View Full Version : เรานับถือศาสนาพุทธแท้จริงหรือไม่?
มีโยมเอาพระนาคปรกมาถวายสังฆทาน จึงนึกขึ้นมาได้ว่า บรรดานักวิชาการเขามีข้อถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องพระนาคปรกหลายแนวด้วยกัน    
แนวคิดที่หนึ่ง  พญานาคตั้งใจที่จะมาแผ่พังพานปรกพระพุทธเจ้า  ก็มีคนเสนอเป็นแนวคิดว่า  ถ้าพญานาคคืองูใหญ่ทั่ว ๆ ไป ไม่น่าจะตั้งใจมาแผ่พังพานเพื่อป้องกันฝนให้พระพุทธเจ้า  หากแต่ว่าฝนที่ตกหนักทำให้น้ำท่วม และงูก็ไหลตามน้ำมา   ด้วยความที่เจออะไรก็เอาหางเกี่ยวไว้ก่อน  พอเจอพระพุทธเจ้าท่านนั่งสมาธิอยู่  ก็เลยเอาหางเกี่ยวเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตนไหลตามน้ำไป  ในเมื่อขดรัดจนกระทั่งมั่นใจว่าไม่ลอยตามน้ำไปแล้ว ก็ชูหัวขึ้นเพื่อสำรวจภูมิประเทศ   เขาคิดกันแบบนี้
แนวคิดที่สอง เขาว่า  พระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งอยู่บนขนดพญานาค  น่าจะเป็นพญานาคขดล้อมองค์ท่านไว้  แล้วก็แผ่พังพาน   แนวคิดนี้เชื่อว่าพญานาคขึ้นมาแผ่พังพานกันฝนให้จริง ๆ  แต่ไม่น่าจะอยู่ในลักษณะพระพุทธเจ้านั่งอยู่บนขนดพญานาค  น่าจะเป็นพญานาคโอบรอบพระพุทธเจ้าเอาไว้  
แนวคิดนี้ทางด้านประเทศไทยของเราก็มี  จนมีการสร้างพระพุทธรูปโดยมีพญานาคโอบรอบพระพุทธเจ้าอยู่ครึ่งองค์   ถ้าไม่เคยเห็นให้ไปดูที่วัดบวรนิเวศวิหาร มีอยู่  ๑  องค์
แนวคิดที่สาม  เขาคิดว่าเป็นการที่บุคคลกล่าวสรรเสริญศาสดาตนเองว่ามีฤทธิ์  โดยที่เนื้อเรื่องหาความเป็นจริงไม่ได้   แนวคิดนี้เขาค้านโดยตรงเลย
ฉะนั้น  เรื่องแนวคิดต่าง ๆ สำหรับนักศึกษารุ่นหลังนั้น เกิดจากการขาดความศรัทธา  เมื่อเช้าได้กล่าวไปแล้วว่า ศรัทธาเป็นที่เริ่มต้นของความเชื่อทุกอย่าง โดยเฉพาะความเชื่อในศาสนา  ถ้าไม่มีศรัทธาก็จะไม่บังเกิดความเชื่อ  
ศรัทธานั้นพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่ามี 
๑) กัมมสัทธา ความเชื่อในกรรม ก็คือ ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  
๒) วิปากสัทธา เชื่อผลของการส่งการกระทำนั้น ๆ   ไม่ว่าจะทำดีทำชั่ว   ทำแล้วได้ผลแน่ ๆ
๓) กัมมัสสกตาสัทธา   คือเชื่อว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตน ใครจะดีหรือชั่ว ก็เพราะการกระทำของตนเอง ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาบันดาลให้เป็นไป  
๔)  ตถาคตโพธิสัทธา ข้อนี้สำคัญ  ต้องมีความศรัทธาเชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  ถ้าไม่มีศรัทธาตรงจุดนี้ อย่างที่ท่านสอนในเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว เราก็จะพลอยไม่เชื่อไปด้วย
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ ตัวศรัทธาเสื่อมถอยไปมาก  ทำให้คนเอาวิชาการสมัยใหม่จากโลกตะวันตก   ถ้านับไปแล้วก็ล้าหลังกว่าศาสนาพุทธเป็นพัน ๆ ปี  เอามาจับเข้ากับหลักของพระพุทธศาสนา แล้วก็เลือกเชื่อเป็นส่วน ๆ ไป  
