PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓


เถรี
08-12-2010, 14:49
พระอาจารย์กล่าวถึงคนที่ไว้ผมปิดหน้าปิดตาว่า "ถ้าใครไปหาหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า (หลวงพ่อพระมงคลไชยสิทธิ์) แล้วไว้ผมปิดหน้าปิดตา ท่านจะด่าตรงนั้นเลย ท่านบอกว่าเป็นคนแท้ ๆ แต่ปิดหน้าปิดตาเป็นสัตว์ไปได้ สัตว์มันตัดผมไม่เป็น..!

โดยเฉพาะตำราจีน เขาถือว่าหน้าผากเป็นทางชีวิต ถ้าทางชีวิตโดนปิดบัง ทำอะไรก็ไม่สะดวก ดังนั้น..เราจะเห็นรูปคนจีนสมัยก่อน โดยเฉพาะผู้หญิง เขาจะถอนผมบริเวณหน้าผากจนโล่งไปเลย"

เถรี
08-12-2010, 15:05
ถาม : ช่วงนี้พอเบื่อมาก ๆ แล้ว ถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่าขี้เกียจเบื่อ ก็เลิกเกาะ พอปล่อยแล้วก็โล่ง พอใช้ชีวิตไปสักพักก็จะมาเบื่อใหม่
ตอบ : เพราะนั่นไม่ใช่การใช้ปัญญาปล่อยวางก้าวข้ามจริง ๆ ในส่วนที่จะเป็นปัญญาปล่อยวางจริง ๆ จะเห็นว่า ธรรมดาของทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น..เราไปหาคำว่าธรรมดาให้เจอ ธรรมดาของเขาเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาก็ต้องเจออย่างนี้ ถ้าเกิดอีกก็จะเป็นอย่างนี้อีก ถ้าเราเห็นคำว่าธรรมดาต่อไปก็จะสบาย

ถาม : ถ้าเกิดอยู่ดี ๆ ก็ว่างขึ้นมา ก็ให้ดึงเข้ามาเบื่อใหม่ ?
ตอบ : ตอนแรก ๆ อย่าให้ความเบื่อนี้หายไป ถ้าหายไปกว่าจะได้ใหม่ก็อีกนาน อันดับที่สอง ก็คือ มองให้ลงตัวธรรมดาให้ได้ ถ้าเห็นธรรมดาแล้วกำลังใจยอมรับ ก็จะปล่อยวางไปเอง

ถาม : แต่ก็ไปเองนะคะ ไม่ได้นึกอยากจะเลิกเบื่อ เหมือนกับว่าเต็มที่แล้ว ไม่ยอมต่อแล้ว ก็ปล่อยเลย
ตอบ : นั่นแหละ..เพราะเราไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้ปล่อยวางได้ กลายเป็นว่าพอถึงเวลาแล้วกำลังก็ตกลงมา หรือไม่ก็มีบางส่วนที่เราก้าวข้ามไปได้ แต่ยังไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริง ก็จะรู้สึกเบาลงมาหน่อย แล้วเดี๋ยวก็จะวนกลับไปพายเรือในอ่างใหม่อีก

เถรี
08-12-2010, 15:12
ถาม : หนูกำลังหาหนี้ใส่ตัวด้วยการซื้อบ้าน เห็นว่าปีหน้าน้ำจะท่วม เลยชะลอการซื้อไปก่อน
ตอบ : ไปซื้อที่ไหน ?

ถาม : ซื้อแถวประชาชื่น แต่แถวนั้นไม่เคยน้ำท่วม
ตอบ : จะช้าจะเร็วน้ำก็ท่วมกรุงเทพฯ เพราะปัจจุบันนี้กรุงเทพฯ ก็ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้เขาป้องกันดีอยู่ เนื่องจากเป็นเมืองหลวง

ถาม : ห้ามซื้อในกรุงเทพฯ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจะซื้อ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องสองชั้นขึ้นไป จะได้มีหลังคาเผื่อให้ตะกายหนีน้ำได้บ้าง..!

เถรี
08-12-2010, 15:47
ถาม : การทำบุญทุกอย่างเป็นจาคะหรือไม่คะ ?
ตอบ : เป็นจาคานุสติและเป็นทานบารมีด้วย

เถรี
08-12-2010, 16:30
ถาม : เวลาเราทำสมาธิ ทำอย่างไรจะขึ้นไปถึงฌานแบบละเอียดได้ ?
ตอบ : อย่าอยาก ถ้าอยากจะไม่ได้ กำลังฌานทุกระดับต้องมีตัวอุเบกขาอยู่ ก็คือตัวเอกัคตารมณ์ ถ้าไม่มีตัวอุเบกขาจะก้าวไปไม่ถึง ความอยากไม่ใช่อุเบกขา ถ้าหมดอยากเป็นอุเบกขาเมื่อไรก็จะไปเอง เพราะฉะนั้น..แค่หมดอยากก็จะง่ายขึ้น

ถาม : หรือหนูเข้าวิปัสสนาเร็วไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตกลงว่า ที่ตอบไปนี่ไม่ได้ฟังใช่ไหม ?

ถาม : แล้วอารมณ์ที่ปฏิบัติไปยังมีติด ?
ตอบ : นักปฏิบัติทุกท่านมีอุปสรรคอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าให้ใช้ความพยายาม ขณะเดียวกันก็พยายามในส่วนของศีล สมาธิและปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งดี จะหนุนให้อีกอย่างดีขึ้นไปด้วย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าทุกอย่างพร้อม สิ่งที่ควรจะก้าวข้ามก็จะข้ามได้ สิ่งที่ควรจะสำเร็จก็สำเร็จ ถ้าทำไปถึงระดับจริง ๆ ญาณเครื่องรู้จะปรากฏขึ้น จะบอกเองว่าเราทำอะไร ไปถึงไหนแล้ว

ถาม : ตอนนี้ที่เป็นนั้นจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : จริงหรือไม่จริงก็อย่าเชื่อ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามกติกาต่อไป เพราะถ้าเราเชื่อว่าจริงและเป็นไปตามนั้นก็เสมอตัว แต่ถ้าไม่จริงและไม่เป็นไปตามนั้น แล้วเราไม่พยายามปฏิบัติต่อก็จะเสียประโยชน์ไป

ถาม : การปฏิบัติของหนูในช่วงนี้ควร..?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ แล้วจะหมดปัญหา ถ้ามัวแต่ถามอยู่จะมีปัญหาไม่รู้จบ..!

เถรี
08-12-2010, 17:17
ถาม : หนูขยายพื้นที่ด้านหลังบ้าน มีศาลร้างอยู่ ก็เลยต้องรื้อออก เราต้องสร้างศาลใหม่หรือไม่คะ เพราะที่เดิมมีศาลพระภูมิอยู่แล้ว ?
ตอบ : ถ้ามีศาลอยู่แล้วก็ไม่ต้องสร้างใหม่ แต่ก่อนรื้อต้องจุดธูปบอกกล่าวท่านก่อน

ถาม : ทิศของศาลพระภูมิมีผลต่อผู้อาศัยกี่เปอร์เซ็นต์คะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นทิศของตัวบ้านจะร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ถ้าเป็นทิศหน้าศาลแทบจะไม่มีเลย ยกเว้นว่าบูชาสะดวกหรือไม่สะดวกเท่านั้น

เถรี
08-12-2010, 20:33
ถาม : จุดชี่กงอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : ชี่กงเป็นพลังในร่างกาย ไม่ใช่จุด

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่า รวมพลังลมปราณไว้ที่จุดชี่กง ?
ตอบ : ไม่ใช่จุดชี่กง แต่เป็นจุดชี่ไห่ ชี่ไห่แปลว่าทะเลลมปราณ

ถาม : ลมปราณหน้าตาเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมาในร่างกาย โดยปราศจากรูปร่าง แต่สามารถสัมผัสได้ จัดเป็นรูปในนาม

ถาม : เป็นธาตุลมไหมคะ ?
ตอบ : เป็นธาตุลม

ถาม : ถ้าจะฝึกวิชาทารกบริสุทธิ์ ?
ตอบ : วิชาทารกบริสุทธิ์ต้องฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ

ถาม : ถ้าภาวนาโสตัตตะภิญญา ถือว่าเป็นกำลังภายใน ?
ตอบ : ไม่ใช่ อภิญญาเป็นกำลังใจ กำลังสมาธิ แต่กำลังภายในเป็นกำลังจากอวัยวะภายใน

อวัยวะภายใน ๕ อย่างที่เป็นหลัก ๆ ก็คือ หัวใจ ปอด ตับ ม้าม ไต จะเป็นแหล่งพลังงานที่เขาถือว่าเป็นตัวแทนธาตุ ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง โดยเฉพาะตับที่เป็นแหล่งพลังงาน เขาถือว่าเป็นธาตุทอง

ถาม : ธาตุไม้ละครับ ?
ตอบ : ธาตุไม้ไม่มี ธาตุทั้ง ๕ นี้มีทั้งหนุนเสริมกันเองและหักล้างกันเอง อย่างธาตุน้ำจะหนุนเสริมให้เกิดธาตุลม เราจะเห็นว่ามีแหล่งน้ำที่ไหนจะต้องมีลมพัดที่นั่น ธาตุลมจะไปหนุนเสริมธาตุไฟ ถ้าหากว่าลมแรง ไฟก็ลุกใหญ่ ธาตุดินกำเนิดธาตุไม้ เพราะต้นไม้กำเนิดจากดิน เพราะฉะนั้น..ถึงไม่มีธาตุไม้แต่อาศัยธาตุดินทดแทนก็ได้

เถรี
09-12-2010, 06:32
ถาม : เซียนในความหมายของจีน คือ?
ตอบ : เซียนของจีน ส่วนใหญ่หมายถึงบุคคลที่ได้อภิญญา แต่ขณะเดียวกันก็มีพระอริยเจ้าด้วย ถามว่าพระอรหันต์ใช่เซียนหรือไม่..ใช่ แต่เซียนทุกองค์ใช่พระอรหันต์หรือไม่..ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น..คำว่าเซียนส่วนใหญ่ของจีนหมายถึงผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติ

ในประวัติของโป๊ยเซียนอ่านแล้วรู้สึกตลกมาก เพราะที่มาที่ไปของบางคน ไม่น่าจะมาอยู่ร่วมกันได้ ในโป๊ยเซียนมีผู้หญิง ๑ คน มีครึ่งชายครึ่งหญิง ๑ คน มีปิศาจค้างคาว ๑ ตัว ที่เหลือเป็นคนทั่วไป

ปิศาจค้างคาว ก็คือ อชคราทิเปรต เป็นเปรตในร่างสัตว์ เขาใช้คำอธิบายว่า ดูดกลืนพลังจากดวงจันทร์มาสามพันปี สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ เอากระดาษมาตัดเป็นรูปลา เสกน้ำมนต์พ่นใส่ก็กลายเป็นลาจริง ๆ แต่มักจะขี่ลาโดยการหันหลังให้ เพราะเขาตั้งใจจะสื่อปริศนาธรรมให้คนทั่วไปคิด เกี่ยวกับการทวนกระแสโลก

ส่วนครึ่งชายครึ่งหญิงก็คือ น้าไช่ฮั้ว

เถรี
09-12-2010, 06:36
พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่มาถามว่าจะปฏิบัติตามหลักอะไรดี ? "พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไตรสิกขา สิ่งที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติศีลให้ยิ่ง อธิจิตตสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติจิตให้ยิ่ง อธิปัญญาสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติโดยปัญญาให้ยิ่ง นี่เป็นหลักสูตรของพระพุทธศาสนา ถ้าอยู่ในกรอบนี้ใช้ได้ทั้งนั้น

โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ต้องบอกลูกศิษย์อยู่แล้ว อธิศีลสิกขา สิกขิตตัพพา อธิจิตตสิกขา สิกขิตตัพพา อธิปัญญาสิกขา สิกขิตตัพพา อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ บวชเสร็จเมื่อไร พระอุปัชฌาย์ต้องบอก"

เถรี
09-12-2010, 06:46
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=9086&stc=1&d=1291852690

พระอาจารย์เล่าให้ัฟังว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ เกิดขึ้นได้เพราะขบวนการก่อการร้ายที่มีหลวงตาวัชรชัยเป็นหัวหน้า ตอนช่วงนั้นหลวงตาวัชรชัยท่านเป็นพระพี่เลี้ยง คอยดูแลพระใหม่ ถ้าอาตมาจำไม่ผิด ตอนนั้นตัวเองได้พรรษาที่ ๒-๓ ส่วนท่านอาจารย์สมปองเพิ่งบวชเข้ามา

ปรึกษากันว่าสมัยหลวงพ่อเคยจัดงานนิมนต์พระสุปฏิปันโนให้ลูก ๆ ได้ทำบุญ ในเมื่อพ่อทำตัวอย่างไว้แล้ว พวกเราน่าจะทำกันบ้าง แต่ไหน ๆ ก็จะทำแล้ว เราควรจะหาทุนก้อนหนึ่ง ถวายให้หลวงพ่อเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระท่านบ้าง

พอมาคิดพิจารณาดูแล้ว ในเรื่องของการก่อสร้างท่านมีไม่ขาด เพราะพระและเทวดาท่านสงเคราะห์กันเป็นปกติ เราก็ควรที่จะเอาในเรื่องของกองทุนภัตตาหารพระ เพราะวัดท่าซุงขยายใหญ่ไปเรื่อย จำนวนพระเณรจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราหาจำนวนเงินก้อนนี้มาได้ ก็ถวายท่านฝากธนาคารในชื่อกองทุนภัตตาหารพระ พอนานไปดอกผลมีมากก็เบิกเอามาใช้ในการเลี้ยงภัตตาหารพระเณรในงานต่าง ๆ ได้

คิดว่าวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือ สร้างวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่ง แล้วนิมนต์พระสุปฏิปันโนมาพุทธาภิเษกเป็นการเฉพาะ และจะได้กราบขอให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญแก่ลูกหลานหลวงพ่อด้วย ตอนนั้นคิดรายชื่อกันเป็นการใหญ่ว่าจะนิมนต์ใครบ้าง

ส่วนในเรื่องวัตถุมงคล หลวงตาก็ปรารภเรื่องที่แม่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เคยบอกว่า พวกเราเป็นหนี้บุญคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้ากันมาก อย่างไรเสียก็ช่วยทำรูปท่านให้ปรากฏขึ้นในโลกนี้เพื่อเป็นที่บูชาให้ได้ จึงตกลงกันว่าจะหล่อองค์ท่านด้วยเงินแท้ จะหล่อทองคำก็ไม่ไหวเพราะหน้าตักท่านใหญ่ประมาณ ๓๐ นิ้ว"

เถรี
09-12-2010, 08:15
"พวกเราช่วยกันร่างแบบขึ้นมา เหล่าบรรดามโนมยิทธิตาดีต่างก็มาสุมหัวรวมกัน สรุปว่าหน้าตาท่านเป็นแบบไหน แล้วก็ร่างแบบออกมาเป็นแบบนี้ หลังจากนั้นคณะทำงานก็นำทีมเข้าไปกราบหลวงพ่อ ขออนุญาตสร้างโดยบอกว่าจะทำอะไรกันบ้าง

หลวงพ่อเมตตาอนุมัติและติติงแก้ไขแบบ เพราะพวกเราสร้างท่าน โดยองค์ท่านนั่งและมีรัศมีออกมาเป็นรูปของกลีบบัว หลวงพ่อท่านบอกว่า เอาเป็นลอยองค์ธรรมดา ไม่ต้องมีตรงกลีบบัวนั้นก็ได้

พอประกาศงานได้สองวัน โยมก็ช่วยกันบริจาคเงินและทองเข้ามามากมาย เพราะว่าวัตถุมงคลที่ทำจะมีเหรียญทองคำ เหรียญเงิน เหรียญชุบทอง คนที่เขามีทองก็ถวายทองเข้ามาสร้างเลย โดยขอให้เขาได้คืนไปสักเหรียญหนึ่ง

ช่วงประกาศตัวงานสองวันได้เงินเข้ามาสี่แสนกว่าบาท และทองอีกหลายสิบบาท อาตมาก็เห็นว่าความสำเร็จมีแน่ ถ้าทำตามนี้ ราคาวัตถุมงคลตามตัวเลขหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะเหลืออยู่ที่ ๒๔ ล้านบาท

วันที่สามหลวงพ่อมีหนังสือสั่งระงับเรื่องเพราะทำให้แตกความสามัคคี ก็คือ มีผู้หวังดีปรารถนาดีไปพูดในลักษณะว่า พวกนี้จะหาเงินใส่กระเป๋าตัวเองกัน"

เถรี
09-12-2010, 09:55
"เราจะเห็นว่าหลักการทำงานของหลวงพ่อก็คือ ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ท่านจึงรับโครงการนี้ไปทำแทน ปรากฏว่าการสร้างพระ หลวงพ่อให้ช่างประเสริฐเป็นคนทำ ช่างประเสริฐบอกว่าไม่มีแบบ หลวงพ่อท่านจึงให้ทำแบบพระพุทธรูปทั่วไป แล้วให้ทำสัญลักษณ์ที่ต่างจากพระพุทธรูปธรรมดา

ถ้าใครอยากเห็นว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ารุ่นแรกหน้าตาเป็นอย่างไร ให้ไปดูองค์ใหญ่ที่อยู่หน้าวิหารร้อยเมตร ลักษณะเหมือนพระพุทธรูปแต่เกศด้านหลังจะแยกแฉกออกมาหน่อย ทำให้ดูว่าต่างจากพระพุทธรูปนิดเดียว ดูแทบไม่ออก

แต่ในเรื่องมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านเป็นปรมาจารย์ เรื่องความชัดเจนท่านเหนือกว่าเราจนนับไม่ได้อยู่แล้ว พอมีเวลาท่านก็เลยให้ช่างทำใหม่ ครั้งแรกที่ทำ ก็คือ สร้างขึ้นมาเพื่อให้สมกับเจตนาญาติโยมที่ตั้งใจบริจาคมาเพื่อสร้างพระอย่างเดียว ไม่รับวัตถุมงคล แต่พอระยะเวลาผ่านไป ท่านก็ทำให้เหมือนกับรูปแบบที่ท่านเห็น จึงได้ออกมาเป็นองค์ใหญ่ที่มณฑปหน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร

จะว่าไปแล้ว กลายเป็นพวกเราสร้างเรื่องเดือดร้อนให้หลวงพ่อโดยใช่เหตุ หลังจากที่ระยะเวลาผ่านไปแล้ว มานั่งวิเคราะห์กันว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดเรื่องขึ้นมา สรุปได้ว่า เพราะคณะกรรมการชุดนั้นเป็นพระใหม่เกือบหมด"

เถรี
09-12-2010, 10:28
"ในเมื่อเป็นพระใหม่เกือบหมด ก็มีสองอย่าง อย่างแรกมองโลกในแง่ดี พวกนี้ทำไม่สำเร็จหรอก อย่างที่สองของการมองโลกในแง่ร้าย พวกนี้คงจะหาเงินเข้ากระเป๋า

เมื่อมีเรื่องขึ้นมา หลวงพ่อจึงสั่งระงับไป ปัญหาใหญ่เกิดขึ้น ก็คือ พวกเราต้องควักกระเป๋าเพื่อโอนเงินคืน โอนเงินคืนคนที่เขาโอนมาแล้ว คนไหนให้ข้าวของมาก็ต้องไปไล่คืนทีละคน โดยแจ้งเขาว่าโครงการนี้ระงับแล้ว ถ้าจะทำให้ไปถวายกับหลวงพ่อโดยตรง มีหลายคนที่แจ้งความจำนงว่าถวายแล้วไม่รับคืน พวกเราจึงต้องไปถวายหลวงพ่อกันเสียเอง ตอนไปก็ต้องทำตัวลีบ ๆ เข้าไป..กลัวโดนด่า

เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างเดียวว่า รูปพระปัจเจกในลักษณะวัตถุมงคลหลวงพ่อท่านไม่ได้สร้างไว้เลย ที่สร้างไว้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดองค์ ๓๐ นิ้วต้นแบบ ซึ่งอาตมาเป็นเจ้าภาพ ถวายให้วัดพุทธไชโยที่หัวหิน ลักษณะเหมือนพระพุทธรูป แต่เกศมีแยกออกมานิดหนึ่ง จะเป็นเปลวรัศมีเส้นเดียวที่แยกออกมาเอง ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้

และองค์หน้าตัก ๔ ศอกที่หน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร หลังจากนั้นก็เป็นองค์ใหญ่ ๘ ศอกที่เห็นนี้ และองค์เล็ก ๓๐ นิ้วที่เอาไว้ให้เขาปิดทอง สร้างแค่นี้เองในยุคนั้น

อาตมายังตั้งใจอยู่เหมือนเดิม ไว้มีเวลาจะหล่อด้วยเงินแท้ องค์ประมาณ ๓๐ นิ้ว เพราะที่หลวงตาท่านสร้าง ก็กลายเป็นทองคำ ๙ นิ้วไปเสียได้ ในเมื่อพี่ไม่ทำ น้องก็ทำเสียเอง"

เถรี
09-12-2010, 11:26
"จริง ๆ แล้วพระเศียรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นลักษณะเดียวกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ปฏิมากรรุ่นหลัง ๆ เขาไปใส่เปลวพระรัศมีให้ ในลักษณะแทนดวงปัญญาอันรุ่งโรจน์ ก็เลยกลายเป็นลักษณะของพระเกศไป

เราจะเห็นว่า ในพระวินัยของพระ ห้ามภิกษุทำจีวรเท่าพระสุคต ถ้าหากจีวรเท่าของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ดี พระนันทะก็ดี และพระมหากัจจายนะก็ดี เวลาที่แยกกันไป คนจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฉะนั้น..เราสามารถสรุปได้เลยว่า ความจริงพระพุทธเจ้าก็มีพระเศียรเหมือนลักษณะของพระภิกษุทั่วไป

พระนันทะเป็นลูกพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ ส่วนพระอานนท์เป็นลูกอา ทั้งสองเป็นพุทธอนุชาก็เลยมีหน้าตาเหมือนกับพระพุทธเจ้า ส่วนพระมหากัจจายนะท่านสร้างบารมีมาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งบารมีใกล้จะเต็มแล้ว ก็เลยมีมหาปุริสลักษณะหลายอย่างที่ทำให้คนเห็นว่าเหมือนพระพุทธเจ้า

เวลาบิณฑบาต แต่ละองค์ไปช้าเร็วต่างกัน คนก็ตำหนิเอาว่าสมณะรูปนี้มักมากจริง มาแล้วมาอีก พระพุทธเจ้าจึงให้ตัดเย็บจีวรไม่เท่ากัน คนจะได้แยกออก ส่วนพระมหากัจจายนะตัดสินใจเปลี่ยนรูปร่างตัวเองไปเลย"

เถรี
09-12-2010, 12:36
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ความจริงการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่วัดก็เป็นเรื่องดี เพราะทำให้ได้ถนนมาด้วย ถ้าเขามาตั้งเสาไฟ เขาต้องตั้งเสาด้านที่เราคิดจะขยายถนนพอดี ซึ่งเวลาขยายถนน เราต้องเอาต้นไม้บางส่วนออก เนื่องจากต้นไม้พร้อมที่จะล้มฟาดสายไฟ จึงต้องรื้อต้นไม้เสียตั้งแต่บัดนี้

อย่างแรก ต้องไปตกลงกับบรรดารุกขเทวดาก่อน ตกลงกันว่า ให้ท่านย้ายไปอยู่ที่เสาอาคารตั้งพระชำระหนี้สงฆ์แทน ส่วนทางด้านนี้เราขอรื้อ จะพยายามรื้อให้น้อยที่สุด ต้นไหนที่เว้นได้ก็จะเว้นให้ พอตกลงกันได้ รถแบ็กโฮลก็เริ่มถล่มป่า อาตมาก็ไปเดินดูอยู่ตลอด ช่วงนั้นไม่มีปัญหา

พอรุ่งเช้าติดงานบวชพระ เมื่อบวชพระเสร็จ ปรากฏว่าต้นไม้ล้มทับรถไปเรียบร้อยแล้ว คนขับบาดเจ็บเล็กน้อย ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าใช้ตัวบุ้งกี๋ของรถจัดการดันให้ต้นไม้ล้มเหมือนต้นอื่น ๆ แต่ต้นนี้ไม่ล้มไปข้างหน้า กลับหักกลางฟาดตูมลงมาที่รถเลย อาตมาก็สงสัยว่าคุยกับรุกขเทวดาแล้วทำไมถึงยังเป็นอย่างนี้อีก

ปรากฏว่าอาตมาลืมไป เขาบอกว่าอาคารสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าสร้างพระแล้วเขาต้องลงมาแบกับดิน เพราะถ้าเขาอยู่เสาก็จะสูงกว่าพระ นี่คือความไม่รอบคอบของอาตมาเอง เขาจึงไม่อยากจะย้าย แต่ไม่ทันได้คุยกันเพราะอาตมามัวแต่บวชพระอยู่ เขาก็เลยจัดการเล่นคนรื้อไปเสียก่อน

ปกติถ้าเราผลักต้นไม้ ก็ต้องล้มไปข้างหน้า..ใช่ไหม ? แต่นี่ผลักแล้วไม่ล้มเหมือนต้นอื่น กลับหักกลางฟาดกลับมาใส่รถ..!"

เถรี
09-12-2010, 15:32
"บางทีการที่รู้อะไรมาก ก็ทำให้เดือดร้อนเหมือนกัน ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้รื้อไปเลย ให้เขาโกรธอยู่ฝ่ายเดียวก็หมดเรื่อง แต่ความจริงเทวดาโกรธไม่ได้ เพราะการหมดอายุของเทวดามีอยู่ตัวหนึ่ง คือ โกรธาพลขัย หมดอายุเพราะความโกรธ ไฟโกรธจะเผากายทิพย์ไปเลย และความโกรธอาจทำให้ลงข้างล่างได้ เพราะใจเศร้าหมอง

มีบางคนเขาถามว่า ทำไมเทวดาท่านไม่หักคอคนที่ตัดไม้ทำลายป่าเสียที ? ถ้าเป็นเรา รู้ว่าการทำร้ายคนเท่ากับแลกด้วยชีวิตตัวเอง เราก็คงไม่ทำหรอก

นอกจากนี้ ยังมีอาหารขัย หมดอายุเพราะหมดอาหาร อายุขัย หมดเพราะอายุ"

ถาม : นางไม้องค์นั้นที่เขาหงุดหงิด ลงมานั่งหน้ามุ่ย เขาโกรธเพราะ ?
ตอบ : ตอนนั้นอาตมาธุดงค์ไปอาศัยอยู่ใต้ต้นเขา เขาอยู่ข้างบนไม่ได้ ร่วงมากองกับพื้น เขาก็หงุดหงิดสิ...

ถาม : เขาโกรธแล้วไม่หมดอายุหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้โกรธถึงขนาดคิดทำร้าย แค่หงุดหงิดเพราะไม่ได้อย่างใจตัวเองเท่านั้น

เถรี
09-12-2010, 17:39
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการพยากรณ์มรรคผลว่า "นี่เป็นเรื่องแปลก เป็นส่วนที่อาตมากลัวและระมัดระวังอยู่ คนอื่นกลับเห็นเป็นของสนุก พยากรณ์กันไปเรื่อยเปื่อย คนฟังก็บ้าจี้เชื่อตามไปด้วย

เรื่องการพยากรณ์มรรคผล เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าโดยตรง เราไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะได้ไปพยากรณ์ผู้อื่น ใครพยากรณ์แทนพระพุทธเจ้าถือว่าผิดมารยาทละเมิดเบื้องสูง อาตมาเองก็ต้องระมัดระวังจนตัวลีบ ว่าจะไม่เผลอไปทำอย่างนั้นเข้า"

เถรี
09-12-2010, 19:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดในจัดสร้างพระบรมรูปในหลวง เขาหล่อแล้วจะเอาไปประดิษฐานที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ประเทศอินเดีย ทำให้อาตมาใจคอไม่ดี เพราะเท่าที่สังเกตมา บุคคลที่ทรงความดีสูง ๆ พอมีรูปแทนตัวแล้วมักจะไปเลย"

เถรี
09-12-2010, 20:15
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เหล่าเทวดานางฟ้าพากันมาสักการะพระเจดีย์ ท่านจะมาลักษณะเป็นหมวดหมู่ เป็นสีสัน ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามมาก มาเป็นชุด ๆ เป็นกลุ่ม ๆ บางกลุ่มก็เป็นร้อย บางกลุ่มก็เป็นพัน อาตมานึกว่ามีแต่ประเทศไทยเราที่แบ่งสีแบ่งฝ่าย จริง ๆ แล้วเทวดาเขาแบ่งแบบนี้มานานแล้ว..!"

