PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔


เถรี
16-01-2011, 15:21
ถาม : เดือนที่แล้วพาน้องชายไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม พอกลับมาไม่กี่วันเพื่อนเขาตาย เขาเดินมาบอกหนูว่า ผมคิดได้แล้วครับว่าไม่อยากเกิดอีก หนูควรจะสอนเขาต่ออย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็ดีแล้ว ในเมื่อไม่อยากเกิดก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากขึ้น ถึงเวลากำลังของศีล สมาธิ ปัญญา จะได้ส่งเราให้พ้นจากโลกนี้ ไม่ต้องมาเกิดอีก

ถาม : หนูกลัวว่าเขาโตไป เขาอาจจะไม่ถูกทาง
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป สิ่งที่ได้เริ่มทำเอาไว้ จะเป็นเหตุปัจจัยส่งผลให้เราก้าวเข้าไปสู่ความดีในภายภาคหน้าได้ทั้งนั้น แม้ว่าตอนกลางอาจจะคดบ้าง ท้ายสุดปลายก็จะตรงเอง

ถาม : ส่วนน้องชายอีกคน เขาไม่เอาอะไรเลย
ตอบ : ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาสักวันเดี๋ยวเขาก็เอาเองแหละ หวังดีแต่อย่าทำให้เขารำคาญ มีโอกาสก็แนะนำเขานิด ๆ หน่อย ๆ หรือไม่ก็ชวนเขาทำบุญ

ถาม : น้องชายคนเล็กเวลานั่งรถ เขาไม่มีอะไรทำก็บอกให้เขาสวดคาถาเงินล้านไป เขาก็ทำได้ แต่พออยู่ที่บ้านเขาสวดได้นิดหน่อย เขาบอกว่าอยู่บ้านเขาสวดไม่ได้ หนูอยากให้เขาสวดทุกวัน อย่างน้อยให้เขาสวดวันละกี่จบคะ ?
ตอบ : แรก ๆ เอาแค่ ๙ จบก่อน

เถรี
16-01-2011, 15:33
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สมาธิของเราไม่พอ ไม่ใช่นั่งสมาธิให้นานขึ้น แต่ต้องฝึกสมาธิให้ได้ระดับที่สูงขึ้น

ถาม : ถามพระ ท่านบอกว่าหนูอยู่ที่ฌานสี่ให้ถอยลงมา
ตอบ : ไม่ใช่หรอก ถ้าฌานสี่ต้องไปได้แล้วจ้ะ

ถาม : เป็นความรู้สึกว่า หนูได้กราบพระพุทธเจ้า นั่นเป็นแค่ความรู้สึกของเราเองหรือเปล่า ?
ตอบ : ให้รู้สึกได้ก็พอแล้ว อย่าเพิ่งเอารายละเอียดอะไรมาก

ถาม : หนูลองฝึกกสิณดู นอนฟังเทปและฝึกไปด้วย พอจะถึงกองที่สิบก็ปวดท้องขึ้นมา อีกทีก็ปวดหัวขึ้นมาทันที ยังไม่ใช่วาระที่เราจะฝึกหรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : อาจจะเป็นเพียงขันธมารมาขวางเท่านั้น ไปซ้อมบ่อย ๆ เรื่องพวกนี้ต้องขยัน ไม่ซ้อมบ่อยไม่ได้หรอกจ้ะ

ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : จ้ะ ทำไปเรื่อย ๆ แล้วกำลังจะสูงขึ้น ถ้ากำลังพอ บางทีไม่ต้องเสียเวลาฝึกหรอกจ้ะ จะไปเองเลย

ถาม : หนูควรจะทำทั้งสิบกองหรือคะ ?
ตอบ : อย่างเดียวก็พอจ้ะ ถ้าเราตั้งใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งจริงก็ไปนิพพานได้แล้ว มัวแต่ทำสิบกองอยู่เสียเวลาด้วยซ้ำไป

เถรี
16-01-2011, 19:55
ถาม : เจอเหรียญเก่าตกในบริเวณบ้าน จึงเก็บมา ตั้งใจจะวางไว้บนโต๊ะ
ตอบ : ถ้าบุคคลที่จิตละเอียดเขาจะไม่ถือว่าเป็นของเรา แบบเดียวกับพระโพธิสัตว์ที่เสวยพระชาติเป็นชายตัดฟืน ท่านไปเจอดอกบัวในป่า อยู่ในสระโบกขรณี ตั้งใจจะเก็บไปบูชาพระ พอเก็บดอกบัว ผีเสื้อน้ำตะโกนว่าขโมย พระโพธิสัตว์บอกว่าดอกบัวนี้เป็นของสาธารณะ จะเป็นขโมยได้อย่างไร ?

ผีเสื้อน้ำบอกว่า ถ้าคนอื่นเอาไม่ถือว่าขโมย แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องสอนบุคคลอื่นให้บรรลุธรรม ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำโดยสภาพจิตไม่เห็นว่าเป็นการขโมย แสดงว่ากำลังใจของท่านเองยังบกพร่องอยู่

ฉะนั้น..คนทั่วไปเอาไม่ถือว่าเป็นขโมย แต่ถ้าพระโพธิสัตว์เอาถือว่าเป็นขโมย เพราะจะต้องไปเป็นครูเขา


ถาม : อยู่ในบริเวณบ้านเรา และเป็นเหรียญเก่าจนมองไม่เห็น หนูเลยรีบเอาไปถวายพระทันที
ตอบ : ไปถวายพระก็ถวายไป แต่อย่าเอาไปเป็นของตัวเอง

เถรี
16-01-2011, 20:31
ถาม : ที่บ้านโรยทรายเสกของหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้แล้ว แต่ยังมีตะขาบเข้าไปได้ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร อะไรที่เข้ามาแล้วไม่เป็นอันตราย จะเข้าออกได้ แต่ถ้าเข้ามาทำอันตรายมีตายให้เห็นกันมาแล้ว

เถรี
16-01-2011, 20:53
ถาม : เล่าเรื่องย้ายศาลให้คนในบ้านฟัง เขาไม่อยากย้ายเพราะเป็นศาลของซอย เจ้าที่แรงมาก ใครผ่านมาจะต้องไหว้กราบ
ตอบ : ถ้าหากเป็นของส่วนรวมก็ปล่อยเขาไปสิ อาตมานึกว่าเป็นศาลของบ้าน

ถาม : เป็นศาลของบ้านค่ะ แต่เขาถือว่าเป็นของซอยไปแล้ว
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ยกให้เขาไป อย่าลืมบอกท่านก็แล้วกันว่า สงเคราะห์ผมให้มากกว่าคนในซอยด้วยนะครับ

เถรี
20-01-2011, 11:50
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนเวลาอาตมาเข้าป่าเข้าดง เมื่อต้องการความปลอดภัยจะใช้อยู่สองวิธี วิธีหนึ่งคืออาศัย พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขีดเป็นวงล้อมบริเวณนั้น แต่ตอนช่วงเช้าต้องลบทิ้งนะ ถ้าไม่ลบทิ้ง เดี๋ยวพวกท่านที่อาศัยอยู่แถวนั้นจะเข้าออกกันไม่ได้

หรือไม่ก็ใช้คาถาอิติปิโสแปดทิศ เสกดินหรือหินก็ได้แปดก้อน โยนไปแปดทิศ ในช่วงบริเวณที่ก้อนหินไปถึง ก็จะเป็นเขตปลอดภัยของเรา ถ้าเวลากลางคืนจะไปห้องน้ำห้องส้วมก็อย่าไปให้พ้นเขตนั้น แต่กรณีนี้จะต้องอธิษฐานว่า ถ้าตะวันขึ้นแล้วขอให้หมดอานุภาพ ไม่เช่นนั้นเขตนั้นก็จะกลายเป็นเขตหวงห้ามไปโดยปริยาย

แต่อย่างครูอี๊ด(พนมเทียน = คุณฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ)ท่านจะใช้มีดหมอ ถึงเวลาก็อธิษฐานเอามีดหมอปักดินฝากแม่ธรณีไว้เลย ถ้าจะมีอันตรายเกิดขึ้น มีดหมอจะสั่นสะเทือนขึ้นมาให้รู้สึกตัวตื่นทันก่อนเสมอ"

ถาม : สะเทือนแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : ก็ขนาดทำให้คนปักมีดรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่คนที่เขาตั้งใจปลุกจะต้องตื่น

เถรี
20-01-2011, 12:00
วันศุกร์ ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) ได้พาเพื่อนชาวเยอรมันมากราบพระอาจารย์ ชาวต่างชาติผู้นี้เห็นพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เกิดความสนใจ จึงถามพระอาจารย์โดยมี ดร.เก้าเป็นล่ามให้

ถาม : พระเขี้ยวแก้วมาได้อย่างไร ?
ตอบ : อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้เหมือนกัน ว่ามาได้อย่างไร

ถาม : เพื่อนเขาบอกว่า ปกติกระดูกคนก็เป็นคาร์บอนธรรมดา
ตอบ : วัตถุทุกอย่างที่แตกต่างกันนั้น เกิดจากการจัดเรียงโมเลกุลภายในวัตถุนั้นต่างกัน คราวนี้บุคคลที่ปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง พลังงานของท่านจะไปจัดเรียงโมเลกุลของตนเองใหม่ ถึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็จัดใหม่ไปแล้ว เมื่อพลังงานนั้นไปจัดเรียงโมเลกุลใหม่ ถึงเวลาแล้วก็จะเกิดความต่างจากบุคคลทั่วไปที่ยังทำไปถึงตรงนั้นไม่ได้

บุคคลที่ฝึกพลังจิตไปจนถึงระดับหนึ่ง จะเกิดการชะล้างและเปลี่ยนแปลงภายใน จะทำให้กระดูกจากที่เป็นคาร์บอนทั่วไป สามารถเปลี่ยนสภาพได้ พลังงานส่วนนี้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น ที่ท่านต้องการจริง ๆ ก็คือ ใช้พลังงานมหาศาลนี้ในการปรับสภาพจิตใจของบุคคลทั่วไป ที่ปกติอยู่ภายใต้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ท่านจะใช้พลังงานตัวนี้เพื่อก้าวพ้นความรัก โลภ โกรธ หลงนี้ไป จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากเกิดแล้วเกิดอีก

สิ่งเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นเป็นแค่ผลพลอยได้ แต่สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คือ ซักฟอกจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส บรรดาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติถึงแล้ว กระดูกเป็นแก้วอย่างนี้มีมากมาย ถ้ามีโอกาสก็พาเพื่อนไปดูตามพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ต่าง ๆ บ้าง

พลังจิตที่ท่านฝึกได้จนถึงที่สุดแล้ว ความมากมายมหาศาลของกำลังจิตนั้น จะเปลี่ยนสภาพจิตจากที่ไม่ดีให้กลายเป็นดี ทำให้สิ่งรอบข้างพลอยเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีไปด้วย กลายเป็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติเท่านั้น เป้าหมายใหญ่จริง ๆ ก็คือ การชำระใจให้หมดจากกิเลส อย่างอื่นเป็นของแถมทั้งหมด คุณเองก็ทำได้..!

ถาม : เพื่อนเขาบอกว่าจะลองดู..!
ตอบ : บอกเขาให้ค่อย ๆ ทำไป พอถึงเวลาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสภาพร่างกายก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพของจิตใจที่ดีขึ้นนั้น

โยมเขาน่ารักมาก เป็นชาวต่างชาติต่างภาษายังพยายามจะศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติ

เถรี
20-01-2011, 12:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามีโอกาส ให้ลองไปอ่านดูในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ ท่านกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้า มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ เกิดจากการสร้างบุญอะไรมาบ้าง ?

ถ้าอย่างพวกเรามีกำลังใจเหมือนหนุ่มเยอรมันคนนั้นไหม ? พอเห็นพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เขาสงสัยว่ากระดูกคน แม้กระทั่งฟันซึ่งเป็นคาร์บอน จะเป็นแก้วได้อย่างไร ? พออธิบายให้เขาฟัง เขาอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ขอวิธีทำ สุดยอดจริง ๆ

อาตมาชอบใจฝรั่ง ตรงที่แต่ละคนเขาได้รับการอบรมมาในลักษณะที่ทำอะไรก็ทำจริง ฉะนั้น..เวลาฝรั่งปฏิบัติธรรมมักจะได้ผลมากกว่าพวกเรา พวกเราอยู่ในลักษณะจับจด ไม่แน่นอน ประเภทหนูอยู่บนถังข้าวสาร คิดว่าจะกินเมื่อไรก็ได้ ส่วนพวกเขาเป็นหนูท้องกิ่ว มาถึงก็กินกระจายเลย..!"

เถรี
20-01-2011, 13:00
ถาม : หลวงพ่อฤๅษีมีลักษณะใดเป็นมหาปุริสลักษณะบ้างไหมคะ ?
ตอบ : ดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านกราบขอขมาและขออนุญาตวัดร่างกายหลวงปู่ปาน ก็คือ ร่างกายของหลวงปู่ปานช่วงซ้ายกับช่วงขวาจะเท่ากัน ช่วงบนกับช่วงล่างเท่ากันพอดี

ลักษณะที่ตำราบอกว่า พระพุทธเจ้าจะมีพระวรกายเหมือนกับต้นไทร ก็คือ ด้านกว้างกับด้านสูงจะมีขนาดเท่ากัน หลวงพ่อลองวัดจากกลางอกขวาไปสุดแขนขวา วัดจากอกซ้ายไปสุดแขนซ้าย วัดจากสะดือขึ้นถึงศีรษะ จากสะดือลงสุดปลายเท้า สรุปว่าเท่ากันหมด ทดสอบได้แน่ ๆ ว่า มหาปุริสลักษณะมีจริง ๆ

เรื่องพวกนี้เป็นของยาก ถ้าไม่จำเป็นก็ไปทางลัดดีกว่า แค่จะสู้กับกิเลสชาติหนึ่งก็สาหัสแล้ว ถ้ายังต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ยาก บำเพ็ญบารมีมาอย่างต่ำก็ ๒๐ อสงไขยกัป

อย่างพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ บาลีเขาบอกว่า จิตติตัง สัตตสังเขยยัง แค่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ ๗ อสงไขยกัป นวสังเขยยะ วาจะกัง เอ่ยปากจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขยกัป รวมเป็น ๑๖ อสงไขยกัปแล้ว หลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกาย วาจา ใจ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับ ๑ แสนมหากัป เพราะฉะนั้น..อย่างน้อยเจอไป ๒๐ อสงไขยกัปนะจ๊ะ ไม่ใช่แค่ ๔ อสงไขยกับอีก ๑ แสนมหากัปเท่านั้น แค่กัปเดียวก็เกิดจนนับไม่ถ้วนแล้ว

เถรี
20-01-2011, 13:19
ถาม : ช่วงปีใหม่ลูกน้องเอารังนกมาให้เจ้านาย เจ้านายเขาบอกว่าไม่อยากได้รังนก เขาอยากได้เหล้า เขาให้เงินลูกน้องไปซื้อ แต่ดิฉันกลัวว่าจะผิดศีล ?
ตอบ : ซื้อก็ไม่ผิดศีล ขายก็ไม่ผิดศีล ต้องกินถึงจะผิดศีล ถ้าเราไม่ได้เปิดขวดแล้วบีบปากเขากรอกลงไป เราก็ยังไม่ผิดศีล

เพียงแต่พระพุทธเจ้าบอกว่า การให้เหล้าเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ ให้ไปไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

เถรี
20-01-2011, 13:32
พระอาจารย์ถามพวกเราว่า "พวกเราจะไปนิพพานใช่ไหม ? มั่นใจหรือยัง ? จะไปแน่นอนแล้วนะ ? แล้วนิพพานอยู่ที่ไหน ? ไม่รู้จักไปไม่ได้นะจ๊ะ

ถ้าเขาบอกให้ไปอำเภอแม่ลาน มีใครรู้บ้าง อำเภอแม่ลานอยู่ที่ไหน ? ถ้าไม่รู้จักก็ไปแม่ลานไม่ถูก ถ้าไม่รู้จักนิพพานก็ไปนิพพานไม่ถูก อำเภอแม่ลานอยู่จังหวัดสงขลา

อันดับแรก เราต้องรู้เป้าหมายก่อน เป้าหมายคือนิพพาน เมื่อกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนแล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่าทางไปคืออะไร ? คราวนี้ทางไปพระพุทธเจ้าบอกไว้ชัดแล้ว ก็คือ มรรคแปด ย่อลงมาเหลือศีล สมาธิ ปัญญา

คราวนี้ไม่ต้องย่อ ลองเอาเต็ม ๆ ดูซิ..มรรคแปดประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง เห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรที่เป็นที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ สัมมาสังกัปปะ คิดได้ถูกต้อง เช่น คิดไม่พยาบาท คิดไม่เบียดเบียนเขา คิดออกจากกาม คิดจะหลุดพ้นไปนิพพาน

สัมมาวาจา พูดได้ถูก อย่างเช่นว่า ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อ สัมมากัมมันตะ ปฏิบัติได้ถูก ก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย เป็นต้น สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตได้ถูก คือ ทำมาหากินได้ถูกต้องทั้งกฎหมายและศีลธรรม ไม่เบียดเบียน ลักขโมย ช่วงชิง ฉ้อโกงใครเขามา

สัมมาวายามะ เพียรพยายามได้ถูก คราวนี้เริ่มยากแล้ว ถามว่าเพียรอะไร ? เพียรในการละความชั่วในใจของเรา เพียรระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นในใจของเรา ก็คือ ตัดความชั่วออกไปให้ได้ แล้วระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นมาอีก เพียรสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา และเพียรรักษาความดีให้อยู่ในใจของเราไว้ อันนี้ก็คือ ทำดีให้ได้ แล้วรักษาดีให้อยู่

เริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ"

เถรี
20-01-2011, 13:43
"ต่อไปก็ สัมมาสติ ตั้งสติไว้ถูกต้อง ก็คือ มีความรู้ตัวอยู่เสมอ เช่น รู้ตัวว่าเราจะต้องตาย ตายแล้วเราจะไปไหน โดยเฉพาะท่านให้ตั้งสติไว้ในสติปัฏฐานทั้งสี่ คือ กำหนดรู้กายทั้งภายในและภายนอก กำหนดรู้เท่าทันเวทนาทั้งสุขและทุกข์ ทั้งไม่สุขและไม่ทุกข์ กำหนดรู้จิตในจิต สิ่งต่าง ๆ ที่คำนึงครุ่นคิดอยู่ จะดีหรือชั่ว ต้องกำหนดรู้เท่าทันทั้งหมด และกำหนดรู้ธรรมในธรรม คือ ธรรมารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของตน เช่น นิวรณ์ ๕ เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายทั้งหมดนี้ กำหนดรู้เท่าทัน รู้แล้วปล่อยวาง ไม่ใช่รู้แล้วแบกเอาไว้ ท้ายสุด สัมมาสมาธิ ตั้งสมาธิไว้ถูกต้อง ก็คือ สมาธิที่เราทรงในระดับฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถ้าหากยังไม่ถึง ก็ไม่จัดเป็นสัมมาสมาธิ เพราะไม่สามารถใช้ในการตัดกิเลสได้

คราวนี้มีปัญหามาอีกตรงที่ว่า กิเลสหน้าตาเป็นอย่างไร ? ตายแล้ว..เตรียมอาวุธไว้เต็มที่เลย แล้วจะไปตีกับใคร มีใครรู้บ้าง กิเลสมีกี่อย่าง ? ตอบได้ไหม ?

กิเลสมีอยู่ ๓ อย่าง หรือ ๓ ระดับด้วยกัน อันดับแรกเขาเรียกว่า วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสที่เราล่วงละเมิดแล้วเกิดความชั่วด้วยกาย ด้วยวาจาของเรา อย่างเช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การดื่มสุราเมรัย การพูดโกหก ถ้าล่วงละเมิดอย่างนี้เมื่อไร เรียกว่า วีติกกมกิเลส"

เถรี
20-01-2011, 14:27
"อย่างที่สอง เป็นกิเลสที่คุกรุ่นอยู่ในใจของเรา เหมือนภูเขาไฟรอวันระเบิด เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส อย่างเช่นนิวรณ์ ๕ มี กามฉันทะ ครุ่นคิดถึงในกาม พยาบาท โกรธเกลียดอาฆาตแค้นคนอื่น ถีนมิทธะ ง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่าน รำคาญ หงุดหงิด ท้ายสุด วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยว่าผลการปฏิบัติจะมีจริงหรือไม่จริง ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริงหรือเปล่า ?

ถ้าหากเราไม่สามารถจะหยุดปริยุฏฐานกิเลสนี้อยู่ ไม่สามารถจะห้ามเอาไว้ได้ได้ พอล้นออกมาเมื่อไรก็จะเป็นวีติกกมกิเลส ก็คือจะทำผิดศีลทันที

ตัวสุดท้ายเรียกว่าอนุสัยกิเลส จะเป็นเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ก็คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจของเรา เหมือนตะกอน
น้ำที่นอนก้นอยู่

ปกติเราเห็นว่าน้ำใส แต่เกิดจากการที่ยังไม่มีสิ่งที่มากระทบ ถ้ามีสิ่งที่มากระทบเมื่อไร น้ำนั้นจะขุ่นขึ้นมาทันที แบบเดียวกับลูกศิษย์หลวงปู่สด วัดปากน้ำ ลูกศิษย์คนนี้เป็นเศรษฐีนี รวยมาก ทำมาหากินก็เครียดตามปกติ ได้ยินว่าหลวงปู่สดเก่งมาก สามารถแก้ไขปัญหาทั้งทางโลกและทางธรรมได้ ก็ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็สอนให้ภาวนาสัมมาอะระหัง กำหนดตั้งแต่ดวงปฐมมรรคไล่ไปเรื่อย

จนตัวเองปฏิบัติก้าวหน้าดี จากคนที่อารมณ์ร้ายชนิดที่คนใช้ในบ้านทำอะไรผิด ก็โดนด่าไปสามวันสามคืน วันนั้นคนใช้ทำแก้วเจียระไนตกแตกทั้งชุดเลย ปรากฏว่าแกเฉย แกก็แปลกใจตัวเองว่าทำไมเป็นอย่างนี้ จึงไปเล่าให้หลวงปู่สดฟังว่า "ดิฉันหมดกิเลสแล้วค่ะ วันนี้คนใช้ทำแก้วเจียระไนที่รักมาก ตกแตกทั้งชุด ดิฉันยังไม่มีความโกรธเลย"

หลวงปู่สดบอกว่า "อย่าเพิ่งไว้ใจนะ"
"จริง ๆ เจ้าค่ะ จนป่านนี้ก็ยังไม่โกรธเลย"

"อย่าเพิ่งไว้ใจ เพราะอาจจะกำเริบอีกเมื่อไรก็ได้"
"ไม่กำเริบแน่นอนค่ะ จนป่านนี้ดิฉันยังไม่มีความรู้สึกเลย"

"อีตอแหล..พูดขนาดนี้ยังไม่รู้จักฟัง..!"
"อ้าว..ทำไมท่านพูดอย่างนี้ละเจ้าคะ นี่ท่านด่าดิฉันแล้วนะคะ..!"

หลวงปู่ท่านถามยิ้ม ๆ ว่า "คราวนี้เป็นอย่างไร ? กำเริบแล้วใช่ไหม ?"

กิเลสที่นอนนิ่งอยู่ เพราะโดนอำนาจของสมาธิกดเอาไว้ ถ้าไปกวนไม่ถูกจุดก็ยังไม่เกิดขึ้น"

เถรี
20-01-2011, 19:34
"เมื่อเรารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเราหน้าตาเป็นอย่างไร วีติกกมกิเลส ที่ล่วงละเมิดออกมาทางกายและวาจา เราก็ใช้ศีลเป็นเครื่องตีกรอบบังคับไว้ ใจเราอยากฆ่าสัตว์ ก็ต้องตัดใจอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ไม่ฆ่า ยอมตายดีกว่าศีลขาด อยากลักขโมยจนใจจะขาด นั่งเหงื่อตกอยากได้ของเขาก็ไม่ขโมย มีโอกาสล่วงละเมิดลูกเขาเมียใคร ก็ฝืนใจ อดใจเอาไว้ มีโอกาสที่จะโกหกหลอกลวงใคร ก็ห้ามใจตัวเองไว้ อยากจะดื่มสุราเมรัยก็หักห้ามใจตัวเองเอาไว้

ถ้าทำอย่างนี้ได้ ก็แปลว่า กิเลสชั้นแรกที่เป็นของหยาบ เราพอที่จะสู้ได้แล้ว แต่กิเลสนั้นยังไม่ตาย เราแค่ล้อมคอกกันเอาไว้ได้เท่านั้น เท่ากับว่าอันดับแรก เราล้อมคอกกันตัวกิเลสหยาบไว้ได้แล้ว

ไปต่อก็ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่กรุ่นอยู่ในใจของเรา ทำอย่างไรที่จะเอาให้อยู่ ? คำตอบง่ายมากเลย ก็คือใช้กำลังของสมาธิเข้าข่มเอาไว้ อย่างที่คุณนายท่านนั้นเขาทำ พอทำไปทำมา เหยียบกิเลสแบนอยู่ใต้ตีน แต่ก็ยังไม่ตาย เพียงแค่นิ่งสงบไปชั่วคราวเท่านั้น เผลอหลุดเมื่อไรมาใหม่แน่ ตรงนี้ต้องใช้กำลังของสมาธิช่วยเป็นอย่างมาก

พอท้ายสุดคือ อนุสัยกิเลส ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เห็นว่า กิเลสเหล่านี้นั้นเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร จะได้เบื่อหน่าย สลัดทิ้งไปเสียที

กามราคานุสัย อนุสัยเกี่ยวกับกามราคะ พาเราสร้างโลก สร้างกิเลส สร้างตัณหาทุกประการให้แก่เรา เป็นอย่างนี้มาชาติแล้วชาติเล่าจนนับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะพอ ควรที่จะเข็ดหรือยัง ? ควรที่จะละ จะเลิกหรือยัง ?

ปฏิฆานุสัย อารมณ์กระทบต่าง ๆ ที่เข้ามา ตาเห็นรูป ชอบใจก็เป็นราคะ ไม่ชอบใจก็เป็นโทสะ กิเลสหลอกกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส โดนเหมือนกันหมด กระทบเมื่อไรถ้าสติตามไม่ทันกิเลสเกิดทันที พาเราเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะเข็ดกันที พอกันทีหรือยัง ?

อวิชชานุสัย ความโง่ที่สิงใจของเราอยู่ ยังเห็นว่าการเกิดนี้ดี ยังเห็นว่าโลกนี้ดี ยังเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไรแล้วยังมีความรู้สึกชอบ ยังมีความรู้สึกพอใจ ถ้าเป็นแบบนี้เราเสร็จเขาแน่ ๆ"

เถรี
20-01-2011, 23:27
"เพราะฉะนั้น..ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นรากเหง้าใหญ่ที่จะพาให้เราทุกข์ ต้องเกิดมาไม่รู้จบ เราควรที่จะเลิกคบกันเสียที ก็ตั้งหน้าตั้งตาใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยร่างกายนี้เป็นคูหาคือที่อาศัย

ถ้าปราศจากร่างกายนี้อย่างเดียว กิเลสก็ไม่มีอะไรที่จะอาศัยอยู่ได้ ก็จะไปเข้าจุดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อนัตตา ความไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีตัวแล้วกิเลสจะมาทำอะไรเราได้หรือเปล่า ? ก็ทำไม่ได้

สมมติว่ากิเลสจะผูกเรา เรามีมือ กิเลสก็ผูกเราได้..ใช่ไหม ? แต่ถ้าเราไม่มีมือเล่า ? กิเลสจะเอาอะไรมาผูก ? ฟังดี ๆ นะ..นิดเดียวแค่นั้น วันนี้ถ้าหากใครทำได้หลุดพ้นเลย ทั้งหมดก็มาลงตรงนี้ อนัตตา

แต่คนเรามาถึงก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาถึงความไร้ตัวตน เมื่อครู่ที่ถามในตอนแรกว่ารู้จักนิพพานไหม ? ถ้าเราไม่รู้จักแล้วจะไปอย่างไร ? ตรงนี้เราต้องมองย้อนกลับ ในเมื่อเป็นอนัตตาก็เลยทุกขัง คือ ไม่มีตัวตนแต่เราไปยึดถือว่ามีเราก็ทุกข์ และ ในเมื่อไม่มีตัวตนเราไปยึดถือว่ามีก็เลยอนิจจัง ไม่เที่ยง

เราลองมาคิดดูว่า ถ้าเป็นอัตตาเล่า ? ก็ต้องสุขขัง แล้วก็ต้องนิจจัง ก็คือ ถ้าเป็นตัวตนที่มั่นคงก็ต้องมีแต่ความสุข ก็จะต้องมีแต่ความเที่ยง นี่แหละนิพพาน..!

เราวิ่งมาถึงนี่ คือตัวที่ต้องตัดทิ้ง (อนิจจัง --> ทุกขัง ---> อนัตตา) แต่ถ้าเราวิ่งย้อนกลับมาเมื่อไร ก็คือ สภาพสภาวะนิพพานที่เราต้องไปถึง (อัตตา ---> สุขขัง ---> นิจจัง) แต่คราวนี้ทำอย่างไรที่เราจะไม่พลาดไปยึดเป็นอัตตา เพราะว่าอัตตาตรงนี้เป็นปรมัตถ์สัจจะ ไม่ใช่สมมติสัจจะ

ถึงจะเป็นปรมัตถ์สัจจะ แต่ถ้าเราไปบอกว่าเป็นอัตตา คนอื่นก็จะเถียงว่าเป็นอนัตตา พระพุทธเจ้าท่านจึงอธิบายว่านิพพานเป็นสถานที่พิเศษ พระองค์ท่านตรัสว่า

"ดูก่อน..ภิกขุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่พระจันทร์ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ.."

ในเมื่อไม่ใช่สิ่งสมมติทั้งหลายเหล่านี้ จึงไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา เพราะถ้ากล่าวเป็นอัตตาก็ต้องเป็นอนัตตา ก็จะค้านกับคำสอนของพระองค์ท่านเอง"

เถรี
20-01-2011, 23:33
"เพราะฉะนั้น..ตรงจุดนี้ถ้าเรามองย้อนกลับเพื่อจะได้รู้จักพระนิพพาน เราจะต้องเข้าใจนะว่าเป็นคนละระดับกัน คือ เป็นระดับของปรมัตถธรรม ไม่ใช่สมมติสัจจะทั่ว ๆ ไป

ในเมื่อเราย้อนกลับ ถ้าเป็นอนัตตาก็ไม่มีอะไรผูกพันเราได้ พอรอดพ้นไป เราก็จะเข้าถึงอัตตาที่แท้จริงคือนิพพาน แต่ตรงนี้ท่านไม่ใช้คำว่าอัตตานิพพาน ท่านใช้คำว่าพระนิพพาน ตรงจุดนี้เราจะต้องมีสัมมาทิฏฐิที่ชัดเจนที่สุด ถ้าสัมมาทิฏฐิไม่ชัดเจนเมื่อไร เราจะติดอยู่ตรงนี้ทันทีเลย ขอเปรียบเทียบหน่อยนะ..

เรามีมือใช่ไหม ? ..ใช่ครับ.. แล้วลิงมีมือไหม ? ..มีครับ..

ถ้ามีมือ..เราโดนผูกมือได้ ลิงมีมือ..ลิงก็โดนผูกมือได้เหมือนกัน..ใช่ไหม ? ..ครับ.. ถูกต้องไหม ? ..ถูกต้องครับ.. แน่ใจนะ ? ..แน่ใจครับ..

ลิงเป็นสัตว์สี่เท้าใช่ไหม ? ..อ้าว..?? แล้วลิงจะเอามือที่ไหนมา ? ลิงมีแต่ขาสี่ข้าง แล้วเราจะไปผูกมือลิงได้อย่างไร ?

นี่คือสิ่งที่จะเปรียบเทียบให้ฟังว่า ตัวมิจฉาทิฏฐินั้น ถ้าเข้าใจผิดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะทำให้เรามุ่งไปผิดเป้าได้ ลิงเป็นสัตว์สี่เท้า ไม่มีมือ แล้วเราจะเอาอะไรไปผูกมือลิงได้ ลิงมีแต่ขาหน้ากับขาหลัง

ถ้าเราเข้าใจว่าลิงไม่มีมือ นี่คือสัมมาทิฏฐิ แต่ตอนที่เราเข้าใจว่าลิงมีมือ ก็คือมิจฉาทิฏฐิ ต่างกันอยู่แค่นี้เอง"

เถรี
20-01-2011, 23:37
"ในเมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสภาพร่างกายนี้โดยจริงแท้แล้วไม่มีอะไร เป็นเพียงดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น ในเมื่อไม่มีอะไร แล้วรัก โลภ โกรธ หลงที่ไหนจะมาร้อยรัดเราได้เล่า ?

ก็ทั้งหมดเป็นเพียงสมบัติของร่างกาย รัก โลภ โกรธ หลง จะมีอยู่ได้ก็เพราะอาศัยร่างกายนี้ เมื่ออยากจะมีก็มีไปสิ อยากจะอยู่ก็อยู่ไปสิ เพราะนั่นเป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา เราอย่าเอาใจไปยุ่งด้วยก็พอ เพราะว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีอะไรเป็นของเราเลย

ในเมื่อใจเราไม่ไปยุ่งด้วย เรารู้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่น้อย แล้วกิเลสอะไรจะมาร้อยรัดมัดเราได้ ? ต่อให้เป็นต้นตระกูลของกิเลส ๑๘ ชั่วโคตรก็มัดเราไม่อยู่หรอก..!

ดูท่าของขวัญปีใหม่นี้จะยากจัง แต่ความจริงแค่มองเห็นชัดนิดเดียวเท่านั้น..นิดเดียวแค่ที่เราเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย ดีชั่วทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย

แต่ที่เราสร้างความดีเพราะเขาสมมติว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ทุกคนนิยมกันเราถึงทำ ที่เราละชั่วเพราะว่าทุกคนไม่พึงปรารถนาในความชั่วเราถึงละ เราทำดีเพราะรู้ว่าดีถึงทำ เราละชั่วเพราะรู้ว่าชั่วถึงละ แต่เราไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว เพราะไม่มีอะไรให้เกาะแล้ว แม้แต่สภาพตัวตนก็ไม่มี แล้วเราจะไปเกาะอะไรได้

ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะจบไหม ? ก็น่าจะจบนะ สรุปจบปิดบทสุดท้ายได้เลย วิทยานิพนธ์ผ่านแน่นอน"

เถรี
21-01-2011, 01:13
"ตรงที่เปรียบเทียบมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิ หลวงพ่อสมนึก (ท่านพระครูสุธรรมนาถ วัดปลักไม้ลาย) ท่านอธิบายให้ฟัง อาตมาโดนท่านหลอกมาเหมือนกัน ถึงเวลาผูกมือเราก็เลยผูกมือลิงไปด้วย ตรงนี้เป็นความรู้และเป็นความดีอย่างยิ่งของท่าน ที่ชี้ให้เห็นว่ามิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐินั้นต่างกันนิดเดียว

เพราะฉะนั้น..เรารู้แล้วว่านิพพานอยู่ที่ไหน รู้โดยที่ไม่ต้องไปฝึกอภิญญาด้วย เราแค่ย้อนทวน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลับไปเป็น นิจจัง สุขขัง อัตตา ก็เป็นนิพพานแล้ว แต่อย่าลืมว่าเป็นอัตตาในปรมัตถ์ธรรมนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไปยืนยันว่านิพพานเป็นอัตตาในระดับสมมติ จะกลายเป็นว่า ไปเถียงพระพุทธเจ้าเข้าเสียอีก..!

พวกเราเพียงแต่ขาดปัญญาอยู่นิดเดียว คือปัญญาที่เห็นแล้วตัดได้ ละวางได้ ก็แปลว่าในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องไปเร่งเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้ปัญญาของเราพอ จะได้ก้าวพ้นกิเลสกันเสียที"

เถรี
21-01-2011, 08:02
ถาม : ถ้าบ้านเรามีนกมาทำรังดีไหมคะ ?
ตอบ : ดีจ้ะ โบราณท่านว่า ถ้าแมวมาหา หมามาสู่ ถือว่าเป็นมงคล สัตว์สี่เท้า สองเท้า ไม่มีเท้า เข้ามาก็ใช้ได้ทั้งนั้น เขาเว้นอยู่สองอย่าง คือ มังกรทองกับหงส์ทอง

ถ้าเป็นมังกรทองกับหงส์ทอง โบราณเขาให้ไปจุดธูปเชิญลงจากเรือน มังกรทองก็คือตัวเงินตัวทอง หงส์ทองก็คือแร้ง..!

เถรี
21-01-2011, 08:03
ถาม : การที่เราจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง อยู่กับตัวเอง แล้วไม่โงหัวขึ้นมาดูคนรอบข้าง ไม่เงยขึ้นมาดูความเป็นจริง ก็เท่ากับว่าเราจมอยู่กับสมาธิในรูปฌานอรูปฌานด้วย ?
ตอบ : ก็ดี..จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจกับใครมาก แต่เป็นสังโยชน์ใหญ่สำหรับเราเท่านั้นเอง

ถาม : เราไม่ตั้งใจจะทรงสมาธิอะไรของเรา แต่ก็เป็นไปเอง
ตอบ : คิดว่าเราไม่เคยทรงมาสักชาติหนึ่งเลยหรือ ?

เถรี
21-01-2011, 09:44
ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิ เราใช้สะดือหายใจได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่สะดือโดยตรง ต่ำกว่าสะดือลงไปหน่อยหนึ่ง

ถาม : หายใจทางผิวหนังหรือคะ ?
ตอบ : ตรงนั้นจะเป็นจุดศูนย์รวม ถ้าเป็นพวกฝึกจักระ จะเป็นจุดจักกระสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ตรงนั้นหายใจแทนจมูกได้ ถ้าสังเกตเด็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดมาใหม่ ๆ เวลานอนแล้วเขาหายใจ ตรงจุดนั้นจะบุ๋มกว่าเพื่อน เพราะเขาเคยชินกับตอนที่อยู่ในท้องแม่ ที่ไม่ได้ใช้จมูกหายใจ แต่ถ้าเป็นท่านที่คล่องตัวในการทรงฌานจริง ๆ สามารถใช้ผิวหนังทุกส่วนหายใจแทนจมูกได้

ถาม : แล้วสมาธิระดับไหนจึงจะไม่ต้องหายใจ ?
ตอบ : ฌานสองขึ้นไป ความจริงยังหายใจอยู่ แต่จิตเราหยาบเกินไปจึงไม่รู้ถึงลมหายใจซึ่งเป็นปราณละเอียด

ถาม : ทำไมฌานสี่จึงรู้ว่าไม่ใช่จมูกหายใจ แต่เป็นตรงนั้นหายใจแทน ?
ตอบ : ถ้าหากคล่องตัวแล้วอย่างไรก็รู้ได้ ถ้ายังไม่คล่องตัวก็จะนิ่งเป็นตอไม้ไปเฉย ๆ

ถาม : ก็คือฌานใช้งานหรือคะ ?
ตอบ : ถูกต้อง

ถาม : แบบนี้ถ้าเราโดนฝังดินเราก็ไม่ตายสิคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็ไม่ตาย พวกโยคีเขาให้ทดสอบด้วยการเอาฝังดินเป็นวัน ๆ เขาตายไหมเล่า ?

เถรี
21-01-2011, 09:55
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องให้ฟังว่า "เรื่องพระของหลวงปู่โต วัดระฆัง อาตมาขอยืนยันว่า ถ้าเราท่องคาถาชินบัญชรด้วยความเคารพ ถึงเวลาท่านจะเสด็จมาเอง ไม่ด้วยวิธีการใดก็วิธีการหนึ่ง

ก่อนหน้านั้นอาตมาอยากได้พระสมเด็จวัดระฆัง แต่ราคาสูงมาก ไม่มีปัญญา ก็เลยใช้วิธีท่องคาถาชินบัญชร อธิษฐานขอท่าน ท่องไปเรื่อย ๆ ปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว ก็ยังไม่ได้ พอท่องไปเรื่อย ๆ กลายเป็นความเคยชิน ไปได้เอาปีที่ ๑๑ แต่องค์นั้นได้มาก็ไปทันที

คนให้มา คือ คุณมนตรี เชียงอารีย์ ตอนนั้นท่านเป็นป่าไม้จังหวัดอ่างทอง ที่บ้านเล่นของเก่าจนไม่มีที่จะเก็บ ขนาดต้องเอาเทวรูปมาตั้งอยู่หน้าประตู ท่านมอบของเก่าให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไปสามร้อยกว่าชิ้น

ตอนนั้นท่านบอกว่า ติดหนี้บุญคุณอาตมาอยู่ไม่รู้จะใช้อย่างไร ก็เลยขอถวายสมเด็จวัดระฆังองค์หนึ่ง ลูกศิษย์นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นก็สะกิด อาตมาก็ส่งต่อให้เดี๋ยวนั้นเลย ป่านนี้เขารู้หรือยังว่าได้อะไรไป..!

แต่เรื่องของการเล่นพระตามเซียน เราจะต้องหูหนัก จะต้องไม่ฝ่อง่าย ๆ และต้องพยายามศึกษาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเข้าไปในสนามพระ มีแต่สารพัดเสือสิงห์กระทิงแรด พอคนแรกส่องพระก็บอกว่าของปลอม คนต่อไปส่องก็บอกว่าปลอม ปลอมไปตลอด

แบบเดียวกับทิดเก๋ (สามียายผีป่า) เขาเอาไปให้ดู พวกเซียนว่าปลอมทั้งนั้น จนกระทั่งในที่สุด เขากลับมาจะขึ้นรถ มีคนตามมาสะกิด "พี่ ๆ ขายให้ผมสักสามหมื่นเถอะ ผมจะเอาไว้ดูเนื้อเป็นตัวอย่าง" นี่ขนาดของปลอมยังให้ตั้งสามหมื่น..!"

เถรี
21-01-2011, 10:26
"มีอยู่องค์หนึ่งได้มาแบบแปลกมาก ก็คือ มีโยมคณะหนึ่งแจ้งว่าจะมาถวายผ้าป่าที่เกาะพระฤๅษี คณะมีประมาณ ๒๐ คน ให้จัดอาหารกลางวันไว้ให้พวกเขาด้วย

ตอนนั้นที่เกาะก็เตรียมต้อนรับเขาอย่างดี ปรากฏว่าเขามาประมาณ ๕๐ คนได้ มาเป็นรถทัวร์เต็มคันเลย พอเลี้ยงเขาเสร็จเรียบร้อย เราก็ไม่เห็นผ้าป่า ปรากฏว่าเขามาขอยืมพานใบหนึ่ง นั่งเรี่ยไรกันตรงนั้นและได้มาไม่กี่บาท หลังจากนั้นเราก็แจกวัตถุมงคล เมื่อเรายถาสัพพีเรียบร้อย หัวหน้าคณะคิดอย่างไรก็ไม่รู้ เขาถอดสมเด็จวัดระฆังที่คอถวายให้ เขารู้สึกว่าผ้าป่าได้ปัจจัยน้อยเกินไป ก็เลยถวายมา

ตอนนั้นจิมมี่ (ลูกศิษย์หลวงพี่เอ) เขาขอ อาตมาก็เลยให้ไป เขาพอที่จะรู้จักเซียนพระอยู่ จึงเอาไปให้คุณเซ้งมณเฑียรดู ปรากฏว่าพวกเซียนเขาตะลึงตาค้าง เพราะเป็นของใหม่ในวงการแถมยังงามสุด ๆ เลย

เขาถามว่า "ได้มาจากไหน ?" จิมมี่บอกไปว่า "พระอาจารย์ให้มา"

เซ้งมณเฑียรเขาถามว่า "อาจารย์มึงรู้หรือเปล่าว่าเป็นพระอะไร ?" จิมมี่บอกว่า "อาจารย์ท่านสั่งไว้ครับว่า ถ้าใครให้ต่ำกว่า ๒๐ ล้านอย่าไปปล่อย..!" คุณเซ้งบอกว่า "ถ้ายี่สิบล้านกูให้เดี๋ยวนี้เลย..!"

จิมมี่ก็ยังไม่ยอมปล่อย คุณเซ้งจึงควักสมุดเช็กขึ้นมา แล้วบอกว่า "ไอ้หนู..มึงอยากเอาเท่าไรกรอกตัวเลขเอาเองเลย" เขาอยากได้ขนาดนั้น อาตมานึกแล้วก็ขำ ถามมาได้ว่าอาจารย์รู้หรือเปล่าว่าเป็นพระอะไร ถึงให้ลูกศิษย์มาง่าย ๆ

แต่เซียนพวกนี้เขามีความอดทนมาก ถ้าเขารู้ว่าพระอยู่กับใคร เขาจะเทียวไปเทียวมาอยู่นั่นแหละ ไปชวนคุยอยู่เรื่อย ๆ ตีสนิทเข้าไว้ มีของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย เดือนหนึ่งก็แล้ว ปีหนึ่งก็แล้ว ชวนคุยจนกว่าจะใจอ่อนยอมปล่อยให้เขาไป บางทีไปก็ไม่มีอะไรหรอก ไปขอส่องดูนิด ขอส่องดูหน่อย ขอดูไว้เป็นตัวอย่าง เป็นองค์ครู เขาก็ว่าไปเรื่อย"

เถรี
21-01-2011, 12:34
ถาม : ทำไมเซียนถึงให้ราคาพระขนาดนั้น ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับความพอใจ ถ้าคนเราพอใจเสียอย่าง ราคาเท่าไรก็ไม่แพง

คุณรู้หรือเปล่า ? เซียนพระที่ชื่อสุเทพ จิรวัฒน์สุนทร หรือฉายา "เทพ กำแพง" เขาเหมารังพระไปสามร้อยล้านบาท พูดง่าย ๆ ก็คือยกไปทั้งกรุเลย

ถ้าจำไม่ผิดเป็นของกำนันชูชาติ มากสัมพันธ์ "เทพ กำแพง" บุกทะลายรังไปเมื่อสามปีก่อนนี้เอง เขาตีราคารวมหมด ใหญ่เล็กเท่าไรไม่ต้องคิด ถ้าพอใจราคานี้เอาไปเลย

"เทพ กำแพง" เขาขออนุญาตทยอยจ่าย ถึงเวลาก็เอาไปปล่อยทีละองค์สององค์ องค์ไหนแบบไหนไหนที่มีใบสั่งมา ให้ราคาเท่าไรก็ทยอยปล่อยไป สรุปแล้วว่ายังได้กำไรอีกบานเบิก แถมยังมีพระดี ๆ เหลือเก็บไว้อีกต่างหาก ซึ่งเขาจะคัดเอาองค์สุดยอดชนิดที่มีหนึ่งเดียวในวงการเก็บไว้ ส่วนที่เหลือก็ทยอยปล่อยไป ได้กำไรงาม แถมได้ของดีที่เอาไปคุยได้ตลอดชีวิตไว้อีกต่างหาก

ถาม : เขาเอาเงินมาจากไหน ?
ตอบ : เอาเงินมาจากคนซื้อ เขาค่อย ๆ ทยอยปล่อย อย่างเมื่อปีที่แล้ว คุณวิชัย ศรีรักอักษร เจ้าพ่อคิงพาวเวอร์ บูชาพระเข้ากรุไปเกือบสามร้อยล้าน อย่างนี้แหละ..ที่เขาเรียกว่ามีใบสั่ง ถ้าพระสวยถูกใจ เอาไปเสนอได้เลย จ่ายไม่อั้น

อย่าง "เทพ กำแพง" พอเขาได้พระก็เอามาเสนอแล้วตกลงราคากัน เขาได้ไปทั้งกรุก็คัดเอาได้ แต่ที่ไปเสนอนั้นมักเป็นองค์สวยรองลงไป องค์ดีจริง ๆ เขาจะเก็บไว้เอง

ถาม : อย่างนี้วงการพระก็เป็นแหล่งฟอกเงินเลย..!
ตอบ : เป็นแหล่งฟอกเงินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะพวกข้าราชการระดับใหญ่ ๆ กับนักการเมืองมักจะใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน

หมายเหตุ : เทพ กำแพง จอมเทคโอเวอร์รังพระแห่งยุค
http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538663631&Ntype=40

เถรี
21-01-2011, 12:36
"ถ้าอยากรู้ว่าวงการพระเครื่องแสบแค่ไหน ต้องไปเข้าเว็บพลังจิต เราจะเห็นได้ชัดว่า แรก ๆ ทุกคนยังมีหิริโอตตัปปะ ยังมีศีลมีธรรมอยู่ แต่พอเรื่องของลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เข้ามา ก็ทำให้เบี่ยงเบนไปจากเดิม

บางราย แรก ๆ เอาพระไปปล่อยเพื่อทำบุญที่นั่นที่นี่ ตอนหลังพอเห็นรายได้ดีและตัวเองเอาของจริงมาจนเป็นที่เชื่อถือแล้ว ก็เอาของปลอมมาปล่อยเสียเลย คงไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นใคร เขาแทบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว..!"