ส่วนไหนที่บุคคลทั่วไปทำได้เขาก็เชื่อ ส่วนไหนที่ทำได้แค่บางหมู่คณะ  ส่วนบางหมู่คณะทำไม่ได้ ก็ละไว้ก่อนว่ายังไม่เชื่อ   ส่วนไหนที่คนทั่ว ๆ ไป ทำไม่ได้เลย  อย่างเรื่องของฤทธิ์อภิญญา ก็ไม่เชื่อเลย
ในเรื่องของวิชาการต่าง ๆ ถือเป็นอันตรายต่อศาสนาของเราหรือไม่ ?  จะว่าไปแล้วก็ไม่เป็นอันตรายต่อศาสนาของเรา  เพราะว่าถ้าเป็นของแท้ต้องพิสูจน์ได้  
แต่สำคัญที่ว่าพุทธบริษัททั้ง ๔  คือ  ภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา  มีความสามารถที่แท้จริงเท่าไร ?  ถ้าหากเราสามารถที่จะปฏิบัติจนเข้าถึงหลักธรรมได้จริง ๆ สามารถที่จะกล่าวแก้ต่างคำตู่ของคนนอกศาสนาได้จริง  เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อศาสนาของเราเลย  
แต่ถ้าความสามารถของเราไม่ถึง  ตอนนี้จะอันตราย เพราะถ้าเขาท้าพิสูจน์  เราไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้   ต้องนึกถึงที่บรรดาเดียรถีย์ประกาศจะแสดงฤทธิ์แข่งกับพระพุทธเจ้า  บรรดาภิกษุและภิกษุณีต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่อาสาว่า ขอพระพุทธองค์ไม่ต้องทรงแสดงฤทธิ์ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะยังให้เหล่าเดียรถีย์พ่ายไปด้วยฤทธิ์อำนาจที่ตนเองมีอยู่   
ทั้งภิกษุ  ภิกษุณี  สามเณร  สามเณรี ล้วนแต่อาสา พูดง่าย ๆ ว่าเด็กก็พร้อมที่จะท้าพิสูจน์ ผู้ใหญ่ก็พร้อมที่จะท้าพิสูจน์  แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การแสดงยมกปาฏิหาริย์เป็นพุทธประเพณี  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ต้องทำอย่างนี้  เพราะฉะนั้น..จึงเป็นหน้าที่ของตถาคต ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเธอ  
ตรงจุดนี้เราจะเห็นว่า  บุคคลสมัยก่อนท่านมีความสามารถที่แท้จริง  พร้อมที่จะท้าพิสูจน์ได้  โดยเฉพาะอย่างพระโมคคัลลานะ  ถึงเวลาก็ไปเที่ยวนรกเที่ยวสวรรค์ แล้วก็นำเอาเรื่องของญาติโยมต่าง ๆ ที่ล่วงลับไปแล้วมาบอกกล่าวแก่บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่  
บอกชื่อ บอกฉายา  บอกลักษณะท่าทาง บอกการตาย  บอกสิ่งที่เขาชอบในขณะที่มีชีวิตอยู่ได้  คนก็ต้องเชื่อว่าไปพบมาจริง  สั่งความมาถึงใคร  มีอะไรอยู่ที่ไหนที่ญาติเขายังไม่รู้ สามารถบอกได้หมด   คนก็เชื่อและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก  
เรื่องนี้เราต้องไปดูใน เปตวัตถุ และ วิมานวัตถุ ในขุททกนิกาย  แต่อาจจะงงเพราะคำว่า เปตะ  เรามักจะคิดว่าเป็นเปรต   อันนี้เราเข้าใจผิด  เปตชน เขาหมายถึงบุคคลที่ตายไปแล้ว  เราจะเห็นว่าเรื่องมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็อยู่ในเปตวัตถุเช่นกัน  