ถาม : ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นพระธาตุส่วนไหนครับ ?
ตอบ : เป็นเครื่องใช้ของพระพุทธเจ้า มีไม้เท้า หม้อกรองน้ำ สังฆาฏิ เป็นต้น

ถาม : เป็นของใช้ของพระพุทธเจ้าองค์ไหน ?
ตอบ : เป็นของสี่พระองค์ที่ผ่านมา องค์หนึ่งก็จะให้ของใช้ไว้ชิ้นหนึ่ง

เถรี
09-12-2010, 20:20
พระอาจารย์กล่าวถึงนายฮ้อยว่า "วัฒนธรรมอีสานที่เผยแผ่ไปทั่วประเทศ เพราะคนอีสานเขาไม่ค่อยกลัวในการเปลี่ยนแปลง คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงจะไม่ค่อยกล้าไปที่อื่น หรือย้ายที่ทำกิน เป็นนิสัยรักการผจญภัยของเขาจริง ๆ

สมัยก่อน นายฮ้อยจะเป็นหัวหน้าคุมคาราวานวัวควายไปขายต่างบ้านต่างเมือง นายฮ้อยต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต เพราะขายได้ก็ต้องเอาเงินมาคืนเขา และตัวเองก็รับรางวัลในส่วนที่ควรจะได้ไป

นายฮ้อยต้องเป็นคนกล้าหาญ เพราะการเดินทางจะต้องผ่านป่าผ่านดง ผจญสิงสาราสัตว์ ตลอดจนภูตผีปีศาจและโจรผู้ร้าย และต้องมีวิชาความรู้ติดตัว เพื่อที่จะได้นำคณะฟันฝ่าให้รอดไปได้

สมัยก่อนใครเป็นนายฮ้อยย่อมเป็นที่นับถือของคนทั้งบ้านทั้งเมือง"

เถรี
09-12-2010, 20:30
ถาม : พวกนายฮ้อยเขาต้องมีวิชาอะไรบ้าง ?
ตอบ : ๑) วิชาการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นดาบหรือปืน

๒) คาถาอาคม เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

๓) ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศต่าง ๆ ที่จะไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดิน น้ำ หญ้า เพราะวัวควายไปด้วยเป็นร้อย ๆ ตัว ถ้าไม่รู้พื้นที่ สัตว์อาจจะอดตายได้ แค่จะหยุดให้กินหญ้ากินน้ำก็ลำบากแล้ว

๔) มีมนุษยสัมพันธ์ ไปไหนต้องมีเพื่อนฝูง มีเส้นสาย ต้องรู้จักว่าคนไหนค้าขายด้วยแล้วให้ราคายุติธรรม คนไหนจะมากดราคา

๕) มีความซื่อสัตย์ บางทีไปกันหลายเดือน วัวควายที่ไปตกลูกกลางทาง เขายังไม่ยึดเป็นของตัวเองเลย พอขายได้ก็ให้เจ้าของไป

ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่สมัยก่อนที่เขาทำได้เพราะเขามีสัจจะ เราจะเห็นว่าตัวสัจจบารมีตัวเดียวนี่แหละ ที่ทำให้คนประสบความสำเร็จมาก ในสมัยก่อนแม้กระทั่งพวกเสือปล้น เขาจะถือสัจจะต่อครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าผิดสัจจะเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จหรือถึงแก่ชีวิต สมัยนี้สัจจบารมีไม่ค่อยจะมีกัน

เถรี
09-12-2010, 21:11
ถาม : ผมมีบุญพอที่จะได้พบแร่เพรียงไฟไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาไปสี่ปียังไม่ได้เลย ขาดอยู่อย่างเดียวคือแร่เพรียงไฟ

เหมือนท่านลองใจ บอกว่ามีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอาตมาไปผิดที่ทุกที ทั้ง ๆ ที่ตอนเรียนวิชาทหาร อาตมาสอบได้ที่หนึ่งในวิชาแผนที่เข็มทิศ แต่เดินผิดที่ทุกทีเลย เป็นเรื่องแปลกมาก ขึ้นไปเราก็ว่าใช่แน่ แต่พอถึงเวลาตรวจสอบกลับไม่ใช่ทุกที

ถาม : น่าจะไม่ถึงเวลาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะประมาณนั้น เพราะถ้าเป็นระยะนี้ พวกนักการเมืองแสนดีเขาจะรวยแทน จะไม่ถึงมือประชาชนส่วนใหญ่

ถาม : แต่ถ้าทำเพื่อชาติละครับ ?
ตอบ : ใคร ๆ ก็ทำเพื่อชาติทั้งนั้นแหละ คุณไปถามนักการเมืองดูสิ..!

ถาม : จุดที่ผมไปขุดจะใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ลองดู..อาจจะใช่ ขนาดของอาตมาเขามายืนยันให้ ยังไม่ใช่เลย

ถาม : อยู่ที่ผาช่อใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่

ถาม : ต้องไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของน้ำตกหรือครับ ?
ตอบ : คุณหันหน้าเข้าหาผาช่อ เยื้องขวาหน่อยเดียว จะมียอดเขาเตี้ย ๆ สองยอด อยู่ยอดที่สอง อาตมาเล็งมาสามสี่ทีแล้ว ขึ้นผิดทุกที ไปขุดจนจอบหักยังไม่ได้อะไรเลย ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่าลึกเมตรเดียว ขุดจนจะฝังตัวเองตายก็ยังขุดไม่เจอ

เถรี
09-12-2010, 21:33
พระอาจารย์เอ่ยถึงดอกไม้มหาเสน่ห์ให้ฟังว่า "ดอกตะไคร้ อาตมาเคยเอามาใส่ตู้ให้เขาดูอยู่พักหนึ่ง เพราะหาได้ยาก จัดเป็นมหาเสน่ห์ในตัว พวกพ่อค้าแม่ค้าสมัยก่อนเอาไว้ช่วยในการค้าขาย

ดอกตะไคร้จะมีได้ก็คืนที่เกิดจันทรคราส ถ้าเกิดจันทรคราส บ้านใครมีต้นตะไคร้อยู่ให้ไปดู เผื่อว่าจะออกดอก ส่วนใหญ่พอได้มาเขาจะเอามาแช่ในน้ำมันหอม ถึงเวลาก็เจิมหรือพรมสินค้าด้วยน้ำมันดอกตะไคร้นี้

ส่วนว่านดอกทองที่อาตมารู้จัก เป็นว่านที่น่ากลัวมาก กลิ่นลอยไปถึงไหนก็ตะกายหาผัวหาเมียกันที่นั่น กระตุ้นยิ่งกว่าไวอะกร้าเสียอีก ถ้าว่านนี้เกิดขึ้นเหนือน้ำแล้วเกสรตกลงน้ำ พวกที่อยู่ทางท้ายน้ำคงไม่เหลือสักคน..!"

เถรี
09-12-2010, 22:16
ถาม : เรามีความรักความเมตตากับบุคคลคนหนึ่ง ก็ให้ความรักความเมตตาสงเคราะห์เขาตลอด จนถึงจุด ๆ หนึ่งที่มอบความรักความเมตตาแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าพอแล้ว และทันทีที่เกิดความรู้สึกว่าพอแล้ว อารมณ์ใจก็เกิดความนิ่งสงัด มีอารมณ์นิ่งเรียบเหมือนเป็นเส้นตรง ไม่เกิดอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น อารมณ์ที่เกิดนี้เป็นอุเบกขาได้หรือไม่?
ตอบ : ที่ว่ามาเกิดจากสองประการด้วยกัน ประการแรก เราก้าวถึงตัวอุเบกขาในพรหมวิหาร ประการที่สอง วาระที่เนื่องด้วยกรรมหมดแล้วพอดี

บางอย่างที่เราไปทำอย่างนั้นอาจจะไม่ใช่ความเมตตา แต่เกิดจากวาระกรรมที่เราต้องไปสงเคราะห์เขา คิดให้ดี ๆ นะ ตรงนี้ต่างกันมาก ถ้าหากเป็นตัวเมตตาในพรหมวิหารจริง ๆ จะมีตัวอุเบกขากำกับอยู่เสมอ คือ สงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยก็ตัวใครตัวมัน แต่ถ้ายังมีความผูกพันอันใดอันหนึ่งอยู่ ให้รู้เลยว่านั่นเป็นวาระกรรมมากกว่า

ดูตัวเองให้ดี ๆ ว่า ตั้งแต่ต้นที่ไปสงเคราะห์เขา พอสงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกครั้งเราสามารถปล่อยวาง ตัดทิ้ง ลืมไปได้เลยหรือเปล่า จนกว่าจะเจอหน้ากันใหม่และสงเคราะห์กันใหม่ไปตามวาระ ถ้าอย่างนั้นเกิดจากตัวเมตตาในพรหมวิหาร เพราะมีอุเบกขากำกับอยู่

แต่ถ้าถึงเวลาแล้วต้องไปคิดถึง พะวงอยู่ เขาจะเป็นอย่างนั้นไหม ? เขาจะเป็นอย่างนี้ไหม ? เราไม่ช่วยเขาต้องถึงตายหรือเปล่า ? ถ้าอย่างนั้นให้รู้ว่าเป็นเพราะวาระกรรมมากกว่า

ถาม : แบบนี้จะจบหรือคะ ?
ตอบ : จบไปเรื่องหนึ่ง ถ้าเคยสร้างกรรมไว้มาก เดี๋ยวก็มาอีกรอบ

เถรี
12-12-2010, 09:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา นักธรรมเขาออกสอบว่าเป็นคำพูดของใคร ?

เป็นคำพูดของพระรัฐบาลเถระบอกกับพระเจ้าอุเทน พระเจ้าอุเทนถามว่าพระรัฐบาลเถระว่าท่านออกบวชเพราะอะไร ? พระรัฐบาลบอกว่า ท่านเห็นโทษในโลกนี้ก็เลยบวช

พระเจ้าอุเทนตรัสว่า "โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน โยมก็พอเข้าใจ โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตนโยมก็พอเข้าใจ แต่โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา โยมไม่เข้าใจ"

พระรัฐบาลเถระกล่าวว่า "ถ้ามหาบพิตรได้ข่าวว่าอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร มีบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์มาก ประกอบไปด้วยทรัพย์สินมหาศาลและผู้คนจำนวนมาก แต่ไม่มีกองทัพเลย มหาบพิตรคิดว่าจะยกทัพไปตีเอามาเป็นข้าขอบขัณฑสีมาหรือไม่ ?" พระเจ้าอุเทนบอกว่าไป

นั่นแหละ...คือโลกยังพร่องอยู่ ไม่เพียงพอ ต้องไปหาเพิ่ม เพราะมีความอยาก คือ ตัณหาเป็นเครื่องนำไป

พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นท่านมีความฉลาดมาก ฟังแค่นี้ก็เข้าใจทันที"

เถรี
12-12-2010, 09:51
ถาม : ถ้าเราทำทานแล้วไม่มีพรหมวิหารสี่จะเป็นอย่างไร ? ถือว่าเราขาดเมตตาต่อตัวเองหรือเปล่า เพราะทำจนเกินตัว ?
ตอบ : คุณเข้าใจพรหมวิหารสี่แค่ไหน ? อย่าลืมว่าพรหมวิหารสี่มีอุเบกขาด้วย ถ้าคุณขาดอุเบกขาในเรื่องใดก็จะเละทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องทานอย่างเดียว

เรื่องทานที่คุณว่ามาไม่ใช่ขาดพรหมวิหาร แต่เป็นการขาดปัญญา ในเมื่อขาดปัญญาไม่รู้ว่าอะไรพอดี ก็ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน คุณต้องเข้าใจใหม่

ถาม : ศีลข้อลักทรัพย์ เราอาจจะไม่ได้ตั้งใจขโมย แต่เขาให้เราเกินมา แล้วเราตั้งใจเก็บเอาไว้ ก็ถือว่าผิด ?
ตอบ : ถ้าไม่มีเจตนาโทษก็ไม่เต็มอยู่แล้ว ทรัพย์นั้นมีเจ้าของ เจ้าของไม่ได้ให้ เราตั้งใจลัก เราลงมือลัก ลักได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นขโมยร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

ถาม : ศีลข้อกาเมฯ อยู่กินก่อนแต่งนี่ผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ผิดแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเช่นกัน

ถาม : ถ้าเราแต่งงานแล้ว จะถูกโดยอัตโนมัติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ถูก ถ้าตราบใดที่พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาตให้ ตราบนั้นยังผิดอยู่ ไม่ใช่วิ่งไปจดทะเบียนแล้วจบกัน ทางธรรมไม่ใช่อย่างนั้น

ถาม : ต้องไปสู่ขอให้เรียบร้อย ?
ตอบ : ไปสู่ขอให้ถูกต้อง ถ้าหากว่าอยู่กินกันก่อนแต่ง ตอนไปสู่ขอ ก็ขอขมาทางพ่อแม่ฝ่ายนั้นก่อน

เถรี
12-12-2010, 17:21
ถาม : ถ้ามีคนเขาบอกว่ากินเหล้าแก้วเดียว นอนอยู่บ้านไม่เดือดร้อนใคร เราจะให้เหตุผลแย้งเขาอย่างไร ?
ตอบ : เขื่อนมีรูรั่วแม้เพียงนิดเดียว ก็มีโอกาสที่จะทำให้น้ำดันออกมาและเขื่อนทั้งหลังพังทลายลงมาได้ สิ่งใดที่ทำแม้เล็กน้อย ก็เป็นความผิดเช่นกัน เหมือนกับเรากินยาพิษ จะกินมากกินน้อยตัวเราเดือดร้อนแน่ ถ้ามากได้ระดับก็ตาย ถ้าไม่มากก็อาจจะดิ้นทุรนทุราย

ถาม : ถ้าเรารักษาศีลโดยไม่มีพรหมวิหารสี่ ?
ตอบ : เป็นไปได้ยากมาก เพราะศีลต้องประกอบด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ เราต้องมีความรักความเมตตาเกิดขึ้นในจิตเรา เราจึงจะละเว้นการฆ่าได้ เราต้องมีความรักความเมตตาเขา จึงจะไม่ไปหยิบฉวยสิ่งของ หรือไปแย่งคนที่เขารัก เพราะฉะนั้น..ศีลทุกข้อต้องมีพรหมวิหารมาก่อน

ถาม : ถ้าเป็นตัวอุเบกขา ต้องผ่านเมตตา กรุณา มุทิตา มาก่อนหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องผ่านเยอะมาก จนกว่าปัญญาเกิดจึงจะอุเบกขาได้

ถาม : ไม่อย่างนั้นก็แปลว่าเราไม่สนใจชาวบ้าน
ตอบ : อย่างนั้นคือช่างหัวมัน แต่ไปวางไว้บนหัวคนอื่นแทน..!

เถรี
13-12-2010, 00:53
ถาม : อุปกิเลส ๑๐ กับอุปกิเลส ๑๖ ทำไมชื่อเหมือนกัน ?
ตอบ : อุปกิเลส ๑๖ เขาเรียกว่า มลทิน ๑๖ บาลีเขาเรียก มละ มลทินจะมีตั้งแต่ตระหนี่ มายา โอ้อวด เห็นผิด ฯลฯ ส่วนอุปกิเลส เขาหมายถึงอุปกิเลสในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาโดยตรง จะมีอยู่ ๑๐ อย่าง

คนละตัวกัน แต่มีคนไปตั้งชื่อหัวข้อว่าอุปกิเลส ทั้งที่บาลีเขาเรียกว่ามลทิน

ถาม : พอดีได้อ่านข้อความในเว็บไซต์ของท่านจิตโต ท่านเขียนไว้เรื่องการขาดพรหมวิหารสี่ว่า ถ้าขาดพรหมวิหารแสดงว่าโดนอุปกิเลสกินแบบเต็ม ๆ เลย ถ้าเราโดนต้องแก้ไขอย่างไร?
ตอบ : ต้องถามท่าน เพราะเป็นเรื่องที่ท่านพูดถึง ใครเป็นเจ้าของ เราถามตรงคนนั้น ท่านจะอธิบายได้ดีกว่า

ถาม : ถ้าเป็นตัวมานะ กรรมฐานคู่ปรับมีอะไรบ้าง ?
ตอบ : มานะเป็นสังโยชน์เต็ม ๆ เลย และเป็นสังโยชน์ชั้นสูงด้วย ต้องกำลังใจละเอียดมาก ๆ จึงจะคลำเจอและแก้ไขได้ ควรใช้มรณานุสติกรรมฐานให้เป็นปกติ รู้ตัวว่าต้องตายแน่อยู่เสมอ ในเมื่อต้องตายเหมือนกันแล้วจะเอาอะไรไปดีกว่าคนอื่นเขา

ถาม : การตัดกิเลส เคยฟังเทปของหลวงพ่อฤๅษี ท่านเปรียบกิเลสเหมือนกับช้างสี่ขา ถ้าเราตัดตัวไหนได้ก่อน ตัวอื่นก็จะเบาลงไป แต่เราควรจะทำตรงนี้ก่อนค่อยไปจัดการอุปกิเลส หรือควรจะจัดการอุปกิเลสก่อน ?
ตอบ : เวลาเราทำไปเรื่อย ๆ ปัญญาจะรู้เห็นว่าตอนนี้นิวรณ์ กิเลส หรือสังโยชน์ ตัวไหนที่เป็นอยู่เฉพาะหน้า เราก็แก้ไขตัวนั้น พูดง่าย ๆ ว่า สิ่งไหนโผล่มาตอนนั้นก็จัดการตัวนั้นก่อน เอาเรื่องเฉพาะหน้าเป็นหลัก

เถรี
13-12-2010, 01:06
ถาม : อย่างตัวผม ตัวโลภอาจจะตัดง่ายมาก
ตอบ : เราก็ตัดโลภด้วยการให้ทานไปเรื่อย ๆ พอตัวอื่นโผล่หน้ามาก็ต่อสู้ไปด้วยไป เพียงแต่ว่าต้องงัดกรรมฐานคู่ศึกมาดวลให้ทันก็แล้วกัน

ถาม : แต่พอทำไป รู้สึกว่าไม่สนใจคนที่บ้าน กลายเป็นว่าโดนกิเลสกิน เรานึกเสียใจ
ตอบ : มีอะไรให้เสียใจ ถ้าเราไม่ได้เริ่มทำเราอาจจะไม่มีปัญญารู้เท่าทันเลยก็ได้ แต่นี่เราทำไปแล้ว บารมีที่เราสั่งสมมาในทาน ในศีล สมาธิ ปัญญา ของเราก็เริ่มส่งผลให้เรามีปัญญา รู้เห็นว่าสิ่งนี้ยังไม่ดีจริง เราค่อยเอาไปปรับปรุงแก้ไข ถ้าไม่ได้ลงมือทำก็ไม่รู้ว่าผิดถูกอยู่ที่ไหน

ถาม : ตอนที่ทำทานไป ไม่ได้มีเมตตากรุณาเลย หวังจะตัดความโลภอย่างเดียว อานิสงส์จะมีไหมครับ ?
ตอบ : ในสิ่งที่เราทำ อันดับแรก ต้องมีปัญญาก่อน รู้ว่าดีเราจึงทำ อานิสงส์นี้ได้แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าจะเอาให้กว้างไกลขึ้น ก็ควรจะให้อยู่ในลักษณะของพรหมวิหาร มีเมตตากรุณา มุทิตา แล้วถึงจะมีอุเบกขา

พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำทั้งทีให้ได้มากที่สุด ลงทุนทำทั้งทีก็อย่าให้ได้บุญน้อย

เถรี
13-12-2010, 01:10
ถาม : ถ้าเราทำสมาธิแล้วเราไม่กำหนดลมหายใจ ไม่กำหนดภาพ ไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย จะถือว่าทำสมาธิหรือเปล่า หรือเรียกว่านั่งหลับตาเฉย ๆ ?
ตอบ : คงจะนั่งหลับตาเฉย ๆ ยกเว้นอย่างเดียวว่า มีความเคยชิน สามารถเข้าฌานระดับใดระดับหนึ่งได้คล่องมาก ถ้าอย่างนั้นเราสามารถจะดิ่งไปสู่ระดับนั้นได้เลย

แต่ถ้าเราไม่มีการกำหนดใด ๆ เลย ไม่มีทางที่จะทรงตัวเป็นสมาธิได้ เพราะจิตเราต้องคิดเป็นปกติ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

ถาม : หรือจะย้อนมาปฏิบัติเหมือนเดิม จับลมหายใจเหมือนเดิม ?
ตอบ : ลมหายใจเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกองเลย คุณจะทิ้งลมหายใจไม่ได้

ถาม : แล้วถ้านั่งสมาธิไม่เคยเห็นแสงสี ไม่เคยเห็นภาพ ?
ตอบ : ถือว่าโชคดีที่สุดในโลก ไม่อย่างนั้นคุณจะติดอีกเยอะ

ถาม : สังโยชน์ข้อรูปฌานกับอรูปฌาน เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ก่อน ?
ตอบ : ต้องทำให้ได้เพื่อความเป็นสุขของจิตเรา เพราะกำลังของฌานสมาบัติจะกดกิเลสให้นิ่งได้ก่อน เมื่อกิเลสสามารถที่จะนิ่งสงบลงได้ ปัญญาจะเริ่มเกิด จะทำให้เราเห็นว่า เราควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ถ้าเกรงว่าจะเป็นการติดในรูปฌานกับอรูปฌาน เราก็ใช้กำลังนั้นไปเกาะพระนิพพานแทน

ถาม : เหมือนเราคิดว่ารูปฌานก็ดี แต่เราอาจจะผ่านไปเกาะพระนิพพานแทน ?
ตอบ : ถ้าคุณผ่านไปเลยโดยไม่มีกำลังของฌาน คุณก็ตัดกิเลสไม่ได้ คนไม่มีกำลังจะไปแบกดาบแบกขวานขึ้นมาไหวได้อย่างไร จะมากจะน้อยก็ต้องมีกำลังของฌานอยู่บ้าง

เถรี
13-12-2010, 11:30
ถาม : ถ้าเราไม่รู้จักพระนิพพาน มโนมยิทธิก็ไม่ได้ ศีลสมาธิก็ไม่ค่อยดี เราจะไปนิพพานอย่างไร ?
ตอบ : อีกหลายชาติ ถ้าหากปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากสิ่งที่เราทำนั้นดี ทำถูกจริง จะสามารถสัมผัสพระนิพพานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจน เพราะอารมณ์พระนิพพานจะมาสัมผัสกับใจของเราเอง

เพราะฉะนั้น..บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสุกขวิปัสสโกไม่ได้รู้เห็นอะไรเลย แต่ทำไมมั่นใจหนักหนาว่านี่คือพระนิพพาน เราสามารถไปพระนิพพานได้ เพราะว่าพอทำถึงระดับหนึ่ง ก็จะสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง

จะเรียกว่าอุปกิเลสเกิดขึ้นก็ได้ ญาณเครื่องรู้บังเกิดขึ้น อุปกิเลสแต่ว่าใกล้กิเลส ยังไม่ใช่กิเลส จะใช่กิเลสก็ต่อเมื่อเราไปยึด

ถาม : ถ้าเราไหว้พระตอนเช้า ไหว้หลวงพ่อฤๅษี ขอหลวงพ่อว่าเวลาเราตายไป ขอหลวงพ่อเมตตามารับเรา
ตอบ : ขอได้ แต่เหมือนกับว่าคุณขออยู่ฝ่ายเดียว แต่คุณไม่เปิดประตูรับ ท่านจะมารับเราได้อย่างไร ? ต้องอาศัยกำลังใจของเรามีจุดเกาะที่มั่นคง หรือไม่ก็อาศัยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงว่าโลกนี้สภาพนี้ไม่มีอะไรดี แล้วเราต้องการสลัดตัดทิ้งไปเลย เราจึงจะสามารถไปได้

แต่ถ้าเราเอาแต่ขออย่างเดียว ไม่มีการดำเนินวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่จะไปได้ ก็รอไปอีกนาน

ถาม : บางทีเราฟังธรรมะเราก็พอเข้าใจ แต่พอเกิดขึ้น ก็ดับไป แต่ทำไมอารมณ์ตรงนี้จึงไม่ติดอยู่ในใจเรา ?
ตอบ : เพราะนั่นยังเป็นแค่สัญญา คือ จำได้เท่านั้น ยังไม่เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เข็ดกลัวและเบื่อหน่าย คลายกำหนัดแล้วปล่อยวาง ยังต้องทำอีกหลายขั้นตอน

เถรี
13-12-2010, 14:05
ถาม : เวลาเราคุยกับคนอื่น แล้วเรียกหลวงพ่อว่าหลวงพี่ ถือว่าเป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : แล้วแต่สะดวก สื่อให้รู้ว่าเป็นท่านเท่านั้นก็พอ

ถาม : พอดีผมอ่านเจอหนังสือนี้ ประโยคสุดท้ายเขาบอกว่า ติดรูปให้แก้ที่รูป ติดนามให้แก้ที่นาม หมายความว่า ?
ตอบ : จริง ๆ น่าจะไปถามคนเขียนท่านเองนะ

เรารู้เฉย ๆ อย่างเดียวก็ไม่เป็นไร แต่เรารู้แล้วไปปรุงแต่งด้วย ก็จะเป็นโทษหนัก อย่างเช่นติดรูป เราสักแต่ว่าเห็นเฉย ๆ โทษยังไม่เกิด แต่เราไปคิดเพิ่มเติมว่า สวย ไม่สวย ชอบ ไม่ชอบ ก็จะปรุงเป็นรัก โลภ โกรธ หลงขึ้นมา จึงต้องมีสติรู้เท่าทัน อย่าไปปรุงแต่งเพิ่มถึงจะแก้ได้

ส่วนนามก็คือเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ เป็นส่วนประกอบของร่างกายนี้แหละ แต่เป็นส่วนที่ไม่สามารถจะสัมผัสได้ แต่สามารถกำหนดรู้ได้ด้วยใจหรือด้วยปัญญา ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็แก้ไขตามลักษณะของใจ ก็คือใช้ปัญญาประกอบ อะไรเกิดขึ้นก็เพียงสักว่ารับรู้ไว้ แต่ไม่ไปปรุงแต่งด้วย สิ่งนั้นก็จะดับไปเอง

เถรี
13-12-2010, 14:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในความรู้สึกส่วนตัวของอาตมานั้น ตัดเมียง่าย แต่ตัดลูกยากกว่ามาก ไม่แน่ว่าผู้ชายทุกคนจะเป็นแบบนี้

เราลองนึกถึงพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ท่านมีพระชายาที่เป็นนางแก้ว คำแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่เคยทำให้สะเทือนใจ มีลูกหัวแก้วหัวแหวนที่เพิ่งจะคลอดวันนั้นเลย เพื่อประโยชน์และความสุขของคนหมู่มาก พระองค์ก็ยังอุตส่าห์ตัดใจไปได้

เพิ่งพูดไปเมื่อหลังเพลว่า มหาการุณิโก นาโถ พระผู้เป็นที่พึ่งซึ่งประกอบด้วยพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ หิตายะ สัพพะปาณินัง สร้างประโยชน์สุขแก่สรรพชีวิตทั้งหลาย

อย่างที่พระองค์ท่านตรัสบอกแก่พระภิกษุรุ่นแรกที่ส่งไปประกาศพระศาสนาว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายจงเที่ยวไป พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก

ไม่มีเพื่อตัวเองเลย เราจะเห็นได้ว่า ที่พระองค์ท่านยิ่งใหญ่ ท่านยิ่งใหญ่ด้วยความดีจริง ๆ ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น กินเนสบุ๊คได้บันทึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ ในฐานะบุคคลที่มีอนุสาวรีย์รูปเคารพมากที่สุดในโลก แค่ประเทศไทยประเทศเดียวก็นับไม่ถ้วนแล้ว ลองนึกถึงวีรบุรุษต่าง ๆ ของโลกดูสิ มีอย่างเก่งก็คนละแค่ไม่กี่รูป"

เถรี
13-12-2010, 16:49
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ที่กาญจนบุรีมีไม้กาหลงอยู่ต้นหนึ่ง อยู่บริเวณใกล้ ๆ กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว ตอนช่วงนั้นคนเขาก็สงสัยกัน เขาสงสัยว่าทำไมแถวนั้นนกตายเยอะจริง ก็คือ พอนกบินไปจับต้นไม้ตรงนั้นแล้วก็ไปไหนไม่ได้ จนกระทั่งอดตายไปเอง

ตอนหลังท่านอาจารย์บูรพา ซึ่งเป็นเจ้าของโรงลิเก และเป็นพระเอกลิเกด้วย เขาไปเจอแล้วเขารู้จักไม้ต้นนั้น เขาเลยใช้วิธีพลีต้นไม้ แล้วก็สร้างศาลขึ้นมาถวายให้ จากนั้นก็ขอเอาต้นที่เหลือไปทำเป็นวัตถุมงคล ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระครูวินัยธรบูรพา วัดถ้ำเสือดาว"

เถรี
13-12-2010, 17:05
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมามีมีดจ่าตุ่มอยู่เล่มหนึ่งเป็นเหล็กลาย ด้ามเป็นงาช้างค่อม ตอนนี้ยังเก็บไว้ใช้ส่วนตัวอยู่

ช้างค่อมเป็นช้างเล็ก ๆ ตัวใหญ่กว่าควายหน่อยเดียว สมัยก่อนภาคใต้แถวพัทลุง สงขลา จะมีมาก เมืองนครศรีธรรมราชก็ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองช้างค่อม"

เถรี
13-12-2010, 19:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยากให้ดูครอบครัวตัวอย่างในปัจจุบัน ก็คือ ครอบครัวคุณสมบัติ เมทะนี เราจะเห็นว่าเขาสามารถรักษาความดีสม่ำเสมอมาตั้งแต่ต้นยันปลาย ไม่มีอะไรเสียหายเลย

ส่วนอีกครอบครัวหนึ่ง ก็คือ ครอบครัวของคุณชรินทร์ นันทนาคร กับคุณเพชรา เชาวราษฎร์ มีคนถามคุณชรินทร์ว่า ในแต่ละวันต้องคอยดูแลภรรยาที่ตาบอดอยู่ตลอดเวลา ลำบากยากเข็ญขนาดนี้ ทำไมไม่หาคนใหม่เพื่อให้เขามาดูแลเราบ้าง ? คุณชรินทร์บอกว่า สมัยนั้นเขาแทบจะไม่มีความหวังเลย ในบรรดาหนุ่ม ๆ ที่ไปจีบคุณเพชรา เขามีคุณสมบัติด้อยที่สุด เพราะฉะนั้น..เขาต้องสู้ฟันฝ่าจึงจะได้มา ของที่ได้มายากขนาดนี้ เขาจึงเห็นคุณค่า ทิ้งไม่ลง

เพลงหยาดเพชร คุณชรินทร์เขาแต่งให้คุณเพชราโดยเฉพาะ "เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า หยาดเพชรเกล็ดแก้วแววฟ้า ร่วงมาจากฟ้าหรือไร.." เพลงสมัยก่อนเขาสวย เห็นภาพพจน์ ได้อารมณ์ก็ติดหูคน ไม่เหมือนสมัยนี้ บางทีตั้งใจฟังยังไม่รู้เรื่อง"

เถรี
13-12-2010, 20:28
ถาม : ในเรื่องการปล่อยวางนั้น จะมีความลึกเป็นระดับขั้น ๆ ใช่หรือเปล่า ? อย่างบางเรื่อง ณ ตอนนี้เราปล่อยมันแล้ว แต่พอไปถึงอีกจุดหนึ่ง เราจะรู้ว่าที่ปล่อยในครั้งนั้น ยังไม่ใช่จริง ยังมีความปล่อยที่มากกว่านั้นอีก จะเป็นอย่างนี้ไปอีกเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถูกต้องแล้วครับ..!

