View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
เมื่อครู่นี้เรากล่าวถึงเรื่องการพิจารณาทุกข์   วันนี้เราจะมาดูให้รู้ว่าเรามีความทุกข์อย่างไรบ้าง ให้น้อมจิตน้อมใจกราบลงตรงภาพพระนั้น  ว่านั่นคือองค์สมเด็จภควันต์ที่เสด็จมาโปรดเรา  ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดอนุเคราะห์   สงเคราะห์ให้การพิจารณาดูทุกข์ครั้งนี้ได้เห็นอย่างชัดเจน  ได้รู้แจ้งเห็นจริงและยอมรับว่าร่างกายนี้โลกนี้มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ  
จากนั้นกำหนดใจมองย้อนอดีตกลับไป   จากก่อนหน้านี้หนึ่งปี...สองปี...สามปี...สี่ปี...ห้าปี...สิบปี  ย้อนหลังไปเรื่อย ๆ  จนกระทั่งกลายเป็นเด็กเล็ก จนกระทั่งอยู่ในท้องแม่  เอาแค่นั้นก่อน  เพราะถ้าจะย้อนหลังมากไปกว่านั้นจะเป็นชาติที่แล้ว ๆ มา
เมื่อเราเกิดครั้งแรกก็ปฏิสนธิอยู่ในท้องแม่  พอโดนไฟธาตุของแม่เคี่ยวเข้าไปก็แยกปัญจสาขา มี  ๑  ศีรษะ  ๒  แขน  ๒  ขา   มีอวัยวะภายในภายนอกค่อยปรากฏชัดโดยสมบูรณ์   การอยู่ในท้องแม่  เราอยู่ในท่าที่นอนขด  งอก่องอขิงอยู่   ปกติเรานั่งอยู่นิ่ง ๆ ก็ลำบากแย่แล้ว  นี่ยังต้องอยู่ในที่คับแคบ  ร้อนอึดอัด   ขยับกายไม่ได้อย่างใจ ปวดเมื่อยไปหมด มันมีความสุขหรือมันมีความทุกข์ ?
จากที่นั่งนิ่ง ๆ ครู่เดียวก็เมื่อยจะแย่  นี่เราต้องทนอยู่ตั้ง  ๙ เดือน  ๑๐  เดือน  หลังจากนั้นก็คลอดเคลื่อนจากท้องแม่ออกมา  กระทบความหนัก  ความหนาว  ความร้อนของอากาศ  ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งกายแล้วก็ร้องไห้จ้า  สิ่งนี้เป็นความสุขหรือความทุกข์ ?
ถึงเวลาหิวต้องกิน  กระหายต้องดื่ม  ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะต้องเข้าห้องน้ำห้องส้วม  เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาล สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขหรือความทุกข์ ? เราจะเห็นว่าเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น
ตะเกียกตะกายผ่านความทุกข์ยากลำบากของความหิวความกระหาย  ความร้อนความหนาว ความเจ็บไข้ได้ป่วย  ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา โตขึ้นมาบนกองทุกข์  แล้วยังต้องมีทุกข์เพิ่มขึ้น  คือ  ต้องศึกษาเล่าเรียน  หาวิชาความรู้  เพื่อที่จะได้ทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง  เลี้ยงครอบครัว   
การเดินทางไปโรงเรียนก็มีแต่ความทุกข์  เรียนไม่ทันก็ทุกข์  งานเกี่ยวกับการเรียนมีมากก็ทุกข์   ต้องสอบแข่งขันกับคนอื่นก็ทุกข์   สมมติว่าเรามีความทุกข์น้อยกว่าคนอื่น  คือ สามารถที่จะสอบได้  เรียนจบ   มันก็ยังมีทุกข์อื่น ๆ อีก  อย่างเช่นปรารถนาที่จะมีคู่ครอง  เริ่มรักก็เริ่มทุกข์  กลัวเขาจะไม่สนใจเรา   เมื่อเขาให้ความสนใจ  มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับออกมาก็ทุกข์  กลัวคนอื่นจะมาแย่งชิงไป
สมมติอีกทีว่าเราโชคดี ได้ตกล่องปล่องชิ้นแต่งงานกัน    ก็กลายเป็นความทุกข์เพิ่มขึ้น  จากขันธ์ ๕ ก็เป็นขันธ์  ๑๐  อยู่ตัวคนเดียวจะไม่กินสักมื้อสองมื้อก็ได้  ไม่อาบน้ำสักวันสองวันก็ได้  เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอก็ได้  ไม่ไปก็ได้  แต่พอมีอีกหนึ่งคนเข้ามา  เขาหิวเราก็ต้องหิวด้วย   เขาป่วยก็เหมือนกับเราป่วยด้วย   ต้องคอยดูแล  ต้องคอยรักษาพยาบาล  ต้องคอยเอาใจอีกคนหนึ่ง เราตัวคนเดียวไม่อาบน้ำก็ได้  แต่ถ้าหากอยู่กับคนอื่นอย่างไรก็ต้องตะกายไปอาบ  การบริหารร่างกายมีแต่ความทุกข์อย่างนี้   ในระหว่างนั้นมันก็ยังหนาวร้อน หิวกระหาย  เจ็บไข้ได้ป่วย   เป็นปกติของมัน  