เถรี
21-01-2011, 14:14
พระอาจารย์บอกว่า "สมเด็จพระพุทธทีปังกรและสมเด็จพระพุทธกัสสป พระองค์ท่านเป็นผู้ที่เลิศด้วยลาภมากที่สุดในจำนวนพระพุทธเจ้าด้วยกัน เพราะว่าพระองค์ท่านเริ่มการบำเพ็ญมาด้วยทานบารมี"

เถรี
21-01-2011, 14:23
ถาม : นักแข่งรถ เวลาเขานั่งอยู่ในรถ เขาจะทำตัวไม่มีตัวไม่มีตน นั่นคือการใช้อรูปฌานหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : การที่เขาจดจ่ออยู่แค่ว่าตัวเองทำอะไร โดยที่ไม่ได้คิดถึงว่าตัวเองจะเจ็บจะตายหรือเปล่า สมาธิต้องเป็นระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป ถึงจะทำได้

ถาม : แค่ปฐมฌานละเอียดหรือคะ ?
ตอบ : เพราะว่าพอถึงระดับนั้นแล้ว จิตกับประสาทเริ่มจะเป็นคนละส่วนกัน จะมุ่งงานเฉพาะหน้า ไม่ได้ใส่ใจในร่างกาย คนที่ทำได้ในระดับนี้ บางทีทำงานไประยะหนึ่งแล้วหมดสภาพไปเฉย ๆ เพราะว่าลืมพักผ่อน ประเภททำข้ามวันข้ามคืนไปเลย พอถึงเวลาจะพัก ตัวเองก็ไม่ไหวเสียแล้ว งานหมดก็หมดสภาพไปเลย เขาเรียกว่ายังหาจุดพอดีของตัวเองไม่เจอ


ฉะนั้น..กำลังใจที่มุ่งมั่นขนาดนั้น พอถึงเวลาจิตกับประสาทแยกส่วนกัน ก็เลยทำให้ไม่รู้สึกว่าจะต้องกลัวอะไร สมาธิระดับนั้นก็เลยกล้าที่จะขับรถด้วยความเร็วระดับสองร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง บางครั้งเข้าโค้งทีไฟแลบเลย

ถาม : ไม่ต้องถึงอรูปฌานหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าถึงอรูปฌานก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าจะไม่รับรู้ข้างนอก ถ้าไม่คล่องตัวจริง ๆ อรูปฌานจะไม่รับรู้อะไรข้างนอกเลย แล้วจะไปบังคับรถอย่างไร ? ยกเว้นท่านที่ชำนาญเป็นพิเศษ ก็คงจะเป็นหนึ่งในหลายสิบล้าน..!

ถาม : แค่ปฐมฌานจะสามารถรับรู้อะไรข้างนอกได้ ?
ตอบ : จะยิ่งรู้ละเอียด เพราะเป็นลักษณะของฌานใช้งาน โดยเฉพาะปฐมฌานละเอียด สติจะสมบูรณ์พร้อมอยู่กับตัวเอง หลับกับตื่นความรู้สึกเท่ากัน เวลาทำอะไรก็จะทำได้ดีกว่าคนทั่วไปเยอะมาก บางทีมีส่วนของความเป็นทิพย์มาช่วยคำนวณด้วย

อย่างเช่นต้องเข้าโค้งแรงแค่นี้ ต้องแตะเบรกแค่นี้แล้วรถจะไถลไปถึงมุมนั้นพอดี แทนที่จะคำนวณด้วยความชำนาญเฉพาะตัว ก็เริ่มไม่ใช่แล้ว กลายเป็นมีความเป็นทิพย์บางส่วนมาช่วยแล้ว

นักกีฬา หรือนักรบ นักต่อสู้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสมาธิมาช่วยเป็นอย่างมาก เราจะสังเกตว่า นักกีฬาบางคน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว สถิติจะเสียไปเลย หรือแพ้คู่ต่อสู้แบบยับเยินเลย

อย่างสมัยก่อนเวลารบกันไม่เหมือนกับสมัยนี้ สมัยนี้ห่างกันเป็นกิโลก็ยิงกันแล้ว สมัยก่อนต้องถือดาบถือหอกเข้าไปประจัญบานกัน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว กำลังใจลดหน่อยเดียว ก็ไม่กล้าสู้แล้ว บางทีวิ่งหนีเอาดื้อ ๆ ก็มี..!

เถรี
21-01-2011, 20:25
ถาม : คนที่เขาติดยาบ้า ติดกาว มียาอะไรรักษาไหมครับ ?
ตอบ : ยาอะไรก็ไม่ได้ผลหรอก ถ้าใจเขาไม่คิดจะสู้เพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น วิธีที่ดีที่สุดก็คือหักดิบ

ถาม : ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ถ้าจะให้ดีก็จับขังเอาไว้ ไม่ให้ไปไหน แต่ ๒ - ๓ วันแรกห้ามใจอ่อนกับเขาอย่างเด็ดขาดเลยนะ พอออกอาการลงแดงก็ราดด้วยน้ำเย็นบ่อย ๆ สัก ๔ - ๕ วันก็เห็นผลแล้ว

เถรี
21-01-2011, 21:19
ถาม : ถ้าเราไปอยู่เมืองน้ำแข็งอย่างอลาสก้า แล้วมีสองทางให้เราเลือก ทางแรกยอมตายไปเลย ทางที่สองก็คือกินเหล้าแล้วมีชีวิตรอดได้
ตอบ : มีทางที่สาม ก็คืออย่าไป

ถาม : แต่ถ้าเราต้องไป แล้วมีให้เลือกสองข้อ
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ว่าเรายอมตัวตายดีกว่าศีลขาด หรือยอมศีลขาดเพื่อตัวรอด ถามอาตมาไม่ได้หรอก กำลังใจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนนั้นเอง

ถาม : ถ้ากินเหล้าก็ถือว่าผิด
ตอบ : เราจะไปเอาตัวเราที่อยู่เมืองร้อนไปคำนวณแทนนั้นไม่ได้ ลูกศิษย์ที่เคยไปอยู่ที่นั่นบอกว่า บางช่วงอากาศลบ ๓๐-๔๐ องศาเซลเซียส พออุณหภูมิสูงขึ้นมาเป็นลบ ๒๐ องศาเซลเซียส เขาเหงื่อแตกจนต้องอาบน้ำ

เราไม่ชินกับอากาศแบบนั้น แต่เขาชินแล้ว เขารู้สึกว่าอากาศสบายสำหรับเขาแล้ว แต่จะต้องเอาพวกไขมันสัตว์อย่างไขมันแมวน้ำ ไขมันปลา มาทาตัวทาหน้าเอาไว้เสมอ เพราะถ้าสูญเสียความชื้นไปมาก ร่างกายก็จะเสียหายมากและตายได้ง่าย ที่สำคัญก็คืออย่าลืมแว่นกันแดดเป็นอันขาด เพราะแสงแดดที่สะท้อนหิมะแรงจัดกว่าปกติหลายเท่า มีโอกาสที่จะตาบอดได้ง่าย

ถาม : ถ้าอยู่เยอรมันเขากินเบียร์แทนน้ำ ?
ตอบ : ลูกศิษย์อาตมาไปที่นั่นหลายคนแล้ว บอกให้เขากินนมสดแทน อย่าไปสั่งน้ำนะ เพราะน้ำราคาแพงมาก ให้กินนมแทน กลับมาแล้วค่อยมาลดน้ำหนักเอา

เถรี
21-01-2011, 22:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง facebook อายุยังไม่เท่าไรเองเป็นอภิมหาเศรษฐีแล้ว ไม่น่าเชื่อนะ..ว่ากิเลสคนจะทำให้เขารวยได้ขนาดนี้

อ้าว..จริง ๆ นะ แค่คนเขาอยากอวดหน้าตัวเองเท่านั้น พอมีช่องให้อวด คนก็แย่งกันใช้ของเขากันใหญ่ ตัวกูของกูอย่างเดียว ทำให้เขารวยได้ขนาดนั้น..!"

เถรี
21-01-2011, 23:22
ถาม : ควรจะทำกรรมฐานวันละเท่าไร ถึงจะได้สมาธิขั้นที่ต้องการ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องทำสมาธิเช้าเย็นให้อารมณ์ทรงตัว แล้วพยายามรักษาอารมณ์นั้นไว้ ถ้าคุณถามว่าวันละเท่าไร ? ๒๔ ชั่วโมงก็ไม่พอหรอก..!

สำคัญตรงที่ว่า ทำแล้วรักษาอารมณ์ให้อยู่กับเราไว้ได้ ส่วนใหญ่อารมณ์ของเรามักจะอยู่เฉพาะตอนที่นั่ง พอลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นก็หลุดหมด

ถาม : ใช่ครับ
ตอบ : หาวิธีประคองเอาไว้ ใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับอารมณ์นั้น รักษาไว้ให้อยู่กับเราให้ได้ พอซ้อมไปมีความคล่องตัว ก็จะอยู่กับเราได้นานขึ้น ถ้าอยู่ได้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีเมื่อไรจะมีความสุขมาก ตอนนั้นจะมีปัญญาเห็นช่องทางอีกมาก ว่าจะทำอย่างไรกับการปฏิบัติให้ตัวเองก้าวหน้า

ถาม : ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีกำลังใจ เจอมารผจญ ทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ใคร ๆ ก็โดนกันทั้งนั้นแหละ จำเอาไว้เลยว่า ไม่มีอะไรเกินตาย ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่าง ไม่มีใครทำอะไรเราได้หรอก..!

ถาม : ถ้าผมอยากจะประสบความสำเร็จในเรื่องที่ประสบความสำเร็จได้ยาก
ตอบ : ทุ่มเทสิวะ ไม่ทุ่มเทแล้วจะได้เรอะ..! ถ้ายิ่งยากกว่าคนปกติ ก็ต้องทุ่มเทมากกว่าคนอื่นหลายเท่า

ถาม : อย่างนั้นหรือครับ เรื่องนี้ผมสองจิตสองใจอยู่ครับ
ตอบ : แค่นี้ก็ต้องกลัวด้วยหรือ ? ก็แค่เกิดนานกว่าเขาเท่านั้น ไปเถอะ..ทำก็ทำ อย่าไปถามคนอื่นเขา เอากำลังใจของเราเป็นหลัก มัวแต่ไปถามคนอื่นแล้วค่อยตัดสินใจได้ นั่นไม่ใช่ตัวตนและกำลังใจที่แท้จริงของเรา

เถรี
21-01-2011, 23:25
ถาม : ผมสะสมพระเครื่องไว้บ้างนิดหน่อย บางทีเพื่อนหรือญาติเขามาขอบูชา เกิดความลังเลว่า จะคาบเกี่ยวกับการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าให้เขาบูชาไปเถอะ แล้วเราเอาเงินจำนวนนั้นมาใช้เป็นสามส่วน ส่วนแรก ใช้ในการดำรงชีวิตของตัวเอง ส่วนที่สอง ใช้เพื่องานสาธารณประโยชน์ ส่วนที่สาม ใช้ในการทำบุญ ถ้าอย่างนั้นจะไม่มีโทษอะไรกับเรา

เถรี
21-01-2011, 23:40
ถาม : สมัยท่านอยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ท่านฝึกวิชารับการทุบตี (ถูกด่าถูกว่าแรง ๆ) อย่างไรคะ ?
ตอบ : หน้าด้านหน้าทนเข้าไว้ โดนเท่าไรอย่ายุบเป็นอันขาด อย่างอาตมาท่านไม่ได้ว่าเบา ๆ ท่านว่าต่อหน้าคนเป็นร้อย ๆ ทุกที เพราะท่านรู้ว่าสันดานของอาตมารั้นมาก ๆ ถ้าว่ากันแค่สองคน อาตมาจะฟังผ่านหูไปเฉย ๆ ท่านก็ต้องด่าต่อหน้าสาธารณชน เจอแต่ละทีไม่ใช่เบา ๆ ขึ้นโคตรพ่อโคตรแม่กันเลย..!

ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าหากท่านยังว่า ยังเตือนอยู่ แสดงว่าเรายังเป็นคนที่สอนได้ แต่ถ้าท่านไม่ว่าไม่เตือนเมื่อไร นั่นเราแย่แล้ว ไม่มีพ่อที่ไหนหรอกที่จะฆ่าลูก นอกเสียจากจะพยายามสั่งสอนให้ลูกได้ดี ในส่วนที่ท่านว่ามา เราผิดจริงหรือไม่ ? สำรวจตัวเองชัด ๆ ในเมื่อผิดจริงก็ยอมรับเสียแต่โดยดี แล้วระวังไว้อย่าให้ผิดตรงจุดนั้นอีก

เท่าที่ผ่านมา ส่วนไหนที่อาตมาผิด หลวงพ่อท่านจะด่าได้ครั้งเดียว หลังจากนั้นอาตมาจะไม่ยอมพลาดตรงจุดนั้นอีก เพราะฉะนั้น..เรื่องอะไรก็ตามที่ท่านด่าหรือว่ามา จะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นอาตมาก็กำจัดจุดอ่อน ใส่เกราะเรียบร้อย จะไม่โดนเรื่องเดิมอีก ยกเว้นไปพลาดในเรื่องใหม่

อยากได้ดีก็ต้องทุ่มเทจริงจัง ในเมื่อเราเคยพลาดตรงไหนแล้วท่านเมตตาเตือนมา เราก็ต้องใช้สติ สมาธิกับตรงนั้นให้มากกว่าปกติ เพื่อระมัดระวังไว้ไม่ให้โดนซ้ำอีก

พอมาเจอการแสดงอาบัติ (สารภาพว่าตัวเองผิดศีล) ของพระ จึงได้เข้าใจว่า ที่แท้เป็นแบบเดียวกัน เพราะการแสดงอาบัติของพระจะมีว่า

นะ ปุเนวัง กะริสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนี้อีก

นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่พูดอย่างนี้อีก

นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่คิดอย่างนี้อีก

กลายเป็นว่าสิ่งที่เราเคยระมัดระวังเพราะหลวงพ่อท่านเคยดุเคยว่าเอาไว้ มาตรงกับสิ่งที่พระตั้งแต่โบราณเขาแสดงคืนอาบัติกัน เมื่อแสดงแล้วเราจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดตรงนั้นอีก

เถรี
21-01-2011, 23:53
ถาม : การนั่งสมาธิ ต้องเกิดปีติทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : เกิด เพียงแต่จะเกิดเป็นปีติตัวไหน

ถาม : ในห้าอย่างหรือครับ ?
ตอบ : ในห้าอย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง

ถาม : แล้วคนที่ไม่เคยเจอเล่าครับ ?
ตอบ : ไม่เคยเจอเลยมีสองประการด้วยกัน ประการแรก ในอดีตเคยทรงฌานมาแล้ว คล่องตัวมาก จะข้ามตัวปีติไปเป็นฌานเลย ประการที่สอง มาสายสาวกภูมิที่หัวอ่อนสุด ๆ บอกอะไรเชื่ออย่างเดียว อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเจอปีติก็ได้
ถาม : หัวอ่อนสุด ๆ ?
ตอบ : ประเภทว่าอะไรเชื่ออย่างเดียว บอกให้ทำก็ทำ ไม่มีการโต้แย้ง ไม่มีความสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น

ถาม : ถ้าเกิดนั่งภาวนาพุทโธ หรือ นะมะพะธะ แล้วไม่ได้กำหนดภาพพระ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่กำหนดลมหายใจเข้าออกก็ไม่มีผล ภาวนาไปก็เหนื่อยเปล่า

ถาม : ทำแค่กำหนดลมหายใจและคำภาวนาละครับ ?
ตอบ : เกินพอแล้ว ขอให้ทำจริง ๆ เท่านั้นแหละ ถ้าทำจริงเดี๋ยวผลก็เกิดเอง

ถาม : ผลที่เกิดมีอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรก ทรงฌานได้ รัก โลภ โกรธ หลง ก็โดนกดดับชั่วคราว อันดับที่สอง ใช้กำลังฌานในการพิจารณาตัดกิเลส อันดับที่สาม ถ้าทรงฌานสี่ละเอียดได้ ถึงเวลาต้องการจะตายเมื่อไรก็ไปได้เมื่อนั้น

น่าสนใจนะ ถ้าทรงฌานสี่คล่องตัวได้ จะตายเมื่อไรก็ตายได้ ท่านทั้งหลายจึงสามารถที่จะบอกได้ว่าจะตายตอนไหน เพราะถ้าเราเข้าฌานสี่ไปแล้ว สภาพร่างกายเราเหมือนกับหยุดทำงานหมด แม้กระทั่งลมหายใจก็ไม่มี พอเราออกจากฌานสี่ แล้วเราไม่หายใจใหม่ก็จบแล้ว ท่านไปกันตอนนั้นแหละ..!

พระพุทธเจ้าเวลาเข้าฌานก่อนที่จะดับขันธปรินิพพาน พระองค์ท่านเข้าฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ หลังจากนั้นก็ถอยลงมา ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ แล้วเข้า ๑ ๒ ๓ ๔ จากนั้นก็ปรินิพพานตอนนั้น นั่นคือเข้าฌานสี่เป็นฌานสุดท้าย พอคลายออกก็ไปเลย..เลิกหายใจ..!

เถรี
22-01-2011, 00:00
ถาม : ผมเคยเปิดเว็บ เจอที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ผมก็เลยสงสัย ?
ตอบ : เอาเป็นอันว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนในตระกูลไท ถ้าใช้คำว่าเป็นคนไทย เราจะไปคิดว่าพระองค์ท่านเป็นคนในประเทศไทย แล้วจะเตลิดไปถึงขนาดเกิดในเมืองไทยไปด้วย..!

อย่าลืมว่าไทยมีสารพัด ไทยน้อย ไทยใหญ่ ไทยพวน ไทยอาหม ไทยลื้อ ไทยเขิน เป็นคนในตระกูลไท เพราะบ้านเราเมืองเราเพิ่งจะเป็นประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ ๖ นี่เอง ก่อนหน้านั้นเป็นสยาม ถัดจากนั้นขึ้นไปก็ยังเป็นอโยธยา เป็นสุโขทัย ยังไม่ใช่ประเทศไทยในปัจจุบัน

ถาม : ก็คือไม่ใช่แขกตัวดำ ๆ ตามที่เราเข้าใจ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เพราะสมัยก่อนผู้คนสามารถไปถึงกันหมด โดยที่ไม่มีเขตแดนประเทศเป็นเครื่องขีดคั่น จะมีเครื่องขีดคั่นขึ้นมาก็ต่อเมื่อมีใครสักคนหนึ่งตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นมา แล้วก็ขยายอาณาเขตครอบครองออกไปว่าถึงตรงไหน

แต่สมัยก่อนก็ยังไม่แน่ชัดเหมือนกับสมัยนี้ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ระหว่างรอยต่อ ระหว่างแดนต่อแดน ก็คือคนเชื้อชาติเดียวกัน เพียงแต่โดนกำหนดให้อยู่กันคนละเขตกันเท่านั้นเอง

ภาษาไทยกับภาษาลาว ก่อนหน้านี้คือภาษาเดียวกัน มาพัฒนาเปลี่ยนแปลงเพราะไทยกรุงเทพฯ ภาษาไทยที่แท้จริงคือภาษาแบบอีสาน ภาษาไทยกรุงเทพฯ ของเราเป็นภาษาไทยแบบเหน่อเจ๊ก คนจีนพอมีมาก ๆ เข้า พูดไทยแล้วไม่ชัดไปเรื่อย ๆ แต่จำนวนคนเขามีมากกว่า ยิ่งมีฐานะดีกว่าด้วย จะพูดจะทำอะไรก็มีคนเลียนแบบทำตาม ภาษาไทยแบบจีนจึงพัฒนามาเป็นภาษาหลักอย่างในปัจจุบัน

ยิ่งเป็นส่วนกลางที่ควบคุมทางภูมิภาคอยู่ด้วย เขาก็เลยเอาเป็นภาษาหลัก กลายเป็นภาษาที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาไทย ขณะเดียวกันภาษาไทยดั้งเดิมก็ไปว่าเขาเป็นภาษาลาวบ้าง คำเมือง (ภาษาเหนือ) บ้าง

เถรี
22-01-2011, 00:09
ถาม : สถานที่ประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน อยู่ที่นั่นจริงหรือครับ ?
ตอบ : มีอยู่จริง แต่บางจุดก็ไม่ตรง ห่างจากสถานที่จริงหลายกิโลเมตร แต่เราต้องมาดูวัตถุประสงค์ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า บุคคลที่ได้ไปไหว้สังเวชนียสถานทั้ง ๔ จะได้เป็นอนุสติระลึกนึกถึง ในเมื่อเรายึดเป็นอนุสติแล้วจะไหว้ตรงไหนก็ได้ ขอให้ไหว้แล้วระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ก็พอแล้ว

ถาม : โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยเชื่อว่าอยู่ในอินเดีย เพราะในร่องรอยไม่ค่อยเหลือแล้วตรงนั้น
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าสักที ต่อไปเขาก็จะไม่เชื่อว่าประเทศไทยมีพระพุทธศาสนา เพราะอิสลามบุกเข้าไปทำลายหมด เขาไม่ได้เผาเฉย ๆ แต่โกยดินกลบด้วย ตอนที่เขาขุดมหาวิทยาลัยนาลันทาขึ้นมา อยู่ใต้ดินเกือบสามเมตร..!

รัฐพิหาร รัฐเดียวมีวัดอยู่สามหมื่นกว่าวัด จนเขาเรียกว่ารัฐพิหาร โดนเขาทำลายเกลี้ยงไม่เหลือ คุณลองดูอินโดนีเซีย บรมพุทโธ (บุโรบุโด) เป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาที่ใหญ่โตมาก แต่เหลืออะไรบ้างนอกจากตัวบรมพุทโธอย่างเดียว นอกนั้นเป็นอิสลามหมด

อัฟกานิสถานก่อนหน้านั้นเป็นเขตประกาศศาสนาของศาสนาพุทธเต็ม ๆ เลย ปัจจุบันแม้แต่พระพุทธรูปใหญ่เขาก็ทำลายทิ้งหมด หลวงจีนฟาเหียน ท่านบันทึกเอาไว้ว่า มีพระนอนยาวถึงสามร้อยศอก แต่เขายังหากันไม่เจอ เจอแต่พระยืนและโดนพวกตาลีบันทำลายเรียบร้อยไปแล้ว

เถรี
22-01-2011, 01:49
ถาม : หนูนอนแล้วฝันไม่ค่อยดี ตื่นขึ้นมาหมดแรง ปวดเมื่อย หนูทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ จริง ๆ เวลาฝัน คือกายในเราออกไป พอกายในออกไป ถึงเวลาเราเกิดฝันว่าหนีอะไร หรือกลัวอะไร เราก็จะเหนื่อยเหมือนตัวจริง ให้ใช้วิธีภาวนาให้หลับ นึกถึงลมหายใจเข้าออก พุทโธ ๆ ๆ ให้หลับ จนคล่องตัวแล้วจะไม่ฝันจ้ะ ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะช่วยได้เยอะ

เถรี
22-01-2011, 10:41
ถาม : ก่อนหน้านี้ที่ปฏิบัติอยู่ จะเป็นอารมณ์ในการตัดสินใจ พอเราตัดสินใจไปแล้ว ก็เหมือนกับว่าเราห่างจากสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น ตอนที่เราตัดสินใจเกิดจากการที่เราเห็นโทษ กลายเป็นว่าเวลาที่เราคิดใคร่ครวญทำอะไร ก็จะอยู่ตรงแค่ทำไปแล้วเป็นประโยชน์ต่อการหลุดพ้นหรือเปล่า ? ขณะเดียวกันก็มีโทษหรือไม่ ? จากนั้นก็ตัด แล้วเลือกเอาแต่ในส่วนที่ดีเท่านั้น ในส่วนที่เป็นความชั่วจะหยุดไปเอง เป็นลักษณะอย่างนี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อย่างที่เคยบอกไว้ว่า ให้ละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ เดี๋ยวพอท้าย ๆ ก็จะไม่เอาทั้งดีทั้งชั่ว น่ากลัว..น่ากลัวตรงที่ว่า พอท้าย ๆ แล้วจะไม่อยากอยู่บ้าน อยากไปอยู่วัดหรืออยู่ป่ามากกว่า..!

ถาม : ตอนนี้หนูอยากจะไปอยู่ป่าเต็มทีแล้ว
ตอบ : พอถึงเวลานี้เหมือนกับมุมมองหรือโลกทัศน์ของเรากลับข้างกับคนอื่น สิ่งที่คนอื่นเห็นว่าสุข เราจะเห็นว่าทุกข์ สิ่งที่คนอื่นเขาเห็นว่าดี เราก็เห็นว่ายังไม่ดีจริง ทำให้อยู่กับคนอื่นลำบาก มีอยู่ทางเดียว..ถ้าไม่เตลิดเปิดเปิงเข้าป่าเข้าดง ก็ต้องไปอาศัยอยู่วัดเลย

ถาม : บางทีเวลาเราไปอยู่กับคนที่กำลังใจไม่เท่ากัน เขาจะมองเราอีกอย่างหนึ่ง พอเขามองเราอีกอย่างหนึ่ง กลายเป็นว่าเขาจะสร้างโทษให้แก่ตัวเขาเอง เราก็ไปดีกว่า
ตอบ : ไปห่าง ๆ เสียจะดีกว่า แสดงว่าตอนนี้อาการของเราหนัก หมอคงไม่รับรักษาแล้ว..!

ถาม : หนูไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นฆราวาส
ตอบ : ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงเลย ว่าอย่างนั้นจะดีกว่า จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรหรอก สิ่งภายนอกนั้นเป็นแค่สมมติเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของเรา จากสภาพภายในจิตใจของเรา ก็จะโยงออกมาถึงกายภายนอก

ถาม : เหมือนกับจิตเราอยู่คนละภพภูมิกับคนอื่น
ตอบ : อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าดีก็แล้วกัน เดี๋ยวกลายเป็นอย่างเรื่องอีตอแหล แล้วโดนกิเลสตีกลับอีก..!

ถาม : คนอื่นคุยกับเราได้ แต่เราหาคนที่คุยกับเราไม่ได้
ตอบ : บางระยะอาตมาเองก็ต้องฝืนใจอย่างมากเลย เพราะเรื่องที่เขาคุย ไม่ได้ไปทางเดียวกับเรา พอเขาคุยจบ เราก็ตัด..เดินจากไปเลย เหมือนกับเสียมารยาท ก็เลยดูค่อนข้างจะเป็นคนแปลก ๆ ในหมู่เพื่อนฝูง

ถาม : หนูหาคนคุยไม่ได้ ก็เลยจะขอคุยกับท่าน
ตอบ : ไม่ต้องคุยหรอก คุยไปก็เท่านั้น เพราะไม่มีอะไรจะคุย รีบ ๆ ไปทำวิทยานิพนธ์ให้จบ จะได้โกนหัวเข้าวัดเร็ว ๆ

ถาม : ตอนแรกจะทิ้งวิทยานิพนธ์แล้วไปเข้าป่า
ตอบ : ให้เรียนจบก่อน โลกต้องไม่ช้ำ ธรรมต้องไม่เสีย ลงทุนไปขนาดนั้นแล้ว อาตมายังรู้สึกมีรสชาติกับชีวิตในการเรียนอยู่เลย เราจะมาหมดรสชาติได้อย่างไร ?

เถรี
22-01-2011, 10:46
ถาม : ตั้งแต่เข้าสู่ปีใหม่นี้ หนูโดนผีบีบคออยู่ทุกวัน ถ้ามาเป็นเจ้ากรรมนายเวรหนูก็พอรับได้ แต่พวกมาแล้วบีบคอ ทับอก นี่รับไม่ค่อยได้
ตอบ : เขาแค่มาทดสอบ สำคัญว่าตอนนั้นอารมณ์ใจเราเป็นอย่างไร อย่างอาตมาโดนทดสอบมาสามปี จนเขาหมดอารมณ์ก็ไปเอง ตอนนั้นอาตมาไม่เคยนึกถึงความดีอะไรเลย สู้อย่างเดียว..!

ถาม : หนูก็สู้อย่างเดียวค่ะ กลายเป็นว่าทุกวันนี้ตอนกลางคืน หนูต้องนอนกำพระขรรค์โสฬส เพราะเป่านะโมพุทธายะเขาก็ไม่ไป แผ่เมตตาเขาก็ไม่ไป พอกำพระขรรค์โสฬสเขากลับยอม
ตอบ : แสดงว่ายังเกรงใจอยู่ ของอาตมาเองไม่ได้กำอะไรเลย ตอนนั้นนอนภาวนาอย่างเดียว เขามาเมื่อไรก็ฟัดกันกระจายอยู่ตรงนั้น

ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเขาเหนือกว่าเราทุกกระบวนท่า เพราะเราจะทำอะไรเขารู้หมด แค่เราคิดจะทำอะไร ยังไม่ทันจะขยับ เขาก็ไปดักไว้ก่อนแล้ว แต่ว่าก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ สามปีเต็ม ๆ ที่ตีกันมาทำให้มีความคล่องตัวมาก ต่อไปให้ไปฟัดกับใคร รับรองว่าไม่เป็นรองเขาหรอก เพราะจะมาไม้ไหนก็ต้องแก้ให้ทัน แล้วพยายามตอบโต้กลับไป ไม่ยอมขาดทุนอยู่ฝ่ายเดียว

สรุปว่าตลอดสามปีเทวดาทดสอบแล้วเหนื่อยเปล่า เพราะอาตมาไม่ยอมนึกถึงความดีอะไรเลย สู้อย่างเดียวจริง ๆ..!

ถาม : หนูก็เป็นคนที่คุยไม่เป็น ไม่ใช่ทูตสัมพันธไมตรีที่จะต้องมาเจรจากับใคร
ตอบ : เขาเรียกว่า เหมือนหมาป่ากับลูกแกะ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุ เขาก็หาเหตุมาจนได้ ก็คือ เขาตั้งใจจะแกล้งอยู่แล้ว อยากรู้ว่าอารมณ์ใจของเราไปถึงขั้นไหน อาตมาเองพอเรื่องจบถึงมานึกถึงคำพูดหลวงพ่อวัดท่าซุงได้ หลวงพ่อท่านว่า "ถ้าเรานึกถึงความดีอะไรได้สักอย่าง เขาก็จะเลิกแกล้ง" แต่ทำไมในหัวคิดของอาตมาไม่มีความดีอะไรที่จะนึกเลยแม้แต่นิดเดียว รู้อยู่อย่างเดียวว่าเอ็งมาแกล้งข้าจะสู้ ไม่เอาอย่างอื่นเลย...

นี่เป็นสันดานเฉพาะตัว สู้มาตลอดทุกยุคทุกสมัยก็เลยไม่ยอม นึกอยู่อย่างเดียวว่า เอ็งจะแน่สักแค่ไหนวะ..?! สามปีสู้อย่างเดียวจริง ๆ

เถรี
22-01-2011, 19:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด เป็นปัญหาปากท้องของประชาชน เนื่องจากข้าวของทุกอย่างจะแพง

น้ำมันราคาแพงแล้วของแพง..เราเข้าใจ แต่น้ำมันแพงแล้วของไม่มีขายและราคาแพง...พวกเราไม่ค่อยเข้าใจ เนื่องจากปีนี้จะแล้งนาน ในเมื่อแล้งนาน นาปรังที่เคยทำก็จะได้ผลน้อย นาปีก็ไม่รู้ว่าจะได้สักเท่าไร โดยเฉพาะพวกที่ทำสัญญาขายข้าวให้กับต่างประเทศล่วงหน้า

สมมติว่าทำสัญญาขายข้าวไว้หนึ่งร้อยตัน ถึงเวลาเขาก็ต้องไปกว้านข้าวให้ได้หนึ่งร้อยตันเพื่อส่งให้ตามสัญญา จะส่งผลให้บ้านเรามีข้าวเหลือน้อยแล้วราคาจะแพง ในเมื่อแล้งมาก พืชผลต่าง ๆ ก็จะได้ผลน้อย สมมติว่าเคยปลูกอ้อยหนึ่งไร่ได้ผลร้อยตัน ก็จะลดน้อยลงไปมาก กลายเป็นว่าข้าวของอย่างอื่นก็จะแพงไปด้วย

ปัจจุบันบ้านเรามักจะทำการเกษตรเชิงเดี่ยวกันมาก ก็คือ ปลูกของอย่างเดียว อย่างเช่น ปลูกยางพาราอย่างเดียว ปลูกมันสำปะหลังอย่างเดียว ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างเดียว ของพวกนี้ถ้าขายไม่ออก เราเองจะกินก็ไม่ได้ ก็จะเดือดร้อนกันมาก

ปีนี้จึงเป็นปีที่น่าเป็นห่วงมาก กำลังรอดูว่า ในหลวงจะทรงมีพระราชดำริอะไรออกมาเพื่อช่วยเหลือพวกเราบ้าง เรื่องของรัฐบาลไม่ต้องไปหวังหรอก เอาตัวรอดจากสารพัดเรื่องไปวัน ๆ ได้ ไม่ทำให้ขายหน้าชาวโลกเขาก็พอแล้ว"

เถรี
22-01-2011, 19:37
"มีบางปีที่พระองค์ท่านสั่งกระทรวงเกษตร ให้สอยเมฆทุกก้อนที่ผ่านประเทศลงมาให้ได้ แม้จะคำนวณแล้วว่า ถ้าทำเป็นฝนก็จะไม่ตกในประเทศไทย แต่จะเลยไปพม่า ลาว เขมร

ในหลวงตรัสว่าไม่เป็นไร ให้มีฝนตกลงมาก็แล้วกัน เพราะความชื้นที่พื้นมีอยู่ เดี๋ยวก็ก่อตัวรวมเป็นเมฆใหม่ เราก็สามารถจะเอาลงมาได้อีก เดี๋ยวก็ตกตรงจุดที่เราต้องการเอง ปัจจุบันแม้ว่าสุขภาพพลานามัยขององค์ในหลวงจะไม่แข็งแรง แต่พระองค์ก็ยังคงทรงงานหนักอยู่เป็นปกติ

สิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่การตำหนิ แต่อยากจะบอกว่า รัฐบาลของเราไม่มีการวางแผนระยะยาวในการแก้ปัญหาอะไรสักเรื่องเดียว รู้ว่าน้ำจะท่วมกลับนั่งรอให้ท่วม ท่วมแล้วค่อยไปแจกของ ตอนนี้รู้ว่าฝนจะแล้ง รู้ว่าน้ำมันจะแพง แต่ไม่มีแผนอะไรรองรับอย่างชัดเจนเลยแม้แต่แผนเดียว

ในเมื่อนโยบายที่จะให้เป็นแนวปฏิบัติไม่มี แล้วจะไปกล่าวถึงยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา ก็ไม่ต้องพูดถึงกันเลย กลายเป็นว่าภาระทั้งหมดตกอยู่ที่องค์ในหลวงเหมือนเดิม คิดแล้วอยากร้องไห้นะ..จะร้องไห้สงสารในหลวง หรือร้องไห้สงสารตัวเองที่เกิดเป็นคนไทยดี ?"

เถรี
23-01-2011, 01:51
"เด็กรุ่นหลัง ๆ ที่ไม่มีโอกาสเห็นในหลวงของเราทรงงานทั้งวัน ไม่มีโอกาสเห็นว่า พระองค์เสด็จไปช่วยเหลือชาวบ้าน จนแทบจะทุกซอกทุกมุมของประเทศ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมคนรุ่นก่อน ๆ จึงซาบซึ้งเคารพรักในหลวงขนาดนั้น

เราลองคิดดูว่า ปัจจุบันนี้พระองค์ท่านต้องประทับรถเข็น แต่ก็ยังต้องออกทรงงานไม่หยุดไม่หย่อน ประทับอยู่โรงพยาบาลศิริราช แต่งานทุกอย่างทั่วประเทศต้องไปรวมตรงนั้น

ทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ตรัสว่า ในหลวงสอนลูก ๆ ว่า เราสามารถดำรงอยู่ในราชวงศ์ คงฐานะคงความเป็นกษัตริย์เหนือกว่าคนอื่นได้ ก็เพราะประชาชนเขาสนับสนุนเรา เพราะฉะนั้น..มีอะไรที่จะตอบแทนคนที่สนับสนุนเราได้ เราก็ต้องทำให้เต็มสติกำลัง

ข้าราชการของเราขาดสำนึกในหน้าที่ ขาดสำนึกคำว่า "ข้าราชการ" ก็คือ เป็นข้าใต้เบื้องพระยุคลบาทของในหลวง แทนที่จะทุ่มเทรับใช้ประชาชนให้สมกับคำว่าข้าราชการ กลับไปเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายชาวบ้าน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองกินเงินภาษีราษฎร ซึ่งเท่ากับชาวบ้านเป็นเจ้านายจ่ายเงินเดือนให้

ในเมื่อขาดจิตสำนึกตรงนี้ โอกาสที่จะทุ่มเทแก่บ้านเมืองและประชาชนก็เลยมีน้อย ถามว่าข้าราชการดี ๆ มีบ้างหรือไม่ ? มี..แล้วทุ่มเทกับประชาชนหรือไม่ ? ทุ่มเท..แต่คนทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเดียว เหมือนกับน้ำหยดหนึ่งในทะเลทราย ที่แน่ ๆ ก็คือ แทบไม่มีใครเลยที่จะไปค้นเอาคุณงามความดีเหล่านี้ที่เขาทำ มายกย่องให้เป็นที่รู้กันของคนหมู่มาก

กลายเป็นว่า คนที่ทำดีก็ทำไป ทำดีร้อยครั้ง จะมีคนเห็นสักครั้งก็ยาก แต่ถ้าทำชั่วครั้งเดียวโดนด่าจมธรณีไปเลย ดังนั้น..ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ทำดีเพราะอยากทำ ทำดีจากกมลสันดานจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ในวงข้าราชการนี้ได้นาน ไม่นานก็จะโดนกลืน โดนครอบ กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพวกที่ไม่เอาไหน"

เถรี
23-01-2011, 02:19
"อาตมาเองเรียนวิชาทหารมา ตอนที่เราเรียนอยู่ เขาอบรมเรามาขนาดไหน ทันทีที่เข้าไปรับราชการ สิ่งที่เราพบกับสิ่งที่เราเรียนมา เป็นคนละเรื่องเดียวกัน แต่ยังดีที่เป็นวงการทหาร ทหารจะเป็นหน่วยราชการที่เสียหายน้อยที่สุด ยังเป็นที่เชื่อถือของประชาชนอยู่ แต่ปัจจุบันนี้ทหารของเราใกล้การเมืองมากเกินไปแล้ว ใครเข้าใกล้การเมืองแล้ว จะไม่แปดเปื้อน ไม่สกปรกนั้นไม่มี

ในเมื่อเรียนจบมาแล้วไปรับราชการ สิ่งที่พบเห็น ถ้าเราไม่ใช่บุคคลมั่นคงต่ออุดมการณ์ เราไม่ใช่บุคคลที่มีกำลังใจเข้มแข็งจริง ๆ จะไม่สามารถดำรงปณิธานส่วนตัวอยู่ได้ ท้ายสุดก็ต้องละลายตามพวกเขาไป

ดังนั้น..ในวงข้าราชการประจำ เขาจะมีคติอยู่ว่า ถ้าเจ้านายใหม่มา ใช้เวลา ๖ เดือนครอบให้เป็นพวกเราให้ได้ ถ้า ๖ เดือนไม่สามารถจะครอบเป็นพวกได้ ก็ต้องงัดให้กระเด็นไปให้ได้ เดี๋ยวนี้เขาเป็นอย่างนี้กันหมดแล้ว

ขอโทษเถอะ..ทำไมบ้านเราถึงโกงกินกันได้ทุกวงการขนาดนี้ก็ไม่รู้ ? ถึงขนาดมีผลงานวิจัยของนักศึกษาญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เขาฟันธงเลยว่า ประเทศไทยมีแต่ในหลวงเท่านั้นที่ไม่โกง ตายละ...นี่เขาเหมาว่าแม้แต่ข้าง ๆ ในหลวงก็โกงด้วย อะไรจะปานนั้น มีผลวิจัยรองรับจริง ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

เรามานึกดูว่า ปัจจุบันในหลวงปีนี้ ๘๔ พรรษาแล้ว จะอยู่เป็นมิ่งขวัญ เป็นกำลังใจให้ประชาชนได้อีกนานเท่าไร ใครที่ไปปฏิบัติธรรมรุ่น ๓ ที่วัดท่าขนุน ตอนอุทิศส่วนกุศลพวกเราอธิษฐานว่า "ขอให้สถิตย์มั่นอยู่ในไอศูรย์ราชสมบัติ ตราบจิรัฏฐิติกาลสมัย ขอทรงเป็นฉัตรแก้วคุ้มภัย แก่ปวงข้าพเจ้าทั้งหลาย ตราบสิ้นกาลนานเทอญ" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะช่วยให้พระองค์ท่านอยู่ไปได้อีกสักกี่วัน"

เถรี
23-01-2011, 02:34
"ถ้าหากปุบปับสิ้นในหลวงไป บ้านเราเมืองเราจะวุ่นวายอย่างที่ไม่สามารถจะบรรยายเป็นคำพูดได้ เพราะตอนนี้บุคคลบางกลุ่มก็รอจังหวะว่า ถ้าสิ้นในหลวงเมื่อไร จะเป็นระยะเวลาที่เขาเป็นใหญ่ในประเทศ บุคคลบางกลุ่มก็รอจังหวะว่า ถ้าสิ้นในหลวงขึ้นมา ก็จะได้ทำอะไรตามใจตัวเองเสียที

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เหมือนกับระเบิดที่รอเวลาระเบิด เราลองมานึกถึงในแบบภาษาชาวบ้านว่า ในหลวงเป็นคนแก่ อายุ ๗ รอบ ๘๔ พรรษาแล้ว ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า รอวันตาย ในสภาพการณ์อย่างนี้ ถ้าหากบรรดาข้าราชการต่าง ๆ ยังไม่เป็นผู้นำประชาชนในการทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม ยังคงเห็นแก่ประโยชน์ของตนและพวกพ้องแล้ว ประเทศเราก็จะไปไม่รอด

อย่าลืมว่า ตอนนี้รอบบ้านของเราเขาใช้เทคโนโลยี ๓G กันครึกครื้นไปแล้ว เวียดนามก็กำลังลงทุนจะสร้างรถไฟความเร็วสูง แต่บ้านเรา ๓G ยังคลอดไม่ได้ เพราะนักการเมืองยังตกลงผลประโยชน์กันไม่เสร็จ รถไฟฟ้าเหลืออีกสองสถานีจะถึงบ้านวิริยบารมี ก็งอกต่อไม่ได้เสียที รางรถไฟฟ้าไปตั้งนานแล้ว แต่สถานีไม่งอกเสียที เรื่องเหล่านี้เกิดจากการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป จนไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมกันเลย แล้วคอยดูเถอะ..พอมีใครพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา เขาก็จะหาคำแก้ตัวเพราะ ๆ ฟังแล้วน่าเชื่อถือ มากลบเกลื่อนไปจนได้แหละ..!

เถรี
23-01-2011, 10:12
"ถ้านึกเทียบบ้านเราย้อนหลังไปแล้วอยากจะร้องไห้ สมัยรัชกาลที่ ๕ เราเจริญกว่าญี่ปุ่น..ญี่ปุ่นต้องมาขอช่างเทคนิคจากประเทศไทยไปช่วยงานที่ประเทศเขา ปัจจุบันนี้เราล้าหลังญี่ปุ่นไปตั้งกี่ปี ไม่ต้องพูดถึงเลย

ที่อาตมาเจอมาด้วยตัวเองก็คือกรมป่าไม้ แต่ไม่ใช่ทั้งกรม แค่เขตเดียว วันที่ ๓๐ กันยายน เขาเหลืองบประมาณถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ได้อนุมัติให้ใช้ หมายความว่า ๓๖๔ วันที่ผ่านมา เงินร้อยบาทใช้ไปแค่ ๓๐ บาท

วันที่ ๓๐ กันยายน บุคคลที่มีหน้าที่เซ็นอนุมัติงบประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ เซ็นจนหัวไม่วางหางไม่เว้น ไม่ต้องดูเลยว่าเขาขออะไรมา ถามเขาว่าที่เหลือทำไมไม่ส่งคืน ? เขาบอกว่า ส่งคืนไม่ได้ ถ้าส่งคืนต่อไปจะขอไม่ได้อีก

เงิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์เขาผลาญหมดภายในวันเดียว ทำถูกกฎหมายทุกอย่าง ตั้งโต๊ะจีนรอไว้เลย ถึงเวลาเซ็นอนุมัติไปเรื่อย พอเที่ยงคืนตรงก็วางปากกาฉลองโต๊ะจีน ๓๖๔ วันใช้เงินเพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่วันเดียวอนุมัติงบ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ไปจนหมด ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะไปเข้ากระเป๋าใครบ้าง..!

จึงมีบางคนที่เขาทำวิจัย เขาระบุว่า ถ้าบ้านเราใช้งบประมาณแผ่นดินได้ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เราจะเจริญพอ ๆ กับญี่ปุ่น จึงอยากจะบอกว่า ปัจจุบันนี้ภาระหน้าที่ต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เราทุกคนต้องมีส่วนช่วยกันแบกประเทศชาติของเรา ถ้าไม่รู้ว่าจะทำเพื่อใครแล้ว ก็ให้คิดว่าทำเพื่อในหลวงและตัวเราเอง"

เถรี
23-01-2011, 10:18
"ทำอย่างไรที่เราจะสร้างจิตสำนึกให้คนรู้จักละอายชั่วกลัวบาป รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม หน้าที่ใหญ่นี้ให้เริ่มในครอบครัวของเรา คนเป็นพ่อแม่ ภาษาบาลีเรียกว่า บุรพาจารย์ แปลว่า อาจารย์คนแรก จำเป็นจะต้องสั่งสอนลูกหลานเราเอง เพื่อสร้างจิตสำนึกนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้

ลำดับต่อไป ก็คือ ครูบาอาจารย์ ใครเป็นครูบาอาจารย์อยู่กับโรงเรียน คนเขาจะตำหนิว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีขนาดไหนก็ตาม ขอให้ช่วยกันปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไช ช่วยกันสร้างจิตสำนึกของการเสียสละเพื่อส่วนรวม ให้เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ของเราให้ได้

ลำดับต่อไป พระภิกษุสงฆ์ เด็กจะอยู่ใกล้พ่อแม่กับครูบาอาจารย์ก่อนแล้วจึงใกล้พระ เมื่อถึงวาระนั้น ถ้าหากว่าทุกภาคส่วนทำหน้าที่โดยพร้อมเพรียงกัน เราก็จะสามารถสร้างประชากรที่มีคุณค่าขึ้นมาได้

ท่านอื่นที่ทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือข้าราชการก็ตาม ก็ต้องพยายามที่จะใช้จิตสำนึกตรงส่วนนี้ว่า การเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นอย่างไร ทำอย่างไรที่เราจะไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาและเลิกหลังเวลา ไม่ใช่ไปถึงหลังเวลาจนกระทั่งเขาขีดเส้นแดงไว้แล้ว แต่..ให้ "ช่วยเว้นช่องไว้ให้เซ็นด้วยนะ" จะมีอย่างนี้เยอะมาก

อาตมาเองสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นอาจารย์คนเดียวที่ไปนั่งรอลูกศิษย์ ยังไม่เคยมีลูกศิษย์คนไหนที่ไปถึงห้องเรียนก่อนอาตมา ทำอย่างไรที่เราจะทำอย่างนี้ให้ได้ อาตมาเองเดินทางไกลที่สุดในบรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งหมด แต่ไปถึงห้องเรียนก่อน ไปนั่งรอก่อนเวลาสอนทุกครั้ง

แรก ๆ พวกลูกศิษย์เขาไม่ค่อยจะมาเรียนกัน จนกระทั่งมีอาจารย์อย่างอาตมาทำตัวเป็นตัวอย่าง ท้ายสุดเขาก็มากันเกือบจะเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่ป่วยหนักหรือติดธุระการงานสำคัญที่จริง ๆ จะไม่มีใครขาดเรียน เพราะเขาเห็นแล้วว่า อาจารย์อย่างเราเป็นตัวอย่างที่ดี ที่เขาควรจะเอาเป็นแบบอย่างได้"

เถรี
23-01-2011, 12:20
"ตั้งแต่เรียนระดับประกาศนียบัตรเป็นต้นมา มีเพื่อนบางท่านอยู่ในลักษณะสักแต่ว่ามีเปลือกนอกเป็นพระเท่านั้น แต่หลังจากเรียนระดับประกาศนียบัตรจบแล้ว มาต่อปริญญาตรี จนมาต่อปริญญาโท ตอนนี้มีหลายท่านที่พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ได้เพราะเลียนแบบอย่างพี่เล็กเขา"

เขามักยกตัวอย่างในห้องว่า "ถ้าบรรดาพระเถระทำอย่างพระครูธรรมธรเล็กได้ทุกคน เชื่อมั่นว่าศาสนาของเราจะเจริญและเป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านได้มากกว่านี้" สิ่งที่เราทำนั้นเกิดจากน้ำใสใจจริง ก็คือ เราทำด้วยความเคยชินว่า หลวงพ่อสอนเรามาอย่างนี้ เราก็ทำของเราอย่างนี้ จริงจังในทุกเรื่อง เรื่องใดก็ตามถ้าหากว่าเราทำจริง สิ่งนั้นก็จะประสบความสำเร็จทั้งนั้น

ในเมื่อเราทำอย่างนี้มาปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว ในที่สุดคนที่เขาเห็นและเขาเคยอยากทำมาก่อน แต่ไม่กล้าทำ เพราะกลัวว่าตัวเองจะแปลกแยกจากสังคม เขาก็เริ่มกล้าที่จะทำและคล้อยตามมา ปัจจุบันนี้อาตมาจึงเป็นเจ้าพ่ออยู่ในห้องเรียน บอกซ้ายหันขวาหันอย่างไรเพื่อนก็ตามกันหมด

สมัยอยู่วัดท่าซุงก็เหมือนกัน ตอนนั้นมีพระอยู่กับหลวงพ่อ ๔๐ กว่ารูป จะมีพวกที่แบกกฎระเบียบจนหลังแอ่นอยู่ ๔ - ๕ รูปเท่านั้น ซึ่งอาตมาก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น และที่แน่ที่สุด ก็คือ กล้าทุ่มเทรับใช้หลวงพ่อชนิดที่ไม่กลัวโดนไล่ออกจากวัด งานอะไรที่พ่อสั่ง ทำด้วยชีวิต ถ้าทำไม่สำเร็จให้มันตายไปเลย..!