ถาม : มีโอกาสเป็นไปได้ไหม ที่เราปล่อยวางเรื่องนี้จนกระทั่งถึงจุดตันที่สุดของเรื่องนั้นแล้ว แต่ในเรื่องอื่น ๆ เรายังปล่อยได้ไม่ถึงที่สุด หรือว่าแท้จริงอารมณ์ปล่อยวางจะต้องเท่ากันหมดในทุกเรื่อง ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องเท่ากันทุกเรื่อง แต่ว่าในแต่ละเรื่อง บางทีความยินดียินร้ายและอารมณ์ปรุงแต่งบางส่วนของเรายังมีอยู่ จึงทำให้เราปล่อยได้ไม่เท่ากัน

ถาม : มาสังเกตว่า แค่บางครั้งตัวสมาธิเราพร้อม ตัวปัญญาและสติของเราก็มาพร้อม เหมือนกับมารวมตัวกัน ตรงนี้แค่เราบังคับให้อยู่ในอารมณ์สมาธิอย่างเดียวไปตลอด เราก็แค่ระวังป้องกัน หรือบางช่วงที่กิเลสยังไม่เข้า เราก็ต้องซ้อมของเราไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ซ้อมไปเรื่อย ๆ ดีกว่า สติ สมาธิ ปัญญา นั้น จริง ๆ แล้วมาพร้อมกัน แต่สมาธิจะเป็นตัวข้อกลางที่เชื่อมระหว่างสติกับปัญญาอยู่ ถ้าสมาธิทรงตัว สติตั้งมั่น ปัญญาก็เกิดได้ง่าย ถึงเวลาเราก็เอาสมาธิไว้ก่อน และซ้อมเข้าซ้อมออกให้คล่อง หลังจากนั้นก็ซ้อมในการสู้กับกิเลส

แรก ๆ ก็อาจจะเป็นการจินตนาการอะไรขึ้นมาก่อน หลังจากที่เรามีความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหาตามข้อกิเลสนั้น ๆ ถึงเวลาจริงก็จะแก้กิเลสได้ง่ายขึ้น จะเห็นช่องทางมากขึ้น

ถาม : บางทีหนูไปลิ้มรสของความรู้สึกที่ไม่มีอะไร พอรู้ว่าไม่มีอะไร เราก็ไม่คิดจะเอาอะไร กลายเป็นว่าสิ่งที่เราคิด พูด ทำ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ความเป็นตัวเองจะหยุดไปเลย
ตอบ : จะว่าไปแล้วก็คือ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ แต่ในส่วนของเราที่ว่ามา จริง ๆ แล้วจะอธิบายลักษณะอย่างนั้นได้ ในเมื่อเราเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ทั้งหมดที่เราทำไปก็สักแต่ว่าทำ แต่ทำในลักษณะที่รู้ว่าสิ่งนี้ดี โลกเขานิยมว่าดี เราก็ทำสิ่งนั้น แล้วสิ่งไหนที่ชั่ว คนส่วนมากเขาเห็นว่าไม่สมควร เราก็ละเว้นในสิ่งนั้น

โดยเฉพาะต้องดีของพระพุทธเจ้า และสิ่งที่ท่านว่าไม่ดี ถ้าเราทำดีของพระพุทธเจ้าและละในสิ่งที่ท่านว่าไม่ดีได้ โดยที่สักแต่ว่าทำ ก็กลายเป็นกำลังใจของเราจะก้าวเข้าสู่จุดสุดท้ายได้ง่าย

ถาม : อย่างสักแต่ว่าทำ เช่น ในเรื่องการปฏิบัติ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำตรงนี้ผลที่ได้คืออะไร แต่ไม่ใช่รู้ขณะช่วงที่เราทำเท่านั้น ก่อนที่เราจะทำหรือหลังที่เราทำ เราก็ไม่ได้คิดถึงผลตรงนั้น คือหยุดแค่ตรงนั้นอย่างเดียว
ตอบ : จ้ะ

เถรี
13-12-2010, 20:33
ถาม : อย่างอารมณ์พรหมวิหาร จะใช่ลักษณะอย่างนี้ไหมคะ ? คือ เราลดกำลังใจลงมาให้เท่ากับคน ๆ นั้น ก็ไม่เชิงลดกำลังใจ แต่เป็นลักษณะที่เราเข้าใจหัวอกของเขา เหมือนเรากับเขาเป็นคน ๆ เดียวกันเสียด้วยซ้ำไป พอเห็นอย่างนั้น ก็จะรู้ซึ้งและเข้าใจในความเป็นเขา ไม่แน่ใจว่า ตรงนี้ใช่พรหมวิหารหรือเปล่า ?
ตอบ : หลาย ๆ ส่วนรวมกัน เช่น มีทิพจักขุญาณร่วมด้วย ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ

ถาม : แสดงว่ามีตัววิปัสสนาเข้าไปช่วย ?
ตอบ : โดยเฉพาะมีตัวปัญญา รู้ว่าตรงไหนพอดีสำหรับเขา เราก็ทำ ไม่อย่างนั้นเขาต้องการเพียงแค่นี้ แต่เราให้มากเกินเขาก็รับไม่ได้

ถาม : เมื่อก่อนนี้มองไม่เห็นว่าการปรุงแต่งเป็นอย่างไร ตอนนี้มองเห็นทันแล้วค่ะ
ตอบ : การรู้เห็นนั้นไม่ใช่เห็นเฉย ๆ พอเห็นแล้วเราต้องหยุดตั้งแต่สาเหตุแรก กิเลสถึงจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราไม่ได้ ถ้าเราเห็นเฉย ๆ แล้วหยุดไม่ได้ บางทีก็ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิมอีก เหมือนกับคนไข้รู้ว่าเจ็บตรงนี้ แต่ก็ยังแก้ไขไม่ได้เสียที

ถาม : แปลกเหมือนกันว่า พอล้มทีไรก็ได้อะไรกลับมาทุกครั้ง
ตอบ : ต้องให้ได้อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นล้มแล้วเสียเวลาเปล่า ไม่ได้เก็บของเก่าเอามาเป็นบทเรียน โบราณเขาบอกว่าผิดเป็นครู เพราะฉะนั้น..ก็เอามาเป็นครูเพื่อแก้ไขตัวเรา แต่ถ้าผิดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เป็นศาสตราจารย์..!

ถาม : อย่างเมื่อก่อนเวลาเราทำอานาปานสติ เราไม่ได้ไปอะไรมาก แค่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราควรทำเพื่อให้สมาธิรวมตัว แต่พอมาตั้งว่า ๒ วันนี้ เราจะเอาแต่อานาปานสติ คือจะเล่นตัวอนุสติไปเรื่อย ๆ กลับแปลกตรงที่ว่า เราตั้งใจจะเอาอานาปานสติเหมือนเดิมก็จริง แต่อารมณ์กลับต่างจากเมื่อก่อน คือ เราทำอานาปานสติก็จริง แต่เราก็เห็นว่าเราทรงอารมณ์อานาปานสติ เหมือนกับตัวอานาปานสติมีอยู่รอบตัวเราตลอด นี่คือ..?
ตอบ : นั่นเป็นสิ่งที่เราทำได้แล้ว แค่มาทบทวนใหม่ โดยการกำหนดเวลาเท่านั้นเอง เมื่อทวนบ่อย ๆ ก็จะเกิดความชำนาญ ทำให้สังเกตอารมณ์ใจได้มากขึ้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมาก แต่บางทีรู้มากไปก็ลำบาก รู้มากก็ยากนาน ยิ่งรู้ก็ยิ่งยาก ไปเจอคนรู้น้อยก็จะพลอยรำคาญไปด้วย

เถรี
14-12-2010, 10:45
ดู ๆ ไปแล้วจะเห็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า ท่านมอบสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้แก่เรา เราจึงได้มีอาวุธไว้ใช้ในการต่อสู้กับกิเลส ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ ถึงแม้ยังเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ไม่แพ้อย่างน่าอนาถนัก

ส่วนใหญ่แล้วเราไปแพ้อย่างน่าอนาถ ฉะนั้น..ถ้าเรามั่นคงในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจริง ๆ จะมากจะน้อยผลก็เกิดขึ้น ถึงแม้ไม่สามารถจะช่วยคนอื่นได้ อย่างน้อย ๆ ก็สามารถรักษาตนเองได้ ถ้ารักษาตัวเองได้นี่ถือว่าดีมากแล้ว

กำลังใจคนนั้น ถ้าแบ่งอย่างหยาบ ๆ ก็มีอยู่สามระดับด้วยกัน

ระดับที่หนึ่ง เอาตัวไม่รอด ช่วยคนอื่นไม่ได้

ระดับที่สอง เอาตัวรอดได้ ช่วยคนอื่นไม่ได้

ระดับที่สาม เอาตัวรอดได้ ช่วยหมู่คณะให้รอดได้ด้วย

ฉะนั้น..อย่างน้อยถ้าจะแพ้ก็ให้ชนะใจคนดู น้องเจนนี่เขาขึ้นไปแข่งเทควันโด เนื่องจากตัวเองเก่งเกินวัย คู่ต่อสู้รุ่นท้าย ๆ มีแต่ตัวใหญ่กว่า เพราะอายุของตัวเองยังน้อยอยู่ ถึงเวลาต้องอาศัยความเร็วต่อสู้เอา พอพลาดโดนคู่ต่อสู้เตะทีก็กระเด็น พอโดนเข้าหลายที กรรมการถามว่าจะยอมแพ้ไหม ? น้องเจนนี่ไม่ยอม บอกว่า "สู้..!" สู้ทั้งน้ำตา คนดูปรบมือกันเกรียวเลย ใจสู้จริง ๆ

ถ้าจะแพ้ก็ต้องแพ้ในลักษณะนั้น คือแพ้แต่ชนะใจคนดู แต่ถ้าชนะได้ก็ดีกว่า เพราะโลกนี้เขาจดจำแต่ผู้ชนะเท่านั้น อย่างเอเชี่ยนเกมส์ที่ผ่านมา อย่างการวิ่งแข่ง ๑๐๐ เมตร คนชนะก็ชนะไป ส่วนคนแพ้ก็แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง แต่คนจำเฉพาะคนได้เหรียญทอง คนได้เหรียญเงินที่วิ่งจี้ตามมากลับไม่จำ

เพราะฉะนั้น..ในเมื่อโลกเขานิยมอย่างนั้น ก็อย่าพยายามแพ้ โดยเฉพาะถ้าแพ้กิเลส เราไม่ได้แพ้ชาติเดียว แพ้กิเลสก็ต้องเกิดอีกหลายชาติ น่ากลัวมาก พิจารณาแล้วจะเกิดภยตูปัฏฐานญาณ เห็นเป็นโทษเป็นภัย เป็นของที่น่ากลัวมาก

เถรี
14-12-2010, 11:19
ถาม : ถ้าให้เพื่อนลอกข้อสอบหรือลอกข้อสอบเพื่อน ผิดศีลข้อไหนคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดจ้ะ ไม่มีศีลข้อไหนระบุว่าห้ามลอก แต่ในส่วนของสามัญสำนึก เราจะรู้ว่าควรหรือไม่ควร ดังนั้น..ในส่วนที่ผิดจะเป็นผิดมโนธรรมที่เกี่ยวข้องกับสามัญสำนึกของเราเอง

ถ้าเรามัวแต่ไปลอกเขาอยู่ ไม่มีความรู้ที่แท้จริง เมื่อมีสถานการณ์ที่ต้องใช้ความรู้อย่างนั้น เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ถ้าเรารู้จักคิดอย่างนี้ เราก็จะไปพากเพียรเรียนให้รู้จริง ๆ

ถาม : ถ้าเพื่อนมาขอลอก ?
ตอบ : ถ้าเพื่อนมาขอลอกก็ให้ลอกไปเถอะ ถือว่าเป็นเมตตา แต่บอกเขาหน่อยว่า ลอกแล้วต้องแปลงข้อความด้วยนะ อย่าให้เหมือนกันทุกคำ..!

ที่จริงแล้วนี่จัดเป็นการทุจริต ทุจริตก็คือประพฤติมิชอบ ไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบที่เขาบังคับเอาไว้ ถ้าเราละเมิดในเรื่องแค่นี้ได้ ต่อไปเรื่องที่หนักกว่านี้เราก็จะละเมิดได้ จะเป็นต้นเหตุให้เราทำความชั่วที่หนักกว่านี้ได้ ถ้าละเว้นได้ก็ให้ละเว้นเสีย

เถรี
14-12-2010, 12:32
ในขณะที่กำลังสนทนาเรื่องพหูสูตร พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า พุทธะ ในพระไตรปิฎกและอรรกถาแบ่งเป็น
สัมมาสัมพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง
ปัจเจกพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่สั่งสอนผู้อื่นเป็นการทั่วไป
อนุพุทธะ เป็นผู้ที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ก็คือพระอรหันต์ทั้งหลาย
สุตตะพุทธะ เป็นผู้รู้โดยการศึกษามาก ฟังมามาก

สามอย่างแรกหมดกิเลสแน่นอน แต่อย่างสุดท้ายไม่แน่ อย่างสุดท้ายได้คำว่าพุทธะ (ผู้รู้) มา เพราะว่าท่านเรียนรู้ไว้มาก แต่อาจจะเป็นแค่รู้ทฤษฎีเฉย ๆ"

เถรี
14-12-2010, 12:34
ถาม : เมื่อก่อนหนูจะฝันเหมือนทดสอบจิต แต่ช่วงหลังมาฝันว่ากลัวตาย
ตอบ : ความกลัวตายจะหมดได้ก็ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์จ้ะ เพราะฉะนั้น..ต่อให้เป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีก็ยังมีความกลัวตายอยู่ เพียงแต่กลัวมากกลัวน้อยต่างกันเท่านั้นเอง

ถาม : ถ้าคิดถึงพระ ?
ตอบ : หมั่นคิดถึงบ่อย ๆ จ้ะ ไม่ใช่รอให้เหตุเกิดแล้วค่อยมาคิด

เถรี
14-12-2010, 14:32
ถาม : คนที่ไม่ได้ตั้งใจละกิเลสสักอย่าง แต่เขาเชื่อว่า ถ้าเขาคิดถึงนิพพานก่อนตายเขาต้องได้ไปนิพพานแน่เลย เขาจะไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ทำความชั่วอื่นไปได้ คือ เลิกความชั่วทุกอย่างตั้งแต่บัดนั้นเลย อาจจะรักษาศีล ความดีอย่างอื่นไม่ได้ทำ เพียงแต่ว่านึกว่าจะไปนิพพานอยู่ตลอดเวลาก็ไปได้

เพราะการนึกว่าจะไปนิพพานตลอดเวลา เป็นการทรงสมาธิอยู่แล้ว และสมาธิที่ทรงในระดับนั้น จะตัดรัก โลภ โกรธ หลงโดยอัตโนมัติ เพราะคิดถึงแต่นิพพานอย่างเดียว ความชั่วอย่างอื่นเกิดขึ้นไม่ได้เลย ในเมื่อมีศีลเป็นเครื่องประกอบ กำลังใจมุ่งมั่นจริง ๆ ก็ไปได้ แต่ถ้าทำความชั่วอื่นด้วย อาจจะพังตั้งแต่กลางคัน

ถาม : ทำความชั่ว นี่คือผิดศีลห้า ?
ตอบ : ทั้งผิดศีลห้าหรือผิดธรรม กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ถ้าหากไปละเมิดอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตไม่บริสุทธิ์เพียงพอ มีโอกาสข้องติดอยู่กับวัฏฏะต่อไป

ถาม : ถ้าตลอดวันเขาทำงาน ฟุ้งซ่านไปเรื่อย เพียงแต่ว่าคิดจะไปนิพพานแน่
ตอบ : ก่อนนอนและตื่นนอนตั้งเป้าเอาไว้ให้แน่นอน ภาวนาเกาะนิพพานให้แน่ ๆ ไว้สัก ๓ - ๕ นาที ก่อนจะลุกไปทำงาน ก็ตั้งใจว่าวันนี้เราจะไปทำงานแล้ว ถ้าตายลงไปเพราะหมดอายุขัยหรือเพราะอุบัติเหตุใด ๆ เราขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นิพพาน ให้ตั้งเป้าไว้ก่อนอย่างนี้

พอถึงเวลาก่อนนอน ก็ลักษณะเดียวกัน ให้คิดก่อนว่า ตอนนี้เราจะนอนแล้ว ถ้าไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นตะวันขึ้น จะตายลงไปเพราะหมดอายุขัยหรือสาเหตุอะไรก็ตาม เราขอไปอยู่พระนิพพาน ทรงกำลังใจให้มั่นคงสัก ๓ - ๕ นาทีแล้วก็นอน ถ้าทำอย่างนี้ก็ไปได้ ถ้าไม่ได้ทำอย่างนี้ก็ยาก

ถาม : เพราะประมาทไป
ตอบ : ไม่ใช่ประมาทไป แต่ประมาทมากเลย คนที่เขาทำแทบล้มประดาตายยังไม่ได้ อย่างที่พระองค์ที่สิบท่านบอกว่า นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

บาลีบอกไว้ชัดว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน นาญโญ อัญญัง วิโสทะเย บุคคลหนึ่งจะทำให้อีกบุคคลหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่

เถรี
14-12-2010, 17:30
ถาม : การที่ใจเราเปิดกว้างมาก ๆ เป็นดาบสองคมหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่คำนึงถึงศีลธรรมก็เจ๊ง เพราะฉะนั้น..ต้องเอาศีลธรรมเป็นกรอบ ไม่ใช่ว่าเขาจะชั่วเท่าไรเราก็เปิดใจกว้างยอมรับได้ อย่างนี้ก็เจ๊งสิ..!

ถาม : ถ้าเราพร้อมอภัย ?
ตอบ : อภัยให้เขา แต่ไม่ใช่เราไปทำอย่างนั้นบ้าง

ถาม : ข้อดีของการเปิดใจมีอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ เรื่องที่เราเคยแบก เราก็วางได้

ถาม : แล้วความเปิดกว้างของจิตใจนี้จะช่วยอะไรเราได้บ้าง?
ตอบ : ต่อไปจะทำอะไรก็ง่ายขึ้น เพราะเห็นคำว่าธรรมดามากขึ้น ใจที่เปิดกว้างได้เพราะเห็นคำว่าธรรมดา ธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น อย่าไปว่าเขาเลย

เถรี
15-12-2010, 10:49
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนที่ไปรับการอบรมเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านลงมาช่วยการอบรม ท่านเปิดโอกาสให้ทุกคนซักถามปัญหาต่าง ๆ ได้

มีคนถามปัญหาที่คิดไม่ถึง แทนที่จะเป็นปัญหาด้านการปกครอง เขากลับถามท่านว่า "ผมสร้างกุฏิทรงไทย น้ำฝนไหลเข้าไปข้างใน แล้วหยดลงมาบนเพดาน ควรแก้อย่างไรครับ ?" หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบอกว่า "ควั่นหัวแปแล้วจะไม่เป็น.."

สำหรับเรือนทรงไทยจะมีลักษณะเฉพาะอย่างนั้น คือมีหัวไม้แปยื่นออกมา เราไปดูตรงใต้จั่ว จะมีไม้ที่ยื่นออก เขาเรียกว่าแป

ท่านเล่าให้ฟังว่า เคยเกิดปัญหานี้กับท่านมาก่อน ท่านถึงขนาดไปนอนดูอยู่ข้างบนเพดานตอนฝนตก พอฝนหยดรวมกันมากเข้า ๆ ก็จะไหลมาใต้แป พอมากเข้าก็ไหลเข้าไปอยู่ข้างใน แล้วหยดลงบนเพดาน ท่านบอกให้ควั่นหัวแป ควั่น ก็คือ บากให้เป็นรอยเพื่อสกัดน้ำเอาไว้ พอเราควั่นหัวแปแล้ว น้ำที่ไหลมาถึงตรงนั้นก็จะตกลงไป ไม่สามารถที่จะไหลต่อเข้าไปข้างในได้

อาตมาก็เพิ่งจะรู้ว่า พระกว่าจะขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ ท่านผจญมาแล้วทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องแบบนี้ท่านยังไปนอนสังเกตอยู่เป็นวัน ๆ ท่านจึงจะแก้ปัญหาได้

เรามาลองคิดดูว่า ในเรื่องการปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้จักสังเกตอารมณ์ใจตัวเอง เราก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขให้ดีให้ชั่วได้อย่างที่เราต้องการ แก้ไขให้ชั่วคงไม่ต้องหรอก แต่ละชั่วแล้วทำดีให้ได้ก็พอ"

เถรี
15-12-2010, 11:37
"ในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเป็นคนช่างสังเกต ต่อไปเรื่องหยาบ ๆ ทางโลกก็สามารถที่จะแก้ไขได้ง่าย เพราะความละเอียดทางใจเราทำได้ก่อนแล้ว

ใครจะไปนึกว่า ท่านขึ้นไปเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ แต่ก่อนหน้านี้ทุกอย่างท่านทำด้วยตัวเอง ให้สังเกตว่าถ้าคนไม่เป็นงาน จะสั่งงานไม่ถูก แต่ถ้าบุคคลที่เคยเป็นงานมาก่อน จะสั่งงานได้ถูก นอกจากสั่งงานถูกยังไม่พอ ยังไม่มากเรื่องอีกด้วย เพราะรู้ว่าช่างแต่ละคนส่วนใหญ่ต้องการความอิสระในการทำงาน"

เถรี
15-12-2010, 15:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กสมัยนี้ที่ทำแท้งกันมากเพราะสภาพสังคมเปลี่ยนไป สมัยก่อนอย่างช่วงอาตมายังเป็นวัยรุ่น ถ้าผู้หญิงคนไหนท้องไม่มีพ่อ แทบจะต้องย้ายประเทศกันเลย เพราะสังคมจะรุมประณามกันรอบด้าน ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เขาเห็นเป็นเรื่องปกติ

ในเมื่อสภาพสังคมไม่ช่วยควบคุม ทำให้เด็กเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องยั้งคิดว่า จะทำให้เสียหายถึงพ่อแม่ เสียหายถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เสียหายไปถึงพี่น้อง

สภาพสังคมของเราเปลี่ยนแปลง เพราะไปรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาแบบไม่บันยะบันยัง พูดกันง่าย ๆ ก็คือ รับเอาวัฒนธรรมอเมริกันเข้ามา วัฒนธรรมอเมริกันเขาเปิดกว้างในเรื่องของเพศก็จริง แต่เขามีข้อจำกัดที่ชัดเจนมาก อย่างเช่น ถ้าคุณแต่งงานแล้ว จะไปหาเศษหาเลยนอกบ้านไม่ได้เด็ดขาด อย่างที่ ไทเกอร์ วูดโดนไปเต็ม ๆ แทบจะอยู่ในสังคมไม่ได้

อีกอย่างก็คือ พอลูก ๆ เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ก็มักจะแยกตัวจากพ่อแม่ ทำมาหากิน หาเงินหาทองเอง ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าได้ แต่บ้านเรายังขอเงินพ่อแม่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถึงเวลาจะไปเลี้ยงลูกได้อย่างไร เพราะตัวเองยังไม่สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ ก็เลยกลายเป็นปัญหาอย่างที่เห็นกัน"

เถรี
15-12-2010, 15:59
"ถามว่ามีตัวอย่างบ้างไหม ที่รับเอาวัฒนธรรมเข้ามาแล้วปรับให้เหมาะสมกับสภาพสังคมตัวเอง มีชัดที่สุดก็ที่ประเทศเกาหลี ในเรื่องของวัฒนธรรมเกาหลีเขาเข้มแข็งมาก พอถึงเวลามีงาน เขาก็ใส่ชุดฮันบกของเขา และส่งผ่านวัฒนธรรมออกไปประเทศต่าง ๆ บ้านเราก็เห่อตั้งแต่แดจังกึมเป็นต้นมา และมีการเลียนแบบดาราเกาหลี แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นก็ยังชื่นชอบดาราเกาหลี

เราจะเห็นว่าเขารับเอาวัฒนธรรมภายนอกมาก็จริง แต่เขาจะไม่ให้เกินเลยกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเขา ความเจริญทุกอย่างเขารับ แต่ในส่วนจิตวิญญาณเขายังเป็นเกาหลีแท้อยู่ ไม่เหมือนอย่างบ้านเรา ถ้าไม่กินแม็คโดนัลด์ ไม่กินเคเอฟซี ไม่ได้ซื้อคริสปี้ครีมก็ไม่ทันสมัย และไม่ได้ดูความเหมาะสมกับสภาพ

อย่างไอศกรีม ขนมเค้ก อาหารของฝรั่งประเภทแดกด่วน ส่วนใหญ่แล้วสารอาหารเขาสูงมาก เพราะเขาต้องการแคลอรี่เพื่อไปสู้กับความหนาว แต่บ้านเราเป็นเมืองร้อน กินเท่าไรก็เก็บหมด ไม่ได้นำไปใช้ เพราะฉะนั้น..เด็กบ้านเราจะป่วยเป็นโรคอ้วนกันเยอะมาก

หน้ามืดตามัว แห่ตามเป็นแฟชั่น ไปเข้าแถวยาวเป็นกิโล เพื่อที่จะไปซื้อขนมวง อาตมาจะบ้าแทน ชิมไปแล้วไม่เห็นจะงอกปีกงอกหางเป็นกินรีได้..! รสชาติก็ไม่เอาอ่าว ขนมอื่นอร่อยกว่าเยอะเลย อีกไม่เกินสามเดือน ก็คงจะสูญหายไปจากสังคมไทย คนก็จะไม่รู้จักขนมชนิดนี้อีกแล้ว เพราะว่าไม่ดีจริง"

เถรี
15-12-2010, 16:19
"แบบเดียวกับตอนที่โรตีบอยเข้ามา อันนั้นอยู่ได้ตั้งสองเดือน สาขาที่ลงทุนหลัง ๆ เลยเจ๊งไปตาม ๆ กัน เพราะขายไม่ออก เนื่องจากว่ามีดีแต่กลิ่น กลิ่นหอมไปไกลเป็นกิโล ส่วนรสชาติไม่เอาไหนเลย

สังคมปัจจุบันเป็นลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา น้ำขึ้นต้องรีบตัก ว่ากันไม่ได้หรอก แต่ละคนก็ฉวยโอกาสกันทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกรับจ้างเข้าแถว ๕๐๐ บาท เพื่อจะได้ทันสมัยไปคุยกับเขาได้ว่ากินมาแล้ว ตกลงราคาซื้อความทันสมัยนั้นแพงมากเลย

เราจะไปรอครูบาอาจารย์อย่างเดียวก็ไม่ได้ สภาพสังคมสมัยก่อน ความสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นแฟ้นมาก ปู่ย่าตายายสอนพ่อแม่ลุงป้าน้าอามา รุ่นพ่อรุ่นแม่ลุงป้าน้าอาก็สอนลูกสอนหลานกันไป เป็นการถ่ายทอดและส่งผ่านรุ่นสู่รุ่นมาเรื่อย ในปัจจุบันนี้สภาพอย่างนั้นหาได้ยากมากแล้ว บ้านไหนที่ยังรักษาสภาพเช่นนั้นได้ ถือว่าโชคดีที่สุด เพราะสถาบันครอบครัวยังไม่ล่มสลาย

ถ้าเราไม่ช่วยกัน มัวแต่รอให้ครูบาอาจารย์ รอสภาพสังคมให้ช่วย ไม่ต้องไปหวังหรอก ทุกอย่างก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะปัจจุบันนี้เป็นสังวัฏฏอสงไขยกัป เป็นกัปในด้านเสื่อม สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ก็คือ กัปที่เสื่อมไปเรียบร้อยแล้ว หรือเราจะถือว่ายุคนี้เสื่อมไปเรียบร้อยแล้วก็ได้ ถัดจากนั้นก็จะเป็นวิวัฏฏอสงไขยกัป กัปที่ค่อย ๆ เจริญขึ้น จนถึงวิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป กัปที่ตั้งอยู่ในความเจริญล้วน ๆ ก็น่าจะเป็นสมัยของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย"

เถรี
15-12-2010, 17:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา เป็นวันหนึ่งที่คนไทยมีความสุขมาก เพราะในหลวงเสด็จไปเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ และเปิดสะพานภูมิพล ๑ ภูมิพล ๒

เราจะเห็นว่าพระองค์ท่านทุ่มเททรงงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด โดยไม่เห็นแก่พระวรกายของพระองค์เองที่ทรุดโทรม และได้ข่าวว่าทางวัดไทยกุสินารา ขออนุญาตสร้างพระบรมรูปเพื่อไปตั้งไว้ที่นั่น พอได้ยินแล้วอาตมารู้สึกไม่ค่อยดี เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา บุคคลที่ทรงความดีสูง ๆ ถ้ามีรูปแทนตัวเมื่อไรมักจะไปไม่เคยเกินสามปีทุกราย ให้ลองสังเกตดูว่าจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่

แต่จากสภาพของในหลวงแล้ว ถ้าคิดแบบไม่ประมาทก็ต้องดูกันวันต่อวัน เพราะพระองค์ท่านทรงตรากตรำมามาก พระวรกายชำรุดทรุดโทรมมาก พระชนมายุก็ถึง ๘๓-๘๔ พรรษาแล้ว โอกาสจะฟื้นคืนดีเหมือนหนุ่ม ๆ ก็ยากมากแล้ว ทำให้นึกถึงหลวงปู่ทองเทศ ตอนที่ยังอยู่ที่วัดท่าซุง ท่าน อายุ ๙๐ กว่าแล้ว หกล้มครั้งหนึ่งกว่าแผลจะหายก็เป็นเดือน คนอายุ ๙๐ กว่าเนื้อไม่ค่อยอยากจะงอกมาปิดแล้ว

ในเมื่อเป็นดังนั้น..เราก็ต้องดูกันวันต่อวัน แต่มีวิธีก็คือ สร้างความดีให้มาก ๆ อุทิศถวายเป็นพระราชกุศล เพื่อพระองค์ท่านจะได้อยู่กับพวกเราไปนาน ๆ อย่างวัดท่าขนุนก็จัดบวชเนกขัมมะถวายเป็นพระราชกุศล ทั้งปีนี้และปีหน้าหลายรุ่นด้วยกัน"

เถรี
15-12-2010, 17:37
ถาม : ตอนที่ผมบวช พระที่ร่วมในการสังฆกรรม ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะมีศีลครบหรือเปล่า ตอนนี้ผมตั้งใจว่าจะบวชอีก ผมไม่แน่ใจว่าการบวชครั้งใหม่ จะเกิดอานิสงส์หรือไม่ ?
ตอบ : ก็ไปบวชในที่ที่เรามั่นใจสิ

ถาม : ของเก่าผ่านไปแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ของเก่าผ่านไปแล้วก็แล้วกันไป บวชพระแล้วแต่ได้อานิสงส์ของเณรไป

ถาม : ผมกลัวว่าการบวชครั้งเก่าจะมีผลกับการบวชครั้งใหม่
ตอบ : ถ้าบวชใหม่ถูกต้อง สังฆกรรมไม่เสีย ก็เป็นอันว่าเป็นพระ เมื่อเป็นพระก็ปฏิบัติให้ดี ขึ้นอยู่กับเราว่าทำถูกหรือเราทำผิด ถ้าทำถูกก็ไม่เป็นไร ถ้าทำผิดก็เป็นอาบัติ

ถาม : ถ้าเป็นอาบัติที่ติดค้างจากครั้งก่อน ?
ตอบ : เวลาคุณแสดงอาบัติ สัพพาตา อาปัตติโย อาโรเจมิ แปลว่า ทั้งหมดเลย สัพพะคือทั้งหมด ไม่ใช่แค่ข้อใดข้อหนึ่ง ถ้าไม่ใช่อาบัติที่แสดงคืนไม่ได้ อย่างปาราชิกหรือสังฆาทิเสส เขาถือว่าแสดงคืนไปหมดแล้ว

เถรี
15-12-2010, 18:22
ถาม : เรื่องจับลมสามฐาน พอจับไปสักพัก ก็จับสามฐานไม่ได้ จะเหลือแค่นิดเดียว เราต้องเอาให้ได้สามฐาน หรือเอาแค่นั้นก็พอ ?
ตอบ : เหลือแค่ไหน ให้กำหนดรู้แค่นั้น เพราะถ้าเราไปบังคับ แทนที่สมาธิจะสูงขึ้น กลายเป็นว่าลดกลับมาเหลือเท่าเดิม
อย่าไปบังคับจ้ะ แค่กำหนดรู้เฉย ๆ ว่าตอนนี้ลมหายใจของเรา แรงหรือเบา ยาวหรือสั้น จะเหลือกี่ฐานก็ช่าง เรามีหน้าที่ตามรู้อย่างเดียว

เถรี
15-12-2010, 18:42
ถาม : อาการที่เป็นอย่างนี้ จะเป็นเยอะตอนทำสมาธิ จะขวางการทำสมาธิ
ตอบ : อาการเหล่านี้บางทีเขาเรียกว่า ขันธมาร เขาแค่ต้องการให้เราเข้าใจผิด คิดว่าการทำความดีแล้วมีผลไม่ดี หรือว่าทำความดีแล้วอาการเหล่านี้จึงเกิดขึ้น แล้วก็เลิกทำ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากเราตั้งใจว่าตายเป็นตาย เขาก็จะแกล้งได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ถอยไปเอง

ถาม : คราวก่อนไปสวดมนต์ข้ามปี เราก็เรอดังครับ
ตอบ : บอกแล้วให้ตั้งใจว่า ต่อให้ตายเราก็จะทำความดี

ถาม : มีอีกอย่าง บางคนที่มีเทพใหญ่ เราจะเกิดอาการนี้ด้วย ยิ่งหนักขึ้นทุกที
ตอบ : ปล่อยไป กำหนดรู้ไว้อย่างเดียวว่า อะไรก็ไม่เกินตายหรอก ต่อให้ตายเราก็จะทำความดี แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง จะได้เป็นเครื่องวัดได้ว่า ที่ไหนที่เราไป มีสภาพอย่างไร อะไรที่มีพลังงานในส่วนที่ละเอียดอยู่ เราจะกระทบและรับได้เร็ว

ถาม : กลุ่มผมเวลาคุยกัน จะมีอาการเจ็บป่วยเหมือนกัน อย่างเราปวดหัว คุยกับเขา เขาก็ปวดด้วย หรือเขาปวดไหล่ เราก็ปวดไหล่กับเขา
ตอบ : อาจจะอยู่ในลักษณะที่ว่า ทำมาในลักษณะเดียวกัน ก็เลยสามารถที่จะรับรู้ในอาการเดียวกันได้

ถาม : เป็นเรื่องปกติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เถรี
15-12-2010, 23:58
ถาม : เวลานั่งสมาธิ จะมีความรู้สึกว่าอยากออกจากสมาธิครับ ตอนแรกก็ห่าง ๆ แล้วก็จะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องออกจากสมาธิภายใน ๑ นาที ควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ฝืน...ถ้าไม่ได้ให้มันตายไปเลย ถ้าเราไม่คิดที่จะฝืนบ้าง กำลังของกิเลสที่สูงกว่า ก็จะผลักดันไม่ให้เราสร้างสมาธิไปตลอดชาติ

ลองสู้ดูซิ ถ้าเราทำต่อแล้วจะขาดใจตายไปไหม ? ถ้าเราสู้ได้สักครั้ง ต่อไปก็ใช้กำลังแค่นั้นแหละ ไม่ได้เกินนั้นหรอก ต้องคิดว่าคนอื่นสิบนิ้วเท่าเรา เขายังทำได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้

ถาม : แบบนี้จัดเป็นขันธมารหรือกิเลสมาร ?
ตอบ : ทั้งสองอย่างเลย

ถ้าเคยอ่านพระไตรปิฎกผ่านตามาบ้าง จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านเริ่มโอวาทปาฏิโมกข์ด้วยขันติ คือ ความอดทน ถ้าไม่มีความอดทน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ส่วนใหญ่ไม่มีความอดทน อยากได้ดีแต่ไม่มีความอดทน ก็เลยดียาก..!