มีหน้าที่การงานประจำที่ต้องรับผิดชอบ  คนข้างล่างกระแทกขึ้นมา  คนข้างบนกระแทกลงไปเราอยู่ตรงกลางก็ต้องแบกทุกข์เอาไว้  
ถ้าหากว่ามีลูกก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น   พวกเจ้าตัวเล็กไม่ฟังใคร   ถึงเวลาต้องได้ดั่งใจไม่อย่างนั้นก็อาละวาด   คราวนี้ก็กลายเป็นขันธ์  ๑๕   ขันธ์  ๒๐  หนักเข้าไปอีก  เราไม่มีกินไม่เป็นไร แต่ลูกต้องมี  เราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่เป็นไร  แต่ลูกต้องไม่เจ็บไม่ป่วย  เราเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ไม่เป็นไร แต่ลูกต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ลูกต้องการ    ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่กับเราตลอดเวลา
ร่างกายก็ค่อย ๆ ทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ  จากหนุ่มสาวแข็งแรงก็เริ่มย่างเข้าสู่วัยกลางคน  เริ่มเป็นคนแก่  หูก็ฝ้า ตาก็ฟาง  ความแข็งแรงก็ลดน้อยถอยลง  ร่างกายเริ่มคดเริ่มค้อม  เริ่มงอลง  เคยทำอะไรได้อย่างใจทุกอย่าง  ก็งก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ได้ดั่งใจ   
ผมก็ขาว  หนังก็เหี่ยว  ฟันก็หัก   แต่มันยังคงเจ็บเท่าเดิม  ป่วยเท่าเดิม  หิวเท่าเดิม  กระหายเท่าเดิม  ร้อนเท่าเดิม  หนาวเท่าเดิม  มันมีแต่ความทุกข์ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง  หาความสุขไม่ได้เลย เมื่อร่างกายเข้าสู่วัยชรา  โรคภัยไข้เจ็บก็เบียดเบียนหนักขึ้น   เดี๋ยวป่วยเป็นโรคนั้น  เดี๋ยวเจ็บเป็นโรคนี้  มีแต่ความทุกข์เบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา  ท้ายสุดมันเบียดเบียนหนักเข้า ๆ  ก็พาลตายไปเลย
เป็นอันว่าตั้งแต่เกิดยันตายมีแต่ความทุกข์อยู่กับเราตลอด   พยายามพิจารณาดูให้เห็นให้ชัดเจน  แล้วน้อมจิตน้อมใจยอมรับสภาพร่างกายมันมีปกติแบบนี้เอง  สิ่งใดที่พอแก้ไขผ่อนคลายบรรเทาให้กับมันได้เราก็ทำ  สิ่งใดที่พยายามจนสุดความสามารถแล้วไม่สามารถจะแก้ไขได้ เราก็ปล่อยวาง  ให้เห็นว่าปกติธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้  ให้วางกำลังใจว่า  ขึ้นชื่อว่าทุกข์เช่นนี้จะไม่มีแก่เราอีก  เราจะทุกข์อยู่กับมันอย่างนี้ชาติเดียว  การเกิดมาทุกข์ใหม่แบบนี้เราไม่ต้องการ  ร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์แบบนี้เราไม่ต้องการ  เทวดาพรหมที่พ้นทุกข์เพียงชั่วคราวเราก็ไม่ต้องการ  เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน  
จากนั้นเอาใจจดจ่อกับภาพพระไว้  อย่างที่เคยย้ำทุกครั้งว่า  พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่อื่นเลยนอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน  เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน  เอาใจจดจ่อแน่วแน่อยู่กับความสะอาด สว่าง  สงบ เฉพาะหน้าของเราอย่างนี้  ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่กำหนดรู้คำภาวนา  ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก  ไม่มีคำภาวนาก็กำหนดรู้ว่ามันไม่มี   เอาสติจดจ่อรู้อยู่เฉพาะหน้าอย่างนี้จนกว่าจะบอกให้เลิกได้
พระครูธรรมธรเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน  ณ  บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่  ๒๘  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๒
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.