เข้าระบบ

View Full Version : ธรรมะจากพระเจ้าแผ่นดิน


ป้านุช
20-01-2011, 23:52

ดอกไม้ถวายพระ

..."แม้จะเป็นความสุขที่เรียกว่าความสุขโลกธรรม
สิ่งที่เป็นของโลก เป็นเรื่องของโลก
ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น..."

"เวลาใครมาถามว่า ไปทำบุญทำกุศลไปไหว้พระ เอาดอกไม้ธูปเทียนไป มีประโยชน์อะไร บางทีเราก็ชะงักได้ เกิดความสงสัยได้เหมือนกัน

เพราะว่าพูดถึงเอาดอกไม้ไปวางที่พระแล้วได้บุญก็ไม่เห็น พระท่านก็เป็นรูปปั้น ทำด้วยปูนบ้าง ด้วยโลหะบ้าง ด้วยหินบ้าง บางทีก็เป็นพลาสติกก็มี

เราก็เกิดความคิด เพราะเราเป็นคนสมัยใหม่ ถ้าหากว่าเราเป็นคนสมัยโบราณ ก็อาจจะเกิดมีปมด้อยแต่เราเป็นคนสมัยใหม่ เป็นคนในปัจจุบันนี้ เราเอาดอกไม้ไปวางไว้ที่พระก็เพราะว่า ดอกไม้เป็นสิ่งที่สวยที่งาม

แล้วทำให้สถานที่สักการะน่าดูน่าชม ผลที่ได้ในการวางดอกไม้ จัดดอกไม้ให้สวยก็เป็นบุญกุศล แม้แต่ดูง่าย ๆ ที่สุด บุญกุศลนี้ เราเห็นว่าดอกไม้สวยและคนอื่นได้เห็นว่าเราทำดอกไม้สวย ก็ได้ผลแล้วได้ผลขั้นแรก เป็นผลจากที่เราอยากทำอะไรที่สวยงาม เราไม่อยากทำอะไรที่น่าเกลียดแล้วเป็นทุกข์

ขั้นแรกนี้เราได้บุญแล้ว ที่เห็นของที่เราทำเป็นของสวยงาม นี้อยู่ในขั้นธรรมดา คนอื่นมาเห็นบอกว่า นี่เอ...ของใคร เขาเห็นคนอื่นมาวางก็บอกว่าคนนั้น ๆ เป็นคนทำ เราก็นึกว่าคนนั้นเขาคิดชมเชยเราอยู่ในใจ นี่ก็เป็นความสุขเหมือนกัน ก็เป็นอานิสงส์

ได้บุญได้กุศลแม้จะเป็นในขั้นที่เรียกว่าขั้นต่ำ เราก็ได้บุญแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าทำบุญทำกุศล ลองคิดอย่างนี้ ทำอะไรเป็นบุญเป็นกุศล อย่างดอกไม้นี้เป็นสิ่งของเป็นวัตถุ เราคัดหรือตัดเอาดอกไม้มา มีผู้ชมว่าช่างสวยเหลือเกินทำเองหรือ เราบอกว่าทำเอง เขาก็ชมเชยด้วยคำชมก็เป็นความสุขแล้วเหมือนกัน

แม้จะเป็นความสุขที่เรียกว่าความสุขโลกธรรม
สิ่งที่เป็นของโลก เป็นเรื่องของโลก
ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น"

ป้านุช
21-01-2011, 17:01
"ทีนี้กุศลในรูปต่าง ๆ เช่น บริจาคเงินสำหรับทำการกุศล สำหรับช่วยศาสนาให้ยั่งยืน หรือช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์นั้น การทำกุศลนั้น ถ้าเราดูอย่างง่าย ๆ ทำไมเป็นการกุศล ก็เพราะว่าเป็นความสุข คนถามถามว่า อย่างให้เงินหมื่นบาทให้คนอื่นไป เราก็จนลงไปหมื่นบาทก็เป็นความทุกข์ จริงเป็นความทุกข์ แต่เป็นความทุกข์ในวัตถุหรือในเงินหมื่นบาทนั้นเพราะไม่ได้ใช้

แต่เรารู้ว่าเงินหมื่นบาทนั้นไปช่วยคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ถ้าเราเห็นหน้าคนที่ต้องตกทุกข์ได้ยากนั้นนะ เขามีความสุขขึ้น เขากำลังแย่เพราะว่าเขาถูกไฟไหม้ ส่งของไปให้เขา เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา เพราะว่ามีหวังแล้ว เราเห็นหน้าที่เขายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เห็นเงินทองแต่เป็นความสุข ว่าเราให้ความสุข

ข้อนี้ใครจะมาแย้งว่าได้ความสุขหรือ หน้ายิ้มแย้มของคนนั้นกินไม่ได้ ไม่ใช่เป็นทรัพย์เงินทอง แต่นั่นเป็นความสุขของเขา ซึ่งทำให้เป็นความสุขของเรา เราเห็นหน้าเขายิ้ม เราก็นึกเบิกบานใจและอิ่มใจว่า เขาว่าเราทำอะไรให้เขามีความสุข พ้นจากทุกข์

ในข้อนี้ คนที่มาบอกว่าเราจน เขาถูก เพราะว่าเรารู้ว่าเรามีเงินที่อุทิศไปให้คนอื่นเป็นการบริจาค ก็เป็นทาน ให้ทานนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุข"


พระราชดำรัส ในโอกาสที่คณะชาวห้วยขวาง พญาไท เฝ้า ฯ ทูลเกล้า ฯ
ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลและต้นเทียนพรรษา
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันอังคาร ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๐

ป้านุช
23-01-2011, 13:45

ทานนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

"สิ่งที่สูงสุดก็คือตัด
ทุกคนก็อยากตัดเพื่อให้ได้ไปนิพพาน
ตัดทุกข์ ตัดไม่ให้มีเหลือ ถ้าเราตัดทุกข์ได้ยาก
ก็ต้องหัดตัดอะไร ๆ ที่ง่าย ก็ฝึกในการตัด
ตัดนี่คือ สละ..."

"...ในปัจจุบันนี้ การสามารถที่จะให้ทานนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เขาถึงจัดว่าทานนี่เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ถ้าเราให้ ให้ ให้ เท่าที่เรามี ทั้งทรัพย์ ทั้งของ ทั้งบริการ ทั้งความรู้ ทั้งความให้อภัยซึ่งเป็นทานอย่างหนึ่ง ทานนั่นนะให้เป็นปรกติเป็นนิสัย ทำให้เบิกบานใจ ทำให้เราดีเราสบายขึ้น

อย่างเช่นเรามีความไม่สบายใจหงุดหงิด ถ้าเราทำบุญทำทานก็หายหงุดหงิด นี้ทั่ว ๆ ไปก็อาจจะไม่เข้าใจ แต่พวกเราทั้งหลายที่มีจิตใจที่เรียกว่าธัมมะธัมโมจะเข้าใจด้วยกัน เราทำทานทำให้หายหงุดหงิดหรือหายโกรธ เพราะว่าการให้ทานนี้เป็นการตัด เป็นการสละหรือการบริจาค

คนที่ศึกษาธัมมะก็รู้ดีว่าต้องทำหลายอย่าง แล้วก็
สิ่งที่สูงสุดก็คือตัด
ทุกคนก็อยากตัดเพื่อให้ได้ไปนิพพาน
ตัดทุกข์ ตัดไม่ให้มีเหลือ ถ้าเราตัดทุกข์ได้ยาก
ก็ต้องหัดตัดอะไร ๆ ที่ง่าย ก็ฝึกในการตัด
ตัดนี่คือ สละ..."

บริจาค เราบริจาคเงิน เราก็บริจาคทำทาน ทางไม่เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักทำทาน รู้จักให้ จะได้ผลมาแต่ต้นที่เกิดเบิกบานใจ และจะได้ผลจนสุดท้ายถึงที่สุดของเป้าหมายของพวกเราพุทธศาสนิกชน ด้วยการตัดความทุกข์ได้ ถ้าพูดถึงทางทางนี้ก็ไปถึงนิพพานได้

ป้านุช
23-01-2011, 14:26
ฉะนั้น ให้พิจารณาดูว่า ในด้านต่าง ๆ ที่เราทำมีเหตุผลทั้งนั้น ตั้งแต่ปฏิบัติที่เรียกว่าขั้นต่ำ ขั้นที่ได้ผลบัดนี้ในปัจจุบัน จนกระทั่งได้ผลถึงที่สุด แต่ละคนก็มีความสามารถต่าง ๆ กัน แต่วันหนึ่งก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ด้วยการพิจารณา คนที่พิจารณามาก ๆ ก็ขจัดความทุกข์ได้เร็วกว่า

คนที่พิจารณาน้อยก็อาจจะวนเวียนอยู่แถวนี้ได้นานกว่า นี่ก็แล้วแต่คน แต่ว่าเริ่มต้นด้วยการทำกุศลในรูปใดที่รู้ว่าเป็นกุศลก็เป็นการดี การที่บอกว่าให้รู้ว่าเป็นกุศลนี้ก็เป็นการกระทำที่ที่จะเป็นกุศลให้ตัวเรา เราทำกุศลเราสร้างความดีทำไม

ลองคิดพิจารณาว่า ทำไมเรามาปักดอกไม้นี้ เป็นกุศลจริงหรือ ฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่ากุศล ทำบุญมีเหตุผลทั้งนั้น ใครมาพูดอะไร มาแย้งอะไร เรามาคิดว่าทำไมเขามาแย้งว่า ความจริงนั้นถูกต้องหรือไม่ ถูกต้องที่เขาเข้ามาแย้ง ความคิดนี้ก็เป็นกุศล เราทำทุกวัน ทุกวันเราทำกุศลหลายครั้งนั้นหยุดคิดดี ๆ มีเหตุผล ถ้าเราคิดด้วยเหตุผลก็ไม่ควรจะผิด

เหตุผลนี่ก็มีหลายอย่าง มีเหตุผลที่ดีและเหตุผลที่ไม่ดี ถ้าทำอะไรตามเหตุผลที่ดีก็เป็นกุศล ถ้าทำอะไรตามเหตุผลที่ไม่ดีก็เป็นอกุศล เพราะว่ารากฐานของเหตุผลนั้นไม่ดี ถ้าเราบอกว่า การฆ่าคนหรือการฆ่าสัตว์เป็นของไม่ดี เราจึงไม่ทำ เราจึงไม่ฆ่าสัตว์

แต่ถ้าเราตั้งรากฐานไว้ว่าการฆ่าสัตว์นี้เป็นของดี เราฆ่าสัตว์จึงเป็นของดี นี่เป็นเหตุผลของเราแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่ดี รากฐานนี้ไม่ดี อันนี้เป็นโทษของเหตุผลเหมือนกัน ต้องดูถึงรากฐานที่เราตั้งเหตุผลนี้ขึ้นมา แต่บางทีเหตุผลไม่ใช่ง่าย ๆ อย่างนี้

บางทีบอกว่าฆ่าสัตว์ไม่ดี แล้วเราก็เดินไปเดินมา ก็ต้องฆ่าสัตว์อยู่ตลอดเวลา เพราะว่าอาจจะมีมด มียุง มีอะไร ๆ เราไม่ระวัง เราจึงเป็นคนบาปอยู่ตลอดเวลา เรารับประทานอาหารมีเนื้อสัตว์ เขาก็ต้องฆ่าสัตว์มากิน เป็นต้นเหตุให้ฆ่าสัตว์ก็ไม่ดี

อันนี้หมายความว่าด้วยหลักของเหตุผล เรากลายเป็นคนเลวทั้งนั้น ถ้าดูในแง่เหตุผลอย่างหนึ่งก็อาจจะเป็นจริง เรายังมีไม่ดีในตัวต้องขัดเกลา แต่ว่าถ้าเราไปเครียดเราไปหนักใจมากเหลือเกิน ในข้อนี้จะทำบาปได้มากขึ้นอีก ก็อย่างพระพุทธเจ้า มีใครมาคัดค้านท่าน ทำไมไม่สอนพระภิกษุเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ อนุญาตให้บริโภคเนื้อสัตว์มิใช่บาปหรือ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ห้ามและไม่แม้แต่จะคัดค้านแล้ว ท่านก็ยังไม่ห้ามบริโภคเนื้อสัตว์เพราะเหตุอื่น เพราะเหตุว่าชาวบ้านเขาต้องบริโภคเนื้อสัตว์ ถ้าเราไปที่ไหนที่เขาบริโภคเนื้อสัตว์ แล้วพระภิกษุไปบอกว่าฉันไม่ได้ จะต้องทำให้เป็นพิเศษ ยิ่งบาปใหญ่ยิ่งเดือดร้อนใหญ่ ต้องมีเหตุผลแต่ไม่ได้สนับสนุนการฆ่าสัตว์ ดังนี้เป็นต้น

ถ้าเราคิดพิจารณาอย่างละเอียดแล้วถึงเหตุผล จะทำให้เรามีความก้าวหน้าในจิตใจ คือหมายความว่าจะมีความฉลาดหรือมีปัญญา"

ป้านุช
24-01-2011, 22:52
ปัญญาของพุทธศาสนาคือความฉลาด ฉลาดรู้อะไรจริงอะไรไม่จริง ไม่ใช่ปัญญาที่ไปเข้าโรงเรียน ไปเข้ามหาวิทยาลัย ได้ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แล้วแต่ที่เรียนมาจำมา หรือแม้แต่จะสามารถนำมาอันนี้ก็เป็นปัญญาอย่างหนึ่ง แต่ปัญญาที่จะเห็นว่าตรงไหนทุกข์ ตรงไหนเป็นเหตุแห่งทุกข์ นี่คือปัญญาแท้

ฉะนั้น ปัญญานี่ก็เริ่มมาจากการทำบุญ ถ้าทำบุญและรู้ว่าเป็นบุญด้วย รู้เหตุผลว่าเป็นบุญที่ไหน อย่างไรด้วย

ฉะนั้น ที่มีโอกาสได้พบกันปีละครั้ง ที่นำเอาเทียนพรรษามานี้ก็เป็นโอกาสที่ได้พบคนที่มีความตั้งใจดี มีความมุ่งมั่นที่จะขัดเกลาตนเอง แล้วก็มีความสามัคคีกลมเกลียวกันในอันที่จะทำความดี คิดดี ตั้งใจดีอันนี้ชื่นใจ

ฉะนั้น การที่พบท่านทั้งหลายจึงไม่ใช่ภาระเพราะเป็นความชื่นใจ มีเหตุผลว่า ทำให้เกิดกำลังใจว่าคนเราในสมัยนี้ คนสมัยใหม่มีความตั้งใจดี ในความหมายของคำว่าตั้งใจดีที่แท้ ไม่อยู่ในความมืด แล้วก็เชื่อว่าท่านทั้งหลายจะสามารถที่จะมีความสุขตามสภาพของแต่ละคน จะมีเงินมากเงินน้อยก็แล้วแต่ มีความสุขได้เพราะว่ามีใจกุศล มีใจที่ไม่คิดโกง มีใจที่แน่วแน่อันนี้เป็นสิ่งที่ดี

ป้านุช
26-01-2011, 23:58
"ความจริงก็เข้าใจว่าท่านทั้งหลายก็ต้องการให้ให้ศีลให้พร ความจริงท่านทั้งหลายให้ศีลให้พรกับตัวเองทุกวัน ๆ เมื่อปฏิบัติดีชอบก็เป็นการให้ศีลให้พรอย่างดีที่สุด

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนาจะเป็นจริงทั้งนั้น ถ้ามีความเพียร มีการทำกุศลที่แท้ พิจารณาว่าอะไรเป็นกุศลที่แท้ เมื่อรู้แล้วว่าเป็นกุศลเราก็สามารถปฏิบัติให้เป็นกุศล

อันนี้ก็เป็นธรรมดา ถ้าทำทุกอย่างตามนัยนี้ก็เป็นผลบุญ การทำที่ถูกที่แท้อยู่ในพระพุทธศาสนานี้ เราเห็นอะไร เห็นโลกส่วนไหนเป็นกุศลธรรม เราก็พิจารณาให้เป็นกุศลธรรม และเราก็ต้องสกัดอกุศลกรรม

อกุศลกรรมก็คือเป็นทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์และอะไรจะทำให้เหตุแห่งทุกข์นั้นหมดไป เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่ต้องให้พรใด ๆ แต่ว่าก็ขอให้ทุกคนสามารถที่จะเห็นความหมายของกุศล และตั้งหน้าตั้งใจที่จะปฏิบัติกุศลด้วยการปฏิบัติตนให้ดีที่สุด

พูดถึงการบูชา การบูชาด้วยปฏิบัติเป็นการบูชาอีกอย่างหนึ่ง การปฏิบัตินี้แบ่งเป็น ๒ ประเภท การปฏิบัติราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่เบียดเบียนใคร นี่เป็นการปฏิบัติในโลก ทำให้ชาติบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง มีความสุข มีความสมบูรณ์ ปฏิบัติในทางด้านธรรมะก็คือการพิจารณา..."


พระราชดำรัสในโอกาสที่คณะชาวห้วยขวาง พญาไท เฝ้า ฯ ทูลเกล้า ฯ
ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลและต้นเทียนพรรษา
ณ พระตำหนัดจิตรลดารโหฐาน วันอังคารที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๐

ป้านุช
29-01-2011, 00:07

อานิสงส์ของดอกไม้บูชา


"...นี่เป็นหลักของศาสนาที่จะเห็นว่า
ถ้าเราเห็นข้อนี้ในทุกสิ่งในทุกอย่าง
ก็จะทำให้เรียกว่าได้ผลได้ปัญญา..."

ป้านุช
29-01-2011, 00:18
เคยพูดมาแต่ก่อนแล้วว่า เนื่องมาจากที่แต่ละคนมีศรัทธาจิตที่จะบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างดี เริ่มต้นอันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มีความเจริญตั้งแต่เริ่มแรกที่แต่ละคนปฏิบัติตัวดีในศีลและในธรรม

ศีลคือ เป็นข้อที่ให้เว้นไม่ควรที่จะปฏิบัติ เพราะว่าไม่เป็นสิ่งที่ควรจะปฏิบัติก็ให้เว้น เพราะถ้าทำถ้าปฏิบัติที่ควรเว้นนั้นก็ทำให้ไม่เจริญ ทำให้เสื่อมลงไป ธรรมนั้นก็เป็นข้อที่ควรปฏิบัติ ก็ควรจะทำให้เกิดขึ้นเพื่อจะได้มีความเจริญรุ่งเรือง

ป้านุช
30-01-2011, 22:09
"อันนี้ก็ได้เคยพูดกันไปแล้ว พูดถึงว่าแต่ละคนที่ได้บูชาด้วยการเอาดอกไม้ไปประดับที่พระพุทธรูปเป็นต้นนั้น มีอานิสงส์อย่างไร คือข้อที่บางคนก็เห็นว่า เราเห็นคนเข้าไป คลานไปที่พระพุทธรูปแล้วก็เอาดอกไม้ไปประดับในแจกันก็มี บางทีก็มีพวงมาลัยไปประดับอย่างสวยงามจะมีประโยชน์อะไร คนบางคนเขาไม่เห็นประโยชน์เพราะว่าเสียเวลาเสียเงินทองทำไม เดี๋ยวดอกไม้ก็เหี่ยว ไม่เข้าใจ ผู้ที่เห็นอย่างนั้นบอกว่าเสียเวลา ไปวางแล้วดอกไม้เดี๋ยวก็เหี่ยว ไม่มีประโยชน์อะไร

อย่างนี้ผู้นั้นไม่เกิดปัญญา ไม่เกิดความรู้ ไม่เกิดความเข้าใจ แต่ว่าผู้ที่เห็นแล้วก็ไปวางดอกไม้แล้วเดี๋ยวก็เหี่ยวนั้น ถ้าพิจารณาก็เป็นการปฏิบัติธรรม เรียกว่าถึงขั้นหนึ่งของกรรมฐาน หรือวิปัสสนา

ซึ่งเราต้องการปฏิบัติวิปัสสนากันซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ข้อนี้ก็เป็นวิปัสสนานั่นเอง คือเป็นการดูว่าดอกไม้นั้นเราเก็บมาวางไว้ห่างจากต้น หรือแม้แต่อยู่บนต้นไม้ไม่กี่วันก็เหี่ยว เหี่ยวแล้วก็แห้ง แห้งแล้วก็ร่วง ถ้าเราเก็บเอาไว้โดนอะไรหน่อยเป็นผุยผง เพราะว่าดอกไม้ไม่ใช่ดอกไม้แล้วก็เป็นผง

อันนี้เป็นการพิจารณาว่าอะไร ๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย
เป็นการเห็นความธรรมดาของสิ่งของ
นี่เป็นหลักของศาสนาที่จะเห็นว่า
ถ้าเราเห็นข้อนี้ในทุกสิ่งในทุกอย่าง
ก็จะทำให้เรียกว่าได้ผลได้ปัญญา"

ป้านุช
03-02-2011, 18:54
"ถึงบอกว่าการบูชาด้วยดอกไม้ไปประดับนั้น ก็คือเป็นทางไปสู่ความดีหรือความอดทน อีกทางหนึ่ง การเอาดอกไม้ไปประดับประดาตามพระพุทธรูปในโบสถ์หรือที่หิ้งบูชา การนำไปประดับให้สวยงามนั้นจะได้ความหลุดพ้นไปได้อีกทางหนึ่งซึ่งก็นับว่าคล้ายกัน

หมายความว่าจะได้วิมุติเหมือนกันคือหลุดพ้น เพราะว่าถ้าเรานำไปประดับประดาสวยงาม เราก็มีความปลื้มเพราะมันสวย เรามีความสบายใจ มีปีติ ปีตินี่คือความปลื้มใจ ความภูมิใจ มีความรู้สึกว่าเบา เป็นความปลื้มใจที่ไม่เสียหาย

เป็นปีติที่เกิดความเบาใจ ความสบาย ความสบายนั้น ถ้านำมาในทางที่ดีที่ชอบ ความสบายใจแบบนี้ปีติแบบนี้ก็จะนำไปสู่ความสงบสุข อยู่อย่างมีความสุข มีความสุขแล้วก็มีความสงบไปสู่ความว่างได้ คือเป็นอุเบกขา ความปีตินั้นนำไปสู่อุเบกขา

อุเบกขานั้นหมายความว่าเราไม่ยินดีไม่ยินร้าย แต่แท้จริงคือว่า เห็นอะไรก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ว่าไม่ยินดียินร้าย ไม่มีความยินดี ดีใจถูกใจ"


พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสที่พระครูใบฎีกาเล็ก ญานุตตะโร
วัดหลวงปรีชากูล อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี และคณะเฝ้าถวายเงิน
เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล ตามพระราชอัธยาศัยและต้นเทียนพรรษา
วันจันทร์ ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘

ป้านุช
09-02-2011, 19:56

อย่าไปผิดในทางศีล

"...อย่าไปโกงเขา อย่าไปขโมยเขา อย่าไปฆ่าเขา
อย่าไปผิดในทางศีล ๕ ที่มีอยู่
ถ้าไม่ผิดอันนั้นความเจริญก็มา..."

"...การปฏิบัติพุทธศาสนาเป้าหมายสูงสุดก็คือ วิมุติ แต่ระหว่างทางนั้น เราก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่งอยู่เฉย ๆ แล้วก็ให้ได้วิมุติมาถึงเรา อย่างนั้นไม่ถูก

เพราะว่าแต่ละคนก็มีชีวิต แต่ละคนก็ต้องปฏิบัติงานการของตัว เพื่อพยุงตัวให้อยู่ได้ แล้วก็เพื่อให้ส่วนรวมอยู่ได้ อันนี้ก็เป็นหน้าที่ในโลก แล้วแต่ฐานะของแต่ละคน

แต่ถ้าคนเราแต่ละคนมีฐานะใดก็ตาม มีอายุเท่าใดก็ตาม ปฏิบัติสิ่งที่ดีที่ชอบ ปฏิบัติสิ่งที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น นั้นเป็นการสร้างสรรค์ส่วนรวมและเป็นการสร้างสรรค์สำหรับตัวเองให้มีความเจริญ

มีความเจริญแล้วมีความสามารถที่จะปฏิบัติทำจิตของตัวให้หลุดพ้นได้ ถ้าตราบใดที่เรายังไม่มีฐานะที่ดีพอสมควร ก็ยากในการที่จะปฏิบัติธรรมะ เพราะว่าถ้าหากว่าจะปฏิบัติธรรมะก็จะต้องสามารถที่จะมีเครื่องประกอบ คือร่างกายที่จะพอทนความลำบากยากเข็ญของการปฏิบัติ

การปฏิบัติของพระทั้งมวล ท่านก็บอกว่าท่านจะต้องใช้ปัจจัยอย่างแร้นแค้น ที่ว่าปัจจัยสี่ที่สำหรับพระท่าน เช่น อาหารก็ต้องจากบิณฑบาต ถ้าบิณฑบาตไม่ได้ก็อด นอกจากจะมีลาภที่เป็นอดิเรก

คือถ้าใครมาทำอาหารให้ก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด แต่ว่าหลักก็คือต้องไปบิณฑบาต ผ้าห่มก็ต้องไปเอาผ้าที่เขาทิ้งแล้วมาต่อเป็นไตรจีวร ถ้ามีไตรจีวรสำเร็จรูปที่เขามาถวายก็เป็นอดิเรกลาภที่จะรับได้เช่นเดียวกัน

สำหรับที่อยู่อาศัย สำหรับยารักษาโรคถือเป็นจตุปัจจัย อันนี้พระก็อยู่อย่างแร้นแค้นจริง ๆ ก็หมายความว่าไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย ใครไม่ให้ ไม่มีสิ่งที่ไปประสบอย่างเช่นที่อยู่ ถ้าไม่มีใครสร้างกุฏิให้ก็อยู่ใต้ต้นไม้

เพราะว่าพระที่เป็นพระจริง ๆ แล้ว ท่านเรียกว่าท่านเหนียวแน่น ท่านไม่ต้องติดอะไรกับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ หรือไม่มีทรัพย์ไม่มีสมบัติติดตัวเลย เมื่อทนได้อย่างนั้นก็สามารถปฏิบัติจิตใจได้ ไม่ติดอะไร

แต่สำหรับผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ที่ทำหน้าที่การงานของตัวเรียกว่า ตามชั้น ตามฐานะ ก็ต้องทำมาหากินเพื่อที่จะพยุงตัวให้อยู่ได้ ญาติพี่น้องอยู่ได้ แต่ต้องทำอย่างดีมีศีล"

ป้านุช
13-02-2011, 23:46
"บางคนอาจจะว่า ถ้าทำอยู่ในศีลตลอดเวลา ไม่ปล่อยอะไรไปในทางที่เรียกว่าผิด ๆ แม้แต่ทำการค้าก็ว่าไป อาจจะผิดศีลไปได้บ้าง ถ้าเราคิด ๆ ดู เพราะว่าสมมติว่าค้าขาย เราก็จะต้องบอกว่าสินค้าของเรามีคุณภาพดีแล้วก็ราคาถูก แท้จริงถ้าราคาถูก ให้เขาไปเฉย ๆ ก็ทำมาหากินไม่ได้ ไม่มีกำไร ก็เหมือนว่าเป็นผู้ที่ผิดศีลมุสา แต่ว่ามันอยู่ในขอบเขต ไม่ได้ทำล่วงเกินมากขึ้นไป อย่าไปถือว่าเป็นมุสา คนที่ค้าขายก็จำเป็นที่จะมีกำไร

สิ่งเหล่านี้ก็เป็นที่ลำบาก ถึงถ้าจะปฏิบัติก็ตามฐานะของตัว แต่ว่าอย่าไปโกงเขา
อย่าไปขโมยเขา อย่าไปฆ่าเขา อย่าไปผิดในทางศีลห้าที่มีอยู่ ถ้าไม่ผิดอันนั้นความเจริญก็มา"


พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสที่พระครูใบฎีกาเล็ก ญานุตตะโร
วัดหลวงปรีชากูล อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี และคณะเฝ้าถวายเงิน
เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล ตามพระราชอัธยาศัยและต้นเทียนพรรษา
วันจันทร์ ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘

ป้านุช
21-02-2011, 20:20

ตัวสำคัญคือสติ

"...คนเราต้องมีเผลอบ้าง แต่ว่าถ้าสติอยู่กับตัว
มีสติสัมปชัญญะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
อะไร ๆ ก็รู้หมดรู้ได้ทันที แล้วก็เมื่อมีอะไรที่มาโจมตี
เราก็ปรับได้ทันทีด้วยสติสัมปชัญญะ

นี่เป็นการปฏิบัติสูงขึ้นมาจากการบูชาด้วยดอกไม้..."

ป้านุช
21-02-2011, 20:42
"...ถ้าเราอยากที่จะได้ผลในการปฏิบัติในทางศาสนาคือ หลุดพ้นวิมุติ มันไม่มีทางพ้นวิมุติ เพราะหลุดพ้นวิมุตินี้การปฏิบัติตัวสำคัญคือต้องมีสติ

ท่านว่ามีหลายทาง แต่ว่าตัวกลางตัวสำคัญคือสติ คือระลึกได้ หมายความว่าเห็นอะไรก็รู้ว่าเป็นอันนั้น ๆ ถ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ถ้าไปครั้งหนึ่งถ้ารู้จริง ๆ สัก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็หมายความว่าเห็นอะไรปับรู้ อีตานี่มีหูทิพย์ อันนี้ถ้ารู้เรียกว่ารู้ถึง ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าได้ประโยชน์

แต่ว่าคนเราต้องมีเผลอบ้าง แต่ว่าถ้าสติอยู่กับตัวมีสติสัมปชัญญะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
อะไร ๆ ก็รู้หมดรู้ได้ทันที แล้วก็เมื่อมีอะไรที่มาโจมตี เราก็ปรับได้ทันทีด้วยสติสัมปชัญญะ
นี่เป็นการปฏิบัติสูงขึ้นมาจากการบูชาด้วยดอกไม้
คือมีสติสัมปชัญญะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นั้น มาได้ด้วยอาศัยรากฐานที่ดีของศีล แล้วก็ต่อมาก็ด้วยมีขั้นสมาธิ ซึ่งสตินี้สัมมาสติอยู่ในจำพวกสมาธิจิตอธิษฐาน

ฉะนั้นก็เมื่อมาถึงเดี๋ยวนี้แล้วก็รู้ ก็เป็นปัญญา คือว่าเรารู้ได้แน่นอนว่าอะไรเป็นอะไร เรารู้อะไรที่ทำให้คนพ้นวิมุติ เรารู้ได้ว่าอะไรทำให้เจริญรุ่งเรือง เราก็ปฏิบัติได้เพราะมีสติ

แล้วก็สติและสมาธิอันเป็นตัวกลางเริ่มด้วยศีลแล้วก็ไปสมาธิเลย ปัญญาก็ทำให้เราเลือกอะไร ๆ ได้ ก็เลือกในทางที่ถูกต้อง กลับมาสามารถที่จะปฏิบัติได้ทั้งในโลก ทั้งในธรรม สามารถที่จะปฏิบัติงานของตัวทั้งงานของฆราวาส ทั้งงานในจิตใจ ทั้งจะเป็นฆราวาสหรือภิกษุได้ ทั้งนี้เริ่มด้วยศีลแล้วก็มาเสริมด้วยสมาธิจึงได้ปัญญา..."

