำลังใจสูงกว่าเยอะ ทำยากด้วย

เขาทำน้อยกว่าเราตั้งเยอะแยะ เราเองตะเกียกตะกายทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนา เขาเองทำบ้างไม่ทำบ้าง เดี๋ยวลูกกวนตัว เดี๋ยวเมียกวนใจใช่ไหม ? แต่ที่ไหนได้ กำลังใจผู้ชายมักจะเด็ดขาดกว่า ผู้หญิงจะคิดเล็กคิดน้อยมากไป ความละเอียดลออมีมากเกินไป

ของบางอย่างต้องมองไกล ๆ แล้วจะสวย ของบางอย่างต้องพิจารณาใกล้ ๆ ถึงจะเห็นความสวย ผู้ชายเหมือนกับมองของไกล มองของไกลแล้วสวย แค่เห็นก็พอ แต่ผู้หญิงมักจะพิจารณาใกล้ ๆ แล้วในที่สุดก็เจอจุดที่ตำหนิจนได้ แล้วเราก็จะไปนั่งคลุ้มคลั่งว่า นั่นนี่ก็สวยหมด ขาดตรงนี้อยู่นิดหนึ่ง แล้วเราก็มานั่งตำหนิตัวเอง

ถาม : จะทำลายนิสัยนี้ได้อย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องทำลายหรอก วาสนาบางอย่างตัดไม่ขาด เป็นพระอรหันต์แล้วยังตัดไม่ขาดเลย ถ้าจะขาดจริง ๆ ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระพุทธเจ้าตัดได้แน่นอน

เถรี
15-03-2011, 10:56
ถาม : ทางด้านอีสานที่ผมอยู่ มีน้อง ๆ สนใจฝึกมโนมยิทธิ กระผมควรที่จะสอนหรือแนะนำเขาต่อหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่คล่องตัวในมโนมยิทธิแล้วไปสอน เดี๋ยวจะพากันหลงไปทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่มโนมยิทธิเท่าที่พบมา พอทำได้แล้วก็ไปเล่นกับของแถม

โดยเฉพาะเที่ยวไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะรู้จักพอ รู้จักเข็ด ว่าเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ทุกข์มาไม่รู้จบแล้ว กลายเป็นไปเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ แล้วยังมาปลื้มกันอีกต่างหาก ทำให้ติดอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปไหนหรอก

ถาม : มีน้อง ๆ ที่เขาสนใจอยู่ครับผม แต่ถ้าจะมีฝึกที่อื่นก็ไม่สะดวก ถ้าพอแนะนำเบื้องต้นเขาได้ก็จะดี
ตอบ : ลองทำดู ถ้าหลงทางเมื่อไรพาเขากลับให้ได้ก็แล้วกัน..!

ถาม : กระผมสมควรจะบวชดีหรือไม่ครับ?
ตอบ : ถ้ายังถามอยู่แสดงว่าไม่สมควร แสดงว่าไม่พร้อม ถ้าคนพร้อมเขาไปเลย ไม่เสียเวลามาถามหรอก..!

ถาม : ผมพยายามตัดกาม แต่ถ้าเกิดมีเนื้อคู่ จะมีมาไหมครับ ?
ตอบ : มีมาเรื่อย ๆ

ถาม : ยังไม่อยากมีครับ
ตอบ : ทรงสมาธิให้แน่นเข้าไว้ ถึงเวลาจะได้ไม่ไปฟุ้งซ่าน..!

เถรี
15-03-2011, 10:58
ถาม : อยากให้แม่มาเข้าฝัน คืนแรกนอนรอให้แม่มาเข้าฝัน แต่แม่ก็ไม่เห็นมา
ตอบ : ตั้งใจเกินไปไม่ได้หรอก เพราะกำลังใจเกิน เราต้องนึกถึงท่านว่ามีอะไรให้มาบอก แล้วก็ลืมตรงนั้นเสีย นอนหลับไปเลย ถ้าใจจดจ่ออยู่อย่างนั้น เขามาไม่ได้หรอก เหมือนกับเราปิดประตูใส่หน้า

ช่องที่พอดีนั้นมีอยู่นิดเดียว ถ้ามากเกินก็ไม่เจอ น้อยเกินก็ไม่เจอ เรื่องแบบนี้ต้องเป็นนักปฏิบัติจึงจะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..อย่าตั้งใจมาก แค่นึกถึงท่านแล้วก็หลับไปเฉย ๆ ก็พอ

เถรี
15-03-2011, 10:59
ถาม : ท้าวสักกะ คือ ?
ตอบ : ท้าวสักกเทวราช คือพระอินทร์

ถาม : เป็นหนึ่งในสี่ของท้าวมหาราชหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ เป็นเจ้านายของท้าวมหาราชอีกทีจ้ะ

เถรี
15-03-2011, 11:57
ถาม : ผมไปสอบมาแล้วสอบไม่ติด ตอนที่ผมเข้าห้องสอบ นาฬิกาตายทันทีเลย แต่ผมไม่รู้
ตอบ : นี่คุณยังดีที่โดนแค่นั้น พี่แจ๊ดเขาเรียนอยู่ที่รามคำแหง ส่วนใหญ่พี่เขาจะสอบได้เกรดเอ เพื่อนก็เลยให้ช่วยสรุปข้อมูลให้ ตอนสอบเสร็จผลปรากฏว่าพี่แจ๊ดสอบตกอยู่คนเดียว ส่วนเพื่อนสอบได้ทุกคน

เพราะว่าพี่แจ๊ดเขาจำเวลาสอบผิด เขาไปนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าห้อง อ่านจนหมดเวลาสอบ พอผลออกมาสอบตก พี่เขาน้อยใจ ลาออกไม่เรียนอีกเลย คิดดู..สรุปให้เพื่อน ๆ สอบได้ทุกคน แต่ตัวเองสอบตก นั่นเขาเจ็บกว่าเราเยอะ ส่วนเราแค่นาฬิกาตายเป็นเรื่องเล็ก

ถาม : แต่ผลออกมาก็ตกเหมือนกัน ผมมาพิจารณาตัวเอง เป็นเพราะผมพยายามไม่พอหรือวาระยังไม่ใช่ ?
ตอบ : น่าจะยังไม่ใช่วาระ เพราะยังมีรายการเตะตัดขาได้ ขนาดเล่นเอานาฬิกาตายตอนนั้นเลย

ถาม : พอผมออกจากห้องสอบ สักพักนาฬิกาก็เดินต่อ
ตอบ : คุณเคยได้ยินที่อาตมาบอกหรือเปล่า ? ว่ามารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น และสัตว์ทุกตัวในการทดสอบกำลังใจเรา นั่นเขาแค่ใช้นาฬิกาเรือนเดียว เขาทำได้จริง ๆ นะ สุดยอดมากเลย

ถาม : ผมไม่รู้จะแก้ปัญหาที่ตัวเองอย่างไร แก้ที่กรรมหรืออย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ มีเวลาก็ไปสอบใหม่ เพราะเรื่องของกรรมต่าง ๆ คือสิ่งที่เราทำมาแล้วในอดีต ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ มีอย่างเดียวคือทำปัจจุบันนี้ให้ดีเข้าไว้ เราทำปัจจุบันให้ดี สามารถทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กรรมเก่าจะตามไม่ทัน

ถาม : หมายถึงว่าทำบุญหรือครับ ?
ตอบ : ใช่..บุญใหญ่ที่สุด คือ บุญจากการภาวนา

ถาม : พอมีเรื่องนี้เข้ามา จากที่เคยภาวนาได้ก็กลายเป็นหลุด
ตอบ : กลายเป็นฟุ้งซ่านไป กลับไปทุ่มเทให้กับการภาวนาใหม่ ทำเหมือนกับว่า นี่เป็นเชือกช่วยชีวิตเส้นเดียวที่เรามีอยู่ เราจะปีนพ้นเหวรอดตายได้ก็ด้วยการภาวนา แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป

เถรี
15-03-2011, 12:17
ถาม : บ้านที่เช่าอยู่แปลกอย่างหนึ่ง คือ ผมนอนจะฝันร้ายทุกคืน ทั้ง ๆ ที่ผมก็ภาวนา
ตอบ : ภาวนาแล้วนึกถึงภาพพระคลุมตัวเราไว้ก่อน แล้วค่อยนอน

ถาม : แต่พอจังหวะที่เราตื่น สักประมาณตีสี่ เราง่วงแล้วเราก็นอนต่อ
ตอบ : แล้วเราก็ลืมภาวนา ? อย่าลืมสิโว้ย..!

ถาม : การแก้ปัญหา เราควรเปลี่ยนที่อยู่หรือควรจะเปลี่ยนตัวเราเอง ?
ตอบ : ถ้าหากกำลังใจสู้ไม่ไหว จะเปลี่ยนที่อยู่ก็ได้

ถาม : อย่างผมไปนอนวัดท่าซุงก็ไม่มีปัญหาเรื่องฝันร้าย
ตอบ : เวลาตอนคุณอยู่ที่บ้าน คุณภาวนาได้เท่าตอนอยู่ที่วัดไหม ? ก็กำลังใจเราไม่เท่ากัน

ถาม : เป็นเพราะว่าที่วัด เทวดาช่วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เวลาเราอยู่ที่วัดเราทำได้ดีกว่า ถ้าทำได้ดีเท่าขนาดนั้นก็จบ

ถาม : หรือว่าต้องย้ายไปอยู่วัดแล้วทำ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเองว่ะ..!

เถรี
15-03-2011, 12:34
ถาม : ระหว่างวันก็ภาวนาไป แต่อย่างมากจะได้แค่ฌานต่ำ ๆ
ตอบ : ต่ำช่างสิ..! ขอให้ได้ไว้ก่อน

ถาม : อยากได้ฌานลึก ๆ บ้าง
ตอบ : อยากได้ลึก ๆ ก็ขุดบ่อลงไปสิครับ..! อะไรที่ดิ้นรนอยากได้ เราจะไม่ได้ แต่ถ้าเราหมดอยากเมื่อไร สิ่งนั้นถึงจะมา ที่บอกไปไม่เคยจำเลยใช่ไหม ? ไปทำทีไรเราก็อยากทุกที และถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ทำใช่ไหม ? ก็เจริญสิจ๊ะ..!

ถาม : อยากมาได้ระยะหนึ่ง หนูก็เห็นว่าน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะ
ตอบ : นั่นแหละ..ก็เพราะเราอยากจะให้เปลี่ยนแปลง ตัวอยากนั่นแหละกิเลสใหญ่เลย

ถาม : เวลาที่มีเวทนาเยอะ ๆ สมาธิก็หาย แล้วจิตก็รู้สึกว่า เจ็บขนาดนี้ ตัวเราต้องเป็นของเราแน่นอน ถึงเจ็บเห็น ๆ อย่างนี้ เราจะแก้อย่างไรดี ?
ตอบ : ตอนที่เจ็บเราโดนอะไร ?

ถาม : เป็นอาการป่วย อย่างเช่น ปวดท้อง ปวดหัว
ตอบ : ลองไปนั่งทนจนเจ็บอย่างนั้น แล้วทนต่อไป จะได้เห็นว่าไม่ใช่เรา คือ ทำอย่างไรที่ปัญญาเราจะเพียงพอ เห็นว่านั่นเป็นอาการของร่างกาย โดยที่ใจของเราไม่ไปข้องเกี่ยวด้วย แสดงว่าตัวสติ สมาธิ และปัญญาของเรายังไม่พอ ก็เลยไม่สามารถที่จะแยกแยะออกได้ พอเจ็บ ก็เห็นว่าร่างกายเป็นของเราแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยให้เจ็บต่อไป

ถาม : แล้วเวลาภาวนานิ่ง ๆ อย่างนอนภาวนา พอถึงฌานลึกแล้วก็หลุดออกไป คือหนูไม่อยากออก ก็ถูกบีบให้ออก ตอนที่หนูอยากออก ก็ไม่เห็นจะออก
ตอบ : บอกแล้วว่า เขาจะมาตอนที่เราไม่ต้องการ

ถาม : ไหนบอกว่าสำเร็จได้ด้วยใจ ด้วยความตั้งใจของเรา ?
ตอบ : ใช่..สำเร็จใจด้วยใจ แต่กำลังใจเราจะต้องพอด้วย ในเมื่อยังไม่พอก็ต้องปล่อยให้เขาเล่นอย่างนั้นไปก่อน มีสตางค์น้อย จะไปซื้อรถเบนซ์ ก็ไม่ไหว ซื้อนิสสันมาร์ชไปก่อนก็แล้วกัน

เถรี
16-03-2011, 10:56
ถาม : ที่บอกว่าพระโสดาบันท่านทรงปฐมฌานเป็นปกติ แปลว่าทุกครั้งที่ท่านนั่ง..?
ตอบ : ไม่ต้องนั่ง เป็นอารมณ์ใจปกติของท่านเลยที่ทรงปฐมฌานโดยอัตโนมัติ ถ้าหากฌานเสื่อม กำลังของความดีก็ไม่ได้ลดลง กำลังใจไม่ได้ลดลง ต่างกันกับพวกฌานโลกีย์ทั่วไปตรงนี้

ถาม : กำลังใจทรงเป็นอัตโนมัติ ส่วนกำลังฌานนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมคะ ?
ตอบ : กำลังของฌานสมาบัติต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายเป็นอย่างมาก ถ้าหากร่างกายของท่านดี ฌานก็จะทรงตัวโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าร่างกายของท่านไม่ดี ฌานก็สามารถที่จะเสื่อมได้ แต่กำลังใจท่านไม่ได้ลดลงไปด้วย ไม่เหมือนกับพวกเรา พอฌานเสื่อม สมาธิก็ตก กำลังใจก็ตก ตกหมดทุกอย่างเลย แต่สำหรับท่านไม่ใช่อย่างนั้น ท่านเหมือนกับมีอะไรรองรับ ถึงจะตกก็ไม่พ้นไปจากนี้

เถรี
16-03-2011, 11:05
ถาม : หัวหน้าที่ทำงานเขาใช้ให้ผมพาคนไปฉีดยากำจัดแมลง แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้อยากไป..?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่า เขาก็มีส่วนในการฆ่าแมลงนั้นด้วย เพราะเขาเป็นคนสั่งให้เราทำ ถ้าเป็นหน้าที่การงานจริง ๆ เราก็รักษาศีลเป็นเวลา อย่างเช่นว่า ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงที่ทำงาน เรารักษาศีลให้เต็มที่ เลิกทำงานกลับบ้านจนกว่าจะนอน เรารักษาศีลให้เต็มที่ ถึงแม้เราไม่ได้ทำตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่อย่างน้อยช่วงของการทำความดีของเราก็มีอยู่ ไม่ได้ขาดทุนตลอด ๒๔ ชั่วโมง

เถรี
16-03-2011, 11:07
ถาม : พระไม้ที่แกะสลัก ถ้าปิดทองจะดีไหมคะ ?
ตอบ : จะปิดทองก็ได้ แต่จุดประสงค์ที่แกะสลักพระมีอยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาต้องการดูเนื้อไม้ ต้องถามเจ้าของเขาว่า เขาตั้งความหวังไว้แบบไหน ? ต้องการพระปิดทอง ? ต้องการอานิสงส์ปิดทอง ? หรือว่าต้องการพระไม้ ต้องการดูลายไม้ ? แล้วทำตามความประสงค์ของเขา

เถรี
16-03-2011, 11:09
ถาม : ทำไมคนเราเวลานอน หรือว่าหมดแรงแล้ว จะปล่อยอะไรได้ง่าย ไม่เอาอะไรสักอย่าง ?
ตอบ : หมดสภาพใกล้ตายแล้วยังจะเอาอีกก็เกินไป..! แต่ถ้าเราทำมาไม่มากพอ อย่าฝันไปเลยว่าจะง่าย ลองนึกย้อนหลังไปดูซิว่า ก่อนหน้านั้นเราต้องลำบากยากแค้นแค่ไหน กว่าที่จะง่ายอย่างนี้ ตอนนั้นไม่ใช่แค่เลือดตากระเด็นเฉย ๆ เบ้าตาก็จะกระเด็นด้วย แต่เมื่อกำลังพอแล้ว อะไรก็เหมือนง่ายไปหมด

เถรี
16-03-2011, 11:10
ถาม : ที่ว่าพระอนาคามีทรงอธิจิต อธิจิตที่ว่าคือ..?
ตอบ : ทรงฌานสี่ได้เป็นปกติ

ถาม : เวลาตัดสังโยชน์ พระอนาคามีท่านใช้กำลังฌานในการตัดหรือคะ ?
ตอบ : พระอริยเจ้าทุกระดับต้องอาศัยกำลังฌานเป็นส่วนหนึ่งของการตัดกิเลส แต่สำคัญที่สุดคือปัญญา เห็นว่าร่างกายนี้มีสภาพที่ไม่ดีอย่างแท้จริง

ถาม : ต่างกับอธิปัญญาของพระอรหันต์อย่างไร ?
ตอบ : ปัญญาของพระอรหันต์ท่านจะเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นไปอีก ถ้าจะนับก็คือ ปัญญาของพระอนาคามียังหยาบกว่าของพระอรหันต์อยู่ส่วนหนึ่ง พระอรหันต์ท่านจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่า โดยเฉพาะในส่วนของมานะ และท้ายสุดก็คืออวิชชา

เถรี
16-03-2011, 11:12
ถาม : เวลาทำบุญเราควรจะทำแล้วเกิดปีติ หรือควรจะทำบุญแล้วทรงฌานในการทำบุญ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทำบุญแล้วทรงฌาน โดยเฉพาะการวางอุเบกขาได้ กำลังจะสูงกว่าเยอะ

ถาม : หมายถึงกำลังที่เอาไปตัดในรัก โลภ โกรธ หลงได้หรือคะ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : ทำไมบางท่านบอกว่า ควรจะทำบุญให้เกิดปีติ ก็จะมีผล ?
ตอบ : ก็เขาจะเอาบุญ อยากเอาบุญก็ได้แค่บุญ แต่ถ้าต้องการหลุดพ้น จะต้องก้าวพ้นทั้งบุญทั้งบาป

เถรี
16-03-2011, 11:14
ถาม : ถ้าเกิดทรงปฐมฌานละเอียด สามารถกดกิเลสเอาไว้ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้แน่นอน แต่อย่าเผลอให้หลุดนะ ถ้าหลุดแล้วกิเลสตีกลับมีหวังโดนฟัดตาย..!

ถาม : แต่ถ้าจะตัดกิเลส อย่างไรก็ต้องฌานสี่ แล้วที่บอกว่าทับเอาไว้นาน ๆ เดี๋ยวกิเลสก็จะตายได้เหมือนกัน อย่างนี้ท้ายสุดก็ต้องฌานสี่เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ถ้าจะเอาปฐมฌาน ก็ฆ่ากิเลสตายได้แค่ระดับของปฐมฌาน คือไม่เกินสังโยชน์สาม

เถรี
16-03-2011, 11:15
ถาม : เวลาไปทำบุญที่วัด ก็อยากแต่งตัวสวย ๆ งาม ๆ ไปทำบุญ แต่เรามองว่าเป็นโทษแก่คนดู ทำให้คนดูเห็นแล้วติดในรูปเรา แล้วเราควรที่จะแต่งตัวขนาดไหน ?
ตอบ : เอาแค่พอสมควร คือพอที่คนอื่นจะทนดูได้..!

เถรี
16-03-2011, 11:20
ถาม : มีท่านหนึ่งบอกว่า การจุดธูปไหว้พระพุทธรูปเป็นการก่อให้เกิดมะเร็ง บางคนก็บอกว่า ควรงดจุดธูปเพื่อลดความเสี่ยง ในความคิดของหนูรู้แค่ว่าเป็นการบูชาด้วยของหอม หนูไม่รู้ว่าเราเลือกจะใช้ธูปหรือไม่ ?
ตอบ : คำตอบเดิม..มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้นและสัตว์ทุกตัวในการขวางทางทำความดีของเรา ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมาก

ถาม : ความเป็นมาของการใช้ธูป ?
ตอบ : เป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษเรา ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะใช้พวกผงไม้หอม อย่างเช่น กำยาน โปรยลงในกองไฟ พอมีความคิดมีความก้าวหน้าทางวิชาการเพิ่มขึ้น ก็ทำเป็นธูปขึ้นมา แทนที่จะไปโปรยเป็นผง ก็ปั้นเป็นแท่งขึ้นมา อย่างน้อย ๆ ก็พกไปไหนสะดวก และปัจจุบันก็มีใบ้หวยให้ด้วย

เคยเห็นไหม ? เวลาซื้อธูปห่อใหญ่ เขาจะมีธูปพิเศษอยู่ดอกหนึ่ง สั้น ๆ ประมาณแค่นิ้ว เป็นแท่งสี่เหลี่ยม พอจุดแล้วปักไว้จะมีตัวเลขขึ้น เดี๋ยวนี้การตลาดเขาสุดยอด สามารถเอาไปเล่นหวยได้ด้วย..!

ถาม : แล้วถ้าเราเลือกที่จะจุดเทียนหอมเพื่อบูชาพระเล่าคะ ?
ตอบ : ได้ทั้งสองอย่าง บอกแล้วว่าวิชาการดีขึ้นเรื่อย ๆ เราก็พลิกแพลงการบูชาพระของเราตามไปด้วย

ถาม : แบบนี้ไม่ต้องใช้ธูปก็ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเอาตามที่คนเขายึดถือกัน การจุดธูป ๓ ดอกแทนพระรัตนตรัย คือ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การจุดเทียน ๒ เล่ม ก็นึกถึงโลกิยธรรม โลกุตรธรรม เพราะว่าเทียนเป็นแสงสว่าง แทนเครื่องหมายของธรรมะ

ถ้าเรานึกตามนี้แล้วเราทำตามนี้ อานิสงส์ก็ได้มากกว่า เพราะทำให้อนุสติของเราเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราไม่ได้นึกตามนี้ ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาอย่างเดียว เราจะตัดธูปออกก็ไม่มีปัญหาอะไร ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง

เถรี
18-03-2011, 11:18
ถาม : ทำไมหนูไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : หยิบอะไหล่มาผิด ถ้าหยิบอะไหล่ถูกชุด ก็เป็นผู้ชายไปแล้ว ต่อไปอย่ารีบร้อน..นี่พูดเล่นนะจ๊ะ

เกิดเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องดีนะ โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติธรรม เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า ถ้าใครได้มโนมยิทธิแล้วขึ้นสวรรค์ไปสักชั้นหนึ่ง จะเห็นนางฟ้าท่วมสวรรค์เลย ส่วนเทวดามีไม่เท่าไร เพราะตามหลักความเป็นจริงแล้ว ผู้ชายคือผู้ที่สร้างบารมีมามากกว่า ความเข้มแข็งของกำลังใจมีมากกว่า ก็เลยทำให้ค่อนข้างที่จะเชื่ออะไรยาก ในเมื่อเชื่อยาก กว่าจะยอมปฏิบัติธรรมก็ยาก คือ จะเป็นไปตามกำลังใจตัวเอง

คนประเภทแข็งแรงมากก็ต้องแบกงานหนักหน่อย กลายเป็นว่าผู้หญิงมีโอกาสบรรลุธรรมมากกว่า ความจริงเราเลือกอะไหล่ถูกชุดแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายอาจจะลำบาก กว่าจะบรรลุก็อีกหลายชาติ

ถาม : โดนบังคับให้เลือก
ตอบ : เขาบอกว่าพวกโดนบังคับ ชาติก่อนเป็นคนเจ้าชู้มาก ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงเสียให้เข็ด

จะมีผู้หญิงประเภทเดียวที่บารมีสูงขนาดไหนก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ก็คือ ท่านที่อธิษฐานมาเป็นพุทธมารดาหรือเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์ ดูอย่างพระนางสิริมหามายา พอขึ้นไปอยู่ข้างบนก็เป็นเทพบุตรอยู่ชั้นดุสิต พระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรด ถามพระอินทร์ว่าทำไมไม่เห็นพุทธมารดา ? พระอินทร์บอกว่า อยู่ชั้นดุสิต จึงให้คนไปเชิญมา

บาลีเขาบอกว่า มาตะรัง ปะมุขขัง กัตตะวา ตัสสา ปัญญายะ เตชะสา ผู้เป็นพุทธมารดาอยู่ในฐานะประมุขของเทวดา ในการฟังธรรมของพระพุทธเจ้าในวาระที่เสด็จขึ้นไปโปรด

แต่ท่านได้แค่พระโสดาบัน ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดโดยเฉพาะ จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านเป็นไม่ได้ เพราะท่านอธิษฐานจะลงมาเป็นพุทธมารดาของพระศรีอาริยเมตไตรยอีกหนึ่งรอบ ถ้าได้เกินพระโสดาบันเดี๋ยวจะไม่ได้เกิด

เถรี
18-03-2011, 11:26
ถาม : เรียกว่าล็อกตัวเอง ?
ตอบ : ใช่..คำอธิษฐานล็อกตัวเอง ต้องปลดล็อกให้ได้ก่อน คนเราจะเกิดเป็นพุทธมารดาสัก ๑ ครั้งก็แสนยากแล้ว นี่ท่านเป็นสองครั้งเลย สุดยอดของกำลังใจจริง ๆ

มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระนางปชาบดีเถรีไปทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เขาบอกว่า พระน้านางอายุได้ ๑๒๐ ปี ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๑ ปี ก็แปลว่าตอนนั้นพระพุทธเจ้าอายุ ๗๙ ปี ลบแล้วห่างกัน ๔๑ ปี เราก็สงสัยว่าน้องสาวอายุ ๔๑ ปี แล้วพี่สาวที่เป็นแม่จะอายุเท่าไร ?