เถรี
16-12-2010, 00:07
ถาม : เวลาภาวนา ปกติจะกำหนดความรู้สึกตรงตาที่สาม เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาให้กำหนดที่ลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่กำหนดที่ลมหายใจเข้าออก สมาธิจะทรงตัวยาก อย่างดีก็จะได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็หายไป

ต้องกำหนดความรู้สึกให้ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ให้รู้อยู่แค่นี้ ไม่ต้องไปที่อื่น ไปที่อื่นเมื่อไรก็ให้ดึงกลับมาที่นี่ใหม่

ถาม : อย่างเวลาเดิน อยากจะฝึกสติไปด้วย
ตอบ : กำหนดรู้รายละเอียดของการเคลื่อนไหว ถ้าจะเอาแบบละเอียดหน่อย จะเป็นยก..เป็นย่าง..เป็นเหยียบก็ได้ หรือแค่รู้ว่า ตอนนี้เท้าเคลื่อนไปข้างหน้า มือแกว่งไปข้างหลังก็ได้

ถ้าสติละเอียดมาก ๆ ลมพัดมากระทบร่างกาย ขนไหวกี่เส้นก็ยังรู้ได้

เถรี
16-12-2010, 00:07
ถาม : เวลากินอาหาร ต้องกำหนดเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หรือว่ารสชาติ ?
ตอบ : แรก ๆ เขากำหนดการเคลื่อนไหวก่อน คือ ตอนนี้เราเคี้ยว ถ้าละเอียดขึ้นก็กำหนดรู้รสด้วย รู้การกระทบด้วย แม้กระทั่งจะกลืนก็มีสติรู้อยู่

ต้องค่อยไปทีละขั้น ที่คุณว่ามานั้นข้ามขั้นไป เรายังไม่ได้เรียน ป.๑ จะไปเรียนป.๔ ก็ไปได้ยาก

ถาม : เวลาอ่านหนังสือธรรมะ จะรู้สึกว่าจิตใจฟุ้งซ่าน ควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : จดจ่ออยู่กับสิ่งเฉพาะหน้า ถ้าคุณฟุ้งแปลว่ากำลังใจหลุดไปที่อื่นแล้ว จ้องอยู่ตรงหน้า กำหนดสติตามรู้ไปทุกคำ คิดตีความ พยายามทำความเข้าใจไปด้วย

ถาม : เรากำหนดอยู่กับตัวอย่างเดียว แล้วเวลาเรียนหนังสือด้วย เราต้องฟังที่อาจารย์พูดด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : สามารถทำได้พร้อมกัน ฟังที่อาจารย์พูดไปด้วย คิดไปด้วย จดไปด้วย และท้ายสุดหาข้อสงสัยมาเตรียมไว้เพื่อถามด้วย

เถรี
16-12-2010, 11:17
ถาม : ถ้าเราภาวนาคาถาเงินล้านตลอดทั้งวัน รวมแล้วได้ ๑๐๘ จบในแต่ละวัน นับรวมกันได้ไหม ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ ให้วันหนึ่งได้ ๑๐๘ จบเท่านั้น

ถาม : ก็คือ ถ้าภาวนาเกินก็ไม่เป็นไร ?
ตอบ : เอาให้ได้ ๑๐๘ จบก่อน ให้มียอดที่แน่นอนก่อน ถ้าได้เกินค่อยถือว่าเป็นกำไร

เถรี
16-12-2010, 11:20
ถาม : ปฏิบัติไปแล้วอารมณ์จะอยู่ขั้นไหน ?
ตอบ : การปฏิบัติไม่ต้องไปใส่ใจว่าจะเป็นอย่างไร จะอยู่ขั้นไหน ต้องใส่ใจว่าเราได้ทำหรือไม่..!

ถาม : คนที่เป็นเอกัคคตารมณ์ จะต้องเห็นทุกข์ตลอดหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าสามารถเห็นได้อย่างนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะถ้าตราบใดที่เรายังไม่เห็นทุกข์ เราก็ยังอยากเกิดอีก

ถาม : ถ้าเราออกไปผ่อนคลาย ไปออกกำลังบ้าง จะมีผลหรือไม่ ?
ตอบ : ก็ทำไปสิ ใครจะไปว่า จะได้ช่วยบรรเทาร่างกายนี้ให้มีทุกข์น้อยลง แต่ควรประคองรักษาอารมณ์สมาธิเอาไว้ด้วย

ถาม : แต่เราก็มีสติรู้
ตอบ : ให้มีสติรู้อยู่ว่า เราแค่อาศัยร่างกายนี้อยู่ชั่วคราวเท่านั้น

ถาม : สายสาวกภูมิ การปฏิบัติจะยากเหมือนเดิมเป็นปกติหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : สายไหนก็ตาม เราทิ้งความดีไม่ได้หรอก ทิ้งไปความชั่วก็เข้ามาแทน แต่ปกติแล้ว ถ้ามาสายสาวกภูมิโดยตรง จะปฏิบัติได้ง่ายกว่า เร็วกว่า แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิมาก่อนก็จะเจอของยาก

ถาม : ภาระหน้าที่ก็ยังมีเหมือนเดิมใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ภาระหน้าที่มีเข้ามาก็สงเคราะห์ไปเฉพาะหน้า แต่ไม่ต้องไปตะกายหาภาระมาใส่ตัวเอง เรามีหน้าที่ก็จริง แต่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง อย่างน้อยก็ต้องมีเวลาว่างให้เรารักษาอารมณ์ปฏิบัติได้บ้าง ถ้าไม่มีก็ต้องแย่งเวลามาให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นข้ออ้างของคนขี้เกียจ..!

เถรี
16-12-2010, 13:50
ถาม : ท่านที่อยู่กรรม ?
ตอบ : ท่านที่อยู่กรรม คือ บุคคลที่ศีลขาด ขาดจากความเป็นพระไปชั่วคราว จนกว่าจะได้รับโทษ คือ การอยู่กรรมครบที่กำหนดไว้ แล้วให้พระอย่างน้อย ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ จึงจะกลับเป็นพระได้อีกทีหนึ่ง

ดังนั้น..พระที่ต้องอาบัติแล้วไปอยู่ปริวาสกรรม ราคาสูงกว่าเณรนิดเดียว แต่ระยะหลังเขาไปปั่นข่าวว่า ทำบุญกับพระที่อยู่ปริวาสจะได้บุญมาก ก็เลยสงสัยว่า คนศีลขาดอย่างนั้นบุญจะมากได้อย่างไร ?

เถรี
16-12-2010, 16:51
สมัยนี้เขานิยมจัดปริวาสเพราะญาติโยมช่วยกันสนับสนุน ทำให้ได้เงินเข้าวัดมาก ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จัดเพื่อเป็นการสงเคราะห์บุคคลที่โดนอาบัติหนักจริง ๆ เขาจึงต้องมีการประชาสัมพันธ์เป็นการปั่นราคากัน จนกลายเป็นว่า ทำบุญกับพระที่อยู่ปริวาสจะได้บุญมาก

เท่าที่มีประสบการณ์มา ปัจจุบันพระที่อยู่ปริวาสมักจะเละเทะ มีการไปตั้งกลุ่มกันในป่าปริวาส พวกที่ปลอมพระเครื่องก็ตั้งหน้าตั้งตาปลอมพระเครื่องไป พวกที่ติดยาบ้าก็ไปตั้งกลุ่มดูดยาบ้า พวกที่ตั้งตนเป็นอาจารย์สักก็ไปสักยันต์กันอยู่ในนั้น

ถ้าโยมเข้าไปข้างในได้แบบพระ เห็นแล้วจะหมดอารมณ์ กลายเป็นว่าเสือสิงห์กระทิงแรดไปรวมกันอยู่ที่เดียว และยังมีจำพวกหนึ่งที่เขาเรียกว่า พวกล่าปริวาส

พวกนี้จะมีรายการจัดปริวาสของวัดทั้งประเทศ ว่าขึ้นกี่ค่ำ แรมกี่ค่ำ เดือนไหน วัดไหนจะจัด แล้วก็แห่กันไป เป็นการเดินทางกันทั้งปี ก็จะไปเจอเหตุการณ์เดิม ๆ เหมือนกันทุกปี เจอหน้ากันทุกปี จนกลายเป็นขาประจำที่คุ้นหน้าคุ้นตากันไปเลย

เถรี
16-12-2010, 17:09
ตอนแรกอาตมายังไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ เพราะเพิ่งจะบวชได้ไม่นาน จึงได้กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ทำไมหลวงพ่อไม่จัดปริวาสบ้างครับ ?" ท่านถามว่า "พวกแกมีใครโดนอาบัติสังฆาทิเสสหรือ ?"

อาตมากราบเรียนว่า "ไม่มีครับ"
"ไม่มีแล้วจะจัดไปทำไม ?"
"เห็นที่อื่นเขาจัดกันครับ"
"แกรู้หรือเปล่าว่าทุกเช้าเขาจะต้องมาประกาศตนว่า ตนเองโดนอาบัติอะไร ถ้าแกไม่โดนแล้วไปประกาศว่าตัวเองโดน ก็เท่ากับโกหกเขาอยู่ทุกวัน..!"

พอได้ไปศึกษาเองจริง ๆ จึงได้รู้ว่าปริวาสแต่ละแห่งจัดเพราะมุ่งหมายเรื่องเงิน มีน้อยแห่งมากที่ตั้งใจจัดปริวาสเพื่อสงเคราะห์เพื่อนพระที่โดนอาบัติสังฆาทิเสส

สุทธันตปริวาสในปัจจุบัน จึงเป็นแบบหลับหูหลับตากำหนดเอา ส่วนใหญ่ก็คือ ๗ วันหรือ ๙ วัน

สุทธันตปริวาส หมายความว่า การอยู่ปริวาสของบุคคลที่โดนอาบัติ จนตัวเองจำไม่ได้ว่าตัวเองโดนมานานเท่าไร เขาให้กำหนดว่าจะต้องอยู่ปริวาสจนถึงความบริสุทธิ์ได้ในระยะเวลาเท่าไร แล้วให้คณะสงฆ์กำหนดลงไป แต่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ให้กำหนดเป็นเวลามากกว่าที่โดนอาบัติเอาไว้เสมอ เพื่อความปลอดภัย

อย่างเช่น เราโดนมาภายใน ๓ เดือน ก็ให้กำหนดอย่างน้อย ๓ เดือนกับ ๑ วัน แต่ปัจจุบันนี้ สุทธันตปริวาสที่เจอ เขากำหนด ๙ วันตลอด โดนมากี่ปีก็ ๙ วัน แล้วจะพ้นได้อย่างไร ? เหมือนกับคนที่ต้องโดนจำคุก ๒๐ ปี แล้วไปตัดสินว่าจำคุก ๙ วันก็พอ อย่างนี้จะยุติธรรมหรือ ? กลายเป็นว่าสิ่งที่ทำไปก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

บุคคลที่ยังอยู่ปริวาสไม่ครบตามจำนวนที่ตนเองโดน แล้วไปเก็บมานัตต์ ก็ไม่ใช่มานัตตารหบุคคล คือ ไม่ใช่บุคคลที่สมควรแก่มานัตต์ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่พ้นจากอาบัติสังฆาทิเสสที่ตัวเองโดนอยู่

เรื่องพวกนี้เขาไม่ค่อยจะบอกกัน เพราะหลายต่อหลายอย่างสร้างประโยชน์ให้ เขาจึงหลับหูหลับตาจัดกันไป เป็นอะไรที่น่าหนักใจมาก

สรุปง่าย ๆ ว่า ปริวาสในปัจจุบันเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ มักเจอพวกเขี้ยวลากดินอยู่ข้างใน ประเภทที่อยู่รวมกับคนอื่นได้ยาก จะไปสุมหัวรวมกันอยู่ในป่าปริวาส..!

เถรี
16-12-2010, 17:29
ถาม : เวลาเราจัดงานศพให้ผู้ตาย ผู้ตายได้บุญตอนไหน ตอนที่เราอุทิศ ?
ตอบ : ถ้าบุคคลนั้นสามารถรับอนุโมทนาได้ คือ รับส่วนกุศลแล้วอนุโมทนาได้ ก็จะได้ตอนที่เราประกาศอุทิศส่วนกุศล ดังนั้น..ตอนที่เราอุทิศส่วนกุศล เมื่อพระยถาสัพพี เราควรจะออกชื่อ-นามสกุล ว่ากุศลที่สร้างในครั้งนี้ขอให้แก่ใคร ขอให้เขามาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย

ถาม : แล้วที่พระสวด สวดให้ใคร ?
ตอบ : สวดให้คนเป็นฟัง คือให้รู้ว่าสิ่งที่ทำ อะไรดีอะไรชั่วแล้วให้เลือกทำ แต่สมัยนี้เขาฟังบาลีกันไม่ออก มีหลายวัดที่พยายามปรับปรุงด้วยการสวดมนต์แปล ในเมื่อสวดมนต์แปล เราฟังออก จะได้เก็บเอาหลักธรรมนั้นไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่เท่าที่อาตมาเจอก็มักจะพนมมือเฉย ๆ บางคนก็หันไปคุยกันอีกต่างหาก ก็เลยกลายเป็นไม่ได้ประโยชน์อะไร

ความจริงถ้าเราตั้งใจน้อมจิตฟังด้วยความเคารพ จะเป็นกุศลใหญ่อีกส่วนหนึ่งที่อุทิศให้แก่ผู้ตายได้ เพราะเท่ากับว่าเรากำลังปฏิบัติในธัมมานุสติ ถ้าเราระลึกว่าสิ่งที่พระสวดอยู่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ทั้งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ เห็นผู้สวดที่เป็นพระสงฆ์อยู่ก็ได้สังฆานุสติด้วย กลายเป็นเราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ซึ่งได้บุญมากที่จะอุทิศให้แก่ผู้ตายได้

แต่ปัจจุบันเป็นแค่รูปแบบพิธีกรรม การกระทำมักจะผิดไปจากเจตนาดั้งเดิมของบรรพบุรุษของเรา

เถรี
16-12-2010, 20:00
แม้กระทั่งทุกวันนี้เวลาที่วัดมีงานศพ อาตมาต้องประกาศก่อนเคลื่อนศพเสมอว่า ญาติโยมทั้งหลายมาส่งศพ ให้เดินตามโลงศพ ไม่ใช่ทะลึ่งไปจูงสายสิญจน์..! การจูงสายสิญจน์เป็นหน้าที่ของพระ คนที่จะเดินข้างหน้า ก็คือ บุคคลที่ถือกระถางธูปกับรูปผู้ตายเท่านั้น แล้วโยมเห็นไหม ? บางที่เขาแย่งกันจูงสายสิญจน์จนพระไม่มีที่จะจูง การจูงศพขึ้นเมรุเป็นหน้าที่พระเณร ส่วนญาติโยมตามไปส่งเท่านั้น

แต่ที่อื่นเขาไม่ค่อยกล้าว่า ไม่ค่อยกล้าบอกเพราะกลัวโยม อาตมาเองไม่ค่อยจะเกรงใจโยมหรอก ต่อให้ใหญ่มาแค่ไหน ผิดท่าผิดทางอาตมาด่ากระจาย เพราะถ้าเราไม่บอกในสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็จะผิดต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งภายหลังจะกลายเป็นถูกไปเอง เพราะเขาทำต่อ ๆ กันมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า

เถรี
17-12-2010, 01:34
ปัจจุบันนี้มีธรรมเนียมหนึ่งที่ผิดจนกลายเป็นถูกไปแล้ว ก็คือ แต่งชุดดำไปงานศพ สมัยโบราณถ้าคนตายอาวุโสกว่า มากด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ เราจะต้องแต่งชุดขาวไป ถ้าคนตายเด็กกว่า เราจึงแต่งชุดดำไป

ปัจจุบันนี้ ขนาดงานสมเด็จย่าเขายังแต่งชุดดำไป แสดงว่าใหญ่กว่าสมเด็จย่าทั้งนั้น..! แต่บางคนที่อายุน้อยกว่าแล้วมากด้วยคุณความดี หรือท่านที่สูงด้วยยศศักดิ์อย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เราแต่งชุดขาวให้ได้ แม้ว่าเราจะอายุมากกว่า

ถาม : กรณีที่หลานอายุน้อยกว่าเรา เราไปกราบไหว้ศพ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ถือว่าเราไหว้ธรรมะของพระพุทธเจ้า สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะระณันตัง หิ ชีวิตัง สัตว์ทั้งหลายต้องถึงแก่ความตายแน่นอน ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้

ไหว้ไปเถิด ไหว้ให้ถูกก็แล้วกัน ไม่ใช่ไปไหว้ศพ เราไปไหว้พระธรรม

อะไรที่รู้ พยายามปรับให้ถูกไว้บ้าง ถ้าเขาสงสัยแล้วถาม ก็อธิบายให้เขาฟัง

ถาม : แล้วกระดูกพ่อแม่ควรไว้วัดหรือไว้ที่บ้าน ?
ตอบ : โบราณเขาจะเก็บไว้ที่บ้าน พอถึงเวลาสงกรานต์ก็จะทำบุญกระดูกกัน ปัจจุบันนี้เขากลัวผีกันมาก จึงเอากระดูกไปทิ้งไว้วัดกันหมด

ตามธรรมเนียมแล้ว พอถึงเวลาสงกรานต์เขาจะนำอัฐิพ่อแม่มาสรงน้ำอบน้ำหอม นิมนต์พระมาบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

เถรี
17-12-2010, 12:57
ถาม : ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบญี่ปุ่น จะมีผลให้เราถึงนิพพานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อยู่ที่การปฏิบัติของเรา แม้ว่าเราจะนับถือมหายานแบบญี่ปุ่นก็ดี ถ้าคำสอนของท่านถึงนิพพาน เราตั้งใจปฏิบัติตามจริง ๆ ก็ไปถึงได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเราอาจจะไปติดอยู่กับรูปแบบพิธีกรรมต่าง ๆ มากมายมหาศาล ก็เลยกลายเป็นว่าเอาเปลือกมาบังแก่นเสียหมด

ถาม : เขาค่อนข้างบิดเบือนหรือผิดเพี้ยนไปเยอะ
ตอบ : อยากจะบอกว่าทางมหายาน ถ้าเป็นนิกายมูลสรวาสติวาทสมัยก่อน หลักการพอ ๆ กับเถรวาทเลย ตอนหลังมาแยกออกไปเป็นนิกายโยคาจารย์ ของท่านวสุพันธุ พอกระจายออกมาเนื้อหาก็เริ่มอ่อนลง

แม้กระทั่งศาสนาชินโตที่พระญี่ปุ่นมีเมียได้ ถ้าเราไม่เข้าใจจริง ๆ เราก็จะไปตำหนิเขา อาตมาเคยคุยกับพระของชินโต เขาพูดภาษาไทยได้ แต่เราต้องเอาล่ามแปลภาษาไทยอีกที สรุปได้ความว่า นิกายชินโตเกิดขึ้นมาในช่วงที่เป็นสงครามระหว่างเจ้าครองนครต่าง ๆ รบราฆ่าฟันกันทั้งปีทั้งชาติ

พระไม่รู้จะไปเผยแผ่ศาสนาอย่างไร ถ้าปล่อยให้อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นนาน ๆ ไป ศาสนาอาจจะสูญไปเลย เขาก็เลยตัดสินใจมีครอบครัว เพราะอย่างน้อย ๆ ก็สอนคนในครอบครัวตัวเองได้ มีเมีย ๑ คนสอนได้ ๑ คน มีลูกอีก ๑ คน สอนเพิ่มได้เป็น ๒ คน สอนพ่อตาแม่ยายได้อีกก็รวมเป็น ๔ คน เท่ากับว่าเขาลงทุนทุ่มเทด้วยชีวิตของเขาเลย เพื่อเผยแผ่ศาสนา

ถ้าเรารู้จุดมุ่งหมายของเขาแล้ว ก็จะไม่เสียเวลาไปตำหนิ แต่ถ้าไม่รู้จุดมุ่งหมายแล้ว บางทีก็ด่าเลย พระอะไรวะมีเมียได้ด้วย..!

เถรี
17-12-2010, 12:59
ถาม : แต่ในเรื่องหลักการ ?
ตอบ : หลักการเขาดี แต่ในเรื่องข้อธรรมกลายเป็นว่า โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมมีน้อยแล้ว เพราะมีครอบครัวมาลากถ่วง พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เอกายโน หนทางของคนคนเดียว เพราะถ้าเป็นคนเดียวจะไม่มีความกังวลมาก แต่ถ้ามีหลายคนจิตใจจะมีห่วงกังวลมาก โอกาสที่จะปฏิบัติให้ผ่องใสเพื่อเข้าถึงธรรมก็น้อยลง

แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส ถ้าเราสามารถทรงฌานได้คล่องตัวจริง ๆ อย่างที่เมื่อคืนได้กล่าวถึงความคล่องตัวที่เป็นวสีของระดับต่าง ๆ ถ้าทำอย่างนั้นได้ เราอยู่ที่ไหนก็สามารถที่จะทรงฌานได้ จิตใจของเราสามารถที่จะผ่องใสได้ตลอด เราก็จะใช้ปัญญาพิจารณาได้ถึงความทุกข์ของการมีครอบครัว

ถ้าถึงระดับนั้นกลับเป็นประโยชน์ เพราะเราจะเห็นทุกข์กว่าคนที่ไม่มีครอบครัว ถ้าเราเห็นทุกข์มากกว่าคนที่ไม่มีครอบครัวแล้ว จิตใจเบื่อหน่าย ปล่อยวางออกมา จะได้เร็วกว่านี้ แต่โอกาสที่จะทำให้คล่องตัวระดับนั้นจริง ๆ ก็มีน้อย

ถาม : แต่ในคราบของความเป็นภิกษุ ไม่ถือว่าปาราชิกหรือครับ ?
ตอบ : ถ้านับอย่างนั้นก็ใช่ บอกแล้วว่าหลักการถูกต้อง แต่วิธีการที่ปฏิบัตินั้นผิด

เถรี
17-12-2010, 13:05
ถาม : ถ้าเราไปพบพระภิกษุท่านละสังขาร แล้วสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย ถือว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ?
ตอบ : ถือไม่ได้ สังขารไม่เน่าเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน
สาเหตุแรก อาจจะเกิดจากการกินว่านยาบางอย่าง ทำให้สังขารไม่เน่า
สาเหตุที่สอง มีคาถาบางบทถ้าเสกข้าวกินประจำ ทำให้ไม่เน่าได้
สาเหตุที่สาม ท่านเองอธิษฐานทิ้งร่างเอาไว้ ถ้าถึงระดับนั้นส่วนใหญ่มักจะดี

ฉะนั้น..ตายแล้วศพไม่เน่า ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นพระอริยเจ้า

เถรี
17-12-2010, 13:29
มีโยมมาขอความเมตตาให้พระอาจารย์ท่านสวดบังสุกุลให้ ท่านกล่าวว่า "การบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรก็ได้ไปแค่เปลือก ถ้ารู้ว่าเขาให้ระลึกถึงมรณานุสติ คือ ความตาย ให้เอาใจเกาะพระ หรือเกาะพระนิพพาน ให้เป็นพุทธานุสติหรืออุปสมานุสติก็จะได้กำไร"

เถรี
17-12-2010, 15:49
ถาม : คนที่เขาอยู่ต่างประเทศ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว ?
ตอบ : ให้เอาศีลเป็นกรอบ ถ้าไม่หลุดออกจากกรอบของศีลก็ยังถูกอยู่

เถรี
17-12-2010, 18:18
ถาม : จะขายที่เจ้าค่ะ
ตอบ : ไปจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ตรงนั้น ว่าขออนุญาตขายที่ ถ้าขายได้แล้วจะถวายสังฆทานไปให้

เถรี
17-12-2010, 18:56
วันเสาร์ พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อคืนประมาณตีสาม อาตมานิมิตว่าไปเฝ้าในหลวงที่โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ทรงขอบใจที่นำพระเณรและญาติโยมสวดโพชฌังคปริตรถวายท่านทุกวัน พระองค์ตรัสว่าโรคภัยไข้เจ็บหายหมดแล้ว เหลือแต่โรคคนแก่ ถ้าหายก็แปลว่าไม่อยู่แล้ว

เป็นครั้งแรกที่นิมิตเห็นพระองค์ท่านแล้วอาตมาเป็นพระอยู่ ปกติแล้วถ้านิมิตเห็น จะเป็นข้าราชบริพารรับใช้พระองค์ท่าน อาตมาจึงฉวยโอกาสที่ไม่มีใครอยู่ จับ ๆ คลำ ๆ พระองค์ท่านไปหลายที ไปแล้วต้องเอาให้คุ้ม..!