ป้านุช
22-02-2011, 20:47
"...แต่ทำไมในมรรคมีองค์ ๘ ท่านเอาปัญญามาก่อน ท่านเอาสัมมาทิฐิไว้ก่อนอันดับแรก เมื่อเป็นปัญญาคนก็จะแย้งว่าทำไมสอนทั่วไปเขาบอกว่าต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา แต่แท้จริงมันต้องมีปัญญาตั้งแต่ต้นถึงจะปฏิบัติได้ดี

ฉะนั้นก็ต้องมีสัมมาทิฐิก่อน ในเนื้อหามรรคมีองค์ ๘ ก็มาวางไว้เป็นอันดับแรก อันดับแรกนี้ก็หมายว่าสำคัญที่สุดเลย แล้วก็เป็นสิ่งที่มาก่อนอยู่ที่ว่าปัญหาว่าไก่หรือไข่มาก่อน ไม่รู้ แต่ความจริงทุกคนที่เกิดมาเป็นคนก็จะต้องมีปัญญาเด็ดเดี่ยวมาก

ถ้าไม่ได้ปฏิบัติทางปัญญามาก็เชื่อว่าไม่มีสัมมาสมาธิบ้าง สัมมาทิฐิบ้าง ก็คงไม่ได้เกิดมาเป็นคน เกิดเป็นเดรัจฉานหรืออาจจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ว่าหากว่าสามารถที่จะปฏิบัติในทางปัญญาก็เชื่อว่าจะเกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นคนแล้วก็จะต้องพยายามเสริมปัญญาให้ดี ถ้าไม่เสริมก็ตกนรกต่อ

ตกนรกนั้นก็มีการชี้แจงว่าไม่สบายอย่างไร ก็ไม่น่าลง บางคนก็ล้อกัน ขึ้นสวรรค์ไม่สนุก โดยเฉพาะอย่างศาสนาอื่นขึ้นสวรรค์แล้วนั้นมันมีแต่เสียงเพลง ฟังเพลงเบา ๆ แล้วก็มีเทวดามาควบคุมให้เป็นคนเรียบร้อย ก็ไม่สนุก ตกนรกดีกว่า ไปพบคนพูดปดเล่าเรื่องอะไรต่าง ๆ วิญญาณอะไรสนุกสนานมาก

นั่นนะศาสนาอื่นเขาพูดอย่างนั้น ศาสนาพุทธก็มีเหมือนกันที่ว่ามีสวรรค์มีนรก แต่อยู่นรกก็เหมือนมันสนุกแท้ ๆ นะ สนุกอย่างไร ถ้าไปเยี่ยมนรกจะสนุกกันมากเหมือนว่าดูมหรสพ แต่แท้จริงถ้าตกลงไปในนรกถูกแทงถูกอะไรต่าง ๆ เป็นเวลาหลายศตวรรษมันก็ไม่สนุก ไม่ดี ไม่สบาย แต่ว่าขึ้นสวรรค์ก็สบาย แล้วสิ่งที่ดีที่สุดสบายที่สุดก็คือหลุดพ้น เพราะมันสงบ มันไม่มีอะไรที่มากวนใจ ไม่มีอะไรที่มาทำให้เราไปทำในสิ่งที่เสียหาย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีอะไรที่มากวนหัวใจ

ดังนั้น เราก็ควรจะพิจารณาว่าขึ้นสวรรค์หรือว่าวิมุติมันดีกว่าลงนรก ถ้าเห็นอย่างนั้นแล้วเราก็พยายามหาทางที่จะส่งเสริมให้ก้าวหน้าในทางสงบสุข แล้วก็ไม่เดือดร้อน การพิจารณานี้ก็ต้องใช้ปัญญา ก็พูดถึงว่าคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องมีปัญญาติดตัวมา ซึ่งเรียกว่าชาติปัญญา หมายความว่า ปัญญามาด้วยชาติ

ฉะนั้น เราก็ต้องส่งเสริมสิ่งที่เรามีอยู่แล้วให้มันดียิ่งขึ้น ให้มีประสิทธิภาพขึ้น คือปัญญาให้มีขึ้นด้วยการทำสมาธิ แล้วก็ด้วยการรักษาศีล ๕ ก็ได้ หรือศีลในมรรคมีองค์ ๘ คือว่าให้พูดดีไม่เสียหาย ให้มีการงานที่ดีไม่เสียหาย ปฏิบัติตนให้ดีไม่เสียหาย แค่นั้นนะก็เป็นฝ่ายทรงศีล เราไม่พยายามที่จะไปบั่นทอนปัญญาที่มากับการเกิดเราก็สบาย อันนี้เป็นมรรค หมายความว่า ทางเดินที่ถูกต้อง..."

ป้านุช
23-02-2011, 22:24

ปัญญาบารมี

"...ถ้าเรามีความเคยชินว่าเห็นใครที่เขาเดือดร้อนอะไร
เรามีเมตตากรุณาเขา ก็เป็นเมตตาบารมี
ถ้าเรามีอะไรที่เดือดร้อน เดือดร้อนคือความอดทน
อันนี้ก็สามารถที่จะสร้างความอดทนไว้ได้มาก
แต่ว่าถ้าสร้างบารมีใดที่ดีที่สุด ลงท้ายทั้งหมดนั่นเป็นปัญญาบารมี..."

ป้านุช
25-02-2011, 00:46
"...ถ้าอธิบายในทางปฏิบัติให้ดีให้ก้าวหน้ามันก็มีธรรมะทั้งหมด จะยกขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าสมมติว่าเราปฏิบัติอะไรดีมันเหนื่อย มันเหน็ดเหนื่อยที่จะระวังตัวให้อยู่ในความดีตลอดเวลา ไม่ให้เผลอ มันเหนื่อย แต่ถ้าหากว่าเราพยายามด้วยความเหน็ดเหนื่อยนั้นบ่อย ๆ เสมอตัว ความเหน็ดเหนื่อยนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้คำว่าเคยชิน มันไม่ค่อยจะดี คำว่าเคยชินในทางที่ไม่ดี แต่เป็นความเคยชินที่จะทำสิ่งที่ดีที่เหมาะ

ภาษาธรรมะเรียกสร้างบารมี สร้างบารมีคือสร้างสิ่งที่ดีจนติดตัว เพราะทีหลังมันเคย ของดีที่เรามีติดตัว ในทางโลกก็ค่อยว่าไป เช่นการขับรถ คนขับรถเป็นทุกคน ก็จะทราบว่าขับรถนี่ตอนแรกเราจับพวงมาลัยแล้วขับ นั่งตรงที่จับพวงมาลัยแล้วขับ นั่งตรงที่จับพวงมาลัยแล้วก็จะติดเครื่องก็พอทำได้ เพราะว่ามีกุญแจไขติดเครื่องไป ทีนี้จะเริ่มแล่น

สมัยนี้ถ้ารถแบบที่เขามีเกียร์อัตโนมัติไม่ว่า ถ้าเป็นธรรมดาเรานั่งแล้วติดเครื่องแล้วก็ต้องใส่เกียร์ ใส่เกียร์แล้วก็ต้องเหยียบคลัตช์ก่อน เหยียบคลัตช์ใส่เกียร์นี้เราเริ่มแล่น ก็ต้องปล่อยคลัตช์ เร่งน้ำมัน

ถ้าเรานึกถึงอย่างเดียวว่าปล่อยคลัตช์ไม่เร่งน้ำมัน เดี๋ยวเครื่องก็ดับ ไม่แล่น หรือถ้าเราเหยียบน้ำมันมากเกินไป ปล่อยคลัตช์แรงเกินไป ก็กระตุกไปแล้วเครื่องก็ดับ ทำไม่ได้

วันแรกที่ขับรถ วันแรกที่ปฏิบัติก็เชื่อว่าผู้ที่ขับรถตอนแรกครั้งแรกก็ต้องกระตุกละ ไม่มีใครที่ไม่เคยไม่กระตุก แต่ทีหลังเวลาขับรถเป็นแล้วมันไม่กระตุก ไม่ได้คิดว่ากระตุก ไม่มี ก็แล่นไปได้ดี นั่นมันสบายไม่ต้องคิด ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย มันไปได้ตลอดเพราะว่าเคยชิน ความดีในที่นี้ก็คือความสามารถที่จะขับรถก็ได้

ฉะนั้น ความดีในทางอื่น ๆ ในธรรมะ ความดีของผู้ที่อยู่ในศีล ทางปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล ปฏิบัติธรรมะคือ เมตตากรุณาบ้างเป็นต้น ทำได้ถ้าค่อย ๆ เคยชินไป อันนี้ก็เป็นการสร้างบารมีขึ้น..."

ป้านุช
25-02-2011, 21:22
"...แต่ที่สำคัญอย่างเช่นเมตตาบารมี ถ้าเรามีความเคยชินว่าเห็นใครที่เขาเดือดร้อนอะไร เราเมตตากรุณาเขาก็เป็นเมตตาบารมี ถ้าเรามีอะไรที่เดือดร้อน เดือดร้อนคือความอดทน อันนี้ก็สามารถที่จะสร้างความอดทนไว้ได้มาก แต่ว่าถ้าสร้างบารมีใดที่ดีที่สุด ลงท้ายทั้งหมดนั่นเป็นปัญญาบารมี เป็นสิ่งที่จะเสริมให้เราสามารถที่จะมีความฉลาดโดยไม่ต้องคิดอะไร ฉะนั้นก็เป็นการสร้าง

แต่ถ้าในทางตรงกันข้าม เราปล่อยตัวไม่ระมัดระวัง ไม่มีสติสัมปชัญญะ ปล่อยให้ทำไม่ดี เดี๋ยวก็เห็นอะไรของเขาวางไว้ หยิบฉวยไปแล้วใช้เป็นของธรรมดา ของที่วางไว้ไม่มีเจ้าของ อย่างที่เขาพูดเวลามีเงินงบประมาณแผ่นดิน
....เฮ้ย...นี่เงินกองกลางยังอยู่ ไม่ใช่เงินของเรา จ่ายไป เขาจ่ายไป อันนั้นนะเคยชินไป ไม่มีความสุจริต จนกระทั่งทำไปทำมาไปหยิบฉวยเขา ไปทำการขโมย วันหนึ่งถูกจับเข้าคุกมันก็ทุกข์ใหญ่

แต่ว่าไม่เข้าใจ บางคนนี่แปลกจริง ๆ ของมันวางเอาไว้ไม่มีเจ้าของ หยิบเอาไป แต่แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างมีเจ้าของมันต้องมีเจ้าของ สิ่งที่มีค่าจะต้องมีเจ้าของ พานที่วางอยู่นี่ มันวางอยู่หยิบไปก็ไม่ถูก เป็นเรื่องของการทุจริต

แต่ว่าตอนแรกเรารู้ว่าอะไรสุจริต อะไรทุจริตเราก็ไม่ทำ บางทีเรียกว่ามันอยากแล้วมันยั่วใจมันล่อใจ มันก็ต้องพิจารณา แต่ทีหลังมันก็เป็นความเคยชินได้ว่าไม่ทำ แต่ว่าถ้าทำไปเรื่อย ก็เป็นความเคยชินว่าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอันนั้นนะ

รวมทั้งทำในทางที่โกรธอะไรมาต้องโกรธเลย ไม่ละ ไม่คิดพิจารณา ทีหลังก็จะเป็นคนโกรธ อะไรมากระทบนิดเดียวก็โกรธ เพราะว่ามันสะสมเอาไว้ในจิตของเรา นั่นคืออาสวะและอนุสัย จนกระทั่งปฏิบัติถึงขั้นสูงแล้วจะเป็นพระจะเป็นผู้ที่ออกไปปฏิบัติธรรมชั้นสูงแล้ว ความเคยชินนี้ยังอยู่ในตัว ต้องขัดเรียกว่าขัดเกลาด้วยการพิจารณา ต้องใช้อะไร ก็ต้องใช้สติสัมปชัญญะนั่นเอง..."

ป้านุช
27-02-2011, 23:15
"...ต้องพยายามที่จะรู้อยู่เสมอว่าอันนี้คืออะไร ตัวกำลังทำอะไร สติก็ระลึกรู้ว่าอันนี้อะไร แล้วก็สัมปชัญญะก็รู้ว่าตัวกำลังทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่สติสัมปชัญญะ อันนี้พูดในระดับสูงกว่าที่พูดถึงว่านำดอกไม้ไปบูชา เป็นทางไปสู่จุดหมายของพุทธศาสนา สติสัมปชัญญะนี้เป็นปัจจัยสำคัญเพื่อนำไปสู่ความชอบ ความสุข ความอดทน

ฉะนั้นที่พูดอย่างนี้กับคณะท่านพระครูก็เพราะว่าท่านทั้งหลายสนใจในการอยู่ดีกินดี และสนใจในความดีในจิตใจ สามารถที่จะดำรงชีวิตด้วยความสงบสุข คืออยู่ดีกินดีก็หมายความว่าทำหน้าที่อาชีพอย่างสุจริต และจิตใจที่มีความสุขนั้น ทำด้วยการฝึกจิตใจแต่ละบุคคลให้เห็นความดีด้วยสติสัมปชัญญะ ถือว่าเป็นขั้นที่จะไปสู่ความสงบ ไม่ใช่ว่าไปนั่งวิปัสสนาในวัดเท่านั้นเอง นั่นนะส่วนหนึ่งนั่งวิปัสสนา นั่งกรรมฐาน แต่การปฏิบัติทุกวันทุกเวลาที่ตื่นมีสติสัมปชัญญะ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทุกคนทำได้ถ้าตั้งใจ อันนี้เป็นความดีความอดทน และก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา..."


พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสที่พระครูใบฎีกาเล็ก ญานุตฺตโร
วัดหลวงปรีชากูล อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี และคณะเฝ้าถวายเงิน
เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล ตามพระราชอัธยาศัยและต้นเทียนพรรษา
วันจันทร์ ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘

ป้านุช
01-03-2011, 00:54

ข้าวหลาม

"...ตอนนั้นจำได้ว่า ไม่ได้โกรธแต่งง งงจริง ๆ
ในที่สุดทำให้นึกถึงว่า
นี่เราต้องมีความกตัญญูต่อมารดา
เพราะว่าท่านได้เลี้ยงเรา
ถ้าไม่มีท่าน เราก็ไม่มีชีวิต..."

ป้านุช
07-03-2011, 01:00
"...ประธานศาลฎีกาก็ได้กล่าวถึงว่า ในโอกาส ๑๐๐ วันของการสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชชนนี ได้นำเด็ก ๆ เยาวชนเข้าไปกราบถวายบังคมที่พระบรมศพ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พึงทำ เพราะว่าสมเด็จพระบรมราชชนนีท่านเป็นครอบครัวคนเดียว...พูดธรรมดาเท่ากับเป็นคนเดียวที่ข้าพเจ้ามี และท่านได้อบรม ท่านได้สั่งสอนด้วยวิธีต่าง ๆ ที่ยังจำได้ แม้จะเมื่ออายุตั้งแต่ ๕ ขวบ ก็จำได้ว่าท่านทรงสั่งสอนด้วยการพูดและด้วยการกระทำ

เรื่องแรก ตอนนั้นอายุก็คงประมาณ ๕ ขวบ ที่ท่านปฏิบัติ ท่านได้แสดงว่าต้องมีกฎเกณฑ์ หรือต้องมีระเบียบการ และระเบียบการนั้นจะต้องเสมอกัน ต้องมีความเสมอภาค ทุกคนต้องอยู่ในระเบียบ ที่จำได้ ท่านอาจเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือจะเป็นเรื่องที่น่าขัน แต่ว่าจะขอเล่าให้ฟัง เป็นการแสดงถึงความเคร่งครัดในระเบียบของท่าน

เมื่อเด็ก ๆ ท่านก็เลี้ยงเราดี โดยที่มีระเบียบในโภชนาการที่เหมาะสม ท่านก็หาอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ไม่แสลง แต่ก็ต้องมีความเอร็ดอร่อย ฉะนั้นบางครั้งบางคราว ท่านก็ได้หาข้าวหลามซึ่งเป็นอาหารธรรมดา แต่ว่าเป็นอาหารที่อร่อยมาก เอามาให้ มาแจกเด็ก ๆ ก็ปอกไม้ไผ่ที่เป็นที่หุ้มข้าวหลามนั้น แล้วก็ตัด แต่ละคนก็ถือ ๑ แท่ง

แล้วท่านมาบอกว่า ขอแม่กินหน่อย โดยที่เป็นเด็กที่หวงที่เสียดายก็รีบกัดข้าวหลามนั้น เมื่อกัดข้าวหลามแล้ว ท่านมีระเบียบอยู่ว่า เพื่อสุขภาพและความสะอาดใครกัดอะไร เคี้ยวไปแล้ว คนอื่นไม่สมควรที่จะไปกัดซ้ำเพราะว่าไม่สะอาด ท่านก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นั้น ท่านก็ไม่กัด ท่านก็เห็นกัดไปแล้ว

ท่านไม่จนปัญญา แม่ไม่มีจนปัญญา ท่านบิเอาตรงปลายที่กัดถือไว้ แล้วบิต่อไปแล้วก็เสวย ส่วนที่ท่านบิไปแล้วท่านก็มาวางตรงปลายของข้าวหลามของเดิม ท่านไม่ได้ทำผิดกฎ ท่านไม่ได้ทำให้ผิดกฎที่ท่านตั้งเอาไว้

ท่านไม่ได้บอก แต่ว่าเท่ากับสอนว่าผู้มีพระคุณนั้น ถ้าท่านขออะไรไม่น่าจะปฏิเสธท่าน เพราะว่าท่านให้ ไม่ใช่ของเราเป็นของท่านแต่ท่านให้ ให้เรากินของอร่อย ถ้าท่านอยากบ้าง ของเราเราก็ต้องให้

ตอนนั้นจำได้ว่าไม่ได้โกรธ แต่งง งงจริง ๆ ในที่สุดทำให้นึกถึงว่า นี่เราต้องมีความกตัญญูต่อมารดา เพราะว่าท่านได้เลี้ยงเรา ถ้าไม่มีท่าน เราก็ไม่มีชีวิต..."

พระราชดำรัส ในโอกาสที่ท่านประธานศาลฎีกา นำคณะข้าราชการตุลาการ
และคณะผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วประเทศ
เข้าเฝ้า ฯ ทูลเกล้า ฯ ถวายเงิน โดยเด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันพฤหัสบดี ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘

ป้านุช
13-03-2011, 22:24

ไม่เป็นหนี้

"...กลับมาท่านเห็นว่าซื้อของมา
ท่านถามว่าเอาเงินอะไรไปใช้ บอกขอยืมเขามา
ท่านดุใหญ่ ท่านบอกว่า บอกแล้วว่าถ้าไม่มีเงิน
อย่าไปซื้อของ เป็นหนี้ใครไม่สมควร..."

ป้านุช
13-03-2011, 23:00
"...เมื่อโตขึ้นหน่อย อายุประมาณ ๗ ขวบ ไปอยู่เมืองนอกแล้ว ไปในเมือง ไปที่ร้านของเล่นแล้วอยากซื้อของเล่น ตามปกติท่านให้เงินสำหรับไปซื้อของ คือหมายความว่าเป็นเงินประจำ เป็นเงินสำหรับค่าขนมหรือค่าของเล่นที่จะไปซื้อเอง

ทุกอาทิตย์ท่านจะให้จำนวนไม่มาก ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบันนี้ ดูแล้วมันเป็นจำนวนที่เรียกว่าน่าสงสารเหมือนกัน ที่ว่าได้เพียงแค่นี้ ถ้าเปรียบเทียบเป็นเงินบาทในขณะนั้นกับเดี๋ยวนี้ ก็อาทิตย์ละ ๑๐ บาทอย่างมาก คือค่าของเงินมันตก

แต่ว่าสมัยโน้นอาทิตย์หนึ่งได้สัก ๒๕ สตางค์ ไปในเมืองไปที่ร้านของเล่น อยากได้จริงอยากได้ของ แล้วก็ไม่มีเงิน ไม่ได้เอาเงินไปเลยขอยืมเงินผู้ใหญ่เป็นญาติ ขอยืมเงินเขาเล็กน้อยคือราคาตอนนั้นอาจบาทหนึ่งหรือสองบาท ซื้อของเล่น กลับมาท่านเห็นว่าซื้อของมา ท่านถามว่าเอาเงินอะไรไปใช้ บอกขอยืมเขามา ท่านดุใหญ่ ท่านบอกว่า บอกแล้วว่าถ้าไม่มีเงินอย่าไปซื้อของ เป็นหนี้ใครไม่สมควร

ท่านก็ถือว่าเป็นระเบียบสำคัญ ไปเป็นหนี้เป็นสินนั้นไม่ดี ซึ่งก็จำเอาไว้ตลอด ไม่ยอมที่จะไปเป็นหนี้ ไม่ยอมที่จะขอยืมเงินใครเพราะว่าไม่ดี เข้าใจซาบซึ้งว่าถ้าเราไม่มีเงินแล้วไปใช้เงิน ถ้าไม่มีเงินสำหรับใช้หนี้ ต่อไปก็เดือดร้อน เดือดร้อนต้องหาเงินมาให้ แล้วโดยปกติเป็นหนี้เขาก็ต้องเสียดอกเบี้ย ลงท้ายล่มจม

เคยประสบมาคนที่เคยมาขอยืมเงิน เสร็จแล้วเขาไม่สามารถที่จะใช้หนี้ ในกิจการที่เขาจะทำนั้นนะ เขาต้องไปซื้อแล้วต้องไปขอยืมเงินจากที่อื่น ไม่เหมือนของเรา ของเราไม่ต้องเสียดอกเบี้ย แต่ไปที่อื่นต้องเสียดอกเบี้ย จนกระทั่งเงินที่เขาขอยืมเขาบอกว่าใช้หนี้ไม่ได้ ก็เลยบอกก็แล้วไป

แต่เขาบอกมันไม่แล้วไป ยังเป็นหนี้ที่อื่นอีกเป็นหมื่น แล้วมันเพิ่มมากขึ้นทุกที เขาคิดจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ อันนี้การเป็นหนี้ไม่ดี แม้จะเล็กน้อยมันก็พอกเข้าไป นี่ก็ได้รับการสั่งสอนจากแม่ว่าไม่ให้เป็นหนี้..."

ป้านุช
17-03-2011, 00:25

พระอาจารย์วัน

"...ถ้าเกี่ยวข้องกับโลก เมตตาตัวเดียวไม่พอ
ถ้าพูดถึงพรหมวิหาร ๔
ท่านก็บอกว่าต้องปฏิบัติจนถึงมีอุเบกขา
ก็เป็นความจริง เพราะว่าในโลก
ถ้าหากว่าเราเมตตาและทำแบบโลกนี่
เมตตาไม่ใช่เมตตา มันประกอบด้วยราคะ..."

ป้านุช
19-03-2011, 22:22
"...โครงการสำหรับทำให้มีน้ำใช้น้ำบริโภคในบริเวณอำเภอส่องดาวนี้ เป็นการริเริ่มของพระอาจารย์วัน ซึ่งท่านอยู่ที่ส่องดาว ท่านได้จัดโครงการขึ้นมาและท่านก็เคยบอกว่าท่านอยากให้โครงการเหล่านี้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว

เพื่อที่จะให้ชาวบ้านได้รับความสะดวกความสุข โดยเล็งเห็นว่าการช่วยให้ชาวบ้านมีอยู่กินสบายนั้นย่อมทำให้เกิดความสงบสุข และคนที่มีความสงบสุขแล้วก็ไม่ประกอบความวุ่นวาย ทำให้บ้านเมืองมีความมั่นคง ท่านมองในแง่นี้อย่างหนึ่ง

นอกจากนี้ท่านก็มองในแง่ความเมตตา ว่าการแผ่ความเมตตานี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคน ผู้ใดแผ่เมตตาเป็นหรือสามารถที่จะแผ่เมตตา โดยไม่นึกถึงว่าเมตตานั้นจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร ซึ่งท่านก็ไม่ได้เรียกว่าเมตตา

ถ้าเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นแต่ต้องการผลตอบแทนนั้นก็อาจจะเป็นความรักความห่วงใยก็เป็นได้ หรือมิฉะนั้นก็เป็นการเห็นแก่ตัวก็เป็นได้ แต่ว่าการแผ่เมตตานี้ ในความหมายของท่านอาจารย์ ท่านหมายถึงว่าเป็นการทำให้จิตใจเราผ่องใส

เคยไปถามท่านว่าเมตตานี้มีประโยชน์ไหม แล้วก็เมตตาจะต้องประกอบด้วยอะไร ท่านบอกว่าเมตตาตัวเดียวนั้นพอ ถ้าเราอยากที่จะปฏิบัติให้จิตใจเราผ่องใส ก็หมายถึงที่สุดก็หลุดพ้น ปฏิบัติเมตตาตัวเดียวนี้พอ หมายความว่าคำว่าเมตตานี้เป็นธรรมะที่สูง เป็นธรรมะที่สำคัญอย่างหนึ่ง และเป็นทางอย่างหนึ่งสำหรับให้ไปถึงที่สุด ในความหมายของพระก็หมายความว่าถึงนิพพาน..."

ป้านุช
22-03-2011, 01:33
"...การที่ผู้ใดประกอบกิจการด้วยเมตตานั้น ก็หมายความว่าไปในทางที่ถูกแล้ว ถ้าเราปฏิบัติเมตตาโดยจริงใจนั้น ย่อมขัดเกลาจิตใจของเราให้ผ่องใส แต่อันนี้ถ้าพูดอย่างธรรมดาแล้วก็อาจจะมากเกินไป เพราะว่าผู้ที่ปฏิบัติเมตตาแล้วไปถึงที่สุดไปถึงหลุดพ้นนั้น ย่อมต้องประกอบด้วยอื่น ๆ อย่างครบถ้วน

แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติเมตตาเลยเพราะว่าเราบอกว่าเราเป็นปุถุชน เรายังต้องมีการทำมาหาเลี้ยงชีพ ตัวเองยังอยู่ในโลก ไม่เป็นพระ ก็จะไปถึงที่สุดอย่างนั้นเหมือนท่านก็ออกจะยาก จริง ยาก แล้วก็อาจจะใช้เมตตาตัวเดียวไม่พอ ทำไม ทำไมใช้เมตตาตัวเดียวไม่พอ ก็เพราะว่าเมตตานั้นผู้ที่ปฏิบัติเมตตาแล้วถึงที่สุดถึงหลุดพ้น เพราะท่านได้ปฏิบัติเมตตาพร้อมด้วยเครื่องประกอบของเมตตา คือถ้าเราปฏิบัติเมตตาก็เท่ากับปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างอื่น ๆ ด้วยพร้อม

แต่ถ้าเราบอกว่าเราเป็นปุถุชน เราอยู่ในโลก เราเป็นฆราวาส เราต้องทำมาหากิน จึงป่วยการที่จะปฏิบัติเมตตา ก็ดูจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าถามท่านว่า เมตตานี่ถ้าขาดอย่างอื่นก็ปฏิบัติไม่ได้ใช่หรือเปล่า ท่านก็บอกว่าถ้าเกี่ยวข้องกับโลกเมตตาตัวเดียวไม่พอ ถ้าพูดถึงพรหมวิหาร ๔ ท่านก็บอกว่าต้องปฏิบัติจนถึงมีอุเบกขา ก็เป็นความจริง เพราะว่าในโลกถ้าหากว่าเราเมตตาและทำแบบโลกนี่ เมตตาไม่ใช่เมตตา มันเป็นประกอบด้วยราคะ ประกอบด้วยสิ่งที่เรายังไม่ได้ขัดเกลา หรือประกอบด้วยโทสะก็มี..."

ป้านุช
25-03-2011, 22:36
...เพราะว่าเล่าให้ท่านฟังว่า เราเมตตาเอาผ้าห่มไปแจกชาวบ้าน แล้วก็ไปแจกให้ชาวบ้านอย่างนั้นมันเกิดโทสะ มันเกิดโทสะเพราะว่าเวลาเราแจกกับคนหนึ่งเสร็จแล้ว เขานั่งทับแล้วเขาก็ขอแจกอีก อีกคนหนึ่งคนนั้นทำตัวสั่นหนาวสั่น ก็แจกอีก ในที่สุดให้ไป ๆ เขานั่งทับ ๓-๔ ผืน หรือบางทีก็ได้แล้ว ส่งไปให้ข้างหลังให้แอบ ให้ซ่อน จนกระทั่งคนนั้นนะได้รับถึง ๒-๔ ผืน หรือ ๕ ผืนก็ได้

เมื่อเห็นอย่างนั้นก็เกิดโทสะ เกิดความไม่ดีในใจของเรา ก็บอกท่านว่าถ้าเมตตาอย่างนี้นะเมตตาไปเมตตามาก็เกิดโทสะ มิทำให้เป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือ ท่านก็บอกใช่ถูกต้อง ท่านบอกใช่อยู่แบบภาษาของท่าน ท่านก็ได้สอนว่าเมตตากรุณานี้ต้องประกอบด้วยมุทิตากับอุเบกขาด้วย และต้องพิจารณาด้วย

สมมติว่าเราให้ไป เขานั่งทับหรือเขาส่งไปข้างหลัง เขาขออีก ทำให้เราเกิดโทสะ เราก็ต้องระงับโทสะ ระงับโทสะด้วยการคิดว่ามุทิตา เขาได้รับไปแล้วเขาได้อีกผืนหนึ่งก็เป็นความโชคดีของเขา เพราะว่าที่บ้านของเขาอาจจะมีลูกหลานพี่น้องอีกเยอะแยะที่ต้องการเหมือนกัน จะได้ไปเผื่อแผ่ได้ อย่างนั้นเราก็สบายหายโกรธ..."

ป้านุช
27-03-2011, 01:10
"...หรือถ้าเรารู้สึกว่าเป็นธรรมดา เรานึกว่าธรรมดา เราไม่นึกว่าเขาเป็นคนเลว เขาอาจจะเป็นคนที่โลภมาก รู้ว่าเขาโลภ เราก็สบายใจ เราก็วางเฉยได้ วางเฉยอุเบกขาแต่ไม่ใช่วางเฉยเฉื่อยแฉะ เฉยโดยที่รู้แท้นั่นแหละอุเบกขา เรารู้เขาเป็นอย่างนั้น เรารู้ ความไม่ดีอยู่ที่เขา เขาก็จะเดือดร้อนเอง แต่ว่าก็ช่วยไม่ได้ แล้วก็อุเบกขา

ฉะนั้น การที่ท่านทั้งหลายเมตตา ต้องประกอบด้วยธรรมะอื่น ๆ แล้วก็จะเป็นประโยชน์ได้แน่นอน ถ้าท่านทำด้วยความเมตตา แล้วไปนึกถึงเมตตาตัวเดียวถึงที่สุด อันนี้ก็คิดผิดเหมือนกัน เพราะว่าเราลืมว่าธรรมะอื่น ๆ เรายังไม่ได้ปฏิบัติ หรือถ้าเราทำเมตตา แล้วก็ทำแค่นั้นไม่ไปไหน อันนี้ก็คิดผิด ขอให้ทุกคนปฏิบัติเมตตาและธรรมะอื่น ๆ ด้วยพร้อม ยังไม่ถึงนิพพาน แต่ก็ทำให้ขยับขึ้นไปให้รู้จักความดียิ่ง ๆ ขึ้น อย่างน้อยที่สุดในปัจจุบันนี้เราก็มีความสบายใจ..."

ป้านุช
07-04-2011, 23:00
๑๐
คำว่า"สามัคคี"

"...ที่ว่าพ่อแม่ตีลูกรู้สึกว่าดุร้าย
ที่จริงการตีลูกนั้นก็เป็นความเมตตากรุณา
เพราะว่าเป็นการตักเตือน
ถ้าหากว่าพ่อแม่ตีลูกด้วยโทสะ
ด้วยความโกรธเคืองนั้นไม่ดี
แต่ถ้าตีลูกเพราะอยากให้เข้าใจ
นั้นเป็นเมตตา..."

ป้านุช
28-04-2011, 02:41
"...คำว่าสามัคคีนี้ฟังแล้วก็เบื่อ ทุกคนฟัง เวลาไปที่ไหน ท่านผู้ใหญ่ไปที่ไหน บอกว่าจงอยู่ในสามัคคีธรรม ขอให้ตั้งอยู่ในสามัคคีธรรม คนไทยตั้งอยู่ในสามัคคีธรรมจึงจะรอดพ้น ฟังแล้วอาจจะเบื่อก็ได้คำว่าสามัคคี

แต่ว่าถ้ามาคิดอย่างสามัคคีคืออะไร สามัคคีคือการร่วมแรงกันทำงานอย่างหนึ่งก็เป็นสามัคคี สามัคคีคือความครบถ้วนก็เป็นสามัคคี ดังที่เรียกว่าสมังคีหรือสามัคคีก็เหมือนกัน สมังคีก็ฟังได้ชัดขึ้นหน่อยว่า แปลว่าให้พร้อม ให้ไปด้วยกันหรือให้มาอยู่ด้วยกัน..."

ป้านุช
28-04-2011, 22:08
"...ถ้าหากว่าพูดถึงเรื่องอื่นที่กว้างขวางออกไป จะเป็นการปฏิบัติกิจใด ทำอะไรก็ตาม มันต้องหลายส่วน ไม่ใช่ส่วนเดียว ทุกอย่างต้องไปพร้อมกัน คือในการปฏิบัติตนในอาชีพการงานของแต่ละคน ๆ คนหนึ่งคนใดนั้น ไม่ได้ทำอย่างเดียว ทำทุกอย่างทำหลายอย่าง แต่ว่าก็อาจจะหนักไปในทางหนึ่งทางใด เพราะมีหน้าที่ต่างกัน แต่ว่าถ้าไม่สอดคล้องกัน มันก็เป็นการเบียดเบียนกัน ก็ไม่สมังคี งานการนั้น ๆ ก็ไม่ก้าวหน้า ยิ่งขยายออกไปเป็นเรื่องของส่วนรวม จะเป็นส่วนรวมของคณะ หรือส่วนรวมของสมาคม หรือส่วนรวมของสถาบัน จนถึงส่วนรวมของประเทศชาติ ถ้าไม่สามัคคีกัน ถ้าไม่สมังคี ถ้าไม่พร้อมเพรียงกัน เป็นการขัดขากัน ไม่ไปไหน แล้วทั้งหมดก็เสีย..."