หักจากอายุของพระพุทธเจ้า อย่างต่ำสุดพุทธมารดาก็ต้องอายุ ๔๒ ปี เราสงสัยว่าทำไมท่านแก่ขนาดนั้น? พอไปอ่านในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ จึงได้เจอว่า ปกติของพุทธมารดาจะตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ระหว่างอายุ ๔๐-๗๐ ปี ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อพุทธมารดาประสูติพระโพธิสัตว์แล้ว จะมีอายุได้ไม่เกิน ๗ วันเท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้นก็เลยต้องให้ท่านอายุยืนหน่อย จะได้ดูโลกนาน ๆ ท่านอายุ ๔๐ ปี แต่สวยเช้งวับเหมือนสาวอายุ ๑๖ ปีนะจ๊ะ

แต่ท่านย่าวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี สวยกว่าหลานอีก หลานสาวอายุ ๑๖ ปี แต่สวยสู้ยายไม่ได้นี่อนาถจริง ๆ ท่านย่าวิสาขาท่านได้วัยงาม

วย คือ วัย , ฉวิ คือ ผิว , อัฏฐิ คือ กระดูก แต่เขาหมายถึงฟัน

ถาม : วัยงาม คือ งามตามวัยหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ เขาบอกว่าตั้งท้องลูกคนแรกอายุเท่าไร จะสวยอยู่แค่นั้นไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะฉะนั้น..ต้องรีบตั้งท้องไว ๆ

ท่านย่าวิสาขาแต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ก็แปลว่าอายุ ๑๗ ปี ก็คลอดลูกคนแรกแล้ว ท่านมีลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน นั่งอยู่ในหมู่หลานสาว พระเจ้าปเสนทิโกศลแยกไม่ออกว่าใครเป็นย่า ใครเป็นหลาน

เถรี
18-03-2011, 11:33
ถาม : ทำไมผู้ชายคนจีนสมัยก่อนชอบดูเท้าผู้หญิง ?
ตอบ : เหมือนกับผู้ชายสมัยนี้ที่ชอบดูหน้าอกผู้หญิง อะไรที่คนหวงเขาจะสนใจ

สมัยก่อนเขาถือว่าเท้าเป็นสิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ของผู้หญิง เคยได้ยินเรื่องที่บาทหลวงสอนศาสนาเขาไปที่เกาะแห่งหนึ่งไหม ? ผู้หญิงที่เกาะนั้นเขาเปลือยอกกัน พอถึงเวลาฟังเทศน์เขาก็ยกมือปิดหู เพราะเกาะนั้นเขาถือว่าหูเป็นสิ่งที่เปิดเผยต่อเพศตรงข้ามไม่ได้ ถือเป็นเรื่องที่น่าละอาย

บาทหลวงเขาบันทึกไว้ว่า แกไม่รู้หรอกว่า อกแกทำให้ฉันฟุ้งซ่านมากกว่าหลายเท่าเลย

ในแต่ละที่การยึดถือจะไม่เหมือนกัน อย่างสมัยที่อาตมายังเด็กอยู่ ผู้หญิงพอมีลูกสักคนหรือสองคน ก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแล้ว และสมัยนั้นก็ไม่ค่อยจะใส่เสื้อกัน ยกเว้นผ้าถุงผืนเดียว ถ้าไปวัดไปวาจึงค่อยเอาผ้าแถบคาดอกไปเท่านั้น ถ้าอยู่กับบ้านก็ปล่อยโทง ๆ ไปเลย

พอมายุคหลัง ๆ คิดว่าเป็นเพราะหัวการค้าของคน เขาอยากจะขายของได้เยอะ ๆ ก็เลยสร้างค่านิยมมา ว่าจำเป็นต้องใส่อย่างนี้แล้วจึงจะสวย แล้วก็ปกปิดไว้จะได้ไม่ต้องอายเขา สมัยนี้ไม่เห็นฝรั่งจะปกปิดสักเท่าไรเลย

ลองไปดูที่พุน้ำร้อนทองผาภูมิสิ เดินลงมาทีขาวจนตาลายไปหมด กลางวันก็เลยเป็นเวลาอันตรายที่พระไม่ควรจะไปพุน้ำร้อน เพราะเวลาฝรั่งลงจากรถ ไม่วันพีซก็ทูพีชเดินลงมา เขาตั้งใจจะมาเล่นน้ำกันจริง ๆ ทำให้เป็นอันตรายต่อบุคคลที่จินตนาการดี อย่างพวกฟุ้งซ่านชอบปรุงแต่ง จะปรุงได้สุดยอดมากเลย

เถรี
18-03-2011, 11:36
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเรียนว่า "การเรียนในระดับปริญญาตรี โท เอก ของ มจร. มีส่วนดีให้เห็นอยู่สองอย่าง

อย่างแรก คือ ต้องใช้การค้นคว้าพระไตรปิฎกเยอะมาก เพราะเขาถือว่าเราเรียนในมหาวิทยาลัยของพระ ก็ควรจะเรียนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนด้วย แต่ก็แปลงมาเข้ากับทางโลก อย่างเช่น จิตวิทยาในพระไตรปิฎก นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก สาธารณสุขในพระไตรปิฎก ฯลฯ เราก็ต้องไปค้นคว้าหามา

อีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่าดีมากก็คือ มีการบังคับให้ปฏิบัติธรรมตามกำหนดของทางมหาวิทยาลัย ต้องปฏิบัติให้ครบจึงจะยอมให้รับปริญญา อย่างปริญญาตรีก็ต้องสะสมเวลาปฏิบัติธรรมไม่ต่ำกว่า ๔๐ วัน ปริญญาโทต้องสะสมไม่ต่ำกว่า ๓๐ วัน ถ้าวันปฏิบัติมีไม่พอ เขาก็ไม่ให้จบ"

เถรี
18-03-2011, 11:43
"อาตมามาเรียนด้วยเหตุสองประการ ประการแรก ค่านิยมของคนทั่วไป เขายังเชื่อกระดาษแผ่นเดียวมากกว่าความสามารถของบุคคล

ถ้าบรรยายธรรมโดยพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน บางทีคนเขาไม่สนใจ แต่ถ้าเขาบอกว่าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เขาก็หูผึ่งกัน เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเขาต้องการ เราก็เอากระดาษให้เขาสักแผ่นหนึ่ง

ประการที่สอง มาเรียนแล้วเราเจอเพื่อน เพื่อนที่ถือว่าเป็นนักปฏิบัติสุปฏิปันโน ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เราขอสักคนเดียวก็พอ"

ถาม : ทำไมต้องเสียสละตนขนาดนี้ ?
ตอบ : พอเราเรียนเข้าไปแล้ว จึงได้รู้ว่าครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่งเกินครึ่ง จะอยู่ในลักษณะมิจฉาทิฐิ แนะนำให้ลูกศิษย์สงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไม่พอ ยังสนับสนุนให้ลูกศิษย์ละเมิดศีลกลาย ๆ ด้วย

อย่างเช่น "เวลาเรียนใช้สมองมาก ๆ เราจะหิว ถ้าไม่ไหวจริง ๆ นิมนต์ท่านอาจารย์กินข้าวเย็นไปเถอะ" เขาแนะนำอย่างนั้น ที่เรายอมเป็นอาจารย์เข้าไปสอนเขา อย่างน้อย ๆ ให้ลูกศิษย์เขารู้ว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็ไม่เห็นตายนี่หว่า และแถมเรียนดีกว่าเขาด้วย..!

ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีนี้ที่เรียนมา เข้าปีที่ ๕ แล้ว ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งที่เขาเห็นเราปฏิบัติตัวแบบเสมอต้นเสมอปลาย คือ ใครจะเละขนาดไหน เราก็บ้าตามไปแค่กรอบเท่านั้น และโดยเฉพาะว่าเป็นผู้นำเขาในเรื่องการเรียนได้ ชั่วโมงเรียนสถิติเต็มเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ใช่ติดรับสังฆทานต้นเดือนที่นี่ อาตมาไม่เคยขาดเลย และวันเรียนที่ตรงกับวันรับสังฆทานอย่างนี้จะน้อยมาก

สถิติการเรียนเต็ม จนอาจารย์บางคนถามว่า "นี่ไม่มีกิจนิมนต์บ้างเลยหรือ ถึงไม่เคยขาดกับใครเขา ?" "ไม่มีเพื่อนนิมนต์บ้างเลยหรือ ?" อาตมาก็ขำ ๆ บอกท่านไปว่า "เขาก็ไม่ค่อยคบผมกันหรอกครับ"

ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งเขายกเราขึ้นเป็นตัวอย่าง และมีบางคนทำตาม ทำตามจนเพื่อนคนอื่นถามว่า "เฮ้ย..ทำไมเปลี่ยนไปเยอะเลยวะ ?" เขาบอกว่า "ดูตัวอย่างจากพี่เล็กว่ะ..พี่เล็กเป็นพระสังฆาธิการเหมือนกับพวกเรา ต้องปกครองวัดหลายวัดเหมือนกัน แต่พี่เขามาเรียนอย่างสม่ำเสมอไม่ขาด ขณะเดียวกันเรียนเก่งกว่าพวกเราด้วย ก็เลยอยากเก่งอย่างพี่เล็กเขาบ้าง"

เถรี
18-03-2011, 12:02
ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ จันทร์ดำ ท่านยุให้อาตมาไปเรียนมหาวิทยาลัยข้างนอก ท่านบอกว่า "ต่อให้พระคุณเจ้าเรียนเก่งอย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระคุณเจ้าก็ไม่มีชื่อเสียงเกียรติคุณอะไรขึ้นมาหรอกครับ เพราะมหาจุฬาฯ ของเรามีพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มีพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อยู่แล้ว

ต่อให้พระคุณเจ้าเรียนเก่งขนาดไหน เขาก็ไม่เห็นหรอกครับ แต่ถ้าพระคุณเจ้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยข้างนอก ผมมั่นใจว่าสามเดือนเท่านั้นแหละ ด้วยศักยภาพของพระคุณเจ้า สามารถเอาเขาทั้งมหาวิทยาลัยมาเป็นลูกศิษย์ได้แน่" อาตมาเองก็ได้แต่ครับ ๆ แต่คิดอยู่ในใจว่า เราจะเอาไปทำไม ?

คือเราเรียนเก่งในหมู่พระ แต่อย่างไรก็สู้สองท่านนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะท่านเป็นบุคคลต้นแบบในดวงใจของคนอื่นไปแล้ว คนหนึ่งก็คือผู้ที่ได้ปริญญากิตติมศักดิ์ จนตัวท่านเองก็จำไม่ได้ว่ารับไปกี่ใบแล้ว ส่วนอีกท่านปัจจุบันก็เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ถือว่าอายุยังน้อยมากเลย อายุ ๕๕ ปี ขึ้นถึงระดับเจ้าคุณธรรมแล้ว อีกขั้นเดียวจะขึ้นไปเป็นสมเด็จราชาคณะหิรัญบัตรแล้ว

เถรี
18-03-2011, 12:10
ถาม : ตอนที่ผมเจอปัญหาอยู่ ผมไปที่วัดท่าซุงและตั้งจิตที่จะปฏิบัติยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมฟังธรรมะท่าน ฟังเอ็มพีสาม ตั้งจิตไว้ว่าขอนิพพานในชาตินี้ ผมมานั่งคุยกับเพื่อน เขาบอกว่าเกิดจากการที่เราตั้งจิตขอให้จบในชาตินี้ วิบากกรรมที่ได้รับกลับมา ในทางธรรมผมเห็นความเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งซึ่งผมตั้งใจไป แต่ทางโลกมันเกิดปัญหาในเรื่องการงาน ที่เคยตั้งใจหวังไว้หลายอย่างถูกทำให้เลื่อนออกไป ห่างออกไป เลยขอความเมตตาจากท่าน
ตอบ : ไปเอาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาภาวนา สักเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ถ้าทำได้ต่อเนื่องกันสองเดือน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีอยู่บทหนึ่งที่ใช้แก้ไขอุปสรรคโดยเฉพาะ ส่วนบทอื่นจะเสริมความคล่องตัวเรื่องการงานและการเงิน

เราใช้เป็นคำภาวนาไปเลย ปกติเราจะภาวนาอย่างไรก็ช่าง แต่คาถาเงินล้านให้ภาวนาเช้าสักชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเหมือนกับที่เราภาวนาคาถาอื่น ไม่ใช่ท่องสักแต่ว่าให้จบ

ภาวนาหายใจออกนึกตามไป หายใจเข้านึกตามไป ให้ใจอยู่เฉพาะหน้า ถ้าทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องสองเดือนก็จะเห็นผล ถึงเวลาก็อย่าบ่นแล้วกัน ถ้าอะไรไหลมาเทมาจนเยอะเกินกำลังของเรา

ถาม : สิ่งที่เข้ามาอาจจะหนักสำหรับเรา
ตอบ : แล้วคุณจะไปกลัวทำไม ?

ถาม : เรื่องสังขารร่างกายผมไม่มีปัญหา ผมไม่กลัว แต่..
ตอบ : คุณไม่ต้องไปใส่ใจ การที่เราตัดการเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ โดยการใช้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแค่ชั่วอายุไม่กี่ปีของเรานี้ ดีกว่าการเกิดมาทุกข์อีกนับกัปไม่ถ้วน แล้วทำไมเราจะอยู่กับโลกนี้โดยดีไม่ได้

แทนที่จะรู้สึกกลัว ควรจะรู้สึกบันเทิงเริงใจมากกว่า ถ้าเขายิ่งทวงมากเท่าไร เราก็ไปได้เร็วเท่านั้น

เถรี
18-03-2011, 12:15
ถาม : พระคำข้าว หลวงพ่อเคยบอกว่า..?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ถ้าคุณไปภาวนาคาถาเงินล้านภายในสองเดือนก็รู้เรื่องแล้ว

ถาม : ภาวนาเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง โดยประมาณใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เรื่องของเรายังไม่หนักหนาสาหัสหรอก เรื่องของพระคำข้าวที่ท่านให้ขอพรได้ อาตมาไม่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อเอง แต่เขาบอกต่อ ๆ กันมา แล้วมาเข้าหู อะไรที่ไม่ได้ยินมาจะไม่กล้ายืนยัน

ถาม : เห็นเขาอ้างว่าท่านบอก
ตอบ : อาตมาเพียงแต่บอกให้ทราบว่า ได้ยินมาอย่างนี้ แต่ไม่ได้ฟังจากปากหลวงพ่อเอง

ถาม : เขาบอกว่าถ้าไม่สุด ๆ เต็มที่ จนเลือดตากระเด็น อย่าไปทำเลย
ตอบ : อาตมาเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำด้วย เพราะว่าการที่เราใช้อะไรบางอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาเขาทวงคืนก็โดนมากเหมือนกัน

ถาม : เหมือนกับเราติดหนี้มากขึ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นอย่าไปทำ ใช้ความสามารถของเราเองนี่แหละ ถ้าคุณภาวนาคาถาเงินล้านให้อารมณ์ทรงตัวเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภายในสองเดือนต้องเห็นผลแน่นอน ขอยืนยัน

ทุกวันนี้อาตมาทำอะไรง่าย จนคนเขาอิจฉากันหมดแล้ว เพราะจริง ๆ ก็คือ คาถาบทเดียวนี่แหละ ขอให้เราทำจริงเท่านั้น ทุกอย่างสะดวกแน่

เถรี
18-03-2011, 12:27
ถาม : เราโดนกดให้หลับลงไป พระท่านอยากจะบอกอะไรเราสักอย่างหนึ่งหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พระ ก็พรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์

ถาม : ถ้าเราหลับไป เราจะรู้เลยหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หลับ เราจะอยู่ในช่วงของอุปจารสมาธิหรือฌานสี่ไปเลย แล้วแต่ความสามารถของเรา ถ้าความสามารถเราไม่พอ ก็อาจจะแค่อุปจารสมาธิ จะรู้สึกเคลิ้ม ๆ เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือถ้าเราทำได้ถึงฌานสี่ ก็เป็นฌานสี่เต็มกำลัง ออกแบบเต็มกำลังไปเลย

ถาม : กลับมาจะจำได้ไหมคะ ?
ตอบ : จำได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านต้องการบอก จะจำได้แม่นมากด้วย จำเป็นถึงขนาดท่านต้องการกดเราให้หลับเพื่อบอก อย่างไรท่านก็ไม่ให้เราลืมหรอก

ถาม : แล้วอยู่ ๆ ง่วงหลับไปเลย?
ตอบ : นั่นไม่ใช่ แบบนั้นเขาเรียกว่าขี้เกียจ

เถรี
18-03-2011, 12:30
ถาม : การกระทำของคนอื่น เราเห็นว่าเป็นการกระทำที่เป็นปกติของเขา แล้วเราเกิดความรู้ขึ้นมาว่า สิ่งที่เขาทำ เบื้องหลังก็คือกิเลสสักอย่างที่นอนอยู่ข้างใต้ แล้วเราก็เห็นว่าเรามีอย่างนี้เหมือนกัน เคยทำอย่างนี้เหมือนกัน แล้วเราก็เตือนตัวเองโดยกะทันหันว่า ต่อไปเราอย่าทำนะ อันนี้เขาเรียกว่าสนใจจริยาคนอื่นหรือเปล่า?
ตอบ : ท่านเรียกว่า อัตตนา โจทยัตตานัง ดูแล้วเตือนตัวเอง

ถาม : แต่ว่าก้ำกึ่ง ?
ตอบ : ถ้าเลี้ยวผิดนิดเดียวก็ไปเลย บอกแล้วว่าความดีกับกิเลสหน้าตาเหมือนกัน เหลือก้าวสุดท้ายว่าจะเลี้ยวไปทางไหนเท่านั้น

ถาม : หากเราไปเพ่งโทษ ?
ตอบ : เจ๊งแน่..แต่ถ้าเก็บไปสอนใจตัวเอง โดยที่ไม่จับผิดเขา เห็นว่าเป็นปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอันว่าเลี้ยวถูก

เถรี
19-03-2011, 10:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเนื้อนวโลหะ ท้ายสุดเงินที่ผสมอยู่ก็จะทำให้เนื้อเป็นสีดำอยู่ดี เหตุที่ดำเพราะว่าเวลาเนื้อเงินทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จะเกิดออกไซด์ขึ้นมา ลักษณะเหมือนกับสนิม ทำให้พระที่เป็นเนื้อนวโลหะค่อย ๆ ดำขึ้นเรื่อย ๆ

สมัยอาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านจะมีครอบน้ำมนต์อยู่ใบหนึ่ง ถ้าสมัยนี้ก็เป็นขันน้ำมนต์ แต่เป็นขันน้ำมนต์ที่มีเชิงและมีฝาปิด ครอบน้ำมนต์ของหลวงปู่ใบนั้นดำปี๋เลย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร แต่อาตมาเห็นนี่น้ำลายไหลเลย เพราะเป็นครอบน้ำมนต์ปทุมโลหิตของสมเด็จพระสังฆราช(แพ) ท่านหล่อให้เฉพาะลูกศิษย์สำคัญ เอาไว้อาตมามีอารมณ์จะทำครอบน้ำมนต์บ้าง"

ถาม : ต้องช่วยทำให้ท่านมีอารมณ์ จะได้สร้าง
ตอบ : ถ้าไม่มีคำสั่ง ก็ไม่มีอารมณ์จริง ๆ อาตมาเป็นคนขี้เกียจมาก ขนาดหลวงปู่ปานท่านสั่งให้ทำล็อกเก็ตรุ่นแรก อาตมากราบเรียนหลวงปู่ว่า "ไม่ทำได้ไหมครับ เพราะผมปลุกเสกไม่เป็น" ท้ายสุดหลวงปู่บอกว่า ไปทำมาเดี๋ยวท่านเสกให้เอง นั่นแหละ..จึงได้เริ่มสร้าง

ที่ขำที่สุดก็คือ วันเสาร์ ๕ ที่จะทำพุทธาภิเษก บ่ายสามโมงแล้วอาตมายังช่วยเขาฝึกมโนมยิทธิอยู่ที่วัดท่าซุงเลย พอเสร็จจากมโนมยิทธิก็ตีรถกลับมาที่บ้านอนุสาวรีย์ มาถึงเวลา ๖ โมงครึ่ง ก็ดีใจว่าทันหนึ่งทุ่มตามที่หลวงปู่ท่านนัดเอาไว้ พอมาถึงปรากฏว่า เครื่องบวงสรวงทุกชิ้นวางไว้อย่างเรียบร้อย เขารอให้อาตมากลับมาจัด..!

ไม่มีใครกล้าจัดเอง กลัววางผิด อาตมาจึงต้องจัดให้ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็หนึ่งทุ่มยี่สิบนาที ปาดเหงื่อได้ก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ เจอหน้าหลวงปู่ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า "ไปไหว้พระเถอะลูก เสร็จตั้งนานแล้ว" ท่านแอบเสกให้ตอนไหนก็ไม่รู้ ?

ของบางอย่างก็เป็นอุบัติเหตุเหมือนกัน ทุกคนคิดเหมือนกันว่ารอพระอาจารย์ดีกว่า จะได้ไม่ผิด จึงมีรายการด่ากระจาย และก็แนะนำว่าอะไรควรจะทำอย่างไร วางไว้ด้านไหน

เถรี
19-03-2011, 10:29
ตอนนั้นมหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) ท่านยังไม่ได้บวช ยังเป็นหมอเออยู่ ท่านก็เลยรีบศึกษาไว้ ก่อนที่จะโดนด่าอีก เพราะเครื่องบวงสรวงจะมีส่วนสำคัญอยู่สามสี่อย่าง

อย่างแรก คือ ต้นบายศรี ไม่ว่าเราจะทำบายศรีเป็นสีอะไรก็ตาม ให้ติดสีแดงไว้นิดหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรจะเอากลีบกุหลาบแดงติดยอดบายศรีก็ได้ ท่านบอกว่าสีแดงเป็นสีของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ส่วนใหญ่ในงานบวงสรวงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านจะรับภาระโดยตรง ให้ติดสีแดงไว้บ้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของท่าน

ประการที่สอง ก็คือ สีของบายศรีปากชามสี่ทิศ แต่ละทิศเป็นสีจำเพาะของท้าวมหาราชแต่ละพระองค์ คือ ทิศเหนือสีแดง ทิศใต้สีม่วง ทิศตะวันออกสีเหลือง ทิศตะวันตกสีขาว

อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ หัวหมูกับไก่ สามทิศวางหัวหมู แต่ทิศเหนือต้องวางไก่เท่านั้น อย่าผิดทิศเป็นอันขาด อาตมาไปย้ายให้มาหลายเจ้าแล้ว บางเจ้าสี่ทิศก็ผิด และมีบางรายเห็นวัดมีสัปทนก็เลยกางบ้าง แต่ไม่รู้ว่าเขากางตามสีทิศเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..สัปทนถ้าจะใช้ก็สี่สีเหมือนกัน คือ เหนือแดง ใต้ม่วง ตะวันออกเหลือง ตะวันตกขาว

ถาม : ทิศนี่ดูตามเข็มทิศหรือคะ ?
ตอบ : เอาทิศจริงเป็นหลักจ้ะ ตามเข็มทิศไม่ได้ ถ้าตามเข็มทิศ ทิศจะเพี้ยนไป ๒๓ องศาครึ่ง เคยเรียนมาหรือเปล่า ? ถ้าเรียนมาเขาจะบอกว่าแกนโลกเอียง ๒๓ ๑/๒ องศา เพราะฉะนั้น..ทิศจริงกับทิศเข็มทิศจะเพี้ยน ๒๓ ๑/๒ องศา

ถาม : แล้วควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ดูตะวันเป็นหลัก ถ้าตะวันไม่มีก็ถามเจ้าของสถานที่ว่าแดดออกทางไหน

ถาม : บวก ๒๓ องศาครึ่งไปทางไหน ?
ตอบ : ไม่ต้องบวกต้องลบ ดูของจริงเลย ถึงเวลาคุณหันหน้าเข้าหาเหนือ ขวามือคือตะวันออก ฯลฯ ถ้าคุณไม่มั่นใจ คุณก็หันไหล่ขวาเข้าหาดวงตะวัน ตรงหน้าคุณคือทิศเหนือ ถ้าหลังคือทิศใต้ ซ้ายมือคือตะวันตก แต่ถ้าเป็นตอนบ่ายก็ตรงกันข้าม ตอนบ่ายหันหน้าเข้าหาทิศใต้ ซ้ายมือคือตะวันออก

เถรี
19-03-2011, 10:41
ถาม : ไก่กับบายศรีจำเป็นต้องวางตรงกันเป๊ะ ๆ เลยไหมครับ ?
ตอบ : เอาทิศที่ใกล้เคียงที่สุด

ถาม : ทั้งไก่และบายศรีเลยหรือครับ ?
ตอบ : ใกล้เคียงที่สุด ใกล้ความจริงที่สุด ถ้าเป๊ะ ๆ เลยยิ่งดี

ถาม : แล้วทำไมต้องทาสีแดง ?
ตอบ : เรื่องของการทาสีหรือรองด้วยกระดาษแดง เกิดจากครั้งหนึ่งพระท่านบอกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ถ้ารองหัวหมูและไก่ด้วยกระดาษแดงจะป้องกันเรื่องไฟไหม้และฟ้าผ่าได้ ใครทำการบวงสรวงที่บ้าน ควรจะทำอย่างนั้น อธิษฐานขอให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านสงเคราะห์เรื่องกันไฟไหม้กันฟ้าผ่าได้

พอหลวงพ่อท่านถามท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านให้เพิ่มว่า ถ้าต้องการป้องกันวินาศภัย ให้ทาหัวหมูและไก่ด้วยสีแดง ถ้ารองด้วยกระดาษสีแดงกันไฟไหม้กันฟ้าผ่า แต่ถ้าทาหัวหมูและไก่ด้วยสีแดง จะป้องกันวินาศภัยได้ด้วย

แสดงว่าห้างเซ็นเตอร์วันไม่ได้ทำอย่างนี้ เลยโดนเผากระจาย ตึกข้าง ๆ บ้านอนุสาวรีย์นี่ก็โดน จนกระทั่งคนเขาตกใจว่าบ้านอนุสาวรีย์โดนเผาไปด้วยแล้ว เพราะไฟไหม้ตึกแถวเดียวกัน แต่ขอโทษ..บ้านอนุสาวรีย์บวงสรวงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ถาม : จำเป็นว่า ต้องเป็นบายศรี ๙ ชั้นหรือเปล่า ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเรามีแรงทำเท่าไร บายศรีจะมี ๕ ชั้น ๗ ชั้น ๙ ชั้น แล้วแต่เราจะทำ แต่สำคัญตรงลูกบายศรี (ลูกบายศรี คือ ชั้นที่เหมือนกับนิ้วมือ) ถ้าไหว้พระ ลูกบายศรีให้มีอย่างน้อย ๙ ชั้น แต่ถ้าไหว้พรหมหรือเทวดาให้มีน้อยกว่านั้น ส่วนใหญ่เขาเลือก ๗ ชั้น จะได้เป็นสัญลักษณ์ว่าชุดนี้ไหว้พระหรือไหว้พรหมเทวดา

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=11980&stc=1&d=1300506323
ลูกบายศรี