เมื่อทำไปทำมา บรรดาพระพี่พระน้องก็เห็นด้วย จาก ๔๐ กว่ารูปที่ว่า ถ้าอาตมาเรียกซ้ายหันขวาหัน ขอยืนยันว่าหันมาเกิน ๓๐ รูป ทำให้อาตมาพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่สามารถที่จะอยู่ในวัดต่อไปได้ "

เถรี
23-01-2011, 12:26
"แปลกใจไหม...ทำไมถึงอยู่วัดต่อไม่ได้ ? ก็เพราะในเมื่อเขายกคุณขึ้นไปสู่ในจุดที่สูงแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องให้ไขว่คว้าแข่งขันกับใครแล้ว ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองอยู่ในจุดนั้นเมื่อไร จะกลายเป็นน้ำนิ่ง นาน ๆ เข้าก็จะกลายเป็นน้ำเน่า หาความก้าวหน้าไม่ได้

อาตมาจึงได้ทิ้งวัดท่าซุงออกมาข้างนอก มาเริ่มต้นจากศูนย์ใหม่ เพื่อจะได้ฝึกฝนลับตัวเองให้แหลมคมขึ้น ไม่ใช่ทื่ออยู่แค่นั้นเพราะคนอื่นเขายกให้เป็นใหญ่เสียแล้ว

ดังนั้น..พวกเราทุกคนควรจะพิจารณาตัวเองด้วยว่า ปัจจุบันนี้เรายินดีกับสภาพปัจจุบันนี้ของเราเอง จนไม่ไขว่คว้าหาความก้าวหน้าใส่ตัวเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ? หรือเรายังมีการดิ้นรนแสวงหาความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องเกิดจากจิตสำนึกของตนเองล้วน ๆ ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวกันได้ เพราะถ้าไม่เกิดจากจิตสำนึกของตนเองแล้ว ถึงบอกไปก็ไม่มีความรู้สึกที่คิดอยากจะทำ หรืออยากจะปฏิบัติตาม

มีใครบ้างที่หน้าที่การงานกำลังรุ่งสุด ๆ แล้วกล้าลาออกมาทำงานใหม่ที่เราไม่คุ้นเคยเลย อาตมาทำอย่างนี้มาเกือบตลอดชีวิต ทำงานอยู่ที่โรงงานไทย-ญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม อยู่ ๗ เดือน จากพนักงานทั่วไปเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก อาตมาก็ลาออกมาหางานใหม่ทำ เพราะถ้าใหญ่กว่านั้นก็จะกลายเป็นผู้จัดการโรงงานไปแล้ว จะไม่เหลืออะไรไว้ท้าทายเราอีกแล้ว

พอไปเรียนวิชาทหาร ก็ก้าวหน้าจนได้สองขั้นทุกปี จนกระทั่งผู้บังคับบัญชาต้องกางระเบียบการ บอกว่าเขาให้เลื่อนสองขั้นได้แค่สามปีติดกัน แล้วต้องเว้น หมายความว่าปีที่สี่เราต้องเว้น ปีที่ห้าจึงจะได้สองขั้นต่อไป จนเพื่อนฝูงตามไม่ทัน ก็ลาออกมาบวชเอาดื้อ ๆ "

เถรี
23-01-2011, 12:34
"ถ้าเราไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง กล้าทำสิ่งใหม่ ๆ เราจะสามารถไขว่คว้าความก้าวหน้าใส่ตัวได้เสมอ แต่ถ้าเรากลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักพิจารณาตนเองว่า ปัจจุบันนี้เราทำอะไร มีเป้าหมายชีวิตอย่างไร ไม่มีการดิ้นรนไขว่คว้าเพิ่มเติม เราจะกลายเป็นน้ำเน่า ท้ายสุดก็ใช้การอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีก็จมอยู่กับสิ่งที่ไม่ดี กลายเป็นเกิดมาเสียชาติเกิด ขาดทุนไปเปล่า ๆ

เรื่องเหล่านี้ที่จำเป็นต้องยกตัวเองมากล่าว เพราะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด หลายต่อหลายคนบอกว่าทิ้งวัดท่าซุงมาได้อย่างไร ก็บอกเขาไปว่า "ถ้ายังอยู่ที่นั่น จะหาความก้าวหน้าต่อไปไม่ได้"

พอออกมาข้างนอกช่วยเขาสร้างวัดอยู่หลายวัด สร้างเสร็จเราก็ไปต่อ สร้างเสร็จเราก็ไปต่อ จนกระทั่งโยมจำนวนหนึ่งถึงขนาดออกปากว่า "สร้างแล้วไม่อยู่ จะสร้างไปทำไม ?" จึงบอกกับโยมว่า "อาตมามีหน้าที่สร้าง ไม่ได้มีหน้าที่อยู่" เขาบอกว่า "อุตส่าห์ทำจนดีขนาดนั้นแล้วทิ้งไปได้อย่างไร ?"

อาตมายืนยันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ถ้าเกี่ยวกับวัดวาอาราม ในความรู้สึกของอาตมาแล้ว วัดท่าซุงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด ถ้าสถานที่ที่ดีที่สุด อาตมายังทิ้งมาได้ สถานที่ที่จะทิ้งไม่ได้นั้นก็ไม่มีอีกแล้ว

ดังนั้น..สิ่งที่อยากจะเตือนพวกเราก็คือว่า ปัจจุบันเราถือว่าเป็นนักปฏิบัติ มีอะไรที่เรายึดมั่นแล้วทิ้งไม่ได้บ้างหรือไม่ ? คนที่เรารัก ของที่เรารัก หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ฐานะ เกียรติยศ ชื่อเสียงในสังคม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าอยู่ ๆ หลุดพ้นจากมือเราไป เราจะอยู่ได้หรือไม่ ? หรือให้เราละทิ้งไปเอง เราจะทำได้หรือไม่ ? ตรองให้ดี ๆ บุคคลที่หวังการหลุดพ้น จะต้องไม่มีอะไรที่มาร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสารได้

เดือนนี้เป็นเดือนมกราคม ถือว่าเป็นปีใหม่ ก็เลยให้ของขวัญปีใหม่ที่ค่อนข้างจะหนักอยู่สักหน่อย"

เถรี
23-01-2011, 13:28
ถาม : การที่เราอยู่กับตัวเองที่เป็นการอยู่ในอรูปฌาน กับการที่เรากระทบกับกิเลส แล้วเราก็มุดเข้าอรูปฌาน เป็นการติดในอรูปฌานไหมคะ ?
ตอบ : เป็นการรู้จักใช้งานในอรูปฌานมากกว่า ไม่อย่างนั้นฝึกมาก็จะเสียเวลาเปล่า เพียงแต่ว่า การใช้งานนั้น เราจะต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริงของเรา เพียงช่วยในการสกัดกั้นกระแสกิเลสให้กับเราชั่วคราวเท่านั้น และท้ายสุดเราจะต้องเอากำลังของรูปฌานหรืออรูปฌานนี้ เป็นบันไดก้าวล่วงไปสู่ในสิ่งที่ดีกว่า ก็คือพระนิพพาน

แรก ๆ เราก็ใช้หนีกิเลสก่อน เพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยใส่เกราะไว้ ก็คือ ใช้รูปฌานและอรูปฌานนี่แหละ เป็นเกราะในการป้องกันตัวเอง หลังจากที่มีความชำนาญมากขึ้น เราสามารถที่จะพลิกแพลงใช้ได้ตามใจปรารถนาแล้ว เราก็สามารถที่จะเอากำลังตรงนี้ มาใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส เพื่อการล่วงพ้นอย่างแท้จริง

ถาม : ต้องรอเวลาที่เหมาะสม จึงจะพลิกจากดีเป็น..?
ตอบ : ใช่..แต่ถ้าเราขาดสติเมื่อไร ก็จะกลายเป็นยึดติดแล้วกลายเป็นรูปราคะ อรูปราคะ ในสังโยชน์ไปทันที

ถาม : แต่ถ้าเรามัวเพลินกับการมุดอยู่แต่ในนั้น
ตอบ : โผล่ออกมาเสียบ้าง โดนกิเลสตีให้หัวร้างคางแตก รักษาแผลบ่อย ๆ เดี๋ยวก็จะชำนาญไปเอง

ถาม : แต่การปฏิบัติก็ต้องรอให้ทาน ศีล ภาวนา เกิดกำลังพอจึงจะมีกำลังในการตัดกิเลส การที่เราจมอยู่ในอรูปฌานก็คือการสั่งสมกำลังของเราไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : จะเรียกว่าเป็นการสั่งสมกำลังก็ใช่ แต่ขณะเดียวกัน เราอาจจะเพลิดเพลินจนติดอยู่กับฌานนั้นเลยก็ได้

ถาม : มีข้อเสียอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : ถ้าเพลิดเพลินกับฌานก็จะติดอยู่แค่นั้น ไปต่อไม่ได้ แล้วเราก็ไม่รู้ว่า จะต้องเกิดมาทุกข์เพราะการติดอยู่ตรงนี้อีกนานเท่าไร

เถรี
23-01-2011, 13:34
ถาม : แต่ก็เป็นการสั่งสมกำลังไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน
ตอบ : ไม่เถียงเลยว่าเป็นการสั่งสมกำลัง แต่เราอาจจะสั่งสมเพลินเสียจนลืมเอามาใช้ เงินกองท่วมบ้านแต่ไม่ได้ใช้เงินเสียที แก่ตายกันพอดี..!

ถาม : แล้วการที่เราคอยระมัดระวังไม่ให้กิเลส ตัณหา ราคะเข้ามาเกาะกินใจเรา เป็นการทรงฌานไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ใช่..พอทำไปจนชินก็จะเป็นฌานไปเอง

ถาม : ก็อยู่ในกรอบของเราสิคะ ?
ตอบ : ถึงจะอยู่ในกรอบ แต่ สติ สมาธิ ปัญญา ของเราต้องสมบูรณ์พร้อมถึงจะใช้ได้ ของเรายังอยู่ในระดับที่ต้องระมัดระวังจนตัวลีบ ทำอย่างไรที่จะเป็นไปโดยธรรมชาติที่เราไม่ต้องตั้งท่าให้เหนื่อย ถ้าถึงระดับนั้นแล้วจึงจะพอเอาตัวรอดได้

ถาม : การที่เราเปิดใจให้กว้าง ไม่ได้อยู่ในรูปฌานหรืออรูปฌาน ทำให้ไม่มีตัวกั้น ก็หมิ่นเหม่ต่อการแพ้กิเลสมากเลยค่ะ
ตอบ : ก็ใครว่าไม่หมิ่นเหม่เล่า ? อย่างน้อย ๆ เราต้องมีศีลห้าเป็นกรอบ ไม่อย่างนั้นถ้าเราเปิดกว้างไปเรื่อย เดี๋ยวกลายเป็นรับเอาส่วนที่ไม่ดีเข้ามาแทน เรารับได้ แต่ถ้าเราเผลอคล้อยตามเมื่อไรก็จะชั่วไปเลย

ถาม : จิตใจที่เปิดกว้าง จะทำให้รับสัมผัสกับสิ่งที่ละเอียดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไหมคะ ?
ตอบ : ได้ แต่อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านั้นมีทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าหากขาดสติปัญญา มีการไตร่ตรองไม่เพียงพอ อย่างที่เมื่อเช้ายกเรื่องมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิ เราจะเห็นว่าแค่นิดเดียว จากเทพจะเป็นอสูรไปทันทีเลย เพราะฉะนั้น..อย่าไปเปิดกว้างส่งเดช ต้องเปิดกว้างด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

ถาม : แต่ก็เป็นสุขมากเลยนะคะ
ตอบ : เป็นปกติของผู้ทรงฌานที่จะเป็นสุข แต่เป็นสุขก็เป็นสุขไป ติดสุขเมื่อไรก็ติดอยู่แค่นั้นเอง ต้องสักแต่รับรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร อันนี้เป็นเวทนาในเวทนา รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์ เราเป็นคนดูสักแต่ว่ารู้เฉย ๆ อย่าลงไปเป็นคนเล่นด้วยการมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะพลาด ให้กิเลสเขาหลอกต้มเปื่อยไปอีกหลายชาติ

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ยาวนานไม่เห็นต้นไม่เห็นปลายนี้ เราโดนมารหลอกมาจนนับครั้งและนับชาติไม่ถ้วน พลาดแล้วพลาดอีก เพราะฉะนั้น..ในเมื่อตอนนี้เรารู้อยู่ว่า เราหมิ่นเหม่ เหมือนกำลังเดินอยู่บนเส้นลวดข้ามขอบเหวอย่างไร เรายิ่งต้องระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะว่าถ้าพลาดไปที โอกาสที่เราจะแก้ตัวใหม่ก็อีกนานเหลือเกิน

เถรี
23-01-2011, 13:38
ถาม : แต่ในการรับรู้ความละเอียดอ่อนของใครบางคน บางอย่างที่ซึ้ง ทำให้เรารู้สึกซึ้งตามไปด้วย
ตอบ : เรากำลังยินดียินร้ายตามเขาไป..ใช่ไหม ?

ถาม : เป็นการว่า รู้ความทุกข์ของเขาอยู่ในระดับไหน
ตอบ : แล้วอย่างไร ? ถ้าเรายินดียินร้ายตามเขาเมื่อไรก็เสร็จเมื่อนั้น ต้องสักแต่ว่ารับรู้ สิ่งไหนสามารถสงเคราะห์ช่วยเหลือ สามารถแก้ไขได้ก็แก้ไขไปตามสภาพ พ้นจากนั้นไปแล้วก็แล้วกันไป

ถาม : แล้วเราต้องทนรับรู้
ตอบ : ขั้นแรก ๆ เราต้องทนรับรู้ เพราะเราไปแบกแทนเขาเสียเต็ม ๆ แต่ถ้าเราสามารถสักแต่ว่ารับรู้ได้ ก็จะรับรู้แล้วปล่อยวาง รับรู้แล้วปล่อยวาง จะไม่มีส่วนใดที่มากระทบกระทั่งเราได้เลย

ถาม : ถ้าเรารับรู้ความทุกข์ของเขาแล้วสงสาร อย่างนี้กระทบกระทั่งไหมคะ ?
ตอบ : ยิ่งติดหนักเข้าไปอีก เพราะถึงเวลานั้นเราต้องตะเกียกตะกายไปช่วยเขาสุดชีวิต นั่นไม่ใช่สักแต่ว่ารับรู้และทำหน้าที่เฉพาะหน้าแล้ว แต่เป็นการไปยุ่งเกี่ยวกฎแห่งกรรมของคนอื่นเขาแล้ว

ถาม : แบบนี้เราต้องไม่แตะเลย ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่แตะ..บอกแล้วว่าสงเคราะห์ไปตามสภาพการณ์เฉพาะหน้า พ้นจากนั้นไปแล้วก็แล้วกัน

ถาม : แบบนี้ทำอย่างไรเราจะถอยออกมาเร็วได้ทัน ?
ตอบ : ใส่ สติ สมาธิ ปัญญา ลงไปเยอะ ๆ

เถรี
23-01-2011, 15:07
ถาม : สักแต่ว่ารับรู้ แล้วจะ..(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ยังต้องทำต่อไปอีกจ้ะ ต้องสักแต่ว่ารับรู้ได้ทุกเรื่อง สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส ทำอย่างไรที่ใจเราจะไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างจะเป็นธรรมดา เป็นไปตามสภาพของธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
แต่ถ้าเราไปเผลอปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อไร ก็จะเกิดทุกข์เกิดโทษทันที และตัวเราเองนั้นแหละ ที่จะไปติดอยู่ในวังวนแล้วแกะตัวเองไม่ออก

แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อย ๆ ตอนนี้เราคลำทางได้นิด ๆ จับได้เต็ม ๆ มือเมื่อไรก็อย่าปล่อยแล้วกัน

ถาม : สักแต่ว่ารับรู้ได้บางเวลา
ตอบ : ต้องให้ได้อย่างนั้นก่อน แล้วเราจำอารมณ์นั้นเอาไว้ พอจำอารมณ์นั้นเอาไว้ ถึงเวลาเราก็พยายามเข้าถึงอารมณ์นั้นให้ได้อีก แล้วจะทำได้มากขึ้น นานขึ้นเรื่อย ๆ นักปฏิบัติจึงต้องมีการฝึกซ้อมบ่อย ๆ

เถรี
23-01-2011, 15:13
ถาม : อย่างการที่เรารับรู้ แล้วไปหยุดนิ่งเหมือนเราใช้ฌานกดเพื่อให้หยุด นั่นยังไม่ใช่สติใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่ใช่สติที่แท้จริง ยังเป็นการใช้ฌานเป็นกำลังในการสะกัดกั้นอยู่ ยังไม่ใช่ปัญญาในการปล่อยวาง ถ้าเป็นปัญญาปล่อยวาง เราก็ไม่ต้องออกแรงแล้ว อย่าลืมว่า สติ สมาธิ ปัญญา ต้องทำงานพร้อม ๆ กัน การปฏิบัติธรรมถึงจะเจริญ

ถาม : ยังรู้สึกหนัก ๆ อยู่
ตอบ : ต้องมีปัญญาปล่อยวาง กิเลสก็เหมือนกับภูเขาถล่มลงมาตรงหน้า อย่าดันทะลึ่งเดินเข้าไปรับเอาไว้ แค่ยืนมองเท่านั้น อยากถล่มก็ถล่มลงมา ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย

แต่ปัจจุบันของเรายังต้องใช้กำลังไปดันไปต้านเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็โดนทับตาย ไม่เป็นไร..พยายามยุ่งกับกรรมคนอื่นเขาให้เยอะไว้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะจะได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน..!

ถาม : การที่เราเห็นเขาทำบุญ เราก็ทราบว่าการทำบุญเกิดจากจิตที่เจตนาดี เราก็โมทนากับเขา ทำให้เราชุ่มชื่นใจไปด้วยกับการโมทนา อันนี้เข้ากับพรหมวิหาร ๔ หรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นมุทิตาในพรหมวิหารสี่ แต่ก็ยังติดในส่วนที่ดีอยู่ แต่ให้ติดดีไว้ก่อน เพราะเราจะต้องสั่งสมดีจนถึงที่สุด จึงจะพ้นดีได้

เราจมอยู่ในบ่อ ก็ต้องค่อย ๆ ถมบ่อให้สูงขึ้น จนในที่สุดเราก็ปีนพ้นปากบ่อขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องของการที่เราติดดีเหมือนกัน ก็คือการที่เราสั่งสมความดีมากขึ้น ๆ ในที่สุดเราก็ก้าวพ้นความดีไปได้

เหตุที่เราต้องสั่งสมความดีละความชั่ว เพราะว่าความชั่วมีแต่จะนำทุกข์นำโทษให้เราอยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องละชั่วทำดี ละชั่วทำดีไปเรื่อย จนกระทั่งท้ายสุดหลุมก็ตื้นขึ้น พอที่จะให้เราก้าวพ้นไปได้ก็จบ ไม่อย่างนั้นเราก็ยังจมอยู่ในหลุมตลอดเวลา

ถาม : อย่างนั้นพรหมวิหาร ๔ เราก็ต้องทำให้ถึงอุเบกขาทุกครั้งเลยหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ทำให้ถึง แล้วจะมีอุเบกขาไว้ทำอะไรเล่า..!

ถาม : เราโมทนาแล้วเราจะไปอุเบกขาอย่างไรคะ ?
ตอบ : โมทนาไปแบบฉันยินดีด้วยนะ ถ้ามีโอกาสฉันก็จะทำ แต่ถ้าไม่มีโอกาส เธอทำไปเถอะ ฉันจะคอยโมทนาอีก..!

ไม่ต้องดิ้นรนที่จะไปทำเองให้ได้ ถ้ามีโอกาสเราก็ทำ ทำด้วยความไม่ประมาท ทำด้วยความที่โลกสรรเสริญว่าสิ่งนี้ดีเราจึงทำ งดเว้นการกระทำที่โลกเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ดี ก็เท่านี้แหละ

เถรี
23-01-2011, 15:18
ถาม : บางทีเราก็เสียสละทำเพื่อส่วนรวม แต่คนรอบข้างเขาไม่เห็นบุญคุณเรา และเขาก็ว่าเราเสีย ๆ หาย ๆ ?
ตอบ : ทำไมคุณจะต้องไปสนใจด้วย..! ก็บอกแล้วว่า ให้ทำดีเพราะอยากทำ ไม่ใช่ทำดีเพราะอยากดี คนอื่นจะว่าอะไรก็ช่างเขา เราก็ทำของเราไป

เถรี
23-01-2011, 15:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีที่ผ่านทางวัดท่าขนุนมามีรายรับ ๑๘ ล้านบาทเศษ จ่ายไป ๒๑ ล้านบาทเศษ ติดลบเกือบสี่ล้าน..! เป็นหนี้เฉพาะที่วัดที่เดียว ถ้าที่บ้านวิริยบารมีรายรับแทบจะไม่มี มีแต่รายจ่าย ๓๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมค่าที่ดิน ๒๔๐ ตารางวาด้วย

เหตุที่ราคาแพงมาก เพราะถ้าสถานีรถไฟฟ้าไปถึง จะลงปากซอยบ้านวิริยบารมีพอดี ที่ดินก็เลยค่อนข้างจะแพงมาก แต่ค่าก่อสร้างตอนแรกเขาตีเอาไว้ที่ ๑๖ ล้านบาท พอมาตอนหลังวัสดุขึ้นราคา

ช่วงที่ไปเลือกวัสดุเกี่ยวกับระบบเสียงและไฟฟ้าต่าง ๆ เขาขอเพิ่มราคาขึ้นมา กลายเป็นว่าราคา ณ ปัจจุบันนี้ ๓๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท เอาไว้มีโอกาสจะออกวัตถุมงคลสักชุดหนึ่ง ให้พวกเราเป็นเจ้าภาพสร้าง ทำบ้านให้เสร็จก่อน ทำเสร็จแล้วพวกเราค่อยออกเงินช่วยกันสร้าง จะได้เห็นชัด ๆ ว่านี่บ้านเรา"

เถรี
23-01-2011, 15:29
"ตอนแรกพระท่านสั่งให้สร้างพระชัยวัฒน์รุ่นหนึ่ง เอาเข้าพิธีเสาร์ห้าไปเรียบร้อยแล้ว ท่านบอกว่า เตรียมไว้สำหรับงานฉลอง อาตมาก็สงสัยว่างานฉลองอะไร นึกไปนึกมา ตัวเราเองจะสอบพระอุปัชฌาย์ปีนี้ น่าจะเป็นการฉลองพระอุปัชฌาย์ ปรากฏว่าไม่ใช่ กลายเป็นงานฉลองบ้านวิริยบารมี

เมื่อคืนมีโทรศัพท์เข้ามา ๗ - ๘ สาย ตอนเช้าเปิดดูกลายเป็น ทางอำเภอ ทางจังหวัด และทางเลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ แจ้งว่าอาตมาไม่ต้องไปสอบพระอุปัชฌาย์แล้ว เพราะเขาพิจารณาขั้นสุดท้ายเมื่อคืนนี้แล้วไม่ให้ผ่าน เราอุตส่าห์สอบมาสองชั้นแล้ว ทำไมชั้น ๓ - ๔ ไม่ให้ผ่าน

เขาบอกว่า ผลงานของพระอุปัชฌาย์ที่เป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมนั้น ต้องทำอยู่ในวัดของตน แต่เราดันมาสอนที่นี่ (ที่บ้านอนุสาวรีย์) มากกว่า จึงไม่ถูกต้องตามกติกาของเขา ไม่เป็นไร..เดี๋ยววันไหนได้เป็นเจ้าคณะตำบล ก็ต้องเป็นพระอุปัชฌาย์อยู่ดี ไม่เห็นมีอะไรต้องตื่นเต้นเลย

คนที่หงุดหงิดที่สุด คือ เลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านเจ้าคุณไพบูลย์ (พระราชปริยัติโมลี) เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนปริญญาโทอยู่ด้วยกัน ท่านว่า "ไอ้ห่...กติกาอย่างนี้ก็มีด้วย..!"

ส่วนท่านเจ้าคุณปัญญา (พระราชวิสุทธิเมธี) รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีท่านบอกว่า "ผมได้ความรู้ใหม่เลยว่า ผลงานต้องทำเฉพาะในวัดของตัวเองเท่านั้น แล้วจะไปเผยแผ่พระศาสนาให้กว้างขวางได้อย่างไร ?" ไปที่อื่นเขาไม่นับเป็นผลงาน ก็แปลกดี..

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าของเราเป็นสุดยอดอัจฉริยมนุษย์ พระองค์ท่านบอกว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ก็ไม่มีอะไรเที่ยงจริง ๆ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง กินข้าวในกะละมังยังหกได้..!"

เถรี
23-01-2011, 15:37
"แต่ก็ดีตรงที่ว่า เราได้วัดกำลังใจของตัวเองว่า ยังหวั่นไหวอยู่หรือเปล่า ? เรื่องของโลกธรรมแปดนั้น พาให้ทั้งหวั่นทั้งไหวเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่อให้คุณหนักแน่นขนาดไหนก็ตาม ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัวจริง ๆ ก็จะไหว ไหลตามเขาไปจนได้ ส่วนการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ คนจะหวั่นอยู่ตลอดเวลา ว่าจะมาถึงตัวเมื่อไร เพราะฉะนั้น..จึงทั้งหวั่นทั้งไหวเลย

ฉะนั้น..บุคคลที่ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม จึงเป็นบุคคลที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญมาก ตอนท้ายของมงคลสูตร พระองค์ท่านตรัสว่า ผุฎฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ จิตที่กระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว เอตัมมังคะละมุตตะมัง จัดเป็นสุดยอดของอุดมมงคล ประโยคนี้อาตมาเขียนติดสมุดบันทึกตัวเองมาหลายปีเลย

สมัยก่อนเป็นคนที่ชอบเขียนบันทึกมาก ติดนิสัยเขียนบันทึกประจำทุกวันเพื่อเป็นการตรวจสอบตัวเองว่า เรามีอะไรก้าวหน้าหรือถอยหลังในการปฏิบัติบ้าง ถ้าเราไม่บันทึกเอาไว้ เราจะไม่รู้ถึงความก้าวหน้าของตัวเอง หรือถึงจะรู้แต่ก็ไม่ละเอียด

ในเมื่อบันทึกเอาไว้ ก็จะต้องมีคำพูดที่คอยสะกิดเตือนใจตัวเองเอาไว้ สมุดเล่มแรก ๆ จะเขียนเอาไว้ว่า "จงอย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปวัดคนอื่น" คือคนเรากำลังใจไม่เท่ากันหรอก ดีก็ไม่เท่ากัน ชั่วก็ไม่เท่ากัน เราจะเอาตัวเราเองเป็นบรรทัดฐานไปวัดคนอื่นเขาไม่ได้

พอถัด ๆ มาก็กลายเป็น "จงอย่าให้กาย วาจา ใจ ของเราเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่นเขาเลย" การที่เราจะคิด เราจะพูด เราจะทำ อย่างไร อย่าให้เกิดโทษและเดือดร้อนแก่คนอื่นเขา แล้วถึงมาเป็นบาลีที่ว่า "ผุฎฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ แปลว่า จิตที่กระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว"

ตอนนั้นเขียนพาดหน้าสมุดบันทึกเอาไว้ว่า นี่แหละเป้าหมายที่เราต้องไปให้ถึง ทำอย่างไรจะให้จิตกระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เอตัมมังคะละมุตตัมมัง สุดยอดของความเป็นมงคล"

เถรี
23-01-2011, 15:38
ถาม : ไม่หวั่นไหว คือ เราไม่สะดุดกับโลกธรรมเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่ยินดีไม่ยินร้ายด้วย สามารถวางอารมณ์ใจให้เป็นกลางได้ ได้มาก็รับเอาไว้ ไม่ได้มาก็ไม่ไปดิ้นรนไขว่คว้า เสียไปก็ไม่สะดุ้งหวั่นไหว

เถรี
23-01-2011, 15:48
ถาม : ตอนนี้ผมก็ปฏิบัติธรรมมาได้พอสมควรแล้ว จิตก็เริ่มขี้เกียจ เราจะกำราบกิเลสอย่างไรดี ?
ตอบ : แสดงว่าจวนจะแย่แล้ว ต้องไปฝึกมรณานุสติ ให้รู้สึกอยู่เสมอว่า ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าตายตอนนี้กำลังใจเรายังไม่ดี เราต้องลงอบายภูมิแน่นอน เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากลงอบายภูมิ ก็จงขี้เกียจต่อไป บอกกับตัวเองให้ชัด ๆ อย่างนี้ไปเลย

เอามรณานุสติเป็นเกณฑ์ ทำตัวเป็นคนมีวันนี้เป็นวันสุดท้าย ถ้าวันสุดท้ายไม่ทุ่มเท ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอดหรือไม่

ถาม : ถ้าขี้เกียจในมรณานุสติ ?
ตอบ : ถ้าขี้เกียจในมรณานุสติก็ต้องขี้เกียจหายใจด้วย..! วันก่อนมีโยมบอกว่า เบื่อแล้วอยากฆ่าตัวตาย อาตมาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้ฆ่าตัวตายตามแบบพระพุทธเจ้า ก็คือ ฝึกฌานสี่ละเอียดให้ได้ เข้าฌานสี่ไปแล้ว พอคลายออกมาแล้วอย่าหายใจ ก็จะตายเอง แล้วตายแบบนั้นเราเลือกได้ด้วยว่าเราจะไปไหน

ฉะนั้น..วิธีฆ่าตัวตายแบบพระพุทธเจ้าสุดยอดมากเลย สมควรที่ทุกคนจะเลียนแบบ ก็คือ ถ้าหายใจจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ถ้าเราคลายจากฌานสี่ออกมาแล้วไม่หายใจ ก็จะไปเลย อย่างที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า บุคคลที่คล่องในอานาปานสติ สามารถที่จะกำหนดเวลาตายของตัวเองได้

เถรี
23-01-2011, 16:00
อย่างในธรรมบท ที่ลูกศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า จะรู้เวลาตายได้อย่างไร ? พระอาจารย์จึงขีดเส้นเอาไว้ บอกว่า "ถ้าฉันเดินจงกรมครบรอบ มาเหยียบเส้นนี้เมื่อไร ฉันก็จะตาย" ลูกศิษย์ก็รอดู พอพระอาจารย์เดินจงกรมจนครบรอบ เหยียบเส้นก็มรณภาพในท่ายืนทันทีเลย เพราะท่านเข้าฌานแล้วทิ้งไปเลย ถ้าไม่หายใจเสียอย่าง จะไปอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องตาย

เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะกำหนดเวลาตายได้ชัดเจน อย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านบอกว่า เวลาหกโมงเย็นท่านจะไป หลวงพ่อกับเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันสวดอิติปิโสถวายท่าน

ตอนแรกหลวงปู่ท่านให้จุดธูปแขกที่มีกลิ่นหอม ๆ เพื่อที่จะได้กลิ่นแล้วจิตระลึกว่านี่เป็นการบูชาพระรัตนตรัย จิตของท่านจะได้เกาะพระและการฟังสวดอิติปิโส ทำให้น้อมใจเกาะในคุณพระรัตนตรัยไว้ พอถึงเวลาสวดเสร็จ หลวงปู่ถามว่ากี่โมงแล้ว หลวงพ่อฤๅษีกราบเรียนว่าหกโมงแล้ว หลวงปู่ปานก็ชีพจรดับไปทันทีเลย

ปกติชีพจรมือและเท้าจะดับไม่พร้อมกัน แต่ลักษณะของผู้ทรงฌานจะตัดดับไปเลย หยุดก็คือหยุดพร้อมกันไปเลย

ถาม : ยังไม่ถึงฆาตก็ไปได้หรือคะ ?
ตอบ : ท่านถึงฆาตแล้ว รู้ด้วยว่าท่านเองจะต้องไปตอนไหน

ถาม : แล้วถ้ายังไม่ถึงฆาต แล้วฆ่าตัวตายไปแบบนั้น ?
ตอบ : ทำได้ เราไปก็เป็นสัมภเวสีไปก่อน แต่เป็นสัมภเวสีชั้นดี เพราะออกไปด้วยกำลังของฌาน แบบเดียวกับประวัติของท้าวมหาพรหมชินปัญชระ ที่ผู้หญิงเห็นท่านรูปร่างถูกใจมาก กระโดดกอดท่าน ท่านก็เลยทิ้งร่างไปเลย นี่ว่าตามประวัติของท่านนะ..ท่านจึงไปเกิดเป็นพรหม เพราะท่านไปด้วยกำลังฌาน

ถาม : เทียบกับสัมภเวสี..?
ตอบ : ก็แค่รอให้หมดอายุมนุษย์ ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นสบายจะตาย เพราะออกไปด้วยกำลังของฌานสมาบัติ มีความสุขเท่ากับพรหม เวลาของมนุษย์แค่ครู่เดียว ทำไมจะรอไม่ได้

เถรี
24-01-2011, 00:05
ถาม : แล้วพระราหุลที่ไปนิพพานที่ชั้นดาวดึงส์ จินตนาการไม่ออกเลยค่ะว่าเป็นอย่างไร ?
ตอบ : จะไปจินตนาการทำอะไร ? เป็นปลาแล้วไปจินตนาการว่านกบินขึ้นฟ้าอย่างไร คิดออกก็แปลกแล้ว..! ไม่ต้องถึงพระอรหันต์อย่างพระราหุลหรอก แค่ท่านอสิตดาบสหรือกาฬเทวิลดาบส ถ้าเราอ่านพุทธประวัติก็จะรู้ว่า ท่านเป็นคนแรกที่ไปเยี่ยมเจ้าชายสิทธัตถะที่เพิ่งประสูติ

ตอนนั้นท่านอสิตดาบสขึ้นไปนอนพักที่ดาวดึงส์ เทวดานางฟ้าท่านรื่นเริงบันเทิงใจ ทั้งโห่ทั้งแห่ เสียงกลองทิพย์บันลือลั่นไปสามโลก ท่านอสิตดาบสก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น พอถามเขาก็บอกว่า พระมหาโพธิสัตว์ประสูติแล้ว ท่านจึงรีบลงมากราบเยี่ยม

อย่างพระราหุลท่านนิพพาน ท่านก็ไม่ได้ทิ้งสังขารไว้ให้พรหมเทวดาต้องจัดการ ท่านอธิษฐานเตโชธาตุเผาตัวเอง เหลือแต่พระสารีริกธาตุ ให้เขาเก็บไปบรรจุในพระเจดีย์ไว้บูชา

ถาม : ไปดาวดึงส์ ก็คือไปแบบอภิญญาใหญ่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่..ไปแบบเอาร่างกายนี้ไปทั้งตัวเลย

ถาม : แล้วจะอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าเป็นปลาแล้วอยากจะไปรู้เรื่องนก..! อภิญญาใหญ่เสียอย่างจะไปไหนก็ไปได้ จะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ จะอยู่ในอวกาศ อยู่ในทะเลก็ไม่เดือดร้อน นึกอยากจะหายใจก็มีอากาศให้หายใจ นึกจะกินก็ไม่ต้องกิน แค่ดึงเอาธาตุสี่รอบข้างมาทดแทนให้ร่างกายก็พอแล้ว

เถรี
24-01-2011, 00:13
พระอาจารย์กล่าวถึงการบวชเนกขัมมะให้ฟังว่า "ในการปฏิบัติวันแรก ๆ เราจะโดนตีกรอบด้วยศีล ๘ และระเบียบวินัย ก็คือต้องทำอะไรตามเวลาแล้วยังต้องงดข้าวเย็นอีก ก็จะเกิดอาการหงุดหงิดกลัดกลุ้มเป็นปกติ นอกจากนี้เรายังไม่เคยชินกับการที่ต้องไป ยกหนอ..ย่างหนอ..เหยียบหนอ..อีก ก็จะยิ่งไปกันใหญ่

ดังนั้น..วันแรก ๆ ก็จะหงุดหงิด พระวิปัสสนาจารย์ท่านมักจะใช้คำว่า สภาวธรรมเกิดขึ้น จนถึงขนาดมีคนเขาบอกว่า “วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ”

วิปัสสนาขี้โกรธ ก็คือ คนที่มาปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะอย่างนี้ พอถึงเวลาแล้วจะเกิดปฏิฆะ กระทบกระทั่งกับคนอื่นง่าย เพราะอยู่ ๆ ก็มาโดนตีกรอบ จากที่เคยทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้ กิเลสก็เริ่มอาละวาด แต่ว่าไม่ใช่แค่ขี้โกรธเฉย ๆ นะ รัก โลภ โกรธ หลง มาครบทุกตัวเลย

อย่างที่ฝรั่งหลายรายเขาบอกว่า "ถ้าคุณอยากรู้ว่าคุณเป็นคนเซ็กส์จัดขนาดไหน ให้ไปลองฝึก meditation ก็คือฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน" เพราะว่าแรก ๆ ของการฝึก ด้วยความที่จิตโดนบังคับให้อยู่กับที่ ก็จะดิ้นไปหาสิ่งที่เคยชิน แล้วฝรั่งเขาฟรีเซ็กส์เป็นปกติ ก็จะดิ้นไปหาเรื่องทางกามราคะอย่างเดียว

แต่ไม่ใช่กิเลสจะมาตัวเดียวนะ รัก โลภ โกรธ หลง จะมีมาครบทุกตัว เพียงแต่ว่าตัวไหนที่จะเด่น ในเมื่อโดนตีกรอบ กิเลสก็จะมุดหนีไปในช่องที่เคยไป จะดิ้นเต็มที่เลย..!

ดังนั้น..เราทุกคนจึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการปฏิบัติ ถ้าหากว่ากำลังใจยังไม่ทรงตัวชนิดที่ว่า ตั้งใจเมื่อไรสามารถที่จะทรงฌานได้เลยทันที อย่างไรเสียกิเลสก็จะต้องโผล่มาแน่นอน ไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่ง"

เถรี
24-01-2011, 00:19
"สันโดษขี้ขอ เป็นนิสัยเฉพาะคน แหม..เราเองเป็นผู้สละแล้วซึ่งกิเลส แต่ว่าโยม..วัดยังไม่มีอย่างนั้น โยม..วัดยังขาดอย่างนี้ โยม..วัดต้องการสร้างอย่างโน้น กลายเป็นสภาพที่ควรที่จะต้องยินดีตามมีตามได้ กลับไม่เป็นเช่นนั้น เที่ยวขอเขาดะไปหมด

แต่จริง ๆ แล้ว สันโดษ ไม่ใช่ว่าไม่เอาอะไรเลยนะ เพราะว่าสันโดษนั้น พระพุทธเจ้าทรงแยกออกว่ามี ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ได้แค่ไหน พอใจแค่นั้น ไม่ไปดิ้นรนให้มากกว่านั้น

ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ จะได้เป็นพันล้าน หมื่นล้าน ก็พอใจแค่นั้น เพราะฉะนั้น..สันโดษไม่ใช่จนนะ สันโดษก็รวยได้

และท้ายสุด ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ในเมื่อคุณรวย คุณจะขี่เบนซ์ ขี่บีเอ็ม ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร

ดังนั้น..อย่าไปเข้าใจผิดว่า สันโดษจะต้องจน อย่างที่ในหลวงทรงตรัสว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายความว่าต้องจน แต่เศรษฐกิจพอเพียง คือ ให้ตัวเองพอกินพอใช้ก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดถึงเรื่องการค้าขาย ถ้ามีเหลือมากก็รวยได้ ไม่ใช่ว่าพอเพียงแล้วต้องเอานิดเดียว

ส่วนอุเบกขาบ้ายอ คือ บุคคลที่กำลังใจยังไม่เป็นอุเบกขาจริง ๆ ยังวางไม่ได้จริง ๆ ถึงเวลาคนนั้นชมนิด คนนี้ชมหน่อย ก้นเราก็ค่อย ๆ กระดกโดยไม่รู้ตัว คือ ตัวลอย

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าได้ยินประโยคนี้ขึ้นมา ต้องตีความให้ถูกนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโกรธกันตาย เขาบอกว่า วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ ถ้าเราได้ยินแล้วไปโกรธไฟแลบ ก็จะกลายเป็นนักปฏิบัติขี้โกรธจริง ๆ"

เถรี
24-01-2011, 00:24
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อวัดเขาตามะยะ เมืองพะอาง ประเทศพม่า ทหารพม่าทั้งกองร้อยเอารถยีเอ็มซีวิ่งเข้ามาตึงตังไปทั้งวัด

ทหารบอกว่า "หลวงพ่อ เจ้านายให้มานิมนต์ไป"
ท่านบอกว่า "กูไม่ไปกับมึงหรอก"

"เขาให้บังคับนะหลวงพ่อ"
"แล้วมึงจะเอาอะไรมาบังคับกู ?"

"พวกผมมีปืนนะหลวงพ่อ..!"
"ปืนมึงไม่มีลูก กูไม่กลัวหรอก..!"

ผลปรากฏว่า ทหารทั้งกองร้อยปืนมีแต่เหลือซองกระสุนเปล่า ๆ ไม่มีลูกปืนเหลือสักนัดเดียว..!" ท่านแน่จริง ๆ แล้วแบบนั้นจะไม่ให้รัฐบาลพม่ากลัวได้อย่างไร พวกเขากลัวหลวงพ่อท่านพาชาวบ้านไปปฏิวัติ..!

เถรี
24-01-2011, 00:31
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "นครปฐมโมเดล เกิดจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสนเริ่มต้นขึ้นมา รับนักเรียนโดยอาศัยเกณฑ์ความดี นับเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนสอบเข้า

หลังจากเวลาผ่านไป ๔ ปี การที่เขาใช้เกณฑ์ความดีในการรับเด็ก โดยอาศัยคะแนนความดีเป็นส่วนประกอบ เด็กรุ่นนั้นเริ่มจบแล้ว แม้กระทั่งรุ่นหลังที่ตามมา ก็มีความประพฤติออกไปอยู่ในแนวที่เรียกว่าดีโดยธรรมชาติ กลายเป็นว่า มหาวิทยาลัย วิทยาลัย และวิทยาเขตอื่น ๆ พยายามที่จะเลียนแบบบ้าง

บางคนสงสัยว่า จะเอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด ? บรรดาเด็ก ๆ ถ้าหากว่าสอบธรรมศึกษาได้ หรือว่าเคยไปปฏิบัติธรรมตามวาระต่าง ๆ แล้วได้วุฒิบัตรมา ถ้าต่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สามารถใช้วุฒิบัตรนี้เป็นตัวประกอบในการสอบเข้าได้

ดังนั้น..เด็กรุ่นหลัง ๆ จะได้เปรียบมาก ไปปฏิบัติธรรมแล้วเขาแจกวุฒิบัตร ก็สามารถนำมาใช้งานจริงได้

จริง ๆ แล้วมหาวิทยาลัยเกษตรฯ น่าจะเริ่มที่เกษตรฯ บางเขน แต่ไปเริ่มที่วิทยาเขตกำแพงแสนก่อน แสดงว่าผู้บริหารของที่นั่นเขามีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลมาก ตอนที่เขาทดลองไม่มีใครเชื่อว่าจะสำเร็จ ปรากฏว่า ๔ ปีผ่านไป ได้ผลดีจริง ๆ

จะเห็นได้ว่าเด็กของ ม.เกษตร มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าปกติ มีความรักใคร่สามัคคีกัน ทั้งในหมู่คณะและต่างคณะ มีการประสานงานกัน หนุนเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยเหลืองานกันโดยไม่ต้องให้อาจารย์มาเคี่ยวเข็ญบอกกล่าว เป็นไปโดยธรรมชาติเลย"

ถาม : ผู้บริหารเขากล้ามากเลยนะคะ
ตอบ : กล้ามาก เพราะว่าการวัดคะแนนด้วยเกณฑ์ความดีนั้นวัดยาก สัมภาษณ์ก็หลอกกันได้..ใช่ไหม ? แรก ๆ เขาใช้วิธีสัมภาษณ์ อย่างเช่นว่า คุณเคยทำบุญใส่บาตรไหม ? ใส่บาตรประจำที่หน้าบ้านหรือเปล่า ? ได้ใส่บาตรแล้วคุณรู้สึกอย่างไร ? วันพระได้เข้าวัดบ้างไหม ? เข้าไปแล้วทำอะไรกันบ้าง ? เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดไหนมาบ้าง ? หลวงปู่หลวงพ่อท่านสอนคุณว่าอย่างไร ? เขาจะสัมภาษณ์ไปเรื่อย จนสามารถที่จะสรุปออกมาได้ว่า เด็กคนนั้นทำจริงหรือเปล่า ?