ป้านุช
28-04-2011, 22:29
"...สามัคคีอีกอย่างก็คือสามัคคีในจิตใจ คือปรองดองกัน โดยเมตตากรุณากัน คนเราถ้าทำงานแล้ว ไม่เมตตากัน ไม่กรุณากัน มันแห้งแล้ง แห้งแล้งแล้วไม่รู้ว่าทำงานทำไม มีชีวิตทำไม แล้วก็ลงท้าย คนที่มีชีวิตมาแล้ว ก็ย่อมจะมีชีวิต คนที่เกิดมาแล้ว ถึงเวลาตาย เขาก็ตาย แต่ว่าคนที่เกิดมาต้องมีชีวิต เมื่อมีชีวิตแล้วก็แห้งแล้ง มันก็อยากตาย ถ้าอยากตายมันก็ไม่มีประโยชน์

ฉะนั้น..ถ้าจะมีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีชีวิตทำงานทำการและมีความคิด ถ้ามีความเมตตากรุณาซึ่งกันและกัน ชีวิตก็ไปได้ เมื่อชีวิตไปได้แล้ว ส่วนรวมก็ไปได้ ถ้าหากว่าสามัคคีในทางเมตตากรุณา ก็หมายความว่า ถ้าเห็นคนอื่นเขาทำอะไรก็ช่วยเขา ถ้าเขาทำดีก็ชื่นชม ถ้าเขาทำไม่ดีก็ตักเตือน การตักเตือนก็ไม่ใช่ไปตักเตือนเขาอย่างที่ทำให้เขาเจ็บใจเปล่า ๆ ให้ตักเตือนเขาอย่างทำให้เขามีกำลังใจ เห็นว่าตรงไหนบกพร่อง ก็เตือนให้เขาเข้าใจ ถ้าเขาเข้าใจแล้ว เขาก็อาจจะเห็นว่า เขาบกพร่องตรงนั้น ๆ แล้วต้องแก้ไขอย่างไร นั่นเป็นเมตตา..."

ป้านุช
03-05-2011, 23:07
"...ที่ว่าพ่อแม่ตีลูกรู้สึกว่าดุร้าย ที่จริงการตีลูกนั้นก็เป็นความเมตตากรุณา เพราะว่าเป็นการตักเตือน ถ้าหากว่าพ่อแม่ตีลูกด้วยโทสะ ด้วยความโกรธเคืองนั้นไม่ดี แต่ถ้าตีลูกเพราะอยากให้เข้าใจนั่นเป็นเมตตา เมตตากรุณานั้นไม่ได้หมายความว่าให้มานั่งยอกัน ชมกัน เมตตากรุณานี้บางทีก็เป็นการตักเตือนกัน ช่วยกันแต่อย่างนุ่มนวล ไม่ใช่ตักเตือนอย่างรุนแรงที่จะเป็นการที่เรียกว่าด่ากัน

ความจริงเวลามีใครมาตักเตือนเรา แล้วเราก็รู้สึกว่าไม่ค่อยพอใจอยู่เสมอ รู้สึกขุ่นเคือง แล้วก็หาว่าเขาด่า แต่ว่าบางทีถ้าพิจารณาแล้วเขามาตักเตือนอย่างนิ่มนวล แล้วเรารู้สึกว่าเขาหวังดีจริง ๆ ก็ไม่โกรธ และเป็นประโยชน์ ไม่เป็นการด่า

ฉะนั้น การตักเตือนก็เป็นการเมตตากรุณาอย่างหนึ่งเหมือนกัน อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของสามัคคีด้านจิตใจ ถ้าแต่ละคนเข้าใจถึงคำว่าสามัคคีก็เป็นบทเรียนที่ ๑ ที่ทำให้บ้านเมืองนี้มีความเจริญ จะมีความมั่นคงปลอดภัยได้ส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน..."

ป้านุช
05-05-2011, 01:46
๑๑
รากฐานของความดี

"...มีหมอฝรั่งคนหนึ่งมาเมื่อคืนนี้
คุยไปคุยมาเขาก็พูดว่า
...เอ้อ กรุงเทพฯนี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านิวยอร์ค
รถมันแน่นจริง
นี่หรือฝืดเคือง เขาก็ฉงนเหมือนกัน..."

ป้านุช
20-05-2011, 22:44
"...ท่านทั้งหลายมาจากหลายคณะจำนวนมากนี้ มาอวยพรในโอกาสที่เป็นวันครบรอบวันเกิดในวันพรุ่งนี้ และได้มอบฉันทะให้อาจารย์ประภาศน์ อวยชัยเป็นผู้กล่าวให้พรในนามของท่านทุกคน ก็นับว่าได้ประโยชน์ได้ผลดี

ข้อหนึ่งก็ทำให้มีความปลื้มใจที่ได้เห็นท่านทั้งหลายได้มา ที่สำคัญที่สุดก็ได้แสดงถึงการมีความสามัคคีปรองดองกัน และให้สำนึกในความสามัคคีปรองดองว่า เป็นพลังอันใหญ่สำหรับให้ส่วนรวมอยู่ดี และส่วนตัวแต่ละคนก็อยู่ดี

คำว่าอยู่ดี ที่จริงตั้งใจจะจบแล้วตอนนี้ แต่ขอต่อท้ายนิดหนึ่งว่า ความอยู่ดีนี้ต้องเปรียบเทียบ เดี๋ยวนี้โดยมากก็พูดกันว่าแร้นแค้น ฝืดเคือง เมื่อกี้ก็ไปเจอพ่อค้าคนหนึ่ง ถามเขาว่าเป็นอย่างไร เขาบอกว่าแย่ เขาไม่ได้บอกว่าแย่แท้ เขาบอกว่าฝืด เพราะว่าเศรษฐกิจมันฝืดเขาก็เลยขายไม่ค่อยได้

ความจริงขายไม่ค่อยได้ไม่ใช่เพราะว่าน้ำมันแพง เพราะว่าน้ำมันมันน้อยลงในโลก เพราะทั่วโลกมีความฝืดเคือง แต่ว่ามีหมอฝรั่งมาคนหนึ่งเมื่อคืนนี้ คุยไปคุยมาเขาก็พูดว่า เอ้อ กรุงเทพ ฯ นี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านิวยอร์ค รถมันแน่นจริง นี่หรือฝืดเคือง เขาก็ฉงนเหมือนกัน ก็แปลกทำไมเมืองไทยฝืดเคือง ที่จริงก็ฝืด ราคาสินค้าอะไรต่าง ๆ มันก็แพงขึ้นเป็นของธรรมดา ถ้าเงินเดือนขึ้นราคาสินค้าก็ขึ้น ราคาสินค้าขึ้นก็ต้องเรียกร้องเงินเดือนขึ้น เป็นของธรรมดา..."

ป้านุช
22-05-2011, 23:47
"...พูดถึงเรื่องความฝืดเคือง ความแร้นแค้น ความจริงเมืองไทยนี่ยังดี ไม่ใช่อวดว่าเราร่ำรวย ไม่ใช่อวดว่าเราเป็นมหาอำนาจนะ ไม่ใช่ว่าเราเป็นประเทศที่หรูหรา แต่ว่าเราพออยู่ได้ และด้วยอำนาจแห่งความสามัคคีนั่นเองที่ทำให้เราอยู่ได้

ใครมาบอกว่าเมืองไทยล่มจมแล้ว ก็มาพิจารณาดูจะเห็นว่าเราก็ไม่ได้ล่มจม อาจจะคลอนแคลนบางส่วน แต่ว่าก็ยังอยู่ได้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ แม้จะเป็นประเทศที่เรียกว่าประเทศที่รวย ของเราอยู่ดี ในด้านเศรษฐกิจนี่อยู่ดีพอสมควร ก็คลอนแคลนไปตามเรื่องตามราวของเศรษฐกิจโลก แต่ยังเรียกว่าเหนือศูนย์สูตรกลาง ยังดีกว่า แต่ว่าที่จะดีที่จะได้กำไรที่สุด คือว่าไม่แร้นแค้นในทางจิตใจ ก็สามัคคีทั้ง ๒ อย่าง ในทางวิชาการและในทางจิตใจ

ความแร้นแค้นก็มี ๒ อย่าง แร้นแค้นในทางกาย ในทางเศรษฐกิจ ในทางวัตถุ กับแร้นแค้นในทางใจ ถ้าแร้นแค้นในทางใจเมื่อไรเมืองไทยล่ม อันนี้เป็นของแน่ ล่มแน่ เพราะว่าเมืองไทยนี้อยู่มาด้วยความเมตตากรุณากัน เช่น ในป่าในภูเขาสมัยก่อนนี้ ตามเส้นทางเดินมีเป็นพลับพลาเล็ก ๆ มีศาลาเล็ก ๆ และก็ในศาลานั่นนะ มีข้าว มีหม้อ มีไห มีฟืน มีสิ่งของที่เป็นอาหาร มียา เขาทิ้งไว้ คนไหนผ่านมา หิวก็หุงข้าว คนไหนที่มีข้าวติดตัวมาแล้วต้องการสิ่งใดที่มีอยู่ที่นั่น ก็เหมือนว่าแลกเปลี่ยนกัน อย่างหลวม ๆ อย่างกว้างขวาง เขาทำกันอย่างนั้น เดี่ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีนัก มีแต่ศาลาไลออนส์ แต่ว่าศาลาไลออนส์นั่นก็เป็นสิ่งที่ค้างอยู่จากประเพณีเดิม..."

ป้านุช
29-05-2011, 00:51
"...ศาลาไลออนส์นั่นเขามีไว้สำหรับพักร้อนข้างทางใหญ่ ๆ มีหลายแห่ง เขาทำก็ดีมีประโยชน์ แต่ว่ามันก็ชักจะแห้งแล้ง เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ คือพวกตามบ้านที่อยู่ข้างถนนเขาก็ตั้งขวดน้ำ น้ำบริโภควางเอาไว้ ใครหิวน้ำก็มา เดี๋ยวนี้ก็ยังมีทางภาคอีสาน ทางภาคเหนือ มันไม่แห้งแล้ง แม้กรุงเทพ ฯ ที่ว่าเป็นเมืองหลวง เป็นเมืองที่เขาบอกว่าส่วนที่เป็นเมืองใหญ่อย่างฝรั่ง เขาก็รู้สึกว่าเมืองใหญ่นี่มันแร้นแค้น มันดุร้าย แต่ความจริงดู ๆ แล้วกรุงเทพ ฯ นี้เองก็ยังไม่แห้งแล้ง คือคนก็มีไมตรีจิตกัน มีไมตรีต่อกัน อันนี้เป็นคุณสมบัติของคนไทยที่ทิ้งไม่ได้ ถ้าทิ้งแล้วก็ล่ม เพราะว่าความแร้นแค้น ความขาดสามัคคีทางจิตใจนี้ไม่ดี แต่วัดไม่ได้ ทำสถิติไม่ได้ ถึงดูยากและเข้าใจยาก

แต่คิดว่าท่านทั้งหลายทุกคนที่มาก็คงเข้าใจ จะมีอาชีพอะไร จะมีอายุเท่าใด เพศใด วัยใด จะทำงานอะไรก็ตามเชื่อว่าเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็คงไม่มา จะมีประโยชน์อะไรมาเมื่อยเปล่า ๆ มาฟังเขาพูดอะไรก็ไม่รู้ แต่นี่เรามาแล้ว พูดอะไรก็ไม่รู้อย่างนี้ นี่ก็เชื่อว่าท่านทั้งหลายก็เมตตา

คือถ้าฟังไม่รู้เรื่องก็ช่างเถอะ อยากพูดก็พูดนี่แหละไม่แร้นแค้น อันนี้เป็นข้อสำคัญ ถ้าคนที่เขาแร้นแค้นนั้นมาพูด มานี่ต้องเสียเงินเท่านั้น ๆ ต้องเสียเวลาเท่านั้น ๆ เป็นเงินทองหมด แล้วก็มาฟังฟังพูดอะไรไม่รู้ ขาดทุน แต่ตอนนี้ก็ขาดทุน ขาดทุนก็ไม่เป็นไร..."

ป้านุช
29-05-2011, 23:13
"...อันนี้ก็อยากให้เข้าใจ ความแร้นแค้นคืออะไร แล้วก็แร้นแค้นทั้งสองอย่าง บำบัดด้วยความสามัคคีทั้งสองอย่าง แล้วก็จะทำให้บ้านเมืองไม่ล่มจม บ้านเมืองไปได้ แล้วถ้าบ้านเมืองไปได้ประเทศอื่นเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่ช่างเขา เราก็เมตตาเขาและก็สงสารเขา เราก็ต้องช่วย อย่างที่ผู้ที่ลี้ภัยมาก็ต้องช่วยเขา เราไม่ได้สมน้ำหน้าเขาหรืออะไรหรอก เราก็ช่วยเขา

ประเทศไทยนี้ประชาชนคนไทยนี้ใจไม่แห้งแล้ง และก็เมื่อต่างประเทศเขาเห็นแล้วว่าคนไทยใจไม่แห้งแล้ง เขานับถือนะ เขานับถือทีเดียว เขาไม่ได้มาหัวเราะเยาะว่าเราเป็นคนเฮฮา เป็นคนที่มีไมตรีจิตกันอะไรอย่างนั้น มาพบกันก็เฮฮากัน เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเราเฮฮากัน เพราะมีไมตรีจิตต่อกัน และเราก็มีไมตรีจิตต่อคนอื่น มีความเมตตากรุณาตลอดเวลา อันนี้เป็นรากฐานของความดี และเป็นรากฐานของความมั่นคงของประเทศชาติ..."

ป้านุช
30-05-2011, 23:06
๑๒
บำบัดอย่างพุทธ


"...ถ้าไม่ได้สั่งสอนหรือบอกว่ายังเด็กเกินไปแล้วก็น่ารัก
ปล่อยมันตามเรื่องตามราวหรือตามใจของพ่อแม่หรือตามใจของผู้ใหญ่
เด็กนั้นจะเสีย ซึ่งปรากฏมาแล้วว่าเด็กเสียเพราะว่าตามใจ..."

ป้านุช
30-05-2011, 23:30
"...เคยพูดมาหลายครั้งนานมาแล้วว่า พุทธศาสนานี่ใช้ได้ทุกปี ทั้งผู้เยาว์ผู้แก่ โดยเฉพาะสำหรับผู้เยาว์ ถ้าสามารถที่จะอธิบายให้เขาแน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ใช้การได้จริง ๆ ไม่ต้องใช้คำที่หรูหรา ไม่ต้องใช้คำในทางวิชาการของพุทธศาสนาเลยก็ได้ เขาจะสนใจไม่ใช่น้อย และเขาจะใช้เป็นประโยชน์แก่ตน แก่การศึกษาของตน

เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำด้วยเหตุผล ซึ่งเป็นหลักสำคัญทางพระพุทธศาสนา สิ่งที่มีคือ มีเหตุใดก็ต้องมีผลนั้น ผลนั้นก็ต้องเป็นเพราะเหตุ อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา ไม่มีลืม การใช้คำที่หรูหราต่าง ๆ เป็นเพียงเทคนิค เป็นเพียงวิชาการเพื่อที่จะบอกเหตุผลให้พิสูจน์ แม้จะทำดีได้ดีก็อยากจะอธิบายให้ใคร ๆ ฟังนัก ก็เป็นหลักของเหตุและผล ดีคืออะไรก็ยังไม่ทราบ แต่ว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วมีผลอย่างไร ดีนี่คืออะไร ก็อย่างที่บอกว่าไม่ทราบ เพราะว่าถ้ามีสตางค์มากดีไหม เรายังไม่รู้ คนไหนที่มีบ้านช่องหรูหราดีไหม ก็ไม่ดี ก็เป็นห่วงเดี๋ยวไฟไหม้ เป็นห่วงเดี๋ยวมีขโมยมา เป็นห่วงเดี๋ยวสร้างแล้วมันไม่แข็งแรงทลายลงมา

หรือแม้เครื่องเรือนต่าง ๆ หรือบ้านช่องที่ได้ประดับประดาอย่างดีเดี๋ยวมันจะเสียไป มันก็มีทุกข์ ฉะนั้นดีในที่นี้ก็ต้องให้รู้ว่าอะไร เวลาบอกทำดีได้ดีอย่างนี้ ที่คนไม่เข้าใจก็เพราะไม่ทราบว่าดีคืออะไร

แต่ว่าถ้าแพร่ความรู้ในทางหลักมีเหตุแล้วก็มีผล แต่ละคนนึกถึงว่าผลดีหรือไม่ดีนี้ก็แล้วแต่ตัว แล้วจะพิจารณาได้ จึงจะทำให้ผู้ที่รับคำสั่งสอนได้เป็นผลดีจริง

อันนี้ได้เห็นได้พิสูจน์แล้วว่าผู้ที่ใช้เหตุผลและได้รับอบรม คือได้รับฟังและฝึกฝนสมองของตนตั้งแต่เยาว์ ที่ว่าตั้งแต่เยาว์นี่ไม่ได้ขีดขั้นว่าเยาว์แค่ไหน ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ ถ้าสั่งสอนได้เราก็สั่งสอนได้ตั้งแต่ยังพูดไม่ชัด คือยังเกือบไม่รู้เรื่องอะไร เราสั่งสอนให้มีเหตุผลตลอดขึ้นมาก็จะมีเหตุผล..."

ป้านุช
01-06-2011, 00:41
"...ถ้าไม่ได้สั่งสอนหรือบอกว่ายังเด็กเกินไป แล้วก็น่ารัก ปล่อยมันตามเรื่องตามราวหรือตามใจของพ่อแม่หรือตามใจของผู้ใหญ่ เด็กนั้นจะเสีย ซึ่งปรากฏมาแล้วว่าเด็กเสียเพราะว่าตามใจ ต้องอบรมตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งน้อยยิ่งดี

ด้วยเหตุผลที่นึกว่าเขาไม่เข้าใจแต่เขาเข้าใจ เพราะเขาเป็นมนุษย์ เราก็ค่อย ๆ อบรมฝึกฝน อาจแปลกใจว่าเดี๋ยวนี้ความคิดมีอยู่ว่าต้องอบรมเด็กตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นเด็กยังไม่รู้เรื่องอะไร ก่อนที่เข้าไปในโรงเรียนอนุบาลด้วยซ้ำ ก็เข้าไปสามขวบสี่ขวบ

แล้วก็ตอนที่อยู่โรงเรียนอนุบาลนี้ที่สำคัญที่จะต้องให้ทำอะไรให้มีเหตุผล ไม่ใช่อย่างที่เขาทำปัจจุบันนี้ คือต้องให้มีความคิดริเริ่มอยู่เสมอ เพราะว่ามันมีความคิดริเริ่มไม่ได้ มันไม่รู้เรื่อง เพราะยังไม่ได้อบรมก็ต้องอบรมให้รู้ มีเหตุผลแล้ว แล้วอบรมเหตุผลนี้ตลอดขึ้นมา

เด็กจะมีความคิดริเริ่มเอง จะมีความคิดที่ดีเองได้ ก็แล้วแต่ปัญญาเขาด้วย แต่ว่ามีหวังที่จะดีเป็นเด็กดี เป็นคนดีต่อไป ไม่เสียหาย..."

ป้านุช
06-06-2011, 23:16
"...มีฝรั่งคนหนึ่งลูกชายติดเฮโรอีน แล้วก็ได้ไปฝากพระที่ต่างจังหวัด พระได้รักษาให้หายได้ โดยสั่งสอนไต่ถาม ดูฝรั่งคนนั้นมาแล้วกลั่นกรอง บอกว่าดี การรักษาไม่ได้มีที่ไหน นอกจากเมืองไทยที่อาศัยอยู่นี่ละ เพราะว่าได้รักษาในทางเทคนิคของการรักษาผู้ที่ติดยาเสพติด ด้วยการรักษาทางกายนี้เพียงสองอาทิตย์ก็หาย ไม่ยากอะไร แต่สำคัญทางใจ

ถ้าเป็นแบบฝรั่งก็ต้องอ่านไทยครีสท์ เป็นผู้ที่ได้เรียนมาเป็นเวลาแรมปี แล้วก็มีสำนักงาน มีเตียงนอน มีอะไรที่จะให้มาถามแล้วก็ค้นคว้าต่าง ๆ แล้วทีหลังก็ต้องเสียสตางค์ไม่ใช่น้อย แต่ว่าของเราใช้ มีพระสงฆ์และมีผู้ที่สนใจในพุทธศาสนา ใช้เหตุผล ให้ความเมตตา ให้หลักของพุทธศาสนานี่เองค่อย ๆ พูด ก็จะแก้ปัญหานี้ได้ จะช่วยได้ แล้วเรามีความบริสุทธิ์ใจ เราถ่ายทอดความบริสุทธิ์ใจไป และมีสิ่งที่ดีคือใช้ปัญญา ก็จะแก้ปัญหานี้ได้..."

ป้านุช
07-06-2011, 23:12
๑๓
นิยายเรื่องนก

"...ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีการทะเลาะกัน
แต่เมื่อเข็ดหลาบอย่างหนึ่ง
หรือมีความคิดที่ถูกต้อง
ที่จะช่วยกันดำเนินชีวิตร่วมกัน
ก็อยู่ได้โดยสันติ..."

ป้านุช
07-06-2011, 23:26
"...พรุ่งนี้จะถึงวันครบ ๖๕ ปีของชีวิต ซึ่งทำให้นึกถึงว่า ได้เห็นอะไร ๆ มามากทั้งดีทั้งไม่ดี ได้เห็นโลกและโดยเฉพาะเห็นความเป็นอยู่ของประเทศไทย ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงมาตลอด เปลี่ยนแปลงมาทุกปีหรือทุกเดือน แม้จะทุกวันก็มีความเปลี่ยนแปลง

ปีนี้มีความเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วหลายอย่าง ด้วยประชากรชาวสวนจิตร ฯ นี้มีเพิ่มเติมขึ้น แต่ก่อนนี้มีอีกา มีนกพิราบ แต่เดี๋ยวนี้ถ้าจะดูไปก็จะเห็นว่ามีหงส์ทั้งขาวทั้งดำเพิ่มขึ้นมา และมีนกกาบบัวมีนกยูงเพิ่มเติมขึ้นมา

ที่พูดถึงประชานกนี้ก็เพราะว่า เมื่อดุลย์ของธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป ก็จะต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ้าง อย่างเช่นเมื่อก่อนนี้อีกาเป็นใหญ่ อีกาจะตีนกพิราบ แล้วนกพิราบก็จะตีนกเอี้ยงที่มีจำนวนมากเหมือนกัน นกเอี้ยงก็จะตีนกกระจอก ส่วนนกกระจอกก็ไม่ทราบว่าเขาไปตีใคร เห็นได้ว่าเขาตีกันเป็นลำดับชั้นไป จนกระทั่งเดี๋ยวนี้รู้สึกว่านกกระจอกจะสูญพันธุ์..."

ป้านุช
09-06-2011, 00:28
"...แต่ว่าอีกาก็ยังมีอยู่ อีกาก็ได้ไปเยี่ยมบ้านใกล้เคียงมาหลายครั้ง ทำให้เกิดความตื่นเต้นในหมู่ผู้ที่อยู่ที่ทำงานในบ้านเหล่านั้น แต่ว่าอีกานั้นที่อยู่ได้ก็เพราะเกรงใจนกกาบบัว ถ้าไม่เกรงใจนกกาบบัวอีกาก็จะสูญพันธุ์ เพราะว่านกกาบบัวซึ่งเป็นคล้าย ๆ นกกระสา แม้มีอยู่เพียงสิบกว่าตัวแต่เป็นนกที่ใหญ่ และเมื่อมาใหม่ ๆ ยังเป็นเด็ก ๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะประพฤติตนให้ดี เมื่อถูกอีกาเข้าโจมตี แต่ด้วยความเป็นนกใหญ่ นกกาบบัวจึงเตะอีกา

เป็นอันว่าอีกาก็เข็ดหลาบ ไม่สามารถที่จะโจมตีนกกาบบัวได้ จึงอยู่ร่วมกันโดยสันติไม่ทะเลาะกันอีกต่อไป และนกกาบบัวนี้ก็ได้รับอาหารประจำวัน อีกาก็มาปันส่วนด้วย ทุกวันนี้ก็จะเห็นว่าอยู่ร่วมกันโดยสันติ ดุลย์ของธรรมชาติก็เกิดขึ้นได้..."

ป้านุช
15-06-2011, 01:08
"...เรื่องหงส์ก็เช่นเดียวกัน มีหงส์ดำและหงส์ขาว ตอนแรกหงส์ดำหงส์ขาวนี้เขาแยกกัน เพราะไม่ถูกกัน ใครเป็นสีดำใครเป็นสีขาวก็ย่อมจะเป็นตรงข้ามกัน ชอบที่จะทะเลาะกัน เวลามาว่ายน้ำในสระก็ต่างคนต่างมากัน หงส์ขาวก็เดินขบวนมา และหงส์ดำก็เดินอีกขบวน

มาบัดนี้ก็เห็นได้ว่าคงตกลงกันได้ เวลาเดินมา เดินกลับบ้านเขาก็คละกัน ไม่มีปัญหา ส่วนนกยูงซึ่งมีจำนวนมาก มีทั้งเขียวทั้งขาวก็คละกัน แต่มีนกยูงตัวหนึ่งแทนที่จะไปคละกับนกยูงกลับไปคละกับหงส์ เวลาหงส์มาที่บ่อน้ำ นกยูงตัวนั้นก็มาด้วย แต่โดยที่เป็นนกยูง นกยูงตัวนั้นก็ไม่ลงน้ำ เพราะรู้ว่าถ้าลงน้ำ ก็จะจมน้ำแล้วจะเป็นอันตราย ฉะนั้นนกยูงตัวนั้นก็มาอยู่ขอบบ่อ

ชักนิยายเรื่องนกมาก็เพื่อให้เห็นว่า ตอนแรกทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีการทะเลาะกัน แต่เมื่อเข็ดหลาบอย่างหนึ่ง หรือมีความคิดที่ถูกต้อง ที่จะช่วยกันดำเนินชีวิตร่วมกันก็อยู่ได้โดยสันติ ไม่ทะเลาะกันไม่ทำอันตรายกัน ดุลย์ของธรรมชาติจึงเกิดขึ้น..."

ป้านุช
22-06-2011, 23:52
๑๔
ศีล สมาธิ ปัญญา

"...แน่นอนในโลกนี้เราจะต้องมีอุปสรรค
ต้องเผชิญอุปสรรค ความเดือดร้อนหลายอย่างก็เกิดขึ้น
ความเดือดร้อนนั้นอาจจะบอกว่าเป็นผลของกรรม
แต่ความสุขความสบายก็เป็นผลของกรรมเหมือนกัน
แต่เรียกว่าอานิสงส์..."

ป้านุช
23-06-2011, 00:12
"...ดีใจที่ท่านทั้งหลายมีจิตใจที่ผ่องใส เราจะเห็นได้ชัดว่าความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นในทางกาย และความดีในทางจิตใจก็เปล่งออกมา อันนี้เป็นผลของอานิสงส์ของการทำบุญทำกุศลร่วมกัน

ฉะนั้นการที่ท่านทั้งหลายมีความตั้งใจจะปฏิบัติดีชอบ ท่านก็ได้แนวทางที่จะปฏิบัติดีชอบ ดังนั้นจึงทำให้ได้ผลดี แน่นอนในโลกนี้เราจะต้องมีอุปสรรค ต้องเผชิญอุปสรรค ความเดือดร้อนหลายอย่างก็เกิดขึ้น ความเดือดร้อนนั้นอาจจะบอกว่าเป็นผลของกรรม แต่ความสุขความสบายก็เป็นผลของกรรมเหมือนกัน แต่เรียกว่าอานิสงส์

โดยมากพูดถึงผลของกรรมที่ไม่ดี เป็นกรรมของเราอย่างนั้น ๆ โดยมากก็เหมือนว่าเรามีความเดือดร้อน แต่ว่าผลของกรรมที่เป็นในทางดีก็มักจะเรียกว่าอานิสงส์ผลบุญ เป็นผลที่ว่าเราทำอะไรมาก็ได้รับในปัจจุบัน

ถ้าจะมาพิจารณาอีกที ถ้าเราทำอะไรมาที่ไม่ดีเราก็เดือดร้อนเดี๋ยวนี้หรือในอนาคต ถ้าการกระทำที่ดีเราก็จะได้รับผลดี อย่างปัจจุบันนี้เรามีความสุข ก็ได้รับผลอย่างที่เราทำมานี้ ฉะนั้นในปัจจุบันนี้เรามีความสุขหรือความทุกข์อย่างไรก็เป็นผลออกมา

คราวนี้สำหรับอนาคต ถ้าสมมติว่าเราอยากทำให้อนาคตดี เรากลัวว่าอนาคตจะไม่ดี จะต้องพยายามทำให้ดีในปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันนี้ทำให้ดีให้เหมาะสมแล้วย่อมมีอนาคตที่แจ่มใส เราไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยว่าอนาคตเป็นอย่างไร..."

ป้านุช
23-06-2011, 22:42
"...การทำดีนั้นมีหลายอย่าง อย่างที่ท่านทำดีโดยที่ได้ร่วมกุศลเป็นเงิน เพื่อที่จะแผ่ไปช่วยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากนั้นก็เป็นการกระทำที่ดีอย่างหนึ่ง การกระทำที่ดีอีกอย่างที่ได้กล่าวก็คือ มีความปรองดองสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อุดหนุนกันแล้วก็ไม่เบียดเบียนกัน โดยเฉพาะอย่างหมู่คณะที่ตั้งขึ้นมาอย่างนี้ ก็ช่วยกันในทางวัตถุและในทางจิตใจ

ความสามัคคีนี้ก็เป็นการทำดีอย่างหนึ่ง การทำดีอีกอย่างซึ่งจะดูลึกซึ้งกว่า คือ ปฏิบัติด้วยตนเอง ปฏิบัติให้ตัวเองไม่มีความเดือดร้อน คือพยายามหันเข้าไปในทางปัจจุบันให้มากอย่างง่าย ๆ ก่อน คือพิจารณาดูว่าตัวเองกำลังคิดอะไร กำลังทำอะไร ให้รู้ตลอดเวลา แล้วรู้ว่าทำอะไร อย่างนี้เป็นวิธีอย่างหนึ่งที่จะทำให้ไม่มีภัย

ถ้าเราคอยระมัดระวังตลอดเวลาให้รู้ว่าตัวทำอะไร ให้รู้ว่าการทำนี้เราทำอะไรตลอดเวลา ก็จะไม่ผิดพลาด เพราะว่าโดยมากความผิดพลาดมาจากความไม่รู้ในปัจจุบัน บางทีเราก็เผลอ สมมติว่ามีใครมาพูดอะไรไม่ดีเราก็โกรธ ถ้าโกรธแล้วมันก็เป็นผลที่ไม่ดีต่อไป เพราะว่าคนที่มาพูดไม่ดีนั้นก็อาจจะไม่ตั้งใจมาพูดไม่ดี เขาเผลอไปเหมือนกัน เราเผลอไปอีกทีก็ทำให้โกรธ อาจทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรงไปได้โดยใช่เหตุ..."

ป้านุช
23-06-2011, 23:04
"...ฉะนั้นถ้าเรามีสติสัมปชัญญะคือรู้ว่าทำอะไร รู้ว่าเป็นอะไร รู้ตัวว่าจะทำอะไร มีสติสัมปชัญญะ ถ้าปฏิบัติเฉพาะสติสัมปชัญญะแล้วเข้าใจคำว่าสติสัมปชัญญะนี้ อย่างอื่นของธรรมะ ปฏิบัติธรรมะนี้ก็เป็นการปฏิบัติซึ่งเริ่มต้น แล้วต่อไปจะจะไปนั่งสมาธิ ท่านสอนว่ามีศีล สมาธิ ปัญญา

ศีลก็หมายความว่า เราต้องระวังตัวไม่ให้ทำอะไรที่ผิดไป เป็นกฎเกณฑ์ที่ท่านวางเอาไว้ เพราะว่าถ้าเราคิดพิจารณาเราก็รู้ว่าที่ท่านวางเป็นศีลนั้นก็เป็นกฎเกณฑ์ที่ช่วยเรา ช่วยเราไม่ให้ผิดพลาดเสียหาย ไม่ใช่ขังเราในกรง ศีลนั้นนะเหมือนกรง เราอยู่ในกรง ทำนี่ก็ไม่ได้ ทำโน่นก็ไม่ได้ เพราะว่าท่านบอกว่าไม่ให้ทำ จะหยุดข้ามไปก็ไม่ได้เพราะว่าผิดศีล เราเหมือนว่าอยู่ในกรง เราออกมาไม่ได้

แต่ถ้านึกดูสมมติว่าเราอยู่ในที่ที่มีสัตว์ร้ายเต็ม อย่างที่เคยเห็นในภาพยนตร์เขาหย่อนคนที่ใส่เครื่องประดาน้ำลงไปในน้ำที่มีปลาฉลามแยะ ๆ เขาเอาปลาฉลามใส่กรงไม่ได้ ก็เอาตัวผู้เป็นประดาน้ำลงไปในกรงเพื่อไม่ให้ปลาฉลามกัด ศีลนี้ก็กลายเป็นกรงเพื่อไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีมาแตะต้องเราได้ ก็เป็นกฎเกณฑ์เหมือนกัน..."

