ลัก...ยิ้ม
12-10-2010, 11:31
ร่างกายนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
เมื่อวันอังคารที่ ๙ พ.ย. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงพระเมตตาตรัสสอนเพื่อนผมไว้ดังนี้
๑. “ขันธ์ ๕ ย่อมไม่มีในใครทั้งหมด ร่างกายไม่ใช่ตถาคต ร่างกายไม่ใช่ท่านสัมพเกษี ร่างกายนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ร่างกายนี้ไม่ใช่พระอรหันต์ ปกติของร่างกายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปตามสภาวะของโลกนั้น ๆ”
๒. “พระพุทธเจ้าเป็นได้เพราะพระธรรม ตถาคตคือพระธรรม ท่านสัมพเกษีเป็นพระอรหันต์ได้ก็เพราะพระธรรม พระธรรมนั้นไม่เกิด ไม่ตาย พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ จึงไม่เกิดไม่ตายตามสภาวะของธรรมนั้น ๆ”
๓. “จำได้ไหมที่ตถาคตตรัส ผู้ใดเกาะสังฆาฏิของตถาคตอยู่ แต่ไม่ประพฤติในพระธรรมวินัย ก็เสมือนหนึ่งอยู่ไกลคนละฟากฟ้า ผู้ใดอยู่ไกลคนละฟากฟ้า แต่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยนี้ ก็เสมือนหนึ่งอยู่ใกล้เกาะชายสังฆาฏิของตถาคตอยู่”
ประการแรก หมายถึง ผู้อยู่ใกล้ร่างกายของตถาคต แต่ไม่สนใจศึกษาปฏิบัติในพระธรรม ก็เสมือนหนึ่งอยู่ไกล เพราะตถาคตคือจิตที่เข้าถึงพระธรรม บุคคลผู้ไม่สนใจพระธรรม จึงไม่สามารถเข้าถึงพระพุทธเจ้าได้
ประการหลัง บุคคลใดแม้อยู่ห่างไกลจากร่างกายของตถาคต แต่ยังเคารพนบนอบปฏิบัติในพระธรรมอยู่เสมอ จึงได้ชื่อว่ายังจิตให้เข้าถึงพระธรรม พระธรรมก็ย่อมโยงจิตให้สัมผัสกับจิตของตถาคตได้ จึงเสมือนอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าตลอดไปฉันนั้น
๔. “อนึ่ง เจ้ายังจำได้ไหม? ที่ตถาคตตรัสกับพระอานนท์เมื่อใกล้จักปรินิพพานว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากตถาคตได้ปรินิพพานแล้ว พระธรรมวินัยทั้งหลายนี่แหละ จักเป็นพระศาสดาสอนเธอ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต”
๕. “ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมจนจิตเข้าถึงธรรมแล้ว เขาจักเห็นตถาคตคือจิต มิใช่ร่างกาย ความใกล้ตถาคตเห็นตถาคตจึงอาศัยพระธรรมโยงจิตให้เข้าถึงจิตโดยประการฉะนี้”
เมื่อวันอังคารที่ ๙ พ.ย. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงพระเมตตาตรัสสอนเพื่อนผมไว้ดังนี้
๑. “ขันธ์ ๕ ย่อมไม่มีในใครทั้งหมด ร่างกายไม่ใช่ตถาคต ร่างกายไม่ใช่ท่านสัมพเกษี ร่างกายนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ร่างกายนี้ไม่ใช่พระอรหันต์ ปกติของร่างกายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปตามสภาวะของโลกนั้น ๆ”
๒. “พระพุทธเจ้าเป็นได้เพราะพระธรรม ตถาคตคือพระธรรม ท่านสัมพเกษีเป็นพระอรหันต์ได้ก็เพราะพระธรรม พระธรรมนั้นไม่เกิด ไม่ตาย พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ จึงไม่เกิดไม่ตายตามสภาวะของธรรมนั้น ๆ”
๓. “จำได้ไหมที่ตถาคตตรัส ผู้ใดเกาะสังฆาฏิของตถาคตอยู่ แต่ไม่ประพฤติในพระธรรมวินัย ก็เสมือนหนึ่งอยู่ไกลคนละฟากฟ้า ผู้ใดอยู่ไกลคนละฟากฟ้า แต่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยนี้ ก็เสมือนหนึ่งอยู่ใกล้เกาะชายสังฆาฏิของตถาคตอยู่”
ประการแรก หมายถึง ผู้อยู่ใกล้ร่างกายของตถาคต แต่ไม่สนใจศึกษาปฏิบัติในพระธรรม ก็เสมือนหนึ่งอยู่ไกล เพราะตถาคตคือจิตที่เข้าถึงพระธรรม บุคคลผู้ไม่สนใจพระธรรม จึงไม่สามารถเข้าถึงพระพุทธเจ้าได้
ประการหลัง บุคคลใดแม้อยู่ห่างไกลจากร่างกายของตถาคต แต่ยังเคารพนบนอบปฏิบัติในพระธรรมอยู่เสมอ จึงได้ชื่อว่ายังจิตให้เข้าถึงพระธรรม พระธรรมก็ย่อมโยงจิตให้สัมผัสกับจิตของตถาคตได้ จึงเสมือนอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าตลอดไปฉันนั้น
๔. “อนึ่ง เจ้ายังจำได้ไหม? ที่ตถาคตตรัสกับพระอานนท์เมื่อใกล้จักปรินิพพานว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากตถาคตได้ปรินิพพานแล้ว พระธรรมวินัยทั้งหลายนี่แหละ จักเป็นพระศาสดาสอนเธอ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต”
๕. “ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมจนจิตเข้าถึงธรรมแล้ว เขาจักเห็นตถาคตคือจิต มิใช่ร่างกาย ความใกล้ตถาคตเห็นตถาคตจึงอาศัยพระธรรมโยงจิตให้เข้าถึงจิตโดยประการฉะนี้”