PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๓


เถรี
05-10-2010, 21:11
ในขณะที่กำลังสนทนาเรื่องน้ำหนักตัว พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า

"บางทีการถามเรื่องน้ำหนักตัวก็ถือเป็นการเสียมารยาท เพราะคนไม่ใช่สัตว์ โดยเฉพาะไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ในเมื่อคนไม่ใช่สัตว์เลี้ยง เรื่องอ้วนผอมสำหรับคนจึงไม่มีความจำเป็น

สัตว์เลี้ยงจำเป็นต้องเลี้ยงให้อ้วน จึงจะได้ราคา แต่ถ้าคนอ้วนแล้วมีแต่ราคาจะตก ดังนั้น..การถามถึงเรื่องน้ำหนักจึงถือว่าผิดมารยาท

โบราณเขาบอกว่า สัตว์ผอม ฤๅษีพี อีกนารีไม่มีถัน คนจนแต่งประชัน สี่สิ่งนั้นไร้ความดี

โบราณเขาถือว่า สัตว์ต้องอ้วนจึงจะดี ถ้าเป็นนักบวชนักปฏิบัติต้องผอมแล้วจึงจะดี นี่ถ้าสมัยก่อนใครเกิดมาอ้วนโดยธรรมชาติ แล้วไปบวชคงไม่รุ่ง แต่ถ้าเป็นสมัยนี้อ้วนแล้วเขาชอบกัน เขาเรียกกันว่าหุ่นเจ้าคุณ

ผู้หญิงที่นั่งคุยกับเราแล้วเหมือนกับหันหลังให้ (ข้างหน้าเหมือนไม้กระดาน) โบราณเขาถือว่ากาลกิณี ส่วนคนจนไปแต่งเนื้อแต่งตัวประชันกับคนรวยเขา โบราณถือว่าไม่มีความสำนึกในฐานะตัวเอง เพราะไปอวดร่ำอวดรวยทั้งที่ฐานะของตนไม่อำนวยให้"

เถรี
05-10-2010, 21:26
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังถึงการสอบที่ผ่านมาว่า "มีวิชาหนึ่ง ชื่อว่า การจัดการพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพระพุทธศาสนา อาจารย์ท่านตั้งคำถามว่า "มีทฤษฎีกล่าวว่า บุคคลย่อมเป็นไปตามสิ่งแวดล้อม แต่วัยรุ่นบางคนอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่ติดยา เที่ยวกลางคืน กินเหล้า สูบบุหรี่ ทำไมเขาจึงไม่เป็นไปตามเพื่อน จงอธิบาย"

อาตมาก็อธิบายไปว่า ข้อที่หนึ่ง ทฤษฎีนี้ไม่ถูกต้อง เพราะทฤษฎีที่ถูกต้องต้องครอบคลุมได้หมดทุกคน ในเมื่อยังมีข้อยกเว้นอยู่ แสดงว่าไม่น่าจะถูก จนกว่าจะมีคนยกข้อคัดค้านขึ้นมาได้ ทฤษฎีนี้ก็จะตกไป

ข้อที่สอง พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ให้ความเข้มงวดกวดขัน อบรมมาดี ข้อที่สาม เด็กเป็นบุคคลที่ใฝ่ดี มีหิริโอตตัปปะมาแต่กำเนิด ข้อที่สี่ มีการสั่งสมบุญในลักษณะของ ปุพเพกตปุญญตา มาแต่ปางก่อน

ในส่วนของปุพเพกตปุญญตา คือ การสั่งสมบุญมาแต่อดีต เป็นส่วนสำคัญมาก จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมว่าเราจะไปดีหรือไปไม่ดี ขนาดบุคคลที่สั่งสมบุญมาในอดีตแต่พอมีอกุศลกรรมมาแทรก ยังมีโอกาสพลาดได้เลย เพราะฉะนั้น..อย่าไปคิดว่า เรามีดีแล้วก็ไปประมาท ถ้าอย่างนั้นก็มีสิทธิ์พังได้

จริง ๆ แล้วทฤษฎีตะวันตกได้แต่กายกรรมและวจีกรรมเท่านั้น ส่วนมโนกรรมยังไปไม่ถึง มโนกรรมของเขา คือจิตใต้สำนึก (sub conscious) ซึ่งคลำได้ผิว ๆ เท่านั้น ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ชัดเจนเลย ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมครบสามส่วน"

เถรี
05-10-2010, 21:41
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องผมให้ฟังว่า "เรื่องของผม โบราณเขาว่าไว้หลายอย่าง อย่างหนึ่งเรียกว่า เกล้านางนี เป็นผมที่มีลักษณะขึ้นมาคล้ายกับมงกุฎ ผมจะจับทรงของตัวเอง เขาถือว่าเป็นของสำคัญคู่ตัวของบุคคลนั้น บางคนก็เรียกว่า เมาลีโพธิสัตว์ เพราะมีบางคนเท่านั้นที่จะเป็น

ทรงผมอีกอย่างเขาเรียกว่า ผมผีมัด มีลักษณะโดนมัดเป็นกระจุกเล็ก ๆ เต็มศีรษะ ต่อให้แกะออกหรือหวีให้เรียบอย่างไร รุ่งเช้าก็จะเป็นอย่างนั้นอีก

ส่วนที่ชัดที่สุดก็ต้องพระเกศาของพระพุทธเจ้า มีลักษณะม้วนเป็นทักษิณาวัตรแนบติดกับพระเศียร ตั้งแต่วันแรกที่ออกผนวชจนกระทั่งวันสุดท้าย ไม่เคยยาวไปกว่านั้นอีกเลย

คนจีนเขามีตำราว่า บุคคลที่ผมจับทรงเหมือนกับใส่หมวก มักจะมีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโต ตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้อาตมาเจอมา ๑ ราย เท่านั้น กำลังรออยู่ว่า ถ้าเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะได้เป็นใหญ่เป็นโตขนาดไหน

หลวงพ่อรุ่ง วัดบางแหวน จ. ชุมพร ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า หลวงพ่อรุ่งเคราเหล็ก เพราะว่าผมเผ้าหนวดเคราของท่านไม่สามารถที่จะโกนได้ ต่อให้มีดคมกริบขนาดไหนก็โกนไม่เข้า ถากไปก็เหมือนกับถากเส้นลวด เราจะเห็นได้ว่า ผมเผ้าหนวดเคราของคน ยังบอกเรื่องราวได้มากมายถึงขนาดนี้"

เถรี
05-10-2010, 22:16
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องฤกษ์ยามให้ฟังว่า "เท่าที่ศึกษามา ฤกษ์ที่น่าใช้ก็คือ ระยะเวลาที่เป็นปลายทลิทโทฤกษ์ (ฤกษ์ขอทาน) แล้วต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์ (ฤกษ์มหาเศรษฐี) ช่วงที่คาบกันเกี่ยวกันระหว่างนั้น หมายถึงว่า ถึงลำบากอยู่ก็จะสบายทันที เป็นเคล็ดวิธีที่โบราณาจารย์ท่านแนะนำมา

แต่สำหรับภูมิปาโลฤกษ์ (ฤกษ์รักษาแผ่นดิน) เหมาะสำหรับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน หรือไม่ก็ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้นไป เพราะเป็นผู้รักษาเมือง"

ถาม : หนูเกิดเพชฌฆาตฤกษ์ค่ะ
ตอบ : เพชฌฆาตฤกษ์ก็ดี เพราะว่าเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาด ถึงเวลาตัดสินใจ "ไม่" หรือ "เอา" คำเดียว..ก็จบเลย

เถรี
06-10-2010, 08:22
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมปลายมีเพื่อนชื่อ "คมเพชร" มีนิสัยเกเรมาก ถ้าจำไม่ผิดพ่อแม่เขาพาไปให้ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา เปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น "กระสินธุ์" แปลว่า สายน้ำ ปรากฏว่าความประพฤติเขาเปลี่ยนไปเลย

แสดงว่า หลวงพ่อน้อยท่านรู้จริง ท่านบอกว่าชื่อนี้แข็งไป ท่านเปลี่ยนหักมุมสุด ๆ เลย จากเพชรกลายเป็นน้ำ..!"

เถรี
06-10-2010, 09:55
ถาม : หนูมีอาชีพเป็นหมอ น้องสาวที่อยู่ด้วยกันเรียนจัดดอกไม้ ขณะคุยโทรศัพท์กันอยู่ดี ๆ เขาก็พูดไม่ได้ อ่อนแรงไปค่ะ ขนาดหนูเป็นหมอ ยังคิดว่าไม่น่าจะมาเกิดกับน้อง หนูพยายามทำใจยอมรับ แต่หนูก็ยังทำใจไม่ได้
ตอบ : ไม่ต้องยอมรับจ้ะ เขาให้เราทำหน้าที่ แต่เราทำผิดเอง เราทำผิดตรงที่ไปตั้งใจให้ยอมรับ ถ้ากำลังใจของเราไม่พอ จะยอมรับไม่ได้ ให้เปลี่ยนกำลังใจของเราไปทำหน้าที่แทน

อย่างเช่นว่า ต้องดูแลเขาอย่างไร จะต้องรักษาเขาอย่างไร ต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจเขาอย่างไร แสดงว่าเราหลงประเด็นเอง

ถาม : น้องหนูยังนอนที่ไอ.ซี.ยู. ตั้งแต่วันที่ ๑๕ แล้ว เหมือนกับเขาดีขึ้น แต่ก็ยังไม่รับรู้
ตอบ : ภาษาพระเขาบอกว่า วาระกรรมมาถึงพอดี เอาอย่างนี้..อะไร ๆ เราก็จ่ายมาแล้ว จ่ายอีกสักหมื่นห้าก็แล้วกัน ไปบอกเขาว่าจะปล่อยชีวิตสัตว์ ปล่อยพวกวัวควายให้เขา แล้วอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรให้เขาอโหสิกรรมให้ด้วย แต่ต้องไปซื้อที่โรงฆ่าสัตว์ แถว ๆ โรงฆ่าสัตว์ปทุมธานี ก็ได้

โรงฆ่าสัตว์ปทุมธานีอยู่ตรงกันข้ามกับธนาคารโคกระบือของในหลวง เราซื้อจากโรงฆ่าสัตว์ก็จูงข้ามไปที่ธนาคารโคกระบือ ให้เขาเอาเข้าบัญชีไปเลย เท่ากับว่าเราช่วยชีวิตสัตว์ใหญ่

เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนใหญ่เกิดจากกรรมเก่าที่ทำมา ในการที่เราไปฆ่าคนฆ่าสัตว์เอาไว้ จึงต้องคืนให้เขาด้วยชีวิต อาการที่หนักแบบนี้ควรจะคืนเขาด้วยชีวิตของสัตว์ใหญ่ จะให้ไปช่วยชีวิตคนก็คงหาที่ไหนไม่ได้ เพราะไม่มีใครเอาคนไปฆ่าให้เราเห็น ก็ต้องเอาสัตว์มีชีวิตนี่แหละ ลองไปเลือกดู...ราคาน่าจะไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท

ไปสื่อสารกับคนป่วย ถ้าเขาสามารถกระพริบตาได้หรือจับมือเราบีบได้ ก็บอกให้เขารับรู้ พอทำเสร็จก็กลับมาบอกเขาอีกที บอกให้เขาตั้งใจว่าบุญที่เราทำทั้งหมดนี้ ขออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร อย่างน้อย ๆ ก็เป็นแสงสว่างหนึ่งที่ปลายอุโมงค์ มีทางดีกว่าไม่มีเลย

เถรี
06-10-2010, 11:24
ถาม : เริ่มเบื่อน้อยลงแล้วค่ะ
ตอบ : เริ่มเบื่อน้อยลง ก็แย่นะสิ

ถาม : อย่างทำงาน รู้ว่าเป็นหน้าที่ก็ทำ ๆ ให้เสร็จ ๆ สักแต่ว่าทำไป จึงเบื่อน้อยลงเรื่อย ๆ
ตอบ : ให้กำลังใจของเราอยู่กับปัจจุบันด้วย คือ ทำงานก็ให้อยู่กับงานตรงนั้นเลย ไม่อย่างนั้นแล้วความเบื่อที่น้อยลง อาจเป็นเพราะว่ากิเลสของเราตีกลับ คือ กำลังใจเราไปทุ่มเทกับงาน อาจจะเป็นในลักษณะที่ว่า "ตรงนี้ได้กำไรเยอะ ต้องรีบทำหน่อย" กลายเป็นว่ากิเลสย้อนกลับมาแล้วเราไม่รู้ตัว

เพราะฉะนั้น..ให้วางกำลังใจอยู่กับปัจจุบันตรงนั้นจริง ๆ ต้องระมัดระวังไว้ อย่าไปคิดว่าเราก้าวผ่าน ให้คิดอยู่เสมอว่าเราถดถอย จะได้ไม่ประมาท

ถาม : แล้วมีวิธีดูไหมคะ ว่าเราถอยหรือเราดีขึ้น ?
ตอบ : วัดจากนิวรณ์ ๕ ก็พอ ไม่ต้องมากมาย ถ้าโผล่มาเมื่อไรแสดงว่าเราพังไปนานแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง

ถาม : เวลาไปกราบพระ หนูต้องบินฝ่าแดดฝ่าลมไป มีวิธีที่นึกแล้วถึงเลยไหมคะ ?
ตอบ : เราต้องคิดว่าเราอยู่ตรงหน้านั้นแล้ว แต่ก็อาจจะเป็นรูปแบบเฉพาะตัวของเราก็ได้ แบบเดียวกับพระยาครุฑ เคยอ่านกากีไหม ? เขาว่าดังนี้

เราจะแจ้งทางทุเรศเขตอรัญ........สัตตภัณฑ์คั่นสมุทรใสศรี
แม้จะขว้างแววหางมยุรี.............ก็จมลงจนถึงที่สุธาธาร
อันน้ำนั้นสุขุมละเอียดอ่อน...........จึงชื่อสีทันดรอันใสสาร
ประกอบหมู่มัจฉากุมภาพาล........คชสารเงือกน้ำและนาคินทร์
ผู้ใดคิดข้ามนทีสีทันดร................ย่อมม้วยมรณ์เป็นเหยื่อแก่สัตว์สิ้น
แสนมหาพญาครุฑยังเต็มบิน........จึงล่วงสินธุ์ลุถิ่นพิมานทอง

ของเราแสดงว่าเป็นแบบเดียวกับพระยาครุฑ ต้องค่อย ๆ ไป เราใช้มโนมยิทธิไปแบบทีเดียวถึงเหมือนคนอื่นไม่เป็น สมัยก่อนอาตมาเคยเป็นเหมือนกัน เวลาที่แหวกฝ่าอากาศไป รู้สึกแสบไปหมดทั้งตัว เพราะไปเร็วมากเลย น่าจะเร็วพอ ๆ กับเครื่องบินขับไล่ เอฟ ๑๖

คิดว่าทำไมตัวเราต้องมาลำบากอย่างนี้ด้วย เพราะจริง ๆ แค่นึกก็ถึงแล้ว พอกำลังใจตัดตรงจุดนี้ได้ กลายเป็นว่าแค่นึกก็ถึงแล้ว แต่ทีนี้ของเราอาจจะยังตัดไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ค่อย ๆ ไปแบบนั้นก่อนก็แล้วกัน จะได้เก็บไปสอนเขาได้ว่า ประเภทลำบากลำบน เราก็เคยเป็นมาก่อนแล้ว

เถรี
08-10-2010, 12:19
ถาม : ถ้าอยากจะแช่อยู่ในฌานเรื่อย ๆ โดยไม่ออกไป ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : อย่างที่บอก..ให้กำหนดรู้อยู่กับปัจจุบัน แต่ให้ประคองความรู้สึกเท่ากับตอนที่เรานั่ง จะลำบากนิดหนึ่ง แต่ถ้าทำบ่อย ๆ จะชิน แล้วก็จะทำได้

ให้ความรู้สึกของเราอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ เอาสติประคองอยู่ในอารมณ์นั้น แล้วไม่ให้หลุดไป ถ้าเผลอเมื่อไรก็จะหลุด หลุดแล้วก็ทำใหม่ ลองดู..ไม่ยากหรอก

ถาม : คนที่บ้านเขาบอกว่า เขานั่งภาวนาไปเมื่อเช้านี้ พออารมณ์สบายเขาก็เลยจับภาพพระ และจิตเขายังอยู่บนพระหัตถ์ของพระ พอเลิกทำตรงนั้นแล้วมีความสุข อิ่มอกอิ่มใจมาก ไม่อยากพูดกับใครเลย
ตอบ : ให้ทำบ่อย ๆ แต่ขณะเดียวกันก็ให้รู้ว่า ในเรื่องการปฏิบัติ โลกต้องไม่ช้ำ ธรรมต้องไม่เสีย สิ่งไหนที่เลี่ยงไม่พูด แล้วอยู่กับความสุขปัจจุบันของเราก็อยู่ไป แต่ถ้าสิ่งไหนจำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็ให้ทำ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเดือดร้อน

มีโยมคนหนึ่งโทรมาร้องไห้ บอกว่าไปทำงานที่ไหนก็โดนเขาแกล้ง อาตมาบอกว่า "ก็เอ็งดันทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านเขา.." เขาบอกว่าคนอื่นไม่ดี อาตมาบอกว่า "ไม่ใช่หรอก เอ็งบอกว่าทำงานที่ไหนก็เดือดร้อนทุกที่ แสดงว่าตัวเอ็งต้องไม่ดี ถ้าดีแล้วทำไมเราจึงเข้ากับเขาไม่ได้..?"

ในที่สุดเขาก็หลุดปากออกมาว่า ถ้าหากไปกับคนพวกนั้นแล้วจะรักษากรรมบถ ๑๐ ไม่ได้ เลยพยายามไม่พูดไม่คุยด้วย นั่นแหละ..กลายเป็นเราทำตัวต่างจากเขามากเกินไป คนเขาหมั่นไส้เลยแกล้งเอา กลายเป็นว่าอะไร ๆ เอ็งดีคนเดียว แสดงว่าโลกช้ำเพราะกลัวธรรมจะเสีย ก็เลยต้องปล่อยให้ร้องไห้อีกหลายยก..

ถาม : แล้วอารมณ์ที่เขาได้เป็นอารมณ์อะไร ?
ตอบ : เขาพยายามจะรักษากรรมบถ ๑๐ ให้ได้ กรรมบถ ๑๐ นั้นเน้นตรงวาจา นอกจากจะไม่พูดโกหกแล้ว ยังไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์

ทีนี้..วาจาที่ไร้ประโยชน์ ถ้าไม่โยงให้เข้าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมแล้วก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น ก็เลยไม่พูดเสียเลย ไม่พูดแล้วจะไปทำงานร่วมกับคนในบริษัทได้อย่างไร ใครไปถามอะไรก็หุบปากเงียบ ถ้าเป็นอาตมาไม่บ้องหูให้ก็เกรงใจแล้ว นี่เขาแค่แกล้งให้ก็ยังดี

เถรี
08-10-2010, 12:25
ถาม : กรณีของคนที่บ้าน เขามีอารมณ์สบายก็จริง แต่มีความสุขแค่ ๔ - ๕ นาทีเองค่ะ
ตอบ : เดี๋ยวก็ได้เยอะขึ้น การปฏิบัติอยู่ที่การซักซ้อมบ่อย ๆ พอเกิดความคล่องตัวแล้วก็รักษาอารมณ์ได้นานขึ้นเรื่อย ๆ แต่ต้องรู้อยู่เสมอว่าเราอยู่กับโลก ต้องเคารพสมมติทางโลก ในเมื่อเคารพสมมติทางโลก ก็อย่าพยายามทำตัวให้ต่างจากเขามากนัก

อย่างหนังสือที่อ่านไปคราวก่อน งำประกาย : กโลบายไร้ผู้ต่อต้าน เขาบอกว่าให้รู้จักปิดบังตัวเองบ้าง ไม่ใช่ถึงเวลาก็นั่งสมาธิกลางบริษัทเลย ไม่เกรงใจใคร กูจะปฏิบัติของกู รับรองได้ว่าตีนมารอบทิศ..!

ถาม : ในพระไตรปิฎกมีคำว่ากายนิพพานหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่มี..มีแต่อาทิสมานกาย ธรรมกาย อายตนะนิพพานก็ไม่มีตรง ๆ เพียงแต่ท่านบอกว่า ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ แต่ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นอายตนะนิพพาน

นิพพานก็คือนิพพาน ตามรากศัพท์แปลว่า ธรรมชาติที่หาความเสียดแทงไม่ได้ คือ ไม่มีอะไรกระทบได้แล้ว กระทบก็ร่วง เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจหรอก ว่าพระปฏิบัติที่เข้าถึงท่านจึงได้ขลัง เพราะไม่มีอะไรเสียดแทงได้แล้ว ก็ขลังโดยปริยาย

ไม่ต้องมากมายหรอก แค่พระอนาคามีก็พอ อนาคามีนั้นเมื่อไร้ซึ่งความโลภ ไร้ซึ่งความโกรธขึ้นมา ปืนก็ยิงไม่ออกแล้ว..!

เถรี
08-10-2010, 12:31
ถาม : จิตของคนเรานี่เป็นพลังงานอย่างหนึ่งหรือเปล่าคะ?
ตอบ : เป็นสิจ๊ะ พลังงานมหาศาลกว่าปรมาณูอีก

ถาม : แล้วเวลาเราคิดอะไรไป ก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : เป็นจ้ะ ถึงได้ก่อให้เกิดกระแสที่เขาเรียกว่า มโนกรรม กรรมที่เกิดจากใจ จึงต้องควบคุมให้ดี ให้คิดดี พูดดี ทำดี อย่าให้คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว

เพราะว่าพลังงานนั้น นอกจากจะทำร้ายคนอื่นแล้ว ยังทำร้ายตนเองด้วย แต่ถ้าหากทำดีก็จะดีต่อตัวเราและดีต่อคนอื่นด้วย

ถาม : แสดงว่ามีผลใช่ไหมคะ ?
ตอบ : มีแน่จ้ะ

ถาม : แล้วทำไมบางครั้งจะมีไฟกลม ๆ อยู่ตรงระหว่างหน้าผาก ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ ตรงนั้นเป็นแหล่งพลังงานอย่างหนึ่งที่ทางด้านฮินดูเขาถือว่าเป็นจักระ คือ แหล่งพลังงานอย่างหนึ่งใน ๗ จุดใหญ่ของร่างกาย

ไม่ต้องไปใส่ใจตรงจุดนั้น ให้ใส่ใจอยู่กับลมหายใจของเรา กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ภาพหรือแสงเสียงที่ปรากฏอย่าไปใส่ใจ ถ้ามัวแต่ไปใส่ใจอยู่การปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า

ถาม : จะเกิดอย่างไรก็ปล่อย ?
ตอบ : จะเป็นอย่างไรช่าง แต่ของอย่างนี้แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ เรายิ่งไม่สนใจก็ยิ่งชัด เขาจะยั่วให้สนใจ

ถาม : แล้วทำไมคนอื่นเขาไม่เป็นแบบนี้ ?
ตอบ : แต่ละคนไม่เหมือนกันจ้ะ การปฏิบัติก็เหมือนกับคนที่เรียนหนังสือ คนนั้นเรียนสาขาวิชานั้น คนนี้เรียนสาขาวิชานี้ ในเมื่อเรียนคนละสาขา จะให้เหมือนกันก็เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นวิชาพื้นฐานเท่านั้น

ถาม : แล้วอย่างหนูต้องปฏิบัติอย่างไรคะ ?
ตอบ : เอาอานาปานสติเป็นหลักจ้ะ เรื่องของลมหายใจเข้าออกทำให้ใจของเราไม่ฟุ้งซ่าน ส่วนการปฏิบัติในด้านอื่น ๆ เพื่อการรู้เห็นต่าง ๆ นั้น จริง ๆ แล้วเป็นของแถมของนักปฏิบัติ ถ้าเราทำถึงส่วนใหญ่จะมาเอง

ดังนั้น..ไม่ต้องไปดิ้นรนทำหรอก ประเภทอยากรู้อยากเห็นอย่างชาวบ้าน รู้เห็นมาก ๆ บางทีก็โดนหลอก..!

เถรี
08-10-2010, 12:36
ถาม : เรื่องการตำหนิกรรม ในหน้าที่การงานอย่างที่เราสั่งสอนเขา ถือว่าเป็นการตำหนิกรรมหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากสอนก็สอนโดยยกตัวอย่างให้ชัดเจน แต่การตำหนิกรรม บางทีไม่ใช่การสอน การตำหนิกรรมส่วนใหญ่จะใส่อารมณ์ร่วมไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง ก็เลยงอกงาม รักที่จะสอนเขากำลังใจของเราต้องมั่นคงพอ

ถาม : ต้องตีไปยิ้มไปใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ประเภทตีด้วยอุเบกขา อย่าไปตีด้วยโทสะ

ถาม : แล้วในกรณีที่เราพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ พูดถึงการกระทำของบุคคลอื่น ?
ตอบ : จะมากจะน้อยก็มีโทษ เพราะพระพุทธเจ้าท่านให้ อัตตนา โจทยัตตานัง กล่าวโทษโจทย์ตนเอง มีอะไรก็แก้ไขที่ตัวเองให้ดี เราไม่สามารถจะแก้ไขคนอื่นเขาได้ เพราะเรื่องของคนอื่น คือ เรื่องของโลก โลกทั้งโลกหนักเกินกำลังของเรา ดูที่ตัวแก้ที่ตัวจึงจะเกิดผล

ถึงแม้ว่าการทำงานนั้นจะต้องทำร่วมกัน ก็รอเวลาที่ประชุมกันเกี่ยวกับงาน ถ้าอย่างนั้นก็ใส่กันได้เต็มที่เพราะว่าเป็นหน้าที่ แต่ถ้าเป็นนอกเวลา โบราณเขาถือคติว่า ถ้าติให้ติลับหลัง ถ้าชมให้ชมต่อหน้า ถ้าติต่อหน้าคนอื่น น้อยคนที่จะรับได้ ดีไม่ดีก็โกรธกันไปตลอดชีวิตเลย

เถรี
08-10-2010, 12:41
ถาม : เรื่องการนั่งกรรมฐาน ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าจริตไหนถูกกับเราครับ ?
ตอบ : คุณเอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ของ หลวงพ่อวัดท่าซุง ตั้งใจบูชาหน้าหิ้งพระ จุดธูปอธิษฐานขอบารมีพระและครูบาอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ กรรมฐานใดที่เหมาะแก่เราให้อ่านแล้วชอบใจ ถ้าชอบหลายกองให้ตั้งใจใหม่ว่า กองใดที่เราทำแล้วได้ผลไวที่สุด ให้ชอบมากที่สุด

ไม่ต้องไปสนใจเรื่องจริตหรอก คนเรามีจริตครบทั้ง ๖ อย่าง เพียงแต่ว่าจะเด่นด้านไหนขึ้นมาเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนที่จิตละเอียดจริง ๆ จะแยกไม่ออกหรอก

ถาม : ตอนนี้ผมนั่งภาวนานะมะพะธะอยู่ แต่ว่าจะหงายหลังตลอด แล้วก็จะนิ่งไปเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าเข้าอุปจารสมาธิหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเอาหนังสือของหลวงพ่อมาอ่าน จะรู้ว่าอยู่ระดับไหน เพราะในหนังสือมีรายละเอียดบอกเอาไว้เกี่ยวกับระดับขั้นของอารมณ์ฌาน อารมณ์สมาธิ อ่านแล้วจะรู้เอง

ถาม : มันไม่ยอมหงายครับ ค้างไว้อย่างนั้น แล้วก็เมื่อยครับ อยากให้หงายก็ไม่หงาย
ตอบ : อย่าอยากให้เป็น และอย่าอยากให้หงาย ทำใจให้เป็นกลาง มีหน้าที่ตามดู ตามรู้อย่างเดียว

ถ้าวางกำลังใจไม่ถูก การปฏิบัติจะไปยากมาก ถ้าวางกำลังใจถูกก็จะเร็วเกินกว่าที่เราจะคิด

ถาม : ผมไม่ได้หวังอะไรครับ หวังให้นิ่งอย่างเดียว
ตอบ : ก็ที่เอ็งหวังจะให้หงายนั่นแหละ ฮ่วย..!

เถรี
09-10-2010, 11:37
ถาม : ตอนนี้แม่ผมไปวัดแถวปทุม บริจาคเงินจนจะหมดตัวแล้วครับ
ตอบ : เราเป็นลูกก็ลองทักท้วงดูสิ ว่าผมยังต้องกินต้องใช้นะแม่

ถาม : แม่ไม่ยอมฟังเลยครับ น้ำเชี่ยวมาก ห้ามไม่ไหว
ตอบ : ห้ามไม่ไหวก็รอ หรือไม่ก็พูดให้ท่านฟังเสียหน่อยว่า ถ้าแม่ตายผมไม่มีเงินจัดงานศพให้แม่นะ ถือว่าผมบอกแม่แล้ว ถึงเวลาผมอาจจะเอาเสื่อห่อ ๆ ศพแม่แล้วฝังเลยก็ได้..!

ถาม : บุญที่แม่ทำไปที่นั่น จะได้เท่ากับทำพระดี ๆ ไหม ?
ตอบ : ต้องดูด้วย บุญที่ทำแล้วจะได้เต็มที่ ต้องประกอบด้วย
๑. เจตนาบริสุทธิ์ คือ ทำเพื่อเป็นการหวังสละออกจริง ๆ ไม่ได้คิดจะทำอวดคนอื่นเขา ไม่ได้ทำเพราะสถานการณ์พาไป
๒. วัตถุทานบริสุทธิ์ คือ สิ่งที่เราใช้ในการทำบุญต้องหามาได้โดยบริสุทธิ์ ไม่ได้ลักขโมย หยิบฉวย หลอกลวง ช่วงชิงของใครเขามา
๓. ผู้ให้บริสุทธิ์ คือ ตัวเราตอนนั้นเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๔. ผู้รับบริสุทธิ์ ผู้รับเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์

ไปวิเคราะห์ก็แล้วกันว่าส่วนไหนพร่องบ้าง ถ้าไม่พร่องเลยสักข้อ แม่ก็ได้บุญไปเต็ม ๆ

ถาม : สองข้อผมมั่นใจ แต่อีกสองข้อผมไม่มั่นใจสิครับ
ตอบ : อย่างนั้นก็เป็นเรื่องของแม่แล้วครับ..!

เถรี
09-10-2010, 11:43
ถาม : เวลาผมไปที่นั่นทีไร ผมเครียดทุกทีครับ
ตอบ : เครียด..รับไม่ได้ใช่ไหม ?

ถาม : รับไม่ได้มาก ๆ ผมอยากจะออกมา เมื่อต้นเดือนงานศพตา ไปเผาที่วัดอื่น แต่นิมนต์พระวัดนี้ไปสวด เหมือนหักหน้าพระเจ้าของวัดนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ประมาณนั้นแหละ...เป็นเรื่องที่โดยมารยาทแล้วไม่ควรจะทำกัน

ถาม : มีอะไรจะแนะนำผมไหมครับ ? เตือนแม่ก็ไม่ฟัง
ตอบ : เราให้ยาเบาไป พูดให้แม่ได้สติต้องกระแทกสักตูมใหญ่ ๆ

ถาม : ตอนช่วงปีใหม่ผมบินกลับมาที่เมืองไทย มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เขาบอกว่า เขาจะช่วยเปิดตาที่สามให้เห็นพวกกายทิพย์ และสอนเรานั่งกรรมฐานแนวหลวงพ่อครับ นั่งกรรมฐานไปเขาก็จะถามเหมือนฝึกมโนมยิทธิ ผมสงสัยว่าที่เขาสอนผม เขาใช้ไข่มานวดลูกตา เขาบอกว่าได้วิชามาจากอาจารย์คนหนึ่ง ฝึกจนได้ตามสายหลวงพ่อด้วยครับ
ตอบ : ตามที่อาตมาศึกษาสายหลวงพ่อมาไม่เคยมีอย่างนี้ ยังดีที่เขาบอกว่ามาจากคนอื่น..!

เถรี
09-10-2010, 11:51
ถาม : เขาบอกว่าเขาช่วยจูนคลื่นให้ ผมก็ลองนั่งสมาธิ ลองมองดู ถามว่าผมเห็นอะไรไหม ? ผมก็เคยถามพวกแม่ชีว่าผมเห็นถูกไหม ? ก็เห็นถูกตามที่แม่ชีบอก ผมไม่ได้หลอกตัวเองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตัวเองเห็นแล้วสรุปไม่ได้ ก็ไม่ต้องถามคนอื่น เหมือนกับกินข้าวแล้วไปถามคนอื่นว่าผมอิ่มไหม ?

ถาม : จะให้แน่ใช้สัมผัสแรกใช่ไหม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เราต้องเชื่อความรู้สึกแรก แล้วการเห็นไม่มีการผิดไม่มีการถูก เห็นก็คือเห็น หากแต่ว่าพอเรารู้เห็นแล้วเราไปเชื่อถือ ไปคล้อยตามแล้วปฏิบัติ ตอนนั้นแหละถึงจะเกิดการผิดถูก ต้องระมัดระวังตรงที่ว่า เราจะเชื่อถือและปฏิบัติตาม

อย่างวัดที่คุณว่าเหมือนกัน เขาเห็นตามนั้นแล้วก็ไหลตามไป ในเมื่อไม่มีการยั้งตัว คนส่วนใหญ่เห็นว่าผิด แต่เขาเห็นว่าถูก

ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ แรก ๆ ถ้าแค่เห็นยังไม่มีการผิดถูก แต่ถ้าเห็นแล้วไปคล้อยตามคำแนะนำ ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะว่าความผิดถูกจะเริ่มปรากฏ ถูกก็เสมอตัว ถ้าผิดก็ขาดทุน

ถาม : ผมศึกษาตามสายของหลวงพ่อมา ให้กำหนดภาพพระให้ชัดเจน แต่ผมนั่งสมาธิไม่ค่อยได้กำหนด เอาให้นิ่งอย่างเดียว แล้วก็ถอนออกมา จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเราต้องการรู้เห็น ต้องเกี่ยวกับภาพ ยกเว้นว่าเราต้องการความสงบเฉย ๆ

ที่ทำไปก็ถูกอยู่ แต่การสงบเฉย ๆ ถือว่าขาดทุน เพราะว่าการปฏิบัติตามสายหลวงพ่อท่านหวังความหลุดพ้น ความสงบเป็นแค่สุขปัจจุบันเท่านั้น ถ้าไม่สามารถจะรักษาให้ต่อเนื่องได้ ยังไม่แน่ว่าความสุขในอนาคตจะมีได้ เพราะว่าเราอาจจะพลาดลงอบายภูมิไปเลยก็ได้

ฉะนั้น..ป่วยการที่จะกล่าวถึงประโยชน์สุขสูงสุดที่จะพึงได้คือการหลุดพ้น ถ้าเราแค่สงบเฉย ๆ แปลว่ายังไม่พอกิน

เถรี
09-10-2010, 11:54
ถาม : สรุปแล้วถ้าต้องการฝึกมโนมยิทธิ คือ ต้องกำหนดภาพพระให้ชัดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ควรจะเป็นอย่างนั้น ขอยืนยันว่าถ้าทำได้คล่องตัวแล้วจะมีปัญหาตามมาอีกมหาศาล เพราะบุคคลที่รู้เห็นมักจะโดนหลอกได้ง่าย

ถาม : กำหนดรูปหลวงพ่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วแต่สะดวก ให้จับได้สักรูปหนึ่งเอาให้ชัดจริง ๆ ก็แล้วกัน

ถาม : ถ้าลืมภาพ ก็ลืมตามาดูใหม่หรือครับ ? อย่างนี้สมาธิก็หลุดไป
ตอบ : แสดงว่าคุณลืมตาไม่เป็น คนทำสมาธิเป็นไม่ว่าจะหกคะเมนตีลังกาอย่างไร สมาธิเขาก็ทรงตัวได้เสมอ

ถาม : แต่ว่าผมทำได้ภาพไม่ละเอียดครับ
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป บุคคลสมัยก่อนเขาทำ ๓๐-๔๐ ปีกว่าจะได้ เราทำมากี่นาที..!

เถรี
09-10-2010, 11:57
ถาม : เวลาภาวนาใช้คำบริกรรม เมื่อก่อนพอหลุดก็หายไปเลยครับ พอตอนนี้คำบริกรรมยังอยู่แล้วก็ร้องเพลงตามไปด้วย
ตอบ : ดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้ายังดึงกลับมาไม่ได้ ก็ยังคงร้องเพลงไปด้วย ลักษณะอย่างนั้นเป็นการแยกจิตทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่คราวนี้กลายเป็นกิเลสมารช่วยหนุน จึงออกนอกลู่นอกทาง

ถาม : พอใช้ลมหายใจเข้ามาช่วย เพลงก็หายไป แต่กลายเป็นภาพที่เราไปเห็นมาในแต่ละวัน
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ภาพจะปรากฏไม่ต้องสนใจ แต่ยิ่งไม่สนใจก็ยิ่งชัด เขาตั้งใจจะกวนให้เราเลิก ต้องทนสู้..นั่งตื๊อดูว่าใครจะอึดกว่ากัน

ถ้าเราสามารถผ่านได้ เขาก็จะไม่มาอีก เขาแค่ต้องการกวนน้ำให้ขุ่น พอขุ่นแล้วจิตเราไม่มีคุณภาพ การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า เขาถือว่าประสบความสำเร็จ เขาก็จบของเขาแค่นั้น ส่วนเราเองก็เดือดร้อนไปเรื่อย

เถรี
09-10-2010, 12:22
ถาม : เวลาจะควบแน่นเพื่อบีบให้ออก ถ้าไม่อยากออก จะต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : แล้วทำไมถึงไม่อยากออก?

ถาม : อยากจะแช่อยู่นาน ๆ
ตอบ : จะไปยากอะไร ก็แค่นึกว่าไม่ไป ๆ ๆ กำลังใจก็จะต้านไว้เอง หรือลดลงมาอย่าให้ถึงฌาน ๔

ถาม : ขนาดหนูผ่อนลงแล้ว ภาวนาต่อก็แน่นใหม่อีก
ตอบ : เรื่องธรรมดา ก็ซ้อมขึ้น ๆ ลง ๆ ไปเรื่อย ต่อไปจะมีความชำนาญ เขาเรียกว่า วุฏฐานวสี

วุฏฐานะ คือ การออก , วสี คือ ความคล่องตัว , วุฏฐานวสี คือ มีคล่องตัวในการเข้าออกฌาน

เถรี
10-10-2010, 20:22
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยเด็ก ๆ มีคนได้แก้วจากต้นกล้วย เขาเองก็ไม่ได้คิดอยากได้หรอก แต่ด้วยความที่เป็นคนขยัน ปลูกกล้วยแล้วรักษาอย่างดี

วันหนึ่งฝันเห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยมาหา บอกว่าขอบคุณที่ช่วยดูแลเขามานาน ตอนนี้จะไปเกิดแล้ว จะทิ้งของดีเอาไว้ให้ ให้เก็บรักษาเอาไว้ จะได้ช่วยให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง

เจ้าของต้นกล้วยก็พยายามไปค้นหา หาที่กอกล้วยแล้วยังไม่เจออะไร ท้ายสุดเห็นกล้วยออกปลีอยู่ จึงตัดปลีออกมาผ่าดู ปรากฏว่ามีแก้วอยู่ข้างใน"

ถาม : ผู้หญิงที่มาเข้าฝัน เป็นรุกขเทวดาหรือครับ ?
ตอบ : เป็นรุกขเทวดาชั้นต่ำ แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าที่เคยเสวยพระชาติเป็นกุสนาฬิเทวดา เป็นเทวดาอยู่บนกอหญ้าคา

ถาม : อยู่บนไม้ไม่มีแก่นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นรุกขเทวดาชั้นสูงจะอยู่บนไม้มีแก่น

ถาม : รุกขเทวดาชั้นต่ำอายุกาลจะสั้นกว่าหรืออย่างไร ?
ตอบ : ไม่ใช่สั้นกว่า แต่กำลังบุญจะน้อยกว่า อีกอย่างคือ กิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ใกล้เคียงมนุษย์มากกว่า

ถาม : ขนาดกำลังบุญน้อยยังให้แก้วได้
ตอบ : อย่าลืมว่าเทวดาปลายแถวยังทรงความดีมากกว่ามนุษย์หัวแถวหลายเท่า

ถาม : แล้วใครเป็นคนดูแลแก้ว
ตอบ : แก้วนั้นเหมือนกับเป็นศูนย์รวมพลังของเขา ในเมื่อเขาไม่ได้ใช้แล้วก็เลยยกให้ โบราณเขาเรียกแก้วกัทลี กัทลี แปลว่า กล้วย

เถรี
10-10-2010, 20:28
ถาม : งูเหลือมปากเป็ด เขาบอกว่าคนใต้จะเก็บไว้ไม่ให้คนอื่นเห็นเลย
ตอบ : อาตมามีอยู่สี่ตัว ตัวขนาดเท่าถั่วงอก ที่บอกว่าเหมือนถั่วงอกเพราะปากเขาแบนจึงดูเหมือนถั่วงอก ก่อนหน้านี้อาตมาเอามาใส่ตู้ไว้ให้ดู ๓-๔ ตัว ของบางอย่างที่เขาหายาก เขาก็หวงกัน แต่เราอาจจะทำบุญไว้เยอะกระมังก็เลยหาง่าย

จริง ๆ อาตมาอยากได้งูนกเลี้ยงมากกว่า ไม่ได้อยากได้งูเหลือมปากเป็ดหรอก อยากรู้ว่างูนกเลี้ยงเขาอยู่ได้อย่างไร ? เพราะเป็นงูที่อ่อนปวกเปียกทั้งตัวเหมือนกับไม่มีกระดูก นอนอยู่ที่ไหนนกจะไปทำรังให้ แล้วหาอาหารมาป้อนให้ทุกวัน

ถ้าเราได้เขามาเก็บไว้ ตอนเช้า ๆ ต้องรีบเอาไปไว้ตรงชานบ้านเพื่อให้นกมาป้อน นกทุกตัวที่ผ่านมาต้องหาอาหารให้เขากินก่อน ไม่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้หรอก

ตำราว่าเป็นเมตตามหานิยม ถ้าใครมีอยู่จะทำให้เจ้าของบ้านพลอยเป็นที่รักของคนอื่นไปด้วย ที่อาตมาอยากได้ ไม่ใช่ต้องการให้เป็นมหานิยม แต่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น

เขาบอกว่าเข้าป่าให้พยายามสังเกต ถ้ามีเสียงนกเกรียวกราวอยู่ที่ไหน น่าจะมีงูนกเลี้ยงอยู่ที่นั่น

เถรี
10-10-2010, 22:31
มีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่ง พยายามตะโกนเรียกลูกค้าเข้าร้าน นานเข้าเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความเครียด

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "สำคัญตรงความรู้ตัว ในเมื่อเขาไม่รู้ตัวเขาก็ยังทำไปเรื่อย ก่อนหน้านี้อาตมาก็พอ ๆ กับเขา เสียงดังใส่คน พอรู้ตัวก็รีบหยุดทันที

คนเราจะแก้ไขตัวเองได้ต้องมีความรู้ตัว ถ้าไม่รู้ว่าจุดบกพร่องอยู่ตรงไหนก็แก้ไขไม่ได้ จุดบกพร่องที่แก้ไขยากที่สุดคือ ส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองดีแล้ว

การคิดว่าตัวเองดีแล้วมีโทษก็คือ อันดับแรก ไม่แสวงหาความก้าวหน้า อันดับที่สอง ปิดกั้นจากความดีในระดับสูงกว่าที่ควรจะได้ ควรจะเป็น อันดับสุดท้าย ก็คือ เข้าไม่ถึงความดีอย่างแท้จริง"

เถรี
10-10-2010, 22:42
พระอาจารย์กล่าวถึงการจัดงานรักษาศีลแปดที่วัดให้ฟังว่า "ความจริงแล้วการรักษาศีลปฏิบัติธรรม เราทำอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เขาจัดกันขึ้นมา มีประโยชน์อยู่อย่างหนึ่งคือ หมู่คณะลากกันไปได้ ประเภทพวกมากลากไป

อยู่บ้านเราอาจจะอดใจไม่ไหวไปกินข้าวเย็น แต่อยู่ที่วัดเขาพร้อมใจกันอด พอเห็นคนอื่นเขาอดได้ เราก็มีกำลังใจอดได้บ้าง

สำหรับงานนี้ใครสมัครแล้วต้องไป หมาจะคลอดหรือเมียจะคลอดก็ต้องไป ถ้าไม่ไปเราคิดค่าประกาศนียบัตร ๙๙ บาท เพราะถ้ารอไปพิมพ์ประกาศนียบัตรวันงานแล้วจะทำไม่ทัน ในเมื่อพิมพ์ไปแล้วตามรายชื่อที่สมัคร ถ้าไม่ไปก็เสียเงินเสียของไปเปล่า ๆ

หลายต่อหลายคนมีอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ทำความดี มีอยู่สองคนอยู่ข้างวัดแค่นั้น พอถึงวันงานกลับป่วย มาไม่ได้

เราจะได้รู้ว่า มารเขารักเรามาก มีความเมตตา อยากสงเคราะห์ให้เราอยู่กับเขานาน ๆ พยายามดึงถ่วงเราเอาไว้ไม่หลุดพ้น ควรจะตอบแทนความรักความหวังดีของเขาไหม..?!"

เถรี
11-10-2010, 09:35
ถาม : ที่ว่าเอาใจไปรับพวกรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วทำให้กำลังรั่วไปหมด ที่รั่วออกไปคือทำใจไหลตามคิดตามหรือคะ ?
ตอบ : ใช่..เป็นการนึกคิดปรุงแต่ง ไม่ใช่การสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น แล้วหยุดเอาไว้ได้ แต่เราไปยินดียินร้าย พอใจและไม่พอใจ จึงเป็นการใช้พลังงานอย่างหนึ่ง

ถ้าเราสามารถหยุดเอาไว้ได้ ไม่ไปยินดียินร้าย สักแต่ว่ารับรู้ ก็ไม่ต้องไปสูญเสียกำลังกับเรื่องเหล่านี้

ถาม : ไม่ใช่ว่าเราปิดหูปิดตา ?
ตอบ : ไม่ใช่...เราสนใจได้ แต่ให้สนใจในลักษณะสักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ถ้าไปยินดี..พลังงานก็หายไปแล้ว ไปยินร้าย..พลังงานก็หายไปแล้ว เพราะเราไปใส่อารมณ์

ยินดีก็เป็นโลภะมีส่วนของราคะ ยินร้ายก็เป็นโทสะมีส่วนของโมหะอยู่ด้วย เป็นกิเลสใหญ่มากเลย

ถาม : อย่างอ่านนิยาย แล้วเราไปคิดตามที่เขาเขียน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก เราไหลตั้งแต่ตอนซื้อมาแล้ว พอเห็นชื่อ แดน บราวน์ เราก็รั่วแล้ว จะต้องปรุงไปแล้ว ว่าเรื่องก่อนสนุกแค่ไหน แล้วเรื่องนี้จะสนุกแค่ไหน แหม..ดาวินชีโค้ดสุดยอดเลย แล้วเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรหนอ ต้องอ่านให้ได้" กิเลสเขาปรุงให้กินไปหลายถ้วยหลายจานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก..!

เถรี
11-10-2010, 09:39
ถาม : หนูเคยคิดอย่างหนึ่งว่า เวลาที่เราเกิดความยินร้าย แล้วตัดไม่ได้สักทีหนึ่ง เพราะยังมีการระลึกนึกถึงอยู่ ก็เลยมาคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีความยินดีในความยินร้ายนั้น ?
ตอบ : มี..ที่ยังตัดไม่ได้ อันดับแรกคือกำลังไม่พอ อันดับที่สองคือยังไปห่วงหาอาวรณ์ สายใยเลยยังรัดพันอยู่

ถาม : จริง ๆ แล้ว เราก็สามารถสรุปได้ว่ามีแค่ตัวเดียวก็คือ มีความพอใจ
ตอบ : จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ พระท่านสรุปว่าเป็นฉันทะ ความพอใจ จึงเกิดราคะ ความยินดี อยากมี อยากได้ สองศัพท์รวมกันเขาเรียกว่าอวิชชา แปลว่า ไม่รู้ เลยโง่เสียท่าอยู่เรื่อย..!

เถรี
11-10-2010, 12:56
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เมื่อกำลังใจถึงอุปจารสมาธิ ภาพต่าง ๆ จะปรากฏขึ้น ในเมื่อภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้น ถ้าสงสัยใคร่รู้ให้กำหนดถามเดี๋ยวนั้นเลยว่า ท่านมาด้วยเหตุใด มีความประสงค์อะไร หรือถ้าไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ชัดเจน ก็ให้ตั้งใจบอกว่า ให้มาเข้าฝันด้วย จะได้สื่อให้รู้ ๆ กันไปเลย

ถาม : เดี๋ยวนี้จะเป็นเวลาเข้าห้องน้ำ
ตอบ : นั่นเป็นเวลาที่ใจเราสบาย เพราะกำลังอุปจารสมาธิ คือ กำลังใจที่เบา ๆ สบาย ๆ ตรงช่วงนั้นจะเริ่มรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ แบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านไปสวรรค์ครั้งแรกก็อาศัยนั่งพิงตุ่มในห้องน้ำ

ยังดีจ้ะที่ของเราท่านมาแบบดี ๆ ถ้ามาแบบไม่ดีเดี๋ยวได้วิ่งกันแน่..!

ถาม : เป็นท่านจริง ๆ มาหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถามท่านสิจ๊ะ ท่านมาแล้วเราไม่รู้จักถาม ถามแล้วอย่าไปย้ำ เพราะโลกอื่นเขาไม่โกหกหรอก ถ้าเราไปย้ำ บางท่านนิสัยเหมือนคน เห็นเราไปถามย้ำเหมือนไม่เชื่อถือกัน เดี๋ยวมีการเฉ่งคืน..!

เถรี
11-10-2010, 13:09
พระอาจารย์อ่าน ธรรมลีลา ของ ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ให้ฟังว่า "ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสชมพระอานนท์ว่าเป็นสุดยอดของพุทธอุปัฏฐาก ในบรรดาอุปัฏฐากทั้งหมดที่ผ่านมาไม่มีใครเกินท่าน

แต่ทำไมหลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในการสังคายนาพระไตรปิฎกหลังจากนั้น ๓ เดือน พระมหากัสสปะสั่งปรับอาบัติพระอานนท์ถึง ๕ ข้อ ?

อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าเพิ่งตรัสชมพระอานนท์ไปเมื่อสามเดือนก่อน (และ) การจัดการเหล่านั้น (ของพระอานนท์) น่าจะถูกต้อง แต่กลับโดนคณะสงฆ์ปรับอาบัติ

เรื่องนี้ผู้เขียนได้ศึกษาแล้วและเห็นว่าไม่ลงตัวกับหลักฐานพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท ความแตกต่างเช่นนี้ได้จุดประกายให้นักวิชาการสายพุทธควรจะไปศึกษาเพิ่มเติมองค์ความรู้ให้สมบูรณ์ต่อ

จริง ๆ แล้วมีคำอธิบาย เพียงแต่ว่า ดร. ท่านคงไม่ได้คิดถึง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่คณะสงฆ์ชิงปรับอาบัติพระอานนท์ก่อน ก็เพื่อไม่ให้คนกล่าวโทษพระอานนท์ทีหลัง แล้วกลายเป็นโทษแก่ตัวเอง เพราะตอนนั้นพระอานนท์เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

โทษที่ปรับอาบัติพระอานนท์ ก็คือ ๑) ทูลขอให้ภิกษุณีบวช ข้อนี้ ดร.ฉัตรสุมาลย์ ท่านรับไม่ได้เด็ดขาด ถือว่าเป็นการกีดกันสิทธิสตรี ท่านต่อสู้เรื่องนี้มานาน ๒) ปรับอาบัติข้อที่พระอานนท์ให้บรรดาพระญาติพระวงศ์ของมัลลกษัตริย์ ที่เป็นสตรีไปถวายบังคมพระบรมศพก่อน ทำให้ทั้งหมดร้องไห้จนน้ำตาตกต้องพระพุทธสรีระ

๓) ปรับอาบัติเพราะพระอานนท์เหยียบสังฆาฏิของพระพุทธเจ้าเพื่อดึงให้ตึงตอนเย็บ ๔) ปรับอาบัติเพราะพระอานนท์ไม่สอบถามว่า สิกขาบทใดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ๕) ปรับอาบัติพระอานนท์ที่ไม่ทูลขอให้พระพุทธเจ้าอยู่ตลอดกัป เพื่อสงเคราะห์มนุษย์และเทวดา"

เถรี
11-10-2010, 13:14
"พระอานนท์ท่านแก้ได้ทุกข้อกล่าวหา ชี้แจงแก่คณะสงฆ์ได้ชัดเจน แต่ด้วยความที่เห็นแก่พระธรรมวินัย และเข้าใจว่าคณะสงฆ์ปรับอาบัติท่านด้วยเหตุใด ท่านจึงยอมรับว่าผิดและแสดงคืนอาบัติ ก็คือ ยอมสารภาพว่าเป็นความผิดเฉพาะของตน

แต่ที่จริงแล้ว คณะสงฆ์ปรับอาบัติพระอานนท์ก็เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ชิงทำเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคนรุ่นหลังจะทะเลาะกันเพราะเรื่องของท่าน แล้วจะเกิดโทษแก่ตัวเองหนักไปเรื่อย จนอาจจะเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในพระพุทธศาสนา

โดยเฉพาะคนที่กำลังใจไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าพระอานนท์ทำอย่างนั้นไปเพราะอะไร ถ้าพระอานนท์นิพพานไปแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะมาว่ากล่าว มาบอกกันให้ชัดเจน ก็จะทำให้คนที่มาทีหลังไม่เข้าใจ ไปตำหนิพระอรหันต์ได้ โทษก็จะหนัก

ฉะนั้น..การที่ท่านชิงปรับอาบัติเสียก่อน ก็เพื่อที่เป็นการอนุเคราะห์แก่โลก บาลีเรียกว่า โลกานุกัมปายะ อนุเคราะห์แก่ชนรุ่นหลัง ปิดประตูนรกไม่ให้คนลง แต่นี่กำลังมีคนไปตะกายแง้ม ๆ มาหน่อยแล้ว

ท่านรับไม่ได้ตรงที่ว่า ทำไมถึงไปปรับอาบัติพระอานนท์เรื่องให้บวชภิกษุณี คิดว่าเป็นการกีดขวางไม่ให้สตรีบวช คนเราดีแสนดีถ้าเขาจะหาเรื่องมาติก็หามาจนได้แหละ"

เถรี
11-10-2010, 17:18
ถาม : เวลาที่จะประคองภาพพระให้ได้นาน ๆ ทั้งวันทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ควบกับลมหายใจเข้าออก ตราบใดที่ยังรักษาลมหายใจเข้าออกอยู่ ตราบนั้นก็ยังรักษาภาพพระได้

ถาม : จับภาพขนาดไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เอาขนาดที่เราถนัด กำหนดได้กำลังสบาย จะใหญ่จะเล็กอยู่ที่เรา

ถาม : ผมพยายามประคองภาพพระให้ได้สององค์ ดีหรือไม่ หรือองค์เดียวก็พอ ?
ตอบ : ถ้ายิ่งหลายองค์ก็ต้องยิ่งใช้สมาธิสูง เพราะถ้าพลาดแล้วก็จะหายไป ฉะนั้น..อยู่ที่เรา ถ้าคล่องตัวหลาย ๆ องค์ก็ได้

ถาม : ส่วนคำภาวนานี่ไม่จำเป็นใช่ไหมครับ ? ให้อยู่กับลมหายใจตลอด
ตอบ : ถ้าจับลมหายใจได้ ไม่ต้องใช้คำภาวนาก็ได้จ้ะ

เถรี
11-10-2010, 17:45
ในขณะที่กำลังสนทนาถึงข่าวของแอนนี่ บรู๊ค พระอาจารย์กล่าวว่า "ในทุกเรื่อง ถ้ามีความสงสัยใครสักคน แล้วได้มีการจับเข่าคุยกันและถามตรง ๆ ทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะเราจะทราบความจริงจากเจ้าตัวโดยตรง

แต่ส่วนใหญ่เราไม่ทำอย่างนั้น เราไปวิพากษ์วิจารณ์กันรอบนอก พอวิจารณ์กันในรอบนอก ไม่มีการสอบถามข้อเท็จจริงกับเจ้าตัวโดยตรง เรื่องที่ไม่ควรจะเป็นความผิด ก็กลายเป็นความผิดไป"

เถรี
11-10-2010, 17:54
พระอาจารย์กล่าวถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งให้ฟังว่า "สมัยก่อนมีหนังอยู่เรื่องหนึ่ง ชื่อ ท้าฟัน เป็นการนัดต่อสู้กันระหว่างวิทยายุทธของสามเกาะบูรพาคือญี่ปุ่น (นินจา) กับแผ่นดินใหญ่คือจีน (วัดเส้าหลิน) นัดต่อสู้กันทุก ๆ สามปี

เหมือนกับว่าวิทยายุทธของเส้าหลินถึงจุดอิ่มตัวแล้ว พัฒนาต่อไม่ได้แล้ว แต่ทางด้านของญี่ปุ่นกลับพัฒนาไปได้เรื่อย เพราะว่าบุคคลที่ออกจากสำนักเพื่อเป็นตัวแทนในการต่อสู้นั้น จะต้องฆ่าอาจารย์ตัวเองให้ได้ เขาบอกว่าถ้าไม่มีกฎข้อนี้บังคับเอาไว้ ก็จะไม่มีความก้าวหน้า

แต่ปรากฏว่าในการต่อสู้ทุกครั้ง จีนแผ่นดินใหญ่ชนะทุกที พอมาถึงรุ่นปัจจุบัน ระหว่างพระเอกสองคน คือ ญี่ปุ่นกับจีน แผ่นดินใหญ่ยังคงชนะเหมือนเดิม

ในการต่อสู้ช่วงท้าย ๆ พระเอกญี่ปุ่นบาดเจ็บจะตกเขา แต่ด้วยความเหี้ยม เขาเอาดาบซามูไรแทงเท้าตัวเอง ปักเอาไว้ไม่ยอมให้ตก แล้วเขาก็ถามปัญหาที่คาใจ ว่าทำไมเขาจึงสู้ไม่ได้สักที ทั้ง ๆ ที่เขาพัฒนาก้าวหน้าไปเรื่อย

พระเอกที่เป็นคนจีน เป็นศิษย์ของเส้าหลินบอกว่า "วิทยายุทธของสามเกาะบูรพาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม นอกจากจิตใจจะคับแคบไม่เปิดกว้างพอแล้ว ส่วนสำคัญที่สุดก็คือพื้นดินที่เป็นเกาะ ทำให้รากฐานไม่มั่นคง ไม่เหมือนกับแผ่นดินใหญ่ที่กว้างใหญ่ไพศาล

คนจีนตั้งแต่เกิดมา ก็พบแต่ผืนแผ่นดินอันกว้างขวาง จะย่างก้าวไปไหนก็มีแต่ความมั่นใจ จึงเพาะเป็นรากฐานที่ฝังลึกอยู่ในใจถึงความมั่นคงในพื้นฐานของตน แต่ทางด้านสามเกาะบูรพาจะไม่มีตรงจุดนี้"

เพราะฉะนั้น...สู้กันไปถึงขนาดไหน ท้ายที่สุด ตรงจุดที่รากฐานไม่มั่นคงก็จะทำให้เขาแพ้"

เถรี
11-10-2010, 18:01
"ถ้าเราเอาความรู้ตรงนี้มาใช้ในหลักการปฏิบัติของเรา ก็คือ ถ้ารากฐานของเราไม่มั่นคง โอกาสที่จะชนะกิเลสของเราก็ไม่มี

จุดที่ควรจะให้มั่นคงมาก ๆ คือ ศีลและสมาธิ ถ้าศีลและสมาธิไม่ทรงตัว โอกาสที่จะใช้ปัญญาไปปราบกิเลสก็ยาก

เราอย่าลืมว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ บรรดาพราหมณ์ต่าง ๆ เขาทรงสมาบัติ ๘ กันเป็นปกติ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ยังต้องไปศึกษาจากสำนักของอาฬารดาบสและอุทกดาบส จนกระทั่งได้สมาบัติ ๘ แล้วจึงพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ และไปแสวงหาทางพ้นทุกข์เองนานถึง ๖ ปี กว่าจะบรรลุมรรคผล

ดังนั้น...ถ้าพื้นฐานไม่มั่นคง โอกาสที่เราจะจะต่อยอดพัฒนา จนกระทั่งกลายเป็นปัญญาในการตัดกิเลสก็ยาก

ขณะเดียวกัน..เราจะคิดว่าพื้นฐานศีลและสมาธิมั่นคงแล้ว จะสามารถช่วยในการตัดกิเลสได้ ก็ยังไม่ใช่..เพราะถ้าขาดตัวปัญญา จะเป็นเหมือนอาจารย์ต่าง ๆ ในสมัยโบราณ ไปไม่รอด ติดอยู่แค่พรหม ดังนั้น..ให้ทุกคนเร่งสร้างพื้นฐานของตัวเองให้มั่นคงไว้ก่อน"

เถรี
12-10-2010, 00:27
ถาม : ตอนนี้ลูกปฏิบัติสติปัฏฐานสี่แบบยุบหนอพองหนอ ลูกมีโอกาสอ่านหนังสือ เจอที่ท่านบอกว่าให้เอาจิตจับที่พระนิพพานเป็นหลัก อันไหนควรจะให้ความสำคัญสูงสุดกว่ากันคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับวิธีการที่เราทำ ถ้าเราทำมาทางยุบหนอพองหนอ เราก็ต้องกำหนดรู้ปัจจุบันไปด้วย แต่ให้อธิษฐานตั้งใจว่า ถ้าตายเราขอไปพระนิพพานเพิ่มเข้าไปหน่อย ของเก่าก็ใช้ได้อยู่แล้ว แต่ว่าเพิ่มต่อไปนิด

ถาม : หนูอ่านในเว็บเจอ ที่ท่านเมตตาสอนว่า ให้กำหนดจิตส่วนหนึ่งแบ่งเกาะอยู่ที่พระนิพพาน
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเป็นคนละวิธีกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราถนัดวิธีไหน ถ้าอย่างพวกนี้ (ชี้ไปที่คนในบ้านอนุสาวรีย์) เขามาทางด้านนี้นานแล้ว เขาจะสามารถปฏิบัติตามนั้นได้เลย

แต่เราต้องไปกำหนดพองยุบ กำหนดรู้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน นั่นเป็นคนละส่วนกัน แต่จะเรียกว่าส่วนเดียวกันก็ได้ แต่เราเปลี่ยนจากการรู้ปัจจุบันไปรู้นิพพานแทน แต่ถ้าไม่เคยชินเดี๋ยวเราก็จะไปกำหนดรู้หนอ ๆ แล้วนิพพานก็จะหล่นหายไปอีก

ถาม : แล้วถ้าหนูจะมาฝึกแนวนี้
ตอบ : เคยถนัดแบบไหนให้ทำแบบเดิมจ้ะ เพียงแต่เราตั้งใจว่า การปฏิบัติของเราทั้งหมดนี้ อานิสงส์ที่ต้องการทั้งหมดคือพระนิพพาน ถ้าหากเราตายไปเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ให้ปิดท้ายอย่างนี้ไว้

ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เราทำมาชำนาญแล้ว เมื่อเราไปเปลี่ยนเอาของใหม่ จิตใจเรายังไม่ยอมรับ เราเคยพองหนอยุบหนอ เราก็พองยุบไป เพียงแต่ว่าตบท้ายเกาะพระนิพพานเอาไว้ด้วย

ถาม : ที่ท่านบอกว่าให้รู้พระนิพพาน ให้รู้อย่างไรคะ ?
ตอบ : พวกนี้ส่วนใหญ่เขาเคยฝึกมโนมยิทธิมา เขาจะสามารถรู้เห็นพระนิพพานได้จ้ะ ในเมื่อรู้เห็นได้ก็กำหนดใจเกาะพระนิพพานได้

เรื่องของการฝึกจริง ๆ แล้ว ไม่ได้ขัดกันหรอกจ้ะ เพียงแต่ว่าเราถนัดอย่างไหน ถ้าหากว่าไปเปลี่ยนใหม่ เท่ากับเริ่มต้นใหม่ ความเคยชินเดิม ๆ อาจจะทำให้ใจของเราไม่ยอมรับแล้วก็ไปได้ช้า ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่า เอาของเดิมของเราแล้วไปต่อท้ายด้วยพระนิพพาน

เถรี
12-10-2010, 00:38
ถาม : ถ้าหนูจะเริ่มมาฝึกแนวนี้ ไม่เข้าใจว่าจะต้องแบ่งความรู้สึกอย่างไร ?
ตอบ : เหมือนกับว่าตอนนี้เรานั่งคุยอยู่ที่นี่ แล้วแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งนึกถึงบ้านของเราไปพร้อม ๆ กัน ขณะที่คุยก็ให้รู้เรื่องด้วยและความรู้สึกที่เกาะบ้านก็ให้ชัดเจนด้วย จะเป็นในลักษณะอย่างนั้น

ทำสองอย่างไปพร้อมกัน เพียงแต่เราเปลี่ยนจากบ้านที่เรารู้จักมาเป็นภาพพระหรือเป็นพระนิพพาน ดังนั้น..ไม่ว่าเราจะ ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่มกิน คิด พูด ทำ อะไรก็ตาม ให้อีกใจหนึ่งของเราแบ่งเกาะพระนิพพาน หรือเกาะภาพพระไว้เสมอ

ไม่ต้องชัดเจนหรอกจ้ะ แค่นึกถึงได้ก็ใช้ได้ พอทำไปนาน ๆ เดี๋ยวก็จะค่อย ๆ ชัดขึ้นมาเอง

ถาม : ถ้าอย่างนั้นหนูกลับไปพองยุบ แต่ก็แบ่งใจ
ตอบ : ถ้ายังไม่ชำนาญเดี๋ยวได้ตีกันตาย พอเราไปส่งอารมณ์อาจารย์ก็จะบอกว่าไม่ใช่ ๆ ให้ทิ้งซะ..!

ถาม : ถ้าอย่างนั้น อารมณ์ที่เราไม่ได้จับพองยุบ ก็ไปจับตรงนั้นส่วนหนึ่งใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถนัดอันไหนทำอย่างนั้นจ้ะ เพียงแต่เพิ่มขึ้นมาหน่อย ปัจจุบันขณะของเราก็คือปัจจุบันที่เกาะพระนิพพานด้วย

เถรี
12-10-2010, 09:41
ถาม : บางทีเราไปจับเวทนาที่ปวดมาก ๆ ก็ไม่ไหวค่ะ
ตอบ : จริง ๆ แล้วอยากจะบอกว่า สายพองหนอยุบหนอนั้น หลักการนั้นใช้ได้ แต่ตอนปฏิบัติไปกลับข้างกัน

อาตมาได้เขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่ง ชื่อว่า "เมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติสติปัฏฐานแบบพองหนอยุบหนอ" ซึ่งตอนนี้ยังออกไม่ได้ เพราะยังเป็นลูกศิษย์ที่ มจร. อยู่ ทางมหาวิทยาลัยเขาให้ปฏิบัติตามสายนี้ ถ้าหนังสือเล่มนี้ออกมา เท่ากับว่าไปโยนระเบิดใส่เขา..!

ในสายยุบหนอพองหนอ ท่านพูดถึงเรื่องการปรับอินทรีย์ ๕ ให้เสมอกัน อินทรีย์ ๕ นั้น ก็คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งตัวสมาธิเขาจะให้ใช้แค่อุปจารสมาธิหรือไม่ก็เป็นขณิกสมาธิเท่านั้น โดยที่บอกว่าต้องปรับให้เสมอกับวิริยะ ค่อยเป็นค่อยไปทีละส่วน ทีละเล็กทีละน้อย

เขาบอกว่าถ้าหากสมาธิมากเกินไปจะทำให้ขี้เกียจ ก็คือจะนิ่งไปเฉย ๆ แต่ตรงจุดนี้เขาไม่เข้าใจว่า สมาธิเป็นตัวระงับกายสังขารและรัก โลภ โกรธ หลง ได้ดีที่สุด

อาตมาเองนั่งทำสมาธิ แล้วไปส่งอารมณ์สอบกับท่านอาจารย์ประเสริฐ สุมงฺคโล วัดเพลงวิปัสสนา ท่านอาจารย์ถามว่ามีเวทนาไหม ? อาตมาบอกว่าไม่มี แต่ท่านอาจารย์ไม่เชื่อ สั่งให้อาตมานั่งให้ดูเดี๋ยวนั้นเลย พออาตมานั่งไป ๔๕ นาที ท่านอาจารย์ก็เรียก พอท่านอาจารย์เรียกอาตมาลืมตาขึ้นมา ท่านก็สั่งให้ลุกเดินให้ดู

อาตมาก็เดินแล้วบอกกับท่านอาจารย์ไปว่า "ผมไม่เห็นมีเวทนาอะไรเลย" ท่านอาจารย์ถึงกับนั่งรำพึงว่า "เรื่องของสมาธิกำจัดเวทนาได้จริง ๆ" ท่านอาจารย์เข้าใจว่าอาตมานั่งนิ่งไปเฉย ๆ ไม่รับรู้อะไรข้างนอก แต่ท่านไม่รู้ว่าทุกอย่างที่คนอื่นทำตอนนั้น อาตมากำหนดรู้ได้ทั้งหมด

เถรี
12-10-2010, 09:53
ก็เลยกลายเป็นจุดบอดตรงที่ว่า ในส่วนของกำลังใจ แทนที่จะต้องมากลัดกลุ้มในการต่อสู้กับเวทนา หรือไม่ก็อารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามา ทำไมเราไม่ใช้สมาธิระงับเสีย

ในเมื่อคุณต้องการให้อินทรีย์ ๕ เสมอกันตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา คุณก็ตั้งสมาธิสักร้อยหนึ่งแล้วก็ดึงตัวอื่นให้เป็นร้อยตามกันขึ้นไปสิ
ไม่ใช่คุณกดสมาธิเหลือแค่ ๓ หรือ ๕ และกดตัวอื่นลงตามไปด้วย แล้วอีกกี่ชาติจึงจะรู้เรื่อง ทำแบบนี้มีหวังถูกกิเลสตีตายก่อน..!

ท่านใช้คำอธิบายว่า การปฏิบัติโดยขณิกสมาธิเหมือนกับเราค่อยสะสมงาทีละเมล็ด ๆ นานไปก็จะมีงาจำนวนมากพอที่จะคั้นเอาน้ำมันมาใช้การได้ อาตมาก็ได้แต่สงสัยว่าในเมื่อเรามีงาเป็นเกวียนแล้ว ทำไมต้องไปเก็บทีละเมล็ดด้วย ?

ตรงจุดนี้บอกให้ฟังไว้เป็นข้อมูลเฉย ๆ นะจ๊ะ ว่าหลักการถูก แต่ตอนปฏิบัติน่าจะผิด เพราะไปทำกลับข้างกัน เรื่องของวิปัสสนาและเรื่องของสมถะต้องไปพร้อมกัน ถ้าเอาเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง โอกาสที่จะเอาดีได้นั้นยากมาก

ถ้าเราเอาวิปัสสนาอย่างเดียว ก็เหมือนกับคนที่มีอาวุธคมกล้ามาก แต่แรงไม่พอที่จะยกอาวุธไปตัดไปฟันอะไรได้ ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเอาสมถะอย่างเดียว เราก็เท่ากับเราเพาะกายจนร่างกายแข็งแรงชนิดแบกควายทั้งตัวได้ แต่เราดันไม่มีอาวุธที่จะเอาไปตัดไปฟันกิเลสอีก

เพราะฉะนั้น..ทั้งวิปัสสนาและสมถะ สองอย่างต้องทำไปด้วยกัน แต่ปัจจุบันสายพองหนอยุบหนอเขาเอาเฉพาะวิปัสสนาอย่างเดียว ในเมื่อเขาเอาวิปัสสนาอย่างเดียว กำลังจึงไม่พอที่จะตัดกิเลสเสียที

ตัวอย่างที่ท่านยกมาว่า หลวงปู่รูปหนึ่งปฏิบัติตั้งแต่เริ่มบวช ระยะเวลาผ่านไป ๖๐ ปี ท่านกำหนดพองหนอยุบหนอต่อเนื่องไป จนท่านอายุ ๘๐ ก็บรรลุมรรคผล

อาตมาคิดว่า ถ้าเราไม่มีเวลาถึง ๖๐ ปี ตายเสียก่อนแล้วเราจะได้บรรลุไหม ? เพราะฉะนั้น..ถึงแม้หนังสือเล่มนี้อาตมาจะเขียนในลักษณะเป็นกลาง คือ ตั้งเป็นข้อสังเกตเฉย ๆ ไม่ได้ระบุการถูกผิด แต่ก็แรงสำหรับการปฏิบัติสายนี้ ออกไปเมื่อไรยุทธจักรถล่มทลายแน่นอน จึงต้องเก็บเอาไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่เขียนเสร็จตั้งแต่ปี ๒๕๔๘

เถรี
12-10-2010, 12:14
ถาม : ยังนั่งสมาธิไม่ค่อยดีครับ
ตอบ : ไม่ค่อยดีก็เพิ่มความพยายามเข้า สำคัญตรงที่ต้องเอาจริงเอาจัง ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่ค่อยเอาจริงกัน พอลำบากก็ถอย โอกาสที่จะเอาดีจึงยาก การปฏิบัติต้องทุ่มเท ต้องแบ่งเวลาวันละอย่างน้อยเช้าชั่วโมง เย็นชั่วโมงหนึ่ง

ถาม : แล้วควรจะไปทางสายไหนดี ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบทางไหน แต่พื้นฐานคืออานาปานสติ ลมหายใจเข้าออกจะทิ้งไม่ได้เลย หลังจากนั้นถ้าทรงตัวแล้วเราจะเลือกอะไรก็ได้

เถรี
12-10-2010, 12:33
ในขณะที่สนทนาเรื่องหวย พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "อบายมุข แปลว่า ปากทางแห่งความเสื่อม ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ย่อมทำให้ทรัพย์สินฉิบหาย ไม่มีผู้ใดให้ความเชื่อถือ"

ถาม : แต่เราไม่ได้ซื้อจนฉิบหาย เราซื้อแค่พอได้
ตอบ : โลภเจตนานำหน้ามาเลย..!

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ให้เล่นหวย แต่หลวงพ่อเองชอบให้หวย ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านเคยเล่นหวยครั้งเดียวในชีวิตและถูกรางวัลที่หนึ่งด้วย แล้วท่านก็ให้คนอื่นไปเลย ท่านต้องการแค่รู้ว่า สิ่งที่หลวงปู่ปานว่ามาเป็นความจริงหรือเปล่า ?

หลวงพ่อท่านฝันว่าตกส้วมหลุมจมมิดหัว ท่านจึงเล่าถวายให้หลวงปู่ปานฟังว่าดีร้ายประการใด หลวงปู่ปานบอกว่า จะถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ท่านบอกว่า คนที่ฝันว่าตกส้วมหลุมจมมิดหัว หรือฝันว่าโดนเขาฟันคอขาด แปลว่า จะถูกรางวัลที่หนึ่ง

หลวงพ่อท่านถวายการรับใช้หลวงปู่ปานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขออนุญาตลามากรุงเทพฯ นั่งเรือมาขึ้นที่ท่าเตียน มาซื้อหวย

สมัยนั้นหวยใบละบาท ถ้าขายไม่หมดแต่เราซื้อแล้วถูก เขาก็จะคิดให้ตามเปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่เขากำหนดตายตัวว่ารางวัลเท่านี้ได้เงินเท่านี้ อีกอย่างสมัยก่อนคนซื้อต้องเซ็นชื่อลงต้นขั้วด้วย แล้วเขาจะมีชื่อที่เป็นรหัสที่ตัวเองรู้อยู่คนเดียว อาจจะเป็นชื่อ หนุ่มอยุธยา หรือ สาวผักไห่ เป็นต้น

หลวงพ่อท่านบอกว่า สมัยนั้นท่านมีเงินติดย่ามอยู่สองร้อยบาท อาตมาลองคำนวณดูแล้วเท่ากับเงินแปดแสนสมัยนี้ ปรากฏว่า ท่านถูกรางวัลที่ ๑ จริง ๆ ได้มาแปดพันบาท ท่านก็เลยยกให้คนอื่นไป

หลวงปู่ปานถามว่า "ทำไมไม่เอาวะ..!" หลวงพ่อบอกว่า "ไอ้เงินระยำจากการพนัน ผมไม่ต้องการ"

เถรี
12-10-2010, 19:03
สำหรับคนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่อาตมาแล้ว..ถ้าฝันว่าจับปลาได้ มักจะได้เงินทุกครั้ง จับปลาได้มากก็ได้เงินมาก จับปลาได้น้อยก็ได้เงินน้อย แต่ต้องได้ทุกครั้ง

มีเรื่องที่ขำ ๆ อยู่ก็คือ ตอนอยู่พม่าฝันว่าเพื่อนตกปลา แล้วปลาหลุดจากเบ็ดตกน้ำไป อาตมาก็ตามไปตะครุบเอาไว้ ปรากฏว่าได้เงินมาจริง ๆ เหมือนกัน

เรื่องพวกนี้ต้องช่างสังเกต แบบเดียวกับหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ท่านฝันว่าฟันหลุดเมื่อไรญาติตายทุกที ท่านเล่าให้ฟังเองเลยนะ ก็เลยกลายเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่เราต้องสังเกตเอาเองว่าเกิดอะไรขึ้น

เพราะว่าความฝันมีทั้ง ธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์

๑) ธาตุวิปริต กินมาก ไฟธาตุกำเริบ จึงฝันเลอะเทอะ
๒) กรรมนิมิต ความดีความชั่วของเราแสดงเหตุให้รู้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
๓) จิตนิวรณ์ เก็บความฟุ้งซ่านตอนกลางวันไปฝันตอนกลางคืน
๔) เทพสังหรณ์ เทวดาท่านสงเคราะห์ให้รู้

ส่วนใหญ่ตำราท่านบอกว่าความฝันที่แม่นยำ คือ เทพสังหรณ์ ให้สังเกตดู..ถ้าเป็นความฝันประมาณตีสองไปแล้ว จิตใจของคนที่วุ่นวายมาตลอดทั้งวัน พอถึงเวลาเริ่มสงบลง ตอนนั้นมีความสะอาดพอที่จะรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ถ้ามีอะไรที่ควรแก่การสงเคราะห์ เทวดาท่านก็จะสอดแทรกเข้ามาให้เสมอ จึงได้เรียกว่าเทพสังหรณ์

กำลังใจของเราจริง ๆ ก็เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว กลางคืนก็ฟุ้งซ่านคิดไปเรื่อย จะทำนั่นทำนี่ กลางวันก็ลุยกับภาระเต็มที่ กว่าจิตที่นอนมาทั้งคืนจะสงบได้ก็ใกล้สว่าง

ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ ความฝันเป็นกลไกธรรมชาติที่ให้เราได้รับการผ่อนคลาย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีการผ่อนคลายเลย เดี๋ยวเครียดตาย..!

เถรี
12-10-2010, 19:08
พระอาจารย์กล่าวถึงครูบาทางภาคเหนือให้ฟังว่า "ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็น หนังสือศิลปะวัฒนธรรม เขาขึ้นปกว่า ครูบาบ่มแก๊ส

สมัยก่อน คำว่า "ครูบา" หมายถึงพระเถระอาวุโสที่ทรงคุณความดีอย่างสูง เป็นที่เคารพของคนทั้งบ้านทั้งเมือง

พอรุ่นหลัง ๆ ตั้งแต่ครูบาเทือง ครูบาบุญชุ่มขึ้นมา เป็นที่เคารพนับถือตั้งแต่อายุน้อย ๆ กลายเป็นรูปแบบครูบารุ่นใหม่ขึ้นมา เขาก็เลยใช้คำว่า "ครูบาบ่มแก๊ส" คือ สุกไม่ทันก็เลยต้องบ่มด้วยแก๊ส

แต่ถ้าจะเอาคำว่า "ครูบา" ตามความหมายแบบโบราณ ก็จะขาดช่วงไปเลย คำว่าขาดช่วงไป คือ หาบุคคลที่มีคุณความดีความงาม ระดับเดียวกับหลวงปู่หลวงพ่อครูบาในอดีตนั้นยังไม่ได้ ตั้งแต่รุ่นครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง มรณภาพไปแล้ว รุ่นหลัง ๆ ไม่ได้อย่างนั้น จึงต้องเป็น "ครูบาบ่มแก๊ส" ไปก่อน

แต่ดีใจว่า "ครูบาบ่มแก๊ส" ตามที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นั้นมีเยอะ รุ่นนี้ถ้าสามารถรักษาตัวรอดได้ เป็นพระเถระสัก ๒๐ พรรษาขึ้นไป วงการสงฆ์ของภาคเหนือจะมั่นคงเป็นหลักเป็นฐาน เพราะท่านเริ่มเป็นที่เคารพนับถือของคนอื่นตั้งแต่พรรษายังน้อย

โดยเฉพาะทางเหนือกับพม่า ในเรื่องของศาสนามาแนวเดียวกัน ก็คือ เคารพศรัทธาบุคคลตั้งแต่บวชเป็นเณร บรรดาครูบาอายุน้อย ๆ มักบวชตั้งแต่ยังเป็นเณร

พอไปเจอหนังสือระดับนั้นกระทุ้งเข้า ก็แปลกนะ...เหมือนกับยิ่งตียิ่งดัง..!"

เถรี
12-10-2010, 22:46
"ตอนนี้รุ่นของครูบาเทือง ครูบาบุญชุ่ม ก็ถือว่าเริ่มอาวุโสแล้ว เพราะอายุกาลเข้าระดับ ๔๐ เศษ ๆ แล้ว รอบรรดาท่านรุ่นหลังทั้งหลายเข้าสู่ ๔๐ กว่าพร้อม ๆ กัน วงการสงฆ์ทางเหนือก็จะมั่นคง

ปัจจุบันนี้ในสายตาของพระเณรด้วยกัน วงการสงฆ์ภาคเหนือตกต่ำมาก ตกต่ำตรงที่มีบรรดาพระตุ๊ดเณรแต๋วเยอะเป็นพิเศษ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้มีมากเป็นปกติอยู่แล้ว

พอพวกเขาเข้าไปบวช ในความรู้สึกของฆราวาสไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร แต่ในวงการสงฆ์สัมผัสใกล้ชิดกว่า จึงรู้สึกว่าวงการสงฆ์ของภาคเหนือในปัจจุบัน ถ้าไม่ได้บรรดาครูบาบ่มแก๊สที่เขาเสียดสีกัน คอยค้ำจุนเอาไว้บ้าง จะเละกว่านี้อีกเยอะ

พูดถึงครูบาบ่มแก๊ส ทำให้นึกถึงท่านโกณฑัญญะพราหมณ์ บรรดาพราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ ที่ได้รับเชิญเข้าไปเพื่อทำนายมหาปุริสลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น ท่านโกณฑัญญะพราหมณ์อายุน้อยที่สุด

สมัยก่อนเขามักใช้คำว่า จบไตรเพทตอนอายุ ๑๖ ตีเสียว่าตอนนั้นท่านโกณฑัญญะพราหมณ์อายุ ๑๖ แต่ความสามารถของท่านเกินอายุ เราจะเห็นว่าสังคมของฮินดูหรืออินเดียโบราณ เขาเชื่อความสามารถของคน ไม่ได้เชื่อความอาวุโสอย่างเดียว"

เถรี
12-10-2010, 23:53
"นอกจากจะมีความสามารถได้รับการคัดเลือกตัวเข้าไปแล้ว ยังมีผลงานที่โดดเด่นอีกต่างหาก ก็คือ พราหมณ์ ๑๐๗ คน ทำนายมหาปุริสลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะออกเป็นสองทางว่า ถ้าออกบวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก ถ้าอยู่ครองราชย์จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ที่หนุ่มที่สุด อาวุโสน้อยที่สุด ฟันธงว่าต้องบวชและเป็นศาสดาเอกของโลกเท่านั้น..!

ดังนั้น..พอมีข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ โกณฑัญญะพราหมณ์จึงชักชวนลูกหลานของบรรดาพราหมณ์ที่ไปทำนายลักษณะออกบวชตามด้วย ได้มา ๔ ท่าน ก็คือ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ

ทั้งห้าท่านอยู่ปรนนิบัติรับใช้เจ้าชายสิทธัตถะ ด้วยหวังว่า ถ้าเจ้าชายบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อไร โอกาสก็เป็นของเรา ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าบรรลุมรรคผลตอนอายุ ๓๕ ปี

เราลองเอา ๓๕ + ๑๖ แสดงว่า อย่างน้อยท่านอัญญาโกณฑัญญะก็อายุ ๕๐ เศษ ๆ แล้วตอนนั้น ส่วนพราหมณ์อีก ๑๐๗ คน ตายหมดไม่มีใครเหลือ เหลือท่านโกณฑัญญะพราหมณ์คนเดียว และได้ลูกหลานของคณะที่ทำนายมาอีก ๔ รวมเป็นคณะ ๕ เรียกว่าปัญจวัคคีย์

ด้วยความที่ท่านสั่งสมความรู้ และเวลาบรรลุมรรคผลก็บรรลุก่อนใคร ถือว่าเป็นพี่ใหญ่สุดในพระพุทธศาสนา เป็นพระสงฆ์องค์แรกของโลก พระพุทธเจ้าจึงตั้งให้ท่านเป็นเอตทัคคะทางรัตตัญญู

รัตตัญญู แปลตามศัพท์ว่า รู้ราตรีนาน แปลความหมายเป็นไทย ก็คือ อยู่นานมีประสบการณ์มาก

พระพุทธเจ้าใช้ชีวิตในเพศฆราวาส ๒๙ ปี ใช้ชีวิตในเพศนักบวชเพื่อแสวงธรรมอีก ๖ ปี บรรลุมรรคผลแล้วทรงความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๔๕ ปี

อีกสองปีข้างหน้าจะครบ ๒,๖๐๐ ปี การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อาตมาจะหาโอกาสสร้างวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกงานนี้สักชุดหนึ่ง"

เถรี
13-10-2010, 19:53
ถาม : การว่าคาถาต้องใช้สมาธิระดับไหนจึงจะได้ผล ?
ตอบ : ต่ำสุดต้องเป็นอุปจารสมาธิขึ้นไป ยิ่งเป็นสมาธิสูงเท่าไรก็ยิ่งมีผลมากเท่านั้น

การใช้คาถาต้องการพื้นฐานสมาธิมาก โบราณเขาสอนให้กลั้นใจว่า เพราะตอนที่เรากลั้นใจจิตจะนิ่ง ความนิ่งในระดับนั้นจิตเริ่มเป็นสมาธิแล้ว

แต่ว่าคนที่กลั้นใจเพื่อสร้างสมาธิต่อไปจะเสีย เสียตรงที่ว่า พอถึงเวลาภาวนาตามดูลมแล้วจิตจะไม่นิ่ง เพราะชินกับการกลั้นใจไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่ฉุกเฉินจริง ๆ อย่าไปกลั้นใจ

เถรี
13-10-2010, 19:59
ถาม : ควรจะมีการตั้งศาลหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีศาลควรจะตั้ง ที่ใช้คำว่า "ควรจะ" เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ในแต่ละเขตจะมีพระภูมิเจ้าที่หรือภุมเทวดารักษาอยู่แล้ว เราตั้งศาลเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพนับถือ ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัยท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้

แต่ถ้าเราไม่ตั้งศาล เหมือนกับเราไม่ได้ให้ความเคารพท่าน ไม่ได้ให้ความนับถือท่าน ถึงเวลาสิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ พอกรรมมาถึง แทนที่จะมีการผ่อนหนักเป็นเบาหรือทำให้เบาเป็นหาย เราก็ต้องรับไปเต็ม ๆ

ถาม : แล้วถ้าแถวบ้านมีศาลใหญ่ เจ้าที่ใหญ่ แล้วเรากราบไหว้ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นได้ ถือว่าเราบูชารวมกับเขาไป

ถาม : เวลาตั้งมีฤกษ์มียามไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่การตั้งศาล เขาใช้ฤกษ์วันพฤหัส ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็คือ เดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปดข้างขึ้นและเดือนสิบสอง

เดือนแปดและเดือนสิบข้างแรม เขาไม่นิยมเพราะถือว่าอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ไม่ควรตั้งศาล

เถรี
14-10-2010, 01:38
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องที่ดินว่า "สมัยนี้ถ้ามีที่มีทางต้องรักษาไว้ให้ดี ทุกอย่างเราสร้างได้ แต่ที่เราสร้างไม่ได้ ปลูกก็ไม่งอก รดน้ำก็ไม่งอก ยกเว้นใครอยู่ริมน้ำ ตะกอนที่น้ำพัดพามา อาจจะทำให้พื้นที่งอกเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง

ในปัจจุบันจำนวนคนมากขึ้นทุกที แต่ที่ดินไม่ได้งอกเพิ่มขึ้นเลย เพราะฉะนั้น...เรื่องของที่หรือบ้านควรจะรีบมีไว้ก่อนเลย อย่างเช่น ระหว่างผ่อนรถกับผ่อนบ้าน ให้เลือกผ่อนบ้านไว้ก่อน ยอมลำบากโหนรถเมล์ไปก่อน เพราะว่ากว่าจะผ่อนรถเสร็จก็เหลือแต่ซากรถ แต่ถ้าผ่อนบ้านเสร็จ บ้านก็เป็นของเรา

ต่อไปที่ดินจะหายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจำนวนประชากรจะมากขึ้นทุกที แต่ที่ดินยังมีอยู่เท่าเดิม รุ่นหลาน รุ่นเหลนจะเจอที่ดินราคาแพงโหดร้ายมาก สมัยอาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ บ้านจัดสรรพร้อมที่ดินขนาด ๖๐ ตารางวา ราคาสองแสนบาท เดี๋ยวนี้ บ้านจัดสรรพร้อมที่ดินขนาด ๖๐ ตารางวา ราคาอย่างต่ำสามสี่ล้านขึ้นไปแล้ว"

เถรี
14-10-2010, 01:47
วันเสาร์ช่วงเช้า บ้านอนุสาวรีย์ไฟดับ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไฟดับก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่า บางทีการพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนเกินไปก็ไม่ดี โดยเฉพาะการสร้างบ้านสร้างเรือนสมัยนี้ ไม่ได้ดูความเหมาะสมของภูมิประเทศ บ้านเราเป็นเมืองร้อน แต่มักจะไปสร้างตึกตามแบบของยุโรปที่เป็นเมืองหนาว

พอถึงเวลาถ้าขาดไฟ เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่กันได้ แล้วการที่เราพึ่งพาทุกอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาขาดไปก็จะทำอะไรไม่ได้ ลองนึกดูว่าในปัจจุบัน อย่างในกรุงเทพฯ ถ้าไฟดับแล้วเรายังไม่ได้หุงข้าว จะมีสักกี่คนที่ไม่ต้องใช้หม้อไฟฟ้าแล้วหุงข้าวได้ ?

นึกถึงตอนไปบึงลับแลครั้งแรก ๆ ครั้งนั้นพาพระวัดท่าซุงท่านไปด้วย มีท่านโย เป็นต้น มีญาติโยมตามไปเกือบ ๒๐ คน พอไปถึงอาตมาบอกว่า "ใครหุงข้าวเป็นช่วยหุงหน่อย จะได้เป็นมื้อเย็นของพวกคุณ" ปรากฏว่าโยมเขาถามว่า "เสียบปลั๊กตรงไหน ?" นั่นอยู่กลางป่านะ.. ท้ายสุดพระอย่างอาตมาต้องไปหุงข้าวเลี้ยงโยม..!"

เถรี
14-10-2010, 01:51
ถาม : หนูสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรทุกคืน แต่ทำไมหนูฝันร้ายทุกคืนคะ ?
ตอบ : การแผ่เมตตาแล้วยังฝันร้าย แสดงว่าจิตยังไม่เป็นสมาธิ ถ้าไม่อยากฝันต้องภาวนาให้สมาธิทรงตัวแล้วค่อยนอน แต่ก็ยังไม่แน่ เพราะความฝันบางอย่างไม่ได้เกิดจากจิตที่ฟุ้งซ่าน

ฝันร้ายนั้น เกิดจากเราเก็บความเครียดจากตอนกลางวัน เอาไปฝันในตอนกลางคืน

ความฝันจะมีธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์

ธาตุวิปริต คือ กินมาก ท้องไส้ไม่ดี ธาตุไม่ปกติ จะฝันไปเรื่อยเปื่อย
กรรมนิมิต คือ ความดีความชั่วที่เราทำมา แสดงเหตุให้รู้
จิตนิวรณ์ คือ เก็บเอาความเครียดจากหน้าที่การงานที่วุ่นวายตอนกลางวันเอาไปฝัน
เทพสังหรณ์ คือ เทวดาท่านสงเคราะห์ให้

ถาม : แล้วหนูแผ่เมตตาทุกคืน ทำถูกใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำถูกแล้ว ให้ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ ไม่ต้องไปกังวลกับฝัน แผ่เมตตาบ่อย ๆ เดี๋ยวชำนาญแล้ว จิตเป็นสมาธิทรงตัวก็จะเลิกฝันไปเอง ยกเว้นกรรมนิมิตหรือเทพสังหรณ์ที่นาน ๆ จะมาสักครั้ง

เถรี
14-10-2010, 01:52
ถาม : ทำอย่างไรจะยอมรับกฎแห่งกรรมได้ ?
ตอบ : เป็นพระอรหันต์สิครับท่าน..!

ถาม : ตอนนี้ผมว่าจิตยังดิ้น ๆ อยู่ครับ
ตอบ : เป็นธรรมดา ถ้ายังไม่เข็ดก็ยังดิ้นอยู่ ถ้าเข็ดแล้วจิตก็จะยอมรับและปล่อยวางไปเอง ที่ยังไม่เข็ดเพราะยังไม่เห็นโทษอย่างแท้จริง ถ้าเห็นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เข็ดไปเอง

เถรี
15-10-2010, 02:08
ถาม : คนในที่ทำงาน เขาหน้าดำคร่ำเครียด ขี้โมโห และชอบด่า
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องปกติ เขาเครียดกับงานนี่

ถาม : เขาเป็นมากเกินไป
ตอบ : เรารู้..แต่คนที่เป็นอยู่จะไม่รู้ เวลาเครียดขึ้นมา กระทบอะไรก็ปึงปังไปเลย

จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก ถ้าเราเห็นก็ดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง ว่าเราจะไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เพื่อรักษากำลังใจของเรา

คนที่เขากำลังใจไม่มั่นคง ถึงเวลาเขาเป็นอย่างนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะผู้ชายก็มีวัยทอง แต่วัยทองของผู้ชายไม่ชัดเจน ถ้าเกิน ๔๕ ขึ้นไปแล้ว ประเภทขี้หงุดหงิด ขี้โมโห แปลว่าเริ่มวัยทองแล้วนะ..!

ถ้ารู้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นก็หลบ ๆ ไป ถ้าตอนไหนอารมณ์เขาดี ๆ ค่อยเข้าไปหา ต้องรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง

เถรี
15-10-2010, 02:10
ถาม : ครูบาวิฑูรย์ท่านเข้านิโรธกรรม ผู้ที่ทำบุญเป็นคนแรก จะได้รับอานิสงส์ไปทั้งหมดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนี้ท่านตั้งใจสงเคราะห์เป็นส่วนรวม ก็เฉลี่ยกันไป ยกเว้นว่าตั้งใจสงเคราะห์ใครคนเดียว แล้วคนนั้นได้มีโอกาสทำ

ถาม : ไม่ได้จำกัด ?
ตอบ : งานลักษณะอย่างนี้ไม่ใช่สงเคราะห์ใครคนเดียว เพราะประกาศเป็นสาธารณะ ในเมื่อเป็นสาธารณะ ใครทำก็มีส่วน ต่อให้ย่องไปทำคนเดียวก่อน คนทำตามหลังก็ได้เท่ากับเรา

เถรี
15-10-2010, 02:13
ถาม : ผมจะทำกรรมฐานกองไหนจึงจะได้ฌานครับ?
ตอบ : กองไหนก็ได้ เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ เท่านั้นเอง และอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ชอบกองไหนทำไปเลย ถ้ามัวแต่ถามอยู่ ชาตินี้ก็ไม่ได้หรอก

ถาม : ผมไม่แน่ใจครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจแล้วจะไปได้อะไร คนทำกรรมฐานต้องมั่นใจตัวเอง ขาดความมั่นใจก็ไม่ต้องทำ ไปนอนตีพุงดีกว่า

ถาม : ทำกสิณไม่แน่ใจครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากก็ทำ ถามคนอื่นเสียเวลาไปตั้งนาน ถ้าไปลงมือทำเอง ป่านนี้คงจะเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว มัวแต่ไปไล่ถามคนอื่นอยู่เลยไม่ได้อะไรสักที

ถาม : กสิณกองไหนก็ได้หรือครับ ?
ตอบ : เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาอ่าน ชอบกองไหนก็ทำกองนั้น ความชอบแปลว่าของเดิมต้องมีอยู่แล้ว ถ้าชอบหลายกองก็เลือกกองที่ชอบที่สุด หรือไม่ก็กองที่หาองค์กสิณได้ง่ายที่สุด

เถรี
15-10-2010, 02:21
อาตมาเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ ๆ สมัยเพิ่งจะเรียนมัธยม ไม่เคยสงสัยปัญหาเหล่านี้เลย คิดจะทำก็ลุยเลย ไม่เคยไปถามใคร ถ้ามัวแต่ถามอยู่ เกิดไม่มีคนให้ถาม แล้วจะทำอย่างไร ?

นึกถึงเณรของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนเณรให้ถักขาบาตร เณรก็ซน ดูบ้างเล่นบ้าง ถึงเวลาหลวงปู่ก็โยนตอกให้ถัก เณรจำวิธีทำได้นิดหน่อย ทำแล้วไปต่อไม่ได้ ก็เลยถาม "หลวงปู่..ทำอย่างไรต่อครับ ?" เงียบ... "หลวงปู่ตรงนี้ทำอย่างไรครับ ?" เงียบ...

พอตอนเย็น หลวงปู่บอกกับเณรว่า "พรุ่งนี้บิณฑบาตด้วยกัน" รุ่งขึ้นเณรออกบิณฑบาตตามหลวงปู่ ออกบิณฑบาตแต่เช้า จึงมีบ้านที่เขายังทำกับข้าวไม่เสร็จ ลูกสาวตะโกนถามแม่ว่า "แม่ ๆ แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ?" แม่ก็เงียบ

"แม่แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ?" แม่เลยตะโกนตอบไปว่า "โคตรแม่มึง..ถ้ากูตายห่าแล้วมึงจะถามใคร..!" พอแม่ด่าเสร็จหลวงปู่หันมายิ้มกับเณร ยิ้มในความหมายว่า "ถ้าปู่ตายแล้วเณรจะถามใคร ?"

ต้องอย่างนั้นจึงจะเรียกว่ารู้จริง รู้ขนาดว่าจะไปเอาคำตอบให้เณรจากไหน ฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาถาม ไปลงมือทำได้เลย

ถาม : มีผลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ายังมัวแต่ถามอยู่แบบนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีผล..!

เถรี
15-10-2010, 02:32
มีท่านหนึ่งกำลังอ่านหนังสือเรื่องสาส์นลับที่สาบสูญ ของแดน บราวน์อยู่ พระอาจารย์จึงถามว่า "ได้อ่านผลงานของแดน บราวน์ ครบทุกเล่มหรือเปล่า ?

ลองไปอ่านดู เราจะเห็นว่ารหัสลับดาวินชีดังมาก ดังไปทั่วโลก ทำให้คนตั้งความหวังกับเขามาก พอมาเป็นล่ารหัสมรณะ กับ แผนลวงสะท้านโลก ปรากฏว่าไม่ได้อย่างนั้น กระแสเขาก็เลยเบาไประยะหนึ่ง ชื่อเสียงเขาก็ผ่อนลงไประยะหนึ่ง

เขาจึงตั้งใจสร้างผลงาน สาสน์ลับที่สาบสูญ ขึ้นมา เพื่อที่จะดึงชื่อเสียงกลับมาอีกวาระหนึ่ง

ลองมานึกถึงว่า เราที่เป็นนักปฏิบัติ ถึงขนาดมีนักปฏิบัติบางสายเขากล่าวเลยว่า "ถ้าคุณเคยทำความดี โดยเฉพาะสมาธิในระดับสูง ๆ ได้ครั้งหนึ่ง ต่อไปคุณอย่าหวังเลยว่าจะทำได้อีก เพราะไปอยากได้อย่างนั้นเสียแล้ว"

แบบเดียวกับหนังสือ พอเขาเขียนเรื่องนี้สนุกมาก เราก็ไปตั้งความหวังว่าเรื่องอื่นจะต้องสนุกแบบนี้ ซึ่งปกติแล้วนักเขียนจะรักษามาตรฐานได้ยาก ที่เห็นก็มีผลงานของหวงอี้ ที่เขียนแล้วมีแต่มาตรฐานสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ฉะนั้น...จำไว้ว่า ถ้าหากทำอะไรได้แล้ว อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นก็ได้ แต่ตอนภาวนาอย่าให้อยากแบบนั้น ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน"

เถรี
15-10-2010, 02:35
"ถ้าสามารถทำกำลังใจแบบนี้ได้ ต่อไปภาวนาเมื่อไรก็ก้าวหน้า แต่ถ้าเราไปตั้งใจอยากจะให้ดีเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่มีทางได้รับประทาน เพราะกลายเป็นฟุ้งซ่านไปเลย

ไปเจออาจารย์บางสายท่านบอกว่า "ลูกศิษย์ทำได้ถึงนั่นถึงนี่ พอมาผมฟันธงเลยว่า คุณไม่มีวันทำได้อีก" ถามว่าแล้วเป็นไปอย่างที่อาจารย์ว่าไหม ? ท่านบอกว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบนั้น ก็คือไปอยากจะได้ อยากจะเป็นอย่างนั้นอีก ทำให้เสียผลการปฏิบัติไป

ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติทุกระดับ จำเป็นจะต้องมีอุเบกขา ตัวอุเบกขาก็คือตัวช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ตามดู ตามรู้ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน

ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ก้าวหน้าเร็ว กว่าอาตมาจะคลำเจอตรงจุดนี้ได้ก็เสียเวลาไปสามปีเต็ม ๆ ต้องการแค่ปฐมฌานตัวเดียว ภาวนาทุกวัน เอาตัวอยากนำหน้าก่อนทุกวัน

ตามดูว่านี่ลักษณะวิตกนะ นี่ลักษณะวิจารณ์นะ ตอนนี้ปีตินะ ขนลุกซ่า ๆ เดี๋ยวต้องเป็นอย่างนั้น เป็นขั้นตอนที่เราเคยผ่านมาก่อน ก็เลยตามจี้อยู่ตลอด จิตจึงฟุ้งซ่านไม่รวมตัวเสียที วันที่ได้เป็นวันที่หมดอารมณ์แล้ว เบื่อแล้ว ทำมาตั้งสามปีไม่ได้เสียที เราจะภาวนาก็แล้วกัน จะเป็นหรือไม่เป็นช่างมัน ผัวะเดียวได้เลย"

เถรี
15-10-2010, 20:20
พอดีวันเสาร์ มีคนนำสุนัขมาที่บ้านอนุสาวรีย์ พระอาจารย์จึงถือโอกาสกล่าวถึงเรื่องสุนัขหรือหมา ให้ฟังว่า "หลังจากที่อาตมาเลี้ยงหมา แล้วหมารักอาตมามากเกินไป จึงไม่ยอมเลี้ยงสัตว์แบบใกล้ชิดอีกเลย

ตอนนั้นไม่ได้นึกว่าหมาเขาจะซื่อสัตย์กับเราขนาดนั้น อาตมาไม่อยู่วัดสิบวัน เขาอดเกือบตาย เพราะเขาไม่ยอมกินอะไร คนอื่นเอาอาหารให้ก็ไม่กิน ไปนอนซุกอยู่ที่ผ้าเช็ดเท้าหน้ากุฏิ พอเรากลับไปเขาค่อยมีชีวิตชีวากินข้าวกินน้ำได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงไม่เลี้ยงแบบใกล้ชิดอย่างนั้นอีก

ตอนช่วงที่อาตมาอยู่ตึกกองทุน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลาหลวงพ่อสี่องค์ตอนนั้น จะมีหมาอยู่ ๔-๕ ตัว มีโป๊ยก่ายเป็นหัวหน้า ถึงเวลากินเจ้าพวกนี้จะไปกินกับคนอื่น เพราะเราไม่เลี้ยงแล้ว แต่พอกินอิ่มก็จะกลับมานอนตรงขั้นบันได ตัวละขั้น ๆ นอนเฝ้าหน้ากุฏิ

หลวงพ่อท่านบอกว่า หมาที่มีขนใต้คาง ๑ เส้น ๒ เส้น หรือ ๓ เส้น ส่วนใหญ่มาจากพรหมหรือเทวดา จะเป็นหมาแสนรู้ พูดรู้เรื่องทุกตัว แต่ถ้า ๔ เส้นขึ้นไปแล้ว ไม่ค่อยฟังใคร ถ้าขนเส้นเดียวจะเป็นราชาหมา เวลาไปไหนหมาอื่นจะยอมลงให้

ในชีวิตอาตมานี้เจออยู่แค่ ๒ ตัวเท่านั้น อีกอย่างก็คือ หมาที่มาจากพรหมหรือเทวดา ถ้าเจ้าของมาจากที่ต่ำกว่า เขาจะไม่อยู่ด้วย เขาจะหาทางหนีไปอยู่กับคนอื่น

สมัยที่อาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาทำงานใหม่ ๆ นั้น ยังไม่มีหมาสักตัวหนึ่ง อยู่ไปประมาณสองปีได้หมามา ๑๑ ตัว มีบางตัวสวยมาก ๆ เป็นหมาใหญ่ขนยาว หุ่นเหมือนหมาป่า เจ้าของเขาหวง พอเขาเห็นหมามาอยู่กับเรา เขาก็ล่ามโซ่ลากกลับไป แต่ถ้าหลุดจากโซ่เมื่อไรเขาก็จะวิ่งมาอยู่กับเรา

เพราะฉะนั้น...ถ้าใครเลี้ยงหมา แล้วหมาหนี ต้องพิจารณาตัวเองว่าบารมีเรายังสู้หมาไม่ได้ ถ้าหากเราต่ำกว่า เขาไม่อยู่ด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเอง ท่านว่าเขาจะหนีไปหาคนที่เสมอกันหรือสูงกว่า

ตอนแรก ๆ เราก็ไม่ได้สงสัย พอท่านบอก เราจึงเข้าใจ ตอนแรกก็นึกว่าเรามีอาหารให้เขากิน ที่ไหนได้เจ้าของเลี้ยงเขาดีกว่าเราอีก เขามาอยู่กับเราแล้วอด ๆ อยาก ๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ยังหนีมาอยู่ด้วย"

เถรี
15-10-2010, 20:31
"ถ้าเรื่องหมาต้องถามหลวงพี่ชลอ (พระครูปลัดชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) หลวงพี่ชลอเขาเลี้ยงหมา มีเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท และพี่ชลอเขาจะเป็นคู่รักคู่แค้นของเจ้าใหม่

เจ้าใหม่เป็นหมาที่ดุที่สุดของวัดท่าซุง ผิดท่าผิดทางเมื่อไรเป็นกัดแหลก ขนาดหลวงพ่อตี เขายังกรรโชกใส่ เราก็กะจะเล่นงานให้ร่วงอยู่ตรงนั้น หลวงพ่อบอกว่า "ปล่อยมัน..เจ้านี่ชาติก่อนเป็นทหาร ตายตอนกำลังตะลุมบอนอยู่ เพราะฉะนั้น..มันแยกมิตรแยกศัตรูไม่ออกหรอก"

เห็นเราเงื้อไม้ เจ้าใหม่กระโดดใส่เลย ตบะของเขาขนาดไหนก็บอกไม่ถูก ขนาดอาตมาที่ว่ามั่นคง..ไม่กลัวนะ ยังรู้สึกว่าไอ้นี่น่ากลัว

เวลาเช้า ๆ เจ้าใหม่จะวิ่งนำรถหลวงพ่อเข้ามาที่หน้าตึก อาตมาจะยืนรอรับหลวงพ่อที่หน้าตึก เจ้าใหม่จะพุ่งเข้าใส่เลย จะมีท่านน้อยยืนอยู่ด้วย ท่านน้อยจะรีบตะโกน "เฮ้ย ..ไอ้ใหม่ กูเอง ๆ..!" ต้องบอกเขาก่อน แต่เราไม่ได้บอก พอเขาพุ่งจะเข้าใส่ เราก็ยืนเฉยเขาก็หยุดคำรามอย่างเดียว แต่ถ้าเราขยับหนีตอนนั้นเขาจะกัดทันที เพราะอาตมาขี้เกียจส่งเสียง จึงได้แต่มอง มีปัญญาก็กระโดดมาสิ กะว่าเตะทันอยู่แล้ว..!"

เถรี
15-10-2010, 21:05
"ใครอยากรู้เรื่องความดุของเจ้าใหม่นี้ ต้องไปถามหลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส วัดธรรมยาน) หลวงพี่วิรัชกับเจ้าใหม่เป็นคู่รักคู่แค้นกัน ในฐานะที่หลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ เจ้าใหม่เป็นเจ้านาย เจ้าใหม่นึกอยากจะกัดเมื่อไรก็กัดเลย

เจ้าใหม่เอาแต่กัดหลวงพี่วิรัช หลวงพี่วิรัชจึงไปสั่งคนงานเหลาไม้ไผ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑ นิ้ว ยาวประมาณ ๒ เมตร กะว่าจะตีกับเจ้าใหม่ พอถึงเวลาหลวงพี่วิรัชถือไม้มา เจ้าใหม่โฮกใส่ หลวงพี่วิรัชมืออ่อนตีนอ่อน ไม้หลุด ปล่อยให้เจ้าใหม่กัดแต่โดยดี...

เราลองคิดดูว่า คนที่ติดอาวุธพร้อมรบ พอหมาแฮ่ใส่ แล้วมืออ่อนตีนอ่อน ร่วงไปให้มันกัด หมาตัวนั้นต้องน่ากลัวขนาดไหน ? เจ้าใหม่นี่สมกับเป็นนักรบจริง ๆ พอเราตีเขาจะดึงตัวหนีนิดเดียว ไม่ได้หนีไกล พอดึงตัวให้พ้นปลายไม้แล้วกระโดดสวนเลย..!

เจ้าใหม่เห็นหลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ แต่เห็นหลวงพี่ชลอเป็นศัตรู เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าใหม่ข้ามแดน เดินไปทางด้านหลังหอฉันหลังใหม่ ก็คือ ท่าน้ำที่ลงไปเลี้ยงปลากัน เขตนั้นกลุ่มพวกเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท เขาเป็นใหญ่อยู่

พอเจ้าใหม่ไป หมา ๕ - ๖ ตัวที่นั่นก็ลุย เจ้าใหม่ก็สู้ แต่มาเป็นเรื่องตรงที่ว่า หมา ๕ - ๖ ตัวรุม ๑ ตัว ก็ถือว่าไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว แต่พอหมาตัวเองเสียท่าถูกกัด หลวงพี่ชลอกลับตีเจ้าใหม่เพื่อช่วยหมาของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาเจ้าใหม่จำสุดชีวิตเลย เจอหลวงพี่ชลอเมื่อไรจะต้องกัดให้ได้..!

ถ้าหลวงพี่ชลอออกมาตรงหน้าตึก ไม้ต้องไม่ห่างมือ เจ้าใหม่นั้นน่ากลัวขนาดที่ว่า เมื่อกัดต่อหน้าไม่ได้เพราะพี่ชลอมีไม้คอยตีกันไว้ เขาก็จะอ้อมไปไกลแล้วย่องมาข้างหลัง..!

พอเห็นแล้วอาตมาก็คิดว่า เรื่องของราคะ โทสะ โมหะ นั้น กัดกินสรรพสัตว์ทุกหมู่ทุกเหล่าจริง ๆ ขนาดหมายังโกรธยังพยาบาทขนาดนั้น อย่างว่าแหละ..เจ้าใหม่เป็นทหารเก่า และตายตอนที่กำลังตะลุมบอนกับข้าศึก เพราะฉะนั้น ใครขยับผิดท่าผิดทาง โดนกัดทั้งนั้น เจ้าใหม่ก็เลยทำสถิติกัดโยมที่จะมาเลี้ยงเพลพระไปเยอะมาก "

เถรี
15-10-2010, 22:19
"ท้ายสุด คณะกรรมการสงฆ์ก็ลงมติว่า เอาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ ดีกว่า เขาตั้งใจว่าจะช่วยกันต้อนเจ้าใหม่เข้ากรง แล้วเอามาปล่อยที่กรุงเทพฯ เดี๋ยวเทศบาลก็จัดการเอง..!

ทันทีที่ลงมติเสร็จ เรื่องไปถึงหลวงพ่อ จริง ๆ ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ท่านรอจังหวะอยู่ ท่านบอกว่า "หมาดุมีประโยชน์ ขโมยมันจะเกรง เอ็งก็ปล่อยตอนกลางคืนสิ ขโมยจะได้เข้าวัดไม่ได้ ถ้าจะขังก็เอาเฉพาะกลางวันเท่านั้น"

ดังนั้น..โครงการพาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ จึงต้องระงับ ครั้นจะไปขังแล้วปล่อยตอนกลางคืน ก็คงจะไม่มีใครขังหรอก พี่ ๆ เขาก็ไม่มีใครไม่เอา เราก็ไม่เอา กลัวว่าจะเจอหมาอาฆาตคอยตามราวี กลายเป็นว่าต้องปล่อยท่านใหม่ให้กร่างทั้งกลางวันกลางคืนเหมือนเดิม

อาตมาต้องติดอาวุธยาว..ใช้หนังสติ๊ก ถ้าเจ้าใหม่แฮ่ใส่โยมเมื่อไรอาตมาก็ยิง..! เจ้าใหม่นี่อึดมากนะ โดนเข้าไปเต็ม ๆ ไม่เคยร้อง จะสะดุ้งหน่อยเดียว แล้วก็หลบไป เพราะเขารู้แล้วว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก ก็จะเลี่ยงไปเอง

วันดีคืนดีคุณใหม่ก็เป็นขี้เรื้อน ขนร่วงทั้งตัว อาตมาเห็นแล้วรู้สึกสงสาร จึงไปซื้อกำมะถันผงมา เอากำมะถันผงมาสัก ๒ กำมือใหญ่ ๆ เปิดน้ำมันพืช น่าจะประมาณ ๑ ลิตร เทลงไปให้หมดขวด คลุกให้เข้ากันก็จะกลายเป็นน้ำเหลือง ๆ ใช้ทาหมาขี้เรื้อน ทาให้ทั่ว ๆ

อาตมาจัดการทาให้เจ้าใหม่ เขาก็รู้ตัวนะ ยอมให้ทา อาตมาพยายามรีบทาแล้ว แต่เจ้าใหม่เป็นขี้เรื้อนทั้งตัว โดยเฉพาะแถวซอกขาและใต้ท้อง จึงทำให้ช้า พอทา ๆ ไปสักพักหนึ่งยาออกฤทธิ์จะเริ่มร้อน พอร้อนเจ้าใหม่ก็ดิ้น พอดิ้นอาตมาก็ล็อกไว้เพื่อทายาต่อ พอล็อกก็โดนกัดเลย..!

เมื่อรู้สึกว่าอันตราย เจ้าใหม่จะกัดเลย อาตมาโดนกัดไป ๑๑ เขี้ยว เข้าเฉพาะแถวฝ่ามือ ส่วนเหนือข้อมือขึ้นมาเป็นรอยขูดเป็นเส้น ๆ ไม่เข้าเนื้อ

หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า นอกข้อของดีกันไม่ได้ เพิ่งจะมาเชื่อก็ตอนโดนท่านใหม่กัดนี่แหละ และที่กัดได้ถึง ๑๑ เขี้ยว เพราะอาตมาถือว่า มึงมีปัญญากัดก็กัดไป กูจะต้องทาให้เสร็จก่อน ก็ทายาไปเรื่อย ตกลงว่าบ้าทั้งหมา บ้าทั้งคน เท่ากับเป็นคู่รักคู่แค้นกัน"

เถรี
17-10-2010, 06:05
"หลังจากโดนท่านใหม่ฝังเขี้ยวได้ไม่นาน ท่านใหม่ก็หายไปเฉย ๆ

ปกติแล้วทุกเช้าเขาจะวิ่งนำรถหลวงพ่อ เพื่อมาส่งท่านที่หน้าตึก วันแรกที่หายไปคนก็ยังไม่สงสัย วันที่สองคนก็เริ่มระแวง เริ่มตามหาแล้ว วันที่สามตอนเช้ามืด ขณะที่อาตมากำลังนั่งทำกรรมฐานอยู่ มีเทวดาท่านหนึ่งเดินทะลุประตูเข้ามา หน้าเป็นหมาเหมือนท่านใหม่เลย

ท่านมาบอกว่า "ไม่ต้องตามหานะครับ ผมตายแล้ว" อาตมาถามว่า "เอ็งเป็นอะไรตายวะ ?" เขาบอกว่า "ตกน้ำตายครับ" แล้วก็ทำภาพให้ดู

ก็คือ แก่แล้วยังซนอยู่ พอเห็นสวะลอยน้ำมาก็ไปงับแล้วยื้อดึงขึ้นมา สวะกองใหญ่มากเขาดึงไม่ขึ้น ตัวเองก็เลยถลำตกน้ำไป ตะกายได้ไม่กี่ที ด้วยความที่แก่แล้วไม่มีแรง เขาก็เลยจมน้ำ

ตอนที่เขาทำภาพให้ดู เป็นวันที่สามแล้ว ลอยอืดแล้ว ทั้งกลิ่นทั้งภาพมาชัด ก็เลยบอกเขาว่า "ไม่ต้องชัดขนาดนั้นก็ได้ แล้วมีธุระอะไร ?" เขาบอกว่า "ถ้าจะสงเคราะห์ ก็ช่วยถวายสังฆทานให้ด้วย"

แล้วเขาก็บอกว่า "บอกพวกทหารตำรวจด้วยว่าไม่ต้องตามหาหรอก ผมตายแล้ว" ตอนเช้าพอส่งหลวงพ่อขึ้นตึก อาตมาบอกพวกทหารตำรวจว่าท่านใหม่ตายแล้ว เขามาบอกว่าตายแล้วไม่ต้องไปหาหรอก"

เถรี
17-10-2010, 06:11
"พวกทหารเขาเชื่อที่อาตมาพูด แต่มีคนสงสัยก็คือหลวงพี่วิรัช

ตอนบ่ายหลวงพ่อออกรับแขก หลวงพี่วิรัชจึงฉวยโอกาสกราบเรียนหลวงพ่อว่า "พระเล็กบอกว่าท่านใหม่ตายแล้วนะครับ" หลวงพ่อบอกว่า "เออ..ตายแล้วจริง ๆ ตอนนี้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ปกติจะต้องอยู่ชั้นดุสิต เพราะเขาเป็นพระโพธิสัตว์

แต่ที่ไปอยู่ดาวดึงส์เพราะว่า ถ้าอยู่ชั้นดุสิตเดี๋ยวโดนนิมนต์ไปเทศน์ที่เทวสภา ท่านใหม่ขี้เกียจเทศน์เลยไปหลบอยู่ดาวดึงส์
อีกไม่นานก็จะมาเกิดใหม่" ส่วนใหญ่เขาจะไปถามหลวงพ่อเพื่อความแน่ใจ ไม่มีหรอกที่จะเชื่อเราเสียทีเดียว

สรุปว่า พอท่านใหม่ตาย แทนที่จะไปหาคนอื่น กลับมาหาคู่รักคู่แค้นอย่างอาตมา ขอให้ถวายสังฆทานให้ด้วย วันนั้นอาตมาก็ฝากทหารไปถวายสังฆทาน

ตอนแรกสงสัยว่าทำไมต้องมาหน้าเป็นหมาด้วย เขาบอกว่า "ถ้ามาหน้าเป็นเทวดา เดี๋ยวจะจำไม่ได้" ลองนึกถึงคนที่แต่งตัวเป็นลิเกแล้วมีหัวเป็นหมา จะดูตลกแค่ไหน ?

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กิเลสนั้นกินทั้งคน ทั้งสัตว์ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกรูปนาม ไม่เว้นเลย หมู หมา กา ไก่ก็กินหมด"

เถรี
17-10-2010, 06:40
"เดือนที่แล้วขายท่านแมน เดือนนี้ขายท่านใหม่ เดือนหน้าขายท่านไหนดี ?

หมาที่วัดท่าซุงร้ายมากเลย เป็นผีแล้วมาหลอกพระเป็นประจำ มีอยู่ตัวหนึ่ง กลุ่มเดียวกับพวกโป๊ยก่าย ชื่อ คุณหญิง คุณหญิงโดนรถหน้าวัดชนตาย

ปกติแล้วเวลาเรียกเขา เขาจะตอบรับด้วยการยิ้ม เวลาที่หมายิ้ม เขาจะทำหูรี่ไปข้างหลัง ถ้าสังเกตเป็นจะรู้ว่าเขากำลังยิ้ม

วันนั้นอาตมาออกเวรตอนหกโมงเย็น พอเดินลงมาจากหน้าตึกหลวงพ่อได้ ๕ - ๖ ก้าว คุณหญิงก็เดินมาหา อาตมาก็ทักว่า "เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า ?" เขาก็ทำหูรี่ยิ้มเหมือนเดิม อาตมาไม่มีเวลามาก เพราะต้องรีบไปทำวัตรเย็น ก็รีบจ้ำเดินไป

พอเดินไปได้ ๔ - ๕ ก้าว เพิ่งรู้ตัว นึกขึ้นมาได้ "อ้าว..เจ้านี่ตายไปแล้วนี่หว่า..!" หันกลับมามองไม่มีหรอก ตรงนั้นเป็นลานซีเมนต์กว้าง ๆ ไม่มีทางที่เขาจะหลบพ้นสายตาเราไปได้ แต่มองแล้วไม่มีเลย พอเรารู้ทันเขาก็ไปแล้ว

พวกผีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผีหมาหรือผีคน เขาจะหลอกเฉพาะตอนเราเผลอ แล้วก็หลอกคนที่ไม่รู้ อย่างเช่น คนตายแล้วญาติเขายังไม่รู้ว่าตาย เขาก็จะไปหา แต่ถ้าญาติรู้ว่าตายแล้วเขาไม่ไปหรอก

ฉะนั้น..หมาวัดท่าซุงตายแล้วยังมาแหกตาหลอกอยู่เรื่อยเลย ตอนที่ทักเขา ลืมไปว่าเขาตายแล้ว"

เถรี
17-10-2010, 11:15
ถาม : เขาไปหาคนที่เขายังไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร ไปหลอกหรือคะ ?
ตอบ : เขาคิดถึง เขาเลยมาเยี่ยม อีกอย่างก็คือ ถ้าเขามาลักษณะนั้น เราก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาอยู่แล้ว ตอนนั้นอาตมากำลังจะไปทำวัตรเย็นและเจริญกรรมฐานพอดี

ช่วงแรก ๆ ก็ต้องตาลีตาเหลือกรีบไปทำวัตร พอช่วงหลังเลยใช้วิธีขออนุญาตครูนนทาใช้ห้องน้ำในตึก สรงน้ำเสร็จก็รอเวลา ๖ โมงเย็นจึงไปเรียกหลวงพี่ไพบูลย์ให้มารับเวรแทน เราค่อยรีบจ้ำอ้าวไปวิหาร ๑๐๐ เมตร

อาตมาจะเป็นพระ ๑ ใน ๒ รูปในวัดที่เดินเร็วไปวิหาร ๑๐๐ เมตร เพราะส่วนใหญ่ท่านอื่น ๆ จะนั่งรถรางหรือรถอีแต๋นไป ส่วนอีกรูปหนึ่งที่เดินไปวิหาร ๑๐๐ เมตร ตอนนี้ท่านอยู่บ้านข้าง ๆ วัด คราวนี้เห็นหรือยัง พวกรั้น ๆ อยู่วัดไม่ค่อยได้หรอก

ตอนขาไปใช้วิธีเดิน ตอนขากลับเป็นเวลาค่ำแล้ว จึงอาศัยรถอีแต๋นกลับ ตรงนั้นแหละจึงได้เกิดการทดสอบมโนมยิทธิกัน

ทางออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตร ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า พอพ้นจากรั้วแล้วจะเป็นถนนเลย ท่านสำออยก็จะขับรถอีแต๋นพากลับ

ท่านสำออย ชื่อนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะหลวงพ่อเรียกว่า "ท่านดุ่ย" หลวงพ่อบอกว่า "ไปเมื่อไรก็เห็นทำแต่งานดุ่ย ๆ ไม่สนใจใคร เลยเรียกว่าท่านดุ่ย"

ท่านดุ่ยก็จะคอยถามอาตมาเวลาข้ามถนนว่า "หลวงพี่..ขึ้นถนนได้หรือเปล่า ?" พออาตมาบอกว่า "ได้..ไปเลย" เขาก็แทบจะยกล้อขึ้นถนน ไม่มีเบรกเลย ถึงได้บอกว่า ถ้าวันไหนอาตมาพลาดขึ้นมา ก็คงได้ตายกันทั้งคันรถ..!"

เถรี
17-10-2010, 22:22
"สมัยนั้นจะมี '๕ เกลอหัวแข็ง' มีหลวงตาวัชรชัยอยู่ด้วย ๕ เกลอหัวแข็งไม่เป็นที่ชอบใจของใครเขาหรอก เพราะทำให้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาลำบาก เขาจะอู้ก็ไม่ได้ เพราะห้าคนนี้แบกระเบียบอยู่ แล้วดันปากกล้าทั้งนั้นเลย

ถึงเวลาประชุมสงฆ์ พอพูดถึงระเบียบวัดเมื่อไร เขาต้องมองหน้า ๕ คนนี้ เพราะเราจะปฏิบัติตามระเบียบ ไม่ยอมผ่อนปรนให้แม้แต่ข้อเดียว ฝนตกแดดออกก็บิณฑบาต ถือว่าหลวงพ่อท่านสั่ง

ท่านสมปองกับหลวงตาไปสายใต้ด้วยกัน ก็เลยไปกันได้ ตอนหลังหลวงตาเห็นว่าสายใต้แถวยาวมาก บางทีไป ๑๐ - ๒๐ รูป หลวงตาจึงแยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด ยังเหลืออาตมากับท่านสมปองเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม

พอฝนตกคนอื่นเขาไม่ไปกัน แต่อาตมากับท่านสมปองไป สองคนครองผ้าสามผืนเหมือนกัน กลับมาก็เปียกโชก บิดให้พอหมาด ๆ แล้วห่มผ้าไปฉันแบบเปียก ๆ

ที่วัดท่าซุงมีระเบียบอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถ้ากลับมาไม่พร้อมกันยังฉันไม่ได้ คนอื่นเขาก็สรรเสริญเจริญพรเรา จนตัวเองเดินกลับแล้วรู้สึกอิ่ม ๆ เลย เราก็สงสัยว่าทำไมสายแล้วจึงยังไม่หิว ที่แท้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาช่วยเจริญพรให้ ข้อหาเสือกขยันเกินเหตุ..!"

เถรี
17-10-2010, 22:34
"ตอนที่รอนานที่สุด เป็นตอนที่รอรุ่นน้องที่ชื่อท่านประสิทธิ์ ท่านประสิทธิ์ฉายา สุธมฺมยาโน

วันนั้นกลางคืนฝนตกหนัก พอตอนเช้าฝนหยุด ท่านประสิทธิ์ต้องไปบิณฑบาตทางเรือ น้ำกำลังหลากออกจากคลองยาง แล้วหักโค้งไปทางมโนรมย์ ไหลลงไปทางเขื่อน

ปกติเวลาบิณฑบาต ท่านประสิทธิ์จะพายเรือไปทางมโนรมย์ กลับมาถึงวัดราว ๗ โมงครึ่ง วันนั้น ๘ โมงแล้วท่านประสิทธิ์ก็ยังไม่มา ๘ โมงครึ่งแล้วก็ยังไม่มา เวลาเกือบ ๙ โมงท่านประสิทธิ์ถึงกลับมาในสภาพสะบักสะบอม

อาตมาถามว่า "ทำไมช้าจริงวะ ?" ท่านบอกว่า "ตอนไปเร็วมากเลยครับ พอเรือถึงน้ำ ก็ไหลปรู๊ดตามน้ำไปเลย แต่ตอนกลับมาต้องทวนน้ำ พายแทบตายก็แทบจะไม่ขยับเลย เหนื่อยแทบเป็นลม จึงต้องเอามือเกาะต้นไม้ข้างชายน้ำดึงเรือมาทีละหน่อย"

สรุปว่า วันนั้นไม่ได้ทำวัตรเช้า ปกติวัดท่าซุงทำวัตรเช้าตอนแปดโมงครึ่ง หลังฉันเช้าแล้ว วันนั้นกว่าจะฉันเสร็จก็เกือบเพล เพราะท่านประสิทธิ์มาตอน ๙ โมง"

เถรี
17-10-2010, 22:41
"เรื่องที่เล่ามานี้สรุปลงตรงที่ว่า ระเบียบวินัยที่เป็นของหยาบ ถ้าเรายังรักษาไม่ได้ ในเรื่องของการปฏิบัติ ซึ่งเป็นอารมณ์ทางใจที่ละเอียด เราก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน

พระพุทธเจ้าท่านกำหนดระเบียบวินัยอย่างหยาบ ๆ ให้แก่พวกเราก็คือ ศีล ๕ ขยับสูงขึ้นมา ก็คือ กรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘

ในเมื่อเรื่องของระเบียบวินัยส่วนตัว หรือระเบียบของสถานที่ เราทำไม่ได้ โอกาสที่จะเข้าถึงความดีอย่างคนอื่นเขา ก็เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะว่าจิตของเราหยาบเกินไป

ดังนั้น..ใครก็ตามที่ยังไม่สามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ให้พยายามทบทวนและเร่งรัดตัวเองให้รักษาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เป็นศูนย์ไปเลย อย่าลืมว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยนำให้เราเข้าสู่พระนิพพาน"

เถรี
18-10-2010, 07:27
ถาม : หนังที่ท่านเล่าเกี่ยวกับญี่ปุ่น ความคับแคบของสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ส่งผลมาถึงปัจจุบันอย่างไร ?
ตอบ : จะเรียกว่าส่งผลก็ได้ แต่ในส่วนบกพร่องก็มีความดีอยู่ เพราะสถานที่คับแคบ ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน เขาก็เลยแก่งแย่งกันจนกระทั่งยืนหยัดอยู่ในแนวหน้าของโลก

ถาม : ตกลงเขามั่นคงแล้วหรือคะ ?
ตอบ : จะเรียกว่ามั่นคงก็ไม่ใช่ คือ ตัวบุคคลยังขาดความมั่นคงในจิตใจอยู่ ด้วยความที่ต้องแก่งแย่งชิงดีต่อสู้กัน เพราะสถานที่มีน้อยบุคคลมีมาก ทรัพยากรมีน้อยบุคคลมีมาก ทำให้เขาสามารถแก่งแย่งจนกระทั่งยืนหยัด เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกได้ แต่สภาพจิตใจของตัวบุคคลก็คงไม่มีอะไรเยียวยารักษาได้

ถาม : มีอะไรแสดงให้เห็นว่า คนในญี่ปุ่นเขาขาดความมั่นคงในจิตใจ ?
ตอบ : เขาฆ่าตัวตายหมู่กันมาก เหตุที่เขาฆ่าตัวตายเพราะจิตใจไม่เปิดกว้าง คับแคบมาก โดยเฉพาะสมัยก่อนมีการฮาราคีรี ไม่มีการให้อภัยทั้งผู้อื่นและตัวเอง

ในเมื่อไม่มีการให้อภัยตัวเอง เห็นตัวเองทำผิดพลาด ก็รับผิดชอบด้วยการคว้านท้องตาย เราอาจจะเห็นเป็นความรับผิดชอบ แต่เราก็ต้องมองเห็นอีกมุมหนึ่งว่า เขาไม่มีการให้อภัยเลยแม้กระทั่งตัวเอง..!

เถรี
18-10-2010, 07:39
ถ้าเราไปดูที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของศีล ฆ่าสัตว์ใหญ่มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์เล็ก ฆ่าสัตว์ที่มีคุณมีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ที่ไม่มีคุณ ฆ่ามนุษย์มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ใหญ่ ฆ่ามนุษย์ที่มีศีลมีธรรมมีโทษมากกว่าฆ่ามนุษย์ทั่วไป และท้ายที่สุดก็คือ ฆ่ามนุษย์มีโอกาสบรรลุมรรคผลโทษหนักที่สุด

เท่ากับว่าเราไปฆ่าสัตว์ที่มีคุณอย่างยิ่ง โทษก็เลยหนักกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไปหลายเท่า

ภาษิตจีนเขาบอกว่า ร่างกายผมเผ้าบิดามารดาให้มา ต่อให้เจ้าไม่ยินดีมีชีวิตอยู่ขนาดไหนก็ตาม เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปฆ่าตัวตาย ถ้าพ่อแม่เจ้าไม่อนุญาต แต่อาตมาขอบอกว่าถ้าพ่อแม่อนุญาต ทางธรรมก็ถือว่าผิด..!

ปัจจุบันนี้มีบางปัญหาที่ญาติโยมเคยกล่าวถึง ก็คือ พ่อแม่ป่วยหนัก อยู่ห้องไอ.ซี.ยู. ดูแล้วไม่รอดแน่ เราเป็นลูกสั่งถอดสายออกซิเจนได้หรือไม่ ?

ขอยืนยันว่าถอดเมื่อไรเป็นอนันตริยกรรมทันที เพราะเท่ากับว่าเราสั่งให้ฆ่าท่าน ถ้าจะไม่รักษาต้องไม่รักษาแต่แรกเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่วินิจฉัยของหมอ ว่าสมควรทำอย่างไร ? ถ้าหมอจะประคองชีวิตอยู่ จะใส่สายระโยงระยางอย่างไรให้หมอใส่ไป ถ้าจะเอาออกให้หมอตัดสินใจไป

อย่าไปสั่งเชียวว่าพ่อแม่ทรมานมาก หมอช่วยเอาออกที เพราะคนเราทรมานขนาดไหนก็ตาม โดยสัญชาตญาณความรักชีวิตยังมีอยู่ ความหวังที่จะหายจากการเจ็บป่วยยังมีอยู่ ถ้าไม่ใช่ประเภทสิ้นคิดจริง ๆ ไม่มีใครอยากตาย

โปรดอย่าได้ทำอนันตริยกรรม เพราะว่าผุดยากเกิดยาก สมัยเด็ก ๆ อาตมากลัวมากเลยเวลามีคนแช่งว่า "ตายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด" สมัยนี้เมื่อไรเขาจะแช่งให้เป็นจริงเสียที ตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดของเรา ความหมายเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดมีที่เดียวคือพระนิพพาน แต่ถ้าผุดยากเกิดยากก็อเวจี

เถรี
18-10-2010, 08:13
เรื่องของการทำแท้งก็เหมือนกัน เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถตรวจได้ว่าลูกในท้องพิการ หมอก็มักจะแนะนำให้ทำแท้ง ขอยืนยันว่าถ้าคุณทำแท้ง โทษเท่ากับคุณตั้งใจฆ่าคนเลย..!

คนที่เกิดมาจะสมบูรณ์หรือพิการ ขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่เขาทำมา และเขาคงสิทธิ์ที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะต้องเกิดมาใช้กรรมก็ตาม เราไปตัดชีวิตเขาเมื่อไร คือเราตั้งใจฆ่ามนุษย์ให้ตาย

ถ้าพระแนะนำให้ทำแท้งต้องอาบัติปาราชิกเลย เราจะไปอ้างเรื่องศีลธรรมไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมข้อไหนที่แนะนำให้ฆ่าได้ ยกเว้นศีลธรรมของศาสนาอื่น เพราะส่วนใหญ่ที่อ้างก็คือ เด็กเกิดมาจะลำบาก พ่อแม่เสียเวลาในการเลี้ยงดู สิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทอง เด็กพิการทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว นี่มองอย่างโลกตะวันตก ไปมองในแง่ของเศรษฐกิจกำไรขาดทุน

อย่าลืมว่าพื้นฐานของพวกเรา คือ พื้นฐานชาวพุทธ เราต้องมองในแง่ของศีลธรรม อย่าไปมองในแง่กำไรขาดทุนตามหลักเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีบ้า ๆ พวกนั้นทำให้ครอบครัวของทางตะวันตกล่มสลาย ถึงเวลาแก่แล้วก็ต้องไปอยู่ที่พักคนชรา ไม่มีลูกหลานคอยดูแล

บ้านเราอย่าให้แย่ขนาดนั้นเลย โดยเฉพาะจุดหนึ่งที่น่ากลัวมาก ก็คือ เด็ก ๆ สมัยนี้กร้าวกระด้างกับพ่อแม่ตัวเอง ดื้อ..เถียงพ่อเถียงแม่ ประเภทที่โบราณบอกว่า เถียงคำไม่ตกฟาก น่าตบให้ปากฉีกถึงใบหู..!

เถรี
18-10-2010, 09:32
อยากจะบอกว่าประสบการณ์ชีวิต ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา คนไหนทำอย่างไรกับพ่อแม่ เวลาตัวเองมีลูกเมื่อไรได้คืนทันที และได้คืนหลายเท่าด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ?

เคยดื้อกับพ่อแม่เท่าไร พอมีลูกจะดื้อกว่าหลายเท่า เคยเถียงพ่อเถียงแม่ เคยทำร้ายพ่อแม่ หรือทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจเท่าไร ถึงเวลาลูกตัวเองจะทำมากกว่าที่เราทำกับพ่อแม่ เป็นอย่างนี้แทบทุกครอบครัวที่เคยเห็น

ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่รักเรา ถึงแม้พ่อแม่จะดุด่าเฆี่ยนตีเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธไปเกลียดท่าน เราต้องคิดดูว่า ถ้าเราไม่มีท่าน เราก็ไม่มีที่เกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นตัวเป็นตนได้ มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ ก็ด้วยร่างกายนี้ที่พ่อแม่ให้มา

เพราะฉะนั้น..มีโอกาสแล้วทำดีกับท่านไป ขอให้ทุกคนเชื่อว่าทำดีแล้วต้องได้ผลดี แม้ว่าผลนั้นจะมาช้าไปหน่อยก็ตาม

เถรี
18-10-2010, 11:37
อาตมาเห็นหลายครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนเจ้าโทสะ ค่อนข้างจะร้ายกาจกับลูกหลานตัวเอง แต่พอลูกตั้งใจทำดีในศีล สมาธิ ปัญญา สั่งสมไปนานเข้า ๆ พอกำลังความดีสูง ก็สามารถที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของพ่อแม่ได้

ดังนั้น..ถ้าเป็นไปได้ พ่อแม่ใครยังอยู่ เราควรให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ท่านบ้าง กลับไปถึงบ้าน ต่อให้ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปฝาก ก็ถามถึงสารทุกข์สุกดิบท่านบ้าง "วันนี้สบายดีหรือเปล่า ? งานการเป็นอย่างไร ? มีคนช่วยไหม ? เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรือเปล่า ?" พ่อแม่ไม่ได้ต้องการอะไร แค่ต้องการให้ลูกสนใจพ่อแม่บ้าง

มีครอบครัวคนจีนอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายโทนคนเดียว ทั้งพ่อและแม่เป็นคนขยันทุ่มเท เลี้ยงลูกเติบโตขึ้นมา หาสะใภ้ให้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา คนเป็นพ่ออายุสั้นตายไปเสียก่อน เหลือแต่แม่

ปรากฏว่าลูกชายกลับมาถึงบ้าน ไปจ๊ะจ๋ากับเมียตัวเอง แม่นั่งอยู่ปากประตูกลับเดินผ่านไปทุกที เห็นแล้วนึกสะท้อนใจ เหมือนกับแม่เป็นตุ๊กตาเฝ้าหน้าร้านเฉย ๆ เราลองมาคิดดูว่า อย่างน้อย ๆ พ่อแม่เลี้ยงเรามาหลายสิบปี ส่วนคู่ชีวิตของเรามาทีหลังนานมาก แล้วเราไปให้ความสนใจกับคู่ชีวิตมากกว่า นี่ยุติธรรมแล้วหรือ ?

ถ้าจะให้ดีก็คือ ให้ความสนใจเท่าเทียมกัน และถ้าเป็นไปได้ ให้ความสนใจพ่อแม่ให้มากกว่า รู้ว่าท่านชอบกินอะไร ถึงเวลาซื้อให้ท่านกินบ้าง มีโอกาสพาท่านไปเที่ยวบ้าง พาไปทำบุญใส่บาตร เข้าวัดเข้าวาตามโอกาสบ้าง ถ้าใครสามารถทำได้จะมีแต่ความเจริญแก่ตัวเอง อย่าไปคิดว่าโลกยุคใหม่ เราทำอย่างนั้นแล้วเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ทำดีกับท่านไว้เถอะ ไม่เสียหลายหรอก ถึงเวลาลูกหลานมีตัวอย่าง ก็จะทำดีกับเราบ้าง

เถรี
18-10-2010, 11:59
มีอยู่สมัยหนึ่ง หลวงปู่มหาอำพันท่านป่วย อาตมาลาหลวงพ่อเพื่อไปดูแลปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ เพราะคนอื่นทำแล้วไม่ถูกใจท่าน ด้วยเหตุหลายประการ

ประการแรก ขาดความศรัทธาในตัวท่าน เห็นท่านเป็นคนแก่ และเป็นคนแก่ที่ป่วยด้วย คนทั่ว ๆ ไปจะรู้สึกว่าน่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย ประการที่สอง ขาดความละเอียดลออ ทำอะไรขาดตกบกพร่อง ไม่สามารถที่จะดูแลปรนนิบัติคนไข้ได้ดี

ประการสุดท้าย ใจไม่สงบ บางทีก็เดินพล่านเป็นชะมดติดจั่น เวลาเราเคาะประตูเข้าไปหา พอหลวงปู่เห็นหน้าก็จะยิ้มชนิดอย่างที่น้อยคนได้เห็น แล้วจะรีบบอกกับพระที่เฝ้าว่า "นิมนต์ท่านกลับได้เลยครับ ท่านเล็กมาแล้ว" ซึ่งเขาจะรีบตะเกียกตะกายกลับเลย เพราะทนรำคาญไม่ได้

บางทีหลวงปู่ก็บอกว่า ท่านก็รำคาญเหมือนกัน เขาเดินรอบห้อง ก๊อก ๆ เหมือนอย่างกับนกเลาะกรง

อาตมาลามาดูแลหลวงปู่อยู่ช่วงหนึ่งติดกันหลาย ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ทางวัดมีระเบียบว่า ให้ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๑๐ วัน เพราะไม่อย่างนั้นจะเอาเปรียบคนอื่นที่เขาทำงาน อย่างวัดท่าขนุนก็ให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๗ วัน ถ้าไม่ได้ลาติดกันสองเดือนขึ้นไป สามารถลาได้ ๑๕ วัน

พออาตมาลาติดกันมากเกินกำหนด หลวงตาวัชรชัยท่านรู้ว่าความดีของเราเยอะ มีคนจ้องจะฟันหัวอยู่ ท่านก็เลยเตือนว่า "สิ่งที่เอ็งทำนะดี แต่เอ็งต้องคิดดูว่า ถ้าจะเอาผลตอบแทนชาติปัจจุบันนี้ น่าจะประมาณเอ็งแก่ ๆ แล้ว เจ็บไข้ได้ป่วย ไปไหนไม่ไหว จะมีพระลูกพระหลาน หรือไม่ก็ญาติโยมมาปรนนิบัติรับใช้เหมือนกับที่เอ็งไปดูแลหลวงปู่

แต่ถ้าเอ็งยังทำผิดระเบียบด้วยการลาเกิน แล้วโดนไล่ออกจากวัด เอ็งจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเลย"

เถรี
18-10-2010, 17:14
หลวงตาท่านให้เราชั่งน้ำหนักดูว่า ระหว่างมรรคผลของตัวเอง กับในเรื่องของการปรนนิบัติครูบาอาจารย์ ควรจะเลือกเรื่องไหน ?

ตอนนั้นอาตมาหูอื้อตาลาย เหมือนกับฟังไม่เข้าหู จึงยังคงลาไปปรนนิบัติหลวงปู่ต่อไป และโดนเข้าจริง ๆ มติกรรมการสงฆ์สรุปว่าผิดระเบียบ ต้องให้ออกจากวัด ผิดระเบียบเพราะลาเกินที่กำหนดไว้ รวมแล้วมากกว่า ๔๕ วัน ต่อให้ลาได้ ๑๕ วันก็ยังเกินไปมาก

จากนั้นเขาก็แจ้งผลการประชุมและมติที่ประชุมให้แก่หลวงพ่อ พูดง่าย ๆ ว่าขออนุญาตเชือด..! หลวงพ่อตอบหนังสือลงมาว่า "การไปปรนนิบัติดูแลครูอาจารย์ถือว่าเป็นเรื่องสมควร เป็นการที่ทำไปโดยกตัญญู ให้ปรับโทษโดยตัดวันลาเหลือเพียง ๗ วัน" เพราะฉะนั้น..อาตมาจะเป็นพระรูปเดียวในวัด ที่ลาได้ไม่เกิน ๗ วัน..!

เรื่องที่เล่ามานี้ ถ้าเป็นพวกเรา เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ก็จะขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเอง ถ้าเราเห็นแก่ตัวเองมากกว่า เราก็จะทิ้งหลวงปู่ แล้วก็ปฏิบัติตามระเบียบวัด

แต่ตัวอาตมาเองนั้น มีสันดานอยู่อย่างหนึ่งว่า เป็นคนที่เกิดที่ไหนก็ไม่ได้หวังว่าโตที่นั่น พร้อมที่จะไปที่อื่นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ไปไกลบ้านได้มากเท่าไรก็มีความสุขเท่านั้น ก็เลยไม่ได้เกรงว่าจะโดนไล่ออกเพราะผิดระเบียบวัด

อาจจะเป็นผลพวงที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อท่านมาหลายชาติ ในเมื่อหลวงพ่อตั้งความปรารถนาที่จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ แม้เราไม่ได้ตั้งความปรารถนา แต่อธิษฐานตามกันมา จึงรับเอาจริยานี้ไปโดยปริยาย

ทำให้เห็นความสุขของคนอื่น เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสุขส่วนตัว และเชื่อว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อร้อยละ ๙๙ ก็มีความรู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น

เถรี
18-10-2010, 17:19
เรื่องที่เล่ามานี้ เอาไว้เป็นข้อเปรียบเทียบสำหรับพวกเราในการตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้น จะแสดงออกซึ่งกำลังใจของเราตอนนั้นอย่างชัดเจน เราจะมีสักกายทิฏฐิ มีมานะ มีอติมานะขนาดไหนก็ตาม ตอนนั้นจะออกมาหมด รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็ออกมาหมด

จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณหลวงตาเป็นอย่างยิ่ง อาตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ถ้าหากผลงานนี้ ๑๐ ส่วน เป็นของหลวงตาไปเสีย ๓ ส่วน ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ๓๐ เปอร์เซ็นต์เลย เพราะสมัยนั้นเห็นหลวงตาเป็นต้นแบบ เป็นต้นแบบในการงับคนอื่น..! เท่มากเลย

เวลาปฏิบัติติดขัดอะไร พี่เลี้ยงคนแรกที่นึกถึงก็คือหลวงตา แต่วันนั้นเป็นเรื่องแปลก กำลังใจอาตมาท่วมตัวเอง สิ่งที่หลวงตาเตือนกลายเป็นผ่านหูไปเฉย ๆ ไม่ได้รับไว้พิจารณาเหมือนทุกครั้ง เพราะเราตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะไป

ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วจึงไม่ฟังคำเตือน แล้วก็เป็นไปตามที่หลวงตาท่านคาดจริง ๆ ว่า "เอ็งโดนแน่..!" แต่ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ว่าเราทำผิดด้วยสาเหตุใด ตรงนี้สำคัญที่สุด

คนเราทุกคนที่ทำผิด ไม่ว่าจะผิดระเบียบ ผิดศีล ผิดกฎหมาย จะมีเหตุผลในตัวเองอยู่แล้ว เราต้องพยายามเข้าใจเหตุผลนั้นให้ได้ การที่เราตัดสินก็จะไม่ผิดพลาด ถ้าเราไม่เข้าใจในเหตุผลนั้น ว่าตามกฎหมายตรง ๆ ว่าตามระเบียบตรง ๆ บางทีเราอาจจะทำลายคนบางคนโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาเสียอนาคตไปเลย

เถรี
18-10-2010, 17:25
พระอาจารย์บอกถึงเคล็ดลับในการท่องบทสวดมนต์ว่า "หลักการสวดมนต์ ถ้าอยากจะเป็นเร็ว อย่าฝึกสวดทีเดียวทั้งบท

อาตมาจะแยกทีละสองบรรทัด ให้สองบรรทัดเท่ากับ ๑ บท เขียนเลข ๑ กำกับไว้ สองบรรทัดต่อมาก็เขียนเลข ๒ กำกับไว้ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาก็ตั้งใจท่องสองบรรทัดแรก พอท่องไป ๓-๔ รอบ ก็จะอ่านยาวให้จบบทไปทีเดียว

พอสองบรรทัดแรกได้ บางทีบรรทัดที่ ๓-๔ ก็จำได้แล้ว ฉะนั้น..เราทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พักเดียวก็จะได้ทั้งบทเลย

โดยเฉพาะเราจะจำแม่น เพราะเราจะนึกได้ถึงบทที่ ๑ , ๒ , ๓ , ๔ ไปถึงไหนแล้ว เลขบทต่อไปจะอยู่ในใจของเรา เวลาสวดมนต์จะผิดยาก เพราะจำลำดับได้แม่น"

เถรี
18-10-2010, 17:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่ง... ของบริษัท... ซึ่งเราก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เหลือแทบจะครบทุกองค์ เพราะคนรู้เสียแล้วว่า เจ้าเดิมเป็นคนสร้าง

รายนี้เขาจะมีการจัดพิธีให้ยิ่งใหญ่ เพื่อเรียกศรัทธาญาติโยม ขณะเดียวกันก็จะออกข่าวในลักษณะว่าของมีน้อยมาก โดยเฉพาะจะให้ไปรษณีย์แต่ละสาขาจำหน่ายประมาณ ๑-๒ องค์ เพื่อให้เกิดเป็นกระแสขาดแคลน ลักษณะคนแย่งกัน จะได้ไปตีข่าวโฆษณาซ้ำอีก

โบราณเขาบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน เป็นเรื่องจริง ถ้าเขาทำตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก ป่านนี้คาดว่านอกจากจะไม่มีคดีแล้ว คงจะรวยซับรวยซ้อน ไม่ใช่ซวยซับซวยซ้อนอย่างในปัจจุบัน

เขาเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถมาก ถึงขนาดแนะนำดาราว่ายกบ้านให้สาวเขาไปเถอะ เสียดายอย่างเดียวว่า ไปใช้ความสามารถในทางที่ผิด

ตอนช่วงที่เขารุ่ง ๆ เงิน ๔๐๐-๕๐๐ ล้านบาท เขาหาได้ในงวดเดียวในการออกวัตถุมงคล เพราะฉะนั้น..ทุกวันนี้ถึงแม้จะต้องคดีอยู่ในเรือนจำ แต่ก็อยู่แบบสบาย"

เถรี
18-10-2010, 17:41
"เคยสงสัยกับคำว่า 'กรรมติดจรวด' อยู่เหมือนกัน ปรากฏว่าผู้เฉลย คือ หลวงพ่อรัตน์ รตนญาโณ สำนักปฏิบัติธรรมรัตนประทีป ที่อำเภอแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน เจ้าของวิชาสมาธิหมุน

เรามานึกถึงลักษณะของดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน เกิดเป็นสภาพของเรือนกระจก กลุ่มเมฆที่เกิดจากคาร์บอนจะคลุมรอบโลกอยู่ ทำให้ความร้อนที่ตกมาถึงโลกสะท้อนกลับออกไปไม่ได้ เพราะมีกำแพงกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง

หลวงพ่อรัตน์บอกว่ากำแพงชั้นนี้แหละ แรงกรรมที่เราทำมาจะสะท้อนกลับลงมา ทำให้เกิดเหตุการณ์กรรมติดจรวด อาตมาจึงมาคิดว่า ถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อรัตน์ว่าจริง ๆ เราทำดีก็ต้องติดจรวดบ้าง เพราะฉะนั้น..ต้องเร่งทำความดีให้เยอะไว้ ถึงเวลาถ้ากรรมดีติดจรวดจะสบายไปตาม ๆ กัน

ไปนั่งคุยกับท่านครึ่งค่อนวัน ได้ความรู้มากเลย โดยเฉพาะการที่ท่านสร้างเครื่องมือต่าง ๆ ได้จากสมาธิทั้งนั้น ท่านจะทำแหล่งพลังงานใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าหรือนิวเคลียร์"

เถรี
18-10-2010, 17:46
"เราควรจะศึกษาเรื่องของคนอื่นเขาบ้าง เพื่อจะได้รู้เขารู้เรา แต่ไม่ใช่ศึกษาแล้วเอาไปฟุ้งซ่าน ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะเหมือนกับพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมปากช่อง

พออาตมาไปถึง บรรดาพระและแม่ชีของวัดท่าขนุนก็มากราบ และพระจากที่อื่นที่ไปปฏิบัติสมทบ มีส่วนหนึ่งเห็นอาตมาแล้วดีอกดีใจก็มากราบ มีพระเจ้าถิ่นอยู่รูปหนึ่ง ท่านมาถามว่า "ท่านอาจารย์เป็นใคร มาจากไหนครับ ทำไมพระและแม่ชีรู้จักอาจารย์กันเยอะจังเลย ?"

อาตมาจึงบอกให้ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน ท่านยิ่งมึนหนักเข้าไปใหญ่ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน ตรงนี้เป็นการวัดได้เลยว่าอาตมายังไม่ดัง ถ้าดังท่านต้องรู้จัก..!

เพราะฉะนั้น..ที่อาตมาบอกว่าให้รู้เขารู้เราเอาไว้บ้าง ถึงเวลาเขาพูดจะได้รู้ว่าที่ไหน ไม่ใช่ถึงเวลาก็เอ๋อ เป็นน้องเอ๋อจะน่ารักก็ตอนเรื่องที่ไม่สำคัญ ถ้าเป็นน้องเอ๋อตอนเรื่องสำคัญ เดี๋ยวก็เจอน้องโบ๊ะเข้าให้..!"

เถรี
18-10-2010, 18:02
"อาตมาไปพม่า หลวงปู่วัดคะแลบ้านน้อย อยากเจอหน้าอาตมาเป็นที่สุด จะขอให้ช่วยสร้างศาลาสักหลังหนึ่ง อาตมาเคยช่วยท่านสร้างพระเจดีย์ ให้อิฐเขาไปหมื่นก้อนและเงินอีกสามหมื่น ปรากฏว่าครั้งนั้นเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไปโดนพวกกะเหรี่ยงคริสต์ปิดถนนและซ้อมคนขับรถเสียปางตาย ทำให้เดินทางไม่ถึงจุดหมาย

อาตมาจึงต้องไปค้างคืนที่วัดหลวงปู่ และบอกกับครูบาน้อยไปว่า "คุณบอกท่านว่าผมเป็นแค่เพื่อนที่มาจากเมืองไทยก็พอ ไม่ต้องบอกว่าผมเป็นใคร" เพราะหลวงปู่อยากเจออาตมามาก

พอถึงเวลาหลวงปู่ถาม ครูบาน้อยก็บอกว่าเป็นเพื่อนมาจากเมืองไทย จะมาเที่ยวหนองบัว อาตมาก็ไม่ยอมเจรจาด้วย เพราะพูดพม่าไม่ได้ หลวงปู่ไม่รู้จะคุยอย่างไร ท่านก็ไป

รุ่งเช้าอาตมาฉันเช้าเสร็จก็เผ่นจากวัดไป พอออกมาพ้นวัดจึงบอกครูบาน้อยว่า "ถ้าหลวงปู่ท่านรู้ว่าผมเคยมากินมานอนอยู่ที่วัดท่าน ต่อไปจะมีสองอย่าง อย่างแรกอาจจะเลิกคบคุณไปเลย อย่างที่สอง สถานเบาก็คงสรรเสริญความดีของคุณไปอีกนาน"

อีกรายหนึ่งเป็นโชเฟอร์ขับรถสองแถว ชื่อปะลิ รายนี้ศรัทธาอาจารย์เล็กเหลือเกิน อาตมาไปสร้างวัดที่นั่น เป็นเงินสองสามร้อยแสนแล้ว จึงอยากพบอาจารย์เล็กเหลือเกิน

อาตมาก็นั่งฟังเขาคุยว่าอยากพบอาจารย์เล็กไปเรื่อย ๆ เขากำชับกับครูบาน้อยว่า "ถ้ามาแล้วช่วยบอกด้วย จะรับส่งฟรี" ครูบาน้อยก็รับปากไปตามเรื่อง

พวกนี้ถ้ามารู้ทีหลังว่าเรานั่งรถเขาจนก้นด้าน เขาคงจะงงมากเลย แต่ระยะหลังหลอกเขาไม่ค่อยได้ มีอยู่เที่ยวหนึ่งโยมเขามา อาตมาก็แกล้งถามว่ามีธุระอะไร โยมเขาบอกว่าจะมากราบอาจารย์เล็ก อาตมาจึงชี้ไปที่ท่านมหาปิง บอกว่า "ท่านนั้นแหละ"

โยมเขาบอกว่า "ผมดูรูปจากในเว็บมาแล้วครับ" อาตมาหมดท่าเลย ตอนหลังนี่ชักจะหลอกใครไม่ค่อยได้"

เถรี
18-10-2010, 18:07
"บางทีโยมเขาไปวัด เดินตรงรี่เข้ามาหาอาตมา "หลวงพี่ครับ กุฏิหลวงพ่อเล็กอยู่ที่ไหน ?" ตกลงเราจะเป็นหลวงพี่หรือหลวงพ่อดีวะ..! ก็เลยชี้ไปที่กุฏิ บอกว่ากุฏิท่านอยู่หลังนั้น แล้วเราก็กวาดวัดของเราต่อไป

อีกครั้งหนึ่ง ผู้พันติ่ง เอาวัตถุมงคลไปให้พี่ชายเขาที่สุราษฏร์ธานี พี่ชายเขาเจออาวุธสงครามไป ๔๐ กว่านัดแล้วไม่เป็นอะไรเลย เรื่องราวจึงฮือฮา ทหารยกมาล้อมกุฏิอาตมา อยากได้วัตถุมงคลกัน

อาตมาเปิดประตูออกมา และเดินไปทำนั่นทำนี่ แม้แต่หางตาทหารเขายังไม่มองเลย เขาวาดภาพหลวงพ่อเล็กไว้อย่างไรไม่รู้ ? แต่ไม่ใช่คนนี้แน่นอน ทำเอาอาตมารู้สึกปลื้ม ๆ อย่างไรก็ไม่รู้"

เถรี
18-10-2010, 19:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่บ้านสายลมเขาจัดงานครบรอบวันเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุง

ความจริงหลวงพ่อท่านไม่ได้เกิดเดือนตุลาคม ท่านเกิดเดือนมิถุนายน แต่ตอนที่ท่านหมดอายุแล้วพระต่ออายุให้ คือ เดือนตุลาคม ท่านก็เลยถือว่าเดือนตุลาคมเป็นเดือนเกิดของท่าน

ถ้าใครไปศึกษาประวัติท่านแล้วจะแปลกใจ ว่าทำไมหลวงพ่อเกิดเดือนหนึ่ง แล้วไปทำบุญวันเกิดอีกเดือนหนึ่ง โปรดทราบตามนี้ว่า ท่านถือว่าการที่พระต่ออายุให้คือการเกิดใหม่ จึงเอาเดือนตุลาคมเป็นเดือนเกิด"

เถรี
18-10-2010, 20:19
ถาม : ถ้าอยากให้มีความรู้สึกว่าเรามีความเคารพพระจริง ๆ ไม่ได้มองที่ความสวยงามของท่าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ต้องมองเห็นคุณของท่านจริง ๆ ให้ไปพิจารณาว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มีคุณความดีอย่างไรบ้าง ถ้าเห็นความดีของท่านจริง ๆ จะเกิดความเคารพมาจากใจจริงเอง

เถรี
19-10-2010, 06:50
ถาม : ช่วงนี้เวลาทำกรรมฐาน ทำไมอยากกลับไปที่บ้านเก่า ?
ตอบ : อยากกลับก็กลับสิ ใครจะไปว่าอะไร ไปวนดูซะให้สะใจ

อย่าลืมว่าเราไปตอนนั้นจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว ในเมื่อจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว เราก็ไปสำรวจให้ทุกซอกทุกมุม เพราะสภาพจิตของเราอาจจะมีความผูกพันอยู่กับสถานที่ จึงต้องการจะไป

แต่บางทีก็ไม่แน่เหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งอาตมาตั้งใจจะไปกราบพระ แต่พอออกจากร่างแล้วไปตกอยู่ที่หน้าบ้านของใครก็ไม่รู้ มารู้ทีหลังว่าครอบครัวนั้นเป็นกระสือ จึงไปสอบถาม ไปพูดคุย รับรู้รายละเอียดของเขามา

หลังจากนั้นประมาณสองวันก็มีคนมาถามเรื่องนี้ จึงพูดคุยกับเขาได้ ฉะนั้น..บางอย่างอาจจะมีเหตุ ต้องรอจนเกิดแล้วเราถึงจะรู้ว่าเพราะอะไร เราไปลักษณะอย่างนั้นไม่ขาดทุนหรอก อย่างน้อยเราก็ทรงสมาธิอยู่ กิเลสกินไม่ได้ เราก็แค่ไปเที่ยวบ้านเก่าของเรา

เถรี
19-10-2010, 06:54
ถาม : ถ้าเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขา แต่เราไม่อยากไปยุ่งกับเขา ?
ตอบ : ให้ตั้งใจอโหสิกรรมให้กับทุกคน

ถาม : ก็คือ อโหสิกรรมให้ฝั่งเราด้วย ฝั่งเขาด้วย ?
ตอบ : อโหสิกรรมเฉพาะฝั่งเรา เพราะเขาคงไม่รับรู้ด้วย แต่นี่เป็นการปลดตัวเราออกจากสิ่งนั้นมา เวรกรรมจะไม่สามารถเบียดเบียนเราในชาติต่อ ๆ ไปได้ ส่วนเขาจะจองเวรหรือให้อภัยก็แล้วแต่เขา

เถรี
19-10-2010, 06:59
ถาม : สอนให้ลูกภาวนาพุทโธ บอกเขาว่าถ้าจำภาพได้ก็ให้จำไปด้วย ทีนี้ลูกเขาฟังแล้วเข้าใจผิด จำแต่ภาพพระอย่างเดียวค่ะ
ตอบ : ไม่เป็นไร ขอให้ได้สักอย่างหนึ่งก็ใช้ได้

ถาม : หนูจึงไปเปลี่ยนเขาให้ภาวนาแทน ภาพพระเอาไว้ทีหลัง
ตอบ : อย่าลืมว่าภาพพระจำได้ยากกว่า

ถาม : หนูนึกว่าคำภาวนาสำคัญกว่า
ตอบ : จริง ๆ จะสำคัญก็ต่อเมื่อรู้จักเรื่องของสมาธิอย่างแท้จริง คำภาวนาเป็นเครื่องโยงจิตใจให้เป็นสมาธิที่แน่นขึ้นไป ระหว่างการจำภาพพระกับการจับลมหายใจ การจับภาพพระจะยากกว่ามาก

เถรี
19-10-2010, 08:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้หญิงพออายุมากแล้วจะขาดความมั่นใจในตัวเอง มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราอยู่คนเดียว เกิดเป็นอะไรไปแล้วใครจะดูแล ก็เลยมีจำนวนมากกระโดดลงเหวไปอย่างเต็มใจ เพราะอยากได้คนดูแล ท้ายสุดก็ซวยหนักเข้าไปอีก เพราะต้องไปดูแลเขา

ฉะนั้น..ความรู้สึกที่กลัวว่าจะไม่มีคนดูแลนี่เลิกคิดไปเลย แต่ถ้าคิดว่า เดี๋ยวไม่มีใครเอาไว้ข่มเหงรังแกก็ว่าไปอย่าง ถ้ารู้สึกอย่างนั้นก็พยายามหามาสักคน จะได้ข่มเหงรังแกได้..!

จากที่กล่าวมา เรื่องสำคัญก็คือ กำลังใจยังไม่มั่นคง ก็เลยต้องการที่พึ่ง เราจึงต้องเร่งกำลังใจให้มั่นคง ถึงเวลาแล้วเราจะได้ไม่ต้องพึ่งใคร และจะได้ไม่ต้องไปกระโดดลงเหว"

เถรี
19-10-2010, 08:41
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอ่านเจอศีลข้อหนึ่ง ในโภชนปฏิสังยุต ของเสขิยวัตร ข้อที่ว่า ภิกษุห้ามฉันเลียบาตร

อาตมาก็สงสัยว่าบาตรจะเลียได้อย่างไร จะมุดเข้าไปในบาตรได้อย่างไร พอไปเจอบาตรพม่าจึงรู้ เพราะบาตรพม่าตื้นนิดเดียว ลักษณะเหมือนกับชามตื้น ๆ จึงได้เลียได้"

เถรี
19-10-2010, 09:03
พระอาจารย์เล่าเรื่องเสียงดังให้ฟังว่า "ท่านโฆสกเทพบุตร เสียงปกติเวลาท่านพูด ได้ยินไปถึง ๑ โยชน์ แต่ถ้าท่านพูดเต็มเสียงได้ยินไปทั่วดาวดึงส์

พวกเรามีใครบ้างไหมที่เสียงดังระดับนี้ ? สมัยก่อนมีพระครูมะลิ วัดเทพศิรินทร์ ท่านขึ้นนะโมเสียงดังจนเด็กร้องไห้ เวลาค่ำตอนสวดศพ พระครูมะลิสวดคนเดียวโดยไม่ต้องใช้ไมค์ได้ยินไปถึง ๓ - ๔ ศาลา เพื่อน ๆ ต้องใช้ไมค์ช่วย แต่พระครูมะลิไม่ต้องใช้ หุ่นของท่านล่ำสันสูงใหญ่ สงสัยชาติก่อนคงจะถวายระฆังเอาไว้เยอะ

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานก็เคยขึ้นนะโมแล้วเด็กตกใจจนร้องไห้ ตอนนั้นหลวงปู่เสียงดังมาก หลวงปู่ปานมาบอกทีหลังว่า วันนั้นไม่ค่อยมีแรง ท้าวมหาราชท่านก็เลยช่วย

เรื่องเสียงดังของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็เคยเจอกับตัวเอง ตอนนั้นอาตมาเพิ่งบวชใหม่ ๆ ยังไม่ได้พรรษา มีหน้าที่ขึ้นไปช่วยงานบนศาลานวราชบพิตรเพื่อจำหน่ายวัตถุมงคล

วันนั้นพอหลวงพ่อลงรับสังฆทาน มีรถทัวร์เข้ามา ๔ คัน ได้คุยกับโยมทีหลังว่าเขามาจากสัมพันธวงศ์ พวกเราก็รู้ว่าสัมพันธวงศ์เป็นดงของคนจีน เวลาคนจีนคุยกันเหมือนกับคนทะเลาะกัน แล้วคนจีนจำนวน ๔ คันรถทัวร์ เบียดกันขึ้นไปบนศาลานวราชบพิตร เวลาคุยกันเสียงจะดังแค่ไหน ?"

เถรี
19-10-2010, 09:15
"หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ก่อนแล้ว และมีโยมประมาณ ๕ - ๖ คน ถามปัญหาธรรมะอยู่ตรงหน้า บรรดาอาซ้อ อาซิ้ม อาเจ็ก ขึ้นมาก็ส่งเสียงเกรียวกราว

หลวงพ่อท่านเตือนว่า "โยมเบา ๆ หน่อย ข้างหน้าเขาคุยธรรมะกันอยู่" ปรากฏว่าไม่มีเบาแม้แต่นิดเดียว แถมยังดังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะข้างหลังประดังกันเข้ามาอีก

พออีกสักพักหนึ่ง ท่านก็เตือนอีก "โยมเบา ๆ หน่อย คุยกลบเสียงธรรมะอันตรายนะ" ก็ยังคงเหมือนเดิม มีแต่ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะเขาบูชาวัตถุมงคลกัน

"โคตรแม่มึง..ถ้าจะคุยกันก็กลับไปคุยที่บ้านโน่น..!" เสียงท่านดังชนิดกระเบื้องหลังคากระพือ ทั้งหมดเงียบสนิทชนิดเข็มตกยังได้ยิน พอตั้งสติได้ คนแรกก็ย่องลงบันได คนที่สองสามสี่ก็ตามกันไปจนหมด สี่คันรถไม่เหลือเลย

หลวงพ่อท่านมาบอกทีหลังว่า "จำเป็นต้องดุ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นโทษจะเกิดแก่เขามาก ประเภทนี้มาวัดก็ไม่รู้บุญบาปคุณโทษว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..อย่าให้มาได้อีกเลยเป็นดี"

เพิ่งจะรู้ว่าเสียงคนดังได้ขนาดนี้ คงจะลักษณะเดียวกันกับท่านท้าวมหาราชท่านช่วย หลวงปู่ปานท่านทำได้ หลวงพ่อท่านทำได้ ถือว่าปกติ แต่พระครูมะลิไม่ต้องมีใครช่วย ท่านก็เสียงดังได้

มีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ เคยเจอหลวงพ่อท่านส่งเสียงทางลมปราณ ถ้าใครเคยอ่านหนังสือกำลังภายในจะรู้ เป็นเสียงประเภทที่ได้ยินเฉพาะคนที่ตั้งใจให้ได้ยิน..!"

เถรี
19-10-2010, 09:23
"อาตมานั้นสวดมนต์ได้ตั้งแต่ตอนเป็นนาค พอบวชแล้วเขาจึงให้ออกกิจนิมนต์ ตอนนั้นไปชัยนาท พอโยมเขาถวายปัจจัยไทยธรรมมา อาตมาก็มักจะเอาไปถวายหลวงพ่อ

พอสวดมนต์ฉันเพลเสร็จ อาตมากลับมาถึงวัด ได้เวลาหลวงพ่อรับแขก อาตมาจึงหิ้วถังสังฆทานขึ้นไปบนศาลา ญาติโยมนั่งอยู่ประมาณ ๒๐ - ๓๐ คน

ตอนที่อาตมาเดินเข้าไป ญาติโยมเขาก็หลีกทางให้ เพราะเราประเภทเดินไปไม่เกรงใจใครเลย เดินไปถึงตรงหน้าหลวงพ่อ คุกเข่าลง ยกถังสังฆทานพร้อมกับซองปัจจัยถวายท่าน เพื่อน ๆ น้อง ๆ ข้างหลังก็ตามมาอีกหลายรูป

หลวงพ่อหยิบแก้วน้ำขึ้นมา คนอื่นเห็นหลวงพ่อยกแก้วน้ำอยู่ แต่เราได้ยินเสียงหลวงพ่อลอดใต้แก้วมาว่า "โคตรแม่มึง..เดินดูชาวบ้านเขาบ้าง จะเหยียบเขาคอหักตายอยู่แล้ว..!" เสียงเหมือนฟ้าผ่า แต่อาตมาได้ยินอยู่คนเดียว..!

พอลงมาจากศาลา ท่านประสิทธิ์ที่เป็นรุ่นน้องเดินตามหลังมาติด ๆ ถามว่า "หลวงพ่ออวยพรอะไรให้พี่คนเดียว ไม่เห็นให้ผมบ้างเลย" เพิ่งจะรู้ว่าเสียงที่เราได้ยินอย่างกับฟ้าผ่า เราได้ยินเพียงคนเดียว คนอื่นไม่ได้ยิน

ตกกลางคืนก็ไปเล่าเรื่องนี้กันในห้องฉันน้ำปานะ หลวงตาวัชรชัยบอกว่า "กูเห็นท่ามึงเดินขึ้นไป กูก็รู้แล้วว่ามึงโดนแน่เลย กูแปลกใจว่ามึงรอดมาได้อย่างไร ?" อาตมาบอกว่า "ไม่ได้รอด ผมโดนเต็ม ๆ เลย แต่ผมได้ยินคนเดียว"

ฉะนั้น..เรื่องนี้ยังไม่เห็นคนอื่นทำได้ แต่หลวงพ่อทำได้แน่"

เถรี
19-10-2010, 09:49
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=8193&stc=1&d=1287457230

มีโยมนำพระพุทธรูปปางประสูติมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงถามโยมว่า "เราเรียกว่าพระพุทธเจ้าได้หรือไม่ ?

ตอนประสูติ เจ้าชายชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน พร้อมกับประกาศว่า อะหัง อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ที่เลิศที่สุดในโลก อะหัง เชฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ที่เจริญที่สุดในโลก อะหัง เสฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา

ทันทีที่เกิดมามีใครกล้าประกาศอย่างนี้บ้างไหม ?

เราเรียกรูปนี้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้ แม้ว่าความเป็นพระพุทธเจ้าจะมาเมื่อท่านพระชนมายุ ๓๕ พรรษา แต่ที่เราเห็นรูป เรานึกถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้นึกถึงความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะฉะนั้น..เรียกว่าพระพุทธเจ้าได้

ท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ ให้เขาทำภาพพระพุทธเจ้าปางประสูติ และติดเอาไว้ในงานสาธยายพระไตรปิฎก พอโยมเขาเห็น เขาถามว่า "กุมารทองวัดไหน ?" เห็นพระพุทธเจ้าเป็นกุมารทองไปได้..!"

เถรี
19-10-2010, 09:53
"กุมารทองในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ กุมารทองของหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐม แต่ท่านไม่ได้เรียกกุมารทอง ท่านเรียกว่า ตุ๊กตาทอง

บางคนเอาวัตถุอาถรรพ์ อย่างขี้เถ้ากระดูกผี ๗ ป่าช้า มาปั้นเป็นรูปเด็กแล้วให้หลวงปู่ท่านเสก แล้วเขาเกิดสงสัยทีหลังว่าจะมีโทษหรือเปล่า ? หลวงปู่ท่านยืนยันว่า "ข้าอุทิศส่วนกุศลให้ จนเป็นเทวดาไปหมดแล้ว"

เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นกุมารทองของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม มั่นใจได้ว่าไม่มีโทษแน่ มีแต่ก่อประโยชน์ให้อย่างเดียว แต่ถ้าเป็นกุมารทองของเณรแอก็ต้องคิดกันหน่อย"

เถรี
19-10-2010, 10:07
ถาม : ปฏิบัติสมาธิแล้วเกิดการชา เหมือนเป็นจุด ๆ ตรงกลางหน้าผาก บางทีก็ไหลมาอยู่ตรงจมูก ถ้านั่งสมาธิแล้วเห็นเป็นกายของเรา พิจารณาไปว่ามันเป็นกาย ถ้ามีอาการเจ็บปวด ก็ตามดูเวทนา ดูที่จิตเหมือนกับว่ามีแสงเหมือนสามเหลี่ยมตรงตัวผม พอจะรีบออกจากสมาธิ มันออกไม่ได้ มันมึนครับ อีกข้อ ที่ปรารถนาอยู่ ถ้ายังโลเลอยู่ จะเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่าครับ ?

ตอบ : จะเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าบารมียังไม่เข้มข้นพอ ตกลงทั้งหมดที่ว่ามามีคำถามนี้คำถามเดียว นอกนั้นเป็นคำบอกเล่าเฉย ๆ ไม่ถามก็ไม่เป็นไร แต่อาตมาอยากจะบอก

ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เขาไม่ให้ใส่ใจ เพราะถ้าใส่ใจสมาธิจะไม่ก้าวหน้า ต้องตัดสินใจว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ตามที ถึงจะตายลงไปตอนนั้นก็ตาม เรากำลังทำความดีอยู่ เราต้องไปดีแน่ ถ้าตัดใจได้ขณะนั้น ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมี

พอเราเข้าถึงอุปจารสมาธิ ภาพและแสงสีต่าง ๆ ก็จะปรากฏ ถ้าเราไปให้ความสนใจ ความก้าวหน้าในสมาธิก็จะไม่มี จะติดอยู่แค่นั้น ถ้าเราไม่สนใจ ภาพนั้นจะยิ่งชัด เหมือนกับตั้งใจจะก่อกวนเรา เราจึงจำเป็นที่จะต้องสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น

ส่วนข้อสุดท้ายมีใครบอกไหมว่า คุณพูดเร็วฉิบหายเลย..!

ถาม : ใช่ครับ มีคนบอก
ตอบ : ระวังเอาไว้บ้าง คนแก่เขาจะฟังไม่ทัน

เถรี
19-10-2010, 10:17
ถาม : หลังจากนั่งสมาธิ ถ้าเห็นเหมือนแสงเล็ก ๆ ตรงพระพุทธรูป ก็อย่าไปสนใจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ให้กำลังใจทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีลมหายใจอยู่..กำหนดรู้ลม ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่..กำหนดรู้คำภาวนา

ถ้าลมหายใจเบาลง คำภาวนาหายไป หรือลมหายใจหายไปด้วย เรากำหนดรู้อย่างเดียว อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น และอย่าอยากเลิกเป็นอย่างนั้น มีหน้าที่กำหนดรู้ไปเท่านั้นเอง

ถ้าหากเราไปดิ้นรนอยากให้เป็นอย่างอื่น หรืออยากให้หายจากอาการอย่างนั้น สมาธิจะถอยออกมา แล้วพอถึงสมาธิระดับนั้นก็จะเป็นอีก ทำให้เราไม่ก้าวหน้า ติดอยู่แค่นั้น

เถรี
19-10-2010, 10:18
ถาม : ถ้าเวลาอธิษฐาน มีสิ่งเข้ามาแทรกแล้วเราตามรู้ไป ควรตั้งจิตอธิษฐานใหม่ แผ่เมตตาใหม่ หรือควรจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ช่างมัน เราทำกุศลอยู่ อกุศลก็พยายามขัดขวาง จิตของเราตั้งอยู่ในเรื่องไหนให้ตั้งในเรื่องนั้นต่อไป อย่างเช่น อธิษฐานปรารถนาโพธิญาณ อธิษฐานปรารถนานิพพานชาตินี้ หรือเกิดเมื่อไรขอให้รวยก็ว่าไป แล้วความตั้งใจของเราจะมีผลตามนั้น

แต่ถ้าหากจิตมั่นคง เหลืออยู่อารมณ์เดียว คำอธิษฐานนั้นจะได้ผลเร็วขึ้น เวลาที่อกุศลกรรมแทรก ไม่ได้หมายความว่าคำอธิษฐานจะไม่มีผล แต่ว่ามีช้าหน่อย ถ้าจิตใจมีคุณภาพ สมาธิทรงตัวตั้งมั่น ไม่เคลื่อนไปไหน คำอธิษฐานจะมีผลเร็วขึ้น โดยเฉพาะเร็วขึ้นอีกหลายชาติ..!

เถรี
19-10-2010, 10:19
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : พระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกับพระพุทธเจ้าทุกประการ เพียงแต่สร้างบารมีมาน้อยกว่า ขาดแต่สัพพัญญุตญาณเท่านั้น นอกนั้นสามารถรู้เท่าพระพุทธเจ้า

เหตุที่ท่านขาดสัพพัญญุตญาณ เพราะท่านไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ท่านไม่ได้ประกาศพระศาสนา สมมติว่าวัดอาตมามีรถโฟร์วีลอยู่หนึ่งคัน อีกวัดหนึ่งไม่มี เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าป่าเข้าดง ก็ลักษณะเดียวกัน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เลยไม่จำเป็นต้องมีสัพพัญญุตญาณเพราะท่านไม่ได้ประกาศพระศาสนา

เถรี
19-10-2010, 10:28
ถาม : น้องสาวของหนู ชอบนั่งสมาธิแล้วเขาจะเห็นเป็นวิญญาณ เห็นอยู่เรื่อย ๆ จนเขาไม่กล้านั่ง ไม่คิดจะนั่งต่อ
ตอบ : บอกเขาว่าทำต่อไป เริ่มดีแล้ว การที่เรารู้เห็นท่านทั้งหลายเหล่านั้น ให้ตั้งใจว่า ผลบุญที่เราทำในครั้งนี้หรือบุญจากกรรมฐาน ขอให้วิญญาณ ผี หรืออะไรที่เราเห็น ให้โมทนาบุญเราด้วย เราได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย แล้วเขาก็จะไปเองจ้ะ
ส่วนใหญ่เขามาเพราะลำบาก เขาต้องการการช่วยเหลือ

ถาม : แล้วอีกอย่างที่เขาไม่กล้านั่ง เพราะเขารู้สึกว่าตัวเขายืดขยาย หายใจไม่ค่อยออก
ตอบ : เป็นอาการของปีติ ในส่วนของผรณาปีติ ไม่มีอะไรน่ากลัว

เราอาจจะสงสัยว่าปีติเป็นเรื่องดี แต่ทำไมจึงมีอาการแปลก ๆ โบราณเขาเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนกับพ่อแม่ ทิ้งลูกให้อยู่บ้าน ส่วนตัวเองไปตลาด ไปไร่ไปนาทั้งวัน พอกลับมาตอนเย็น เด็กก็คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ เห็นพ่อแม่กลับมาก็ดีใจกระโดดโลดเต้น บางคนก็ร้องไห้ดีใจ นั่นคือปีติ

การปฏิบัติก็เหมือนกัน จิตที่เริ่มเข้าถึงความสงบ สิ่งที่ในอดีตเราเคยคุ้นเคยมาก่อน เมื่อเข้าถึงจุดนั้น อาการปีติก็เลยเกิดขึ้น แต่คนเราไม่เข้าใจว่าปีติมีหลายอย่าง หลายรูปแบบด้วยกัน ต่อไปจะมีอาการมากกว่านั้นอีก ฉะนั้น..แรก ๆ ปล่อยให้เป็นไปเต็มที่ ไม่ต้องไปกลัว ถ้าขึ้นเต็มทีแล้วก็จะเลิกไปเอง

ถาม : เขาบอกว่าหายใจไม่ออก สมควรจะหยุดหรือนั่งต่อ ?
ตอบ : ปล่อยต่อไป ให้ตัดสินใจว่าเรากำลังทำความดีอยู่ ถึงตายไปตอนนี้เราก็ยอม เพราะอย่างไรเราไปดีแน่นอน ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้ก็ก้าวข้ามไปเลย ถ้าตัดใจไม่ได้ ทำเมื่อไรก็จะติดอยู่แค่นั้นแหละ บอกว่าสู้ต่อไปไอ้มดแดง..!

เถรี
19-10-2010, 12:40
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "รู้ไหมว่านั่งอยู่ตรงนี้ นั่งด้วยความหวัง ความหวังอันสูงสุดว่าจะมีใครถามปัญหาการปฏิบัติที่ไม่ใช่ระดับพื้น ๆ แบบนี้บ้าง เดี๋ยวจะเหมือนกับครูจบปริญญามา อยากให้ความรู้แก่เด็กมากเลย แต่กี่ครั้ง ๆ ก็ถามแค่ไม่เกิน ป.๕ หรือ ป.๖..!"

เถรี
19-10-2010, 12:46
ถาม : ถ้าตอนที่อารมณ์เราดีสุด ๆ เหมือนกับว่า กำลังทำความดี แล้วฟูมาก ๆ เราควรจะเอาอารมณ์ตอนนั้นไปทำอะไร ?
ตอบ : ตอนนั้นให้ระมัดระวังตัวให้สุดขีดเลยว่า มารจะแทรกได้ เพราะตอนที่เราฟูมาก ๆ จริง ๆ แล้วสมาธิเราตก ขึ้นไม่ถึงฌาน ปีติจึงเกิดได้ เท่ากับเปิดโอกาสให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เข้าได้มาก โดยเฉพาะการยินดีในอารมณ์นั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของราคะอยู่แล้ว

ช่วงนั้นมารจะแทรกได้ง่าย ถ้าเผลอเมื่อไรก็โดนจูงผิดทาง อย่างเช่นปีติมาก ๆ อาจจะทำบุญจนหมดตัว แล้วทำให้ครอบครัวเดือดร้อน หรือไม่ก็ปีติมาก ๆ ภาวนาไม่เลิก จนร่างกายทนไม่ไหว สติแตกไปอีก..!

ต้องระวังตัวสุดขีด..ไม่ใช่อารมณ์ฟูแล้วจะเอาไปทำอะไร แต่ต้องระวังสุดชีวิตเลย ถ้าถึงระดับนั้นแล้วจะทำอะไรต้องใช้สติสัมปชัญญะให้รอบคอบ พิจารณาแล้วว่าตนเองและคนรอบข้างไม่เดือดร้อนถึงทำ

หรือปฏิบัติธรรมไปแล้วก็ให้ตั้งเวลาไปเลย ว่าไม่เกิน ๑ ชั่วโมงเราจะพัก ไม่เกิน ๓ ชั่วโมงเราจะพัก ถ้าหากไม่มีอย่างนั้นแล้ว เดี๋ยวทำข้ามวันข้ามคืนไม่เลิก เพราะใจกำลังฟูอยู่ จะไม่รู้สึกเหนื่อยหรอก แต่ร่างกายจะอ่อนล้าสะสมไปเรื่อย พอถึงระดับที่ร่างกายทนไม่ได้ก็จะพัง..!

แต่สำหรับพวกเราคงไม่ต้องเตือนข้อนี้หรอก ขี้เกียจอยู่แล้วนี่..!

เถรี
19-10-2010, 12:51
ถาม : แล้วการทรงฌานสี่ทั้งวัน ไม่ตึงเกินไปหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากทำได้คล่องตัวจริง ๆ จะไม่เป็นไร ยกเว้นคนฝึกใหม่ ๆ จะรู้สึกตึงและเครียด เพราะสภาพจิตที่เคยดิ้นรน โดนกดนิ่งสนิทไป

จึงควรซ้อมการเข้า-ออก ขึ้น-ลงฌานต่าง ๆ ให้คล่องไว้ พอคล่องชนิดที่จะเข้าเมื่อไรก็ได้ ก็จะเกิดความเบาขึ้น พอคล่องตัวมากจริง ๆ ต้องการเมื่อไรก็จะมา ต้องการเมื่อไรก็จะเปลี่ยนระดับฌานได้ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นของเบา ไม่ใช่ของหนัก

คราวนี้ก็จะไม่ตึง ไม่เครียดแล้ว สามารถทรงได้เป็นเดือน เป็นปี สมัยอาตมาฝึกใหม่ ๆ ก็ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่กับฌาน จนกระทั่งสามารถทรงได้เป็นระยะเวลา ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือนต่อเนื่อง คิดว่าเราแน่...ที่ไหนได้..พลาดทีเดียว หายจ้อยไปเลย..!

เถรี
19-10-2010, 12:53
ถาม : อย่างเมื่อก่อนเวลาหนูพยายามจะทรงฌานสี่ให้ได้ตลอดเวลา แต่พอไปนาน ๆ เรื่อย ๆ ก็เริ่มหนัก พอเริ่มหนักหนูก็ถอยให้เบาลง แต่ก็ยังรู้สึกว่าหนักอยู่ดี ก็ถอยให้เบาลงอีก ก็ยังหนักอยู่ดี จนกระทั่งสุดท้ายหนูเลยตัดสินใจว่า ไม่เอาอะไรแล้ว ไม่เอาแม้กระทั่งอารมณ์ในการปฏิบัติ คราวนี้ปรากฏว่าเบา โล่ง พอเราได้อารมณ์ที่เบาโล่งของเรา เราก็ล็อกตรงนั้นไว้ให้อยู่ลักษณะนั้นตลอด พอหนูคิดว่าอยากจะให้อารมณ์มากกว่านี้ ก็กลายเป็นเครียด หนักไป ก็เลยให้เหลืออารมณ์แค่นี้ หนูควรจะรักษาอารมณ์ลักษณะอย่างนี้ไปตลอดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้ารักษาไปตลอด โอกาสจะพลาดก็มี เพราะว่ายังเบาไป ต้องมีเวลาเฉพาะของเราสักเช้า ๑ ชั่วโมง เย็น ๑ ชั่วโมง ที่ตั้งอารมณ์สมาธิให้ทรงฌานเต็มที่ก่อน แล้วค่อยถอยออกมา

ถาม : แต่ในขณะที่เห็นว่าเบาลง เราก็เห็นว่าแม้กระทั่งอารมณ์การละ เมื่อก่อนเราจะแต่ละที เราจะต้องรวบรวมกำลังใจในลักษณะที่สูงมาก แต่ตอนนี้คือ ละก็เหมือนไม่ได้ละ จะเบาลง
ตอบ : ขอให้ปล่อยได้เท่านั้น จะหนักหรือเบาช่างมัน เคยบอกเอาไว้ว่า ถ้าทำถูกแล้วจะเบา ถ้าหากยังหนักอยู่ ยังไม่ถูกจริง ค่อยยังชั่วหน่อย มีคำถามเลย ป.๗ ไปบ้าง..!

เถรี
19-10-2010, 13:03
ถาม : เวลาอ่านหนังสือที่หลวงพ่อสอน ท่านบอกให้ทรงอารมณ์แล้วก็ไล่ฌานสี่ ไล่พรหมวิหาร อ่านไปก็นึกตามไป รู้สึกตามไป สุดท้ายก็ไปจับอารมณ์พระนิพพาน อันนี้เป็นกำลังของมโนมยิทธิครึ่งกำลัง หรือว่าทรงอารมณ์ได้ตามที่หลวงพ่อสอนจริง ?
ตอบ : ตอนนั้นอย่างน้อยจิตของเราไม่มีกิเลส ในเมื่อไม่มีกิเลส การที่เราจะไล่ตามอารมณ์ โดยเฉพาะในอารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้าที่หลวงพ่อท่านสอน สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยง่าย

แต่สำคัญตรงที่ว่า เราเข้าถึงแล้ว เราทรงอยู่ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้น..ตรงจุดนี้เราก็ต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง และหมั่นทำบ่อย ๆ หมั่นย้ำบ่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นความเคยชินเฉพาะตัวว่า ทำเมื่อไรต้องให้ได้อารมณ์นี้เลย

ถาม : ไม่ต้องไล่ตามขั้นแล้ว
ตอบ : ไม่ต้อง แรก ๆ ก็เหมือนตีอวนเอาปลาทั้งทะเล ต่อไปพอเรารู้ว่าปลาตัวไหนดีที่สุด เราก็คว้าเอาปลาตัวนั้นตัวเดียว
แรก ๆ จะทำเยอะ แต่พอซักซ้อมจนคล่องตัวแล้วก็จะเหลือเพียงนิดเดียว

ถาม : อย่างนี้ถ้าเราตั้งอารมณ์เข้านิพพานอย่างเดียวก็จบเลยสิ ?
ตอบ : ถ้าทำได้จริง ๆ ก็จบ ระยะหลัง ๆ อาตมายังขี้เกียจไปกราบท่านปู่ท่านย่าเลย พอไปถึงนิพพานแล้วก็เชิญท่านขึ้นมากราบ

ตอนที่ยังไม่หายคัน ก็จะแวะนั่นแวะนี่ เที่ยวไปเรื่อย พอนาน ๆ เข้าก็จะเริ่มเบื่อ เหมือนโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะไม่เล่นซนอย่างเด็กแล้ว จะเหลือแค่ไม่กี่จุดที่เราจะไป

ถาม : แต่ก็ไม่เคยเห็นชัดจริง ๆ เลย อารมณ์พระนิพพานก็ไม่เห็นชัด
ตอบ : ไม่เป็นไร อย่าลืมว่าพระสุกขวิปัสสโกท่านไม่ได้เห็นอะไร แต่ขณะเดียวกันทำไมท่านถึงได้มั่นใจ ก็เพราะท่านเข้าถึงอารมณ์นั้นจริง ๆ

เถรี
19-10-2010, 13:08
ถาม : เวลาที่เรานั่งสมาธิได้ดี ๆ มีโอกาสไหมครับที่เจ้ากรรมนายเวรจะไม่มาริดรอนเรา ?
ตอบ : มีเหมือนกัน หมายความว่า ช่วงนั้นกุศลที่เราเคยสร้างมาต้องต่อเนื่องไม่ขาดสาย ถ้ากุศลขาดช่วงเมื่อไร ดีแค่ไหนเขาก็แทรกเข้ามาได้ อย่างพวกเราก็ไม่ค่อยจะต่อเนื่องหรอก ส่วนใหญ่ขาด ๆ เกิน ๆ

อาตมาจึงได้บ่นกับพระที่วัดว่า เกิดใหม่ผมจะเลิกทำบุญเลย ถามว่าทำไม ? โยมเขาให้อะไรมาเยอะจนน่ารำคาญ บางวันเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร ๗-๘ ราย ไม่รู้จะฉันลงไปอย่างไร

ที่แสบที่สุดก็คือ เวลาให้เงินแล้วเณรวิ่งไปซื้อขนมกิน ทั้ง ๆ ที่ขนมมีจนท่วมวัด แต่กลับไปซื้อขนมในตลาด ขนมที่เขาถวายเต็มไปหมดเณรไม่กินหรอก เพราะไม่ตรงกับกิเลสของเขา

ที่อาตมาบอกว่าเกิดใหม่จะเลิกทำบุญ ก็คงเป็นแค่คำพูดเท่านั้นแหละ ถึงเวลาจริง ๆ คงทำไม่ได้หรอก เพราะทำจนเป็นสันดานไปแล้ว เป็นความเคยชินที่สืบเนื่องมานับชาติไม่ถ้วน ถึงเวลาก็ยังคงเป็นไปตามสภาพนั้น

เถรี
19-10-2010, 13:19
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนช่วงนั้นอาตมาธุดงค์อยู่ในป่า ที่เกาะพระฤๅษีมีเณรไปอบรม ๘๗ รูป เขาไม่รู้จะติดต่อกับอาตมาอย่างไร เพราะตอนนั้นอาตมาอยู่ในห้วยขาแข้ง เขาเลยใช้วิธีจุดธูปเรียก..!

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาประกาศเลยว่า "ใครจุดธูปเรียกกู มันจะต้องเป็นคนไปหาเอง..!" ลองดูได้ อยู่สุดเหนือสุดใต้ยิ่งดี แน่จริงจุดเลย จุดเมื่อไร มึงต้องเดินมาหาตูในป่าเอง..!"

ถาม : เขาจุดธูป แล้วท่านได้ยินได้อย่างไร ?
ตอบ : ไม่ได้ยิน น่าจะได้กลิ่นมากกว่า (หัวเราะ) คนที่จุดธูปเรียก ชื่ออาจารย์เบ็ญจา มีลูกสาวชื่อเบญจพร ที่ใคร ๆ เขาเรียกว่า ป้าเม้าท์

เถรี
19-10-2010, 13:25
เวลาอาตมาธุดงค์อยู่ในป่าจะมีความสุขมาก จึงสงสัยว่าเกิดจากอะไร ? ประการแรก เป็นเพราะความรู้สึกที่เป็นอิสระหลุดพ้นจากภาระ แค่ภาระทางโลกบางส่วนที่เรารับผิดชอบอยู่ พอเราปล่อยวางลงแค่ชั่วคราว เรายังมีความสุขขนาดนั้น แล้วภาระใหญ่คือร่างกาย ถ้าเราวางลงได้จะมีความสุขขนาดไหน ?

ประการที่สอง บรรดาสัตว์ที่อยู่ในป่า เขาคิดอย่างไรเขาก็ทำเช่นนั้น ไม่หน้าไหว้หลังหลอกเหมือนกับคน

เวลาพระท่านเลี้ยงหมา เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาถามท่านว่า "คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่า เวลาคุณให้การสงเคราะห์สัตว์ด้วยเมตตา ทำไมจิตใจจึงสบายกว่าการที่คุณสงเคราะห์คน ?"

ได้บอกกับพระท่านไปว่า "การสงเคราะห์สัตว์ คุณรู้อยู่ว่าเขาตอบแทนอะไรคุณไม่ได้ คุณก็เลยให้การสงเคราะห์โดยไม่มุ่งหวังการตอบแทนใด ๆ แต่การสงเคราะห์คน ความรู้สึกที่ว่าคนรู้ภาษา ต่อให้เขาไม่ตอบแทนอะไร อย่างน้อย ๆ ก็ให้เขาชมเราว่าดีสักนิดก็ยังดี เลยเป็นการสงเคราะห์ที่คับแคบกว่า ไม่เป็นอัปปมัญญา เพราะว่ายังหวังผลตอบแทนอยู่โดยไม่รู้ตัว"

ดังนั้น..จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมการสงเคราะห์สัตว์จึงสบายใจกว่าการสงเคราะห์คน

ตอนอยู่ในป่ากับพวกสัตว์ก็เช่นกัน พวกเขาตรงไปตรงมา คิดจะไล่ฟัดเราก็ไล่เลย ไม่มีประเภทแอบแทงข้างหลัง สบายใจกว่ากันเยอะ

เถรี
19-10-2010, 14:28
ในป่าลึก ๆ พวกสัตว์ไม่ค่อยเจอคน เขาก็เลยไม่กลัวคน บางทีไปเจอกวางเขาก็ยืนมองเฉย เขาแค่ทำหูผึ่งและยกหางตั้งขึ้นเท่านั้น ถ้ากวางยกหางแสดงสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นภาษากายของเขา แต่ถ้าสัตว์ที่อยู่รอบนอก ที่เคยโดนคนล่ามา จะเป็นอะไรที่น่าสงสารมาก

บางทีเราเดินคนเดียวเงียบ ๆ พวกสัตว์เขาไม่รู้ตัวก็มี ที่บึงลับแล มีลิงอยู่ฝูงหนึ่งประมาณ ๓๐ ตัว เล่นกันโครมครามเกรียวกราว และจะมีลิงที่เป็นยามอยู่ตัวหนึ่งอยู่บนก้อนหิน คอยดูว่ามีอันตรายหรือไม่ ถ้ายามตัวนี้ไม่ร้อง ทั้งกลุ่มก็จะไม่หนี

แต่ว่ายามตัวนี้ดันตาถั่ว เราเดินไปจนติดหลังแล้วยังหาหมัดหาเห็บง่วนอยู่เลย แต่ก็ขำตรงที่พอเขาหันมาเห็นเรา เขาตกใจขี้เยี่ยวราด ร้องจ๊ากขึ้นมา พรึ่บเดียวเท่านั้นเอง หายเงียบไม่เหลือลิงสักตัว

จึงไม่แปลกใจว่าต่อให้มียามอยู่ ทำไมเสือยังเอาลิงไปกินได้ เพราะบางขณะเขาก็เซ่อเหมือนกัน ขนาดว่าเราเดินไปติดหลังแล้วยังไม่รู้ตัวเลย

เถรี
19-10-2010, 14:48
แต่ลิงที่บึงก็น่าสงสาร พอถึงเวลาหน้าหนาวก็หนาวจริง ๆ อาตมาไปอยู่ที่นั่นแล้วก่อไฟ ลิงจะปีนไปตามโขดหินมาขอไออุ่นด้วย พอเขาโดนควันไฟก็ไอค่อกแค่กเหมือนคนไม่มีผิด แต่ถ้าจะเข้าห้องน้ำห้องส้วมต้องเอาย่ามไปด้วย ทิ้งอะไรเอาไว้ลิงค้นกระจายหมด

ตอนที่อยู่ที่นั่น อาตมาเลี้ยงกระแตไว้ ๔ - ๕ ตัว กระรอกกับกระแตนั้นต่างกัน กระรอกหางจะฟู ส่วนกระแตหางจะยาวเรียว พอเวลามีอาหารเหลือเราก็วาง ๆ เรียงไว้ กระแตก็จะวิ่งมาคาบไป แรก ๆ คาบได้เขาก็เผ่น พอนานไป ๆ เห็นว่าเราไม่ทำอะไร เขาก็นั่งกินอยู่ตรงนั้นเลย พวกกระรอกกระแตเวลาจะกินเขาใช้สองมือจับ แล้วก็นั่งแทะ ๆ ดูแล้วน่ารัก เหมือนคนไม่มีผิด

นอกจากนี้ยังมีนก เรียกว่านกเอี้ยงถ้ำ ตัวจะลายจุด ๆ ด้วย เรานั่งกรรมฐานเขาก็คิดว่าเป็นตอไม้ มาหากินอยู่ใกล้ ๆ กระโดดซ้ายกระโดดขวาไปเรื่อย พอเลิกกรรมฐานเราลืมตา เขาก็เอียงคอมอง บางทีก็ร้องเหมือนจะถามว่า "เอ็งไม่คิดจะไปหากินอะไรบ้างเลยหรือ นั่งอยู่ได้" ในสายตาของนก เราเลยกลายเป็นขี้เกียจไปเลย ไม่ยอมทำมาหากินสักที

ในบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะบอกว่าปัญญาเขาน้อยก็ใช่ แต่ความกังวลของเขาก็น้อยกว่าเราไปด้วย เขาไม่ห่วงว่ามื้อต่อไปจะมีกินหรือไม่ คิดแค่ปัจจุบันตอนนั้นจริง ๆ มีก็คือกิน ไม่มีก็หาต่อไป หมดวันหาไม่ได้ก็อดเอา พรุ่งนี้ค่อยหาใหม่ แต่คนเราจะต้องห่วง ต้องสะสม ต้องเตรียมการ ความทุกข์ของเราจึงมีมากกว่าสัตว์เยอะเลย

เถรี
19-10-2010, 16:49
เวลาอยู่ในป่า ถ้าสภาพจิตไม่ได้รับการฝึกมาดี จะเกิดอาการหลอกตัวเอง บางคนกางกลดอยู่ ช่วงเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง น้ำค้างเริ่มลง หยด..แปะ..แปะ ยิ่งเวลาน้ำค้างตกใส่ใบไม้ใหญ่ ๆ ที่อยู่บนพื้น เสียงก็ยิ่งดัง เหมือนกับใครมากระโดดดึ๋ง ๆ เราก็จินตนาการว่าเป็นผีกองกอยขาเดียวกำลังกระโดดอยู่ เลยกลัวขวัญหนีดีฝ่ออยู่คนเดียว

บางทีลมภูเขาพัดมา เสียงผ้าสะบัดดัง "ปั๊บ ๆ ๆ" เหมือนกับเสียงคนเดิน นอกจากนี้มีต้นไม้บางประเภท เรียกไม่ถูกว่าต้นอะไร ก้านใบใหญ่มาก เวลาใบแก่ร่วงลงมา จะหมุนควงเอาก้านลงกระแทกพื้นเสียงดัง "ตึ้ก...ตึ้ก..ตึ้ก" ความรู้สึกของเราก็คิดไปว่า สงสัยผีกระโดดลงจากต้นไม้มา เดี๋ยวจะต้องย่องมาหาเราแน่เลย นอนเหงื่อแตกพลั่ก..!

เรื่องพวกนี้เราต้องศึกษาให้ชินเข้าไว้ ถ้าเรารู้เท่าทันก็จะไม่กลัว เพราะในส่วนที่กลัวก็คือกลัวตาย จัดเป็นอวิชชา คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้เหมือนกับความมืด ถ้าหากว่าความมืดมีอยู่ ก็จะปิดบังเราไม่ให้เห็นความจริง

พอเราคิดว่าทำไมผีกระโดดบ่อยจัง จึงเปิดกลดออกไปส่องไฟดู ทีนี้เห็นชัดเลยว่าใบไม้กำลังหมุนควงตกลงมาบนพื้น แสงสว่างที่เราส่องออกไปพบต้นตอของปัญหา ก็เหมือนปัญญาของเรา

เมื่อปัญญามาถึง อวิชชาหรือความไม่รู้ที่เป็นความมืดก็ถอยไป คราวนี้จะมากี่ "ตึ้ก" ก็เฉย เพราะรู้แล้วว่าเป็นใบไม้ ไม่ใช่ผีอย่างที่เราคิดกลัวไปเอง

เถรี
19-10-2010, 16:54
แต่สัตว์บางประเภทก็น่ากลัวสำหรับพวกเรา อย่างพวกงูจงอาง บางทีอาตมานอนอยู่ ได้ยินเสียงเลื้อยมาชัดเจนมาก จึงส่องไฟไปกระทบตา ตางูก็แปลก..จะสีเขียวก็ไม่ใช่ จะสีแดงก็ไม่ใช่

อาตมาต้องเขย่าไฟฉายให้รู้ว่ามีคนอยู่ทางนี้ ให้เขาเบนหัวไปทางอื่น ถ้าส่องไฟนิ่ง ๆ เดี๋ยวงูจะมาถึงตัว

ตอนอยู่ที่บึงลับแล บางทีฝนตก พวกสัตว์ที่ออกหากินเปียกฝน ก็วิ่งมาทางเรา เราส่องไฟเข้าไปเห็นตาเขียว ๆ ฟ้า ๆ สว่างโร่เลย วิ่งรี่เข้ามา พอกระทบแสงไฟเขาหยุดทันที เห็นแต่ตาเพราะตัวดำปี๋เลย

ปรากฏว่าเป็นเลียงผา จะวิ่งมาหลบฝนในเวิ้งที่เราอยู่ แต่กลายเป็นว่ามีพระอยู่แทนเสียแล้ว ตกลงว่าวันนั้นเขาต้องตากฝนต่อไป สัตว์ทุกชนิดจะกลัวคนโดยธรรมชาติ

อาตมาเคยเดินแล้วฝนตก จึงรีบวิ่งเข้าหาภูเขา เพราะเชื่อว่าจะต้องมีเวิ้งถ้ำหรือชะโงกผาบางส่วนไว้หลบฝนได้ พอเห็นชะโงกผาก็พรวดเข้าไป ไปอยู่กลางฝูงลิง ๓๐ - ๔๐ ตัว

พวกลิงตัวใหญ่ ๆ ประเภทนายทหารหรือจ่าฝูงก็ตะคอกใส่เรา จนหูอาตมาจะระเบิด หลังจากนั้นก็ล้อมส่งเสียงขู่ไว้ไม่ให้เรากระดิกตัว เราก็สงสัยว่าจะทำอะไรก็ไม่ทำ ส่งเสียงขู่อยู่ได้

พอเหลือบตาดู ที่ไหนได้ เห็นลิงตัวใหญ่ ๒ - ๓ ตัว ช่วยกันต้อนตัวเมียกับลูกเล็ก ๆ ให้รีบไป เดินตามกันปีนลงหน้าผาไปเป็นทาง พอตัวสุดท้ายพ้นสายตาของเรา พวกตัวใหญ่ ๆ กระโดดทีเดียวหายวับไปเลย ถ้าเจอลักษณะอย่างนั้นเข้าให้ยืนนิ่งไว้ ถ้าขยับโดนกัดแน่..!

เถรี
19-10-2010, 17:04
มีพระอยู่รูปหนึ่งไปอาศัยพักที่วัดท่าขนุน ท่านจะเดินทางเข้าทุ่งใหญ่ แล้วก็ลัดไปห้วยขาแข้ง

ท่านมีแผลเป็นใหญ่มากบนศีรษะ เพราะโดนหมีกัด จึงถามว่า "คุณรอดมาได้อย่างไร ?" ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเองก็ไม่รู้ว่ามีหมีนอนอยู่หลังขอนไม้ ท่านปีนข้ามไปเหยียบเข้า หมีลุกขึ้นมาได้ก็รัดท่านเอาไว้ อ้าปากขบหัวเลย ท่านบอกว่า เสียงเขี้ยวทะลุกะโหลกศีรษะดัง "โป๊ะ" ได้ยินชัด ๆ เลย แล้วท่านก็หมดสติไป หมีคิดว่าท่านตายแล้วก็เลยวางทิ้ง

ท่านสลบไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ตื่นขึ้นมามดแดงเต็มไปหมด มดยกขบวนมากินเลือด เพราะเลือดนองพื้นไปหมด ท่านต้องเอาผ้าอาบพันหัวแล้วโซซัดโซเซออกมาหาหมอ รักษาตัวอยู่ตั้งหลายเดือนกว่าจะหาย

ท่านบอกว่า โชคดีที่เขี้ยวหมีฝังไม่ถึงเนื้อสมอง ส่วนที่โดนไม่ใช่ส่วนสำคัญ มิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นอัมพาต ออกไปไหนไม่ได้ ตายอยู่ตรงนั้นเลย..!

จุดที่อาตมานับถือน้ำใจท่าน คือ ท่านกำลังจะเข้าป่าไปใหม่ เป็นพวกเราจะกล้าไหม ? โดนเข้าไปขนาดนั้น แสดงว่าท่านเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ถ้าเอาชนะความกลัวไม่ได้ ไม่มีทางที่จะกล้าเข้าไปอีก

อย่าลืมว่าพระครูหน่อยของเรา ท่านไม่ได้โดนเสือกัดนะ แค่ไปจ๊ะเอ๋มองตากับเสือเท่านั้นเอง กลายเป็นว่าชวนเท่าไรก็ไม่เข้าป่าอีก ท่านไม่ได้โดนกัดเลยนะ แต่พระท่านนี้โดนกัด แล้วแผลดูน่ากลัวมากด้วย

ท่านสามารถเอาชนะความกลัวตาย ซึ่งเป็นเหตุของความกลัวทั้งหมดได้ กลับเข้าไปธุดงค์ใหม่ ต้องนับว่าเป็นสุดยอดกำลังใจ ลองเปรียบเทียบกับพวกเราดู แค่โดนพวกสัตว์ไล่ จะกล้ากลับเข้าไปอีกไหม ?

แต่พระก็เอาชีวิตไปทิ้งในป่าได้ทุกปี ยิ่งระยะหลัง พวกพรานยิงสัตว์เจ็บเอาไว้ เวลาสัตว์เจอคน เขาไม่ได้แยกหรอกว่าพระหรือพราน เขาเห็นว่าเป็นคนที่เคยทำร้ายเขาเท่านั้น จึงมักพุ่งเข้าใส่ก่อนเลย..!

เถรี
19-10-2010, 17:08
ในเรื่องการเดินธุดงค์ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกไว้ว่า การธุดงค์นั้นมี ๒ แบบด้วยกัน แบบที่ ๑ คือ เดินไปหาที่สงบซึ่งเหมาะแก่ใจตนเอง แล้วก็ปฏิบัติภาวนาอยู่ที่นั่น แบบที่ ๒ คือ เดินไปแล้วกำหนดภาวนาไปด้วย

แต่อาตมาถนัดแบบที่ ๒ เพราะฉะนั้น..วันหนึ่งก็เลยเดินประมาณ ๔๐ - ๕๐ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย ระยะหลังจึงไม่ค่อยมีคนอยากไปด้วย เพราะท่านเหนื่อย เราเดินไปภาวนาไปก็สบาย ส่วนคนที่เดินแล้วกำหนดภาวนาไม่ได้ก็เหนื่อยลิ้นห้อยไปสิ..!

เถรี
19-10-2010, 17:13
การธุดงค์มีแต่ความลำบาก แต่ความลำบากนั้นแล จะเสริมสมรรถนะให้แก่เรา ถ้าเราเคยลำบากขนาดนั้น ต่อไปเจอในส่วนที่ลำบากไม่ถึงอย่างคราวก่อน เราจะรู้สึกว่าสบาย

คนกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเด็กบ้านนอก แต่พออยู่กรุงเทพฯ ไปนาน ๆ ความสบายเริ่มเกาะ ทำให้เสื่อมสมรรถภาพไปเลย เดินไกลหน่อยก็หอบจนลิ้นห้อย

ตอนที่ท่านก้องจะออกธุดงค์ครั้งแรก อาตมาให้ท่านก้องซ้อมเดินอยู่ทุกวันเป็นเวลา ๑ อาทิตย์เต็ม ๆ ถ้าในสายตาคนอื่นคือ "มันบ้า..!"

วันแรกที่ให้ไปซ้อมเดิน ท่านก้องเดินไป ๑๖ กิโลเมตร ในเมื่อเดินไป ๑๖ กิโลเมตร ก็แปลว่าต้องเดินกลับอีก ๑๖ กิโลเมตร วันนั้นเท้าของท่านก้องพองหมด

อาตมาเห็นจึงบอกว่า "รุ่งขึ้นเอ็งคลานแน่ ทำไมทะลึ่งไปเดินอย่างนั้น" เขาถามว่ามีวิธีแก้ไหม ? อาตมาบอกว่า "มี..พรุ่งนี้ไปเดินให้เท่าเดิม อย่างน้อย ๆ ให้ได้ ๓ - ๔ วันติดกัน จะได้อยู่ตัว แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณพัก คุณจะต้องนอนยาวไปอีก ๒ - ๓ วันเป็นอย่างน้อย ถึงจะลุกได้"

สรุปว่าเขาบ้าพอ รุ่งขึ้นเขาก็ไปเดินซ้ำมาอีก ๓๒ กิโลเมตร กลับมาถึง..พลาสเตอร์ยากล่องหนึ่ง ๑๐๐ แผ่นของอาตมาเกือบหมดกล่อง..!

หลังจากที่ซ้อมไป ๑ อาทิตย์ ก็ส่งท่านก้องไปบ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ให้ไปซ้อมกับท่านโมเช่อีก ๑๐ วัน แล้วอาตมาค่อยตามไปพาท่านเดินป่าทีหลัง ท่านก้องจึงได้เดินทัน ถ้าไม่ซ้อมไว้ก่อนแล้ว เริ่มเดินครั้งแรกเลย รับรองได้ว่าโดนทิ้งไกลลิบ..!

เถรี
19-10-2010, 17:24
ถาม : ตอนท่านบวชอยู่วัดท่าซุงกับตอนที่ออกจากวัดท่าซุงแล้ว ตอนไหนเหนื่อยกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่วัดท่าซุงเหนื่อยกว่า เพราะตอนที่อาตมาออกมา ทางวัดต้องหาพระไปทำงานแทนอาตมาตั้ง ๕ รูป โปรดนึกเอาเองก็แล้วกันว่า อาตมาหมกงานไว้เยอะขนาดไหน ?

ถาม : แล้วตอนที่ท่านลาไปเฝ้าหลวงปู่มหาอำพันละคะ ?
ตอบ : เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ทั้งตอนที่อาตมาเป็นฆราวาสและเป็นพระ เวลาคนอื่นลาเราสามารถทำหน้าที่แทนเขาได้ทุกตำแหน่ง แต่พอเวลาเราลาบ้าง เพื่อนกลับทำแทนเราไม่ได้สักที ทุกครั้งเมื่ออาตมากลับมา ต้องมานั่งทำงานที่ค้างอยู่อยู่ประมาณ ๓ วันเป็นอย่างน้อย

หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้แล้วว่า ใครก็ตาม...ถ้าคิดว่าขาดตนเองไปแล้วหน่วยงานจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่ประหารหมด..! เพราะไม่มีใครสำคัญขนาดนั้น ขาดเราไปอย่างไรต้องมีคนแทนได้ ถึงแม้ว่าต้องใช้คนแทนมากหน่อย แต่อย่างไรก็ต้องแทนได้

เถรี
19-10-2010, 17:26
ในวัดท่าซุง ส่วนใหญ่พระที่ไปบวชอยู่ก็หวังปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนั้นเขาก็ไม่ค่อยจะทำงานกัน คือ ไม่ค่อยรับผิดชอบงานใดที่ผูกมัดตัวเองมาก

จากประสบการณ์ของอาตมา ไม่ว่าจะเป็นพระและฆราวาส ถ้าเขาเคยใช้งานคนไหน ถึงเวลาเขาก็ใช้คนนั้น ฉะนั้น..คนที่เคยรับงานก็รับเพิ่มไปเรื่อย คนที่ไม่รับก็ทำอยู่เท่าเดิม

ตอนที่ออกมาแล้วกลับไป หลวงพี่อนันต์ท่านบอกว่า ท่านต้องหาใครมาแทนอาตมาบ้าง เราได้ยินแล้วตกใจ พอเราไม่อยู่เขาหามาตั้ง ๕ คน

คนที่ ๑ อยู่เวรหน้าตึกหลวงพ่อ คนที่ ๒ ดูแลโรงครัว คนที่ ๓ ดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ องค์ คนที่ ๔ ดูแลเรื่องเลี้ยงปลา อาหารปลา คนที่ ๕ ดูแลเรื่องเวรยาม

ก่อนหน้านั้นเราทำคนเดียว แปลกใจอยู่ว่าเราแบ่งภาคไปทำงานทั้งหมดนั้นได้อย่างไร ?

เถรี
19-10-2010, 17:30
สรุปว่า ตั้งแต่เราเริ่มคุยมาจนป่านนี้ ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจของเราเกาะความดีเอาไว้ได้ แต่เรามักจะไม่รู้ตัวกัน มีน้อยคนที่ตั้งใจใช้การภาวนาไปเลย

ถ้าเรายังต้องอาศัยเวลาที่กำหนดไว้ แล้วค่อยมาปฏิบัติ จะไม่มีวันพอรับประทาน เพราะการปฏิบัติ เราต้องทำได้ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา เพราะกิเลสไม่ได้เล่นงานเราเป็นเวลา แต่กิเลสเล่นงานเราตลอดเวลา ถ้าอยู่ในอิริยาบถอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การนั่งภาวนา แล้วเราไม่สามารถจะระงับกิเลสได้ แปลว่าเรายังห่างไกลความดีอยู่มาก

พวกเราตอนนี้ อาจจะสงสัยว่าทำไมนิวรณ์ ๕ หรือว่ารัก โลภ โกรธ หลง ทำไมกินใจเราไม่ได้ ? ทั้ง ๆ ที่นั่งฟังมาตั้งนาน เราต้องมานั่งวิจัยอารมณ์จิตตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร ?

เพราะเราได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ดี ไม่ก่อให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ? เพราะกำลังใจของเราคิดตามไปในสิ่งที่ดีทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ไปข้องแวะในรัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ?

ถ้าสามารถที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นอย่างไร ต่อไปเราก็ทำเองแบบนั้น ในเมื่อเราทำเองได้แบบนั้น ต่อไปผลดีก็จะเกิดแบบนั้น

เถรี
19-10-2010, 17:34
เรื่องพวกนี้ พวกเราอ่อนมาก ขาดการวิเคราะห์วิจัยและแยกแยะสภาพจิตของตน ว่าสภาพจิตเราดีเพราะอะไร ? แล้วสภาพจิตไม่ดีเพราะอะไร ? ถ้าเราสามารถวิเคราะห์ได้ แยกแยะออก เราก็เว้นในสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็เลือกทำแต่สิ่งที่ดี สภาพจิตก็จะเคยชินกับด้านดี

ดีกับชั่วก็เหมือนกับคนแย่งกันนั่งเก้าอี้ เก้าอี้มีอยู่ตัวเดียว ถ้าดีนั่งได้ ชั่วก็นั่งไม่ได้ เมื่อสภาพจิตรับความดีเข้ามา ความชั่วก็เข้าไม่ได้

ในส่วนนี้ ถ้าจัดอยู่ในโพชฌงค์ ๗ เขาเรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ องค์คุณเป็นเครื่องตรัสรู้โดยการแยกแยะในธรรม

ถ้าจัดอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรก็เป็นส่วนของ เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม

เถรี
19-10-2010, 17:37
ในเมื่อรู้ว่าเราบกพร่องตรงจุดไหน ? อ่อนตรงจุดไหน ? เราก็แก้ไขตรงจุดนั้น ถ้าเราเคยเล่นกีฬา เราจะรู้ว่าเรามีข้อบกพร่องตรงไหน

สมัยก่อนอาตมาเล่นกีฬาแทบทุกชนิด มีกีฬาบางชนิด เช่น ปิงปองหรือแบดมินตัน อาตมาไปเจอคู่ต่อสู้เก่ง ๆ ชนิดที่ถูกเขาโยกจนหัวทิ่มหัวตำ อาตมาก็ต้องหาทางแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง และท้ายสุดก็ฝึกการใช้สองมือ สามารถใช้มือซ้ายได้เกือบเท่ามือขวา

พอคู่ต่อสู้ตีลูกโยกมา คราวนี้ก็ไม่ต้องวิ่งมากแล้ว แค่ก้าวยาว ๆ ก้าวเดียวก็เปลี่ยนมือรับได้เลย เพราะฉะนั้น..ต้องรู้จักแก้ไขจุดบกพร่องตัวเอง ถ้าไม่รู้จักแก้ไข กี่ที ๆ มาท่านั้นก็ร่วงทุกที ถ้าอย่างนี้ ชาตินี้ปฏิบัติไปก็ไม่รู้จะเอาดีได้เมื่อไร

ลีลาของกิเลสจะมาแค่ รัก โลภ โกรธ หลง ๔ อย่าง แต่แตกแขนงแยกย่อยออกไปเป็นหัวข้อนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าเป็นวิชารัก ก็แยกออกไปไม่รู้ว่ากี่แขนง วิชาโลภ วิชาโกรธ วิชาหลง ก็นัยเดียวกัน เมื่อเป็นดังนั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องแก้ไขจุดบกพร่องของตัวเองให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันเอาชนะเขาได้เลย..!