ป้านุช
25-06-2011, 23:05
"...ในเวลานั้นตอนแรกเราต้องให้ศีลมาควบคุมตัวเรา แล้วทีหลังศีลนั้นจะเป็นการป้องกันตัวเราไม่ให้เดือดร้อน เพราะว่าถ้าไปทำผิดศีลนั้นนะเดือดร้อน เป็นการกระทำที่เป็นกรรมที่เดือดร้อน ก็เป็นอกุศลกรรม เป็นสิ่งที่จะทำให้เรารับกุศลที่ไม่ดี ก็หมายความว่าศีลนี่เป็นส่วนที่ท่านตั้งเอาไว้เพื่อที่จะป้องกันเรา

แล้วก็มาถึงสมาธิ สมาธิก็เพื่อที่จะให้จิตใจเราเข้มแข็ง สามารถที่จะมีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีสติสัมปชัญญะแล้ว เราเห็นอะไรทุกอย่าง ทำอะไรก็เกิดผล จะเกิดผลอะไรเราก็รู้ อะไรที่ถูกต้องเราก็รู้ อะไรที่ไม่ถูกต้องเราก็รู้ เป็นอันว่าสมาธิและมีสตินี่ก็รู้ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เกิดความรู้ซึ่งมีผลเป็นปัญญา รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แล้วบังคับจิตใจเราอยู่เสมอ ก็เป็นปัญญาขึ้นมา

ฉะนั้น การที่ทำในขั้นต่าง ๆ มาตลอด ท่านก็ได้เห็นว่ามีผลอย่างไร การที่ได้ปฏิบัติแม้จะในสิ่งที่เหมือนว่าง่าย ๆ ทั้งหมดเป็นผลดีถ้าทำอย่างต่อเนื่อง อย่างที่ท่านทั้งหลายได้ทำความดีมาจนกระทั่งมีความเจริญขึ้นมา ก็ขอให้ทำต่อไป ขอให้พิจารณาให้ดี ๆ ว่า ถ้าเรามีความระมัดระวังตัวอยู่เสมอในการทำอะไรด้วยกาย ด้วยการพูดอะไรด้วยวาจา และแม้แต่คิดด้วยใจ ให้สำรวมกายวาจาใจให้ดี และปฏิบัติต่อไปในทางที่เจริญ ในทางที่เกื้อกูลต่อผู้อื่น ก็เป็นการประกันว่าอนาคตของท่านจะรุ่งเรืองขึ้น ทั้งในกายทั้งในใจ โดยเฉพาะทางใจนี่ก็จะรุ่งเรือง เพราะว่าจิตใจก็จะผ่องใสมีความสบายแน่นอน

ฉะนั้น ขอให้ท่านได้ช่วยกันรักษาความดีอย่างเหนียวแน่น และให้มีผลสำเร็จในการปฏิบัติในใจของท่าน กายและใจก็จะมีความเจริญมั่นคง ก็ขอให้ประสบความสำเร็จในกาลทุกเมื่อ..."

ป้านุช
26-06-2011, 21:30
๑๔
ถั่วฝักยาว

"...เรามาจากนครพนม เราจะไปกาฬสินธุ์
เขาบอกว่า"โอ้ไกล"
เขาก็ควักเอาห่อหนึ่งห่อมาให้
บอกอาหาร "ท่านไปไกลต้องมีอาหาร"
นี้เอื้อเฟื้อ..."

ป้านุช
26-06-2011, 21:52
"...คนไทยก็มีความเอื้อเฟื้อมีเมตตา เราไปที่ไหนเราหิว เราเข้าไปในบ้านไหนก็ตาม เขาเห็นว่าเราหิว เขาจะไม่ถามว่ามีเงินกี่บาท มีเงินกี่ดอลลาร์ เขาให้กินเสียก่อน อันนี้เป็นสิ่งที่ได้ประสบมาแล้ว แม้คนที่จน แม้เขารู้ว่าเป็นใคร

นี่เป็นเรื่องตั้งแต่แรกเมื่อ ๒๕ ปีมาแล้ว ในภาคอีสาน เดินทางจากนครพนมไปกาฬสินธุ์ผ่านสกลนคร หยุดรถที่มีกลุ่มคนประมาณ ๒๐ คน ไม่ใช่ที่ที่จะเป็นที่น่าหยุด แต่หยุดรถไปถามเขาว่า "เอ๊ะ มาชุมนุม ๒๐ คนนี้ มาชุมนุมทำไม" บอกว่า "มาดูท่าน" ที่จริง"มาดูท่าน" หมายความว่าจะมาดูฝุ่นท่าน ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบอกว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มาดูฝุ่นจริง ๆ รถผ่านก็มีฝุ่นทั้งถนนก็มาดู เราหยุดพอดี เขาก็ดีใจ ก็ถามเขาว่ามาจากไหน เขามานับดูแล้วเดินมา ๒๐ กิโลเมตร "มาดูท่าน"

ก็เลยบอกว่าเรามาจากนครพนมเราจะไปกาฬสินธุ์ เขาบอกว่า"โอ้ไกล" เขาก็ควักเอาห่อหนึ่งห่อมาให้ บอกอาหาร "ท่านไปไกลต้องมีอาหาร" นี้เอื้อเฟื้อ

เขาก็เรียกว่าคนจนเขาก็เอื้อเฟื้อ เขาไม่ได้คิดบัญชีว่าวันนี้เอาอาหารมาให้ต้องเสียเงินเท่านั้น ๆ บาท จะต้องไปบอกทางอำเภอ บอกว่านี่ได้ให้อาหารพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นบาท ขอลดภาษีนะ ไม่ใช่ เขาไม่คิดอะไรเลย เลยถามเขาว่า เขามาไกล เขาเอาอาหารมาให้อย่างนี้ เดี๋ยวเขาก็ไม่มี เขาบอกว่าไม่เป็นไรเฮามีเหมือนกัน เขาก็ควักมาอีกห่อหนึ่ง ห่อเล็ก ๆ เขาให้มาห่อหนึ่งแบ่งกัน อันนี้เขาไม่ทำบัญชีอะไรเลย

อีกแห่งหนึ่งมีคนเอาถั่วฝักยาวมาให้ ไปถึงที่มหาสารคามก็เอาไปผัด คนก็แปลกใจ ทำไมชาวบ้านเอาของมาให้ พระเจ้าอยู่หัวผัดถั่วฝักยาวรับประทาน นี่เป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นคนไทย ภาคอีสานมีชื่อเสียงว่าเป็นภาคที่จน แต่คนมีความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน อย่างนี้เราก็ต้องทำงานแบบเดียวกัน ต้องเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน

เรามีความรู้มาก เรามีเทคโนโลยี่สูง ก็ต้องช่วยกันให้ชาวบ้านเขาได้รับส่วนของเทคโนโลยี่นี้ด้วย ชาวบ้านเขาจนนั่นเอง เขาก็ไม่สามารถตอบแทนด้วยทรัพย์ ด้วยเงินให้คุ้มกับงบประมาณ แต่เขาตอบแทนด้วยน้ำใจ และที่สำคัญที่สุดจะตอบแทนด้วยการรักษาความสงบร่วมกัน ประเทศชาติก็จะอยู่ได้..."

ป้านุช
08-07-2011, 21:34
๑๖
คนเราเกิดมา

"...คราวนี้ก็ต้องอ้างถึงภาษาฝรั่งบ้างว่า
การปฏิบัติงานนั้น ในภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า
การเอาภาระนั้นมาวางไว้ข้าง ๆ
คือไม่แบกภาระแล้ว เอาวางเสีย
การทำอย่างนั้นภาษาไทยบอกว่าวาง..."

ป้านุช
08-07-2011, 21:43
"...คนเราเกิดมามีภาระหนักตั้งแต่เกิด คือ มีความเดือดร้อนหรือมีความหนักตั้งแต่เกิด ซึ่งความหนักที่มีนี้มีในรูปต่าง ๆ

ภาระตั้งแต่เกิดนั้นก็คือภาระที่จะต้องต่อสู้กับความหิว ทุกคนเกิดมาย่อมต้องสู้กับความหิวเป็นธรรมดา ถ้าไม่ขวนขวายก็หิวและเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แม้แต่เด็ก ๆ ซึ่งนึกว่าไม่มีความทุกข์ ก็มีความทุกข์ คือความเดือดร้อน ความลำบากในเรื่องความหิวเป็นต้น

แม้จะรู้ว่ามีพ่อแม่ที่ป้อนให้หรือมีพี่เลี้ยงป้อนให้ หรือมีผู้ใหญ่ที่จะช่วยป้อนให้ ก็รู้ว่าต้องระมัดระวังตัวให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นไม่ได้รับอาหารแน่ ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งเข้าใจว่าทุกคนจะต้องมีภาระ จะต้องมีงานที่จะต้องทำ และงานส่วนใหญ่ก็ได้รับการเตือนว่าให้ปฏิบัติหน้าที่การงานเพื่อส่วนรวมจึงจะดี..."

ป้านุช
12-07-2011, 00:23
"...อันนี้ก็แปลกประหลาดอยู่ว่า โดยมากก็พูดหรือให้โอวาทกันว่า ขอให้ปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวม อย่าคิดถึงประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป จะตอบกันจะถามกันได้ว่าทำไม

ถ้าทำแต่ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์คนอื่นตัวเองก็แย่ ตัวเองก็อด ตัวเองก็เหนื่อยตาย ตัวเองก็ไม่ได้อะไรเลย อันนี้ขออธิบายว่า ถ้าหากว่าไม่ทำประโยชน์ส่วนรวม หรือส่วนท่านคือคนอื่น นึกแต่ประโยชน์ส่วนตัวนั้น เชื่อได้ว่าภาระที่ได้รับตั้งแต่เกิดคือความหนัก จะยิ่งหนักเข้าไปทุกที และความทุกข์ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นแก่ตัว..."

ป้านุช
28-07-2011, 23:18
“...ถ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อส่วนรวมจะเบาขึ้นทุกที คราวนี้ก็ต้องอ้างถึงฝรั่งบ้างว่า การปฏิบัติงานนั้นในภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า การเอาภาระนั้นมาวางไว้ข้าง ๆ คือไม่แบก แบกภาระแล้วเอาวางเสีย การทำอย่างนั้นภาษาไทยบอกว่าวาง

ถ้าบอกว่าวางก็เหมือนว่าไม่ทำ แต่ภาษาฝรั่งเขาบอกว่าเอาวาง คือ discharge charge ก็แปลว่าภาระที่หนัก dis ก็เอาออก หมายความว่าเอาภาระที่หนักหัวมาวางไว้ในที่ที่เหมาะสม อย่างนั้นเป็นการทำหน้าที่ของตนเพื่อส่วนรวม ทำให้เบา ซึ่งเป็นความจริง ถ้าสมมติว่าเราไม่ทำหน้าที่ หาแต่ประโยชน์ใส่ตัว ประโยชน์นั้นมันหนัก เดินไปที่ไหนก็อุ้ยอ้าย แต่ถ้าวางไว้ในที่ที่เหมาะสม คือทำภารกิจของตนให้ลุล่วง ก็จะทำให้เบา

อันนี้ถ้าอธิบายอีกอย่างหนึ่ง เรามีบ้านเมือง เรามีส่วนรวม เรามีประเทศชาติอยู่ ถ้าประเทศชาติไม่อยู่ หรือแผ่นดินนี้ไม่อยู่ เราจะเหยียบแผ่นดินที่ไหน ถ้าไม่มีดิน ไม่มีที่เดิน ไม่มีที่ยืน ไม่มีที่นั่ง ไม่มีที่นอน เราจะอยู่ที่ไหน อาจจะจมลงไปในดินก็ได้ อาจจะจมลงไปในทะเลก็ได้

แล้วอันนี้เป็นความสุขหรือเปล่า ถ้าไม่มีที่เหยียบ ไม่มีที่ยืน ไม่มีที่เดิน
ไม่มีที่นอน ไม่มีที่นั่ง จะไม่มีความสุข จะเป็นความทุกข์

ฉะนั้น ถ้าประเทศ ถ้าบ้านเมืองเราไม่อยู่หรือง่อนแง่น หรือไม่มั่นคง หรือไม่มีความความเจริญเป็นส่วนรวม ฐานะของเราก็ง่อนแง่นไม่มั่นคงเช่นเดียวกัน และคนที่มีความเป็นอยู่มีฐานะที่ง่อนแง่นไม่มั่นคงนั้น มีความสุขหรือเปล่า มันมีความทุกข์ มันไม่สบาย

ฉะนั้น ถ้าเรามีหน้าที่จะต้องทำหน้าที่ โดยเฉพาะเพื่อส่วนรวม...”

ป้านุช
03-08-2011, 23:02
๑๗
สร้างคัมภีร์

“...ธรรมะที่อยู่ในคัมภีร์นั้น เป็นธรรมะที่ดีอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราไม่ได้รับมาใส่จิตเรา ไม่ได้รับมาพิจารณา
ไม่ได้มาดูเทียบเคียงกับจิตของเรา
ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย...”

ป้านุช
03-08-2011, 23:08
“...เรื่องคัมภีร์ทำมาอย่างถูกต้องอย่างดีแล้ว ก็ต้องมีความระมัดระวังอย่างดี อย่าไปนึกว่าทำคัมภีร์แล้วคนจะบรรลุหมด ไม่เป็นเช่นนั้น หรือแม้แต่ผู้ที่ทำเองก็อาจจะไม่บรรลุ เพราะว่าธรรมะที่อยู่ในคัมภีร์นั้นเป็นธรรมะที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่ได้รับมาใส่จิตเรา ไม่ได้รับมาพิจารณา ไม่ได้มาดูเทียบเคียงกับจิตของเรา ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในที่ต่าง ๆ ว่า พระพุทธเจ้าจะไม่สามารถให้แต่ละคนพ้นสงสัยได้ มีผู้ไปขอให้พระพุทธเจ้าทำให้ตนพ้นสงสัย ท่านก็บอกว่าทำให้พ้นสงสัยไม่ได้ ไม่มีทาง เพราะว่าแต่ละคนจะต้องพ้นสงสัยเอง จะต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ตำราก็ชี้ให้คนพ้นสงสัยไม่ได้ ชี้ให้คนสำเร็จบรรลุไม่ได้ ต้องผู้นั้นปฏิบัติเอง

แต่ว่าตำราก็ช่วยได้ พระพุทธเจ้าช่วยได้ เช่นเดียวกันกับที่เรานั่งอยู่ในห้องนี้ ถ้าเราไม่ทราบว่าจะออกจากห้องนี้อย่างไร ก็มีผู้ชี้ว่านี่ประตู ออกจากประตูนี้แล้วก็ผ่านอีกประตูหนึ่ง ไปที่ทางบันไดก็ก้าวลงไป ออกไปข้างนอก ไปที่รถของตน ๆ

ถ้าไม่มีใครบอกก็อาจจะลืมว่า จากห้องนี้จะไปทางไหน ออกจากประตูนี้แล้วจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา อาจจะลืม อาจจะไม่เห็น แต่ว่าการที่จะออกไปจริง ๆ นั้น กายและใจของตัวเองจะต้องออกไปเอง ถ้าตัวเองทราบทางแล้วแต่ไม่ออก กายไม่ออกใจไม่ออกก็ไม่เกิดผล ก็นั่งอยู่ที่นี่ นั่งอยู่ที่นี่แล้ว ก็ไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้ไปรับประทานอาหารที่บ้าน ก็นั่งอยู่ที่นี่จนหิวจนจะเป็นลม คนอื่นทำอะไรให้ไม่ได้ ต้องพาตัวออกไปเอง คนอื่นจะบอกจะเนรมิตให้ออกไปไม่ได้..."

ป้านุช
06-08-2011, 01:30
"...ก็เช่นเดียวกับการบรรลุหรือความพ้นสงสัยต้องทำด้วยตนเอง อันนี้จะต้องมีความเข้าใจว่า การทำตำรานี้ก็มีอานิสงส์ต่าง ๆ นานา อันนี้ก็เป็นการปรับปรุงสติอยู่บ้าง เพราะว่าการทำตำรานี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นการรักษาคำสั่งสอน เป็นการทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้สามารถที่จะหาความรู้ได้ แต่ถ้าคนเราไม่พยายามหาความรู้ ตำราก็คงเป็นเพียงตำราวางไว้เฉย ๆ การที่พูดอย่างนี้ก็ให้เข้าใจว่าตำรานี้มีประโยชน์มาก และต้องทำด้วยความประณีต เพราะว่าผู้ใดที่มาหาเจอแล้วก็จะใช้ประโยชน์ได้ และถ้าทำไม่ประณีต ผู้ที่มาดูแล้วก็จะไม่ได้ประโยชน์...”

ป้านุช
09-08-2011, 21:50
"...ผู้ที่สนับสนุนในการพิมพ์ หรือพูดกันง่าย ๆ สนับสนุนเพื่อที่จะให้มีค่าใช้จ่ายพอในการพิมพ์ก็เช่นเดียวกัน ถือว่าได้สนับสนุนการสร้างตำราที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป ไม่ใช่เป็นการสร้างขึ้นมาแล็วก็จะเป็นการเป็นสิทธิที่จะบรรลุเหมือนกัน

แต่ว่าสิ่งที่ได้ตอบแทนก็คือความปีติปลาบปลื้มใจ ความปีติปลื้มใจนั้นนำไปสู่ความสุข คือมีความสุขที่ได้ทำอะไรที่ดีที่ชอบ เมื่อมีความสุขในสิ่งที่ดีที่ชอบ จิตใจก็ปลอดโปร่งผ่องใส เมื่อจิตใจผ่องใสก็จะเห็นอะไรที่ถูกต้อง เมื่อเห็นอะไรที่ถูกต้องแล้วก็เห็นความจริงที่แท้

ความจริงที่แท้มีอย่างเดียว คือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือความสุจริต หมายความว่าการที่ทำอะไรที่เกิดความปีติยินดีนั้น นับว่าเป็นทางที่จะทำให้แต่ละคนมีความสุขความเจริญได้ เหมือนกับที่ท่านทั้งหลายได้ทำงานนี้มาด้วยความตั้งใจ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่าการทำบุญ เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความผ่องใสความสุขได้

ทั้งผู้ที่สนับสนุนในงานการนี้ก็จะทำให้จิตใจดีและเจริญ เพราะว่าด้วยความปีตินี้เอง ถ้ามีเจตนาที่สุจริตแต่ต้นและทำด้วยความสุจริตต่อไปและรักษาความสุจริตใจนี้ ก็นับว่าเป็นไปในทางที่ถูกต้อง..."

ป้านุช
17-08-2011, 00:36
๑๘
ปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยทิ้ง

"...ปล่อยวางไม่ได้หมายความว่าปล่อยมือ
ปล่อยวางคือจิตใจไม่หมกมุ่น
จิตใจไม่ไปทำให้เคืองโกรธ
แต่ว่าปล่อยวางในสิ่งที่ทำไม่ได้
แล้วก็จะได้หลีก ทำอะไรที่ทำได้เป็นประโยชน์..."

ป้านุช
17-08-2011, 00:57
"...ความมีจิตใจสูง ที่ว่าการสงเคราะห์ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก และจะช่วยหรือบำบัดทุกข์ ไม่ให้มีทุกข์ต่าง ๆ นั้น ส่วนมากก็เป็นทุกข์ทางกาย แต่ว่าทางใจคือจิตใจที่ต่ำทรามก็จะนำไปสู่ความทุกข์ความในทางกายอยู่มาก

ฉะนั้น การช่วยให้ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากในทางใจ และเมื่อสักครู่ก็รายงานใช้คำว่าอวิชชา รู้สึกว่าไปเอาคำที่ฮิตมาก อวิชชานี้ก็อธิบายกันได้ทั้งวันทั้งปี แต่ว่าข้อที่สำคัญต้องไปช่วยทางใจกับคนที่ไม่รู้ อันนี้เป็นสิ่งที่ลำบากมาก

วิธีที่จะช่วยทางใจให้ผู้ที่ไม่รู้อย่างที่กล่าวรายงาน ก็คงใช้สิ่งที่ดีก็คือศาสนา ศาสนาอะไรไหนที่เป็นศาสนาที่เรียกว่าศาสนาไม่ใช่ลัทธิ ศาสนาแบบไหนที่ตั้งขึ้นมาก็มีจุดประสงค์ที่จะทำให้จิตใจของผู้คนดีขึ้น หมายความว่ามีโอกาสที่จะหาความสุขได้มากกว่าความทุกข์ทั้งนั้น

คือว่าศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องของลัทธิ เป็นเรื่องของการให้คนได้เห็น ได้พ้นจากอวิชชามากน้อยก็ตามแต่ ว่าให้พ้นไปบ้าง เมื่อพ้นจากอวิชชาคือไม่รู้ คือรู้ไม่รู้เรื่อง คือความไม่รู้จริง ไม่ใช่ไม่รู้ รู้แต่ไม่จริง รู้อะไรต่อมิอะไรที่มันเป็นสิ่งที่หลอกลวง อย่างรู้ว่าการฆ่าเป็นการฆ่าคนไม่ให้มีชีวิต

ฉะนั้น รู้แล้วไปทำก็มีผิด การรู้ที่จะให้เป็นคนก็จะต้องพยายามให้วิชชา เพราะการที่จะส่งเสริมให้คนพ้นจากความไม่รู้นั้น เป็นงานที่ใหญ่ เป็นงานที่ยาก..."

ป้านุช
19-08-2011, 01:06
"...ฉะนั้น ถ้าแต่ละคนพยายามที่จะมองเห็นทุกข์แล้วก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นว่า อยากที่จะเข้าไปช่วยเหลือ อันนั้นเป็นการมองเห็นทุกข์อยากจะช่วยเหลือแล้ว ก็จะต้องหันหน้าไปหาผู้อื่นที่มีความรู้สึกอย่างเดียวกันและประสานกันให้ดี ไม่ก้าวก่ายกัน ไม่ทะเลาะกัน ไม่เอาหน้ากัน ทำได้ในส่วนของตัวเองที่ทำได้ แล้วมาหวังในความร่วมมือของผู้อื่น และก็ให้ความร่วมมือกับผู้อื่น

โดยที่เมื่อทำแล้ว ตัวเองทำได้ผลดีแล้ว ก็ดีใจทั้งนั้น ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำและยินดีกับสิ่งที่ผู้อื่นทำ เมื่อผู้อื่นทำในงานที่ตัวเองทำแล้วได้หน้าไป ก็ไม่ใช่ว่าเรากำลังทำแล้วคนอื่นทำไปแล้วเห็นว่าเขาเอาหน้า เขาเอาหน้าเขาได้หน้าก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน

ถ้าใครทำดีแล้วเรายินดีด้วยเพราะเราทำอย่างอื่นได้ด้วย แต่ถ้าเราทำแล้วคนอื่นทำได้ดี เราก็กำลังทำนี่แล้วทำไมคนโน้นมาแย่งทำ เขาไม่ได้แย่งเขาทำของเขา เขาได้ผลดีของเขาก็ดีใจ เราก็ยินดีด้วย ถ้าเราทำแล้วไม่ได้ผลเราก็เสียใจ มัวแต่เสียใจในเรื่องที่ไม่ได้ผลนี้ไม่ได้ทำอย่างอื่น

เราทำสุดฝีมือแล้วใครจะมาว่าอะไร คือไม่ใช่ใครมาว่าแล้วเราไม่ฟัง ใครมาว่าเราก็ฟัง ถ้าเขาว่าถูกเราก็ขอบใจเขา ถ้าเขาว่าไม่ถูกก็ปล่อยเขาไป สบายใจดี

ฉะนั้น งานสังคมสงเคราะห์นี่ไปถึงขนาดนี้ ถึงขั้นที่จะพิจารณาตัวเอง ถึงขั้นที่จะต้องมีความยินดีด้วยกับคนอื่น แล้วมีความปล่อยวางด้วย ปล่อยวางไม่ได้หมายความว่าปล่อยมือ ปล่อยวางคือจิตใจไม่หมกมุ่น จิตใจไม่ไปทำให้เคืองโกรธ แต่ว่าปล่อยวางในสิ่งที่ทำไม่ได้ แล้วก็จะได้หลีก ทำอะไรที่ทำได้เป็นประโยชน์..."

ป้านุช
19-08-2011, 22:21
"...อันนี้ก็ทราบทั่วถึงขนาดนี้แล้ว จะแปลเป็นภาษาบาลีก็คงแปลได้ ที่พูดว่าเอาจากบาลีได้ ก็เพราะว่างานของนักสังคมสงเคราะห์นั้น ต้องไปถึงขนาดนี้จึงจะเป็นประโยชน์ แล้วก็เป็นประโยชน์สำหรับสังคมที่เราจะสงเคราะห์ ทำเป็นประโยชน์สำหรับตัวเองที่อยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ทำอะไรที่เป็นสิ่งที่จริงใจ พอใจในสิ่งดี และทำให้เรารับความสุขที่แท้จริงดังนี้

การสังคมสงเคราะห์ในที่สุดก็เท่ากับเป็นการหาความสุขที่แท้ ทั้งคนอื่นที่เราจะสงเคราะห์ ทั้งของตัวเราเอง ฉะนั้น ถ้าเราไปเที่ยวเดินหาในแง่นี้ ก็อาจจะทำให้งานของสภาสังคมสงเคราะห์เป็นไปอย่างกว้างขวาง แต่ก็ไม่ได้ไปในทางที่เกินควรหรือเกินขอบเขต

ถ้าเกินขอบเขตทำให้เกิดความเดือดร้อนจากสิ่งที่ว่าเมื่อกี้ว่าเกิดจากอิจฉา เกิดจากความเสียใจ เกิดอิจฉาคนอื่นเขาทำไปแล้ว ถ้าเราไม่มีอิจฉาก็แล้วไป ถ้าเราเสียใจที่เราทำไม่สำเร็จในสิ่งที่เราทำสำเร็จไม่ได้ เราก็ปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยทิ้ง..."

ป้านุช
20-08-2011, 21:43
๑๔
แผ่เมตตา

"...การปฏิบัติงานอย่างพยายามที่จะแผ่เมตตา
โดยเฉพาะถ้าได้รับการสนับสนุนจากบุคคลทั่วประเทศ
เพื่อที่จะให้ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อกัน
ไม่สูญจากเมืองไทย ก็เป็นการดีมาก
และเชื่อว่าประเทศไทยจะอยู่รอดและเจริญได้
ก็อาศัยจิตใจเมตตานี้เอง..."

ป้านุช
20-08-2011, 22:00
"...เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไปบนภูเขาแล้วก็ทราบว่า คนที่รู้จักมานานเป็นคนชาวเขา เขาไม่สบายไม่มาพบ จึงส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับ และได้ส่งโรงพยาบาลในวันนั้นเอง ก็ได้ช่วยชีวิตเขา มิฉะนั้น เขาก็คงต้องเสียชีวิตในไม่ช้า

ในคราวนั้นเขาให้ลูกชายไปด้วย ส่วนน้องชาย เขาบอกว่าให้อยู่ดูแลบ้าน เพราะเขามีหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน เพราะฉะนั้นการที่นำคนไปช่วย ให้คนไปเข้าโรงพยาบาล ก็เห็นได้ว่าชาวบ้านเขาไม่ได้เอาเปรียบ เขาก็รู้ว่าควรมิควรแค่ไหน

การที่เราช่วยให้ผู้ใหญ่บ้านไปรักษาตัว และเขามีชีวิตอยู่ได้ สามารถที่จะทำงานทำการต่อไปด้วยความแข็งแรง เขาก็เห็นความดีของส่วนรวม เขาก็รู้สึกว่ามีคนเอาใจใส่ รู้สึกว่าทางการทั้งด้านปกครองทั้งด้านการแพทย์ช่วยเขาเต็มที่ เขาก็มีกำลังใจที่จะทำงานด้วยความสำนึกว่า เมืองไทยนี้มีจิตใจเหมือนกันทั่วไปทุกแห่ง คือจิตใจเมตตาซึ่งกันและกัน จิตใจที่จะส่งเสริมให้แต่ละคนมีชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของคนไทย เป็นคนที่เอื้อเฟื้อ เป็นคนที่มีเมตตา

อันนี้เป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นนิสัยใจคอของคนไทยตั้งแต่โบราณมา ซึ่งมาในปัจจุบันนี้อาจจะดูถอยไป เพราะว่าชีวิตสมัยใหม่ดูจะต้องเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น การที่เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นก็จำเป็นเพราะว่าจะต้องตั้งงบประมาณเป็นต้น จะต้องทำอะไรให้มีระเบียบ จึงทำให้การแผ่เมตตานี้อาจจะไม่สะดวก..."

ป้านุช
21-08-2011, 21:16
"...ฉะนั้น การที่ท่านทั้งหลายได้นึกถึงว่าอยากจะบริจาคเงิน เพื่อสนับสนุนกิจการดังที่ได้บรรยายนี้ก็เป็นการดี เพราะว่าเป็นการปฏิบัติงานอย่างพยายามที่จะแผ่เมตตา โดยเฉพาะถ้าได้รับการสนับสนุนจากบุคคลทั่วประเทศ เพื่อที่จะให้ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อกัน ไม่สูญจากเมืองไทยก็เป็นการดีมาก และเชื่อว่าประเทศไทยจะอยู่รอดและเจริญได้ก็อาศัยจิตเมตตานี้เอง

ซึ่งเป็นกำลังสำคัญมาก เพราะว่าในสมัยที่มีความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจอย่างกว้างขวางกำลังจะลดลงไป เมืองไทยยังมีอยู่ นับว่าเป็นโชคดีของประเทศชาติ เมตตานี้บางทีก็บอกกันว่ากินไม่ได้ ไม่ได้เป็นเงินเป็นทอง แต่ต้องย้ำว่าสำคัญมาก

บางทีถ้าเปรียบเทียบความเมตตากรุณานี้เป็นสิ่งที่แปลก เพราะว่าถ้าดูในแง่ความร่ำรวย ผู้ที่เมตตากรุณาย่อมจน ย่อมเสียเงิน ถ้าพูดตามสมัยใหม่ เสียเงินเป็นของไม่ดี แต่ว่าการเสียเงินซึ่งอาจจะดูเป็นของไม่ดีเพราะคนที่จนลงก็ไม่ดี แต่เป็นการสร้างเสริมจิตใจ และถ้าต้องการผลตอบแทน จะได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า เพราะว่าทำให้สังคมส่วนรวมมีความแข็งแกร่งดี ก็เท่ากับไม่ได้เสีย เท่ากับได้..."

ป้านุช
22-08-2011, 23:26
๒๐
คำว่า"ความดี"

"...ตอนที่ยากจนหรือยังตั้งตัวไม่ได้
การตีความความดีนี้ยากมาก
เพราะว่าอยากที่จะรวยเร็วก็อาจจะหลงผิดก็ได้
แต่ว่าถ้าได้ทำความดี
แล้วหากินสร้างตัวเองขึ้นมาอย่างอยู่ได้มีพอกินแล้ว
ก็มาพิจารณาอีกทีว่า
เราคงต้องทำความดีมาจึงได้มีความเจริญขึ้นมา..."

