เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓


เถรี
06-09-2010, 22:09
สำหรับท่านใดที่ประสงค์จะไปบวชชีพราหมณ์ถือศีลแปดที่วัดท่าขนุน ในวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายนนี้ ควรไปถึงก่อนเวลาบ่ายสามของวันที่ ๑๒ กันยายน เพราะพระอาจารย์จะกลับมาถึงวัดแล้วบวชให้ในช่วงนั้น

นอกจากนี้จะมีใบสมัครให้กรอกประวัติส่วนตัว เลขที่บัตรประชาชนพร้อมรูปถ่าย ๑ นิ้ว ท่านใดที่จะสมัครควรเตรียมรูปถ่ายและบัตรประชาชนไปด้วยค่ะ

และพระอาจารย์จะสึกให้ในวันที่ ๑๔ กันยายน พร้อมรับประกาศนียบัตรรุ่นแรกในวันนั้น ซึ่งพอดีตรงกับงานทำบุญครบรอบหลวงปู่สาย และตรงกับงานฉลอง เนื่องในโอกาสที่วัดท่าขนุนได้รับเลือกให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นประจำจังหวัด งานนี้พระอาจารย์จึงนิมนต์พระในอำเภอทองผาภูมิ จำนวน ๕๐๐ กว่ารูปมาในงานค่ะ

ส่วนเรื่องจำนวนของผู้สมัครนั้นรับไม่เกิน ๓๐๐ คนค่ะ ถ้าใครมีชุดขาวใส่ไปด้วยก็ดี หรือถ้าไม่มีชุดขาวก็เสื้อขาวกางเกงสีอื่นก็ได้ค่ะ

หมายเหตุ : พระอาจารย์ท่านบอกว่า ยิ่งคนสมัครน้อยคนยิ่งดี จะได้ไม่เปลืองค่าพิมพ์ใบประกาศนียบัตร..!

เถรี
06-09-2010, 22:59
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันที่ ๑ กันยายน อาตมาเรียนวิชาภาษาอังกฤษสำหรับการจัดการ ท่านอาจารย์ ดร.มนตรา เลี่ยวเส็ง พาพระต่างประเทศมา ๓ รูป มีท่านจารึก จากประเทศกัมพูชา ท่านมังคละปิยะ จากบังคลาเทศ และท่านกุเวระ จากประเทศพม่า

ท่านจารึกเขาเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นคนดวงยากเข็ญ เกิดปี ๑๙๗๕ ปีที่เขมรแตกพอดี เขาบอกว่า เขาอยู่ท่ามกลางสงคราม..สงคราม..และสงคราม ใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ตลอดเวลา ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยาก มีแต่ความเดือดร้อน บาดเจ็บล้มตาย ถูกเข่นฆ่าไปประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐-๒,๐๐๐,๐๐๐ คน

ตัวเขาเองโดนพ่อแม่หอบหิ้วมา เติบโตอยู่ในค่ายอพยพฝั่งไทย ได้รับการศึกษาจากทางด้านเจ้าหน้าที่อพยพของยูเอ็น จึงได้ภาษาอังกฤษติดตัวมา หลังจากที่สงครามสงบแล้ว เขากลับไปบ้านเกิดของตัวเอง ไปเห็นแต่ความทุกข์ยากเดือดร้อนของชาวบ้าน

มีแต่คนจน คนเจ็บ คนพิการ เขาบอกว่ารัฐบาลปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนไม่ใช่มนุษย์ เขาย้ำว่า พวกท่านทั้งหลายที่เป็นพระเถระเกิดในเมืองไทยเป็นผู้ที่โชคดีอย่างยิ่ง คำนี้เขาใช้คำว่า Most venerable ซึ่งก็คือพระที่มียศมีตำแหน่ง

ท่านบอกว่าคนไทยไปไหน พอบอกว่ามาจากเมืองไทย ชาติอื่นก็ปฏิบัติต่อเราอย่างมีเกียรติ แต่พอเขาบอกว่ามาจากกัมพูชา มีแต่คนดูถูก (look down) เรามาฟังดูแล้ว รู้สึกว่า รัฐบาลห่วย ๆ ของเราก็ยังไม่เลวนะ ดีกว่าประเทศของท่านจารึกเยอะเลย..!

เขาบอกว่าบ้านเราอย่างน้อยก็มีกฎหมายในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายประมง กฎหมายป่าไม้ ฯลฯ แม้แต่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ของเราก็มี แต่ของเขาไม่มี แม้แต่กฎหมายบริหารประเทศก็มีแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้นำ ความจริงเขาใช้คำพูดแรงว่า "l have a badly leader." เขาบอกว่าสู้เมืองไทยไม่ได้

ที่เขาต้องมาศึกษาที่เมืองไทยเพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่เจริญกว่า เขาจะเอาความรู้นี้กลับไปพัฒนาบ้านเมืองของเขา เขาย้ำว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว รัฐบาลไหนที่ปกครองโดยยุติธรรม ประเทศชาติก็จะสงบสุข บ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง เรามานึก ๆ ดู เพื่อนบ้านเขามองบ้านเราเหมือนเป็นสวรรค์ แต่บ้านเขาเป็นนรก"

เถรี
07-09-2010, 10:04
"พอมาถึงท่านมังคละปิยะ สาหัสกว่าท่านจารึกอีก ท่านเกิดอยู่บังคลาเทศ มีประชากร ๑๖๐ ล้านคน

ท่านเกิดมาท่ามกลางคนถือศาสนาอิสลาม เป็นชาวเผ่าบารัวที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ในเมืองจิตตะกอง มีประชาชนในจิตตะกองที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ประมาณห้าแสนคน เราได้ยินก็คิดว่าเยอะ แต่ท่านบอกว่าลองเปรียบเทียบตัวเลขกับ ๑๖๐ ล้านคนดูสิ จะเหลือประมาณ ๐.๐๗ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ตอนที่ซักถามเขาก็เลยถามว่า คุณอยู่ท่ามกลางอิสลามย่อมโดนเขารังแก และปฏิบัติอย่างอยุติธรรมอยู่แล้ว คุณมีหลักเกณฑ์อย่างไรที่จะไปใช้รับมือพวกเขา ? ท่านบอกว่าอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั่นแหละ ที่ช่วยให้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านใช้คำว่า forget & forgive

สุดยอดจริง ๆ เลย ใครเขาร้ายกาจกับเราอย่างไร ให้ลืมซะแล้วให้อภัย เขาบอกว่าเพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้พวกเขาไม่ลำบากมากนัก คือ ยอมทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะรังแกอย่างไรก็ให้อภัย ในเมื่อเขารังแกจนพอใจก็เลิกไปเอง

เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นหัวหน้าเผ่าบารัว จึงมีฐานะดีกว่าเพื่อนบ้าน พอเขาจบมัธยมแล้วก็เลยส่งไปเรียนต่อที่ศรีลังกา เขาบอกว่าเป็นภาพที่ตัดกันอย่างชัดเจนที่สุด อย่างชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย

คุณเป็นประชากรแค่ ๐.๐๗ เปอร์เซ็นต์ในประเทศอิสลาม ๑๖๐ ล้านคน อิสลามครอบงำไปทุกซอกทุกมุม แต่พอคุณไปอยู่ศรีลังกา ประชากร ๗๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ที่นั่นเป็นพุทธศาสนิกชน และพระมีอำนาจถึงขนาดเป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. เป็นผู้นำในชุมชน ไม่ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนยกย่อง"

เถรี
07-09-2010, 10:14
"อาตมาถามท่านมังคละปิยะว่า ทำไมคุณมาเรียนที่เมืองไทย? ท่านบอกว่าเมืองไทยมีการเรียนเปิดกว้างกว่า มีวิชาให้เรียนหลากหลายกว่า เพราะท่านไปเรียนที่ศรีลังกาก็เรียนแต่คัมภีร์ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกาต่าง ๆ เพื่อให้แตกฉานทางศาสนาพุทธอย่างเดียว ท่านก็เลยขอทุนมาเรียนที่บ้านเรา

พวกเราถามท่านว่าในระหว่างสามประเทศ คือ บังคลาเทศบ้านเกิดของคุณ ศรีลังกาที่คุณไปร่ำเรียนศึกษา และเมืองไทยที่คุณมาเรียนต่อ ถ้าหากคุณเรียนจบแล้วคุณจะเลือกอยู่ประเทศไหน ?

ท่านบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก บังคลาเทศเป็นบ้านเกิด คนที่เป็นเลือดเนื้อเดียวกันกับท่าน รอท่านกลับไปช่วยเหลือ แต่ท่านรู้ถึงความเลวร้ายชนิดไม่อยากจะกลับไปเลย พูดง่าย ๆ ว่าถ้ากลับไปก็ตกอยู่ในภาวะจำยอม

ศรีลังกา..พระมีอำนาจกว่าไทยเยอะมาก ไปไหนก็ได้รับการยกย่อง แต่เมืองไทยทุกคนเป็นมิตรกับเขาหมด เขาบอกว่าถ้าให้เขาเลือกระหว่างศรีลังกากับไทย เขายังตัดสินใจไม่ได้ แต่เขาไม่อยากกลับบ้าน จริง ๆ แล้วท่านมังคละปิยะเขาเป็นเจ้าชายนะ เพราะพ่อของท่านเป็นหัวหน้าเผ่า"

เถรี
07-09-2010, 13:12
"ส่วนท่านกุเวระ ท่านเกิดที่ทวาย ทางภาคใต้ของพม่า ก็คือมณฑลตะนาวศรี ท่านพยายามจนได้บวชเณร แล้วขอพระอาจารย์เข้ามาเรียนในย่างกุ้ง จนกระทั่งจบธัมมจริยะ ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับจบประโยค ๙ ของบ้านเรา

ท่านบอกว่าตลอดระยะเวลา ๑๐ ปีที่ท่านเรียนอยู่ ท่านต้องกินอาหารบูด ๆ เน่า ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่กินก็ไม่มี คนที่ไม่เคยไปพม่าจะไม่เห็นภาพนี้ แต่อาตมาไปมาหลายปี

ไปพักที่สำนักบุปผารมย์ ที่หงสาวดี เป็นสำนักเรียนมีพระ ๔๐๐ กว่ารูป เขามีกับข้าวอย่างเดียว พี่เลี้ยงเขาจะหิ้วหม้อยักษ์มาสองคน คนที่สามจะตักข้าวใส่จานตรงหน้าให้ ข้าวคุณเติมได้ตลอดเวลา แต่กับข้าวมีอย่างเดียว

เราเองเป็นอาคันตุกะไป นอกจากแกงถ้วยนั้นแล้ว เขายังมีปลาทอดให้สองตัว มีของหวานเป็นกล้วยอีกสองผล วางอยู่ตรงโต๊ะข้างหน้า แต่อาตมาฉันไม่ลงเพราะเณรเขามอง มองในลักษณะที่ว่า ถ้าสายตาของเณรกินได้ก็ไม่เหลือแล้ว ลองคิดดูแล้วกัน ว่าบ้านเขาอดอยากขนาดนั้น..!

ท่านบอกว่า ต้องบิณฑบาตตั้งแต่ตีสี่ ฉันเช้าเสร็จก็เก็บอาหารไว้ แล้วก็ไปเรียนจนถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง กว่าจะได้ฉันเพลอาหารก็บูดหมดแล้ว แล้วก็เรียนต่อจนถึงห้าทุ่มจึงได้นอน ตอนเช้าตีสี่ต้องตื่นขึ้นอีกแล้ว

ที่ท่านขวนขวายเรียน เพราะท่านเชื่อว่าความรู้คืออำนาจ ถ้าไม่มีความรู้ก็จะโดนปิดบังอยู่ตลอดเวลา อยู่บ้านท่านไม่มีโอกาสที่จะพูดถึงเรื่องการปกครองหรือประชาธิปไตยแม้แต่คำเดียว พูดเมื่อไรไม่ติดคุกก็ตาย..!

ถามท่านว่าการเรียนเบื้องสูงของพม่ายังมีอยู่ ทำไมไม่เรียนต่อ ? ท่านบอกว่าการเรียนเบื้องสูงขึ้นไป คือ บาลีปารคู การใช้ภาษาบาลีในชีวิตประจำวันก็ดี หรือว่าการเป็นตรีปิฏกะบัณฑิต การเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกก็ดี ก็ยังเป็นเรื่องในแวดวงพระพุทธศาสนา

ท่านอยากเรียนรู้อะไรนอกจากเรื่องหลักธรรม ที่เอากลับไปช่วยชาวบ้านได้บ้าง พอรู้ว่าเมืองไทยเปิดกว้างกว่า มีการเรียนวิชาต่าง ๆ นอกเหนือจากพระไตรปิฎกก็เลยอยากเรียน ดิ้นรนจนมาบ้านเราได้ แล้วท่านก็ย้ำอีกเหมือนกันว่า คนไทยโชคดีมากที่มีประชาธิปไตย บ้านเขาขนาดเป็นพระยังทำอะไรไม่ได้เลย

ฟังไปฟังมา เราก็คิดว่าบ้านเรานี่เป็นกบเลือกนายจริง ๆ รัฐบาลที่เราเห็นว่าไม่เอาไหนเลย ในสายตาของชาวโลกกลับกลายเป็นดี คือ อย่างน้อยก็ยังเป็นประชาธิปไตย"

เถรี
07-09-2010, 22:52
"คราวนี้เรามาดูว่าท่านจารึก ท่านเกิดอยู่ท่ามกลางสงคราม พ่อแม่ต้องหอบหิ้วอุ้มข้ามมาเมืองไทยเพื่อเอาตัวรอด เมื่อย้อนกลับเข้าไปประเทศตนเอง ญาติพี่น้องก็ตายหมด ตัวเองต้องดิ้นรนจนกระทั่งบวชพระได้ เข้ามาเมืองไทยเพื่อศึกษาต่อ โดยตั้งความหวังไว้ว่า จะกลับไปช่วยคนในชุมชนของท่าน

กำลังใจในลักษณะอย่างนี้ เป็นกำลังใจที่เปิดกว้างมาก อยู่ในลักษณะของพรหมวิหารสี่แบบอัปมัญญา คาดว่าต้องเป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์ ประโยคที่ท่านบอกว่า คุณไปไหนคุณบอกว่าเป็นคนไทย ต่างชาติเขาปฏิบัติต่อคุณอย่างมีเกียรติ แต่ท่านไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้น พอบอกว่าเป็นกัมพูชา มีแต่คนดูถูกเขาเหมือนกับเป็นพลเมืองชั้นสอง

ถ้าเราไม่ได้โดนเองก็จะไม่ซาบซึ้ง ตอนแรกเขาใช้คำว่า suffering คือ ความทุกข์ แต่เขาก็รู้สึกว่ายังไม่ได้อย่างใจเขา พอเขาใช้คำว่า painful ค่อยเห็นชัดหน่อย คือเป็นความเจ็บปวดจริง ๆ เกิดเป็นคนแต่คนอื่นเห็นเหมือนกับว่าไม่ใช่คน..!

ท่านมังคละปิยะ เหมือนกับน้ำหยดเดียวอยู่ท่ามกลางทะเลทราย จะระเหยหายไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะประชากรห้าแสนคน ไม่รู้ว่าจะขยับขยายขึ้นมาได้หรือเปล่า แต่ท่านบอกว่า ท่านพยายามตั้งสมาคมชาวพุทธต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะให้กำลังใจ

ให้กำลังใจในการดำรงอยู่ในความเป็นชาวพุทธของตน โดยไม่ถูกอิสลามครอบงำและดึงไปหมด และพยายามจะสร้างเว็บไซต์ติดต่อกับโลกภายนอก เพื่อที่จะให้ชาวโลกรู้ว่า ยังมีชาวพุทธอยู่จุดหนึ่งในเมืองจิตตะกอง ถ้าหากอิสลามจะทำอะไรรุนแรง อย่างน้อยก็จะเกรงใจบ้างว่า ยังอยู่ในสายตาของชาวโลก

ท่านเองก็สารภาพตามตรงว่า เรียนจบก็ไม่อยากกลับบ้าน แต่ท่านก็ต้องไป เราลองเทียบกำลังใจดูซิว่า ถ้าเราพ้นจากนรกมา แบบท่าน เราคิดจะกลับไปไหม ? แต่ท่านต้องไป ที่ต้องไปเพราะผู้ที่รออยู่ก็คือพี่น้องของท่าน ก็คือ ประชาชนของท่าน

กำลังใจประเภทนี้ก็คงไม่แคล้วพระโพธิสัตว์อีกเหมือนกัน โดยเฉพาะสถานภาพของท่านเหมือนกับเป็นเจ้าชาย จะต้องกลับไปดูแลคนในเผ่าของตน"

เถรี
08-09-2010, 00:26
"ท่านกุเวระ ท่านเกิดในประเทศพม่าที่เผด็จการทหารครอบงำมายาวนาน พูดง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่ได้เอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ ๖๐ - ๗๐ ปี มีแต่เผด็จการทหารปกครองมาตลอด

ท่านต้องดิ้นรนอยู่ด้วยความยากลำบาก ต้องการการศึกษาแต่ไม่มีหนทาง เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุน ก็ต้องบวชเพื่อให้มีโอกาสได้เรียน ต้องลำบากและอดทน ต้องอดนอน โดยเฉพาะอาหารบูด ๆ เน่า ๆ ที่ต้องทนฉันเป็นสิบปีเพื่อเรียนให้จบ...

ถ้าเรามาเปรียบเทียบดูว่า กำลังใจในการต่อสู้ในความทุกข์ยากแบบของท่าน กับกำลังใจที่ต่อสู้กับความทุกข์ในบ้านเราของพวกเรา จะแตกต่างกันมาก พวกเราสบายจนกระทั่งไม่ค่อยรู้สึกถึงความทุกข์ พอทุกข์หน่อยก็โวยวาย พูดง่าย ๆ ว่าความเข้มแข็งอดทนไม่มีเลย..!

เรานึกดูว่า ถ้าเราเป็นอย่างทั้งสามท่าน ต้องไปต่อสู้ดิ้นรนในลักษณะอย่างนั้น ท่านทั้งหลายถ้าผ่านสภาวะเหล่านั้นไปได้ จะยืนหยัดเป็นหลักได้ทุกคนเลย เพราะท่านผ่านบทเรียนที่เป็นของจริงมาแล้ว

แต่พวกเราพอเจอทุกข์เข้าก็ถอย คอยไปผ่อนผันให้กิเลส ยิ่งตอนที่เริ่มปฏิบัติไป กิเลสดิ้นรนใกล้จะตาย พอกิเลสรู้ว่าจะตายก็ดิ้น เรามักจะไปผ่อนให้ทุกที เราไปผ่อนให้เพราะเรากลัวว่าเราจะตาย ทั้งที่กิเลสกำลังหลอกเรา เพราะจะว่าไปแล้วกิเลสก็คือเรา พอจะตายก็หลอกว่าเราจะตาย เราก็เชื่อเสียอีก เพราะฉะนั้น..เราจึงเอาดีได้ยาก

แต่ถ้าเราดูกำลังใจของสามท่านที่ดิ้นรน จนกระทั่งได้รับการศึกษา ได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย ต่อสู้กับความยากลำบากทุกอย่าง เข้ามาแล้วการสื่อสารก็ได้แต่ภาษากลาง คือภาษาอังกฤษ และอย่างท่านมังคละปิยะและท่านกุเวระ โอกาสที่จะสื่อสารกับคนไทยได้รู้เรื่องนั้นยากมาก เพราะสำเนียงการพูดของท่านฟังยากจริง ๆ"

เถรี
08-09-2010, 16:28
"อยากให้พวกเราลองคิดดูว่า ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบเขา เราจะทำอย่างไร ? อย่างของท่านจารึก ท่านเกิดมาท่ามกลางสงครามเลย ถ้าไม่ใช่บุญรักษาหรือกรรมรักษา คงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ญาติพี่น้องล้วนกลายเป็นโครงกระดูกในทุ่งสังหาร

อาตมาไปชายแดนตาพะยา ช่วงปี ๒๕๒๔ อยู่นั่นปีกว่า เชื่อหรือไม่ว่าในทุ่งมีแต่โครงกระดูก บางโครงยังโดนมัดติดกับต้นไม้อยู่เลย ต้องไปค่อย ๆ เก็บฝังให้เขา เพราะว่าช่วงนั้นทหารญวนเฮงสัมรินลุยเข้ามา ปะทะกันที่โนนหมากมุ่น ตายไปสามร้อยกว่าศพ พวกที่เกิดไม่ทันไม่รู้หรอกว่าทหารต้องลำบากแค่ไหน
อาตมาต้องไปกอดปืนยืนหนาวอยู่กลางป่าเป็นปี

ท่านมังคละปิยะ ท่านเกิดมากลางดงอิสลาม เป็นชนกลุ่มน้อย และศาสนาอิสลามเขาไม่ถือว่าศาสนาอื่นเป็นคนอยู่แล้ว เขาลำบากทุกข์ยากกว่าเรามากนัก

ท่านกุเวระอายุยังน้อยมาก ๒๐ เศษ ๆ ไม่ถึง ๓๐ ปี ก็เลยกลายเป็นว่าตลอดชีวิตของท่านตั้งแต่เกิด รู้ความมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ประเทศพม่าไม่เคยว่างเว้นจากเผด็จการทหารเลย ต้องการอะไรทหารมาเอาจากชาวบ้านไปหมด

อาจารย์เตชะ เป็นพระธรรมทูตมาอาศัยอยู่วัดท่าขนุน วันนั้นที่ฉันอาหารกันอยู่ ท่านก็หยิบลำไยให้ดู แล้วถามว่า "นี่เรียกว่าอะไร ?" พระครูหน่อยก็บอกว่า "ลำไย..พม่าไม่มีละสิ" พูดในลักษณะหัวเราะ ท่านเตชะก็สั่นหัวเพราะว่าไม่มีจริง ๆ

อาตมาถึงได้บอกว่า "พระครูหน่อย..ในพม่าแค่ปลูกข้าวพอให้ชาวบ้านกินก็ยากแล้ว เขาไม่มีเวลาไปปลูกอย่างอื่นหรอก เพราะเวลาได้ข้าวมา ถ้าทหารอยากได้เขาจะเอาไปหมดเลย เขาไม่สนใจว่าคุณมีกินหรือเปล่า"

ตอนที่ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ มีบ้านมอญ บ้านทวาย ล้อมรอบอยู่สามหมู่บ้าน ถึงเวลาวันตรุษ วันสารท วันสงกรานต์ เดี๋ยวก็ อส. เดี๋ยวก็ ตชด. เดี๋ยวก็ตำรวจ เดี๋ยวก็ทหาร เดี๋ยวก็ผู้ใหญ่บ้าน มาถึงก็จับคนของเขาไป ต้องเอาเงินไปไถ่ตัวคนละสามพันหรือห้าพัน จึงได้ตัวกลับมา แค่อยากได้เงินกินเหล้าเท่านั้น ก็จับไปดื้อ ๆ"

เถรี
08-09-2010, 16:33
"อาตมาถามพวกเขาว่า ลำบากขนาดนี้แล้วยังมาเมืองไทยทำไม เขาบอกว่า นี่ยังดี..เขาอยู่เมืองไทย เขาทำแบบนี้เขายังเหลือเป็นครึ่ง ๆ แต่เขาอยู่พม่า ถ้าทหารเอานี่หมดเลย ไม่เหลืออะไรเลย ทหารเขาไม่สนใจว่าคุณจะอยู่หรือจะตาย รู้แต่ว่าเขาจะเอาเขาจะต้องได้

อาตมายังชื่นชมว่าหมู่บ้านหนองบัวมีการจัดการที่ดีมาก บ้านหนองบัวเขาสละพื้นที่ส่วนกลางประมาณ ๓๐ ไร่ ปลูกข้าวให้ทหารโดยเฉพาะ ถึงเวลาคนก็ไปช่วย ๆ กัน พอทหารเขามาก็เอาข้าวส่วนกลางให้เขาไป เรื่องก็จบ

แต่ที่หมู่บ้านอื่นเขาไม่มีระบบการจัดการอย่างนี้ พอทหารไปไม่มีใครรวบรวมให้ เขาก็ไปค้นเอาเอง ไปซุกไปซ่อนอยู่ในโอ่งในไหก็เอาหมด ทั้งสามท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราโชคดีที่เกิดเป็นคนไทย แล้วพวกเรารู้สึกโชคดีกันบ้างหรือไม่ ?

อยู่บ้านเราทุกข์ยากขนาดไหนก็ยังพอไปได้ แต่อยู่บ้านเขาทุกข์ยากนี่หาทางออกไม่ได้ เขาก็พยายามดิ้นรนสู้กันไป โดยเฉพาะว่าที่อาตมาเขียนลงหนังสือ อ่านแล้วคิดบ้างไหม ว่าทำไมคนพม่าจึงต้องกินข้าวสองมื้อ เพราะเขาไม่มีจะกิน เขากินมื้อสาย ๆ สิบโมงถึงสิบเอ็ดโมง แล้วไปกินอีกทีตอนเย็น

คนเราพอสบายแล้ว กำลังใจในการต่อสู้ฟันฝ่าจะลดน้อย พระที่ออกธุดงค์ก็เพื่อให้เคยชินกับความยากลำบาก ถ้าหากว่าความลำบากทางกายสามารถทนได้ ความลำบากทางใจก็ไม่เท่าไร เพราะว่ากายกับใจเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"

เถรี
08-09-2010, 17:02
ถาม : อาราธนาพระเผื่อคนในบ้านได้ไหม เพราะคนในบ้านเขาไม่ได้อาราธนาพระทุกวัน
ตอบ : กินแทนกันได้ไหมเล่า ? กรรมใครกรรมมันจ้ะ

เถรี
08-09-2010, 17:11
ถาม : สมัยเด็ก ๆ ไปเคี้ยวพระ บาปหรือไม่คะ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ขอขมาก็ใช้ได้แล้ว เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาหน้าพระพุทธรูปจ้ะ อะไรที่เราล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ จะเจตนาหรือไม่เจตนา ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ด้วย

เถรี
15-09-2010, 22:12
พระอาจารย์บอกว่า คำว่าสามี แปลว่า เจ้านาย

"พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พุทโธ เม สามิกิสสะโร พระพุทธเจ้าเป็นนายเหนือข้าพเจ้า"

เถรี
15-09-2010, 22:22
ถาม : (เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ)
ตอบ : โรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับกาฝาก สภาพร่างกายของเราเหมือนต้นไม้ ถ้าจะแยกกาฝากออกจากต้นไม้ได้ จะต้องมองให้เห็นจริง ๆ ว่า ต้นไม้ก็ไม่ใช่ต้นไม้...กาฝากก็ไม่ใช่กาฝาก

ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมา ถ้าหากเราเข้าถึงความจริงแท้ก็จะเป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่เป็นสมมติกับปรมัตถ์จะอยู่ร่วมกันไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะต่างคนต่างไป ทำให้หายจากอาการเจ็บป่วย

บางทีเราจะสงสัยว่า ทำไมบางคนปฏิบัติธรรมหายจากโรคได้ เพราะว่าท่านเห็นความจริงตรงจุดนี้ ไปลองพยายามดู..ถ้าหากบุญพาวาสนาช่วย เราเข้าถึงจริง ๆ ว่า สิ่งไหนเป็นสมมติ สิ่งไหนเป็นปรมัตถ์ แยกออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นต่างคนต่างอยู่ เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเราได้ แล้วเขาก็จะไป ตัวใครตัวมัน

ความเจ็บป่วยเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ทำให้เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา และมีแต่ความทุกข์ ในเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็หมดความอยากที่จะเกิด เราก็เอาใจเกาะพระเกาะนิพพาน เท่ากับเรามีโอกาสหลุดพ้นสูงกว่าคนอื่นเขา

เห็นทุกข์เห็นสภาพเป็นจริง ว่าร่างกายมีปกติเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็หมดความต้องการ ท้ายสุดก็คิดว่า เราอยู่กับร่างกายแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชดใช้กรรมไป จบจากชาตินี้เราก็ไปนิพพานแล้ว

โดยเฉพาะคำว่าชาตินี้ บางทีฟังดูว่าไกล เราต้องคิดว่าเราอยู่กับร่างกายแค่วันนี้วันเดียว หรืออยู่กับร่างกายแค่ชั่วลมหายใจเดียว พ้นจากวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เห็นวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า หรือไม่ก็เราหายใจออกก็ไม่รู้จะได้หายใจเข้าหรือไม่..ก็จะพ้นไปแล้ว เราจะรู้สึกว่าแค่เดี๋ยวเดียว ก็จะไม่ทุกข์ทรมานมากนัก

บางคนเขาสงสัยว่า พระอาจารย์ป่วยหนักขนาดนี้แล้วอยู่ได้อย่างไร ? ก็อยู่กับร่างกายวันเดียว พรุ่งนี้ก็ไม่มีแล้ว ถ้าอยู่ถึงพรุ่งนี้ ก็อยู่แค่อีกวันหนึ่ง แต่อาการป่วยนี้ดี..ทำให้ไม่อ้วน เพราะว่าโรคเอาไปกินหมด ไม่เหลือไว้ให้เลย..!

ถาม : ถ้าเราคิดว่าเราอยู่แค่วันเดียว ?
ตอบ : นั่นยังหยาบไป เอาแค่ลมหายใจก็พอ หายใจออกเราอาจจะไม่ได้หายใจเข้าก็ได้ หายใจเข้าเราอาจจะไม่ได้หายใจออกก็ได้ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก เราจะพ้นจากร่างกายนี้ไปแล้ว

ในเมื่อรู้สึกว่าเราจะพ้นจากร่างกายในชั่วอึดใจนี้ ก็จะอยู่ด้วยความปีติปลื้มใจ เพราะเราไม่ต้องทุกข์กับร่างกายนาน แค่ชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ถ้าพ้นจากตรงนี้ก็ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นิพพาน ที่อื่นไม่เอาแล้ว

ถาม : รู้สึกแย่
ตอบ : แต่ละคนไม่มีใครไม่แย่หรอก สมัยก่อนรบทัพจับศึกกันมาตั้งเท่าไร ฆ่าเขาเอาไว้ตั้งเท่าไร ใช้คืนเขานิดหน่อยไม่ได้หรือ ?

เถรี
15-09-2010, 22:35
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เช้ามืดวันที่ ๑ กันยายน กำลังนอนภาวนาอยู่ นิมิตเห็นน้ำป่ากำลังพุ่งเข้าใส่หมู่บ้านที่สุโขทัย สัญชาตญาณของตัวเองทำให้อดไม่ได้ กระชั้นชิดจนไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ

ถ้าใครไม่เคยเห็นน้ำป่า จะไม่รู้ว่าหรอกว่ามาเร็วและมาแรงขนาดไหน ดูจากสภาพแล้วคงจะกวาดไปทั้งหมู่บ้าน และเป็นเวลากลางคืนตีสองกว่า อาตมาก็เลยต้องให้เบนน้ำออก แทนที่จะถล่มทั้งหมู่บ้าน ก็เหลือแค่น้ำท่วมเท่านั้น

ทันทีที่ทำเสร็จ กระแสกรรมที่จะเกิดแก่คนหมู่มากก็ถล่มใส่อาตมา ความรู้สึกเหมือนกับโดนใครยิงด้วยปืนกลหรือไม่ก็ผึ้งฝูงหนึ่งมารุมต่อยพร้อม ๆ กัน พอไปถึงวัดไร่ขิงก็นอนยาว ลุกไม่ขึ้น

คนทดสอบเขาทดสอบได้แสบมากเลย คือ วิสัยเดิมที่คิดจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ อาตมาทำมาเยอะต่อเยอะ ภาพที่เขาทำให้ปรากฏก็ไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ เพราะว่าน้ำป่ามาถึงบ้านแล้ว ก็มีอยู่แค่สองอย่าง คือ ช่วยกับไม่ช่วย

ความเคยชินที่คิดจะช่วยเขามาทุกชาติก็ต้องช่วย พอช่วยแล้วก็ต้องรับเละเอง หลังจากที่นอนเลื้อยไปวันหนึ่งแล้ว ลุกไม่ไหว ก็มานึกถึงหลวงปู่พุฒ เจ้าคุณราชอุทัยกวี ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก มั่นใจเลยว่าท่านมรณภาพเมื่อไรท่านไปพระนิพพานแน่

แต่ปรากฏว่าพอหลวงปู่พุฒมรณภาพ ไปได้แค่พรหมชั้น ๑๒ ถามว่าพรหมชั้นที่ ๑๒ ดีหรือไม่ ? ดี...เพราะเป็นสุทธาวาสพรหม ไม่ต้องเกิดใหม่ บำเพ็ญบารมีไปพระนิพพานข้างบนได้ แต่ก็ทำให้ช้าไปอีกหลายกัป

เหตุที่ท่านไปไม่ได้เพราะว่าก่อนท่านมรณภาพมีนิมิตเป็นสมุดบัญชีของวัด ท่านยังไม่ได้มอบหมายให้ใครรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ จิตพะวงอยู่นิดเดียวเอง เลยไปได้แค่พรหม

เรื่องการทดสอบนั้น มีการทดสอบทั้งหลับทั้งตื่น ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที เขาทดสอบเราอยู่ตลอด อย่างที่เคยตักเตือนพวกเราว่า มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวเป็นเครื่องทดสอบเราได้หมด ต้องระมัดระวังให้ดี เผลอเมื่อไรก็ไปไม่รอด และทดสอบได้ร้ายกาจจริง ๆ เขาสอบแบบไม่เหลือเวลาให้ตัดสินใจ เพราะอีกไม่กี่ศอกน้ำก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว "

เถรี
15-09-2010, 22:45
"โดยเฉพาะคนที่เรารัก จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้ง่ายที่สุด ฉะนั้น..เวลาที่มารเขาทดสอบเรา ข้อสอบเขาออกได้โหดมาก ไม่เปิดโอกาสให้เราด้วยประการทั้งปวง เพราะเขาต้องการจะรั้งเราให้อยู่

หลายต่อหลายคนเวลาปฏิบัติธรรมไประดับหนึ่ง พอกิเลสดิ้นทำท่าจะตาย เราก็ไปปล่อย แต่ถ้าเราจะตายกิเลสไม่เคยปล่อยเรา ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้ดี สอบตกก็ต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วน สอบได้ก็ผ่านไป

แค่เล่าให้ฟังเฉย ๆ ว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้ไปยุ่งกับชาวบ้าน เลยป่วยจนงอมพระราม ลองไปหาข่าวดูว่ามีน้ำท่วมสุโขทัยบ้างหรือไม่ ถ้ามีก็ไม่มีคนตายหรอก เพราะช่วยเขาไปแล้ว"

เถรี
16-09-2010, 00:46
"ถ้าใครไม่เคยเจอน้ำป่า จะไม่รู้ว่าน่ากลัวขนาดไหน มาทีอย่างกับภูเขาถล่ม

น้ำป่านั้นเกิดจากท่อนไม้บ้าง ใบไม้บ้าง มาขวางลำธาร พอสิ่งกีดขวางสะสมมากเข้า ๆ ก็เท่ากับเป็นเขื่อนกั้นน้ำ พอเวลาน้ำสูงขึ้น แรงดันก็มากขึ้น พอกั้นไม่อยู่พังโครมลงไปก็เป็นน้ำป่า

เคยธุดงค์อยู่รอบหนึ่ง เจอน้ำป่าด้วย เจอพายุลูกเห็บด้วย ช่วงนั้นเดินตัดทุ่งใหญ่ขึ้นไปทางอุ้มผาง พอตอนเย็นก็ปักกลด ดินฟ้ามืด ๆ พิกล สักพักฝนก็เกรียวกราวมา ประเภทฝนเม็ดโต ๆ บริเวณที่อาตมาอยู่ฝนก็ตก อาตมาก็แปลกใจว่าตาลายหรือเปล่า เพราะเม็ดฝนเด้งได้ กระทบพื้นแล้วกระเด้งกระดอนไปทั่ว

ความจริงนั่นเป็นลูกเห็บ พอตกกระทบพื้นแล้วก็เด้ง แรก ๆ ขนาดเท่านิ้วก้อย สักพักเม็ดเท่านิ้วชี้ สักพักเม็ดเท่านิ้วโป้ง ตกอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ต้นไม้ใบหญ้าปรุหมด จากป่าที่รกกลายเป็นโล่งไปเลย

หลังจากนั้นฝนจริง ๆ ก็มา กระหน่ำอยู่ประมาณสองชั่วโมง โชคดีตอนนั้นมีเพิงหินอยู่หน่อยหนึ่ง พอที่จะมุดหลบเข้าไปได้ พอฝนหยุดตั้งใจว่าเดี๋ยวจะหาฟืนมาก่อไฟ จะได้ตากผ้าที่เปียก

ยังไม่ทันออกหาฟืนเลย เสียงน้ำป่ามาเหมือนกับภูเขาถล่ม ม้วนกลิ้งตูมลงมา ถ้าหนีก็หนีไม่ทัน โชคดีตรงที่ว่า จุดที่ไปหลบฝนอยู่นั้นเป็นเนินเขา ไม่ได้ไปขวางทางน้ำ เลยปลอดภัย

บริเวณด้านข้างเป็นลำห้วยกว้างมาก เป็นห้วยแห้งที่ไม่มีน้ำ เนื่องจากเป็นหน้าแล้ง เพราะฉะนั้น..อย่าไปไว้ใจว่าในป่าหน้าแล้งแล้วจะไม่มีฝน ไปป่าเมื่อไรหน้าไหนก็เจอฝน"

เถรี
16-09-2010, 10:00
พระอาจารย์เล่าเรื่องที่โดนมารทดสอบให้ฟังว่า "เมื่อสองสามวันก่อน แฟลชไดร์ฟที่บรรจุข้อมูลได้หายไป มีข้อมูลรายงานสองเล่มที่ยังทำไม่เสร็จคาอยู่ในนั้น ตัดใจว่าทำรายงานใหม่ก็ได้ เพราะหาแฟลชไดร์ฟจนละเอียดทุกซอกทุกมุมแล้วก็ไม่เจอ

ปรากฏว่าเช้าวันที่ไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้านนั่นแหละ แฟลชไดร์ฟมาวางอยู่บนกระเป๋าโน้ตบุ๊ค ซึ่งเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเราหิ้วกระเป๋าใบนี้ไปหลายต่อหลายที่ แล้วอยู่ ๆ แฟลชไดร์ฟจะไปวางอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

เรื่องอย่างนี้เจอมาบ่อยเสียจนชินแล้ว จะมีใครบางคนแกล้งขโมยของสำคัญบางอย่างเพื่อทดสอบอารมณ์เรา พอเราไม่ใส่ใจ ทำความกระทบกระเทือนแก่เราไม่ได้ เขาก็จะคืนให้ แต่ก่อนหน้านี้เขาคืนแบบซุก ๆ ไว้ ทำเหมือนกับว่าเราลืม หาไม่ทั่วเลยไม่เจอ แต่คราวนี้เขารู้ว่าเราไม่ลืมแน่

ถ้าเป็นคนอื่นคงไปนั่งคลุ้มคลั่งว่าตัวเองแก่จนเป็นอัลไซเมอร์แล้วหรือ แต่นี่เรามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาก็เลยเอามาคืนให้โต้ง ๆ ว่าเอาไปเองจริง ๆ

อย่างครั้งก่อนตอนฉันข้าวก็เหมือนกัน ปกติฉันเช้าหรือฉันเพล แม่ชีเขาจะเตรียมกาน้ำร้อนเอาไว้ให้ เพราะอาตมาติดนิสัยตอนไปพม่าว่า ประเทศเขาสิ่งของสกปรกมาก ก็เลยลวกน้ำร้อนก่อน จึงติดเป็นนิสัยว่าจะลวกจานลวกช้อนด้วยน้ำร้อนเสมอ

วันนั้นพอขึ้นไปแล้วไม่เห็นกาน้ำร้อน มองซ้ายมองขวา เห็นคนอื่นงานเต็มมือหมด คิดว่าเขาคงจะลืม ก็หยิบเหยือกน้ำเย็นขึ้นมา ตั้งใจจะล้างด้วยน้ำเย็น ปรากฏว่ากาน้ำร้อนเด้งขึ้นมาต่อหน้าต่อตา พระสี่ห้ารูปที่นั่งข้าง ๆ อ้าปากหน้าตาค้าง สงสัยว่ากาน้ำร้อนโผล่มาจากไหน..!