คำว่า บาย เป็นภาษาเขมร แปลว่า ข้าว บายศรี ก็คือ ขวัญข้าว แต่ถ้าซีบาย แปลว่า กินข้าว แต่ถ้ากินน้ำ ภาษาเขมรว่า อมตรึ๊ก

เถรี
19-03-2011, 10:49
ถาม : เขาบอกว่า บายศรี ๕ ชั้น สำหรับเสกพระบูชา ๙ ชั้นสำหรับเสกพระเครื่องด้วย จริงหรือเปล่าครับ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! เสกพระบูชาไม่จำเป็นต้องมีหัวหมูกับไก่ แต่ถ้าพุทธาภิเษกพระเครื่องต้องมีหัวหมูกับไก่ ขาดไม่ได้

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านขอเอาไว้ว่า การเสกพระเครื่องไม่เหมือนกับพระบูชา พระบูชาเราตั้งไว้บูชาที่บ้าน แต่พระเครื่องเราติดตัวไว้ เป็นการตัดเคราะห์ไปในตัว ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ถ้าเคราะห์หนักจะเป็นเบา เคราะห์เบาจะเป็นหาย เพราะฉะนั้น..การพุทธาภิเษกพระเครื่อง เครื่องบวงสรวงชุดบายศรีต้องเต็มชุดขาดไม่ได้ แต่ถ้าพุทธาภิเษกพระพุทธรูปที่บูชาอยู่กับบ้าน ไม่ต้องมีหัวหมูกับไก่ก็ได้

ฟังแล้วเข้าใจซะใหม่นะ แต่ไม่ต้องไปอธิบายให้เขาฟังหรอก ปล่อยให้เขาโง่ต่อไป..! อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่า เรียนมาด้วยกัน แต่ทำไมบางคนจำมาไม่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่สงสัยแล้ว

ระยะหลังพวกเราจะเห็นอะไรเพิ่มมาบนโต๊ะบายศรีเยอะแยะไปหมด บางรายก็เป็นปลากะพงแป๊ะซะ ขอยืนยันว่า..ตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องเป็นปลาช่อนแป๊ะซะเท่านั้น และขอร้องอย่าราดน้ำจิ้มมา เคยมีตัวอย่างราดน้ำจิ้มมาเรียบร้อยเลย ถ้าอยากจิ้มมากนักให้เตรียมไว้ต่างหาก ลาเสร็จแล้วค่อยมาว่ากัน

มีหลายแห่งที่จัดผลไม้ ๙ อย่างมา ซึ่งก็ถือว่าเกินดีกว่าขาด แต่ต้องมีกล้วยน้ำว้า ส้มโอ มะพร้าวอ่อนเป็นหลัก เพราะสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ท่านขอไว้ อีก ๖ อย่างเราจะจัดเพิ่มก็ไม่ว่า เกินดีกว่าขาด แต่ถ้าพอดีจะดีที่สุด

ที่เห็นเกินมาเยอะก็คือ ทองหยิบ ฝอยทอง กับขนมจีนน้ำพริก เป็นของที่ใช้ในการบนเสด็จในกรมหลวงชุมพร ถ้าเป็นขนมจีนไม่ว่าจะน้ำพริก น้ำยา ซาวน้ำอย่างเดียว โดยไม่มีฝอยทอง เขาเอาไว้สำหรับการบวงสรวงเฉพาะในวัดท่าซุงเท่านั้น เพราะว่าหลวงปู่ขนมจีนท่านชอบอย่างนั้น และท่านมีหน้าที่เป็นจเรทั่วไป คือ ตรวจดูความประพฤติของพระของเณรในวัด

เถรี
19-03-2011, 10:58
ในเมื่อหลวงปู่ท่านมีหน้าที่ทั่วไปในการตรวจควบคุม ท่านก็เลยขอไว้ว่า เมื่อถึงเวลาบวงสรวงให้มีสัญลักษณ์ของท่านด้วย ก็คือให้มีขนมจีนสักถ้วยหนึ่ง จะเป็นน้ำยา น้ำพริก หรือซาวน้ำก็ไม่ว่า แต่ให้มีไว้ ก็แปลว่าขนมจีน ถ้าไม่ใช่ขนมจีนพร้อมกับทองหยิบฝอยทองซึ่งเป็นของที่ใช้บนเสด็จในกรมหลวงชุมพรแล้ว เอาไว้สำหรับใช้ในการบวงสรวงเฉพาะในวัดท่าซุงเท่านั้น

ของอีกอย่างที่เห็นเกินมา คือ ถั่วลาชมาศ เขาใช้ในการบวงสรวงเพื่ออัญเชิญพระภูมิเจ้าที่ ถ้าตั้งศาลใหม่ก็ใส่ถั่วลาชมาศเข้าไป แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องมี เห็นหรือยังว่าเรียนมาด้วยกันแท้ ๆ แต่เขาแตกแขนงไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

เหมือนกับพระพุทธศาสนามหายาน ต้นฉบับที่เป็นมูลสรวาสติวาทหายหมดแล้ว..ใช่ไหม ? กลายเป็นโยคาจารย์ เป็นอาจาริยวาท ในที่สุดก็กลายเป็นเกจิอาจารย์ คำว่า เกจิอาจารย์ แปลว่า อาจารย์ต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันเรามาใช้ในความหมายว่าเป็นผู้ขลังไปแล้ว

ถาม : ถ้าเราไหว้พระที่บ้าน ตั้งบายศรีไหว้พระเฉย ๆ แล้วนึกถึงหลวงปู่ขนมจีน ก็เลยตั้งขนมจีน ?
ตอบ : ถ้าเจตนาอย่างนั้นก็ทำไป แต่บางท่านเข้าใจผิด เห็นว่าที่วัดท่าซุงมีขนมจีน ถ่ายรูปไว้ด้วยนะ แล้วจัดตามที่วัดท่าซุง แต่ไม่รู้เขาจัดไว้ทำไม ก็จัดตามไปแบบเถรส่องบาตร เห็นอาจารย์ส่องก็ส่องบ้าง แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านส่องทำไม

เถรี
19-03-2011, 12:42
พระอาจารย์บอกว่า "อาตมาเตรียมผ้ายันต์พิชัยสงครามให้สารวัตร (สามีคุณนงลักษณ์ ปานบุญทอง) ไปรับลูกระเบิด เขาอยู่จังหวัดนราธิวาส

จะพับธงเป็นผืนเล็ก ๆ เลี่ยมติดตัวก็ได้ หรือมั่นใจว่าพกอย่างนี้แล้วไม่ทำหล่นหายก็ได้ ถ้าสวดอิติปิโสได้ทุกวันก็จะดี แต่ให้อาราธนาว่า พุทธะสังมิ สี่คำเท่านั้น ก็คือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ นั่นแหละ รับประกัน..อาตมาโดนปืนใหญ่สี่ร้อยกว่านัดยังไม่เป็นอะไรเลย

สมัยนั้นอาตมาอยู่ชายแดน ๑๓ เดือน ปะทะ ๒๖ ครั้ง เพื่อนตายไปเกือบ ๓๐ คน แต่อาตมาไม่เคยมีอะไรมาแผ้วพาน เพราะฉะนั้น..ผ้ายันต์พิชัยสงครามจะเป็นวัตถุมงคลที่อาตมามั่นใจที่สุด ไปไหนก็พกไปด้วย สมัยอยู่ชายแดนก็พกอย่างนี้ ใส่กระเป๋าเสื้อเครื่องแบบไว้

มีอยู่ครั้งหนึ่งเพิ่งจะเบิกเบี้ยเลี้ยง รวม ๆ แล้วสมัยนั้นได้แปดพันบาท โดนเพื่อนที่เล่นไฮโลล้วงเงินไป เราก็ตบกระเป๋าดู เห็นว่าธงยังอยู่ ไม่เป็นไร..เอาเงินไปถือว่าขอกันกิน แต่ถ้าล้วงธงไป ตูจะตามล่าสองหมื่นไมล์เลย..!

ธงพิชัยสงครามเป็นวัตถุมงคลที่อาตมามีประสบการณ์มากที่สุด เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ญวนเข้าตีโนนหมากมุ่น ปะทะกันตายไปสามร้อยกว่าศพ ตลอดเวลาจะมีปะทะเล็กปะทะใหญ่อยู่ทุกวัน อาตมาไปอยู่แนวหน้า ๕ เดือนกว่า แค่ช่วง ๕ เดือนปะทะไป ๒๖ ครั้ง เฉพาะประเภทหนัก ๆ ถึงตาย

แต่อาตมานิสัยเสีย พอได้ยินเสียงปืน จะวิ่งใส่อย่างเดียวเลย คือ วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาชอบตรงที่ว่า "ยิงออก" ชอบจริง ๆ เสียงดังแล้วมันดี แต่ท่านมีกติกานะ เสียงปืนดังแน่นมากที่สุดทางด้านไหน เราเข้าทางด้านนั้นจะปลอดภัย เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก หลวงพ่อท่านไม่ชอบให้ลูกน้องท่านขี้ขลาด ท่านชอบให้ออกทางที่เสียงปืนแน่นที่สุด"

เถรี
19-03-2011, 12:46
"พี่อรรณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ตอนเป็น ตชด.อยู่ ท่านข้ามไปรบฝั่งลาว พี่อรรณพจำที่หลวงพ่อบอกได้ ปรากฏว่าข้าศึกตีฐานแตก พี่อรรณพนึกถึงคำสั่งหลวงพ่อท่านได้ว่า เสียงปืนทางด้านไหนแน่นที่สุดให้ออกด้านนั้น พี่อรรณพก็ไปเลย บ้าพอเหมือนกัน


ปรากฏว่าปลอดภัยจริง ๆ พี่บอกว่า วิ่งผ่านหน้าพวกนั้น เหมือนกับเขามองไม่เห็นเรา แต่หลวงพ่อขออย่างเดียวว่า ถ้าเจอข้าศึกตรงหน้าอย่าไปยิงเขา เพราะถ้าไปยิงเท่ากับเปิดเผยตำแหน่งตัวเอง


พี่อรรณพก็หนีข้ามฝั่งไทยมา ใคร ๆ คิดว่าตายแน่ ๆ เพราะละลายทั้งฐานเลย ศัพท์คำว่า ละลาย ของทหาร คือหมดสภาพแล้ว ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว"

เถรี
20-03-2011, 08:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่เด็กเขาคิด เขาพูด เขาทำ จัดเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเขา ถ้าเราไปห้ามเขา บางทีจะทำให้พัฒนาการของเขาสะดุด ดังนั้น..ถ้าเด็กเขาไม่ได้ทำอะไรเสียหายถึงขนาดเผาบ้านเป็นหลัง ๆ อาตมาก็มักจะปล่อย

บางวันก็นั่งเป็นหุ่นให้เขาแต่งหน้าหวีผมไปเรื่อย เพราะว่าแม่เขาเป็นช่างเสริมสวย ในชีวิตเห็นคนแต่งหน้าสวยอยู่แค่ ๒-๓ คนเท่านั้น แล้วแม่เขาเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น คือเขาแต่งหน้าบางมากแต่สวย ลักษณะคนที่แต่งหน้าแบบนี้เท่าที่เห็นมามีแค่ ๒-๓ คน นอกนั้นส่วนใหญ่แล้วโปะเข้าไปเหมือนใส่หน้ากาก แล้วเขาก็ภูมิใจว่าสวย


ถ้าใครอยากรู้ว่าโปะขนาดนั้นเป็นอย่างไร ให้ไปงานรับปริญญาสักงานหนึ่งก็จะเห็นเอง อาตมาไปงานรับปริญญาแล้วหาลูกสาวตัวเองไม่เจอ เพราะหน้าเหมือนกันหมด ขนาดว่านัดกันอย่างดีว่าหน้ามอหลังมอแล้วนะ ยังหาลูกตัวเองไม่เจอ แต่การเป็นพระหนึ่งเดียวในงานก็ดีตรงที่ว่า เราจะเด่นมาก เราหาเขาไม่เจอหรอก แต่พักเดียวเขาก็หาเราเจอ"

เถรี
20-03-2011, 08:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมของวัดที่ผ่านมา พวกเราจะเห็นเด็ก ๆ ไปเข้ากรรมฐานกันหลายคน มีอยู่คนหนึ่งถือว่าเป็นอภิชาตบุตรเลย เขาไปเข้ากรรมฐานครั้งที่แล้ว ซึ่งต้องบอกว่าปฏิบัติเต็มที่จริง ๆ แค่วันครึ่ง ปรากฏว่าตอนนี้เขาใส่บาตรทุกเช้าเลย แล้วลากเอาพ่อแม่มาใส่บาตรด้วย

พ่อเขาเป็นตำรวจอยู่ที่สถานีตำรวจทองผาภูมิ แม่เขาฟ้องว่า "ตั้งแต่กลับมาจากปฏิบัติธรรม เขาร้องขอใส่บาตรทุกวันเลยค่ะ" อาตมาก็บอกว่า "ดีแล้วไม่ใช่หรือ ?"

เราลองมานึกดูว่า เด็กเขามีเวลาปฏิบัติจริง ๆ แค่วันครึ่งเท่านั้น เขายังเกิดศรัทธา ยังตั้งใจทำบุญใส่บาตรทุกวัน ต้องถามพวกเราเองว่า เราปฏิบัติมากี่ปีแล้ว ? อายเด็กบ้างไหม ? รู้สึกขายหน้าบ้างหรือเปล่า ?"

เถรี
20-03-2011, 08:46
ถาม : ท่านมีวีรกรรมกับหลวงปู่ท่านใด สมัยอยู่วัดท่าซุง ?
ตอบ : อาตมามีวีรกรรมกับหลวงปู่ขนมจีนมากที่สุด เพราะหลวงปู่ขนมจีนท่านเป็นผู้ดูแลพระเณรโดยตรง เป็นหน้าที่ของท่าน

ท่านจะต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับพระลูกพระหลานหัวดื้อพวกนี้ และมีไม่กี่คนหรอกที่ดื้อจนท่านต้องลงไม้ลงมืออย่างอาตมา ถ้าเป็นคนอื่นไปตีหน้ายักษ์ใส่ก็เลิกแล้ว ส่วนอาตมาขนาดโดนแล้วยังไม่กลัวเลย อะไรจะหน้าด้านขนาดนั้น..!

อาตมาเอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาหลวงปู่ "หลวงปู่ครับ..หลวงปู่เล่นงานผมเป็นคนแรก ผมถือว่าผมเป็นลูกคนโต เพราะฉะนั้น..กราบขอบารมีหลวงปู่ช่วยสงเคราะห์ผมด้วย ผมอยากรู้จริง ๆ ว่า อารมณ์พระอรหันต์เป็นอย่างไร ถ้าถึงเวลาผมทำถึง ผมจะได้มั่นใจว่านี่ใช่ของจริง"

ท่านถามว่า "เอ็งจะเอานานแค่ไหน ?"
"ถ้าหลวงปู่ให้นานถึงสามเดือน ผมจะบวชเอาสักพรรษาหนึ่งเลย" เพราะตอนนั้นอาตมาตั้งใจบวชแค่ ๗ วันจริง ๆ
"แน่ใจนะ ?" "แน่ใจครับ"

ตั้งแต่วินาทีนั้นคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ มีสติรู้รอบไปหมด ไม่ว่าตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจครุ่นคิดอะไร รู้เลยว่าถ้าคิดอย่างนี้แล้วจะเป็นรัก คิดอย่างนี้จะเป็นโลภ คิดอย่างนี้จะเป็นโกรธ คิดอย่างนี้จะเป็นหลง ถ้าหยุดคิดอย่างนี้แล้วจะมีคุณอย่างไร

จิตใจของเราจะสงบ เราจะมีความสุขอยู่กับการเข้าถึงความดับ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดได้ รู้ตั้งแต่ต้นยันปลายเลยว่าการเกิดการดับของกิเลสเป็นอย่างไร แล้วเราเลือกได้ว่าเราจะทำอย่างไร แล้วเรื่องอะไรเราจะไปเจ็บตัว ก็ต้องเลือกในด้านที่ไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง ในเมื่อไม่นึกคิดปรุงแต่ง ทุกอย่างก็ดับลง กิเลสก็เกิดไม่ได้ ยกเว้นเราไปเติมเชื้อไฟให้เท่านั้น

ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ แต่พอวันที่ ๙๑ กลายเป็นหมาเหมือนเดิม..! ท่านให้แค่ ๙๐ วันถ้วน ๆ ต้องบอกว่าเป็นกุศโลบาย ไม่อย่างนั้นอาตมาตั้งใจบวชแค่ ๗ วันก็จะสึกแล้ว ปรากฏหลวงปู่ท่านให้อาหารสุดยอดฝีมือพ่อครัวโลกมาชิม กินเข้าไปแล้วติดใจ เป็นตายเราก็ต้องทำอาหารรสนี้ให้ได้

เถรี
20-03-2011, 08:52
ถาม : หลังจากนั้นการทรงอารมณ์ง่ายขึ้นหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ได้ง่ายขึ้นเลย แต่เป้าหมายชัดเจนแล้ว รู้แล้วว่าตรงนี้ใช่ ต้องไปให้ถึง

ถาม : แสดงว่าจำกับความคุ้นเคยในอารมณ์นั้น ?
ตอบ : แค่วันเดียวก็น่าจะพอแล้ว นี่ตั้ง ๙๐ วัน ตอนที่ลงมาเป็นหมาเสียดายใจจะขาด ตอนแรกเราก็คิดว่าเป็นเทวดาอยู่บนฟ้า ที่ไหนได้เป็นหมาที่เดินอยู่บนวิมาน พอโดนเขาโยนลงมากองที่พื้น เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้เราก็เป็นแค่หมาเท่านั้น

ตรงนี้เรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ ก็ดี พระองค์ที่ ๑๑ ก็ดี หลวงปู่ขนมจีนก็ดี ทำให้ความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย โดยเฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเรื่องของพระ ผี เทวดา พรหม พระอรหันต์ พระนิพพาน มั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่นใจอีก โดยเฉพาะมั่นใจว่าพระนิพพานอย่างไรก็ไม่สูญแน่ เพราะอย่างพระองค์ที่ ๑๐ และพระองค์ที่ ๑๑ ก็เจอมาอย่างจัง ขนาดไปจับไปคลำมากับมือเอง

อาตมานั่งมอง เป็นไปได้อย่างไร คนตายมาสองพันกว่าปี แล้วมานั่งพูดจ้อย ๆ อย่างนี้ต่อหน้า พอคิดอย่างนั้น ท่านบอกว่า "ถ้าไม่แน่ใจ ลองคลำดูได้นะ" คิดอะไรท่านบอกออกมาหมด พอได้โอกาสเรื่องอะไรจะปล่อยผ่าน ก็ลองคลำเลย ปรากฏว่าเป็นเนื้อเหมือนกันกับเรานี่แหละ

เถรี
20-03-2011, 09:03
อาตมาเคยจับพวกผีมาแล้ว ปรากฏว่าเป็นเนื้อเหมือนกันหมด จะมีความอุ่น ความนิ่มเหมือนกัน แต่ถ้าเราตั้งใจมองเขา จะมองทะลุไปเห็นของข้างหลังของเขาได้

ทั้ง ๆ ที่เขาจับมือเรากดเอาไว้ ความอุ่น ความหนัก แรงบีบต่าง ๆ ของเขาเรารู้สึกเหมือนกับมือคนธรรมดา ทุกอย่างเหมือนคนปกติ แต่ถ้าตั้งใจมองจะเห็นแค่มือตัวเอง มือเขาจะเป็นเหมือนเงา แต่ถ้าเราหลับตาลงหรือทำเมิน ๆ ไม่สนใจ จะเห็นชัดเป็นตัว ๆ เหมือนอย่างเราเลย เพราะฉะนั้น..ตั้งใจมากไม่ได้ ตั้งใจมากกำลังเกิน จะไม่เห็น

โดยเฉพาะยายนางฟ้าบ้าจี้ เขามาช่วยกันแกล้ง พวกเขานั่งทับอาตมาตั้งแต่อกถึงปลายเท้า และแถมกดมือเอาไว้อีกต่างหาก อาตมาก็รอจังหวะเวลาเขาเผลอ พอเขาเผลอ อาตมาสะบัดตัวหลุดได้ ก็คว้าผีตัวที่อยู่ด้านหัว กะว่าจะทุ่มให้เรียงเป็นลูกระนาดเลย แต่ดันไปคว้าเอาผีผู้หญิงเข้าเต็ม ๆ พอจับโดนเอวเข้า เขาทำเหมือนกับบ้าจี้ เขาดิ้นแล้วหัวเราะ อาตมาตกใจกลัวศีลขาดจึงรีบปล่อย

เนื้อเขาเหมือนผู้หญิงจริง ๆ แต่ด้วยความที่ไปคว้าเขาเต็ม ๆ กลัวอาบัติก็ต้องรีบปล่อย ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ทุ่มเทวดาเรียงเป็นลูกระนาดแน่

เขาพยายามขู่ให้นึกถึงความดี แต่ลูกบ้าที่อาตมาเป็นนักรบมาทุกชาติ ทำให้ไม่กลัวแล้วยังสู้อีกต่างหาก ตัวที่นั่งทับหน้าอกเขากดมือติดหน้าอกไว้ แล้วยื่นหน้ามาบอกว่า "ให้บอกว่ากลัวสิ..แล้วจะปล่อย" ไม่มีทางเสียหรอก..!

เขารู้จุดอ่อนของเราทุกอย่าง แต่การทดสอบครั้งนี้อาจจะได้ผล คืออาตมาเลิกกลัวเรื่องพวกนี้ไปเลย ผลอื่นที่เขาหวังจะให้คิดถึงพระ คิดถึงพระนิพพาน คิดถึงความดี อาตมาไม่ได้นึกสักอย่างเดียว เอาแต่สู้ตลอด เกิดมาเป็นนักรบทุกชาติก็แย่เหมือนกัน เพื่อน ๆ เขานึกถึงนิพพานได้ ตัดใจตายตอนนี้ก็ไปนิพพาน แต่เราไม่เอา

โดนเขาแกล้งอยู่สามปีเต็ม ๆ สู้อย่างเดียว ตึงตังโครมครามอยู่ทุกวัน จนป้ากิมกีเขาถามว่า "หลวงพี่ย้ายของอะไรอยู่ทุกวัน ?" ความจริงวางมวยกันอยู่ เขาคิดว่าอาตมายกของย้ายของอยู่คนเดียว

เถรี
20-03-2011, 09:11
อย่างท่านโกวิทโดนเขาบีบคอจนหายใจไม่ออก ตัดใจว่า เอาวะ..ตายตอนนี้กูก็ไปนิพพาน..! พอนึกได้เขาก็ปล่อย แล้วเขาก็ยื่นหน้ามาพูดว่า "ไอ้หน้าอย่างนี้หรือจะไปนิพพาน..!" ดูถูกกันสุด ๆ นั่นขนาดนึกถึงพระนิพพานได้นะ

ส่วนหลวงพี่สามารถเป็นประเภทราคะจริต ผีเขาแกล้ง เป็นผู้หญิงเดินแก้ผ้ามาเลย หุ่นทรงถูกใจล้วน ๆ หลวงพี่สามารถนอนภาวนาอยู่ มองเห็นข้างหลังก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนปกติ ผีมาถึงก็มานอนกอดข้างหลัง หลวงพี่สามารถก็ว่า "อีห่..นี่..แกล้งกันขนาดนี้ ปล้ำแม่..เลยวะ..!" ว่าแล้วก็หันขวับไป ปรากฏว่าแม่เจ้าประคุณรออยู่แล้ว ถีบตูมเข้าเต็มอก..! หลวงพี่ท่านกลิ้งตกจากชั้นบนลงบันไดไปชั้นล่างเลย

เพราะฉะนั้น..ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เราคิดอะไรเขารู้หมด แต่เขาตั้งใจมาทดสอบ เราแพ้ตรงไหนเขาจะมาทดสอบตรงนั้น อาตมามีนิสัยมานะและสู้คนไม่เลิก ทำให้เขาทดสอบแบบหนึ่ง แต่หลวงพี่สามารถแพ้เรื่องราคะจริต เขาก็มาแบบนั้นเลย ได้ยินพี่เขาบรรยายอาตมาก็ขำ มานึกถึงสภาพตัวเองก็อนาถพอกัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ถ้ากลัวมากจนเสียสติเขาก็ไม่แกล้ง ถ้ากล้าจนบ้าไปเลยเขาก็ไม่แกล้ง เขาจะแกล้งพวกครึ่งกลัวครึ่งกล้า มันสนุกดี" ถ้าใครกำลังคิดว่าตัวเองดี ครึ่งกลัวครึ่งกล้า โอ๊ย..เขาจะแกล้งได้อย่างมีรสชาติมากเลย

เถรี
20-03-2011, 09:16
ถาม : วัดท่าขนุุนไม่มีหรือครับ ?
ตอบ : มี..แต่พวกบรรดาที่จบเกินด็อกเตอร์อยู่ในวัดท่าซุงหมด คือ พวกเกินด็อกเตอร์นี่ต้องเทวดาระดับมหาอำมาตย์ขึ้นไป เฉพาะระดับนั้นมีอยู่ ๔ ท่าน แล้วพวกระดับด็อกเตอร์มีอยู่ ๒,๐๐๐ คุณลองคิดดูว่าทั้งวัดมีเท่าไร ? นั่นแค่ระดับนั้น แล้วที่ต่ำกว่านั้นมีอีกเท่าไร ?