ป้านุช
22-08-2011, 23:49
"...คำว่าความดีนี้มีความหมายกว้างมาก ความดีคือปฏิบัติอะไรที่ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธก็เป็นความดี คำว่าไม่มีความโลภ ไม่มีความหลงนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำมาหากินอย่างสุจริต การทำมาหากินตามหน้าที่ เมื่อเกิดขึ้นมาก็ต้องทำมาหากินเลี้ยงชีพ

พอมีครอบครัวก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี ให้อยู่ไม่เป็นภาระต่อสังคม เป็นความดีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นความโลภ ความต้องการในสิ่งที่จำเป็น ก็ต้องปฏิบัติต้องทำมาหาเลี้ยงชีพให้เหมาะสม แต่ทำอย่างสุจริต คือไม่ไปโกง ไม่ไปเอาเปรียบเขาอย่างผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม

อันนี้ก็เป็นความดี ถ้าบอกว่าจะปฏิบัติความดีไม่มีความโลภ ก็เลยไม่ทำงานอะไรเลย เพราะว่า ถ้าทำงานเท่ากับต้องไปหากินก็ต้องหาเงินหาของ อาจจะต้องไปซื้อขาย ค้าขาย ถ้าไปตีความว่า ค้าขายนี่นะไม่ใช่ความดี เพราะคนที่ขายของซื้อของ ซื้อของมาขายก็ต้องมีกำไร

การมีกำไรนี้กลายเป็นความโลภไป ก็ไม่ได้ ไม่ใช่ คือค้าขายอย่างสุจริตไม่หน้าเลือด แต่ให้มีกำไรตามระเบียบก็โอเค ทำอย่างสุจริตนี่เป็นความดี ถ้าเราไม่ทำงาน มาตีความว่าการค้าขาย แม้จะสุจริตก็ไม่ใช่การละความโลภ เป็นการแก้ตัวว่าขี้เกียจไม่ทำงานทำการ แล้วก็อ้างตัวว่าเป็นคนดีไม่โลภ

แต่แต่ละคนเกิดมาต้องมีหน้าที่ คือมีวิบากมาให้ทำอะไรมาในชาติก่อน แล้วก็ทำอะไรในตอนต้นของชาตินี้อย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น แต่ว่าถ้าเราไปอ้างอีกทีว่าการทำมาหากิน แม้จะสุจริตนี่น่ะเป็นการโลภ แล้วก็แก้ตัวเป็นการแก้ตัวในความขี้เกียจของตน

อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความดีที่จะมีความขี้เกียจ ต้องมีความขยันหมั่นเพียร แต่ความขยันหมั่นเพียรนี้ ทำอย่างสุจริตแล้วก็มีคุณค่าในทางโลก ในทางเศรษฐกิจ การทำงานด้วยความสุจริต ด้วยความบากบั่นนี้ มีคุณค่าที่จะหากินได้

ฉะนั้น ถ้าทำงานด้วยความขยันก็เป็นพลังอย่างหนึ่งที่จะทำให้สามารถหาอาหารมาเลี้ยงชีพ มีพอเลี้ยงตัว..."

ป้านุช
24-08-2011, 01:27
"...ฉะนั้น คำว่าความดีนี่นะก็จะต้องตีความอย่างกว้างขวาง และพยายามที่จะพิจารณาให้รอบคอบ ตอนที่ยากจนหรือยังตั้งตัวไม่ได้ การตีความความดีนี้ยากมาก เพราะว่าอยากที่จะรวยเร็ว อยากที่จะมีฐานะร่ำรวยเร็ว ก็อาจจะหลงผิดก็ได้ แต่ว่าถ้าได้ทำความดี แล้วหากินสร้างตัวเองขึ้นมาอย่างอยู่ได้ มีพอกินแล้ว ก็มาพิจารณาอีกทีว่า เราคงต้องทำความดีมาจึงได้มีความเจริญขึ้นมา

ถ้าเรามีความเจริญขึ้นมาโดยเร็ว ก็ต้องมาพิจารณาว่า ความดีเราทำมาแต่บางทีอาจจะไม่ครบถ้วน บางทีอาจจะไม่ครบถ้วนในทางหนึ่งทางใดก็ได้ แก้ไขตัวเองได้

ถ้าเรามีความเกียจคร้าน ก็ควรจะได้ให้มีความขยันหมั่นเพียรขึ้น ก็จะมีความดีได้มากขึ้น ถ้าเราทำอะไรอย่างเอาเปรียบคนอื่น นี่ก็เป็นความโลภ ก็ย่อมจะต้องพยายามพิจารณาคุณและโทษของการมีมากโดยใช้ความโลภเป็นเครื่องมือว่า มีคุณก็มีทรัพย์ แต่มีโทษอยู่ที่ว่าอาจจะทำให้ทรัพย์นั้นไม่มั่นคง ก็ต้องพิจารณาให้ดี คนเรายังไม่เป็นคนที่ดีเต็มที่ พูดอย่างนี้ไม่ใช่การดูถูกดูหมิ่น แต่ละคนก็ต้องมอง ต้องพยายามที่จะพัฒนาตนเองขึ้นไปเรื่อย พัฒนาฐานะให้ดีขึ้น ให้สบายขึ้น ให้พอมีพอกิน เพื่อที่จะได้พัฒนาในจิตใจได้ต่อไป

ถ้าพัฒนาตัวเองในทางด้านจิตใจต่อไปได้เท่าไหร่ ก็จะมีความสุขมากเท่านั้น ในที่สุดก็อาจจะบรรลุถึงความสุขที่ถาวรขึ้นได้ด้วยความพยายาม ด้วยความขยันหมั่นเพียร ทั้งในทางกาย ทั้งในทางจิตใจ..."

ป้านุช
24-08-2011, 23:48
"...ฉะนั้น ที่มาพบกันอย่างนี้เป็นการดี เป็นวาระที่ควรจะพิจารณาเป็นระยะ ๆ ความจริงการพิจารณาตัวเองควรพิจารณาทุกวัน แต่ทว่าเราอาจจะไม่ค่อยมีเวลานัก ก็อาจจะพิจารณาเป็นวาระ ๆ พิจารณาว่าเราได้ทำอะไรที่เรียกว่าความดี ทำสิ่งที่ดีที่ชอบ

สิ่งใดที่แก้ไขได้ก็ควรจะพิจารณาฝึกตัวให้ดีขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับเราสืบไป การรีรอที่จะพัฒนาตัวเองก็ไม่ดีนัก แต่ว่าเท่าที่เห็นดูสภาพที่มีความสบายขึ้น มีความร่าเริงใจ มีความสบายกาย ก็หมายความว่า การพัฒนาตัวเองก็คงเป็นผลที่ดี และสามารถจะส่งผลให้ดีขึ้นต่อไปในการพิจารณาตลอดเวลา

การพัฒนาเป็นสิ่งที่ต้องมีความเพียร และต้องมีความอดทนเป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าใช้ความเพียร ความอดทน ความตั้งใจจริง ก็เชื่อได้ว่าจะไม่ถอยมีแต่พัฒนา พัฒนาจิตใจก็เป็นสิ่งที่เราต้องการ ในการพิจารณาพัฒนาจิตใจนี่เป็นสิ่งที่ยากลำบาก

คนไหนที่พัฒนาจิตใจของตัวเองได้ก็คงเป็นผลดี เป็นคนที่สามารถ อย่าท้อถอย อย่าทิ้งความขยันหมั่นเพียร วิริยะ อุตสาหะ และความอดทนในทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะบรรลุถึงความสุขที่แท้ ความสุขที่แต่ละคนก็ปรารถนาทั้งนั้น

ก็เชื่อว่าผู้ที่ตั้งต้นพิจารณาก็ตั้งต้นเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งดี เพราะมีเวลาคิดพิจารณานาน ๆ แล้วก็ถ้าเพียรพยายามตลอดก็เชื่อว่าจะมีอานิสงส์แน่ ขออย่าทิ้งความดีที่มีความอุตสาหะ ความตั้งใจเพ่งในความดี ขอให้เพ่งแต่ความดีตลอดไป แล้วเชื่อว่าจะประสบความสุขอันแท้จริงด้วยตนเองไม่ช้านาน..."

ป้านุช
24-08-2011, 23:51
๒๑
ครู

"...คำว่าครูนั้น ดูเป็นเหมือนต่ำกว่าคำว่าอาจารย์
อาจารย์นั้นดูท่าทางเป็นผู้ที่มีความรู้สูงกว่า มีฐานะสูงกว่า
แต่ความจริงคำว่าครูนั้นเป็นคำที่สูงยิ่ง
เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพบูชาได้..."

ป้านุช
26-08-2011, 01:47
"...ครูนั้นจะเป็นครูจีน ครูไทย ครูฝรั่ง ครูแขกหรือชาติใดก็ตาม ผู้ที่เป็นครูนั้นจะต้องมีจิตใจที่สูง ถ้าครูใดมีจิตใจสูงก็จะทำงานของตัวด้วยความสำเร็จ จะเป็นที่นับถือของลูกศิษย์ และเป็นที่เคารพของผู้ที่เป็นประชาชนทั่ว ๆ ไป

เพราะความเป็นครูนั้นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ ใช้คำว่าครูนั้นดูเหมือนต่ำกว่าคำว่าอาจารย์ อาจารย์นั้นดูท่าทางเป็นผู้ที่มีความรู้สูงกว่า มีฐานะสูงกว่า แต่ความจริงคำว่าครูนั้นเป็นคำที่สูงยิ่ง เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพบูชาได้

ฉะนั้น ได้ชื่อหรือเรียกตัวว่าเป็นครู ก็จะต้องบำเพ็ญตนให้ดี บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ บำเพ็ญตนให้เป็นที่นับถือได้ เพราะว่าผู้ใดเป็นครูแล้วไม่บำเพ็ญตนให้เป็นที่นับถือได้ ก็เท่ากับบกพร่อง คนเราทำหน้าที่ใดแล้วบกพร่องก็ไม่ดี แต่ครูทำงานของตนบกพร่องนั้นยิ่งไม่ดี เพราะว่าครูเป็นเหมือนคำศักดิ์สิทธิ์

ฉะนั้น ถ้าผู้ใดเป็นครูแล้วและทำตัวอย่างที่ดี สั่งสอนพร่ำสอนให้ลูกศิษย์มีความรู้ หมายถึงมีความรู้ในทางวิชาการสูง ก็เชื่อได้ว่าลูกศิษย์นั้นจะมีอนาคตที่แจ่มใส ถ้าสอนให้มีความประพฤติที่ดี เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนที่มีความรู้ทางจิตใจ รู้จักเหตุและผลแน่นอน ก็จะยิ่งเป็นผลดีใหญ่ เพราะว่าผู้ที่มีเหตุผล รู้จักเหตุผล มีความประพฤติดี มีความสุจริต เป็นผู้ที่จะต่อสู้ในชีวิตอนาคตได้อย่างง่ายดาย และประสบความเจริญ

ฉะนั้น ครูเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาการ และเป็นผู้ถ่ายทอดความประพฤติ วิธีประพฤติตน วิธีคิดและความดีงามทุกอย่าง ซึ่งจะสร้างให้บุคคลเป็นคนที่ดี เป็นคนที่ไม่เป็นภัยต่อคนอื่น ตรงกันข้าม เป็นผู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวมและตัวเองก็จะได้รับประโยชน์ว่าเป็นคนที่เจริญ..."

ป้านุช
30-08-2011, 00:08
๒๒
ฝึกที่จิตใจ

"...จิตใจเราเป็นสิ่งที่แปลก
ถ้าอยู่เฉย ๆ บางทีเราก็ดูเหมือนมีความรู้สึกเฉย ๆ ได้
แต่เฉย ๆ ไป เฉย ๆ มา ชักจะมีความเบื่อหรือความไม่สบายใจ
ความไม่สบายใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่ปรารถนา
ต้องมีความสบายใจ และเพื่อได้ความสบายใจนั้นก็ต้องฝึกที่จิตใจ
การเสียสละนั้นเป็นการฝึกใจอย่างหนึ่ง..."

ป้านุช
30-08-2011, 00:31
"...จิตใจที่บริจาคเงินสำหรับช่วยเพื่อนร่วมชาติ ด้านหนึ่งก็จะทำให้เพื่อนได้มีความเดือดร้อนน้อยลงได้ จึงทำให้ส่วนรวมดีขึ้น และด้านท่านผู้ที่บริจาคทรัพย์เพื่อการกุศล นับว่าเป็นการขัดเกลาจิตใจของตัวให้มีความเสียสละ

ทุกคนที่เกิดมาโดยเฉพาะในเมืองไทย ถ้ามีคุณสมบัตินี้ มีความเสียสละในใจ ก็นับว่าเป็นคนที่ดีมีความสามารถ ส่วนความเสียสละนั้นก็เหมือนว่าเป็นสิ่งที่ไม่ฉลาด เพราะว่าเมื่อเราเสียสละทรัพย์เราก็จนลงไป ทำไม คนเราโดยทั่วไปก็ต้องการความร่ำรวยว่าเป็นสิ่งที่ดี และเป็นสิ่งที่ทำให้มีความอยู่เย็นสบายได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมีเงินมีทรัพย์มาก ก็ย่อมมีฐานะร่ำรวยมีความสุข การสละทรัพย์ก็เท่ากับทำให้ท่านจนลงไป เท่ากับได้สร้างความทุกข์แก่ตัว

แต่อันนี้ในทางวัตถุอาจจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเรามีเงินก็สามารถที่จะไปซื้อของที่ต้องการ เท่ากับบำรุงความสุขให้กับตัวเอง ถ้าไม่มีเงินที่จะซื้อของ ก็เห็นจะเป็นความทุกข์เพราะอยากได้ แต่ว่าอันนี้เป็นเรื่องของวัตถุ ถ้าหากว่าเรามีทรัพย์พอสมควรและก็สละไปบ้าง มิได้สร้างความทุกข์แก่ตัว

ตรงกันข้ามเป็นการสร้างสมในอนาคต เพราะจิตใจของเราเรื่องความเสียสละเป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าฝึกความเสียสละเท่ากับเราฝึกความเข้มแข็งของตัวเรา สามารถที่จะมีความเข้มแข็งพอที่จะสละ และบางคราวเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียกว่าเป็นทาน เพราะว่าจิตใจเราเป็นสิ่งที่แปลก ถ้าอยู่เฉย ๆ บางทีเราก็ดูเหมือนมีความรู้สึกเฉย ๆ ได้ แต่เฉย ๆ ไป เฉย ๆ มา ชักจะมีความเบื่อหรือความไม่สบายใจ ความไม่สบายใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่ปรารถนา ต้องมีความสบายใจ และเพื่อได้ความสบายใจนั้นก็ต้องฝึกที่จิตใจ การเสียสละนั้นเป็นการฝึกใจอย่างหนึ่ง

การแผ่เมตตาก็คือเมตตาผู้อื่น ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้จิตใจเบิกบานได้ ถ้าจิตใจนั้นเบิกบาน สว่าง แล้วก็มีความสุขอยู่ไม่น้อย การเสียสละบริจาคทรัพย์เพื่อการกุศลนั้นจะได้ทั้งสองอย่าง คือกำลังใจที่จะสละ และมีกำลังความสว่างของเมตตา ความสุขของเมตตาที่เราแผ่ออกไป..."

ป้านุช
01-09-2011, 00:21
"...ส่วนเงินที่ได้รับมานี้ก็ขอแจ้งให้ทราบว่า เวลาไปต่างจังหวัดก็ไปทุกภาค มีการไปเยี่ยมเยียนประชาชนด้วยกันหลายแห่ง เยี่ยมเยียนประชาชนเพื่อที่จะดูว่า จะทำงานอย่างไรให้คนอยู่เย็นเป็นสุข มีความอยู่ดีกินดีขึ้นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งถ้าเห็นคนไหนไม่สบายก็หาโอกาสที่จะนำแพทย์ไปตรวจและให้การรักษา

ถ้าผู้ใดรักษาได้ด้วยยาที่ให้ไปก็ให้ไป ถ้าผู้ใดจะต้องเข้าโรงพยาบาลมาบำบัดรักษาในโรงพยาบาล ก็ให้นำมาที่โรงพยาบาล ทั้งนี้ก็สิ้นเปลืองทรัพย์มิใช่น้อย จึงต้องมีสำหรับค่ายา ค่าเดินทางของผู้ป่วยและผู้ติดตาม ซึ่งถ้าใข้เงินงบประมาณก็ไม่ได้ ไม่มีเงินงบประมาณแผ่นดินที่จะมาใช้..."

ป้านุช
07-09-2011, 22:08
"...จึงต้องใช้เงินที่บริจาคกัน ซึ่งก็นับว่าเป็นบุญที่ได้จากการบริจาคไม่ใช่น้อย สามารถที่จะดำเนินงานนี้ไปได้ ฉะนั้น การที่ได้บริจาคก็เท่ากับได้ช่วยให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกล ที่จริงก็คงไม่เคยไม่รู้จัก แน่นอนว่าคงไม่รู้จักคนที่เราช่วย ไม่เคยเห็นไม่เคยพบ แต่ว่าผู้ใดที่มีความทุกข์และเราช่วยได้แล้วนั้นมีกุศลแรง

เพราะว่าเป็นการช่วยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากไม่เลือกหน้า ไม่เลือกว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะมีศาสนาใดก็ตาม เราก็ช่วย ถ้าหากทุกคนที่ได้บริจาคต้องได้รับอานิสงส์ตามส่วนที่ได้บริจาค ที่ว่าตามส่วนที่ได้บริจาคนั้น ไม่ได้หมายความว่าคนกับจำนวนเงินมากหรือน้อย แต่ตามส่วนที่จะสามารถที่จะบริจาค ความเสียสละนั้นอยู่ที่การตัดใจที่จะสละ..."

ป้านุช
07-09-2011, 22:17
๒๓
กุศลบาทสองบาท

"...เราเป็นคนจนเราจะทำบุญ
เรามีเงินน้อยให้ไปบาทสองบาทก็ไม่มีประโยชน์
จะสร้างอะไรที่เป็นบุญเป็นกุศล
จะสร้างวัดหรือสร้างโรงพยาบาล
หรือสร้างอะไรที่เป็นกุศล
บาทสองบาทไม่มีประโยชน์ ไม่ให้ อย่างนี้คิดผิด
แต่คนที่ให้แม้จะเพียงไม่กี่สตางค์
ก็เป็นคนที่เสียสละมาก..."

ป้านุช
14-09-2011, 22:41
"...การที่ได้ลาไปป่วย มีบางตอนก็เรียกได้ว่าไปแดนสนธยา ก็เลยทำให้มีเวลาคิดอะไรบ้างเหมือนกัน แต่การที่ป่วยนั้นก็ได้ทราบว่าทุกคนได้มีความเป็นห่วง ก็เลยปลื้มใจ และที่ทราบดีก็โดยที่ได้รับดอกไม้ก็ตาม หรือสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้เตือนว่ามีคนเขาคิดถึง เช่นนี้ทำให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเจ็บป่วย

บางทีก็เกิดคิดไม่ดีเหมือนกันว่าที่ส่งดอกไม้มานั้นก็เป็นตามแบบฟอร์ม คือรู้ว่าป่วยก็ต้องส่งมา บางทีก็นึกอย่างนั้น แต่เมื่อเห็นว่าส่งมาด้วยความตั้งใจจริง ๆ หรือแม้จะไม่ได้ส่งแต่รับทราบและเป็นห่วงอย่างแท้จริง ก็ทราบดีว่าความเป็นห่วงนั้นมีจริง และทำให้มีกำลังใจ

เมื่อเร็ว ๆ ที่สุดนี้ที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาได้ดูได้สังเกตว่าความเป็นอยู่เป็นอย่างไร ว่าป่วยหรือไม่ป่วย จริงหรือไม่จริง ป่วยมากหรือไม่มาก ก็ได้มาจากการที่ราษฎรในที่ทุรกันดาร ไกลมากในตำบลที่ในภาคอีสาน ที่สกลนคร เขาฝากบอกมาว่าเขาเป็นห่วง และเขาได้ทราบได้เห็นว่าป่วยนั้น เขาก็เลยมีทุกข์หลาย แต่ที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาได้ดูจริง ๆ ว่าเป็นหรือไม่เป็น เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ดูตุ้ยขึ้น ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่ว่าฟังคำบอกเล่าว่าป่วย แล้วก็คงแย่ เขาจึงต้องเป็นห่วง

แต่เขาก็ดูว่าเป็นอย่างไร เขาสังเกตสังกาทุกอิริยาบถ อย่างที่ออกทีวีเดินในศาลาดุสิดาลัยนี้เอง ก็มีคนต่อว่าคณะแพทย์ว่าทำไมให้เดินเร็วนัก ก็เป็นการแสดงว่าคนเขาเอาใจใส่และเป็นห่วง อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญคือความจริงใจ ความห่วงใยซึ่งกันและกัน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ได้ ถ้าไม่มีความห่วงใยซึ่งกันและกัน ไม่มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็อยู่กันไม่ได้..."

ป้านุช
17-09-2011, 00:15
"...ก็เชื่อว่าพวกเราทั้งหลายเข้าใจดีในคำพูดอย่างนี้ เพราะว่าถ้าเราอยู่แล้ว ไม่มีความปรารถนาดีต่อกัน ก็อยู่ทำไม มันแห้งแล้ง ทั้งเป็นสิ่งที่ทำให้ตกต่ำ แต่ละคนถ้าทำดีก็ไม่ตกต่ำ หมู่คณะที่ทำดีก็ไม่ตกต่ำ ถ้ามีบุคคลในหมู่คณะ คำว่าหมู่คณะนี้ก็จะพูดถึงหมู่คณะใหญ่ที่สุด ก็คือประเทศชาติ มีคนที่ทำไม่ดีหรือคิดไม่ดี อันนี้ก็ดึงทำให้คนส่วนใหญ่เขาลงไปเหมือนกัน

แต่ว่าถ้ามีคนทำดีมุ่งทำดี ตั้งใจคิดดีคิดสุจริต ทำสุจริตนั้นนะก็ดึงขึ้น ปัญหาอยู่ที่ว่าจำนวนเท่าไรคนที่ดึงขึ้น และจำนวนเท่าไรคนที่ดึงลง และการดึงลงหรือดึงขึ้นนี่ใครแรงกว่ากัน บางทีคนก็คิดว่าการดึงขึ้นนี่มันเหนื่อย ให้คนอื่นดึงขึ้นเถอะ แต่ว่าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับดึงลง

ถ้าแต่ละคนคิดว่าเราดึงขึ้นของเรา นึกดูว่าเราคนเดียวดึงขึ้นไม่มีประโยชน์ คนอื่นทำไม่ดีตั้งเยอะแยะ อย่างนี้คิดไม่ถูก เพราะว่าถ้าแต่ละคนคิดอย่างนั้น ไม่ช่วยกันพยุง ไม่ช่วยกันดึงขึ้น มันก็หย่อนลง

ฉะนั้น บทเรียนที่ได้จากการที่ป่วยครั้งนี้ก็คือ ถ้าหากคิดว่าดึงขึ้นไม่มีประโยชน์ มันลงแน่ จึงต้องถือว่าแต่ละคน คนที่แม้จะตัวเล็กตัวน้อยก็ดึงขึ้น หมายถึงว่าประกอบกิจการที่ดีที่สุจริตที่ถูกต้องตามอัตภาพ หรือตามความสามารถของตนก็ช่วยได้..."

ป้านุช
18-09-2011, 00:11
"...เช่นเดียวกับที่บอกว่าเราเป็นคนจนเราจะทำบุญ เรามีเงินน้อยให้ไปบาทสองบาทก็ไม่มีประโยชน์ จะสร้างอะไรที่เป็นบุญเป็นกุศล จะสร้างวัดหรือสร้างโรงพยาบาล หรือสร้างอะไรที่เป็นกุศล บาทสองบาทไม่มีประโยชน์ไม่ให้ อย่างนี้คิดผิด

แต่คนที่ให้แม้จะเพียงไม่กี่สตางค์ก็เป็นคนที่เสียสละมาก สำหรับเขาเองก็ได้ช่วยตนเอง ทำให้ตัวมีความรู้สึกว่ารู้จักหรือฝึกจิตใจให้เสียสละ มันสบายมันเบา นอกจากนั้นถ้าหากไปนึกว่าบาทเดียวสองบาทจะทำอะไรใหญ่โตไม่ได้ มันก็ไม่จริง คนหนึ่ง ๆ ช่วยกันเล็กน้อย ถ้ามีจำนวนมากทำก็สร้างได้มาก คือว่าแต่ละคนเติมเข้าไปนิดหน่อย ก็สามารถที่จะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง..."

ป้านุช
20-09-2011, 23:14
๒๔
อาการป่วย

"...คนเขาเป็นห่วง บอกว่าเป็นโรคหัวใจนี่เดี๋ยวอายุสั้น
ก็ไม่เป็นไรหรอกอายุสั้น
ถ้าถือว่าอายุ ๙๐ อายุสั้นมันก็อายุสั้น
แต่ก็เชื่อว่าอยู่ได้ต่อไป..."

ป้านุช
20-09-2011, 23:48
"...อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องเล่าให้ฟัง ก็คืออาการป่วยมันเป็นอย่างไร อาจจะไม่ทราบกันว่าเป็นอย่างไร โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นนั้นมาโดยฉับพลัน การที่จะให้คนทราบว่าเป็นอย่างไรก็แถลงออกไป แถลงการณ์ออกทีไรก็ทราบว่ายิ่งเกิดปัญหา

ฟังแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ก็ทราบว่าป่วย แต่ไม่ทราบว่าป่วยอย่างไร เพราะอาจจะไม่กล้าแถลงว่าป่วยแค่ไหน ฟังแถลงการณ์ฉบับที่ ๒ ก็บอกสบายขึ้น แถลงการณ์ฉบับที่ ๓ ก็บอกว่าสบายขึ้น แต่ว่าก็ได้ผ่านวิกฤติการณ์อีกซึ่งไม่เคยแถลง เป็นอย่างนี้

จนถึงเดี๋ยวนี้เป็นฉบับที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว บางทีก็ดูว่าทุกครั้งที่แถลงว่าหายเจ็บหายป่วยแล้ว แม้ท่านนายก ฯ กล่าวเมื่อตะกี้ก็ดูเหมือนว่าเห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วว่าสมบูรณ์แข็งแรง เพราะอย่างที่ชาวบ้านเขาว่าตุ้ยแล้ว แต่ว่าโรคนี้มันประหลาด เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป

แต่ว่าโรคเดิมทีเดียวมันเป็นไข้ก็เหมือนไข้หวัด แล้วก็รักษาเหมือนไข้หวัด มันก็ไม่หาย วันแรกที่เป็นมันเป็นวันอาทิตย์ วัดได้ ๓๘.๒ องศาเซลเซียส ก็ดูว่าเป็นไข้ที่ปกติธรรมดา ต่อไปก็วัดไปวัดมาก็ขึ้นไปถึง ๓๙ องศาเซลเซียส ก็เลยบอกว่าอันนี้เป็นประวัติการณ์แล้ว

และต่อไปก็ขึ้นไป เข็นขึ้นไปให้ถึง ๓๙.๘ องศาเซลเซียส เอ๊ะ...ชักจะไม่เลว คือว่าไข้โดยมากถ้าขึ้น เมื่อขึ้นถึงที่สุดแล้วต้องลง ก็นึกว่า ๓๙.๘ ก็คงจวนจะลงแล้ว ทำไปทำมาขึ้นไป ๔๐ ก็นับว่าเป็นไข้ที่สูง และต่อจากนั้นไปไฟก็เลยดับไม่รู้เรื่อง เพราะว่ามันขึ้นไปเรื่อย ขึ้นไปถึงปรอทไม่มีที่จะวัด แต่รู้ว่ามันอาการไม่ดี

อันนี้ก็เป็นเรื่องของไข้ ขึ้นไปอย่างนั้นมันร้อนแล้วก็คงเดือด ถึงทำให้บางทีรู้สึกร้อนผ่าว บางทีเหงื่อออกก็ทำให้รู้สึกเหมือนหนาว มันก็ขึ้นไปอย่างนั้น แต่ว่าถ้าเป็นไข้อย่างนั้นแล้ว มันลงมาก็ไม่เป็นไร ไอบ้างก็เลยพูดไม่ค่อยมีเสียง แล้วก็ลองฟังพระเทศน์ก็มีความสงบจิตใจดี บางทีก็เอาเพลงมาฟัง แล้วก็ไปเอาเทปที่เป็นหนังตลุงมาฟังเรื่องพระนางปทุมทอง เป็นเรื่องที่ได้มาจากภาคใต้ เขาพากย์หนังตลุง เวลานั้นเสียงพูดก็ไม่ค่อยมีเสียง

พูดอะไรนึกว่ามีเสียง คนไม่ได้ยินก็แปลกใจว่า ทำไมคนไม่ได้ยิน ถึงบอกเมื่อตะกี้ว่าเหมือนกลับมาจากแดนสนธยา เราพูดคนไม่ได้ยิน อันนี้เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เพราะว่าโดยมากเวลาพูดคนเขาได้ยินก็มาถามว่าเรื่องอะไร นี่ไม่มีใครถามเลย พูดบอกว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่มีใครเอาใจใส่ ก็น่าแปลกมาก..."

ป้านุช
27-09-2011, 01:13
"...เพราะว่าโดยมากเวลาพูดคนเขาได้ยินก็มาถามว่าเรื่องอะไร นี่ไม่มีใครถามเลย พูดบอกว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่มีใครเอาใจใส่ ก็น่าแปลกมาก เสร็จแล้วเวลากลับมาพูดได้ มีเสียง เสียงออกมาเป็นเสียงหนังตลุง เสียงหรือสำเนียงเป็นปักษ์ใต้ไปหมด คนเขาก็แปลกใจ แล้วก็มีความคิดแปลก ๆ เวลาพูด มีบางคนที่มาเยี่ยมก็อาจจะโกรธไปก็ได้ อาจจะน้อยใจไปก็ได้ เพราะว่าอยู่ที่สวนจิตรฯ ในห้องนั่นเอง

เขาก็ตั้งห้องนั้นเป็นห้องฉุกเฉิน ห้องไอซียู แต่ก็ได้ขู่เอาไว้ว่าถ้าไม่หาย ถ้าไม่สบายขึ้น เดี๋ยวขอย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนของมูลนิธิอีกแห่งหนึ่ง พวกที่มาเยี่ยมก็คงแปลกใจ ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลของสภากาชาด หรือของทางราชการ

แต่อยากจะไปโรงพยาบาลของมูลนิธิ ก็เกิดความคิดอย่างนั้น แล้วบางทีก็เกิดความคิดจะไปสร้างคอนโดมีเนี่ยมที่บางไทร คือมีความคิดแปลก ๆ เวลาเป็นไข้นี่ แต่ลงท้ายเวลาค่อยยังชั่วหน่อยก็มาทบทวนเรื่องราวว่าพูดถึงแผนการที่ดูมันแปลก ๆ ก็ยังยืนยันว่าจะต้องทำโครงการโน้นโครงการนี้ต่อไป

เวลานั้นมีพายุโซนร้อนเข้าก็ไม่รู้ตัวเลย เพราะว่าตอนนั้นอยู่แดนสนธยา แต่ลูกที่ ๒ ที่เข้ามาก็รู้ แล้วก็เห็นว่าน้ำมันท่วม เพราะว่าแพทย์ที่มารักษาบอกว่าออกจากบ้านไม่ได้ ต้องนั่งเรือออกจากบ้าน แล้วก็ต้องสร้างทำนบสำหรับป้องกันน้ำท่วม แล้วบางทีน้ำก็พังทำนบเข้ามาในบ้าน ก็เดือดร้อน เลยเกิดความคิดว่ากรุงเทพฯ นี้อยู่เหนือน้ำหรือใต้น้ำกันแน่

ฉะนั้นก็เลยลองคิดดูว่าวิธีที่จะทำ ทำอย่างไรดี ก็เลยได้วางแผนการในหัว แล้วก็ได้ศึกษาในเรื่องนี้ ที่จริงก็ได้ศึกษามานานแล้ว ก็ได้ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาพบแล้วก็มาพูดกัน ให้ทำแผนการเพื่อที่จะป้องกันและเพื่อที่จะแก้ไขสถานการณ์ ก็เลยพบสิ่งเดียวกันกับที่กล่าวมาเมื่อตะกี้ว่า แต่ละคนต้องทำหน้าที่ และแต่ละคนก็จะต้องช่วยกัน ร่วมกันทำและจะมีผลสำเร็จ..."

ป้านุช
27-09-2011, 23:12
"...ก็แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ได้ให้ผู้ที่มีหน้าที่และผู้ที่มีความรู้ในด้านต่าง ๆ มาร่วมกันก็เกิดผลดี ที่ทำให้น้ำที่ท่วม ที่กำลังเดือดร้อนลดลงไป ถ้าหากว่าไม่ร่วมมือกันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เป็นผลสำเร็จตามประสงค์

คือผลสำเร็จตามประสงค์นั้นนะ ไม่ใช่เรื่องว่าเราบอกว่าต้องการให้น้ำลด แล้วน้ำลดนั้นเป็นผลสำเร็จ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ผลสำเร็จก็คือประหยัด เพราะว่าถ้าน้ำท่วมอยู่นาน ๆ ก็ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ต้องเสียเงินเสียทองมาก เพราะว่าเจ็บป่วยกันบ้าง มีเจ็บไข้กันมากเพราะน้ำท่วมนี่เอง

นอกจากนั้นทรัพย์สินสิ่งของก็เสียหายไป ส่วนรวมอย่างถนนหนทางก็พังไปมาก ถ้าป้องกันและทำได้สำเร็จแม้จะต้องเสียเงินในการป้องกัน แต่ว่าเสียเงินก็คงน้อยกว่าที่จะต้องเสียเปล่าในการซ่อมแซม แต่ทุกคนก็จะต้องร่วมกันใช้ความคิด ใช้กำลังที่จะช่วยร่วมกัน อันนี้ก็เป็นความคิดที่เกิดในระหว่างที่ไม่สบาย..."