ความจริงก็ตั้งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เขาบังไม่ให้เห็น มาทดสอบเรา ถ้าเป็นคนอื่นประเภทขี้โมโหหน่อย อาจจะด่าไปแล้ว ว่าของที่เคยตั้งอยู่ทุกวันทำไมไม่เอามาให้ แต่เรามองเห็นคนอื่นงานเต็มมืออยู่ก็คิดว่าเขาอาจจะลืม จนกระทั่งบัดนี้พระทั้งสี่รูปนั้นก็ไม่รู้ว่ากาน้ำร้อนโผล่มาได้อย่างไร เราก็ไม่ได้อธิบายให้ฟัง เขาทดสอบแบบนี้สนุกมากเลย

ฉะนั้น..ระวังตัวระวังใจให้ดี ถ้ามารทดสอบใคร แปลว่าคนนั้นมีคุณค่าพอจะให้ทดสอบได้แล้ว ถ้าเขายังไม่ทดสอบแปลว่าเรายังแย่อยู่ เราก็คิดว่าจะทดสอบไปทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรสักหน่อย แต่เขาก็ออกข้อสอบได้ทุกที ส่วนใหญ่มักจะชอบทดสอบตอนเราเหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย ประเภทง่วงนอนจนตาปิด คือเขารู้ว่าจังหวะนั้น ถ้ากำลังใจไม่ดีเราก็เสร็จเขา..!"

เถรี
16-09-2010, 10:32
ถาม : ที่ผมปฏิบัติมา จะมีบางกระแสที่ช่วยคนที่เขารักษาอยู่ แค่ผมไปสัมผัส เหมือนเราไปรับตรงนั้นมา
ตอบ : ก็ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาต้องรับ เราไปช่วยเขา เราก็รับแทนไปเท่านั้นเอง

ถาม : บางทีผมเองไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วย
ตอบ : อาตมาที่แทบจะคลานอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหมือนกัน

ถาม : บางทีแค่คิดก็โดนแล้ว
ตอบ : คิดก็เป็นกรรม เขาเรียกมโนกรรม ถ้าพูดออกมาก็เป็นวจีกรรม ถ้าทำเลยก็เป็นกายกรรม

ถาม : มาจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : เราเคยมีกรรมเนื่องกับเขามาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ถาม : ผมจะโดนบ่อยมาก
ตอบ : ไม่อยากโดนก็ต้องควบคุมกาย วาจา ใจ ของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะความคิด ถ้ายังควบคุมไม่ได้ก็สมควรที่จะโดน..!

เพียงแต่ว่าคนอื่นจิตค่อนข้างจะหยาบ เวลาโดนจึงไม่รู้ ไปรู้เอาเฉพาะที่หนัก ๆ แต่ของคุณส่วนที่เบาก็ยังรู้ ก็แปลว่าความทุกข์ทรมานจะมีมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย

เมื่อครู่เพิ่งจะเล่าให้เขาฟังเรื่องที่ไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้าน แล้วตัวเองก็เดือดร้อน พอดีคุณก็มาช่วยยืนยันว่ายุ่งแล้วจะเดือดร้อนจริง ๆ

เถรี
16-09-2010, 10:42
ถาม : บางทีเราเข้าใกล้คนที่มีกรณีแรง ๆ แล้วทำไมเราต้องหมดเรี่ยวหมดแรง ?
ตอบ : การรับสัมผัสสิ่งภายนอกก็ต้องใช้กำลัง อย่างเช่นพวกที่ใช้กำลังของทิพจักขุญาณก็ดี หรือพวกที่ใช้กำลังของอภิญญาสมาบัติ คราวนี้ในการใช้กำลัง ถ้าเราขาดการฝึกฝน ก็เหมือนกับการที่มีเงินในกระเป๋าน้อย แต่เราไปใช้ทีเดียวมาก ๆ เงินก็หมดกระเป๋าเท่านั้นแหละ

ถาม : จริง ๆ เราก็ไม่รู้ เขาเข้ามาใกล้ ๆ เท่านั้น
ตอบ : ต้องไปซ้อมให้ดีกว่านี้ ให้รู้ก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ ๆ จะได้ถีบเขาออกไปไกล ๆ ได้..!

เถรี
16-09-2010, 10:50
มีโยมบางคนถวายสังฆทานติด ๆ กัน ก็คือ พอถวายครั้งแรกเสร็จแล้ว ก็ยกถวายต่ออีกทันที พระอาจารย์จึงกล่าวให้ฟังว่า "การทำบุญบางทีก็แสดงออกซึ่งจริตนิสัย อย่างโยมเขายกสังฆทานหลาย ๆ ครั้ง โยมก็สบายใจมีความสุข ถ้าเป็นอาตมาจะถวายครั้งเดียวจบเลย คือ เอารางวัลที่หนึ่งไปเลย ขี้เกียจเอารางวัลเล็ก ๆ บ่อย ๆ

ฉะนั้น..นิสัยคนไม่เหมือนกัน การทำบุญก็จะไม่เหมือนกัน ถ้าเราช่างสังเกตจะเห็นอะไรเยอะ อย่างของโยมถ้าไปเกิดใหม่จะมีลาภผลมาเรื่อย ๆ ไม่ขาด แต่นิสัยของอาตมาชอบทำทีเดียว ถึงเวลาลาภผลก็มาตูมทีเดียว อาจจะโดนภูเขาทองทับตายไปเลย..!"

เถรี
16-09-2010, 11:08
ถาม : โทรไปตรวจสอบมาแล้วครับ น้ำท่วมสุโขทัยแต่ไม่มีคนตายครับ
ตอบ : ไม่มีหรอก ก็อาตมาไปขวางเอาไว้

ถาม : นี่เป็นกรรมของท่านด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : เขาแค่ทดสอบว่า เรายังไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้านอยู่หรือเปล่า แต่เชื้อเดิมของเราที่คิดจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลาย อย่างไรก็อดใจไม่ได้หรอก คราวนี้เห็นหรือยังว่าสันดานนั้นแก้ยากแค่ไหน

สันดานเป็นภาษาไทย บาลีเขาเรียกว่า สันตติ คือความสืบเนื่อง มีการสั่งสมสืบเนื่องมาชาติแล้วชาติเล่า บำเพ็ญบารมีมาเพื่อจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ทีนี้พอทำมาแล้ว เวลาเห็นเขาจะทุกข์จะตาย ก็อดไม่ได้ แล้วเวลาในการตัดสินใจก็ไม่มี มีเวลาแค่ ๒ - ๓ วินาทีเท่านั้นเอง เพราะที่เราเห็นน้ำป่าห่างหมู่บ้านแค่ไม่กี่ศอกแล้ว ไม่อย่างนั้นได้ตายกันยกหมู่บ้านแน่

บางทีนิมิตพวกนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เชื้อเก่าของเราทำไว้เยอะเหลือเกิน เมื่อทำเอาไว้เยอะ เมื่อถึงเวลาตัดสินใจเพื่อตนเองเพื่อผู้อื่น ก็มักจะตัดสินใจเพื่อผู้อื่นอยู่เสมอ นึกถึงตอนที่ไปขอลาพุทธภูมิ พระท่านห้ามไว้สองครั้ง พอครั้งที่สามท่านบอกลาได้ แต่งานเก่าให้ทำไปก่อน

อาตมาฟังแล้วก็งง ๆ ว่าตกลงได้ลาหรือไม่ได้ลา คือ ลาได้แต่งานเก่าทำไปก่อน ก็แปลว่าถ้าเอ็งแน่จริงก็ไปนิพพาน ถ้าไม่แน่จริงก็เป็นต่อไป..!

ในประวัติของกีสาโคตมีเถรี เอตทัคคะปาลิ ขุททกนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสกับนางกีสาโคตมี ที่อุ้มลูกไปขอให้ท่านรักษา ทั้ง ๆ ที่ลูกตายแล้ว "ภคินิ...ดูก่อนน้องหญิง ในแต่ละชาติที่เธอเกิดมา ต้องเสียน้ำตาเพราะคนที่รักจากไป เมื่อรวมกันแล้วน้ำตาของเธอทั้งหมด ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ" คิดดูสิว่าเกิดมากี่ชาติ น้ำตาไม่กี่หยดรวมกันจนมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก..!

เถรี
17-09-2010, 09:32
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวันที่ ๑๙ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ไปนั่งปรกอธิษฐานจิตงานหล่อพระที่วัดบวรฯ พระท่านบอกว่าให้เป่ายันต์ปลายปีนี้ ก็คือ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓"

เถรี
17-09-2010, 09:44
พระอาจารย์เล่าเรื่องสมัยที่ท่านเป็นทหารให้ฟังว่า เป็นคนไม่กลัวเจ้านาย ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้านายตัวเล็กนิดเดียว ส่วนเราตัวใหญ่กว่าจะต้องไปกลัวเขาทำไม

"มีโอกาสได้คุยกับบรรดาทหาร ว่าทำไมจึงกลัวผู้บังคับบัญชานัก เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน นายท่านนี้สงสัยจะมีนะหน้าเสือ ตัวเล็ก ๆ ก็จริง แต่ใครเห็นก็สั่น

ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นเกิดจากตบะที่ท่านสั่งสมมาวันแล้ววันเล่า อยู่ในลักษณะที่เป็นผู้นำเขามามาก ทำให้พลังจิตของเขาเหนือกว่า ถึงได้บอกว่าถ้าเรารู้สึกว่ามีใครสักคนหนึ่งที่เราต้องการจะข่มเขาให้ลง ให้นึกถึงกำลังใจในชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แล้วก็ดึงเอากำลังใจตรงนั้นมาใช้"

ถาม : พลังจิตสั่งสมมาหรือคะ ?
ตอบ : สั่งสมมาเรื่อย ขณะเดียวกัน ถ้าของเราสั่งสมมาแล้วของเขาเล่า ? เขาก็สั่งสมมาเหมือนกัน ก็เลยต้องไปเลือกชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แต่ต้องบอกว่าโบราณของเราดี ตรงที่ว่ามีอะไรก็ยกเอาบารมีครูบาอาจารย์ขึ้นมาก่อน

อย่างสมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ได้เรียนคาถาบทหนึ่งชื่อโองการมหาทมื่น เขาจะมีกล่าวถึงครู "โอม..กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้ครูกูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา... ฯลฯ"

โองการมหาทมื่นเป็นคาถาที่ยาวมาก แต่เป็นคาถาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย จะในน้ำ บนบก กลางวัน กลางคืน จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อาวุธทุกประเภท เขาเอ่ยถึงหมด ลองไปค้นในกูเกิ้ลดู น่าจะมี

คาถานี้เขาทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน อาวุธสารพัดมีเอ่ยเอาไว้หมด แต่เชื่อเถอะท้ายสุดก็ต้องมีจุดอ่อนจนได้ แบบแสนตรีเพชรกล้าอะไรก็ฟันไม่เข้า แต่ท้ายสุดก็โดนหลาวทะลวงก้นตายจนได้..!"

เถรี
17-09-2010, 09:51
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนที่ไปรับประกาศนียบัตรของพระนิสิต ป.บส. (ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์) หลวงพ่อสมเด็จวัดปากน้ำ ท่านให้โอวาทว่า ท่านขอแสดงความยินดีด้วยที่นักศึกษาสำเร็จการศึกษามารับประกาศนียบัตร

สิ่งที่ทุกท่านเรียนไปนั้นเอาไปใช้ประโยชน์ได้มาก โดยเฉพาะประโยชน์ในการบริการกิจการคณะสงฆ์ แต่สิ่งนี้เป็นปัญญา มีเฉพาะปัญญาอย่างเดียวเราจะเอาตัวไม่รอด ต้องให้มีสติควบคุมกันไปด้วย โบราณเขาถึงได้ใช้คำว่า สติและปัญญาควบคู่กันไป ปัญญาเป็นความรอบรู้ แต่สติเป็นความรอบคอบ ถ้ารอบรู้อย่างเดียวแต่ไม่รอบคอบ ก็จะผิดพลาดได้ง่าย

ไม่รู้คนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับอาตมารู้สึกว่าท่านจี้ถูกจุดเลย เพราะต้นตอของปัญหาทั้งปวงเกิดจากคนมีปัญญาแต่ขาดสติ ในเมื่อขาดสติก็จะทำอะไรขาด ๆ เกิน ๆ

หลวงพ่อสมเด็จวัดปากน้ำท่านอายุแปดสิบกว่าขึ้นไปก็จริง แต่ท่านกล่าวให้โอวาท กล่าวเปิดโดยไม่ต้องดูโพยเลย ส่งเล่มไปให้ท่าน ท่านก็วางเฉย ๆ แล้วก็ว่าเอาเอง คนอายุ ๘๐ กว่าแล้วสมองยังดีขนาดนี้ สุดยอดจริง ๆ"

เถรี
17-09-2010, 11:18
ถาม : ฝันเห็นจระเข้
ตอบ : ตีความได้สองอย่าง อย่างหนึ่งโบราณเขาว่าจะมีคนปองร้ายหรือติดสินบน (บนเอาไว้แล้วไม่ได้แก้บน) อย่างที่สองก็คือ กิเลสในใจของเราเอง

ถาม : แล้วถ้าฝันเห็นเต่า
ตอบ : ไม่เห็นหรือว่าเต่ามีอะไรบ้าง ๑ หัว ๔ ขา ๑ หาง รวมแล้ว ๖ ถึงเวลาอะไรกระทบก็หดเข้ากระดอง เอาตัวรอดไว้ก่อน คนเราถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไร เราก็หลบไม่ไปรับไว้ แล้วจะสบายไหมเล่า ?

ถาม : ถ้าเราฝันเห็นเต่าแล้วกลายเป็นจระเข้
ตอบ : แปลว่ากิเลสจะเจริญงอกงามถึงขนาด จะแปลงจากเชื่องช้าเชื่องเชื่อ กลายเป็นอาละวาดแล้ว ระวังให้ดี..!

เถรี
17-09-2010, 12:29
พระอาจารย์เล่าเรื่องหมาให้ฟังว่า "เกี่ยวกับหมาต้องระวังให้มาก ๆ เลย ถ้าหมาได้กินอาหารสักอย่างหนึ่งที่ชอบ ต่อไปเขาจะเลือกกิน อย่างไหนที่ไม่ชอบก็จะไม่แตะเลย

สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมีหมาตัวหนึ่งชื่อไอ้แมน เป็นสุดยอดหมาจริง ๆ เลย ผอมจนซี่โครงบาน เดินไปก็เป็นลมล้มตึง ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเป็นลมเพราะอะไร หลวงตาวัชรชัยบอกว่าลองเอานมให้มันกินสิ พอเทใส่ชามให้ มันซัดจนเกลี้ยงภายในนาทีเดียว..!

ก็คือ ถ้าไม่ได้เนื้อหรือนมไอ้แมนไม่กิน อย่างอื่นมาวางไว้ตรงหน้า เป็นตายก็ไม่กิน ถึงขนาดยอมเป็นลมล้มตึงขนาดนั้น สุดยอดหมาจริง ๆ สมควรที่จะเป็นหมาต่อไป..! ต้องบอกว่าไอ้แมนประกอบด้วยทิฏฐิมานะเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าเราจะเลียนแบบไอ้แมน ก็คือ เราต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำความชั่วให้ได้ มีโอกาสที่จะละเมิดศีล เราจะไม่ยอมละเมิดเด็ดขาด (มองไปที่ใครบางคน) หรือว่ามีวิปครีมอยู่ตรงหน้า เราก็จะไม่กินเด็ดขาด..!"

เถรี
17-09-2010, 13:14
ถาม : สิ่งที่เคยสัมผัสในการปฏิบัติธรรมเราได้ผ่านมาแล้ว แต่ทำไมเราย้อนกลับไปเห็นอีก แล้วก็เกิดขึ้นเอง..?
ตอบ : บางอย่างมีนิมิตบอกเหตุล่วงหน้า แต่เราไม่ได้ใส่ใจ พอถึงเวลาแล้วเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เราจึงนึกได้ว่าที่แท้เรารู้แล้ว

ถาม : หนูก็ไม่มีความมั่นใจในตนเอง กลัวตนเองจะไปเทียบ
ตอบ : ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นของแถมของนักปฏิบัติ ถ้าเราทำไปถึงระดับหนึ่ง จิตเริ่มสงบ ก็จะสะท้อนให้เห็นสิ่งรอบข้างได้

แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเสียมากกว่าดี ที่เสียมากกว่าดีเพราะเราไปติดในนิมิตเหล่านั้น นิมิตเหล่านั้นจะแม่นยำได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เอาจิตไปปรุงแต่งให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง สักแต่ว่ารับรู้เฉย ๆ แต่ทันทีที่เราไปอยากรู้อยากเห็น อาจจะอยากรู้เพื่อที่จะเอาไปบอกคนอื่น หรืออยากรู้เพื่อจะไปอวดใคร คราวนี้เราจะโดนหลอกให้เป๋ได้ง่าย

ทำไม่รู้ไม่ชี้นั่นแหละ มาก็รับรู้ไว้ด้วยความเคารพแล้วก็กองไว้ตรงนั้น

ถาม : มักจะกระโดดกลับไปกลับมา
ตอบ : เรื่องของนิมิตนั้นไม่มีต้นมีปลาย นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป กว่าจะรู้ส่วนใหญ่ก็เมื่อเหตุนั้นเกิดขึ้นแล้ว

เถรี
17-09-2010, 13:27
พระอาจารย์เล่าเรื่องถูกหวยให้ฟังว่า "เมื่อปี ๒๕๒๖ น้ำท่วม บ้านอาตมาอยู่ซอยอ่อนนุช เลยแยกศรีนครินทร์ไปหนึ่งป้ายรถเมล์ ตรงนั้นก็คือ ซอยอ่อนนุช ๖๖

ปรากฏว่ารัฐบาลเขาช่วยกันกั้นเขื่อนแค่ถนนศรีนครินทร์ บ้านเราน้ำก็เลยสูงถึงอก ท่วมอยู่ ๘ เดือน แต่ยังคงไปวัดตามปกติ กินบุญเก่าไปเรื่อย เงินก็จะหมด

วันนั้นหลังเที่ยงแล้วมีการฝึกมโนมยิทธิ พอฝึกเสร็จ ครูฝึกก็มารายงานยอดว่า วันนี้มีผู้ฝึกสามารถไปนิพพานได้ ๙๘ คน อาจารย์ยกทรงก็ถามว่า "ออกไหมครับ ?" พวกก็ฮากันครืน หลวงพ่อก็บอกว่า "เอาอย่างนี้สิ ๓๐๐-๙๘ เหลือเท่าไรวะ ?"

อาจารย์ยกทรงก็นั่งเงียบ หลวงพ่อพูดว่า "ไอ้ขี้หมา..แค่นี้ก็คิดไม่ทัน" จำไว้เลยว่าถ้าหลวงพ่อพูดแล้วทิ้งเลย ไม่ได้พูดเล่นต่อ แสดงว่าเลขนั้นออก แต่ถ้าท่านพูดเล่นต่อด้วยนี่ไม่ออกหรอก เราก็มานึกถึงเลข ๒๐๒"

เถรี
17-09-2010, 13:39
"ตอนแรกคิดจะซื้อหวยเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่เคยเล่น ก็ไม่ได้จดจ่อที่จะซื้อ

พอเลิกจากบ้านสายลมแล้ว ขี้เกียจกลับบ้านเพราะน้ำท่วม ดันนั่งรถเมล์ไปลงหน้ากองสลาก แม่ค้าเขาถามว่า "พี่เอาเลขอะไร ?" เราก็มอง ความคิดของเราก็คือ แม่ค้าคนหนึ่งเขาได้โควตาสองเล่ม เลขท้ายสามตัวอย่างเก่งสองเล่มก็มีแค่สองใบ

แต่แทนที่จะบอกว่าเอา ๒๐๒ สองใบ ดันไปบอกว่า "มี ๒๐๒ ไหม ? เท่าไรก็เอาหมด" ปรากฏว่า แม่ค้าสะกิดบอกต่อ ๆ กันไปเลย "ใครมี ๒๐๒ เอามาเลย พี่เขาซื้อหมด" เราไม่รู้ว่าเลข ๒๐๒ นั้นเพิ่งออกไป เขาส่ง ๒๐๒ มาทั้งหมด อยู่ ๆ เลขที่ขายไม่ได้มีคนมาเหมาซื้อถือว่าบ้าชัด ๆ..!

ทีนี้จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ก็เลยนั่งรถเลยไปเยี่ยมแม่ที่บ้านกำแพงแสน อยู่กับแม่หลายวัน กลับมาวันหวยออกพอดี ก็ไม่รู้ว่าหวยออก

ตอนเย็นผ่านกองสลากประมาณห้าโมงเย็น พอดีท่านแสงเขามาด้วย เขาสะกิด "พี่ ๆ ถูกหวยว่ะ" เขาชี้ให้ดู ปรากฏว่าตอนนั้นมีเลขท้ายสามตัวถึงห้าครั้ง งวดที่แล้วออกครั้งที่สอง ส่วนงวดนี้ออกครั้งที่ห้า ก็คือออกซ้ำเลขที่ซื้อนั่นแหละ

เท่ากับว่าเขาบังคับให้รวย "มีเท่าไรเอาหมด" พูดไปได้อย่างไร เป็นเพราะสถานการณ์บังคับจริง ๆ ที่แน่ ๆ ตอนนั้นเกือบจะไม่เหลือค่ารถกลับบ้าน เพราะเอาไปซื้อหวยเกือบหมด"

เถรี
17-09-2010, 14:30
"จำไว้ว่าหวยเป็นอบายมุข อบาย คือ ทางต่ำ , ทางเสื่อม
มุขะ คือ ปากทาง อบายมุข คือ ปากทางแห่งความเสื่อม

พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ย่อมทำให้ทรัพย์สินฉิบหาย ไม่มีผู้ใดเชื่อถือ"

เถรี
17-09-2010, 14:40
"เรื่องของบุญกุศลที่ทำไว้ ต่อให้ไม่เล่นหวย ถ้าวาระบุญเข้ามาสนองจริง ๆ ก็จะได้ในทางอื่นแทน

มีคนกวาดขยะเก็บได้รางวัลที่หนึ่ง ช็อกหัวใจวายตาย..! ตอนตายยังกำหวยใบนั้นอยู่เลย คนเขาก็สงสัยว่าได้หวยมาจากไหน ปรากฏว่ามีคนเอามาทิ้งไว้และเป็นหวยของงวดที่แล้วที่เขาไม่ถูก แต่เลขมาตรงกับรางวัลที่หนึ่งของงวดนี้ ตกลงว่าตายฟรี..!

ส่วนจ่าตำรวจที่ตาคลี นครสวรรค์ ซื้อหวยมา ๘๐ บาท รู้สึกเสียดายเงิน ตอนเย็นกินเหล้าก็เอาหวยไปยัดเยียดให้เพื่อน เพื่อนก็ไม่เอา จนกระทั่งท้ายสุดลดเหลือ ๕๐ บาท เพื่อนก็เลยต้องจำใจซื้อไป เขาเก็บหวยไว้เฉย ๆ

ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นถูกหวย ๖ ล้าน จ่าตำรวจที่ขายหวยให้เพื่อนไป ๕๐ บาท คว้าปืนจะเอามายิงหัวตัวเอง เพื่อนต้องห้ามกันอุตลุด เขาโกรธตัวเองที่โยนเงิน ๖ ล้านให้เพื่อนในราคา ๕๐ บาท แล้วบังคับให้เขาเอาด้วยนะ แสดงว่าคนเราสร้างบุญเอาไว้ ถ้าบุญจะสนองอย่างไรก็ต้องมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง"

เถรี
17-09-2010, 15:05
มีโยมมาจากสหรัฐอเมริกา เล่าให้พระอาจารย์ฟังว่า ตะกรุดมหาสะท้อนที่ตัวเองพกอยู่นั้นใช้ได้ผล พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

"จริง ๆ แล้วถึงเราไม่มีตะกรุดมหาสะท้อน ใช้คาถาอย่างเดียวก็ได้ผล แต่สมาธิต้องทรงตัว เราภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัว จะมีอานุภาพเหมือนกับใช้ตะกรุดมหาสะท้อน เพราะตะกรุดก็ปลุกด้วยคาถานี้ ต่างกันแค่พวกเราขาดความมั่นใจเท่านั้นเอง ถ้าสมาธิดีหน่อย มีความมั่นใจ ไม่ต้องไปเสียเงินบูชาตะกรุดแพง ๆ ก็ได้

เมื่อเช้านายทหารเขาเอาเช็คมาให้ เขาบอกว่าทำกระเป๋าเงินหาย แล้วตะกรุดอยู่ในนั้นด้วย ก็เลยต้องเสียเงินอีกหนึ่งหมื่นมาเอาของใหม่ อยากจะบอกว่าเป็นถึงระดับผู้บัญชาแล้ว ไม่ควรงมงายเรื่องนี้ แต่ก็พูดไม่ออก

วัตถุมงคลทุกประเภทสำคัญตรงกำลังใจของคนใช้ วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง มีการส่งคลื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้ากำลังใจของคนใช้ไม่เปิดรับ มีวัตถุมงคลไว้ก็เท่านั้น เหมือนกับไม่มีนั่นเอง

ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า คนที่เอาวัตถุมงคลไปใช้ ถึงเป็นของรุ่นเดียวกัน อย่างเดียวกันก็จริง แต่ได้ผลไม่เท่ากันหรอก คนที่กำลังใจเข้มแข็งมาก มีความศรัทธาเชื่อมั่นมาก ใช้ได้ผลมากกว่า คนที่อยู่ต่างประเทศใช้ได้ผลมากกว่าคนในประเทศ เพราะว่าอยู่ไกลแล้วไม่รู้จะพึ่งอะไร จึงต้องอาศัยวัตถุมงคลเป็นหลัก"

เถรี
17-09-2010, 17:15
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานมีคนคิดมิดีมิร้ายกับรองเท้าของอาตมา รองเท้าเลยต้องหนีไปซ่อน เฟิร์สเขาถามว่า เมื่อไรถึงจะรู้ได้ขนาดหลวงพ่อ ?

อาตมาบอกไปว่า มีสองวิธี วิธีแรก คือซ้อมบ่อย ๆ ให้คล่องตัว วิธีที่สองคือ อธิษฐานทุกครั้งว่า เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด"

เถรี
17-09-2010, 18:01
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "คนเราถ้ายังไม่ถึงที่ตายอย่างไรก็รอด แต่ถ้าถึงวาระจะตายอย่างไรก็ต้องตาย

สมัยอาตมาเด็ก ๆ มีโยมอยู่คนหนึ่ง หมอดูบอกเขาว่า วันนี้จะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แกก็เลยใช้วิธีนอนอยู่ในมุ้ง กะว่าถ้าไม่ออกไปไหนอย่างไรก็ไม่ตาย

ปรากฏว่าตอนสายแม่ไก่ออกไข่ แล้วบินขึ้นไปกระต๊ากบนขื่อ เกาะอยู่บนนั้น แต่ไก่ไปเกาะที่ปลายหอกพอดี พอน้ำหนักกดลง หอกก็พุ่งปราดลงมาเสียบคามุ้งเลย ฉะนั้น..อยู่ในมุ้งก็ตาย

หากไม่ถึงคราวตายวายชีวาตม์....ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ
หากว่าถึงคราวตายวายชีวัน......ไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกก็เสือกตาย"

เถรี
18-09-2010, 09:06
พระอาจารย์กล่าวให้โยมฟังว่า "ที่มานั่งรับสังฆทานที่นี่ จริง ๆ แล้วไม่ได้มานั่งเอาเงิน ถ้ามานั่งเพื่อเงินไม่มานั่งหรอก ทรมานขนาดนี้

มาที่นี่ก็เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมเขา อย่างน้อยให้เขาทำความดีอะไรบางอย่าง ที่เป็นปัจจัยไปสู่ภพภูมิที่ดีในภายภาคหน้าได้เราก็พอใจแล้ว

จะมานั่งเอาเงินหรือ ? อาตมากลับไปนอนที่วัดดีกว่า เพราะถ้าได้เงินมาก็ต้องทำนั่นทำนี่..เหนื่อยจะตายชัก ถามว่ากลัวเหนื่อยไหม ? ไม่ได้กลัวหรอก แต่เบื่อว่ะ..!"

เถรี
18-09-2010, 09:10
ถาม : เราทำงานร่วมกับพี่เขา ร่วมหุ้นทำกิจการกัน แล้วจะมาเกลียดกันทีหลังหรือเปล่า ? กลัวทำด้วยกันแล้วมีปัญหา
ตอบ : ของอย่างนี้ไม่มีใครรับรองให้คุณได้หรอก ต้องดูในธรรมบท มีชายคนหนึ่งต้องการจะทำบุญก่อน พระโมคคัลลานเถระก็ไปบอกเศรษฐีเจ้าของกิจนิมนต์ว่า ช่วยสละให้ชายคนนั้นก่อนได้ไหม เศรษฐีบอกว่าถ้าพระโมคคัลลานเถระประกันให้เขาได้สามอย่าง เขาก็จะให้ก่อน ถามว่าประกันอะไรบ้าง

๑. ประกันศรัทธา ศรัทธาเขาต้องไม่ถอย เขายังต้องคิดทำบุญอยู่
๒. ประกันฐานะ ฐานะเขายังต้องดีอยู่เหมือนเดิม เขาจึงจะได้ทำบุญ
๓. ประกันชีวิต ถ้าหากวันนี้ไม่ได้ทำ พรุ่งนี้เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ เขาจึงจะได้ทำบุญ

พระโมคคัลลานเถระบอกว่าประกันฐานะกับประกันชีวิตให้ได้ แต่ประกันศรัทธาไม่ได้ ศรัทธาเป็นกำลังใจของท่านเองจะขึ้นหรือจะลดก็แล้วแต่ท่านเศรษฐี

เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ตอนไหนที่สติสัมปชัญญะเราดี ก็ดีกัน..ใช่ไหม ? แต่ถ้าหน้ามืดตามัวขึ้นมาหรือผลประโยชน์ขึ้นหน้า แล้วใครจะไปประกันให้คุณได้ ? เรื่องพวกนี้ถ้าไปถามหมอดู หมอดูก็คงรวย เดี๋ยวเขาก็คงหาวิธีสะเดาะเคราะห์ให้

ไม่มีอะไรที่ประกันความเสี่ยงได้หรอก ถ้าจะทำก็ทำ อย่ามาจับพระเป็นตัวประกัน..!