ปกติพวกระดับเกินด็อกเตอร์นี่ ท่านดูแลกันทีครึ่งค่อนโลก แต่นี่เหมาวัดท่าซุงที่เดียวสี่ราย ท่านไปดูแลท่าซุงเพราะเป็นสถานที่สำคัญและมีพระสำคัญอย่างหลวงพ่อท่านอยู่ด้วย ก็เลยจำเป็นต้องให้การดูแลถึงขนาดนั้น

มีสิ่งหนึ่งที่พูดไปแล้ว คนทั่วไปจะรับได้หรือเปล่า ? ก็คือ หลวงพ่อวัดท่าซุงตอนนั้นท่านรั้งตำแหน่งผู้รักษาการณ์พระพุทธศาสนา ตำแหน่งนี้หลวงพ่อท่านต้องรับไปถึง พ.ศ. ๒๕๗๗ เพราะฉะนั้น..งานนี้ท่านยังเลิกไม่ได้จนกว่าจะถึง พ.ศ. ๒๕๗๗

ช่วงนั้นบรรดาพระที่ท่านเป็นตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป ถ้าจะนิพพาน ท่านจะต้องมากราบลาหลวงพ่อด้วย เพราะพระที่ท่านได้วิชชาสาม อภิญญาหกหรือปฏิสัมภิทาญาณ ท่านจะรู้ว่าใครเป็นใคร เรื่องอย่างนี้พูดไปคนภายนอกเขาจะหาว่าบ้า เขารับไม่ได้หรอก สำหรับพวกเรานี่บ้าอยู่แล้ว ถึงบอกไปก็ไม่เป็นไร

เถรี
21-03-2011, 15:34
ถาม : การที่เราอุทิศส่วนกุศลให้กับคนตาย กับอุทิศส่วนกุศลให้กับคนเป็น ผลที่คนตายและคนเป็นได้รับ เหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ ถ้าคนตายโมทนาจะได้ผลเดี๋ยวนั้นเลย ส่วนคนเป็นจะไปรู้ผลเอาตอนที่ตายไปแล้ว

ถาม : จะต้องผ่านการโมทนาไหมครับ ?
ตอบ : มีบุญอย่างเดียวที่คนเป็นไม่ต้องโมทนา คือบุญของพ่อแม่ที่ลูกบวชพระ เป็นบุญพิเศษจริง ๆ ไม่ต้องโมทนาก็มีสิทธิ์ในบุญส่วนนั้นโดยปริยาย เพราะเขาเกิดมาได้ก็เพราะพ่อกับแม่

ถาม : ถ้าลูกสาวละคะ ต้องทำถึงความเป็นพระโสดาบันพ่อแม่จึงจะได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงพระโสดาบันหรอก แค่เป็นพระโยคาวจรพ่อแม่ก็รับไปเต็ม ๆ แล้ว ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องถึงกับเป็นพระโสดาบันหรอก แต่ถ้าถึงได้ก็ยิ่งดีใหญ่เลย

ถาม : แล้วท่านจะได้บุญนั้นอย่างไร ?
ตอบ : ก็บอกท่านสิว่า..วันนี้หนูรักษาศีล วันนี้หนูให้ทาน วันนี้หนูภาวนา

ถาม : มีลูกสาวพ่อแม่ไม่ได้บุญเป็นอัตโนมัติหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มีระบุไว้ในตำรา ควรจะบอกท่านดีกว่า เพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าท่านบอกว่า "เอ็งไม่ต้องบ้าเลย..!" ก็จบข่าว..! นอกจากจะไม่ยินดีด้วยแล้ว ยังโดนไปเต็ม ๆ อีกต่างหาก

เถรี
21-03-2011, 15:44
ถาม : กรรมหนักจะแก้ให้เบาต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าจะแก้ให้เบาจริง ๆ ต้องอยู่กับการภาวนาตลอด เพราะว่าอานิสงส์ของการภาวนานั้นแก้กรรมได้ดีที่สุด ไม่มีวิธีไหนที่จะแก้กรรมได้มากกว่านี้ ได้ง่ายกว่านี้อีกแล้ว

ถาม : รู้สึกขัด ๆ เหมือนมีอะไรมาจุกเส้น..?
ตอบ : สู้แค่ตาย ให้เราตั้งใจทำต่อไป โดยเฉพาะนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกาย ก็คือ ที่สุดลมหายใจ ภาวนาแล้วก็นึกถึงภาพพระขยายใหญ่ขึ้น แล้วดันเอาสิ่งที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ทำบ่อย ๆ ถ้าอารมณ์สมาธิทรงตัวเป็นฌานเมื่อไร พวกไสยศาสตร์ต่าง ๆ จะสลายตัวไปโดยอัตโนมัติ เท่ากับว่าเราขับออกไปได้

ถาม : เกี่ยวกับสถานที่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ถ้าเราตั้งใจภาวนาจริงก็ทำจนได้แหละ เพียงแต่ว่าสถานที่บางแห่งที่มีความเหมาะสม กำลังความดีสูง ก็จะทำให้จิตเราสงบเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น

เถรี
21-03-2011, 15:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องวัตถุมงคล ถ้าเรามีความมั่นใจพกแค่องค์เดียวก็พอแล้ว อย่างที่บอกกับสารวัตร (สามีคุณนงลักษณ์ ปานบุญทอง) ว่า อาตมาอยู่ชายแดนพกธงพิชัยสงครามอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ต้องพกให้ลำบาก เพราะมั่นใจ โดนมาเท่าไรก็ไม่รู้สึกรู้สา โดยเฉพาะวัตถุมงคลของหลวงพ่อ อาตมาชอบจริง ๆ เพราะยิงออก วัตถุมงคลของหลวงพ่อจะไปในทางแคล้วคลาด

การที่ยิงถูกแล้วไม่เข้า บางทีก็เจ็บนะ ยิงไม่ถูกเสียเลยจะดีกว่า และที่อาตมาชอบคือได้ยินเสียงดัง ๆ แล้วฮึกเหิมมาก"

เถรี
21-03-2011, 15:55
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ผู้หญิงอินเดียนแดงคนหนึ่ง เขาเคยถูกหมาป่าเก็บไปเลี้ยงอยู่ ๔-๕ ปี ไม่รู้ว่ามีบุญมีกรรมเนื่องอะไรกับหมาป่า หมาป่าคาบเด็กไป ไม่ได้เอาไปกินนะ..แต่เอาไปเลี้ยง จนกระทั่งเขาโตขึ้นมาได้ประมาณ ๕ ขวบ หมาป่าฝูงนั้นคงหากินครบรอบ จึงกลับมาบริเวณที่พ่อแม่ของเด็กคนนั้นตั้งแคมป์ประจำพอดี

เขาบอกว่า ทันทีที่เขาได้กลิ่น เขารู้ว่านี่คือกลิ่นมนุษย์ เหม็นเสียจนบอกไม่ถูก เหม็นอย่างน่ารังเกียจมาก ตอนหลังหมอผีไปเจอเข้า เขาก็เลยชิงตัวกลับมา กว่าจะสอนให้พูดภาษาคนได้ก็เป็นปี ๆ เพราะเขาชินกับภาษากายและภาษาใจแบบหมาไปแล้ว ถึงเวลามักจะแสดงออกแบบหมา กว่าจะแก้ไขให้กลับเป็นคนได้ก็หลายปี

ตอนหลังมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ เขาก็สัมภาษณ์ว่าระหว่างที่อยู่กับหมาเป็นอย่างไร ? กินอะไร ? ล่าอย่างไร ? เขาก็บอกว่าตามฝูงไปออกล่าเหมือนกัน หมาเขาจะมีการแบ่งหน้าที่ตามลำดับอาวุโส ตัวไหนอาวุโสที่สุดก็จะเป็นตัวนำ ต่อให้อายุเท่ากันแต่ถ้าสู้เขาไม่ได้ ก็จะถูกเรียงลำดับให้อาวุโสต่ำกว่าเขา

เพราะฉะนั้น..ใครที่เลี้ยงหมาแล้วหมากัดกัน อย่าไปห้าม.. ปล่อยให้กัดกันจนรู้แพ้รู้ชนะไปเลยทีเดียว แล้วเขาจะเลิกเอง เพราะว่าพอรู้แพ้รู้ชนะเขาก็จะจัดอาวุโสกันได้แล้ว ตัวแพ้ก็จะยอมรับตัวชนะ แต่ถ้าเราไปห้ามทุกครั้ง เขายังจัดลำดับกันไม่ได้ก็จะกัดกันไม่เลิก

เราคิดว่าเราเมตตา แต่ความจริงไปทำให้เขากัดกันไม่เลิก ฉะนั้น..อย่าไปยุ่งกับอนาคตของหมา ปล่อยให้กัดกันให้พอ พอแพ้ชนะกันไปแล้วเขาจะเลิกกันไปเอง

แต่เสียดาย..พวกสัตว์เขาคิดแบบคนไม่เป็น คือตอนเล็ก ๆ เราเคยตีเขา แล้วเหมือนกับว่าเขาแพ้ พอโตขึ้นเขาก็ยังรู้สึกว่าเราชนะมาตลอด เขาไม่ได้นึกว่าตัวเขาใหญ่ขึ้น สามารถที่จะสู้เราได้แล้ว"

เถรี
21-03-2011, 16:20
"แบบเดียวกับลูกเสือที่เมืองกาญจน์ ตัวหนึ่งชื่อเยน ตัวหนึ่งชื่อดอลลาร์ ที่โดนเจ้าหน้าที่ยิงทิ้ง พอเจ้าของที่เคยตีเขาทำท่าเงื้อมือมา เสือตัวใหญ่เบ้อเริ่มกลับนอนหงายกางสี่ตีนยอมแพ้ เพราะเสือเคยโดนเจ้าของตีมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าเป็นคนอื่นตีไม่ได้นะ ถ้าเป็นคนอื่นตีเสือเขาจะสู้ก่อน เพราะยังไม่รู้ว่าใครเก่งกว่า จึงไม่ยอมแพ้

ทีนี้พอคนเลี้ยงไปตีเขาบ้าง เขาก็เลยกัดคนเลี้ยง คนเลี้ยงบาดเจ็บก็เลยลืมปิดกรง เสือจึงแหกกรงออกไปได้ พวกเจ้าหน้าที่จึงจัดชุดตามล่า กว่าเจ้าของเสือจะรู้ข่าว กลับจากกรุงเทพฯ มา เจ้าหน้าที่ก็ยิงเขาตายไปแล้ว ซึ่งความจริงแค่เจ้าของเรียกคำเดียวเสือก็กลับเข้ากรงแล้ว อาตมารู้เรื่องนี้ดีเพราะเป็นเสือที่เมืองกาญจนบุรีเอง และเจ้าของเขาก็รู้จักกันด้วย

มีเสืออีกตัวหนึ่งชื่อ เมฆ อยู่ที่ซาฟารีปาร์ค อำเภอบ่อพลอย ถึงเวลาเขาจะนอนบนเตียงให้คนไปถ่ายรูปด้วย แต่ถ้าจะถ่ายรูปกับเขาต้องซื้อไอศกรีมให้เขากินก่อน อย่างนี้เขาเรียกว่าเสียหมาไปแล้ว เสือกินไอศกรีมนี่หมดสภาพจริง ๆ เขาจะเลียไอศกรีมอย่างมีความสุขมากเลย

คนอื่น ๆ เขาไปถ่ายรูปด้วย ลูกอ้อย ลูกเหมียวเขาไปถ่ายรูปแล้วเขาชวน "หลวงพ่อมาถ่ายด้วยสิคะ" อาตมาบอกว่า "ไม่..หลวงพ่อไม่ได้กลัวเสือหรอก หลวงพ่อกล้ากว่าพวกเอ็งเยอะ แต่ข้าไม่ได้บ้าว่ะ..!

ตูรู้ว่าตูสร้างกรรมไว้ทุกชาติ แล้วกรรมจะตามทันตอนนี้พอดีไหม ? แต่ละชาติตูฆ่ามาไม่ใช่น้อย ๆ นะ ถ้าเกิดกรรมตามทันตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนถ่ายรูปกับเสือได้ แต่พอเราถ่ายรูปแล้วหัวแหว่งกลับมา..!"

เถรี
21-03-2011, 16:46
"พอไปที่วัดป่าหลวงตาบัวตรงไทรโยค เสือที่วัดเลี้ยงมักจะตัวใหญ่กว่าปกติ เพราะเขาได้กินเต็มที่ เวลาพระท่านเข้าไปขัดกรง ล้างกรง ทำความสะอาด เสือก็แย่งแปรงจากพระ พอคาบแปรงได้ก็กระโดดหนี พระก็ไล่ตามไปแย่งจนกว่าเสือจะคืนแปรงให้ คิดดูก็แล้วกันว่าเขาสนิทกันขนาดนั้น

แต่เสือที่วัดป่าหลวงตาบัว เขาให้กินโปรตีนเกษตร ต้มแต่ละครั้งเป็นหม้อขนาดยักษ์เลย ถามว่าทำไมไม่ให้กินเนื้อสดบ้าง ? พระท่านบอกว่า ถ้าให้กินเนื้อสดเดี๋ยวสัญชาตญาณเดิมคืนมาหมด แล้วจะกัดคนเลี้ยง

ตอนแรกที่ไปถึง พอเห็นรั้ววัดแล้ว สูงประมาณ ๓ เมตร ก็ใจหายวาบ เพราะอาตมาเคยเห็นเสือกระโดดสูงประมาณ ๘ เมตร แล้ว ๓ เมตรจะกันได้ไหม ? แต่เสือพวกนี้สัญชาตญาณนักล่าไม่มีแล้ว เขาบอกว่าบ่ายวันจันทร์ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไป เพราะเป็นเวลาที่เขาปล่อยเสือออกมาข้างนอก ให้เขาเดินเล่นคลายเครียด ปกติที่วัดจะมีหมูป่าเป็นร้อย ๆ ตัวที่ลงมากินน้ำในบ่อแถวนั้น เพราะเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียวในบริเวณนั้น

แต่วันจันทร์หมูป่าจะไม่มา เขารู้จริง ๆ นะ วันอื่น ๆ พอ ๔-๕ โมงเย็น หมูป่าก็กรูกันออกมา ๒๐๐-๓๐๐ ตัว ลงมาถึงก็ลุยบ่อไปกินน้ำ แต่พอถึงวันจันทร์หมูสักตัวก็ไม่โผล่ให้เห็น มีอยู่เที่ยวหนึ่ง พระราชินีเสด็จที่บ้านห้วยเสือ อำเภอทองผาภูมิ บรรดาเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขาก็ขออนุญาตเจ้าอาวาสจับหมูป่าใส่กรง เพื่อให้พระราชินีท่านปล่อยคืนป่า เป็นข้ออ้างทางวิชาการที่บอกว่า ย้ายสัตว์ป่าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อให้เกิดความหลากหลายของสายพันธุ์

หมูป่าลงมากินน้ำได้สัก ๓๐๐ ตัว รู้ไหมว่าเขาจับได้แค่ ๒ ตัว ๒ ตัวที่จับได้ มีอยู่ตัวเดียวที่วิ่งไปติดตาข่ายที่เขาดักไว้ อีกตัวหนึ่งพุ่งข้ามรั้วไปแล้วขาหัก ก็เลยหนีไม่ทัน โดนเขาล้อมเอาตาข่ายตะครุบไว้ได้ ที่เหลือไม่มีสักตัวเดียวที่ติดข่าย จะว่าไปแล้วสัญชาตญาณของสัตว์นี่สุดยอดมากเลย"

ถาม : เหมือนมโนมยิทธิไหมคะ ?
ตอบ : คล้าย ๆ กัน สัญชาตญาณของสัตว์จะทำให้รู้ว่าตรงไหนอันตราย ควรจะหนีไปตรงไหนดี

ถาม : ถ้าฝึกมโนมยิทธิคล่อง ๆ ก็กลับเข้าสู่สัญชาตญาณเดิมของเราสิคะ ?
ตอบ : ก็จะเป็นแบบนั้น แต่ดีกว่าสัญชาตญาณตามธรรมชาติมาก

เถรี
21-03-2011, 16:53
ถาม : การที่อยากได้ดี หรืออยากได้มรรคได้ผล จะถือว่าเป็นในส่วนของราคะกิเลสหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าตามอภิธรรมเขาถือว่าเป็นโลภเจตนา คำว่าโลภเจตนา ก็คือเป็นส่วนของความโลภ เพียงแต่ว่าความโลภที่อยากได้ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ยังจัดเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่

แต่ถ้าเราศึกษาต่อไปแล้ว ท้ายสุดแม้กระทั่งดีเราก็ต้องวาง ตอนแรกก็เกาะดีไปก่อน อย่างน้อย ๆ อยากดีก็ยังเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ พอทำดีถึงที่สุดแล้วค่อยปล่อยดี

เถรี
21-03-2011, 17:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานของหลวงตาบัว ทางสำนักพระราชวัง ส่งช่างแทงหยวกอันดับหนึ่งไปจัดทำเมรุให้ สมัยเด็ก ๆ อาตมาเห็นเขาแทงหยวกแล้วก็ทึ่ง ทึ่งตรงที่เขากินเหล้าแล้วแทงหยวกได้มือนิ่งมาก แต่ถ้าไม่กินเหล้าแล้วมือเขาจะสั่น

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=12016&stc=1&d=1300702322
การแทงหยวกประดับเมรุ


เวลาแทงหยวกเขาจะเจาะออกมาเป็นลายกนก ลายเครือเถาต่าง ๆ ได้พริ้วมากเลย โดยเฉพาะเขาแกะฟักทองเป็นพญานาค ชูเศียรขึ้นมาได้ ดูแล้วน่าทึ่งมากว่า บรรพบุรุษของเรามีประณีตศิลป์ชั้นครูจริง ๆ

เห็นอาจารย์จากลำปางทำกระทงถวายในหลวงแล้ว สุดยอดฝีมืองานใบตองเลย นั่นท่านเรียนมาไม่กี่ปีนะ

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=12015&stc=1&d=1300702322


แล้วลองนึกว่า คนที่ทำมาทั้งชีวิต ๓๐-๔๐ ปี ฝีมือจะระดับไหน ? คนที่จะทำงานอย่างนี้ได้ จิตใจจะต้องสงบเยือกเย็นอยู่ในระดับหนึ่ง ถ้าสมาธิไม่ดี ไม่มีทางหรอกที่จะมานั่งจับนั่งพับอะไรที่ชิ้นเล็ก ๆ อย่างนั้นได้เป็นวัน ๆ ถือว่าเป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง"

เถรี
21-03-2011, 17:12
พระอาจารย์กล่าวถึงคณะของป้านุชว่า "เวลาไปฉลองกัน จะเป็นการพิสูจน์ตัวเราเองที่ดีมากเลย ว่าขณะที่คนอื่นเขารื่นเริงบันเทิงใจกันอยู่ เราไหลตามเขาหรือไม่ ? จะตรวจสอบตัวเองได้ชัดมาก"

ถาม : ในขณะไปเที่ยวหรือคะ ?
ตอบ : ใช่..ถ้าไม่มีอารมณ์จะเที่ยวก็ไม่ได้อยากไปหรอกนะ อย่างที่คราวก่อนพูดถึงเรื่องไปภูเก็ต ที่บอกว่ายิ่งแวะหลายที่ก็เท่ากับคนที่เกิดนานหน่อย

ถาม : ถ้าเราไม่ไหลตามเขา ไปเที่ยวกับเขา เราก็เซ็งสิคะ ?
ตอบ : เขาจะเซ็งเรามากกว่า ถ้าเราทรงอารมณ์อยู่ เราเองจะไปสนใจอะไร ไม่รู้สึกรู้สาเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าหน้าตาย ไม่เฮฮากับใคร เพื่อนจะเบื่อเอามากกว่า

เถรี
22-03-2011, 09:20
พระอาจารย์กล่าวว่า สุนทรภู่ท่านบอกว่า "อันตัณหาราคะนั้นสาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน"

จะว่าไปแล้ว ราคะนั้นเป็นตัวสร้างโลกมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่ได้เกิดมาพบพระธรรมกันหรอก แต่เพียงแต่ว่าเราต้องแยกแยะให้ออกว่าเป็นกาเมสุมิจฉาจาร หรือเป็นกาเมสุสัมมาจาร ? ถ้าเป็นกาเมสุมิจฉาจาร คือ เราไปละเมิดสิ่งที่เป็นของ ๆ คนอื่น ถ้าเป็นกาเมสุสัมมาจาร อย่างน้อย ๆ ก็อยู่ในกรอบของศีล ไม่ได้ไปละเมิดของใคร ยินดีในเฉพาะคู่ครองของตนเอง

ถ้าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่า สทารสันโดษ คือ ยินดีเฉพาะคู่ครองของตน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามให้มีคู่ แต่ว่าพระอริยเจ้าตั้งแต่อนาคามีขึ้นไป ท่านหมดสภาพมีคู่ไม่ได้เอง ดังนั้น..เราจะเห็นว่านางวิสาขามหาอุบาสิกา หรือว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ก็มีครอบครัวเป็นปกติ เพียงแต่ว่ายินดีเฉพาะในคู่ครองของตน

ดังนั้น..ถ้าขืนห้ามก็ไม่มีคนเกิดมากันพอดี แต่ไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าอัตราการเกิดของพุทธของคริสต์จะอย่างไรก็ต่ำอยู่แล้ว แต่ของศาสนาอิสลามศาสนาเดียวเขาเกิดชดเชยได้หมด ศาสนาอิสลามเขาถือว่าการผลิตบุคลากร โดยเฉพาะผลิตศาสนิกด้วยวิธีการแต่งงานตั้งแต่อายุน้อย ๆ เป็นเรื่องปกติของเขาเลย"

เถรี
22-03-2011, 09:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "สัตว์ก็คือคน เพียงแต่ว่ากรรมที่เขาทำมาจำกัดให้เขาอยู่ในร่างของสัตว์ เขาก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกันกับเรา แต่ว่าสัตว์ที่อยู่ใกล้คน วาระกรรมของการเป็นสัตว์ของเขาใกล้ที่จะหมดอยู่แล้ว ถ้าใจเขาเกาะคน เขาจะได้เกิดเป็นคน ถ้าใจเขาเกาะพระ เขาจะได้เกิดเป็นเทวดา

สัตว์เดรัจฉานน้อยครั้งมากที่จะตกต่ำกว่าเดิม ส่วนใหญ่ก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนเดิม ส่วนมากจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงกว่าเดิม สัตว์เดรัจฉานมีน้อยตัวที่ลงอบายภูมิ อย่างเช่น อหิเปรต กากเปรต หรือนกแสกที่บินผ่านตอนที่พระท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ แล้วส่งเสียงร้องรบกวนพระท่านแบบไม่ได้เจตนา ตัวอย่างในพระไตรปิฎกมีอยู่ ๒-๓ ราย

ดังนั้น..จะว่าไปแล้วสัตว์เขาได้เปรียบ โอกาสที่จะลงต่ำมีน้อยมาก โอกาสที่จะเกิดในภูมิที่สูงขึ้นมีมากกว่า"

เถรี
22-03-2011, 09:33
ถาม : กำลังขายบ้านอยู่ ติดขัดอะไรหรือเปล่าคะ ? หนูก็ปฏิบัติธรรมด้วยค่ะ
ตอบ : ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ไปหาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา แล้วใช้เป็นคำภาวนาแทน

ถาม : ภาวนาทุกวันหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะมีความคล่องตัวทุกอย่าง

เถรี
22-03-2011, 09:36
ถาม : ถ้าผมเอาทรายเสกของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา แล้วเอาทรายใหม่ทับ ?
ตอบ : ท่านบอกให้เอาทรายใหม่มาจำนวนเท่าที่เราต้องการ เอาทรายเสกของท่านโรยทับข้างหน้า แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นก็เอาไปใช้ตามที่เราต้องการได้

เถรี
22-03-2011, 09:39
ถาม : วิธีที่จะระงับความโกรธได้เด็ดขาด ระงับราคะเด็ดขาด ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องทรงฌานสี่จ้ะ แล้วตัดเข้าหาความเป็นพระอนาคามีให้ได้ ถ้าทรงฌานสี่ไม่ได้ จะระงับไม่อยู่

ถาม : ต้องได้ฌานสี่ก่อน ?
ตอบ : ถ้าจะระงับให้เด็ดขาดต้องฌานสี่เลย ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอที่ห้ามราคะและโทสะ

ถาม : แล้วพวกสุกขวิปัสสโกที่ทำได้ ?
ตอบ : ท่านทำได้เพราะท่านพิจารณาวิปัสสนาไปเรื่อย ๆ แล้วเข้าถึงฌานสี่เอง

ถาม : เข้าถึงฌานสี่เอง ?
ตอบ : ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้ฌานสี่นะ ท่านได้ แต่ท่านแสดงฤทธิ์ไม่ได้

ถาม : ต้องผ่านฌานสี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทาง ?
ตอบ : ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ พระอนาคามีท่านถึงได้ทรงฌานสี่เป็นปกติ

ถาม : บางทีรู้สึกว่าใช่ แต่ทำไมไม่ละให้เด็ดขาด ?
ตอบ : กำลังสมาธิของเราต้องถึง แล้วใช้ปัญญาพิจารณาจนเห็นโทษของราคะและโทสะ เมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษแล้ว จิตก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด จึงจะถอนออกมาจากตรงนั้นได้

เถรี
23-03-2011, 00:51
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ซ้อมให้คล่อง

ถาม : วน ๆ อยู่ในลักษณะนี้
ตอบ : ซ้อมเข้าออกให้คล่อง เขาจะมีความชำนาญในการกำหนดรู้ว่าตอนนี้อยู่ในระดับฌานไหน ความชำนาญในการเข้า ความชำนาญในการอธิษฐานทรงเวลา ความชำนาญในการออก ความชำนาญในการเข้าสมาธิสลับไปสลับมา เพราะฉะนั้น..ต้องซ้อมให้คล่องจ้ะ

ถาม : อารมณ์พอใจ ไม่พอใจ ตรงนี้ก็เป็นกิเลสด้วย ?
ตอบ : เป็นเต็ม ๆ อยู่แล้ว พอใจเป็นราคะ ไม่พอใจเป็นโทสะ เพียงแต่ว่าให้ยินดีในการทำความดีไว้ก่อน หลังจากนั้นพอเราดีจริง ๆ แล้ว ก็จะเลิกพอใจในความดีไปเอง ตอนแรกต้องเกาะดีทิ้งชั่วไปก่อน หลังจากนั้นแม้กระทั่งดีก็ไม่เกาะ

ถาม : พอเราดี..เราก็ยินดี พอเราไม่ดี..ความไม่พอใจก็เกิดขึ้น กิเลสตรงนี้จะเกิดขึ้น ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เราก็รู้ตามสภาวะนั้น ๆ ของคุณไม่ได้กำหนดรู้ทัน แต่ดันไปเสวยอารมณ์แทน..!