ณญาดา
29-09-2011, 10:47
ขออนุญาตป้านุชคัดลอกบทความนี้ไปลงในเว็บพลังจิต ในกระทู้เทิดพระเกียรติขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนะคะ

ป้านุช
04-10-2011, 01:01
"...เมื่อ ๑๐ วันที่ผ่านมานี้ก็ไม่ค่อยสบาย อยู่ดี ๆ ไม่ใช่จิตใจ หัวใจเดี๋ยวมันเต้นอย่าง เดี๋ยวมันหยุดเต้น แล้วบอกเต้นจังหวะต่าง ๆ มันเหมือนเด็กฮาร์ท แล้วหมอก็เป็นหมอฮาร์ท นี่ก็เลยเป็นศัพท์ใหม่ เราเป็นเด็กฮาร์ท แล้วหมอก็เป็นหมอฮาร์ท หมอเขาฟังอยู่เขารู้ว่าเป็นอย่างไร หมอที่เป็นหมอนั้นนะก็เป็นหมอฮาร์ท แต่ว่าหมอที่ไม่ใช่หมอหัวใจนั้นเป็นหมออย่างอื่น ก็เป็นหมอโนฮาร์ท

เขาก็มีการเถียงกันว่าอะไรเป็นอะไร จะทำอย่างไร ท่านประธานกรรมการก็เลยบอกพระจิต ต้องทำพระจิต คือหมายความว่าต้องใช้จิตใจ ก็จริงเหมือนกัน บางทีมันเต้นผิดปกติ ก็บอก เอ๊ะ..หัวใจนี่มันทำสำหรับเต้นให้ดี ไม่ใช่เต้นผิดปกติ มันก็เลยเต้นธรรมดา มันก็ใช้การได้เหมือนกัน

ก็หมายความว่าจิตแล้วก็ใจมันก็ต้องช่วยกัน ฉะนั้นที่พูดอย่างนี้ คำบางคำก็อาจเป็นคำกลวง แต่ว่าถ้าไปพิจารณาก็อาจจะเป็นคำที่ไม่กลวงก็ได้ ก็เลยนึกว่าถ้าถือว่าเป็นคำกลวง ก็ขอให้อย่าถือสา แต่ว่าถ้าเป็นคำที่ดีก็เอาไปคิด ถ้าทำให้สบายใจก็ขอให้สบายใจกันทุกคน..."

ป้านุช
08-10-2011, 00:48
"...คนเขาเป็นห่วง บอกว่าเป็นโรคหัวใจนี่เดี๋ยวอายุสั้น ก็ไม่เป็นไรหรอกอายุสั้น ถ้าถือว่าอายุ ๙๐ อายุสั้นมันก็อายุสั้น แต่ก็เชื่อว่าอยู่ได้ต่อไป มานึกดูอายุ ๕๕ ถ้าแต่ก่อนนี้ก็ถึงอายุปลดเกษียณแล้ว แต่ทีหลังเขาก็เลยไปเป็น ๖๐ บางทีถึง ๖๕ ก็ได้ ก็ยังมีเวลา ๖๐ อีก ๕ ปี พอดีโครงการต่าง ๆ ก็เป็นโครงการ ๕ ปี

เวลาโครงการต่าง ๆ มีผลสำเร็จก็พอดีเกษียณ พอดีเกษียณก็หมายความว่า สามารถที่จะไปได้เห็นโครงการมีความสำเร็จ คือโครงการ ๕ ปีไม่พอก็เลยเลื่อนไป บางคนเขาบอกว่าไม่ได้ อายุ ๖๐ ไม่ได้ ต้องอายุ ๘๔ ปี

ได้ไปเล่าให้แม่ฟัง สมเด็จท่านบอก ๘๔ ที่จริงก็มาก เอาสัก ๗๒ นะ แต่สมเด็จท่านก็ ๘๒ แล้ว ท่านบอกว่าแม่ก็แก่แล้วนะ มันก็ต้องเมื่อยบ้าง แต่ท่านก็ยังทำงาน แล้วท่านก็บอกว่า ๘๔ ที่จริงก็มาก ท่าน ๘๒ อีก ๒ ปี แต่เชื่อว่าต่อไป ๘๔ แล้วก็ต่อไปอีก

ไปได้ส่วนตัวทีแรกก็ ๕๕ โบราณเขาบอกว่าแก่แล้ว แต่เมื่อนึกดูอีกอย่างว่าเราทำโครงการ ๕ ปี เราไม่เอาแล้ว ๕๕ ไม่เอาแล้ว โครงการ ๕ ปีก็ไม่ไป ก็เลยต้องถือเอาตามปกติ ๖๐ ค่อยว่ากันใหม่

ป้านุช
09-10-2011, 00:35
"...ก็ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่มาให้กำลังใจ แล้วก็ให้ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติงานการอย่างดี รักษาสถานการณ์ให้ดี มีอะไรที่เบียดเบียนกัน คือมีกระทบกระทั่งอะไรกันบ้างก็ให้อภัยกัน แล้วก็ไม่ใช่ให้อภัยเพราะว่าถูกหลักของธรรมะที่จะให้อภัย แต่ให้อภัยกันมันมีประโยชน์ มันทำให้ทุกคนเจริญได้

ถ้ามัวแต่มากระทบกระทั่งกันมากเกินไป มันก็ทำให้คลอน คลอนแล้วมันหลุด หลุดแล้วก็พัง เราก็จะพลอยพังไปด้วย ฉะนั้นก็ขอให้มีกำลังกายกำลังใจกำลังสามัคคี อันนี้ที่เคยพูดอยู่เสมอ กำลังกายใจ กำลังสติปัญญา แต่ว่ายังไม่เคยพูดเรื่องกำลังสามัคคี วันนี้ก็เท่ากับอธิบายเรื่องกำลังสามัคคีเป็นอย่างไร ก็ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จความเจริญทั่วทุกคน..."

ป้านุช
09-10-2011, 23:42
๒๕
เมืองไทยอยู่ได้อย่างไร

"...บางทีเขาได้รับข่าวว่าเมืองไทยนี้กำลังปั่นป่วน
มีความเดือดร้อนอย่างยิ่ง มีกลียุค มีความแก่งแย่งกัน
มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอัปมงคล
อันนี้ก็เพราะว่าเขาไม่ทราบ เมื่อเขามาที่เมืองไทยแล้ว
เขาก็ออกปากทีเดียวว่าเมืองไทยนี่น่าอยู่..."

ป้านุช
09-10-2011, 23:54
"...ในสมัยปัจจุบันนี้ ทั่วโลกมีความปั่นป่วน เพราะเหตุการณ์ในด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจมีความปั่นป่วนมาก ย่อมทำให้เมืองไทยต้องรับความกระทบกระเทือนมิใช่น้อย แต่ทำไมเมืองไทยยังคงอยู่ไม่ปั่นป่วนมากนัก เป็นสิ่งที่ชาวต่างประเทศเขาออกปากทีเดียวว่า มาเมืองไทยเห็นว่าเมืองไทยนี้ยังอยู่ดี เขาแปลกใจ เพราะว่าอยู่ต่างประเทศหรืออยู่ในประเทศของเขา ห่างไกล เขาไม่ทราบว่าเมืองไทยอยู่ได้อย่างไร

บางทีเขาได้รับข่าวว่าเมืองไทยนี้กำลังปั่นป่วน มีความเดือดร้อนอย่างยิ่ง มีกลียุค มีความแก่งแย่งกัน มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอัปมงคล อันนี้ก็เพราะว่าเขาไม่ทราบ เมื่อเขามาที่เมืองไทยแล้วเขาก็ออกปากทีเดียวว่า เมืองไทยนี่น่าอยู่ เมืองไทยนี่คนมีความเสียสละ คนต้อนรับต่างประเทศยิ้มแย้มแจ่มใส คนไทยมีความขยันหมั่นเพียรในการงาน

ข้อเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราเองจะต้องทราบ เพราะบางทีพวกเราเองไปฟังต่างประเทศ นึกว่าข่าวใด ๆ ที่เขาไปปลุกปั่นต่างประเทศ แล้วก็กลับเข้ามาในเมืองไทยเป็นความจริง ไม่เชื่อสิ่งที่ตนเห็นด้วยตาของตนเอง ก็เท่ากับหลอกตัวเองหรือไม่ไว้ใจตัวเอง..."

ป้านุช
10-10-2011, 23:42
๒๖
ไทยสร้างชาติ

"...การสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทอง
หรือการช่วยตัวเองในปัจจุบันนี้
เห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสงบให้เกิดขึ้นก่อนโดยเร็ว
เพราะถ้าความสงบยังไม่เกิด เราจะคิดอ่านแก้ปัญหา
หรือจะรวมกำลังกันทำการงานช่วยตัวเองไม่ได้..."

ป้านุช
10-10-2011, 23:57
"...คนไทยได้สร้างความเจริญมั่นคงทุกอย่างในแผ่นดินขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน เราก็จะต้องช่วยตัวเองต่อไปด้วยกำลังของเรา การสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทองหรือการช่วยตัวเองในปัจจุบันนี้ เห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสงบให้เกิดขึ้นก่อนโดยเร็ว

เพราะถ้าความสงบยังไม่เกิด เราจะคิดอ่านแก้ปัญหาหรือจะรวมกำลังกันทำการงานช่วยตัวเองไม่ได้ ความสงบนั้นภายนอกได้แก่สภาวการณ์ที่เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่มีความวุ่นวายขัดแย้ง ไม่มีการเอาเปรียบเบียดเบียนหรือมุ่งร้ายทำลายกัน

ภายในได้แก่ความคิดจิตใจที่ไม่ฟุ้งซ่านหวั่นไหว หรือเดือดร้อนกระวนกระวาย ด้วยอำนาจความมักได้เห็นแก่ตัว ความร้ายกาจเพ่งโทษ ความหลงใหลเห่อเหิม อันเป็นต้นเหตุของอกุศลทุจริตทั้งหมด..."

ป้านุช
11-10-2011, 23:43
"...การทำความสงบนั้นต้องเริ่มที่ภายในตัวในใจก่อน เมื่อภายในสงบ ความคิดจิตใจก็ตั้งมั่น สามารถคิดอ่านด้วยเหตุผลความละเอียดรอบคอบ และสามารถค้นหาจำแนกข้อเท็จจริง ถูกผิด ดีชั่วได้โดยกระจ่างและถูกต้อง จึงเกื้อกูลให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีที่งามตามแนวทางที่สุจริตเหมาะสมได้

และย่อมจะส่งผลสะท้อนถึงภายนอกให้มีความปรกติเรียบร้อยด้วย อีกข้อหนึ่งจะต้องตั้งสัจจะให้มั่นคง ที่จะขวนขวายประกอบแต่กิจการงานซึ่งเป็นประโยชน์และถูกต้องเป็นธรรม งดเว้นหลีกห่างจากสิ่งทุจริตชั่วร้าย ปราศจากประโยชน์อย่างเด็ดขาด พร้อมกับพยายามเร่งรัดปฏิบัติงานประสานกับผู้อื่นโดยเต็มกำลังความรู้และสติปัญญา ให้สัมฤทธิ์ประโยชน์อันเป็นเป้าหมายโดยสมบูรณ์ ทำได้ดังนี้คนไทยก็จะสามารถร่วมกันทำแผ่นดินไทยให้สงบผาสุกและเจริญก้าวหน้าต่อไปด้วยความสวัสดีทุกเมื่อ..."

ป้านุช
13-10-2011, 23:29
๒๗

"...ที่เรียกว่าคุณสมิทธิฯ เพราะว่าถ้าเขาลอยในสระในทิศทางหนึ่ง
แปลว่าลมมันเปลี่ยนทิศ
เมื่อลมเปลี่ยนทิศแล้วก็จะรู้ว่า
อากาศจะมีฝนหรืออากาศจะมีลมหรืออากาศจะแห้ง
อาจจะเคยฉงนว่า
ทำไมพยากรณ์อากาศได้อย่างแม่นยำ..."

ป้านุช
13-10-2011, 23:53
"...เมื่อห้าปี ได้เล่าเรื่องนกในสวนจิตรฯ นี้ ก็ขอแจ้งว่าเมื่อห้าปีมีนกกระทุงหนึ่งตัว แล้วซื้อใหม่อีกสามตัวเป็นสี่ นกพวกนี้เขาก็มีลูกมีเต้า และก็ไปเชิญชวนเพื่อนฝูงมา มีวันหนึ่งนับได้ ๑๕ ตัว ก็หมายความว่าเขาคงมีความสุข แต่วันนี้ ในสระนี้เหลือลอยอยู่ตัวเดียว ลอยอยู่ตัวเดียวนี้เพราะตัวอื่นคงไปเยี่ยมญาติ (เสียงหัวเราะ) หรืออาจจะตั้งครอบครัวขึ้นมาใหม่ ก็ต้องดูแลครอบครัว

ตัวที่เหลืออยู่นี้ เราให้ชื่อว่าคุณสมิทธิฯ และในที่ประชุมนี้ก็มีคุณสมิทธิฯ สองคน เขามาเดี่ยว ๆ คุณสมิทธิฯ คนหนึ่งมาคนเดียว คุณสมิทธิฯ อีกคนก็มาคนเดียว คนอื่นอาจจะไม่ทราบว่าคุณสมิทธิฯ คือใคร แต่คุณสมิทธิฯ เองรู้ว่าเป็นใคร

คุณสมิทธิฯ นี้ที่เรียกว่าคุณสมิทธิฯ เพราะว่าถ้าเขาลอยในสระ ในทิศทางหนึ่งแปลว่าลมมันเปลี่ยนทิศ เมื่อลมเปลี่ยนทิศแล้วก็จะรู้ว่าอากาศจะมีฝน หรืออากาศจะมีลม หรืออากาศจะแห้ง อาจจะเคยฉงนว่าทำไมพยากรณ์อากาศได้อย่างแม่นยำ

ก็เพราะว่ามีคุณสมิทธิฯ นี่เอง คุณสมิทธิฯ ตัวจริงพยากรณ์และคุณสมิทธิฯ นกกระทุงนี่เขาก็พยากรณ์ ก็มาประกอบกัน จนกระทั่งทราบว่าอากาศทางอุตุนิยมฯ จะเป็นอย่างไร แล้วคุณสมิทธิฯ เอง ก็เคยฉงนว่าทำไมพยากรณ์ได้แม่นยำนัก

เราไม่ได้บอกคุณสมิทธิฯ ตัวจริงว่ามีคุณสมิทธิฯ นกกระทุง เพราะว่าไม่กล้า แต่เดี๋ยวนี้คุณสมิทธิฯ ตัวจริง พ้นหน้าที่อธิบดีกรมอุตุนิยมฯ แล้ว จึงพูดได้ (เสียงหัวเราะ) ว่าคุณสมิทธิฯ ที่เหลือตัวเดียวเป็นผู้พยากรณ์อากาศ และนอกจากนี้ก็ได้รับความช่วยเหลือจาก"นางมณีเมขลา"ด้วย เรื่องนี้ก็เป็นที่ฉงนของคุณสมิทธิฯ ตัวจริง..."

ป้านุช
20-10-2011, 01:26
๒๘
เรื่องไปต่างประเทศ

"...เวลาออกจากประเทศไปทีไร แม้จะไปวันเดียวตามกฎหมายก็จะต้องมีผู้สำเร็จราชการ
มิฉะนั้นก็ผิดกฎหมาย ก็มีการโกลาหลยุ่งยากหลายอย่าง
ไม่นับถึงความสิ้นเปลืองก็มาก ผลที่จะได้มาอาจไม่คุ้มผลที่จะต้องเสีย
ฉะนั้นก็คิดรอบคอบแล้วไม่ไปดีกว่า..."

ป้านุช
26-10-2011, 00:51
"...เรื่องไปต่างประเทศนั้น ไม่ใช่ในยุโรปหรือในประเทศที่เคยไปเท่านั้นเอง แต่ว่าในประเทศทั่วไปทั่วโลกทุกทวีปและประเทศที่ยังไม่เคยไปก็มาเชิญ จนกระทั่งบางประเทศ ผู้ใหญ่ของประเทศนั้น ๆ มา แล้วก็มาทราบดีว่าไม่ไป ก็บอกว่าถ้าไม่ไปก็ให้ลูกไป ถ้าไม่ให้ลูกไปก็ให้พี่ไป ไม่ให้พี่ไปก็ให้แม่ไป

อันนี้เขาเหมือนว่าทราบแล้วว่าไม่ไป เหตุผลในการไม่ไปนั้นมีง่าย ๆ ว่าเหนื่อย อันนี้เป็นคำตอบอย่างหนึ่งซึ่งอาจไม่เป็นคำตอบที่ถูกต้องนัก เพราะว่าทุกคนก็เหนื่อย แต่ว่าคิดดูการไปอย่างนั้นเราได้ไปแล้วก็หลายประเทศหลายทวีปอยู่ ถ้าไปก็คงได้ประโยชน์บ้าง

แต่ว่าอย่างที่ทูตได้ตอบถูกต้องว่าภารกิจในเมืองไทยก็มีมาก รวมทั้งสุขภาพอนามัยก็อาจด้อยลงไป ตั้งแต่ที่ไม่สบายมาใหญ่ ๆ ๒ ครั้ง มันทอนกำลังลงไป ซึ่งถ้าสังเกตดูว่าโดยเฉพาะตอนหลังนี้อาจไปน้อยกว่าที่เคยไป แล้วไปอาจไม่สมบุกสมบันเท่าแต่ก่อนนั้นนัก เพราะว่านึกดูว่าถ้าหากไปต่างประเทศเขาก็พูดถึง ๒ อย่าง ไปต่างประเทศสำหรับไปเจริญสัมพันธไมตรีอย่างหนึ่ง และไปต่างประเทศสำหรับไปพักผ่อนไปเที่ยว..."

ป้านุช
29-10-2011, 21:22
"ในเรื่องที่สองนี้ไปเที่ยว ก็ได้เห็นแล้วว่าการไปเที่ยวต่างประเทศมันไม่ได้ไปเที่ยว ไปแล้วก็ต้องมีการรับแขกหรือถูกรับแขก คือว่าเราก็กลายเป็นแขกไป เขาต้องดูแล ถ้าเขาไม่ดูแลเขาก็กลัวว่าคนไทยนี่เองจะว่า เขาต้องดูแลเรา เมื่อเขาดูแลเราเราก็เหนื่อยยิ่งขึ้น มันก็เลยทำให้ไม่ได้ไปพักผ่อน อันนี้ก็คงเข้าใจหมายความว่าอะไร คราวนี้ไปในด้านไปเจริญสัมพันธไมตรี ก็เข้าใจว่าจะมีประโยชน์บ้าง แต่ว่ามีทูตานุทูต แล้วก็มีคนจะไป ก็อาจเจริญสัมพันธไมตรีได้ดีเหมือนกันเท่า ๆ กัน

ข้อขัดข้องอย่างหนึ่งที่สำคัญ ก็คือเวลาออกจากประเทศไปทีไร แม้จะไปวันเดียวตามกฎหมายก็จะต้องมีผู้สำเร็จราชการ มิฉะนั้นก็ผิดกฎหมาย ก็มีการโกลาหลยุ่งยากหลายอย่าง ไม่นับถึงความสิ้นเปลืองก็มาก ผลที่จะได้มาอาจไม่คุ้มผลที่จะต้องเสีย ฉะนั้นก็คิดรอบคอบแล้วไม่ไปดีกว่า เป็นฤๅษีอยู่ในประเทศดีกว่า

ความจริงว่าเป็นฤๅษีก็ไม่ใช่ฤๅษีเพราะอยู่สบาย ๆ อยู่ในประเทศ แล้วก็ถ้าหากว่ามีปัญหาที่ไหนได้ดูแล้วไปเยี่ยม มันก็ได้ผล แต่ถ้าหากว่าออกไปจากประเทศแม้จะในเวลาไม่นานนัก ทำให้งานที่ทำนั้นมันถอยหลัง คล้าย ๆ ว่าคนเราถ้าทำงานทุกวัน ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ มันก็ทำงานได้สบาย แต่ถ้าหากว่าเกิดพักหรือบอกว่า ๗ วันนี้ไม่ทำงานเลย กลับมาทำงานมันเหนื่อยยิ่งขึ้นมากกว่า ๒ เท่า

ก็เลยนึกว่าทำวันละเล็กละน้อยแล้วก็ค่อย ๆ ทำไปมันดีกว่า ก็เป็นกระต่าย ก็ทำเหมือนกระต่าย คือว่าแข่งกับเต่านี้ไม่สำเร็จ เพราะว่ากระต่ายรู้สึกเปรียวมาก มีกำลังมาก มีความเร็วมากก็ไปนอนพักเสีย กระต่ายเลยแพ้เต่า อันนี้เราไม่อยากแพ้เต่า แล้วเราก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน หมายความว่าไปเรื่อย ๆ เดินสบาย ๆ ให้อยู่ข้างหน้าเต่าตลอดเวลาก็ชนะแล้ว ถ้าหากว่าเรานอนหลับ แล้วเต่าก็เดินเตาะแตะ ๆ ไปชนะเราก็เป็นได้..."

ป้านุช
01-11-2011, 00:40
๒๙
พึ่งตนเอง

"...คนเราถ้าอยากได้อะไรอยากทำอะไร ต้องพึ่งตัวเองต้องอาศัยตัวเอง
มิใช่ว่าจะไปพึ่งคนอื่นเท่านั้น เราก็ต้องพึ่งคนที่น่าพึ่ง
แต่ว่าคนเราทุกคนจะต้องพึ่งตัวเอง
เพื่อจะได้รับสิ่งที่ดีตามผลที่ว่าเราทำอะไรก็รับผลของกรรมนั้น..."

ป้านุช
01-11-2011, 01:05
"...คนเราถ้าอยากได้อะไรอยากทำอะไร ต้องพึ่งตัวเองต้องอาศัยตัวเอง มิใช่ว่าจะไปพึ่งคนอื่นเท่านั้น เราก็ต้องพึ่งคนที่น่าพึ่ง
แต่ว่าคนเราทุกคนจะต้องพึ่งตัวเอง เพื่อจะได้รับสิ่งที่ดีตามผลที่ว่าเราทำอะไรก็รับผลของกรรมนั้น ถ้าเราทำกรรมดีเราก็เจริญได้ เราก็มีทางที่จะมีอนาคตที่แจ่มใส

ความจริงอนาคตของเราก็อยู่ที่ปัจจุบันที่เราทำอยู่นี้ ถ้าเราทำปัจจุบันให้ดีอนาคตก็คงดี ถ้าเราละเลยไม่ทำอะไรเลยข้างหน้าก็คงไม่มีอะไรเลย เดี๋ยวนี้ถ้าเราสบายก็หมายความว่าเรามีบุญ มีบุญเก่า ความจริงบุญเก่านี้ก็อาจจะหมดไปได้

ฉะนั้นถ้าต้องการให้มีอนาคตที่แจ่มใส ก็ทำอะไรที่มีทางที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมา แน่นอนว่าเราก็จะแจ่มใส ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ก็เลยเห็นว่าเป็นกฎที่แน่นอนว่าต้องอาศัยตนเอง แต่มิใช่ว่าเราทำดีแล้วทำไมเรามีทุกข์ ไม่สบายใจ ไม่สบายกาย ก็เพราะว่าแต่ก่อนนี้เราไม่ได้ทำ ไม่ได้เตรียม ไม่ได้ทำในทางที่ขยันหมั่นเพียรอดทน ก็มีผลให้ปัจจุบันนี้มีทุกข์บ้าง แต่ว่าถ้าเราขยันหมั่นเพียรอดทนในปัจจุบัน อนาคตไม่มีปัญหา..."

ป้านุช
03-11-2011, 22:14
๓๐
ประโยชน์นอกตำรา

"...เจ้าหน้าที่ได้มาสารภาพทีหลังว่า
นึกว่าไม่มีทางแล้ว เขื่อนนี้ต้องพังแน่
จนกระทั่งได้มีการอนุมัติให้ระเบิดเขื่อน
เพื่อที่น้ำจะลดโดยเร็ว
ซึ่งในที่สุด ถ้าระเบิดเขื่อน
ผลก็จะมีว่าน้ำจะท่วมฉับพลันลงไปตลอดลำน้ำมูล..."

ป้านุช
05-11-2011, 01:00
"...มีเรื่องว่าที่ตื่นเต้นกันเมื่อฝนตกลงมาแล้วก็ลงในอ่างเก็บน้ำเขื่อนมูลบน ทำให้เขื่อนนั้นชำรุด และทำให้เกิดการกลัวได้ว่าหมู่บ้านต่าง ๆ จะถูกน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งอาจเป็นได้ เขื่อนมูลบนนั้นได้รับน้ำภายในไม่กี่วัน รับน้ำจำนวนมาก คือจากที่มีอยู่ในเขื่อนประมาณ ๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร จนกระทั่งเต็มขึ้นมาเกือบเต็มเขื่อนได้ถึง ๑๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร หมายความว่าในเวลาไม่กี่วันมีน้ำลงมา ๙๐ ล้านลูกบาศก์เมตร

ซึ่งก็น่าจะยินดี เพราะว่าสามารถที่จะไปใช้ประโยชน์เพาะปลูกในหน้าแล้งสำหรับพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นมา ที่จริงก็แปลกเพราะมีเขื่อนที่อยู่ห่างไม่มากนักคือเขื่อนลำนางรอง ซึ่งจุได้ ๑๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อฝนลงหนักนั้นก็ได้รับน้ำเพิ่มเติมเพียงประมาณ ๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร

ซึ่งก็น่าเสียดายถ้า ๙๐ ล้านลูกบาศก์เมตรที่ลงมาในเขื่อนมูลบน ไปลงในเขื่อนลำนางรองนั้น ก็คงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ..."

ป้านุช
09-11-2011, 23:21
"...เมื่อเขื่อนลำมูลบนนั้นชำรุดก็จะต้องช่วยกัน เจ้าหน้าที่ได้มาสารภาพทีหลังว่านึกว่าไม่มีทางแล้ว เขื่อนนี้ต้องพังแน่ จนกระทั่งได้มีการอนุมัติให้ระเบิดเขื่อนเพื่อที่จะให้ลดน้ำโดยเร็ว ซึ่งในที่สุดถ้าระเบิดเขื่อน ผลก็จะมีว่าน้ำจะท่วมฉับพลันลงไปตลอดลำน้ำมูล แต่นายช่างเหล่านั้นก็ได้ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ และทุกฝ่ายก็ได้ช่วย ฝ่ายช่างที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือชลประทาน แล้วก็ช่างในส่วนต่าง ๆ ที่มีเครื่องมือเช่นสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ทางฝ่ายกองทัพภาคที่ ๒ และบริษัทต่าง ๆ ได้เข้ามาช่วยอย่างเข้มแข็ง ทั้งให้เครื่องมือเครื่องใช้และเจ้าหน้าที่มาช่วยระดมกันอย่างเข้มแข็งและไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และน้ำที่มีอยู่ในเขื่อนเวลานั้น ๑๓๐ ล้านก็ลดลงมาถึงประมาณ ๖๗ ล้าน ซึ่งอยู่ในระดับที่ปลอดภัย และก็ยังใช้ได้ในฤดูกาลหน้าแล้งนี้เพื่อช่วยการเพาะปลูก ฉะนั้นก็ไม่เสียหมดและหลังจากนั้นก็จะต้องซ่อม

การที่ผู้ที่ทำงานป้องกันไม่ให้เขื่อนพังนั้น ได้ทำด้วยความเสียสละ ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนและเสี่ยงต่ออันตรายมาก เพราะว่าบางคนไปอยู่ในที่ที่ถ้าสมมุติเขื่อนยุบลงไป ซึ่งก็มีการยุบลงไปบ้าง ถ้ายุบอย่างรุนแรงก็มีหวังถูกทับ ถูกดินทับหรือถูกน้ำพัดไปตายก็ได้ แต่ว่าเขาก็เข้มแข็งก็ยินดีที่จะสละเพื่อที่จะไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ยิ่งกว่านี้ แล้วก็เป็นผลสำเร็จ ทุกคนก็ย่อมต้องได้รับคำชมเชยในการทำงานครั้งนี้..."

ป้านุช
09-11-2011, 23:39
"...ตามหลักวิชานั้นต้องปล่อยให้เขื่อนพัง หลักวิชาจริง ๆ ปล่อยให้เขื่อนพังดีกว่าที่จะเสี่ยงชีวิตเสียเงินเสียทองในการถม จำไม่ได้ว่าถุงทรายที่โยนลงไปในรูนั่นนะกี่ถุง นั่นนะไม่ถูกหลักวิชาเลยแต่ก็ทำ ลงท้ายก็ได้ผล ถ้าทำตามหลักวิชาปล่อยให้เขื่อนพังดีกว่า แต่ว่านึกดูถ้ารอบคอบจริง ๆ หลักวิชาในการปล่อยให้เขื่อนพังนั่นนะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถุงกี่พันกี่หมื่นกี่แสนถุงนั่นนะทิ้งลงไป แล้วก็ไม่ต้องเสียค่าเครื่องจักร แล้วก็ไม่ต้องเสี่ยงชีวิต

แต่ในที่สุดถ้าปล่อยให้พังมีความแน่นอนอย่างหนึ่งก็คือ หมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ตามเส้นทางของน้ำที่จะลงจากเขื่อนนั้นถูกทำลายแน่นอน เสียเท่าไหร่อันนี้ไม่ได้คิด แต่หลักวิชาสำหรับเรื่องเขื่อนเฉพาะเขื่อนนั่นนะปล่อยให้พัง แต่หลักวิชาของการป้องกันภัยอันตรายต่อหมู่บ้านและต่อประชาชนนั้นไม่พูดถึง

ฉะนั้นถ้าถูกหลักวิชาส่วนเดียว อีกส่วนช่างมัน ไม่ได้ ฉะนั้นก็ต้องทำอะไรตามที่ควร ก็ค่อยทำไป แล้วคราวนี้ก็เป็นผลสำเร็จดี เสียเงินเสียค่าป้องกันค่าปฏิบัตินี้ก็มากไม่ใช่น้อย แต่ก็เอาละได้ผล ในที่สุดไม่ต้องเสียชีวิตและเสียทรัพย์สินของชาวบ้านเป็นอันมาก รวมแล้วก็คงได้ดีกว่าที่จะทำตามหลักวิชา..."

ป้านุช
11-11-2011, 19:43
๓๑
การเห็นจิต

"...บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกจิตคืออะไร ก็คือไม่เห็น
คือเขาบอกว่าเขาเรียกว่าจิตใจ บางคนก็นึกว่าอยู่ที่หัวใจบ้าง
หรือคนสมัยใหม่ก็อาจจะบอกอยู่ที่สมอง เป็นจิต เป็นตัวเรา
ที่อยู่ที่ไหนก็ตาม จิตนี้เราจะมองเห็นได้
ถ้าเราทำจิตใจนี้ให้ผ่องใส..."