วันนี้ก็เลยตื่นสาย..เพลินไปหน่อย เข้าเฝ้าแล้วไม่อยากกลับ มีความสุข เหมือนกับได้อยู่ใกล้พ่อแม่ที่มีความรักเรา เป็นความรักชนิดบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรจากลูกเลย ลูกทำความดีให้พระองค์ท่านก็ชื่นใจ บอกให้รู้ว่ารับรู้"

เถรี
17-12-2010, 23:54
ถาม : ผมบวชแล้ว เพิ่งสึกมาไม่นาน สึกแล้วก็ยังพยายามถือศีลแปดทุกวันพระ การรักษาศีลแปดบางทีก็พร่องไปบ้าง ขอคำแนะนำครับ ?
ตอบ : ค่อย ๆ ใส่สติเพิ่มเข้าไป ถึงเวลาบอกกับตัวเองว่า "ไม่" ก็ต้องไม่จริง ๆ อย่าไปผ่อนผันให้กับตัวเอง ถ้าผ่อนผันให้กับตัวเองก็ต้องผ่อนเรื่อยไป ถ้าทำให้จริงจังเด็ดขาดแล้วจะสำเร็จทุกอย่าง

ถาม : เวลานั่งสมาธิ สมาธิระดับไหนจึงพอที่จะเจริญปัญญาขึ้นไปได้ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องปฐมฌานขึ้นไป

ถาม : การพิจารณาในขั้นของปัญญา ต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : พยายามให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้

ถาม : คิดเอาหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่คิดเอา แต่มองให้เห็นจริง แรก ๆ ก็อาจจะคิด พอทำบ่อย ๆ จะเริ่มเห็นและใจยอมรับ ตราบใดที่ใจยังไม่ยอมรับ ก็ยังใช้ไม่ได้

ถาม : ในเรื่องการปฏิบัติ ท่านมีอะไรแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้จริงเท่านั้นก็พอ

เถรี
17-12-2010, 23:55
ถาม : อยากขอคำแนะนำ แผ่เมตตาให้จิตเราปราศจากโทสะได้เร็ว ๆ
ตอบ : ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวเป็นฌานระดับใดระดับหนึ่ง แล้วค่อยแผ่เมตตา หลังจากนั้นก็มาใช้ปัญญาคิดว่า การที่เราโกรธเขาใครเป็นผู้ทุกข์กันแน่ ? ถ้าเราทุกข์เองแล้วเราจะไปโกรธเขาเพื่อซ้ำเติมตนเองไปทำไม ? ตายตอนนั้นก็ลงนรกอีกต่างหาก..! ถ้าใช้ปัญญาคิดเป็นจะหมดโทสะเร็ว

เถรี
17-12-2010, 23:58
ถาม : ถ้าเราไม่อยากอยู่แล้ว แต่เรายังไม่หมดอายุขัย เราจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอยากตาย แปลว่ายังใช้ไม่ได้ เราต้องทำกำลังใจของเราว่า อยู่เราก็ได้ทำความดี ถ้าตายเราก็ได้ไปนิพพาน เพราะฉะนั้น..อยู่ก็ได้ ตายก็ดี ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ เราอยู่ชาติเดียวก็จบ ชาติต่อไปจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว

ถาม : ท่านทำกำลังใจอย่างไร ถึงไม่เบื่อสังขารร่างกาย ?
ตอบ : เราจะพ้นไปอยู่แล้ว วันพรุ่งนี้ไม่มีสำหรับเรา เราอยู่กับร่างกายแค่วันนี้เท่านั้น

เถรี
18-12-2010, 01:53
ถาม : ช่วงนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยก้าวหน้าในเรื่องการงาน รู้สึกว่าฝืดเคือง
ตอบ : ภาวนาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงให้มากไว้ ใช้เป็นคำภาวนาไปเลย

ถาม : เวลาว่างก็ภาวนาตลอด ?
ตอบ : เอาให้ได้วันละอย่างน้อย ๑๐๘ จบ แบ่งเป็นเช้า กลางวัน เย็น เป็นชุด ๆ ไป ให้ได้ครบ ๑๐๘ ทำให้จริง ๆ สักสองเดือนก็จะเห็นผล

เถรี
18-12-2010, 12:04
ถาม : ถ้าเราภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วจะควบกับการเดินจงกรม อย่างขวาพุท-ซ้ายโธด้วย จะทำอย่างไร ?
ตอบ : เอากำลังใจเกือบทั้งหมดไว้ที่ตัวคาถา ความรู้สึกสัก ๑๐-๒๐ เปอร์เซ็นต์อยู่ที่อาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่จำเป็นจะต้องไปว่าคาถาให้ตรงกับการเดิน แค่ให้รู้ว่าตอนนี้กำลังเดินอยู่ก็พอ

กำหนดรู้แค่อาการเคลื่อนไหว แต่กำลังใจส่วนใหญ่ให้อยู่ที่ตัวคาถา

ถาม : แล้วลมหายใจต้องรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ารู้ได้ด้วยก็ดี แต่ถ้ารู้ลมหายใจครบฐานมักจะเดินไม่ออก

ถาม : ยุบหนอพองหนอกับลมหายใจสามฐาน ชุดเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือชุดเดียวกัน แต่จับคนละอย่างกัน ลมหายใจสามฐานเราจับลมเป็นหลัก พองหนอยุบหนอเราจับอาการเคลื่อนไหวของท้องเป็นหลัก

ถาม : ผมเดินจงกรม ทีนี้พระคาถายาว ?
ตอบ : ไม่ต้องใส่ใจ ให้ว่าไปเรื่อย ก้าวละคำก็ยังได้ ไปช้า ๆ เอาให้มีคุณภาพ

ถาม : แล้วเวลาเดินไปแล้ว ต้องมีหยุดหรือเปล่าครับ หรือเดินแล้ววนกลับ ?
ตอบ : แล้วแต่เราถนัด ขอให้ได้ทำเถอะ

เถรี
18-12-2010, 12:05
ถาม : ตอนที่เราจับลมหายใจ ตอนแรกจับสามฐาน พอทำไปสักพักทุกฐานรู้พร้อมกัน ก็คือต้องรู้พร้อมกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..รู้เท่าไรให้กำหนดแค่นั้น จะรู้ตลอดสายตั้งแต่บนยันล่างเลยก็ได้

ถาม : ถ้าเราจับภาพพระ ควรจะแบ่งความรู้สึกไว้ที่ตรงไหนมากกว่ากัน ระหว่างภาพพระกับลมหายใจ ?
ตอบ : ให้ภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปแบ่ง ถึงเวลาก็ให้ภาพพระไหลเข้าไหลออกตามลมหายใจ

เถรี
18-12-2010, 12:10
ถาม : เวลานั่งสมาธิไป บางทีหลับตาไปแล้ว..?
ตอบ : ความจริงก็คือถ้าเราไปสนใจ สมาธิก็จะเคลื่อน บอกแล้วว่าแม้แต่จะตายก็ไม่ต้องไปใส่ใจ คิดอยู่อย่างเดียวว่า เราทำความดีอยู่ ถ้าจะตายลงไปก็ยอม

ฉะนั้น..ถ้าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เรายังปล่อยให้กวนเราได้อยู่ สมาธิก็จะไม่ทรงตัว

ถาม : ตอนที่เรามากำหนดลมหายใจ บางทีเราไปกลัว มีวิธีที่ไม่ให้กลัวไหมครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย ถ้าตัดสินใจได้..ก็ได้ ถ้าตัดสินใจไม่ได้..ก็เป็นอย่างนั้นต่อไป

ถาม : เวลาภาวนาจะมีกลิ่นเข้ามาทำให้สงสัย ถ้าเป็นตอนนั้นเราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : กำหนดใจว่า สิ่งที่เราทำตอนนั้นเป็นบุญกุศลอย่างไร ขอให้ท่านเจ้าของกลิ่นจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอจงได้รับด้วย แล้วเราก็ภาวนาของเราไป

เถรี
18-12-2010, 18:37
ถาม : หนูสงสัยว่า อย่างอารมณ์ที่ถอนออกจากความยินดี ก็คือ การที่เราเห็นความพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วถอยออกมาจากสิ่งนั้น ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ยินดีตรงนี้ของเรานั้นเป็นส่วนของราคะ เป็นรติ ไม่ใช่ยินดีที่เป็นฉันทะในสิ่งที่จะทำความดี เป็นคนละอย่างกัน

ในเมื่อคนละอย่างกัน บางทีภาษาไทยไปเรียกเหมือนกัน จะกลายเป็นว่าเราไปถอนของดีทิ้ง ก็จะยุ่ง

ดังนั้น..ตัวที่เราว่าเป็น รติ คือ ความยินดีที่เนื่องด้วยราคะ พอเราเห็นทุกข์เห็นโทษ จิตก็จะเบื่อหน่าย คลายออกมา เพราะฉะนั้น...ตอนนี้เราต้องพิจารณาให้เห็นโทษของความยินดีที่เนื่องด้วยราคะไปก่อน พอเห็นโทษแล้วสภาพจิตยอมรับว่าไม่ดีจริง ๆ ก็จะหมดอยากเอง พอหมดอยาก ความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดก็จะเกิดขึ้น ถ้าปัญญาเพียงพอ ก็จะถอนจิตออกมาเอง

ถาม : บางทีหนูก็แค่ออกจากตรงนั้น ก็จบแล้ว
ตอบ : บางทีอาจเป็นกำลังของสมาธิ เป็นกำลังของฌาน ไม่ใช่ตัวปัญญา อย่าเพิ่งเชื่อ

ถาม : ค่ะ เชื่อมาหลายยกแล้ว
ตอบ : เชื่อมาหลายยก ก็แปลว่าเจ๊งมาหลายยกแล้ว..!

ถาม : บางทีทำไป เหมือนกับอารมณ์ล้น พอล้น เราก็อยากที่จะเอาออก ไม่ว่าจะเอาออกด้วยการเสียสละสิ่งของ หรือแผ่กระแสสมาธิออกจากตัวเอง
ตอบ : พอเจอลักษณะนี้ให้เปลี่ยนสถานที่หรือเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่อย่างนั้นจะไปต่อไม่ได้

ถาม : หนูไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากสมาธิหรือเป็นตัวที่เกิดจากปัญญากันแน่ บางทีสิ่งที่เราทำไป แต่ก็เหมือนกับไม่ได้ทำ ผ่านแล้วก็ผ่านไปเลย เมื่อเรามาคิดว่า เมื่อครู่เราทำหรือ ? เราทำก็เหมือนไม่ได้ทำ เพราะว่างเปล่าไปแล้ว
ตอบ : ในสภาพของกิเลสบางตัว อำนาจฉุดดึงร้อยรัดนั้นใกล้เคียงกัน คล้ายคลึงกัน ถ้าเราก้าวล่วงตัวหนึ่ง ตัวอื่น ๆ เราก็จะพลอยก้าวผ่านไปด้วย

เถรี
18-12-2010, 18:41
ถาม : หลวงพ่อฤๅษีบอกไว้ในปฏิปทาท่านผู้เฒ่า อย่างอสุภะให้พิจารณาคนเหมือนถุงอุจจาระ จะได้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หรือรังเกียจขยะแขยง แต่หนูเอง ทำไมไม่ผ่านอารมณ์ขยะแขยง แต่กลับไปลงที่ตัวสังขารุเปกขาญาณ ไปลงที่ตัวอนัตตา หรือเห็นเป็นรูปเป็นนามไปเลย
ตอบ : ใช้ได้เหมือนกัน

ถาม : ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อาตมาเองตั้งใจจะไปเอาเมตตาบารมีก็ไม่ได้ เพราะจิตกระโดดไปที่สังขารุเปกขาญาณเลย ขณะเดียวกันตั้งใจจะใช้ตัวอสุภกรรมฐานกับกายคตาสติมาตัดราคะ ก็ตัดไม่สำเร็จ แต่กลับไปตัดได้ด้วยตัวพรหมวิหารสี่แทน

ดังนั้น..บางมุมของกรรมฐานก็ไม่ได้เหมาะสำหรับเรา หรือไม่ได้เหมาะสำหรับคนทั่วไป เพราะแต่ละคนสร้างบารมีเก่ามาไม่เหมือนกัน ในเมื่ออยู่ในแง่มุมอื่น เราสามารถที่จะก้าวผ่านตรงจุดนั้นได้เหมือนกันก็ทำไปเถอะ

ถาม : หนูอยากรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วจะต้องผ่านตัวขยะแขยงก่อน แล้วค่อยไปลงที่อนัตตาหรือเปล่า ?
ตอบ : บางทีก็ข้ามไปได้เลย ไม่จำเป็นจะต้อง หนึ่ง สอง สาม อาจจะ สี่ ห้า หก ไปเลย

ถาม : อย่างหลวงพ่อฤๅษีบอกให้รังเกียจขยะแขยง อันนี้ไม่ถือว่าเป็นตัวยินร้ายหรือคะ ?
ตอบ : จะยินดีหรือยินร้ายก็ตาม ภายหลังก็จะต้องปล่อยออกหมดเหมือนกัน แต่ตัวที่ขยะแขยงตรงจุดนั้น จริง ๆ แล้วเพราะเราเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีจริง ๆ เป็นส่วนยินร้ายที่มีปัญญาประกอบเพราะรู้เห็นว่าไม่ดีจริง ๆ ไม่ใช่ส่วนที่ยินร้ายที่เป็นโทสะจริต

เถรี
18-12-2010, 18:44
หลังจากนั้น พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "โชคดีที่อาตมาอ่านตำรามามากหน่อย เวลาเขาถามเลยไม่จนแต้ม ถ้ามีน้อยหน่อยคงจะตายแน่ เพราะแต่ละคนแง่มุมจะไม่เหมือนกัน ต่อให้คล้ายกันก็ไม่ใช่อย่างเดียวกัน พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

เมื่อสอนถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราจำเป็นต้องเรียนทั้งหมดหรือไม่ ? ไม่จำเป็น..อย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ เพียงแต่ว่าก่อนจะจบ อย่างหนึ่งที่ต้องผ่านแน่เลย ก็คือในเรื่องของกายคตาสติ การพิจารณาร่างกายให้เห็นทุกข์เห็นโทษ ถ้าผ่านตรงจุดนี้ได้จริง ๆ สิ่งทั้งหมดที่ผ่านมาก็จะรวมลงที่เดียวกัน

ที่ว่ารวมลงเป็นที่เดียวกัน เราจะเห็นว่าในพระธรรมบทหรือพระไตรปิฎกกล่าวเอาไว้ว่า "บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก" ตรงจุดนี้หลวงพ่อฤๅษีท่านเคยสงสัยมาแล้ว ท่านบอกว่าเป็นไปได้อย่างไร คนไม่เคยเรียนไม่เคยศึกษามาก่อนเลย อยู่ ๆ กลายเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก

หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสรมหาเถระ) วัดอนงคารามจึงบอกว่า "แกลองไปพิจารณาดูสิ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มีอะไรที่กล่าวห่างไปจากร่างกายนี้บ้าง" สรุปแล้วทั้งหมดลงที่เดียวกัน ในเมื่อทั้งหมดลงที่เดียวกัน รู้จริงอย่างหนึ่งก็เท่ากับรู้ทั้งหมด จึงกลายเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกไปเลย"

เถรี
19-12-2010, 12:03
ถาม : หนูทำงานเกี่ยวกับที่ดิน
ตอบ : มีรูปในหลวงหรือเปล่า ? ให้ตั้งใจบูชาพระบรมรูปในหลวง ในหลวงคือพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ้าของที่ดินทุกผืนในประเทศนี้ ถึงแม้จะมีโฉนดแต่ก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อน

ให้ตั้งใจบูชารูปในหลวง แล้วกราบขอพรท่าน ว่าขอให้เราทำงานเกี่ยวกับเรื่องที่ดินได้โดยสะดวกทุกอย่าง เวลาเราทำบุญอะไร ให้อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลและอุทิศให้แก่เทวดาที่รักษาพระองค์ท่าน ที่ช่วยสงเคราะห์อำนวยความสะดวกให้ด้วย

ถาม : ในการทำงาน เพื่อนร่วมงานเขาไม่จริงใจ
ตอบ : ทุกคนล้วนแล้วแต่เอาประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ เราเองจริงใจกับเขาหรือเปล่า ? ส่วนเขาจะจริงใจกับเราหรือไม่ เราไม่ต้องไปหวัง จงทำตัวประเภทโง่ ๆ ให้เขาเอาเปรียบได้ แล้วเราจะอยู่อย่างมีความสุข ถ้าไปฉลาด พวกนี้ไม่ยอมหรอก เบียดเบียนเราตายเลย

ธรรมชาติของมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ เอาตัวกูของกูไว้ก่อน เหยียบคนอื่นขึ้นไปยังทำกันเป็นปกติ..!

เถรี
19-12-2010, 12:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคนที่ทำบุญอย่างน่าชื่นชมมาก คือ ทำบุญอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำมากนะ แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาท ทำอย่างนั้นทุกเดือน

ประเภทนี้ถือว่าดีมาก ๆ แสดงว่าเป็นคนมีระเบียบวินัย โดยเฉพาะว่ามีวินัยในการทำความดี หาได้ยาก เท่ากับว่าความดีเขามีอยู่แล้ว บุญประจำเขาทำอยู่แล้ว ส่วนอื่นที่เพิ่มขึ้นมาถือว่าเป็นกำไรต่างหาก"

เถรี
19-12-2010, 12:07
ถาม : โยมมีปัญหาทางบ้าน พอย้ายออกมา ฝันเห็นหลวงพ่อมา ในฝันมีโยมคนหนึ่งเอาดินมาให้ท่าน แล้วท่านก็บอกว่าดินก้อนนี้ใช้ได้ อยากจะทราบว่าหลวงพ่อท่านมาบอกอะไร ?
ตอบ : คราวหน้าถามท่านตรงนั้นเลย เรื่องของปริศนาธรรมต่าง ๆ บางทีต้องรอจนเหตุเกิดขึ้น เราจึงจะรู้ได้ ถ้าให้ตีความโอกาสที่จะผิดพลาดมีเยอะมาก

แต่ถ้าเรามานึกว่า ในส่วนของธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายของเรานี้ มีธาตุดินเป็นโครงสร้างหลัก จะสวยงามแค่ไหนก็ตาม ท้ายสุดก็จะชำรุดทรุดโทรมและผุพังไปในที่สุด นึกเสียว่าท่านกำลังใบ้ให้เราพิจารณาธรรมะก็แล้วกัน

เถรี
19-12-2010, 19:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครมีเงินเหลือใช้สัก ๒,๐๐๐,๐๐๐-๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้บอกด้วยนะ อาตมาว่าจะทำซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษาถวายในหลวงสักซุ้มหนึ่ง จะติดชื่อเจ้าภาพให้ด้วย ทางด้านหลังซุ้มตั้งใจจะทำเป็นพระเจดีย์สามองค์ เอาไว้สำหรับให้เจ้าภาพบรรจุอัฐิของบรรพบุรุษหรือผู้ใหญ่ในตระกูล

เมื่อปี ๒๕๔๕ ทำซุ้มประตูหน้าวัดท่าขนุนไป เฉพาะค่าแรงอย่างเดียว ๕๓๐,๐๐๐ บาท ยังไม่รวมค่าของ ฉะนั้น..ปีนี้ยังไม่รู้ว่าทั้งค่าแรงค่าของ ราคา ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาทจะอยู่หรือเปล่า ?

ซุ้มประตูที่จะทำนี้ จะไม่เขียนว่าวัดท่าขนุน แต่จะเขียนว่าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) ตรงซุ้มกลางจะเป็นตราสัญลักษณ์ ๘๔ พรรษาของในหลวง แต่ต้องทำหนังสือทูลขอใช้ตราสัญลักษณ์ก่อน

ถ้ามีเจ้าภาพก็จะทำ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ทำ เพราะไม่ใช่เรื่องรีบด่วน"

เถรี
19-12-2010, 22:25
ถาม : เราเสียสละให้กับคนที่มีมิจฉาทิฏฐิ ที่เขาจองล้างจองผลาญเรา ?
ตอบ : จะว่าไปแล้ว ถ้าเราเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย จริง ๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราก็จะปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตากรุณา

ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ถือว่ากำลังใจของเราดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในส่วนที่เขาทำไม่ดีนั้น ก็เป็นกรรมของเขาเอง เราไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ด้วย

ถาม : มีคนไปรับกรรมแทนคนอื่นได้หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่มี กรรมของใครก็คนนั้นรับไป เพียงแต่ว่าบางคนทำกรรมมาคล้ายคลึงกัน ไปรับกรรมในส่วนที่เหมือนกัน จนกระทั่งดูคล้ายเหมือนกับว่า บุคคลนั้นรับกรรมแทน แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่

ทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกัน เพราะมีเหตุที่ผูกกรรมเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต ดังนั้น..สิ่งที่เขาทำมาในอดีตอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน จึงต้องมารับกรรมคล้าย ๆ กัน

เถรี
20-12-2010, 00:10
พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงชาวบ้านที่ทองผาภูมิว่า "ทองผาภูมิตอนนี้อากาศเย็นมาก ญาติโยมก็ดีกันเหลือเกิน ไม่ว่าจะหนาวแค่ไหนก็ตาม ยังตื่นมาใส่บาตรจนได้ คนที่ทำบุญสม่ำเสมอแสดงว่าเขาทรงฌานในจาคานุสติ หรือทรงฌานในทานบารมี ถึงเวลาก็ต้องลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่เขาคุ้นชินจนได้

มีอยู่บ้านหนึ่ง สามีภรรยาเป็นคนต่างด้าว ยังหนุ่มยังสาวอยู่ ตอนแต่งงานเขาก็นิมนต์พระวัดท่าขนุนไป อาตมาได้รับกิจนิมนต์ไปพอดี ญาติโยมเขาบอกว่าดีใจมาก ไม่นึกว่าพระอาจารย์จะมาเอง เพราะบ้านเขาจนมาก อาตมาจึงบอกว่า "โยม..แม้แต่อาตมาเองยังไม่รู้เลยว่าจะได้ไปกิจนิมนต์ที่ไหน เพราะผู้ที่จัดเวรกิจนิมนต์ก็คือพระครูน้อย เขาจัดไปไหนอาตมาก็ต้องไป"

เวลาเช้า ๆ สามีภรรยาคู่นี้จะออกมาใส่บาตรทุกวัน บางวันหุงข้าวไม่ทัน จนกระทั่งอาตมาบิณฑบาตขากลับแล้ว เขาถึงขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามมา แล้วแซงหน้าเพื่อใส่บาตร อย่างไรเขาก็ต้องใส่บาตรของเขาให้ได้ทุกวัน จะช้าจะเร็วเขาก็ต้องทำ"

เถรี
20-12-2010, 00:13
"เรื่องของผู้หญิง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้หญิงมีความทุกข์มากกว่าผู้ชาย ๕ ประการ ได้แก่
๑. ต้องมีระดู (ประจำเดือน)
๒. ต้องตั้งครรภ์
๓. ต้องคลอดบุตร
๔. ต้องบำเรอสามี
๕. ต้องดูแลญาติของสามี

เพราะฉะนั้น..ถ้าผู้หญิงไม่แต่งงาน ความทุกข์ลดไปหลายอย่าง เหลืออยู่อย่างเดียวที่เป็นธรรมชาติที่แก้ไขไม่ได้ ก็คือ ต้องมีระดู

แต่ในเรื่องของครอบครัว หนักนิดเบาหน่อยก็จะต้องมีกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา เพราะว่าไม่ใช่พระอริยเจ้าอย่างพระสกิทาคามี การกระทบก็ยังแรงอยู่ เหมือนลิ้นกับฟัน จะมากจะน้อยก็ต้องมีปัญหา

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสมชีวิธรรมว่า บุคคลที่จะแต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีการบริจาคเสมอกัน เป็นต้น

อย่างโบราณเขาบอกว่า ผัวเทวดาก็ต้องเมียนางฟ้า ถ้าผัวเทวดาแต่เมียเป็นนางยักษ์ก็ไปกันไม่ได้ ถ้าผัวเทวดามีเมียมนุษย์ไปกันได้ แต่ก็ไม่เสมอกันอยู่ดี"

เถรี
20-12-2010, 12:12
ถาม : พระสกทาคามีมีครอบครัวได้หรือครับ ?
ตอบ : เขามีครอบครัวไปแล้วถึงไปเป็นพระสกทาคามี ถ้าพระสกทาคามีจริง ๆ โอกาสที่จะมีครอบครัวแทบจะเป็นศูนย์ เพราะอารมณ์ใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศแทบจะไม่มีแล้ว ถ้าจะดูตัวอย่าง ต้องดูพระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานี นอนหันหลังให้กันเป็นปี ๆ ประเภทหนุ่มสาวทั้งคู่ จับคลุมถุงชนกันทั้ง ๆ ที่ไม่อยากแต่ง ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายขี้ริ้วนะ สุดสวยสุดหล่อด้วยกันทั้งคู่

ถ้าไม่ได้กำลังใจอย่างพระสกทาคามี ไม่มีทางที่จะไปรักษาพรหมจรรย์อยู่ได้ จึงขอฟันธงว่า พระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานี จะต้องเป็นพระอริยเจ้าลงมาเกิด และจะต้องเป็นพระอริยเจ้าระดับสกทาคามี ที่เรียกว่าเอกพิชี เกิดครั้งเดียวแล้วเข้านิพพาน พระโสดาบันเอกพิชี ก็คือ พระสกทาคามีนั่นเอง

เถรี
20-12-2010, 12:18
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องทานบารมีว่า "ในเรื่องทานบารมี บุคคลที่มาทางสายหลวงพ่อฤๅษีทานบารมีจะล้น เห็นเป็นไม่ได้ เห็นเป็นทำ ที่ขำที่สุดก็คือ มีโยมคนหนึ่งเอาขันทองเหลืองมาถวายให้อาตมาหล่อพระ พอเขาวางลงอาตมาก็ให้พร ลืมตาขึ้นมาเห็นเงินอยู่ครึ่งขัน คนรอบข้างเขาแย่งกันหย่อนใส่ เห็นขันเห็นบาตรเป็นไม่ได้ เห็นเป็นต้องใส่เอาไว้ก่อน

บุคคลที่สร้างทานบารมีไว้มาก ถ้าเกิดใหม่คงจะรวยจนนับไม่ได้ ทานบารมีทั่ว ๆ ไปให้อานิสงส์ในเรื่องของโภคสมบัติและทรัพย์สมบัติต่าง ๆ โดยเฉพาะทานบารมีที่ตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน มีผลเป็นมหาเศรษฐีอย่างเดียว โดยเฉพาะมหาเศรษฐีนั้นจะมีทรัพย์ไม่ต่ำกว่า ๘๐ โกฎิ ก็คือ ๘๐๐ ล้านบาท แต่ ๘๐๐ ล้านสมัยก่อน นับเป็นสมัยนี้ต้องคูณเข้าไปไม่รู้ตั้งกี่เท่า ถ้าทำมากก็มีมากกว่า ๘๐๐ ล้าน

แต่ถ้าเอาถึงขั้นท่านเมณฑกเศรษฐี ก็มีเงินจนนับไม่ได้ ถึงเวลาต้องตวงใส่เกวียนเอา รอบ ๆ บ้านหน่อไม้งอกเป็นทอง แถมยังมีแพะทองคำตัวเท่าช้างยืนล้อมรอบบ้านอีก ๕๐๐ ตัว ในปากแพะทองคำมีสายกลไก อยากได้อะไรไปดึงเอา ดึงแล้วคิดว่าอยากจะได้อะไร แพะก็จะคายของชนิดนั้นออกมา น่าจะเป็นสถิติเศรษฐีคนเดียวที่ไม่รู้ว่าตนเองมีเงินเท่าไร"

เถรี
20-12-2010, 12:36
"เมื่อเมณฑกเศรษฐีให้ของขวัญวันแต่งงานแก่หลานสาว ก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านให้เงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ให้ทอง ๕๐๐ เล่มเกวียน ให้ภาชนะ ๕๐๐ เล่มเกวียน ฯลฯ นี่เป็นแค่ของขวัญวันแต่งงาน ยังไม่ได้ให้มรดกเลยนะ

นอกจากนี้ยังให้ลูกน้องไปยืนเป็นระยะตลอดหนึ่งโยชน์ (๑๖ กิโลเมตร) ให้คนเหล่านั้นถือฆ้องไว้ แล้วเปิดคอกปล่อยวัวเดินไป ถ้าวัวเดินไปได้ระยะทางหนึ่งโยชน์ให้ตีฆ้องบอก จะได้ปิดคอก ลองคิดดูว่า วัวเดินเต็มถนนเป็นระยะทาง ๑๖ กิโลเมตรเท่ากับวัวกี่หมื่นกี่แสนตัว ? ปรากฏว่านางวิสาขาทำบุญไว้ดี ถึงปิดคอกแล้ววัวก็ยังกระโดดข้ามคอกไปจนหมดเกลี้ยงเลย..!