ถาม : ใช่ ๆ พออารมณ์สุขเข้า เราก็เสวยอารมณ์นั้นนิ่งไป
ตอบ : เขาให้รู้เท่าทันและปล่อยวาง เราไปยินดียินร้ายกับอารมณ์ต่าง ๆ ก็ปรุงแต่งกันไปใหญ่

ถาม : จิตที่ไปปรุงแต่งเกิดจากความคิดที่เป็นตัวอัตตาเกิดขึ้น ?
ตอบ : ที่จริงก็เป็นปกติอยู่แล้วที่จิตจะปรุงแต่ง เรามีหน้าที่พิจารณาให้เห็นว่า ถ้าปรุงแต่งแล้วจะเป็นโทษอย่างไร ในเมื่อเห็นโทษแล้วก็จะเลิกทำไปเอง ถ้ายังไม่เห็นโทษก็ยังไม่เลิกทำ ยังคิดว่าดีอยู่ ก็จะทำไปเรื่อย แล้วพาให้เราทุกข์ไปเรื่อย

เถรี
23-03-2011, 00:55
ถาม : มีอะไรที่กันผีได้ ?
ตอบ : พุทโธ

ถาม : ถ้าโดนผีเข้าไปแล้ว พุทโธไล่เลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องให้กำลังใจของเราเลื่อมใสในพุทธคุณจริง ๆ ยึดท่านเป็นที่พึ่ง เห็นว่าเป็นสิ่งประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้อีกแล้ว ถ้ากำลังใจเรายึดมั่นอย่างนี้ จะว่าอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ไปหมด ผีกลัวทั้งนั้นแหละ

ถาม : มิน่าล่ะ..ขนาดห้อยพระอยู่ยังโดนเข้าเลย
ตอบ : โดนแน่นอน เพราะเราห้อยพระอย่างเดียว แต่ไม่ได้นึกถึงท่านเลย

ถาม : อายจริง ๆ เลย
ตอบ : สมัยก่อนอาตมาใส่วัตถุมงคลไว้ที่กระเป๋าอังสะ ถูกผีนั่งทับอก ทับทั้งกระเป๋าเลย ผีเขาไม่กลัววัตถุมงคลหรอก ถ้าเราไม่ได้ยึดถือ ไม่ได้อาราธนา ใจเราไม่ได้เชื่อมั่น เราต้องมีศรัทธายึดท่านเป็นที่พึ่งจริง ๆ จึงจะช่วยได้

เถรี
23-03-2011, 01:33
ถาม : จะแย่เพราะกิเลสอยู่แล้ว
ตอบ : ก็อย่าไปสู้กับกิเลสสิ..เรามีหน้าที่ดูอย่างเดียวก็พอ ไปสู้เท่ากับเราไปแบกภาระเอาไว้ ก็หนักจนแทบจะทนไม่ไหว ปล่อยให้กองไว้ตรงนั้นแหละ นั่งมองอย่างเดียว ไม่ต่อต้านแต่ไม่ให้ความร่วมมือด้วยก็หมดเรื่อง..!

เถรี
23-03-2011, 10:39
ถาม : ความศรัทธากับความงมงาย เส้นแบ่งอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : ความศรัทธาประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ได้เชื่อในทีเดียว แต่ความงมงายนั้น เขาว่าอะไรมาเราเชื่อหมดในทันทีเลย

เถรี
23-03-2011, 10:57
ถาม : ช่วงหลังผมพยายามจับภาพพระให้บ่อยขึ้น แล้วปวดท้อง เป็นเพราะตั้งใจเกินไปหรือเปล่าครับ?
ตอบ : ไม่ใช่..เขาแค่ต้องการให้เราลืมภาพพระแล้วไปสนใจกับการปวดท้องแค่นั้นเอง ภาษานักปฏิบัติเรียกว่า ขันธมาร ร่างกายนี้แกล้ง เราก็ฉลาดพอที่จะไปสนใจกับการปวดท้องเสียด้วย..!

ถาม : ก่อนนอนถ้ามีเวลา ยิ่งเราจับพระนานเท่าไร เราก็ยิ่งปวด ต้องไปกินยา
ตอบ : ความจริงเราต้องคิดว่าตายเป็นตาย ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้ก็จะพ้นไป ในเมื่อกำลังใจเราไม่เข้มแข็งพอ เขาก็ขวางเราอยู่อย่างนั้น

เถรี
23-03-2011, 11:00
ถาม : คุณแม่ของผมนอนป่วยอยู่ อยากจะทราบว่าตอนนี้จิตปัจจุบันท่าน..?
ตอบ : บอกไม่ได้..ถ้าบอกได้บอกไปนานแล้ว บอกได้อย่างเดียวว่า อย่าตัดสินใจให้หมอเอาเครื่องมือเครื่องไม้ออกเอง ถ้าตัดสินใจอย่างนั้นคุณมีสิทธิ์ทำอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่รักษาก็ไม่รักษาแต่แรกเลย ถ้ารักษาไปแล้วบอกให้หมอวินิจฉัยเอาเองว่าควรทำอย่างไร หมอจะทำอะไรให้หมอตัดสินใจ ไม่ใช่เรา

ถาม : ไม่ทราบว่าแม่ไปหรือยัง ?
ตอบ : บางคนเขาก็ไปนานแล้ว แต่ร่างกายยังทำงานอยู่ บางคนจนกระทั่งหมดลมแล้วก็ยังไม่ไปอีกตั้งพักใหญ่ เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่รู้จริงจะกลายเป็นอนันตริยกรรม คือ ฆ่าแม่โดยไม่รู้ตัว

ถาม : ของอย่างนี้ก็คือ เราต้องทำบุญไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าท่านโมทนาได้หรือเปล่า?
ตอบ : ทำไปเถอะ..เพราะเวลาทำบุญตัวเราเองได้อยู่แล้ว ส่วนท่านจะโมทนาได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ให้เราทำไปเรื่อย ๆ

เถรี
23-03-2011, 11:14
ถาม : ผมเคยอ่านหนังสือกระโถนฯ ที่ท่านบอกว่าอมเหรียญเพื่อเตือนสติตัวเอง ผมสร้างศัตรูไว้เยอะ ก็เลยอมเหรียญทำน้ำมนต์บ้าง เพื่อจะได้เตือนสติ แต่ด้วยความเลวของตัวเอง เวลาคนอื่นว่ามาก็จะโกรธ ผมจึงกัดเหรียญแรงหน่อย มีโทษมากน้อยขนาดไหนครับ ?
ตอบ : ระวังฟันบิ่น..!

ถาม : แต่ถ้าเป็นการปรามาส ผมขอขมาโทษก็จะเบาบางลง ?
ตอบ : ขอขมาพระทุกครั้งที่จะทำความดี ไม่ว่าจะสวดมนต์ ทำกรรมฐาน ไหว้พระ ก็ขอขมาไว้ก่อน
คราวหน้าก็เอาเหรียญใหญ่ ๆ หนา ๆ สิ จะได้กัดไม่เข้า ถ้าจะอมเหรียญก็อมเหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ ของท่านน่าจะกว้างถึง ๑๐ เซ็นติเมตร..!

เถรี
24-03-2011, 15:10
ถาม : ฝึกทั้งมโนมยิทธิ ยุบหนอพองหนอ พุทโธ ฝึกทุกอย่างเลยค่ะ ไม่รู้จะเอาอย่างไหนดี ?
ตอบ : ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ชอบอย่างไหนต้องทำให้ได้ผลไปเลย ทำหลายอย่าง ๆ ไม่มีทางได้ผลหรอก เพราะเรามั่วไปหมด

ถาม : ฝึกมโนมยิทธิจะก้าวหน้าไหมคะ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าขยันซ้อมก็ก้าวหน้า ถ้าขี้เกียจซ้อมก็ไม่ก้าวหน้า

ถาม : ถ้าขยันจะทำสำเร็จใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าขยันแล้วไม่สำเร็จ แสดงว่าสติปัญญายังไม่พอ จึงทำผิดวิธี

เถรี
24-03-2011, 15:19
ถาม : พี่ชายเขาฝึกสติ เขาจะเพ่งกสิณสีอะไรดี ผมไม่รู้ว่าเขาเคยทำมาหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ถ้าอยากทำก็ทำเลย สำหรับการเพ่งกสิณ ให้ลืมตามองภาพแล้วจำภาพนั้นไว้ จากนั้นหลับตาลงแล้วนึกถึงภาพนั้น จะจำภาพได้พักหนึ่ง พอภาพหายไปก็ลืมตามอง หลับตานึกถึงใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ไปนั่งจ้อง

จะใช้กสิณอะไรก็ใช้คำภาวนาตามกสิณกองนั้น ถ้าเป็นกสิณสีแดงก็ว่าโลหิตกสิณังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่ต้องมองภาพนั้น นึกเมื่อไรก็นึกได้ แล้วให้รักษาภาพนั้นเอาไว้ พอประคับประคองไปนาน ๆ สีของภาพจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสว่างเต็มที่ ก็ลองอธิษฐานใช้ผลดู

ถาม : อย่างตัวหนูฝึกได้ไหมคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้เลือกเอาอย่างเดียว

ถาม : แล้วอย่างไหนดีครับ แนะนำหน่อยสิครับ จะได้ไปไว
ตอบ : ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีที่ไม่ดีไหม ?

ถาม : ไม่มีครับ
ตอบ : ถ้าไม่มี จะเอาอะไรก็ได้

ถาม : มีทางที่สั้น ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : ทางตรงสั้นที่สุด

ถาม : ถ้าปีหน้าผมจะบวช ผมพอจะบวชได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าถามอย่างนี้ยังบวชไม่ได้หรอก เพราะกำลังใจยังไม่พอ ถ้าจะบวชก็บวชไปเลย ตายเป็นตาย ถ้าจะตกนรกก็ให้ตกไปเลย..!

ถาม : บารมีที่จะต้องเสริมให้การปฏิบัติก้าวหน้า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้เร่งปฏิบัติไป ถ้ากำลังใจทรงตัว ทุกอย่างจะดีหมด ถ้ากำลังใจห่วยแตกอย่างคุณนี่ก็แย่ไปหมด..!

เถรี
24-03-2011, 15:28
ถาม : ทำอานาปานสติแล้วปวดหัวเรื่อย ๆ สมาธิก็ไม่ค่อยดี
ตอบ : ตัดใจได้ไหมว่า ต่อให้ตายลงไปเราก็จะทำความดีอย่างนี้ ถ้าตัดใจได้ก็จะผ่านไปได้ ภาษานักปฏิบัติเรียกว่า ขันธมาร เขาแค่มาแกล้งให้รู้สึกว่าเราเป็นอะไร จะได้เลิกการภาวนาเท่านั้นเอง

ใครก็ตามที่โดนแกล้งลักษณะนี้ ให้รู้ว่าถ้าเราทำความดีแล้วจะได้ผลเร็ว เขาจึงต้องรีบขวางเอาไว้ ถ้ามีความบ้าพอ ให้คิดว่า ถ้าจะหัวระเบิดตายไปตอนนี้เราก็จะทำต่อ ถ้าตัดใจได้แบบนี้ก็จบ

เถรี
24-03-2011, 15:49
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ท่านกวางนำเสนอวิทยานิพนธ์สามบทแล้ว เครียดจนอาเจียนเลย ท่านเป็นคนเครียดง่ายมาก และยังมีกรณีทางบ้านด้วย คือ แม่ของท่านกวางอยากจะเจอพระลูกชาย พี่สาวก็เลยพามา แต่ไม่ให้พูดด้วย พี่สาวบอกว่าพระพูดกับผู้หญิงไม่ได้เพราะเป็นอาบัติ..!

พี่สาวของท่านกวางเขาเรียนอภิธรรมมา จึงนึกถึงที่หลวงพ่ออุตตมะท่านเคยบอกกับลุงสัจจะว่า "โยมลัย..เรียนพระอภิธรรมไป เดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ" เรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคน แล้วเขาพยายามไปเรียนกัน อาตมาก็ว่าเหลวไหล

เราลองนึกดูซิว่า..ด้วยอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า การประมวลผลของพระองค์ท่านน่าจะเร็วกว่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์สมัยนี้ พระองค์ท่านยังใช้เวลาตรึกตรองพระอภิธรรมอยู่ถึง ๗ วัน พระองค์ท่านขึ้นไปสอนบุคคลที่เป็นอุคฆติตัญญูอย่างเทวดานางฟ้าและพรหม ที่ฟังแค่หัวข้อก็เข้าใจว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร ยังใช้เวลาสามเดือนของมนุษย์ แล้วอย่างนี้จะมีใครบ้างที่สามารถฟังพระองค์ท่านเทศน์อภิธรรมตั้งแต่ต้นจนจบได้ ?

เพราะฉะนั้น..พระอภิธรรมเป็นสิ่งที่พระองค์ท่านไม่ได้สอนมนุษย์ แต่คนสมัยนี้เขาพยายามเรียนกัน แล้วตรงเป็นสากกระเบือเลย พอแม่ท่านกวางควักเงินจะทำบุญ เขาก็บอกว่า "แม่จะทำให้ตัวเองตกนรก..! พระเขาห้ามรับเงินไม่รู้หรือ ?" ท่านกวางจึงเครียดเสียจนผมแทบหงอกเลย

ท่านกวางบอกว่า "แทนที่แม่ผมจะได้บุญบ้าง กลายเป็นพี่สาวผมขวางบุญแม่ทุกอย่างเลย พี่สาวผมว่า..ก็เพราะแม่ทำอย่างนี้แหละ ไปทำให้พระศีลขาด ก็เลยเหลือแต่พระเลว ๆ ไม่มีพระดี ๆ เหลืออยู่เลย..!" คราวนี้รู้หรือยัง ? ทำไมคนเรียนอภิธรรมถึงไม่มีพระให้ไหว้ เพราะรู้มากกว่าพระ เก่งกว่าพระ"

ถาม : แม่ชีเขาชอบเรียนอภิธรรมกัน เรียนแล้วก็มานั่งจับผิดพระ
ตอบ : แม้กระทั่งความยินดี คือ ฉันทะในการปฏิบัติธรรม ทางอภิธรรมเขายังถือว่าเป็นโลภะเจตนา เป็นจิตที่ประกอบด้วยความโลภ ถ้าคนเขาไม่เข้าใจคำอธิบายตรงนี้ก็ตายเลย แล้วอย่างนี้ใครเขาจะปฏิบัติธรรมกัน เพราะเห็นว่าเป็นความโลภเสียแล้ว

เถรี
24-03-2011, 15:58
ถาม : เมื่อวานไปกราบหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศมา เพิ่งทราบมาท่านต้องนั่งรถเข็น พอทำวัตรเสร็จ ท่านก็ยังเทศน์ เสียงท่านก็ไม่ค่อยจะมี ท่านก็ยังเทศน์
ตอบ : งานวันเกิดท่าน ทั้งคนและพระมากราบท่านมหาศาลเลย พออาตมาเข้าไปเห็นท่านนั่งอยู่ ก็รู้ว่าท่านไม่มีกำลัง แต่ท่านต้องนั่งอยู่เพื่อให้กำลังใจคนที่มาหา รู้เลยว่าท่านทุกข์ขนาดไหน ลำบากขนาดไหน เพราะอาตมาเคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน

เวลาป่วยหนัก ๆ จนนั่งไม่ติด แต่ยังต้องทนนั่งยิ้มเพื่อให้กำลังใจโยมที่มา วันนั้นท่านก็นั่งไม่ติดแล้ว แต่ก็พยายามฝืนใจนั่ง อาตมาเข้าไปเป็นคนแรก ๆ ส่วนคนข้างหลังอีกกี่พันก็ไม่รู้ ท่านต้องทนนั่งอีกนานเท่าไร ?

พออาตมาเข้าไปถึงถวายเครื่องสักการะเสร็จ ก็เดินวนออกข้างหลังไปเลย ทำเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเขาดู คงเป็นที่ถูกใจ เลยมีเสียงตามสายดังมาข้างหลังจากเจ้าหน้าที่ว่า ให้ทำตามอย่างนั้น และขอร้องว่าอย่าถวายแจกันดอกไม้สด ใครมีแจกันดอกไม้สดให้ถวายหน้าพระพุทธรูป เพราะตอนนี้ร่างกายของหลวงพ่อสมเด็จท่านอ่อนแอมาก แพ้ทุกอย่าง ถ้าโดนเกสรดอกไม้ไปก็จะแย่อีก

ถาม : เห็นแล้วก็สลด เอาชีวิตเราไปแทนท่านดีกว่าไหม ?
ตอบ : แลกกันไม่ได้..ไม่มีใครเขาเอาโคตรเพชรขนาดนั้นไปแลกกับก้อนกรวดหรอก..!

เถรี
24-03-2011, 16:06
ถาม : โยมไม่แน่ใจว่า นี่เป็นพระพุทธสารีริกธาตุจริงหรือไม่ ?
ตอบ : ตรงนั้นไม่สำคัญจ้ะ สำคัญอยู่ที่เรานึกถึงพระได้ไหม ? ถ้าเรานึกถึงพระได้ก็เป็นของจริง สำคัญที่อนุสติ คือการระลึกถึง ถ้าไม่ได้นึกถึงต่อให้ได้ของจริงมาก็เท่านั้นแหละ

เถรี
24-03-2011, 16:09
พระอาจารย์บอกว่า "วิธีฝากบ้านกับเทวดา ท่านให้ทำกระบะทรายแล้วจุดธูป ๕ ดอก ขอบารมีพระ พรหม เทวดา และเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายได้โปรดสงเคราะห์ ช่วยรักษาบ้านของเราให้ปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ เสร็จแล้วก็ปักธูปที่มุมทางทิศเหนือก่อนว่า เวสสุวัณโณ

ไปทางใต้-วิรุฬปักษี ตะวันตก-วิรูปักษา ตะวันออก-ธะตะระโฐ แล้วมาตรงกลางว่า นะโมพุทธายะ เพราะฉะนั้น..จึงต้องปักธูป ๕ ดอก"

เถรี
24-03-2011, 16:19
ถาม : อย่างรูปท่านท้าวมหาราช ผมพิมพ์เยอะ ๆ แล้วไปเข้าพุทธาภิเษกได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่อย่าเสือกมาให้ตูแจก..! เอาไปแจกเอง อะไรที่ท่านไม่ได้สั่งให้ทำจะกลายเป็นส่วนเกิน เพราะจัดการยาก..!

ถาม : ถ้าเราพิมพ์รูปภาพของท่านท้าวมหาราชมาติด แล้วหันหน้าไปทางทิศไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ? จำเป็นต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดอย่างคุณก็ลองทดสอบดูได้ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านรับสังฆทานอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร พอญาติโยมน้อยลง ท่านก็ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย พอท่านเดินไปข้างหลัง ปรากฏว่าเจอพระสังฆทานหน้าตัก ๕ นิ้วอยู่องค์หนึ่ง ที่เขารับแล้วยกไปไว้ข้างหลัง แต่หันหน้าผิดทิศ


ท่านถามหลวงพี่วิรัชที่เดินตามไปว่า "ใครเป็นคนวางวะ ? รีบหันเสียให้ถูกเดี๋ยวนี้เลย..!" นั่นแค่ชั่วคราวนะ..ท่านยังไม่ยอมเลย อะไรที่ท่านเตือน แสดงว่าท่านโดนจนเข็ดแล้ว แต่ถ้าคุณจะทดสอบดูก็ได้

ถาม : แบบนี้พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในรถ เราก็ต้องหันหน้ารถให้ถูกทุกครั้งสิครับ ?
ตอบ : ต้องลอง ของอย่างนี้ลองกันได้ เอาอย่างนี้นะ รถของวัดท่าขนุนเวลาจอด พระจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตลอด

เถรี
27-03-2011, 13:51
ถาม : ถ้าจะขอสมบัติจากท่านท้าวมหาราช ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไปหาท่านสิ..!

ถาม : สงสัยต้องไปถ้ำมรกตค่ะ
ตอบ : ตอนนี้พระครูแสงจะรับอาสาโยมหรือตามโยมไปก็ไม่รู้ ไปที่ภูเขาทอง เขากำลังจินตนาการบรรเจิดว่าจะเช่าช้างของชาวบ้านขี่เข้าไป


ถาม : หลวงพี่แสงท่านรู้ทางหรือครับ ?
ตอบ : บอกท่านไปนานเนกาเลแล้ว มีโยมอยู่คนหนึ่ง เขาอยากได้ทองมาก อาตมาบอกว่าไปเอาได้เลย บอกทางให้เขาไป ปรากฏว่าพอไปแล้วต้องถอยกลับมาไม่เป็นขบวน เพราะว่าเจอทาก มีทากชนิดหนึ่งเรียกว่า ทากตอง อยู่บนต้นไม้ พอเราเดินผ่านก็จะพุ่งลงมาใส่

เจออย่างนั้นก็ถอยกลับมาไม่เป็นขบวนเลย ตามสำนวนของลิลิตตะเลงพ่ายว่า "หนีญะญ่าย พ่ายจะแจ" พอเขารวบรวมความกล้าได้อีก ก็จะไปใหม่ เขาคิดว่าในเมื่อไม่ได้หลวงพี่ไป ก็เอาหลวงน้องไปแล้วกัน หารู้ไม่หลวงน้องนั่นแหละเป็นสายล่อฟ้าเลย ไปที่ไหนจะต้องมีเรื่อง ถ้าไม่มีเรื่องกับคน ก็ต้องมีเรื่องกับผี คาดว่าไม่น่าจะรอดกลับมา..!

ตรงนั้นสิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ผีและเทวดา แต่เป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักอยู่ ๒ ตัว บอกไม่ถูกว่าเป็นตัวอะไร อาตมาไปนอนที่นั่น เอาจีวรคลุมโปงอยู่ข้าง ๆ กองไฟ พอดึก ๆ เขามา ความจริงอาตมานอนอยู่ข้างลำธาร เสียงน้ำในลำธารไหลน่าจะกลบเสียงอื่นหมด แต่เขามาแล้วทำให้เรารู้สึกตัวตื่น เพราะเวลาเขาเดินแผ่นดินจะสะเทือน น้ำหนักตัวเขามาก

พอมองลอดจีวรออกมาก็คือผ้าจีวรบาง พอที่จะมองผ่านผ้าไปได้ เห็นว่าเขายืน ๒ ขาอยู่ แต่ความสูงน่าจะถึง ๓-๔ เมตร ขอยืนยันว่าเป็นสัตว์แน่นอน เพราะติดต่อด้วยกำลังใจแล้วเขารับไม่ได้ แสดงว่าไม่ใช่พวกในเขตทิพย์ คราวนี้การที่เขายืน ๒ ขาเลยไม่รู้ว่าเป็นคน ? เป็นหมี ? หรือเป็นลิง ? เขาก็มาจิ้ม ๆ ชี้ ๆ ว่า ตัวเล็ก ๆ อะไรสองตัวมานอนเกะกะอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วสักพักหนึ่งเขาก็เดินขึ้นไปทางภูเขาทอง

เกรงว่าถ้าไปเจอเจ้าสองตัวนี้ขึ้นมา เกิดเขาอารมณ์ร้ายแล้วเดี๋ยวจะซวย เพราะเรื่องผีเรื่องเทวดาเราเจรจากันได้ แต่กับสัตว์นั้นเจรจายาก โชคดีที่ว่าวันนั้นตั้งใจสร้างกำแพงกั้นเอาไว้ก่อน ใช้คาถาอิติปิโส ๘ ทิศ เสกหิน ๘ ก้อน โยนไป ๘ ทิศ แต่ต้องอธิษฐานว่า เมื่อได้อรุณแล้ว ขอให้เสื่อมอานุภาพ ไม่อย่างนั้นแล้ว เขตนั้นจะไม่มีใครสามารถเข้าออกได้

เถรี
27-03-2011, 14:05
ถาม : ประวัติศาสตร์พม่ากับประวัติศาสตร์ไทย ตรงกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยตรงกัน อย่างทางพม่าเขาระบุว่า พระนเรศวรมหาราชโดนทางพม่าทำไสยศาสตร์ถึงแก่ความตาย คือทางพม่าเขาจะเชื่อเรื่องเคล็ดลางไสยศาสตร์มาก แต่ของไทยบอกว่าพระนเรศวรเป็นฝีลักษณะติดเชื้อเหมือนเป็นบาดทะยัก

แปลกตรงที่ว่า ประวัติศาสตร์อาจจะสูญหายไป ช่วงเสียกรุงครั้งที่ ๒ เลยไม่มีเนื้อหาที่ระบุชัดเจนว่า มีการอัญเชิญพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาที่เมืองไทย หรือว่าทำการปลงพระศพกันที่พม่า ? ก็เลยมีคนพยายามที่จะโยงประวัติศาสตร์

โดยเฉพาะที่เมืองหางนั้น มีพระเจดีย์องค์หนึ่งชื่อเจดีย์พระนเรศวร เขาเชื่อว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิของท่าน ทีนี้เราลองมาคิดดูว่า ทหารไทยไปเป็นหมื่นเป็นแสน จะเอาศพเจ้านายคนเดียวกลับมาไม่ได้หรืออย่างไร ? ยิ่งเจ้านายที่เป็นศูนย์รวมจิตรวมใจของคนทั้งประเทศ เราลองคิดดูว่า ถ้าเป็นเราไปกันขนาดนั้นจะเผาศพเจ้านายที่ต่างประเทศหรือ ?