ป้านุช
11-11-2011, 20:20
"...คำว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้หมายความไปจนถึงไปเข้าวัดฟังธรรม เขาเรียกกันว่าไปนั่งสมาธิ แต่บางทีก็เข้าใจกันไม่ดีว่าการปฏิบัติดีชอบมีอย่างไร มีหลายขั้น ปฏิบัติดีชอบธรรมดานั้นสำคัญ คือแต่ละคนก็มีอาชีพการงาน หรืออย่างเวลาอายุยังน้อย ๆ ก็มีหน้าที่ที่จะเรียนหนังสือให้มาก ต่อมาก็มีหน้าที่ที่จะทำมาหากิน ตั้งแต่ขั้นที่จะปฏิบัติงานคือขั้นที่เป็นงานการที่ไม่ใหญ่โตนัก

ต่อมาก็ได้ความชำนาญ อันนี้ปฏิบัติดีชอบ ก็มีอีกอย่างหนึ่งถึงขั้นสูงอย่างบวชเป็นพระ หรือเข้าไปเล่าเรียนในวัด ปฏิบัติธรรมะทุกขั้นต้องเป็นการไม่ใช่ว่าสูง ชั้นสูง ขึ้นชั้นสูง ไม่เชิงว่าสูงขึ้น แต่ว่ามีหน้าที่ต่างกัน แต่ที่สำคัญมากก็คือ เวลาเราปฏิบัติงานการต่าง ๆ มีหน้าที่งาน จะเป็นงานที่เรียกว่างานส่วนตัว ทำมาหากินทางการค้า หรืองานทำมาหากินแบบเป็นครูหรือเป็นข้าราชการ ก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ต้องทำสิ่งที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น อันนี้เป็นพื้นฐาน

ถ้าหากทำงานในพื้นฐานหรือทำงานในด้านที่จะขัดเกลาจิตใจเหมือนกัน ข้อสำคัญคนเราทุกคนมีที่เรียกว่าจิต บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกจิตคืออะไร ก็คือไม่เห็น คือเขาบอกว่าเขาเรียกว่าจิตใจ บางคนก็นึกว่าอยู่ที่หัวใจบ้าง หรือคนสมัยใหม่ก็อาจจะบอกอยู่ที่สมอง เป็นจิต เป็นตัวเรา ที่อยู่ที่ไหนก็ตาม จิตนี้เราจะมองเห็นได้ ถ้าเราทำจิตใจนี้ให้ผ่องใส

เมื่อทำจิตใจให้ผ่องใสก็เห็น เห็นจิต ตามธรรมดานั้นพูดถึงว่าจิตนี่ก็เป็นสิ่งที่จะดูยาก ที่จิตดูยากเพราะว่าจิตที่อยู่นิ่ง ๆ ก็จะไม่เห็น อย่างเราดูอากาศหรือดูน้ำ มันไม่ค่อยเห็น อย่างในห้องนี้เราดูอากาศเห็นหรือเปล่า ก็ไม่เห็น

แต่ว่าถ้าเราดูไปทางหน้าต่างเห็นสีฟ้า มันก็เป็นลักษณะอากาศ อากาศมีสีฟ้าก็เห็น แต่เห็นยาก จิตนี้ก็เหมือนกันเห็นยาก แต่ถ้าดูฟ้าหรือดูข้างนอกเราเห็นเมฆ เมฆมันลอยไป เมฆมันลอยไปทำไม ก็เพราะว่าอากาศมันเคลื่อน แต่เราเห็นเมฆนั้นมันเป็นเมฆ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่อากาศ จิตเหมือนกันถ้าเราอยู่เฉย ๆ มันไม่เห็น แต่ถ้าสมมุติว่าเรามองเห็น ดูอะไรเราชอบใจ จะเห็นว่าจิตผ่องใส อันนี้เป็นวิธีที่จะดูจิต อันนี้เป็นวิธีที่จะทำให้สามารถรู้จักจิต..."

ป้านุช
15-11-2011, 00:09
"...เมื่อรู้จักจิตแล้วควบคุมจิตให้ทำดีชอบ จะดีชอบในด้านไหนก็ได้ ทำงานทำการก็ต้องทำให้ดีชอบ ทำมาหากินโดยสุจริต ก็หมายความว่าไม่ทุจริต ก็ต้องดูจิตว่าเรามีความทุจริตหรือไม่

แม้จะอ่านหนังสือหรือดูหนังสือเพื่ออ่านเล่นหรืออ่านให้เกิดความรู้ก็ดี ให้จิตนี้ต้องอ่าน ถ้าจิตมันฟุ้งซ่านไปที่ไหนอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่ดี อย่างพวกที่อ่านหนังสือสำหรับสอบ ไปเรียนหนังสือแล้วก็ไปสอบ ถ้าอ่านหนังสือโดยที่จิตไม่ใส ก็อ่านไม่รู้เรื่อง จำอะไรก็ไม่ได้ ก็สอบไม่ได้ ไม่สำเร็จ

ทำงานทำการมีงานก็เช่นกัน จิตเราไม่ผ่องใสงานนั้นไม่สำเร็จ เพราะว่าคิดไม่ออก ฉะนั้น ก่อนที่จะทำงานการใดก็ต้องมีจิตที่ผ่องใส จิตที่ผ่องใสนี่หมายความว่า ให้ตัวจิตเองหรือตัวเราเองรู้ว่าเราคิดอะไร รู้ว่าเรามีงานอะไรจะต้องทำ แม้ในสิ่งที่ง่าย ๆ อย่างเช่นท่านทั้งหลายมาที่นี่ต้องเดินขึ้นมา นั่งรถมา แล้วก็เดินขึ้นมาทางบันไดแล้วก็เดินเข้ามาในห้องนี้

ถ้าจิตไม่อยู่ที่จิตไม่รู้เรื่อง เดินก็ไม่เห็นอะไร ไม่เห็นว่าอะไรเป็นประตู อะไรเป็นฝา เดินไปก็ชนฝา อันนี้เป็นความจริง ฉะนั้นเรามีตาที่จะเห็น มีเท้าที่จะเดิน เราเห็นตรงนี้เป็นช่องประตูที่ควรจะเดินเข้าก็เดินเข้ามา ก็เข้ามาโดยสวัสดิภาพ มานั่งที่ที่เหมาะสมที่หาไว้ อันนี้ก็เป็นงานอย่างหนึ่ง เป็นงานอย่างง่าย ๆ ..."

ป้านุช
21-11-2011, 00:28
"...แต่ว่าถ้าไม่มีจิตหรือไม่ควบคุมจิต จิตไม่ผ่องใสพอสมควรก็จะไม่สำเร็จ เดินขึ้นมาก็ไม่ถึงที่นี่ ถ้าใครมาบอกว่าขึ้นไปตรงนั้นแล้วก็เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย ไม่ทำตามหรือจิตไม่อยู่กับหลัก ฟังเขาพูดแล้วไม่ได้ยิน หมายความว่าจะเห็นอะไรหรือฟังอะไรต้องใช้จิตที่ผ่องใส ที่มีความที่เรียกว่าสงบพอสมควรที่จะรับสิ่งใดหรือทำอะไร อันนี้เวลาไปเรียนรู้ไปฟังธรรมที่วัด ท่านก็บอกว่าต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีศีลนี่ก็หมายความว่าปฏิบัติให้ถูกต้อง แต่มีสมาธินี่ก็คือจิตที่เราตั้งให้ผ่องใส แล้วปัญญาก็คงจะเกิด ก็จะรู้ว่าทำอะไรขั้นต่าง ๆ ต้องมีในระดับต่าง ๆ ในระดับชีวิตประจำวัน ในระดับที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ..."

ป้านุช
24-11-2011, 00:57
๓๒
จิตที่ผ่องใส

"...บางทีเมื่อจิตเราเจออะไรที่น่าดีใจ
บางทีก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
หรืออย่างน้อยก็มีการยิ้มหรือหัวร่อ
ถ้าหากว่าเจออะไรที่ไม่พอใจหน้าจะบึ้ง
แล้วก็จะแสดงออกมาเป็นคำว่าเขา หรืออะไรทันที
ทำไมเป็นอย่างนั้น..."

ป้านุช
24-11-2011, 01:12
"...การฝึกจิตใจให้ผ่องใสแล้วก็จะสามารถที่จะสำเร็จในงานการที่มีอยู่ขณะนี้ แล้วก็มีความก้าวหน้า เพราะว่าทำสิ่งที่ดีที่งามที่ดีที่ชอบก็ต้องประสบความดี กรรมดีก็สนองด้วย แล้วก็มีความก้าวหน้า

ในเวลาเดียวกันบางคนก้าวหน้ารวยมาก ร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากแต่ไม่มีความสุขเลย เพราะว่าทำจิตไม่ผ่องใส บางทีคนก็เก่ง ทำงานทำการเก่ง แล้วก็ทำมาหากินได้เงินได้ทองเยอะแยะ

แต่ว่าในเวลาเดียวกันเมื่อได้เงินได้ทองมาแล้วไม่มีความสุข มีบางคนที่บอกว่า โอ๊ย...เงินทองเยอะแยะไม่รู้จะไปใช้อะไร น่าแปลกว่าคนมีเงินมีทองมากไม่รู้ว่าจะไปใช้อะไร อันนี้ก็หมายความว่าเขาไม่ได้มีความสุข

แต่ว่าผู้ที่ทำงานทำการมีเงินมีทองได้ มีฐานะดีขึ้น ในเวลาเดียวกันสามารถที่จะใช้เงินทองในทางที่ดีที่งามแล้วก็ทำให้เกิดความสุข ผู้นั้นนะเป็นผู้โชคดีจริง ๆ ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีความสำเร็จจริง ๆ

อย่างที่เคยบอกกับท่านว่าเมื่อเข้าวัดเอาดอกไม้ไป จะเป็นดอกไม้ก็ตาม เป็นดอกไม้ใส่ในแจกันก็ตาม ไปวางที่พระพุทธรูป เห็นสวยงามจัดการให้ดี นั้นนะเป็นการบูชาพระ เราเป็นผู้ที่ผ่องใส เราจะเป็นผู้ที่กำลังมีความสุข เพราะแม้แต่ดอกไม้ดอกเดียวซึ่งไม่มีราคาค่างวดมากนัก แต่ว่าเป็นความสุขมากถ้าทำด้วยจิตใจที่ผ่องใส จิตใจที่ดีมีศรัทธาเลื่อมใส..."

ป้านุช
07-12-2011, 00:33
"...ถ้าหากว่าเรามีเงินมากขึ้นเราก็ไปทำบุญเพิ่มขึ้น ทำบุญด้วยจิตใจที่เป็นกุศลแท้ก็ทำให้เกิดความสุข นี่เป็นกุศลที่แน่นอน อย่างเช่นครั้งพุทธกาล ผู้ที่จนมากได้ร่วมกุศลกับเศรษฐี เศรษฐีก็ใช้เงินเป็นจำนวนถ้าอย่างสมัยนี้ก็เป็นล้านบาท ส่วนผู้ที่จนนั้นนะก็ไปหาเงินมาได้ มาถ้าสมัยนี้ก็เรียกว่าห้าบาทหรือสิบบาท ไม่มากนัก

แต่ว่าห้าบาทกับสิบบาทเปรียบกับล้านบาทเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามในสมัยพุทธกาลนั้น ผู้ที่ทำบุญเล็กน้อยได้ผลบุญมากก็มี ท่านว่ากันว่าเทวดาบนสวรรค์ท่านแซ่ซ้องจนกระทั่งฟังเสียงได้ ว่าผู้ที่จนนั่นนะให้หมดทั้งหมด แล้วเทวดาก็แซ่ซ้อง หมายความว่าผู้ที่ทำบุญด้วยจิตใจที่อิ่มใจได้บุญมาก

จิตใจที่อิ่มใจนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะทำอย่างไรให้จิตใจอิ่มใจ ก็ต้องทำอย่างที่ว่า ต้องพยายามที่จะมองดูให้เห็นจิตของตน ถ้ามองด้วยตาเห็นอะไรก็เอามา จิตเรารู้เท่านั้นเองเราจะเห็นจิต..."

ป้านุช
07-12-2011, 22:59
"...เห็นอะไรที่น่าพอใจ แล้วก็เห็นว่าจิตนี้ฟู ฟูขึ้นมา ดีใจขึ้นมาจะเห็นจิตว่าดีใจ จิตนั้นนะคล้าย ๆ เต้นได้ ถ้ามีอะไรเข้ามาไม่พอใจจิตนั้นก็จะเต้นได้เหมือนกัน เต้นเร่า ๆ รู้สึก แล้วบางทีเมื่อจิตเราเจออะไรที่น่าดีใจ บางทีก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ หรืออย่างน้อยก็มีการยิ้มหรือหัวร่อ

ถ้าหากว่าเจออะไรที่ไม่พอใจหน้าจะบึ้งแล้วก็จะแสดงออกมาเป็นคำว่าเขาหรืออะไรทันที ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าสิ่งที่เข้ามากระทบจิตของเรา จิตของเรานั้นต้องมีปฏิกิริยา แล้วจะเห็นได้หากว่าเราตั้งใจจริง แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจจริงก็จะไม่เห็น เมื่อไม่เห็นแล้วก็ผ่านไป ผ่านไปโดยที่ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเราเห็นจิตเรามีอาการอย่างไร ก็จะทราบ จะควบคุมได้ เมื่อควบคุมได้แล้วจะทำอะไรสักอย่าง จะมีผลที่สำเร็จดีแน่มากขึ้น มากกว่าเดิม เพราะว่าจะไม่ประสบอันตราย จะมีความปลอดภัยมากกว่า เราเรียกว่าไม่ประมาท..."

ป้านุช
15-12-2011, 00:37
๓๓
คอมพิวเตอร์

"...แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปถึงขั้นประถมก็มีความรู้มาก
และความรู้มากนี้ก็ยังกลัวเหมือนกัน
เพราะว่าเมื่อมีความรู้มากก็มีวิชาการเท่านั้นเอง
แต่ว่าวิชาการนั้นเอามาใช้ทำอะไรก็ไม่ทราบ
เพราะว่าบางทีแม้ว่าความคิดในทางศีลธรรมจรรยาก็ไม่มี
เขาไม่สอนแล้วเพราะว่าเป็นวิชาการที่ไม่ใช่วิชา..."

ป้านุช
15-12-2011, 00:52
"...ผู้ใหญ่เดี๋ยวนี้ที่ว่าอายุห้าสิบหกสิบ มองเด็กที่อายุสัก ๑๐ ขวบในปัจจุบันนี้ โดยมากมองดูแล้วก็ร้องโอ้โฮ เพราะว่าที่เขาเรียนในโรงเรียนอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบนี้ เขาเรียนมากเหลือเกิน ทำไมต้องเรียนมาก ก็เพราะว่าบรรพบุรุษแล้วก็ผู้ที่มาก่อนได้สะสมความรู้มากเหลือเกิน จนกระทั่งจะต้องถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานมากมาย มิฉะนั้นลูกหลานพวกนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ล้าสมัย

อันนี้เขาคิดว่าอย่างนั้น เขาคิดว่าถ้าไม่มีความรู้พอก็ล้าสมัย อย่างปัจจุบันนี้เด็ก ๆ ถ้าไปจิ้มคอมพิวเตอร์ไม่เป็น ก็รู้สึกว่าค่อนข้างจะล้าสมัย เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ อายุ ๑๐ ขวบเล่นคอมพิวเตอร์เป็น อย่างนี้ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่ามีปมด้อยขึ้นมาว่าเล่นคอมพิวเตอร์ไม่เป็น

เมื่อต้นปีนี้เลยเริ่มเล่นคอมพิวเตอร์บ้างเหมือนกัน หาคอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ปี ๒๙ ได้มา เอามาวางไว้เฉย ๆ ประมาณ ๒ เดือน เพราะว่าเอามาดูก่อน ความจริงมีคอมพิวเตอร์นี้มา ๒ ปี หรือ ๓ ปีก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่ากลัวมาก ไม่กล้าจะแตะต้อง จนกระทั่งลงท้ายถามทางหน่วยราชการว่า เขามีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือเปล่า เลยให้เขาไปโดยยังไม่ได้แตะต้องเลย..."

ป้านุช
16-12-2011, 00:32
"...แต่ว่าคอมพิวเตอร์ที่ได้มาใหม่เมื่อก่อนต้นปีนี้ ก็หมายความว่าประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๙ ได้มาก็มองอยู่อย่างเกรงขาม เพราะไม่รู้มันเป็นอย่างไร คอมพิวเตอร์อันนี้ที่ขอมา ก็เพื่อที่จะมาเขียนโน้ตดนตรี เพราะว่าเคยไปถามที่ไหน ๆ ว่าคอมพิวเตอร์เขียนโน้ตดนตรีได้หรือเปล่า ส่วนมากเขาก็บอกว่าเขียนไม่ได้ หรือเขาต้องไปศึกษาถามที่ไหน คอมพิวเตอร์ใหญ่ ๆ บริษัทใหญ่ ๆ ก็ถามว่าเขาทำได้ไหม เขียนดนตรี เขาก็ตอบว่าต้องไปศึกษา เราก็กลัว เพราะว่าเขาศึกษาพวกบริษัทใหญ่ ๆ โก้ ๆ เก่ง ๆ เขาไม่สามารถที่จะทำ

แล้ววันหนึ่งก็มีคนหนึ่งเอาคอมพิวเตอร์มาให้ บอกว่าอันนี้เขียนดนตรีได้ก็เลยรับเอาไว้ ที่จริงรับเอาไว้เขาไม่ได้ให้ เพราะว่าไปซื้อมา ก็เงินของเราเอง เราซื้อเราก็ยังกลัว มองดูแล้วไม่รู้จะทำยังไง แต่ถึงตอนปีใหม่ ก่อนปีใหม่สักนิดหนึ่งก็เอาคอมพิวเตอร์ขึ้นไปตั้งในห้องทำงานแล้วก็จิ้มไป เขาบอกว่าเขียนหนังสือได้ เขียนรูปได้ ก็เริ่มลองเขียนหนังสือ ก็เขียนสำหรับอวยพรปีใหม่เป็นบัตร ส.ค.ส. แล้วก็เขียนไป ๆ เอ้อ...ออกมาได้ เขียนออกมาเป็นตัวได้ ก็แปลกดี..."

ป้านุช
17-12-2011, 00:23
"...แต่เขียนไปเขียนมาเวลาปิดเครื่องมันก็หายไป ยังไม่รู้วิธีว่าเขาทำอย่างไร ต่อไปก็เขียนได้แล้วก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร สำหรับให้พิมพ์ออกมาเป็นตัวเพื่อที่จะส่งไปเป็น ส.ค.ส. เลยไม่สำเร็จ ปีใหม่ก็ผ่านไปไม่มีบัตร ส.ค.ส. เลยต้องเขียนด้วยเครื่องโทรพิมพ์ซึ่งชำนาญ ก็เขียน ส.ค.ส. ด้วยเครื่องโทรพิมพ์ แล้วก็ส่งไปตามสถานีต่าง ๆ เสร็จแล้วก็เอาที่เขียนโทรพิมพ์นี่มาอัดสำเนา แล้วก็ขยายสำเนา เลยเป็นบัตร ส.ค.ส. ใช้โทรพิมพ์เขียน

ตอนที่ไปเชียงใหม่ก็เอาตัวคอมพิวเตอร์นี้ไปด้วย ก็เริ่มกดคอมพิวเตอร์นี้จนเริ่มพอมีความรู้ ก็ไม่น้อยหน้าเด็ก ๆ เพราะว่าเดี๋ยวนี้หลานก็ตัวเล็ก ๆ นั่นนะเขาเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์ ก็รู้สึกว่ากลัวว่าเดี๋ยวหลานเขามาถามว่าคอมพิวเตอร์มันเป็นอะไร เราจะไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าพอที่จะอธิบายได้ หมายความว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เด็ก ๆ เขาสนใจในเรื่องวิทยาการก้าวหน้ามาก แม้จะอายุไม่เท่าไหร่ก็ต้องการมีความรู้

เพราะฉะนั้นโรงเรียนก็สอนแม้แต่เด็กเล็ก ๆ ตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปถึงชั้นประถมก็มีความรู้มาก และความรู้มากนี้ก็ยังกลัวเหมือนกัน เพราะว่าเมื่อมีความรู้มากก็มีวิชาการเท่านั้นเอง แต่ว่าวิชาการนั้นเอามาใช้ทำอะไรก็ไม่ทราบ เพราะว่าบางทีแม้ว่าความคิดในทางศีลธรรมจรรยาก็ไม่มี เขาไม่สอนแล้วเพราะว่าเป็นวิชาการที่ไม่ใช่วิชา..."

ป้านุช
17-12-2011, 22:47
"...แต่ในเวลาเดียวกันคำว่าศีลธรรมจรรยานี่เป็นตัวอย่างคือหมายความว่าวิธีคิดที่ถูกต้อง ถูกตรง ขอให้ฝึกไว้ด้วย ถ้าฝึกวิธีคิดที่ถูกตรงที่มีศีลธรรมแล้ว แต่ละคนจะสามารถศึกษาได้สำเร็จแน่นอน ได้ดีเมื่อสำเร็จหรือก่อนสำเร็จด้วยซ้ำ

สามารถที่จะใช้ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาเป็นประโยชน์ได้ทันที เพราะว่าตัวเองได้ทำตัวอย่างที่ดีให้กับผู้ที่จะเป็นลูกศิษย์ก็ตาม ผู้ที่เป็นเพื่อนฝูงก็ตาม ผู้ที่แม้จะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ไม่ได้เป็นเพื่อน คนทั่วไปจะดูตัวอย่างของนักศึกษาในการศึกษานี้ว่าเป็นคนที่ดี เป็นคนที่มีความรู้และเป็นคนที่มีคุณภาพ..."

ป้านุช
17-12-2011, 22:54
๓๔
สัจวาจา

"...เวลาถูกเตือนว่าให้ทำดี ให้อยู่ในศีลในธรรมออกจะรำคาญ
แต่แท้จริงตามธรรมชาติหรือตามความเป็นจริง
ถ้าตั้งใจให้อยู่ในระเบียบหรือในหลัก
ย่อมมีความสำเร็จทุกอย่าง..."

ป้านุช
20-12-2011, 02:09
"...คำปฏิญาณใด ๆ ก็มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการกล่าวสัจวาจา ซึ่งสัจวาจานั้นเป็นแกนหรือเป็นรากฐานของการทำงาน หรือการดำรงชีวิตที่ดีที่งาม ที่มีความก้าวหน้า มีความสำเร็จ

สัจวาจานั้นต้องตั้งตั้งแต่เด็กตลอดมา สัจวาจาคือ เป็นการตั้งใจ ตั้งจิตตั้งใจ วาจานั้นก็เป็นคำพูดออกมา แสดงถึงคำพูดนั้นก็ต้องออกมาจากใจ คือเป็นการตั้งใจที่จะทำอะไรเพื่อความสำเร็จในงานนั้น อย่างเมื่อเป็นนักเรียนในโรงเรียน อยากที่จะผ่านพ้นการศึกษานั้นไปได้ให้เป็นประโยชน์ ก็จะต้องตั้งใจที่จะเรียนที่จะรู้ จะทำอะไรต้องตั้งใจ

การตั้งใจนั้นมีสิ่งที่สำคัญที่จะต้องมาประกอบ คือความตั้งใจในทางที่จะให้ถูกต้องตามหลักหรือตามธรรม โดยมากเวลาบอกว่าให้อยู่ในศีลในธรรมหรือให้เป็นคนดีนั้น ฟังดูแล้วออกจะรำคาญ เพราะว่าคนเราก็อยากได้ความสำเร็จ แต่เวลาถูกเตือนว่าให้ทำดีให้อยู่ในศีลในธรรม ออกจะรำคาญ แต่แท้จริงตามธรรมชาติหรือตามความเป็นจริง ถ้าตั้งใจให้อยู่ในระเบียบหรือในหลักย่อมมีความสำเร็จทุกอย่าง..."

ป้านุช
21-12-2011, 00:40
"...ฉะนั้น การที่ได้กล่าวปฏิญาณจึงขอให้ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ระลึกถึงทุกขณะก็ดี ทำทุกวันก็ดี ว่าได้กล่าวคำปฏิญาณเช่นนี้แล้ว และก็ทำตามคำปฏิญาณที่ตั้งใจที่จะทำงานให้ซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงตรงนั้น จนกระทั่งทำให้เรามีความสุขได้ คือมีความพอใจว่างานหรือการกระทำอย่างดี มีความสำเร็จ ต่อไปก็จะได้มีความนับถือตัวเองได้อย่างเต็มที่

ฉะนั้นก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้รักษาคำปฏิญาณนี้ และระลึกถึงอยู่เสมอ อาจจะไม่ระลึกถึงถ้อยคำ แต่ระลึกถึงเจตนา คือระลึกถึงความหมาย จะได้ความเจริญทุกอย่าง..."

ชยาคมน์
23-12-2011, 22:18
ขออนุญาตลอกทุก "องค์" ครับ
ขอนำไปเผยแพร่ผ่าน http://www.facebook.com/MotanaboonCom
และในเว็บพลังจิตดอทคอม ห้องกฎแห่งกรรมด้วยครับ
http://board.palungjit.com/f8/กฎแห่งกรรม-ภพภูมิ/

โมทนา

ป้านุช
24-12-2011, 23:35
๓๕
ใครเหนียวอยู่ก็มาได้

"...ในปัจจุบันนี้ เรามีสิ่งใด เราก็มีอยู่ในปัจจุบัน
ในอดีตเราเคยมีอะไรก็ผ่านไปแล้ว
ในอนาคตจะมีอย่างไร
ก็จะต้องคอยดูว่าร่วมกันสร้างอย่างไร
ถ้าร่วมกันสร้างดีก็ดี
ถ้าร่วมกันสร้างไม่ดีก็เสียใจ ก็ไม่ดี..."

ป้านุช
24-12-2011, 23:45
"...สำหรับประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ว่า มีการแตกแยกเป็นครั้งเป็นคราว แต่ส่วนใหญ่ก็ปรองดองกัน ฉะนั้นแนวโน้มหรือประวัติหรือนิสัยของคนไทย ก็ไปในทางที่จะรักษาประเทศได้ เพียงแต่ถ้าไม่ระวัง จะเอาวาระที่เราแตกแยกกันมาขึ้นเป็นเอกก็อาจจะเสื่อมเสียไปได้

แต่ถ้าเอาความปรองดองเป็นหลัก ก็เชื่อว่าเราจะทำอย่างไร ๆ ก็ตาม ก็จะไม่เสียชาติ และไม่เสียความสงบของส่วนรวม เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คำว่า "พอสมควร" เพราะเดี๋ยวมีคนแย้งว่า มีคนจน มีคนที่เดือดร้อนจำนวนมากพอสมควร แต่ว่าใช้คำว่า "พอสมควร" นี้หมายความว่าตามอัตภาพ และยังมีงานที่จะทำให้ดีขึ้นอีกมากมาย งานยังรออยู่ข้างหน้ามากมาย..."

ป้านุช
26-12-2011, 01:32
"...มีคนพูดว่านี่ผ่านมา ๕๐ ปีแล้ว ขออีก ๕๐ ปี อีก ๕๐ ปีจะฉลองอีกทีหนึ่ง หมายความว่าจะเป็น ๑๐๐ ปี ๑๐๐ ปีนั้นคำนวณดู ข้าพเจ้าอายุ ๑๑๘ ปี (เสียงหัวเราะ) อายุ ๑๑๘ ปีนี้มีความสำคัญอยู่ เพราะว่ามีคนที่เกิดในปี ๒๔๙๘ เขาก็ภูมิใจว่า เขาเป็นคนแผ่นดินเดียว แต่อย่างไรก็ตามเขาก็อยากอายุยืนเหมือนกัน เขาบอกว่าเขาอยากอายุ ๑๐๐ ปี ก็จะต้องให้พระเจ้าอยู่หัวอายุอย่างน้อย ๑๑๘

ฉะนั้นเราก็จะต้องมีอายุ ๑๑๘ อย่างน้อย เพื่อที่จะให้ผู้นั้นสามารถที่จะมีอายุ ๑๐๐ ปี ตามปณิธานของเขา ก็เลยทำให้นึกว่าต้องอยู่อีก ๕๐ ปี อีก ๕๐ ปี ใครจะอยู่ก็ไม่ทราบ (เสียงหัวเราะ) แต่ว่าจะต้องมีชุมนุมนี้ ต้องมีเมื่ออายุ ๑๑๗ ปีกับอีก ๓๖๕ วัน แล้วก็ไม่ทราบใคร ใครเหนียวอยู่ก็มาได้..." (เสียงหัวเราะ)

ป้านุช
26-12-2011, 02:05
"...การที่ประเทศไทยมาอยู่ในสภาพปัจจุบันนี้ ก็ผ่านฝีมือหรือการกระทำของคนทั้งประเทศ ถ้าเปรียบเทียบความเป็นอยู่เมื่อ ๕๐ ปีกับปัจจุบันนี้ ก็เห็นความแตกต่าง คนที่มีชีวิตตั้งแต่สมัยโน้นจนถึงสมัยนี้ และที่เกิดมาตามทางก็เป็นผู้ที่ได้สร้างส่วนรวม ได้สร้างประเทศชาติให้เป็นดังที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้

จะบอกว่าสมัยโน้นกับสมัยนี้เป็นอย่างไร ต่างกันไหม..ต่างกัน จะว่าสมัยโน้นดีกว่าสมัยนี้ ก็พูดไม่ได้ว่าสมัยนี้ดีกว่าสมัยโน้น อยู่ในปัจจุบัน เรามีสิ่งใดเราก็มีอยู่ในปัจจุบัน ในอดีตเราเคยมีอะไร ก็จะต้องคอยดูว่าร่วมกันสร้างอย่างไร

ถ้าร่วมกันสร้างดีก็ดี ถ้าร่วมกันสร้าง ถ้าร่วมกันสร้างไม่ดีก็เสียใจ ก็ไม่ดี ฉะนั้นคนที่สามารถที่จะระลึกหวนไปถึงระยะก่อนนี้และมาเปรียบเทียบกับที่เป็นปัจจุบัน ก็มีความสามารถที่จะถือว่าเป็นบทเรียนถือว่าเป็นหน้าที่ส่วนตัว จะเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย จะเป็นนักธุรกิจ จะเป็นประชาชนที่ทำการค้าทำหน้าที่อะไรก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ของผู้นั้นที่จะหวนระลึกไปเพื่อจะเป็นบทเรียน ถ้าไม่หวนระลึกแล้ว ก็ไม่ทำตามที่ได้มีบทเรียน สังคมไทยก็ต้องสลายไป..."

ป้านุช
10-01-2012, 01:04
๓๖
คำว่า "ดี" คืออะไร

"...ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดี
จะให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก
สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี
คนเลวมิได้อยากให้คนอื่นเลว
เพราะว่าถ้าคนอื่นเลว
คนเลวนั้นแหละจะเดือดร้อน..."

ป้านุช
13-01-2012, 01:51
"...ปัญหามีอยู่ว่า คำว่า "ดี" คืออะไร ไม่มีทางที่จะวิเคราะห์ศัพท์ว่า "ดี" คือคำว่า "ดี" นี่มันสั้น ๆ รู้สึกว่าจะเป็นคำที่สั้นที่สุดในภาษา อาจจะไม่สั้นที่สุดยังมีคำที่สั้นกว่า แต่อย่างไรก็สั้นมาก ใครจะมาวิเคราะห์คำนี้ได้รู้สึกว่ายาก เพราะว่าแต่ละคนก็นึกว่าดี แต่ไม่แน่ว่าใช่หรือไม่ใช่ อย่างไรก็ตามถ้าพูดคร่าว ๆ ความดีคนก็เข้าใจแต่จะบอกว่าเป็นอะไรยาก ความดีคืออะไรที่ทำให้เรามีความสงบความสุขใจแท้ ๆ เป็นผลดี คนที่ไม่ดีเรียกว่าคนเลว คำว่าเลวนี่ก็ยาวกว่าหน่อย คนเลวก็ไม่รู้จะวิเคราะห์ว่าอะไร

คนดีทำให้คนอื่นดีได้ หมายความว่าคนดีทำให้เกิดความดีในสังคม คนอื่นก็ดีไปด้วย ความเลวนั้นจะทำให้คนดีเป็นคนเลวก็ยากแต่เป็นไปได้ ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดี จะให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี คนเลวมิได้อยากให้คนอื่นเลว เพราะว่าถ้าคนอื่นเลว คนเลวนั้นแหละจะเดือดร้อน เขารู้ว่าถ้าคนเลวทำให้คนอื่นเลว ก็หมายความว่าคนนั้นจะเบียดเบียนตัวเขาเอง ก็คือเบียดเบียนคนที่เลวทำให้ยิ่งแย่เข้า ไม่มีใครอยาก

ฉะนั้น ที่มีความหวังว่าอีก ๕๐ ปีข้างหน้านี่ จำนวนคนเลวจะน้อยกว่าคนดี เพราะว่าคนเลวจะทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก ส่วนคนดีจะทำให้คนเลวเป็นคนดีก็ไม่พ้นวิสัย ทำได้ จึงมีหวังว่าอนาคตจะแจ่มใส แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องให้คนในสังคมนี้มีความตั้งใจ ถ้าไม่มีความตั้งใจแล้วก็เชื่อว่า ตัวคนดีจะกลายเป็นคนเลวด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาชักชวน มันก็เลวไป ก็ลงเหวลงนรก..."