แต่มาระยะหลัง เขาใช้วิธีดูประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรเป็นเกณฑ์ แต่คิดว่าการสัมภาษณ์น่าจะได้ผลดีกว่า เพราะถ้าเด็กไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติอยู่ จะตอบคำถามของเขาไม่ถูก

เถรี
24-01-2011, 00:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเพื่อพระศาสนา ทำตรงจุดไหนก็ได้ พอช่วย ๆ กันทำเข้าไป เวลาภาพรวมออกมา ก็คือความเจริญของพระพุทธศาสนาและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของพุทธศาสนิกชน

เราลองดูวัดโจคัง ของทิเบต เขาหุ้มหลังคาด้วยทองคำ เราต้องมานึกดูว่า ถ้าทั้งประเทศไทยของเราระดมเงินลงไปวัดเดียว คงจะหุ้มทั้งวัดด้วยทองคำได้เหมือนกัน แต่ประเทศไทยไม่ใช่ว่าลงวัดเดียวอย่างของเขา

เขามีพระราชวังโปตาลา วัดเดรปุง วัดโจคัง แค่ไม่กี่วัดที่เขาถือว่าสำคัญ เขาก็จะระดมลงไปตรงนั้น แต่วัดของเรามีทั้งประเทศ ในเมื่อทั้งประเทศ จะให้ชัดเจนอย่างของเขาก็คงจะไม่ได้

แต่ถ้าทุกคนพร้อมใจกันทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ มีวัดแล้วเข้าวัดให้คุ้มกับที่สร้างวัดมา อย่างของพม่าเขา พม่าเขาจะสร้างวัดเล็กวัดน้อย เจดีย์เล็กเจดีย์น้อย จะอยู่ในป่าในดงขนาดไหน เขาก็มีคนไปกราบไหว้บูชาอยู่เสมอทุกวัน"

เถรี
24-01-2011, 00:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระที่เป็นเนื้อเมฆสิทธิ์กับเนื้อเมฆพัตรจะปลอมได้ยาก เพราะยิ่งนานไป สีจะยิ่งจางลงไปเรื่อย เป็นการจางลงเองโดยธรรมชาติ เมฆพัตรจากที่เราเห็นค่อนข้างดำ ก็จะจางลงเป็นสีน้ำเงิน จนสีอ่อนเป็นสีน้ำเงินอมขาว ถ้าเป็นเมฆสิทธิ์จะจางลงเป็นสีเขียวแบบสีปีกแมลงทับ จนกระทั่งเป็นสีเขียวอ่อนอมเหลือง จะจางลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุของวัตถุมงคลที่นานขึ้น

เพราะฉะนั้น..ใครที่ทำปลอมขึ้นมา ต่อให้เหมือนขนาดไหน ก็จะดูออกว่าไม่ใช่ของเก่า เพราะเนื้อจะเป็นของใหม่ ก็ดีอยู่อย่างว่าเป็นของที่กันการปลอมได้ แต่เมฆสิทธิ์กับเมฆพัตรจะมีส่วนผสมของสังกะสีค่อนข้างมาก จะทำให้เนื้อพระกรอบ ถ้าเผลอทำตกหล่นใส่ของแข็งอย่างปูนซีเมนต์ เนื้อจะบิ่นหรือแตก

เนื้อเมฆพัตรจะผสมเงินมากกว่า ถ้าเป็นเมฆสิทธิ์จะผสมทองมากกว่า เมฆสิทธิ์สีจะออกเหลือบทอง เมฆพัตรสีจะออกเหลือบเงิน เดี๋ยวนี้สูตรโบราณเขาไม่ค่อยรู้กัน

อยากรู้ว่าบรรพบุรุษของเราเก่งแค่ไหน ให้ไปดูที่หน้ากระทรวงกลาโหม ปืนใหญ่โบราณตากแดดตากฝนมาเป็นร้อยปี จนป่านนี้ยังไม่มีผุเลย สนิมไม่ขึ้นอีกต่างหาก สเตนเลสยังไม่ได้ขนาดนี้เลย ไปตากแดดตากฝนแบบนั้น ถึงเป็นสเตนเลสก็สนิมขึ้นแน่นอน"

เถรี
24-01-2011, 00:42
ถาม : ฝาแฝดทำบุญทำกรรมอะไรมาจึงเกิดเป็นฝาแฝด ?
ตอบ : มีหลายอย่างด้วยกัน บางทีก็อธิษฐานขอเกิดมาพร้อมกัน บางทีก็ทำบุญทำกรรมมาใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะทำเนื่องกันมากับผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ก็เลยต้องมาเกิดด้วยกัน

แต่จะมีประเภทแฝดสยามที่ตัวติดกัน กรณีนั้นอธิษฐานผิด เขาไปอธิษฐานว่าจะไม่พรากจากกัน ก็เลยเกิดมาตัวติดกัน คนอธิษฐานเขาไม่รอบคอบ รักกันมากจึงไม่อยากจะพรากจากกัน

ถาม : ถ้าไม่ถอนคำอธิษฐาน เกิดใหม่จะติดกันอีกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็คงจะติดกันอีก เราจะสังเกตว่าพอผ่าตัดออกมาแล้วจะตาย เพราะว่าไปฝืนกรรม ฝืนคำอธิษฐาน

เถรี
24-01-2011, 00:46
ถาม : ฝึกพระกรรมฐานในส่วนของพุทธานุสติ ระลึกถึงภาพพระ การจับภาพพระก็คือ ลืมตาให้เห็นภาพพระใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จ้ะ..แรก ๆ ก็หลับตานึกถึงไปก่อน พอคล่องตัวแล้วจะลืมตาหรือหลับตาก็นึกกำหนดภาพพระได้เหมือนกัน

ถาม : ธัมมานุสติให้ระลึกอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเราจะเอาแบบง่าย ๆ เลย ก็คือ นึกถึงคัมภีร์พระธรรมก็ได้ แต่ถ้าเอาตามแบบที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยสอนมา ท่านให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ ธรรมะที่พระองค์ท่านเทศน์ลอยลงมาเป็นดอกมะลิแก้ว ลอยลงมาเป็นสาย ๆ แล้วเราก็จับภาพนั้นแทน

อาตมาทดลองจับได้ครู่เดียว ก็กลายเป็นภาพสีทองแพรวพราวหมดทั้งองค์พระ ทั้งดอกมะลิ ก็คือ ถ้าเราทำอะไรได้สักกอง ที่เหลือก็จะง่ายแล้วจ้ะ แต่ถ้าเราทำไม่ได้สักกอง ก็จะยากทุกกอง

อาตมาเองมักจะฉวยโอกาสตอนหลวงพ่อเทศน์ วันพระที่หลวงพ่อท่านไม่ป่วย ท่านจะลงเทศน์เป็นประจำ อาตมาก็จับภาพพระ นึกภาพว่าหลวงพ่อมีพระพุทธเจ้าคลุมท่านอยู่ ตอนนี้พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์ผ่านองค์หลวงพ่อมา เสียงของท่านคือพระธรรม เป็นดอกมะลิแก้วลอยลงมา แล้วก็มีพานใหญ่อยู่ตรงข้างหน้า ดอกมะลิแก้วก็จะมารวมกันอยู่ในพานตรงหน้า จัดเป็นธัมมานุสติเต็มระดับจ้ะ

เถรี
24-01-2011, 09:15
ถาม : ทำวิธีไหนจะให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมและโมทนาบุญ ?
ตอบ : เรื่องของเจ้ากรรมนายเวร สำคัญตรงที่ว่า เราไปสร้างเวรสร้างกรรมกับเขา ทำให้เขาอาฆาตจองเวรกับเรา โอกาสที่เขาจะอโหสิกรรมโดยเด็ดขาดทีเดียวจึงยาก มีอยู่ทางเดียว ไม่ว่าเราจะทำบุญเล็ก ทำบุญใหญ่ขนาดไหน ในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา อุทิศส่วนกุศลให้เขาประจำ ๆ และขอให้เขาอโหสิกรรมให้ด้วย พวกนี้เขาทนลูกตื๊อไม่ได้หรอก เดี๋ยวนาน ๆ ไปก็ใจอ่อน

โดยเฉพาะบุญจากสมาธิหรือบุญกรรมฐานจะเป็นบุญใหญ่มาก ให้เขาบ่อย ๆ แรก ๆ เขาอาจจะไม่ยอมอโหสิให้เลย หลังจากนั้นก็ลดลงไปทีละนิดทีละหน่อย ถึงเวลาก็หมดไปเอง อย่างอาตมาตอนแรกเจ็บไข้ได้ป่วย ตอนนี้เริ่มจะเบาบางลงไปเรื่อย เพราะนอกจากเราจะทำบุญทั่วไปแล้ว ยังปล่อยปลาให้เขาทุกเดือน

ปล่อยพวกวัว พวกปลา ปล่อยปลาเดือนหนึ่งก็สามสี่หมื่นบาท เหตุที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะในอดีตชาติเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขามานับไม่ถ้วน จึงต้องคืนชีวิตให้เขาไป เพราะฉะนั้น..การที่เราปล่อยปลาเดือนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเราจะคืนให้เขาครบทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งที่เขาอโหสิให้ อาการป่วยที่เป็นหัววันท้ายวันก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย เพิ่งสองปีนี่แหละที่อาการดีขึ้น ไม่อย่างนั้นก่อนสองปีนี่ดูไม่ได้เลย

ต้องขยันทำ ขยันให้ ตื๊อไปเรื่อย ๆ ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก โบราณว่า น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน

ถาม : ทำบุญแล้วอุทิศอิทังเมหรือคะ ?
ตอบ : อิทังเม ใช้สำหรับญาติของเรา อิทังเม ญาตินัง โหตุ แปลว่า จงสำเร็จแก่ญาติของเรา จะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรพูดภาษาไทยเลยจ้ะ บุญกุศลที่เราทำในครั้งนี้ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินท่านมา แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

เถรี
24-01-2011, 09:22
ถาม : ให้แม่เขาพูดใช่ไหม ?
ตอบ : บอกแม่เขาว่า เราไปถวายสังฆทานมา ขอให้แม่โมทนา ขอให้แม่อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรด้วย ต้องทำสองต่อ คือ เราทำให้แม่ แม่รับแล้วก็อุทิศต่อ

บางทีในเรื่องอุทิศส่วนกุศลแล้วกล่าวไม่ตรง หลวงพ่อเคยเจอมา เขาบอกให้อุทิศส่วนกุศลว่า อิมินา ปุญญะกัมเมนะฯ พอท่านบวชแล้ว วันหนึ่งนายนิรยบาลเขาพาผีมา ขอโมทนาบุญด้วย หลวงพ่อก็มัวแต่ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา อาจริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกาฯ ปรากฏว่านายนิรยบาลเขาลากผีไปแล้ว ไม่รอ..เพราะเขามีเวลาแค่นิดเดียวที่จะมาได้

มัวแต่ไปไล่ อุปัชฌายา คุณุตตะรา อาจริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกาฯ ไม่ถึงเขาเสียที มีเวลาไม่มากก็เลยต้องลากกลับไปก่อน พอตอนเช้าหลวงพ่อฉันเสร็จ หลวงปู่ปานถามว่า "เป็นอย่างไร ? พ่ออิมินาคล่อง มัวแต่ไปอิมินาอยู่ ผีมันจะได้แดกเรอะ..!"

หลวงพ่อก็เลยถามว่าควรจะทำอย่างไร หลวงปู่บอกว่า ให้ตั้งใจเลยว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จะมีผลกับเราเพียงไรขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์สุขเท่าไร ขอให้เธอจงได้รับด้วย เขาสาธุก็ได้เลย มัวแต่ไปว่ายาว ๆ เดี๋ยวไม่ทันกิน

เถรี
24-01-2011, 12:15
อาตมาเองก็เจอมาเหมือนกัน แต่ครั้งนั้นเป็นความโง่ของตัวเอง ปกติตอนเช้า ๆ จะฝึกซ้อมมโนมยิทธิ ใช้ทิพจักขุญาณดูนั่นดูนี่ ว่าวันนี้เราจะเจอใคร มีรูปร่างลักษณะอย่างไร ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน ดูไปเรื่อยเพื่อพิสูจน์ว่าจะตรงหรือไม่

ตอนช่วงเช้าก่อนออกบิณฑบาตจะดูว่าคนแรกที่ใส่คือใคร เขาใส่เสื้อผ้าสีอะไร เป็นผู้หญิงหรือชาย เสร็จแล้วก็ไปบิณฑบาต ตอนอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ต้องเดินขึ้นป่าขึ้นเขาไป ๕ กิโลเมตรเศษ กว่าจะไปถึงบ้านคน ไปถึงบ้านแรก ก็เห็นตรงกับที่เราดูไว้ก่อน

เวลาพระบิณฑบาต เขาให้มองแต่ในบาตร พอเปิดบาตรสำรวมก้มลงมอง ตอนนั้นความลับดันแตก ชุดเก่า ๆ ที่เขาใส่กลับไม่ใช่ชุดเดิม กลายเป็นชุดเหลือบทองเหลือบแก้วแวววับเลย เราก็ปิดบาตรโครม..! ถามว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? จะมาทำอะไร ? เขาบอกว่าเป็นนางไม้อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง อยากจะได้บุญก็เลยมาดักใส่บาตร

อาตมาก็มองดู เนื้อเขาคล้าย ๆ กับเนื้อเรา คือ เป็นเนื้อทึบ พวกเทวดาพรหมนี่ ถ้าบุญยิ่งมากเท่าไร เนื้อจะยิ่งใสมากเท่านั้น ถ้าใสเป็นประกายสว่างจ้าเลยก็เป็นพระอริยเจ้าแน่นอน ถ้าเป็นทั่วไปจะใสเหมือนแก้วใส

พอเห็นเนื้อเขาทึบ ๆ คล้ายเรา ก็รู้ว่าบุญเขาน้อยจริง ๆ จึงบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ถ้าเธออยากได้บุญ ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอจงได้รับด้วย" แล้วเธอก็สาธุ กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราวแล้วก็ไปเลย..!

คราวนี้เราจะฉันอะไร เพราะเขาไปแล้ว..! เขาตั้งใจมาใส่บาตรเพื่อเอาบุญ ในเมื่อเขาได้แล้วเขาไม่ต้องใส่ก็ไปเลย ตั้งแต่นั้นมาอาตมาจำขึ้นใจเลย ถ้าเอ็งยังไม่ใส่ ข้าก็ไม่ให้..! เจออะไรครั้งแรกแล้วโง่ ต่อไปจะจำไปนานเลย

เถรี
24-01-2011, 12:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาพุทธของศรีลังกาสืบสายต่อเนื่องกันมาได้เพราะคณะสงฆ์ไทยไปช่วยไว้ ตอนช่วงนั้นประเทศฮอลันดา โปรตุเกส ผลัดกันครองศรีลังกาประมาณสองร้อยกว่าปี ใครไม่ถือศาสนาคริสต์เขาจะไม่ให้ทำงาน กลายเป็นคนตกงาน จึงทำให้คนศรีลังกาต้องถือศาสนาคริสต์กันเกือบหมด

พระจึงค่อย ๆ สูญไป เหลือสามเณรอยู่รูปเดียว คือ สามเณรสรณังกร บวชมาสามสิบกว่าปี แต่เป็นได้แค่เณรเพราะไม่มีพระพอที่จะบวชให้ จึงไปทูลขอพระเจ้าแผ่นดิน ให้ส่งทูตมาขอพระจากพม่าไปบวชให้ ทางพม่าไม่ยอมส่งไป คงเห็นว่าอันตราย เพราะมีแต่คริสต์ทั้งประเทศ

เขาจึงขอมาทางอยุธยา ทางอยุธยาจึงส่งพระอุบาลีไปให้ จึงกลายเป็นสยามวงศ์มาจนทุกวันนี้ ตอนนั้นพระอุบาลีบวชพระให้ครั้งเดียวจำนวน ๗๐๐-๘๐๐ รูป เพราะเขาอยากบวชกันมานาน แต่ไม่มีพระให้บวช รวมแล้วพระอุบาลีบวชพระให้ไป ๗,๐๐๐ กว่ารูป

พระอุบาลีท่านเป็นนักสู้จริง ๆ ตายคาสนามรบ ไม่ได้กลับเมืองไทย มรณภาพที่นั่นเลย พอสมณทูตรุ่นที่สองไปถึง พระอริยมุนีที่ไปด้วยกันท่านก็ได้กลับประเทศไทย แต่พระอุบาลีมรณภาพอยู่ที่ศรีลังกา ทุกวันนี้ก็ยังมีรูปเคารพของท่านอยู่ เขาเรียกว่า สยาโมปาลีวงศ์ ก็คือ สยามอุบาลีวงศ์

เขาสนธิแล้วแปลงอุเป็นโอ แทนที่จะเป็นสยามุ ก็เลยเป็นสยาโม"

เถรี
24-01-2011, 12:23
ถาม : เวลาที่เราพิจารณาอะไรสักอย่าง พอพิจารณาบ่อย ๆ แล้ว มีความรู้สึกว่าจิตใจเริ่มคุ้นชิน จนตอนหลังไม่ต้องคิดมากแล้ว จิตก็ยอมรับ แต่ว่าพอห่างการพิจารณาไป กลับมาพิจารณาใหม่ ก็ยังต้องใช้เวลามากเหมือนเดิม
ตอบ : แสดงว่านั่นยังไม่ใช่ของเราจริง ๆ ต้องซ้อมบ่อย ๆ ทุกวัน ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่ากันให้เบื่อไปข้างหนึ่ง

ถาม : พอถึงจุดที่ยอมรับ แล้วมันไม่ยอมคิดต่อ
ตอบ : ก็ใจยอมรับแล้วนี่ จะไปคิดต่อทำไม ?

ถาม : แต่พอห่างไปก็..
ตอบ : ภาษาลูกทุ่งเขาว่า ห่างมือห่างตีน ก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่

ถาม : แบบนี้ถ้าซ้อมบ่อย ๆ ?
ตอบ : ต้องซ้อมจนกว่าจะเป็นของเราจริง ๆ แค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วใจเชื่อเลย ไม่เถียงอีกแล้วถึงจะใช้ได้

เถรี
24-01-2011, 12:27
ถาม : ผมนอนแล้วพอตื่นเช้ามา แล้วเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูก แล้วจะต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่เห็นว่า ธรรมดาของมนุษย์ทุกรูปทุกนามเป็นอย่างนี้ แสดงว่า ในอดีตเราอาจจะเคยฝึกอสุภกรรมฐานเกี่ยวกับอัฐิกอสุภะมาก่อน ถึงเวลาพอสภาพจิตที่พักผ่อนเพียงพอ ไปลงช่องของอุปจารสมาธิพอดี ก็จะเห็นภาพเก่า ๆ ที่ตัวเองเคยทำได้

เราก็นึกถึงภาพนั้นว่า ท้ายสุดเราเองก็ต้องมีสภาพเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการมีสภาพร่างกายเป็นแบบนี้ เรายังต้องการอีกไหม ? ถ้าไม่ต้องการแล้ว เราควรจะไปไหน ? ถ้าหากเราไม่ต้องการ ก็ควรจะไปนิพพาน แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราเพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน

ให้นึกถึงภาพนั้นไว้บ่อย ๆ ว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน จะได้ไม่ประมาท คิดอยู่อย่างนั้นเสมอว่า ตายแล้วก็เป็นอย่างนี้ ตัวเราก็เป็นอย่างนี้ คนอื่นก็เป็นอย่างนี้

ถาม : เหมือนกับให้ทรงภาพนี้ ?
ตอบ : นึกไว้เรื่อย ๆ อะไรที่เป็นของเก่าจะนึกง่าย พอหายไปก็นึกใหม่ นึกว่าสภาพร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนสักอย่าง คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ อยากได้ใคร่ดีไปก็ไม่มีประโยชน์ ท้ายสุดก็ตัดเข้านิพพานไปดีกว่า

มีของเก่าก็ได้เปรียบ จะทำอะไรง่ายกว่าคนอื่น เพราะลัดขั้นตอนได้ เหมือนกับคนมีเงินในกระเป๋า ถึงเวลาก็ล้วงมาใช้ได้เลย คนอื่นทำงานเหนื่อยเกือบตายกว่าจะได้เงินเดือนมาใช้อย่างเรา

เถรี
24-01-2011, 12:28
ถาม : ยายคนหนึ่งเขาบอกว่า ให้ชวนญาติ ๆ เราในบ้านที่ตายไปแล้ว ให้ไปนิพพานไหว้พระ แล้วพวกคนตายสัมภเวสีที่ตายในซอย ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พรหมเทวดาแล้วไม่มีสิทธิ์ไปหรอกจ้ะ แล้วการที่จะพาเขาไปได้ ตนเองต้องกำลังเพียงพอด้วย ถ้ากำลังของเราไม่พอ เราจะพาใครไปได้ ตัวเองยังไปไม่รอดเลย

แต่ไม่เป็นไร ถ้าเขาทำได้ เราก็ฝากเขาไปด้วยก็แล้วกัน

เถรี
24-01-2011, 12:32
ถาม : ชายสามโบสถ์ ความหมายที่แท้จริงคืออะไร ?
ตอบ : ชายสามโบสถ์ หมายถึง บวชมาสามศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ คนแบบนี้ก็คบไม่ได้แล้ว

ไม่ได้หมายถึงว่าบวชสามครั้ง เพราะท่านจิตตหัตถ์กับท่านนังคละบวชเป็นสิบครั้ง และท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์ด้วย สามโบสถ์ก็หมายถึง โบสถ์คริสต์ โบสถ์พุทธ โบสถ์อิสลาม หรือโบสถ์ซิกข์ สามศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ก็ปล่อยไปตามทางเขาเถอะ

เถรี
24-01-2011, 12:34
ถาม : คนที่เขาอยู่กันเป็นคู่ผัวตัวเมีย แล้วเขาจะไปนิพพานด้วยกัน เป็นไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : ยากหน่อย เกิดคนเดียว ตายคนเดียว ไปก็คนเดียว เพราะฉะนั้น..ประเภทกอดคอกันไปยังไม่มี มีแต่ประเภทกอดคอถ่วงกันอยู่ เลยไปไหนไม่รอดทั้งคู่..!

ถาม : อย่างอารมณ์ที่หึงหวง เป็นการยึดติดหรือเปล่า ?
ตอบ : ยึดติดร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ยึดแล้วจะหวงไปทำซากอะไรจ๊ะ ? แล้วหวงอย่างนั้นนะหรือจะไปนิพพาน ? ก็ได้แต่ติดอยู่แค่นั้น

ถาม : ถ้าเกิดจับได้ว่าเขามีกิ๊กละคะ ปล่อยให้เขามีกิ๊กไปหรือคะ ?
ตอบ : อาศัยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เกิดกี่ชาติเขาก็ต้องมีกิ๊กให้เราทุกข์อยู่อย่างนั้น เราไปนิพพานของเราดีกว่า

เถรี
24-01-2011, 14:43
พระอาจารย์เล่าว่า "ในมณิกัณฐชาดก พญานาคเห็นฤๅษีไปจำศีลอยู่ริมแม่น้ำ ด้วยความเลื่อมใสพญานาคจึงขึ้นมาหา แต่ขึ้นมาเป็นงูใหญ่ ฤๅษีเห็นก็กลัว พญานาคขึ้นทุกวัน จนฤๅษีกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ฤๅษีผู้เป็นพี่ชายมาเยี่ยมฤๅษีผู้เป็นน้อง ถามถึงทุกข์สุข ฤๅษีคนน้องจึงบอกว่า พญานาคขึ้นมาทุกวัน ตนเองกลัวมาก ฤๅษีผู้พี่จึงแนะนำว่า ต่อไปถ้าพญานาคมา ให้ขอแก้วมณีจากพญานาค เพราะพญานาคมาจะมีแก้วมณีติดตัวมาด้วย ฤๅษีคนน้องก็จำไว้

พอพญานาคมาอีก ฤๅษีผู้น้องจึงบอกแก่พญานาคว่า "ไหน ๆ เราก็รู้จักกันมานานแล้ว เราขอแก้วมณีที่คอท่านเถอะ เราอยากได้" พญานาคบอกว่า "แก้วมณีเป็นที่มาของอาหาร น้ำ และเครื่องใช้ไม้สอยของเขา ไม่สามารถที่จะให้ท่านได้หรอก เราเห็นท่านเป็นผู้ที่ละกิเลสแล้ว จึงเลื่อมใสขึ้นมาหาด้วยความเคารพ แต่ไม่นึกว่าท่านยังเป็นผู้ที่มักมากอยู่ ฉะนั้นเราอย่าได้เจอกันอีกเลย" ตั้งแต่นั้นมาพญานาคก็ไป ไม่มาหาอีกเลย

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอย่อมเป็นที่รังเกียจ มีที่มาจากเรื่องนี้แหละ"

เถรี
24-01-2011, 14:45
"ท่านยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ ฤๅษีท่านหนึ่งไปจำพรรษาอยู่ที่ราวป่า มีหนองน้ำใหญ่อยู่ไม่ไกล และที่หนองน้ำมีพวกนกน้ำมาหากินอยู่ทุกวัน พอนกหากินเสร็จ ก็จะไปอาศัยนอนบนต้นไม้ใกล้ที่ฤๅษีจำศีลอยู่

พวกเราเคยได้ยินเสียงนกก่อนออกหากินหรือก่อนนอนบ้างหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่านกมีอะไรคุยกันนักหนา เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด พอไม่สงบฤๅษีก็ภาวนาไม่ได้ เพื่อนฤๅษีมาหา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? ฤๅษีบอกว่ารำคาญเสียงนก ไม่เป็นอันหลับอันนอนเลย

เพื่อนจึงบอกว่า พอถึงเวลายามค่ำคืน นกทั้งหลายนอนหมดแล้ว ยามต้นให้ไปประกาศบอกนกทั้งหลายว่า ขอขนนกคนละเส้น จะเอามาทำที่นอน ยามสองก็ให้ประกาศอย่างนั้นอีก ยามสามก็ให้ประกาศอย่างนั้นอีก

พอถึงเวลาค่ำ ฤๅษีก็ไปประกาศที่ใต้ต้นไม้ว่า "เราขอให้นกทั้งหลายสละขนคนละเส้น เราจะเอาไปทำเป็นที่นอน" นกได้ยินดังนั้นเงียบฉี่ พอยามสองก็ไปประกาศอีกรอบหนึ่ง ยามสามไปประกาศอีกรอบ ปรากฏว่านกพากันหนีไปจนหมด ไม่กลับมาอีกเลย

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะภิกษุชาวเมืองอาฬวีไปเที่ยวขอของจากชาวบ้าน เพื่อที่จะเอามาสร้างกุฏิ ขอที่ดิน ขอจอบ ขอเสียม ขอไม้ ขอหญ้า ขอเถาวัลย์ ฯลฯ จนกระทั่งชาวบ้านเขากลัวกันหมด เห็นพระมาก็วิ่งหนี ขนาดเห็นวัวเดินมา สีคล้ายจีวรก็กระโดดหนี เพราะนึกว่าวัวเป็นพระ

พระมหากัสสปะไปถึงเมืองอาฬวีก็แปลกใจ ว่าทำไมเมืองอาฬวีเป็นอย่างนี้ ก่อนหน้านั้นข้าวปลาอาหารหาง่าย จะบิณฑบาตที่ไหนก็มี แต่ทำไมตอนนี้ไม่ค่อยมีคนใส่บาตรเลย พอสอบถามได้ความขึ้นมา จึงกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสชาดกสองเรื่องนี้ว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอย่อมเป็นที่รังเกียจ และบัญญัติห้ามภิกษุขอสิ่งของจากบุคคลที่ไม่ใช่ญาติ และไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน"

เถรี
24-01-2011, 14:49
"คำว่า ญาติ เขานับขึ้นสามระดับ นับลงสามระดับ นับขึ้นสามระดับ ก็คือ พ่อแม่ ปู่ย่า ปู่ทวดย่าทวด นับลงสามระดับ ก็คือ ลูก หลาน เหลน เขยกับสะใภ้ไม่นับเป็นญาติ เพราะฉะนั้น...ถ้าเป็นพระอย่าเที่ยวไปขอของจากเขยหรือสะใภ้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้นับให้เป็นญาติ"

ถาม : อย่างพี่น้อง ถือว่าเป็นระดับไหน ?
ตอบ : ระดับเดียวกัน เพราะคลานตามกันมา

ถาม : ในกรณีของพ่อแม่บุญธรรม ?
ตอบ : ไม่นับว่าเป็นญาติ เพราะญาติเขานับด้วยสาโลหิต คำนี้ฟังให้ดีนะ..ไม่ใช่สายโลหิต

สาโลหิต คือสายเลือดเดียวกัน แต่เขาไม่มี ย.ยักษ์ สมัยนี้กลายเป็นญาติสายโลหิต สมัยนี้จากถูกเขียนเป็นผิด จากผิดเขียนเป็นถูก

เถรี
24-01-2011, 15:00
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=10314&d=1295561339


พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงที่มาของการสร้างพระบรมรูปของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าปางลีลาประทานพร ว่า "อาตมาจะสร้างพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร เกิดขึ้นมาจากการฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก เมื่อขึ้นไปถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แล้ว ครูฝึกท่านแนะนำให้เชิญพ่อแม่ในอดีตทั้งหมดมารวมกัน เพื่อที่เราจะได้กราบขอบพระคุณท่านที่เคยอุ้มชูเลี้ยงดูเรามาในแต่ละชาติแต่ละภพ

ปรากฏว่าพ่อแม่มามากจนนับไม่ถ้วน ครูฝึกจึงแนะนำว่า ให้อธิษฐานขอให้พ่อแม่ที่มีวาสนาบารมีมากที่สุด ให้ออกมายืนข้างหน้า อาตมาก็เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเสด็จออกมาในลักษณะพุทธลีลา งดงามสุด ๆ งามประทับใจ ภาพนั้นติดตามาจนทุกวันนี้

กราบทูลถามพระองค์ท่านว่ามีพระนามใด ? ทรงตรัสว่า "จำพ่อไม่ได้แล้วหรือ ?" กราบทูลว่า "จำไม่ได้จริง ๆ พระเจ้าข้า" พระองค์จึงบอกว่า "สมเด็จพ่อพุทธกัสสปของเธออย่างไรเล่า ต่อไปถ้าจะมาหาเธอ พ่อจะมาในลักษณะอย่างนี้ ให้จำไว้" อาตมาก็จำว่าพระองค์จะมาในลักษณะพระพุทธเจ้าปางลีลาประทานพร ภาพนี้ติดตามาโดยตลอด

จนกระทั่งหลังจากบวชแล้ว พรรษาที่สอง..ยังไม่เต็มพรรษาดี บรรดาพระรุ่นพี่ ๆ สึกเสีย ๔ - ๕ รูปติดกัน เริ่มตั้งแต่หลวงตามหาแสวง หลวงพี่เกรียงไกร หลวงพี่พรสรรค์ ที่หนักที่สุดคือหลวงพี่ชัยศรี

หลวงพี่ชัยศรี คือผู้ที่ใคร ๆ ก็คิดว่าต้องเป็นองค์แทนถัดไปจากหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพี่อนันต์ยังไม่มีแววโผล่มาเลย แต่หลวงพี่ชัยศรีกลับสึกเสียนี่ ใจหายจนบอกไม่ถูก กลางคืนอาตมาต้องนอนกอดจีวรแน่น รู้สึกหวงจีวรจริง ๆ "ใครอย่ามาเอาของกูไปนะ.." รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ว่าจะไม่ยอมให้ใครมาเอาจีวรของเราไป"

เถรี
24-01-2011, 15:08
"พอตกเย็น ต้องไปทำกรรมฐานทุกวันที่ตึกธัมมวิโมกข์ ทำวัตรเย็นเสร็จก็เจริญกรรมฐาน ถึงทุ่มครึ่งจึงกลับกุฏิ เวลากลับอาตมาที่เคยชินกับการเดิน ก็เดินออกจากตึกธัมมวิโมกข์เลาะมาผ่านตึกกลางน้ำ (ตึกสงวนจิตรและเพื่อน)

ตอนนั้นหลวงพ่อพักอยู่ที่ตึกกลางน้ำ ก็ยกมือไหว้ที่ตึกหลวงพ่อ นึกในใจว่า "หลวงพ่อครับ..ขนาดพี่ ๆ เขาอยู่กันมานานอย่างนั้น ยังไปกันหมด แล้วน้ำหน้าอย่างผมจะอยู่ได้หรือครับ ?" พอคิดอย่างนั้น รู้สึกเหมือนกับพื้นที่ทั้งหมดว่างโล่ง แผ่นดินแผ่นฟ้าหายไปหมด เหลือพระพุทธเจ้าในลักษณะปางลีลาองค์ใหญ่ยืนค้ำฟ้า แล้วพระหัตถ์ของพระองค์ท่านก็จูงแขนอาตมาข้างหนึ่ง

พระหัตถ์อีกข้างทรงชี้ไปข้างหน้าไกลลิบโลกเลย เห็นจุดวิบ ๆ ๆ เหมือนอย่างกับเพชรสว่างแพรวพราว ทรงตรัสว่า "พระนิพพานอยู่ข้างหน้าโน่น..ไปให้ถึงนะลูก" ภาพนี้ติดตาติดใจอาตมาตลอดมา คิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะสร้างพระบรมรูปของพระองค์ในลักษณะอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที

ตอนแรกที่เห็นเพื่อนพระ คือพระอาจารย์วันชาติ วํสธมฺโม วัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อย ท่านสั่งแกะพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร อาตมาเห็นก็บอกกับท่านว่า "นี่แหละ..แบบที่ผมอยากได้เลย" แต่ของท่านองค์เล็ก ทั้งฐานและองค์สูง ๒ เมตรเท่านั้น ถามท่านว่า "ค่าแกะเท่าไร ?" ท่านบอกว่า "อาจารย์ถามค่าหินผมก่อนดีกว่า" จึงถามว่า "ค่าหินของคุณเท่าไร ?" ท่านบอกว่า "สามแสนบาท..!"

"แล้วค่าแกะล่ะ ?" ท่านบอกว่า "หกแสนบาท..!" นี่แค่ ๒ เมตรนะ ก็เลยถามว่าช่างอยู่ที่ไหน ? ท่านบอกว่าอยู่เชียงรายแถวแม่สายโน่น.. "ผมอยากได้อย่างนี้บ้าง" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นต้องบอกให้ช่างเขาหาหินไว้ให้ก่อน"

ปรากฏว่าเกือบสองปีถึงจะได้หินมา แต่หินของอาตมา ช่างเขาคำนวณพื้นที่แล้ว องค์พระจะแกะได้สูง ๒ เมตร มีฐานพระอีก ๗๐ เซ็นติเมตร ช่างจึงขอคิดค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น ๗๐๐,๐๐๐ บาท ใช้เวลาในการแกะประมาณ ๑๘ เดือน"

เถรี
24-01-2011, 15:15
"สล่า (ช่าง) ท่านนี้อายุมากแล้ว หลังจากใช้ลูกศิษย์แล้วไม่ได้ดั่งใจ ท่านก็เลยทำเองคนเดียว ท่านบอกว่าเสียดายพระพุทธรูปปางลีลา เราลองนึกดูว่าหินก้อนอย่างนี้ เวลาแกะด้านล่างให้มีขนาดเล็ก จะต้องถากหินออกเยอะมาก อาตมาจึงบอกว่า "ถ้าปาดหินออก ช่างพยายามเก็บไว้ให้ก่อน จะไปดูว่าเผื่อจะทำอะไรได้บ้าง"

พออาตมามาเจริญกรรมฐาน ๑๕ วัน ที่วัดบางช้างเหนือ อากาศเปลี่ยนเป็นหนาวจัด ทำให้ไม่สบาย ตอนเช้ามืดหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็มา แวะมาดูว่าตายหรือยัง..! สมเด็จพระพุทธกัสสปท่านเสด็จมาทีหลัง มาบอกว่า "ขอบใจมากนะลูก..ที่ตั้งใจจะทำรูปของพ่อขึ้นมาให้เป็นที่เคารพบูชาแก่คนทั้งหลายเขา นับว่าสิ่งที่เจ้าตั้งใจมาตั้งนานแล้ว จะประสบความสำเร็จตามที่หวัง"

แล้วพระองค์ท่านทรงอธิบายว่า พระพุทธรูปปางลีลาประทานพร โดยความหมายก็คือ ความเจริญก้าวหน้าและความสำเร็จในทุกด้าน ถ้ามีโอกาสจะหล่อเป็นพระบรมรูปยืนองค์เล็กของพระองค์ท่าน เผื่อไว้ให้พวกเราได้มีโอกาสบูชาไว้ประจำบ้านด้วย

อาตมาเพิ่งจะเข้าใจเหมือนกันว่า ลีลา ก็คือการเดินไปข้างหน้า ความก้าวหน้า การประทานพร ก็คือการให้ในสิ่งที่เราต้องการ"

เถรี
24-01-2011, 15:18
"พระองค์ท่านอธิบายว่า หมายถึงความก้าวหน้าและความสำเร็จทุกอย่าง พระองค์ท่านเป็นพ่อที่อาตมาอาศัยพึ่งบารมีมาตลอด

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าสองพระองค์ คือพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระพุทธทีปังกร และพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระพุทธกัสสป เป็นพระพุทธเจ้าที่เลิศด้วยลาภกว่าทุกพระองค์ เพราะว่าทั้งสองพระองค์เริ่มการบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณมาจากทานบารมี

แต่ทั้งสองพระองค์นี้ไม่เหมือนกันนะ องค์หนึ่งมาทีฟ้าถล่มดินทลาย เหมือนกับคลื่นทะเล อีกองค์มาแบบเรื่อย ๆ เหมือนน้ำที่ไหลไม่รู้จักขาดสายเสียที แต่เป็นผู้ที่เลิศด้วยลาภเหมือนกัน

อาตมาก็ไม่ได้นึกว่า ในชีวิตจะเกิดมามีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเหมือนกัน เกิดนานเท่าไรก็จำไม่ได้หรอก แต่อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า ท่านสร้างบารมีมา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ท่านพบพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งขี้เกียจนับ ท่านบอกว่าเฉพาะที่เกิดเป็นลูกท่านก็ ๘๔ พระองค์ นั่นหลวงพ่อของเรานะ"

เถรี
24-01-2011, 15:36
ถาม : ว่าจะเปลี่ยนใจไปเกิดต่อในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย ?
ตอบ : โลกนี้น่าเบื่อจะตาย ไม่มีเวลาไหนที่ไม่ทุกข์เลย แม้กระทั่งนั่งอยู่เฉย ๆ ตอนนี้ก็ยังปวดยังเมื่อยเป็นปกติ ถ้านานไป ๆ สภาพจิตของเราละเอียดขึ้น ปัญญามีมากขึ้น เห็นทุกข์แล้วจะทนไม่ได้ เดี๋ยวก็จะเลิกคิดเกิดไปเอง คงไม่ไปคิดเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยแล้ว

อาตมาเองสมัยเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาสอนมา สมัยนั้นเขาไม่รู้จักพระนิพพานกันหรอก เขาให้อธิษฐานว่า "ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาทันพระศรีอาริย์" เขาให้อธิษฐานแค่นี้จริง ๆ

อาตมามารู้จักพระนิพพาน หลังจากอายุ ๑๖ แล้ว ได้ปฏิบัติตามสายหลวงพ่อ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยท่านก็ฝากบริวารไว้กับหลวงพ่อวัดท่าซุงเยอะ แต่ท่านสั่งเอาไว้ว่า ถ้าต้องการเกิดในสมัยท่าน ให้รักษาศีล ๑๑ ข้อ

ข้อที่ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามทรมานสัตว์ให้ลำบากโดยเจตนา
ข้อที่ ๒ ห้ามลักขโมยของคนอื่นเขา ของที่เขาไม่ได้ให้ก็ห้ามหยิบฉวยมาด้วย
ข้อที่ ๓ ห้ามประพฤติในกาม ไม่ว่าจะลูกเขาเมียใคร ถ้าผู้ปกครองเขาไม่อนุญาต แตะต้องไม่ได้
ข้อที่ ๔ ห้ามพูดโกหก

ข้อที่ ๕ ห้ามพูดคำหยาบ
ข้อที่ ๖ ห้ามพูดวาจาส่อเสียดให้คนเขาแตกร้าวกัน
ข้อที่ ๗ ห้ามพูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
ข้อที่ ๘ ห้ามดื่มสุราเมรัย

ข้อที่ ๙ ห้ามโลภอยากได้ของคนอื่น จนถึงขนาดทำผิดศีลผิดธรรม อยากได้อะไรให้เสาะหามาให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม
ข้อที่ ๑๐ ห้ามพยาบาทอาฆาตแค้นคนอื่น โกรธได้ แต่หลังจากนั้นแล้วให้ลืมเสีย อย่าไปผูกโกรธ
ข้อที่ ๑๑ ต้องมีความเห็นถูก ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์สอน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น เป็นสิ่งที่ดี ให้เราตั้งใจทำตาม

ท่านบอกว่า ถ้าตั้งใจรักษา ๑๑ ข้อนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วตั้งใจไปเกิดสมัยท่าน ได้ไปแน่นอน ท่านยินดีรับเป็นบริวาร

เถรี
24-01-2011, 23:37
สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยจะผ่านร่างทรงท่านหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า "ท่านปรีชาทรงธรรม" ท่านจะเขียนคำทำนายแต่ละปี ถวายให้หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่เสมอ และหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องการอะไร ท่านก็จะให้คนหามาถวาย

สมัยที่หลวงพ่อท่านยังรับสังฆทานอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร ถ้าใครไปทันรุ่นนั้น จะเห็นโต๊ะรับแขกไม้แกะสลักเก่า ๆ อยู่ชุดหนึ่ง ชุดนั้นแหละ..ที่สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยท่านถวายมา เป็นเรื่องแปลกตรงที่ว่า คนที่ถวายก็ไม่รู้จักหลวงพ่อ

เขาบอกว่า สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยไปหาเขาเอง แล้วบอกว่า "ทางวัดท่าซุงต้องการชุดรับแขกชุดนี้ ช่วยเอาไปถวายให้หน่อย ถ้าหากเขาถามว่ามาจากใคร ให้บอกว่ามาจากท่านปรีชาทรงธรรม แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงจะรู้เอง"

เจ้าของโต๊ะรับแขกถึงไม่แน่ใจ แต่ยังอุตส่าห์เอาไปถวาย พอบอกว่ามาจากท่านปรีชาทรงธรรม หลวงพ่อจึงบอกว่าเป็นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย เขาจึงได้เชื่อว่า พระที่ท่าน "ถึงกัน" จริง ๆ ยังมีอยู่

เถรี
24-01-2011, 23:48
ถาม : ท่านที่ไปเกิดในสมัยสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย ท่านจะได้ไปนิพพานหมดไหมครับ ?
ตอบ : คนในสมัยนั้นไปนิพพานกันหมด ในสมัยของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย คนชั่วเขาห้ามเกิด..!

การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละประเภทนั้น ปัญญาธิกะอย่างสมัยของเราปัจจุบัน พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านมีดีมีชั่ว มีรวยมีจน มีสวยงามมีอัปลักษณ์ ปนเปกันไป บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ จึงจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้

สมัยพระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะ ท่านจะสร้างบารมีมา ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บารมีมากขึ้นอีกเท่าตัว ในยุคนั้น เขตที่ท่านประกาศศาสนา คนชั่วจะเข้าไปรบกวนบริวารท่านไม่ได้ เหมือนกับโดนจำกัดเขตไว้เลย คุณจะชั่วก็ได้ แต่ต้องไปชั่วที่อื่น

แต่พระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ ท่านสร้างบารมีมา ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป อย่างสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านทุ่มเทเพื่อบริวารอีกเป็นเท่าตัว เพราะฉะนั้น..บริวารของพระองค์ท่านจะปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง โลกยุคนั้นคนชั่วจะเกิดไม่ได้ บริวารที่มาเกิดพอได้ฟังพระองค์ท่านเทศน์ ก็ยกขบวนไปนิพพานกันหมดเลย จะรอเกิดสมัยท่านไหม ?

ถาม : ไม่รอค่ะ แล้วเมื่อไรเราจะฉลาดเหมือนบริวารของท่าน ? ทำมาเยอะแต่ไม่กระดิกเลยค่ะ
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ ค่อย ๆ ทำไป ถ้าหากคนทั่ว ๆ ไป ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา

สิ่งที่เราทำจะเป็นความดีรวมตัวอยู่ แต่เราไม่ค่อยเห็นต้นทุนตัวเอง เราจะเห็นต้นทุนตัวเองก็ต่อเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น อย่างเช่น เจ็บไข้ได้ป่วยชนิดเป็นหนักจนปางตาย กำลังความดีที่รวมตัวจะทำให้เราเห็นเลยว่า เรามีต้นทุนเพียงพอที่จะไปนิพพานหรือยัง ?

หรือบางท่านเกิดอุบัติเหตุรถชน แต่ทำไมเราไม่ตกใจเหมือนคนอื่นเขาเลย ? ทำไมเราถึงได้มีสติอยู่ตลอดเวลา ? รู้อยู่ว่าควรจะแก้ไขอย่างไร ควรจะหลบเลี่ยงอย่างไร ? ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วเราจะรู้ว่าต้นทุนของเรามีเท่าไร แต่ถ้ายังไม่ฉุกเฉิน จะไม่รู้หรอก ต้องทำไปเรื่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ

เถรี
24-01-2011, 23:51
ถาม : ถ้าคนที่ยังไม่ปรารถนานิพพาน ก็ยังไม่ควรไปเกิดในสมัยพระศรีอาริย์หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นยุคที่ท่านประกาศศาสนาก็ไม่ได้เกิด เพราะคนที่จะไปก็คือบริวารที่ท่านจะเก็บไปล้วน ๆ เลย ถึงแม้จะเป็นบริวารสายอื่น แต่ถ้ารักษาศีล ๑๑ ข้อนี้ได้อย่างเคร่งครัด ไปสมัยนั้นฟังท่านเทศน์จบเดียวก็ไปนิพพานเลย

บอกแล้วว่าโลกยุคนั้นคนชั่วห้ามเกิด พระองค์ท่านเอาแต่คนดีจริง ๆ

ถาม : คนปรารถนาพุทธภูมิไม่ควรไปเกิดในยุคนั้นหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่ควรไปเกิด แต่คงไม่ได้ไปเกิด เพราะว่าเทศน์ไปแล้วก็คงไม่ได้อะไร

แต่คนปรารถนาพุทธภูมิก็ไม่นับว่าเป็นคนชั่วนี่นะ คนปรารถนาพุทธภูมิก็ถือว่าเป็นคนดี อาจจะไปรอท่านพยากรณ์ให้ก็ได้ ไปรอท่านพยากรณ์ว่า อีกนานแสนนานเหลือเกินกว่าจะถึงคิวตัวเอง..!

เถรี
25-01-2011, 00:09
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=10392&stc=1&d=1295890020


พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปปางปรินิพพาน พระบาทจะเรียงเสมอกัน เขาเรียกว่า อนุฏฐานไสยาสน์ คือ นอนแล้วจะไม่ลุกขึ้นอีก

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=10393&stc=1&d=1295890020


แต่ถ้าเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ทั่ว ๆ ไป พระบาทจะซ้อนเหลื่อมกัน


http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=10394&stc=1&d=1295890020


ถ้าเป็นไสยาสน์ลืมเนตร ก็คือ ไม่ได้หลับตา จะเป็นปางโปรดอสุรินทราหู


เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่เห็นพระนอนแล้วจะไปนึกว่าเป็นปางไสยาสน์อย่างเดียว"

เถรี
25-01-2011, 00:18
พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงเรื่องบุญฤทธิ์ว่า "ในธรรมบทได้กล่าวถึงเรื่องของบุญฤทธิ์ ไว้ดังนี้

วันหนึ่งพระยามารตั้งใจจะแกล้งไม่ให้คนได้ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงบันดาลให้เกิดพายุใหญ่ ไฟทั้งเชตวันมหาวิหารดับหมด และไฟทั้งกรุงสาวัตถีโดนพายุพัดดับหมด แล้วพระยามารจึงสำรวจดูว่า ยังมีไฟที่เหลือไม่ดับอีกหรือไม่ ?

ปรากฏว่ามีเทียนอยู่ดวงหนึ่ง ไม่ยอมดับ พระยามารก็แปลกใจ จึงบันดาลให้ลมแรงหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่ดับอีก พระยามารจึงปลอมตัวเป็นมานพน้อยเข้าไปดู ไฟนั้นอยู่ที่กระต๊อบของหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งอาศัยแสงเทียนกำลังชุนผ้าอยู่

พระยามารถามว่า "ยายทำอะไรอยู่ ?" ยายบอกว่า "ยายกำลังชุนผ้าอยู่ ยายมีอาชีพรับจ้างเย็บผ้า" พระยามารถามว่า "ยายต้องอาศัยแสงไฟนี้เย็บผ้าทุกวันหรือ ?"

ยายบอกว่า "ปกติยายก็เย็บผ้าแค่ตะวันตกดินเท่านั้นแหละ ยายไม่ได้มีเงินมากมายที่จะมาซื้อเทียน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันฟังธรรม ยายจึงนึกตั้งใจจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย เพราะไม่มีโอกาสไปฟังธรรม แต่ขอบูชาพระรัตนตรัยนี้ด้วยแสงเทียนนี้ แล้วยายก็อาศัยแสงเทียนนี้เย็บผ้าไปด้วย"

ด้วยบุญฤทธิ์ตรงนั้น พระยามารหมดสิทธิ์ที่จะแกล้ง ขนาดในเชตวันมหาวิหารที่พระพุทธเจ้าพำนักอยู่ ไฟยังดับเลย แต่ด้วยบุญฤทธิ์ที่ยายเขาตั้งใจจุดเทียนถวายเพื่อบูชาพระรัตนตรัย ทำอย่างไรพระยามารก็ไม่สามารถที่จะดับเทียนของยายได้"

เถรี
25-01-2011, 00:26
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกำลังใจในการทำบุญว่า "ในเรื่องของกำลังใจในการทำบุญไม่มีคำว่าเล็กน้อย สมัยช่วงพรรษาแรก ๆ ที่อาตมาบิณฑบาตอยู่ที่วัดท่าซุง มีบ้านยายอยู่หลังหนึ่ง เขาจะเก็บเอาดอกไม้พื้น ๆ อย่างดอกหงอนไก่ ดอกสร้อยทอง ดอกซ่อนกลิ่น แล้วก็เอาใบตองพันเป็นกรวยอย่างดี มาถวายพระทุกวัน

ความรู้สึกของอาตมาในตอนนั้น ก็คือ เป็นของที่ไม่ได้มีราคาอะไรเลย แต่ก็รับมา เวลาเดินเข้าหอฉัน ก็จะเอาไปไหว้พระตรงศาลาหลวงพ่อสี่พระองค์แล้วเสียบไว้ตรงรั้วศาลา เป็นเครื่องบูชาหลวงพ่อสี่พระองค์ ทำอย่างนี้แต่ใจก็คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำไมยายถวายของอะไรอย่างนี้ได้ทุกวัน ? คนรับรู้สึกรำคาญ ข้าวของก็ไม่ได้มีราคาอะไรสักหน่อย

ถัดมาเป็นวันปาฏิโมกข์ลงโบสถ์ พอฟังพระปาฏิโมกข์เสร็จมีเวลาเหลือ หลวงพ่อก็สรรเสริญเจริญพรด่าซะจมดินไปเลย ท่านบอกว่า "ไอ้พวกที่ไปตีราคากำลังใจคนเป็นตัวเงิน เลวเสียยิ่งกว่าหมาอีก..!

ถ้าแกไม่ได้บวชเข้ามา ข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียวเขาก็ไม่ให้แกหรอก แต่ที่แกบวชเข้ามา ด้วยอาศัยคุณของพระรัตนตรัย ทั้งข้าว ทั้งน้ำ ทั้งผ้าผ่อนท่อนสไบ ทั้งที่อยู่อาศัย ญาติโยมเขาสงเคราะห์ให้หมด เราไม่สามารถจะตีราคาวัตถุเป็นราคาเงินในท้องตลาดได้

ช้อนคันหนึ่งเราอาจจะซื้อในท้องตลาดสามบาทห้าบาท แต่พอถวายมาด้วยศรัทธาเป็นเครื่องบูชาคุณพระรัตนตรัย ถวายมาตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อานิสงส์และราคานั้นจะประมาณเป็นตัวเงินไม่ได้แล้ว ใครที่ยังเอากำลังใจต่ำ ๆ ของตัวเองไปประเมินราคาของ ๆ คน โดยที่คิดว่า เป็นของที่ไม่มีราคา ให้รู้ด้วยว่านั่นเป็นกำลังใจของสัตว์นรก..!"

เถรี
25-01-2011, 00:29
"วันรุ่งขึ้นพอบิณฑบาต เห็นยายแล้วแทบจะกระโดดอุ้มเลย รีบ ๆ ส่งดอกไม้มาเลยยาย อาตมาจะรีบรับ..! เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของกำลังใจในการทำบุญ เราจะวัดเป็นราคาหรือเป็นตัวเงินไม่ได้ เพราะคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ เราไม่สามารถที่จะประมาณได้

บาลีท่านบอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ไม่มีที่จะประมาณได้ เปรียบอย่างไรก็เปรียบไม่ได้

ในเมื่อเป็นดังนั้น สิ่งที่เขาตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ถ้าเกิดว่าเขามีอันเป็นไป ได้ไปอยู่ข้างบน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะกลายเป็นทิพย์สมบัติที่คิดเป็นราคาในโลกมนุษย์ไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ในส่วนของอริยทรัพย์จะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าสายตาทั่ว ๆ ไปจะเห็นและคิดถึง ถ้าหลวงพ่อท่านไม่เมตตาด่า อาตมาก็ยังคงคิดชั่ว ๆ อยู่เหมือนเดิม"

เถรี
25-01-2011, 00:34
ถาม : เราไม่ได้ตั้งใจถวายของพระ แต่เรายื่นมือเอาของไปให้ แล้วเราจำเป็นต้องเอาคืน ถ้าขอคืนจะได้หรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ ขอคืนตรง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าจะเอาอย่างนางวิสาขา ท่านลืมเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ไว้ในวัด แล้วพระอานนท์เอาไปเก็บไว้ให้ นางวิสาขาท่านถือว่าเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ไปแล้ว ท่านก็เลยใช้วิธีชำระหนี้สงฆ์ แล้วก็ต้องชำระเอง ๙๑ โกฏิ..!