ถาม : ใครเป็นคนสร้างเจดีย์พระนเรศวร?
ตอบ : สมัยนั้นเวลาไปที่ไหน ส่วนใหญ่เขามักจะสร้างสิ่งที่ระลึกเอาไว้ แบบเดียวกับพระนางเจ้าจามเทวี ท่านไปถึงที่ไหนก็สร้างวัดไว้ตรงนั้น เดินทางจากลพบุรีกว่าจะถึงหริภุญชัย ก็สร้างวัดไว้เป็นร้อยวัด

ทางพม่าเขานิยมสร้างเจดีย์ ทหารไปกันตั้งเยอะตั้งแยะ ก่ออิฐกันคนละก้อน ก็เสร็จแล้ว

เถรี
27-03-2011, 14:15
ที่อัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือ พระมหาธาตุมุเตา (มุเตา แปลว่าจมูกร้อน) พม่าเรียก ชุยมอดอ เป็นเจดีย์องค์เดียวในพม่า ที่มียอดฉัตรแบบไทย เพราะว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกยอดฉัตรถวายเอาไว้ตอนที่ไปตีหงสาวดี

ได้ถามทางด้านฝั่งพม่าเขาว่า ทำไมถึงไม่เปลี่ยนยอดฉัตรกลับไปเป็นแบบพม่า ? เพราะถ้าปล่อยเอาไว้ เท่ากับว่าเป็นการตอกย้ำว่าคนไทยเคยมายึดแผ่นดินนี้ และแสดงพระราชอำนาจไว้โดยการยกฉัตรเจดีย์เสียใหม่ ทางด้านพม่าเขาให้เหตุผลซึ่งค่อนข้างจะเป็นไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์

เขาบอกว่าสิ่งที่บุคคลซึ่งทรงกฤษฎาอภินิหารระดับนั้นได้ตั้งเอาไว้ ส่วนใหญ่ท่านจะอธิษฐานขอบางอย่างไว้ ถ้าอยู่ ๆ ไปรื้อ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดโทษอะไรบ้าง กลายเป็นว่า พระมหาธาตุมุเตาเป็นเจดีย์องค์เดียวที่ประกาศความเป็นไทยชัดที่สุด เพราะยอดฉัตรเป็นไทย และเป็นหนึ่งในสิบสองสถานที่สำคัญที่พม่าเขาจะต้องไปให้ได้ในชีวิต

ฉัตรแบบพม่าจะมีลักษณะเป็นคล้าย ๆ พระมงกุฏครอบลงมา แต่ฉัตรแบบไทยเป็นแบบร่มเป็นชั้น ๆ ลงมา

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=12131&stc=1&d=1301210454
ฉัตรพม่า


ตอนนี้วัดหนองบัวที่สร้างไว้ ทหารเขาสกัดตัวหนังสือไทยออกหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า เดี๋ยวจะเป็นข้ออ้างให้ทางรัฐบาลไทยมายึดพื้นที่ว่าเป็นเขตของคนไทย เขาฟุ้งซ่านได้ดีมากเลย..! ตกลงว่าตัวหนังสือที่เราอุตส่าห์ใช้ภาษาพม่าอยู่ด้านบน แล้วยอมให้ภาษาไทยอยู่ล่าง ปรากฏว่าเขาสกัดภาษาไทยทิ้งหมดแล้ว

เถรี
27-03-2011, 14:23
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=12132&stc=1&d=1301210628


มีอยู่อย่างหนึ่งที่พม่าทำไว้ที่เชียงใหม่ เป็นความเชื่อถือของเขา คือ กาแล ลักษณะไม้กากะบาด เป็นไม้สะกดผีของพม่าเขา พอฝังศพเสร็จแล้วก็จะปักไม้กากบาดไขว้ไว้บนหลุมศพ

ถาม : ไม่ให้วิญญาณออกมาอาละวาดหรือครับ ?
ตอบ : ใช่..คราวนี้ที่พม่าบังคับให้คนทางเหนือใส่กาแลเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีบุญมาเกิด ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้ามีผู้มีบุญมาเกิด เดี๋ยวจะนำคนไปแข็งเมืองและยึดบ้านยึดเมืองคืนจากพม่าได้ ปัจจุบันนี้เราเห็นว่ากาแลเป็นของสวย ก็เลยทำกันใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วโบราณเขาถือว่าเป็นของอาถรรพ์

ถาม : พม่ามองว่ากาแลเป็นอาถรรพ์ ?
ตอบ : ไม่ใช่มองว่า แต่เป็นสิ่งที่เขาเจตนาเลย

ถาม : ถ้าเป็นอาถรรพ์ ตอนนี้จะยังส่งผลอยู่หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าสิ่งที่เขาเชื่อเป็นจริง ก็คงจะส่งผลแน่

ถาม : เห็นตำหนักของสมเด็จย่าก็มีกาแล
ตอบ : ที่เกาะพระฤๅษีมีเยอะแยะ

ถ้าตามความเชื่อของเขา จะเป็นการสะกดทุกอย่าง แต่จุดมุ่งหมายจริง ๆ คือป้องกันคนมีบุญมาเกิด ถามว่าป้องกันได้หรือไม่ ? ไม่ได้หรอก ภาคเหนือพระอรหันต์มีเพียบเลย

เถรี
27-03-2011, 14:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการเมืองการปกครอง เราจะเห็นได้ว่า ระบอบต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับคน ต่อให้ระบอบดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าคนมีความดีไม่เพียงพอ ระบอบก็เละจนได้ พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้สรรเสริญเลยว่าระบอบการปกครองแบบไหนดี แต่พระองค์ท่านมอบหลักธรรมให้สำหรับแต่ละระบอบว่า ถ้าปกครองในลักษณะไหน ต้องใช้ธรรมอย่างไรไปกำกับถึงจะดี

ถ้าเป็นระบอบกษัตริย์ต้องมีทศพิศราชธรรม ถ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องมีจักรวรรดิวัตร ถ้าเป็นสามัคคีธรรมหรือสมัยนี้เรียกว่าประชาธิปไตย ต้องมีอปริหานิยธรรม เพราะฉะนั้น..ในการปกครองต่าง ๆ ถ้าขาดธรรมาธิปไตย ก็ไปไม่รอดสักราย แต่เราจะบอกว่าอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ไม่ดีได้ไหม ? ไม่ได้หรอก

อย่างสมัยรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองเราเจริญอย่างมาก นั่นเผด็จการเต็มขั้นเลยนะ อัตตาธิปไตยชัด ๆ แล้วโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ หรือประชาธิปไตยอย่างในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? ก็แค่พวกมากลากไป ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบไหน ถ้าไม่มีหลักธรรมกำกับ ของดี ๆ ก็พาให้เละจนได้

พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกหรอกว่าระบอบการปกครองไหนดีล้วน ๆ ควรให้ปฏิบัติตาม เพราะรู้อยู่ว่าขึ้นอยู่กับคน"

เถรี
27-03-2011, 15:13
ถาม : ทำธุรกิจ เปิดมา ๔-๕ ปีแล้ว มีแต่ปัญหา ไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิดหรือเปล่า ? ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับเรื่องตั้งศาล ? เห็นมีคนเคยบอกว่าเป็นที่สงฆ์ค่ะ
ตอบ : ถ้าเป็นที่สงฆ์แก้ง่ายจะตายไป จุดธูปเทียนบอกกล่าวเจ้าที่แถวนั้น ว่าแต่ละปีเราจะชำระหนี้สงฆ์ให้ เราก็เอาเงินใส่ซองสัก ๓๐๐ - ๕๐๐ บาท ถือว่าเป็นการเช่าที่สงฆ์ในปีนั้น เอาไปถวายพระ บอกพระท่านว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์

ถาม : เรื่องการตั้งศาลล่ะคะ ?
ตอบ : เรื่องการตั้งศาลสำคัญตรงทิศ เอาตัวสถานที่เป็นหลักให้ศาลอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของที่ ศาลของเราอยู่ทิศไหน ?

ถาม : ทิศใต้
ตอบ : เป็นศาลอะไร ?

ถาม : ศาลพระพรหม
ตอบ : ศาลพระพรหมอยู่ทิศนั้นได้ แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวกับศาล

ถาม : แล้วต้องมีศาลพระภูมิทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือด้วยอีกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีพระพรหมแล้วจะมีพระภูมิไปทำซากอะไร..!

เถรี
27-03-2011, 20:33
ถาม : อยากให้ช่วยอธิบายเรื่องที่หลวงพ่อบอกว่า อย่าคิดว่าเราดีกว่าเขา เลวกว่าเขา
ตอบ : ตรงตามนั้นเลย ยังจะต้องอธิบายอะไรอีก ?

ถาม : ควรคิดว่าอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เลิกคิดเท่านั้นเอง เห็นว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครจะดีใครจะเลวก็ตายเหมือนกันหมด ในเมื่อตายเหมือนกันทั้งหมด จะมีใครดีกว่าใครเลวกว่าเล่า ?

เถรี
28-03-2011, 00:18
พระอาจารย์เล่าว่า "ปี ๒๕๔๙ ทหารปฏิวัติและยึดอำนาจ มีโยมมาถามอาตมาว่า บ้านเมืองเราจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม ? อาตมาบอกว่า บ้านเราถ้าไม่ถึงปี ๒๕๕๖ แล้วดียาก

ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ แต่ปัจจุบันนี้ยืนยันได้แล้ว ถึงปี ๒๕๕๔ แล้วยังเอาดีไม่ได้เลย แต่ปี ๒๕๕๖ ก็ไม่ใช่ดีพรวดพราดขึ้นไปนะ ดีในลักษณะเข็นครกขึ้นภูเขา เข็นกันหลายปีทีเดียวกว่าจะดีจริง

ของบางอย่างบอกไป ก็เหมือนกับบ้าอยู่คนเดียว เพราะสถานการณ์ตอนนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด ตอนนั้นประชาชนดีใจ สนับสนุนการปฏิวัติ ถึงขนาดเอาดอกไม้ไปไล่แจกทหาร คิดว่าบ้านเมืองน่าจะดีขึ้น

เรื่องลักษณะอย่างนี้เคยมีอยู่ ๒-๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งก็คือ คุณบังเอิญ อ่องคล้าย ภรรยาของจ่าปัญญาที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ช่วงที่กิจการท่านดี ท่านก็ไล่กว้านซื้อที่ดิน ซื้อไปสามร้อยกว่าแปลง แปลงใหญ่ ๆ ขนาด ๓๐๐-๕๐๐ ไร่ ก็มี

พอปี ๒๕๔๐ เศรษฐกิจตก คุณบังเอิญก็มาถามว่า กว่าจะดีขึ้นอีกนานไหม ? เพราะตอนนี้เงินสดในมือไม่มีเลย อาตมาก็บอกไปว่า อย่างของคุณบังเอิญต้องอีกประมาณ ๘ ปี คุณบังเอิญจากไปด้วยความไม่เชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าจะนานอย่างนั้น เพราะถ้าเขาสามารถขายที่ดินได้สักผืนเดียว เขาก็ยืนได้สบายแล้ว

หลังจากนั้น ๘ ปีผ่านไป คุณบังเอิญก็มาใหม่ มาขอขมาที่คราวนั้นไม่เชื่อ อาตมาบอกว่า สิ่งที่อาตมาพูดเป็นเรื่องที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว ไม่ต้องขอขมาก็ได้"

เถรี
28-03-2011, 00:41
"ส่วนอีกรายหนึ่งตายไปแล้ว เป็นผู้มีอิทธิพลขาใหญ่ของทองผาภูมิ ท่านลงทุนกู้เงินธนาคารมา ๗๐๐ ล้านบาท เพื่อสร้างเมืองใหม่ที่ทองผาภูมิ เนื่องจากหลักทรัพย์ของท่านพอค้ำประกัน ธนาคารจึงให้กู้

ท่านตั้งใจจะขยายตัวเมืองทองผาภูมิออกมา เพราะว่าตัวเมืองทองผาภูมินั้น บ้านมาก่อนถนน ที่ไหนก็ตามถ้าบ้านมาก่อนถนน จะขยายถนนไม่ได้ ที่ทางจะคับแคบ ทำอะไรก็ไม่สะดวก

ช่วงนั้นเศรษฐกิจรุ่งมาก เพราะเป็นช่วงปลายรัฐบาลน้าชาติ ทองผาภูมิสมัยนั้น ที่ไร่หนึ่งราคาถึง ๑ ล้านบาทก็ยังไม่ค่อยมีคนอยากจะขายเลย ปัจจุบันนี้ที่ไร่หนึ่งราคา ๓ - ๔ หมื่นบาทก็ขายได้แล้ว

ก่อนจะกู้เงิน ท่านมาถามอาตมาว่า จะทำกิจการอย่างนี้จะดีหรือไม่ ? อาตมาเตือนไปว่าอย่าทำเลย เพราะอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเศรษฐกิจจะแย่ แต่เขาดูจากเหตุการณ์แล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจรุ่งจริง ๆ ปั่นราคาที่ดินจนกระทั่งใครจับก็ได้กำไรเดี๋ยวนั้นเลย สรุปว่าท่านไม่เชื่อ ไปกู้เงินธนาคารมาทำ ทำไปได้แค่ประมาณสองปีเศษ โครงการยังไม่เสร็จเรียบร้อย เปิดให้จองยังไม่ทันจะเท่าไร เศรษฐกิจก็ตก

ท่านสบายใจมาก วัน ๆ มีแต่ธนาคารคอยไปประคับประคอง เจ็บไข้ได้ป่วยธนาคารก็ต้องไปช่วย หาหมอหายาไปให้ เพราะลูกค้าคนนี้ห้ามตายเป็นอันขาด..! จนถึงทุกวันนี้ ๑๕-๑๖ ปีผ่านไป โครงการของท่านยังขายได้ไม่ถึงครึ่งเลย

เพราะฉะนั้น..บางอย่างพูดไปก็ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากว่าค้านจากเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนั้น แต่วันนี้ที่พูดขึ้นมา เพื่อให้พวกเราทราบว่า บ้านเราสถานการณ์ยังจะอึมครึมและเลวร้ายไปอีกพักใหญ่ ส่วนพักใหญ่ของอาตมานานแค่ไหน ? บอกแล้วเดี๋ยวโยมจะเป็นลม เพราะฉะนั้น..อดทนอดกลั้น สู้ต่อไป โบราณบอกว่า ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ให้ดิ้นกันต่อไป"

เถรี
28-03-2011, 00:50
"นึกถึงปลาที่ติดแห้งอยู่บนบก ก็ต้องตะเกียกตะกายไปเรื่อยแหละ พอหมดแรงก็นอนอ้าปากพะงาบ ๆ มีแรงก็ตะกายต่อ ตัวไหนดวงดีไปถึงแหล่งน้ำทันก็รอดไป ตัวไหนดวงไม่ดี ไปไม่ถึงแหล่งน้ำ ก็กลายเป็นอาหารของสัตว์ต่าง ๆ ไป

ความจริงเรื่องอย่างนี้ไม่สมควรที่จะบอก แต่ที่บอกให้รู้ก็เฉพาะในส่วนที่พอจะพูดได้ เผื่อพวกเราจะได้ทำใจล่วงหน้าไว้บ้าง..!"

เถรี
28-03-2011, 11:19
ถาม : ไปหาหมอแล้ว หมอวินิจฉัยโรคไม่ได้ ทำอย่างไรจึงจะหายครับ ?
ตอบ : หาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงมาดีกว่า อธิษฐานกินรักษาโรค ถ้าไม่เกินกฎของกรรมจะรักษาได้ทุกโรคจ้ะ

เถรี
28-03-2011, 11:43
ถาม : ...ระหว่างทางเสียชีวิตลงกะทันหันค่ะ
ตอบ : ไม่กะทันหันหรอกจ้ะ เพียงแต่เราทำใจไม่ทันเท่านั้นเอง

มีนิทานเล่าว่า คนหัวหมอคนหนึ่ง ตายแล้วไปต่อว่าพระยายม ว่า ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้เอาชีวิตเขามา ไม่มีการตักเตือนกันล่วงหน้าก่อน ทำอย่างนี้ถือว่าผิดระเบียบ..!

พระยายายมบอกว่า "ข้าส่งจดหมายไปให้เอ็งตั้งหลายฉบับเป็นการเตือน เอ็งไม่ได้รับเลยหรือ ?"
"ไม่เคยได้รับเลย ท่านส่งไปจริงหรือ ?"

"ส่งไปจริง"
"ส่งไปแบบไหน ?"
"ครั้งแรกที่ข้าส่งไป คือให้เอ็งเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เอ็งไม่เคยรู้ตัวใช่ไหมว่าจะตาย ? ครั้งต่อไปก็ผมหงอก ครั้งต่อไปก็ฟันหัก ครั้งต่อไปหูก็เริ่มหนวก ทำไมเอ็งถึงไม่ฟังคำเตือนของข้าบ้างเลย ?"

สรุปว่าพระยายมท่านส่งจดหมายเตือนมาโดยตลอด เพียงแต่เราไม่พยายามรับรู้เอง เรื่องนี้เป็นนิทานนะจ๊ะ ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นนิทานอิงธรรมะ

เถรี
28-03-2011, 12:51
พระอาจารย์เตือนโยมคนหนึ่งว่า "รู้จักคำว่า "อบายมุข" ไหม ? คำนี้ถ้าแปลตรง ๆ แปลว่า ปากทางแห่งความฉิบหาย เพราะฉะนั้น..ถ้าเลี่ยงได้ก็จะดี อยากประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ให้ทุ่มเททำงาน ไม่มีหรอกทางที่รวยง่าย ๆ ถ้ามีเขาก็รวยกันหมดแล้ว

เขาทำวิจัยแล้วพบว่า การพนันทุกประเภท เจ้ามือมีโอกาสชนะ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ คนแทงมีโอกาสแค่ ๒ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น..คนเล่นมีโอกาสหมดตัว โดยเฉพาะได้เงินมาง่าย ก็จ่ายง่ายไม่มีเหลือ โบราณเขาเรียกว่าเงินร้อน ในชีวิตอาตมายังไม่เคยเห็นใครรวยเพราะเรื่องนี้เลย

แต่มีกำลังใจอยู่ส่วนหนึ่งของนักเล่นการพนัน ถ้าปรับเปลี่ยนได้ จะเป็นนักปฏิบัติที่สุดยอดมากเลย สมัยอาตมายังวัยรุ่นอยู่ ทางบ้านมีรุ่นพี่คนหนึ่งนั่งตีป๊อกเด้งไม่ลุกไปกินอะไรเลย นั่นถือว่าระดับนิโรธสมาบัติเลยนะ..! ไม่กินไม่ถ่าย นั่งอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน..!

อาตมาลองไปนั่งดูอยู่สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น พอหลับตาเห็นแต่โพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด บินให้ว่อนเลย แสดงว่าเพ่งเป็นกสิณแทน

แต่ถ้าเรื่องไฮโลต้องจ่าวิโรจน์ (จ.ส.อ.วิโรจน์ ย่านงูเหลือม) น่าจะเกษียณอายุไปแล้ว จ่าวิโรจน์นั่งกินเหล้าอยู่ใกล้ ๆ วงไฮโล เวลาเขาแทงกัน จ่าวิโรจน์ก็กินเหล้าไปฟังไป พอเขาเล่นไปได้สักพัก จ่าวิโรจน์ก็ขอเล่นบ้าง "น้อง ๆ ขอพี่ตาแทงตาเดียว พี่จะแทงอวดสาว"

พอเจ้ามือเขย่าลูกเต๋าเสร็จ จ่าวิโรจน์แทงคนเดียวสิบกว่าตัวถูกรวดเลย เขาเซียนขนาดนั้น ฟังเสียงรู้ว่าออกอะไรบ้าง นั่นระดับทิพจักขุญาณเลยนะ แต่เขามีสัจจะ เล่นแค่ตาเดียวก็เลิก ไม่อย่างนั้นมือระดับนั้นลงไปเล่นเจ้ามือหมดตูดแน่..!"

เถรี
28-03-2011, 14:23
"พวกเราต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของอัจฉริยมนุษย์ อะไรที่ท่านบอกว่าไม่ดี ย่อมจะดีไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น..อบายมุข ก็แปลตรง ๆ แล้วว่า ปากทางแห่งความฉิบหาย

โบราณบอกว่า โจรปล้นสิบครั้ง ดีกว่าไฟไหม้ครั้งเดียว เพราะโจรปล้นข้าวของ แต่บ้านยังอยู่ ไฟไหม้สิบครั้ง สู้การพนันครั้งเดียวก็ไม่ได้ การพนันนี่ทั้งบ้านและที่ดินก็ไปหมด มีบางคนแม้กระทั่งเมียก็เอาไปเป็นสินพนัน..!"

ถาม : ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน
ตอบ : มีจริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นเวรกรรมที่ไปมีครอบครัวอย่างนั้น

เถรี
28-03-2011, 16:15
ถาม : อารมณ์ช่วงที่ฝึกกรรมฐาน จิตมารวมตัวกัน ผมพิจารณาถึงอุปกิเลส ๑๖ นรกสวรรค์อยู่ในใจเรา พอมารวมตัวก็เกิดใจสั่นหวั่นไหว มีเสียงอะไรโผล่ขึ้นมามากมายเหมือนเราใกล้จะตาย ทำให้เราอยากจะตะโกนออกมา
ตอบ : แล้วคุณไปพิจารณาอย่างนั้นทำซากอะไร..! มีประโยชน์อะไร ? แทนที่จะพิจารณาวิปัสสนาญาณ ดันไปดูเรื่องไม่เป็นเรื่อง

อาการที่ว่ามาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของขันธมาร เขาแค่อยากมาทดสอบว่าเราไม่กลัวตายจริงหรือเปล่า ?

ถาม : มีเสียงใครไม่รู้ว่าเป็นร้อยเป็นพัน ใจเราเต้นตุ๊บ ๆ
ตอบ : ตอนนั้นเรากลัวไหมเล่า ?

ถาม : ตอนนั้นก็กลัว แต่ก็สู้อยู่
ตอบ : แค่นั้นแหละ..เสร็จเขาไปแล้ว

ถาม : จะทำให้เราเป็นบ้าไหม ?
ตอบ : ถ้าสติมั่นคงอยู่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าต่อไปถ้าจะพิจารณาอะไร ให้ดูเข้าหาไตรลักษณ์ อริยสัจ ๔ หรือไม่ก็วิปัสสนาญาณ ๙ ไม่ใช่ไปคิดเรื่องบ้า ๆ อื่น ๆ เรื่องพวกนั้นไม่มีประโยชน์์ที่จะไปคิด แค่เราไม่ทำก็จบแล้ว อุปกิเลส ๑๖ เราก็แค่เว้นไม่ทำ ยังจะต้องไปพิจารณาอะไร

ถาม : พอดีเรียนนักธรรมโท มีอุปกิเลส ๑๖ ผมเอามาอ่าน จึงลองพิจารณาดู
ตอบ : คุณไปพิจารณาของที่ทำแล้วไม่ได้อะไร ยังดีที่คุมสติได้ ไม่บ้าไปเสียก่อน..!

เถรี
28-03-2011, 16:18
ถาม : ตอนนี้อารมณ์ไม่ค่อยตั้งมั่น หวั่นไหวง่าย
ตอบ : กำลังในการภาวนายังไม่พอ แสดงว่าสมาธิยังไม่ทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัวอยู่ กำลังใจจะมั่นคง ไม่หวั่นไหวในเรื่องอะไรทั้งสิ้น

เถรี
28-03-2011, 17:23
ถาม : ไปซื้อบ้านแถวบางกะปิไว้ แต่พอตกกลางคืนจะเห็นเงา ประมาณเที่ยงคืน
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวเขาว่า ถ้าจะอยู่ด้วยกันก็ไม่ว่า เราทำบุญอะไรก็อนุญาตให้โมทนา แต่ขอให้ช่วยเฝ้าบ้านและดูแลรักษาความปลอดภัยให้ด้วย ขอเขาอย่างนี้
บ้านอย่างนั้นอย่าไปกลัว เมื่อเขามาในลักษณะอย่างนั้นได้ ถ้าเขาช่วยเราก็จะช่วยได้มากกว่าปกติ แต่ให้เราทำบุญและอุทิศให้เขาบ่อย ๆ

ถาม : แล้วเวลาอุทิศจะอุทิศอย่างไร ?
ตอบ : ตั้งใจว่าใครก็ตามที่เราเห็น ขอให้เขามาโมทนาบุญที่เราทำ

เถรี
29-03-2011, 00:13
ถาม : เวลาผมนั่งสมาธิ ผมจะทำใจว่า ไปสวดมนต์ทำวัตรอยู่บนพระนิพพาน วิธีทำอารมณ์ให้ถูกต้องโดยไม่เป็นสักกายทิฏฐิต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไปนิพพานได้จริง ๆ จะเป็นการตัดกิเลสทุกอย่างหมดอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนที่เรากลับมา ให้จำเอาอารมณ์นั้นมาใช้งานด้วย

การที่เราขึ้นไปสวดมนต์ทำวัตรได้ถือว่าเป็นเรื่องดี ถ้าทำถูก การอยู่ตรงที่ซึ่งไม่มีกิเลส ไม่มีความรัก โลภ โกรธ หลงไปนาน ๆ ถ้าเราจำอารมณ์นั้นมาซักซ้อมใช้งานได้บ่อย ๆ ต่อไปก็จะเป็นอารมณ์จริงของเรา ฉะนั้น..ให้พยายามซ้อมทุกวัน สร้างความคล่องตัวให้เกิดขึ้น

เถรี
29-03-2011, 00:16
ถาม : มีไหมครับ อารมณ์ที่เราไม่ได้ยกจิตขึ้นนิพพาน แต่อารมณ์เท่ากับอยู่บนพระนิพพาน ?
ตอบ : ทำถึงจริง ๆ อยู่ตรงไหนก็ใช่ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นตรงไหนก็คือพระนิพพาน

ถาม : เป็นฌานกับอุปสมานุสติหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าถึงตอนนั้นไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าจะเป็นก็เป็นพระนิพพาน..!

ถาม : เป็นกรณีนิพพานแบบถาวร แล้วแบบชั่วคราวละครับ ?
ตอบ : ถ้ากรณีชั่วคราวก็เป็นส่วนหนึ่งของอุปสมานุสติ

ถาม : ทำไมถึงเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมดละครับ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าชั่วคราว ถ้าเต็มระดับถึงจะเป็นอุปสมานุสติอย่างแท้จริง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าไม่ถึงพระนิพพานก็จะไม่ปราศจากกิเลส เกาะเทวดาก็ยังรัก โลภ โกรธ หลงเต็ม ๆ เกาะพรหมก็ยังเป็นรูปราคะอยู่ ถ้ายังเกาะอยู่ก็ยังไม่ใช่ ถ้าใช่เขาต้องปล่อยกันจนเป็นปกติ

เถรี
29-03-2011, 00:39
ถาม : ในอดีตมีการจัดงานศพของพระที่ใหญ่โตขนาดหลวงตาบัวหรือไม่ ?
ตอบ : ในอดีตน่าจะเป็นสมัยหลวงปู่มั่น ถัดมาก็หลวงปู่ฝั้น สมัยหลวงปู่ฝั้นในหลวงเสด็จเองเลย

ถาม : สมัยหลวงปู่ชอบก็งานใหญ่
ตอบ : งานใหญ่ก็จริง แต่ก็ไม่ดังขนาดนี้

ถาม : งานของหลวงตาบัวดังกว่างานหลวงพ่อวัดท่าซุง
ตอบ : ดังกว่าเยอะ

ถาม : งานหลวงพ่อไม่ดังเท่าไร
ตอบ : ไม่ดังเท่าไรหรอก แค่หนังสือพิมพ์ลงข่าวให้เป็นเดือน หนังสือพิมพ์ทุกฉบับไปตั้งกองหาข่าวในวัดเลย เขาลงพาดหัวให้สามวันและลงเนื้อหาข้างในอีก ๗ วัน

มติชนรายสัปดาห์ลงให้สองเล่ม เหตุที่ทำอย่างนั้นเพราะเป็นครั้งแรกที่มติชนขายหมดตลาด ไม่มีเหลือส่งกลับ ไม่มีการส่งคืนโรงพิมพ์ เขาแปลกใจ จึงส่งนักข่าวไปตั้งกองอยู่ที่วัด อาตมามีหน้าที่ดูแลพวกนี้จึงรู้ ต้องพาเขาไปสัมภาษณ์ท่านนั้นท่านนี้ ต้องพาเขาไปถ่ายรูปในกุฏิหลวงพ่อ แต่งานศพของหลวงพ่อท่านไม่ได้เผา จะเอาให้ดังเหมือนงานที่เผาจึงไม่ได้

ถาม : เดี๋ยวนี้เห็นมีร่างทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำด้วย
ตอบ : มีมาตั้งแต่สมัยก่อนท่านจะมรณภาพแล้ว ท่านบอกว่า "เล็กเว้ย..ข้ายังไม่ทันจะตายเลย มีสำนักทรงฤๅษีลิงดำไป ๖๐ กว่าสำนักแล้ว"

นึกถึงสญชัยปริพาชก พออุปติสสะมาณพและโกลิตะมาณพได้เป็นพระโสดาบัน เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีความดีอย่างไร ก็ไปชวนสญชัยปริพาชกซึ่งเป็นอาจารย์ของตัวเอง ให้ไปหาพระพุทธเจ้าด้วยกัน สญชัยปริพาชกไม่ยอมไป ท่านย้อนถามกลับมาว่า "โลกนี้คนโง่หรือคนฉลาดมากกว่า ?"