เปตะ แปลว่า ผู้ตายไปแล้ว   แต่ในวิมานวัตถุจะเป็นเรื่องของเทวดานางฟ้าทั้งนั้น ไปเปิดอ่านได้   พระโมคคัลลานะพอไปถึงก็จะชมเขาก่อน  ว่าท่านทำบุญอะไรมาถึงได้มีวิมานสวยงาม  มีรัศมีผ่องใสยิ่งนัก  มีอทิสมานกายสวยอย่างนั้นอย่างนี้  พอถามถึงบุรพกรรม ท่านเหล่านั้นก็เล่าให้พระโมคคัลลานะฟัง
ในเมื่อคนสมัยก่อนมีความสามารถ ศาสนาอื่นที่ลงรากปักฐานมาก่อนศาสนาพุทธมีเป็นจำนวนมากและคนเคารพเชื่อถือ  ศาสนาพุทธก็ยังสามารถที่จะเบียดแทรกและเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งในศาสนาหลักได้
แต่ในปัจจุบันถ้าความสามารถของเรายังไม่พอ  ไม่สามารถจะพิสูจน์ให้คนอื่น  ศาสนาอื่นหรือบุคคลที่มากล่าวตู่พระพุทธศาสนา ได้รู้เห็นและแจ้งชัดในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า  หรือความสามารถที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้   ศาสนาของเราจะง่อนแง่นและอันตรายมาก   
เราจะไปภูมิใจว่าประชากรประมาณ  ๙๐  เปอร์เซ็นต์ของเรานับถือศาสนาพุทธ  อย่าลืมว่า"เราเป็นพุทธแต่ทะเบียนบ้าน"กันเยอะมาก   ส่วนที่เหลืออาจจะ  ๕๐-๖๐ เปอร์เซ็นต์  บางคนพอถึงเวลาบอกว่าผมนับถือศาสนาพุทธ  แต่งัดปลัดขิกออกมาโชว์  ซึ่งความจริงคือศิวลึงค์ของศาสนาพราหมณ์
เพราะฉะนั้น..เราจะต้องทราบด้วยว่าอะไรเป็นอะไร   ไม่อย่างนั้นประกาศว่าเราเป็นศาสนาพุทธ แต่พกปลัดขิกสามสี่ตัวรอบเอว  ถ้าอย่างนี้ศาสนาอื่นก็โจมตีเราได้ว่าไม่ใช่พุทธแท้  ขณะเดียวกันศาสนาพุทธสอนอะไรยังไม่รู้เลย  ยังมีการหลงงมงาย เป็นต้น 
 
ที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า พวกเราต้องใช้ความพยายามให้มากกว่านี้  เพราะว่าสิ่งที่เราทำอยู่ ปฏิบัติอยู่  ตัวเราเองยังไม่พออาศัยเลย  แล้วจะไปให้คนอื่นอาศัยได้อย่างไร เราต้องทุ่มเทชนิดตายเป็นตาย  ทำให้เกิดผลให้ได้  ถ้าเกิดผลเมื่อไร  คราวนี้เราก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ ว่าเรานับถือศาสนาพุทธ  เพราะว่าเราเห็นดีเห็นงาม  เห็นคุณค่าของพระศาสนาจริง ๆ แล้ว
ไม่ใช่เรานับถือศาสนาพุทธแค่ตามทะเบียนบ้าน   หรือเรานับถือศาสนาพุทธตามพ่อแม่ปู่ย่าตายาย  แต่ว่าเรานับถือศาสนาพุทธเพราะเราเห็นคุณประโยชน์ เห็นความดีของศาสนาพุทธจริง ๆ
การศึกษาเล่าเรียนในพระพุทธศาสนา  ที่บอกว่าเราต้องทำให้เกิดผลนั้น จริง ๆ แล้วแบ่งออกเป็นสามอย่างก็ได้ แบ่งออกเป็นสองอย่างก็ได้ ถ้าแบ่งออกเป็นสองก็คือ  คันถธุระกับวิปัสสนาธุระ ถ้าแบ่งออกเป็นสามก็คือ ปริยัติ  ปฏิบัติ  และปฏิเวธ   
ในส่วนของคันถธุระ  เกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน เกี่ยวกับหน้าที่การงานต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นการบูรณะซ่อมสร้าง ทำการสงเคราะห์ญาติโยมในด้านอื่น ๆ  ในเรื่องของวิปัสสนาธุระ ก็คือ  ปฏิบัติให้เกิดผล  แล้วนำเอาไปสั่งสอนญาติโยมเขา   