ป้านุช
15-01-2012, 23:50
"...อันนี้ที่พูดอย่างนี้ได้เพราะได้รับการยกย่องว่ามีประสบการณ์มาถึง ๕๐ ปี ก็ได้เห็นความจริงของข้อนี้ ซึ่งเป็นความจริงที่เมื่อทราบแล้ว เมื่อเห็นแล้วเป็นสิ่งที่น่ากลัว คนที่มีชีวิตหรือการงานสัก ๕ ปี ๑๐ ปี จะเห็นข้อนี้ยากเพราะว่าเปรียบเทียบไม่ได้ แต่ผู้ที่ได้รับราชการหรือทำงานมา ๕๐ ปี เชื่อว่าควรจะเห็นได้ นี่ไม่ใช่อวดตัว แต่ว่าถามท่านผู้ที่มีอายุราชการหรืออายุทำงานมา ๕๐ ปี ก็เชื่อว่าจะเห็นด้วย ว่าคนดีชนะคนไม่ดีได้ แต่ยากพอใช้ เพราะว่ามีคนมากขึ้น ความต้องการของคนก็มากขึ้น การพัฒนาขึ้นมาไม่ทันกับการพัฒนาของประชากร

สำหรับวิธีที่จะทำให้คนเป็นคนดีนั้นก็มี เช่น การศึกษา เมื่อก่อนนี้ด้านการศึกษา คนในเมืองไทยนี่มีความรู้ การอ่านหนังสือเขียนหนังสือเป็นมีมาก เปรียบเทียบกับประเทศอื่นค่อนข้างจะสูง คือมีการอ่านเขียนได้เปอร์เซ็นสูง แต่มาปัจจุบันนี้น้อยลง เพราะว่าคนเพิ่ม โรงเรียนหรือผู้ที่มีหน้าที่สอนน้อยลง เปรียบเทียบกันอาจจะแย้งว่า สมัยนี้มีเทคโนโลยีสูง ทำให้สามารถที่จะทำกิจการโรงเรียน กิจการสั่งสอนแพร่ออกไปได้มากกว่า

แต่ไม่มีอะไรแทนการอบรม ไม่มีอะไรแทนการบ่มนิสัย คือการสอนนี่มีแบ่งเป็นอบรม แล้วก็บ่มนิสัย แต่ถ้าไม่มีผู้ที่อบรม ไม่มีผู้ที่บ่มนิสัย หรือผู้ที่อบรมหรือผู้ที่บ่มนิสัยเป็นคนที่คุณภาพต่ำ ผู้ที่ได้รับอบรมบ่มนิสัยย่อมคุณภาพต่ำเหมือนกัน อาจจะยิ่งร้ายกว่า แม้จะมีเทคโนโลยีชั้นสูง..."

ป้านุช
18-01-2012, 00:40
"...เทคโนโลยีชั้นสูงนี้คนส่วนมากเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจว่ามีโทรทัศน์ มีดาวเทียม มีเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ว่าเครื่องเหล่านี้หรือสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ดูรูปร่างท่าทางเหมือนมีชีวิต แต่อาจจะไม่มีชีวิต มีสีก็มีสีได้แต่ว่าไม่มีสัน คือสีสันนั่นรวมแล้วมันครบถ้วน และยังไม่ครบยังไม่มีจิตใจ อาจจะทำให้คนที่มีจิตใจอ่อนเปลี่ยนเป็นคนละคนก็ได้ แต่ว่าที่จะอบรมโดยใช้สื่อที่ก้าวหน้าที่มีเทคโนโลยีสูงนี่ยากที่สุด ที่จะอบรมบ่มนิสัยด้วยเครื่องเหล่านี้

ฉะนั้น ไม่มีอะไรแทนคนสอนคน คนสอนคนนี่ มีที่เขาใช้ดาวเทียม คนเดียวสอนได้เป็นพันเป็นหมื่นในคราวเดียวกัน แต่ถ่ายทอดความดีนี้ยาก ถ้าถ่ายทอด จะว่าไปอาจจะต้องถ่ายทอดตัวต่อตัว ฉะนั้น การที่มีความก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงในประเทศ ในสังคมไทย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนแปลงในทางดี นอกจากต้องหาวิธีให้มีการถ่ายทอดโดยใช้ตำรา หรือใช้หลักสูตรที่เหมาะสม ที่ทำให้คนเป็นคน

อันนี้ก็ขอฝากความคิดอันนี้ไว้ เพราะว่าเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าสักที่จะให้มีความรู้ทางเทคโนโลยีมาก ไม่พอ ต้องมีความเป็นคน คนดี รวมความแล้วว่าต้องอบรมบ่มนิสัยให้ได้ ก็ต้องหาวิธีที่จะทำ ข้อนี้พูดอย่างนี้ค่อนข้างจะเลยเถิด แต่ว่าอดไม่ได้ เพราะว่าพบใครเดี๋ยวนี้พบใครก็บอกว่า ๕๐ ปี ก็ใช่ ๕๐ ปี ต้องใช้ประโยชน์จาก ๕๐ ปีนี้ ถ้า ๕๐ ปีแล้วไม่ใช้ประโยชน์ เราก็ไร้ประโยชน์..."

ป้านุช
19-01-2012, 01:52
๓๗
หวังในบารมีให้ปกเกล้า

"...แต่ละคนต้องการอะไร
ก็ต้องการความสุข คือความสงบ
ความสุขและความสงบนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยตนเอง
ฉะนั้น ที่จะให้คนอื่นมาปกป้องรักษา
ก็เป็นสิ่งที่ยากถ้าตัวเองไม่ทำ..."

ป้านุช
19-01-2012, 02:03
"...ท่านทั้งหลายหวังในบารมีให้ปกเกล้าบ้านเมืองนั้น ก็เป็นข้อหนึ่งที่น่าคิด เพราะว่าบ้านเมืองประกอบด้วยบุคคล และแต่ละบุคคลจะต้องทำด้วยตนเองตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่ละคนต้องการอะไร ก็ต้องการความสุขคือความสงบ ความสุขและความสงบนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยตนเอง

ฉะนั้น ที่จะให้คนอื่นมาปกป้องรักษาก็เป็นสิ่งที่ยาก ถ้าตัวเองไม่ทำ อันนี้เป็นข้อที่สำคัญยิ่ง ในพระพุทธศาสนาและผู้ที่ถือตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชน ต้องพึ่งตัวเอง มิใช่พึ่งคนอื่น แต่การที่จะอาศัยคนอื่น ก็อาศัยได้โดยดูผู้อื่นที่ปฏิบัติดีชอบ และคอยฟังสิ่งที่ผู้อื่นที่เราเห็นว่าปฏิบัติดีชอบ ได้พูดได้แนะนำ

ดังนี้ก็เป็นสิ่งที่อาศัยผู้อื่นได้ ผู้อื่นจะช่วยเราได้ ฉะนั้น ก็จะต้องมีการพิจารณาของตัวเองว่าผู้ที่น่าที่จะดูการปฏิบัติ หรือฟังข้อแนะนำในการปฏิบัติและทำตาม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้บุคคลได้บรรลุถึงความสำเร็จความสุขได้..."

ป้านุช
23-01-2012, 01:40
"...มาถึงปัญหาของพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ลำบากที่สุดที่จะเห็นพระพุทธศาสนาและประโยชน์ของพระพุทธศาสนา เพราะแต่ละคนก็มีกายและใจของตัว แต่ละคนก็มีความรู้หรือปฏิปทาของตัวแล้วแต่ภูมิแต่ชั้น การที่จะปฏิบัติตามพระพุทธศาสนานั้น ย่อมจะเป็นแล้วแต่บุคคล แล้วแต่สภาพของตัว จะเรียกว่าสภาวะหรือสภาพหรือฐานะของตัว ฐานะนี้ไม่ได้หมายถึงฐานะทางการเงินการทองหรือความเป็นอยู่ แต่เป็นฐานะทางจิตของแต่ละคน

ฉะนั้น พุทธศาสนาถ้าว่าไปเป็นสิ่งที่ลุ่มลึก ที่ลำบากที่จะสั่งสอนหรือที่จะเรียน เพราะว่าแต่ละคนจะต้องทำตามฐานะของตัว หรือจะว่าได้ว่าพุทธศาสนามีหลายชนิด แต่ละคนก็มีพุทธศาสนาของตัว

ฉะนั้น การที่จะสอน การที่จะชี้แจง การที่จะฟัง การที่จะเรียนพุทธศาสนานั้น จะต้องพยายามที่จะทำด้วยตนเอง..."

ป้านุช
24-03-2012, 01:23
"...การศึกษาพระพุทธศาสนานั้น มีการศึกษาได้อีกหลายทาง ศึกษาประวัติของพุทธศาสนา ศึกษากลไกของพุทธศาสนา และศึกษาประโยชน์ของพุทธศาสนาต่อสังคม และในที่สุดก็มีศึกษาเพื่อปฏิบัติธรรม

แม้การปฏิบัติธรรมนั้นเองก็มีหลายวิธี หลายสาย บางคนก็เห็นว่าการปฏิบัติหาความสงบอย่างเดียวก็จะพบทางของความสุข บางคนก็บอกว่าทำอย่างนั้นไม่พอ จะต้องหาความสงบ แล้วก็จะหาความรู้พิเศษต่าง ๆ เช่นให้มีตาทิพย์ได้ ให้เห็นทะลุกำแพงได้ ให้เห็นให้ฟังและให้รู้ถึงจิตใจของผู้อื่นได้ บางคนก็ปฏิบัติเพื่อให้เห็นความจริง คือความไม่ยั่งยืนของร่างกาย หรือความไม่ยั่งยืนของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลก

ฉะนั้น มีวิธีที่จะปฏิบัติอีกหลายต่อหลายทาง ที่กล่าวอย่างนี้ก็จะให้แสดงถึงว่าแต่ละคนมีความคิดของตัว มีแนวทางของตัวจึงศึกษาหรือปฏิบัติศาสนาต่างกัน..."

ป้านุช
21-04-2012, 22:05
๓๘
พูดถึงผี

"...ผีนั้นก็นึกว่าตัวมีกาย
ตัวมีกายแต่ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
อย่างเปรตหิวข้าวตลอดวันตลอดคืนตลอดเวลา
กินก็ต้องกินตลอดเวลา
แต่กินไม่ได้มันก็ทรมานอย่างยิ่ง..."

ป้านุช
21-04-2012, 22:29
"...ได้พูดถึงผี อันนี้พูดถึงผีอาจจะไม่ค่อยเข้าใจกัน นี่ขอพูดอีกสักนิดหนึ่ง เป็นเรื่องที่ตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติพุทธศาสนานัก แต่เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นความจริง คือคนเราไม่เห็นว่าเรามีกายและใจซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เท่ากับได้มีใจนี้ คือตัวเรามาประกอบกับกาย ซึ่งเราก็นึกว่าเป็นตัวเราเหมือนกัน แต่ว่ากายกับใจนี้ก็สามารถที่จะนำมาใช้ มาทำงานทำการ มาประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี เพื่อความสุขความเจริญของกายหรือใจ หรือของกายและใจ

ฉะนั้น ต่อไปเมื่อกายและใจนี้แยกออกไปก็ว่าเป็นผี เพราะว่ากายที่ไม่มีใจเขาเรียกว่าผี ผีความจริงก็เรียกว่าศพ แต่ว่าเขาก็เรียกว่าผี ผีเป็นสิ่งที่ไม่มีใครชอบ โดยเฉพาะว่าเป็นกายที่ไม่มีใจแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาเลย เพราะว่าเป็นตามธรรมดา กายนี้เมื่อไม่มีใจอยู่แล้ว ก็ย่อมจะต้องสลายออกไปเป็นธาตุแล้วก็เป็นผี

แต่ใจนั้นเวลาไม่มีกายแล้ว ก็เป็นผีเหมือนกัน คือว่าที่ว่าจิตวิญญาณหรืออะไรก็ตามที่ตายแล้ว แล้วก็เรียกว่าผี บางทีผีมาหลอก ก็แปลกเหมือนกันที่ว่าทำไมจึงมาหลอกได้ ทว่าผีหลอกได้นั้นก็เพราะเหตุว่า ผีนั้นหมายความว่าจิตวิญญาณนั้นยังยึดมาก ยังยึดจนกระทั่งกำลังยึดนั้นกลับมา เหมือนมายึดจิตใจของผู้ที่เห็นผี มายึดได้ชั่วขณะ ก็ได้เห็นว่าเป็นผี

แต่ว่าผีนั้นจะเป็นผีกายที่ไม่มีใจ หรือใจที่ไม่มีกาย ผีนั้นไม่มีความสามารถที่จะประกอบความดี ถ้าหากว่าเวลากายกับใจประกอบกันเป็นตัวบุคคล โดยเฉพาะเป็นมนุษย์ สามารถที่จะประกอบความดี ถ้าหากแยกไปแล้วไม่สามารถที่จะประกอบความดี

แต่เมื่อประกอบกันแล้ว แล้วก็ทำความดี ผีนั้นก็เป็นผีที่เรียกว่าเป็นผีดี คือเป็นผีที่มีคุณ เป็นเทวดา เป็นพรหม คือเป็นผีที่ให้คุณและเป็นคุณกับตัว

ถ้าประกอบความไม่ดีคือทุจริต ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ก็เป็นผีไม่ดี ก็เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ผีนั้นความจริงก็ดูไม่มีกายแต่ว่าอาจจะมาหลอกเราได้เช่นเดียวกัน เพราะว่ามายึดกายเรา มายึดตาเรา มายึดหูเราได้ แต่ว่าถ้าผีนั้นที่เมื่อมีกายทำไม่ดีเป็นผีไม่ดีนั้น เขาจะแก้ไขอะไรไม่ได้เหมือนกัน จะต้องทนทุกข์ทรมาน..."

ป้านุช
22-04-2012, 22:24
"...จะทุกข์ทรมานได้อย่างไรเมื่อไม่มีกาย แต่ความที่เป็นผีนั้นเอง เลยมีความยึดติดนึกว่าตัวมีกาย อย่างเช่นพวกเราเอง ใจเรา เราก็นึกว่าตัวเรามีกาย แต่แท้ที่จริงก็เป็นสิ่งที่ประกอบเป็นกอง ๆ เท่านั้นเอง แต่ผีนั้นนึกว่าตัวมีกาย ตัวมีกายแต่ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส อย่างเปรตหิวข้าวตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเวลา แต่กินไม่ได้ มันก็ทรมานอย่างยิ่ง

อย่างพวกเราเวลาไปไหน ๆ หรือเวลาแม่ครัวไม่ได้ทำกับข้าวให้กิน เราก็หิว มันทรมาน บางทีเราไปที่ไหนไม่มีอาหาร เราไม่มีอาหาร ควรจะได้อาหารกลางวัน อาหารค่ำ ไม่มี เราหิวมันก็ทุกข์ทรมาน ผีนั้นก็นึกว่าตัวมีกาย ก็ต้องกินอาหาร เมื่อกินไม่ได้อย่างเปรตที่ว่าปากเป็นรูเข็ม ไม่สามารถจะกินอะไร มันหิวทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง นี้ก็เป็นทุกข์ที่ยังไม่มากนัก อย่างอื่นยังมากกว่าอีก เช่น เอาอะไรมาเสียบแทงทะลุหัวจนถึงทวารหนัก ที่ท่านว่าอย่างนั้น แทงด้วยเหล็กที่เป็นไฟ แล้วอาจจะลงกระทะทองแดง หรืออะไรก็ตาม นั่นนะเป็นความทุกข์ที่ผีไม่ดีมี เป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัส แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องให้หมดเวรหมดกรรม

หมดเวรหมายความว่า หมดวาระที่จะหมดความทุกข์ทรมาน แล้วก็สามารถที่จะไต่เต้าขึ้นมาเป็นคนอีก ถ้าคนเช่นนั้นขึ้นมาก็หมายความว่าเป็นคนที่ยังไม่ค่อยขัดเกลานัก แต่ว่าขึ้นมาก็พอที่จะได้มาเป็นคน บางคนเราเห็นว่าเป็นคนเลวทรามมาก เราก็ว่ามันพวกสัตว์นรก ก็เพราะว่าพวกนี้จิตใจยังเสื่อมอยู่ จิตใจยังไม่ได้ขัดเกลา

แต่พวกนี้ที่ขึ้นมาได้แล้วก็สามารถที่จะมีสมาธิได้ และสามารถที่จะมีการขัดเกลาเรียนธรรมได้แน่นอน ไม่ใช่ไม่มี เพราะฉะนั้น ที่พูดถึงผีนี่ไม่ใช่ที่จะชักชวนให้ท่านทั้งหลายได้สนใจเกี่ยวข้องกับวิชาผี ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่านึกถึงว่าแต่ละคนก็เป็นผี ทุกคนเป็นผี เป็นผีมาแล้วและจะเป็นผีต่อไป

เมื่อเป็นผีมาแล้ว แล้วก็ได้ประกอบกรรมดีมาพอสมควร ได้เกิดมาเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ เราก็พยายามประกอบความดีขึ้นเพื่อให้เป็นผีดีต่อไป เมื่อเป็นผีดีต่อไปก็สามารถที่จะได้มีภพมีชาติที่ดีขึ้นต่อไป แต่ก็ต้องระวังเหมือนกัน แม้จะเป็นผีดี แล้วไปหลงใหลในความดีความสบายของผีแล้ว ก็อาจจะตกนรกต่อไปได้ มีเหมือนกัน

ฉะนั้น ก็ต้องพยายามที่จะต้องพิจารณาว่า ระหว่างนี้ ที่เรามีกายกับใจประกอบกัน ให้ดูกายให้ถูกต้อง ให้ดูใจให้ถูกต้อง แล้วก็สามารถที่แม้จะเป็นผีก็เป็นผีที่ดีได้..."

ป้านุช
25-04-2012, 02:09
"...แต่ว่าถ้าความปรารถนาสูงสุดคือปรารถนาที่จะให้หลุดพ้นจากการที่จะต้องเป็นผี อย่างพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ท่านไม่ต้องเป็นผี ท่านไม่ได้เป็นผี ท่านหลุดพ้น เรียกว่าพ้นไปได้ ต้องแยกกายกับใจ อย่างพวกเรา ๆ ที่ยังไม่ได้ความหลุดพ้น ถ้าหากว่าทำจิตใจให้ผ่องใส แล้วก็ดูจิตของเราหรือใจของเรา แล้วก็ดำเนินให้จิตใจของเราพยายามที่จะเว้นจากสิ่งที่ทำให้ตกต่ำเป็นผีไม่ดี พยายามทำอะไรที่จะทำให้ดีขึ้น จะเรียกว่าทำให้ผ่องใสขึ้น ทำให้มีความสุขขึ้น

ให้ทำอะไรที่สุจริตก็จะเป็นผีดีคือเทวดา และการเป็นเทวดาเท่ากับได้มีเวลาไปพักผ่อนในที่ ๆ สบาย แล้วก็ต่อไปก็สามารถที่จะกลับมารับราชการโลกต่อ เป็นคนก็จะเป็นมนุษย์ที่ดี แล้วก็ขัดเกลาไปขัดเกลามาก็สามารถที่จะเป็นผู้ที่หลุดพ้น อันนี้ก็เป็นความปรารถนาของพุทธศาสนา..."

ป้านุช
05-06-2012, 23:36
๓๙
พุทธศาสนา

"...เราว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้
ท่านตรัสรู้แล้วก็แผ่รังสีออกมา
เราได้รับทั้งนั้น
แม้จะเป็นคนที่ไม่ใช่พุทธศาสนา
ก็ได้รับประโยชน์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า..."

ป้านุช
06-06-2012, 00:22
"...พูดมานาน...ก็เพราะว่าพุทธศาสนานี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องสนใจ เป็นสิ่งที่ทุกคนจะได้ประโยชน์ถ้าเข้าในทางที่ถูกและเป็นสิ่งที่ไม่ยากที่จะปฏิบัติ พูดว่าไม่ยากในการปฏิบัติ ไม่น่าที่จะพูดนานถ้าเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ แต่ว่าจะง่ายถ้าตั้งจิตให้ถูกที่ถูกทางด้วยความเพียรและด้วยความจดจ่อ ด้วยความรู้รอบคอบคือการสำรวจให้ดี ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ยาก

ถ้าได้พูดให้ยาวก็เพราะว่า สิ่งที่ง่ายนี้ทุกคนอาจจะยังไม่เห็น หรือเห็นยาก เห็นยากในสิ่งที่ง่ายจึงต้องพูดยาว แต่ถ้าทุกคนเห็นสิ่งที่ง่ายนี้แล้วก็ไม่ต้องพูดยาว ถ้าสมมติว่าทุกคนเห็นว่าง่ายจริง ๆ หมายความว่าเห็นส่วนที่ง่ายจะพูดได้สั้นมาก คือท่านทั้งหลายขอให้มีความเพียรในการปฏิบัติจิตที่ถูกต้องที่ดี อันนี้ก็หมด พูดแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องพูดอื่น

ถ้าพูดอย่างนี้ก็ยังยาว ถ้าท่านทั้งหลายมาแล้วก็รู้ว่าทุกคนรู้ว่าง่ายแล้วรู้จริง ไม่ใช่รู้เก๋ ๆ เฉย ๆ รู้จริงว่าง่าย บอกว่าสวัสดีเท่านั้นเองก็พอ ไม่ต้องมานั่งมายืนให้เมื่อย ไม่ต้องมาพูดให้คอแห้งเปล่า ๆ ก็เพียงว่าสวัสดี เพียงว่าปฏิบัติชอบก็พอ แต่มันยากที่ว่าไม่เห็นว่าง่าย..."

ป้านุช
13-06-2012, 23:42
"...ฉะนั้น ในที่นี้ก็พูดเกินไปพูดมากไปก็จะเป็นอันตรายเหมือนกัน เพราะว่าอาจจะมีคนคัดค้านได้ในคำพูดที่พูดออกไป ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าเป็นทฤษฎี ความจริงไม่ใช่ทฤษฎีแหวกแนวอะไร เป็นส่วนหนึ่งของการสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแท้ ๆ ไม่ใช่สิ่งที่คิดค้นขึ้นมาโดยไม่ได้มีหลักฐาน

ฉะนั้น ถ้าทุกคนได้ปฏิบัติประโยชน์ของตนอย่างแท้จริง อย่างจริง ๆ ไม่ใช่เบี่ยงบ่ายไปในทางทุจริต ทำจริง ๆ ในประโยชน์ของตน ของธรรมของตัว หรือของโลกของตัว เป็นอันว่าได้ประโยชน์แล้วสำหรับทุกคนในโลก อาจจะมีประโยชน์สำหรับผีทั้งผีดีไม่ดี ถ้าเราทำดีแล้วเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนทุกตนที่มีอยู่ในโลกหรือโลกอื่น เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งหมด เพราะว่าแผ่ความดี แผ่รัศมีเช่นเดียวกับที่เราว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านตรัสรู้แล้วก็แผ่รัศมีออกมา เราได้รับทั้งนั้น แม้จะเป็นคนที่ไม่ใช่พุทธศาสนา ก็ได้รับประโยชน์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า..."

ป้านุช
13-06-2012, 23:45
๔๐
เหนียวไว้ในความดี

"...ถ้าเราอดทนหรือถ้าพูดตามธรรมดาว่า "เหนียว" ไว้
อดทนในความดี ทำให้ดี เหนียวไว้ในความดีแล้ว
ภายภาคหน้าได้ผลแน่..."

ป้านุช
14-06-2012, 00:04
"...การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลาต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทนเสียสละ แต่ที่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึ ทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตน ในความเพียรของตน ต้องถือว่าวันนี้เราทำยังไม่ได้ผล อย่าไปท้อบอกว่าวันนี้เราทำแล้วก็ไม่ได้ผล พรุ่งนี้เราจะต้องทำอีก

วันนี้เราทำ พรุ่งนี้เราก็ทำ อาทิตย์หน้าเราก็ทำ ผลอาจได้ปีหน้า หรืออีกสองปีหรือสามปีข้างหน้า แต่ว่าถ้าสมมติว่าวันนี้เราทำแล้วบอกว่าไม่มีประโยชน์ เพราะว่าพรุ่งนี้ไม่ได้ผล เลิกเสีย พรุ่งนี้ไม่ได้ผลแน่ เป็นสิ่งที่แน่นอน แต่ว่าพรุ่งนี้เราจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ทราบ ก็เชื่อว่าอยู่ แต่ว่าปีหน้าเราจะอยู่หรือไม่ ถ้าเราหยุดทำสิ่งที่ดี

ฉะนั้น ความไม่ย่อท้อ ความเพียร ความเพียรนี่หมายความว่าไม่ใช่ความเพียรในการทำงานเท่านั้นเอง หมายถึงความเพียรที่จะข่มใจตัวเองด้วย ความกล้าหาญที่จะข่มใจตัวเองให้อดทน ไม่ใช่อดทนแล้วก็เหมือนว่าใครทำก็ทำไป เราทนเอาไว้ เท่ากับคนอื่นเขาเอาเปรียบเรา ไม่ใช่อดทนที่จะยังไม่เห็นผล อดทนที่จะทราบว่าสิ่งใดที่เราทำต้องใช้เวลา ถ้าเราอดทน หรือถ้าพูดตามธรรมดาว่า "เหนียว" ไว้ อดทนในความดี ทำให้ดี เหนียวไว้ในความดีแล้ว ภายภาคหน้าได้ผลแน่..."

ป้านุช
16-06-2012, 23:40
"...เคยพูดมาหลายแห่ง แล้วหลายเรื่อง อย่างเช่นความเลวต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทย การทุจริตคอรัปชั่นนั้นมี ถ้าแต่คนมีปณิธานที่จะไม่คอรัปชั่น ที่จะไม่ทุจริต และสะสมกำลังของตน สร้างตัวเองให้มีความรู้ ให้มีความแข็งแกร่ง และรักษาความรู้นั้น รักษาความแข็งแกร่ง ความมีปณิธานที่จะสร้างความดีสำหรับส่วนรวมและสำหรับส่วนตัว

ถ้ารักษาเหนียวไว้ในความดีนี้ ภายภาคหน้าความดีนั้นเกิดขึ้น เราก็ต้องรักษาความดีนั้นไปตลอด คนที่ยังมีอายุน้อยมีกำไร เพราะว่าสามารถที่จะถึงในภายหน้าในอนาคตได้ ถ้าเรารักษาความดีวันนี้จริง ๆ คือรักษาความดีที่สุจริต บริสุทธิ์แท้ ๆ รักษาไว้ได้ สิบปีข้างหน้าท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่มีหน้าที่สำคัญ งานการสำคัญ

ผู้ที่อยู่ในหน้าที่ในงานการสำคัญจะเป็นคนสุจริต จะเป็นที่ไม่คอรัปชั่น เป็นที่มีวิชาความรู้ก็สร้างบ้านเมืองได้ มีอิทธิพล ยิ่งยี่สิบปีข้างหน้าคนที่มีความบริสุทธิ์ใจที่รักษาไว้ ที่เหนียวไว้จะมีมากขึ้น แล้วคนเลวก็ต้องถอย เมืองไทยก็จะมีแต่คนที่บริสุทธิ์ใจ แต่ก็เป็นความหวัง จึงขอวิงวอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า ต้องเรียน ต้องหาวิชา ต้องสร้างตัวเอง มีความคิดพิจารณาที่รอบคอบ และเหนียวไว้ในความดีบริสุทธิ์ จึงจะทำให้งานที่ทำ ปณิธานที่ตั้งไว้ในระยะนี้เป็นผล เกิดเป็นประโยชน์ก็ขอพูดแค่นี้ ขอให้การที่ทุกคนได้มีความสามัคคี มีความตั้งใจที่ดี มีความเข้มแข็ง ช่วยซึ่งกันและกัน ช่วยส่วนรวมเช่นนี้ เป็นผลทำให้ประสบความสำเร็จที่แท้จริง ที่บริสุทธิ์และขอให้ทุกคนมีกำลังใจ กำลังกายต่อเนื่องไปเวลานาน ประสบแต่ความที่ดี ความที่งาม ประสบความสำเร็จทั้งในการศึกษา ทั้งในกิจการเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของส่วนรวม และความเจริญรุ่งเรืองของแต่ละคน ขอจงมีความสุข ความเจริญทุกประการ..."

ป้านุช
27-06-2012, 00:06
๔๑
หยุดคิดสักนิด

"...หยุดคิดสักนิดเดียวก็พอ คือว่าเรามีปัญหาอะไร
แทนที่จะอ้าปากทันทีที่จะพูดไป เราหยุดคิดสักนิด
ถ้าฝึกไว้ดี ๆ แม้แต่วินาทีเดียวก็พอ แล้วก็ไม่ทำผิด..."

ป้านุช
27-06-2012, 00:44
"...ทุกทวีปในโลกนี้มีการทะเลาะกันอย่างร้ายแรง แล้วเขาได้รับประโยชน์อะไรไหม ทุกคนก็ตายกันหมด อย่างที่เขาตายเป็นแสน แล้วก็มีหวังจะตายเป็นล้าน มีประโยชน์อะไร ของเราอย่าไปเอาอย่าง เราเอาอย่างมานานแล้ว เราทำตัวอย่างมามากแล้ว ตอนนี้เราอย่าไปเอาอย่างที่เขาทำกันให้ดูในทวีปทั้งหมด ก็ที่เอ่ยว่ามีทั้งทวีปอาฟริกา อเมริกา เอเชีย แล้วก็ยุโรป ตีกันทั้งนั้น ขออย่าให้เป็นอย่างนั้น

ถ้าไม่ให้เป็นอย่างนั้น หมายความว่าทุกคน จะเป็นข้าราชการ จะเป็นพ่อค้าประชาชน เป็นใครก็ตามที่ถือตัวว่าเป็นคนไทย ต้องมีความคิดหน่อย ให้มีความคิดที่เรียกว่าใช้ปัญญาเฉียบแหลมหน่อย หยุดคิดสักนิดเดียวก็พอ คือว่าเรามีปัญหาอะไร แทนที่จะอ้าปากทันทีที่จะพูดไป เราหยุดคิดสักนิด ถ้าฝึกไว้ดี ๆ แม้แต่วินาทีเดียวก็พอ แล้วก็ไม่ทำผิด เมื่อไม่ทำผิดแล้ว เรื่องนั้นก็ไม่เกิดเป็นเรื่องร้าย เป็นเรื่องดีทั้งนั้น ที่ขออย่างนี้เพราะว่ามาเห็นข่าวต่าง ๆ ทั่วโลกมันน่าเศร้าที่สุด

ถ้าหากว่าเราประเทศไทยสักประเทศหนึ่งในโลกมีความสงบมันก็จะดี ตอนนี้เราจะเป็นตัวอย่างสำหรับประเทศอื่น เราไม่ต้องทำอะไรอื่น เราทำอะไรให้คิดให้ดี ๆ แล้วจึงทำ ทำไป จึงจะถือได้ว่าเป็นไทย..."

ป้านุช
27-06-2012, 00:57
"...นี่ก็ได้มาพูดเรื่องราวยืดยาว ทั้งเล่านิทาน ทั้งเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ก็นึกว่าถ้าหากท่านทั้งหลายช่วยกันคิด อะไรที่ผ่านมาก็ถือว่าผ่านไปแล้ว ถ้าพูดอย่างนี้ก็อาจจะว่าไม่ถูก แต่ว่า "ผ่านไปแล้ว" หมายความว่า ถือบทเรียนของเรื่องนั้น ๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นผลต่อไป เป็นผล ผู้ใดทำอะไรก็เป็นผลทั้งนั้น

แต่ว่าอย่ามาตั้งเป็นเงื่อนไขมากเกินไปเท่านั้นเอง ทำอะไรที่สร้างสรรค์ แล้วทุกคนจะสบาย ใช้ความคิดที่เรียกว่าสร้างสรรค์นี้ หมายความถึงความคิดที่ถูกตรง ที่ใช้ความรู้ ใช้ความที่เรียกว่าใจเย็น คือไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองจะได้อะไร ตัวเองจะไม่ได้อะไร แต่ว่าเรื่องจะสำเร็จเรียบร้อยสำหรับประเทศหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดสำหรับส่วนรวม ไม่ได้ห้ามที่จะเถียงกัน ต้องเถียงกัน ถกเถียงกันเท่าไหร่ เท่าไหร่ก็ได้ แต่ขอให้ถกเถียงกันด้วยเหตุและผล มีเหตุอะไรก็เป็นผลอย่างนั้น ฉะนั้นที่ได้ชักนิยายต่าง ๆ มาให้ฟัง เล่านิทานให้ฟัง เล่าเรื่องให้ฟัง ก็ความจริงสำหรับแค่นี้ ทุกคนก็คงเดาใจได้ว่า อยากจะพูดแค่นี้ "ขอร้องให้ทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่าให้เกิดเรื่องราว"

ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจและช่วยกันพิจารณา ช่วยกันสร้างสรรค์..."

ป้านุช
27-06-2012, 00:58
จบเล่มแล้วค่ะ