อุปติสสะมาณพและโกลิตะมาณพตอบว่า "คนโง่ย่อมมากกว่าเป็นปกติอยู่แล้ว" สญชัยปริพาชกจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นคนฉลาดอย่างพวกเธอจงไปหาพระสมณโคดม ส่วนคนโง่จะมาหาเราเอง" ฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็มีคนเชื่อและไปหาเขาอยู่แล้ว

เถรี
29-03-2011, 00:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพวกเรายังไม่โดนตีกรอบ ก็จะไม่รู้ว่าสภาพจิตของเราดิ้นรนขนาดไหน เพราะว่าเวลาต้องการอะไร เราก็สนองให้ทุกอย่าง แต่ศีลพระ ๒๒๗ ข้อ ทำให้สิ่งที่เราเคยได้ทำ กลายทำไม่ได้ทั้งนั้นเลย

ในเมื่อโดนตีกรอบ กิเลสก็ดิ้นตายชักเลย อย่างที่เขาเล่ากันขำ ๆ ว่า มีหนุ่มอยากจะบวช ถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อบวชดีไหม ?" หลวงพ่อตอบว่า "ดี..บุญเยอะดี" พอถึงเวลาบวชเข้าไป "หลวงพ่อผมทำนี่ได้ไหม ?" "ไม่ได้..บาปตายเลย"

"ผมทำนั่นได้ไหมหลวงพ่อ ?"
"ไม่ได้..บาปตายเลย"
"หลวงพ่อบอกว่าผมบวชแล้วได้บุญเยอะ แต่ทำไมบวชเข้ามามีแต่บาปทั้งนั้น ?"

คราวนี้สภาพจิตที่ดิ้นรนแล้วได้รับการสนองตอบ อาการดิ้นรนก็ไม่หนัก แต่เมื่อไม่ได้รับการสนองตอบ แค่อดข้าวเย็นอย่างเดียวก็แย่แล้ว"

เถรี
29-03-2011, 00:45
ถาม : แล้วการไม่ได้กินข้าวเย็น ทำให้มีอาการกรดไหลย้อน ?
ตอบ : เขาบอกว่า ตัวตายดีกว่าศีลขาด จะไปกลัวอะไรกับกรดไหลย้อน

ถาม : อดไปเรื่อย ๆ อาการจะหนักไปเรื่อย ๆ
ตอบ : เขายังมีเภสัชฉันได้เยอะแยะ น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น

ถาม : เนยแข็งมีไหมคะ ?
ตอบ : เนยแข็งนั่นแหละ เขาเรียกว่าเนยข้น

เถรี
29-03-2011, 00:55
พระอาจารย์เล่าว่า "ทิดหนุ่ม ตอนที่เขาบวชอยู่ก็ไปยกแท่งปูนสำหรับทำขอบลานธรรมด้วยกัน แท่งปูนแท่งหนึ่งหนัก ๑๐๖ กิโลกรัม สองคนช่วยกันยกแท่งหนึ่ง อาตมาเห็นเขายกแบบยักแย่ยักยัน รู้สึกรำคาญ ก็ยกพรวดไปเลย ทิดหนุ่มเขาจับแท่งปูนแน่นไปหน่อย ก็เลยลอยตามแท่งปูนไปด้วย

เขาก็ไปนั่งบ่นว่า "หลวงพ่อทำไมน่ากลัวอย่างนี้ ?" นอกจากแท่งปูน ๑๐๖ กิโลกรัมแล้ว คนยังโดนยกลอยตามไปอีก อยากจะบอกเขาว่า "ที่คุณเห็นว่าน่ากลัวนั้น เหลือแค่ ๑ ใน ๑๐ ของสมัยก่อน ตอนนี้ผมแก่จนหมดสภาพแล้วว่ะ..!"

เถรี
29-03-2011, 00:59
ถาม : พระอริยเจ้าอย่างพระอรหันต์ยังสึกหรือไม่..?
ตอบ : บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ต้องถึงพระอรหันต์หรอก แค่พระโสดาปัตติมรรคก็ไม่คิดจะสึกแล้ว ท่านเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยแล้ว จิตที่ปรามาสพระรัตนตรัยแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี เพราะฉะนั้น..ท่านก็ไม่รู้จะสึกไปทำเกลืออะไร..!

ถาม : แสดงว่า..
ตอบ : ถ้าหากบุคคลที่จิตละเอียดพอแล้ว ตนเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย แล้วทำตัวเองให้หลุดออกมา ถ้าสำหรับคนทั่วไปจะสึกก็สึกไปเถอะ ในส่วนที่คนทั่วไปทำแล้วไม่เห็นโทษ พระระดับนั้นท่านเห็นว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย

เถรี
29-03-2011, 01:28
ถาม : คืนก่อนที่หลวงตามหาบัวท่านจะไป ก่อนนอนก็ภาวนาเป็นปกติ แล้วเห็นหลวงตาแก่ ๆ ท่านไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจได้ยินว่า วันนี้ท่านจะไปแล้ว คิดว่าตัวเองฝันไป ก็เลยถอนจิตออกมา คิดว่าข่าวนั้นโกหก
ตอบ : ไม่เป็นไร พอโดนบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง ลักษณะที่ว่ามาเป็นทิพจักขุญาณในอนาคตังสญาณ ถ้าเป็นตอนนั้นรู้เดี๋ยวนั้น จะเป็นปัจจุปันนังสญาณ ถ้าผ่านไปแล้วนึกย้อนกลับได้ จะเป็นอตีตังสญาณ

ถาม : อย่างนี้จัดว่าเป็นท่านบอกเรา หรือจิตเราไปเอง ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตเราถึง ก็เหมือนกับเราตั้งเสาอากาศไว้ ใครส่งข่าวมาก็รู้เอง

ถาม : อย่างนี้ท่านก็ส่งไปทั่ว
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน วันนั้นอาตมาเที่ยวไล่บอกเขาตอนเช้ามืดว่าท่านไปแล้ว ไม่มีใครเชื่อสักคน มีแต่คนเถียงว่า ได้ยินว่าอาการดีขึ้นแล้ว

เถรี
29-03-2011, 01:34
ถาม : เวลารถมาเราจะจับดูทะเบียนใช่ไหมคะ ? ส่วนหนูจับภาพค่ะ มันเหมือนเห็นภาพ ๓๖๐ องศาเป็นสามมิติค่ะ ถ้าใจปรับโฟกัสผิด ก็เห็นภาพผิดค่ะ
ตอบ : ต้องเห็น ๓๖๐ องศาเพราะทิพจักขุญาณไม่ถูกจำกัดด้วยทิศทางหรือสถานที่ มีประเภทหนึ่งก็คือ ถ้าเขามาในทิศที่ผิดปกติแล้วเราเห็นได้ ให้รู้ไว้ก่อนว่านั่นผีหรือเทวดา แต่ถ้าอยู่ตรงหน้าแล้วถึงจะเห็นได้ นั่นยังไม่แน่ ยังต้องพิจารณากันอีกที

ตอนที่อาตมาไปงานฉลองเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ไปพักอยู่ที่เฮือนศิลารีสอร์ท มีผีมา ๒-๓ ชุดด้วยกัน ชุดแรกเขามาขอส่วนกุศลแล้วก็ไป ชุดที่สองมาขบวนใหญ่ ขอส่วนกุศลแล้วก็ไป ชุดที่สามมาคนเดียว เลือดท่วมตัวมาเลย ถามว่าเป็นอะไร ? เขาบอกว่าโดนรถชนตาย ไม่รู้จะไปไหน พอดีมีรถคันหนึ่งผ่านมา เขาก็เลยเกาะรถคันนั้น แล้วรถคันนั้นเข้ามาที่รีสอร์ท เขาก็เลยเปะปะอยู่ในนี้

พอเห็นว่าอาตมาอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นอยู่ เขาก็เลยมาขอบ้าง แล้วเขาก็ไป เสร็จแล้วก็มีเสียงเคาะประตูก๊อก ๆ อาตมาก็คิดว่า เออ..ผีชุดนี้มารยาทดีจริง ๆ พอมองออกไปเห็นแต่ประตูอย่างเดียว แสดงว่าไม่ใช่ผีแล้ว ลุกไปเปิดประตูพบว่าเป็นทิดตู่ คือถ้ามองแล้วเห็นทันทีเลยน่ะผี แต่นี่มองออกไปไม่เห็น ก็เลยไปเปิดประตูดู

ทิดตู่เขามาชวนไปเที่ยวผาหำหด ก็เลยบอกว่า "เอ็งไปกันเถอะ ข้าไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว" คือตรงนั้นเป็นหน้าผาตัดดิ่งลงไป คนมองก็ใจหวิว เขาเลยเรียกว่า ผาหำหด

เถรี
29-03-2011, 01:53
เขาทำวิจัยกันแล้วว่า ความสูง ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามอย่างน้อยต้องมีความกลัว เพียงแต่ว่ากลัวแล้วตั้งสติได้หรือไม่ได้ อย่างสมัยก่อนทหารเขาฝึกโดดร่มกัน เพื่อนบางคนครูฝึกต้องถีบลงไป เพราะเขาเห็นความสูงแล้วไม่กล้า ด่าว่าอย่างไรก็ไม่ยอมโดด

ถาม : ตอนที่ขึ้นไปบนเขาที่วัดท่าขนุน หนูก็ภาวนาไป กลัวว่าจะหลุดจากการภาวนา อยู่ดี ๆ เกิดกลัวความสูงขึ้นมา
ตอบ : จะได้รู้ไว้ว่า จริง ๆ แล้วเรายังกลัวตายอยู่ ขอบอกว่า ความกลัวทุกชนิดมีพื้นฐานจากความกลัวตายทั้งสิ้น อาตมาตามดูอยู่เป็นปี ๆ เลยนะ กว่าจะรู้ว่าความกลัวทุกชนิดมีพื้นฐานมาจากความกลัวตาย บางอย่างก็อ้อมโลกไปไกลมากเลย แต่ตอนสรุปก็จะมาสรุปลงที่ตรงกลัวตาย

ถาม : ถ้าเห็นเลือด อย่างอ่านข่าวฆาตกรรม จิตไปเชื่อมแล้วไม่กลัว
ตอบ : ตอนนั้นที่ไม่กลัวเพราะสภาพจิตทรงสมาธิอยู่ ถ้าหลุดออกมาก็เจ๊ง

ถาม : ไปโรงพยาบาล แค่เห็นเขาตรวจเลือดในวอร์ดก็หน้ามืดจะเป็นลม
ตอบ : วันก่อนพาพระไปเจาะเลือด อยากจะบอกพวกเราทุกคนว่า เราสามารถที่จะตั้งระดับสภาพร่างกายของเราเองได้ สมัยเด็ก ๆ อาตมาโดนหมอเสนารักษ์ (หมอทหาร) ฉีดยา เขามือหนักมาก ฉีดยาแล้วเราต้องเดินเป๋ เจ็บตูดไปเป็นอาทิตย์ จึงทำให้เกลียดเข็มมาก พอคราวหลังโดนฉีดยาจะเป็นลมทุกครั้ง แค่เห็นเข็มก็เป็นลม

ตอนที่สมัครไปเป็นทหาร ต้องเจาะเลือดตรวจเพื่อดูกรุ๊ปเลือด แล้วก็ต้องฉีดยากันบาดทะยัก เพื่อเวลารบขึ้นมาถ้าบาดเจ็บ จะได้ไม่ตายเพราะเชื้อบาดทะยัก แต่อาตมาที่เห็นเข็มเข้าแล้วเป็นลม พอไปเจออย่างนั้นเข้าจะทำอย่างไร ? เนื่องจากว่าภาวนามาหลายปีแล้ว ก็เลยคิดว่า "กูจะไม่เป็นลม..กูจะไม่เป็นลม"

ร่างกายของเรามีระบบป้องกันตัวอัตโนมัติ ถ้าได้รับบาดเจ็บก็จะตัดให้เป็นลมหรือช็อก เพื่อให้ระบบร่างกายทำงานน้อยลง เป็นการสงวนพลังงานเอาไว้เพื่อรักษาตัวเอง พออาตมาไปทำอย่างนั้น กลายเป็นว่าไปตั้งระบบของร่างกายใหม่ ตั้งแต่นั้นมาโดนฉีดยาเท่าไรก็ไม่เป็นอะไร แสดงว่าเราสามารถตั้งระบบร่างกายของเราได้ ครั้งแรก ๆ ที่ร่างกายตัดให้เป็นลม เป็นการป้องกันตัวเร็วเกินไป เหมือนกับว่าไฟอ่อนนิดเดียวก็ตัดแล้ว เราก็ไปเพิ่มหน่อย คราวนี้ไฟแรงแค่ไหนก็ไม่ตัด

ถาม : ตั้งโปรแกรมใหม่ได้
ตอบ : ตั้งได้ อยู่ที่ใจของเรา

เถรี
29-03-2011, 02:18
ถาม : พอจิตเรารู้ว่าทำได้ เราก็ทำได้ขึ้นมาใช่ไหมคะ ? อย่างเราถักเปียตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ พอโตขึ้นมาคิดว่าน่าจะทำได้ ก็ทำได้เลย
ตอบ : ถ้ามีของเก่าอยู่ ถึงเวลาเราจะเป็นเอง สมัยก่อนบวชอาตมาก็ถักเปียให้เพื่อนผู้หญิงได้ ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน

ถาม : ก็เลยสับสนว่าบางครั้งเราทำไม่ได้ หรือว่าเราทำได้จริง ๆ กันแน่ แยกไม่ออกค่ะ ?
ตอบ : ถ้าทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ก็ต้องสะสมกันนานทีเดียว

เถรี
29-03-2011, 02:23
ถาม : พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่พิจารณาให้เห็นว่า อาหารทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความสกปรก พืชก็สกปรก สัตว์ก็สกปรก สัตว์ก็ไม่แปลกใช่ไหม ? เราเห็นว่ามีเลือด มีอุจจาระปัสสาวะเป็นปกติ โดยเฉพาะถ้าหากเราไปดูในฟาร์มเลี้ยงหมูเลี้ยงวัว จะเห็นว่าเละเทะไปหมดเลย

แต่ในเรื่องของพืช เราต้องเห็นว่ามีพื้นฐานมาจากความสกปรก ก็คือปุ๋ยทุกอย่าง เช่น ซากพืช ซากสัตว์ อุจจาระ ปัสสาวะ ที่พืชดึงเอาเป็นอาหาร ถ้าหากเป็นผลไม้เราก็ดูไปว่า จริง ๆ แล้ว เรากินสิ่งที่เน่า เพียงแต่ว่าเราเอามากินก่อนที่จะเน่าหมดสภาพนั่นเอง ผลไม้ที่กำลังเน่าได้ระดับพอดีเราเอามากินเสียก่อน

แล้วหลังจากนั้นสิ่งที่เรากินเข้าไปออกมาเป็นอะไร ? ก็กลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะทั้งหมด แล้วลองดูสิว่า ตอนที่ถ่ายออกมา เราทนดูโดยไม่รังเกียจได้ไหม ?

ถาม : ไม่ได้
ตอบ : นั่นแหละ..พิจารณาอย่างนั้น ให้เห็นว่า อาหารทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความสกปรก แล้วเรากินสิ่งที่สกปรกเข้าไป ร่างกายนี้ก็เลยสกปรกไปด้วย ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่มีความสกปรกอย่างนี้เราไม่ต้องการอีก พอกำลังใจทรงตัวมั่นคงแล้ว เราก็เอากำลังใจช่วงสุดท้ายไปเกาะพระนิพพานแทน

เถรี
29-03-2011, 02:42
ถาม : ถ้าเกิดฝันเห็นงานศพครูบาอาจารย์ที่เป็นที่รักที่เคารพของตัวเอง โดยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แปลความหมายได้อย่างไรบ้าง ?
ตอบ : เอาเป็นหลักธรรมจริง ๆ ก็คือ ทุกคนต้องตายหมด แม้กระทั่งเรา เพราะฉะนั้น..โปรดระวังเอาไว้ว่า เราก็จะตายอย่างนั้นด้วย

เถรี
29-03-2011, 10:02
พระอาจารย์เล่าว่า "ด้วยความเคยชิน อาตมาจะทดสอบไมโครโฟนด้วยการเป่า เพราะสมัยก่อนใครเคาะไมโครโฟน หลวงพ่อก็จะเคาะกบาลตามไปด้วยทันที ท่านบอกว่าข้างในไมโครโฟนจะมีฟิวส์บาง ๆ อยู่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าไปทดสอบด้วยการเคาะ ฟิวส์จะขาด ไมโครโฟนก็จะเสีย ท่านจึงให้ทดสอบด้วยการเป่าแทน

หลวงพ่อท่านใช้ทุกอย่างประหยัดมาก และรักษาทุกอย่างพอ ๆ กับชีวิต ท่านบอกว่า ของทุกอย่างได้มาก็เพราะบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราไม่ได้อาศัยบารมีท่าน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เรา ถึงจะมีมาก ก็ใช้ฟุ่มเฟือยไม่ได้ เพราะว่าของที่ได้มาด้วยศรัทธา ราคาน้ำใจเขาประเมินเป็นตัวเงินไม่ได้ จึงต้องรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด

สมัยก่อนหลวงพ่อซื้อเครื่องเสียงที่ยังเป็นหลอดทรานซิสเตอร์อยู่ จะต้องอุ่นเครื่องประมาณ ๕ นาทีจึงจะทำงานได้ ท่านซื้อใช้ที่วัดท่าซุง ๑ เครื่อง และซื้อถวายวัดยางที่อยู่คนละฝั่งคลองอีก ๑ เครื่อง วัดยางเปลี่ยนไปสามเครื่องแล้ว ของวัดท่าซุงยังใช้เครื่องเดิมอยู่เลย

เวลาเสียบปลั๊กหรือถอดปลั๊ก ท่านให้ดึงตรง ๆ เสียบตรง ๆ ท่านบอกว่าดึงหมุน ๆ แล้วทำให้ปลั๊กหลวม เสียง่าย เพราะฉะนั้น..ท่านรู้จริงทั้งหมดและรักษาข้าวของดีมาก ก็เลยทำให้ของที่ท่านใช้อยู่ทนนานกว่าคนอื่นเขา

มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ท่านเดินจากที่พักทางตึกอินทราพงษ์ริมน้ำ คือฝั่งวัดเก่า ข้ามมาที่ทางฝั่งโบสถ์ คือ ทางฝั่งวัดใหม่ ตรงไปที่ร้านอาหารป้ากิมกี พอพระเห็นหลวงพ่อเดินมาก็ตาลีตาเหลือกวิ่งไล่ตาม ว่าหลวงพ่อมาทำไม ท่านมาเดินดูและชี้ให้พระดู

เนื่องจากว่า พระท่านสั่งอาหารที่ร้านค้ามาฉัน หลวงพ่อท่านห้ามพระนั่งในร้าน ท่านบอกว่าพระนั่งร้านค้าแล้วน่าเกลียด ถ้าพระนั่งแล้วโยมเขาไม่กล้าเข้า ทางร้านเขาก็จะเสียรายได้ไป"

เถรี
29-03-2011, 10:07
"พระจึงสั่งอาหารเข้ามาฉันในห้องใต้หอระฆัง ซึ่งเป็นห้องยาม พอฉันเสร็จพระก็เอาถ้วยชามพร้อมกับแก้วน้ำมากองไว้ตรงตีนบันได เพื่อรอเขามาเก็บเอาไปล้าง

หลวงพ่อท่านบอกว่า พระท่านมาบอกว่า "..ไปดูความมักง่ายของลูกแกซิ..เอาไปวางกองไว้อย่างนั้น ถ้าหมาวิ่งมาสะดุดแล้วของตกแตก หรือคนเดินเหยียบของแตกขึ้นมา ถ้าพระไม่ไปใช้หนี้ จะเจออาบัติปาราชิกไม่รู้ตัว เพราะตนเองเป็นต้นเหตุทำให้เขาสูญเสียของสิ่งนั้น ๆ"

ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลยนะ แก้วน้ำใบหนึ่งราคาเกินหนึ่งบาทอยู่แล้ว ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านทำเป็นแบบอย่างให้ ถ้าพระเณรที่อยู่กับท่านถอดแบบไปใช้ ไม่ต้องมากหรอก ได้สัก ๑ ใน ๑๐๐ ของหลวงพ่อท่านก็พอ สามารถไปได้ทั่วประเทศเลย

บรรดาบุคคลที่เคยวิ่งรับใช้หลวงพ่ออยู่ ปฏิปทาก็จะกลายเป็นแบบหลวงพ่อโดยไม่รู้ตัว เพราะโดนหล่อหลอมจากแม่พิมพ์นั้น ๆ มา บรรดาผู้ชายที่อยู่รับใช้หลวงพ่อมักจะอยู่ไม่นาน ในที่สุดก็บวชกันหมด มีหลวงตาวัชรชัยอยู่นานกว่าเพื่อน หลวงตาอยู่ ๘ ปี อาตมาอยู่ ๔ ปี ที่หลวงตาอยู่ถึง ๘ ปี เพราะหลวงตามีครอบครัว รอการตัดสินใจอยู่จึงช้า ส่วนคนอื่นเขาไม่มีครอบครัว หรือตัดใจจากครอบครัวได้ก็บวชกันเลย

เป็นผู้หญิงไม่ต้องเสียดายนะว่าไม่ได้บวช อย่างวันก่อนที่เขาว่า เป็นผู้ชายบวชแล้วได้กุศล เกิดเป็นผู้หญิงไม่ได้บวช ผู้หญิงควรจะทำอย่างไร ? ก็ทำตนให้เป็นพระอริยเจ้าไปเลย..! ดีกว่าบวชไปเสี่ยงนรกตั้งเยอะ..!"

เถรี
29-03-2011, 10:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=12149&stc=1&d=1301371497


พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปศิลปะล้านช้างสังเกตได้ง่าย ๆ ว่า หน้าตักจะกว้างเป็นพิเศษจนเหมือนผิดส่วน ดังนั้น..หลวงพ่อโสธรจึงเป็นศิลปะล้านช้าง สังเกตได้ว่าหน้าตักท่านกว้างกว่าพระพุทธรูปทั่วไป"

เถรี
29-03-2011, 10:21
ถาม : สงสัยมานานแล้ว หลวงพ่อสร้างพระคำข้าวซึ่งเป็นทางมหาลาภ เป็นรูปพระพุทธชินราช แต่พอพระหางหมาก ซึ่งเป็นในทางป้องกันแคล้วคลาด กลับเป็นหลวงพ่อโสธร สลับกันหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ได้สลับกัน แล้วแต่ช่างเขาทำให้ ท่านมอบผงให้ช่างไปผลิตเอาเองตามใจเลย เพียงแต่ให้ใส่คำว่าวัดท่าซุงไว้ ตอนที่ทำหลวงพ่อไม่ได้เจตนาทำไว้บู๊ อาตมาเองก็ติดนิสัยหลวงพ่อมา หลวงพ่อบอกว่า ทำทางมหาลาภดีกว่า ถ้าชาวบ้านเขารวยก็ช่วยวัดได้ อาตมาก็ว่าเป็นนโยบายที่ดี

ปรากฏว่าพอพุทธาภิเษกแล้ว พระท่านสงเคราะห์ให้ พระท่านสงเคราะห์พิเศษขนาดนั้น พวกเราน่าจะระแวงว่าเป็นรุ่นท้าย ๆ แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้ระแวงกัน

เถรี
29-03-2011, 10:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยโบราณเขานิยมผู้หญิงท้วมกัน ท้วมก็คือเกือบอ้วน หรืออวบระยะสุดท้าย ถ้าใครได้ดูรูปนู้ดของฝรั่ง เราจะเห็นว่ามีแต่ผู้หญิงอ้วน ๆ ทั้งนั้นเลย เพราะเขาถือว่ารูปร่างลักษณะอย่างนั้นจึงจะเป็นแม่พันธุ์ที่ดี ไม่ใช่เป็นแม่ที่ดีนะ

ยิ่งในยุคสมัยที่รบราฆ่าฟันกันอยู่ จำเป็นต้องสร้างกำลังพลขึ้นใหม่ ต้องอาศัยการมีลูกมาก ๆ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง มีลูกได้ ๑-๒ คน คนเป็นแม่ก็ไม่ไหวแล้ว"

เถรี
29-03-2011, 10:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการปฏิบัติ เราต้องได้สร้างบุญร่วมกันมาก่อน ถึงจะตามกัน ถ้าไม่ได้สร้างบุญร่วมกันมาจะไม่เลื่อมใสกันหรอก เขาก็จะไปเลื่อมใสบุคคลที่เคยสร้างบุญร่วมกันมา"

เถรี
29-03-2011, 11:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติต้องระวังการทดสอบให้ดี ตั้งหลักไม่ทันนี่เสียท่าเขาแน่ โดยเฉพาะท่านที่กำลังใจยังไม่มั่นคง ถึงเวลาเสียแล้วจะเสียนาน"

เถรี
29-03-2011, 11:34
ถาม : อนุเสาวรีย์ หรือ อนุสาวรีย์ จึงจะถูก ?
ตอบ : อนุสาวรีย์ ความจริงมาจากคำว่า อนุสรณีย์ แปลว่าเครื่องอันเป็นที่ระลึกถึง แต่คนเขียนท่านเขียนหวัดไปหน่อย คนอ่านจึงอ่านเป็นอนุสาวรีย์ และก็ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่จริง ๆ คือ อนุสรณ์ หรือ อนุสรณีย์

เถรี
29-03-2011, 11:42
ถาม : เมตตาในอุเบกขาเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เมตตาในอุเบกขา ก็คือ เมื่อช่วยเขาไม่ได้ก็วางเฉย แต่ไม่ได้เฉยอย่างเดียว ถ้ามีโอกาสเมื่อไรก็พร้อมที่จะช่วยอีก

ถาม : แล้วอุเบกขาในเมตตา ?
ตอบ : อุเบกขาในเมตตาก็แค่กลับข้างกันเท่านั้น

ถาม : เฉยก่อนแล้วค่อยช่วย ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าหากว่าสงเคราะห์เกินประมาณ พวกคนพาลจะได้ใจ จึงต้องรู้จักการสงเคราะห์คนในระดับที่พอเพียงด้วย จึงจะเป็นอุเบกขาในเมตตา

ถาม : คนที่เป็นพุทธภูมิ เขามักจะห่วงคนอื่นมากกว่าห่วงตนเอง อันนี้ไม่ใช่ทางสายกลาง จะวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : วางกำลังใจอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ห่วงคนอื่นมากกว่าตนเอง ก็ไม่ใช่พุทธภูมิ..!