พูดง่าย ๆ ว่าเราได้ทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนา ต่อไปอาจจะเป็นพวกโยกเครื่องหยอดเหรียญเสี่ยงโชคเล่นแล้วได้รางวัลใหญ่

เถรี
25-01-2011, 11:08
ถาม : วิปัสสนูปกิเลส มีอยู่ข้อหนึ่งที่เรียกว่า ญาณ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลสข้อญาณหรือข้อโอภาส ?
ตอบ : ญาณ ที่เป็นวิปัสสนูปกิเลสจะทำให้เรารู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องที่รู้ไม่ได้ช่วยให้ตัดกิเลส คิดจะสร้างยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ ก็จะสามารถบอกรายละเอียดได้ครบถ้วนเลย เพราะฉะนั้น..วิธีที่จะแยกวิปัสสนูปกิเลสออกจากเรื่องญาณ คือ ปัญญา

ถ้าญาณอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่ช่วยในการตัดกิเลส ให้รู้ว่านั่นเป็นวิปัสสนูปกิเลส ส่วนโอภาสไม่ต้องไปสนใจ อะไรสว่างมาก็ใช่วิปัสสนูปกิเลสทั้งนั้น อย่าไปหลงคิดว่าตนเองบรรลุก็แล้วกัน

เรื่องญาณนั้น ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะรู้ทุกเรื่องจริง ๆ รู้จนมาสงสัยว่าอะไรจะรู้ได้ขนาดนั้น..! แต่พอมาพิจารณาดูแล้วจึงเห็นชัดว่า ทุกเรื่องที่รู้นั้น ไม่มีเรื่องไหนที่ช่วยในการตัดกิเลสเลย..!

เถรี
25-01-2011, 11:10
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นมาลาเรียมาตลอดชีวิต แต่ท่านมารู้ก่อนท่านมรณภาพแค่ปีกว่า ๆ

ทุกเย็นท่านจะต้องอาเจียน ท่านจึงรับสังฆทานแค่สี่โมงเย็น พอสี่โมงเย็นกลับถึงกุฏิก็อาเจียนทุกที ท่านคิดว่าพระท่านใช้กำลังช่วยเอาไว้ แต่ความจริงท่านเป็นมาลาเรียลงกระเพาะ ถึงเวลาก็อาเจียนตามเวลา

ก่อนจะมรณภาพปีกว่า ๆ วาระกรรมของท่านเปิดแล้ว พระท่านจึงมาทำภาพให้ดูว่าเป็นอะไร ให้เอายาควินินเข้มข้นฉีดเข้าไปจึงหาย ท่านบอกว่าไม่ได้ธุดงค์มา ๓๐ - ๔๐ ปี ไม่ได้นึกว่าตนเองยังเป็นมาเลเรียอยู่

พวกมาลาเรีย ถ้าเราร่างกายแข็งแรงจะไม่ออกอาการ แต่ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอเมื่อไร จะออกอาการทันที"

เถรี
25-01-2011, 11:23
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=10397&stc=1&d=1295930370


พระอาจารย์กล่าวว่า "งานฉลองบ้านวิริยบารมีวันที่ ๓๑ มีนาคมนี้ ถ้าใครไปร่วมงาน อาตมาจะแจกพระชัยวัฒน์เกราะเพชร ถ้าไม่ได้ไป ให้เตรียมบูชาเอาเองก็แล้วกัน หลังวันที่ ๓๑ มีนาคมแล้วจะแพงตามเดิม

พระชัยวัฒน์ สมัยก่อนท่านสร้างในลักษณะเป็นพระประจำองค์ของพระมหากษัตริย์ จนกระทั่งบางทีเขาเรียกกันง่าย ๆ ว่า พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ รัชกาลที่ ๑ เพราะรัชกาลที่ ๑ จะนำเอาพระชัยวัฒน์ออกศึกด้วยทุกครั้ง โดยเอาขึ้นหลังช้างไป จนกระทั่งเขาเรียกกันว่า พระชัยหลังช้าง

พอมารุ่นหลัง อย่างสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสะเทวะมหาเถระ) เวลาบรรดาเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่จัดงานวันเกิด อย่างครบ ๕ รอบ (๖๐ ปี) มักจะขอให้พระองค์ท่านช่วยหล่อพระชัยวัฒน์ให้กับตนเองหรือคนในวงศ์ตระกูล แต่จะหล่อครั้งละแค่ไม่กี่องค์ เขาก็เลยถือว่าพระชัยวัฒน์เป็นพระสำคัญที่ค่อนข้างจะหายาก

คำว่า ชัยวัฒน์ นอกจากจะหมายถึง ชัยชนะแล้ว ยังมีความหมายว่าเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย ระยะหลังมักจะมีการสร้างคู่กับพระกริ่ง โดยที่พระกริ่งจะเป็นองค์ใหญ่กว่า มีกริ่งข้างใน แต่พระชัยวัฒน์ที่เป็นองค์เล็กจะไม่มีกริ่ง

คราวนี้ที่อาตมาสร้าง พระท่านบอกให้ทำเอาไว้ ได้ทูลถามว่าทำเนื่องในโอกาสอะไรครับ ? พระองค์ท่านตรัสว่า เอาไว้แจกในงานฉลอง ไล่ไปไล่มา ถ้าไม่ฉลองพระครูสัญญาบัตร ก็คงจะฉลองพระอุปัชฌาย์ ไป ๆ มา ๆ วินาทีสุดท้ายแม้แต่พระอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะเข้าสอบ ก็คงจะเป็นการฉลองบ้านวิริยบารมีนั่นแหละ

ที่อาตมาสร้างเป็นพระชัยวัฒน์ที่ไม่เหมือนกับที่อื่นตรงที่มีบัวรอบองค์ ส่วนใหญ่ที่เขาทำกันกลีบบัวข้างหลังจะไม่มี อย่างพระกริ่งปวเรศจะมีบัวข้างหลังอยู่กลีบเดียว ที่อาตมาสร้างจะมีอยู่สามเนื้อ ในรูปที่เห็นเป็นเนื้อชุบทองพ่นทราย

กำลังสั่งเขาทำเนื้อเงินกับนวโลหะ ซึ่งคงจะราคาสูง เพราะว่าตอนนี้เงินกิโลหนึ่งเกือบสามหมื่นบาทแล้ว ตั้งใจว่าจะทำแค่ไม่กี่องค์หรอก อย่างเก่งแค่ ๒๐๐-๓๐๐ องค์ ให้ตีกันตายไปเลยว่าใครจะได้เป็น ๑ ใน ๓๐๐"

เถรี
25-01-2011, 12:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องคนตายแล้วไปไหน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามอาตมาไม่ให้บอก สมัยก่อนอาตมาบอกเขาบ่อย ต่อมาจึงโดนห้าม เมื่อเกิดความสงสัยจึงกราบเรียนถามท่านว่า เป็นเพราะอะไรครับ ? หลวงพ่อท่านบอกว่า "แกลองไปดูในมหากัมมวิภังคสูตร" เราก็เดือดร้อน รีบวิ่งไปเปิดพระไตรปิฎกดู

ในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า โยคีบุคคลผู้ตั้งใจเจริญกรรมฐาน ทรงฌานสี่ได้ ยังทิพจักขุอันบริสุทธิ์ให้เกิด สามารถเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้ แล้วกล่าวว่า บุคคลผู้ทำความดี ไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลผู้ทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่

บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ไปดีแน่นอน
บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี
เพราะฉะนั้น..ชาตินี้เราเห็นคนทำดีทั้งชีวิต เขาอาจจะตกนรกก็ได้ เพราะกรรมในอดีตอาจจะตามมาทัน

บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไปทุคติแน่นอน
บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปทุคติ
เพราะบางทีความดีก็ตามมาทัน อย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

ท่านบอกว่า "ในเมื่อแกเที่ยวไปบอกเขาว่า คนตายแล้วไปไหน ก็มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไรเลย" อาตมากราบเรียนถามว่า "เป็นเพราะอะไรครับหลวงพ่อ ?"

ท่านบอกว่า "ถ้าเขาทำดีมาทั้งชีวิต ตายแล้วเขาไปดี ลูกหลานญาติเขาก็เห็นสมควรว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว นี่คือเสมอตัว แต่ถ้าเขาทำความดีมาทั้งชีวิต ก่อนตายจิตเศร้าหมอง ลงข้างล่างไป แล้วลูกหลานที่ไหนเขาอยากจะทำดี ในเมื่อเห็น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของตัวเองทำความดีมาตลอดชีวิต แล้วดันไปลงนรก"

ดังนั้น..แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง เมื่อพระนางมัลลิกาเทวีตกนรกไป ๗ วัน พระเจ้าปเสนทิโกศลจะไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระนางมัลลิกาตายแล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน ? พระพุทธเจ้าต้องแสดงอิทธาภิสังขาร บังคับให้พระเจ้าปเสทิโกศลลืมถามทุกครั้ง

จนกระทั่งพ้น ๗ วันไปแล้ว เมื่อพระนางมัลลิกาเทวีจุติไปเป็นนางฟ้าอยู่ข้างบน พระพุทธเจ้าจึงคลายฤทธิ์ออก พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทูลถามพระพุทธเจ้าถึงที่ไปของพระนางมัลลิกาเทวี พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ไปเป็นนางฟ้าอยู่ข้างบน พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟังแล้วก็สบายใจ

ถ้าไปบอกเสียตั้งแต่วันแรกว่า พระนางมัลลิกาเทวีลงนรกก็แย่กันพอดี พระมหากษัตริย์อาจจะสั่งยกเลิกการอุปภัมภ์พุทธศาสนาไปเลย ดังนั้น..อาตมาเป็นพระรูปเดียวที่มีสิทธิพิเศษในวัดท่าซุง คือ หลวงพ่อสั่งห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหนและห้ามบอกหวย ดังนั้น..พวกเราต้องลองไปถามท่านอื่นดู เพราะท่านอาจจะยังไม่โดนห้าม"

เถรี
25-01-2011, 12:43
ถาม : ทำอย่างไรให้เทวดานางฟ้ารักเรา ไม่หมั่นไส้เรา?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้ท่านบ่อย ๆ แวะไปกราบท่านบ่อย ๆ แต่ถ้าเกี่ยวกับเรื่องข้อธรรมคำสอน ให้เลือกถามเฉพาะองค์ อย่าไปถามเปะปะ ประเภทเจอหน้าองค์นี้ก็ถาม เจอหน้าองค์นั้นก็ถาม เดี๋ยวจะเข้าป่าเข้าดงไปเสียก่อน เพราะกลายเป็นว่า เราเองขาดความมั่นคงแน่นอน

เถรี
25-01-2011, 15:13
ถาม : ฤกษ์โสฬส เขาใช้ประกอบพิธีมงคลทั่วไปได้หรือเปล่า ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาจะใช้ฤกษ์โสฬสในการสร้างอาวุธคู่มือ หรือถ้าเป็นทางสายของวัดสะพานสูง จะใช้เป็นฤกษ์จารตะกรุดโสฬส

ถาม : พวกงานพิธีมงคลทั่วไปอย่างขึ้นบ้านใหม่เล่าครับ ?
ตอบ : คิดจะทำก็ได้ เพียงแต่ว่าถ้าใช้ฤกษ์ที่เหมาะกับงานจะได้ผลมากกว่า เราจะใช้หมอไปถางหญ้าก็ได้เหมือนกัน แต่ก็ถางหญ้าได้ไม่ดีเท่ากับกรรมกร

ถาม : เกรงว่าจะมีผลลัพธ์ทางด้านร้าย เพราะญาติผมจะจัดงานสมรส
ตอบ : งานมงคงสมรส ถ้าตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านให้เว้นวันพฤหัสกับวันเสาร์ และโดยเฉพาะโบราณถือมากว่า อย่าแต่งงานวันพระ

เถรี
25-01-2011, 15:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ถ้ายังไม่ถึงขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ อย่าเพิ่งถือว่าเป็นปีเถาะนะจ๊ะ ยังเป็นปีขาลอยู่ เด็กที่เกิดก่อนวันขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ จะใช้ปีขาล ถ้าหลังขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ไปแล้ว ถึงจะเป็นปีเถาะ

พวกเราพอเห็นขึ้น พ.ศ.ใหม่ เราก็คิดว่าเป็นปีเถาะไปแล้ว ไม่ใช่หรอกจ้ะ...ถ้าไปให้หมอดูดวงก็จะผิดไปคนละโลกเลย เราต้องรู้ว่าโบราณเขาเปลี่ยนปีกันช่วงไหน โบราณเขาเปลี่ยนปีกันช่วงเดือน ๕ โดยเฉพาะถ้าขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๕ ถือว่าเป็นปีใหม่

แต่มาระยะหลังเขาเห็นว่า ๑๕ ค่ำเดือน ๕ ของแต่ละปีไม่ตรงกัน เขาก็เลยกำหนดให้วันที่ ๑๓ เมษายน วันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่ไปเลย ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนปี แต่ทางโหราศาสตร์ก็ยังใช้วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันเปลี่ยนปีอยู่ ดังนั้น..ใครเกิดแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๔ ถือว่าเป็นปลายปีขาล พอขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ก็เป็นต้นปีเถาะ

บางคนเกิดคนละ พ.ศ. แต่ทำไมเกิดปีเดียวกัน ? อย่างคนหนึ่งเกิดปลายปี ๕๓ และอีกคนหนึ่งมาเกิดต้นปี ๕๔ ยังไม่ถึงวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ก็ยังเป็นปลายปีขาลอยู่ทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นเวลาดูหมอ จะดูผิด ทำนายได้ไม่แม่น เพราะเราไปบอกปีเกิดให้ผิด ๆ

อีกประการหนึ่ง โบราณถือว่า ต้องได้อรุณ คือ แสงเงินแสงทองขึ้นแล้ว จึงจะนับเป็นวันใหม่ ไม่ใช่หลัง ๒๔ นาฬิกาแล้วเป็นวันใหม่นะ นั่นเป็นหลักสากล ไม่ใช่หลักโหราศาสตร์ ดังนั้น..ถ้าเราแจ้งกับทางด้านหมอดู ต้องบอกเวลาเกิดให้ชัด ๆ ไปเลย เขาจะได้รู้ว่าควรจะเป็นวันเก่าหรือวันใหม่

บางคนเกิดตีหนึ่งของวันพุธ เราจะไปนับว่าเป็นวันพฤหัสบดี ถือว่ายังไม่ใช่ ยังเป็นวันพุธอยู่ จนกว่าจะได้อรุณ คือพระออกบิณฑบาต เขาจึงนับเป็นวันพฤหัสบดี"

เถรี
25-01-2011, 15:32
"ความรู้พวกนี้ศึกษาเอาไว้หน่อยก็ดีจ้ะ พอไม่มีใครบอก ไม่มีใครกล่าว ก็จะหลงลืมไปเรื่อย ๆ พอท้ายสุดก็จะไม่รู้อะไรเลย โบราณเขาบอกว่า รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม คือ รู้เอาไว้ก็ไม่ได้แบก ไม่หนักอะไรหรอก เรียนเอาไว้สักนิดหนึ่งก็ดี

จำหลักง่าย ๆ ว่า เดือนที่เป็นเลขคี่ คือ เดือนอ้าย เดือน ๓ เดือน ๕ เดือน ๗ เดือน ๙ เดือน ๑๑ ถ้าไม่ใช่ปีที่เป็นอธิกวาร คือ ปีที่มีวันเพิ่มขึ้นมา จะมีแค่แรม ๑๔ ค่ำเท่านั้น

ถ้าเป็นเดือนคู่ คือ เดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๘ เดือน ๑๐ เดือน ๑๒ ถึงจะมีแรม ๑๕ ค่ำ ข้างแรมที่หายไปวันหนึ่งนั้น พอรวมกันประมาณสามปี ก็จะกลายเป็นปีที่เป็นอธิกมาส คือ มีเดือนเพิ่มขึ้นมาเดือนหนึ่ง คือ มีเดือนแปดสองหน

แต่ถ้าไปเจอปีพิเศษที่เป็นอธิกวาร จะมีแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ โผล่มาวันหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคำนวณกันจนตาเหล่ อย่างปีก่อนอาตมาคำนวณฤกษ์พรหมประสิทธิ์ผิดไปครึ่งปีเลย เพราะอยู่ ๆ มีวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ โผล่ขึ้นมา เป็นปีที่มีอธิกวารก็คือมีวันเพิ่ม ถ้าอธิกมาสคือเดือนเพิ่ม ถ้าปกติมาส ปกติวารก็คือทั่ว ๆ ไป

เราจะดูว่าเป็นปกติมาสหรืออธิกมาส ก็ดูจากเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าเดือนกุมภาพันธ์มี ๒๘ วันก็เป็นปกติมาส แต่ถ้าเดือนกุมภาพันธ์มี ๒๙ วันจะเป็นอธิกมาส คนจีนก็มีเหมือนกัน แต่คนจีนเขาไม่นับเดือนแปดสองหนอย่างเรา คนจีนเขาจะนับเดือนสามสองหน

ในเรื่องปฏิทิน ถ้าไม่ได้ยึดปฏิทินร้อยปีเป็นหลัก แล้วคำนวณเอง บางทีโหรสมัยใหม่ก็ไม่รอบคอบ ยังโชคดีทีโหรบางท่านขยัน คำนวณปฏิทินร้อยปีออกมา แต่อาตมาก็เจอที่ผิดเหมือนกัน ดูไปดูมา ปฏิทินของห้องโหรศรีมหาโพธิ์แม่นที่สุด พยายามจะจับผิดแล้ว แต่บางทีเขาผิดแค่สลับผิดขึ้นแรม แต่วันเวลายังตรงอยู่ คนพิมพ์คงพิมพ์เพลินไป พวกกี่ค่ำยังถูกต้องอยู่"

เถรี
25-01-2011, 15:55
"สมัยก่อนเกิดความสงสัยในเรื่องหมอดู กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "เชื่อได้ไหมครับ ?" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ถ้าหมอดูตามตำราเชื่อได้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าหมอดูทิพจักขุญาณเชื่อได้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์" อาตมาก็สงสัยว่าขนาดใช้ตาทิพย์ดู ทำไมเชื่อได้แค่ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ?

หลวงพ่อท่านบอกว่า "จะมีประมาณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่กำลังใจล้น นอกเหตุเหนือผล ถึงบอกว่าไม่ดี พวกนี้ก็มุเอาดีจนได้" เพราะฉะนั้น..ต่อให้ทิพจักขุญาณเลิศขนาดไหน ถ้าเจอคนประเภทนี้ ก็ไม่แน่ว่าเป็นไปตามที่เห็น ท่านแนะนำว่า "แกลองไปซ้อมดูก็ได้" จึงกราบเรียนถามท่านว่า "ผมควรจะยึดตำราใดเป็นหลักดีครับ ?"

ท่านบอกว่า "พรหมชาติฉบับราษฎร์ ให้ไปลองดู จะเป็นเลข ๗ ตัวหรือมหาทักษาก็ได้" อาตมาก็ลองไปซ้อมดู ปรากฏว่าพอทำได้ก็แม่นจริง ๆ จึงยอมรับ ที่รู้ว่าแม่นเพราะขอดวงคนรอบข้างตัวเองมาดูก่อน คนที่เรารู้จักเขาแน่ ๆ อย่างพี่น้องตัวเอง ปรากฏว่าเป็นไปตามตำราเขาว่าจริง ๆ

พอดูไปดูมา คนรู้มากเข้าเขาก็มากวนอยู่เรื่อย กวนไปกวนมาจนเวลาจะกินจะนอนก็ไม่มี เพราะคนพวกนี้เวลาเขามา เขาจะเอาแต่ธุระของเขา เขาไม่สนใจหรอกว่าเราว่างหรือไม่ว่าง แบบเดียวกับคนไข้ พอไปถึงมือหมอแล้วก็ต้องรักษา

ท้ายสุด ก็ต้องโยนตำราทิ้ง เลิกดูไปโดยปริยาย ถ้าพวกเราอยากจะลองดูก็ได้ โดยเฉพาะเลข ๗ ตัว อาตมาดูไปดูมา ถึงขนาดไม่ต้องตีตาราง ตั้งเลขสามแถวเสร็จ สามารถบวกลบคูณหารออกมาได้เลย พอมีความคล่องตัวมากแล้ว สามารถที่จะอ่านรายละเอียดได้มากกว่าปกติที่เห็นอีกด้วย"

ถาม : ถ้า ปัตตนิ ตก มรณะ แปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : แปลว่าไม่มีคู่ ปัตตนิ หมายถึง คู่ ส่วนใหญ่ปัตตนิถ้าตกมรณะ จะเป็นคนประเภทปากพาจน พอเขาได้ยินคำพูดของเรา เขาก็เดินหนีแล้ว

สำหรับอาตมา อริ ตก มรณะ เป็นดวงที่หายากจริง ๆ ใครตั้งตัวเป็นศัตรูจะแพ้ภัยไปเอง อาตมาไม่ต้องเสียเวลาไปทำอะไร พอหมอดูถอดดวงเสร็จ เขาเห็นอริเป็นมรณะ ถึงกับร้องโอ้โฮ..! เขาเตือนอยู่อย่างเดียวว่า อย่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับใครเลย สงสารเขาเถอะ..!

เถรี
25-01-2011, 20:56
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อช่วงที่อาตมาไปเข้ากรรมฐานที่นครปฐม พระที่วัดฉวยโอกาสช่วงที่อาจารย์ไม่อยู่ ไปธุดงค์กันแล้วก็หลงป่า หลงอยู่ประมาณ ๑๐ วัน หลังจากที่ค้นหาตัวจนเจอแล้ว สรุปได้ความว่า พระ ๒ รูปไปด้วยกัน ตั้งใจจะเดินขึ้นอุ้มผาง ซึ่งจะต้องข้ามภูเขาลูกหนึ่งที่เขาเรียกว่า เขาก่องก๊อง

แต่เนื่องจากพวกเขาใจร้อนเกินไป รีบออกมาตั้งแต่ยังไม่หมดฝนดี แล้วหน้าฝนป่าจะเปลี่ยนสภาพไปเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เถาวัลย์ ขึ้นจนปิดทางหมด หรือว่าต้นไม้ล้มจนปิดทาง หรือด่านสัตว์เปลี่ยนทางก็ตาม ทำให้พวกเขาจำทางไม่ได้ ในเมื่อจำทางไม่ได้ ก็ให้เพื่อนรุ่นน้องเฝ้าของไว้ แล้วตัวเองก็ไปเดินหาทาง

ปรากฏว่าเมื่อย้อนกลับมา เพื่อนรุ่นน้องหายไป ตัวเองเลยต้องเดินกลับย้อนไปจนถึงหมู่บ้าน ไปขอให้ชาวบ้านและตชด.ช่วยกันตาม ตามอยู่ ๒ วันไม่เจอ ถึงได้กล้าโทรมาวัด เพื่อขอให้พระไปช่วยตามให้ เรื่องไปถึงอาตมาหลังจากเลิกกรรมฐาน ได้พักผ่อนแล้ว เพราะช่วงปฏิบัติท่านให้เริ่มจากตี ๔ แล้วไปเลิกตอน ๔ ทุ่ม

พระท่านไม่กล้ารายงาน จึงเขียนโน้ตแปะไว้หน้าห้อง เราตื่นเช้าขึ้นมาดู ก็เท่ากับว่าพวกเขาหลงไป ๒ วันแล้ว นับถึงวันนี้ก็วันที่ ๓ แล้วสินะ อันดับแรกที่นึกถึงก่อน คือ แม่ธรณี สรรพชีวิตทั้งหลายอาศัยอกแม่ธรณีเป็นที่อาศัยที่เกิดทั้งนั้น ไปขอฝากท่านเอาไว้ก่อน ขอให้พระของเราปลอดภัย

ลำดับต่อไป ก็ยังมีแม่อีก ๔ ท่าน ก็คือ แม่คงคา แม่พระพาย แม่พระเพลิง และ แม่โพสพ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกี่ยวกับอาหารทั้งนั้น คือ อาหารทางร่างกาย และอาหารทางใจ เป็นทั้งกวฬิงการาหาร คืออาหารที่เป็นคำข้าวและน้ำ และผัสสาหาร อาหารคือลมหายใจ"

เถรี
25-01-2011, 21:42
"การฝากแม่ธรณี อาตมาไปได้วิธีมาจากหลวงปู่จันทร์ วัดป่าข่อย ที่สวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ก่อนที่ท่านจะมรณภาพไม่นาน ท่านสอนว่า ถ้าลำบากขึ้นมา หมดหนทางจริง ๆ ให้ตั้งใจนึกถึงแม่ธรณี แล้วว่าคาถา

คาถาเป็นคำพูดธรรมดาว่า "พระธรณีแม่เอ๋ย บัดนี้แม่มาอยู่หรือยัง ?" แล้วให้เราขานรับเอง อย่างเช่นว่า "อยู่แล้วลูก" แล้วว่าคาถาต่อไป "โปรดมาช่วยคลายทุกข์ลูกบ้าง แม่สังขะตัง โลกะวิทู" หลังจากนั้นเรามีความทุกข์อะไรก็บอกท่านไป อยากให้ท่านช่วยอย่างไรก็ว่าไป

หลวงปู่จันทร์ท่านบอกไว้ไม่นานท่านก็มรณภาพ เมื่อฝากฝังแม่ธรณีท่านเสร็จเรียบร้อย ก็ถามท่านดู ท่านบอกว่า "ไม่เป็นไร ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่มีกรรมเก่าบางอย่างที่มาบังอยู่ ต้องทนลำบากนิดหน่อย"

ปรากฏว่าท่านกอล์ฟที่โทรมารายงาน ท่านฟันธงเลยว่า "ผมว่าท่านไบท์ (รุ่นน้องที่เฝ้าของ) ไม่ได้หลงหรอก ท่านก้อง (รุ่นพี่ที่ไปดูทาง) นั่นแหละตัวหลงเลย..!" พระที่เฝ้าของอยู่ไม่ได้หลงหรอก แต่พระที่ไปหาทางน่าจะหลงมากกว่า อาตมาก็คิดว่าน่าจะใช่ เพราะเคยมีตัวอย่างว่า ท่านก้องหลงป่ามาก่อนแล้ว"

เถรี
25-01-2011, 23:59
"เขาขออนุญาตนำพระไปช่วยค้นหา ก็ให้ผู้ช่วยเจ้าอาวาสคือพระครูน้อย พาพระไปด้วยกัน ๕ รูป เดินทางเข้าไปช่วยค้นหา ก็ปรากฏว่าทางในทุ่งใหญ่เละมาก เละขนาดรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ไม่มีเครื่องกว้านก็ไปไม่ได้

รถจึงไปส่งพระได้แค่หน่วยพิทักษ์ป่าทินวยเท่านั้น แล้วที่เหลือก็เดินกันเอง ๒ วัน ๒ คืน เพื่อเข้าไปให้ถึงจุดนั้น ก็แปลว่า กว่าจะไปถึงพระท่านก็หลงไปแล้ว ๕ วัน พอท่านไปค้นหากัน ๒ วัน ก็รวมเป็น ๗ วัน

ไม่มีใครส่งข่าวออกมา ทางด้านแม่ของพระก็ร้อนใจ ไปแจ้งความว่าคนหาย ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยตามหา เผอิญว่าเขามีเส้นสายเป็นถึงรัฐมนตรีด้วย เรื่องก็เลยบรรลัยตอนนี้ สารพัดหน่วยงานจากที่ไม่ได้คิดอยากจะช่วย ก็แห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน ปรากฏว่าไปไม่ทัน เพราะว่าพระของเราโผล่ออกมาเสียก่อน

ที่เหลือเชื่อก็คือท่านไม่ได้หลงจริง ๆ ท่านนั่งรอเพื่อนอยู่ตรงนั้น เพื่อนที่ไปหาทางออกนั่นแหละที่หลงทาง กลับไปหาท่านไม่เจอ เตลิดไปไหนทางไม่รู้ จึงไปขอให้ชาวบ้านช่วยกันตาม แล้วก็ตามไม่เจอด้วย

ตอนหลังที่มาเจอเพราะว่า ชาวบ้านที่เขาปล่อยควายไปเลี้ยงในป่า ถึงเวลาเขาก็ไปตามควายของเขา ปรากฏว่าไปเจอที่ไม่ใช่ควายแทน..! ก็เลยพาพระออกมาได้"

เถรี
26-01-2011, 00:06
"พอพวกพาพระออกมา คราวนี้ก็เป็นเรื่อง ทั้งตชด. ทั้งป่าไม้ ทั้งตำรวจ ดาหน้ากันเข้าไปทุกทิศทุกทางแล้ว พอพระของเราอาศัยรถของชาวบ้านที่เข้าไปซื้อพริกในทุ่งใหญ่ออกมา ก็โดนป่าไม้กักเอาไว้ที่ด่านเซซาโหว่ เพื่อที่จะให้เป็นผลงานของเจ้านายตัวเอง

แทนที่พระของเราจะได้ออกมา ก็ต้องไปติดอยู่ตรงนั้น โชคดีที่ท่านผู้กำกับหัวหน้าสถานีตำรวจทองผาภูมิ คือ พ.ต.อ.บุญญฤทธิ์ รอดมา ท่านพาลูกน้องเข้าไปตั้งแต่ตี ๔ กว่าจะเข้าไปถึงหน่วยเซซาโหว่ก็บ่าย ๓-๔ โมงแล้ว พอเข้าไปสอบถามรายละเอียดว่าพระหายไปที่ไหน ? อย่างไร ? ก็ไปเจอพระของเราถูกกักตัวอยู่ที่นั่นพอดี เมื่อสอบถามได้ความแล้ว ท่านผู้กำกับก็ขอพระคืน ป่าไม้เขาไม่ให้ เขาบอกว่าต้องรายงานเจ้านายก่อน

ท่านผู้กำกับเขาว่า "ผมให้เวลา ๑๐ นาที ให้คุณติดต่อวิทยุบอกเจ้านายของคุณเดี๋ยวนี้ ถ้า ๑๐ นาทีแล้วคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมจะจับพวกคุณดำเนินคดี ฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวพระ..!" ท่านเอาจริงนะ เพราะว่ารีบเข้าทุ่งใหญ่มาตั้งแต่ตีสี่ พอไปเจอพระแล้วเอาออกมาไม่ได้ ก็ไม่พอใจสิ พออีกฝ่ายติดต่อเจ้านายไม่ได้ ท่านผู้กำกับก็คว้าเอาพระของเราขึ้นรถออกมาเลย"

เถรี
26-01-2011, 00:12
"คนที่อยู่ด้านนอกอย่างอาตมา เข้ากรรมฐานอยู่ก็ไม่เป็นสุขแล้ว เพราะว่ามีโทรศัพท์จากผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี จากผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธจังหวัดกาญจนบุรี จากเจ้าคณะปกครองตามสายงานของพระ จากนักข่าว โทรกันเข้ามาอุตลุด โดยเฉพาะนักข่าว เขาบอกว่า "ขอสัมภาษณ์หน่อยครับอาจารย์ พระที่หลงทาง ๘ รูป มีใครบ้าง ?"

จึงบอกเขาไปว่า "พ่อคุณเอ๊ย..ที่หลงจริง ๆ มีรูปเดียว ที่เหลือเขาเข้าไปช่วยกันค้นหา และตอนนี้ก็หากันเจอแล้ว กำลังเดินทางกันออกมา" คิดดูแล้วกันว่า ข่าวออกไปเละได้ขนาดนั้น กลายเป็นว่าพระหลงทางกันถึง ๘ รูป..!

และที่น่าสงสารที่สุดคือ ท่านรองหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ ท่านเข้ามาทำธุระที่กระทรวงพอดี โชคร้ายจริง ๆ เลย โดนเจ้านายบี้อยู่คนเดียว ทางกระทรวงถามอะไรมาก็ไม่รู้สักเรื่อง ท่านรองหัวหน้าจึงต้องโทรมาหาอาตมาอีกคน "ช่วยผมหน่อยเถิดครับพระอาจารย์ ช่วยอธิบายให้เจ้านายผมฟังทีเถอะ ว่าอะไรเป็นอะไร"

อาตมาต้องอธิบายให้เขาฟังไปว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร แล้วก็ขอโทษขอโพยเขาด้วย "ต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ทำให้คุณลำบากไปด้วย แต่อยากรบกวนหน่อยเถอะ คือให้คุณช่วยประสานงานเข้าไปข้างในทุ่งใหญ่ว่า ถ้าหน่วยป่าไม้เขามีพาหนะอะไร ที่พออาศัยให้พระออกมาได้ คุณรีบสั่งให้เขารับพระออกมาโดยด่วนเลย เมื่อพระออกมาถึงข้างนอกได้ นักข่าวจะได้หายบ้ากันเสียที..!"

เถรี
26-01-2011, 00:17
"ส่วน ผอ. สำนักพุทธจังหวัดฯ บอกว่า "พระอาจารย์เละแน่ครับงานนี้" ถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่า "พวกหัวอนุรักษ์ไม่อยากให้พระเข้าไปธุดงค์ในเขตอุทยาน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอยู่แล้ว เขาพยายามที่จะหาข้ออ้างไม่ให้พระเข้าไป ตอนนี้เราไปเตะลูกเข้าทางตีนเขาพอดี เขาขอให้ทางคณะสงฆ์ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อที่เขาจะนำไปประชุมและตกลงว่าจะจัดการกับเรื่องนี้กันอย่างไร"

อาตมาจึงต้องชี้แจงกับท่านไปว่า "ทางคณะสงฆ์ของเรา มีการจัดการที่รัดกุมอยู่แล้ว ก็คือว่า พระที่จะออกธุดงค์ต้องไปขอหนังสืออนุญาตจากเจ้าคณะจังหวัดก่อน เมื่อจะเข้าไปธุดงค์ในพื้นที่ไหน ต้องไปหาเจ้าคณะตำบลเจ้าของพื้นที่ ให้ทำหนังสือขออนุญาตต่อหน่วยป่าไม้เพื่อ ขอผ่านทางเข้าไป"

ตอนอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล ซึ่งตำบลชะแลนี้เป็นปากทางเข้าทุ่งใหญ่พอดี อาตมาก็ต้องเซ็นหนังสือพวกนี้เยอะมาก แต่เนื่องจากว่าบรรดาท่านที่ไปธุดงค์ นอกจากจะรู้เรื่องธรรมเรื่องวินัยไม่ครบแล้ว บางทีสมณสารูปก็ยังไม่ค่อยจะมี

พระส่วนหนึ่งที่เข้าไปทุ่งใหญ่และห้วยขาแข้ง เข้าไปแล้วก็ไปทำไฟป่าไหม้ทุกปี โดยเฉพาะที่ห้วยขาแข้ง จะมีต้นไม้เขียว ๆ แค่ริมห้วยเท่านั้น นอกนั้นเป็นป่าดิบแล้ง ถึงเวลาถ้าไฟไหม้ ก็จะลามเป็นหมื่นเป็นแสนไร่ทุกครั้ง และส่วนใหญ่ของสาเหตุที่ทำให้ไฟไหม้ป่าก็เป็นฝีมือพระธุดงค์นี่แหละ..!"

เถรี
26-01-2011, 00:27
"ตอนที่อาตมาธุดงค์ ขากลับเดินออกมาทางห้วยแม่ดี ห้วยกรึงไกร เพื่อที่จะทะลุออกมาด้านศรีสวัสดิ์ ไปเจอกองไฟที่กำลังลามอยู่ จึงจัดการฟาดให้ดับ ดับเสร็จกว่าจะเขี่ยไม่ให้มีเชื้อเพลิงลามต่อได้ ก็หมดเวลาไปครึ่งค่อนชั่วโมง แล้วก็รีบจ้ำตามรอยไป เพราะว่ารอยยังใหม่อยู่

คิดว่าพระธุดงค์ท่านคงจะอยู่ไม่ไกล แล้วก็จริง เดินตามไปประมาณ ๔๕ นาที เจอพระธุดงค์ ๔ รูปอยู่ข้างหน้า คว้าแขนท่านหนึ่งได้ก็ถามว่า "คณะของคุณใช่ไหมที่ก่อไฟอยู่ตรงนั้น ?" เขาบอกว่า "ใช่ครับ" อาตมาถามว่า "ในเมื่อคุณเลิกใช้งานแล้ว ทำไมจึงไม่ดับไฟ ผมไปเจอกำลังลามเป็นไฟป่าอยู่ เดี๋ยวก็เดือดร้อนกันบรรลัยอีก ผมต้องไปดับให้พวกคุณ กว่าจะดับได้เหนื่อยแทบตายห่..!"

ท่านบอกว่า "ความจริงผมดับแล้วครับ แต่เพื่อนท่านโยนฟืนเพิ่มเข้าไป ผมจึงโกยซ้ำเลย..!" แหม..เจริญ..นิสัยดีมาก ประเภทนี้แหละ..ที่ทำให้ไฟป่าไหม้ห้วยขาแข้งทุกปี แล้วทำให้บรรดาพิทักษ์ป่าไม่อยากให้พระเข้าไป

ที่ทุเรศกว่านั้น เกิดจากพระธุดงค์คณะหนึ่ง ๖ รูป หรือ ๘ รูป จำไม่ได้ ท่านเข้าไปในห้วยขาแข้ง ไปเจอควายป่าตัวหนึ่งล้มอยู่ในห้วยเพราะถูกเสือกัดตาย ปรากฏว่าเปลี่ยนจากพระธุดงค์กลายเป็นแร้งลง..! ท่านไปช่วยกันเถือเนื้อควายป่ามาทำอาหาร โดยที่ไม่รู้ว่าคุณเชน (ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ) ตั้งเต็นท์ซุ่มรอถ่ายภาพเสืออยู่

จึงได้ถ่ายภาพแร้งกำลังลงซากควายป่ามาเต็ม ๆ..! แสดงถึงความประพฤติของบรรดาพระธุดงค์ว่าไม่เอาไหน น่าทุเรศอย่างไร แล้วภาพทั้งหลายนี้ ก็เชื่อว่ายังติดอยู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง กลายเป็นตัวอย่างทุกครั้งที่เขายกขึ้นมา เพื่อห้ามพระไม่ให้เข้าห้วยขาแข้ง

ทางคณะสงฆ์เราก็พยายามชี้แจงทุกครั้งว่า การธุดงค์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะว่า ต้องอาศัยสภาพป่าเพื่อไปสร้างกำลังใจให้เข้มแข็ง แต่ถ้าหากไปเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้า อาจกลายเป็นตัวอย่างชัดเจนที่เขาจะไม่ให้พระเข้าไปอีก

อาตมาก็รอวันรอคืนอยู่ ว่าเมื่อไรจะมีหนังสือมาเรียกตัวให้ไปชี้แจง หรือจะให้ทำเอกสารชี้แจงไปเสียที"

เถรี
26-01-2011, 09:19
"วันนี้เพิ่งจะคุยกัน ท่านกอล์ฟ (พระศราวุธ ฐานิสฺสโร)บอกว่า "ท่านอาจารย์นนท์ (พระครูสังฆรักษ์คำรณ ฉนฺทกาโม) วัดเขาขลุง ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์ทวน วัดตีนตก เจ้าพ่อห้วยขาแข้ง โดนควายป่าขวิดตายไปแล้ว" อาตมายืนยันว่าไม่ใช่ท่านอาจารย์ทวนที่โดนควายป่าขวิด แต่จริง ๆ เป็นท่านอาจารย์เป้า วัดไกรเกรียง

ปีนั้น คณะอาตมาตั้งใจไปดูนกยูง เพราะเป็นช่วงนกยูงผสมพันธุ์ โดยเฉพาะท่านพระครูปลัดปรีชาเก็บหางนกยูงออกมาหอบเบ้อเร่อเลย พอออกมาข้างนอก เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเห็นเขาก็ร้อง "เฮ้ย..!" ท่านต้องรีบบอกว่า "เก็บที่ตกมา ไม่ได้กินมันหรอก" เขาคิดว่าหางเยอะขนาดนี้ สงสัยกินไปหลายตัวแล้ว

จริง ๆ แล้ว ถ้าพระเข้าไปในป่า ส่วนใหญ่สัตว์จะไม่ค่อยกลัวและไม่ค่อยหนีกัน ช่วงที่คณะอาตมาเดินทางอยู่ พอเจอลำห้วยที่โค้ง เราก็จะตัดโค้ง อาตมาเดินนำหน้า เดินก้าวพรวดขึ้นไป เห็นบั้นท้ายสัตว์ใหญ่ตัวหนึ่ง ทีแรกคิดว่าเป็นช้าง ไม่คิดว่าจะเป็นควายป่า เพราะตัวใหญ่มาก กำลังหากินซุกหัวเข้าไปอยู่ในกอพงที่สูงท่วมหัวเราไปประมาณ ๓-๔ เท่า

ท่านจันทร์ เจ้าอาวาสวัดซายากง ที่หงสาวดี เดินตามขึ้นมา ท่านจันทร์เดินเหยียบหิน พลิก "แกร๊ก..!" ควายป่าหันขวับมา เห็นเขายาวเป็นวา อาตมาก็นึกว่า ตายละวา..ควายป่าเป็นสัตว์ที่มุทะลุดุเดือดมาก ไม่ไว้ใจอะไรเลย เห็นอะไรเป็นขวิดไว้ก่อน กำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี

พอดีท่านมหาเคเดินตามมา ด้วยความที่ท่านมหาเคมีรูปร่างอ้วน พอขึ้นมาชายตลิ่งเลยพังครืนลงไป ควายป่าก็ตกใจ คงนึกว่าท่านมหาเคตัวใหญ่ขนาดเหยียบตลิ่งพังได้ จึงหนีดีกว่า..! ควายป่าเลยเปิดแน่บ

พอควายป่าวิ่ง จึงได้เห็นกวางกระโดดตามไปประมาณ ๔-๕ ตัว แสดงว่าเขาหากินอยู่ใกล้ ๆ กัน ถ้าสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งเจออันตราย ที่เหลือจะได้อาศัยหนีไปด้วยกันได้"

เถรี
26-01-2011, 09:30
"คราวนี้คณะของพระอาจารย์เป้าตามหลังไป จริง ๆ ท่านอาจารย์เป้าเป็นพระวัดเศวตฉัตร ก็คือท่านพระครูใบฎีกาอุเทน อุฏฺฐานโรจโน ก่อนหน้านี้ท่านดูแลศูนย์บริขารธุดงค์ที่วัดเศวตฉัตรอยู่ แต่ทีนี้ผลประโยชน์ตรงนั้นมาก ท่านเองเป็นคนตรงเป็นไม้บรรทัด ก็เลยไปขัดคอเขา ท้ายสุดจึงโดนเขางัดกระเด็นออกมา ท่านน้อยใจก็เลยธุดงค์เข้าป่าไปเลย

แต่เป็นเวรเป็นกรรมอะไรไม่ทราบ ท่านธุดงค์ครั้งแรกก็เข้าทุ่งใหญ่เลย แล้วท่านไม่รู้จักทุ่งใหญ่ ตอนที่อาตมาไปเจอ ท่านพักอยู่ที่บริเวณห้วยเซซาโหว่ ท่านเสบียงหมดมาเป็นวันที่สองแล้ว หิวจนหมดสภาพแล้ว

ในทุ่งใหญ่ ตลอดระยะทาง ๙๓ กิโลเมตร จะมีบ้านคนที่บ้านทุ่งเสือโทน (คลิตี้บน) แล้วถัดมาอีก ๘ กิโลเมตร คือบ้านทินวย จะมีบ้านอยู่แค่ ๙ หลัง แล้วหลังจากนั้น พื้นที่ยาวมา ๒๕ กิโลเมตร จะเป็นหน่วยป่าไม้คือหน่วยทิคอง แล้วหลังจากนั้นอีก ๔๕ กิโลเมตร จะเป็นหน่วยซ่งไท้ แล้วจะยาวไปสุดทุ่งใหญ่คือหน่วยแม่กะสะ แล้วถึงจะเข้าบ้านจะแก

ท่านอาจารย์เป้าเข้ามาทางด้านบ้านกองม่องทะ บ้านทิไล่ป้า พอมาถึงบ้านจะแก ท่านเห็นว่ายังมีเวลาเหลือ ก็เดินเลยไป ในเมื่อเดินเลยไป หมดหมู่บ้านแล้ว เวลาเช้าขึ้นมาจึงไม่มีที่ให้บิณฑบาต ก็ต้องอดข้าว เดินไปจนหมดเรี่ยวหมดแรง จึงค่อยพัก พอสว่างก็เดินต่ออีกวันหนึ่ง ไปได้แค่ห้วยเซซาโหว่ ยังไปไม่ถึงหน่วยซ่งไท้

ท่านไม่มีอะไรจะฉัน หิวจนหมดสภาพจึงนอนหมอบอยู่ ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรพาให้อาตมาไปเจอท่านเข้าพอดี ก็เลยไปต้มน้ำร้อนชงบะหมี่ถวายท่าน แล้วอธิบายให้ท่านฟังว่า ระยะทางจากไหนถึงไหน จึงจะมีบ้านคนให้บิณฑบาตได้ ต่อให้ใกล้ขนาดไหนก็ตาม เมื่อไปถึงแล้วท่านอาจารย์ก็ต้องพัก ถ้าไม่พักเดินเลยไปแล้ว จะเกินระยะเดินที่เป็นบ้านคน ถ้าไม่รู้จักทางไปอย่างนี้ เดี๋ยวก็ตายเปล่า"

เถรี
26-01-2011, 11:15
"หลังจากนั้นหลายปี ไปเจอท่านอีกทีตอนท่านมาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดไกรเกรียง พอเจอหน้าก็เข้าไปทักท่าน ท่านก็ถามว่า " เอ๊ะ..เรารู้จักกันหรือ ?" ตอบท่านไปว่า "ผมรู้จักท่านอาจารย์นะครับ พระปื๊ดยังอยู่กับท่านไหมครับ ?" พอท่านได้ยินคำว่าพระปื๊ด "เอ๊ะ..นี่ท่านรู้จักผมจริง ๆ แน่เลย รู้จักท่านปื๊ดด้วย"

"รู้จักสิครับ ท่านอาจารย์จำได้ไหมว่า ที่ไปอดเกือบตายอยู่ในทุ่งใหญ่ ใครเป็นคนช่วยเอาไว้ ?" ท่านจึงนึกขึ้นมาได้ "ตายห่...๑๐ กว่าปีแล้ว ท่านยังจำผมได้อีก"

"จำได้ครับ ท่านพระครูใบฎีกาอุเทน อุฏฺฐานโรจโน วัดเศวตฉัตร" ท่านบอกว่า "ผมละกลัวใจเลย เจอกันครั้งเดียวสิบกว่าปีแล้ว ยังจำชื่อผมได้อีกด้วย"

เมื่อคราวที่ท่านตามหลังคณะอาตมาเข้าไปครั้งนั้น ไปแล้วไม่ได้ดั่งใจ ท่านขัดใจกับเพื่อน ท่านก็เลยแยกทาง ออกจากทางเดินที่สะดวก ลุยป่าเข้าไป คราวนี้ท่านลุยป่าไป ก็คงจะเป็นเวรเป็นกรรมของท่านพอดี ลุยพรวด ๆ ไปเจอควายป่าที่นอนตีแปลงอยู่ ควายป่าเห็นท่านอาจารย์เป้าก็ขวิดโครม..! กระเด็นหายเข้าไปในดงไม้

ยังโชคดีที่ว่า เขาควายป่านั้นยาวเกินไป ตอนที่ขวิดท่านอาจารย์เป้า ร่างท่านก็เลยไม่โดนปลายเขา แต่แขนท่านกับกระดูกซี่โครงหักไปทั้งแถบเลย..!