เพราะว่าในอดีตชาตินางวิสาขาทำบุญแล้วชอบแถม เพิ่มนิดเพิ่มหน่อยไปเรื่อย พอนางวิสาขาเดินทางไปถึงเมืองสาเกต ก็ไล่แจกเงินแจกทอง แจกวัว แจกของแก่ชาวสาเกต บาลีเขาบอกว่า "ยังทุกคนในเมืองให้มีฐานะเสมอกัน" แปลว่า ถ้าคนนี้มีหนึ่งแสนก็เอาไปเก้าแสน คนนี้มีแปดแสนเอาไปสองแสน ทุกคนมีหนึ่งล้านเท่ากันหมด

มีใครเคยสงสัยหรือไม่ ว่าทำไมเพชรเม็ดใหญ่ ๆ จึงต้องไปจากประเทศอินเดีย ? สมัยที่ประเทศอังกฤษเขาครองอินเดีย เขายึดเพชรไปเยอะ เพราะเขาไปขุดพบพระสถูปเจดีย์ที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชา

พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทิ้งแก้วมณีไว้ก้อนหนึ่ง แก้วมณีคือโคตรเพชร มีจารึกไว้ด้วยว่า "กาลต่อไปข้างหน้า ถ้าพระมหากษัตริย์ท่านใดมีฐานะยากจน มีของที่จะถวายเป็นพุทธบูชาไม่สมแก่กำลังใจ ก็ให้ถือเอาแก้วมณีก้อนนี้ไปถวายเป็นพุทธบูชา" บรรดาเพชรก้อนโต ๆ ที่ไปจากอินเดีย น่าจะเป็นเพราะพระเจ้าอโศกมหาราชทิ้งเอาไว้"

เถรี
20-12-2010, 12:44
"พระมหากษัตริย์ที่มีคุณูปการต่อพุทธศาสนา ในสมัยแรก ๆ คือ พระเจ้าพิมพิสาร ท่านประกาศตนนับถือพุทธศาสนา เพราะบรรลุพระโสดาบัน หลังจากนั้นก็เป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑

การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑ ทำอยู่ ๗ เดือนเต็ม ๆ โดยพระอรหันต์ทั้งหมด ๕๐๐ องค์ เราลองคิดดูว่าพระ ๕๐๐ องค์ ท่านต้องฉันกันวันหนึ่งขนาดไหน ? ๒๑๐ วันเป็นอย่างน้อยจะหมดเงินไปเท่าไร ? ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารอย่างเดียว ที่อยู่อาศัย ของใช้ไม้สอย ผ้าผ่อนต่าง ๆ พระเจ้าอชาตศัตรูท่านถวายหมด ถ้าไม่ใช่ระดับพระมหากษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์ก็ไปไม่รอดหรอก

น่าเสียดายที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทำปิตุฆาต ก็คือฆ่าพ่อ ฆ่าพระเจ้าพิมพิสารเพื่อแย่งราชสมบัติ กลายเป็นอนันตริยกรรม ปิดมรรคปิดผล ไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ ขนาดได้ฟังสามัญญผลสูตรจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้แต่ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะกรรมใหญ่ไปบังเสียแล้ว"

เถรี
20-12-2010, 18:36
"ลำดับถัดมาก็เป็นพระเจ้ากาลาโศกราช ห่างจากสมัยพระเจ้าอชาตศัตรู ๑๐๐ ปีเต็ม พระองค์ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ ที่เมืองเวสาลี แต่องค์อุปถัมภ์พุทธศาสนาที่โด่งดังจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก ก็คือ พระเจ้าอโศกมหาราช

พระเจ้าอโศกมหาราชทรงจัดการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ หลังจากพุทธปรินิพพานไปแล้ว ๒๓๖ ปี เมื่ออุปถัมภ์การสังคายนา ชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์แล้ว ยังให้ขุดรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุทั่วทั้งชมพูทวีปมารวมไว้ แล้วสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ทั่วทั้งชมพูทวีป แบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุ

นอกจากนั้นแล้ว ยังตามหาสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และ ปรินิพพาน หรือที่เราเรียกกันว่า สังเวชนียสถาน ๔ ตามหาว่าอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วสร้างเสาอโศกก็คือต้นเสาที่มียอดเป็นสิงห์ ๔ ตัวหันหลังชนกัน จารึกอักษรระบุสถานที่ไว้ว่าตรงนี้คือที่ไหน

ทำให้มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าพระพุทธเจ้าของเรามีตัวตนอย่างแท้จริง สถานที่ซึ่งพระท่านเกิด สถานที่ตรัสรู้คือเรียนจบ สถานที่แสดงปฐมเทศนา คือ เปิดการสอนครั้งแรก และสถานที่ปรินิพพาน ในภาษาของชาวบ้านก็คือที่ตาย นั้นมีอยู่จริง เพราะว่าห่างจากสมัยพุทธกาลแค่ ๒๓๖ ปี ถ้าเป็นสมัยนี้ไปงมหา ไม่รู้ว่าจะเจอหรือเปล่า

อย่างประเทศพม่าหลายต่อหลายแห่ง เป็นที่ซึ่งเขาตั้งใจสร้างเรื่องขึ้นมาให้เกี่ยวข้องกับพุทธกาล แล้วระบุว่าเป็นที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ถามว่าใช่หรือไม่ ? หลายต่อหลายแห่งไม่ใช่ แต่ถามว่าดีหรือไม่ ? ก็ดี..เพราะทำให้คนยึดในพุทธานุสติ คือ นึกถึงพระพุทธเจ้าได้"

เถรี
20-12-2010, 19:03
"องค์ต่อมาซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าทำคุณแก่พุทธศาสนาอย่างมหาศาล ในช่วงประมาณพุทธศักราช ๗๐๐ คือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช นอกจากทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีแนวความคิดที่เปิดกว้างมาก

พระองค์นิมนต์ทั้งพระที่เป็นเถรวาทและมหายานมารวมกัน แล้วยังนิมนต์พราหมณ์มาร่วมงานด้วย ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกแล้วจารึกพระไตรปิฎกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โศลก ถ้าเป็นในปัจจุบันคือ ๑๐๐,๐๐๐ หัวข้อ เป็นภาษาสันสกฤตแล้วนำไปถวายให้กับประเทศต่าง ๆ

โดยเฉพาะการจารึกพระไตรปิฎก มีการจารึกเป็นภาษาสันสกฤต ทำให้คนทั่ว ๆ ไปสามารถที่จะอ่านเข้าใจได้ การสังคายนาพระไตรปิฎก ๓ ครั้งแรก เป็นการจารึกด้วยตัวอักษรบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ตายแล้วไม่มีคนใช้

สาเหตุที่จารึกด้วยอักษรที่ไม่มีคนใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้คำสอนผิดเพี้ยนไป ความหมายจะได้คงเดิมตลอด รักษาพุทธวจนะได้อย่างมั่นคง แต่พอมาจารึกเป็นสันสกฤต ความหมายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป คำพูดหนึ่งก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป

อย่างสมัยก่อนเขาเรียกว่า "ชิ้น" สมัยถัดมาเป็น "คู่รัก" สมัยถัดมาเรียกว่า "แฟน" ปัจจุบันก็มี "กิ๊ก" อีก คำพูดเปลี่ยนไปเรื่อย ความหมายก็จะเปลี่ยน แต่ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่คนอินเดียใช้กันเป็นปกติอยู่แล้ว ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปอ่านเข้าใจ ทำให้พุทธศาสนาเผยแผ่กว้างไกลขึ้นได้

ดังนั้น..พระมหากษัตริย์ที่มีคุณูปการแก่พระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกจริง ๆ ก็ต้องนับพระเจ้าอโศกมหาราชและพระเจ้ากนิษกะมหาราช สำหรับท่านอื่น ๆ ผลงานของท่านยังอยู่ในวงแคบ ทั่วโลกไม่ได้รู้จักชัดเจนเหมือนสองพระองค์นี้"

เถรี
20-12-2010, 22:16
"ถ้ากล่าวถึงประเทศไทย โชคดีที่สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา ตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน ก็คือสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา พระมหากษัตริย์ของเราต่างเป็นพุทธมามกะมาโดยตลอด จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระมหากษัตริย์เสด็จออกบวชเองเลย และได้สร้างพระพุทธรูปใหญ่สามองค์ ก็คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ไว้ให้ประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้บูชา

ทำให้กษัตริย์ยุคหลัง ๆ มา ถือเป็นแบบอย่าง ถึงเวลาก็เวนราชสมบัติให้ผู้อื่นดูแล แล้วเสด็จออกบวชชั่วคราว กลายเป็นธรรมเนียมประเพณี พอถึงสมัยอยุธยาช่วงกลาง รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ใครที่เข้ารับราชการ ถ้าไม่บวชจะไม่ให้รับราชการ ต้องเป็นผู้เคยบวชมาก่อนเท่านั้น

ดังนั้น..ถ้าผู้นำประเทศนับถือศาสนาไหน ศาสนานั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง โชคดีที่พระมหากษัตริย์ของเรานับถือศาสนาพุทธมาโดยตลอด ที่น่าเกรงกลัวที่สุด ก็คือ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะทางพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ขอให้พระองค์นับถือศาสนาคริสต์ การขัดใจมหาอำนาจสมัยนั้น มีแต่จะนำสงครามและความเดือดร้อนมาสู่ประเทศชาติ แล้วทำไมพระองค์ท่านจึงไม่นับถือศาสนาคริสต์ ?

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรัสว่า "ถ้าหากพระเจ้ามีพระประสงค์จะให้พระองค์เป็นคริสตศาสนิกชน ก็คงจะทรงดลบันดาลให้พระองค์ถือคริสต์ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อพระเจ้าทรงดลบันดาลให้ถือศาสนาพุทธ ก็ถือว่าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่จะให้พระองค์นับถือศาสนาพุทธ" ทำเอาอีกฝ่ายเถียงไม่ออก เพราะฝรั่งเขาจะอ้างความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ากันทั้งนั้น"

เถรี
21-12-2010, 01:28
"ในครั้งนั้น ถ้าศาสนาคริสต์เข้ายึดกุมพระมหากษัตริย์ได้ คิดว่าประเทศของเราน่าจะเป็นคริสต์ไปแล้ว แต่เมื่อกล่าวถึงตรงจุดนี้ ก็อยากให้ดูความดีของศาสนาหนึ่ง ก็คือศาสนาพราหมณ์ฮินดู

ศาสนาพราหมณ์ฮินดูสมัยแรก ๆ มีการเข้าถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ โดยเฉพาะพระราชพิธีแทบจะเป็นพิธีพราหมณ์ล้วน ๆ เพิ่งจะมีการแทรกศาสนาพุทธเข้าไปในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงครองราชย์ เพราะพระองค์ทรงผนวชมาถึง ๒๗ พรรษา เวลามีพระราชพิธีก็ทรงให้แทรกพิธีสงฆ์เข้าไปด้วย

ปัจจุบันกลายเป็นพราหมณ์กับพุทธกลืนกัน แทบจะแยกกันไม่ออก ว่าอย่างไหนเป็นพิธีพราหมณ์ อย่างไหนเป็นพิธีพุทธ ที่เห็นชัด ๆ ก็คือพิธีแรกนาขวัญ นี่เป็นพิธีพราหมณ์อย่างแน่นอน

ศาสนาพราหมณ์เข้าถึงองค์พระมหากษัตริย์ เป็นที่เชื่อถือและปฏิบัติตามอย่างชัดเจนตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่จนบัดนี้ ศาสนาพราหมณ์ก็ยังคงมีศาสนิกแค่ไม่กี่คน เพราะเขาไม่ได้กดดันพระมหากษัตริย์ให้บีบบังคับประชาชนนับถือศาสนาพราหมณ์ เราลองนึกดูว่า ถ้าเป็นศาสนาอื่นจะทำอย่างไร ?

สมัยที่ราชวงศ์ไศเรนทร์ครองความเป็นใหญ่ทางด้านนครศรีธรรมราชไปจนถึงเกาะสุมาตรา อาณาจักรพุทธศาสนาแผ่กว้างใหญ่ไพศาลมาก มีบรมพุทโธเป็นอนุสรณ์สถาน ยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ

แต่พอเปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์มัชปาหิต ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศาสนาพุทธแทบจะขาดสูญไปจากอินโดนีเซีย แม้กระทั่งปักษ์ใต้ของเรา ศาสนาอิสลามก็ลามขึ้นมา จนกลายเป็นอิสลามเกือบหมด

เราจะเห็นว่าการเผยแผ่ศาสนาของแต่ละศาสนาจะไม่เหมือนกัน ศาสนาอิสลามโดยส่วนใหญ่เผยแผ่โดยวิธีสงคราม บุกเข้าไปยึดแล้วบังคับให้นับถือ อย่างเช่น บุกเข้าไปยึดอินเดีย ทำลายศาสนาอื่น แล้วบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม เป็นต้น ส่วนศาสนาพุทธของเราใช้วิธีธรรมยุทธ เผยแผ่โดยธรรม คุณจะเห็นดีเห็นงามแล้วนับถือตามหรือไม่เราไม่ว่ากัน"

เถรี
21-12-2010, 13:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่พรหมเทวดาทั้งหมดพร้อมใจกันไปอัญเชิญสันดุสิตเทพบุตรลงมาจากชั้นดุสิต เพื่อจุติลงมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา มีธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งว่า ท่านต้องพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะ ก็คือความพร้อม ๕ อย่าง

๑) กาล ทรงเลือกอายุกาลของมนุษย์ ถ้าหากมนุษย์ในสมัยนั้นอายุยืนเกินไป เมื่อเอ่ยถึงความไม่เที่ยง เขาก็จะเห็นไม่ชัด ถ้าอายุน้อยเกินไป โอกาสที่จะบรรลุธรรมก็มีน้อย เพราะจะชิงตายไปเสียก่อน

สันดุสิตเทพบุตรก็พิจารณาว่า ช่วงนี้อายุขัยมนุษย์มี ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ ท่านเห็นว่าไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป สามารถที่จะกล่าวถึงความไม่เที่ยง และความเป็นทุกข์ให้คนเห็นได้ง่าย

๒) ทวีป ทรงเลือกว่าควรจะจุติไปสู่ทวีปไหน ในทวีปอื่น ๆ นั้น มนุษย์ล้วนแล้วแต่อายุยืน อย่างน้อยก็หลายร้อยปีขึ้นไป จึงเห็นชมพูทวีปเหมาะที่สุด

๓) ประเทศ ทรงเลือกกรุงกบิลพัสดุ์เป็นที่เกิด เพราะอยู่ในมัธยมประเทศ จะได้ง่ายต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

๔) ตระกูล ส่วนใหญ่แล้วพระพุทธเจ้าจะจุติในตระกูลที่เป็นพราหมณ์หรือเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วแต่ว่าในยุคนั้นนิยมอย่างไหนว่าเป็นตระกูลที่สูงกว่า

สันดุสิตเทพบุตรได้จุติมาในตระกูลของศากยวงศ์ในแคว้นกบิลพัสดุ์ เพราะว่าเนื่องด้วยเหตุข้อต่อไปก็คือ บุคคลที่จะเป็นพุทธมารดา

๕) พุทธมารดา จะต้องเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความดีทั้งปวง และประกอบด้วยเบญจกัลยาณี ๕ ประการ และอิตถีลักษณะที่งามสมบูรณ์พร้อมอีก ๖๔ ประการ พูดง่าย ๆ ว่า สวยสมบูรณ์พร้อม หาที่ติไม่เจอ เมื่อเห็นว่ามีความพร้อมแล้วจึงได้รับอาราธนาลงมาเกิด

โดยทั่วไปแล้วความเปลี่ยนแปลงของอายุขัยจะเกิดขึ้น ก็คือ ๑๐๐ ปีผ่านไป อายุจะลดลงปีหนึ่ง จากสมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันผ่านไปแล้ว ๒๕๕๓ ปี แปลว่า จะลดลงไป ๒๕ ปีเศษ ๆ เพราะฉะนั้น..อายุขัยของคนในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ ๗๔ ปีกว่า อาจจะ ๗๔ ปีและอีก ๕ เดือน ดังนั้น..ใครอายุเกินกว่านี้ถือว่าเริ่มมีกำไรแล้ว"

เถรี
21-12-2010, 13:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องไม่กลัวตาย ต้องยกให้กับนักบินไทย เขาไปแสดงฝีมือเอาไว้ตั้งแต่รุ่นแรก ๆ รุ่นที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ส่งไปเรียนต่างประเทศ อาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยเราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เวสารัชชกรณธรรม การกระทำที่ทำให้กล้า ประกอบไปด้วย ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมภะ ปัญญา

ความศรัทธาเชื่อมั่นนั้น ประกอบไปด้วย
๑) เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ถ้าเราเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยจนมั่นคง จะมีความกล้า ไม่กลัวตาย
๒) เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่น วัตถุมงคลต่าง ๆ ที่เรานับถือ ต่อให้ไม่ใช่รูปพระ เป็นวัตถุอย่างอื่น เช่น เหล็กไหล ปรอทสำเร็จ ก็ได้
๓) เชื่อมั่นในผู้นำ ถ้าผู้นำเก่งกล้า มีความสามารถ ลูกน้องก็จะกล้าตาม
๔) เชื่อมั่นในตนเอง สำคัญที่สุดก็คือ มีความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้ายังไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ยังต้องอาศัยผู้อื่นตลอด ก็จะยังไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ในเมื่อนักบินไทยมีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะแขวนพระ เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สงเคราะห์เข้าข้อเดียวกัน เชื่อมั่นในผู้นำ มีบารมีพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครอง ท้ายสุดเชื่อมั่นในตนเอง รุ่นนั้นจบกลับมา เป็นคุณหลวง คุณพระกันหมด

เขาบอกว่าเวลาฝึกซ้อมบิน จะมีการฝึกซ้อมที่ดับเครื่องแล้วปล่อยเครื่องร่อนลงมาอย่างใบไม้ร่วง ถ้าจำไม่ผิด เขาให้ร่อนลงใกล้พื้นดินได้มากที่สุด ๒๐๐ เมตร ต่ำกว่านั้นไม่ได้ หลังจากนั้นค่อยติดเครื่องแล้วดึงเครื่องกลับขึ้นไป

ไม่รู้เหมือนกันว่าทหารไทยของเราลืมขั้นตอนไป หรือใจถึงกันแน่ พ่อปล่อยเครื่องจนจะถึงยอดไม้อยู่แล้วค่อยดึงเครื่องขึ้น รุ่นนั้นกลับมาในหลวงรัชกาลที่ ๖ พระราชทานยศให้หมด อย่างคุณพระทะยานอากาศ คุณหลวงสันทัดยนตรกรรม เป็นต้น นับเป็นนักบินรุ่นแรก ๆ ของประเทศไทย"

เถรี
21-12-2010, 16:34
"นักบินที่โด่งดังที่สุดก็คือ จอมพลอากาศขุนรณนภากาศ ฤทธาคนี หรือ "ปู่ฟื้น" ปกติแล้วเวลาทหารเกษียณเขาจะมีบำเหน็จบำนาญ ปู่ฟื้นท่านรับบำนาญจนกองทัพแทบจะเจ๊งเพราะอายุเกือบร้อยปี

ปู่ฟื้นเป็นจอมพลอากาศท่านเดียวที่ได้มาโดยฝีมือ อย่างท่านจอมพลอากาศเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ท่านตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ จากยศพลอากาศตรีเขาจึงเลื่อนท่านเป็นจอมพลอากาศ แต่ปู่ฟื้นได้มาด้วยฝีมือจริง ๆ

ช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ปู่ฟื้นเอาเครื่องบินปีกสองชั้น ไปดวลกับเครื่องบินไอพ่นคอร์แซร์ของฝรั่งเศส ดวลกัน ๑ ต่อ ๔ เหมือนกับเอาแท็กซี่ไปดวลกับโรลส์รอยซ์ แถมยังเป็นโรลส์รอยซ์ ๔ ลำด้วย ปรากฏว่าปู่ฟื้นมีฝีมือดีกว่า ดับเครื่องทิ้งตัวหลบกระสุนลงไปถึงยอดไม้แล้วค่อยดึงเครื่องขึ้น ใครจะกล้าตาม เพราะเขากลัวตาย..!

ต่างฝ่ายต่างยิงกันจนกระสุนหมด ปู่ฟื้นจึงบินกลับ เครื่องบินไอพ่นฝรั่งเศส ๔ ลำนั้น บินตามมาส่งถึงสนามบินจันทบุรี ตอนนั้นกองทัพไทยแตกตื่นกันหมด นึกว่าฝรั่งเศสบุกจันทบุรี ความจริงเขาบินมาส่ง เขารักฝีมือของปู่ฟื้น อำลากันตรงสนามบินแล้วก็พวกเขาก็บินกลับ"

เถรี
21-12-2010, 21:48
"ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนั้นไทยรบชนะฝรั่งเศส ทั้ง ๆ ที่อาวุธสู้เขาไม่ได้ แต่ฝีมือเหนือกว่า จึงได้พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณมาเป็นของเรา ตอนหลังโดนกดดันจึงต้องคืนเขาไป แต่ขอให้ภูมิใจว่า เรารบชนะประเทศมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสในสมัยนั้นมาแล้ว และฝรั่งเศสก็ไม่ได้เอาทหารของตัวเองมาทั้งหมด เขาเอาทหารโมร็อคโคมารบแทน เพราะว่าตอนนั้นโมร็อคโคเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส

ปู่ฟื้นจึงได้เป็นท่านขุน รัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งให้เป็นขุนรณนภากาศฤทธาคนี ยศของท่านเจริญมาเรื่อย ๆ จนเป็นจอมพลอากาศ

เราจะเห็นว่าสมัยนั้นยศทหารก็ไม่ได้ใหญ่ เช่น พันเอกพระยาทรงสุรเดช หัวหน้าคณะปฏิวัติ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พันโทมังกร พรหมโยธี คณะราษฎร์ที่ปฏิวัติในหลวงรัชกาลที่ ๗

ยศนายพลเพิ่งจะมาเฟ้อในสมัยเรานี่เอง นายพลเดินชนกันไปเดินชนกันมา ยศร้อยตรีเวลาเข้ากรุงเทพฯ เขามองไม่เห็นหัวเลย ขนาดยศพันโทพันตรียังต้องเดินตัวลีบ แต่พอไปอยู่ต่างจังหวัด ยศร้อยตรีร้อยโททำไมใหญ่จัง ? ราคาต่างกันมาก เพราะฉะนั้น..ยอมลำบากอยู่บ้านนอกเป็นหัวหมาดีกว่า..!"

เถรี
21-12-2010, 22:31
"เราจะเห็นว่า บรรพบุรุษของเราทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อประเทศชาติมาตลอด ถ้าเราดูพระราชปณิธานของพระเจ้าตากสินมหาราช

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม


พระองค์ท่านระบุไว้ชัดเลยว่า ถวายแผ่นดินเป็นพุทธบูชา พอสมัยรัชกาลที่ ๑ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ออกศึกที่ท่าดินแเดง พระองค์ท่านไปตั้งค่ายที่ด่านท่าขนุน ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในนิราศท่าดินแดงว่า

ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี

พระมหากษัตริย์ของเรา นอกจากจะเป็นพุทธมามกะมาโดยตลอดแล้ว ยังมีหลักธรรมที่ยึดถือและปฏิบัติอย่างชัดเจนที่สุดก็คือทศพิธราชธรรม ใครที่เป็นผู้ปกครองก็สามารถที่จะนำหลักการนี้ไปปฏิบัติได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วไปไม่รอด มักจะแพ้ใจตัวเอง

ถึงเวลาแทนที่จะยอมลำบากเพื่อคนหมู่มาก ปณิธานก็แปรเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นทำเพื่อประโยชน์สุขของตัวเอง หรือไม่ก็อย่างปัจจุบันที่สื่อมวลชนเขาใช้คำเจ็บ ๆ ว่า "เพื่อพวกพ้องและตัวกูเอง"

ดังนั้น..ในเรื่องของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา แม้ว่าจะดีเลิศขนาดไหนก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ด้วย ถ้าเขาไม่เอาไปใช้เสียอย่างก็ไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย"

เถรี
21-12-2010, 22:58
"ในระบอบการปกครองต่าง ๆ นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ มีโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ และธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ ถ้าเป็นเราก็ต้องบอกว่าธรรมาธิปไตยเป็นของดี แต่จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้

อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ เช่น พวกเผด็จการ แต่เราลองมาดูว่า รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระปิยมหาราชของเรา พระองค์ท่านก็เผด็จการ เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว แต่พระองค์ท่านทรงศีลทรงธรรม กลายเป็นว่าอัตตาธิปไตยเป็นของดี เพราะไม่ติดด้วยขั้นตอนใด ๆ สั่งเมื่อไรก็ต้องทำ บ้านเมืองยุคนั้นจึงเจริญมาก ประเทศญี่ปุ่นยังต้องขอคนของเราไปช่วยพัฒนาบ้านเขา

ปัจจุบันประเทศของเราเป็นโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากแล้วเป็นอย่างไร ? ประเทศชาติวุ่นวายแค่ไหน ? เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของหลักการปฏิบัติขึ้นอยู่กับคนว่ามีธรรมาธิปไตย คือ มีธรรมอยู่ในหัวใจสักเท่าไร ถ้าขาดธรรมาธิปไตยแล้วไปไม่รอดอย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ตรัสสรรเสริญการปกครองระบอบใดทั้งสิ้น เพราะว่าดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่ระบบ แต่ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวบุคคล

พระองค์ท่านตรัสว่า ถ้าเป็นระบอบกษัตริย์จะต้องมีทศพิธราชธรรม ถ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิต้องมีจักรวรรดิวัตร แต่ถ้าเป็นคณะผู้ปกครองแบบสามัคคีธรรม ต้องมีอปริหานิยธรรม พระองค์ท่านมอบธรรมะที่เหมาะสมกับการปกครองนั้น ๆ ให้ไว้โดยสมบูรณ์อยู่แล้ว"

เถรี
23-12-2010, 07:21
"ถ้ายึดหลักธรรมเหล่านี้ ประเทศชาติของเราก็จะสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ไพร่ฟ้าหน้าใส แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีธรรมเป็นใหญ่ ก็จะเดือดร้อนวุ่นวายกันทั้งแผ่นดิน

ถ้าใครอ่านเวนิชวาณิช ที่รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า

อันว่าความกรุณาปรานี..............จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ..........จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
เป็นสิ่งดีสองชั้นพลันปลื้มใจ.........แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล
เป็นพลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น.............เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา

เพราะฉะนั้น..อย่างไรผู้นำประเทศก็ทิ้งหลักธรรมไม่ได้ ทิ้งธรรมเมื่อไรก็แย่ โดยเฉพาะหลักความยุติธรรม จะต้องมีจิตใจที่ปราศจากอคติโดยสิ้นเชิง คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก เห็นแก่พวกพ้อง ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ เกลียดว่าเขาไม่ใช่พวกตัวเอง ไม่ลำเอียงเพราะหลง เห็นผิดเป็นชอบ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว เห็นว่าเส้นใหญ่เลยกลัว

ถ้าปราศจากอคติ เราก็สามารถที่จะใช้คนทุกคนได้ เพราะคนเขาเห็นความยุติธรรม ตอนอาตมารับราชการ เจ้านายไม่ชอบขี้หน้าอาตมาเลย เพื่อน ๆ เขาบอกว่า "มึงรู้ไหมว่านายเขาไม่ชอบหน้า เขาบอกว่า มึงรู้แล้วทำไมต้องพูดด้วย" เพราะอาตมารู้แล้วหุบปากไม่เป็น

ถึงกระนั้นเจ้านายก็ยังเรียกใช้ ยังชมว่าเจ้านายเราใช้คนเป็น ท่านไม่ได้ชอบหน้าเราหรอก แต่ท่านเรียกใช้เพราะรู้ว่า ถ้าใช้เราแล้วงานจะเสร็จและออกมาดีด้วย ขนาดอาตมาทำเรื่องลาออก ท่านยังบอกว่า "มึงมาทำงานกับกู กินเงินเดือนของกูก็ได้"

อาตมาทะเลาะกับเจ้านายเป็นประจำ "มึงรู้หรือเปล่าว่า กูเกลียดขี้หน้ามึง_ิบหายเลย..!" อาตมาก็ตอบไปว่า "ผมก็ไม่ได้รักท่านนี่ครับ..!" ถ้าคนอื่นมีลูกน้องประเภทนี้ ยิงทิ้งได้ก็คงจะยิงทิ้งไปแล้ว..!"

เถรี
23-12-2010, 07:36
"ในเรื่องของข้าราชการ ถ้าพวกเราไปบอกกับเจ้านายว่า "คุณไม่ชอบหน้าผม คุณก็ไล่ผมออกสิ..!" เจอลูกน้องแบบนี้เราจะไปทำอะไรได้ ขนาดไล่ออกมันก็ยังไม่กลัวเลย

วันนี้มีคนถามปัญหาเยอะในลักษณะที่ว่า "อารมณ์ใจเป็นอย่างนั้น ? เป็นอย่างนี้แล้วไปต่อไม่ได้ ?" อาตมาสรุปลงตรงที่ว่า ไปต่อไม่ได้เพราะว่ากลัว

สรุปลงมา ก็คือ ถ้าเราเลิกกลัวเสียอย่าง คิดเสียว่าเราทำความดีอยู่ ต่อให้ตายลงไปตรงนี้เราก็ยอม ถ้าตัดเป็นตัดตายขนาดนี้ได้ รับรองว่าได้ดีทุกคน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่กล้า มักจะกลัว เมื่อวานมีโยมอยู่รายหนึ่ง เขามีลมตีแน่นขึ้นมา หายใจไม่ออกอยู่ตลอดเวลาที่ภาวนา จะขาดใจตาย อาตมาบอกว่า "โยมตัดสินใจไปเลยว่าตายเป็นตาย ถ้าตัดสินใจได้ก็จะผ่านไปเลย เขาจะเลิกแกล้ง"

โยมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ คิดว่ายังอีกนาน เพราะว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามมีสิ่งที่เสมอกันอยู่ ก็คือ การกิน การนอน การเสพกาม การกลัวภัย โดยเฉพาะภัยจากความตาย บาลีท่านจึงได้บอกว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง

อาหาระ อาหาร นิททัง การนอน ภะยะ ความกลัวภัย เมถุนะ การเสพกาม สามัญญะ เสมอกัน ปะสุ สัตว์ทั้งหลาย นรานัง คนทั้งหลาย สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง เป็นสิ่งที่เสมอกันทั้งคนและสัตว์ทั้งหลาย

ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ทำให้ต่างกันได้ ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา ธรรมเท่านั้นแหละที่จะแยกคนออกจากสัตว์ได้

เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่มีความยุติธรรม ขาดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ชีวิตเราก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน อาจจะแย่กว่าด้วย เพราะไปเหมาว่าตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ความประพฤติไม่ได้ต่างไปจากสัตว์เดรัจฉาน กลายเป็นสิ่งที่ย่ำแย่ไปยิ่งกว่าสัตว์ทั่วไปเสียอีก..!"

เถรี
23-12-2010, 12:40
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระครูแสงชัย ตอนเป็นฆราวาสไปทำงานอยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ๕ ปี มีโอกาสได้เฝ้ากษัตริย์ซาอุฯ อยู่หลายครั้ง

ท่านบอกว่า ไม่น่าเชื่อว่า บุคคลที่เราคิดว่าใช้ไม่ได้ในความรู้สึกของเรา จริง ๆ แล้วก็คือบุคคลที่มากด้วยบุญญาบารมี การที่จะได้ขึ้นไปเป็นผู้นำเหนือคนอื่นเป็นล้าน ๆ คน ถ้าไม่ได้สร้างบารมีมามากพอ ย่อมไม่สามารถที่จะเป็นได้

ท่านบอกว่า ประเทศซาอุฯ ทั้งร้อนทั้งแล้งขนาดนั้น แต่เวลากษัตริย์เสด็จกลับมีฝนตกได้ ทำให้ท่านอึ้ง เพราะในความรู้สึกของท่านเคยต่อต้านพวกเขาว่าเห็นแก่ตัว พอไปเจอเข้าแบบนั้นถึงได้ยอมลงให้"

เถรี
23-12-2010, 12:46
ถาม : ช่วงนี้ผมต้องหลบหน้าเขาครับ
ตอบ : มีอะไรที่ต้องหลบ เขายังไม่กลัวเรา แล้วทำไมเราต้องหลบเขาด้วย

ถาม : หลบหน้าเพื่อหนีครับ
ตอบ : คุณต้องยอมรับว่า บางคนเราแค่เห็นหน้าก็จะมืออ่อนตีนอ่อนอย่างนี้ ให้คุณไปเร่งสมาธิให้ดีกว่านี้แล้วจะสู้ได้ ถ้าสมาธิต่ำไม่มีหวังที่จะสู้ไม่ได้หรอก เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วคุณไม่นิ่งพอ

ถาม : ทำไมแพ้อยู่ฝ่ายเดียว ?
ตอบ : ก็คุณพร้อมที่จะยอมแพ้เขา..!

ถาม : ในเมื่อมันเป็นวาระ ก็ควรที่จะต้องรู้สึกทั้งสองฝ่าย ?
ตอบ : บางทีกรรมนั้นเราก็ทำอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะรู้สึกนิดหนึ่ง แต่เราเต้นแร้งเต้นกาอยู่ฝ่ายเดียว ยกตัวอย่างเช่น เมื่อท่านเทศน์อยู่บนธรรมาสน์แล้วเราเอาสไบไปถวาย เป็นต้น เรียกว่าเราถอดใจให้ไปเลย แต่ท่านเห็นแค่ว่าเราทำบุญ

เถรี
23-12-2010, 12:53
ถาม : พระกรุณาธิคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและองค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอัปปมัญญาแท้แน่นอน พระองค์สงเคราะห์ทุกผู้คนโดยเสมอหน้ากัน ถึงไม่ไหวก็พยายามที่จะเข็นไป

พระปัจเจกพุทธเจ้าสงเคราะห์เฉพาะบุคคลประเภทเดียวกัน สำหรับคนทั่วไปพระองค์ท่านสงเคราะห์แค่ ศีล สมาธิ ปัญญา เบื้องต้น จะไปว่าพระองค์ท่านไม่มีพระกรุณาธิคุณก็ไม่ใช่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ซึ่งพระองค์ท่านตั้งใจจะมาทำ ฉะนั้น..ในเมื่อไม่ใช่หน้าที่ ช่วยขนาดนั้นถือว่าเยอะมากแล้ว

เถรี
23-12-2010, 12:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าของเรานั้น เราควรจะสร้างรูปเคารพแทนพระองค์ท่าน ให้งดงามเต็มบุญเต็มบารมีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ไปสร้างท่านให้มีแปดหน้าเก้าหน้าเป็นทศกัณฐ์ ถ้าใครเอาพระพุทธรูปแบบนั้นมาถวาย อาตมาจะด่าให้กระจายเลย..!"