เถรี
18-09-2010, 09:17
ถาม : โรคภัยไข้เจ็บตัวใหม่ที่เกิดขึ้น เราจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ?
ตอบ : ตอบแบบกำปั้นทุบดิน อย่าไปคลุกคลีกับคนที่ป่วย

ถาม : หมายถึงว่า ถ้าจะอาราธนาบารมีพระ หรือวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสก ?
ตอบ : ต้องมีความมั่นใจจริง ๆ กำลังใจต้องทรงตัวจริง ๆ และเวรกรรมเก่าตามไม่ทันจริง ๆ ถ้าตามทันอย่างไรก็ไม่รอด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก

สมัยก่อนโรคเอดส์ระบาด แล้วมีแค่ยันต์เกราะเพชร ความรู้สึกของอาตมาบอกชัดว่า "ชีวิตนี้เอ็งไม่เป็นเอดส์แน่ แค่ยันต์เกราะเพชรอย่างเดียวก็กันได้แล้ว.." รุ่งขึ้นเลยไปถามหลวงพ่อว่า "จริงหรือเปล่าครับ ที่ความรู้สึกผมบอกว่าแค่ยันต์เกราะเพชรก็กันเอดส์ได้แล้ว ?"

ท่านบอกว่า "ยันต์เกราะเพชรเขาเอาไว้กันไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ละเอียดกว่าเชื้อโรคเยอะ ในเมื่อเรามีความมั่นใจจริง ๆ สิ่งที่หยาบกว่าทำไมจะกันไม่ได้" แต่ที่รอดจากเอดส์มาได้จนทุกวันนี้ เพราะไม่เคยยุ่งกับใคร..!

เถรี
18-09-2010, 09:29
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บว่า "เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่ไปใส่ใจนัก ก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก

คุณยายประคิน อยู่เชียงใหม่ อายุ ๘๐ กว่าแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอด แต่บ้านนั้นแปลก ทั้งบ้านมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นทั้งนั้นเลย

ยายแกก็นั่งรอวันตาย บางวันยายก็นั่งหัวเราะ ลูกสาวก็ถาม "แม่ ๆ หัวเราะอะไร ?" ยายก็บอกว่า "แม่กำลังดูโรค มันไม่รู้หรอกว่า ถ้ามันเล่นข้าตาย มันก็โดนเผาไปด้วย" ยายแกหัวเราะขำเชื้อโรค

ตรงนี้เราจะเห็นชัดว่า คนที่เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ได้รู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะก็แค่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ เปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิไปตามกรรมที่เราทำมา ทำสิ่งที่ดีไว้ก็ขึ้นสูง ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากก็ลงต่ำเท่านั้นเอง

คนที่นั่งรอความตาย ถึงขนาดหัวเราะให้กับความตายได้ นี่หายากมาก"

เถรี
18-09-2010, 10:41
ถาม : ทำบุญโดยถวายเครื่องปรับอากาศจะมีอานิสงส์อย่างไร ?
ตอบ : เกิดมาชาติใหม่ น่าจะเย็นกายเย็นใจ ประเภทอยู่เย็นเป็นสุข

เถรี
18-09-2010, 11:57
ถาม : นั่งสมาธิต้องนั่งอย่างไร ?
ตอบ : นั่งอย่างไรก็ได้ แต่เวลายืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ไม่ไปคิดเรื่องอื่น

ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสมาธิเราก้าวไปอีกขั้นแล้ว ?
ตอบ : ไปศึกษาเรื่องการทรงฌาน แล้วทำให้ต่อเนื่อง อย่าให้ขาดช่วง ถ้าทำแล้วขาดช่วง กิเลสกินได้ สมาธิจะถอยหลัง ก็เลยอยู่ที่เราจะต้องใช้สติประคับประคองกำลังใจให้ต่อเนื่องเข้าไว้ อย่าให้ขาด ถ้าทำได้ไม่ขาดช่วง เวลาสมาธิก้าวหน้าขึ้นเราจะรู้ได้ เพราะผลที่เกิดก็เหมือนกับที่ตำราบอกเอาไว้

เถรี
18-09-2010, 12:00
ถาม : ถ้าจะถวายผ้าไตรจีวรในระหว่างพรรษา พระท่านจะรับได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าคนถวายสะดวกเวลาไหนก็ได้ ความจริงพระพุทธเจ้าระบุเวลาถวายจีวรเอาไว้ เรียกว่า กาลจีวร เพื่อป้องกันไม่ให้พระไปรบกวนขอชาวบ้านเรื่อยไป แต่นี่ถ้าโยมมีศรัทธาจะถวายเองก็รับเอาไว้ได้

ถาม : ถามพระท่าน เห็นท่านบอกว่าต้องไปถวายองค์อื่นต่อ
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านให้มีผ้าไตรจีวรชุดเดียว ถ้ามีมากกว่านั้นท่านให้ทำวิกัป คือ อย่างน้อยต้องมีบุคคลอื่นร่วมเป็นเจ้าของด้วย เพื่อป้องกันพระเณรจะโลภแล้วไปสะสมของเอาไว้เยอะ ๆ

จริง ๆ ถ้าอยากถวายก็ถวายไปเถอะ ท่านที่รู้ท่านก็ส่งเข้าคลังเป็นของกลาง ไม่เอาเป็นของตัวเอง ถึงเวลาใครจะใช้ก็ไปเบิกเอา ได้อานิสงส์สองต่อด้วย

ถาม : โยมไปเจอพระที่อยู่ในถ้ำ อากาศก็เย็น โยมเห็นแม่ชีนั่งชุนจีวรให้พระ โยมคิดว่าจะไปถวายท่านเพราะอากาศที่นั่นเย็น
ตอบ : หาผ้าแบบที่เป็นสังฆาฏิสองชั้น จะเป็นผ้าสำหรับพระธุดงค์โดยเฉพาะ ผ้าของพระธุดงค์บางสายหนาเป็นผ้าใบเลยก็มี ถ้าได้จีวรแบบนั้นไปกันหนาวได้แน่นอน แต่อาตมาเคยห่มจีวรสองชั้นเข้าไปไม่กี่ทีก็เข็ด เพราะหนัก..!

เถรี
18-09-2010, 12:02
ถาม : พระจะเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างไร ?
ตอบ : จะเป็นเจ้าอาวาสได้ อย่างน้อยต้องมีพรรษาพ้น ๕ ก็คือ พอออกพรรษาที่ ๕ แล้วก็เป็นได้

ข้อที่สองต้องจบนักธรรมเอกเป็นอย่างน้อย เพื่อที่จะได้มีความรู้พอที่จะปกครองคนได้

ข้อที่สาม ต้องเป็นบุคคลที่ทั้งพระและฆราวาสในบริเวณนั้นเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจะเป็น โดยเฉพาะพระผู้บังคับบัญชาอย่างน้อย ๓ รูป กฎหมายระบุเอาไว้เลยว่า คือ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าอาวาสในบริเวณใกล้เคียงวัดนั้นนั้น ลงความเห็นร่วมกันว่าท่านนี้ควรจะเป็น

พูดง่าย ๆ ว่า ต้องให้ชาวบ้านและพระมีความเห็นร่วมกันว่าท่านสมควรเป็น ชาวบ้านฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ พระฝ่ายเดียวก็ไม่ได้

เถรี
18-09-2010, 12:03
ถาม : เราอยากได้ลูกน้องที่ดี ๆ เก่ง ๆ เราต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ตั้งเครื่องบวงสรวง ขอกับเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ

ถาม : ตั้งกลางแจ้งได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เมื่อสำเร็จแล้วก็แก้บนแบบนั้นอีก ๑ ชุด

เถรี
18-09-2010, 12:05
ถาม : ถ้าผมต้องการเจิมรถ โดยไม่รบกวนท่าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : เจิมเอง

ถาม : ใช้อะไรบ้างครับ ?
ตอบ : แป้งหอม น้ำมันหอม คาถา บวกกับสมาธิเยอะ ๆ

ถาม : แล้วน้ำมันชาตรี ?
ตอบ : น้ำมันชาตรีเจิมได้ ดีที่สุดเลย เอาอย่างนี้สิ หาวัตถุมงคลที่เรามั่นใจ อาราธนาติดรถไว้ด้วย

จริง ๆ แล้วเราสามารถเจิมเองได้ เวลาเจิมให้ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบตัวไว้ ว่าเป็นพระหรือครูบาอาจารย์ท่านเจิม ถ้ารู้สึกแน่น ๆ หรือของขึ้นก็ไม่ต้องแปลกใจ แสดงว่าใช่เลย ออกรถเอาสีอะไรก็ได้นะ แต่อย่าไปใช้สีดำ

เถรี
18-09-2010, 12:29
ถาม : เป็นพระถอนขนรักแร้ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ในพระวินัยห้ามไว้ชัดเลย

ถาม : โกนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้

ถาม : หรือต้องให้ร่วงโดยธรรมชาติ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เกิดจากพระไปอาบน้ำที่ท่าน้ำแล้วช่วยกันถอน มีคนเขาตำหนิว่า ในเมื่อเป็นพระแล้วทำไมยังทำอาการเหมือนฆราวาสที่ยังเสพกามอยู่ พอพระพุทธเจ้าท่านทราบ ท่านก็เลยห้าม ป้องกันชาวบ้านติเตียนพระแล้วเกิดโทษแก่เขา

เถรี
20-09-2010, 00:47
ถาม : ภิกษุฉันน้ำเต้าหู้ได้หรือไม่ ?
ตอบ : ภิกษุสามเณรห้ามฉัน ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลือง ไวตามิลค์ น้ำเต้าหู้ ถือว่าเป็นตระกูลเดียวกัน เพราะว่าสิ่งที่เป็นถั่วพระพุทธเจ้าท่านจัดว่าเป็นอาหาร

ท่านบอกว่าถึงทำเป็นปานะก็ไม่ควร แต่ถ้าฆราวาสถือศีลแปดกินเข้าไปเถอะ ท่านไม่ได้ห้ามหรอก เพราะท่านห้ามศีลพระไม่ใช่ศีลฆราวาส

ถาม : นมสัตว์ห้ามไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากเป็นนมข้น พระธรรมยุติจะไม่ฉัน เนื่องจากมีส่วนผสมของแป้งที่เป็นอาหารเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องพูดถึงไมโล โอวัลติน นั่นเป็นข้าวบ้าง ไข่บ้าง ยิ่งเป็นอาหารหนักเข้าไปใหญ่

นึกถึงหลวงตาบัว ท่านบอกว่าสมัยที่ท่านยังเดินธุดงค์อยู่ ไมโล โอวัลติน หน้าตาเป็นอย่างไร แค่จะฝันก็ยังฝันไม่ถึงเลย เพราะไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องพูดว่าจะได้ฉัน

ที่จะได้ฉันก็คือใบไม้ รากไม้ แก่นไม้ ที่เอามาต้มเป็นสมุนไพร โดยเฉพาะน้ำต้มบอระเพ็ด น้ำต้มใบชุมเห็ด หรือถ้าเป็นพวกผลเภสัช อย่างสมอหรือมะขามป้อมก็พอได้อยู่ แต่อย่างอื่นในป่าไม่มี

พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) แต่ละเดือนเมื่ออาตมาลาหลวงพ่อได้ก็จะไปธุดงค์ พอกลับมาก็มาไหว้พระผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัด ก็คือ ไปลามาไหว้ พี่โอท่านก็ปรารภว่า "ไปธุดงค์อย่างท่านผมก็อยากไป แต่ในป่าไม่มีเนสว่ะ..!"

ท่านบอกว่า ท่านขาดกาแฟไม่ได้ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิท่านจะอธิษฐานตรัสรู้ใต้ต้นกาแฟ..! แสดงว่าเป็นเอามาก อาตมาก็เพิ่งรู้จากหลวงพี่โอนั่นแหละว่าเนสกาแฟมีทั้งฝาแดง ฝาดำ ฝาทอง ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เพราะไม่ได้ฉัน

เถรี
20-09-2010, 00:51
ถาม : ที่ท่านให้พร สิทธิกิจจัง แปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : สิทธิกิจจัง ขอให้การงานสำเร็จ สิทธิกัมมัง ขอให้การกระทำทุกอย่างจงสำเร็จ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง ขอให้มีลาภตลอดกาลนาน สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง ขอให้มีเดชมีอำนาจที่ยั่งยืน สัพพะสิทธิ ภะวันตุ เต ขอความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้จงมีแก่เธอ

เถรี
20-09-2010, 00:54
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องศีลว่า "ในเรื่องของศีลพระ ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่าศีล ๑๐ ก็พอแล้ว ที่เหลือนั้นเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน เพราะชาวบ้านคิดว่าพระควรจะต้องเป็นอย่างนั้น

ถ้าเราไม่ทำตาม เขาจะตำหนิเอา หรือขาดความเลื่อมใสขึ้นมา ศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติศีลส่วนหนึ่งเพื่อตามใจชาวบ้าน เป็นศีลเพื่อชาวโลก ป้องกันเขากล่าวร้าย ว่าติเตียนพระสงฆ์"

เถรี
20-09-2010, 00:58
พระอาจารย์เล่าเรื่องให้ฟังว่า "พระภัททิยะศากยราชา เป็นพระราชาของแคว้นศากยะ เป็นพระญาติพระวงศ์ของพระพุทธเจ้า พอท่านมาบวชในพระพุทธศาสนา นอนกลางดินกินกลางทราย ท่านก็รำพึงว่า "อโห..สุขขัง สุขจริงหนอ"

พอพระปุถุชนได้ยินเข้าก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า บอกว่าพระภัททิยะศากยราชาไปรำพึงถึงราชสมบัติ คงจะสึกในเวลาอันไม่นาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระภัททิยะไม่ได้รำพึงถึงราชสมบัติ แต่รำพึงถึงความสุขที่ไม่มีราชสมบัตินั้น

ตอนที่ครองราชสมบัติอยู่ จะต้องทำมาหากินทุกอย่าง จะต้องสู้รบ จะต้องดูแลประชาชน จะต้องคอยระแวดระวังว่าคนจะชิงราชสมบัติ แต่ละวันนอนไม่เต็มตาสักวัน มัวแต่หวาดผวา พอทิ้งหมดทุกอย่าง มานอนกลางดินกินกลางทราย กลับหลับสบาย ไม่มีอะไรให้ห่วง

ทำอย่างนั้นให้ได้นะ ถึงเวลาเราก็ไปตัวเปล่า อโห..สุขขัง"

เถรี
20-09-2010, 11:27
พระอาจารย์กล่าวถึงโลกันตนรกให้ฟังว่า "โลกันต์เขาลงโทษด้วยความเย็น เป็นนรกขุมเดียวที่อาตมาสนใจไปดู ขุมอื่น ๆ ไม่ไปหรอก เพราะว่าเคยลงมาหมดแล้ว ขาดโลกันต์ขุมเดียวยังไม่ได้ลง จึงต้องไปดู

อยากจะรู้ว่าการลงโทษด้วยความเย็นนั้นเย็นขนาดไหน ? ก็เย็นขนาดที่สัตว์นรกตกกระทบผิวน้ำแล้วป่นเป็นผงไปเลย กรอบขนาดนั้นเลย แต่ป่นเป็นผงเฉพาะส่วนของเลือดเนื้อ แต่กระดูกยังอยู่ ลองนึกถึงว่า ลำพังตัวคนก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเหลือแต่กระดูกจะหนาวขนาดไหน ? เป็นรสชาติที่อธิบายไม่ได้หรอก นอกจากไปลงเสียเอง

สักพักหนึ่งเลือดเนื้อก็กลับมาใหม่ รีบว่ายตะเกียกตะกายเพื่อจะหนีขึ้นฝั่ง บางคนก็ตกอยู่ชิดฝั่งนี้ แต่มองอะไรไม่เห็น ก็ตะกายว่ายไปอีกฝั่ง กว่าจะไปถึงก็อีกไกล ร่างก็แตกกรอบไปอีกรอบหนึ่ง"

ถาม : ทำผิดอะไรนักหนาถึงโดนขนาดนี้ ?
ตอบ : ทำผิดประมาณสี่เท่าของอเวจี อย่าคิดว่าไม่มีใครทำได้นะ ตัวอย่างมี ในคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของมหายาน เขากล่าวถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สองว่า ไม่ใช่เกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาแบบของเถรวาท

ของเถรวาทกล่าวว่า การสังคายนาเกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาเพราะว่าภิกษุพาวัชชีไปผ่อนผันศีลอยู่ ๑๐ ข้อ อย่างเช่นว่า สุรารสอ่อนที่มีสีแดงเหมือนเท้านกพิราบนั้นดื่มได้ ก็คือกินไวน์ได้ หรือจับต้องเงินทองได้ ฯลฯ พระยสกากัณฑบุตรจึงต้องทำการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

เถรี
20-09-2010, 11:36
แต่ทางด้านคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของทางด้านสันสกฤตที่เป็นมหายาน เขาบอกว่าการสังคายนาครั้งที่ ๒ เกิดจากมติของพระมหาเทวะ ๕ ข้อ

มหาเทวะ เป็นลูกพ่อค้าเกวียน มีแม่ที่สวยมาก พ่อไปค้าขายต่างเมืองบ่อย ๆ เมื่อพระมหาเทวะโตเป็นหนุ่ม ก็เลยเป็นชู้กับแม่ตัวเอง แล้วกลัวว่าพ่อของตนเองจะรู้ พอพ่อกลับมาก็เลยฆ่าพ่อเสีย แล้วพาแม่หนีไปอยู่เมืองอื่น

พอไปอยู่ที่เมืองอื่น เจอพระอรหันต์องค์หนึ่งที่รู้จักว่าท่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน พระมหาเทวะกลัวว่าพระอรหันต์จะบอกเบื้องหลังของตน ก็เลยฆ่าพระอรหันต์ พอฆ่าพระอรหันต์เสร็จโดนแม่ดุด่า ว่าทำไมไปสร้างอนันตริยกรรมขนาดนั้น ก็เลยฆ่าแม่ด้วย..!

ด้วยความเครียดที่ตัวเองทำสิ่งที่เป็นกรรมหนักขนาดนั้น ก็เลยคิดจะล้างกรรมโดยการหนีไปบวชในพระพุทธศาสนา พอหนีไปบวชด้วยความที่ท่านเป็นคนฉลาดมีปัญญามาก สามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ ลูกศิษย์ก็เลยเยอะ พออยู่ไปก็เกิดวิปลาสขึ้นมา เที่ยวไปพยากรณ์ว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์

ลูกศิษย์ก็บอกว่า "พระอรหันต์ท่านน่าจะรู้ทุกอย่าง แต่ทำไมผมไม่รู้ตัวว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมอาจารย์บอกว่าผมเป็น ?" ท่านบอกว่าพระอรหันต์อาจจะมีอันญาณ คือ ความไม่รู้ได้ การจะได้มรรคผลหรือไม่ได้มรรคผลต้องมีผู้รู้พยากรณ์ให้

พอพระลูกศิษย์ท่านสงสัย พระมหาเทวะท่านก็เครียด เพราะกลัวคนจะรู้ความลับด้วย ขณะเดียวกันลูกศิษย์ก็ฉลาด มาเรียนก็ไม่ได้เรียนเปล่า ปฏิบัติไปด้วย สงสัยตรงไหนก็ไปไล่ถามและอาจารย์ก็ไม่เก่งจริง พอพระมหาเทวะเครียดขึ้นมา ก็ไปยืนรำพึงว่า "อโห..ทุกขัง ทุกข์จริงหนอ"

ลูกศิษย์พอได้ยินก็ถาม "อาจารย์เป็นพระอรหันต์แล้วยังทุกข์อยู่อีกหรือ ?" พระมหาเทวะก็เก่ง บอกว่าคนจะเป็นพระอรหันต์ได้จะต้องภาวนาว่า อโห..ทุกขัง พระมหาเทวะก็แก้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

เถรี
20-09-2010, 11:45
จนกระทั่งวันหนึ่งพระมหาเทวะ "ฝันเปียก" ลูกศิษย์เอาสบงไปซัก เห็นเข้าจึงถามว่า "ไหนอาจารย์ว่าเป็นพระอรหันต์หมดความกำหนัดแล้ว ทำไมยังฝันเปียกอยู่ ?" พระมหาเทวะก็บอกว่าพระอรหันต์อาจจะโดนมารยั่วยวนในความฝันได้

มติเหล่านี้ลูกศิษย์เขาบันทึกลงในคัมภีร์ กลายเป็นอาจาริยวาท ก็คือ คำสอนเฉพาะตัวของแต่ละอาจารย์ที่ลูกศิษย์เขานับถือ ซึ่งทำให้ธรรมะจริง ๆ เสียหายหมด จึงต้องมีการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

เราอาจจะคิดว่า ไม่มีคนที่สามารถจะทำผิดถึงสี่เท่าของอเวจีได้ แต่มหาเทวะทำได้สำเร็จ ทั้งทำลายพระธรรมวินัย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ โทษอเวจีล้วน ๆ เลย เขาเป็นยอดคนจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีโลกันต์เป็นที่ไป ได้ตู้เย็นส่วนตัว..! จะว่าไปแล้ว กำลังใจขนาดนี้ถ้าพลิกมุมนิดเดียวอาจจะบรรลุมรรคผลไปเลย

เถรี
20-09-2010, 16:22
จากสาเหตุที่มุสลิมทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา ใช้เวลาเผาคัมภีร์ทิ้งอยู่สองเดือน นึกเอาแล้วกันว่ามีคัมภีร์พุทธศาสนาจำนวนมหาศาลแค่ไหน ? จึงทำให้คัมภีร์พุทธเถรวาทส่วนใหญ่สูญหายไป ที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นฝ่ายของสันสกฤต

ในเมื่อไม่มีของเถรวาทมาเปรียบเทียบ จึงไม่รู้ว่ามหายานต่างจากของเราเท่าไร คัมภีร์ของมหายานบันทึกด้วยภาษาสันสกฤต คัมภีร์ของเถรวาทบันทึกด้วยบาลี นี่ก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกัน

ข้อดีของบาลีก็คือ เป็นภาษาที่คนเขาเลิกใช้แล้ว ในเมื่อเลิกใช้แล้วความหมายจึงไม่เปลี่ยน เขียนอย่างไรก็แปลอย่างนั้น ภาษาสันสกฤตก็มีข้อดีของเขา ก็คือ บันทึกแล้วคนทั่วไปอ่านได้ เพราะว่าอินเดียใช้ภาษาสันสกฤตบันทึกพวกหนังสือหรือคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นปกติ

เหตุนี้จึงทำให้คัมภีร์มหายานแพร่หลายมากกว่า เพราะคนอ่านออก ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนแทบเป็นแทบตายกว่าจะแปลได้อย่างของบาลี แต่ของบาลีเนื้อความไม่เพี้ยน ยกเว้นว่าคนแปลจะแปลผิดเสียเอง

เถรี
20-09-2010, 16:38
หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า พระไตรปิฎกฉบับที่เชื่อถือได้มากที่สุด ก็คือฉบับที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานให้ออกญาโกษาปาน นำไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ฉบับนั้นยังไม่เพี้ยน

มารุ่นหลังความหมายเริ่มเพี้ยนเยอะ เอาแค่พระสูตรแรกในทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก เปิดพระไตรปิฎกขึ้นมา ถ้าถึงสุตตันตปิฎกก็จะเจอเลย พระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร

พรัหมะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ชาละ คือตาข่าย เขาตีความหมายว่า พระสูตรแห่งข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า อยู่ในลักษณะยกย่องว่าพระพุทธเจ้ามีข่ายคือพระญาณอันประเสริฐ จึงสามารถรู้ลัทธิต่าง ๆ ของศาสดาอื่น ๆ ได้ถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน

แต่ความจริงความหมายนี้ผิด คำว่าพรหมชาละตัวนี้แปลว่า ตาข่ายดักพรหม ก็คือ บรรดาทิฐิทั้ง ๖๒ ลัทธิไม่มีใครหลุดพ้นไปจากพรหมหรอก ติดอยู่แค่นั้นแหละ ไม่เกินนั้นเด็ดขาด

ถ้าตีความผิดไปเรื่อย ๆ ต่อไปความหมายก็จะเพี้ยนไปด้วย เพราะฉะนั้น..ภาษาบาลีถึงแม้ว่าจะดี เพราะเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว ความหมายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าเข้าถึงแค่ไหน

โดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ธรรมะจริง ๆ แล้ว ไม่สามารถบันทึกเป็นตัวหนังสือได้ เพราะว่าอารมณ์ธรรมจริง ๆ เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือหนังสือจะบันทึกไว้ได้

เถรี
20-09-2010, 17:21
"ตอนนี้บ้านเราเป็นศาสนาปฏิรูป เป็นศาสนาพุทธที่มีตรีมูรติ มีพระพรหม มีพระพิฆเนศ มีเจ้าแม่กวนอิม แม้กระทั่งพระสงฆ์ก็โดนทำให้กลายเป็นลักษณะของเทพ ก็คือ ได้รับการยกย่องบูชาเฉพาะตนไปเลย

ลักษณะบูชาเฉพาะตนอย่างนี้เป็นลักษณะการบูชาแบบฮินดู ที่เขาบูชาเทพ กลายเป็นว่าสิ่งที่ศาสนิกอื่นปฏิบัติในศาสนาของเขา คนไทยรับมาโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อรับเอามาโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาปฏิบัติต่อพระสงฆ์ที่ตนเองเคารพ อย่างเช่นท่านมรณภาพไป ก็สร้างเจดีย์ใหญ่โตมโหฬาร หรือสร้างมณฑปบรรจุสังขารเอาไว้ให้ลูกหลานบูชาต่อ

กลายเป็นว่าติดอยู่เฉพาะในส่วนของเปลือกเท่านั้น เข้าไม่ถึงหลักธรรมที่แท้จริง แต่ถามว่าดีไหม ? อย่างน้อยก็มีความดีอยู่ส่วนหนึ่ง ก็คือ คนยังเกาะความดีอยู่ในขอบเขตของศาสนาอยู่ ยังอยู่ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญอยู่ว่าควรกระทำ แต่คราวนี้ถ้ายึดเกาะมากจนเกินไป ก็จะเอาตัวไม่รอด คำว่าเอาตัวไม่รอดในที่นี้ คือหลุดพ้นไม่ได้ เพราะยังไปยึดสังขาร ไปยึดตัวบุคคลอยู่"

เถรี
21-09-2010, 18:03
มีคนถามถึงรูปหล่อของหลวงปู่มหาอำพัน ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของพระอาจารย์ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "รูปหล่อที่เห็นก็คือ หลวงปู่มหาอำพัน อาตมาเรียกหลวงปู่มหาอำพันจนติดปาก พอบอกว่า ท่านเจ้าคุณภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ กลับไม่มีใครรู้จัก ถึงมีคนรู้จักแต่ก็รู้จักน้อย

ขำตัวเองสมัยวัยรุ่น มีความรู้สึกว่าพระที่เป็นเจ้าคุณนั้นหาดีได้ยาก คราวนี้ได้เหรียญมา เห็นเขียนว่าเจ้าคุณนรรัตน์ ธมฺมวิตกฺโก ก็เลยไม่สนใจ จึงโดนพี่ชายหลอกเอาเหรียญไปฟรี ๆ ตอนหลังเลยมารู้ว่า พระจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ยศตำแหน่ง

จริง ๆ แล้ว หลวงปู่มหาอำพันท่านมีน้ำหนักกว่า ๘๐ กิโลกรัม แต่พอป่วยเข้าโรงพยาบาลสองครั้ง น้ำหนักท่านลดเหลือแค่ ๔๐ กว่ากิโลกรัม

หลวงปู่เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ล่ำสันมาก ๆ แต่ทีนี้ท่านเป็นโรคด่างขาว ขาวทั้งองค์ก็เลยกลายเป็นผิวขาวชมพู เพราะฉะนั้น..คนเห็นหลวงปู่รูปร่างสูงใหญ่ แล้วผิวขาวเป็นแบบนั้น ก็นึกว่าท่านเป็นฝรั่ง พอไปคุยภาษาอังกฤษกับท่านด้วย ท่านตอบน้ำไหลไฟดับอีก ก็ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะท่านเป็นนักเรียนทุน King's Scholarship รุ่นแรก

ท่านไปไหว้พระแก้วมรกต บนขอให้สอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ ปรากฏว่ามีเสียงเข้าหูชัด ๆ ว่า "air vision" เกี่ยวกับเรื่องการบิน ท่านก็เลยไปเขียนเรียงความเกี่ยวกับเรื่องการบินแล้วไปให้อาจารย์ตรวจ อาจารย์ไม่พอใจตรงไหนก็ไปแก้ใหม่ หลายเที่ยวด้วยกัน จนกระทั่งมั่นใจว่าเรื่องนี้ท่านหลับตาก็เขียนได้ พอไปสอบปรากฏว่า หัวข้อออกมาให้เขียนเรื่องนี้จริง ๆ ท่านก็เลยสอบได้ที่ ๑"

เถรี
21-09-2010, 18:09
"ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่สอบได้ที่ ๑ แต่เรียนไม่จบ เพราะไม่ชินกับอากาศทางอังกฤษ จึงป่วยหนัก กลับมารักษาตัวอยู่ที่เมืองไทยปีกว่า เพื่อน ๆ เรียนจบกันกลับมา กลายเป็นคุณหลวง คุณพระไปหมด ท่านเองป่วยหนักจะกลับไปเรียนก็ไม่ทันเพื่อนแล้ว

พอดีคุณแม่ขอให้บวช ก็เลยบวช ด้วยความที่ท่านเป็นบุคคลที่ว่านอนสอนง่าย มีอปจายนมัยสูงมาก พ่อแม่บอกอย่างไรคืออย่างนั้น ท่านก็บวชให้

หลวงปู่ท่านติดยาเส้น สูบตอนอยู่เมืองนอก สูบด้วยกล้อง ท่านน่าจะสูบมาทุกยี่ห้อ เพราะบางทีท่านก็มานั่งบรรยายให้อาตมาฟังว่า แต่ละอย่างรสชาติเป็นอย่างไร ฮาวานนาหอมฉุน อียิปเชียนออกหวานอย่างไร ท่านบอกได้หมด

ถามหลวงปู่ว่าเลิกตอนไหน ? ท่านบอกว่ามีอยู่วันหนึ่ง หลังเพลนั่งดูดยาเส้นอยู่ ดูดไปดูดมา "ยาก็แพง กล้องก็แพง เราเองตั้งแต่เกิดมาไม่เคยหาเงินให้พ่อแม่เลย ไปเรียนก็ไม่จบ กลับมายังไม่ได้ทำงานก็มาบวชซะแล้ว ตกลงไม่ได้ตอบแทนคุณอะไรพ่อแม่เลย แล้วยังมาล้างผลาญพ่อแม่อีก" เพราะยาเส้นพวกนั้นต้องสั่งจากเมืองนอกทั้งหมด

ท่านก็เลยโยนกล้องลงถังขยะ ตั้งแต่นั้นมาก็จบกัน"

เถรี
21-09-2010, 18:22
"เราจะเห็นสองอย่างที่ชัดที่สุด อย่างแรกคือ อปจายนมัย ความอ่อนน้อมถ่อมตน หลวงปู่ท่านอ่อนน้อมถึงขนาดที่ว่า อาตมาเพิ่งบวชท่านยกมือไหว้ เล่นเอาอาตมานี่เหงื่อแตกพลั่ก

อย่างที่สอง คือความเด็ดขาดของกำลังใจ เลิกเป็นเลิก ไม่ใช่บุหรี่ธรรมดา ท่านสูบกล้องเลย แรงกว่าบุหรี่เยอะ แต่ท่านเลิกแล้วเลิกเลย

จุดต่อไปก็คือ ท่านเจ้าคุณนรฯ บวชเข้ามา กิตติศัพท์ความที่เป็นคนซื่อตรง จงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ ๖ และความเป็นคนเอาจริงเอาจัง ศึกษาทุกอย่าง เรียนจนรู้จริงทุกอย่าง ก็เลยทำให้หลวงปู่ท่านไม่ได้ถือตัวว่าตัวเองบวชก่อน ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่บวชก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ แปดเดือน

หลวงปู่ท่านไปคบหาสมาคมสอบถามขอความรู้ด้วย ทีนี้ต่างคนต่างเก่งภาษาอังกฤษ อ่านตำรามามากพอ ๆ กัน บางทีเวลาคุยกันก็พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ถ้าพวกเราอ่านตำราที่เจ้าคุณนรฯ เขียน ท่านเขียนตำราใช้ภาษาอังกฤษประกอบเยอะมาก แต่ท่านไม่เคยไปเมืองนอกเลยนะ ท่านฝึกจนแตกฉานเอง

พอท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านทำสมาธิบ่อย ๆ จนเกิดผล ท่านก็บอกว่าให้หลวงปู่ลองทำดูบ้าง หลวงปู่ท่านเป็นคนว่าง่าย พอชอบใจท่านก็ลองทำดูบ้าง ทำไปทำมา ท่านอยากได้ตาทิพย์ แล้วท่านไม่เข้าใจ

หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านได้ตาทิพย์ แต่ท่านก็อธิบายให้หลวงปู่มหาอำพันเข้าใจไม่ได้ ว่าตาทิพย์คืออะไร ? จนกระทั่งท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพ พอถึงปี ๒๕๑๖ หลวงปู่ก็ได้พบกับหลวงพ่อวัดท่าซุง"

เถรี
21-09-2010, 18:40
"หลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้แยกแยะให้ว่า ตาทิพย์กับทิพจักขุนั้นคนละเรื่องกัน ตาทิพย์เป็นเรื่องของพรหมเทวดาหรือผี เขาจะมีเป็นปกติ แต่ทิพจักขุญาณ ก็คือความรู้เหมือนกับมีตาทิพย์ อยากรู้เรื่องอะไรก็จะรู้ได้

นั่นแหละ..สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของหลวงปู่จึงได้หลุดมา หลวงปู่จึงได้กราบหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่อายุของหลวงปู่ก็มากกว่าเป็นรอบ พรรษาก็มากกว่าเป็นสิบพรรษา

ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ในเรื่องการเอาจริงเอาจังและใฝ่รู้ ใครมีโอกาสเข้าไปดูในกุฏิหลวงปู่ จะเห็นว่าตำราแน่นไปทั้งห้องเลย ถึงเวลาท่านก็คว้าหนังสือขึ้นมานั่งอ่านสบายใจ ไม่จบไม่เลิก บางทีอาตมาก็นั่งสับปะหงกรอ

สี่ทุ่มก็แล้ว..ห้าทุ่มก็แล้ว คนสมาธิดีเหมือนกับดิ่งลึกเข้าไปอยู่กับเนื้อหา จึงไม่รู้ถึงเวลาที่เปลี่ยนไป พอท่านเงยหน้าขึ้นมาเห็นเราสับปะหงกครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ "อ้าว..นอนดีกว่า แต่..ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนนะ" แล้วก็ไปสวดมนต์ไหว้พระอีกเป็นชั่วโมง แล้วถึงจะเข้านอน"

เถรี
21-09-2010, 19:42
"อาตมามีจดหมายจากหลวงปู่อยู่หลายฉบับ สมัยนั้นอยู่วัดท่าซุง ไม่สะดวกที่จะใช้โทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์เป็นของกลาง ถ้าใช้ก็เท่ากับว่าหลวงพ่อท่านจ่าย

มือถือก็ไม่ได้มีเกลื่อนกลาดเหมือนสมัยนี้ จำได้ว่ามือถือเครื่องแรกที่หลวงพ่อสั่งติดตั้ง ราคาแปดหมื่นบาท เครื่องใหญ่เท่ากระเป๋าเอกสาร หนักอึ้งเลย ไปไหนก็ต้องหิ้วไปด้วย"

เถรี
21-09-2010, 20:29
พระอาจารย์กล่าวถึงภาษาบาลีว่า "ปาลิภาสา อุตฺตมภาสา แปลว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาอันสูงสุด ในอรรถกถาท่านบอกว่า ที่เป็นภาษาสูงสุดเพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสเป็นภาษาบาลี พระพรหมสนทนากันด้วยภาษาบาลี บุคคลต้นกัปใช้ภาษาบาลีในการสื่อสาร

เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ ถ้าไม่มีใครสอนภาษา ไม่เคยได้ยินภาษาอะไรมาก่อนเลย จะสื่อสารด้วยภาษาบาลี อย่างเช่น "อะมะ..ข้าแต่แม่" เพราะฉะนั้น..ความพิเศษของภาษาบาลี ก็ดังที่ได้วิสัชชนามานี้แล เอวัง."