พอควายป่ามองไม่เห็นท่าน เพราะว่ากระเด็นไปจมอยู่ในพงหญ้า ก็ไปตามทางของตัว พระที่เป็นพรรคพวกต้องช่วยกันหามท่านออกมารักษาตัวอยู่ข้างนอก รักษาตัวอยู่เป็นเดือน สุดท้ายก็มรณภาพไป"

เถรี
26-01-2011, 13:24
"ดังนั้น..ข่าวที่พระครูแสง (พระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล) ได้มา แล้วเล่าให้ท่านอาจารย์นนท์ฟัง จริง ๆ คือ พระอาจารย์เป้าที่มรณภาพเพราะควายป่าขวิด ไม่ใช่ท่านอาจารย์ทวน ท่านอาจารย์ทวนท่านยังอยู่

พระอาจารย์ทวน ท่านเดินธุดงค์เฉพาะในป่าห้วยขาแข้งน่าจะเกิน ๓๐ ปี ท่านเดินจนกระทั่งหลับตาก็รู้ว่ามุมไหนเป็นอย่างไร อาตมาเองยังอาศัยใช้เส้นทางของท่านบ่อย ๆ เพราะว่าท่านจะใช้ฝาจีบน้ำอัดลม ทาสีแดง ๆ แล้วตอกติดต้นไม้ไว้อันหนึ่ง ผ่านไปอีกสัก ๑๐๐–๒๐๐ เมตร ก็ตอกไว้อีกอันหนึ่ง พออาตมาจำทางได้ก็เดินตามได้เลย

จริง ๆ แล้ว แม้จะเป็นป่าในยุคนี้ก็ตาม คืบก็ป่า ศอกก็ป่า ขนาดพระของเรานั่งอยู่กับที่แท้ ๆ ยังหลงได้ ขอบอกให้ทุกคนเป็นประสบการณ์ว่า ถ้าหากว่าเราเดินทางในป่าไปสัก ๕ ก้าว ๗ ก้าว ให้เหลียวหลังดูครั้งหนึ่ง ถ้าเราเดินขึ้นหน้าอย่างเดียว เวลามองกลับมา จะเป็นคนละภูมิประเทศกัน เราจะจำทางไม่ได้ทันทีเลย

ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็น ๓ ก้าว ๕ ก้าว ๗ ก้าว อย่างไร เราต้องเหลียวหลังดูตลอด พูดง่าย ๆ คือ ซ้ายขวา สูงต่ำ ดูให้ทั่ว แล้วค่อยเดินทางต่อ เราถึงจะจำทางได้ หรือไม่ก็ต้องใช้วิธีที่อาตมาเรียนมาจากอาจารย์โมเช่ (พระประสงค์ สุนฺทโร) คือ พับกิ่งไม้ไว้เป็นระยะ ๆ ไป

ถ้าหากเราเดินขึ้นหน้า เวลาพับกิ่งไม้ให้พับขึ้นหน้า รอยพับของจะได้ชี้ไปข้างหลัง ทำให้เราจะรู้ว่าเดินมาจากทางไหน ถ้าอย่างนั้นเราจะไม่หลง สามารถเดินตามรอยกลับที่เดิมได้"

เถรี
26-01-2011, 13:38
"ถ้าหากหลงทางเข้าจริง ๆ ให้หยุดอยู่กับที่ทันที อย่าไปไหน แล้วก่อกองไฟเอาไว้ เอาพวกใบไม้สด หญ้าสด หมกเข้าไปเยอะ ๆ ให้เกิดควันมาก ๆ คนที่เขามาช่วยจะได้หาง่าย ๆ หาท่อนไม้ใหญ่ยัดเข้าไปสักท่อนสองท่อน ให้ไฟคุไว้ได้ทั้งคืน

อย่าให้ไฟดับ คณะที่มาช่วยจะได้หาเราเจอง่าย และขณะเดียวกันพวกสัตว์ร้าย ถ้าได้กลิ่นควันไฟจะไม่เข้ามายุ่งด้วย โดยเฉพาะช้างจะกลัวไฟมากเป็นพิเศษ ต่อให้ส่งเสียงอยู่ใกล้ ๆ ก็จะไม่เข้ามาบริเวณนั้น

เรื่องการเดินป่า ถ้าไม่เก่งถึงขนาดแกะรอยได้ อย่าเสี่ยงไป ขนาดอาตมาแกะรอยได้ ยังเคยหลงมาแล้ว ก่อนที่จะพาคุณหมอนพพร (พ.อ.น.พ.นพพร กลั่นสุภา) เข้าไปที่บ้านแม่สาน ตัวเองก็พาเพื่อนไปหลงมาแล้ว ๒ วัน ๒ คืน อดแทบตาย แล้วมารู้ทีหลังว่า พวกที่ไปด้วยตั้งใจจะไปเอาทองคำของพวกลับแลเขา ในเมื่อตั้งใจไปเอาทอง เจ้าของที่เขาเหม็นขี้หน้า จึงทำให้หลงทางไปตาม ๆ กัน"

เถรี
26-01-2011, 13:49
ถาม : มีคาถาย่นระยะทางไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ไม่ได้ย่นระยะทางหรอก คือ ระยะทางยังคงไกลเท่าเดิม แต่เราไปถึงเร็วกว่าเดิม อาตมาเคยลองมาสองสามครั้ง คนเขาบอกว่าขับรถไล่ตามยังไม่ทัน เพราะฉะนั้น..เรียกว่าย่นระยะทางก็น่าจะใช่ แต่อาตมาเองยังรู้สึกว่าทางไกลเท่าเดิมและเหนื่อยเท่าเดิม

ตอนนั้นถึงคราวจำเป็น เพราะว่าอาตมาขึ้นไปเยี่ยมสถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลอง แล้วเจ้าหน้าที่เขาพาดูงาน ก็เดินดูกันไปเรื่อย ๆ ห่างจากสำนักงานใหญ่ไป ๔ กิโลเมตรแล้ว เขาถึงได้บอกว่า "นิมนต์ฉันเพลด้วยครับ" เหลืออีก ๑๐ นาทีเท่านั้นก็จะถึงเพลแล้ว มีใครเดิน ๑๐ นาทีได้ ๔ กิโลเมตรบ้าง ?

อาตมาจึงบอกเขาไปว่า "คุณเดินตามมาก็แล้วกัน เดี๋ยวอาตมาจะเดินนำหน้า ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น" แล้วอาตมาก็เดินไปเลย พอไปถึงสถานีวิจัยยังไม่ทันจะเพล แสดงว่า ๔ กิโลเมตรอาตมาเดินไม่ถึง ๑๐ นาที..!

พอไปถึง รถของหน่วยเขาวิ่งสวนมาตรงปากทาง เขาบอกว่า "อ้าว..อาจารย์มาถึงแล้วหรือ ?" ตอบไปว่า "เออ..ข้ามาแล้ว แต่หัวหน้าแกอยู่ข้างหลัง ไปรับหัวหน้าแกก็แล้วกัน" ปรากฏว่าพวกเขาวิ่งไล่จนเลือดกำเดาไหล เขายังไล่ไม่ทัน..!

เราก็ไม่ได้รู้สึกหรอกว่า เดินแล้วจะใกล้หรือเดินแล้วไม่เหนื่อย ความเหนื่อยมีเท่าเดิมและไกลเท่าเดิม แต่ถึงเร็วเท่านั้น ก็เลยไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี

ถาม : อย่างคนธรรมดาทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจถึง ทำได้ทุกคน เรื่องของคาถาสำคัญตรงสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวจะได้ผลทุกคน ส่วนใหญ่สมาธิไม่ค่อยจะทรงตัว พอถึงเวลาจำเป็นจริง ๆ ก็กลัว ๆ กล้า ๆ การที่เรากลัว ๆ กล้า ๆ กำลังใจนั้นก็ไปหมดแล้ว

เถรี
26-01-2011, 14:09
ถาม : คุณแม่ท่านไม่สบาย เขาเคยทำแท้งมา เคยไปบวชชีพราหมณ์แล้ว พยายามทำบุญแล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้น ไม่ทราบพอจะมีคำแนะนำไหมคะ ?
ตอบ : ต้องปล่อยชีวิตคืนเขาไป ให้แม่ปล่อยพวกสัตว์ที่เขาฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด ปล่อยทุกเดือน ๆ เดือนหนึ่งสัก ๕ ตัว ๑๐ ตัว แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อย ๆ ต้องใช้กันด้วยชีวิต จนกว่าเขาจะหายจากการถือโกรธและอโหสิกรรมให้

ถ้าทำอย่างอื่นไม่สำเร็จหรอก ต้องคืนเขาด้วยชีวิต แต่ต้องเป็นสัตว์ที่เขาจะฆ่าจริง ๆ อย่างเช่นปลาที่เขาขายในตลาด ไปขอซื้อเขามาเลย แล้วก็เอาไปปล่อย ให้แม่ปล่อยทุกเดือน ๆ

ถาม : ไปผ่าแล้วอาการก็แย่ยิ่งกว่าเดิม
ตอบ : บอกแม่ให้ทำวิธีนี้ ถ้ายังสามารถไปไหนได้สะดวก ให้แม่ไปปล่อยเอง สักระยะหนึ่งเดี๋ยวเจ้ากรรมนายเวรเขาใจอ่อนก็ยอมอโหสิกรรมให้เอง เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรต้องเอาใจกันหน่อย เพราะเราเป็นคนไปทำเขาไว้ก่อน

เถรี
26-01-2011, 14:22
ถาม : จะทำธุรกิจเกี่ยวกับพวกแร่ จะทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ทำได้ทุกคนจ้ะ

ถาม : จะต้องทำอย่างไรคะ?
ตอบ : เข้าไปในสถานที่นั้นสามารถจัดเครื่องบวงสรวงได้ไหม ? ถ้าไม่ได้ให้คนอื่นจัดแทน

ถาม : ได้ค่ะ แต่ไม่รู้จะสมบูรณ์หรือเปล่า ?
ตอบ : จะเป็นข้าวพล่าปลายำ หัวหมู บายศรีอะไรก็ได้ ให้มีก็แล้วกัน อันดับแรก จุดธูปบอกกล่าวแม่พระธรณี ขออนุญาตทำแร่ตรงนี้ บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางทั้งหมด ให้ช่วยกันสงเคราะห์ในการทำแร่ อย่าให้ปิดอย่าให้บัง พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าสามารถดึงมารวมอยู่ได้ที่เดียวกันได้ยิ่งดี

แล้วเราจะทำบุญถวายสังฆทานหรือทำบุญเลี้ยงพระ ๙ องค์ให้เขาทุกปี หรือจะทำบุญใหญ่อะไรให้ก็ว่าไป ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ จะรุ่งทั้งนั้น นี่ไม่ใช่การติดสินบนนะจ๊ะ เขาเรียกว่า ทำอย่างไรจะให้ทำงานได้สะดวก

ถาม : จำเป็นต้องทำทุกที่ที่เราไปดูไหมคะ ?
ตอบ : เฉพาะที่ที่เราจะทำ

ถาม : แต่ขอครั้งเดียว ?
ตอบ : ขอครั้งเดียวแต่ทำบุญให้ทุกปี ต้องมีสักวันหนึ่งในปีนั้น ที่เราจะทำบุญเป็นประจำ ถ้าไม่ลำบากจนเกินไปก็นิมนต์พระ ๙ รูปไปสวดมนต์ฉันเพล แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน แต่ถ้าไม่สะดวกเราก็นำสังฆทานไปถวายที่ไหนก็ได้ แล้วจุดธูปบอกกล่าวอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน

ถาม : สมมติว่าที่เป็นของคนอื่น แล้วเราไปซื้อ ?
ตอบ : เจ้าของที่ใหญ่ที่สุดคือแม่ธรณี รองลงมาเป็นในหลวง เป็นเรื่องแปลกมากนะ ในหลวงคือพระเจ้าแผ่นดิน บางคนขายที่ไม่ได้สักที อาตมาถามว่าเคยบูชาในหลวงไหม ? เขาบอกว่าไม่เคย อาตมาจึงให้เขาไปตั้งโต๊ะหมู่บูชา เอารูปในหลวงไปตั้งเลย เพราะว่าพื้นที่ทุกแห่งในประเทศไทยเป็นของในหลวง ต่อให้คุณมีโฉนดก็ตาม ก็ต้องออกโดยพระบรมราชานุญาต

ให้เขาไปบูชาในหลวงเพื่อขออนุญาตขายที่ เขาไปลองทำดูก็ได้ผล ของบางอย่างก็เหมือนกับเส้นผมบังภูเขา ถ้ารู้ก็ง่าย เพราะฉะนั้น..อย่างของเรา ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนที่ใดก็ตาม เจ้าของใหญ่สุดคือแม่ธรณี แล้วหลังจากนั้นคือเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่ท่านดูแลสถานที่นั้นอยู่

เถรี
26-01-2011, 14:55
ถาม : จะย้ายศาลเจ้าที่ จากที่เดิมมาตั้งที่ใหม่ ?
ตอบ : ที่เดิมเป็นอย่างไรจ๊ะ จึงจะไปย้าย ?

ถาม : เป็นศาลเจ้า อยู่นานแล้ว
ตอบ : ถ้าอยู่ในทิศที่ถูกต้องแล้ว ไม่ต้องไปย้ายหรอกจ้ะ เพียงแต่ว่าให้จุดธูปบอกกล่าวท่าน ขอเปลี่ยนเป็นศาลหลังใหม่ ส่วนของเดิมเราก็เอาไปไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือเอาไปไว้ที่วัด

ถาม : ควรจะไว้ที่เดิมดีกว่าใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทิศเดิมถูกต้องอยู่แล้ว เรื่องของศาลเจ้าที่ คือ ศาลพระภูมิ ถ้าเป็นศาลของบ้าน เขาให้ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้าน เอาตัวบ้านเป็นหลัก มีข้อแม้ว่า ถ้าอยู่ใกล้บ้านมาก อย่าให้อยู่ใกล้หน้าต่างและอย่าให้อยู่ใกล้ส้วม เพราะเทวดาท่านรักความสะอาด ขืนไปทำอย่างนั้นเดี๋ยวเป็นเรื่อง..!

ถาม : ของเดิมอยู่ใกล้กับทางเดิน หันหน้าออกหน้าบ้าน
ตอบ : หน้าศาลหันไปด้านไหนไม่เกี่ยว เกี่ยวเฉพาะอยู่ทิศไหนของตัวบ้าน

ถาม : ที่เดิมเป็นปุ่นเถ่ากง อยู่สูงไป
ตอบ : ปุ่นเถ่ากงกับเจ้าที่คืออย่างเดียวกัน เพียงแต่เป็นของจีนกับไทยเท่านั้นเอง ยิ่งถ้าตี่จู้เอี๊ยยิ่งชัดเลย ตี่จู้เอียะ คือ พระภูมิเจ้าที่ , ตี่จู้ แปลว่า เจ้าของที่ , ส่วนพระภูมิ ภูมิ คือ พื้นดิน ส่วนปุ่นเถ่ากงก็คืออากาศเทวดา เป็นผู้ดูแลสถานที่เขตนั้นเหมือนกัน

ถาม : มีสองศาลค่ะ
ตอบ : ถ้าหากมีศาลสี่เสานะจ๊ะ ให้ตั้งไว้ทางด้านทิศใต้หรือทิศตะวันตกของตัวบ้าน แล้วจุดธูปอัญเชิญทั้งเจ้าที่และปุ่นเถ่ากง บอกว่าขอให้มาอยู่ที่ศาลนี้แทน และถวายเครื่องสังเวยหรือเครื่องบวงสรวงท่านไป

ถ้าเป็นศาลเพียงตา คือ ศาลพระภูมิ ให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้าน ส่วนจะหันหน้าศาลไปทิศไหนท่านไม่ว่าจ้ะ ถ้ามีตี่จู้เอี๊ยะอยู่ด้วย ก็จุดธูปบอกท่านเชิญไปด้วยทีเดียวกันเลย หมดเรื่อง..เราจะได้ไม่ต้องไหว้หลายที่

เพราะความจริง ก็คือ พระภูมิเจ้าที่เหมือนกัน แต่คนไทยเรียกอย่างหนึ่ง คนจีนเรียกอย่างหนึ่ง แต่ความหมายก็คือพระภูมิเจ้าที่อย่างเดียวกันชัด ๆ เลย แสดงว่าทุกชาติทุกภาษาก็มีท่านที่รู้เรื่องเหล่านี้จริง ๆ

เถรี
26-01-2011, 15:04
ถาม : ขออีกครั้ง
ตอบ : ถ้าเป็นศาลพระภูมิเสาเดียว ให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน แต่ถ้าเป็นศาลสี่เสาให้อยู่ทิศใต้หรือทิศตะวันตก ให้เอาทิศของตัวบ้านเป็นหลัก

ถาม : เอาศาลที่สูงหรือเตี้ย ?
ตอบ : ปกติศาลพระภูมิ เขาเรียก ศาลเพียงตา อยู่เท่าระดับสายตาของเจ้าของบ้าน แต่ถ้าเป็นศาลสี่เสาหรืออากาศเทวดาหรือปุ่นเถ่ากง เราจะสร้างสูงต่ำแค่ไหนก็อยู่ที่เรา

ถาม : ศาลพระภูมิเจ้าที่ ไม่จำเป็นว่าหน้าต้องหันไปทางไหน ?
ตอบ: ถ้าถามซ้ำอีกหนจะมีรางวัลให้..! หันทางไหนก็ได้จ้ะ ทิศที่ดีที่สุดสำหรับพระภูมิเจ้าที่ คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน ถ้าไม่มีให้ใช้ทิศเหนือหรือทิศตะวันออก ใช้ได้แค่สามทิศเท่านั้น ถ้าไปใช้ทิศอื่น ผิดทิศผิดทางขึ้นมา อาจจะไม่รุ่งเรืองอย่างที่ต้องการ

ถาม : ไม่จำเป็นต้องหันหน้าออกจากบ้านใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ดูท่าอยากจะได้รางวัลจริง ๆ..! หันหน้าด้านไหนก็ได้ที่เราบูชาถนัด แต่ส่วนใหญ่คนจะไม่เข้าใจ พอเราบอกทิศ เขาก็ไปหันหน้าศาลไปทิศนั้น กลายเป็นตั้งศาลผิดทิศ และไม่ต้องไปฟังปากหอยปากปูด้วยนะ ว่าอย่างนั้นไม่ถูกอย่างนี้ไม่ถูก เขาเข้าใจผิด เขาจึงว่าของเราไม่ถูก

ถาม : เรื่องวันที่ตั้งศาล ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ใช้วันพฤหัส เดือนคู่ อย่างเดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปด เดือนไทยนะ ได้ข้างขึ้นยิ่งดี ถ้าเป็นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบข้างแรมเขาไม่นิยมกัน เขาถือว่าเป็นช่วงเข้าพรรษา ของอย่างนี้ถ้ารู้ก็ทำเอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาใครมาช่วย...

เถรี
26-01-2011, 18:42
ถาม : ตอนนี้มีงานเข้ามาเยอะมาก หนูอยากรู้ว่านั่นเป็นงานจริง ๆ หรือแค่เข้ามาแล้วผ่านไป ?
ตอบ : อยู่ที่เราตกลงจะทำหรือไม่ ? ถ้าเราตกลงที่จะทำก็เป็นของจริง ถ้าไม่ตกลงที่จะทำก็แค่ผ่านไปเฉย ๆ

ถาม : ถ้าเราตกลงทุกเรื่อง จะไปรอดทุกเรื่องหรือไม่คะ ?
ตอบ : จะให้ทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อย่างไรละจ๊ะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่อยากจะเตือนก็คือว่า ถ้าทุ่มเทด้วยตัวเองได้ก็จะดีที่สุด อย่าไว้วางใจคนอื่น เพราะคนอื่นเขาไม่มีสำนึกความเป็นเจ้าของ เขาจะสักแต่ทำให้ได้วันหนึ่ง ๆ เท่านั้น

แต่ถ้าเป็นของเรา เรามีสำนึกความเป็นเจ้าของ เราทุ่มเทเต็มที่ ผลที่จะได้จะมีมากกว่า เพราะฉะนั้น..ยอมเหนื่อยหน่อยจ้ะ จนกว่าจะได้คนที่ไว้วางใจได้จริง ๆ แล้วค่อยผ่องถ่ายให้เขาแบ่งเบาภาระไป

ถาม : เราจะได้พาร์ทเนอร์จากเยอรมันมาใหม่ เขาจะอยู่กับเราได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่อยากจะคบกับพวกต่างประเทศสักเท่าไร โดยเฉพาะฝรั่ง บางคนก็ดี บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตามากอบโกยจากเราอย่างเดียว แต่เราใช้ความจริงใจเข้าว่า และทำหนังสือสัญญาให้ถูกต้องตามกฎหมาย มีอะไรให้ปรึกษาทนาย ทำสัญญาก่อนแล้วจะดีเอง

เถรี
26-01-2011, 19:02
ถาม : มีเรื่องทางคดีความกับฝรั่ง เดือนนี้เราสามารถจบได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : เออ..เรื่องอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถาม อาตมาไม่ใช่ผู้พิพากษาโว้ย..! ขึ้นอยู่กับเราว่าจะประนีประนอมกันได้หรือไม่ ? หรือศาลเขามีคำสั่งอย่างไร ? เอาอย่างนี้..ไปบนเสด็จในกรมหลวงชุมพรจะดีกว่า...

เครื่องบนเสด็จในกรมหลวงชุมพร
๑) ใช้หัวหมูต้ม ๑ หัว ถ้าหาหัวหมูไม่ได้ ให้เป็นหมูชิ้น ๑ ชิ้น จะเป็นเนื้อสัน เนื้อสามชั้นอะไรก็ได้ แต่ต้องหนักไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโลกรัม
๒) ไก่ต้ม ๑ ตัว
๓) ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย คือ ข้าวที่หุงแล้วเราตักขึ้นมาก่อน
๔) ทองหยิบ ฝอยทอง จำนวนเท่าไรแล้วแต่เราชอบ
๕) ขนมจีนน้ำพริก น้ำยาก็ไม่เอา ซาวน้ำก็ไม่เอา น้ำเงี้ยวก็ไม่เอา เอาขนมจีนน้ำพริกอย่างเดียวเลย

ของทั้งหมดให้วางบนผ้าขาวที่ปู ตั้งโต๊ะอยู่กลางแจ้ง

ถาม : ต้องไปตั้งโต๊ะต่อหน้าท่านหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง ที่ไหนก็ได้ที่เป็นกลางแจ้ง เวลาบน ถ้าเป็นช่วงเช้าคือ ๗ โมง ๕๐ นาที ต้องตรงต่อเวลานะ เพราะฉะนั้น..เราต้องเตรียมของให้เรียบร้อย พอเวลา ๗ โมง ๕๐ นาที ให้จุดธูปบอกท่าน

ถาม : อธิษฐานว่าอย่างไร ?
ตอบ : อธิษฐานขอว่าจะให้เรื่องนี้ลงเอยอย่างไร จะให้เขาเรียกเราจนหมดเนื้อหมดตัว หรือจะให้เราชนะคดีโดยสะดวกง่ายดาย ก็ว่าไป

ถ้าเรื่องทุกอย่างเป็นไปตามเราต้องการ ให้จัดของอย่างนี้ถวายท่านอีกชุดหนึ่ง แปลว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จต้องให้ท่านก่อนชุดหนึ่ง

สมัยก่อนการบนมีเหล้าปนอยู่ด้วย ท่านบอกว่าไม่เอาแล้ว เป็นเทวดาผู้ใหญ่ ถ้ามีเหล้าอยู่ด้วย เดี๋ยวจะโดนตำหนิเอา ก่อนอาตมาบวชก็อาศัยบนท่านบ่อย ๆ ช่วงนั้นซื้อของราคาไม่เคยเกินสามร้อยบาท พอลาเสร็จเราก็กินเอง พอธูปหมดเราก็ลาได้แล้ว

ถาม : ถ้าขายที่ดินไม่ได้ ใช้วิธีนี้ได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ใช้วิธีนี้ก็ได้จ้ะ แต่ถ้าเสด็จในกรมฯ ท่านจะถนัดเรื่องตามคนหายหรือคดีความมากกว่า

เถรี
26-01-2011, 23:56
ถาม : จะขายที่ค่ะ
ตอบ : ไปจุดธูปบอกกับเจ้าที่ตรงนั้นเลยจ้ะ บอกว่าถ้าขายได้เราจะถวายสังฆทานหรือเลี้ยงพระให้สัก ๙ องค์ ก็ว่าไป

ถาม : จุดธูปกลางแจ้งหรือคะ ?
ตอบ : กลางแจ้งตรงนั้นเลยจ้ะ บนที่ดินของเรา บอกเจ้าที่ที่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา หรือภุมมเทวดาก็ตาม ข้าพเจ้าต้องการจะขายที่ผืนนี้ ขอให้ช่วยสงเคราะห์ให้สำเร็จโดยง่ายด้วย แล้วเราจะทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป

ถาม : ต้องนำอะไรไปบูชา ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอกจ้ะ เอาธูปไปกำใหญ่ ๆ ก็พอ

ถาม : กำใหญ่แค่ไหน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เห็นเขาจุดกัน ๑๖ ดอก

เถรี
26-01-2011, 23:58
ถาม : คลอดลูกแล้ว แต่ยังไม่มีน้ำนมให้ลูกเลย
ตอบ : โบราณเขาให้กินของร้อน โดยเฉพาะพวกแกงเลียงแต่ให้ใส่พริกไทยเยอะหน่อย

ถาม : ได้ผลจริงใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ผลก็ให้กินนมขวดไปก่อน ถ้าเป็นคนจีนเขาจะตุ๋นไก่กับขิง หรือไม่ก็แกงเลียงใส่พริกไทยเยอะ ๆ เพราะร่างกายเสียเลือดมาก จะให้ไปผลิตน้ำนมมากก็ไม่ไหว จึงต้องกระตุ้นกันหน่อย

คนโบราณเขาเก่ง เขาจะให้อยู่ไฟด้วย ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว สมัยนี้เราไม่ได้อยู่ไฟ แต่ไม่เป็นไรหรอก..กินนมเราไม่ได้ก็ให้กินนมวัวไปก่อน

เถรี
27-01-2011, 00:49
หลังจากที่ทุกคนได้กราบขอขมาพระอาจารย์เนื่องในวาระปีใหม่แล้ว ท่านได้ให้โอวาทแก่พวกเราว่า "พวกเราทุกคนเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างมหาศาล เพราะการที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากเป็นอย่างยิ่ง

อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่ง โยนไปในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็ก ๆ ขนาดพอที่จะสวมหัวเต่าได้ทิ้งเอาไว้ในทะเลนั้นด้วย ประมาณร้อยปี เต่าตัวนั้นลอยขึ้นมาครั้งหนึ่ง..ร้อยปีลอยขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าบังเอิญหัวเต่าสวมแอกเมื่อไร ก็คือบุคคลหนึ่งที่มีโอกาสจะได้เกิดมา

อย่างที่สอง พระองค์ตรัสว่า กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ การที่จะรักษาชีวิตให้อยู่รอดมาได้ก็แสนยาก เพราะชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หรือว่าเกิดเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่ก็โดนทำแท้งไป ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ศพ อย่างที่เป็นข่าวกัน เราจะเห็นว่า การเอาชีวิตรอดในสังคมนี้เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

อย่างที่สาม พระองค์ท่านตรัสว่า กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็แสนยาก ถ้ายิ่งในตอนท้ายของพระพุทธศาสนา ขนาดขอฟังธรรมแค่ประโยคเดียว ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ ถ้าเกิดในช่วงที่โลกว่างพระพุทธศาสนา ไม่มีศีลไม่มีธรรมเลย ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

และท้ายสุด สิ่งที่ลำบากที่สุด ก็คือ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดของพระพุทธเจ้านั้นยากที่สุด อย่างน้อยต้อง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป กว่าที่พระองค์ท่านจะสร้างบารมีแล้วบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

เถรี
27-01-2011, 00:56
"แต่การบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราว่าพระองค์ท่านต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น เป็นแค่ตอนปลายเท่านั้น ในบาลีบอกว่า จิตติตัง สัตตสังเขยยัง แค่คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง ๗ อสงไขยกัป นวสังเขยยะ วาจะกัง ออกปากว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาอีก ๙ อสงไขยกัป รวมเป็น ๑๖ อสงไขยกัปแล้ว

หลังจากนั้นจึงทำกาย วาจา ใจ ทุกอย่าง สร้างบุญสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เป็นอย่างน้อย รวมแล้วก็ ๒๐ อสงไขยกัปเศษ ๆ เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่แค่ ๔ อสงไขยกัปแล้วจะจบนะจ๊ะ

ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ ก็บวกไปอีกเท่าตัว คือ ๔๐ กว่าอสงไขยกัป ถ้าเป็นแบบวิริยาธิกะ ก็บวกไปอีกเท่าตัวหนึ่งของศรัทธาธิกะ คือ ๘๐ กว่าอสงไขยกัป แค่กัปเดียวก็เกิดจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้าโครงกระดูกของเราไม่เสื่อมสลาย เชื่อว่าคงท่วมจักรวาลไปนานแล้ว

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ายากเย็นแสนเข็ญทั้งหมดนี้ พวกเราทั้งหลายสามารถผ่านพ้นมาได้ เกิดมายากเราก็เกิดมาแล้ว รักษาชีวิตให้อยู่รอดได้ยาก เราก็อยู่รอดมาแล้ว การฟังธรรมหาฟังได้ยาก เราทุกคนก็ได้ฟังและปฏิบัติตามอีกด้วย การเกิดของพระพุทธเจ้าที่ว่ายาก เราก็เกิดทันพระพุทธศาสนาของพระองค์ท่าน จึงถือว่าพวกเราทั้งหมดเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างยิ่ง

ลองนึกดูว่า คนในประเทศไทย ๖๓ ล้านคนเศษ มีบุคคลที่เข้าวัดเข้าวา และปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังสักเท่าไร ? แค่เศษสามล้านคนมีถึงไหม ? เชื่อว่าไม่ถึงอย่างแน่นอน ที่เหลืออย่างดีก็แค่ใส่บาตรวันเกิดตัวเองปีละครั้ง..!

นอกจากนี้ ถ้าเอาพวกเราไปเปรียบกับประชากรโลกอีกห้าพันกว่าล้านคน พวกเราจะเป็นพวกที่แปลกแยกจากสังคมจริง ๆ เป็นพวกที่เขาไม่คบแล้ว จึงได้มาอยู่รวมกันตรงนี้..!"

เถรี
27-01-2011, 09:27
"อาตมาจึงได้บอกกับพวกเราในตอนแรกว่า พวกเราเป็นผู้โชคดีอย่างยิ่ง ที่เรารู้จักและพบพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกันก็รู้จักธรรมะ อะไรดีอะไรชั่วเราก็รู้ เพราะฉะนั้น..อย่าให้เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสเกิดมาแล้ว รู้ว่าทานดีอย่างไร ? ศีลดีอย่างไร ? ภาวนาดีอย่างไร ? ก็ต้องพยายามทำไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นการสั่งสมกำลังของเรา

เนื่องเพราะว่าวัฏสงสารนี้ ประกอบไปด้วยแรงดึงดูดอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเรื่องของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ที่จะดึงดูดเราให้ติดอยู่ ให้ทุกข์อยู่ตลอดไป ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเบื่อเสียที ถ้าเราสั่งสมความดีไม่เพียงพอ กำลังของเราก็ไม่พอที่จะส่งให้เราหลุดพ้นไปได้ เราก็ยังต้องทุกข์อยู่ไม่รู้จบ

ดังนั้น..อย่างน้อย ๆ ทุกคนต้องรักษาตนโดยการยึดหัวหาดความเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบันเอาไว้ คือ ต้องมีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

ไม่ละเมิดด้วยความตั้งใจของตน ยกเว้นพลั้งเผลอโดยไม่เจตนา และท้ายสุดมีความรู้ตัวอยู่เสมอว่า ชีวิตนี้ต้องตายแน่นอน ถ้าตายเราขอไปพระนิพพาน

ถ้าเรายึดหัวหาดตรงนี้ไว้ อย่างเก่งเราก็เกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น และเกิดอยู่ในสุคติภูมิ ก็คือ ระหว่างมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมเท่านั้น แต่ถ้าเราสามารถก้าวล่วงขึ้นไปสูงกว่านั้นได้ ก็ไม่ต้องลงมาเกิดอีก ก็คือไปอยู่ที่สุทธาวาสพรหม เป็นพระอนาคามี แต่ก็ยังมีความทุกข์อยู่ ก็คือ ต้องลำบากในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น

เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ ก็ว่ากันให้จบไปในชาติเดียวเลย เห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ เห็นความไม่ดีของโลกนี้ ในเมื่อมีความทุกข์อย่างนี้ เราขอทนอยู่แค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มาทุกข์อย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไรจบกันแค่นี้ เราขอไปอยู่พระนิพพานกับพระพุทธเจ้า อยู่กับหลวงพ่อของเรา"

เถรี
27-01-2011, 09:33
"ถ้าเราตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้ แล้วภาวนาเอาจิตเกาะพระนิพพานไว้ให้มั่นคง เช้าสัก ๕ นาที เย็นสัก ๕ นาทีก็พอ มั่นใจว่าความดีที่เราสะสมนี้ ถ้าถึงวาระสุดท้าย สติ สมาธิ ปัญญาที่สั่งสมมา น่าจะมีกำลังเพียงพอ แต่ถ้าเรามีโอกาสก็กอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เจอเขาทำบุญที่ไหน เล็กใหญ่แค่ไหนเราทำหมด เจอการปฏิบัติภาวนาที่ไหน เราก็ร่วมทำกับเขาทุกครั้ง

หรือในแต่ละวัน เรานึกถึงลมหายใจเข้าออกของเราครั้งหนึ่งก็ใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง เพราะฉะนั้น..เราใช้วิธีนี้ วิธีที่เดินเข้าไปพระนิพพานด้วยลมหายใจตัวเอง หายใจเข้าออกครั้งหนึ่งเราก็เข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจเข้าออกครั้งหนึ่งเราก็เข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง โดยอาศัยพระนามของพระพุทธเจ้า คือ พุทโธก็ได้ นะมะพะธะก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้ เป็นเครื่องนำทางเราไปสู่พระนิพพาน

หลังจากนั้น ก็พยายามใช้ปัญญาดูให้เห็นว่า สภาพร่างกายก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของก็ดี สภาพของโลกนี้ก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ อาศัยไม่ได้เลย เดี๋ยวก็พังหมด มีความทุกข์เป็นปกติการดำรงชีวิตอยู่ ไม่มีสักวันเลยที่มีความสุขสบายอย่างแท้จริง

และท้ายที่สุด ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้ สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ที่เรามาอยู่มาอาศัยตามสภาพของเวรกรรมที่สร้างมา ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไปหมด ในเมื่อสภาพของร่างกายเป็นอย่างนี้ เราก็ขอคบแค่ชาตินี้ชาติเดียวแล้วจบกัน

ถ้าตั้งใจอย่างนี้ไว้ แล้วเอาจิตสุดท้ายเกาะพระพุทธเจ้าหรือเกาะพระนิพพานเอาไว้ ทำให้เคยชินแล้วทุกคนจะไม่เสียทีที่เกิดมา เรามีโอกาสที่จะหลุดพ้น เราเป็นบุคคลจำนวนน้อยนิดที่มีโอกาสสมบูรณ์มากกว่าคนอื่นเขา จงใช้โอกาสของตนให้สมกับความโชคดีของเรา ปีใหม่นี้ก็ขอฝากเอาไว้เท่านี้"

เถรี
27-01-2011, 11:29
"เมื่อทุกคนตั้งใจมาทำสามีจิกรรม ก็ขอให้จำไว้ว่า ในเรื่องของพระรัตนตรัยก็ดี หรือตลอดจนบุคคลซึ่งก็คือพระสงฆ์ก็ดี ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครโกรธเกลียดพวกเรา

สิ่งที่พวกเราได้ล่วงเกินไปนั้นก่อให้เกิดเป็นกรรม ที่ทำให้เข้าสู่พระนิพพานได้ช้า การที่เราได้มาทำมาสามีจิกรรม ขอขมากรรมต่อกัน ก็คือทำให้กรรมเหล่านั้นขาดลง จะได้ไม่มาผูกมารั้ง ให้เราต้องติดอยู่ในส่วนที่ไม่พึงปรารถนาทั้งหลายเหล่านี้อีก ถือว่าเราได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ถือว่ากรรมทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก็ให้สิ้นสุดลง

ให้ทุกคนตั้งใจรักษากาย วาจา และใจของเราให้ดี พยายามยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะในส่วนของนามธรรม ก็คือ คุณของพระพุทธเจ้าจริง ๆ คุณของพระธรรมจริง ๆ คุณของพระสงฆ์จริง ๆ เป็นหลัก อย่ายึดถือในตัวบุคคล เพราะว่าตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หลวงปู่ หลวงพ่อ ตลอดจนตัวอาตมาก็ดี ท้ายสุดก็ต้องพบกับภาวะของความเป็นจริง ก็คือเสื่อมสลายตายพังไปเช่นกัน

ถ้าเราสามารถยึดคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ที่เป็นคุณความดีของพระองค์ท่านได้ นั่นจะเป็นหนทางนำเราไปสู่พระนิพพาน ในเมื่อเราได้ทำความดีทั้งหมดแล้ว ก็ขอให้ตั้งใจรับพรจากพระด้วยจ้ะ

ระตะนัตตะยานุภาเวนะ......ระตะนัตตะยะเตชะสา
ทุกขะโรคะภะยา เวรา.......โสกา สัตตุ จุปัททะวา
อะเนกา อันตะรายาปิ.......วินัสสันตุ อะเสสะโต
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง.......โสตถิ ภาคยัง สุขัง พะลัง
สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ.......โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา
สะตะวัสสา จะ อายุ จะฬ.ฬชีวะสิทธี ภะวันตุ เต ฯ"

เถรี
27-01-2011, 12:06
ถาม : ศาลอากาศเทวดาเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เป็นศาลสี่เสาขึ้นไป จะเป็นหกเสา แปดเสาก็ได้

ถาม : ที่บ้านผมมีศาลพระภูมิ แล้วเขาเรียกศาลตายาย
ตอบ : ไม่ใช่หรอก ศาลตายาย คือ ศาลอากาศเทวดา แต่ให้สังเกตไว้ว่า ถ้าคุณตั้งศาลพระภูมิ แล้วมีศาลตายายตั้งอยู่ต่ำกว่า บ้านนั้นเด็กไม่ฟังผู้ใหญ่หรอก เพราะอากาศเทวดาเป็นเจ้านายของพระภูมิ แล้วเราไปตั้งศาลตายายไว้เตี้ยกว่า ถ้าเปรียบไปก็เป็นลูกน้องขี่คอเจ้านาย บ้านนั้นลูกหลานจะไม่ฟังพ่อแม่หรอก

ถาม : อย่างนี้ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่างที่อาตมาเคยทำก็คือรองฐานให้สูงขึ้น ทำศาลตายายให้สูงขึ้นมา อย่างน้อยให้ฐานสูงกว่าศาลพระภูมิสักหนึ่งนิ้ว

ถาม : เรื่องทิศเหมือนกันได้ ?
ตอบ : ปกติแล้วจะตั้งให้ท่านเฉพาะเลย คือ ตั้งทิศใต้

ถาม : ต้องแยกตั้งศาลคนละด้าน ?
ตอบ : ถ้าเราไม่มั่นใจว่าตรงนั้นเป็นอากาศเทวดาจริง ๆ ก็ไม่ต้องตั้ง ยกเว้นมั่นใจว่าเป็นท่านจริง ๆ แล้วค่อยตั้ง

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นอากาศเทวดาจริง ๆ ?
ตอบ : จุดธูปบอกท่านก็ได้ ถ้าหากท่านเป็นอากาศเทวดาช่วยมาบอกข้าพเจ้าด้วยแล้วจะตั้งศาลให้ รับประกันได้เรื่องทันที เพราะอากาศเทวดาท่านอานุภาพมากกว่าพระภูมิหลายเท่า อากาศเทวดาองค์หนึ่งท่านดูแลพระภูมิเจ้าที่เป็นสิบ ๆ องค์

เถรี
27-01-2011, 12:31
ถาม : คนที่ไม่ได้ฌานแล้วเป็นพระอรหันต์มีไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีจ้ะ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ต้องได้ฌานทุกคน จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ต้องได้

ถาม : สุกขวิปัสสโกต้องได้ฌานหรือคะ ?
ตอบ : ต้องได้ เพราะถ้าไม่ได้ฌาน กำลังจะไม่พอตัดกิเลส การได้ฌานของสุกขวิปัสสโก ก็คือพิจารณาไปเรื่อย ๆ แล้วจิตดิ่งลึกเป็นองค์ฌาน โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าได้ฌาน ไม่อย่างนั้นก็มีกำลังไม่พอที่จะตัดกิเลส

เถรี
27-01-2011, 17:19
ถาม : ขอกรรมฐานที่เหมาะกับตัวเอง ?
ตอบ : สิ่งที่เหมาะ คือ ลมหายใจเข้าออกควบกับพุทธานุสติ ใช้ลมหายใจเข้าออกควบกับพุทโธ นะมะพะธะ สัมมาอะระหัง แบบใดก็ได้

ถาม : ก็คือ ใช้พุทธานุสติแล้วเจริญวิปัสสนาหรือคะ ?
ตอบ : ให้เราอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ในแต่ละวัน เมื่อสมาธิทรงตัวต่อไปไม่ไหว ก็คลายออกมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อพิจารณาจนจิตเหนื่อยแล้วก็ภาวนาใหม่ สลับกันไปอย่างนี้ ถ้าเราทำได้ สมาธิจะทรงตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงเวลานั้นปัญญาจะเห็นเองว่า เราจะประคอง ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราอย่างไร จึงจะเจริญก้าวหน้า

สำคัญตรงที่ให้เราอยู่กับลมหายใจเข้าออก โดยไม่คิดเรื่องอื่นให้ได้ก่อน หายใจเข้าไหลตามไป..หายใจออกไหลตามมา คิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไรกลับมาตรงนี้ ถ้าสามารถทำติดต่อได้นาน ๑๕ นาที โดยที่ไม่คิดเรื่องอื่นเลยก็สุดยอดแล้ว เมื่อภาวนาจนอารมณ์สมาธิทรงตัวแล้ว จึงค่อยคลายออกมาพิจารณาต่อ

เถรี
27-01-2011, 17:28
ถาม : ฤกษ์ขึ้น ๑ ค่ำ วันศุกร์ เป็นอย่างไร ผมไม่ทราบรายละเอียด ?
ตอบ : เป็นฤกษ์อมฤตโชค ตามตำราฤกษ์พรหมประสิทธิ์นั้นจะมี อมฤตโชค มหาสิทธิโชค และสิทธิโชค แปลว่า วันหนึ่งต้องมีฤกษ์ดี ๓ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่

ถ้าเป็นวันศุกร์ ขึ้นหรือแรม ๑ ค่ำ เขาเรียก ฤกษ์อมฤตโชค
ถ้าเป็นวันศุกร์ ขึ้นหรือแรม ๑๐ ค่ำ เป็นมหาสิทธิโชค
ถ้าเป็นวันศุกร์ ขึ้นหรือแรม ๑๑ ค่ำ เป็นฤกษ์สิทธิโชค

ถ้าเป็นวันเสาร์ ขึ้นหรือแรม ๕ ค่ำ เป็นอมฤตโชค
ถ้าเป็นวันเสาร์ ขึ้นหรือแรม ๑๕ ค่ำ เป็นมหาสิทธิโชค
ถ้าเป็นวันเสาร์ ขึ้นหรือแรม ๔ ค่ำ ก็เป็นสิทธิโชค

จะเป็นอย่างนี้ทุกวัน เพียงแต่ว่าจะตรงหรือไม่ตรงเท่านั้น ก่อนหน้านี้หลวงพ่อท่านบอกพวกเรา แต่ท่านบอกไว้น้อยเพราะท่านอยากให้ลูก ๆ ไปค้นคว้าต่อ แต่ลูกก็ซื่อเหลือเกิน พ่อให้แค่ไหนลูกก็ใช้แค่นั้น..!

เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าฤกษ์ของวัดท่าซุง วันอาทิตย์จะมี ๘ ค่ำ วันเดียว แต่ความจริง ก็คือ
วันอาทิตย์ ๘ ค่ำ เป็นอมฤตโชค
วันอาทิตย์ ๑๔ ค่ำ เป็นมหาสิทธิโชค
วันอาทิตย์ ๑๑ ค่ำ เป็นสิทธิโชค

หลวงพ่อท่านได้มาแค่สองวัน แล้วท่านไปค้นคว้าจนได้ครบทั้ง ๗ วัน ท่านบอกว่า ท่านค้นทั้งหอสมุดแห่งชาติเลย คราวนี้ท่านอยากให้ลูก ๆ เอานิสัยนี้ไปใช้บ้าง ก็ไม่มีใครใช้ ตอนแรกอาตมาเองก็ไม่คิดจะค้น แต่มาสงสัยที่ท่านบอกว่า วันเสาร์ห้าห้ามทำการมงคลอื่น ๆ ยกเว้นการพุทธาภิเษก แล้วคนที่เขามีวันลาภ วันชัย ตกวันเสาร์ก็ไม่ต้องทำมาหากินพอดีสิ ? เกิดความสงสัยจึงไปค้น

พอไปค้นปรากฏว่ามีอีกสองวัน เพราะฉะนั้น..วันเสาร์ที่เป็นอมฤตโชคเราก็ไม่ใช้ ไปใช้มหาสิทธิโชค หรือสิทธิโชคแทน ดังนั้น..หัดสงสัยบ้าง แต่ก็อย่างว่า บางทีรู้มากก็ยากนาน..!

เถรี
27-01-2011, 17:34
ถาม : ฤกษ์พวกนี้ทำอะไรดีบ้างครับ ?
ตอบ : การมงคลทุกประเภท ฤกษ์พรหมประสิทธิ์นี้ดีตรงที่ไม่จำกัดเวลา เช่น ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเวลา ๙.๐๙ น. ได้ฤกษ์ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันตกดินเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านชอบเพราะเป็นฤกษ์สะดวก

ถาม : อย่างจะลงทุนเกี่ยวกับอาชีพค้าขาย?
ตอบ : ให้เลือกฤกษ์อะไรก็ได้ที่ไม่ตรงกับวันศุกร์ คุณจะใช้ฤกษ์อมฤตโชค มหาสิทธิโชค หรือสิทธิโชคก็ได้ แต่อย่าเอาวันศุกร์

ถ้าเปิดกิจการให้เว้นวันศุกร์ ถ้าขึ้นบ้านใหม่ให้เว้นวันอาทิตย์ ถ้าแต่งงานเว้นวันพฤหัสบดีกับวันเสาร์ ถ้าแต่งงานวันพฤหัสบดีจะเลิกกันเร็ว ถ้าแต่งวันเสาร์ก็ทะเลาะกันทั้งชาติ สาเหตุที่หลวงพ่อท่านให้เว้น เพราะท่านเจอเหตุการณ์พวกนี้มาจนเข็ดแล้ว เราไม่ต้องไปทดสอบเองหรอก

เถรี
27-01-2011, 20:18
ถาม : เบียร์ที่เขาสกัดเอาแอลกอฮอล์ออก เรากินถือว่าผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่มีแอลกอฮอล์ไม่ทำให้เมา แต่คุณต้องดูเจตนาด้วย เจตนาเรายังอยากกินเบียร์อยู่ใช่ไหม ? ถ้าไม่อยากกินจะไปกินทำไม ?

เบียร์เป็นเมรัยจ้ะ สุรา คือ สิ่งที่กลั่นขึ้นมาประกอบด้วยแอลกอฮอล์ เมรัย คือ สิ่งที่หมักดองประกอบด้วยแอลกอฮอล์ พวกเบียร์ ไวน์ จัดอยู่ในพวกนี้หมด แล้วเรามั่นใจหรือว่า เขาจะสกัดแอลกอฮอล์ออกจากเบียร์หมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ?

เถรี
27-01-2011, 20:20
ถาม : คำว่า ตถาคตแปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : แปลว่า ผู้ยังความเป็นไปด้วยตนเอง พูดง่าย ๆ ก็คือ บรรลุเอง

เถรี
27-01-2011, 20:24
ถาม : ถ้าอยู่กับปัจจุบันแล้วคิดถึงอนาคต จะเป็นการส่งจิตออกนอกหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าจะคิด ต้องคิดโดยการใส่สติไว้เฉพาะหน้า คิดเสร็จแล้วหยุดให้เป็น ไม่อย่างนั้นจะฟุ้งซ่าน ต้องหมั่นซ้อมบ่อย ๆ

ซ้อมตรงที่ว่า เราจะคิดเรื่องอะไร เราจะเอาเฉพาะเรื่องนั้น โดยการเอาสติคุมไปตลอด พอจบเรื่องนั้น เราต้องตัดเข้าหาการภาวนาทันที

เถรี
27-01-2011, 23:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "เต้ย (คุณสุรจิตร) เขาเป็นคนที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ โดนด่าเท่าไรก็ไม่ยุบ กำลังใจอย่างนี้ ถ้ารู้จักปรับปรุงตัวเองมีสิทธิ์บรรลุธรรมได้มาก ปกติคนอื่นโดนด่าไปทีหนึ่งจะเฉาไปนาน แต่นี่เต้ยโดนเท่าไรก็ไม่ยุบ เป็นผักบุ้งสู้น้ำร้อน โดนเท่าไรไม่เหี่ยวเสียที"

ถาม : แล้วต้องตั้งกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : เราต้องนึกเสมอว่า กาย วาจา ใจที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่พระต้องพิจารณาและนำไปปฏิบัติ ในเมื่อเราเป็นพระโยคาวจร เราก็ต้องพิจารณาและทำอย่างนี้ด้วย อะไรที่ไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ควรแก่กาละเทศะ ก็พยายามแก้ไข

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะรู้ตัว ?
ตอบ : เป็นเรื่องยาก การจะรู้ตัวต้องเคี่ยวเข็ญกันขนาดหนัก มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อเรียกหาอาตมา พออาตมาเข้าไปถึง อยู่ ๆ ท่านด่าอาตมาเฉยเลย ส่วนเราก็ "ครับ ๆ" เดินขาขวิดออกมาข้างนอก "กูทำอะไรผิดวะ ?"

พยายามนึกทวนวันนี้ เมื่อวาน เมื่อวานซืน ก็ไม่มีอะไรผิดนี่หว่า จนกระทั่งท้ายสุดไม่รู้จะสรุปว่าอย่างไร ก็สรุปว่า "มึงผิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนหรอก..!"