เถรี
29-12-2010, 12:55
ถาม : ทำอย่างไรจะให้ลืมเรื่องที่ไม่ค่อยดี ?
ตอบ : เอาสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่มีใครลืมเรื่องที่ดีหรือไม่ดีได้ เพียงแต่อย่าไปคิดถึงก็พอแล้ว

เถรี
31-12-2010, 09:39
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันนี้เช้ามืดมีเด็ก ๆ โทรมาอวยพรวันพ่อ นานไปเด็กรุ่นหลังก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงไกลไปเรื่อย อาตมาเคยบอกแล้วว่า เด็กอ่อนกว่าอวยพรให้ผู้ใหญ่ไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยที่จะจำกัน

สังเกตว่า ถ้าจำเป็นต้องอวยพรให้ผู้ใหญ่ ไม่ว่าผู้นั้นจะสูงกว่าด้วยยศ ด้วยอายุ หรือโดยฐานะ โบราณเขาจะใช้การอ้างคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะพระรัตนตรัย ไม่ใช่ไปอวยพรปาว ๆ เอง ความดีเราสู้ท่านไม่ได้สักอย่าง จะเอาอะไรไปอวยพรให้ท่าน


เด็กรุ่นใหม่จะเป็นอย่างนี้เยอะมาก พอไม่รู้ธรรมเนียมก็พาเสีย สมัยนี้เวลาไปรดน้ำผู้ใหญ่ช่วงสงกรานต์ จริง ๆ เขาไปรดน้ำขอพร แต่เดี๋ยวนี้ไปรดน้ำให้พรกัน เล่นผิดบทบาท กลายเป็นเด็กไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ ถ้าเป็นโบราณเขาเรียกว่าทะลึ่ง..!"

เถรี
31-12-2010, 09:39
ถาม : อุปนิสัยที่ไม่ดีของเด็กควรแก้อย่างไร ?
ตอบ : แก้ที่ผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่นิสัยดี เดี๋ยวเด็กทำตามเอง

เถรี
31-12-2010, 09:41
ถาม : มีอารมณ์ที่ถอนออกจากกิเลสไหมคะ ?
ตอบ : มี มีทั้งชั่วคราวและถาวร

เถรี
31-12-2010, 09:45
ถาม : ผมจะเริ่มต้นฝึกกสิณ มีคำแนะนำไหมครับว่ากองไหนดีหรือเหมาะกับผม ?
ตอบ : เลือกกองที่เราหาวัสดุได้สะดวก

ถาม : เผื่อว่าเคยทำกองใดมาก่อน ?
ตอบ : เราชอบกองไหน แสดงว่าเราเคยทำมาทั้งนั้น

ถาม : ผมไม่แน่ใจ
ตอบ : มั่นใจได้เลย ถ้าชอบกองไหนเราเคยทำกองนั้นได้แน่นอน ถ้าชอบหลาย ๆ กอง ให้เลือกกองที่หาวัสดุได้ง่ายที่สุด

ถาม : ถ้าผมจะเริ่มฝึก พอจะไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าทุ่มเทได้ทุกคน อย่าเสียเวลาถาม ลงมือได้เลย

ถ้าเป็นกสิณสีใช้กระดาษพ่นสีเอา ถ้าเป็นธาตุกสิณ อย่างกสิณน้ำก็ต้องใช้น้ำ เป็นกสิณดินก็ต้องใช้ดิน อย่างกสิณลมใช้พัดลมพัดใส่ตัว แล้วจับอาการกระเพื่อม ส่วนกสิณไฟใช้เทียน

แต่มีบางสำนัก กสิณสีเขาไปตีเป็นธาตุกสิณ เช่น เอาสีส้มตีเป็นธาตุดินซึ่งจะไม่ได้เป็นธาตุดิน ยกเว้นบุคคลที่มีของเก่าได้กสิณดินมาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นบุคคลทำใหม่ในชาติปัจจุบัน อย่างเก่งก็ได้กสิณประหลาด ๆ มา ได้ความสงบของใจ แต่ไม่ใช่ธาตุหรือวรรณะกสิณโดยตรง

เถรี
31-12-2010, 09:47
ถาม : เวลาเราดูหนังแล้วพิจารณาธรรมไปด้วย อย่างนี้เราโดนมารหลอกหรือเปล่า ?
ตอบ : โดนหลอกสองชั้นเลย ประการแรก หลอกให้ดูหนัง ประการที่สอง หลอกให้เราคิดว่าพิจารณาได้ด้วย เพราะถ้าใจเราไม่ยินดีเราก็คงไม่ไปดู เจ๊งตั้งแต่ยกแรกแล้ว ยินดีเป็นราคะ ยินร้ายเป็นโทสะ จำไว้ให้แม่น ๆ

เถรี
31-12-2010, 09:50
ถาม : ถ้าศาลพระภูมิมีผลต่อคนในบ้าน ศาลพระภูมิบ้านพี่ชายหนูอยู่ทิศใต้ ศาลพระภูมิบ้านหนูอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ทำไมค้าขายเจริญรุ่งเรือง ?
ตอบ : อันดับแรก อยู่ที่การยอมรับนับถือ อันดับที่สอง ถ้าบริเวณนั้นมีอากาศเทวดาอยู่ จะมีผลมากเป็นพิเศษ อากาศเทวดาท่านจะมีอานุภาพมากกว่า อันดับที่สาม ถ้าอกุศลกรรมเข้าเมื่อไร จะมีรายการคิดบัญชีย้อนหลังตามมา ตอนนี้ดีไปก่อน

ถาม : แล้วทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ?
ตอบ : ตะวันตกเฉียงเหนือไม่ร้ายเท่ากับทิศใต้หรอก ทิศใต้กับทิศตะวันตกจะชัดมาก เพราะฉะนั้น..ทำความดีให้ต่อเนื่อง ห้ามพลาดเด็ดขาด เปิดช่องโหว่เมื่อไรโดนแน่

ถาม : ศาลพระภูมิบ้านหนูแต่เดิมไม่มีทิศอื่นจะวาง เลยวางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตอนนี้ขยายพื้นที่ สามารถที่จะวางได้แล้ว ควรจะย้ายหรือไม่คะ ?
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวว่าขอย้ายศาลไปตั้งในที่ใหม่

เถรี
03-01-2011, 09:37
หลังจากที่คนในบ้านอนุสาวรีย์ได้ร่วมกันขอขมาพระอาจารย์ในวาระสิ้นปี ๒๕๕๓ พระอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องกรรมให้ฟังว่า

"ในเรื่องของกรรมนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ๓ หมวด ๑๒ ประเภทด้วยกัน

อโหสิกรรม เป็นตัวกรรมที่ตัดได้ง่ายที่สุด และถ้าไม่ได้บุคคลที่รู้จริงขนาดพระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะบอกเราให้ถูกต้องอย่างนี้ได้

การอโหสิกรรมนั้นมีสองประการ ประการที่หนึ่ง บุคคลที่เป็นโจทก์และจำเลยตั้งใจกล่าวขอขมา ขออดโทษในกรรมนั้นซึ่งกันและกัน ประการที่สอง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำตนจนบริสุทธิ์ หลุดพ้นไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นอโหสิกรรมไปโดยอัตโนมัติ แปลว่าเงินต้นไม่ต้องจ่าย ถ้าสังขารยังอยู่ อย่างดีก็เป็นแค่เศษกรรมเท่านั้นที่จะสนองท่านได้ แต่ถ้าพ้นจากสังขารร่างกายนี้ไปแล้ว ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงเข้านิพพานไปแล้ว กรรมทั้งหลายไม่สามารถที่จะตามสนองต่อไปได้อีกแล้ว

ลองไปค้นดูข้อมูลเรื่องกรรม มีตั้งแต่ทิฐธรรมเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม อโหสิกรรม ฯลฯ

กรรมที่ให้ผลตามความหนักเบา จะมีครุกรรม กรรมหนัก พหุลกรรมหรืออาจิณกรรม กรรมที่กระทำบ่อย ๆ อาสันนกรรม กรรมที่ยึดมั่นไว้ก่อนตาย แวบเดียวสามารถเปลี่ยนจากฟ้าเป็นดินได้เลย คือ ไปนึกถึงความเลวหน่อยเดียวก่อนตายก็ลงนรกเสียแล้ว

ลองไปศึกษาดูแล้วจะเห็นความเป็นเลิศของพระพุทธเจ้า ที่สามารถอธิบายเรื่องของกรรมได้ละเอียดที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำของที่ซับซ้อนมากสุด ให้กลายเป็นของที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด"

เถรี
03-01-2011, 09:43
"กรรมส่วนหนึ่งที่เป็นการหนุนเสริม บีบคั้น ตัดรอน อย่างชนกกรรม กรรมที่พาไปเกิด อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่คอยหนุนเสริม อุปปีฬกกรรม กรรมที่คอยบีบคั้น อุปฆาตกรรม กรรมที่คอยตัดรอน

อุปฆาตกรรมก็ถือว่ามหัศจรรย์ ตรงที่มีทั้งที่ฝ่ายเป็นกุศลและอกุศล อุปฆาตกรรมกุศลเกิดขึ้น จะตัดอกุศลทิ้งหมดเกลี้ยงเลย ตัวอย่างคือพระองคุลีมาล ฆ่าคนมาเป็นพัน พออุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลเข้ามา ตัดอกุศลความชั่วทิ้งหมด หันหน้าเข้ามาบวชกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย

ตัวอุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล ตัวอย่างก็คือพระเทวทัต บวชเข้ามาได้อภิญญาสมาบัติ พออุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศลเข้ามา ตัดความดีหมด เห็นผิดเป็นชอบ อยากบริหารการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้ายสุดถึงขนาดลอบทำร้าย จ้างคนฆ่าและลงมือฆ่าพระพุทธเจ้าเอง ในที่สุดก็กลายเป็นทำครุกรรมฝ่ายอกุศล โดนธรณีสูบ

ครุกรรม คือ กรรมอันหนัก จะได้ผลในชาติปัจจุบัน มีทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลเหมือนกัน ครุกรรมฝ่ายกุศลอย่างเช่น เราสามารถสร้างฌานสี่หรือสมาบัติแปดให้เกิดกับตนได้ จัดว่าเป็นกรรมที่เราทำเอง หรือเราได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ จัดว่าผู้อื่นทำ ส่วนเราอาศัยท่านเป็นเนื้อนาบุญ

ทั้งสองอย่างนี้จะส่งผลในชาติปัจจุบัน อย่างเช่นว่าเราสร้างรูปฌานได้คล่องตัวมาก จะเป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ส่งผลให้ไปเกิดเป็นรูปพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง ตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ ถ้าหากเราสร้างอรูปฌานได้คล่องตัวก็จะเป็นอรูปพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง ตั้งแต่อากาสานัญจายตนะ ไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะอรูปพรหม"

เถรี
03-01-2011, 09:50
"แต่ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล อย่างเช่นการทำอนันตริยกรรม ๕ คือ การฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท (คอยยุสงฆ์ให้แตกกัน) จะเป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล ตัดมรรคตัดผลทั้งหมดทุกอย่าง อย่างไรก็ต้องลงอเวจีไปก่อน ถ้าทำมากก็ลงโลกันต์ไปเลย

มีหนังสือชื่อกรรมทีปนี ของ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ได้อธิบายไว้ละเอียดมากในเรื่องกรรม ลองไปหาอ่านดู สนุกมาก ท่านทำของยากให้ง่าย จะมีตัวอย่างเล่าให้ฟังเป็นระยะไป ทั้งดึงมาจากในพระสูตรบ้าง ธรรมบทบ้าง

ถ้าขี้เกียจอ่านก็ไปหาเสียงอ่านของคุณอาคม ทันนิเทศ คุณอาคมเขาบันทึกเอาไว้ ก่อนหน้านั้นออกอากาศวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อ

หนังสือที่ท่านเจ้าคุณวิลาศเขียนที่ถือว่ายอดเยี่ยมมาก อ่านแล้วรู้สึกว่าท่านค้นคว้าได้ละเอียดลึกซึ้ง จะมี วิมุตติรัตนมาลี ภูมิวิลาสินี กรรมทีปนี ๓ เล่มนี้ถือว่าเป็นผลงานชั้นสุดยอดของท่าน

ภูมิวิลาสินี กล่าวตั้งแต่ภพภูมิต่ำสุดถึงสูงสุด วิมุตติรัตนมาลี กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คุณอาคมเขามาสงสัยว่า วิมุตติรัตนมาลี แปลว่าอะไร ?

วิมุตติ แปลว่า หลุดพ้น , รัตนะ แปลว่า แก้ว , มาลี แปลว่า ดอกไม้ , วิมุตติรัตนมาลี แปลว่า ร้อยแก้วแห่งความหลุดพ้น เพราะว่า มาลีในที่นี้หมายถึงการร้อยเรียง"

เถรี
04-01-2011, 00:29
"กตัตตากรรม เป็นกรรมที่ทำโดยไม่เจตนา จะมีกำลังในการให้ผลที่น้อยที่สุด ถ้ากรรมอื่นไม่แสดงผลเมื่อไร กตักตตากรรมนี้ถึงจะโผล่มา ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากปาวาลเจดีย์ไปเมืองกุสินารา เดินได้ระยะทาง ๖๐ โยชน์ หมดพระกำลัง กระหายน้ำ จึงขอให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาให้ ปรากฏว่าขบวนเกวียน ๕๐๐ เล่ม เพิ่งลุยผ่านไป น้ำขุ่นเป็นโคลนเลย พระอานนท์กลับมารายงานว่าไม่มีน้ำ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ไปดูใหม่เถอะ น้ำนั้นมีอยู่ "

ทั้ง ๆ ที่พระอานนท์เห็นกับตาตัวเอง แต่ด้วยความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเดินย้อนกลับไป ปรากฏว่าน้ำที่ขุ่นอยู่กลายเป็นน้ำใสไปได้ จึงจัดการกรองน้ำมาถวายพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยแล้วก็ตรัสถึงบุรพกรรม ที่พระองค์ท่านได้ทำเอาไว้

ตรัสถึงชาติที่พระองค์เกิดมาเป็นลูกชาวนา ไปช่วยพ่อไถนาทั้งวัน ปลดวัวออกจากแอกได้ก็พาวัวไปกินน้ำ เนื่องจากวัวหิวน้ำมาทั้งวัน พอเจอน้ำก็รี่เข้าใส่ ท่านเห็นว่าน้ำตรงที่วัวจะกินนั้นขุ่น จึงรั้งวัวให้มากินน้ำด้านที่ใส เป็นกรรมที่ทำโดยเจตนาดี แต่ก็จัดเป็นกตัตตากรรมตรงที่ทำให้วัวได้กินน้ำช้า

ขณะพระองค์ท่านบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใกล้จะปรินิพพานแล้วกรรมก็ยังตามมาทัน พระองค์ท่านจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า อย่าไปประมาทว่ากรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปกระทำ ขณะเดียวกันอย่าไปประมาทว่ากรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ กรรมนั้นจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ถ้าถึงวาระถึงเวลาก็ต้องส่งผลให้ผู้กระทำนั้นเสมอ อกตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า"

เถรี
04-01-2011, 00:33
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ถ้าคนที่รู้จักกันเมื่อสมัยก่อนมาเห็นอาตมาตอนนี้ จะไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะก่อนอายุ ๒๕ อาตมาพูดแทบจะนับคำได้ โดยเฉพาะช่วงอายุ ๑๖-๒๕ ปีที่ตั้งหน้าปฏิบัติกรรมฐาน อาตมาจะเอาแต่ปฏิบัติไม่สนใจใครเลย

ปฐมเหตุที่จะต้องมาพูดน้ำลายแตกฟอง เกิดจากฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว หลวงพ่อท่านให้เป็นครูฝึกที่สายลม ถึงเวลาลูกศิษย์เขาเกิดปัญหา เราไปฟังคนอื่นเขาอธิบายแล้วไม่เข้าเป้าเสียที รู้สึกรำคาญ ก็เลยคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องพูดเสียแล้ว

จึงเดินลุยเข้าไปในวง ยกมือไหว้พี่ป้าน้าอา บอกว่า "ขอผมคุยด้วยนะครับ" ทำเขาตะลึงกันหมด โดยเฉพาะป้าน้อย (กานดา) "ไอ้หนู..ข้าคิดว่าชาตินี้แกจะไม่พูดกับใครแล้ว"

บางอย่างเรามั่นใจว่าถูกแน่นอน เพราะปฏิบัติมา ผ่านมาแล้ว แต่คนอื่นเขาอธิบายเลียบ ๆ เคียง ๆ ขี่ม้าอ้อมเมืองไม่เข้าเป้าเสียที ฟังไปฟังมาทนไม่ได้ ขอลงไปลุยเอง ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น

คนเก่า ๆ ถ้าคบหากันมาตั้งแต่บ้านสายลมระยะแรก ถ้ามาเจอตอนนี้เขาคงไม่เชื่อ คิดว่าเป็นคนละคน จากเด็กที่ไม่ยอมพูดกับใครเลย เอาแต่รักษาอารมณ์ภาวนา กลายเป็นพูดไม่ยอมหยุด รู้จักเจ้าหนูจำไมหรือเปล่า ? เขาเป็นเจ้าของคำว่าทำไม ๆ แต่พูดไม่ชัดนั่นแหละ แต่พูดไม่หยุด"

เถรี
04-01-2011, 10:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราน่าจะบรรลุธรรมกันง่าย เพราะปราศจากความสงสัย อย่างที่อาตมาเคยถามว่า ม้ากัณฐกะเป็นสหชาติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ตอนอายุ ๒๙ พรรษา ม้ากัณฐกะก็อายุ ๒๙ ปี ซึ่งถือว่าเป็นม้าที่แก่มากแล้ว แล้วนำพระพุทธเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์วิ่งไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ถ้าเป็นสมัยนี้ก็วิ่งข้ามจังหวัด ม้าแก่อายุ ๒๙ วิ่งข้ามจังหวัด พวกเราคิดว่าไหวหรือ ?

ดังนั้น..จึงมีข้อชวนสงสัยอยู่ข้อหนึ่งว่า พอพระพุทธเจ้าสั่งให้ม้ากัณฐกะกลับ ม้ากัณฐกะหัวใจสลายตาย ตกลงว่าหัวใจสลายหรือเหนื่อยตายกันแน่ ?"

ถาม : ในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกอาการข้างเคียงของม้ากัณฐกะ อย่างเช่นน้ำลายฟูมปากหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มี..ถ้าในเกจิอาจารย์ผู้อธิบายอนุฎีกาอาจจะมีก็ได้

เถรี
04-01-2011, 10:09
พระไตรปิฎกนี้เขาถือเป็นบาลีหลัก แต่บางสิ่งบางอย่างยุคสมัยถัดไปจะไม่รู้ จึงมีอรรถกถาขึ้นมาอธิบายพระบาลี พอนานไปสิ่งที่อรรถกถาอธิบายก็ไม่เหมาะกับยุคสมัยอีก จะมีฎีกาจารย์ขึ้นมาอธิบายอรรถกถา

พอถัดไปอีกยุคหนึ่ง คำอธิบายของฎีกาจารย์ รุ่นหลังก็ไม่รู้ อย่างเช่น บอกว่าพระอาจารย์ฝ่ายข้างนั้น รุ่นหลังไม่รู้ว่าฝ่ายข้างไหน เพราะฎีกาจารย์เขาแบ่งเป็นมหาวิหารกับอภัยคีรีวิหาร ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่าฎีกาจารย์ที่เขียนเป็นฝ่ายมหาวิหารหรือเป็นฝ่ายอภัยคีรีวิหาร เขาจะใช้ในลักษณะที่ไม่ให้กระทบกระทั่งกันว่า พระอาจารย์ฝ่ายข้างนั้น ก็จะมีอนุฎีกาจารย์มาอธิบายฎีกาอีกทอดหนึ่ง

พอนานไปอนุฎีกาคนก็ไม่เข้าใจอีก ก็มีเกจิอาจารย์มาอธิบายอนุฎีกา ดังนั้น..เกจิ แปลว่า ต่าง ๆ , เกจิอาจารย์ แปลว่า อาจารย์ต่าง ๆ กันไป คือ อาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งก็ได้ ที่มีความเข้าใจแล้วมาอธิบายให้ฟัง

แต่คนรุ่นหลังไปตีความคำว่าเกจิอาจารย์ ไปอีกอย่าง กลายเป็นว่า ต้องมีความขลัง สามารถทำการปลุกเสกเลขยันต์ได้ เป็นการใช้ความหมายผิด ความหมายที่ใช้ผิดของบาลีมีเยอะในปัจจุบัน

เถรี
04-01-2011, 13:15
ถาม : อาฬวกยักษ์ เป็นยักษ์แต่ทำไมบรรลุโสดาบัน ?
ตอบ : คำว่า ยักษ์ ในที่นี้หมายถึงผู้ประเสริฐ เป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ยักษ์ในสมัยก่อนที่เป็นผู้ประเสริฐ ก็คือ เทวดาจำพวกหนึ่งในบริวารของท้าวเวสสุวรรณ แต่ยักษ์ในความหมายของเรา บาลีเรียกว่า รากษส คือ พวกกินคน

อาฬวกยักษ์อยู่ที่เมืองอาฬวี พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดเป็นการเฉพาะเพราะเห็นว่ามีวิสัยที่จะบรรลุได้ พอพระองค์เข้าไปยังที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ บรรดาสนมบริวารทั้งหลายของอาฬวกยักษ์เห็นพระพุทธเจ้าก็ดีใจ ได้ข่าวมานานเหลือเกินแล้วว่าพระสมณโคดมเกิดขึ้นในโลกแต่ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า พอพระองค์เสด็จมาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี

ตอนนั้นอาฬวกยักษ์ไปเฝ้าท้าวเวสสุวรรณอยู่ เพื่อนยักษ์ คือ เหมวตยักษ์ บอกว่า "ลาภใหญ่มาถึงท่านแล้ว พระสมณโคดมอยู่ที่สำนักของท่าน รีบกลับไปต้อนรับเถิด" อาฬวกยักษ์โกรธจนไฟขึ้นหัว แสดงว่าสาวสวย ๆ เยอะ กลัวว่าพระพุทธเจ้าจะไปแย่งสาว ๆ ของตัว จึงรีบกลับมายังที่อยู่ของตน

แสดงว่ายักษ์ในสมัยนั้นก็ไม่ได้มีศรัทธาในพุทธศาสนาทั้งหมด ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด คือ การสวดภาณยักษ์ ภาณพระ การสวดภาณยักษ์ ก็คือ การที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ โดยมีท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้า มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายก็ได้นับถือศาสนาพุทธแล้ว แต่ไม่แน่ว่ายักษ์อื่น ๆ จะนับถือศาสนาพุทธ

เถรี
04-01-2011, 13:15
ดังนั้น..ถ้าหากว่าพระภิกษุในพุทธศาสนาไปธุดงค์ปฏิบัติธรรมในสถานที่ต่าง ๆ อาจถูกบริวารยักษ์ที่ไม่นับถือทำร้ายเอาได้ ท่านจึงผูกบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วเรียกประชุมยักษ์ทั้งหมดประกาศให้ทราบว่า จะนำคาถาบทนี้ มีเนื้อความว่าดังนี้ ไปถวายพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อมอบให้แก่ภิกษุสามเณรในการสวดสาธยาย

ถ้าหากว่าภิกษุสามเณรท่านใดสวดสาธยายพระคาถานี้ แล้วยักษ์บริวารไม่ว่าระดับไหนก็ตามไปทำการเบียดเบียน จะปรับโทษเท่ากับขบถ เพราะท้าวเวสสุวรรณท่านถือว่าเป็นจอมกษัตริย์ของบรรดายักษ์ทั้งหลาย

ดังนั้น..การประกาศให้ยักษ์ทั้งหลายรู้ จึงได้เรียกว่า ภาณยักษ์ คือ ยักษ์พูด , ภาณะ คือคำพูด อย่างเช่นผู้หญิงชื่อ สุภาณี แปลว่า พูดดี พูดเพราะ

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตรัสเล่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พร้อมทั้งบทพระคาถาถวายแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเมื่อรับพระคาถามาแล้วก็เรียกประชุมพระภิกษุสามเณร ตรัสบอกให้ทราบถึงอานิสงส์ของพระคาถาและที่มา

ตอนพระพุทธเจ้าตรัสบอกพระทั้งหลายให้ทราบ เรียกว่า ภาณพระ คือพระพูด

เถรี
04-01-2011, 15:02
ในเมื่อยักษ์ทั้งหลายไม่ได้เคารพพระพุทธเจ้าเสมอกัน อาฬวกยักษ์โกรธพระพุทธเจ้าที่เข้าไปในสำนักโดยไม่ได้รับเชิญ จึงรีบกลับมายังสำนักตน มาถึงก็ตวาดไล่ให้ออก

พระพุทธเจ้าท่านก็เดินออก อาฬวกยักษ์ถึงกับงง "ไหนว่าพระสมณโคดมมากด้วยศักดานุภาพ แม้แต่พรหมทั้งหลายก็ไม่อาจจะต้านทานอานุภาพได้ แล้วทำไมเราไล่แล้วออกง่าย ๆ ?"

เอาความคิดและนิสัยของตัวไปใส่ให้พระพุทธเจ้า ว่าถ้าเป็นตัวเองจะไม่ออกแน่ พอบอกพระพุทธเจ้าให้หยุด ท่านก็หยุด บอกให้กลับเข้าไป ท่านก็กลับเข้าไป อาฬวกยักษ์ก็เลยงงว่าพระพุทธเจ้าว่าง่ายขนาดนี้เชียวหรือ ? หารู้ไม่ว่าเป็นเทคนิควิธีการสอนอย่างหนึ่ง ว่าคนที่กำลังโมโหมาจะทำอย่างไรให้หายโมโห อีกฝ่ายหนึ่งพอโทสะลดลงแล้ว ท่านถึงได้เทศน์โปรด แล้วก็ได้บรรลุมรรคผล

เพราะฉะนั้น..ยักษ์ในที่นี้ เป็นหนึ่งในสี่เหล่าเทวดาของชั้นจาตุมหาราช มีโอกาสบรรลุมรรคผลได้

เถรี
04-01-2011, 15:06
บุคคลที่บรรลุมรรคผลได้เพราะยักษ์ก็มีนะ ลองไปค้นในเอตทัคคะปาลิ เป็นหมวดของอุบาสกอุบาสิกา จะมีอยู่ท่านหนึ่งที่ยักษ์มายืนคุยกันถึงเรื่องพระพุทธเจ้าอยู่บนหลังคา แล้วน้อมจิตตามจนเลื่อมใสบรรลุเป็นพระโสดาบัน ลองไปค้นดูสิว่าเป็นใคร ?

เอตทัคคะปาลิ ก็จะมีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ๔ หมวดด้วยกัน อย่างเช่น ท่านนกุลบิดาคหบดีและนกุลมารดาคหปตานี เป็นเอตทัคคะผู้คุ้นเคยกับพระศาสดา คือ ท่านเจอหน้าพระพุทธเจ้าแล้วเรียกลูกในทันที ว่าลูกหายไปไหนมานานขนาดนี้ เพราะท่านเคยเกิดเป็นพ่อแม่พระพุทธเจ้ามา ๕๐๐ ชาติติดต่อกัน ไม่คุ้นเคยก็ไม่ได้แล้ว

เถรี
04-01-2011, 17:00
ถาม : ทำไมเขาไม่ได้เป็นพุทธมารดาหรือพุทธบิดา ?
ตอบ : เหตุที่เขาไม่ได้เป็นพุทธมารดาหรือพุทธบิดาเพราะไม่ได้อธิษฐานมา บุคคลที่จะเป็นพุทธบิดาพุทธมารดาต้องตั้งจิตอธิษฐานมา

ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานก็ต้องสร้างบุญมหาศาลไว้ก่อน แล้วตั้งความอธิษฐานว่า ผลบุญที่ทำในครั้งนี้ ข้าพเจ้าตั้งความปรารถนาอย่างไรก็ว่าไป

สงสัยหรือไม่ว่า ทำไมพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา เมื่อขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้ว พระพุทธเจ้าตามไปเทศน์แล้วจึงได้แค่พระโสดาบัน ? พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดาไปนิพพานแล้ว ผู้เป็นพระชายา คือ พระนางพิมพาก็เป็นพระอรหันต์เข้าสู่นิพพานแล้ว ผู้ที่เป็นลูกคือ พระราหุลหรือสามเณรราหุลก็เข้านิพพานแบบง่าย ๆ คือจำพรรษาที่ดาวดึงส์แล้วเข้านิพพานที่นั่นเลย

ทำไมพระนางสิริมหามายาไม่เข้าพระนิพพาน ? เพราะท่านตั้งความปรารถนาจะเป็นพุทธมารดาของพระศรีอารยเมตไตรยด้วย เป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าถึงสองพระองค์ ดังนั้น..ถ้าเป็นมากกว่านี้ก็จะเป็นไม่ได้ จึงเป็นได้เพียงพระโสดาบัน

เถรี
05-01-2011, 00:39
อาฬวกยักษ์ ทำให้เกิดเอตทัคคะอุบาสกท่านหนึ่งคือ หัตถอาฬวกกุมารเพราะว่าเจ้าเมืองอาฬวีท่านทำสัญญากับอาฬวกยักษ์ว่าไม่ต้องมาอาละวาดจับคนกิน แต่จะส่งคนไปให้กินเอง เมื่อเป็นดังนั้น ท่านก็ต้องหาคนส่งไป ๆ

จนกระทั่งเขาอพยพหนีกันหมด หาใครส่งไปไม่ได้ ก็ต้องส่งหัตถอาฬวกกุมารไปแทน ราชกุมารท่านนี้เป็นเอตทัคคะทางด้านสงเคราะห์บริวาร

จะว่าไปแล้วในพระไตรปิฎกมีสารพัดเรื่องที่น่ารู้อยู่มาก แต่ด้วยความที่เป็นเล่มหนา ๆ ๔๐ – ๕๐ เล่ม ถ้าเป็นส่วนที่มีอรรถกถาแก้ขยายความอยู่ด้วยก็มี ๙๐ กว่าเล่ม ทำให้คนเห็นท้อเสียก่อน ถ้าบอกเป็นจุด ๆ ไป เราก็ไปเปิดอ่านเฉพาะจุดได้ แต่ถ้าให้ไปค้นหาทั้งหมดก็คงจะไม่ไหวกัน

เถรี
05-01-2011, 00:44
ถ้าเราหาคำว่า "มหาสติปัฏฐานสูตร" จะมีมหาสติปัฏฐานสูตรในทีฆนิกาย มีมหาสติปัฏฐานสูตรในมัชฌิมนิกาย แล้วก็มีมหาสติปัฏฐานสูตรในวิสุทธิมรรค ไม่รู้จะเอาอันไหนเลย

มหาสติปัฏฐานสูตรในมัชฌิมนิกายจะมีเนื้อหาสั้นกว่า แต่เป็นไปโดยแนวเดียวกัน ส่วนในวิสุทธิมรรคนั้นพุทธโฆษาจารย์ท่านเขียนลักษณะอรรถกถาธิบายความ แต่คัมภีร์วิสุทธิมรรคจัดเป็นปกรณ์วิเศษ

วิเศษคำนี้ แปลว่าแตกต่างจากผู้อื่น ปกรณ์วิเศษในที่นี้ ก็คือไม่ได้มีการอธิบายขยายความของคนอื่น แต่อธิบายเองตั้งแต่ต้นยันปลายเลย เหมือนเป็นวิทยานิพนธ์ แต่ไม่ใช่การทบทวนเอกสารและงานวิจัย แต่เป็นช่วงสรุปผลการวิจัย คือต้องเป็นบทสุดท้ายแล้ว แต่สรุปผลของท่านหนาปึ้กเลย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านสรุปลงมาเหลือ ๓ เล่ม ศีลนิเทศ สมาธินิเทศ และปัญญานิเทศ

เถรี
05-01-2011, 00:49
พระอาจารย์เล่าเรื่องไปพม่าให้ฟังว่า "ตอนแรกที่ไปพม่า ไปด้วยความรู้สึกว่า เรามาจากประเทศที่เจริญ มาจากเมืองของพระพุทธศาสนา ถ้ามีอะไรที่เราสามารถจะแนะนำสั่งสอนเขาได้ เราจะทำ แต่พอไปเจอการปฏิบัติตนของพุทธศาสนิกชนชาวพม่าแล้ว ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี เพราะว่าเขาเข้าวัดปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงกันหมด เขาทำตั้งแต่บุญกุศลพื้น ๆ จนกระทั่งถึงบุญใหญ่เขากวาดหมด

ถ้าคนไทยเราทำได้อย่างนั้น ประเทศชาติคงน่าอยู่เป็นพิเศษ เพราะว่าก่อนเขาจะไปทำงาน จะเข้าวัดใกล้บ้าน สวดมนต์ทำวัตรเสร็จแล้วถึงจะไปทำงาน กลับจากที่ทำงาน จะเข้าวัด สวดมนต์ทำวัตรแล้วค่อยกลับบ้าน พระบ้านเรายังไม่เคร่งเท่าคนบ้านเขาเลย

บ้านเราหลายต่อหลายวัด สวดมนต์ทำวัตรเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น บางทีอาตมายังกระแทกไปว่า "ถ้าคุณฉันเฉพาะช่วงเข้าพรรษาก็น่าจะดีนะ จะได้ประหยัดหน่อย..!"