ในส่วนของปริยัติ  คือการศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎก  โดยเฉพาะการทรงจำเพื่อที่จะสืบทอดเนื้อหาที่ถูกต้องต่อ ๆ ไป  ถามว่ามีความสำคัญไหม ?  มีความสำคัญมาก  เพราะถ้าขาดหลักปริยัติ  นักปฏิบัติก็ไม่รู้ว่าจะเอาข้อมูลที่ไหนมาใช้ในการปฏิบัติ  
ส่วนในการปฏิบัตินั้น ต้องทุ่มเท  ลงไม้ลงมือทำเลย  จนกระทั่งเกิดผลขึ้นมา สิ่งใดที่ข้องขัดก็ไปสอบทานกับปริยัติ  เพราะฉะนั้น..จริง ๆ แล้ว ปริยัติกับปฏิบัติต้องไปด้วยกัน แยกจากกันไม่ได้ 
ตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนของเรา  ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยาลงมา  ถึงธนบุรี  รัตนโกสินทร์  ทางการศึกษาของพระเรานั้น ศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติคู่กันมาตลอด  เพิ่งจะมาโดนแยกออกจากกัน  ตอนที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กำหนดหลักสูตรนักธรรมบาลีออกมา ก็เลยแยกออกมาว่านี่เป็นส่วนที่ต้องศึกษา ก็คือ ปริยัติล้วน ๆ ในส่วนของปฏิบัติ  ใช้คำว่าแล้วแต่ศรัทธา  
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการปฏิบัติก็เริ่มตกต่ำ  แรก ๆ ก็ยังไม่ตกต่ำชัดเจนนัก  เพราะหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถ ยังมีเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ในส่วนที่ตกต่ำชัดเจนก็คือ บรรดาผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนปริยัติ ทั้งนักธรรมและบาลี  จะได้รับการสนับสนุนให้เป็นฝ่ายปกครอง  
คนที่อยากเป็นใหญ่เป็นโต  อยากมียศมีตำแหน่ง จึงต้องดิ้นรนศึกษาให้จบนักธรรมชั้นเอก ให้จบเปรียญเก้าประโยค  เพื่อที่จะได้ก้าวไปสู่ตำแหน่งในการปกครอง  จึงทิ้งการปฏิบัติไปหมด ทุ่มเทให้กับปริยัติอย่างเดียว
พอมาถึงยุคสมัยของเรา หลักสูตรต่าง ๆ ก็ยังเป็นหลักสูตรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  ๕  ตั้งแต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วางรูปแบบมา  ยังเรียนเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย  การเรียนก็ยากขึ้น  ที่ยากขึ้นเพราะว่าคนเราในปัจจุบันความอดทนมีน้อย  
ประการที่สอง สมาธิสั้น ประการที่สาม หลักสูตรค้านกับหลักการศึกษาปัจจุบันทั่วไป  ปกติอย่างหลักสูตรทั่ว ๆ ไป พอทำข้อสอบ  อาจารย์เขาจะตรวจว่าถูกเท่าไร  แล้วก็ให้คะแนน แต่ของบาลีเขาตรวจว่าผิดเท่าไร  ถ้าผิดครบ  ๑๒  แห่ง  ต่อให้ที่เหลือถูกหมดก็ตกแล้ว   
ฉะนั้น..บาลีมีโอกาสผิดได้ไม่เกิน  ๑๒  คำ   ตีเสียว่าส่วนอื่นได้คะแนนเต็ม  ก็แปลว่าต่อให้ได้คะแนน  ๘๘ เต็ม ๑๐๐  แต่ก็ต้องตก  เพราะฉะนั้น..หลักการบาลีก็เลยสวนทางกับทางโลก  
ผู้ที่จบประโยค  ๙  ในปัจจุบันก็เลยกลายเป็นอะไรที่ประหลาด ๆ อยู่หน่อย  คือ เรื่องที่ไม่น่าทำได้ เขาก็ทำได้   ความจริงแล้วถ้าเป็นความเห็นของอาตมา  ปริยัติในปัจจุบันควรจะปรับปรุงได้แล้ว  ปรับในลักษณะที่ว่า ใครเรียนนักธรรมตรีก็ให้เรียนควบประโยค  ๑-๒  ไปเลย  เรียนนักธรรมโทก็ประโยค  ๓ , ๔ , ๕ ควบไป  เรียนในลักษณะเก็บสะสมคะแนนแบบหน่วยกิต  
เรียนแล้วทิ้งไปเลย  ท่านใดก็ตามที่ต้องการใช้งานในส่วนของปริยัติเกี่ยวกับการแปลจริง ๆ  ให้ไปเรียนเป็นการเฉพาะ  ชำนาญเป็นการเฉพาะทางไป  แล้วการเรียนบาลีจะง่ายขึ้น  ง่ายขึ้นเพราะเก็บสะสมหน่วยกิตได้  เพราะว่าการเรียนนั้น  ส่วนใหญ่ก็เรียนเพียงเพื่อรู้ว่ามีอะไรบ้าง
ในเมื่อเรื่องปริยัติของเราก็เอาตัวไม่รอด  พยายามจะรักษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ฝ่ายปฏิบัติ  คนเขาก็เห็นประโยชน์น้อย  เพราะว่าพระปฏิบัติมักจะไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง จึงไม่ถูกอารมณ์เขา  ก็เลยกลายเป็นว่า ปัจจุบันนี้เขาเรียนปริยัติกันมากกว่า
ทำให้บุคคลที่จะเข้าถึงการปฏิบัติจริง ๆ  ในลักษณะที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนาได้ก็เลยมีน้อย  ในเมื่อปริยัติตกต่ำ  ปฏิบัติตกต่ำ  โอกาสที่จะเข้าถึงปฏิเวธ  คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาและปฏิบัติก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่  
โดยเฉพาะปัจจุบัน   พระนักเรียนที่เรียนด้านของบาลี  เรียนจบประโยค  ๙ แล้ว เขาเทียบวุฒิเท่ากับปริญญาตรีเท่านั้น ประโยค  ๙  ถ้ายอดฝีมือเรียนแบบไม่ตกเลยก็ต้องเรียนถึง  ๘  ปี  ถ้าตกก็นานกว่านั้น  ถ้ายิ่งท่านเจ้าคุณพระราชสิทธิเวที  ประโยค  ๙ ชั้นเดียว ท่านตกถึง  ๑๔ ปี..! 
ประโยคเก้าคนต้องเรียนอย่างน้อยถึง  ๘ ปี น่าจะเทียบวุฒิให้มากกว่านั้น แต่เขาให้เท่าปริญญาตรี  และถ้าจะเทียบ  เขาให้ไปศึกษาวิชาสามัญเพิ่มเติมด้วย  ต้องไปเรียนคณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ฯลฯ วิชาทางโลกหลัก ๆ เพิ่มเข้ามาอีก  ไม่อย่างนั้นเขาไม่เทียบให้   
พระผู้ใหญ่ของเราน่าจะผลักดันว่า การเรียนบาลีเป็นการเรียนเฉพาะทาง อย่างในลักษณะเอกภาษาจีน  เอกภาษาไทย  เอกภาษาอังกฤษ  ของเราก็ให้เป็นเอกภาษาบาลี   แต่ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่เขายังไม่กล้าแตะต้อง เพราะเขาเชื่อว่าหลักสูตรเก่า ๆ ขลัง  สอบพันกว่าคน ได้  ๒๐  คน  รู้สึกว่าขลังมากเลย..! หรือใครเอ่ยปากขึ้นมา ก็อาจจะโดนดองเค็ม  ก็เลยยังไม่มีใครกล้าไปลุยตรง ๆ เสียที
บรรดานักศึกษาบาลีส่วนใหญ่จะท้อถอย  แล้วก็เลิกเรียนบาลี หันมาเรียนพุทธศาสตรบัณฑิตแทน   พุทธศาสตรบัณฑิตแม้ว่าจะเรียนยากกว่าทางโลก แต่ง่ายกว่าบาลีเยอะ  คือถ้าหากคุณตั้งใจเรียนอย่างไรก็จบแน่ ส่วนบาลีถึงคุณตั้งใจเรียนก็อาจจะตกแน่..!