เถรี
21-09-2010, 20:54
ถาม : อยากรู้วิธีการฝึกความเพียร
ตอบ : การฝึกความเพียร แค่ทำทุกอย่างบ่อย ๆ โดยไม่เบื่อเสียก่อน นั่นแหละคือการฝึก..!

เรียนก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาเรียน เพื่อนอ่านหนังสือ ๑ จบ เราต้องอ่านให้ได้อย่างน้อย ๒๐ จบ นั่นแหละคือความเพียร เพื่อนทำสมาธิ ๕ นาที เราทำ ๕ นาทีเหมือนกัน แต่เราทำ ๕ รอบ ๘ รอบ นั่นคือความเพียร

สำคัญตรงที่ว่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก กำลังใจต้องไม่ลดลง เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ กำลังใจต้องเท่ากับครั้งแรกที่ทำ ไม่ใช่พอครั้งท้าย ๆ ก็ทำแบบซังกะตาย ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ความเพียร

บุคคลที่ทำความเพียรต้องมุ่งประโยชน์ ดูตัวอย่างของพระมหาชนก ท่านว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทร ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลาถามว่าท่านจะว่ายไปทำไม ฝั่งยังมองไม่เห็นเลยว่าอยู่ตรงไหน ?

พระมหาชนกตอบว่า ที่ท่านเพียรพยายามว่ายอยู่ ก็เพื่อหวังบรรลุถึงฝั่ง ถ้าหากว่าฝั่งอยู่ไม่ไกล ถ้าท่านรามือปล่อยให้จมน้ำตาย ก็ถือว่าเสียชาติเกิด แต่ถ้าหากฝั่งอยู่ไกลเกินกำลัง หลังจากที่เพียรสุดกำลังแล้ว ถึงจมน้ำตายก็ยังตอบตัวเองได้ว่า เราได้ใช้ความพยายามเต็มที่แล้ว นางมณีเมขลาได้รับคำตอบแล้วชอบใจ ก็เลยช่วยอุ้มไปส่ง

เถรี
21-09-2010, 20:57
ถาม : อารมณ์ตรงนี้เหมือนกับเราตื๊อสู้กิเลส แล้วเราแพ้
ตอบ : แรก ๆ ก็จะเป็นอย่างนั้น ก็คือ กำลังของเรายังไม่พอหรอก เราแพ้กิเลสแน่ แต่พอทำไปบ่อย ๆ ก็จะเบาไปเรื่อย ๆ เพราะกำลังของเราเข้มแข็งขึ้น กิเลสชักจะสู้เราไม่ได้ ก็ค่อย ๆ รามือถอยไป จนกระทั่งท้ายสุดเราไม่ต้องใช้ความพยายาม เราก็สามารถทำได้อย่างสบาย ๆ

ลองไปดูคนที่รักษาศีลไม่ได้ หรือไม่ก็ลองนึกถึงตัวเราที่รักษาศีลใหม่ ๆ ผิดแล้วผิดอีก แต่เราก็พยายามทำอย่างไรที่จะให้ศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ได้

ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูงเลย สติ สมาธิ ปัญญา ความสามารถมีเท่าไรต้องทุ่มเทลงไปจนหมด แต่พอมาทุกวันนี้ศีลทรงตัวแล้ว เราไม่เห็นต้องใช้ความพยายามอะไรเลย จะยืน เดิน นั่ง นอน อย่างไรก็อยู่ในศีล

ขณะเดียวกันคนที่เขายังรักษาศีลไม่ได้ เขาจะเห็นเหมือนกับแบกช้างทั้งตัว ต้องทุ่มเทความสามารถชนิดจนหยดสุดท้ายแล้วก็ยังเอาตัวไม่รอด ถ้ามองตรงนี้เราจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน

หลังจากที่ได้เพียรพยายามมาระยะหนึ่ง ความเข้มแข็งจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ งานก็จะเบาลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด ทำงานก็เหมือนไม่ได้ทำ ถึงได้บอกว่า ถ้าเบาก็ถูก ถ้าหนักยังไม่ใช่

เถรี
23-09-2010, 00:57
พระอาจารย์สอนน้องคนหนึ่งในเรื่องการเรียนว่า "ตอนอาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ อาจารย์นั่งตรวจข้อสอบ อาตมาก็เลียบ ๆ เคียง ๆ เข้าไปถามว่า "อาจารย์ครับ..วิชานี้ผมได้เท่าไร ?" อาจารย์ท่านถามเลขที่เท่าไร ? เราก็ตอบว่า "เลขที่ ๑๖ ครับ"

พออาจารย์เปิดดูก็บอกว่า "ได้เต็ม..เก่งนี่ ทำคะแนนได้เต็ม ไม่พร่องสักคะแนนเดียว" ก็เรียนอาจารย์ไปว่า "อาจารย์ครับ..วิชาอาจารย์ผมอ่านน้อยที่สุดเลย ประมาณ ๒๐ เที่ยวเท่านั้น..!"

คุณลองนึกดู..วิชาที่อาตมาอ่านมากที่สุดจะกี่เที่ยว ? ขณะเดียวกัน..เราเคยอ่านหนังสือจบสักเที่ยวจริง ๆ ไหม ?

ลองไปใช้ดู..ไม่ต้องถึง ๒๐ เที่ยวหรอก สัก ๑๐ เที่ยวก็พอ บางอย่างเราอาจจะไม่เข้าใจในการอ่านครั้งแรก พออ่านครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ ผ่านไป จะเริ่มจับเค้าหรือจับใจความได้

พอครั้งที่ ๕ ครั้งที่ ๖ ครั้งที่ ๗ ครั้งที่ ๘ คราวนี้ความกระจ่างจะมีขึ้นมากเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสว่า สุตัง ปริโยทเปติ อะไรก็ตามที่ได้รู้ได้ฟังมา ถ้าหากได้รับฟังซ้ำเข้า ก็จะเข้าใจแจ่มชัดยิ่งขึ้น

ไปลองทำให้ระบือลือลั่นเสียที เต็มทุกวิชาไม่ได้ก็เอาให้เต็มสัก ๒ - ๓ วิชาก็ยังดี ไม่ใช่ทำทีไรก็ได้แค่คาบเส้นต่องแต่งหรือตกจนต้องซ่อมเป็นประจำ"

เถรี
23-09-2010, 01:03
มีครอบครัวหนึ่ง นำสุนัขมาที่บ้านอนุสาวรีย์ พระอาจารย์จึงกล่าวถึงหมาหรือสุนัขให้ฟังว่า

"หมาจะมีนิสัยขี้อิจฉาทุกตัว ถ้าเราไปโอ๋ตัวใดตัวหนึ่ง อีกตัวก็จะกัดทันที ต้องระวังให้ดี เพราะเขาจะเห็นเราเป็นจ่าฝูง การที่จ่าฝูงไปดีกับตัวไหน เหมือนเราไปเลื่อนฐานะให้ตัวนั้น ถ้าตัวนั้นเคยอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า ตัวที่อยู่สูงกว่าจะไม่ยอม เขาจะกัด

กัดในลักษณะที่ว่า "เอ็งแน่จริงหรือเปล่า ? ถ้าเอ็งไม่แน่ก็อย่าเลื่อนชั้นขึ้นมา.." ฉะนั้น..เราจะเป็นสาเหตุให้หมาทะเลาะกันบ่อยโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว

แล้วเวลาหมากัดกันอย่าไปห้าม นั่นเป็นการจัดลำดับอาวุโสกัน ตัวไหนเก่งกว่า ตัวนั้นชนะ แล้วหลังจากนั้นอีกตัวจะไม่กล้าหือ แต่ถ้าเราไปห้าม แพ้ชนะยังไม่รู้กัน เขาจะกัดกันบ่อยมากแล้วเราจะรำคาญ เราเองเอาความรู้สึกของคนไปจับ ว่าไม่ควรทะเลาะกัน แต่ความรู้สึกของหมาก็คือ ผู้ที่แข็งแรงกว่าจึงจะชนะ ฉะนั้น..ต้องปล่อยให้เขาจัดลำดับกันเอง เรามีหน้าที่ใส่ยา ทำแผลให้ตอนจบ

สัตว์ที่อยู่ใกล้คนจะได้เปรียบ เพราะถ้าใจเกาะคนเขาก็จะไปเกิดเป็นคน ใจเกาะพระก็ไปเกิดเป็นเทวดา สัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับคน กรรมของการเป็นสัตว์เดรัจฉานของเขาจวนจะหมดแล้ว"

เถรี
23-09-2010, 12:07
"สัตว์เขาจะมีภาษาเสียงเหมือนกับคำพูดของเรา และมีภาษากาย อย่างเช่น การกระดิกหาง การทำหางตก แยกเขี้ยวใส่กัน และยังมีภาษาใจอีก มนุษย์เรารับภาษาเสียงได้ ภาษากายบางอย่างเราก็รับไม่ได้ เราก็เลยสู้หมาไม่ได้

ลองเอาหมาไทยข้างถนนไปโยนอยู่ที่ประเทศอังกฤษดูสิ เราเห็นเขาคุยกับหมาอังกฤษรู้เรื่องโดยที่ไม่ต้องหัดภาษาอังกฤษเลย เอาไปโยนที่ประเทศลาว หมาก็เว้าลาวได้สบาย เอาไปโยนไว้ที่ประเทศไหน หมาก็คุยรู้เรื่องทันที เพราะเขาใช้สามภาษา คือภาษาเสียง ภาษากาย และภาษาใจรวมกัน

เราเองเรื่องของภาษากายเราก็รับได้ยากแล้ว ยิ่งภาษาใจยิ่งรับได้ยากเข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่าเกิดเป็นคนวิวัฒนาการมากเท่าไร สมรรถภาพในการสื่อสาร โดยเฉพาะภาษาใจก็หายสาปสูญไปมากเท่านั้น

บางวันนั่งแปลภาษาหมาให้พี่มุกดาเขาฟัง และสอนให้พูดภาษาหมาด้วย ปรากฏว่าพี่มุกดาจำได้ไม่กี่คำ จำไว้ชัด ๆ นะ ที่หมาหอมแก้มเรา เขาไม่ได้หอมแก้มนะ เขาดมมุมปาก ท่าดมมุมปากแปลว่า มีอะไรให้กินหรือไม่ ?"

เถรี
23-09-2010, 12:19
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนฆราวาสผู้ชายที่อยู่ใกล้หลวงพ่อมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะบวชหมด ช่วงนั้นที่เป็นหลักก็มีลุงเอี๊ยง มีจ่าประมวญ ส่วนพวกเราก็จะเป็นส่วนเสริม ก็มีอย่างคุณธวัชชัย ลุงพุฒ คุณธรรมนูญ หรือตัวอาตมาเอง นั่งอยู่รอบ ๆ หลวงพ่อ

พูดง่าย ๆ คือ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ทดสอบกำลังใจกันแรงขนาดไหน คนอื่นเตลิดเปิดเปิงขนาดไหนก็ตาม แต่ ๔-๕ คนนี้ต้องอยู่ เพราะถ้าไปจะทำให้คนที่เหลือไปด้วย เหมือนกับเป็นตัวหลัก มาแล้วต้องเจอ ถ้าไม่เจอคนก็ใจหาย

นอกจากนี้จะมีอาจารย์ยกทรงคอยถามปัญหา มีคุณประเสริฐคอยเรี่ยไร บางทีคนมาทำบุญจนแน่นกระดิกไม่ได้ คนอยู่หลังไม่รู้จะทำอย่างไร คุณประเสริฐก็จะเดินถือขัน เขาก็จะบอกว่ารายการไหนบ้าง "สร้างหลวงพ่อไหลมาเทมาครับ" โยมก็ใส่เงิน ถึงเวลาก็ยกไปถวายหลวงพ่อ"

เถรี
23-09-2010, 12:32
ถาม : ขอคำแนะนำเกี่ยวกับมโนมยิทธิ
ตอบ : ต้องซ้อมบ่อย ๆ ถ้าไม่ซ้อมสนิมจะกิน มโนมยิทธิต้องถึงขนาดที่ว่าเขาส่งของมา เราต้องบอกได้ว่าที่อยู่ในกล่องในห่อเป็นอะไร ถ้าทำขนาดนั้นไม่ได้ เราก็จะไม่มั่นใจตัวเอง

ถึงทำขนาดนั้นได้ ถ้าเขาตั้งใจจะทดสอบเรา ภาพที่ปรากฏจะเป็นคนละเรื่องกับของจริง ยังมีการทดสอบทำให้เราเป๋ออกนอกทางได้อีก ฉะนั้น..มีอย่างเดียว คือขยันซ้อมและอย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ

เถรี
23-09-2010, 12:40
พระอาจารย์บอกว่า "ยาสมุนไพรดีกว่ายาฝรั่ง ตรงที่ว่าร่างกายเราขับออกได้ ไม่เหมือนยาฝรั่งที่มีการตกค้าง แต่ยาสมุนไพรจะให้เห็นผลทันตาเลยทีเดียวอาจจะยาก ต้องกินสะสมไประยะหนึ่ง อย่างเช่น ๑ - ๒ หม้อ ก็เลยทำให้คนสมัยใหม่ที่ใจร้อน ไม่ค่อยจะใช้สมุนไพรกัน"

เถรี
23-09-2010, 13:10
ถาม : ถ้าฝึกมโนมยิทธิที่บ้าน ควรฝึกอย่างไรครับ?
ตอบ : นั่งกรรมฐานตามปกติ แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดให้มาอยู่ตรงหน้า เหมือนกับมีตัวเราอีกตัวหนึ่งเล็ก ๆ ไม่ต้องใหญ่มาก มาอยู่ตรงหน้าของเรา

สั่งให้เดินแถวแบบทหารเลย ซ้ายหัน ขวาหัน กลับหลังหัน ถอยหลังสองก้าว เดินหน้าสามก้าว ฯลฯ ให้ความรู้สึกของเราชัด ถ้าไม่ชัดให้เริ่มใหม่ ทำไปเรื่อย ๆ

เสร็จแล้วก็เดินวนรอบห้อง รอบตัวเราก็ได้ ช้า ๆ นะ ไม่อย่างนั้นจะวูบเดียวครบรอบเลย เดินไปที่ประตู เปิดประตู ลงบันได ไปชั้นล่าง เดินรอบชั้นล่างอีกรอบหนึ่ง ออกไปดูหลังบ้าน ออกนอกบ้าน เปิดประตู เดินไปปากซอย

ค่อย ๆ กำหนดความรู้สึกให้ช้า ๆ และชัด ๆ ไปเรื่อย ตอนแรก ๆ จะชัดมากเพราะเราคุ้นกับสถานที่ แต่พอถึงจุดที่เราไม่คุ้นแล้วยังชัดอยู่ อย่างเช่น เห็นป้ายโฆษณา เห็นชื่อร้านค้า เห็นวินมอเตอร์ไซค์ ให้จำไว้เลยว่ามีลักษณะอย่างไร เลิกกรรมฐานแล้วไปดูว่ามีลักษณะอย่างที่เห็นไหม ?

ซ้อมอย่างนี้ทุก ๆ วัน สวรรค์พรหมไม่ต้องไปหรอก เอาแค่นี้แหละ พอคล่องตัวมาก ๆ จนกระทั่งหลับตาและลืมตาเห็นชัดเท่ากัน คราวนี้เราจะไปไหนก็กำหนดใจไป แต่ต้องขยันซ้อม ซ้อมบ่อย ๆ ทิ้งไม่ได้เลย ทิ้งเมื่อไรสนิมขึ้นเมื่อนั้น"

เถรี
23-09-2010, 13:54
ถาม : ผมเคยฝึกกสิณที่วัดแห่งหนึ่ง ผมถามว่า ถ้าจับรูปพระ จะดีกว่ามองแผ่นกสิณนี้ได้หรือเปล่า ? เขาบอกว่ารูปพระมีรายละเอียดเยอะ
ตอบ : นั่นเป็นความเห็นและเป็นความเข้าใจของเขา ที่วัดนั้นถ้าฝึกแล้วจะได้ผล ต้องเป็นคนมีของเก่าที่เคยทำมาในชาติก่อน ยกเว้นกสิณสีขาว สีเขียว สีแดง และสีเหลือง ๔ สีนี้เท่านั้น ที่ฝึกแล้วมีผล

ส่วนที่เขาไปสมมติกสิณดิน กสิณน้ำ นั่นไม่มีผลหรอก ยกเว้นคนมีของเก่า เพราะวัตถุที่เขาเอามาทำเป็นองค์กสิณยังไม่ใช่วัตถุที่ถูกต้อง กสิณดินแทนที่จะใช้ดินก็ไปใช้สีส้ม ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่าปฐวีกสิณมาจากชาติก่อน อย่างไรก็ใช้งานไม่ได้

ถามว่าฝึกแล้วดีไหม ? ดี..อย่างน้อยเราก็ได้สมาธิ แต่ถ้าไม่มีของเก่า จะมีผลแค่เขียว ขาว แดง เหลือง ๔ สีเท่านั้นเอง นอกนั้นที่เหลือก็กลายเป็นอะไรติดตาเราไปก็ไม่รู้ ไม่สามารถที่จะใช้ผลของกสิณได้

เถรี
23-09-2010, 16:10
ถาม : เราจะปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะให้เจริญในธรรมและไม่ขวางโลก ?
ตอบ : อันดับแรก เอาศีลเป็นกรอบ ถ้าเราไม่ละเมิดศีล ๕ อย่างไรเสียก็ไม่หลุดไปกับกระแสโลกไกลนัก อย่างเช่น ไปกินเหล้าเมายากับใครก็ไม่ได้ เพราะว่าเรามีศีลป้องกันตัวอยู่

อันดับที่สอง พยายามทำสมาธิบ่อย ๆ เพื่อให้กำลังใจของเรามั่นคง ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง เวลาเจอลมปากเพื่อนบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ไหลตามเขาไปด้วย

ระยะที่อาตมาน่าจะเสียมากที่สุด คือ ตอนเรียนนักเรียนนายสิบ เพราะว่าเพื่อนทหารทั้งกินทั้งเที่ยว ยาเสพติดทุกประเภทมีหมด แล้วเขาก็มาว่าเรา "ไม่เป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ไปหากระโปรงมานุ่งซะ..!" แต่เราคนเดียวด่าเพื่อนทั้งกองร้อยกลับไปว่า "พวกมึงทั้งหมดนั่นแหละ ควรจะไปเอากระโปรงมานุ่ง กูรู้ว่าอะไรไม่ดี กูห้ามใจกูได้ กูนี่ถึงจะลูกผู้ชายจริง พวกมึงไม่ใช่หรอก..!"

เพราะฉะนั้น..ถ้ากำลังใจเราไม่มั่นคง เวลาโดนลมปากของคนอื่นแล้วเราจะอยู่ไม่ได้ ในเรื่องของศีล สมาธิ จะเป็นเครื่องช่วยในขั้นต้นเลย

ส่วนขั้นต่อไป มีปัญญารู้เห็นความเป็นทุกข์เป็นโทษของโลก ในเมื่อรู้ว่าสิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนเป็นประโยชน์ เราก็จะละในสิ่งที่เป็นโทษ และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เอาแค่นี้แหละ ไม่เอาอะไรมากมาย ถ้าทำได้ครบก็อยู่ได้

เราไม่ต้องไปด่าเพื่อนเขาแรง ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่า "โอย..ไม่ไหวหรอก กินแอลกอฮอล์แล้วเป็นผื่นไปทั้งตัว ให้ไปเมาอย่างนั้นคงแย่เลย"

ถาม : เนียน ๆ แบบนั้นได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ไม่เสียเพื่อนหรอก อาตมาเป็นทหารไม่ได้กินเหล้ากับเขานะ แต่ไปกับเขาได้

ถ้าหากวงไหนที่เมาแล้วมีคนสติดีอยู่คนหนึ่ง คนอื่นจะไม่กล้าแซวหรอก พอถึงเวลามีปัญหาเพื่อนเสียงดัง โต๊ะข้าง ๆ เขม่น เราก็ไปยกมือไหว้ "ขอโทษครับ..เพื่อนผมเมาเสียงดังไปหน่อย ขออภัยด้วยที่รบกวนพี่"

เขาเห็นมีคนไม่เมาอยู่ เขาก็เกรงใจไม่กล้าทำอะไร พอเพื่อนเมาสิ้นสภาพสุนัขไม่รับประทาน เราก็แบกเขากลับ ไปกับเขาได้ แต่เราไปแค่กรอบของศีล

อีกอย่างหนึ่ง คนไม่เมาไปนั่งวงเหล้าเปลืองกับแกล้มเขา เพื่อนกินเหล้าเรากินกับ พักเดียวเขาก็ไล่เราออกมาแล้ว

เถรี
23-09-2010, 16:41
ตอนอาตมาไปเป็นทหารอยู่ชายแดน เพื่อนพาไปเที่ยวผู้หญิง ไปกันเป็นหมวดเลย ทหารหมวดหนึ่งก็ ๔๐ กว่าคน ทีนี้ถ้าไปตอนกลางคืนเวลาทำการของผู้หญิงเขา เดี๋ยวแขกของเขาจะตกใจหมด เพราะเห็นทหารมาเยอะ ก็ต้องไปตอนบ่ายสอง เวลานอนของเขา

ไปทุบ ๆ ประตู เฮ้อ..! เราลองนึกถึงผู้หญิงที่แต่งหน้าจัด ๆ เพื่อให้สวยใต้แสงไฟ ทีนี้เราไปตอนที่เขานอน ลอกหน้าออกแล้ว นุ่งกระโจมอก หัวกระเซิง หน้าซีดอย่างกับผีตายซาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อน ๆ เขามีอารมณ์ได้อย่างไร ?

ส่วนเรานั่งเฉาสนิท ไปนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งเฝ้าหน้าห้องให้เพื่อน สรุปแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เคยพยายามทำเหมือนกัน แต่ไม่สำเร็จเพราะฝีมือไม่ถึง..!

จากที่เล่ามา อยากจะบอกพวกเราทุกคนว่า ผลของการปฏิบัติ แรก ๆ ในเรื่องของศีล สมาธิ กำลังยังไม่พอตัดกิเลส แต่กำลังมีพอที่จะหักห้ามเราไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ได้ในระดับหนึ่ง

พอเราทำไป ๆ มากกว่านั้น ความเข้มแข็งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เราถึงจะห้ามตัวเองได้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นช่วงที่น่าจะเสียหายมากที่สุดก็ช่วงเป็นทหาร เพราะว่าเพื่อน ๆ เอาทุกทางจริง ๆ

ถาม : ไม่ใช่ว่าสั่งสมมาแต่อดีตหรือคะ ?
ตอบ : นั่นก็มีส่วน แต่อย่าลืมว่ากระแสโลกเขาแรง สติสัมปชัญญะอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสมาธิ มีปัญญาเข้ามาช่วยอีกด้วย

เถรี
24-09-2010, 02:22
ถาม : การนั่งสมาธิหรือมโนมยิทธิ ควรที่จะต้องมีเวลาในการฝึกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ควรจะกำหนดเวลาให้แน่นอน อย่างเช่น เช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง จริง ๆ แล้วไม่พอรับประทานหรอก แต่อย่างน้อยให้มีส่วนกำไรบ้าง แล้วจะช่วยสร้างเหตุปัจจัยให้กำลังใจเราทรงตัวเข้มแข็งขึ้น ต่อไปถ้าปฏิบัติในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เราก็จะทำได้ง่าย

เถรี
24-09-2010, 02:28
ถาม : อารมณ์ปีติมีได้ทุกฌานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มีก่อนเข้าถึงฌาน เมื่อเป็นฌานแปลว่าข้ามพ้นปีติไปแล้ว แต่ว่าถึงแม้เราจะได้ถึงสมาบัติ ๘ แล้วก็ตาม ถ้าวิสัยเดิมของเรามาสายพุทธภูมิ จำเป็นต้องรู้ปีติให้ครบ ปีติก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้อีก

ถ้าเป็นดังนั้นต่อให้เราได้สมาบัติ ๘ แล้ว ถ้าปีติจะเกิดขึ้น อยู่ ๆ กำลังฌานจะลดลงมาเฉยเลย แล้วปีติก็เกิดขึ้นจนพอใจ ให้เรารู้ชัดเจนแล้วก็จะเลิกไปเอง

ถาม : แล้วจะกลับมาอีก ?
ตอบ : ถ้าตัวไหนเคยผ่านมาแล้วจะไม่เป็นอีก ฉะนั้น..จะไปคิดว่าเราได้ฌานสูง ๆ แล้วจะไม่มีปีติอีก ไม่ใช่หรอก...บทเขาจะมา กำลังฌานจะลดลงไปหน้าตาเฉย แล้วปีติก็เกิดขึ้น

ถาม : ถ้าเราปล่อยจะหายไหมครับ ?
ตอบ : รับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ พอเต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง

ถาม : ทันทีที่ผมจับลมจะอยู่ที่ฌานสาม แล้วสักพักก็จะสั่น ๆ บางทีก็เป็นปีติตัวพองขยาย
ตอบ : เขาเรียก ผรณาปีติ แสดงว่าฌานสามที่คุณเข้าใจยังไม่ใช่ฌานสามจริง ๆ

ถาม : จะวนอยู่อย่างนั้นมา ๖ เดือนแล้ว
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ อย่าอยากให้เป็น อย่าอยากให้หาย มีหน้าที่รับรู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าวางกำลังใจอย่างนี้ได้ ปีติจะขึ้นจนเต็มที่เอง แล้วก็จะเลิก

บางทีตัวเราพองขึ้นเหมือนกับเราเป็นลูกโป่ง บางทีระเบิดตูมกลายเป็นฝุ่นไปเลยก็มี บางทีก็รู้สึกเป็นรูรั่ว มีอะไรไหลออกมาซู่ซ่าไปหมด

เรามีหน้าที่กำหนดรู้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ถ้าไปอยากให้เป็น อยากให้หาย เมื่อไรจะเลิกเสียที ไปคอยตามดูอยู่ ก็จะติดอยู่แค่นั้น

ถาม : ไปเพ่งไปกำหนดตามจี้อยู่ถึง ๖ - ๗ เดือน หรืออยู่เป็นปี อย่างไรครับ ?
ตอบ : แบบนั้นก็จะอยู่ไปจนชั่วฟ้าดินสลาย

ถาม : อย่างนี้จะเกี่ยวกับการพัฒนาหรือเปล่า ?
ตอบ : เกี่ยวแน่ เพราะเราข้ามไม่ได้สักที ความก้าวหน้ากว่านั้นก็ไม่มี แต่ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ พักเดียวก็ไปแล้ว

เถรี
24-09-2010, 02:30
ถาม : นั่งทำงานอยู่ พอใจเป็นสมาธิ จะมีอาการเกร็งเหมือนโดนอะไรมัดร่างกาย จะมาอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ถอน
ตอบ : ปล่อยให้เป็นไปเถอะ คิดว่าเป็นขันธมารอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไปให้ความสนใจอยู่ตรงนั้น สมาธิจะไม่ก้าวหน้า

ถาม : ไม่ต้องสนใจไปใช่ไหม ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ถ้าเราไปใส่ใจว่า ตอนนี้เป็นอย่างนี้ อีกสักพักจะเป็นอย่างนี้ เรารู้เพราะเคยผ่านมาแล้ว ถ้าอย่างนี้เดี๋ยวก็หายไปแล้วมาเป็นใหม่อีก

เถรี
24-09-2010, 02:34
ถาม : การนั่งสมาธิทำให้เราหายเหนื่อยได้หรือเปล่า ? สมมติเราเรียนมาทั้งวัน เราเหนื่อยมากแต่ไม่อยากนอน
ตอบ : ได้..ถ้าสมาธิลึกมากเท่าไรก็หายเหนื่อยเร็วเท่านั้น สมาธิยิ่งลึกระยะเวลาก็ยิ่งใช้น้อยเท่านั้น เข้าสมาธิลึก ๆ สัก ๓ นาทีหรือ ๕ นาที เหมือนกับนอนมาเป็นวัน

ถาม : ทำไมกีฬายิงปืน จึงเหนื่อยกว่ากีฬาวิ่งเล่น ?
ตอบ : อันดับแรก ใช้สมาธิมาก อันดับที่สอง แรงอัดของปืนที่กระแทกเรา

เวลายิงปืนแรงระเบิดของดินขับ เพื่อส่งกระสุนแหวกอากาศไป แรงระเบิดจะเป็นคลื่นอัดเข้ามาหาเรา อาตมาเคยยิงปืนทราบระยะ (กำหนดระยะในการยิง) อยู่สองวันสองคืน เหนื่อยรากเลือดยิ่งกว่าวิ่งสักสามสิบกิโล

ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเหนื่อยขนาดนั้น พอไปดูพื้นทรายข้างหน้า ทรายที่เขาเกลี่ยไว้เรียบ ๆ กลายเป็นคลื่นเหมือนชายหาดทรายเลย แสดงว่าแรงอัดของปืนที่อัดออกไป ดันทรายไปได้ขนาดนั้น เราอาจจะใส่ที่ครอบหูไม่ได้ยินเสียง แต่แรงอัดก็ยังคงอัดใส่เราเป็นปกติ

เถรี
24-09-2010, 03:27
ถาม : พอเรารู้สึกว่าตอนนี้กิเลสตัวนี้เงียบหายไป เขาก็พยายามจะเล่นตัวอื่นเพื่อให้กระทบกับเรา พยายามจะทำให้เราฟุ้งซ่าน
ตอบ : ตั้งสติระมัดระวังให้สุดชีวิต หลับก็ต้องระวัง กิเลสจะมาแค่สี่มุมเท่านั้นแหละ รัก โลภ โกรธ หลง แต่เขาออกข้อสอบได้เป็นล้านข้อเลย เป็นสุดยอดของอาจารย์จริง ๆ

เถรี
24-09-2010, 03:29
ถาม : วิธีฝึกเหาะ ?
ตอบ : ฝึกวาโยกสิณให้ได้ก่อน ถ้าเราตั้งใจเหาะ แล้วไม่ได้อธิษฐานให้ไปช้า ๆ คนจะไม่คิดว่าเราเหาะ เขาจะคิดว่าเราหายตัว เพราะจะแวบเดียวไปอยู่ที่จุดหมายเลย

แต่ถ้าหากว่าอยากจะไปช้า ๆ อวดชาวบ้านเขา ก็ต้องอธิษฐานด้วยว่าให้ไปช้า ๆ ผมอยากเท่ครับ..!

เถรี
24-09-2010, 10:34
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "สมัยก่อนบวชเคยดูหนังเรื่อง ๑๘ ยอดมนุษย์ทองคำ พระเอกต้องเข้าไปฝึกวิชาที่เส้าหลินเพื่อไปล้างแค้น พอฝึกวิชาสำเร็จฝ่าด่านมนุษย์ทองคำออกมาได้ หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านให้โอวาทว่า "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย"

เมื่อพระเอกลงไปในยุทธจักร ก็ใช้สามคำนี้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตของเขา แม้กระทั่งวาระสุดท้ายที่เขาไปต่อสู้กับตัวโกงที่ฆ่าพ่อเขา เมื่อใช้ท่าไม้ตายสุดท้าย กำลังจะฆ่าตัวโกง เขาก็ต้องหยุด เพราะคิดถึงคำของพระอาจารย์ที่ว่า "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย" สุดท้ายพระเอกก็เลยละมือ เลิกการล้างแค้น

ส่วนใหญ่สมัยนี้คนใจร้อน ทำก่อนคิด ถึงได้มีบางท่านบอกไว้ว่า "ให้คิดทุกอย่างที่เราทำ แต่อย่าทำทุกอย่างที่เราคิด" จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบก่อน

เรื่องของความอดทน ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของศาสนาพุทธได้เลย โอวาทปาฏิโมกข์ก็ขึ้นด้วยขันติ..ความอดทน ถ้าไม่อดทนอดกลั้นต่อสู้กับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ก็ไม่สามารถที่จะผ่านได้ และท้ายสุดก็อภัยให้เขาเถอะ ถ้าเขารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ เขาก็คงไม่ทำแบบนั้นกับเราหรอก"

เถรี
24-09-2010, 10:50
ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ จู่ ๆ พระอาจารย์ท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า "การจะนั่งอยู่ให้ได้ด้วยดีก็เป็นการฝึกที่เข้มงวดอย่างหนึ่ง บางคนนั่งอยู่ตรงนี้แต่ใจฟุ้งซ่านไปไหนก็ไม่รู้..!"

เถรี
24-09-2010, 13:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเทคโนโลยี บางทีเราก็ไว้ใจไม่ได้ เราต้องรู้ว่าของอย่างนี้พร้อมที่จะรวน จะเสียได้ตลอดเวลา

สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ด้วยความเคยชินที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ เวลาเข้าโบสถ์ก็จะถือกระดาษกับปากกาไปด้วย ไปคอยจด จะมีสมุดบันทึกของตัวเอง

พี่ ๆ เขาก็รอเทป เพราะเขาบันทึกเทปทุกคน ปรากฏว่าวันนั้นไฟดับ อาตมาออกจากโบสถ์มีแต่คนวิ่งมายืมสมุดโน้ต ก็เลยไม่รู้จะว่าอย่างไรดี

ในเรื่องของการจดบันทึกนั้น สิ่งที่เราฟังและได้ยิน จะเป็นส่วนที่สะดุดใจเราตรงนั้น ถ้าเป็นอารมณ์ปฏิบัติก็จะตรงกับกำลังใจของเราตอนนั้น ถ้าไม่ตรง..บางทีการฟังเราจะฟังข้ามไปเฉย ๆ

ฉะนั้น..การที่เราไปบันทึกจดเอาไว้ เราจดในสิ่งที่ตรงกับกำลังใจของเราช่วงนั้น จะได้ทบทวนได้

หัวใจนักปราชญ์ท่านว่า สุจิปุลิ วินิมุตโต กะถังโส ปัณฑิโต ภะเว บุคคลจะเป็นบัณฑิตได้ต้องประกอบไปด้วย สุจิปุลิ ได้แก่

สุตตะ จงฟังเขาอย่าขี้เกียจ................จิตตะ คิดให้ละเอียดที่สงสัย
ปุจฉา หลงจงถามอย่าเกรงใจ..............ลิขิต เขียนไว้ได้จะดีเอย

ฟัง คิด ถาม เขียน เราส่วนใหญ่ ฟัง คิด แต่ไม่ถามและไม่เขียน เป็นอะไรกันก็ไม่รู้ ? ทำอย่างกับว่าถามแล้วจะเสียหน้า ต้องรอคนอื่นเขาถาม ถ้าไม่มีใครถามเราก็เสียประโยชน์เอง"

เถรี
24-09-2010, 13:33
"ความมั่นใจจะทำให้เรากล้าแสดงออก โดยเฉพาะคนไทยจำนวนมาก เวลาเจอฝรั่งจะวิ่งหนี ไม่กล้าคุยกับฝรั่ง

ความจริงฝรั่งเจอเราเขาต้องวิ่งหนี เพราะเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ ไม่ใช่เราเจอฝรั่งแล้ววิ่งหนี เพราะนี่เป็นบ้านเรา

มีอยู่เรื่องหนึ่ง เด็กฝรั่งไปเที่ยววัดพระแก้ว เขาเห็นรูปปั้นยักษ์สูงใหญ่ มีเด็กไทยอายุไล่เลี่ยกันมากับพ่อแม่ เด็กฝรั่งเห็นก็สะกิดถาม " Hey you, what is this ? "

เด็กไทยเกาหัว นึกถึงว่าอาจารย์เราก็เคยสอนมาเหมือนกัน เลยตอบไปว่า "This is a Yak" (ยักษ์)

"What is Yak ?"
"Yak is Tossagan" (ทศกัณฐ์)

"What's meaning of Tossagan ?"
"Tossagan is the king of Yak..!"

ตอบไปหลายประโยคเด็กฝรั่งก็ยังงง ท้ายสุดเด็กฝรั่งต้องเดินหนีไปเอง ต้องเอาให้ได้อย่างนั้น อยู่บ้านเราไม่ต้องไปหนีเขา ต้องให้เขาหนีเรา"

เถรี
24-09-2010, 13:42
"ถึงได้บอกว่า พวกเราเก่งสู้หมาไม่ได้ เอาหมาไทยไปโยนไว้กับหมาอังกฤษ ก็เห็นว่าคุยกันได้ เอาไปโยนไว้กับหมาฝรั่งเศส ก็คุยกันได้อีก สรุปว่าหมาเก่งกว่าคนเยอะเลย"

เถรี
24-09-2010, 13:43
พระอาจารย์สรุปเรื่องสุจิปุลิให้ฟังว่า "ในเรื่องของหัวใจนักปราชญ์ ต้องมีครบจึงจะใช้ได้ บางทีนักเทศน์ท่านก็บอกว่า จำไว้ดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด จดไว้ก็ดีกว่าจำ"

เถรี
24-09-2010, 20:04
ถาม : การบนบานศาลกล่าว ถือว่าเป็นความผิดหรือเปล่าครับ ? เพราะว่าการบนเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ตอบ : การบนไม่ดีตรงไหน ?

ถาม : เป็นการติดสินบน
ตอบ : ติดได้..! จำไว้ว่าทุกอย่างต้องมีเหตุถึงจะมีผล ถ้าเราสร้างเหตุไม่พอ บนให้ตายผลก็ไม่เกิด บุคคลที่บนแล้วได้ผลก็คือ ผู้ที่สร้างเหตุมาพอ ผลถึงจะเกิด

ถ้ามีคนสองคนไปบนด้วยกัน คนหนึ่งบนแล้วได้ผล อีกคนหนึ่งไม่ได้ผล คนที่บนได้ผลเพราะว่าเขาสร้างบุญ อาจจะเป็นทาน ศีล ภาวนา มาเพียงพอแล้ว ขาดอีกนิดหน่อยเท่านั้น พอไปบนว่าถ้าเรื่องนั้นสำเร็จ จะทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งตอบแทน พิจารณาดูแล้ว กระแสบุญที่เขาสร้างเพิ่มเติมเหมาะสมแล้ว เป็นเหตุที่จะเกิดผลได้แล้ว การบนก็จะสำเร็จ

อย่าลืมว่าการบนไม่ใช่ร้องขอเฉย ๆ แต่จะมีการทำอะไรบางอย่างตอบแทนไปด้วย อย่างเช่น เอาละครชาตรีไปแก้บน หรืออาจจะต้องรักษาศีลห้า ศีลแปด พร้อมกับเจริญกรรมฐานสัก ๗ วัน

ความดีที่เราทำจะมากจะน้อย ถ้าเหมาะสมกับส่วนที่เราขาด เหมือนกับน้ำขาดอยู่ไม่มาก ถ้าเราเติมอีกหน่อยเดี๋ยวก็เต็ม แต่ถ้าหากมีน้ำอยู่แค่ก้นขวด เติมน้ำไปครึ่งขวดก็ยังไม่เต็ม ถ้าอย่างนั้นคุณบนให้ตายก็ไม่ได้ผล

อย่าลืมว่าทุกอย่างมีเหตุจึงจะมีผล ถ้าเราสร้างเหตุดีแล้วก็บนไปเถอะ แต่ถ้าสร้างเหตุยังไม่ดีพอ บนให้ปากฉีกถึงหูไปก็เท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้ที่วัดท่าขนุนมีพระมาบวช เกิดจากเพื่อนเขาบนว่า ถ้าเรื่องนี้สำเร็จจะให้เพื่อนคนนี้บวช แทนที่จะบนให้ตัวเองบวช มีอย่างที่ไหนดันบนให้คนอื่นบวช..!

เถรี
24-09-2010, 20:10
ถาม : ตอนเอนทรานซ์ หนูยังบนเลยค่ะ
ตอบ : รายที่ชัดที่สุดอยู่ที่หาดใหญ่ เพื่อนทั้งห้องช่วยกันตรวจแล้วไม่มีชื่อแน่นอน เขามาโวยวายว่า หลวงพ่อเล็กรับบนแล้วทำไมเขาจึงไม่ได้ ก็บอกว่า "ได้..เอ็งตาไม่ดี ให้กลับไปดูใหม่"

ทีนี้เพื่อนทั้งห้องกลับไปดูใหม่กลับมีชื่อ แสดงว่าเขาบนได้ผล ตอนแรกก็อาจจะตื่นเต้นมองข้ามชื่อไป มาระยะหลังเลยเดือดร้อน แทนที่เขาจะไปบนกับพระตามที่อาตมาบอก เขาดันมาบนกับอาตมาเอง..!

เถรี
24-09-2010, 20:28
พระอาจารย์กล่าวถึงการศึกษาว่า "การศึกษาของบ้านเราน่าเป็นห่วงมาก คุณภาพการศึกษาตกต่ำยังไม่พอ แม้แต่ไอคิวของเด็กยังตกต่ำ จากผลงานวิจัยล่าสุด ไอคิวเด็กไทยเฉลี่ยอยู่ที่ ๘๘ ระดับนี้สำหรับฝรั่งแล้วเขาถือว่าโง่เลย เพราะต่ำสุดต้อง ๙๐ ขึ้นไป

ความจริงจะว่าไปแล้ว บรรดานักวิชาการต่าง ๆ เขาก็หวังดีกับวงการการศึกษาไทย แต่ไม่ได้ดูพื้นฐานความเป็นมาของเด็ก จึงมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรเป็น child center หลักสูตรที่ให้เด็กคิดเป็นทำเป็น หลักสูตรนี้ลอกแบบฝรั่งมาเต็ม ๆ โดยที่ไม่ได้ดูบริบทของสังคมเราว่าเป็นอย่างไร

เด็กฝรั่งเริ่มจับช้อนเองได้ พ่อแม่ก็ส่งจานให้กินเองเลย เด็กอาจจะละเลงเละไปทั้งบ้าน หรือเทรดหัวตัวเอง พ่อแม่ก็ปล่อย พอหมดเวลากิน เขาก็จับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วปล่อยทิ้งเลย ถ้ายังไม่ถึงอาหารมื้อใหม่ก็จะไม่มีให้กิน

เด็กเขาจะเรียนรู้ได้เร็วมาก ว่าถ้าเขาไม่กินแล้วจะหิว เพราะฉะนั้น..พอมื้อถัดไป อย่างไรเขาต้องพยายามตักใส่ปากตัวเองให้ได้ เด็กฝรั่งเขาจะช่วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก ๆ ทำอะไรเป็นตั้งแต่เด็ก ๆ ในเมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรียน เขาสอนให้เด็กคิดเองทำเอง เขาก็เลยทำได้ง่าย

แต่บ้านเรา ๔ - ๕ ขวบแล้ว แม่ยังต้องมาป้อนข้าว "อ้ำ..กินนะลูก" มีอยู่รายหนึ่งที่ชัดที่สุดก็คือ คุณหมอพรทิพย์ มีลูกสาวหลังจากแต่งงานไปแล้วสิบปี ชื่อ น้องเท็น

น้องเท็นจะกินข้าวได้คำหนึ่ง จะต้องมีรถไฟวิ่งมาขบวนหนึ่ง เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ทางรถไฟ พอเด็กเห็นรถไฟก็ปรบมือชอบใจ แม่ก็ตักข้าวใส่ปากได้คำหนึ่ง ถ้ารถไฟไม่มาก็ไม่ต้องกิน

ความจริงถ้าพ่อแม่จิตใจเด็ดเดี่ยวหน่อย ปล่อยไปเลย ไม่กินก็เรื่องของเด็ก พอเด็กเขาอดเดี๋ยวเขาก็ตะกายมาหากินเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปวิ่งไล่ป้อนรอบบ้าน และไม่ต้องไปโมโหเวลาลูกอมข้าวแล้วไม่ยอมเคี้ยว"

เถรี
24-09-2010, 20:42
"เด็กบ้านเราจึงทำอะไรเองไม่เป็น ทุกอย่างพ่อแม่บริการให้หมด สมัยนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ขนาดเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว พ่อแม่ยังต้องส่งข้าวส่งน้ำให้ลูกเวลาอ่านหนังสือ ตกลงลูกไม่ต้องทำอะไรเลย เราจึงเห็นว่าเด็กสมัยนี้จบปริญญาตรีแล้วยังไม่เป็นโล้เป็นพาย เพราะแทบจะไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเอง

ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราไปใช้หลักสูตรให้เด็กคิดเองทำเอง ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง จึงไม่เหมาะกับบทบริบทของสังคม แบบเดียวกับที่ครูอธิบายไปครึ่งชั่วโมง ถามว่ามีใครสงสัยอะไรไหม ?..เงียบ เข้าใจไหม ?..เงียบอีก ตกลงทั้งไม่สงสัยและไม่เข้าใจ แปลว่าอะไรกันแน่ ?

นอกจากนี้ สังคมของเราเปลี่ยนไปด้วย โดยเฉพาะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ลูก ๆ มักจะอยู่กับพี่เลี้ยงมากกว่า พอถึงเวลาพ่อแม่กลับบ้าน ชื่นใจที่ได้เห็นหน้าลูก ลูกก็ร้อง "ฮ่วย..!" เว้าลาวได้ก่อนพูดไทยอีก เพราะพี่เลี้ยงเป็นลาว ก็เลยทำให้พ่อแม่ลูกไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบก่อน แทบจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

พ่อแม่ก็จะรู้สึกผิดลึก ๆ อยู่ในใจ จึงใช้วิธียัดเยียดทรัพย์สินเงินทองให้ เด็กพกเงินมาก ๆ ไปโรงเรียนไม่ใช่เรื่องดีเลย อำนวยความสะดวกให้เด็กได้ก็จริง แต่ก็จะพายาเสพติดมาให้ด้วย พวกที่เห็นว่าคนนี้มีเงินใช้ฟุ่มเฟือยก็มาเกาะติด หลอกให้ลองยา พอติดยาก็กลายเป็นแหล่งผลิตเงินให้คนอื่น

สมัยนี้เขามักจะเลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์กับเงิน ไม่รู้ว่าเด็กโตมาได้อย่างไร ? สังคมบ้านเราจึงค่อนข้างพิกลพิการอย่างที่เห็น "

เถรี
24-09-2010, 21:20
"จะว่าไปแล้วบ้านเราในเรื่องของการศึกษา คุณธรรมจริยธรรมล่มสลายไปตั้งแต่แยกโรงเรียนออกจากวัดแล้ว ในปัจจุบันนี้โรงเรียนดัง ๆ อย่างเทพศิรินทร์ เทพลีลา เขาตัดคำว่า "วัด" ออกหมด

ถ้าเราไม่เคยศึกษาค้นคว้ามาก่อน จะไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้วัดคือสถานศึกษา ทุกคนจะเรียนต้องเรียนกับวัด พระนอกจากจะสอนให้เขียน ก.กา แล้ว ยังต้องสอนจริยธรรมและศีลธรรมด้วย เด็กจะใกล้ชิดกับวัด จะไม่กลัวพระ คุ้นชินกับพระ อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ได้ตั้งแต่เล็ก ๆ สมัยนี้ลองถามดูสิว่า ทั้งห้องนี้มีกี่คนที่อาราธนาได้

ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกตัว จึงมีการจัดครูพระไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน แต่ปรากฏว่าเด็กห่างศีลห่างธรรมไปเยอะ จึงไม่ค่อยจะสนใจ พอถึงวิชาพุทธจริยศึกษา เด็กก็นั่งกินขนม นั่งหลับ นั่งคุยกัน เด็กที่โต ๆ หน่อยระดับมัธยม ก็นั่งแต่งหน้าทาปากอยู่ท้ายห้อง พระท่านก็ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ ไม่หวังว่าตอจะงอกหรอก แต่อย่างน้อย ๆ ให้เปียกบ้างก็ยังดี

เด็กสมัยนี้จึงค่อนข้างจะก้าวร้าว เพราะสังคมเป็นไปในแนวนั้น ประเภทเห็นเด็กกินอาหารฟาสต์ฟู้ดกับโค้ก ผู้ใหญ่เข้าไปแนะนำ "หนู ๆ กินมาก ๆ ไม่ดีนะ กินมาก ๆ ร่างกายจะแย่ ขาดสารอาหารด้วย" เด็กก็บอกว่า "ปู่ของผมอายุตั้งร้อย..!" ผู้ใหญ่เขาก็งง "ปู่ของหนูก็กินแบบนี้หรือ ?" เด็กตอบว่า "เปล่า..ปู่ของผมไม่ยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน..!" ที่ปู่เขาอายุเป็นร้อยเพราะไม่ยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน แต่เรามายุ่งกับเขา อาจจะอายุสั้น

สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้เรื่องอปจายนมัย (ความอ่อนน้อมถ่อมตน) ไม่มี ถ้าเป็นสมัยก่อน เด็กพวกนี้จะถูกจัดเป็นเป็นพวกหลังแข็ง ต้องตีให้หลังหัก เดินผ่านผู้ใหญ่ไม่มีก้มหลังเลย สมัยก่อนเขาจะก้มหลังเดินผ่าน แสดงความเคารพ จะทำอะไรต้องขอโทษขออภัยก่อน"

เถรี
24-09-2010, 21:39
"จะว่าไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของเด็ก ถ้ามีพื้นฐานมาดีตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ก็จะว่านอนสอนง่าย พ่อแม่คนไหนที่มีลูกแบบนี้ก็สบายใจได้

แต่เด็กสมัยนี้หาไม่ได้ ที่หาไม่ได้เพราะพ่อแม่เลี้ยงลูกผิดตั้งแต่เล็ก ไปกินสารพัดอาหารเสริมให้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เด็ก ๆ ก็เลยพลังงานล้นเกิน พอคลอดออกมาก็เป็นเด็กไฮเปอร์แอกทีฟ อยู่นิ่งไม่ได้ ถ้าจับให้อยู่นิ่งจะดิ้นขาดใจตาย พวกนี้ซนยิ่งกว่าลูกลิงเสียอีก

เพราะว่าสติ สมาธิ และปัญญาของเขาก็คือเด็ก แต่พลังงานล้นเกิน เขาก็เลยต้องแสดงออกด้วยการกระโดดโลดเต้น ทำนั่นทำนี่ เอะอะโวยวายไปตามเรื่องของเขา อย่างรุ่นของอาตมาไม่มีหรอก ประเภทแคลเซียมสูง โฟเลตสูง ผสมวิตามินอะไรพวกนั้น อย่างเก่งก็กินกล้วยบดกับข้าวเท่านั้น "จะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินก็อดไปเลย..!" ในเมื่อร่างกายมีสารอาหารล้นเกิน ปฏิกิริยาก็ต้องแสดงออก เหมือนกับรถยนต์ที่เครื่องแรง

พ่อแม่ก็ห่วงเด็กเหลือเกิน ใครว่าอะไรดีตะเกียกตะกายไปหามาหมด กลัวลูกจะไม่เก่งไม่ฉลาดเหมือนเขา ต้องฟังบีโธเฟ่นตั้งแต่อยู่ในท้อง สามขวบก็หัดให้เล่นเปียโนแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเขา ห้าขวบต้องไปเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เอากันให้บ้าไปข้างหนึ่ง..!"

จริง ๆ แล้วบ้านเรายังโชคดี ถึงพ่อแม่จะออกไปทำงานทั้งคู่ ไม่มีเวลาอยู่กับลูก ก็ยังมีปู่ย่าตายายอยู่ช่วยดูแลหลาน ต่างประเทศเขาไม่มีตรงนี้

บ้านเขาปู่ย่าตายายไปอยู่สถานสงเคราะห์คนชรา ไม่มีใครรับภาระ ถ้าครอบครัวดี ๆ หน่อย คริสต์มาสครั้งหนึ่งจึงจะได้เห็นหน้ากัน ถ้าครอบครัวไม่เอาไหน ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ต้องไปดูไปเจอกันเลย

อย่างน้อย ๆ ที่ครอบครัวไหนมีปู่ย่าตายายคอยดูแลหลาน เด็ก ๆ ก็ยังไม่ออกนอกทุ่งนอกท่ามากนัก ถ้าครอบครัวไหนไม่มี ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของสังคมไป"

เถรี
25-09-2010, 10:50
"เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่รัฐบาลไม่รู้นะ คนที่จะขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ต้องรู้ แต่มัวเล่นเกมการเมืองกันอยู่จนไม่มีเวลาที่จะมาแก้ไข เวรกรรมก็เลยตกอยู่กับประเทศไทย อยากรู้เหมือนกันว่าอีกห้าปี หรือสิบปี ไอคิวเฉลี่ยของเด็กไทยจะเหลือเท่าไร ตอนนี้ ๘๘ อยู่ระดับโง่ของฝรั่งไปแล้ว

ปัจจุบันนี้เวลาเห็นเด็ก ๆ อาตมาเกิดความคิดอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ จะเกิดมาทำไมวะ ? อย่างที่สองก็คือ เอ็งยังทุกข์อีกนาน กลายเป็นว่าผู้ใหญ่ยุคนี้โชคดี ที่เขาบอกว่าโชคดีที่ตายก่อน..!

เพราะฉะนั้น..ใครเพิ่งจะแต่งงานอยู่กินกัน ขอไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะอบรมลูกให้เป็นคนดีได้ ก็อย่าเพิ่งมีลูกเลย ไม่อย่างนั้นจะไปเพิ่มปัญหาให้แก่สังคมเสียเปล่า ๆ

เดี๋ยวจะกลายเป็นประเภทที่เข้าไปในผับแล้วเที่ยวไปถามว่า "รู้ไหมว่ากูลูกใคร ?" ถ้าโง่ขนาดไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร ก็เป็นกรรมของสัตว์โลกไป..!

ขอให้ช่วยรับไปปฏิบัติด้วย ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะอบรมลูกของตัวเองออกมาดีได้ ก็อย่าเพิ่งไปมีเลย"

เถรี
25-09-2010, 10:53
พระอาจารย์กล่าวถึงสำนักปฏิบัติธรรมว่า "สำนักปฏิบัติธรรมวัดท่าขนุน จัดตั้งมายังไม่ได้สองปีเลย โดยคำสั่งของมหาเถรสมาคม แต่ปรากฏว่าปีที่สองนี้ได้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นของประเทศแล้ว ได้พร้อม ๆ กับวัดมหาธาตุที่เขามีการปฏิบัติธรรมมา ๔๐ -๕๐ ปี

ได้พร้อมกับหลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม ที่สอนกรรมฐานมาตลอดชีวิต มีอีกวัดหนึ่งที่ได้ คือ วัดของหลวงพ่อหนุน วัดป่าพุทธโมกข์ ที่สกลนคร ได้พร้อมกัน รุ่นเดียวกัน จะไปรับรางวัลวันที่ ๒๓ กันยายนนี้ ที่วัดพิชยญาติการาม

โดยเฉพาะวัดพิชัยญาติเขาทำเรื่องกรรมฐานมาโดยตลอด เป็นต้นกำเนิดของประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนา ที่จะต้องเข้ากรรมฐาน ๓ เดือน และปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาที่จะต้องเข้ากรรมฐาน ๗ เดือน แต่มาได้รับรางวัลดีเด่นพร้อมกัน รุ่นเดียวกัน

ที่จริงอยากให้วัดท่าขนุนได้ปีหน้ามากกว่า เพราะในหลวงครบ ๘๔ พรรษา ถือว่าเป็นวโรกาสที่เป็นมหามงคล แต่ในเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ต้องรับเอาไว้ก่อน"

เถรี
25-09-2010, 10:58
ถาม : ขอสอบถามการใช้คาถาสหัสสเนตโตและวิธีนั่งภาวนา ที่ไม่ใช้ตาเนื้อ เวลานั่งภาวนาชอบไปจับที่ลูกตา
ตอบ : รู้แล้วก็แก้ไขสิ

ถาม : ควรตั้งจิตไว้ตรงไหน ?
ตอบ : เขาใช้นึกเอา จะนึกไว้ตรงไหนก็ได้ ส่วนใหญ่กำหนดใจเอาไว้ ว่าง ๆ สบาย ๆ อยู่ในหัวกะโหลกของเราเอง เหมือนกับว่าเราจะนึกถึงใครสักคน ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรามองขึ้นไปบนหัวของเรา แล้วโค้งกลับเข้ามาในท้องของเราก็ได้ เอาไว้ตรงไหนก็ได้

แรก ๆ อดไม่ได้หรอก เราเคยชินกับการใช้สายตามานาน ก็ไปเผลอนึกถึงตาอยู่เรื่อย ถ้าฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้แล้ว นึกถึงตาเมื่อไรภาพก็หายวับ

เนื่องจากการนึกถึงตาคือการนึกถึงตัว เป็นการดึงจิตกลับมาที่ตัว เราต้องไปถึงสถานที่นั้น เราจึงจะเห็นได้ ในเมื่อเราดึงจิตกลับ ก็จะไม่เห็นอะไร

ส่วนคาถาสหัสสเนตโตนั้น ให้ภาวนาเป็นปกติไปเลย เช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมงก็ได้ ไม่ใช่นึกจะใช้เมื่อไรแล้วค่อยมาภาวนา แบบนี้ไม่ทันกิน ถ้าเป็นมีดหรือดาบก็สนิมเขรอะ ต้องซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ ลับมีดลับดาบไว้บ่อย ๆ

เถรี
25-09-2010, 11:02
คาถาสหัสสเนตโต เวลาเราใช้อย่าลืมขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ให้ช่วยสงเคราะห์ให้เราทำข้อสอบได้ถูกต้อง และถูกใจคนตรวจด้วย

ถ้าอ่านหนังสือมาจะทำได้คล่องมาก เพราะจะนึกออกหมด แต่ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือมา จะต้องมีความคล่องตัวจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเกิดได้คำตอบขึ้นมา แล้วเราไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน เราก็จะไม่รู้ว่าคำตอบนี้ถูกหรือเปล่า ฉะนั้น..ถ้าให้เป็นไปได้ ควรจะอ่านหนังสือสัก ๒ - ๓ รอบ ถึงเวลาใช้คาถาความคล่องตัวจะได้มี

อาตมาเองขนาดคล่องตัวแล้ว ตอนสอบนักธรรมเอกยังโดนตัดคะแนนเลย เพราะได้ยินเสียงบาลีดังชัด ๆ อยู่ในหู แต่เราเคยได้ยินอีกประโยคหนึ่งที่คล้าย ๆ กัน ก็เลยไปคิดว่าน่าจะเป็นประโยคนั้น เขียนไปก็เลยผิด โดนหักไป ๕ คะแนน..!

จะใช้คาถาทุกอย่างให้ได้ผล จำเป็นต้องทำสมาธิให้ทรงตัว สมาธิทรงตัวตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป คาถาก็เริ่มได้ผลแล้ว ยิ่งสมาธิสูงเท่าไรผลของคาถาจะมีมากเท่านั้น

คนจะทำคาถาต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ ถ้าไม่จริงจัง ไม่สม่ำเสมอ ทำแล้วจะไม่เกิดผล เพราะว่าคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา ทำคาถาขึ้นก็เล่นอภิญญาได้ คนจะเล่นอภิญญาได้จะต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ ทุ่มเทชนิดตายเป็นตาย ไม่ใช่เบื่อ ๆ อยาก ๆ ไฟไหม้ฟางเป็นพัก ๆ ถ้าวิสัยอย่างนั้นอย่าเสียเวลาไปเล่นเลย..!

เถรี
25-09-2010, 11:04
คาถาจริง ๆ มาจากภาษาบาลี บาลีเขาใช้ว่า กถา แปลว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว เพราะฉะนั้น คำพูดทุกอย่างก็คือคาถา

แต่ว่าคาถาในความรู้สึกนึกคิดของเรา คือ ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ ที่จะให้ผลตามแต่ที่เขากำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ผู้ใดภาวนาคาถานั้นก็จะได้รับผลตามที่เขาว่าเอาไว้

ความจริงแล้วคาถาใช้บทเดียวก็ได้ เพราะคาถาเป็นการโยงใจให้เป็นสมาธิ ส่วนที่เหลือเมื่อกำลังใจเป็นสมาธิแล้ว ถ้าหากว่ากำลังเพียงพอ อธิษฐานให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

ดังนั้น..แรก ๆ อาจจะต้องใช้คาถาหลาย ๆ บท เพราะเรายังไปแยกว่าบทนั้นใช้อย่างนั้น บทนี้ใช้อย่างนี้ แต่ถ้าคนที่คล่องตัวจริง ๆ ส่วนใหญ่จะเหลือแค่บทเดียว แถมบทยาว ๆ ก็ไม่เอาอีกด้วย เอาบทสั้น ๆ ดีกว่า

เถรี
27-09-2010, 08:56
ถาม : มีคนเขาจะขายบ้านไม้ ปลูกมาแล้วแปดปี ราคาแสนห้า หนูควรจะซื้อไหม ?
ตอบ : ซื้อเลยจ้ะ เพราะเดี๋ยวนี้บ้านไม้หายาก ราคาแพงขึ้นทุกวัน

ถาม : เขาขายราคาแสนห้า หนูก็ว่าราคาถูก พรุ่งนี้หนูจะไปดูสภาพบ้านจริง
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เขาก่อน บอกเจ้าที่เจ้าทางหรือท่านทั้งหลายที่อาศัยในบ้านนี้ว่า เราจะซื้อบ้านหลังนี้ ขอให้ไปอยู่ด้วยกัน เราทำบุญอะไรขอให้เขาโมทนา เมื่อไปอยู่ด้วยก็ช่วยสร้างความสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัวของเราด้วย

เมื่อหลายปีก่อน มีบ้านหลังหนึ่งขนาดใหญ่พอ ๆ กับศาลา และพื้นที่ของเขาก็กว้างขวาง นอกจากบ้านหลังใหญ่แล้ว ในบริเวณไร่ยังมีกระต๊อบเล็ก ๆ เป็นระยะ ๆ สำหรับคนดูแลไร่ ตอนนั้นทิดตู่ยังบวชอยู่

พอพวกเราไปถึงที่ตรงนั้นแล้ว จึงแบ่ง ๆ กันอยู่ แยกกันไปคนละหลัง กลางคืนก็ต่างคนต่างภาวนากัน ยังไม่ทันจะสามทุ่มเลย ผีก็แห่กันมา ประเภทที่เขาเรียกว่า ป่าช้าแตก..!

ทิดจิตร (ตอนนั้นสึกแล้ว) กางกลดอยู่ใต้ถุนบ้านหลังใหญ่ เขามาสารภาพทีหลังว่า "ผมจะเปิดกลดวิ่งอยู่แล้ว แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าพ้นจากที่นี่ไปแล้วอาจจะโดนหนักกว่าอีก ก็เลยกัดฟันนั่งสั่นอยู่ในกลด"

อาตมาถามผีว่า "ทำไมจึงต้องมาหลอกมาหลอนกันด้วย ?" เขาส่งตัวแทนออกมาหนึ่งราย เป็นผีผู้ชายค่อนข้างจะมีอายุ บอกว่าที่เขามา เขาไม่ได้มาหลอก เขาตั้งใจมาบอกว่าเขาเดือดร้อน เขาอยากขอความช่วยเหลือ แต่คนหนีเขาหมด..!

เถรี
27-09-2010, 09:09
เขาทำภาพให้ดูว่า บ้านหลังนี้ปลูกทับป่าช้าเก่าอยู่ เขาบอกว่า "ตอนที่เจ้าของบ้านปลูกบ้าน ขุดได้กระดูกพวกผมมาเป็นโอ่งเลย เขาสร้างศาลให้อยู่ ไม่เชื่อพรุ่งนี้ไปดูได้" อาตมาเลยบอกพวกเขาให้โมทนาบุญ

พอพวกเราอยู่ได้สองคืน วันที่สามตอนใกล้ ๆ เพล ปรากฏว่าเจ้าของบ้านมา เขาคงได้ข่าวว่ามีพระเณรมาอยู่ที่นี่แล้วอยู่ได้ รู้ไหม..เจ้าของบ้านเขามาลักษณะอย่างไร ? เจ้าของบ้านเดินนำหน้า ลูกน้องอีก ๕ - ๖ คน เกาะเอวกันมาเป็นแถว ไม่กล้าเดินห่างแม้แต่ก้าวเดียว แสดงว่าโดนจนเข็ด..!

เจ้าของบ้านมาสอบถาม อาตมาก็อธิบายให้เขาฟังว่า"โดนหลอกเหมือนกัน แต่อาตมาไม่หนีเท่านั้นเอง..! ถ้าจะให้ดีคุณควรจะทำบุญ จัดทำบุญเลี้ยงพระแบบขึ้นบ้านใหม่ อุทิศส่วนกุศลให้เขาสักหน่อย" เขาก็ตกลง

รุ่งขึ้นอีกวัน เขาก็เอาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงพระ อาตมาลืมสั่งผีเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งไป เพราะปกติถ้าผีได้ส่วนกุศลแล้วเขาก็ไป เจ้าของพอเห็นผีไม่หลอกแล้วเขาก็เลยรื้อบ้านขาย

ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด พาทิดตู่กับทิดป๊อบเข้าไปที่บึงลับแล แล้วอากาศในนั้นร้อน ถ้าเป็นหน้าร้อนแล้วที่บึงลับแลลมจะไม่พัด อากาศจึงร้อนอบอ้าวมาก จึงบอกทิดตู่กับทิดป๊อบว่า ไปบ้านผีสิงที่เกริงกราเวียดีกว่า พอไปถึงเขากำลังล้มเสาต้นสุดท้ายอยู่พอดี รื้อจนเกลี้ยงเลย นี่ถ้าตกลงกับผีไว้ก่อนว่า อุทิศส่วนกุศลให้แล้วช่วยอยู่หลอกไปอีกสักพัก เราอาจจะซื้อบ้านหลังนี้ได้ในราคาถูก ๆ ก็เป็นได้

เถรี
27-09-2010, 09:18
นอกจากผีที่โดนฝังอยู่แถวนั้นแล้ว แม้กระทั่งนางไม้ก็ยังกวนพอ ๆ กัน มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากทำวัตรเย็นรวมกันบนบ้านหลังใหญ่แล้ว แยกย้ายกันไปตามแต่กุฏิใครกุฏิมัน จะมีการหมุนเวียนกันไปแต่ละที่ จะไม่ให้อยู่ซ้ำที่ เพราะถ้าอยู่ซ้ำที่เดี๋ยวจะคุ้นเคย

อาตมาลงจากบ้านหลังใหญ่เดินลัดไปทางด้านชายห้วย จะมีกระต๊อบอยู่ใต้ต้นไทร พอเดินเลยต้นยางใหญ่ไปเท่านั้น มองเห็นผีผู้หญิงออกมาจากต้นยาง มีผ้าขาว ๆ คลุมรุงรัง วิ่งกางแขนเข้ามา อาตมาก็เลยหันไปถามว่า "ทำอะไร?" ผีเขาถามว่า "ไม่กลัวหรือ?" อาตมาก็บอกว่า "มีอะไรน่ากลัว?" ผีเขาตอบว่า "ไม่รู้สิ..เห็นในโทรทัศน์ทำอย่างนี้แล้วคนเขากลัวกัน..!" โธ่..ไอ้ผีทันสมัย ดูโทรทัศน์กับเขาด้วย..!

อาตมาถามว่า "มานี่ต้องการอะไร ?" เขาบอกว่า "อยากจะให้ท่านอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง เพราะวันก่อนที่ให้ไป ท่านไปเจาะจงให้พวกที่เขามา ไม่ได้ให้ทั่วไป เขาเลยรับไม่ได้" จึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว

แต่เขาไม่ยอมไปไหน ตามเราไปที่กระต๊อบด้วย พอเรานอนเขาก็มานั่งอยู่ปลายเท้า อาตมาบอกว่า "ไปห่าง ๆ ได้ไหม ถ้าใครเขามาเห็นเข้าน่าเกลียดตายห่..! พระนอนแล้วมีผู้หญิงนั่งเฝ้าอยู่" เขาก็ยืนยันว่าเขาจะนั่งเฝ้าเพื่อป้องกันอันตรายให้ รับรองว่าคนอื่นไม่เห็น อาตมาก็เลยนอนฟุ้งซ่านอยู่ทั้งคืน เพราะแม่เจ้าประคุณสวยเช้งวับเลย..!

เถรี
27-09-2010, 09:33
จากจุดนี้เลยเข้าใจว่า ที่ผีเขามาหา ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อนกันทั้งนั้น ความเดือดร้อนของผี ก็คือ กุศลบารมีเขาน้อย ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกสบาย ในเมื่อคนที่บุญน้อยก็เหมือนกับคนจน แต่งตัวสวยขนาดที่เราเห็นแล้ววิ่ง..! ที่ไม่สามารถจะสวยเกินกว่านั้นได้ เพราะบุญเขาน้อย

เมื่อเป็นดังนั้น อยากจะบอกพวกเราว่า ถ้าเจอผีวิธีที่ดีที่สุด คือรีบอุทิศส่วนกุศลให้เขาก่อน ไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอก ถ้าเจอผีแปลว่าบุญเก่าที่ทำไว้มีเหลือเฟือแล้ว

ให้ตั้งใจว่า กุศลบารมีใดที่เราได้สร้างตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับอย่างนั้นด้วย แค่นั้นแหละเขาก็ได้แล้ว

ถาม : แสดงว่าผีมา เขามาขอส่วนบุญทุกครั้ง ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน มักต้องการความช่วยเหลือ

ถาม : ไม่ใช่ว่ามาหลอกเฉย ๆ ?
ตอบ : ลำบากและเดือดร้อนขนาดนั้น เขาไม่มีอารมณ์มาหลอกเฉย ๆ หรอก

เถรี
28-09-2010, 08:59
ในเรื่องของผีที่เขามาในสภาพน่าเกลียดน่ากลัว ก็ยังถือว่าเขามีความสามารถที่อยู่ในระดับที่ใช้ได้ ถ้าท่านที่บุญน้อยกว่านั้น ทำให้ภาพปรากฏก็ไม่ได้ เพราะกำลังเขาน้อย เราอาจจะได้ยินแต่เสียง หรือได้แต่กลิ่น

ถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวล คิดว่าบุญทั้งหมดที่เราทำมา ขอให้เจ้าของเสียงนั้นโมทนา ผลบุญที่เราทำมาทั้งหมด ขอให้เจ้าของกลิ่นนั้นโมทนา ก็ใช้ได้เลย

ปัจจุบันนี้ผีมีโอกาสหลอกเราน้อยมาก เพราะมีไฟฟ้า เวลาผีจะปรากฏตัว เขาต้องใช้กำลังของเขาดึงเอาธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่อยู่รอบข้าง ให้มารวมตัวกันเป็นกายหยาบให้คนเห็น แต่กระแสไฟฟ้าที่กระพริบด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้ง/วินาที ไปกระแทกสะเทือนจนอนุภาคของธาตุ ๔ ทั้งหลายเหล่านั้นรวมตัวไม่ได้

เพราะฉะนั้น..เวลากลัวผีแล้วไปเปิดไฟนั่นถูกต้องแล้ว แต่ก็ป้องกันได้เฉพาะผีระดับต่ำ ๆ เท่านั้น ผีระดับสูง ๆ ต่อให้กลางวันเที่ยง ๆ ก็สามารถมาหลอกได้ เสียเวลาเปิดไฟเปล่า ๆ

บางทีเราสงสัยทำไมสมัยก่อนผีเยอะแยะ ทำไมสมัยนี้ผีไม่มี ? ก็ยังมีเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่ว่าการปรากฏตัวของเขายากขึ้น พอจะดึงเอาธาตุสี่ดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมกัน ก็ถูกไฟฟ้าที่กระพริบแวบ ๆ กระทุ้งจนกระจายหมด ถ้ากำลังเขาไม่พอก็ปรากฏตัวไม่ได้เลย บางคนจึงได้ยินแต่เสียง บางคนจึงได้แค่กลิ่นเท่านั้น

เถรี
28-09-2010, 09:04
ถาม : แล้วผีที่มีนิสัยลามก ?
ตอบ : คนเราเวลามีชีวิตอยู่ มีสันดานนิสัยอย่างไร ถึงเป็นเป็นผีแล้วก็มีนิสัยสันดานอย่างนั้น

เถรี
28-09-2010, 09:32
อาตมานอนภาวนาอยู่ ผีเขามาถึงเห็นเรานอนหงายภาวนา สองคนแรกก็มาจับเราตะแคงขวาเป็นท่านอนสีหไสยาสน์ แล้วเขาก็ไป อีกสักพักโผล่มาทางปลายเท้าอีกสองคน "นอนท่านี้นานแล้วนี่" แล้วเขาก็จับพลิกซ้ายให้ แล้วเขาก็ไป

เดี๋ยวก็โผล่มาอีกสองคน "อะไรวะ..จะมายุ่งอะไรกับอนาคตตูขนาดนั้น ตูจะภาวนา..!" อาตมาจึงคิดจะลองดีกับผี พอเขาเข้าใกล้ คราวนี้ไม่รอให้เขาจับ ถีบโครมเลย..!

จำไว้ว่าอย่าเสียเวลาไปตีกับผี เพราะเขารู้ความคิดของเรา พอเราถีบโครมเขาก็จับขาไว้ เราก็ต้องรีบตะปบสบง..กลัวโป๊ พอถีบซ้ายเขาก็จับซ้าย ถีบขวาเขาก็จับขวา ชกซ้ายเขาก็จับซ้าย ชกขวาเขาก็จับขวา

ท้ายสุดก็โดนเขาขึงพืด พวกที่หายไป ๕ - ๖ คนย้อนกลับมาใหม่ ช่วยกันนั่งทับตั้งแต่อกยันปลายเท้า กระดิกไม่ได้เลย คนที่อยู่หน้าสุด จับแขนเราแล้วกดไว้กับหน้าอกบอกว่า "ให้บอกว่ากลัวสิ..แล้วจะปล่อย" เรื่องอะไรกูจะกลัวมึง..! อาตมาก็ว่าคาถาเป่าใส่เลย เขาเอียงหน้าหลบนิดเดียวบอกว่า "ไม่ถูก..!" กวนสุด ๆ

ตอนนั้นทำให้เข้าใจเรื่องผีว่า ถ้าเราหลับตาหรือทำไม่สนใจจะเห็นเขาชัดเจนมาก เขากดเราอยู่ น้ำหนักมือหรือความอุ่นเหมือนกับคนทุกอย่างเลย แต่ถ้าเราตั้งใจจะมอง ก็จะมองทะลุเห็นมือตัวเอง หรือจะเห็นเสาหรือของอะไรที่อยู่ข้างหลัง แต่ถ้าทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็เป็นเงาหนา ๆ เหมือนคนนี่เอง

เถรี
28-09-2010, 10:01
อาตมาก็รอจังหวะ ต่างคนต่างคุมเชิงกันอยู่ พอเขาเผลอ อาตมากระชากแขนพรวดหลุดออกมาได้ เราก็คว้าตัวที่อยู่ทางด้านหัว ตั้งใจจะทุ่มเขา ปรากฏว่าไปคว้าเอาผู้หญิงเต็ม ๆ จับเอวเข้าพอดี ยายนั่นก็บ้าจี้ หัวเราะคิกคักยักเอวยักไหล่...

อาตมาเพิ่งจะรู้ว่าเนื้อผีก็คล้าย ๆ กับเนื้อคน ก็ต้องรีบปล่อย กลัวจะโดนอาบัติ เพราะเขาเป็นผู้หญิง ดิ้นหลุดออกมาได้ก็ไล่ชกไล่เตะ ตีกันตึงตังโครมครามอยู่ทุกวัน จนกระทั่งเหนื่อยหอบ พอได้เวลาออกมาทำวัตรเย็น ป้ากิมกีก็ถามว่า "หลวงพี่ย้ายของอะไรทั้งวัน ตึงตังไปหมด ?" เราจะไปย้ายอะไร ผีเขาย้ายเราต่างหาก..!

ไม่น่าเชื่อว่าตีกับผีเป็นปี ๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่มา เขาต้องการจะทดสอบกำลังใจ ถ้าเรายึดเกาะความดีได้ นึกถึงพระนึกถึงนิพพานได้เขาก็เลิก แต่เขาดันมาเจอนักรบเก่า ขอให้พระช่วยก็ไม่ขอ ลุยเองเลย เรื่องจะให้ยอมแพ้หรือบอกว่ากลัว ไม่มีหรอก

จนกระทั่งท้ายสุด ท่านทนความหน้าด้านของเราไม่ไหว ท่านต้องไปเอง เพราะแกล้งหลอกเท่าไรเราก็ไม่กลัวสักที แถมยังไม่คิดถึงความดีอะไรด้วย สู้อย่างเดียว พอมานึกทบทวนย้อนหลัง อาตมานี่ดื้อสะบั้นหั่นแหลก จะนึกถึงพระนึกถึงนิพพานก็ไม่มี เอาแต่สู้อย่างเดียว

มีรุ่นน้องท่านหนึ่ง คือท่านโกวิท น่าจะสึกไปแล้ว บวชทีหลังอาตมาหนึ่งพรรษา ท่านนอนอยู่ตรงป้อมยาม โดนผีบีบคอเสียจนลมหายใจจะหมดแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่า "เอาละวะ..ตายเป็นตาย ตายตอนนี้ก็ไปนิพพาน"

พอคิดอย่างนั้นเขาก็ปล่อย คือ ถ้าเกาะความดีส่วนใดส่วนหนึ่งได้เขาก็ปล่อย เขาถือว่าการทดสอบของเขาประสบผลแล้ว แต่ก่อนจะไปเขาก็บอกว่า "ไอ้หน้าอย่างนี้หรือจะไปนิพพาน..!" แหม..ดูถูกกันมาก ถ้าเป็นอาตมานี่ไอ้ผีตัวนั้นโดนแน่..!

เถรี
28-09-2010, 10:35
มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปโดนผีหลอกที่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ อาตมาไปพักอยู่กลางป่า เทวดาบอกไม่ทัน อาตมาเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่น ขยับลุกขึ้นมา นั่งไม่ทันเต็มตัวเลย เสียงเจ้าที่ตะโกนว่า "ระวังผี..!" ปรากฏว่าไม่ทัน มือเย็นเจี๊ยบมาถึงคอแล้ว..!

อาตมาภาวนาพุทโธ ๆ เขาก็ชะงัก พอคิดจะหยุดภาวนาไปล้างหน้า เขาก็รวบมือเข้ามา พอภาวนาเขาก็คลายออกให้หน่อยหนึ่ง เล่นได้กวนมากเลย

ก็ต้องยันกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง จึงบอกกับเขาว่า "พอเถอะ..ตะวันขึ้นแล้ว ต่างคนต่างไป ถ้าจะหลอกเดี๋ยววันหน้าค่อยมาใหม่" เขาเองก็ว่าง่ายเหมือนกัน ไปเอาง่าย ๆ เราจึงลุกไปล้างหน้าแปรงฟันได้ ตกลงว่าปกติที่เคยภาวนาพิจารณาทุกวันก็ไม่ต้องแล้ว วันนั้นเหลือแต่พุทโธอย่างเดียว

เถรี
28-09-2010, 11:46
ถาม : สงสัยว่าผีในป่าช้าที่ท่านเล่ามา พวกเขาเดือดร้อนตรงไหน ?
ตอบ : เขาเดือดร้อนเพราะไปไหนไม่ได้ ก็เลยอยากได้ส่วนกุศล ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขามีกำลังพอ หรือมีกำลังบุญสูงขึ้น เขาก็จะไปภพภูมิอื่นได้
ไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยความที่จิตยังยึดอยู่ แม้กระทั่งร่างกายที่ตายไปแล้ว ทำให้วนเวียนอยู่แถวนั้น ไปไหนไม่ได้

เถรี
28-09-2010, 11:47
ถาม : เวลาพระอริยเจ้าท่านทำให้เข้าถึงอริยผล ท่านทำอย่างไร?
ตอบ : ข้อนี้ต้องไปถามพระอริยเจ้าเอง..! ก็ต้องเข้าหาวิปัสสนาญาณสิ โดยเฉพาะพิจารณาในกายคตาสติ หรือไม่ก็ดูในเรื่องของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น

ถ้ายังเป็นปลาอยู่ในน้ำ อย่าไปถามว่าบนบกเป็นอย่างไร อธิบายไปก็กลุ้มใจตายเปล่า ๆ..!

เถรี
28-09-2010, 15:13
ถาม : อยากรู้อานิสงส์การถวายดอกไม้ครับ ?
ตอบ : ต้องถามกลับว่าถวายใคร ? ถวายพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธบูชา ถวายพระสงฆ์ก็เป็นสังฆบูชา หรือเวลาเขาสวดมนต์แล้วไปโปรยก็เป็นธัมมบูชา

ท่านใช้คำว่าอัปปมาโณ หาประมาณไม่ได้ ขอให้บูชาด้วยความเคารพจริง ๆ เท่านั้น อย่างนายสุมนมาลาการมีหน้าที่เอาดอกมะลิไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล วันละ ๘ ทะนาน

วันนั้นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา นายสุมนมาลาการเกิดความปลื้มใจ คิดว่า "แม้เราจะไม่มีดอกไม้ไปถวายพระราชา ถ้าท่านจะประหารชีวิตเราก็ตามทีเถอะ เราขอสร้างบุญไว้ก่อน" แล้วท่านก็ซัดดอกไม้ขึ้นไป ๒ ทะนาน ปรากฏว่าดอกไม้ขึ้นไปลอยเรียงเป็นเพดานกั้นให้พระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดความปลื้มใจ มีปีติมาก ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ดอกไม้ก็ลอยไปกั้นเป็นม่านอยู่เบื้องหลัง ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ลอยไปกั้นอยู่เบื้องขวา ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ลอยไปกั้นอยู่เบื้องซ้าย จนหมดเกลี้ยงทั้ง ๘ ทะนาน

พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนก็เหมือนกับอยู่ในห้องดอกไม้ เปิดให้เห็นเฉพาะด้านหน้า ชาวบ้านเห็นก็สาธุการกันเซ็งแซ่ แต่ภรรยาของนายสุมนมาลาการกลับคิดไปอีกอย่าง คิดว่า "ตัวเองต้องแย่แน่ ๆ สามีเอาดอกไม้ไปทำแบบนี้ พระราชาอาจจะสั่งประหารเราไปด้วย" จึงรีบเข้าวังไปแจ้งความประสงค์กับพระราชา ว่าตนเองเป็นภรรยาของนายสุมนมาลาการ ขอหย่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สิ่งต่าง ๆ ที่นายสุมนมาลาการทำ ตนเองไม่ขอเกี่ยวข้อง

พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านอนุญาตให้หย่าได้ แล้วให้ราชบุรุษไปตามตัวนายสุมนมาลาการมา ถามว่าทำไมจึงทำอย่างนั้น ตอนทำคิดอย่างไร นายสุมนมาลาการก็บอกให้รู้ว่า เห็นพระพุทธเจ้าเกิดความปลาบปลื้มปีติมาก อยากจะทำบุญ จึงตัดสินใจว่าถ้าโดนพระราชาสั่งประหารชีวิตก็ยอม ขอทำบุญก็แล้วกัน

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงโมทนา แล้วมอบสิ่งของพระราชทาน โดยให้วัวไป ๘ ตัว ม้า ๘ ตัว ช้าง ๘ เชือก หมู่บ้านไปปกครองอีก ๘ ตำบล แล้วก็เมียอีก ๘ คน ส่วนภรรยาเก่าของนายมาลาการดันทะลึ่งไปขอหย่า จึงไม่ได้อะไรเลยสักบาท..!

เถรี
28-09-2010, 15:23
ที่เล่ามานี่เราเห็นอะไรบ้าง ? อันดับแรกก็คือ กำลังใจของนายสุมนมาลาการ ถ้าได้ทำความดีแม้ตัวตายก็ยอม ประการที่สอง พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นไม่ได้หาตัวยาก เข้าพบเมื่อไรก็ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ชาวบ้านคนหนึ่งขอเข้าไปพบพระราชา ไม่น่าจะได้พบง่าย ๆ

ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าอานิสงส์การถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาอย่างนายสุมนมาลาการ กลายเป็นคนรวยทันตา แต่ถ้าอย่างชูชกก็ได้นางอมิตดามาเป็นเมีย ชูชกอายุ ๘๐ นางอมิตดาอายุ ๑๖ รุ่นเหลนเลยนะ

อรรถกถาเขาบอกว่า ชูชกถวายดอกไม้ตูมเอาไว้ในชาติก่อน ก็เลยได้ภรรยาสาวพริ้ง แต่เขาไม่ได้บอกว่านางอมิตดาเคยถวายดอกไม้เหี่ยวเอาไว้ก่อน เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันนะ

เถรี
28-09-2010, 16:14
ชูชกเป็นผู้มีความสามารถสูงมากในการขอ ขอใครไม่เคยพลาด ได้ทุกราย โบราณาจารย์อย่างหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน ท่านก็เลยสร้างชูชกขึ้นมาเป็นเคล็ดลับในเรื่องของมหาลาภ มหานิยม เพื่อให้ลูกศิษย์ไปทำมาหากิน จะได้มีความสะดวกคล่องตัว

เนื่องจากชูชกขอทานจนรวย มีเงินเป็นแสนกหาปณะ เอาไปฝากเพื่อนไว้แล้วตัวเองก็ไปขอทานต่อ ชูชกหายไปหลายปี อายุก็มากแล้วเพื่อนพราหมณ์นึกว่าชูชกตายแล้ว จึงเอาเงินของชูชกไปใช้จนเพลิน พอชูชกกลับมาทวงเงิน ไม่มีคืนให้ เขาก็เลยต้องยกลูกสาวให้เป็นการตอบแทน

ต้องบอกว่า นางอมิตตดานั้นพ่อแม่อบรมมาดี แม้จะยกให้เป็นภรรยาของชูชกที่แก่เฒ่าปานนั้น ก็ยังเคารพสามีเหมือนพ่อ ดูแลปรนนิบัติรับใช้ทุกอย่าง แต่ทีนี้เดือดร้อนบรรดาพราหมณ์อื่น ๆ เขาเอานางอมิตตดาเป็นมาตรฐาน ว่าทำไมเมียเราถึงไม่ดีเหมือนนางอมิตตดาบ้าง ก็ไปตีเมียบ้าง ด่าเมียบ้าง

บรรดาเมียพราหมณ์ทั้งหลายเก็บความแค้นเอาไว้ ตอนไปตักน้ำก็ไปรุมด่านางอมิตตดา "เพราะแกทีเดียวนางกาลกิณี เข้ามาในหมู่บ้าน เลยทำให้พวกข้าเดือดร้อนหมด" นางอมิตตดาร้องไห้กลับบ้าน ชูชกถามเกิดอะไรขึ้น นางจึงเล่าให้ฟังแล้วบอกว่าต่อไปนี้จะไม่ไปตักน้ำแล้ว

ชูชกบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก..ได้ยินว่าพระเวสสันดรตอนนี้ออกบวชอยู่ในป่า พระนางมัทรีที่เป็นมเหสี กัณหา ชาลี ที่เป็นราชกุมารีราชกุมารตามไปด้วย พระเวสสันดรเป็นผู้ใจดี ขออะไรก็ให้ เดี๋ยวเราจะไปขอกัณหา ชาลี มาให้เป็นทาสของเจ้าก็แล้วกัน" ว่าแล้วก็เดินทางไป

เถรี
28-09-2010, 18:05
จริง ๆ ช่วงออกพรรษาจะเป็นช่วงที่เขาเทศน์พระเวสสันดรชาดก บางทีก็เรียกว่า เทศน์คาถาพัน เพราะจะประกอบด้วยคาถาบาลีเป็นหัวเรื่องหนึ่งพันบทด้วยกัน รวมทั้งหมดมี ๑๓ กัณฑ์

ได้แก่ ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวศน์ ชูชก จุลพน มหาพน กุมาร มัทรี สักกบรรพ มหาราช ฉกษัตริย์ นครกัณฑ์ รวมแล้วเป็นบาทคาถาหนึ่งพันคาถา เขาเลยเรียก เทศน์คาถาพัน สมัยก่อนเขาเทศน์กันสามวันสามคืน

เถรี
28-09-2010, 18:45
พระอาจารย์กล่าวถึงโบสถ์เทวดาสร้าง ที่นครสวรรค์ให้ฟัง

"วัดจอมคีรีนาคบรรพต มีโบสถ์หลังนิดเดียว แต่เขาเชื่อว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้าง คนมาเท่าไรก็เข้าไปได้หมด

โบสถ์หลังนี้แต่เดิมเขาสร้างค้างไว้หลายปี ตามที่เล่ากันมา เขาบอกว่า วันหนึ่งเป็นวันพระใหญ่ ตอนกลางคืนมีแสงสว่างไปทั่วทั้งยอดเขา เหมือนกับใครมาจุดไฟทำอะไร พอรุ่งเช้าโบสถ์ทั้งหลังก็เสร็จเรียบร้อย เขาก็เลยเชื่อกันว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้าง

พอเวลามีงานบุญ คนก็ยัดกันเข้าไปในโบสถ์หลังเล็ก ๆ นั้นได้ คนก็เกิดความแปลกใจว่า โบสถ์หลังนิดเดียวแต่ทำไมคนมาแล้วนั่งได้เรื่อย ๆ เขาเลยลือกันไปว่าโบสถ์เทวดาสร้าง คนมาเท่าไรก็เข้าได้หมด

จึงมีนักเลงดี คือ ผู้บังคับกรมทหารราบที่ ๔ ค่ายจิรประวัติ เอาทหารทั้งกรมไปทดลอง ทหารกรมหนึ่งจำนวนเท่าไร ? ถ้าตามอัตรากำลังทหารที่อาตมาเคยอยู่ กองพลทหารราบที่ ๙ กาญจนบุรี การจัดอัตรากำลัง ๑ กองร้อย เท่ากับ ๑๔๒ คน ๕ กองร้อยเป็น ๑ กองพัน ๕ กองพันเป็น ๑ กรม ลองคำนวณดูแล้วกันว่า ๑ กรม มีทหารจำนวนเท่าไร ?

พอถึงเวลาท่านผู้การก็สั่งให้ทหารเข้าโบสถ์ไป เข้าไปก็เหมือนกับเต็ม พอขยับก็เข้าไปได้เรื่อย ๆ ท้ายสุดทหารทั้งกรมก็เข้าไปอยู่ในโบสถ์หลังเล็ก ๆ ได้ ไม่รู้ว่าเข้าไปได้อย่างไรกันตั้งพันกว่าคน..!

เขาจึงได้เชื่อว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้างจริง ๆ ทุกวันนี้ติดป้ายเย้ยฟ้าท้าดินเลยว่า "ขอเชิญชมโบสถ์เทวดาสร้าง" มีโอกาสก็ลองแวะดู เป็นโบสถ์ที่มีศิลปะแบบภาคกลางตอนเหนือ งามทีเดียวแหละ"

เถรี
29-09-2010, 12:39
"สมัยพุทธกาล งานถวายพระเพลิงศพพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี หรือว่างานประชุมเพลิงพระสารีบุตรมหาเถระ เทวดาต้องลงมาช่วย เนรมิตจิตกาธาน เนรมิตที่พักสงฆ์ ฉะนั้น..โบสถ์เทวดาสร้างจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

งานศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพุทธศาสนา คือ งานศพของพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี แม้แต่งานถวายพระเพลิงพุทธสรีระก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่า เนื่องจากพระพุทธเจ้าเป็นองค์อำนวยการเอง ในฐานะที่เป็นพระน้านางและเป็นแม่ผู้ถวายกษีรธารา(น้ำนม)มาตั้งแต่เด็ก เท่ากับว่าท่านจัดงานให้แม่ จึงได้เดือดร้อนเทวดาต้องมาเนรมิตจิตกาธานให้ และต้องยกขบวนมาเป็นเกียรติยศด้วย

งานนี้พระอรหันต์แบกโลงให้ ก็คือ บรรดาพระญาติพระวงศ์อย่างพระอานนท์ พระนันทะ พระพุทธเจ้าเสด็จนำ ตามด้วยหมู่สงฆ์เป็นแสน ยังมีพรหมเทวดาอีกนับไม่ถ้วน แล้วจึงต่อด้วยขบวนประชาชน

มีเวลาเตรียมงานนานมาก ไม่เหมือนกับการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ที่ต้องทำให้เสร็จภายในไม่กี่วัน ลองไปค้นเอาเองในพระไตรปิฎก งานนี้ไม่บอกว่าอยู่ในเล่มไหน"

เถรี
29-09-2010, 13:05
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยที่พระองค์ที่ ๑๐ มาวัดท่าซุง เสียดายแทนโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นขอดอกบัวจากพระองค์ที่ ๑๐ บอกว่าแม่ไม่สบาย ขอดอกบัวไปต้มเป็นยาให้แม่กินเพื่อรักษาโรค

พระองค์ที่ ๑๐ ท่านบอกว่า "ถ้าให้เธอคนหนึ่ง คนอื่นก็อยากได้ด้วย เอาอย่างนี้สิ..ให้เธอเอาน้ำใส่หม้อแล้วตั้งใจนึกถึงฉัน ขอให้น้ำนี้เป็นยารักษาโรคได้" ปรากฏว่าโยมเขาทำท่าผิดหวัง และอาตมามั่นใจด้วยว่าเขาไม่ได้ทำ ถ้าเป็นอาตมาจะต้มน้ำเปล่ารักษาโรคให้ทั่วประเทศเลย ก็ท่านให้พรขนาดนั้นแล้ว"

ถาม : ท่านให้พรแค่คนเดียวหรือคะ ?
ตอบ : ท่านให้พรใครก็เป็นสิทธิ์ของคนนั้น แต่เขาไม่เอา อาตมาดูหน้าแล้วรู้เลยว่าเขาไม่ทำ เขาจะเอาดอกบัวให้ได้อย่างเดียว อาตมาเองตอนนั้นก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยหนักอย่างตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะขอทำเสียเอง

เถรี
29-09-2010, 13:18
มีคนนำรูปคุณป้านิภา คงสุข มาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวถึงป้านิภาว่า "คุณป้านิภา ท่านไปบวชชีที่ต่างประเทศ ความจริงท่านเดินทางไปสงเคราะห์ญาติโยมทางด้านนั้น แล้วพระกับหลวงพ่อบอกว่าบวชได้แล้ว ท่านก็เลยต้องโกนหัวบวชที่ต่างประเทศเลย

อาตมาไม่ได้ไปช่วยท่านหลายปีแล้ว ตอนที่ท่านสร้างสำนักใหม่ ๆ ก็ไปทุกเดือน ไปถึงเมื่อไร ป้าก็จะส่งไมค์ให้ เป็นอะไรที่น่าขำ เข้าไปถึง..พูดอะไรก็ไม่พูดสักคำ ป้าส่งไมค์มาให้ อาตมาก็รับงานไปจนกว่าจะเสร็จ แล้วก็กลับ ส่วนใหญ่จะเป็นการถวายสังฆทานและมีการทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วย

ท่านไปซื้อที่แล้วทำเป็นบ้านจัดสรร ไม่ทราบว่ายังมีเหลืออีกหรือเปล่า ? ลักษณะเป็นเหมือนหมู่บ้านจัดสรรพร้อมอยู่ อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร อยู่ในเขตอำเภอบ่อพลอย

ตอนที่คุณสมทรง อดีต ส.ส.กาญจนบุรีหลายสมัย จะลงสมัคร ส.ส.อีกครั้ง คุณสมทรงอุตส่าห์เดินทางขึ้นไปถึงทองผาภูมิ เพื่อที่จะไปถามอาตมาว่า สมัคร ส.ส. ครั้งนี้จะสอบได้ไหม ? อาตมาจะบอกว่าไม่ได้..ก็เกรงใจ เลยส่งเบอร์ป้านิภาให้ บอกว่า"ไปถามป้านิภาจะดีกว่า อาตมาเป็นพระ..พูดยาก"

สงสัยจะได้คำตอบ จึงไม่เห็นคุณสมทรงลงสมัคร ส.ส. ความจริง ก็คือ คุณสมทรงเขาไม่อยู่ที่นั่นมาหลายปี เท่ากับว่าพวกบรรดาฐานคะแนนเสียงต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปแล้ว โอกาสที่จะไปรบกับเจ้าถิ่นใหม่ก็ยาก"

เถรี
29-09-2010, 13:41
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติให้ฟังว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรมให้ระมัดระวังไว้อย่างหนึ่ง เรื่องของภาพหลอกภาพหลอน การทดสอบกำลังใจต่าง ๆ

บางรายรู้สึกว่าหลวงพ่อมาสั่ง พระมาสั่งให้ทำนั่นทำนี่ เสร็จแล้วก็มาปรึกษาอาตมาว่า ควรจะทำอย่างไร ? ปฏิบัติตามดีไหม ? ก็บอกวิธีพิจารณาแบบง่าย ๆ ว่า ถ้าหากไม่เกินวิสัยหรือความสามารถของเรา ไม่ต้องทำให้เราลำบากมากนักก็ทำไป แต่ถ้าอันไหนถึงขนาดให้เราลำบากมากก็ไม่ต้องทำ รับทราบไว้ด้วยความเคารพและก็ตั้งบูชาไว้บนหิ้งตรงนั้นแหละ

อย่างเช่น เราเป็นฆราวาสแล้วท่านบอกให้สร้างโบสถ์สักหลังหนึ่ง เราพิจารณาแล้วว่าเกินกำลัง ก็รับไว้ด้วยความเคารพแล้วขึ้นหิ้งไว้ ถึงวาระอันควรแล้วค่อยว่ากัน

อาตมาเองไปสร้างเกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ท่านมาสั่งให้ทำอาคารตรงนั้นตรงนี้ รวม ๆ แล้ว ๑๓ หลังด้วยกัน มีกระทั่งอาคารใช้แทนโบสถ์ ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลมาก จึงได้กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "จะให้ผมทำก็ได้ แต่นิสัยผมไม่ชอบขอเงินใคร ถ้าต้องขอใครแม้แต่บาทเดียวผมจะไม่ทำเลย"
หลวงพ่อท่านก็หัวเราะว่า "แกจะเอาอย่างนั้นแน่หรือ ?"
"แน่ครับ"
"เออ..ถ้าอย่างนั้นก็ได้"

อาตมาก็รอดูว่าท่านจะทำอย่างไร หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์ มีเพื่อนของหัวหน้าป่าไม้เขาขึ้นไป หลังจากที่เขาพาไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ ท่านหัวหน้าก็บอกเพื่อนว่า มีพระมาอยู่ใกล้ ๆ หน่วย เลยพากันเข้ามาหา

เขาเดินดูรอบเกาะพระฤๅษีแล้ว จึงได้มากราบชวนคุยว่า "ที่สวยดีนะครับ"
"เออ..สวย"
"แล้วจะไม่สร้างอะไรบ้างหรือครับ ?"
"อยากจะสร้าง แต่เงินไม่มีว่ะ..!"
"จะสร้างอะไรบ้างครับ ?"
"อยากได้ศาลาสักหลัง"

เถรี
29-09-2010, 13:54
"เขาหายไปประมาณสองชั่วโมง เดินกลับมาพร้อมกับแปลนศาลา ที่แท้เขาไปนั่งเขียนแปลน จริง ๆ แล้วเขาเป็นนายช่างรับเหมาก่อสร้าง "หลังขนาดนี้ดีไหมครับ ?"
"ดี..แต่เงินไม่มีว่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมทำให้ก่อน"

ว่าแล้วเขาก็ขนช่าง ขนของ มาตั้งหน้าตั้งตาทำเอง คราวนี้เดือดร้อนพวกเราสิ..คนนั้นไปเห็น "อ้าว..ท่านก่อสร้างนี่" คนนี้ไปก็เห็น "อ้าว..หลวงพี่ก่อสร้างทำไมไม่บอกกันบ้าง ?" ต่างคนต่างควักเงินให้ ปรากฏว่าจำนวนเงินพอให้เขา จึงได้รู้ว่าหลวงพ่อท่านทำได้จริง ๆ ไม่ต้องขอใครแม้แต่บาทเดียวก็ได้ ท่านหาของท่านมาเอง

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ รู้อะไรอย่าไปเชื่อเสียทุกเรื่อง เพราะจะมีการหลอก มีการทดสอบกำลังใจกันได้ ถ้าเชื่อไปเสียทุกเรื่องเดี๋ยวจะเป๋ โดยเฉพาะพวกเราขาดวิจารณญาณมาก โอกาสโดนต้มมีสูง

เรื่องที่หนึ่งรู้มาอย่างถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สองจะถูก เรื่องที่หนึ่งที่สองถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สามจะถูก เรื่องที่หนึ่งที่สองที่สามถูกต้อง ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สี่จะถูก ให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ายังไม่เชื่อ จนกว่าจะเป็นไปตามนั้นก่อน"

เถรี
29-09-2010, 14:04
"ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือท่านชาติชาย พระรุ่นน้องของอาตมา บวชที่วัดท่าซุงเหมือนกัน ออกจากวัดมาอยู่กับอาตมาที่เกาะพระฤๅษี ท่านเองเดินจงกรมภาวนา ไม่กินไม่นอนอยู่สองเดือนเต็ม ๆ อยู่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? ถ้าไม่ได้มีกำลังสมาธิหนุนเอาไว้ก็คงตายไปแล้ว..!

ภายหลังร่างกายไม่ไหวก็เกิดอาการกรรมฐานแตก ที่เขาเรียกว่า สติแตก อาตมาต้องเอาตัวเข้าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ตอนที่ไปเก็บข้าวของให้พี่น้องของท่านเอาไป ไปเจอสมุดบันทึกของท่าน พออ่านดูจึงรู้ว่า เวลามารเขาหลอก เขาจะบอกความจริงเราประมาณ ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็หลอกไว้นิดหนึ่ง ถ้าวิจารณญาณไม่ดีจะเชื่อเขาหมดเลย

อย่างเช่นในการปฏิบัติ มีวันหนึ่งท่านบันทึกว่า "วันนี้พระมาบอกว่า ช่วงเวลาแห่งมรรคผลมาถึงแล้ว นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก ยิ่งทุ่มเทมากเท่าไรยิ่งมีผลเร็วเท่านั้น"

มีตรงไหนผิดบ้างไหม ? ไม่มีเลยใช่ไหม ? แต่ผิด..! "นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก" ชัดเลย นี่เป็นพระพุทธวจนะ แต่ "ยิ่งทุ่มเทเท่าไรยิ่งมีผลเร็วเท่านั้น" ตรงนี้ไม่ใช่

เพราะการปฏิบัติจะมีวาระมีเวลาของเขา ถ้าเราทำไม่ถึง ทำไม่พอ อย่าหวังเลยว่าผลจะเกิด ทีนี้ท่านอยากได้ ก็ไปทุ่มเทเดินจงกรมภาวนา ต่อเนื่องกันทั้งวันทั้งคืน สองเดือนเต็ม ๆ ไม่รู้อยู่ได้อย่างไร ? พอร่างกายไม่ไหวก็เรียบร้อย..!"

เถรี
29-09-2010, 14:18
"เพราะฉะนั้น..เราเองวิจารณญาณยังไม่พอ ปัญญายังไม่พอ ไม่รู้ว่าเขาหลอกเราตรงจุดไหน ก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก เสียดายท่านที่ปฏิบัติดี มีการรู้เห็นที่ชัดเจน และเสียหายไป

อย่างวัด...ช่วงระยะที่ท่านดังขึ้นมา มีคนเอาหนังสือของท่านมาให้อาตมาแจกคนเยอะมาก ปกติเวลาเอาหนังสือใครมา อาตมาแจกหมด แต่หนังสือของท่านมาถึง อาตมาเก็บเรียบ เพราะรู้ว่าคำสอนท่านไม่ถูกต้อง

ท่านพูดตามที่ท่านรู้ แต่ว่าไม่ใช่ของจริง ระยะนั้นก็มีโยมมาถามมาก อย่างเช่นถามว่า ท่านสอนว่าไม่ให้เอาวัตถุมงคลไว้ในบ้าน เพราะจะทำให้บรรดาผีบ้านผีเรือนเดือดร้อน ไม่ให้พรมน้ำมนต์เพราะจะไปทำร้ายเขา

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปตามที่ท่านเห็น แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น อาตมาเองขี้เกียจตอบ ก็เลยถามโยมกลับไปว่า "ถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโจรมาบอกว่า อย่าเอาตำรวจมาเฝ้าร้านเลย เพราะทำให้โจรเดือดร้อน โจรจะเข้าปล้นไม่ได้ ถ้าอย่างนี้เป็นโยมจะเชื่อไหม ?"

ของบางอย่างต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย เวลามารเขาหลอก เขาไม่ได้หลอกชั้นเดียว เขาหลอกเป็นสิบ ๆ ชั้น เพราะเวลาท่านเชื่อแล้วสอนไป เป็นการสอนผิดไปจากพระพุทธวจนะ โอกาสที่ตัวเองจะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี บุคคลที่หลงเชื่อและปฏิบัติตาม โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี ยิ่งถ้าท่านไปทำลายพระพุทธรูปด้วย ยิ่งสาหัสเลย ชาตินี้ไม่พ้นอเวจีอย่างแน่นอน..!

คราวนี้ท่านที่มีสติสัมปชัญญะแต่ปัญญาไม่พอ ไปกล่าวตำหนิว่าท่าน ก็ซวยอีก เพราะอย่าลืมว่าท่านเป็นพระ ถึงหลักการปฏิบัติผิด แต่ศีลของท่านไม่ได้ผิด ความเป็นพระในสมมติสงฆ์ของท่านยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เท่ากับเราไปด่าพระเต็ม ๆ ก็ลงอเวจีไปด้วย..!"

เถรี
29-09-2010, 14:38
"พอเราไปด่าท่าน บุคคลที่เลื่อมใสพระท่านนั้นอยู่ก็ "ไอ้นี่ด่าอาจารย์กูนี่หว่า.." เขาก็ด่าคืนมา กลายเป็นเกิดความแตกแยกในพระพุทธศาสนา

เราเห็นหรือยังว่าโทษเกิดหลายชั้น ท้ายที่สุดถ้าไปถึงเจ้าคณะปกครอง หรือไปถึงในหมู่สงฆ์ด้วยกัน ก็จะต้องแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ท่านนี้ว่าถูก ท่านนี้ว่าไม่ถูก ตามแต่กำลังใจของตนเองจะพิจารณาไป ก็ทำให้ศาสนาของเราสั่นสะเทือนไปด้วย ถ้าออกไปกว้างใหญ่พอ จำนวนคนมากพอ จำนวนพระมากพอ อาจจะถึงกับมีการแยกนิกาย แล้วทำให้ศาสนาล่มสลายได้

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของมารเขาไม่เคยหลอกชั้นเดียว เขาหลอกหลายชั้นมาก ในการปฏิบัติให้ระมัดระวังไว้ อาตมาอยากจะบอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นได้ปลอดภัยที่สุด คนหูหนวกตาบอด เขาไม่รู้จะไปหลอกอย่างไร แต่ถ้ารู้เห็นชัดเจนเท่าไร ยิ่งโดนหลอกง่ายเท่านั้น

จึงเป็นเรื่องที่พึงสังวรเอาไว้ นิมิตเกิดขึ้น รู้แล้ววาง น้อมรับไว้ด้วยความเคารพ ขอบคุณที่มาบอก แต่กองไว้ตรงนั้นแหละครับ ยกเว้นว่ามาย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต้องทำนะ

ถ้าไม่เกินวิสัยและไม่ทำให้เราเดือดร้อนก็ทำ แต่ให้ยึดคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก หรือคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลัก มีอะไรให้ยกขึ้นมาเปรียบเทียบกัน ถ้าไม่ผิดไปจากสองส่วนนี้ เราปฏิบัติตามก็เชื่อได้ว่าน่าจะถูก"

เถรี
29-09-2010, 15:31
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนงานฉลองวัดหนองบัวเสร็จแล้ว ญาติโยมสามสี่หมู่บ้าน ทั้งหนองบัว ป่าหวาย สามพระยา บ้านใหม่ เขาแห่มาส่งเราเต็มหน้าวัด แต่ละคนก็เอาดอกไม้ ยอดหว้า ที่เขาถือว่าเป็นสิ่งที่บูชาพระ บูชาสิ่งที่เคารพมาให้

คนนี้ก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า คนนั้นก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า มานั่งดูใจของตัวเองว่า อารมณ์ความรู้สึกที่เขายึดเราเป็นที่พึ่ง แต่ยึดเป็นที่พึ่งในลักษณะของการยึดตัวบุคคล ทำให้เรารู้สึกว่าอาลัยบ้างหรือไม่ ? ปรากฏว่าไม่มี..แต่ก็ระวัง ระวังว่าจะเป็นแบบนั้น

ที่ขำก็คือ พอเรือออกมา ท่านอาจารย์ใหญ่ยานิกะมาโบกมือบ๊ายบายอยู่ตรงหน้าเจดีย์ เออ..ท่านอาจารย์ก็เป็นไปกับเขาด้วย

อาจารย์ใหญ่ยานิกะ ความจริงหลักการท่านดีหมด เพราะท่านจบธัมมะจริยะ (เทียบเท่าประโยค ๙ ของไทย) ตั้งแต่ท่านยังเป็นสามเณร ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาท่านแน่นมาก แต่ว่าในเรื่องหลักการปฏิบัติท่านยังน้อย ท่านบอกว่า ท่านเองตายแล้วไม่หวังจะเกิดใหม่ ก็เลยพยายามจะทำทุกอย่างให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม

ลูกศิษย์ของท่านคือ หลวงพ่อเมียงจีงู ทหารกะเหรี่ยงทั้งประเทศขึ้นอยู่กับลูกศิษย์ท่าน แต่ท่านอาจารย์เองต้องมาขอไม้เก่าของวัดหนองบัวไปสร้างศาลา ท่านบอกว่า ท่านไม่แน่ใจว่า ถ้าให้ทหารเอาไม้มา จะถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า ? ถ้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เดี๋ยวท่านจะโดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระโดยไม่รู้ตัว นั่นท่านระวังมากนะ ยอมมาขอไม้เก่าจากวัดหนองบัวไปสร้างศาลา

แม้ท่านจะระวังขนาดนั้นก็ตาม เราต้องเข้าใจว่า ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นได้เปรียบ เพราะเรารู้ว่าอารมณ์พระอริยเจ้าเป็นอย่างไร มีกติกาเท่าไร เราปฏิบัติได้เลย แต่ว่าสายอื่นเขาไม่รู้ ในเมื่อเขาไม่รู้ ก็เปะปะไปเรื่อย ถ้าหากว่าตรงทางก็ดีไป แต่ถ้าหากหลงทางก็ต้องเกิดมาทนทุกข์อีกหลายชาติ..!"

เถรี
29-09-2010, 20:12
"อะไรที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ จะไปไม่มั่นใจไม่ได้ แม้ว่าผ่านการทดสอบไปแล้วก็อย่าเพิ่งมั่นใจ เพราะเราอาจจะรอดแค่ครั้งนั้น

ตอนออกจากวัดท่าซุงมา มีโยมหลายคนที่เขารู้ เขามายืนส่ง น้ำตาไหล น้ำตาร่วง อาตมาก็คิดว่า เกิดมาชาติหนึ่ง อยู่แล้วเขาเกรงใจ ไปแล้วเขาคิดถึงก็พอ ไม่เอาอะไรมากมายไปกว่านี้อีกแล้ว

สิ่งที่จำเป็นที่สุดที่ต้องทำก็คือ ชำระใจของเราให้ผ่องใส เพื่อจะได้หลุดพ้นจากกองทุกข์เสียที ถ้าหากมัวแต่ไปให้คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา และมาดึงให้เราติดอยู่ด้วย ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ถูกต้อง

ตั้งแต่ฆราวาสแล้ว อาตมาไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่มีการมาอำลาอาลัยกับเขาหรอก สมัยนั้นมีพี่อยู่คนหนึ่ง รู้จักมักคุ้นสนิทกัน มักจะไปคุยหลักธรรมกัน บางทีนั่งคุยจนถึงครึ่งค่อนวัน เราบอกว่า "ไปแล้วนะ" บอกแล้วลุกไปเลย "ไปแล้วนะ" แล้วก็ไปเลย พอเขาเจอไปสองสามครั้ง เจอหน้าครั้งใหม่ เขาบอกว่า "น้องนี่เป็นคนแปลกนะ บอกไปเป็นไปเลย"

ความจริงไม่แปลกหรอก แต่เป็นปกติของเรา ปัจจุบันนี้เวลาพรรคพวกเพื่อนฝูงเขามาหา เราทักทายพูดคุยกันตามปกติ ไม่มีที่จะไปถามเขาว่าสบายดีหรือเปล่า หรือไปไหนมา มีธุระอะไร เรื่องจุกจิกซอกแซกไม่เคยถามสักคำเดียว

ดู ๆ แล้ว ถ้าคนที่ยังติดพิธีรีตองทางโลกอยู่ เขาก็จะว่าอาตมาไร้มารยาท แต่ความรู้สึกของอาตมาคือไม่มีอะไรจะคุย ส่วนเขาเองก็ถามนั้นถามนี่ไปเรื่อย อยากจะบอกเขาว่า เราเสียเวลามาคุยด้วยก็ยุ่งพอแล้ว ถ้ายังต้องมาถามสารทุกข์สุขดิบของเขาอีก ก็ออกจะมากเกินไปสำหรับเรา"

เถรี
29-09-2010, 20:16
"การปฏิบัติธรรมเป็นการสวนกระแสโลก พอเราทำไปเท่ากับวิ่งสวนทางคนอื่น ทีนี้พอเราต่างจากคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่ก็เลยมักจะว่าเราบ้า

ในเพชรพระอุมา แงซายพูดว่า "หลวงปู่สอนว่า เจ้าจงตื่นในขณะที่โลกหลับ" แต่ทีนี้ถ้าเราตื่นอยู่คนเดียว ก็จะกลายเป็นบ้าในความรู้สึกของคนอื่น

ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมที่ว่า โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บางทีก็ต้องให้โลกช้ำหน่อย ๆ ไม่อย่างนั้นธรรมจะเสียเยอะ อย่างไร ๆ พวกเราก็ให้เกรงใจกันหน่อย อย่าให้ช้ำมาก"

ถาม : ทำเขาช้ำไปเสียเยอะค่ะ
ตอบ : เขาคงจะช้ำจนชินเสียแล้วกระมัง ?

บางทีเพื่อการอยู่สุขของเรา ก็เป็นสิ่งจำเป็น เรารู้ว่าดี..เราต้องการอย่างนี้ แต่เขาไม่ดีด้วย ก็ต้องช้ำกันไปข้างหนึ่ง
พระพุทธเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์ เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายจิตใจของคนในครอบครัว แต่พระองค์ท่านไปเพื่อความสำเร็จ แล้วค่อยกลับมาสงเคราะห์ เพียงแต่ว่ารอพวกเราสำเร็จแล้ว ยังจะมีคนเหลือให้สงเคราะห์อยู่อีกหรือเปล่า ?

เถรี
29-09-2010, 20:20
ถาม : ทำไมจิตมันถึงมีความสะเทือนเลื่อนลั่น ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าอย่างไรก็ไม่ปรุงแต่งไปมากกว่านี้ เราไม่ได้คิดจะก่อเหตุให้มากกว่านี้ ?
ตอบ : แรงกระทบยังมีอยู่ถึงเป็นเช่นนั้น ยกเว้นว่าเราจะเลิกรับแรงกระทบเหล่านั้นเสียได้

ถาม : บางทีเราก็เห็นว่ามันก็แยกออกจากเรา แต่มันก็ยังมีการสะเทือนอยู่
ตอบ : ถึงแยกออกจากเราก็จริง แต่ก็ยังอยู่ในลักษณะแยกได้เป็นพัก ๆ ถ้าแยกออกจากกันเด็ดขาด ก็จบไปนานแล้ว..!

เถรี
29-09-2010, 22:15
ถาม : นิพพิทาญาณ เราจะแก้ตรงจุดนี้อย่างไร ?
ตอบ : นิพพิทาญาณเป็นของดี ถ้าอยู่กับเรานานเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ ของโลกนี้ เนื่องจากเราไปคิดว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่ดี เพราะเราไม่ชอบ ก็เลยทำให้เราดิ้นรน อยากจะพ้นไป ทำให้เรายิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ มีทุกข์เพิ่มเข้าไปใหญ่

ให้ทำใจสบาย ๆ คิดว่าธรรมดาของร่างกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมดาของโลกเราก็เป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์จะมีสำหรับเราแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น พ้นจากตรงนี้ไป เราก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะเราจะไปนิพพาน

ถ้าคิดว่าชาตินี้ยังมากเกินไป ก็คิดแค่วันนี้ พ้นจากวันนี้เราก็ไม่ต้องมาเกิดลำบากอย่างนี้อีกแล้ว หรือถ้ายังไกลเกินไป ก็เอาแค่หมดลมหายใจนี้ เราก็ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากกับร่างกายนี้อีกแล้ว ในเมื่อเรามีเวลาอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว ชั่ววันเดียว ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ไม่ได้

ในเมื่อเราวางกำลังใจอย่างนี้ จิตก็จะคลายออกมา ถ้าเห็นเป็นธรรมดาได้เมื่อไร ก็จะก้าวเป็นสังขารุเปกขาญาณแบบปล่อยวางได้เอง แต่ถ้ายังวางไม่ได้ ก็จะเบื่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ให้รู้เลยว่าความเบื่อเป็นของดี เพราะถ้ายังไม่เบื่อเราก็ยังอยากจะเกิดอีก

เถรี
29-09-2010, 22:28
ถาม : คุณแม่ไปปฏิบัติธรรม กลับมารอบนี้เขาจะพูดเยอะ พูดมาก
ตอบ : ช่วยฟังท่านหน่อย เราคอยถามให้แม่พูดไปเรื่อย ๆ ให้ท่านระบายออกมาให้หมด นักปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะอยู่ลักษณะอย่างนี้ พอเก็บกดอยู่หลาย ๆ วัน เขาจะระบายออก เราไปอยู่ช่วงที่เขาระบายออกพอดี ชวนท่านคุยเยอะ ๆ พอระบายจนเหนื่อยเดี๋ยวก็เลิกไปเอง

ถาม : แปลว่าเขามีโอกาสที่จะก้าวไปใช่ไหม ?
ตอบ : ตอนนี้รั่วหมดแล้ว เมื่อกำลังรั่วหมด ไม่มีกำลังไปละกิเลส แล้วจะเอาอะไรมาก้าวหน้า ต้องทำบ่อย ๆ พอชินเข้าก็จะรักษากำลังเอาไว้ได้ ถึงตอนนั้นจึงจะมีความก้าวหน้า

เถรี
29-09-2010, 22:33
ถาม : ผมควรจะไปบวชไหม ?
ตอบ : ถ้ายังถามอยู่ชาตินี้ก็ไม่ต้องบวชหรอก..! ถ้าจะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด มัวแต่ไปถามคนอื่น เพื่อให้คนอื่นช่วยตัดสินใจ จะไปเอาความดีอะไรขึ้นมาได้ จะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไปเลย..!

ถาม : วัดไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : วัดไหนก็ได้ สำคัญว่าเราทำจริงหรือเปล่าเท่านั้น

ถาม : เวลาภาวนา นะมะพะธะ ทำไมรู้สึกว่าขัดอยู่ในอก ไม่เหมือนตอนภาวนาพุทโธ
ตอบ : คำภาวนามีหลายคำเกินไป แล้วเรายังไปบังคับให้ตรงกับลมหายใจ จึงเป็นอย่างนั้น
ให้หายใจยาวไปเลยโดยที่ไม่ต้องไปบังคับตามจังหวะคำภาวนา ให้สนใจลมหายใจมากกว่าคำภาวนา

ถาม : ใช้มโนมยิทธิแล้วกราบพระ เห็นพระไม่ชัดเจน
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องชัด ให้รู้สึกว่ามีก็ใช้ได้แล้ว

ถาม : ถ้ามโนมยิทธิเรายังไม่แจ่มใส แปลว่าจิตยังไม่ดีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิจะแจ่มใสได้ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละ ของเราเป็นหรือยัง..!

เถรี
30-09-2010, 00:10
ถาม : การกำหนดจิต หนูยังหาการกำหนดไม่เจอ
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก สภาพจิตก็จะสงบ พอสงบถึงที่สุด เราก็ตามดู ตามรู้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นอย่างไร ให้รับรู้เฉย ๆ ไม่ไปปรุงแต่งด้วย

ถาม : ความรู้สึกที่กำหนดจิต ?
ตอบ : สำคัญที่สุดอยู่ที่ลมหายใจ ถ้าไม่อยู่ที่ลมหายใจก็หาจิตไม่เจอหรอก

ถาม : เวลาปฏิบัติแล้วสงสัยขึ้นเรื่อย ๆ ควรจะวางกำลังใจหรือทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ถ้าหากทำไปจริง ๆ ถึงระดับหนึ่งความสงสัยก็จะหายไป มีอยู่อย่างเดียวคือ พยายามวางกำลังใจของเราให้ทรงตัว ภาวนาให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องกันได้แล้วจะหายสงสัยไปเอง

เถรี
30-09-2010, 00:16
ถาม : พอไปทำอะไรมา ไม่ได้อธิษฐานเพื่อส่วนตัวค่ะ
ตอบ : วิสัยเดิมที่เคยตามสายหลวงพ่อที่เป็นพุทธภูมิมา อะไร ๆ ก็ทำเพื่อส่วนรวมทั้งนั้นแหละ เรียกว่าเป็นพุทธภูมิแบบตกกะไดพลอยโจน ไม่ได้ตั้งใจจะเป็น แต่ทีนี้หัวแถวเป็น ลูกแถวตามมา จึงคล้าย ๆ กัน

ถาม : สมมติภพชาตินี้หมดไปแล้ว ภพชาติหน้าต่อไปก็มีต่อเนื่องแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่แล้ว..ของเก่าทำมา ทิ้งวิสัยเดิมไม่ได้หรอก พอถึงเวลาเราต้องการก็ปรากฏ พยายามเบนเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าให้ได้

ถาม : ทางคณะจะลงใต้ไปที่วัดชัยชนะสงคราม ที่หาดใหญ่
ตอบ : ไปแล้วต้องฝึกกรรมฐานด้วยนะ อย่าทิ้งโอกาสไปเปล่า ๆ

ถาม : ให้พวกเราไปฝึกด้วยหรือคะ เห็นว่าเป็นสายของหลวงปู่สดเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่หลวงป๋าวิวัฒน์ท่านสอนมโนมยิทธิ แบบมโนมยิทธิปนกับธรรมกาย สองอย่างลงท้ายคล้ายคลึงกัน จึงไปด้วยกันได้

เถรี
30-09-2010, 00:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "ก่อนนี้ที่กรุงเทพฯ ทรุด ปัญหาใหญ่ก็คือสูบน้ำบาดาลมากเกิน ข้างใต้ดินลงไปที่เป็นชั้น ๆ จะมีโพรงที่อัดน้ำอยู่เต็ม พอเราดูดน้ำขึ้นมา น้ำหนักดินก็จะกดลงไป เมื่อไม่มีสิ่งรองรับ ก็จะยุบลงไปเรื่อย

ระยะหลังปัญหาการสูบน้ำบาดาลคลี่คลายลง เพราะน้ำประปาพอใช้ แต่ไปหนักตรงสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตขึ้นทุกวัน น้ำหนักที่กดทับลงไปก็ยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเดิม เพราะฉะนั้น..เลี่ยงไม่ได้หรอก จะช้าจะเร็วกรุงเทพฯ น้ำก็ต้องท่วม

ที่จริงแล้วสมัยรัชกาลที่ ๑ ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพฯ เพราะต้องการสถานที่ที่มีฝนฟ้าอุดมสมบูรณ์ ประชากรต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการปลูกข้าวเป็นหลัก บรรพบุรุษเขาเลือกสถานที่ได้ถูก แต่เราไปเปลี่ยนจากนามาเป็นตึก ฝนฟ้าไม่ได้เปลี่ยนด้วย ยังคงตกตามปกติ เรื่องก็เลยสาหัสอย่างในปัจจุบัน

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ มีการขุดคลองระบายน้ำเป็นจำนวนมาก พอถนนหนทางขยายขึ้น มีการถมคลองเพื่อสร้างถนนหนทางไปหลายสาย การระบายน้ำก็ไม่สะดวกเหมือนเดิม เพราะไม่ได้ใช้คลองเป็นทางสัญจร ไม่มีการขุดลอกก็ตื้นเขินไปเรื่อย

พื้นที่รองรับน้ำในเบื้องต้นจึงไม่พอเพราะคลองตื้น จะระบายน้ำก็ไม่สะดวกเพราะว่าโดนถมไปเสียมาก คนโบราณเขาเก่งตรงที่ว่าคล้อยตามธรรมชาติ แต่คนในยุคปัจจุบันไม่ได้คำนึงถึงตรงนั้น ใช้วิธีขัดขวางหรือทำลายธรรมชาติ

ถ้าเราสังเกตดูบ้านคนสมัยก่อนจะเป็นบ้านใต้ถุนสูง ชั้นล่างเขาเผื่อน้ำท่วม พอหน้าร้อนเขาก็ลงมาข้างล่าง เป็นที่ทำงานหรืออาศัยพักผ่อนเพราะว่าเย็นกว่าชั้นบน

หน้าฝน หน้าหนาว ถ้าน้ำยังไม่ลด ยังไม่ถึงเดือนยี่ก็อยู่ชั้นบน แล้วผูกเรือไว้ใต้ถุน แต่พอเราไปเปลี่ยนรูปแบบ ไปนิยมการก่อสร้างแบบต่างประเทศ เห็นว่าเป็นความเจริญ ก็รับมาโดยไม่ได้ดูสภาพความเหมาะสมของบ้านเราเมืองเรา ปัญหาใหญ่จึงเกิดขึ้นไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครปลูกบ้านใหม่ โปรดเผื่อน้ำท่วมไว้ด้วย"

เถรี
30-09-2010, 11:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "นักปฏิบัติที่เอาดีได้ยากในปัจจุบัน เพราะว่าไปปล่อยกำลังให้รั่วไหลหมด การที่เราฝึกปฏิบัติควบคุมกาย วาจา ใจของเรา เพื่อสร้างให้จิตมีกำลัง แล้วนำกำลังนั้นไปใช้ในการตัดกิเลส แต่เรามักจะปล่อยให้รั่วไหลอยู่ตลอดเวลา

ตาเห็นรูป..ชอบใจก็ไหลไปแล้ว หูได้ยินเสียง..ชอบใจไหลไปอีกแล้ว จมูกได้กลิ่น..ชอบใจไหลไปอีกแล้ว ลิ้นได้รสชอบใจ..ก็ไหลไปอีก กายสัมผัส..ชอบใจไหลไปอีก ใจครุ่นคิด..เกิดความพอใจไม่พอใจ ดีใจเสียใจไหลไปอีกแล้ว จึงทำให้กำลังของเรา รวบรวมเท่าไรก็ไม่พอสำหรับเอามาใช้ในการตัดกิเลส เพราะว่ารั่วไหลอยู่ตลอด

ถ้าใครสามารถสะสมกำลังเอาไว้ได้ โดยที่ไม่รั่วไหลเลย ขอบอกว่ากำลังนั้นมหาศาลขนาดเปลี่ยนฟ้าแปลงดินได้..!"

เถรี
30-09-2010, 11:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้งานมาก เหมือนกับทดสอบกำลังว่าเราป่วยแล้วจะมีแรงพอทำงานไหม ? เพราะว่าวันที่ ๒๓ ตุลาคม ที่เคยทอดกฐินเป็นประจำ เป็นวันออกพรรษา และยังเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ไม่สามารถที่จะรับกฐินได้

ปกติจะรับกฐินต้องเป็นแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ คราวนี้โดยธรรมเนียม แรม ๑ ค่ำ จะเป็นวันตักบาตรเทโวฯ ก็แปลว่า

วันที่ ๒๓ ตุลาคม ทำบุญออกพรรษา
วันที่ ๒๔ ตุลาคม ตักบาตรเทโวฯ
วันที่ ๒๕ ตุลาคม เป็นวันหยุดชดเชย ก็เลยทอดกฐิน
เจองานติดกันไปสามวันรวด จะได้รู้ว่าอาตมายังไหวหรือเปล่า ?"

เถรี
30-09-2010, 11:38
พระอาจารย์กล่าวถึงลิเกให้ฟังว่า "ลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวสามล เรามักจะรู้จักแต่นางรจนาคนเดียว อีก ๖ ท่าน ชื่ออะไร มีใครรู้บ้าง ?

เรื่องนี้อาตมารู้ได้เพราะตลกลิเก พอท้าวสามลใช้ให้คนไปตามพี่ ๆ ทั้ง ๖ คนให้มาเลือกบรรดาเจ้าชาย ที่มาคัดตัวเป็นราชบุตรเขย ตัวตลกก็กล่าวว่า "ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระพี่นางทั้ง ๖ มีพระนามว่าอย่างไรบ้างพระเจ้าข้า ?

ท้าวสามลบอกว่า "กูก็ไม่รู้เหมือนกัน" แล้วโบ้ยไปให้นางมณฑา นางมณฑาไหวพริบดีมาก สมกับที่เป็นลิเกตัวนำ นางมณฑานับนิ้วบอกเลยว่า "มีชื่อดังนี้ มะลิวัลย์ จันทนา สารภี ยี่สุ่นเทศ เกศเมือง เรืองยศ รจนา" ปฏิภาณสุดยอดจริง ๆ

เรื่องการเล่นลิเก บางทีก็มีการทดสอบไหวพริบปฏิภาณ บางทีก็หักมุมไปในตัว บางทีเขาเล่นกันก็เบื่อบทตัวเอง อยากจะเล่นบทอื่นบ้าง ก็แกล้งเล่นบทนั้นเสียเลย ถ้าคนดูเห็นว่าตัวเองเล่นได้ดีกว่า เดี๋ยวเขาก็ได้เล่นบทนั้นเอง

ก่อนหน้านี้ที่กาญจนบุรีจะมีวัดถ้ำเสือดาว ท่านอาจารย์บูรพา กับวัดเขาสามชั้น ท่านอาจารย์กระโจมทอง ท่านทั้งสองเคยเล่นลิเกวงเดียวกันมา ต่างคนต่างมาบวช ท่านอาจารย์กระโจมทองเล่นเป็นพระเอก ท่านอาจารย์บูรพาเล่นเป็นผู้ร้าย

ไป ๆ มา ๆ รู้สึกเบื่อ ผู้ร้ายเวลาออกนอกโรงลิเก ชาวบ้านก็ด่า ขว้างด้วยรองเท้า ผู้ร้ายเลยอยากเป็นพระเอกบ้าง ปรากฏว่าท่านอาจารย์กระโจมทองไม่ยอม เพราะเล่นเป็นพระเอกอยู่แล้ว ท่านอาจารย์บูรพาเลยแยกวงไป ท้ายสุดก็เจ๊งทั้งคู่ ต่างคนต่างมาบวช

ทุกวันนี้ท่านอาจารย์บูรพายังบวชอยู่ ส่วนท่านอาจารย์กระโจมทองสึกไปแล้ว ท่านอาจารย์กระโจมทองเคยโดนอธิกรณ์อยู่ครั้งหนึ่ง อาตมาตอนนั้นทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี จึงเป็นคนไปสอบสวนเอง สอบสวนและก็รายงานไปว่าเป็นการกลั่นแกล้งกัน

ท่านอาจารย์กระโจมทองติดลีลาลิเกเก่า พอท่านเจอหน้าอาตมาในฐานะผู้บังคับบัญชาเหนือตน ท่านเล่นถวายบังคมเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นพระ แต่ท่านติดนิสัยถวายบังคม..!"

เถรี
30-09-2010, 11:41
"การที่เขาเล่นลิเกได้สมบทบาท แสดงว่าเขาต้องทุ่มเทเต็มที่ ในเมื่อลิเกยังทุ่มเทให้กับบทบาท จนกระทั่งชาวบ้านคล้อยตามไปด้วย เห็นว่าเป็นตัวโกงจริง ๆ ก็แปลว่าเขาทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่แล้ว

เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเราต้องทบทวนตัวเราเองดูว่า เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ? ในเมื่อเราเองตั้งใจปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเคยทุ่มเทชนิดตายเป็นตายบ้างหรือไม่ ?

ส่วนใหญ่นอกจากจะไม่ทุ่มเทแล้ว เรายังไปปล่อยให้กำลังของเรารั่วไหลอีกต่างหาก เราจึงสู้กิเลสไม่ได้เสียที ลองดูสักครั้งสิ..ดูว่า..ตายเป็นตายเป็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่พอจะใกล้ตายหน่อยก็มืออ่อนตีนอ่อน ยอมแพ้ดีกว่า เดี๋ยวกิเลสตายเราจะเศร้าหมอง..!"

เถรี
30-09-2010, 11:50
ถาม : ในกรณีที่เราเคยลบหลู่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่อดีตชาติ ด้วยความคิดว่าเราเก่ง
ตอบ : ให้ขอขมา

ถาม : ในปัจจุบันเราไม่รู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เราเคยลบหลู่มาก่อน ?
ตอบ : ตั้งใจว่า ไม่ว่าจะเป็นท่านใดที่เราเคยล่วงเกินมา เราก็ขอขมา

ถาม : อธิษฐานขอขมาต่อหน้าพระได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้

เถรี
30-09-2010, 12:10
ถาม : นั่งภาวนาไป สักพักหนึ่ง เผลอตัวคิดเรื่องอื่นครับ อยากทราบวิธีแก้ครับ ?
ตอบ : ก็แค่เลิกคิด แล้วกลับมาภาวนาใหม่ แรก ๆ ก็ชักคะเย่อกันอย่างนี้แหละ จนกว่าอารมณ์ใจของเราจะทรงตัวจริง ๆ จึงจะอยู่กับการภาวนาตลอด
หัดปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะเป็นอย่างนั้นแหละ รู้ตัวก็รีบดึงกลับเข้ามาอยู่กับการภาวนา ฟัดกันสักสามปีห้าปีเดี๋ยวก็ดีไปเอง

ถาม : การที่เราภาวนาแล้วรู้สึกเหนื่อย เป็นเพราะเราภาวนาหรือเพราะว่าอะไร ?
ตอบ : เกิดจากหลายสาเหตุ ๑. เป็นเพราะเราตั้งใจเกินไป ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ

๒. ไปบังคับลมหายใจ เขาให้กำหนดรู้ลมหายใจไปเฉย ๆ ไม่ใช่ไปบังคับลม ต้องปล่อยให้ลมเข้าออกตามปกติ เราแค่เอาสติรู้ตามไปเท่านั้น

๓. กำลังใจรวมตัวจะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าแบบนี้หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นไปด้วย เหมือนคนที่ออกกำลังมาอย่างหนัก จึงรู้สึกเหนื่อย แบบนี้ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้าไม่กลัวตายจริง ๆ ก็จะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง

เถรี
30-09-2010, 12:30
ถาม : เวลาภาวนา เราสามารถนั่งภาวนาได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ต้องภาวนาได้ ถ้ามัวแต่ไปรอนั่งภาวนา ชาตินี้ก็เอาดีไม่ได้หรอก..!

ถาม : พอนั่งสมาธิ ได้ยินเสียงจะตกใจง่าย
ตอบ : แสดงว่าสติยังไม่มั่นคง ยังส่งจิตออกนอกไปคิดถึงเรื่องอื่นอยู่

ถาม : วิธีแก้คือทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัวมากขึ้นเดี๋ยวก็หายไปเอง

ถาม : ถ้าเราตกใจ
ตอบ : ถ้าตกใจแสดงว่ากำลังใจของเราไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ไปคิดเรื่องอื่นอยู่ เวลาจิตกลับมาเร็วเกินไปก็จะเป็นอาการที่เราเรียกว่าตกใจ ตรงนี้เราทำผิดเอง

ถาม : เวลาเราดูแผ่นกสิณสีขาว แล้วไฟเป็นสีอื่น จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ใส่ใจแค่สีขาวเท่านั้น

ถาม : ถึงแม้ว่าตัวแผ่นกสิณจะเปลี่ยนไปตามสีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ให้สนใจเรื่องเดียว ไปสนใจหลายเรื่องแล้วเมื่อไรจะได้อะไรสักที เหมือนกับพวกหลายใจ ทำอะไรก็ทำให้ได้ไปอย่างหนึ่งเลย ถ้าเปลี่ยนไปเรื่อยชาตินี้ก็ทำไม่สำเร็จหรอก..!

เถรี
30-09-2010, 12:42
ถาม : เรื่องการรักษาศีลแปดมีผลต่อสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ารักษาศีลแปดได้ ก็จะปฏิบัติได้ดีกว่า

ถาม : แล้วข้อที่เขาบอกว่าห้ามฟังเพลง เขาห้ามเพลงทุกชนิดเลยหรือครับ ?
ตอบ : ทุกชนิด

ถาม : ถ้าเราฟังแล้วเราไม่ได้คิดอะไร ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ได้คิดแล้วจะฟังทำซากอะไร..!

ถาม : เปิดเฉย ๆ ครับ
ตอบ : หาเรื่องเดือดร้อน..! พอเสียงมาเข้าหู กำลังของเราก็รั่วไหล เราต้องสะสมกำลังจิตของเราให้มากพอ จึงจะสามารถปราบกิเลสได้ แต่มักจะรั่วออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็เลยกลายเป็นทาสกิเลสไปตลอดปีตลอดชาติ..!

ถาม : แล้วปกติเวลาเขาบวช เขาใช้สบู่อะไรกันครับ ?
ตอบ : มีอะไรก็ใช้ไป สักแต่ว่าใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ อย่าไปเลือกว่าต้องสบู่หอมยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ก็แล้วกัน

เถรี
30-09-2010, 12:50
ถาม : สงสัยว่าอสุรกาย หน้าตาเหมือนผีทั่วไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาแสดงให้เป็นแบบไหนก็ได้ แต่ของจริงมักจะผอม ๆ ดำ ๆ จะมีก็พวกที่ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ มีเครื่องเซ่นมากก็อ้วนหน่อย

ถาม : สงสัยว่าเขาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตามต้นไม้หรือเปล่า ?
ตอบ : เขาอยู่ได้หลายที่ แต่ชอบที่ซึ่งหลบซ่อนได้ง่าย เราอาจจะเจอมาหลายทีแล้วก็ได้ แต่ไม่รู้จักเขาเอง..!

เถรี
30-09-2010, 14:09
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่อง การถือมงคลตื่นข่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ว่าอย่าไปถือมงคลตื่นข่าว เมื่อครู่โยมโทรมาบอกว่าป่วย ไม่ค่อยสบายอยู่เรื่อย มีคนแนะนำให้ไปหาร่างทรง แล้วร่างทรงบอกว่า ต้องรับขันธ์จึงจะหาย เขาก็เลยสงสัยว่าเทวดามีหน้าที่ทำให้คนป่วยหรือ ? เขายังฉลาดที่รู้จักสงสัย แต่ใจก็ไปตั้งครึ่งตัวแล้ว

สำนักทรงต่าง ๆ หาของแท้ยาก คำว่า "ของแท้" ก็คือ เป็นเทวดา เป็นพรหม ที่มาสร้างบารมี หรือเป็นพระมาสงเคราะห์ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะถูกจำกัดไว้ด้วยเวลา ไม่ได้มาเปะปะ พวกประเภทที่ไปเมื่อไรทรงได้ทันที ขอให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า "ปลอม" ไว้ก่อน

ของแท้ท่านมาตามเวลา มีข้อสังเกตง่าย ๆ ว่า ๑. มาตามเวลา ไม่ใช่มาเปะปะทั่วไป บางรายก็มาเฉพาะวันพฤหัสบดีหรือวันเสาร์ บางรายมาเฉพาะวันพระ บางรายมาเดือนละครั้ง มีอยู่รายหนึ่ง เป็นร่างทรงพระเจ้าตากสิน มาปีละครั้ง

๒. ถ้าหากว่าเป็นของแท้ ส่วนใหญ่แล้วไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา นอกจากดอกไม้ธูปเทียนและเงินบูชาครูเล็ก ๆ น้อย ๆ สัก ๓ บาท ๙ บาท เพื่อแสดงว่าเราเคารพท่าน เคยเจอมากที่สุดคือ ๑๐๘ บาท แต่มีหลายสำนักเหมือนกัน ที่เราไปตัวเปล่าแล้วเขาจัดให้หมดทุกอย่าง นั่นแปลว่าเขาตั้งใจมาเพื่อสงเคราะห์จริง ๆ

๓. สิ่งที่เขารับปากช่วยเรานั้นจะมีผล

ดังนั้น..ถ้าทิพจักขุญาณไม่ดี ก็ให้สังเกตสามข้อนี้ไว้ ข้อแรกคือมาเป็นเวลา ไม่ใช่ทรงได้ทุกเวลา ข้อที่สองคือไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ มาเพื่อสร้างบารมี ส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพ มีเครื่องบูชาครู เล็ก ๆ น้อย ๆ ข้อสุดท้ายคือ สิ่งที่เขารับปากช่วยจะมีผลตามนั้น"

เถรี
30-09-2010, 16:38
"ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะอ้างของสูง เป็นเจ้าพ่อนั้น เป็นเจ้าแม่นี้ ที่ขำที่สุดก็คือ สมัยที่หลวงพ่อฤๅษีท่านยังมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งท่านปรารภว่า “เล็กเว้ย..ข้ายังไม่ทันจะตายเลย มีสำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ๖๐ กว่าสำนักแล้วว่ะ..!”

นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า การถือมงคลตื่นข่าวบางทีก็ทำให้เราเดือดร้อน เพราะพวกนี้มักจะใช้หลักจิตวิทยา บอกว่ามีเคราะห์กรรมหนักบ้าง มีองค์มีร่างบ้าง และท้ายสุดก็อาจจะต้องเสียเงินเสียทองไปสะเดาะเคราะห์หรือไปรับขันธ์

และการรับขันธ์เท่ากับยอมรับเขา บางทีเขาก็ใช้ผีบ้าง ใช้ไสยศาสตร์บ้าง คุมเราเอาไว้ ถึงเวลาก็ต้องหาเงินไปให้เขา ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปยุ่งได้ก็จะปลอดภัย อันนี้เป็นการถือมงคลตื่นข่าวเรื่องที่หนึ่ง"

เถรี
30-09-2010, 16:47
"เรื่องที่สอง เมื่อครู่โยมเขาเอาข่าวที่ไหนมาก็ไม่รู้ เขาตกใจกันใหญ่ บอกว่าอาตมาพูดว่า น้ำจะท่วมบ้าง ภัยพิบัติจะเกิดบ้าง ประเทศไทยคนจะตายเหลือ ๕-๖ ล้าน เอามาจากไหน ? ตูยังสงสัยว่าพูดไปตอนไหน ?

เหลือตั้ง ๕-๖ ล้านคน ยังกลัวอีก ก็เราแค่คนเดียว หมดจากเราแล้ว ยังเหลืออีกตั้ง ๔ ล้านกว่า อย่างไรจำนวนแค่หนึ่งคนเราจะแย่งมาไม่ได้เลยหรือ ?

พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ภัยอันตรายใด ๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ ดังนั้น..ขอให้เราเคารพมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ไปหวั่นไหว เรื่องร้ายก็กลายเป็นดีเอง

เคยเจอบ้างไหม ? ประเภทเรือล่มเพราะคนตกใจ คนแห่กันพรวดไปข้างเดียว แล้วเรือก็เอียงกะเท่เร่ ในที่สุดก็ล่มไป ลักษณะเดียวกัน ถ้าเราไปแตกตื่น ก็จะทำให้สถานการณ์ดี ๆ กลายเป็นเสียไปได้

มีอยู่วันหนึ่ง คนทั้งเมืองกาญจนบุรีพากันแตกตื่น แย่งกันขึ้นยอดเขา เพราะลือว่าเขื่อนแตกแล้ว..! ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดคุณรุ่งฤทธิ์ มกรพงษ์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด

ชาวบ้านแตกตื่นหนีกันขึ้นยอดเขา ไปจับจองที่กางเต็นท์ หรือไม่ก็ไปหาที่นอนของตัวเอง แย่งที่จนถึงขนาดวางมวยกันก็มี ท่านผู้ว่าฯ ต้องใช้โทรโข่งไปประกาศ บอกว่า "ตรวจสอบข่าวทั้งหมดแล้ว เขื่อนยังไม่แตก ไม่ต้องกลัวหรอก ลงมาเถอะ" ก็ไม่มีใครลง เพราะมีพวกที่บอกว่า ตนมีญาติอยู่ที่นั่นเขาบอกว่าเขื่อนแตกแล้วจริง ๆ พอไล่ไปไล่มา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีแต่ "ฟังเขาเล่าว่า" มาทั้งนั้น"

เถรี
30-09-2010, 18:10
"ประมาณปี ๒๕๔๕ มีข่าวลือว่า พวกที่รับขนคนมอญต่างด้าวเข้าประเทศ เอาคนมอญไปฆ่าทิ้ง ๓๐ กว่าคน อยู่ในเกาะที่เป็นพื้นที่เหนือเขื่อนเขาแหลม ข่าวลือหนักขึ้น ๆ ท้ายสุดอาตมาก็เลยเดือดร้อน เพราะว่าเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัย

ในเมื่อเรื่องลือกันหนักขนาดนั้น ก็ต้องออกไปพิสูจน์ทราบ เขาบอกว่าพวกที่ขนต่างด้าวเข้าเมืองไม่สามารถจะผ่านด่านได้ เลยเอาไปซ่อนไว้ในเกาะ หลายวันเข้าไปส่งอาหารให้ไม่ไหว ก็เลยเอาข้าวคลุกยาฆ่าแมลง (แลนเนต) ให้กิน คนจึงตายหมด เขาบอกว่ากลิ่นศพเหม็นตลบไปเป็นกิโล ๆ ขนาดเรือผ่านไกล ๆ ยังได้กลิ่นเลย..!

อาตมาเลยให้เขาไปสืบว่ามีใครรู้บ้าง พอไปได้ตัวคน ๆ หนึ่งเขาบอกว่า "ได้ยินอีกคนหนึ่งพูด" คน ๆ นั้นมีเรือนแพอยู่ในพื้นที่เขื่อน มีอาชีพหาปลา อาตมาเลยพาคณะไปพิสูจน์กัน เช่าเรือ ๒,๕๐๐ บาท เติมน้ำมันต่างหาก วิ่งตั้งแต่สังขละบุรีลงมา เลาะมาเรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงวังปะโท่ของทองผาภูมิ คือวิ่งมาเกือบร้อยกิโลเมตร ไม่พบอะไรเลย

พอไปเจอบุคคลคนนั้น เขาก็ว่า "อีกคนหนึ่งเล่ามา" ตามไปเจอก็มีแต่ "เขาเล่าว่า" มาตลอด เรารู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะถ้ามีคนมอญตายขนาดนั้น หลวงพ่ออุตตมะท่านไม่อยู่เฉย ๆ หรอก นี่เป็นข้อสังเกตที่หนึ่ง ข้อสังเกตที่สองก็คือ คนเราโง่ขนาดไหนก็ตาม ข้าวคลุกยาฆ่าแมลงใครจะกิน ?

ยาฆ่าแมลงกลิ่นแรงขนาดนั้น ลองถามซิ...ว่าถ้าเป็นเราจะกินไหม ? ต่อให้หิวแทบตายก็ไม่กินแน่ แต่คราวนี้ที่อาตมาไป ไปทำไม ? ก็ไปเพื่อกลับมายืนยันกับพวกที่ลือกัน ว่า "กูไปมาแล้ว เรื่องไม่จริงโว้ย..พวกมึงเลิกลือกันได้แล้ว..!" ต้องเสียเงินขนาดนั้น และต้องลำบากตากแดดจนหลังลอก เพราะว่าเรือไม่มีหลังคา ตากแดดอยู่ครึ่งค่อนวัน"

เถรี
30-09-2010, 18:23
"ในเรื่องของข่าวลือ หรือการถือมงคลตื่นข่าวนั้น จะหายไปได้ก็ต่อเมื่อทุกคนเป็นพระโสดาบันไปแล้ว ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ยังมีอยู่เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..อะไรเกิดขึ้นให้รับรู้ไว้ แต่อย่าเพิ่งเชื่อ

ขณะเดียวกันก็อย่าไปใส่อารมณ์ตาม เพราะว่าพอพูดจากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง เนื้อข่าวจะเริ่มเพี้ยน จะมีการต่อปีกต่อหางไปเรื่อย จากปลาไหลตัวใหญ่หน่อยเลยกลายเป็นมังกรไปทั้งตัว..!

สมัยที่เรียนการข่าวของทหาร เขามีวิธีทดสอบการส่งข่าว โดยครูฝึกจะกระซิบใส่หูคนแรก ภายในหนึ่งนาทีต้องส่งสารไปถึงคนสุดท้ายให้ได้ ทหารรุ่นนั้นมีอยู่ ๑๒๓ คน เขาก็กระซิบต่อไปเรื่อย ๆ จนไปถึงคนสุดท้าย แล้วคนสุดท้ายนั้นก็วิ่งมาต่อหน้า ชิดเท้าปัง...! ยกมือทำความเคารพ แล้วรายงานครูฝึกว่า "ขอบคุณมากครับ..!"

ครูฝึกก็งง ถามว่า "อะไรของมึงวะ ?" เขารายงานครูฝึกไปว่า "ไอ้นั่นบอกว่า ครูฝึกจะให้ผม ๒๐ บาท" ความจริงครูฝึกเขากระซิบใส่หูคนแรกให้บอกคนสุดท้ายว่า "ให้มันวิดพื้น ๒๐" คิดดูก็แล้วกันว่า ให้วิดพื้น ๒๐ ครั้งกลายเป็นครูฝึกจะให้เงิน ๒๐ บาท แค่ผ่านไปไม่กี่ปากเองนะ

ดังนั้น...เขาถึงต้องมีข่าวกรอง ก็คือ การรับข่าวจากแหล่งข่าวหลาย ๆ แห่ง แล้วนำมาวิเคราะห์ ส่วนไหนที่ตรงกันจึงค่อยเชื่อ แต่ไม่ใช่เชื่อทั้งหมด ต้องมีการพิสูจน์ทราบด้วย

ดังนั้น..วิชาการข่าว มีการเรียนข่าวกรองและการต่อต้านข่าวกรองเป็นเรื่องสนุกมาก ครูฝึกเขาก็ทดสอบให้เห็น ๆ ว่าเนื้อข่าวผ่านปากแค่นาทีเดียว ก็เพี้ยนไปได้ขนาดนั้น ลองคิดดูว่า..ถ้าข่าวลือไปสักอาทิตย์หนึ่งจะเพี้ยนไปได้ขนาดไหน ? แต่ละคนพูดเหมือนกับตาเห็นทั้งนั้น..!"

เถรี
30-09-2010, 18:52
"อาตมาก็ยังสงสัยอยู่ว่า ที่บอกว่าน้ำจะท่วมประเทศไทย คนจะตายเหลือ ๕-๖ ล้าน พูดไปตอนไหนกัน ?"

ถาม : คงเอามาจากในเว็บ ที่เขาลือกันแล้วท่านบอกว่า เหลือตั้ง ๗-๘ ล้านก็ยังดี เขาก็เลยตีความไปอย่างนั้น
ตอบ : ต้องบอกว่ามีความสามารถในการวิเคราะห์ข่าวสูงมาก ถ้าเหลือ ๗-๘ ล้านคน ยังเยอะไปเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้มี ๗๗ จังหวัดใช่ไหม ? ถ้าแบ่ง ๆ คนไปจังหวัดละแสนคน รวมแล้ว ๗ ล้านกว่า ยังเหลือคนอีกตั้งเยอะ จะกลัวไปทำไม..!

เถรี
30-09-2010, 18:59
"ตอนปี ๒๕๑๘ อาตมายังเรียนมัธยมอยู่ กำลังจะจบปีสุดท้าย มีข่าวลือว่าอีก ๑๐ วันโลกจะแตก ปรากฏว่าเพื่อน ๆ แต่งงานกันใหญ่ ไม่รอให้เรียนจบก่อน

นี่เขาคิดหรือว่าอีก ๑๐ วันจะผลิตลูกทัน..! แต่เขาก็แต่งนะ และจากวันนั้นมาจนมาถึงวันนี้ เขาคงรู้แล้วว่าคิดผิด รีบตกนรกตั้งแต่อายุ ๑๐ กว่า ๆ เพราะมีคนบอกว่าแต่งงานแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง..!

สมัยก่อน เด็กเรียนมัธยมก็อายุประมาณ ๑๗-๑๘ ปี เราเองตกข่าว ก็เลยไม่ได้แต่งกับเขา จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะถ้ากำลังใจยังไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ หรือยังไม่มั่นคง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะไปแตกตื่นกับข่าวต่าง ๆ

สมัยก่อน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางคอมมิวนิสต์ปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ปล่อยต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ แต่ในหลวงท่านไม่ได้ใส่ใจ ท่านยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อประชาชนต่อไปเรื่อย

สิ่งที่เขาว่ามากับสิ่งที่ในหลวงทำและชาวบ้านเห็น ก็เลยเป็นคนละเรื่อง คนเขาถึงได้รู้ว่านี่เป็นการปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น..ในเรื่องของข่าวต่าง ๆ ถ้าเราไม่ไปใส่ใจไม่ให้ความสำคัญ เดี๋ยวก็จบไปเอง.."

เถรี
01-10-2010, 12:05
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาออกจากวัดท่าซุงไปสองปีจึงได้กลับไปเยี่ยมหลวงปู่ทองเทศน์ หลวงปู่ถามว่า "ระยะนี้ทำไมไม่มาเยี่ยมกันบ้างเลย" คนแก่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ท่านไม่รู้ว่าเราออกจากวัดไปตั้งสองปีแล้ว..!

หลวงปู่อายุ ๙๐ กว่าแล้วยังบิณฑบาต อาตมาบอกหลวงปู่ว่า "ไม่ต้องบิณฑบาตหรอกหลวงปู่ เดี๋ยวหลานจะบิณฑบาตเลี้ยงเอง" แต่หลวงปู่ท่านไม่ยอม

ปรากฏว่าวันนั้นฝนตก แล้วพื้นลื่น ท่านก็เลยล้มหัวเข่าแตกเป็นแผลยาว รักษาอยู่เป็นเดือนกว่าจะหาย เพราะคนอายุเกือบร้อยแล้ว เนื้อไม่ค่อยจะประสานกัน ถึงได้ขอร้องท่านว่าไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก อาตมาเองคุมโรงครัวอยู่ สั่งให้แม่ครัวจัดอาหารมาถวาย ท่านถึงได้หยุดบิณฑบาตตอนอายุ ๙๖ และมรณภาพตอนอายุ ๑๐๓ ปี

ท่านบวชตอนอายุ ๘๐ เป็นอดีตครู ลายมือสวยมาก พอเข้ามาบวช ท่านได้มอบเงินถวายให้หลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ ๓,๐๐๐ บาท กราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมอายุมากแล้ว ถ้าผมตายก่อน รบกวนหลวงพ่อทำศพให้ผมด้วย ผมจะได้ไม่ต้องไปรบกวนลูกหลาน”

หลวงพ่อท่านรับเงินมาแล้วก็หัวเราะ “ไม่รู้ว่าใครจะเผาใคร..!” ปรากฏว่า หลวงพ่อไปก่อนหลวงปู่ตั้งหลายปี และที่อัศจรรย์ที่สุดคือ หลวงปู่อ่านหนังสือพิมพ์โดยไม่ต้องใช้แว่น..! สายตากลับเป็นเด็ก เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ท่านจะมีความสุขมาก นอนลงไปบนหนังสือพิมพ์แล้วไล่อ่านเอาทีละบรรทัดเลย...

หลวงปู่ท่านทำบุญมาดี ทำปาณาติบาตน้อยมาก เวลาท่านไม่สบาย ส่วนใหญ่ก็แค่ปวดหัวตัวร้อนตามปกติ ไม่เคยเห็นท่านเป็นอะไรหนักเลย ปรากฏว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งท่านไม่ค่อยสบาย ไม่อยากรบกวนพระลูกพระหลาน จึงเรียกให้ลูกชายมาดูแล ลูกชายอายุ ๗๗ หิ้วปิ่นโตจากโรงครัวเดินไปที่กุฏิหลวงปู่ อาตมาดูแล้วกลัวจะไปไม่ถึง ลูกชายอายุ ๗๗ เดินสั่นทั้งตัว แต่หลวงปู่อายุเกือบร้อยยังเดินตัวปลิวอยู่เลย"

เถรี
01-10-2010, 12:19
"เดือนก่อนไปงานที่วัดไทยวาส วัดไทยวาสแต่เดิมชื่อวัดท่ามอญ อยู่แถว ๆ เมืองนครชัยศรีเก่า สมัยก่อนถือว่าเป็นเมืองสำคัญ เคยเป็นมณฑลนครชัยศรีด้วย

สมัยรัชกาลที่ ๑-๓ ยังมีศึกสงครามอยู่ เวลากวาดต้อนผู้คนมา ไม่ว่าจะเป็นมอญ เป็นลาว จะนำคนไปอยู่บ้านนั้นบ้างเมืองนี้บ้าง ปรากฏว่าเมืองนครชัยศรีจะมีลาวเวียงจันทน์กลุ่มใหญ่ อยู่แถว ๆ วัดศีรษะทอง ส่วนทางวัดไทยวาสนี้เป็นมอญ

อาตมาไปแล้วก็ปลื้มใจ เพราะว่าญาติโยมให้ความเคารพพระดีมาก เจอพระเดินผ่านยกมือไหว้กันทุกคน เดินผ่านพระก้มหลังกันทุกราย อายุจะมากจะน้อยทำเหมือนกันหมด เห็นแล้วรู้สึกเลยว่าเป็นแบบธรรมเนียมโบราณ ๆ ดูแล้วน่ารัก เห็นแล้วชื่นใจ

ท่านพระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี ท่านได้รับนิมนต์ด้วย ก็มานั่งคุยกัน โยมเอาน้ำมาถวาย ท่านพระครูคุ้นกับโยม ท่านก็ถามว่า “เป็นอย่างไรโยม..ปีนี้ได้ร้อยหรือยัง ?”

โยมตอบว่า “ยังเจ้าข้า เพิ่งจะ ๙๙ เท่านั้น..!” อายุ ๙๙ แล้วยังยกน้ำประเคนพระคล่องแคล่ว โยมก็บ่นต่อว่า “แต่ก็เต็มทีแล้วพระคุณท่าน ตอนนี้เริ่มเบื่ออาหารแล้ว” อายุ ๙๙ เพิ่งจะเริ่มเบื่ออาหาร..!"

เถรี
01-10-2010, 12:29
"เท่าที่สังเกตมา จะมีหลวงปู่บุดดา หลวงปู่ทองเทศน์ หลวงปู่น้อย วัดบ้านปงที่เชียงใหม่ องค์เล็ก ๆ ทั้งนั้นเลยที่อายุยืน ๆ ยังไม่เคยเห็นองค์ใหญ่ ๆ ที่อายุยืน เห็นแต่หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สุวฑฺฒนมหาเถระ) วัดสุวรรณาราม ที่สูงใหญ่ล่ำสัน และอยู่ถึง ๑๐๓-๑๐๔ ปี นอกนั้นที่เจอมามีแต่องค์เล็ก ๆ ทั้งนั้น

ตอนนั้นมีโอกาสไปกราบพระทางเชียงใหม่ ไปกราบหลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยนก่อน เพราะวัดแถวนั้นเรียงกันอยู่ มีวัดบ้านปง วัดบ้านเด่น วัดป่าอรัญญาวิเวก เข้าไปในสุดก่อนแล้วค่อยเลาะออกมา

เข้าไปกราบหลวงปู่น้อย วัดบ้านปง ญาติโยมเห็นก็ถามว่าพระอาจารย์มาจากไหน ? จะไปไหน ? ก็บอกว่าจะมากราบหลวงปู่และพาโยมมาทำบุญด้วย เขาก็บอกว่าหลวงปู่อยู่ในกุฏินั่นแหละ นิมนต์เข้าไปเลย

พอเปิดประตูเข้าไป ไม่เจอหลวงปู่ เจอแต่เตียง อาตมาสังเกตเห็นว่าประตูหลังแง้มอยู่หน่อยหนึ่ง จึงถือวิสาสะผลักประตูไป ชะโงกหน้าออกไปดู เห็นข้างหลังกุฏิเป็นลานกว้าง มีรั้วรอบขอบชิด และมีหอกลอง

มองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นหลวงปู่ จึงขึ้นไปดูบนหอกลอง คิดว่าเราอยู่บนที่สูงต้องเห็นท่านแน่ พอขึ้นไปปรากฏว่า หลวงปู่ท่านหลับสบายอยู่บนหอกลอง..!"

เถรี
01-10-2010, 12:37
"ตอนนั้นท่านอายุ ๙๙ แล้ว บันไดตั้ง ๒๐ กว่าขั้นขึ้นไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? จึงกราบท่าน ตั้งใจว่าจะนั่งรอท่านตื่น ปรากฏว่ากราบเสร็จท่านลืมตามาถามว่า “มาจากไหนล่ะ ?” “กาญจนบุรีครับ” “เออ..ดี ๆ เดี๋ยวลงไปคุยกันข้างล่าง”

ประคองท่านลง บันได ๒๐ กว่าขั้น ท่านลงได้ พอเปิดประตูหลัง ท่านชะโงกไปเห็นโยมหลายคน ท่านหันมาบอกว่า “ช่วยอุ้มหน่อย” อาตมาเกือบจะปล่อยก๊าก..! อายุ ๙๙ ถ้าเป็นคนแก่ตามปกติ ก็คงจะต้องอุ้มในลักษณะนั้น แต่หลวงปู่ท่านไม่ปกติ หอกลองบันไดตั้ง ๒๐ ขั้น ท่านขึ้นไปนอนได้ แต่ประตูหลังแค่มีชานขึ้นมาสูงแค่ฝ่ามือเดียว ต้องให้ช่วยอุ้มท่าน

ก็แปลว่า ต่อหน้าประชาชนท่านยอมเป็นคนแก่อายุ ๙๙ แต่พอลับหลังท่านก็ไปของท่านเรื่อย ครั้งนั้นอาตมาก็เลยอุ้มไปหัวเราะขำหลวงปู่ไป คือระหว่างพระกับพระจะรู้กัน แต่โยมไม่รู้หรอก อยู่ ๆ เห็นเราอุ้มหลวงปู่มาก็เข้าใจว่า เราไปข้างหลังแล้วเจอหลวงปู่ ก็เลยอุ้มท่านมา ใครจะไปรู้ว่าหลวงปู่ไปนอนเขลงอยู่บนหอกลอง..!"

เถรี
01-10-2010, 12:48
ถาม : ผมอยากรู้ว่าการรับแสงทิพย์ รับได้จริง ๆ หรือครับ ?
ตอบ : ต้องลองไปรับดู

ถาม : ผมไปดูในเว็บของอภิญญา เขามีบอกการรับแสงทิพย์
ตอบ : ลองไปรับดู แต่อยากจะบอกว่า ถ้าทำอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าท่านพาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว..!

ถาม : แล้วพระที่ให้กำเนิดดวงจิต ดวงวิญญาณแต่ละดวงมีจริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยเจอท่าน ถ้าเจอเดี๋ยวช่วยจะถามท่านให้..!

ถาม : แล้วการขอพรกับพระหางหมากเหมือนกับพระคำข้าวหรือเปล่าครับ ? ที่ต้องถวายดอกไม้พร้อมกับภาวนา ๗ วัน
ตอบ : ได้ยินแต่พระสมเด็จคำข้าว และไม่ได้ยินด้วยตัวเองด้วย เรื่องของพระสมเด็จหางหมากยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

ถาม : มีพระกริ่งสมเด็จองค์ปฐมด้วยไหมครับ หรือพระสมเด็จคำข้าวอย่างเดียว ?
ตอบ : ถ้าตามที่ได้ยินมา คือ เฉพาะพระสมเด็จคำข้าวอย่างเดียว

ถาม : วิชานะหน้าทอง ถ้าทำแล้วเกิดมงคลอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นเมตตามหานิยม ถ้าของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง ท่านเอาทองใส่ไว้ในฝ่ามือ ตบฝ่ามือตัวเอง ทองจะปลิวขึ้นไปติดบนเพดาน พอตบอีกที ทองบนเพดานจะลงมาติดที่กระหม่อมของโยม

ถาม : ทำที่ไหนครับ ?
ตอบ : วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง ตามไปทำได้ ท่านมรณภาพไปนานแล้ว..!

เถรี
02-10-2010, 14:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขาอยากฝึกนะหน้าทอง อาตมาว่านะหน้าทนให้ประโยชน์กว่าเยอะ..!

การฝึกความดี ถ้าไม่มีความอดทนจะทำได้ไม่ตลอด การทำความดีต้องใช้ความอดทนอดกลั้นสูงมาก โดยเฉพาะบรรดากิเลสต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราชอบและต้องการ เมื่อเป็นสิ่งที่เราชอบ เราก็ไม่ผลักไส ไม่ปฏิเสธ แถมยังไปไขว่คว้าหามาอีกต่างหาก เราจึงดิ้นหลุดจากวัฏสงสารได้ยาก

ดังที่พระพุทธเจ้าเปรียบเอาไว้ว่า บุคคลเหมือนกับเขาโคและขนโค วัวตัวหนึ่งมีเขาเพียงคู่เดียว แต่มีขนทั้งตัว มนุษย์ทั้งหมดก็เปรียบเสมือนขนวัวที่มีเป็นจำนวนมาก ส่วนมนุษย์ที่หลุดพ้น ได้มรรคได้ผล มีจำนวนเท่ากับเขาวัวเท่านั้นเอง

ได้ยินแล้วอย่าเพิ่งท้อใจ เพราะวัวมีตั้งสองเขา อย่างน้อย ๆ ต้องเป็นของเราสักเขาแหละ ถึงแม้ตัวหนึ่งมีสองเขาก็ตาม แต่ถ้าหากมีวัวเป็นคอก ก็เยอะอยู่นะ เราต้องมั่นใจว่าเราก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน"

เถรี
02-10-2010, 14:11
"วิชาการต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ที่ศึกษาแล้วไม่ค่อยได้ผล เพราะคนขาดความอดทนมาก ต้องบอกว่าขาดมากจริง ๆ โยมบางคนมาถามเรื่องกสิณ บอกว่าผมจับภาพกสิณ ภาวนาแล้วแต่ทำไมยังไม่เกิดผล

อาตมาถามว่าคุณภาวนากี่ครั้ง ถึงร้อยครั้งหรือยัง ? เขาก็อึ้งไปสักพักหนึ่ง แสดงว่าร้อยครั้งยังไม่ถึงเลย จึงบอกเขาไปว่า "คุณไปเปิดหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงดู ในเรื่องการฝึกกสิณ ท่านบอกว่า ให้ลืมตามองภาพ หลับตาลงนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา

พอภาพเลือนไปให้ลืมตาดูใหม่ หลับตาลงกำหนดนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับลมหายใจและคำภาวนา ทำอย่างนั้นเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนกว่าภาพนั้นจะเริ่มติดตาติดใจ" ทีนี้เขาเองหลักร้อยยังไม่ผ่านเลย แล้วจะไปกล่าวถึงเป็นหมื่นเป็นแสนได้อย่างไร

เมื่อตอนบ่ายมีโยมมาปรารภว่า ตอนนี้การทำมาหากินลำบากมาก จะแก้ไขด้วยวิธีไหน ? อาตมาก็แจ้งแก่โยมไปว่า ให้ใช้คาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน เขาบอกว่าภาวนาเป็นประจำเช้าเย็นอยู่แล้ว

อาตมาถามว่ากี่จบ ? เขาบอกว่าเช้า ๙ จบ เย็น ๙ จบ อาตมาจึงบอกว่า "โยมรู้ไหมว่า ถ้าอาตมาแนะนำให้ภาวนา ต่ำสุดจะให้เริ่มที่ ๑๐๘ จบ"

ยังดีกว่าโยมอีกคน เขาบอกว่าท่องคาถาเงินล้านมา ๒ เดือนยังไม่เห็นผล เราก็แปลกใจ เพราะถ้า ๒ เดือน ทำจริง ๆ ต้องเห็นผล ถามว่าโยมภาวนาครั้งละกี่จบ ? เขาว่าครั้งละ ๑ จบ แหม..น่าได้ผลจริง ๆ เลย..!"

เถรี
02-10-2010, 14:22
"การที่ให้เราภาวนามาก ๆ ก็เพราะว่าระยะเวลาที่ยาวนาน จะทำให้สมาธิของเราตั้งมั่นมากขึ้น เนื่องจากเรื่องของคาถาขึ้นอยู่กับสมาธิเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร คาถาจะยิ่งให้ผลมากขึ้น ดังนั้น..การที่พวกเราทั้งหมดในปัจจุบัน ทำแล้วไม่ได้ผลเพราะไม่มีการทุ่มเท

สมัยที่อาตมาภาวนาคาถาปัจเจกพุทธเจ้า อาตมาภาวนาครั้งละ ๙ จบ ทำไปประมาณ ๓ เดือนก็เริ่มเห็นผล พอมาปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านมอบคาถาเงินล้านให้ ก็มาปฏิบัติภาวนาดู

ตอนนั้นติดใจในการภาวนาคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ก็เลยกำหนดว่า เราภาวนาคาถาเงินล้าน ๙ จบ น่าจะน้อยไป เพิ่มเป็นวันละ ๓๐ จบดีกว่า

จาก ๓๐ จบ ทำไป ๆ เริ่มเห็นผล ก็มานึกว่า สมัยหลวงปู่ป่าน ท่านมอบคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ให้แก่ลูกศิษย์ แล้วมีบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วได้ผล ก็คือท่านนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิต เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ หรือนายแจ่ม เปาเล้ง ชาวดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นบุคคลตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านยกให้ลูกศิษย์ฟัง

คราวนี้มาถึงคาถาเงินล้าน ยังไม่มีใครที่เป็นบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วเห็นผล ให้หลวงพ่อยกตัวอย่างให้ลูกศิษย์ฟังได้เลย จึงตัดสินใจว่า "ในเมื่อยังไม่มี..เราก็ว่าซะเอง" เพิ่มการภาวนาจากวันละ ๓๐ จบ เป็น ๓๐๐ จบ

จาก ๓๐๐ จบ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบ และเพิ่มเป็น ๑,๒๐๐ จบ แต่อาตมาไม่ได้เร่งท่องเอาจำนวน ใช้เป็นคำภาวนาสบาย ๆ กำหนดรู้รายละเอียดทุกคำ ไม่ใช่เร่งให้เร็ว ๆ จะได้หลาย ๆ จบ"

เถรี
03-10-2010, 12:50
"อาตมาตื่นนอนมาตอนตีสามก็เริ่มภาวนา จะไปครบจำนวนเอาตอนทุ่มหนึ่ง แปลว่าทั้งวันอยู่กับการภาวนา ผลของคาถาเงินล้านจะทำให้ลาภผลไหลมาเทมา

ในสมัยนั้น ถ้านับในส่วนของพระด้วยกันแล้ว นอกจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เรื่องการเงินอาตมามีความคล่องตัวที่สุด แต่คำว่าคล่องตัวอาตมาคือไม่มีเหลือ เนื่องจากได้มาเท่าไรก็ทำบุญกับหลวงพ่อรายการนั้นบ้าง รายการนี้บ้างจนหมด

จำได้ว่าตอนแรก ๆ จดรายการทำบุญไว้ ถวายสังฆทานชุดใหญ่ ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท กับหลวงพ่อได้กี่ชุด เราก็จดไปเรื่อย แต่พอได้สามร้อยกว่าชุด จึงเลิกจดแล้ว เพราะขี้เกียจจำ

จริง ๆ แล้ว มีคนที่รวยกว่าก็คือ หลวงพี่โอ หลวงพี่โออยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ คนจะรู้จักมาก สมัยนั้นหากมีกิจนิมนต์ส่วนใหญ่โยมจะเจาะจงรายชื่อพระมาเลย อย่างเช่น หลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป นอกนั้นแล้วแต่ทางวัดจะจัดให้

หลวงพี่โอพอสะสมเงินครบหมื่น ก็จะเก็บเข้าบัญชีฝากประจำ เพราะฉะนั้น..หลวงพี่โอจะรวยมาก แต่หลวงพี่โอท่านไม่เก็บบุญเล็กบุญน้อย ท่านทำบุญใหญ่อย่างเดียว ส่วนของเราเจอบุญอะไรขวางหน้าทำหมด เงินก็เลยหมดไปด้วย

ส่วนหลวงพี่โอท่านเก็บเงินไปเรื่อย พบถึงเวลาครบปีท่านก็ไปหาว่า วัดไหนต้องการสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกบ้าง จะเป็นเจ้าภาพสร้างให้วัดนั้น ถ้ายิ่งได้พระประธานในโบสถ์ยิ่งดี ก็แปลว่าพี่เขาเอาบุญใหญ่อย่างเดียว แต่ของเรานี่เล็กน้อยแค่ไหน ขอให้รู้เป็นทำหมด

พอหน้ากฐินก็เตรียมซองปัจจัยไว้ซองละ ๑,๐๐๐ บาท วัดไหนมีกฐินร่วมกับเขาหมด ๑,๐๐๐ บาทพร้อมผ้าไตร ๑ ชุด ทำจนไม่ต้องนับ บางปีก็ ๔๐ - ๕๐ วัด ก็มี

ดังนั้น..โยมที่บอกว่า ลำบากในเรื่องทำมาหากิน ถ้าตั้งใจภาวนาคาถาเงินล้านจริง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนจะมีความคล่องตัวแน่นอน ที่กล้ายืนยันเพราะทำเห็นผลด้วยตนเองมาแล้ว ทุกวันนี้ ที่บรรดาเพื่อนพระเห็นว่าอาจารย์เล็กรวย ก็คืออานิสงส์ของคาถาเงินล้านนั่นเอง"

เถรี
03-10-2010, 12:56
"เมื่อเดือนก่อนตอนประชุมพระนวกะ ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ ก่อนหน้านี้เคยเป็นคู่เขยกัน คือท่านเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๒ เขาก็เลยเรียกกันว่าเป็นคู่เขยกัน

พอท่านมาถึงก็บอกว่า “อาจารย์..ผมติดหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างอยู่ ขอยืมสักสี่แสนสิ” อาตมาก็หัวเราะบอกว่า “รู้ไหม..ที่เห็นว่าผมรวยเป็นเพราะผมใช้เงินไม่คิด มีเท่าไรผมก็ทุ่มออกเพื่องานส่วนรวมหมด คนที่ทำได้ทุกงาน ทำได้ทุกครั้ง คนเขาจะเห็นว่ารวย แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่มีเงินเก็บ ส่วนคนไหนก็ตามที่ไม่ยอมทำอะไรเลย ส่วนใหญ่เขามีเงินเก็บท่วมหัวทั้งนั้น ลองไปขอยืมเขาดูก็แล้วกัน..” แปลกดี..บางวันอาตมาเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ ๒๒ บาทเท่านั้น..!

หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านแนะนำเอาไว้ ท่านบอกว่าจะมากจะน้อย ขอให้มีเงินติดตัวไว้ บาทหนึ่งสลึงหนึ่งก็ยังดี ถ้าใช้คาถาเงินล้านของท่าน "อย่าพูดคำว่าไม่มีเงิน" อย่างไรก็ต้องมี

ถ้าหากว่าโยมมีเหรียญที่ไม่ได้ใช้ ก็ใส่ ๆ กระเป๋าไว้บ้าง อย่างไรก็ให้มีเงินติดกระเป๋าอยู่ เป็นการแก้เคล็ด.."

เถรี
03-10-2010, 13:01
"ในสมัยของหลวงปู่ปาน มีลูกศิษย์ที่ทำคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ แล้วประสบผลสำเร็จเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ พอมาถึงรุ่นหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่อาตมาก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าทำจริงก็มีผลจริง ๆ

เหลือแต่พวกเราทั้งหลายว่า จะมีใครทุ่มเทจริงจัง เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เราปฏิบัติกรรมฐานแล้วได้ผล โดยเฉพาะในส่วนของคาถาเงินล้าน ที่มีอานิสงส์พิเศษก็คือ ความคล่องตัวในความเป็นอยู่

อานิสงส์ของการภาวนานั้นเราได้พุทธานุสติเต็ม ๆ อยู่แล้ว เพราะเป็นคาถาที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้มา ถ้าเราต้องการไปนิพพานก็ภาวนาคาถาเงินล้านแล้วเอาใจเกาะพระนิพพานไว้ ในส่วนของการดำรงชีวิตอยู่ เราต้องการผลพิเศษของคาถา

ไปทำจริง ๆ สักที เราต้องกล้าคิด กล้าทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีใครกล้าเราก็ว่าเสียเอง ทำตัวเองให้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์เสียเลย ถ้าเราทำได้ผล ถึงเวลาไปสอนคนอื่น ก็จะสอนได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกด้วย"