พอคิดสรุปเสร็จหลวงพี่อนันต์ท่านโทรมาพอดี "เฮ้ย..เล็ก เมื่อตอนเพลที่หลวงพ่อด่า หลวงพ่อบอกว่า ท่านย่าสั่งให้ด่า ท่านบอกว่าไอ้นี่รู้ตัวเร็ว ถ้าด่าไปมันจะระวังตัว คนที่จ้องเล่นงาน ก็จะเล่นมันไม่ได้"

ฉะนั้น..การรู้ตัว เราต้องพิจารณาบ่อย ๆ และไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ดูตัวเองอยู่เสมอ อัตตนา โจทยัตตานัง ต้องกล่าวโทษโจทย์ตัวเองอยู่เสมอ ๆ ว่า เรายังมีความดีไม่เพียงพอที่จะไปนิพพาน ต้องตะเกียกตะกายให้มากกว่านี้

เถรี
28-01-2011, 00:04
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนพุทธาภิเษกพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน หลวงปู่ทับท่านมา อาตมาก็เข้าไปกราบท่าน ถามว่าท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? ท่านบอกว่า "ข้าชื่อทับ" อาตมาก็ร้องออกไปว่า "อ๋อ..หลวงปู่ทับ วัดทอง" โดนเลยท่านด่ามา "มีแต่ไอ้ท่านวัดทอง ดังอยู่คนเดียวหรือไงวะ..!"

ไล่ไปไล่มา จึงนึกได้ว่าเป็นหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม มิน่าเล่า..ท่านถึงมา เพราะสายการปฏิบัติของเราเนื่องกับวัดอนงคาราม หลวงพ่อฤๅษีท่านถือว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทฺธสรมหาเถร) วัดอนงคาราม

ตอนที่อาตมาไปปฏิบัติธรรม มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ทับท่านก็โผล่มาอีก ด้วยความเคยชินอาตมาก็หลุดปากไปว่า "หลวงปู่วัดทอง" ท่านก็ด่าโขมงโฉงเฉง "ไอ้ฉิบ_าย..จนป่านนี้ยังจำกูไม่ได้อีก มีแต่ไอ้ท่านวัดทององค์เดียวหรือไงวะที่มันดัง..!" เจอเข้าไปเต็ม ๆ อีกรอบ

มีอีกหลวงปู่ทับหนึ่งองค์นะที่มาตอนนั้น อาตมากำลังก้มกราบพระ พอกราบลงไปที่พื้น เหมือนกับว่าพื้นกลายเป็นกระจก ท่านปรากฏขึ้นชัด ๆ เลย ความรู้สึกบอกว่าเป็น หลวงปู่สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริมหาเถร) วัดโสมนัสราชวรวิหาร แล้วท่านก็หายวับไปเลย

อาตมาก็มานึกว่า "เราตาลายไปหรือเปล่า ?" พอมานึกว่าอย่างนี้ ท่านก็โผล่มาอีกแวบหนึ่ง ยืนยันว่าท่านมาจริง ๆ แล้วท่านก็ไปอีก ตกลงว่ากราบไม่ทันทั้งสองครั้ง มาเร็วไปเร็วจริง ๆ

บ้านเรามีหลวงปู่ชื่อ"ทับ" ที่มีชื่อเสียงมีอยู่หลายองค์ แต่ยืนยันว่า หลวงปู่ทับ วัดอนงคารามท่านเด็ดจริง ๆ ด่าโขมงโฉงเฉงเลย ไม่ใช่อะไรหรอก..ท่านอยู่ในลักษณะเป็นกันเอง เป็นผู้ใหญ่ใจดี ลักษณะอย่างนี้ ถ้ามาเป็นปู่ย่าตายายแบบนี้เราตื๊อไปเถอะ มีเท่าไรท่านให้หมดตัว ร้ายแต่ปากเท่านั้นแหละ"

เถรี
28-01-2011, 00:07
ถาม : เราไปกินข้าวในวัด หลังจากพระฉันแล้วเรากินได้ แต่ถ้าในกรณีที่เรานิมนต์พระไปข้างนอก ถ้าเรากินหลังจากที่พระฉันแล้ว จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหลังจากพระฉันแล้ว เขาเรียก วิทาสาโท เป็นของเหลือจากพระฉันแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะกินได้ แต่เขามีกติกาว่าไม่ควรขนกลับบ้าน คือ เอาแค่อิ่มไว้ก็พอ

ถาม : แล้วถ้าพระทั้งหมดอนุญาต ?
ตอบ : ถ้าทั้งหมดมีความเห็นร่วมกัน เราก็ขนกลับไปเถอะ เรียกว่าพระท่านทำอปโลกน์ไว้ก่อน อปโลกน์ คือ ขออนุญาตในท่ามกลางสงฆ์

เถรี
28-01-2011, 00:08
ถาม : อารมณ์สักแต่ว่า จะปนกับอารมณ์พรหมวิหารสี่หรือเปล่าคะ ? ดูเหมือนเป็นอารมณ์เดียวกันเลย ?
ตอบ : ถ้าเป็นพรหมวิหารสี่ จะเป็นส่วนของอุเบกขาพรหมวิหาร เพียงแต่เราจะสักแต่ว่าได้เท่าไร ? ถ้าสักแต่ว่าได้มาก ก้าวจนถึงสังขารุเปกขาญาณก็สบายเลย ถ้าไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็ยังกำเริบใหม่อีก

เถรี
28-01-2011, 00:11
ถาม : กำลังใจเป็นสิ่งที่บังคับได้ ?
ตอบ : ถ้ามีความชำนาญก็บังคับได้ แต่ขึ้นอยู่กับสมาธิและปัญญา สมาธิทรงตัวเราจะบังคับได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้ามีปัญญาอยู่ด้วย ก็ไม่ต้องบังคับแล้ว เพราะปัญญาจะปล่อยวาง เพราะรู้เห็นจริง ไม่หนักเหมือนกับการใช้สมาธิอย่างเดียว

ถาม : มีอยู่วันหนึ่งยืนอยู่ที่วัดท่าขนุน รู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ตรงกลางของพายุหมุน เห็นภาพที่หมุนอยู่รอบ ๆ ว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่เราอยู่ตรงกลาง สักพักหนึ่ง แม้กระทั่งตัวเราก็ไม่มี อย่างนี้ควรจะพิจารณาต่ออย่างไรดี ?
ตอบ : ควรพยายามทำให้ถึงบ่อย ๆ ไม่ใช่พิจารณาต่ออย่างไรดี ดูว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร ? พูดอย่างไร ? ทำอย่างไรแล้วเกิดอารมณ์นั้นขึ้นมา ? แล้วก็ลองทำใหม่ ท้ายสุดจะเห็นชัด ๆ ว่า ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี

ในเมื่อทุกอย่างมีสภาพที่หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้อย่างนี้ เราไปพระนิพพานดีกว่า การปฏิบัติเราต้องเอาพระนิพพานแปะท้ายไว้ตลอด

เถรี
28-01-2011, 09:09
ถาม : หนูรู้สึกว่าอะไรก็จืดชืดไปหมด ?
ตอบ : อย่างของเรานั้น ปรุงแต่งไปได้แค่นั้น แล้วก็กลับมา ไปไม่เกินนั้นหรอก เมื่อพยายามเท่าไรก็ไม่ไป จึงไร้อารมณ์ จืดชืดไปหมด

ถาม : หนูสงสัยว่ามีบ้างไหม อารมณ์ที่รู้สึกว่า ร่างกายนี้รองรับเราไม่ได้แล้ว ?
ตอบ : มี..แต่อย่าเพิ่งเชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้น


ถาม : เป็นติดต่อกันมาสามสี่วันแล้วค่ะ
ตอบ : ไม่เป็นไร พอเต็มที่เมื่อไร เดี๋ยวอาตมาจะจัดงานศพให้..!

ถาม : พอเป็น หนูก็บอกว่า อย่า..อย่าเพิ่ง หนูยังอยากทำงานให้พระพุทธศาสนาอีก
ตอบ : นั่นโง่แล้ว..!

ถาม : หนูยอมรับว่ายังยึดตรงนี้อยู่
ตอบ : เสียท่าแล้ว ยิ่งไปได้เร็วเท่าไร ก็ปลอดภัยเท่านั้น


ถาม : ถ้าหนูไปแล้วใครจะถอดเทปต่อ ?
ตอบ : ถ้าไปได้ก็รีบไปเถอะ..ปล่อยให้พวกที่เหลืออยู่ลงแดงตายตามไปเลย..! เขาเรียกว่าห่วงไม่เข้าเรื่อง ไปได้ต้องไปไว้ก่อน อยู่ไปวันหนึ่งก็โง่เพิ่มไปวันหนึ่ง ทุกข์เพิ่มขึ้นวันหนึ่ง..! อย่างที่เคยบอกว่า ต้อง อนาลโย ไร้ซึ่งความอาวรณ์

เถรี
28-01-2011, 09:16
ถาม : เวลาร่วมบุญพระชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์จะหมดไปหลังจากพระเป็นองค์แล้ว หรือตั้งแต่ตอนเราถวายเรียบร้อยแล้วครับ ?
ตอบ : ทันทีที่ตั้งใจทำและได้ทำสำเร็จ ถือว่าหนี้สงฆ์ทั้งหมดจบสิ้นไปแล้ว ยกเว้นเราไปสร้างหนี้ขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องรอให้พระสร้างเสร็จ ความจริงตั้งใจทำก็ได้แล้ว แต่ถ้าได้ลงมือทำสำเร็จแล้วก็ได้อย่างแน่นอน

เถรี
28-01-2011, 11:04
ถาม : คนที่เป็นเบญจเพส จำเป็นต้องบวชแก้เคล็ดทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อาจจะเป็นการทำอะไรสักอย่างเป็นการสะเดาะเคราะห์ก็ได้ เช่น ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ เป็นต้น

ถาม : เบญจเพส ตามโบราณเขาแนะนำให้ทำอะไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ให้สะเดาะเคราะห์ วิธีสะเดาะเคราะห์ก็อาจจะเช่นว่า เข้าวัดทำบุญใหญ่ อาบน้ำมนต์ ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น ปล่อยนกปล่อยปลา พูดง่าย ๆ ว่า ทำอะไรสักอย่างที่ให้เรารู้สึกว่า เราได้ทำสิ่งที่ดี ๆ เป็นบุญใหญ่ให้กับตัวเอง ทำให้กำลังใจของเราสูงขึ้น

เถรี
28-01-2011, 11:07
ถาม : ถ้าปลาที่อยู่ในวัดไหลไปตามคูคลอง แล้วเขาไปจับ ถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจว่าเป็นปลาของวัดก็เป็นหนี้สงฆ์ แต่แถววัดท่าซุงสมัยก่อน ชาวบ้านเขาบอกว่า "พ้นเขตวัด (ปลา) มันก็สึกแล้ว..!" คนจะเอาเสียอย่าง ก็ว่าไปเรื่อย..!

เถรี
28-01-2011, 11:29
ถาม : เมื่อปฏิบัติพิจารณาไปเรื่อย ความรู้สึกเกี่ยวกับโลกและชีวิตเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย หนูสมควรบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ให้คนใกล้ชิดในบ้านฟังหรือไม่คะ ? หนูรู้สึกว่าบางเรื่องบอกไปเขาคงไม่โมทนา แต่ถ้าจะไม่บอกเลย เกิดไปไกลมาก ๆ กว่านี้แล้วเขามารู้ทีเดียวรวดเดียว อาจยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่ค่ะ
ตอบ : ควรปรารภให้เขาได้รับรู้เป็นระยะไป โดยเฉพาะคุณสามี จะได้ไม่สติแตกตอนเราหนีเข้าป่า..!

ถาม : เมื่อคืนก่อนหนูเบื่อจนแทบจะถอดหัวตัวเองทิ้งค่ะ พยายามพิจารณาตามที่ท่านแนะนำ ให้ลงที่ธรรมดาให้ได้ หนูกลับรู้สึกว่า หนูรู้อยู่แล้วว่าเป็นธรรมดา พอพิจารณาให้ไปธรรมดา ก็รู้สึกว่าไม่ได้ต่อต้าน แต่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นค่ะ ทำไมเป็นแบบนี้คะ ?
ตอบ : ต้องเห็นว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราจะอยู่ด้วยก็แค่ตอนนี้เท่านั้น ในเมื่อเรากำลังจะพ้นไปแล้ว ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้โดยดีไม่ได้

ถาม : หลังจากพยายามอยู่นาน กลับเกิดความรู้สึกขึ้นว่าเบื่อมาก แต่หนีไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ พอหาทางออกไม่ได้ อารมณ์เลยไปตกตรงที่ว่า ใช้ชีวิตทำหน้าที่อยู่แค่ที่ปัจจุบันนี้ ซึ่งไปตรงกับที่ท่านเคยแนะนำเช่นกันค่ะ นี่คือเกิดปัญญาขึ้นหรือเปล่า หรือแค่บังเอิญได้คะ ?
ตอบ : ใช่..เป็นปัญญา แต่ได้มาแบบที่เรียกว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง..!

ถาม : ในขณะนั้นหนูรู้สึกว่าไม่กังวลถึงอดีตหรืออนาคต และมีความรู้สึกพร้อมตายปนอยู่ด้วย ความเบื่อก็ลดลงจนหายเกือบหมดค่ะ แต่ก็มีลางสังหรณ์ว่า ตัวเบื่อจะต้องมาอีกแน่เลยค่ะ รบกวนขอคำแนะนำในการปฏิบัติต่อไปด้วยค่ะ
ตอบ : ย้อนไปดูคำตอบที่ผ่านมา

ถาม : ช่วงก่อนหน้านี้หนูพยายามใช้หลายวิธีจัดการกับเรื่องของกามราคะ ตอนนี้หนูค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถใช้ สติ สมาธิ ปัญญา ที่มีกดเอาไว้ได้ อาจจะมีกระเพื่อมบ้าง แต่ไม่น่าจะดีดกลับแรง ๆ แบบที่เคยเป็นมาค่ะ (ซึ่งต้องรอดูต่อไป) ปัญหาก็คือ หนูรู้ตัวว่ายังไม่ได้ระดับที่จะตัดได้แน่ ๆ ระหว่างที่ต้องเสริมสร้างเรื่องสมาธิ หนูจะทำอย่างไรดีคะ กดไปเรื่อย ๆ ก่อนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใช้สมาธิกดไว้ก่อนนั้นถูกแล้ว แต่ต้องเอาสติและปัญญาเข้าไปช่วยควบคุมด้วย ระมัดระวังอย่าไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นราคะก็จะกำเริบได้อีกทุกเวลา

ถาม : ขณะที่หนูมั่นใจว่าจัดการเรื่องกามราคะได้ดีขึ้น แต่กลับเจอปัญหาเรื่องฝัน เพราะเมื่อไหร่ที่ตัดหลับ จะฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้มากผิดปกติ ใหม่ ๆ หนูมองว่าก็ดี จะได้รู้ว่าเรายังไม่ดีพอ ยังต้องทำอีกเยอะ แต่ยิ่งมายิ่งหนักข้อ ทั้ง ๆ ที่ตอนตื่นหนูไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย บางเรื่องเอามาทำเสียตรงกันข้ามกับที่หนูรู้สึกก็มี จนหนูรู้สึกหงุดหงิดรำคาญและโมโหค่ะ โมโหทั้งความฝัน โมโหทั้งตัวเองที่สติไม่พอ มีดีอยู่อย่างคือยิ่งทำให้หนูเกลียดกามราคะมากขึ้น ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าคิดถูกจริง ๆ ที่พยายามจะตัด ตกลงที่ฝันเยอะ ๆ คือสิ่งที่สะท้อนสภาพจิตหรือเปล่าคะ หรือที่หนูเข้าใจว่าเริ่มเอาอยู่ จริง ๆ แล้วเข้าใจผิดไปเอง ?
ตอบ : เคยบอกแล้วว่ากิเลสเล่นงานเราทั้งหลับและตื่น ต้องฝึกให้ทั้งหลับและตื่นจิตของเราต้องมีสภาพตื่นรู้เท่ากัน ถึงจะระวังไม่ให้กิเลสกินเราตอนหลับได้

เถรี
28-01-2011, 13:11
ถาม : เราสามารถรู้วันตายได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าฌานสี่คล่องตัว เราสามารถกำหนดวันตายได้เลย พอเข้าฌานสลับฌานทบทวนจนมั่นใจแล้ว จังหวะสุดท้ายออกฌานสี่มาแล้วก็ทิ้งร่างกายนี้ไปเลย เพราะถ้าเราเข้าฌานสี่แล้วร่างกายนี้จะไม่หายใจ ในเมื่อเราทิ้งไปเลย ไม่หายใจใหม่ ก็ตายเท่านั้น

เพราะฉะนั้น..บุคคลที่มีอานาปานสติคล่องตัว จนชำนาญในฌานสี่ สามารถกำหนดวันตายได้ทุกคน หลวงปู่สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) วัดสระเกศ พระองค์ท่านบอกว่า ถ้าเสียงฟ้าร้องขึ้นมาเมื่อไรพระองค์ท่านจะมรณภาพ พอฟ้าลั่นครืนพระองค์ท่านก็ไปเลย คิดดูสิ..พระองค์ท่านบอกว่ารู้จากการดูหมอ ใครจะไปเชื่อ..หมอดูประเภทไหนบอกได้ขนาดนั้น แต่ว่าตอนที่พระองค์ท่านยังดำรงพระชนม์อยู่ พระองค์ท่านเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงจริง ๆ

หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอกก็เหมือนกัน ตอนนั้นกำนันเถาไปค้าขายที่ต่างจังหวัดแถวปากน้ำโพ หายไปนานเป็นเดือน เมียกำนันเถาเป็นห่วง จึงเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบหลวงปู่จง ไปขอความเมตตาให้หลวงปู่ช่วยดูให้หน่อยว่า ตอนนี้สามีดีร้ายเป็นประการใด

หลวงปู่จงท่านหยิบตำราขึ้นมากางอ่าน "สิทธิการิยะ พระท่านว่า ขณะนี้กำนันเถาเอาเรือมาจอดที่ท่าน้ำหน้าบ้านแล้ว" ตำราที่ไหนบอกได้กระทั่งชื่อคน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็แปลกใจ ท่านไม่เชื่อ จึงไปเปิดตำราหน้านั้นดู ปรากฏว่าเป็นตำราสมพงษ์นาคสำหรับดูเนื้อคู่ เจอหมอดูแบบนี้ คนดูตามไม่ทันก็โดนต้มจนเปื่อย..!

เถรี
28-01-2011, 13:19
เมื่อคราวงานวัดบางนมโค พอถึงเวลานิมนต์พระเจริญพระพุทธมนต์ - ฉันเพล หลวงพ่อฤๅษีฯ เอาเรือเร็วออกไปตามหลวงปู่จง จริง ๆ ถ้าเดินลัดทุ่งก็ไม่ไกลมาก ประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึง แต่ถ้าไปเรือจะช้า เพราะอ้อมคุ้งน้ำเยอะ

พอไปถึง เห็นโยมรอให้หลวงปู่รดน้ำมนต์อยู่สามสี่คน หลวงปู่ท่านเมตตา ท่านก็รดทีละคน ๆ สมัยนั้นเขารดน้ำมนต์ไม่ได้รดแบบเรานะ เขารดเป็นโอ่งเลย ประเภทผลัดผ้าขาวม้าแล้วก็ตักราดตัวให้ทีละคน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเร่งให้หลวงปู่จงรีบไป

หลวงปู่ท่านบอกว่า "เอ็งกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าเดินไปเอง" "เดินไปมันช้าครับหลวงปู่..ไปเรือดีกว่า" "ข้าเดินเร็ว..ทันน่า"

หลวงพ่อท่านเถียงไม่ได้ รบเร้าหลายทีเห็นหลวงปู่ไม่ไป ก็กลับมาก่อน มาถึงก็กราบเรียนหลวงปู่ปานว่า "หลวงปู่จงท่านรดน้ำมนต์ยังไม่เสร็จครับ ยังไม่มา" หลวงปู่ปานก็หัวเราะ "แกโดนหลวงปู่จงต้มแล้ว ท่านมาถึงก่อนแกตั้งนาน ตอนนี้อยู่บนศาลาโน่น" หลวงพ่อขึ้นศาลาไปดู ปรากฏว่าหลวงปู่จงนั่งอยู่หัวแถวแล้ว เพราะท่านอาวุโสที่สุด แล้วท่านก็หัวเราะ "เรือแกเร็วสู้ข้าเดินไม่ได้ว่ะ.."

หลวงปู่จงกับหลวงปู่ปานเป็นสหายธรรมก็จริง แต่อายุท่านต่างกันเหลือเกิน หลวงปู่ปานท่านมรณภาพตอนอายุ ๖๒ ปี ส่วนหลวงปู่จงมรณภาพตอนอายุ ๙๓ ปี หลวงปู่ปานมรณภาพเมื่อปี ๒๔๘๑ หลวงปู่จงมรณภาพปี ๒๕๐๘

ต่างกันแค่ไหน? แสดงว่าฝ่ายหนึ่งรบมาทั้งชีวิต ถึงเวลาอายุขัยมีอยู่แค่นั้น อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้สร้างกรรมปาณาติบาตเลย อยู่มาจนเกือบจะร้อยปี

เถรี
28-01-2011, 18:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "สิ่งที่เป็นนิสัยเฉพาะตัวของอาตมาก็คือ ในเมื่อเรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องเอาไปสอนคนอื่นได้ ไม่ใช่เรียนผ่านไปเฉย ๆ จึงต้องซ้อมหาความชำนาญมากกว่าคนอื่น เป็นนิสัย "ยุทธภูมิ"เก่า ถึงแม้ว่าจะเลิกแล้ว แต่สันดานเดิมก็ยังเป็นอย่างนี้ ต้องแตกฉาน พลิกแพลงได้ แล้วพร้อมที่จะบัญญัติใหม่ด้วย..!"

ถาม : สมมติเราเกิดความสงสัยขึ้น ขณะเดียวกันเราก็มองว่า การที่เรารู้ตรงนั้นก็ไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลส แล้วเราก็เลิกที่จะเป็น หรือเราควรจะ..?
ตอบ : ถ้าวิสัยเดิมมีอยู่ก็จะคัน เดี๋ยวแอบไปทำจนได้แหละ ถ้าวิสัยเดิมมีน้อยเราก็ตัดทิ้งไปเลย มุ่งเข้าหาเรื่องมรรคเรื่องผลโดยตรง


หมายเหตุ : "ยุทธภูมิ" เป็นคำเฉพาะที่หลวงพ่อเล็กมักใช้ค่ะ

เถรี
28-01-2011, 18:07
ถาม : บางทีเราเจอสถานการณ์เราก็คิดพิจารณาได้ พอมาเจออีกเหมือนกับครั้งก่อน ก็ไม่ได้ต่างกัน แต่ทำไมจึงคิดได้ไม่เหมือน ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญาของเราตอนนั้นไม่พอ เหมือนคนเห็นทาง แต่กำลังที่จะเดินก็ไม่มี แต่ให้เราเห็นไว้ก่อน เห็นว่าเราไปทางนี้แน่ ตอนนี้เราก็เพาะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเราให้มากขึ้น ๆ สำคัญตอนนี้คือสมาธิ ถ้าสมาธิมีมาก ก็จะช่วยให้ปัญญาเกิดได้มาก

ถาม : ถ้าเห็นหลายทาง ?
ตอบ : เลือกเอาทางที่ง่ายที่สุด

ถาม : ถ้าปัญญาถึง เราจะรู้เองใช่ไหมว่าเราจะไปอย่างไร ?
ตอบ : เห็นทางอยู่ข้างหน้า ก็รู้ ๆ อยู่ ส่วนทางนั้นรกจะตาย แล้วเรายังคิดที่จะไปทางนั้นก็เกินไป หาทางที่ง่ายกว่าสิ ยกเว้นอย่างเดียว คือ เรามั่นใจว่าทางรกที่สุดนั้นสั้นที่สุดด้วยแน่ ๆ ก็ลุยไปเลย

เถรี
28-01-2011, 18:24
ถาม : นายประยงค์เขาภาวนาคาถาเงินล้าน เขาปฏิบัติสมาธิแล้วเห็นพระพุทธรูปมาอยู่ตรงหน้า อย่างเราภาวนาพระคาถาเงินล้าน เราต้องเห็นอย่างนั้นด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ผลของคาถาจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ ที่นายประยงค์เขาเห็นแสดงว่าจิตเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ ก็จะเห็นภาพต่าง ๆ ได้ แต่พอสมาธิเลยตรงนั้นไปก็จะไม่เห็นอีก

ถาม : แล้วภาวนาคาถาเงินล้าน เราก็ภาวนาตามเขา ?
ตอบ : ภาวนาของเราไปเรื่อย ถึงแม้เราไม่เห็นภาพอะไร แต่จิตทรงเป็นสมาธิ ผลที่ได้ก็จะเหมือนกัน สำคัญตรงสมาธิ ไม่จำเป็นต้องเห็น

ถาม : พระคาถาเงินล้านตรง สัมปะติจฉามิ ผมเคยเห็นในเว็บ สัมปะฏิจฉามิ ใช้ ฏ.ปฏัก ตัวไหนถูกต้องครับ ?
ตอบ : บาลีใช้ ฏ. ปฏัก เพียงแต่ว่าคาถาไม่ได้สำคัญที่เขียนถูกหรือไม่ถูก สำคัญที่เราว่าเชื่อมั่นแค่ไหน ถ้าคุณเชื่อมั่น ถึงท่องผิดก็มีผล เพราะฉะนั้น..มัวแต่เสียเวลาไปคิดว่าถูกหรือไม่ถูก แปลว่ากำลังใจเรายังไม่มั่นคง

ถาม : จริง ๆ คาถาสำคัญที่สมาธิ ?
ตอบ : สำคัญที่สมาธิและความเชื่อมั่น มีศรัทธามากเท่าไรได้ผลก็มากเท่านั้น

ถาม : อย่างคาถาสะหัสสะเนตโต เวลาสวดออกเสียงหรือภาวนาในใจครับ ?
ตอบ : ภาวนาในใจ ถ้าคุณไปออกเสียงท่ามกลางชุมชนคนอื่นจะหาว่าบ้า..!

เถรี
28-01-2011, 21:12
ถาม : มีคนมาทำลักษณะที่ไม่น่ารักกับเรา แล้วเราน่าจะโกรธ แต่เรากลับไม่โกรธ แต่เราจำ เป็นการพยาบาทหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เราต้องพิจารณาใจตนเองด้วยปัญญา ก็จะมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ ถ้าหากคบหาคน ๆ นี้ต่อไป จะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ เราก็ตัดออกจากใจไป ถ้ากำลังสมาธิสูงพอก็จะตัดทิ้งไปได้เลย แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นเรื่องของ อุเบกขาในพรหมวิหารจริง ๆ ก็จะมีตัวเมตตากรุณาอยู่ ก็คือ ถ้ามีโอกาสเราจะสงเคราะห์เขาอีก แต่ไม่ใช่ตอนนี้

ถาม : ถ้าจำได้ แปลว่าไม่จำเป็นต้องพยาบาท ?
ตอบ : พยายามอย่าเข้าข้างตัวเอง นึกเสียว่าพยาบาทก็แล้วกัน จะได้เตือนสติตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเห็นแต่ตัวเองดีเกินไป ไม่เห็นความชั่วตัวเอง

ถาม : บางทีก็บางมาก จนจับไม่ได้ว่าเป็นกิเลส
ตอบ : มีอยู่สมัยหนึ่ง พระท่านทำภาพให้ดู กิเลสบางตัวเราไม่นึกว่าจะมีอยู่ แต่ก็มี เพียงแต่ว่าบางมากจนเราสาวไปไม่ถึง ท่านก็เมตตาทำให้ดู แหม..เหมือนกับหนูซุกอยู่ในรู ไม่กระดุกกระดิกอะไร เงียบอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วกิเลสนั้นยังไม่ตาย ยังอยู่เต็ม ๆ เลย แต่ว่าไปแอบซ่อนอยู่อย่างมิดชิด พร้อมที่จะอาละวาดทันทีที่เราเผลอ..!

เถรี
28-01-2011, 21:20
ถาม : บางทีกิเลสบางตัวหน้าตาคล้าย ๆ เรา
ตอบ : อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า กิเลสกับความดีนั้นก้าวซ้อนมารอยเดียวกัน หน้าตาเหมือนกันเลย เพียงแต่สำคัญตรงก้าวสุดท้าย ว่าจะพาเราไปทางไหน ?

เคยยกตัวอย่างชัดที่สุดก็คือ เรื่องของการถวายสังฆทาน สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง พอได้ปัจจัยมาจากการที่โยมถวายหรือการสวดมนต์ก็ดี ถึงเวลาก็จะรวบรวมไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นสังฆทาน

สังฆทานที่วัดท่าซุง จะมีชุดละ ๑๐๐ บาท ชุดละ ๕๐๐ บาท ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ชุดละ ๒,๐๐๐ บาท หลวงพ่อท่านจะมอบวัตถุมงคลให้ตามราคา อาตมาตั้งใจว่าถ้าได้เงินมาจะเอาไปถวายสังฆทาน พอรวมแล้วได้เกิน ๑๐๐ บาท ก็คิดว่า เดี๋ยวรอให้ถึง ๕๐๐ บาท ค่อยเอาไปถวายชุดที่ใหญ่กว่า

แทนที่จะได้ ๕๐๐ บาท กลับเป็น ๗๐๐-๘๐๐ บาท เออ..ได้ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ค่อยไปถวาย เป็นอย่างนี้หลายครั้งด้วยกัน จนวันนั้นบังเอิญไปเห็นหน้าตากิเลสเข้า ใจหายวาบเลย ที่ใจหายวาบก็คือ ถ้าเราตายเสียก่อน แม้แต่ชุดละร้อยเดียวก็ไม่ได้ถวาย กิเลสหลอกเราได้ขนาดนั้น..!

กิเลสกับความดีจะขี่คอกันมาเลย เพียงแต่ว่าก้าวสุดท้ายกิเลสจะดึงเราลง ส่วนความดีจะพาเราขึ้น แค่นั้นเอง ทั้ง ๆ ที่การทำความดีแบบนั้นกิเลสยังหลอกเราได้

ถาม : เป็นกิเลสประเภทไหน เป็นโลภะกลาย ๆ หรือเปล่า ?
ตอบ : มีทั้งส่วนของโลภะและโมหะด้วย โลภะ คือ อยากได้บุญมากขึ้น โมหะ คือ รู้ไม่เท่าทัน ให้กิเลสหลอกเราได้..สุดยอดจริง ๆ กิเลสกับความดีหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างเลย โดยเฉพาะหน้าตาเหมือนกับเรานี่แหละ..!

ถาม : แล้วเราจะรู้ทันได้อย่างไร ?
ตอบ : ซักซ้อม สติ สมาธิ ปัญญาให้มาก ๆ ไว้ จะรู้เท่าทันกิเลสได้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นมักจะถูกพาไปหลายกิโลกว่าที่เราจะรู้ตัว

เถรี
28-01-2011, 22:48
ถาม : เมื่อวานผมมีโอกาสได้ไปฟังเทศน์หลวงพ่อองค์หนึ่ง ผมเห็นว่าการปฏิบัติสายท่านเน้นสมถะอย่างเดียว ท่านยังเน้นว่า พระพุทธเจ้าท่านนอกจากชาติสุดท้ายแล้ว ท่านไม่เคยวิปัสสนาเลย เรารู้สึกว่าแปลกใหม่ ท่านบอกว่า ถ้าเราคิดว่าเราไม่ถึงชาตินี้ เราก็ทำสมถะไปอย่างเดียวก่อน ?
ตอบ : จริง ๆ การทำสมถะ ถ้าทำไปถูกทางจริง ๆ ก็เกิดปัญญา แต่ถ้าไปเพลิดเพลินอยู่ ก็จะติดอยู่แค่นั้น ตัวปัญญาจะไม่เกิด

สำคัญว่าเรามีสติระลึกรู้อยู่แค่ไหนว่า ตอนนี้เราทำอะไร เพื่ออะไร ถ้าเราทำเพื่อความอยู่สุขปัจจุบันนี้ ไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ ก็ใส่สมถะไปล้วน ๆ เถอะ แต่ถ้าเราต้องการที่จะหลุดพ้น ก็ต้องมีวิปัสสนาเข้าไปช่วยอีกแรง

ถาม : แล้วถ้าเราใช้สมถะกดไว้พักหนึ่ง เป็นวิธีที่ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ อันดับแรก ก็คือ อย่าให้กิเลสออกทางกาย ประเภทอาละวาด ชักสีหน้า ชี้หน้าด่า ประเภทนั้นอย่าให้ออกมา แต่ถ้าอยู่ข้างในแล้ว อกเราจะแตกตาย ก็ให้ตายไปคนเดียว อย่าให้กิเลสเราไปเลอะเทอะเปรอะเปื้อนใส่คนอื่นเขา

อันดับแรก ต้องดึงให้หยุดให้ได้ก่อน ทำอย่างไรที่จะดึงม้าให้หยุดตรงหน้าผาให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นพาเราลงเหวแน่ หลังจากนั้นเราค่อย ๆ ไปหาทางจัดการกันทีหลัง นั่นก็ถือว่าเป็นการใช้ปัญญาอย่างหนึ่งเหมือนกัน

เพียงแต่ว่ากำลังเรายังไม่เพียงพอที่จะตัดอย่างฉับพลัน ก็ต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ก็คือ ระงับจากส่วนหยาบก่อน แล้วถึงเวลาค่อยไปจัดการกับส่วนละเอียดทีหลัง อย่างที่อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ออกบิณฑบาตพร้อมกับหลวงตาวัชรชัย

การบิณฑบาตช่วงนั้นก็เดินสายใต้ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นหลวงตาท่านเดินนำตลอด พออายุกาลพรรษาเริ่มมากขึ้น พระรุ่นน้องเริ่มมากขึ้น หลวงตาท่านอายุมากขึ้น เดินไกลไม่ค่อยไหว ท่านก็แยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด อาตมาก็ไปเดินนำสายใต้แทน

พอดีวันนั้นหลวงตาท่านยังนำอยู่ ขากลับญาติโยมไปใส่บาตรเยอะมาก ลูกศิษย์หลวงพ่อไปวัดแต่ละวันไม่ใช่น้อย อย่างไม่มีก็เป็นร้อยคน

เถรี
28-01-2011, 22:53
มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวมาเต็มที่ โดยที่ไม่ได้นึกว่าจะเป็นอันตรายต่อพระหรือเปล่า ใส่น้ำหอมกลิ่นฟุ้งมาเลย ทันทีที่ได้กลิ่นอาตมาก็กลั้นหายใจ เพราะถ้ารู้ว่าหายใจต่อไปจะต้องคิดแล้ว ว่าชอบหรือไม่ชอบ

พอกลั้นหายใจแล้วก็ตั้งใจดู พระพี่พระน้องตลอดทั้งแถว ๑๑ รูป กลั้นใจหมดเลย อาตมาเองก็ขำ พอเข้าไปถึงหอฉัน จึงไปจี้ถามหมดทุกรูปเลย "เป็นอย่างไร ? กลั้นใจใช่ไหม ?" "ใช่ครับ" แม้กระทั่งหลวงตาวัชรชัยก็ด้วย

เรื่องอย่างนี้เราต้องทดสอบทุกวัน ไม่อย่างนั้นตัวมโนมยิทธิจะไม่คล่อง พอหลังจากฉันเสร็จก็มานั่งวิเคราะห์กันว่า ตกลงว่าที่พวกเราทำกันนั้น เป็นการที่เราหนีปัญหา หรือเราแก้ด้วยปัญญา ? ถ้าเป็นการหนีปัญหา เราจะสู้ไม่ได้ตลอดไป แต่ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยปัญญาเรายังพอมีทางสู้

หลังจากที่นั่งวิเคราะห์กันเสร็จสรรพแล้ว สรุปได้ความว่า เป็นการแก้ปัญหาด้วยปัญญา เพราะรู้ว่าตอนนั้นยังสู้ไม่ได้ เราต้องหลบก่อน โดยเฉพาะหลวงตาท่านว่า "ไอ้ห่_แชนแนลนัมเบอร์ไฟว์ ของโปรดกูเลย..!"

เพราะฉะนั้น..ญาติโยมบางคนไปวัด ลืมไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำอาจเป็นอันตรายต่อพระเณรโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่พระเณรที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อละกิเลสอย่างลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงจริง ๆ คงฟุ้งซ่านไปหลายราย ขนาดนั้นทั้งแถวยังกลั้นใจกันหมด..!

เถรี
28-01-2011, 23:02
ถาม : แล้วถ้าเป็นพระอนาคามี ?
ตอบ : ถ้าพระอนาคามีก็สักแต่ว่าได้กลิ่นเฉย ๆ ไม่มีประโยชน์สำหรับท่านแล้ว

ถาม : ท่านไม่ได้กลั้นหายใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ราคะกับโทสะทำอันตรายท่านไม่ได้แล้ว

โชคดีที่สมัยหนุ่ม ๆ อาตมาเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะแพ้กลิ่นเครื่องสำอาง เพื่อน ๆ ผู้หญิงรุ่นนั้นเขาจะรู้กันทุกคน ถ้าใครแต่งหน้าแต่งตามา อาตมาจะจามตลอด แค่เขาทาครีมทาผิวมา อาตมาก็จามแทบแย่ ถึงขนาดต้องขอร้องว่า เวลาไปไหนด้วยกัน กรุณาอย่าให้มี จึงช่วยรอดมาได้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องบุญพาวาสนาช่วย เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยซ้ำเติม ทำให้ได้กลิ่นไม่ได้ ได้กลิ่นแล้วจาม

เถรี
29-01-2011, 00:29
ถาม : ทางมหายาน ปรัชญาปารมิตาสูตร ทางเถรวาท พระพุทธเจ้าท่าน ..(ไม่ได้ยิน).. ?
ตอบ : ในเรื่องบารมีสิบเหมือนกัน แต่บารมีของเขา มีฌานบารมีด้วย ของเราไม่มี เพราะฉะนั้น..เรามาสายเถรวาท เราก็ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรามานั้นถูกต้อง

แรก ๆ ที่อาตมาเรียนวิชาพระสูตรมหายานและเรียนศาสนาเปรียบเทียบ อาจารย์ท่านบอกว่า "มหายานเป็นเกจิอาจารย์รุ่นหลังแต่งขึ้นมา เพื่อจะให้รู้สึกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห่างไกลไปไหน ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้านิพพานแล้วจะสูญไปเฉย ๆ แต่ศาสนาฮินดูเขามีพระเจ้าที่พร้อมจะช่วยเหลือศาสนิกของเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้ คนก็ไปนับถือศาสนาฮินดูกัน เพราะเห็นว่ามีผู้ช่วยเหลืออยู่ เนื่องจากคนเรานิยมความง่าย"

เกจิอาจารย์รุ่นหลังก็เลยแต่งว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ที่สุขาวดีพุทธเกษตร พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่ ขณะเดียวกันก็แบ่งภาคลงมา เกิดเป็นพระโพธิสัตว์หลายท่าน ทั้งพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดในโลกมนุษย์และพระโพธิสัตว์ที่ยังอยู่บนสุขาวดีก็มี

อาตมาเองจึงตั้งข้อสังเกต โดยการบอกว่า "ท่านอาจารย์ครับ..เป็นไปได้ไหมครับว่า คนเขียนเขาไปเห็นมาจริง ๆ เพราะถ้าท่านอาจารย์อ่านรายละเอียดตั้งแต่ต้นยันปลาย จะเห็นว่าทุกคำถามเขามีคำตอบ และอธิบายได้ละเอียด น่าเชื่อถือมากด้วย ถ้าเขาไปเห็นมาจริง ๆ ละครับ ?"

ท่านอาจารย์บอกว่า "แนวความคิดของคุณเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก แต่ก็ไม่มีใครไม่สามารถที่จะยืนยันกับคุณได้" นี่คือมารยาทในความเป็นนักเรียน เราพูดกับท่านอาจารย์ได้เพียงแค่นี้

เถรี
29-01-2011, 00:35
แต่กับพวกเราแล้ว อาตมาก็ฟันธงเลยว่า บุคคลรุ่นหลังของมหายานสามารถที่จะไปเห็นได้ แต่สิ่งพระพุทธเจ้าสอนเราไว้ในสีสปาสูตร ก็คือใบประดู่กำมือเดียว เป็นสิ่งที่ยังประโยชน์สุขในปัจจุบัน ประโยชน์สุขในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุด คือช่วยพ้นจากความทุกข์ไปพระนิพพานได้ ส่วนไหนที่ทำให้เนิ่นช้าพระองค์ท่านไม่สอน

แต่ท่านรุ่นหลังที่ได้ทิพจักขุญาณ แล้วไปเห็นสายพระโพธิสัตว์ว่าดี จึงนำคำสอนนี้มาสอน กลายเป็นสอนสิ่งที่เนิ่นช้า เพราะยังต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คำสอนที่แตกมาในรุ่นหลัง จึงไม่ใช่สัทธรรมเทศนาที่บริสุทธิ์ หากแต่เป็นสิ่งที่เกจิอาจารย์ทั้งหลายไปพบเห็นมา แล้วก็นำเอามาจารึกเอาไว้ กลายเป็นคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังเขาศึกษาตามกัน กลายเป็นนิกายนั้นบ้าง นิกายนี้บ้างขึ้นมา

ถามว่าปฏิบัติตามของเขาแล้วมีผลไหม ? มี..แต่ช้าจนบอกไม่ถูก เพราะฉะนั้น..ในปรัชญาปารมิตาสูตรเขากล่าวถึงการสร้างบารมีสิบอย่างเหมือนกัน แต่ตอนท้าย ๆ นั้นไม่เหมือนกับของเถรวาท

เถรี
29-01-2011, 08:02
ถาม : พระอุปคุต มีอานุภาพทางด้านไหนครับ ?
ตอบ : เน้นในเรื่องลาภ และป้องกันอันตรายด้วย

เถรี
29-01-2011, 08:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ปานท่านให้พรไว้ว่า พระของท่านไม่ว่าจะเก่าจะใหม่ จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านจะมีอานุภาพเท่ากันหมด ท่านให้พรขนาดนี้เลยนะ เพราะฉะนั้น..ใครสร้างวัตถุมงคล ถ้ากลัวว่าจะไม่ขลัง ให้สร้างพระของหลวงปู่ปาน

ส่วนตอนที่ยกเสาเอกบ้านวิริยบารมี อาตมาสละพระรอดลำพูน (เนื้อดำ)ไป ๑ องค์ กับเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยอีก ๑ องค์ เสือเอาไว้เฝ้าบ้าน ส่วนพระรอดจะได้ช่วยในการปฏิบัติ"

เถรี
29-01-2011, 09:41
พระอาจารย์เล่าเรื่องอภิญญาให้ฟังว่า "สมัยที่อาตมาฝึกซ้อมการเล่นอภิญญา ตอนนั้นพักอยู่ที่ตึกกองทุน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับตึกศาลาหลวงพ่อสี่พระองค์ อาตมาก็สนุกสนานอยู่คนเดียว โดยไม่รู้ว่าป้าศุ (คุณศุภาพร ปุษยนาวิน) เขาแอบดูอยู่ บางวันก็เดินทะลุข้างฝาไปเลย ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไปได้อย่างไร ข้างฝาน่าจะทะลุเป็นรูปตัวเราไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไปก็ไปได้ กลับมาก็กลับได้ กว่าจะเข้าใจก็ต้องคลำอยู่เป็นปี

สภาพจิตที่ละเอียด วัตถุทุกอย่างจะเป็นของหยาบหมด เพราะฉะนั้น..ที่คุณเห็นเป็นกำแพงทึบ ๆ ความจริงแล้วไม่ได้ทึบหรอก รอยต่อระหว่างอณูของวัตถุนั้นใหญ่มหึมา ชนิดที่เราเห็นว่าช้างลอดได้เลย

โยมศุภาพรเขาแอบดูเราก็ไม่รู้ มีอยู่วันหนึ่ง เขาบอกว่า "หลวงพี่...ระวังนะ ถ้าออกไปครึ่งหนึ่งแล้วสมาธิเคลื่อน อาจจะติดคาอยู่ตรงนั้นเลย..!" โยมเขาแซวเล่น

ต่อมามีโยมอยู่รายหนึ่ง เขาก็ทำได้เหมือนกัน แต่เขาทำได้แบบที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ คือ เขาภาวนาอยู่ แล้วรู้สึกว่าเตียงลอยได้ แล้วก็ลอยไปทั้งเตียงเลย ตัวเขาก็นอนอยู่บนเตียง ก็ลอยผ่านทุ่งนาป่าเขาไปเรื่อย ไปจนกระทั่งหมดอารมณ์แล้วก็กลับ

จำไว้เลย..ถ้าเป็นผรณาปีติ ไม่ต้องกลัวนะ ไปไกลแค่ไหนก็ตามถึงเวลาจะกลับมาที่เดิม ยกเว้นว่าเราตกใจแล้วสมาธิเคลื่อน ก็จะตกลงตรงนั้น ถ้าจะฝึกพวกนี้ ควรพกเงินติดกระเป๋าเอาไว้หน่อย เผื่อไปตกที่ไกล ๆ จะได้มีเงินนั่งรถกลับ..!"

เถรี
29-01-2011, 09:49
"พอโยมเขาลอยกลับมา เขาก็แปลกใจว่าตัวเองไปจริงหรือเปล่า ? พอจับผ้าห่มดู ก็รู้ว่าไปจริง เพราะผ้าห่มเปียกน้ำค้างหมดเลย นั่นไม่ได้ไปแต่ตัวนะ เอาเตียงไปทั้งหลังเลย แต่ข้างฝาก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน

แสดงว่า ตอนที่สภาพจิตทรงเป็นอภิญญาสมาบัติ ระหว่างวัตถุธาตุต่าง ๆ ไม่มีอะไรที่จะกั้นได้ เพราะสภาพตอนนั้นไม่ได้มีอะไรเป็นแท่งทึบ ทุกอย่างจับกันขึ้นมาจากอณูขนาดต่าง ๆ ด้วยความที่จิตละเอียดกว่า ช่องว่างระหว่างอณูก็เลยกลายเป็นใหญ่มหึมา ออกไปเมื่อไรก็ได้ กว่าจะเข้าใจตรงนี้ก็คลำอยู่นาน

ครั้งแรกที่ลอย อาตมากำลังหลับตาภาวนาไปเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกว่ามีอะไรวับ ๆ อยู่ข้างเอว พอลืมตาดู ตายห่..พัดลมเพดาน..! ก็คือ ตอนที่ภาวนานั้นเปิดพัดลมอยู่ แต่ไม่รู้ว่าลอยขึ้นไป มารู้ตอนที่ลอยไปขึ้นแล้ว พอเห็นพัดลมหมุนอยู่ข้างเอวก็ตกใจ พอตกใจสมาธิหลุดก็หล่นพลั่กลงมา..! ตั้งแต่นั้นมาก็ถือเป็นบทเรียนว่า ก่อนที่จะภาวนาทุกครั้งจะต้องปิดพัดลมก่อน"

ถาม : โยมที่ลอยไปเป็นแค่ปีติหรือครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าไม่มีพื้นฐานอภิญญาเก่าคงเอาเตียงไปทั้งหลังไม่ได้ น่าจะเป็นพื้นฐานของอภิญญาเก่ามาผสมด้วย

ลอง ๆ ไปฝึกเรื่องพวกนี้ดู แรก ๆ ทำได้ก็สนุกสนานเฮฮา ไป ๆ มา ๆ ก็น่าเบื่อเพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเราเท่านั้น

เถรี
29-01-2011, 09:54
ถาม : มีมานะทิฏฐิที่เป็นมานะทิฏฐิที่ดีไหมคะ ? หรือขึ้นชื่อว่ามานะทิฏฐิแล้วย่อมไม่ดีทั้งนั้น ?
ตอบ : มี..สำหรับปุถุชนทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าสำหรับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี อย่างที่เขาเรียกกันว่า ขัตติยมานะ มานะขององค์กษัตริย์ อยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างไรก็ต้องเข้มแข็งไว้ ลับหลังจะหงายแผ่อย่างไรก็ช่าง อันนี้เรียกว่า ขัตติยมานะ

แบบเดียวกับพระมหาอุปราชา ตอนนั้นพระนเรศวรตกอยู่กลางวงล้อมของพระมหาอุปราชา ถ้าจะรุมกินโต๊ะเสีย อย่างไรก็ตายแน่ แต่พอพระนเรศวรออกปากท้ารบ พระมหาอุปราชาก็เกิดขัตติยมานะ กล้าออกมาสู้ทั้ง ๆ ที่แพ้ทางกันมาตลอด นั่นแหละขัตติยมานะ

ถาม : แล้วจะละอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะมานะเป็นสังโยชน์ที่ละเอียดมาก ระดับพระอนาคามียังละไม่ได้เลย บางคนก็เป็นจนกระทั่งกลายเป็นสัญชาตญาณไปเลยก็มี

เถรี
29-01-2011, 14:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป ต้องดูมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร สมัยที่มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นมนุษย์อยู่ ไม่เคยสร้างความดีแม้แต่อย่างเดียว แต่กลับสร้างความชั่วแทบทุกอย่าง

ก่อนตายมัฏฐกุณฑลีป่วยหนัก อทินนกปุพพกพราหมณ์ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพราหมณ์ที่ตระหนี่มาก กลัวว่าญาติมาเยี่ยมลูกชายตนแล้วเห็นสมบัติในบ้าน จะเที่ยวขอสมบัติข้าวของ จึงนำลูกชายไปทิ้งไว้ที่ระเบียงบ้าน เมื่อพระพุทธเจ้าบิณฑบาตเสด็จผ่านมา ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีให้มัฏฐกุณฑลีเห็น เพื่อเป็นการสงเคราะห์

พอมัฏฐกุณฑลีเห็นพระพุทธเจ้า ก็นึกในใจว่า "ใคร ๆ ก็ว่าพระสมณโคดมมีความสามารถมาก ถ้าท่านได้มารักษาเรา อาการป่วยที่เป็นอยู่ก็คงจะหาย" มัฏฐกุณฑลีคิดแค่นั้นแล้วก็ตาย ด้วยอานิสงส์ที่ใจที่คิดถึงพระพุทธเจ้า จึงไปเกิดอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำ

ส่วนอทินนกปุพพกพราหมณ์ผู้เป็นพ่อ เอาศพลูกชายตัวเองไปฝัง แล้วร้องไห้คร่ำครวญไปด้วย มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็นึกว่า "พ่อเรานี่ช่างโง่จริง ๆ ลูกมีชีวิตอยู่ไม่ยอมรักษา มัวแต่เสียดายเงิน พอลูกตายแล้วกลับมานั่งร้องไห้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงไปปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ หลุมศพ แล้วนั่งร้องไห้บ้าง

อทินนกปุพพกพราหมณ์พอเห็นมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็คิดว่ามาณพผู้นี้หน้าตาเหมือนลูกชายของเรา จึงเกิดความรัก อยากได้มาเป็นลูก เพื่อทดแทนลูกชายที่เพิ่งตายไป อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงถามมาณพว่า "ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะบุตรชายเพิ่งเสียชีวิตไป ท่านอายุยังน้อย คงไม่มีบุตรที่เพิ่งเสียชีวิต แล้วมาร้องไห้ทำไม ?"