พอดีได้ไปงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิของวัดพระธาตุ ๕ ดวง ได้นั่งเครื่องบินลำเดียวกับหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ พอถึงเชียงใหม่ท่านก็ชวนขึ้นรถที่เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ส่งมารับท่าน นั่งกับท่านมา ท่านถามถึงเรื่องนี้ ก็เล่าถวายให้ท่านฟัง บอกว่าอยากให้บ้านเราเมืองเราเป็นอย่างพม่าเขาบ้าง ที่พุทธศาสนิกชนเข้าวัดเข้าวาโดยพร้อมเพรียงกัน ทุกคนตั้งแต่เด็กยันแก่ ไปวัดเหมือนกับคนกรุงเทพฯ ไปเดินห้าง

ปรากฏว่าหลังจากที่เล่าด้วยความภาคภูมิใจไปพักหนึ่ง หลวงพ่อสมเด็จท่านพูดกลับมาสั้น ๆ ว่า “ท่านเล็ก..จำเอาไว้นะ ที่ไหนที่ชาวบ้านพึ่งรัฐบาลไม่ได้ เขาจะเข้าวัด” ได้ยินแล้วฟ้าแจ้งจางปางเลย เพราะฉะนั้น..บ้านเราคงใกล้จะเข้าวัดมาก ๆ กันแล้ว..!"

เถรี
05-01-2011, 12:28
"พูดง่าย ๆ ว่า เมื่อเขาไม่มีความหวังกับระบบการปกครอง เขาก็เอาพุทธศาสนาเป็นหลักยึดแทน

คนพม่านิยมสร้างเจดีย์มากกว่าสร้างพระพุทธรูปอย่างบ้านเรา อาจเป็นเพราะว่าพระเจดีย์ที่สร้างนั้น สามารถเป็นอนุสติได้หลากหลายมากกว่า พระเจดีย์มีหลายประเภทด้วยกัน ถ้าหากว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ ก็คือเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระอรหันต์ธาตุ

ถ้าเป็นปริโภคเจดีย์ จะเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุบริขาร จะเป็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า หรือพระสุปฏิปันโนเจ้าต่าง ๆ ถ้าเป็นธรรมเจดีย์ ก็จะเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระธรรมคำสั่งสอน อย่างเช่นว่า จารึกใบลานต่าง ๆ ประการสุดท้ายเป็นอุทเทสิกเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึง โดยเฉพาะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อเป็นดังนั้น พระพุทธรูปจึงถือเป็นอุทเทสิกเจดีย์ประเภทหนึ่ง พม่าจึงนิยมสร้างเจดีย์มากกว่าสร้างพระ และเมื่อสร้างแล้ว ได้ประโยชน์หลากหลายกว่า และที่น่าทึ่งก็คือว่า พม่าเห็นยอดเขาเป็นไม่ได้ ไม่ว่ายอดเขาจะสูงขนาดไหน จะลำบากขนาดไหน จะต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปสร้างเจดีย์ให้ได้ เขาถือว่ายิ่งทำยากเท่าไร ยิ่งได้อานิสงส์มากเท่านั้น

สมัยแรก ๆ ที่ไปพระบรมธาตุอินทร์แขวน พระเจดีย์ยังเป็นองค์เก่าอยู่ ไม่ใช่องค์ใหม่อย่างปัจจุบัน ไปยืน ๆ ดู เสร็จแล้วก็คิดว่า ทำไมเขาทำหยาบ ๆ หนอ ถ้าเป็นเราคงจะสร้างได้ดีกว่านี้ เมื่อไปลองผลัก ๆ ก้อนหินดู ปรากฏว่าหินขยับได้ จึงทราบว่า ถ้าเป็นเราคงทำได้หยาบกว่านี้อีก เพราะกลัวว่าจะหล่นลงไปตายเหมือนกัน..!"

เถรี
05-01-2011, 12:31
"ผู้หญิงที่ประเทศพม่าจะลำบากหน่อย เพราะว่าสถานที่สำคัญ ๆ เขามักจะไม่ให้เข้า แต่ทีนี้อาตมาเป็นพระ มีสิทธิพิเศษเหนือผู้ชายทั่วไป ก็เลยเข้าไปได้ทุกที่ เวลาผู้หญิงเห็นผู้ชายปิดทองหลวงพ่อมหามุนีก็ได้แต่มอง ต้องฝากคนอื่นขึ้นไปปิด แต่ถ้าพระเดินขึ้นไป ผู้ชายทั้งหลายก็ต้องหลีกให้พระก่อน

เรื่องของการห้ามผู้หญิงเข้าไปในสถานที่สำคัญต่าง ๆ เกิดขึ้นตอนที่พุทธศาสนาของเรากลายเป็นศาสนาผสมผสานที่เรียกว่า พุทธตันตระไปแล้ว ทางสายพุทธตันตระจะมีการใช้คาถาอาคมต่าง ๆ เป็นปกติ และเขาก็มีความรู้ว่า ถ้าหากผู้หญิงมีรอบเดือนจะทำลายอาถรรพณ์ของเขาหมด จึงต้องห้ามไม่ให้เข้าไปในสถานที่สำคัญ ๆ

เราจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็คือ อำนาจของความเป็นเพศแม่ เพศแม่คือเพศที่ให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งหมด ดังนั้น..ในวาระที่สภาพร่างกายแสดงความเป็นเพศแม่สูงสุด ก็จะมีพลังการทำลายล้างสูงสุด โดยเฉพาะการล้างอาถรรพณ์ในสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ

ในบึงลับแลช่วงแรก ๆ ที่ไป จะโดนผีหลอกกันสะบั้นหั่นแหลก มีลูกปลาคนเดียวที่นอนสบาย เพราะว่าพอดีช่วงนั้นรอบเดือนเขามา ขนาดผียังไม่กล้าหลอกเลย..!"

เถรี
05-01-2011, 12:34
"จริง ๆ แล้วในสภาพของความเป็นแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่มีพลังมากเป็นพิเศษ ดังนั้น..บุคคลที่เขามีความรู้ตรงจุดนี้ แต่เป็นความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรู้เพื่อการหลุดพ้น ก็เลยไปปรับจนกลายเป็นลัทธิตันตระขึ้นมา

เมื่อกลายเป็นลัทธิตันตระขึ้นมา พระพุทธเจ้าของตันตระ ก็ต้องมีศักติ ก็คือคู่บารมี เขาถือว่าถ้าเป็นเพศเดียวจะสงเคราะห์ได้เพียงครึ่งเดียว ต้องมีคู่ถึงจะผสานพลังเข้าไป แล้วสามารถสงเคราะห์ได้ถ้วนหน้า ฉะนั้น..จะเห็นว่าพระพุทธรูปของทางตันตระจะมีรูปผู้หญิงกอดเอวอยู่ โดยเฉพาะเป็นรูปผู้หญิงแก้ผ้า

ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะไปตำหนิเขาว่าลามกอนาจาร ความเชื่อของเขาว่า ต้องมีศักติหรือคู่ชีวิตคู่ครองจึงจะสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยว่าลัทธินี้จะหลุดพ้นได้หรือไม่ เพราะค้านกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างแน่นอน

ท่านบอกว่า เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา หนทางของคน ๆ เดียว จึงเป็นหนทางที่นำสัตว์ทั้งหลายก้าวเข้าสู่ความบริสุทธิ์ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรให้ห่วงให้กังวล ลัทธิตันตระเขาต้องมีคู่ จึงฟันธงได้เลยว่าพ้นยาก"

เถรี
05-01-2011, 13:38
พระอาจารย์เล่าว่า "มหายานสายวัชรยาน เขาจะสรรเสริญวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ปัจจุบันนี้ภูฏานกับทิเบตจะเป็นสายวัชรยาน มหายานดั้งเดิมที่เป็นพวกมูลสรวาสติวาท แทบจะหาซากไม่เจอแล้ว

เขาบอกว่ามหายานปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาพสังคมในขณะนั้น จึงจำเป็นต้องย่อหย่อนพระวินัย โดยรักษาแก่นธรรมเอาไว้ ฟังดูก็เข้าท่า แต่ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ประพฤติปฏิบัติได้ถึงจริง ๆ จะไม่มีวันเข้าใจว่า

แท้จริงแล้วพระวินัยเป็นการปูพื้นฐานกำลังใจ เพื่อก้าวเข้าไปถึงแก่นธรรมที่แท้จริง เป็นการปรับความพร้อมจิตใจของเรา อย่างเช่นว่า วินัยของฆราวาสทั่วไปคือ ศีล ๕ ข้อ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ อยากฆ่าใจจะขาดต้องห้ามใจตัวเองให้ได้ งดเว้นจากการลักทรัพย์ ล่อหูล่อตา มีราคา สวยงามแค่ไหน ต้องห้ามใจตัวเองให้ได้

งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะหล่อจะสวยขนาดไหน มีโอกาสขนาดไหน ต้องห้ามใจตัวเองให้ได้ งดเว้นจากการโกหกมดเท็จ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะน่าโกหกขนาดไหน ประกอบไปด้วยผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ต้องงดเว้นให้ได้ ละเว้นจากการดื่มสุรายาเสพติดต่าง ๆ แม้ว่าสภาพร่างกายจะโดนบังคับด้วยอำนาจสุรายาเมาต่าง ๆ ก็ต้องงดเว้นให้ได้

กำลังใจในการงดเว้นไม่ละเมิดศีลต่าง ๆ ก็คือกำลังใจที่เราใช้เท่ากับการที่งดเว้นไม่คล้อยตามกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ดังนั้น..พระวินัยจึงเป็นพื้นฐานใหญ่ที่ปูทางให้เราก้าวเข้าสู่ธรรมะอย่างแท้จริง ก้าวเข้าสู่มรรคผลอย่างแท้จริง"

เถรี
05-01-2011, 13:41
"ดังนั้น..ในสายมหายานโอกาสในการบรรลุจึงยากมาก ยกเว้นว่าปฏิบัติไปนาน ๆ มองเห็นทางแล้วขยับมาให้ถูก ปัจจุบันนี้มหายานก็ปรับตัวจนแทบจะไม่สนใจพระวินัยแล้ว โดยอ้างว่า เอาธรรมะเป็นใหญ่

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า เขากินข้าวเย็นกันเป็นปกติ ท่านเจ้าคุณอธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คือ ท่านเจ้าคุณธรรมโกศาจารย์ นำคณะไปที่วัดพระหยก มณฑลเซี่ยงไฮ้ เพื่อจะมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่เจ้าอาวาสวัดพระหยก ท่านไปอยู่หลายวัน

พอกลับมา ลูกศิษย์อย่างอาตมาก็สงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ถามว่า “ท่านอาจารย์ครับ ตกลงว่าไปอยู่วัดมหายานแล้วได้ฉันข้าวเย็นกันไหม ?” ท่านอาจารย์บอกว่า “อดครับ..เขารู้ว่าพระไทยไม่ฉันข้าวเย็น เขาเลยถวายแต่น้ำเท่านั้น” แสดงว่าเขาก็ศึกษามาดีว่าพระไทยเราปฏิบัติอย่างไร"

เถรี
05-01-2011, 14:00
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ประเทศจีนสร้างพุทธมณฑลที่เซี่ยงไฮ้ ภาษาจีนเรียกว่าอะไรไม่ทราบ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Buddhist Palace ใหญ่โตมโหฬารมาก

ประเทศจีนทำงานเป็นระบบมาก พอพ้นจากยุคเหมาเจ๋อตุง ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของรัฐ สมัยเติ้งเสี่ยวผิงมีการปรับปรุงใหม่ ให้สามารถถือทรัพย์สินอื่น ๆ เป็นส่วนตัวได้ ยกเว้นที่ดินต้องเป็นของรัฐ ทำให้ประเทศจีนเจริญเร็วมากเป็นพิเศษ

อย่างเราจะสร้างบ้าน ก็ต้องซื้อที่ดินแล้วค่อยสร้างบ้าน แต่คนจีนไม่ต้องซื้อที่ ทุกคนต้องเช่าที่รัฐบาลอยู่ เขาเสียเงินสร้างบ้านอย่างเดียว สมมติว่าต้องใช้เงิน ๒ ล้าน ก็ใช้แค่ ๑ ล้าน อีก ๑ ล้านก็นำมาลงทุนทำมาหากิน กลายเป็นเงินที่หมุนเวียนในท้องตลาด ทำให้ประเทศเขาเจริญเร็ว

และขณะเดียวกัน การพัฒนาด้านต่าง ๆ ถ้าจำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับที่ดิน ก็ไม่ต้องเสียเวลาออกกฎหมายเวนคืน ไม่ต้องเสียเวลาไปชดเชย แค่ประกาศบอกว่า จะเอาที่บริเวณนี้ ให้ประชาชนย้ายไปที่อื่นได้แล้ว งานที่จะยากก็กลายเป็นง่าย

เมื่อประมาณ ๔ ปีที่แล้ว มีการจัดงานประชุมวิสาขบูชาโลกที่ประเทศไทย ประเทศต่าง ๆ ที่นับถือพุทธศาสนา ๑๔๓ ประเทศส่งตัวแทนมา ประเทศไทยก็มีท่านเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นแม่งาน

ท่านอยากจะให้ทุกประเทศสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ก็ไปขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกที่มา ปรากฏว่าประเทศอื่น ๆ ไม่มีปัญหา มีปัญหาอยู่ ๒ ประเทศ คือ ศรีลังกาและประเทศจีน"

เถรี
05-01-2011, 14:05
"ศรีลังกาอยากเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแต่เกรงใจประเทศไทย เพราะที่ประเทศลังกามีพระพุทธศาสนาอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะพระสงฆ์จากไทยไปสืบช่วงให้ จนกลายเป็น สยามวงศ์

พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ เราก็รับเอาสยามวงศ์จากลังกากลับมาในบ้านเรา แต่เรียกว่า ลังกาวงศ์ ปัจจุบันนี้ที่ในลังกาเขาเรียกชัด ๆ ว่า สยามโมปาลีวงศ์ หรือ สยามอุบาลีวงศ์ เพราะพระอุบาลีเถระเป็นหัวหน้าคณะนำไปในสมัยอยุธยา

เมื่อประเทศลังกาเกรงใจ แต่ตัวเองอยากเป็นศูนย์กลาง และพอเห็นว่าจีนอยากได้ตำแหน่งด้วย ก็เลยใช้วิธีบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น บอกว่าถ้าจีนเห็นด้วย ลังกาก็จะสนับสนุน ท่านเจ้าคุณอธิการบดี ก็เลยต้องปิดห้องเจรจากับจีนโดยตรง

ประเทศจีนเขาบอกว่า ประเทศไทยมีประชากรแค่ ๖๐ กว่าล้านคน และไม่ได้นับถือศาสนาพุทธทั้งหมดด้วย ประเทศจีนมีประชากรนับถือศาสนาพุทธตั้ง ๒๐๐ กว่าล้านคน จึงควรจะให้จีนเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา

ท่านเจ้าคุณอธิการบดีรีบมากราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศว่า จีนเขายกตัวเลขขึ้นมาอย่างนี้เราจะทำอย่างไรดีครับ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศพูดสั้น ๆ ว่า “เอาสถิติไปสู้เขา” ท่านเจ้าคุณอธิการบดีได้ยินก็เข้าใจชัดเลย

ท่านจึงกลับไปบอกกับจีนว่า ถึงแม้ว่านับตามจำนวนประชากรแล้ว จีนมี ๒๐๐ กว่าล้านคนที่นับถือพุทธศาสนา แต่ถ้าเปรียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดแล้วก็มีแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แถมประเทศจีนนี้ อิสลามกับคริสต์มีมากกว่าศาสนาพุทธหลายเท่าอีกด้วย ถ้าประกาศให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแล้ว จะต้องมีปัญหาแน่นอน ดังนั้น..จีนจึงควรจะสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกมากกว่า"

เถรี
05-01-2011, 15:43
"ประเทศจีนเห็นว่าตัวเลขสู้ไม่ได้ จะเอาอะไรมาคัดค้านก็ไม่ได้แต่ไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่า จึงเสนอว่า ประเทศจีนมีโครงการจะจัด Buddhist forum ที่ประเทศจีนในอีก ๔-๕ ปีข้างหน้า ขอให้ไทยช่วยล่ารายชื่อ ๑๔๒ ประเทศที่มา โดยเฉพาะไต้หวัน ให้ช่วยลงชื่อสนับสนุนจีนด้วย

เมื่อเป็นดังนี้ ศรีลังกาก็หงายท้องไปเองโดยปริยาย เพราะเมื่อท่านเจ้าคุณอธิการบดีเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือ ประเทศอื่นก็ยินดีเซ็นให้ทั้งหมด เพราะเห็นว่าเหมาะสมและอยากไปเที่ยวจีน มีไต้หวันอย่างเดียวที่เซ็นให้ก็ได้ แต่ขอด่าจีนก่อน ไต้หวันกับจีนเป็นคู่กัดกัน ท่านเจ้าคุณอธิการบดีขออย่างเดียวว่า ด่าแล้วขอให้ขอขมาด้วยนะ เขาว่าไม่เป็นไร ขอให้ได้ด่าก็แล้วกัน

เมื่อจีนได้รายชื่อไป เขาก็เอาไปเสนอรัฐบาล ว่าทุกประเทศเขาพร้อมใจสนับสนุนให้เราจัด Buddhist forum เราควรจะมีสถานที่รองรับให้ยิ่งใหญ่ให้สมกับที่ทุกประเทศสนับสนุน รัฐบาลก็ประกาศเวนคืนที่จุดหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่เมืองเก่าของเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่ฮวงจุ้ยเสียเพราะตายทับตายถมกันมาไม่รู้กี่สมัย ไม่มีใครกล้าเข้าไปลงทุน

รัฐบาลจีนบอกว่าเอาตรงนี้ไปเลย แต่ไม่ให้เงินสนับสนุนนะ สร้างเองให้ได้ก็แล้วกัน ทางรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านนี้ท่านเก่งมาก ประกาศขอสนับสนุนจากเศรษฐีจีน จะสร้างศูนย์กลางพุทธศาสนาให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าวาติกันของคริสต์ เพียงรายเดียวเขาบริจาคตั้ง ๒,๐๐๐ ล้านหยวน และเศรษฐีจีนที่ติดอันดับโลกมีตั้ง ๓๐๐-๔๐๐ คน ช่วยกันควักกระเป๋าบริจาค เขาใช้เวลา ๔ ปีเท่านั้น ปัจจุบันนี้ทุกอย่างเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว"

เถรี
05-01-2011, 15:47
"เขาจึงเชิญคณะคนไทยเป็นคณะแรกที่เข้าไปดู ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนใหญ่ ดูการทำงานของเขาแล้วอยากจะร้องไห้ ทำไมระดับรัฐมนตรีของเขาสายตายาวไกลขนาดนั้น แล้ววิธีการที่เขาทำก็ชนะด้วยกันทั้งสองฝ่าย

คือสนับสนุนไทยให้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก ตัวเองได้รายชื่อไปยื่นเสนอรัฐบาล ถึงไม่ให้เงินงบประมาณมา ก็ประกาศกับเศรษฐีว่าบริจาคแล้วจะติดชื่อให้ จะติดชื่อบรรพบุรุษวงศ์ตระกูลก็พร้อมที่จะติดให้ให้ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ทั่งโต ท่านถ่ายรูปมาให้ดู สิ่งที่เขาทำนั้นมหึมาอลังการจริง ๆ เขาถากภูเขาเป็นลูก ๆ เลย เพื่อติดภาพประกอบทางพุทธศาสนา เป็นภาพพุทธประวัติ

ภาพประกอบที่ติดตั้งนั้นหล่อจากโลหะ หล่อด้วยทองเหลือง รมดำ ดำเข้มบ้าง ดำอ่อนบ้าง เป็นทองเหลืองขัดเงาวาววับบ้าง พอติด ๆ ซ้อน ๆ กันแล้วเป็นภาพ ๓ มิติ มีตัวมีตนเป็นชั้นเป็นเชิง มีลึกมีตื้น พวกบรรดามารที่มาผจญพระพุทธเจ้า เขาก็รมควันตัวดำปี๋เลย ฝ่ายเทวดาที่หนีไปอยู่สุดขอบจักรวาลก็เป็นทองเหลืองเงาวาววับเลย ให้เห็นชัด ๆ เลยว่าต่างกัน

เมื่อถามท่านอาจารย์ว่า "ภาพรวมทั้งหมดยิ่งใหญ่จริง ๆ หรือเปล่าครับ ?" ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป เคยไปเที่ยววาติกันมาแล้ว ท่านบอกว่า "ผมว่าวาติกันจะสู้ไม่ได้นะ ผมเห็นความได้เปรียบอย่างหนึ่งของคนที่ทำทีหลังว่า ถ้าเขาตั้งใจจะทำให้ยิ่งใหญ่กว่า เขาก็ทำได้จริง ๆ"

เถรี
05-01-2011, 15:50
"ฉะนั้น..พวกเราอย่าเผลอให้ใครทำอะไรตามหลัง โดยเฉพาะถ้าอธิษฐานทับทีหลัง มีหวังเสร็จเขาแน่เลย ตัวอย่างพระเจ้ากุสราชกับพี่สะใภ้ พี่สะใภ้อธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าฉันใดขอให้อย่าเจอน้องสามีอย่างนี้อีกเลย พระเจ้ากุสราชก็อธิษฐานทับเลยว่า เกิดอีกกี่ชาติก็ขอให้ได้พี่สะใภ้คนนี้เป็นเมีย นั่นเสร็จเขาเลย ทำทีหลังได้เปรียบกว่า

ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เผื่อว่าใครที่ได้ไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ให้ลองสอบถามไกด์ดูว่า เขาเปิดให้เข้าชมแล้วหรือยัง ไม่เกินปีหน้าคงใช้งานได้แน่นอน

จากภาพที่ท่านอาจารย์ถ่ายรูปมา ขนาดพื้นอาคารเขายังใช้ไม้แกะสลักต่อกันยาวเป็นร้อย ๆ เมตร ตรงจุดที่เป็นโดม จะมีแสงสีหมุนวนมีภาพประกอบต่าง ๆ เปลี่ยนไปตลอดเวลาไม่ซ้ำกัน แล้วเมื่อเวลาเขาฉายภาพ ลักษณะถ้าเป็นบ้านเราเรียกว่า over head แต่เขาให้นั่งเก้าอี้ที่มีลักษณะเหมือนกลองกลม ๆ

ตอนแรกอาจารย์เขาก็สงสัยว่าทำไมเป็นเก้าอี้อย่างนั้น ความจริงก็คือ ต้องหมุนดูตามเหตุการณ์ไปเรื่อย จึงนั่งเก้าอี้มีพนักพิงไม่ได้ กลายเป็นมุม ๓๖๐ องศา ลองไปถามดูว่าเขาเปิดให้ชมหรือยัง ? เป็นที่ซึ่งน่าไปมาก ลองไปค้นหาดูในอินเตอร์เน็ตแล้ว แต่ก็ยังหารูปดูไม่ได้"

เถรี
06-01-2011, 00:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่บ้านเรามีอย่างหนึ่งซึ่งอยากให้ทำ ถ้าหากว่าทำได้จะเป็นการยกย่องพระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราชของเราให้ยิ่งใหญ่กว่าปัจจุบันนี้อีกมาก ก็คือ ถ้าหากว่าสมเด็จพระราชาคณะรูปใดก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ควรจะไปประทับประจำที่พระตำหนักสมเด็จพระสังฆราชในพุทธมณฑล

เพราะคำว่า สกลมหาสังฆปรินายก คือ เป็นผู้นำของหมู่สงฆ์ทั้งมวล แต่ปัจจุบันนี้มักจะกลายเป็น สมเด็จพระสังฆราชวัดราชบพิธฯ สมเด็จพระสังฆราชวัดบวรฯ กลายเป็นสมเด็จพระสังฆราชเฉพาะวัดเดียวไป

ถ้าหากว่าสมเด็จพระสังฆราชสามารถประทับประจำอยู่ที่พุทธมณฑลได้ โดยวัดที่ทรงครองก็ตั้งให้ผู้ช่วยท่านใดท่านหนึ่งเป็นผู้มีอำนาจดูแลแทนไป เชื่อว่าการบริหารงานคณะสงฆ์ก็ดี ตลอดจนความรู้สึกถึงพระองค์ท่านในแง่สมเด็จพระสังฆราชของหมู่สงฆ์ทั้งประเทศก็ดี จะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกมาก ไม่เช่นนั้นก็กลายเป็นว่า เป็นสมเด็จพระสังฆราชเฉพาะวัดนั้นวัดนี้ไป

แต่คราวนี้ว่า อาตมาเป็นเพียงพระเล็กเณรน้อย โอกาสที่จะนำเสนอแนวความคิดอย่างนี้ก็ไม่มี ถึงนำเสนอไปก็ไม่ทราบว่าจะได้รับความเห็นชอบหรือเปล่า ก็ได้แต่ปรารภให้พวกเราฟัง"

เถรี
06-01-2011, 00:33
"อย่างของศาสนาคริสต์ เวลาเขาเลือกพระสันตะปาปาจากบรรดาพระคาร์ดินัลต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นพระคาร์ดินัลรูปใดก็ตามถ้าได้รับเลือก ก็ต้องไปอยู่ประจำที่วาติกัน เมื่อมีศูนย์รวมแล้ว การบริหารทั้งโลกก็จะออกจากส่วนกลางนี้ไป

ดังนั้น..ในความรู้สึกของคนคริสต์แล้ว พระสันตะปาปานั้นยิ่งใหญ่มาก อะไรที่ดี เราก็น่าจะเลียนแบบนะ โดยเฉพาะพุทธมณฑลของเราสร้างมายิ่งใหญ่อลังการ แต่ใช้งานไม่ค่อยคุ้ม ถ้าสมเด็จพระสังฆราชทรงบัญชาการคณะสงฆ์อยู่ที่นั่น จะใช้งานได้คุ้มกว่านี้อีกมาก

ปัจจุบันนี้มีการประชุมมหาเถรสมาคมเดือนละ ๓ ครั้ง ที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ก็เท่ากับว่ามีการใช้งานพุทธมณฑลเดือนละ ๓ วันเท่านั้น และไม่เต็มวันเสียด้วย ส่วนที่เหลือก็ต้องรอวันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา ถึงจะได้ใช้งานกันที"

เถรี
06-01-2011, 00:37
"วันนี้พระวัดท่าขนุน ๒ รูป ไปเข้าร่วมปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติในหลวงที่พุทธมณฑล เขาต้องการ ๒,๕๕๓ รูป กำหนดว่าให้วัดท่าขนุนส่งไป ๒ รูป ปรากฏว่าอาสาสมัครมีมากเกินจำนวน ต้องจับสลากเอา

ตอนแรกเขาอยากมากันเอง อาตมาก็ไม่รู้หรอก แต่พอได้ตัวแล้ว อาตมาให้เงินค่ารถคนละ ๑,๐๐๐ บาท เขายิ่งอยากจะมากันใหญ่ ที่อยากมาคืออยากจะมาอยู่ธุดงค์ เขาให้เอากลดเอาบาตรมาด้วย พอมีค่ารถจากพระอาจารย์ด้วย เขาก็ยิ่งอยากมากันใหญ่

ที่เขากำหนดจำนวนไว้เท่านั้น ก็เพื่อจะรวมจำนวนพระจากแต่ละวัดแล้ว ให้มีจำนวน ๒,๕๕๓ รูปพอดี ถ้าเจ้าอาวาสไปไม่ได้ก็ให้พระในวัดไปแทน จะว่าไปแล้วทางคณะสงฆ์มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด

ในปัจจุบันจะมีการเจริญโพชฌงคปริตรจากคณะสงฆ์ทั่วประเทศถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งเช้าและเย็น พูดง่าย ๆ ว่าทั้งทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น จะต้องเจริญโพชฌงคปริตร ๓ จบ เพื่อถวายในหลวงโดยเฉพาะ

เมื่อวันก่อนนิมิตเจอพระองค์ท่าน พระองค์ตรัสว่า "ตอนนี้โรคภัยต่าง ๆ หายหมดแล้ว ยกเว้นแต่โรคคนแก่ ถ้าโรคนี้หาย เราก็คงต้องหายไปด้วย.."
จะว่าไปแล้ว ในหลวงของเราทรงมีพระราชอารมณ์ขันเยอะมาก และมีอารมณ์ขันในลักษณะของนักเล่าเรื่องตลกชั้นดี ก็คือไม่หัวเราะเอง พูดแล้วคนอื่นคิดได้ก็นั่งหัวเราะ ส่วนพระองค์ท่านประทับนั่งพระพักตร์เรียบเฉย"