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ศาสนาของเราอยู่ในลักษณะที่เสื่อมถอย  ก็คือ  บุคคลากรที่จะมาบวชมีน้อย  อย่าลืมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า  เกิดมาเป็นมนุษย์ก็แสนยาก  กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ  การจะดำรงชีวิตอยู่รอดไปจนกระทั่งบวชก็แสนยาก  กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ  กว่าจะมีอายุถึง  ๒๐ ปี โอกาสตายก็มีเยอะเลย  กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ   การจะได้ฟังธรรมนั้นแสนยาก  กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นยากที่สุด
ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ยาก แล้วคนในปัจจุบันยังติดข้องอยู่กับกระแสบริโภค   โดยเฉพาะในส่วนของหน้าที่การงานต่าง ๆ ไม่อำนวยให้ลาบวชนาน ๆ อย่างเก่งก็ลาได้  ๗ วัน  ๑๕  วัน ราชการยังดีอนุญาตให้ลาได้  ๑๒๐ วัน แต่ก็ให้คนละครั้งเดียวตลอดชีวิต..!   
ในเมื่อบุคคลากรที่จะเข้ามาบวชมีน้อย แล้วจะให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองจึงเป็นไปได้ยาก  อย่างของวัดท่าขนุนปีนี้ส่งรายชื่อพระเณรจำพรรษาทั้งหมด  ๓๔  รูป  วัดอื่นเขาเห็นเป็นของประหลาด  วัดบ้านนอกเอาพระเณรจากที่ไหนมาเยอะขนาดนั้น ? ส่วนใหญ่จะมีให้ครบ  ๕  รูปเพื่อรับกฐินก็ยากแล้ว  
พอการเรียนต่าง ๆ โดยเฉพาะในระดับปริญญา  ไม่ว่าจะเป็นศาสนศาสตรบัณฑิตหรือพุทธศาสตรบัณฑิต  ได้รับการรับรองและกำหนดขั้นเงินเดือนโดย ก.พ. ขึ้นมา  พระเณรก็สึกไปทำงานกันเสียมาก  จากที่เราเคยภูมิใจว่า ประเทศไทยมีพระเณรอยู่ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ รูป  ปรากฏว่าตอนนี้มีอยู่ประมาณ ๑๒๕,๐๐๐ รูปเท่านั้น หายไปเกินครึ่ง
คราวนี้เรามาดูว่า การสำรวจประมาณปี  ๒๕๓๐  บ้านเรามีพระเณรประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ รูป   ตอนนี้ปี  ๒๕๕๓  ตีเสียว่า  ๒๐  ปีเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง  แล้วถ้าเราคิดเทียบบัญญัติไตรยางค์ อีก  ๒๐  ปีข้างหน้าจะเหลือเท่าไร ? ก็น่าจะเหลือไม่ถึงแสน..!   