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้าสร้างรถคันหนึ่ง เป็นรถทองคำที่สวยงามมาก แต่ไม่มีล้อที่เหมาะสมกับรถ จึงร้องไห้เสียใจ" อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงคิดว่า "ถ้าเรามอบล้อรถอันเป็นที่ถูกใจให้ชายคนนี้ เราอาจจะขอมาเป็นลูกได้"

อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงถามว่า "เจ้าต้องการล้อรถแบบไหน ล้อทองคำ ล้อเงิน หรือล้อแก้วมณี เราก็จะจัดหาให้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรคิดว่า "ตอนลูกมีชีวิตอยู่ พ่อขี้เหนียวไม่ยอมแม้แต่จะจ่ายเงินเป็นค่ารักษา พอตอนนี้แม้ล้อรถทองคำหรือแก้วมณีก็ยอมให้"

เถรี
29-01-2011, 14:37
"มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้าอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถ" อทินนกปุพพกพราหมณ์โกรธ "แกจะบ้าหรือเปล่า ? ใครที่ไหนจะสามารถเอาพระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถได้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ถ้าข้าพเจ้าบ้า ท่านก็บ้ายิ่งกว่า ข้าพเจ้าอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถ เพราะข้าพเจ้ามองเห็นพระอาทิตย์กับพระจันทร์ แต่ท่านร้องไห้คร่ำครวญอยากจะให้ลูกชายที่ตายกลับฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ท่านมองเห็นลูกชายของท่านหรือไม่ ?"

อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงได้สติว่า มาณพผู้นี้พูดเป็นภาษิตดี จึงสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า "ข้าพเจ้าคือบุตรชายของท่าน หลังจากสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำ" อทินนกปุพพกพราหมณ์ก็แปลกใจ "ในชีวิตของเจ้าไม่เคยทำความดีอะไรเลย แล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำได้อย่างไร ?"

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้านึกถึงพระนามของพระสมณโคดมก่อนตาย ด้วยอานิสงส์นี้จึงทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์" อทินนกปุพพกพราหมณ์ยังไม่เชื่อ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงแนะนำว่า "ถ้าอย่างนั้นขอให้ท่านพ่อนิมนต์พระสมณโคดม พร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป มาฉันภัตตาหารที่บ้าน แล้วสอบถามเอาเองแล้วกัน"

เถรี
29-01-2011, 14:47
"ด้วยความอยากรู้จริง ๆ อทินนกปุพพกพราหมณ์จอมตระหนี่ จึงยอมลงทุนเลี้ยงภัตตาหารพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อเลี้ยงภัตตาหารเสร็จเรียบร้อย อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงเข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ บุคคลที่ไม่เคยสร้างคุณความดีอะไรมาก่อนเลย เพียงนึกถึงแต่พระนามของพระองค์ เมื่อตายแล้วไปสวรรค์ มีอยู่บ้างหรือไม่ ?"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พรามหณะ..ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลที่ไม่เคยสร้างความดีอื่นใดเลย นอกจากนึกถึงนามของตถาคต เมื่อตายแล้วได้ไปสุคติโลกสวรรค์นั้น ไม่ได้มีแค่ร้อยแค่พัน หากแต่มีเป็นโกฏิ" แล้วท่านก็ตรัสว่า "พราหมณ์ก็ได้เจอลูกชายของท่านเองมาแล้วไม่ใช่หรือ ? "

อทินนกปุพพกพราหมณ์ก็ยอมรับ พระพุทธเจ้าจึงเรียกมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรพร้อมกับวิมานทองคำมาเป็นเครื่องยืนยัน อทินนกปุพพกพราหมณ์เกิดความเลื่อมใส จึงปวารณาตนนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

มีอยู่ประเด็นหนึ่งก็คือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรทำชั่วมาตลอดชีวิต แล้วอานิสงส์อะไร ที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดในวินาทีสุดท้าย ? ตรงจุดนี้ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึง อรรถกถาก็ไม่ได้กล่าวไว้ แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามตรงต่อพระ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในอดีตมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเคยสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ อานิสงส์ในการสร้างพระพุทธรูปในอดีตตามมาทันในชาตินี้ ในวินาทีสุดท้ายพอดี

ดังนั้น..พวกเราที่ตั้งใจร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมกับคณะของคุณหมอนพพรหรือท่านอาจารย์สมปอง ถ้าเป็นนิสัยของอาตมาก่อนนี้ก็จะอธิษฐานว่า "ก่อนตายขอให้พระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ อย่าได้คลาดเคลื่อนไปจากใจของข้าพเจ้าเลย" อธิษฐานเผื่อเหนียวไว้ก่อน เกิดอยู่ ๆ ก่อนตายภาพสาวสวย ๆ โผล่มา คงจะได้เกาะผิดที่ จึงต้องใช้วิธีอธิษฐานขออย่าให้ภาพพระเคลื่อนไปจากใจ ตรงนี้อนุญาตให้ทุกคนเลียนแบบได้"

เถรี
29-01-2011, 23:40
ถาม : ในขณะที่จิตก่อนตาย นึกถึงภาพศพที่เป็นอสุภกรรมฐาน จะไปดีหรือไม่คะ ?
ตอบ : อาจจะได้ไปเกิดเป็นพรหมก็ได้ เพราะถ้านึกได้แสดงว่าสมาธิต้องทรงตัว สมาธิทรงตัวในลักษณะที่นึกถึงอย่างนั้นได้ ก็ต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป

เพราะฉะนั้น..ถ้าการเห็นภาพศพเละ ๆ นั้น เกิดจากสมาธิที่ทรงตัว ตายไปอาจจะได้กำไรมากกว่ากว่าที่คิด ถ้าตอนนั้นใช้ปัญญาต่ออีกนิดหนึ่งว่า เกิดกี่ชาติก็เป็นอย่างนี้ เราอย่าเกิดอีกเลย ไปนิพพานดีกว่า..ก็จบ

เถรี
29-01-2011, 23:48
ถาม : โยมหยิบของของแม่ไปใส่บาตร โดยไม่ได้ขออนุญาตแม่ก่อน แต่แม่ก็ไม่ว่าอะไร ผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดหรอกจ้ะ หยิบไปเยอะ ๆ ทำเสร็จก็บอกท่านไปด้วย บอกว่า "ทำบุญให้แล้วแล้วจ้ะ" ถ้าแม่ถามว่า "ทำไมทำอย่างนั้น ?" ให้บอกไปว่า "เห็นแม่ไม่มีเวลา ก็เลยช่วยทำแทนให้"

ถาม : ปกติเราส่งเงินเดือนให้แม่ทุกเดือน เราก็เลยทำบุญในนามของแม่ไปด้วย ทำเป็นของแม่ได้เลยไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ แต่ควรที่จะบอกให้แม่โมทนา เพราะคนเป็นหรือคนตายก็ตาม ควรจะบอกให้เขารู้ เพื่อที่จะได้โมทนา

ถาม : นึกว่าทำบุญให้แม่ก่อน แล้วเราค่อยทำบุญตามหลังอีกที
ตอบ : จะทำก่อนทำหลังก็ได้ แต่เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้กลับไปบอกแม่ บอกว่าเราได้ทำบุญให้แม่แล้ว ขอให้แม่โมทนาด้วย

เถรี
29-01-2011, 23:56
ถาม : อย่างไหนจึงจะเรียกว่าละสิ่งของได้ ?
ตอบ : มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ไปดิ้นรนหามา สูญหายไปก็ไม่เสียอกเสียใจ ได้มาใหม่ก็ไม่ยินดีจนเกินการณ์

ถาม : อย่างที่คนเขาเอามาให้เองละครับ แล้วเราไม่รับ
ตอบ : เขาถือว่าเสียมารยาท รับไว้เถอะ โดยเฉพาะถ้าผู้ใหญ่ให้ของ ให้รับไว้ก่อน ถ้าเราไม่รับ แทนที่ผู้ใหญ่เขาจะเห็นว่าเราไม่โลภ กลับจะไม่ใช่ บางท่านจะเห็นว่าเราอวดดี ถ้าผู้ใหญ่มองเราในแง่ไม่ดี ต่อไปจะเจริญยาก..!

สมัยก่อนอาตมาก็ไม่รับเหมือนกัน เพราะไม่อยากได้จริง ๆ แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อวัดท่ามะขาม ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ ท่านเตือนว่า "ถ้าผู้ใหญ่ให้ของ ให้รีบรับไว้ก่อน ถ้าไม่รับ เดี๋ยวท่านจะมองเราในแง่ไม่ดี กลายเป็นว่าท่านจำฝังใจแล้วต่อไปเราจะลำบาก"

ตั้งแต่ท่านเตือนมา ต่อไปเมื่ออาตมาเจอใครให้ของก็จะรับไว้ก่อนเสมอ ไปเจอบางท่านแทนที่จะให้ท่านให้ก่อน เราก็ขอท่านก่อนเลย รู้อยู่ว่าท่านเต็มใจให้ ก็แกล้งขอ ทำท่าว่าอยากได้เป็นนักหนา ท่านก็ปลื้มใจที่มีสิ่งที่เราอยากได้ เมื่อท่านให้มาแล้ว เราก็แบกขึ้นรถไปแจกที่อื่นต่อ

เถรี
30-01-2011, 00:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นวัดไหนก็ตาม มักจะมีอาถรรพ์ก็คือ มีคนจองไว้แล้วแต่ไม่มารับ มักจะมีอยู่รายสองรายที่ไม่มารับหรอก

ตอนนี้อาตมาต้องเก็บพระกริ่งพิชัยสงคราม รุ่น ๑ เอาไว้ ๖ องค์ จากราคา ๑,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๔๔ เดี๋ยวนี้ในเว็บเขาแย่งกันประมูล สู้ราคากันถึง ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ บาทก็มี คนเขาอยากจะได้ แต่เจ้าของก็ไม่มารับเสียที แล้วจองไว้คนเดียวตั้ง ๖ องค์..!

สู้หญิง (ณญาดา ศราภัยวานิช) ไม่ได้นะ หญิงเขาประกาศชัดว่า ถ้าถึงเวลาแล้วไม่มารับ กลายเป็นของกลางไปเลย ถือว่าท่านตั้งใจสละทรัพย์เพื่อการบุญโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน"

ถาม : ในความเป็นพระทำอย่างนั้นได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระไม่ควร เพราะว่าตอนที่เขาจอง เขาตั้งใจอยากได้ของ เรามีหน้าที่อย่างเดียวก็คือ เก็บเอาไว้จนกว่าเขาจะมารับ

สมัยที่อาตมาทำหน้าที่อยู่ที่ศาลานวราชบพิตร วัดท่าซุง ที่นั่นจะมีตู้เก็บของโดยเฉพาะ เป็นตู้ ๕ ชั้น ข้าวของอัดแน่นเต็มตู้ ญาติโยมมาแต่ละคน เราก็จะบอกว่า "เมื่อคราวที่แล้วลืมข้าวของอะไรหรือเปล่า ? ให้ไปดูในตู้ ถ้าเป็นของโยมก็ช่วยรับคืนไปด้วย" บอกให้ไปดู แต่ของไม่เคยลดลงเลย ครั้งต่อไปก็มากขึ้นไปอีก..เยอะขึ้นอีก กระเป๋าถือบ้าง รองเท้าบ้าง ของใช้ส่วนตัวบ้าง

เถรี
30-01-2011, 00:15
ระเบียบของพระโดยตรงถือเป็นศีลเลยนะ พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้เลยว่า ข้าวของของญาติโยมที่ตกอยู่ในวัด พระต้องเก็บรักษาไว้จนกว่าเจ้าของจะมารับคืน ไปยึดของเขาเองเฉย ๆ จะโดนปาราชิก ขาดความเป็นพระโดยไม่รู้ตัว ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลย ถึงยังห่มเหลืองอยู่ก็ไม่นับว่าเป็นพระ

ถาม : แล้วถ้ามันนานมาก ?
ตอบ : นั่นนะสิ..นานมากเลย นานจนกระทั่งกระเป๋าบางใบขึ้นรา..! ตอนนี้ที่วัดท่าขนุน มีอยู่รายหนึ่งเขาลืมพระเลี่ยมทองเอาไว้ จนป่านนี้ก็ยังไม่มารับ เป็นพระเลี่ยมทององค์หนึ่ง พระเก่าราคาสูงด้วย แล้วก็มีเหรียญใหม่เอี่ยมอยู่เหรียญหนึ่ง

อีกรายหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์ มีแต่เงินล้วน ๆ ไม่มีหลักฐานอื่นอะไรเลย ก็ยังเก็บรออยู่จนถึงทุกวันนี้ ของใครถ้ารู้ตัวให้ไปทวงคืนก็แล้วกัน แล้วยังมีพระสำคัญที่ใช้ประจำตัวอีกองค์หนึ่ง เลี่ยมกรอบอย่างดีเลย นี่ทำหล่นไว้ที่หน้าถ้ำตอนงานออกนิโรธกรรมของครูบาเหนือชัย อาตมาเก็บเอาไว้รอเจ้าของอยู่เหมือนกัน

เถรี
30-01-2011, 00:19
ถาม : ท่านได้ศึกษาศาสตร์พยากรณ์มาบ้างหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : หัดดูอยู่ระยะหนึ่ง เป็นพวกเลข ๗ ตัว พอแม่นมาก ๆ ก็ต้องทิ้ง เพราะคนมากวนไม่เลิก ตอนแรกหลวงพ่อบอกให้ไปลอง ๆ ไว้บ้าง "ของเขาจริงนะ" ก็เลยลองดู ปรากฏว่าแม่นจริง ๆ ที่ว่าแม่นเพราะแรก ๆ เราก็ดูคนรอบข้างเราก่อน

เถรี
30-01-2011, 00:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรนั้น ส่วนใหญ่ที่เขาสร้าง เขาถือเคล็ดว่า สิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่าง ๆ จะโดนหยุดเอาไว้หมด สิ่งที่ไม่ดีจะมาไม่ถึงตัวเรา"

เถรี
30-01-2011, 00:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "อตีตํ นานวาคเมยฺย ไม่ควรที่จะครุ่นคิดถึงอดีต นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ไม่ควรจะฟุ้งซ่านไปถึงอนาคต ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ต้องอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นจึงจะรู้แจ้ง มีบอกไว้อยู่ในภัทเทกรัตตสูตร"

เถรี
30-01-2011, 14:05
ถาม : ไปเรียนมโนมยิทธิ แล้วเขาให้นึกภาพพระจุฬามณี แต่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ?
ตอบ : ให้เรากำหนดความรู้สึกทันทีเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตรงหน้าเราคือพระจุฬามณี แล้วความรู้สึกนั้นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ให้อธิบายไปตามความรู้สึกนั้น ถ้าเราเห็นมาก่อนบางทีก็เป็นอุปาทาน คือไปยึดเอาของเก่ามาตอบ ไม่เคยเห็นมาก่อนนั่นแหละ..จึงจะถูก

"ต้องเชื่อความรู้สึกแรก" พวกเรามักจะลืมคำสอนนี้ไป ความรู้สึกแรกเป็นอย่างไร ให้ตอบไปตามนั้นก่อน แรก ๆ ก็จะไม่เห็นภาพ แต่พอได้รับการยืนยันจากครูฝึกแล้ว ความมั่นคงของกำลังใจมีมากขึ้นเรื่อย ๆ สภาพจิตจะนิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ พอนิ่งไปถึงระยะหนึ่งภาพก็จะปรากฏขึ้นเอง พอมาถึงตอนนี้ก็จะเริ่มเสียอีก เสียตรงที่ว่า พอภาพปรากฏแล้วเราอยากจะเห็นให้ชัด เราก็จะไปเพ่ง

มโนมยิทธิเราต้องส่งจิตไปให้ถึงตรงจุดนั้น เราจึงจะเห็นสิ่งนั้นได้ ทันทีที่เราไปใช้สายตาเพ่ง เราต้องนึกถึงตา คือ นึกถึงร่างกายซึ่งเป็นการดึงจิตกลับมาสู่ร่างกาย ภาพนั้นก็จะหายไป กลายเป็นว่า ทันทีที่เราเห็นภาพ พอเพ่งจะให้ชัด ภาพก็หาย พอทำใจสบาย ๆ ภาพก็ปรากฏอีก พอเพ่งอีกก็หายอีก

บางคนจะติดอยู่ขั้นตอนนี้เป็นปี ๆ เลย จนกว่าจะทำใจได้ว่า ก่อนหน้านี้ถึงเห็นหรือไม่เห็น เราก็รู้ได้ถูกต้องแล้ว เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่างเถอะ ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ ภาพจะปรากฏอยู่ได้นาน แรก ๆ ต้องบ้าตามไปก่อน เขาไปทางไหนเราไปด้วย รู้สึกอย่างไรตอบไปตามนั้น กลับไปซ้อมใหม่..เอาให้เก่งให้ได้...

เถรี
30-01-2011, 14:09
ถาม : ตอนที่ฝึกมโนมยิทธิใหม่ ๆ ภาพที่เห็นไม่มีความสว่าง แต่เป็นสีทึบ ๆ ไม่สว่าง เป็นเพราะว่าวิปัสสนาของเราไม่เพียงพอใช่ไหม ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่างด้วยกันคือ ถ้าสภาพจิตยังหยาบอยู่ก็จะเห็นอย่างนั้น หรือไม่ก็ใจเราชอบอย่างนั้น ก็จะเห็นอย่างนั้น ความเคยชินของจิตยังไปยึดของเก่าอยู่ ในเมื่อไปยึดของเก่าอยู่ก็ยังเห็นเหมือนเดิม

ถาม : ถ้าเราใช้การอธิษฐานให้ภาพสีทึบนั้น เปลี่ยนเป็นประกายพรึกจะได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ให้ทดลองอธิษฐานตรงนั้นเลย ถ้ากำลังจิตสะอาดพอก็จะสว่างขึ้น หรือไม่ก็ให้พิจารณาวิปัสสนาญาณตอนนั้นเลย ให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าสภาพจิตยอมรับอย่างแท้จริง ก็จะสว่างแจ่มใสขึ้นเอง

เถรี
30-01-2011, 22:48
ถาม : อย่างการพิจารณาธาตุสี่ ถ้าเราไม่เคยฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาก่อน ไม่ได้มโนมยิทธิมาก่อน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีจิต เราคือจิต ?
ตอบ : อย่างเวลาโดนตีแล้วเราก็เจ็บ โดยธรรมชาติต้องคิดว่าเป็นเราอยู่แล้ว..ใช่ไหม ? ในเมื่อปัญญาเราไม่ถึง เราก็จะยึดว่าร่างกายนี้เป็นเราตั้งแต่แรกแล้ว เพิ่งจะเกิดมา แค่กินไม่ได้อย่างใจ ก็ขัดใจแหกปากร้องไห้จ้าแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องอื่นอะไรเลย

ถาม : ทำไมเราไม่คิดว่า จิตเกิดจากการที่มีพวกสารเคมีมารวมตัวกัน พอเราตายไป สารเคมีที่เป็นจิตก็ตายไปด้วย ?
ตอบ : เพราะว่าปัญญาที่รู้แจ้งหรือวิปัสสนาที่จะเห็นอย่างชัดแจ้งไม่มี ยังโดนอวิชชาหรือความมืดมิดบดบังอยู่ เราจึงจำเป็นต้องอาศัยแสงแห่งพระธรรมที่พระพุทธเจ้าสาดส่องมาให้ ขับไล่อวิชชาให้ถอยไป จะได้เห็นความเป็นจริง คิดอย่างที่คุณว่ามาก็ได้ แต่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

ความจริงแล้ว เรายึดตั้งแต่ก่อนที่จะมาเกิดอีก เพราะถ้าไม่ยึดเราก็ไม่ต้องมาเกิด ลองไปไล่ปฏิจจสมุปบาทดู อวิชชาปัจจะยา สังขารา เพราะว่าอวิชชา คือ ความไม่รู้หรือรู้ไม่หมด จึงทำให้เกิดการปรุงแต่ง สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง เมื่อเกิดการปรุงแต่ง ก็เกิดประสาทรับความรู้สึกขึ้นมา

วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง ในเมื่อมีประสาทรับความรู้สึก เราจะลอยอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ได้ จึงต้องมีนามรูปเป็นเครื่องอาศัย นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง ในเมื่อมีนามรูปก็ต้องประกอบด้วยอายตนะ ก็คือ เครื่องสำหรับรับรู้รับสัมผัส ภายใน ๖ ภายนอก ๖ ภายใน ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายนอก ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส ในเมื่อมีอายตนะก็ต้องมีสัมผัส ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจครุ่นคิด ผัสสะปัจจะยา เวทะนา ในเมื่อรับสัมผัสเข้ามา ก็จะเกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ หรือ เฉย ๆ ความสุขความทุกข์ก็เกิดขึ้น หรือความไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดขึ้น

เถรี
30-01-2011, 23:00
เวทะนาปัจจะยา ตัณหา ในเมื่อเกิดความรู้สึกชอบใจขึ้นมาก็คือกามตัณหา เลือกแต่ที่ตัวเองชอบก็เป็นภวตัณหา ผลักไสในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็เป็นวิภวตัณหา

ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง ในเมื่อมีความอยากทั้งดีและไม่ดี คำว่าอยากดี ก็คืออยากตามสภาพ อยากไม่ดี ก็คือไม่อยากเป็นไปตามนั้น ซึ่งก็คือความอยากนั่นเอง ทำให้เกิดอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น ยึดแล้วเกิดอะไร ? อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ก็เกิดภพคือที่เกิด พอยึดรากก็งอกลงไปแล้ว จึงต้องมีที่ให้เกิด

ภะวะปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีที่เกิด ก็ต้องเกิด ชาติปัจจะยา ชะรามะระณังโสกะปริเทวะทุกขโทมนัสสุปายาสา เกิดมาก็แก่ ทุกข์โศกร่ำไร เศร้าโศกเสียใจ ปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกระทั่งไม่ชอบใจ เป็นต้น

ถ้าเราไล่ตามปฏิจจสมุปบาท เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรามา เพราะความไม่รู้ของเรานั่นแหละ ทุกอย่างจึงได้เป็นอย่างในปัจจุบัน ขณะนี้เราก็ยังรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง และไม่รู้เสียมากกว่า เราก็จะไปสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนแล้วเราไม่รู้จักคิดเอง ? ก็เพราะว่าความมืดบอดของดวงปัญญายังมีมากอยู่ อวิชชายังบดบังอยู่ เราเสียท่ามาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว จะไปคิดอะไรได้ทัน..!

ถาม : ถ้าตอนนี้เราเห็นว่า เกิดความอยากและไม่อยากเกิดขึ้น จำเป็นที่จะต้องสาวกลับขึ้นไปขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : จะสาวกลับไปก็ได้ หรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร แล้วเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตก็จะถอนออกมาเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้มาสายพุทธภูมิโดยตรง ไม่ต้องไปไล่รายละเอียดขนาดนั้นก็ได้

แค่คบร่างกายนี้ชาติเดียว ต่อไปไม่เอาอีกแล้วก็พอ นาน ๆ อาตมาถึงจะพูดของยากเสียที ปกติขี้เกียจอธิบายปฏิจจสมุปบาท เพราะคนอธิบายเองก็ยังเข้าใจไม่ชัดเลย..!

เถรี
30-01-2011, 23:11
ถาม : แค่ฟังก็รู้สึกว่าไกลเหลือเกินครับ
ตอบ : อาตมาขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดละเอียดไม่ได้ ถ้าพูดละเอียดก็สามวันสามคืน เอาแค่ผิว ๆ พอให้เข้าใจว่ามีที่มาที่ไปอย่างนี้

จริง ๆ แล้ว ถ้าเราจะเอาอีก ก็ยังมีอดีตเหตุและปัจจุบันผล อดีตเหตุ คืออวิชชาที่พาให้เราเกิด ปัจจุบันผล ก็คือเรื่องของตัณหา ความทะยานอยาก

ปัจจุบันเหตุ ก็คือตัณหาและอุปาทาน ทำให้เกิดอนาคตผล ก็คือชาติชรามรณะฯ ยิ่งคิดยิ่งละเอียด เสียเวลาคิด ไม่ใช่งานของเรา เป็นงานของพระพุทธเจ้า

ถึงเวลาที่เราไล่ปฏิจจสมุปบาท เราส่วนมากไล่ลงมาด้านเกิดอย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องมีการไล่ย้อนกลับให้ไปด้านดับ ในเมื่อเราเลิกเกิด--->ภพก็ไม่มี เพราะเราไม่เอา ในเมื่อไม่มีภพ--->ตัณหาตัวอยากก็ไม่มี..ไล่ไปจนถึงท้ายสุด แม้แต่อวิชชาก็ไม่มี ขึ้นหน้าแล้วต้องถอยหลังเป็นด้วย

อย่างวันก่อนที่อธิบายว่า ไม่รู้จักพระนิพพานแล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไรว่าพระนิพพานมีจริง ? ก็ในเมื่อเราไล่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าไม่มีแล้ว ก็ต้องไล่ย้อนกลับมา สิ่งที่เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ก็มีอย่างแน่นอนคือพระนิพพาน แค่นี้ก็จบแล้ว เพียงแต่ว่าปัญญาต้องถึง ถ้าปัญญาไม่ถึงก็จะไปยึดเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม

เถรี
31-01-2011, 00:28
ถาม : แล้วอารมณ์ใจที่อยากในการทำความดี กับอารมณ์ใจในการอยากทำความชั่ว อารมณ์อยากสำหรับผมคือลักษณะการกระเพื่อมของจิต ซึ่งบางครั้งผมก็รู้สึกว่าการตัดก็เหมือนกัน เพียงแต่ตัดอันนี้แล้วไปทำความดี ตัดอันนี้แล้วไปทำความชั่ว เราต้องหยุดทั้งคู่ ?
ตอบ : สมมติข้าวสารกระสอบหนึ่ง เราแบกเพื่อไปไว้ยังที่หมาย อย่างเช่นเถ้าแก่สั่ง เราใช้กำลังเท่าไรในการแบก ? กับข้าวสารกระสอบหนึ่งที่เราแบกโดยการขโมยมา เราใช้กำลังเท่าไรในการแบก ? ก็ใช้กำลังเท่ากัน เพียงแต่เราจะใช้ไปทางไหนเท่านั้นเอง

แรก ๆ ก็ต้องละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด เว้นทั้งดีทั้งชั่วแล้ว ไม่เอาทั้งสองอย่าง รู้ว่าดีก็ทำเพราะโลกนิยมว่าดี รู้ว่าชั่วก็ละเพราะโลกเขาไม่นิยมสรรเสริญ

ถาม : แต่การที่ใจสั่งในการทำความดีหรือทำความชั่ว ก็ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ
ตอบ : แน่นอน ต่อให้สร้างความดีก็ต้องทุกข์ ต้องเหนื่อย ต้องตะเกียกตะกายทำเช่นกัน

เถรี
31-01-2011, 00:32
ถาม : แล้วทำไมคนถึงชอบทำความชั่วมากกว่า ?
ตอบ : เพราะเราสะสมความชั่วมานับชาติไม่ถ้วน ทำให้มีความชำนาญมากกว่า ความชั่วล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราปรารถนาทั้งนั้น มารเขาวางบ่วงที่เราชอบไว้ทั้งนั้น ถึงขนาดฝังไว้ในดีเอ็นเอเลย

เพราะเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว การกิน การนอน การสืบพันธุ์ พอถึงเวลาก็จะถูกผลักดันโดยสัญชาตญาณ ให้ตะเกียกตะกายไปหามา พอไม่สามารถจะหามาสนองความต้องการของตนเองได้ ก็เพิ่มความพยายามมากขึ้น คราวนี้จะถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรมหรือไม่ถูกศีลธรรม ก็อยู่ที่หิริโอตัปปะของเราแล้ว

อย่างวันแรกที่อธิบายว่า ถ้ายังเป็น ปริยุฏฐานกิเลส ก็แค่คุกรุ่นอยู่ในใจ แต่ถ้าละเมิดศีลละเมิดธรรมเมื่อไร จะเป็นวีติกมกิเลสทันที

เถรี
31-01-2011, 00:35
ถาม : อย่างการพิจารณาตัวกายคตาหรืออสุภะ เราพิจารณาโดยใช้จินตนาการของเราเองในการพิจารณา กับการที่เราเห็นภาพของจริง ทั้ง ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกัน การยอมรับของใจกับภาพที่เห็น ทำไมจึงมีความแตกต่างกันครับ ?
ตอบ : จินตนาการเราได้แค่ภาพ แต่ถ้าของจริง ได้รูป รส กลิ่น ครบเลย..!

ถาม : อย่างภาพในอินเตอร์เน็ตกับภาพศพจริง ก็หน้าตาเหมือนกัน ?
ตอบ : ความชัดเจนยังไม่พอ โดยเฉพาะไม่มีกลิ่นให้เป็นที่รังเกียจ ยกเว้นว่าคุณเป็นประเภทสุดยอดทิพจักขุญาณ หรือในอดีตฝึกกสิณมา อย่างนั้นความชัดจึงจะได้เท่ากันกับของจริง จะรู้สึกรังเกียจพอ ๆ กัน

เถรี
31-01-2011, 00:41
ถาม : การที่จิตเราสั่นสะเทือน เกิดขึ้นตอนไหน ?
ตอบ : การสั่นสะเทือนของจิต เริ่มตั้งแต่เริ่มรับรู้ น่าจะต้องไปดูในพระอภิธรรม ท่านอธิบายไว้ว่า สภาพจิตของเราเหมือนกับแมงมุมที่อยู่กลางใย พอสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบอายตนะ ก็เหมือนกับแมลงลงมากระทบใยแมงมุม ใยแมงมุมเกิดการสั่นสะเทือน แมงมุมจึงรับรู้

ในเมื่อรับรู้แล้วก็กำหนดว่า มาจากทิศไหน ? เป็นอะไร ? ย่องเข้าไปดู จนจับเหยื่อได้ ใส่ปากเคี้ยวกิน ลิ้มรสเสร็จเรียบร้อย แล้วกลับเข้ามารออยู่ที่เดิม ก็คือ อาการทุกอย่างที่จิตไปเสวยสิ่งที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับเข้ามา เพราะฉะนั้น..ต้องเกิดสัมผัสสั่นสะเทือนขึ้นมาก่อน จึงจะรับรู้ได้

เถรี
31-01-2011, 00:46
ถาม : วันนั้นฝันว่าตกลงมา ตอนแรกใจก็สะเทือน พอคิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจก็นิ่งกลับเข้ามาใหม่ จึงเห็นว่าการที่ใจเราสั่น ก็เหมือนกับอาการเวลาที่เกิดความอยากในการทำบุญ หรืออยากในการทำบาปก็ตาม เป็นลักษณะเดียวกัน ?
ตอบ : ก็ได้บอกไปแล้วว่า ถ้าลองว่าไปแบกข้าวสาร ไม่ว่าจะด้วยจุดมุ่งหมายอะไร ก็หนักเหมือนกัน

ถาม : จุดสำคัญจริง ๆ ก็คือ ต้องการให้หยุด หยุดการสั่น
ตอบ : หยุด ละ เลิกการนึกคิดปรุงแต่งในทุกอย่างก็จบ

เถรี
31-01-2011, 00:58
ถาม : ถ้าเราพิจารณาเห็นแล้วว่า...... (ไม่ได้ยิน) ไม่รู้ทำถูกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม ให้ดูอยู่อย่างเดียวว่า สิ่งนั้นใช้ในการตัดละกิเลสได้หรือไม่ ? นั่นคือเป้าหมายใหญ่ที่สุด

พอญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น เราคิดอะไรก็จะแตกฉานไปหมด แต่จะแตกแขนงกว้างออกไปเรื่อย ๆ โดยที่เราเผลอลืมไปว่า สิ่งที่เราคิดนั้น ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการตัดกิเลสเลย เราแค่เข้าใจสภาวะว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น เพราะฉะนั้น..คุณต้องนึกย้อนกลับมาอีกที ว่าตรงนั้นช่วยในการตัดกิเลสได้หรือเปล่า ?

ระวังไว้ว่า..จะเป็นแค่ญาณในอุปกิเลส คือรู้อย่างเดียว รู้กว้างออกไปเรื่อย ๆ แล้วหาจุดลงไม่ได้

ถาม : แต่ก็เห็นว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นะครับ
ตอบ : ขั้นตอนนี้เราต้องพิสูจน์ทราบด้วยตัวเองแล้วว่า เราสามารถเอามาใช้ตัดกิเลสได้หรือเปล่า ? ถ้าใช้ตัดกิเลสไม่ได้ ก็จบเห่..!

ระวังให้ดี..เวลาญาณเกิดขึ้น คิดอะไรก็เข้าใจแตกฉานไปหมด สร้างยานอวกาศได้เป็นลำเลย รู้ได้ขนาดนั้นจริง ๆ นะ..ขอยืนยัน

ถาม : แม้กระทั่งว่าเป็นญาณแยกแยะธาตุสี่ จนกระทั่งเรารู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่ยังไม่สามารถที่จะตัดกิเลสได้ทันที ?
ตอบ : ถ้าจิตเรายังไม่ยอมรับ ก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตยอมรับจริง ๆ ว่านี่ไม่ใช่ของเรา เกิดรังเกียจเต็มที ไม่เอาอีกแล้ว

เถรี
31-01-2011, 09:49
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกามราคะว่า "เมื่อครู่มีเรื่องที่น่าสนใจ ท่านผู้กำลังเป็นตำนาน เขาบอกว่า จากการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา สิ่งที่ไม่ดีอะไรก็ตาม สามารถใช้วิธีเลิกหักดิบได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เป็นบุหรี่ เป็นยาบ้า แต่ทำไมเรื่องกามราคะหักไม่สำเร็จ ? สงสัยจะหักผิดที่..! ถ้าหักถูกที่คงเลิกได้แล้ว

เรื่องอื่นเป็นสิ่งที่เราไปเสาะหาเข้ามาในชีวิต แต่กามราคะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่เบื้องลึกของจิตใจ ต่อให้ใจเราไม่ต้องการ สภาพร่างกายก็คอยบังคับ คอยกวนอยู่เสมอ ดังนั้น..วิธีแรกให้เลี่ยงมันก่อน

วิธีของหลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ รู้ว่ารบแล้วไม่ชนะแล้วอย่าไปรบ แต่ให้หลบ ท่านบอกว่า "รู้จักเป็นนักหลบเสียบ้าง อย่าเป็นนักรบอย่างเดียว" รบไปแล้วตาย ยังไปรบอยู่ถือว่าโง่..!

ในเมื่อหลบได้แล้ว เราก็เพาะสร้างกำลังของเรา คือ สมาธิให้ทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัว จะกดรัก โลภ โกรธ หลงให้นิ่งสนิทได้ชั่วคราว โดยเฉพาะกามราคะคือส่วนของรัก

ในเมื่อกดมันนิ่งได้ชั่วคราว เราก็ซักซ้อมตัวสมาธิให้คล่องตัว ให้คล่องตัวขนาดที่เราตั้งใจจะทรงสมาธิเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น คราวนี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันแล้ว

เหลือแต่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษว่า มันก่อทุกข์ก่อโทษ สร้างเวรสร้างภัยให้เราจนเกิดนับชาติไม่ถ้วนถึงปัจจุบันนี้ ควรที่จะพอกันทีหรือยัง ? ถ้าเราเห็นว่าควรที่จะพอกันทีแล้ว จิตก็จะเห็นว่า ควรจะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ถอนความต้องการตรงจุดนั้นออกมา

ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เราจึงจะชนะมัน ไม่ใช่ว่าจะไปใช้วิธีหักดิบ ไม่ถูกหรอก ยกเว้นหักถูกที่..! ความจริงเขาก็สงสัยถูก กำลังใจเขาเข้มแข็งมากนะ อยากจะเลิกอะไรเขาเลิกได้ทุกอย่าง แต่ทำไมเลิกราคะจึงเลิกไม่ได้"

เถรี
31-01-2011, 09:55
"เมื่อครู่ที่กล่าวถึงเรื่องของกามราคะว่า ถ้าหักถูกที่ก็จบไปแล้ว จริง ๆ ไม่จบนะจ๊ะ เพราะถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์จีนดู จะเห็นว่าบรรดาขันทีต่าง ๆ ที่โดนจับตัดอวัยวะเพศทิ้ง แต่กำลังผลักดันทางเพศ ก็เปลี่ยนไปในเรื่องบ้ายศบ้าตำแหน่งแทน

ท้ายสุดก็สะสมอำนาจ กลายเป็นซ่องสุมกำลังส่วนตัวบ้าง ควบคุมฮ่องเต้เพื่อบัญชาการให้ได้อย่างใจตนเองบ้าง เพราะฉะนั้น..เรื่องของอารมณ์ทางเพศ เป็นปกติของการเกิดมามีสภาพร่างกายอย่างนี้ ในเมื่อเรามีร่างกาย รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นสมบัติของร่างกายก็ต้องแสดงออกเป็นปกติธรรมดา

สำคัญตรงที่ว่า ทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปให้ความสนใจ ถ้าใจของเราไม่ไปร่วมมือนึกคิดปรุงแต่งด้วย ราคะก็จะไม่สามารถที่จะเจริญงอกงามได้ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า ถ้าลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วใส่น้ำเปล่ามาให้ ใครจะไปอยากกิน ? เพราะไม่เป็นรสเป็นชาติ แต่ถ้าเราไปเติมน้ำส้ม เติมน้ำปลา ใส่หมูสับ ใส่กระเทียม ใส่พริกไทย อะไรต่อมิอะไรลงไปเยอะแยะ ยิ่งใส่ก็ยิ่งอร่อย เราก็อยากกินไม่เลิก

ดังนั้น..สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะรัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ว่าจิตเราไปร่วมปรุงแต่งด้วยหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าหยุดการปรุงแต่งได้ ดังที่บอกแล้วว่า อวิชชาปัจจะยา สังขารา อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ การปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ปรุงแต่งเสียอย่าง กิเลสก็ไม่สามารถจะก้าวหน้างอกงามต่อไปได้ ก็จะโดนตัดจบลงแค่นั้น"

เถรี
31-01-2011, 10:03
ถาม : อย่างนี้การที่เราเห็นว่าคนนั้นสวย แล้วไม่ได้คิดต่อ เป็นสักแต่ว่าเห็นหรือยัง หรือที่เห็นว่าสวยเราปรุงไปแล้ว ?
ตอบ : ปรุงแต่งไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเห็นว่าสวยก็ไปไกลแล้ว หยุดไม่ทันหรอก ต้องสักแต่ว่าเห็น ไม่ได้ไปคิดว่าสวยหรือไม่สวย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เป็นของเราดีหรือไม่ ต้องไม่มีการคิดแบบนี้ ถ้ามีเมื่อไรแสดงว่าไม่ทัน โดนกิเลสจูงจมูกไปแล้ว ถ้าเกินกว่านั้นราคะก็จะกำเริบ

ถาม : อย่างสมัยก่อนที่ท่านทำ ท่านใช้กำลังของสมาธิ หรือใช้อะไรจัดการ ?
ตอบ : ใช้หลาย ๆ อย่าง บางทีสมาธิก็ไม่เอาเลย บางครั้งเราทรงสมาธิต่อเนื่องกันเป็นเดือน ๆ เหมือนกับเราชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม จนหม้อจะระเบิด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปได้ ถึงขนาดต้องขออนุญาตหลวงพ่อนั่งรถทัวร์มากรุงเทพฯ

ไม่ได้มาทำอะไรหรอก นั่งรถมาถึงกรุงเทพฯ พอลงที่สถานีขนส่งหมอชิต (เก่า) ก็สั่งอาหารมาฉัน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถกลับ ออกจากวัดประมาณแปดโมงกว่า มาถึงหมอชิตก็ราว ๆ เพล แค่ให้สภาพจิตพ้นไปจากความเคยชินเดิม ๆ ในทุกวัน พอได้มองฟ้ามองดิน เห็นทุ่งนาเขียว ๆ จิตก็เริ่มผ่อนคลาย จึงเริ่มภาวนาได้ใหม่

ไม่อย่างนั้นเหมือนกับแบตเตอรี่ที่เต็มจะระเบิดอยู่แล้ว สมัยนั้นยังต้องใช้วิธีนี้ช่วยเลย ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เปลี่ยนสถานที่บ้าง เพื่อไม่ให้จิตของเราคุ้นชิน

ที่พระท่านจำเป็นจะต้องธุดงค์ ส่วนหนึ่งก็คือว่า เพื่อไม่ให้จิตคุ้นชินกับสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง จนกระทั่งลดความแหลมคมลงไป ไม่อย่างนั้นถ้าเคยชินเมื่อไร จะนอนหลับสบาย ไม่อยากจะลุกขึ้นมาภาวนา แต่ถ้าเป็นสถานที่ไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า จิตเราจะตื่นอยู่ตลอดเวลา

เถรี
31-01-2011, 13:59
ถาม : เรื่องกามราคะ มีบทความเขาเขียนว่า สมอไทยเป็นผลไม้ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติให้เป็นยา เพราะว่าสมอไทยบำรุงทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว คือ ไม่บำรุงกำหนัด นอกจากไม่บำรุงแล้วยังลดอีกด้วย
ตอบ : ดูท่าจะไม่จริง เพราะอาตมาก็ฉันมาหลายหาบแล้ว..! ในเรื่องของสมอ พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้เป็นยาถ่าย ถ้าร่างกายหมักหมมนาน ๆ แล้วไม่ถ่าย บรรดาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จะเกิดขึ้นง่าย พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติให้ฉันสมอ เห็นว่าเจตนาเดิมเพื่อเป็นยาถ่าย

มีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าผู้หญิงซึ่งมีกายวิภาคต่างกับผู้ชาย จะเป็นด้วยหรือเปล่า ? ก็คือ ถ้าท้องผูกอุจจาระแข็ง ก็จะไปเบียดท่อปัสสาวะให้ระคายเคือง แล้วอวัยวะเพศของผู้ชายจะตื่นตัวได้ง่าย

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า อวัยวะเพศจะตื่นตัวด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ

๑. ปวดอุจจาระ
๒. ปวดปัสสาวะ
๓. โดนบุ้งคัน
๔. โดนลมพัด
๕. โดนกระตุ้น

เพียงแต่ว่าจิตของท่านไม่ได้มีความต้องการทางเพศ แต่เป็นไปโดยอัตโนมัติตามประสาทร่างกายเท่านั้น

เถรี
31-01-2011, 14:04
เพราะฉะนั้น..กายวิภาคของผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน ถ้าท้องผูกไม่ได้ถ่ายบ่อย อาจจะกลายเป็นว่า ไปกระตุ้นให้อวัยวะเพศให้ตื่นตัวได้ง่าย คราวนี้ก็เจริญ..! กว่าจะระงับลงได้ บางทีก็ต้องเดินจงกรมกันเป็นวัน

อย่างหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ลูกศิษย์ท่านบอกว่า จะไม่เขียนเรื่องพวกนี้ในประวัติของท่านได้ไหม ? หลวงปู่ชาบอกว่า "ถ้าไม่เขียนก็ไม่ต้องเขียนเลย ถ้าจะเขียนก็เขียนให้เขารู้เลย ว่าของจริงเป็นอย่างไร" ท่านบอกว่าถึงขนาดท่านนุ่งผ้าตามปกติไม่ได้ ทันทีที่กระทบผ้าอวัยวะเพศก็แข็งตัวเลย ท่านต้องตลบผ้าสบงพันเอวแล้วก็เดินจงกรม ต้องสู้กันถึงขนาดนั้น

เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กว่าที่ครูบาอาจารย์จะสู้ผ่านมาได้ แล้วมาเป็นครูบาอาจารย์ให้เรากราบ ให้เราไหว้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่ดีมีสุข หรือปราศจากบาดแผลมาก่อน แต่ละท่านยับเยินมาจนกระทั่งเย็บกันชนิดที่เข็มหลง เข็มหลง ก็คือ ไม่รู้จะเย็บไปทางไหน แผลซับแผลซ้อนเต็มไปหมด

ถาม : ถ้าเกิดว่าบาดแผลน้อยแสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ?
ตอบ : ต้องให้เยินกว่านี้หน่อย ตอนนี้ยังเยินไม่พอ..!

เถรี
31-01-2011, 16:35
เรื่องกามราคะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหาร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพิสูจน์มาแล้ว ท่านบอกว่า ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะอาหาร แต่จริง ๆ แล้ว สำคัญที่สุดก็คือใจ ถ้าใจไม่ปรุงแต่ง กามราคะก็เกิดไม่ได้

ท่านบอกว่าท่านฉันเจ มังสวิรัตินะ..ฉันอย่างชนิดที่ยิ่งกว่าเจทั่ว ๆ ไป ก็คือ เขี่ยเอาแต่ผักอย่างเดียว ฉันโดยไม่บอกใคร บางวันหาผักไม่ได้จริง ๆ ท่านก็เอาหัวหอมจิ้มน้ำปลา ฉันแบบนั้นอยู่สามปี ท่านว่านอกจากกามราคะจะไม่ลดลงแล้ว ยังงอกงามเป็นปกติอีกด้วย

ท่านจึงได้มั่นใจว่า ไม่ได้เป็นที่อาหาร แต่เป็นที่ใจปรุงแต่ง อาตมาถึงได้บอกว่า รัก โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะกามราคะเป็นสมบัติของร่างกาย สำคัญว่าจิตใจของเราไปนึกคิดปรุงแต่งหรือเปล่า ? ถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งด้วย ไม่มีใครไปให้ความร่วมมือ ราคะก็เฉาอยู่ตรงนั้น อย่างเก่งก็อยู่ได้ไม่นาน ส่วนใหญ่แล้วเราไปช่วยคิด จินตนาการล้ำเลิศไปเป็นช่องเป็นฉาก กว่าจะรู้ตัวก็ลูกสามลูกสี่เข้าไปแล้ว..!

เถรี
31-01-2011, 16:41
ถาม : ถ้าเกิดว่าเราไปเห็นคน แล้วเรารู้สึกว่าเขาน่ารัก แต่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เป็นการปรุงแต่งหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นการปรุงแต่งไปตั้งนานแล้ว เพราะสติกับปัญญายังไม่ทัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลายปีเต็มทีแล้ว หลังจากที่อาตมาไปอยู่ทองผาภูมิ ตอนนั้นยังต้องนั่งรถเมล์เพื่อที่จะมารับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์ จึงต้องออกจากทองผาภูมิตั้งแต่เช้า พอออกตั้งแต่เช้า จึงเห็นนักเรียนกำลังจะไปโรงเรียน เดินมาเป็นแถว

เด็กผู้หญิงวัยรุ่นบางคนหน้าตาแจ่มใส น่ารักจริง ๆ เลย ความรู้สึกก็ไปคิดว่า "เออ..เด็กนี่น่ารักดีนะ" พอคิดแค่นั้นเอง ภาพอสุภกรรมฐานเก่า ๆ ที่เคยฝึกไว้ก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าแทน จากที่เห็นว่าน่ารักก็เลยเกือบจะอาเจียน ยังดีว่าห้ามไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นเรื่อง

ถ้าราคะก็ต้องแก้ด้วยอสุภกรรมฐานและกายคตาสติ ถ้าโทสะต้องแก้ด้วยพรหมวิหารสี่หรือวรรณกสิณสี่ ถ้าโลภะก็ต้องแก้ด้วยทานบารมีและจาคานุสติ ต้องซ้อมเอาไว้ให้คล่อง ถึงเวลาจะได้ช่วยป้องกันเราได้ทัน

คราวนั้นเท่ากับอสุภกรรมฐานมาช่วยชีวิตอาตมาเอาไว้เลย เพราะเผลอตัวจริง ๆ ไม่ได้คิดไปในเรื่องกามราคะเลย แต่ใจไปคิดแล้วว่าเด็ก ๆ หน้าตาเขาแจ่มใสน่ารักดี เหมือนกับชื่นชมเขาเฉย ๆ โดยที่ไม่รู้ว่า นี่คือส่วนหนึ่งของราคะ ตอนนั้นจิตเราปรุงไปแล้ว โดยสติกับปัญญาตามไม่ทัน แต่อสุภกรรมฐานเขารู้ เขาเป็นคู่ศึกกันอยู่ พอเห็นคู่ต่อสู้ก็โดดเข้าใส่เลย

เถรี
31-01-2011, 16:43
:4672615: เก็บตกเดือนมกราคมหมดแล้วค่ะ :4672615:
โชคดีที่ไม่ถึง ๑๑ หน้า :msn_smilies-11: