ลัก...ยิ้ม
20-10-2010, 10:59
เห็นทุกข์ แต่ขาดปัญญาลงตัวธรรมดาไม่ได้
ก็จมอยู่กับทุกข์
สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ ดังนี้
๑. “เจ้าเห็นโลกนี้มีแต่ความทุกข์ อันน่าเบื่อหน่ายหรือยัง” (ตอบว่า เห็นแล้ว) “เห็นอย่างไร” (ตอบว่า เห็นทุกข์ตั้งแต่ตื่นเช้า จนกระทั่งหลับใหม่ ต้องมีภาระพันธะ ต้องเลี้ยงดูร่างกาย ชำระล้างร่างกายที่สกปรก ต้องหาอาหารให้ร่างกาย ต้องขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ต้องกวาด เช็ด ถู ที่อยู่อาศัย ต้องทำงานตามหน้าที่ โลกจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ไม่น่าอยู่)
๒. “โลกนี้เป็นเช่นนี้แหละเจ้า แต่ตราบใดที่ร่างกายของเจ้ายังทรงอยู่ ย่อมจักหนีไปไม่พ้นจากสภาวะทุกข์เยี่ยงนี้ของโลกไปไม่พ้น เพราะนี่คือความปกติของโลก ซึ่งมีความพร่องอยู่เป็นนิจ ทำให้จิตผู้อาศัยอยู่ในขันธโลกนี้ต้องเสาะแสวงหาธาตุ ๔ มาปรนเปรอมันไม่รู้จบ จนกระทั่งมันตายก็เต็มไปด้วยความทุกข์”
๓. “การมีร่างกาย จึงจำเป็นที่จักต้องบริหารร่างกายเป็นธรรมดา อาหารเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่หาให้แก่ร่างกาย ร่างกายก็จักถูกบีบคั้นทรมาน จึงจำเป็นต้องหาอาหารมาเพื่อระงับทุกขเวทนา แต่ก็จงกำหนดรู้ว่า การแสวงหานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ ก็จงทุกข์แต่เพียงชาตินี้ ชาติต่อไปจักไม่มีสำหรับเรา ทำทุกอย่างเพื่อให้พ้นไปจากร่างกาย”
๔. “ตัดตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดเสีย ชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายที่มีร่างกาย เมื่อมันยังไม่พัง ก็จงทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ ไม่ดิ้นรนให้จิตเป็นทุกข์ เพราะเหตุเหล่านั้นเป็นธรรมดา”
๕. “ขันธโลก โลกพร่อง จิตของผู้ไร้ศีลและธรรมเป็นเครื่องรักษาก็พร่อง ปัญหาขโมยไม่ใช่ของใหม่ เป็นของคู่โลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจ้าจงเห็นธรรมดาในธรรมดาของบุคคลผู้มีจิตพร่องเหล่านี้เถิด”
๖. “บุคคลผู้รู้กฎของกรรม ย่อมไม่ประกอบกรรมที่เป็นอกุศล ให้ย้อนกลับมาตอบสนองตนเองในภายภาคหน้า ดั่งกับที่พวกเจ้าศึกษาพระธรรมวินัยเพื่อให้รู้ซึ้งถึงกฎของกรรม มีตัวอย่างอยู่พร้อมเสร็จสรรพให้เห็นชัดถึงทุกข์อันเกิดจากการบกพร่องในมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมว่า การกอปรกรรมไม่บริสุทธิ์ประการใดประการหนึ่ง ย่อมมีทุกข์มีโทษตามกฎของกรรมประการนั้น ๆ”
ก็จมอยู่กับทุกข์
สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ ดังนี้
๑. “เจ้าเห็นโลกนี้มีแต่ความทุกข์ อันน่าเบื่อหน่ายหรือยัง” (ตอบว่า เห็นแล้ว) “เห็นอย่างไร” (ตอบว่า เห็นทุกข์ตั้งแต่ตื่นเช้า จนกระทั่งหลับใหม่ ต้องมีภาระพันธะ ต้องเลี้ยงดูร่างกาย ชำระล้างร่างกายที่สกปรก ต้องหาอาหารให้ร่างกาย ต้องขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ต้องกวาด เช็ด ถู ที่อยู่อาศัย ต้องทำงานตามหน้าที่ โลกจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ไม่น่าอยู่)
๒. “โลกนี้เป็นเช่นนี้แหละเจ้า แต่ตราบใดที่ร่างกายของเจ้ายังทรงอยู่ ย่อมจักหนีไปไม่พ้นจากสภาวะทุกข์เยี่ยงนี้ของโลกไปไม่พ้น เพราะนี่คือความปกติของโลก ซึ่งมีความพร่องอยู่เป็นนิจ ทำให้จิตผู้อาศัยอยู่ในขันธโลกนี้ต้องเสาะแสวงหาธาตุ ๔ มาปรนเปรอมันไม่รู้จบ จนกระทั่งมันตายก็เต็มไปด้วยความทุกข์”
๓. “การมีร่างกาย จึงจำเป็นที่จักต้องบริหารร่างกายเป็นธรรมดา อาหารเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่หาให้แก่ร่างกาย ร่างกายก็จักถูกบีบคั้นทรมาน จึงจำเป็นต้องหาอาหารมาเพื่อระงับทุกขเวทนา แต่ก็จงกำหนดรู้ว่า การแสวงหานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ ก็จงทุกข์แต่เพียงชาตินี้ ชาติต่อไปจักไม่มีสำหรับเรา ทำทุกอย่างเพื่อให้พ้นไปจากร่างกาย”
๔. “ตัดตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดเสีย ชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายที่มีร่างกาย เมื่อมันยังไม่พัง ก็จงทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ ไม่ดิ้นรนให้จิตเป็นทุกข์ เพราะเหตุเหล่านั้นเป็นธรรมดา”
๕. “ขันธโลก โลกพร่อง จิตของผู้ไร้ศีลและธรรมเป็นเครื่องรักษาก็พร่อง ปัญหาขโมยไม่ใช่ของใหม่ เป็นของคู่โลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจ้าจงเห็นธรรมดาในธรรมดาของบุคคลผู้มีจิตพร่องเหล่านี้เถิด”
๖. “บุคคลผู้รู้กฎของกรรม ย่อมไม่ประกอบกรรมที่เป็นอกุศล ให้ย้อนกลับมาตอบสนองตนเองในภายภาคหน้า ดั่งกับที่พวกเจ้าศึกษาพระธรรมวินัยเพื่อให้รู้ซึ้งถึงกฎของกรรม มีตัวอย่างอยู่พร้อมเสร็จสรรพให้เห็นชัดถึงทุกข์อันเกิดจากการบกพร่องในมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมว่า การกอปรกรรมไม่บริสุทธิ์ประการใดประการหนึ่ง ย่อมมีทุกข์มีโทษตามกฎของกรรมประการนั้น ๆ”