ถามว่าในเมื่อการศึกษาทำให้พระสึกหาลาเพศไปเยอะ   เราจะไม่สนับสนุนการศึกษาหรือ ? ไม่ใช่..จำเป็นต้องสนับสนุน  เพราะถ้าหากความรู้ไม่เพียงพอ ก็ไม่สามารถที่จะออกไปทำมาหากินได้  พระศาสนาของเราถือว่าเปิดกว้างสำหรับทุกคน  การเปิดกว้างก็อยู่ในลักษณะว่า คุณจะเข้ามาบวช  มีศรัทธาเท่าไรเราก็ไม่ว่า  บวชยาวก็ยินดีต้อนรับ  บวชสั้นก็ยินดีต้อนรับ
ย้อนกลับมาตรงที่กล่าวเอาไว้ว่า พวกเราปฏิบัติแล้วยังไม่เกิดผลจริง   ถ้าเราปฏิบัติแล้วเกิดผลจริง เราก็จะยืนยันได้ว่าหลักปริยัติธรรมนั้นถูกต้อง  การปฏิบัติเห็นผลเกิดเป็นปฏิเวธ คือผลลัพธ์เฉพาะของแต่ละคนขึ้นมา   ถ้าทุกคนสามารถทำได้  ศาสนาเราจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกวาระหนึ่ง  
ปัจจุบันนี้แล้วน่ายินดีมาก ที่บรรดาแม่ชีและฆราวาสจำนวนมาก  กลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวของญาติโยมได้ แม่ชีเองยังอยู่ในสถานภาพของนักบวช  แต่ฆราวาสที่ปฏิบัติจนกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวของผู้อื่นได้  ต้องถือว่าสุดยอดฝีมือจริง ๆ  เรียกว่า Born  To  Be  เกิดมาเพื่อเป็นอย่างนั้น
ยกตัวอย่าง คุณแม่สิริ กรินชัย  ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง  แต่ละปีเปิดการอบรมวิปัสสนากรรมฐานเป็นสิบ ๆ ครั้ง  และยังมีบรรดาอาจารย์ท่านอื่น ๆ อีกเยอะแยะ จนกระทั่งมีประโยคที่ทำให้ชอกช้ำระกำใจว่า  "อยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ถามพระ อยากรู้เรื่องธรรมะให้ถามโยม"   
บรรดาแม่ชีต่าง ๆ อย่างแม่ชีศันสนีย์  เสถียรสุต  เจ้าของเสถียรธรรมสถานและสาวิกาสิกขาลัย  เปิดการเรียนการสอนถึงในระดับปริญญาตรี
แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม  ก็เป็นที่พึ่งให้แก่ญาติโยมเขา   เงินทองไหลมาเทมา แม่ชีเอาไปเลี้ยงพระหมด  เอาไปก่อสร้างหมด  โดยเฉพาะท่านเลี้ยงพระที่ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา  กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแม่ชีเหมาเลี้ยงหมด 
นอกจากนี้ยังมีแม่ชีมโนราห์อีก  บรรดาแม่ชีต่าง ๆ  จะว่าไปแล้ว สามารถให้ความใกล้ชิดและเข้าใจต่อญาติโยมที่เป็นอุบาสิกาได้ดีกว่า  บางรายก็ไปกอดแม่ชีร้องไห้ อาตมาก็ยืนดู  เออ..โชคดีที่เราไม่มีเวรกรรมอย่างนี้  ไม่อย่างนั้นคงได้ซักจีวรกันวันละหลายรอบ..!   
เวลาแม่ชีเขาไปเลี้ยงพระ ตอนที่อาตมาไปปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามกติกาของมหาวิทยาลัย  แม่ชีเขาทิ้งงานหมดเลยนะ ไปอยู่เลี้ยงพระ  แต่ญาติโยมเขาไม่ยอมทิ้งแม่ชี  ขับรถตามไปเป็นกลุ่ม ๆ  ๑๐-๒๐  คน  แม่ชีทำกับข้าวเลี้ยงพระเหนื่อยแทบตาย  มีเวลานิดหนึ่งก็ยังต้องมารับฟังความทุกข์ของเขาอีก
ในจุดนี้เราจะเห็นว่า  เรื่องของพระศาสนา  ที่พระพุทธเจ้าฝากไว้กับพุทธบริษัททั้ง  ๔  นั้น ถูกต้องเลย  เพียงแต่ว่าภิกษุมีอยู่  แต่ภิกษุณีถ้านับสายเถรวาทไม่มีแล้ว อย่างภิกษุณีธัมมนันทา  ที่วัตรทรงธรรมกัลยาณี  ก็บวชของสายมหายาน   ในส่วนของอุบาสกอุบาสิกาเรายังมีเป็นปกติ  แต่อุบาสกอุบาสิกาที่เป็นหลักยึดให้แก่คนอื่นได้ในหลักธรรมก็มีน้อย   คงต้องฝากความหวังไว้กับพวกเราทั้งหมดนี่แหละ..!
พระครูธรรมธรเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงเย็น  ณ  บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่  ๓๑   กรกฎาคม  ๒๕๕๓
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.