กำลังใจของพุทธภูมิ เราจะเอาในเรื่องของหลักธรรมไปวัดไม่ได้ ส่วนที่เราเห็นว่าเป็นอัตกิลมถานุโยค ก็คือเกินกำลัง แต่สำหรับท่าน ท่านทำได้ เราแบกข้าวสารได้กระสอบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นช้าง ๗-๘ กระสอบ โยนใส่หลังก็ยังเฉย เราจะไปวัดด้วยเหตุผลธรรมดาไม่ได้ เพราะกำลังใจท่านมากกว่า

เถรี
30-03-2011, 14:02
ถาม : ถ้าเมตตาสูงแล้วคนรับเขารับไม่ได้ จะกลายเป็นโทษแก่เขาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เมตตาจะต้องมีปัญญาประกอบด้วย อย่างที่ว่ามาแสดงว่าคุณมีเมตตาอย่างเดียว ในเรื่องบารมี ๑๐ นี้ ถ้าหากว่าเราทำตัวใดตัวหนึ่ง อีก ๙ ตัวก็จะมาด้วย โดยเฉพาะสำคัญที่สุดก็คือ ปัญญาบารมี ต้องดูวาระ ดูโอกาส ว่าควรที่จะปฏิบัติอย่างไร

ถ้าหากว่าเป็นในสัปปุริสธรรม ก็คือ กาลัญญุตา รู้กาลเทศะ เวลาไหนเหมาะ เวลาไหนควร รู้ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้ว่าแต่ละบุคคลมีความต้องการอย่างไร

ถาม : พูดง่าย ๆ ก็คือ โดยพื้นฐานของกำลังใจควรมีเมตตา คิดว่าจะให้อยู่ ส่วนจะเป็นเวลาไหนอย่างไร ต้องใช้ปัญญาประกอบเข้าไป ?
ตอบ : มีปัญญารู้ว่าเวลาไหนควรจะอุเบกขา ไม่ใช่มีแต่เมตตาอย่างเดียว

เถรี
30-03-2011, 14:17
ถาม : ชาติก่อน ๆ ท่านเคยมีเมียเยอะสุดกี่คน ?
ตอบ : ยังไม่เคยดู ส่วนใหญ่ดูแต่บทบู๊ บทรักหายไปไหนไม่รู้ แสดงว่าเรานิยมแนวเข่นฆ่าล้างผลาญ..!

ถาม : รบสมัยไหนมันที่สุด ?
ตอบ : บอกไม่ถูก เพราะว่ารบกี่ครั้ง ๆ ก็เหมือนกัน แต่ว่าเห็นแล้วสลดใจอย่างหนึ่งว่า เราทำให้ชีวิตเขาตกล่วงไปได้มากขนาดนั้น

มีอยู่เที่ยวหนึ่ง อาการไข้กำเริบหนักมาก แต่ก็ยังฝืนใจออกบิณฑบาต เวลาเดินแล้วเท้าไม่เชื่อเรา เดินไปเตะหินจนเล็บหลุดออกไปทั้งอันโดยไม่รู้ตัว ตอนยืนรับบาตรก็ยังไม่รู้ เพราะอาการไข้หนักมากจนไม่รู้ถึงอาการเจ็บ จนพระท่านบอกว่า "อาจารย์ครับ..เลือดออกมากเลยครับ"

เราก้มลงไปดูจึงเห็นว่าเล็บหายไปทั้งอัน แล้วเกิดภาพนิมิตขึ้นมาให้เห็นว่า มีอยู่สมัยหนึ่งไปซุ่มตีทัพเขา ตอนนั้นเลือกชัยภูมิอยู่ระหว่างกึ่งกลางภูเขา รอให้กองทัพของเขาเดินขึ้นมาเกินครึ่ง ทีนี้เขาจะหนีขึ้นบนก็ยาก จะหนีลงล่างพวกเราก็โอบไว้แล้ว มีอยู่ทางเดียว คือพวกเขาต้องหนีออกสองฝั่ง แล้วทั้งสองฝั่งเราก็ไปวางขวากวางหลาวเอาไว้เพียบเลย

เถรี
30-03-2011, 14:20
พอพวกเราที่อยู่ข้างบนตีลงมา พวกเราที่อยู่ด้านข้างก็ออกมาสกัดทางไว้ เขาก็ต้องหนีไปตามทางที่เราวางให้ไป ก็ปรากฏว่าโดนขวาก โดนหลาว กองอยู่เป็นแถว เราก็ไปไล่ฟันหัวทีละคน คราวนั้นกองหน้าข้าศึกของเขาละลายทั้งกองไม่เหลือกลับสักคนเดียว..!

พอกองกลางเขาตามมาทัน กำลังเขามากกว่าเรามหาศาล เพราะเป็นทัพใหญ่ เขาก็ไล่บี้เรา เราก็ต้องหนี ระหว่างหนีก็วางกลยุทธ์ตัดกำลังเขาไปเรื่อย สู้พลางถอยพลาง ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ดูแล้วตายเป็นพัน ๆ เลย นี่แค่ครั้งเดียวนะ..!

ทำให้สลดใจว่า การเกิดมาแต่ละครั้งเราสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตัวเองและคนอื่นได้มากขนาดนั้น สร้างทุกข์ให้กับตัวเอง ก็คือสร้างเวรสร้างกรรมในการไปรบราฆ่าฟันเขาเอาไว้มาก สร้างทุกข์ให้แก่คนอื่น ก็คือทำให้เขาทั้งเจ็บทั้งตาย ครอบครัวของเขาก็ต้องเสียอกเสียใจที่สูญเสียคนที่รักไป

ถาม : วางกำลังใจไม่ได้หรือครับ ว่าเราปกป้องแผ่นดิน ไม่ได้เจตนาฆ่าใคร ?
ตอบ : ตอนนั้นวางกำลังใจได้ แต่ตอนนี้เห็นแล้วสลดใจ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องจัดการเขาให้ได้

เถรี
30-03-2011, 14:26
มีอยู่เที่ยวหนึ่งกรรมเก่าตามทัน ลูกศิษย์หลวงพ่อแทบทุกคนจะโดนเรื่องแชร์ชม้อยล้ม ทั้ง ๆ ที่น้าของอาตมาเองเป็นต้นสาย น้าเขามาชวนเล่นหลายครั้ง แต่ก็ไม่เล่นกับเขา

ตอนนั้นเรื่องความโลภไม่มีเลย แต่พอลูกศิษย์หลวงพ่อฮือฮามากขึ้น ๆ แล้วอาตมาไม่เล่นด้วย ใครชวนก็ไม่เล่น ท้ายสุดพอเขาเห็นว่าไม่เล่นจริง ๆ เขาก็ใช้วิธีมายืมเงินแทน

เขามาเกลี้ยกล่อมขอยืมเงิน "พี่ไม่มีความโลภ แต่พวกผมยังต้องกินต้องใช้อยู่ ถ้าหากว่าได้มา ผมจะแบ่งให้พี่บ้าง พี่จะได้มีความสะดวกคล่องตัวในการช่วยงานพระศาสนา" โห..พูดเก่งฉิบ.. ท้ายสุดคนนั้นก็คันหนึ่ง คนนี้ก็ครึ่งคัน คนนั้นก็ล้อหนึ่ง คนนี้ก็น็อตหนึ่ง

และในที่สุดแชร์ชม้อยก็ล้ม อาตมาก็ข้องใจว่า เราไม่ได้เล่นเอง ยังต้องมาเจ๊งไปกับเขาด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่า "ครั้งนั้นเอ็งไม่ได้รบเอง แต่เอ็งเป็นกองเสบียง"

กองเสบียง ภาษาโบราณเรียกว่า "เกียกกาย" สมัยใหม่เขาเรียก กองพลาธิการ เป็นผู้สนับสนุนคอยส่งกำลังบำรุง

เถรี
30-03-2011, 14:37
ถาม : อย่างนี้ทหารที่ปกบ้านป้องเมืองก็ซวยสิครับ ?
ตอบ : ถ้าพลาดก็ซวยแน่นอน เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่มักจะอาศัยการเจริญพระกรรมฐานหนีกรรม กำลังใจทหารเขาเข้มแข็งอยู่แล้ว

บุคคลที่ไม่มีสมาธิ กำลังใจไม่เข้มแข็งพอ จะไม่กล้ารบหรอก ในเมื่อกล้าวิ่งเข้าไปหาอาวุธขาววับของฝ่ายตรงข้ามได้ กำลังใจต้องมั่นคงพอ แปลว่ามีพื้นฐานสมาธิดีอยู่แล้ว พอมาเจริญกรรมฐาน ก็มักจะสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้ ถึงเวลาก่อนตายก็หนีไปเสวยสุขก่อน ขอไม่ใช้หนี้ชั่วคราว

บางทีก็อยู่ในลักษณะถวายอาวุธเป็นพุทธบูชา อย่างสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ถวายดาบคู่พระหัตถ์เป็นราวเทียนที่วัดชนะสงคราม เป็นต้น

"สร้างบุญหนีบาป" บุญบาปหักล้างกันไม่ได้ แต่ทำบุญให้มากไว้ สามารถหนีบาปได้ชั่วคราว ยกเว้นว่าสามารถทำความบริสุทธิ์ให้ถึงที่สุด ถึงจะสามารถหนีบาปได้ตลอดกาล แม้จิตจะมีสภาพบริสุทธิ์แล้วก็ตาม ถ้ายังมีร่างกายอยู่ เศษกรรมก็ยังตามได้อยู่ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย

เถรี
30-03-2011, 14:57
ตอนแรกอาตมาก็ดูตัวเอง ว่าทำไมตัวเองต้องโดนก่อนเพื่อนเลย ในบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ เขาไม่ค่อยป่วยหรอก นอกจากแก่ ส่วนอาตมาเป็นมาเลเรียตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นหัวไม่วางหางไม่เว้นมาตลอด

พอหลวงตาวัชรชัยมาเจอรถปูนกระทืบ ทำให้รู้ว่า ที่แท้เรื่องกรรมเขารอจังหวะอยู่ ตอนนี้หลวงพี่ประทีปก็เป็นมะเร็ง เจอท่านครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ ๓-๔ เดือนก่อน ท่านเป็นมะเร็งที่คอก้อนเบ้อเร่อเลย ท่านบอกว่า "เล็ก..กูจะตายห่..แล้วนะ"

เราก็บอกว่า "เออ..ยินดีด้วยพี่ พี่ไปก่อนเลย เดี๋ยวผมตามไปทีหลัง" พี่น้องเขาคุยกันแบบนี้ ไม่ได้อาลัยอาวรณ์กันเลย ถามท่านว่าเป็นอะไร ? ท่านบอกว่า "มะเร็งแดก..!"

เรื่องของกรรม ถ้าตามทันเมื่อไรก็เอาเมื่อนั้น อาตมาหนีช้ากรรมก็เลยตามทันก่อน แต่เป็นประเภทจ่ายดอกผ่อนต้นบ่อย เขาเลยทวงระยะยาว ส่วนคนอื่นเขานาน ๆ จ่ายที ก็เจอหนักไปทีเดียวเลย

เถรี
30-03-2011, 15:02
หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกตั้งแต่ก่อนบวชแล้วว่า "เล็ก..แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้มาก เศษกรรมปาณาติบาตจะทำให้แกป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยปลาที่เขาจะฆ่า สักเดือนละตัวสองตัว ทำให้สม่ำเสมอ แล้วจะช่วยได้"

พ่อสั่งก็ต้องทำ จำได้เลยว่าปล่อยปลาครั้งแรก วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ จะปล่อยแค่ตัวสองตัวก็ไม่ได้ ไปถึงเห็นตาปริบ ๆ ก็ต้องเหมาหมด แล้วก็เหมาหมดมาตลอด อย่างต้นเดือนนี้ปล่อยไป ๕๗,๒๑๐ บาท

แม่ค้าเขาคอยถามอยู่เรื่อยว่า ครั้งหน้าจะมาวันไหน ? เรื่องอะไรจะบอก ถ้าไปบอกเขา เราจะไม่ได้อานิสงส์ตรงนี้ จะได้แค่ตัวเมตตาบารมีที่ไปปล่อย เพราะเขาเจตนาเอาปลามาให้เราปล่อย แต่ถ้าเราไม่บอกเขา ปลาพวกนั้นกำลังจะตาย จึงเท่ากับว่าเราไปซื้อชีวิตชดใช้เขาไป

แม่ค้าเขารู้ว่าเราจะต้องไปแน่ แต่ไม่รู้ว่าไปวันไหน เขาก็ไม่กล้าเตรียมไว้

ถาม : อย่างนี้ถ้าเราจะปล่อยปลาเอาอานิสงส์ โทรไปจองก็ไม่ได้ ?
ตอบ : อย่างพระครูไพโรจน์ ท่านจะสั่งเลยว่าให้เตรียมปลาไว้ ๔ ตัน พวกนั้นก็ไปตีอวนจากบ่อมาเลย ลักษณะอย่างนั้น ท่านจะได้แค่เมตตาบารมี และถ้าตูเป็นปลา ตูจะด่าเอาด้วย ตูอยู่ของตูดี ๆ เอาขึ้นมาสักพักแล้วก็เอามาปล่อยใหม่ ทำให้ลำบากเปล่า ๆ

เถรี
30-03-2011, 15:30
ถาม : เวลาเราทำบุญแล้วเราอธิษฐานว่า ขอให้ความดีนี้ อกุศลตามเราไม่ทัน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาอธิษฐาน ถ้าคุณได้ทำบุญก็เป็นการหนีอกุศลอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการความแน่นอนก็อธิษฐานไป เพียงแต่ว่าอย่าให้กำลังบุญขาดช่วง

ถ้ามีวิธีไหนที่สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ก็ทำ นี่เป็นลักษณะของคนมีปัญญา เมื่อรู้ว่าไม่ต้องจ่ายเป็นล้าน จ่ายแค่ร้อยได้ ทำไมเราจะไม่ทำ ?

จากปี ๒๕๒๙ ไล่ปล่อยปลามาเรื่อย ๆ จนมาถึงสักประมาณ ๓-๔ ปีที่แล้วได้ยามาตัวหนึ่ง ซึ่งช่วยได้มากเลย ปกติแล้วเวลาจับไข้ จะปวดชนิดที่รู้ว่ากระดูกทุกชิ้นอยู่ตรงไหน พอกินยาตัวนี้ลงไป เข้าไปเพิ่มความร้อนในร่างกาย ทำให้เลือดลมวิ่ง ที่ปวดเพราะว่าเลือดลมวิ่งผ่านไม่ได้ พอเลือดลมวิ่งได้ก็บรรเทาลง อาศัยยานี้ประทังมา ๒-๓ ปี

เถรี
30-03-2011, 15:36
เมื่อ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ นึกถึงหมอทหารคนนี้ได้ ก็เลยไปให้เขาฉีดยามา ปรากฏว่าภายในสองเดือนได้น้ำหนักมา ๖ กิโลกรัม ถ้ายาของเขาค้ำอยู่ อาการของโรคแทบไม่ปรากฏเลย

ที่กล่าวตรงนี้ก็คือว่า ในเรื่องของการทำดีทำชั่ว เราทำในอดีตชาติแล้วให้ผลในปัจจุบันชาติ ถ้าพูดอย่างนั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ต้องบอกว่า เราทำในอดีตแล้วมาให้ผลยังปัจจุบัน คือ ถ้าปัจจุบันนี้เราสามารถทำต่อเนื่องไปได้เรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ และมากเพียงพอ พอผ่านจากตรงนี้ วินาทีนี้ไป ก็เป็นอดีตไล่ไปเรื่อย ๆ จนส่งผลทัน กลายเป็นว่า ทำชาตินี้ได้ชาตินี้


จากระยะเวลา ๒๐ กว่าปีที่ทำมาต่อเนื่องกัน ก็เพิ่งจะมาสุขภาพดีขึ้นหน่อยก็ตอนนี้ จะได้เริ่มอ้วนกับเขาบ้าง

เถรี
30-03-2011, 17:01
ถาม : ถวายปัจจัยให้ท่าน ๑,๐๐๐ บาท แล้วบอกว่าทำบุญล่วงหน้า วันละบาท ๑,๐๐๐ วัน ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ได้อยู่ แต่พอถึงเวลาได้ ก็ได้มาทีเดียวเลยนะ สมมติถ้าถูกรางวัลก็รางวัลใหญ่ทีเดียวไปเลย แต่เขาจะผ่อนให้เราทีละน้อย เหมือนกับหวยล็อตโต้ของอเมริกา

มีโยมคนหนึ่ง เขาจะทำสังฆทานไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบ ๙ ชุด ทำบุญประเภทนี้ดี แต่ถึงเวลาเหนื่อยนาน อาตมาเป็นประเภททำทีเดียวจบไปเลย พอได้เงินมาก็รับใส่กระเป๋าหรือเข้าธนาคารเลย ส่วนเขาจะต้องทำงานรายวัน รับเงินทุกวัน

แต่คราวนี้เราจะไปตำหนิเขาไม่ได้ เพราะกำลังใจเขาเป็นอย่างนั้น เขารู้สึกดีที่ได้ทำอย่างนั้น เคยมีคนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกันว่า การถวายสังฆทานชุดใหญ่ครั้งเดียวไปเลย กับการถวายชุดเล็ก ๑๐ ชุด ในราคาเท่ากัน อย่างไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากัน ? หลวงพ่อบอกว่า อยู่ที่ใจเราเกาะ ถ้าใจเราเกาะพระมั่นคงจริง ๆ การเห็นพระ ๑๐ ครั้ง ย่อมได้เปรียบกว่า

เถรี
30-03-2011, 17:07
ถาม : แต่ถ้าจะให้ได้ผลเร็ว ต้องนิมนต์ท่านเข้าสมาบัติ
ตอบ : ไม่มีเวลา คราวที่แล้วก็ได้แค่ ๓ วัน

ถาม : ทำไมเรื่องเวลาจึงมีผล ในเมื่อใจเราบริสุทธิ์เท่ากัน ?
ตอบ : เหมือนกับเราทำงานมาก ก็ได้มาก พอแจกโยมมากหน่อย แต่ถ้าทำได้น้อย ตูก็กินเอง..!

ถาม : ในเรื่องเข้าสมาบัติ กติกาเขาว่าอย่างไร?
ตอบ : ต่ำสุด ๗ วัน สูงสุดไม่เกิน ๔๙ วัน แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกให้แค่ ๑๕ วันพอ เพราะว่าร่างกายที่ขาดธาตุอาหารมาก ๆ จะทำให้ชำรุดเร็ว

สมัยนี้แพทย์สมัยใหม่เขาสามารถวิจัยได้ว่า เวลาร่างกายขาดอาหารจะไปดึงสารอาหารจากอวัยวะภายในมาใช้ ถ้าโดนดึงมากไปอวัยวะนั้นก็ล้มเหลว

ถาม : ที่บอกว่า เข้าอย่างน้อยสุด ๗ วัน ได้มากสุด ๔๙ วัน แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าควรเป็น ๑๕ วัน ทำไมไม่เป็น ๔๙ วันล่ะครับ ?
ตอบ : เข้า ๔๙ วัน นั่นพระพุทธเจ้าท่านทำ กำลังของพระพุทธเจ้าท่านได้เกินนั้น ยกเว้นว่าจะไม่ดูหน้าประชาชนเลย จะเข้าทั้งปีทั้งชาติก็ย่อมได้

เถรี
31-03-2011, 16:21
ถาม : ตอนที่เข้านิโรธสมาบัติ จิตไปอยู่ที่ตรงไหน ?
ตอบ : สภาพจิตจะส่งออกไปสองประเภท ประเภทหนึ่งก็คือ จับอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว อีกประเภทหนึ่งท่องอยู่ตามภพภูมิต่าง ๆ แล้วแต่ตนเองชอบว่าจะไปไหน แต่ทั้งสองประเภทนั้น สภาพจิตจะไม่เกาะร่างกายเลย

สุดยอดมากที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาคือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ท่านเข้านิโรธสมาบัติได้ในอิริยาบถ ๔ ปกตินิโรธสมาบัติ ถ้าไม่นอนก็นั่ง ไม่นั่งก็ยืน หรือไม่ก็เดิน แค่ยืนยังหาได้ยากเลย
ส่วนใหญ่จะนอน หลวงปู่ชุ่มท่านเดินจงกรมเข้านิโรธสมาบัติ อาตมาเองก็ยังสงสัยว่าหลวงปู่ทำอย่างไร ?

ถาม : ตอนนั้นร่างกายจะทำงานอย่างไร ?
ตอบ : ใช้อำนาจอภิญญาอธิษฐานไว้ อธิษฐานเสร็จแล้วค่อยตัด เหมือนตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้า

ถาม : ทุกวันนี้คนที่ทำได้อย่างหลวงปู่ชุ่มยังมีอยู่ไหม ?
ตอบ : น่าจะมี..แต่ยังไม่เคยพบอีกเลย

เถรี
01-04-2011, 09:59
พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องเสือโคคำฉันท์ ตัวเอกชื่อหลวิชัยกับคาวี

ในเรื่องแม่เสือกินแม่วัว และตั้งใจจะกินลูกวัวด้วย แต่ลูกเสือไม่ยอม ได้ขอร้องชีวิตลูกวัวเอาไว้ แม่เสือเห็นแก่ลูกจึงยอมไว้ชีวิตลูกวัว แต่ก็ตั้งใจว่าเลี้ยงลูกวัวให้อ้วนเมื่อไรแล้วจะกิน ลูกเสือรู้ทันจึงชวนลูกวัวช่วยกันฆ่าแม่ พอฆ่าแม่เสร็จก็กลายเป็นกำพร้า ร่อนเร่พเนจรไปเจอฤๅษี ฤๅษีจึงชุบสัตว์ทั้งสองให้กลายเป็นคน เสือชื่อหลวิชัย วัวชื่อคาวี"

ถาม : สัตว์ที่ฆ่าพ่อแม่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การที่สัตว์ฆ่าพ่อแม่ไม่เป็นอนันตริยกรรม เพราะสัตว์เมื่อโตขึ้นจะจำพ่อแม่ไม่ได้ นี่เป็นธรรมชาติของเขา พอถึงช่วงอายุหนึ่ง เขาก็จะโดนพ่อแม่กัดไล่ เพื่อให้ไปหากินเอง

โบราณเขามีคาถาเมตตาอยู่บทหนึ่ง เรียกว่า คาถาวัวกินนมเสือ ต่อให้เป็นศัตรูเราก็สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ สมัยหลัง ๆ เรียกง่าย ๆ ว่า คาถาสุกิตติมา เป็นคาถาที่หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ท่านจะใช้ลงในขันน้ำมนต์ของท่านเป็นประจำ

คาถาใช้ว่า สุกิตติมา สุภาจาโร สุสีละวา สุปากะโต เป็นเมตตามหานิยม ถ้าใครอยู่กับเจ้านายแล้วเจ้านายกัดบ่อย ให้ใช้คาถาบทนี้ นึกถึงหน้าเขาแล้วก็ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว

หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ท่านจะใช้ยันต์สุกิตติมากับยันต์บารมี ๓๐ ทัศน์คู่กัน ลักษณะทำเป็นกลีบบัวบานแล้วเขียนตัวอักขระ ด้านหนึ่งจะอยู่ก้นขันน้ำมนต์ ด้านหนึ่งจะอยู่ที่ฝา ถ้าเป็นภาษาของนักเล่นคาถา เขาจะเรียกว่า ยันต์ประทับหน้ากับยันต์ประทับหลัง

ถาม : ท่านเอาสุกิตติมาไว้ล่าง บารมี ๓๐ ทัศ ไว้บน ?
ตอบ : บารมี ๓๐ ทัศน่าจะเป็นประทับหน้า สุกิตติมาน่าจะเป็นประทับหลัง แต่ท่านไม่ได้เขียนเป็นยันต์คู่กัน

เถรี
01-04-2011, 10:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านได้บอกว่า เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว สถานที่ ๔ แห่งที่พุทธศาสนิกชนควรจะไปกราบไหว้บูชา ก็คือ สังเวชนียสถาน

พระอานนท์ก็ทูลถามว่ามีที่ใดบ้าง ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า สังเวชนียสถานมี ๔ แห่ง คือ ที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่แสดงปฐมเทศนา และที่ปรินิพพาน

จริง ๆ แล้วก็คือ พลังงานของพระองค์ท่านหลงเหลืออยู่บริเวณนั้นเยอะมาก ถ้าใครไปแล้วแทบจะไม่ต้องภาวนากำลังใจก็ทรงตัว พูดง่าย ๆ ว่ากระแสของพระองค์ท่านแรง ถึงเวลากระแสนั้นก็ดึงเราไปเลย"

เถรี
01-04-2011, 10:03
:4672615:เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์สิ้นสุดแล้วค่ะ
พบกันใหม่ในเก็บตกบ้านวิริยบารมีนะคะ :4672615: