เถรี
23-09-2010, 09:56
สิ่งที่หลวงปู่หลวงพ่อท่านสอนพวกเรามานั้น..เหลือเฟือเกินพอแล้ว เหลืออยู่ตรงที่ว่าเราต้องทุ่มเททำให้ได้เท่านั้น เหลือแค่นั้นจริง ๆ แต่ก็อย่างว่า ภารกิจต่าง ๆ ของฆราวาสมีมากมาย ไม่เหมือนพระ พระมีเวลามากกว่า
แต่ว่าพอขึ้นมาถึงระดับนี้ เวลาก็ไม่มากแล้ว ถูกญาติโยมเขาแย่งเวลาไปหมด จึงต้องอาศัยว่า ต้องปฏิบัติให้ได้ทุกอิริยาบถ ถ้ารักษากำลังใจให้ทรงตัวเท่ากันไม่ได้ ถึงเวลาจะสงเคราะห์โยมได้ไม่เท่ากัน จะไปเลือกที่รักมักที่ชัง
เวลาพระท่านช่วยงานอยู่ใกล้ ๆ อย่างท่านมหาโรจน์หรือท่านกวาง ต้องคอยเตือนท่านอยู่เรื่อย ๆ เพราะว่าพอไปสักพักหนึ่ง กำลังใจท่านจะตก เจอคนที่การแสดงออกไม่เท่ากัน เจอคนที่ศรัทธาไม่เท่ากัน ความเร็วในการทำบุญไม่เท่ากัน ก็จะเริ่มเลือกที่รักมักที่ชัง โทสะจะเกิด ก็ต้องคอยตักเตือนท่าน ให้รู้ตัวแล้วรีบระงับอารมณ์
เรื่องพวกนี้จะต้องรู้ตัวเอง จะไปรอให้คนอื่นเตือนไม่ได้ มัวแต่รอคนอื่นเตือน แล้วจะมีใครสักกี่คนที่เมตตาเตือนให้ ถึงแม้ว่าเมตตาท่านจะเหลือเฟือ แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าเตือนไปแล้วเราจะฟังหรือเปล่า ? หรือท่านจะโดนอะไรคืนมา ? ท่านก็เงียบดีกว่า
โบราณเขาบอกว่า จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด.....ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
...................ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน........อย่าแชเชือนเร่งเตือนตนให้พ้นภัย
สมัยที่รับสังฆทานอยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุง ยิ่งเวลางานใหญ่ที่วัด คนกำลังใจไม่เท่ากัน แต่กำลังใจของอาตมายังไม่ถึงระดับอัปมัญญา ที่จะสงเคราะห์ทุกคนได้เสมอกัน อาตมาต้องการให้งานหลวงพ่อเสร็จและเรียบร้อย โดยเฉพาะถ้าช้าเท่าไรหลวงพ่อท่านก็ยิ่งต้องนั่งนาน ก็จะเร่งให้คนทำบุญเร็ว ๆ
คราวนี้ไปเจอพวกที่ไม่รู้ภาษา ถึงเวลาเดินมาข้างหน้าแล้วค่อยควักเงินมานับ ทำให้คนอื่นเขาช้ากันไปหมด ก็ต้องเสียงดังใส่ ดังครั้งแรก ๆ ก็ไม่รู้ตัว พอหลาย ๆ ครั้ง "เอ๊ะ..เสียงเราดังเกินไปแล้วนี่" ในเมื่อเสียงดังเกินไป ก็แสดงว่าความเครียดหรือโทสะเกิดแล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ตัว
แต่ว่าพอขึ้นมาถึงระดับนี้ เวลาก็ไม่มากแล้ว ถูกญาติโยมเขาแย่งเวลาไปหมด จึงต้องอาศัยว่า ต้องปฏิบัติให้ได้ทุกอิริยาบถ ถ้ารักษากำลังใจให้ทรงตัวเท่ากันไม่ได้ ถึงเวลาจะสงเคราะห์โยมได้ไม่เท่ากัน จะไปเลือกที่รักมักที่ชัง
เวลาพระท่านช่วยงานอยู่ใกล้ ๆ อย่างท่านมหาโรจน์หรือท่านกวาง ต้องคอยเตือนท่านอยู่เรื่อย ๆ เพราะว่าพอไปสักพักหนึ่ง กำลังใจท่านจะตก เจอคนที่การแสดงออกไม่เท่ากัน เจอคนที่ศรัทธาไม่เท่ากัน ความเร็วในการทำบุญไม่เท่ากัน ก็จะเริ่มเลือกที่รักมักที่ชัง โทสะจะเกิด ก็ต้องคอยตักเตือนท่าน ให้รู้ตัวแล้วรีบระงับอารมณ์
เรื่องพวกนี้จะต้องรู้ตัวเอง จะไปรอให้คนอื่นเตือนไม่ได้ มัวแต่รอคนอื่นเตือน แล้วจะมีใครสักกี่คนที่เมตตาเตือนให้ ถึงแม้ว่าเมตตาท่านจะเหลือเฟือ แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าเตือนไปแล้วเราจะฟังหรือเปล่า ? หรือท่านจะโดนอะไรคืนมา ? ท่านก็เงียบดีกว่า
โบราณเขาบอกว่า จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด.....ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
...................ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน........อย่าแชเชือนเร่งเตือนตนให้พ้นภัย
สมัยที่รับสังฆทานอยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุง ยิ่งเวลางานใหญ่ที่วัด คนกำลังใจไม่เท่ากัน แต่กำลังใจของอาตมายังไม่ถึงระดับอัปมัญญา ที่จะสงเคราะห์ทุกคนได้เสมอกัน อาตมาต้องการให้งานหลวงพ่อเสร็จและเรียบร้อย โดยเฉพาะถ้าช้าเท่าไรหลวงพ่อท่านก็ยิ่งต้องนั่งนาน ก็จะเร่งให้คนทำบุญเร็ว ๆ
คราวนี้ไปเจอพวกที่ไม่รู้ภาษา ถึงเวลาเดินมาข้างหน้าแล้วค่อยควักเงินมานับ ทำให้คนอื่นเขาช้ากันไปหมด ก็ต้องเสียงดังใส่ ดังครั้งแรก ๆ ก็ไม่รู้ตัว พอหลาย ๆ ครั้ง "เอ๊ะ..เสียงเราดังเกินไปแล้วนี่" ในเมื่อเสียงดังเกินไป ก็แสดงว่าความเครียดหรือโทสะเกิดแล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ตัว