PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓


เถรี
05-07-2010, 19:41
ถาม : มดเต็มบ้าน ต้องเสียเวลาในการกวาดมด ต้องทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ไปหาสารสกัดจากเปลือกส้มมาฉีด ฉีดแล้วมดไม่ตายหรอกแต่มดไม่ชอบ สมัยก่อนมียี่ห้อหนึ่งชื่อ ซีทรัส ไม่รู้สมัยนี้จะมีหรือเปล่า ? ฉีดออกมากลิ่นจะเหมือนส้มเลย ฉีดใส่ตัวมดก็ไม่เป็นไรหรอก แค่เดินเซแล้วก็หนีไป

เถรี
05-07-2010, 19:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสายปฏิบัติควรเร่งสวดมนต์ให้ได้ภายในสองพรรษา ถ้าเกินนั้นไปแล้ว กำลังใจที่เข้าหาการปฏิบัติอย่างเดียวจะไม่เอาอย่างอื่นเลย ฉะนั้น..ถ้าสองพรรษาสวดไม่ได้ก็แย่แล้ว เพราะต่อไปอารมณ์พอใจจะเอาแต่ภาวนาอย่างเดียว"

เถรี
05-07-2010, 19:47
ถาม : เหมือนมีตัวอะไรอยู่ในท้องค่ะ
ตอบ : ไปหาหมอมาหรือยังจ๊ะ ?

ถาม : ไปหาแล้ว หมอไม่เจออะไรเลย ?
ตอบ : ก็ชัดเจนว่าหมอสมัยใหม่ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว..ใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นเราก็รอ...รอว่าที่วัดมีงานเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อไร เราก็ไปเข้าพิธีเลย ตอนนี้ทนไปก่อนจ้ะ

เวลาหมอตรวจมันเลื่อนหนีจากที่เดิมได้..ใช่ไหม ? สมัยก่อนอาตมาไปให้หมอตรวจแล้วมันวิ่งหนีได้ แล้วหมอไม่เจออะไรก็ว่าอาตมาเป็นโรคอุปาทาน บางทีมันอยู่ในท้อง แต่พอหมอเขาเอ็กซเรย์ท้อง มันเลื่อนไปอยู่ที่หัวเข่า หมอเขาเอ็กซเรย์ไม่เจออะไร ก็สงสัยว่าเป็นโรคอุปาทาน

ถ้าลักษณะอย่างนั้นละก็ชัดเลย เพราะฉะนั้น..รอก่อน บอกมันว่าที่วัดมีงานเมื่อไรเจอกันแน่ ถ้าเอ็งยังไม่อยากตายให้รีบหนีไปเสียก่อน..!

หมอสมัยใหม่เวลาตรวจไม่เจอ แทนที่จะยอมรับว่าไร้ความสามารถ ก็มักจะโทษว่าคนไข้เป็นโรคอุปาทาน

เถรี
05-07-2010, 19:49
ถาม : ถ้าจะตั้งศาลพระภูมิ ทิศทางของหน้าศาลมีผลไหมครับ?
ตอบ : หน้าศาลไม่เกี่ยว ทิศในการตั้งตัวศาลสำคัญที่สุด เขาเอาตัวบ้านเป็นหลัก

ถาม : ผมเห็นหลายคนบอกว่า หน้าศาลสำคัญ หันไปทางทิศตะวันออกไม่ดี
ตอบ : มีผลเหมือนกันแหละ ถ้าเกิดเราหันหน้าศาลเข้าหาข้างฝา เราก็ไหว้ศาลไม่ได้..!(หัวเราะ)

เถรี
05-07-2010, 20:47
ถาม : ผมไปแวะวัดป่าของหลวงปู่มั่น แล้วมีเตียงที่หลวงปู่มั่นเคยเทศน์อบรม ตอนผมกราบ ผมก็ดูกายดูใจเป็นธรรมดา รู้สึกว่ามีอุโมงค์ที่เชื่อมถึงและมีพลังงาน จะว่าสว่างก็สว่างไม่มีประมาณ จะว่าใสก็ใสไม่มีประมาณ จะบอกว่าสว่างหรือใสแต่ก็เป็นลักษณะของสิ่งที่เคลื่อนไหวตลอด และไม่มีที่เกาะเกี่ยว ผมก็นั่งค้างอยู่พักหนึ่ง ผมเข้าใจว่าตรงนั้นเป็นความหมดจดจากกิเลส แต่ว่าตัวเราเองก็ไม่มีสิทธิ์ในตรงนั้น นั่งได้ครู่หนึ่งก็ออกมา
ตอบ : แค่เห็นได้ก็พอแล้ว จะได้รู้ถึงสิ่งที่หลวงพ่อฤๅษีท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า ของใช้ทุกอย่างที่พระอรหันต์ท่านเคยใช้อยู่ จะมีพลังงานของท่านอยู่ เทวดาท่านจะต้องรักษา พูดง่าย ๆ เลยว่า เป็นของที่บังคับเลยว่าเทวดาต้องดูแลรักษา ถ้ายังไม่หมดสภาพอย่างไรก็ต้องเฝ้าเอาไว้

ถาม : ในจุดที่จะไปถึงตรงนั้นได้ เหมือนกับว่าอารมณ์หรือร่างกาย หรือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว พอเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ถ้ามีสติสมบูรณ์ ทุกอย่างก็วางสงบ จะเป็นเสียว ดีใจ เสียใจ ก็จะเป็นของเองอยู่อย่างนั้น เสมือนว่าไม่มีตัวเราเข้าไปเป็นเจ้าของตรงนั้น
ตอบ : ธรรมชาติเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เราสักเพียงแต่ว่ารู้

ถาม : จากนั้นออกมา เหมือนกับว่าโลกที่คุยด้วยเป็นชั้น ๆ ของมันอยู่ ในความคิดที่เกี่ยวข้องกับคน หรือความคิดกิเลสในใจที่ออกมา ก็มีเกิดดับต่าง ๆ มันเป็นชั้น ๆ ของมัน มีความหลง ไม่เข้าใจในความเป็นจริง มันมีกำลังที่จะมาบังคับให้เกิดการกระทำที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้างได้ตลอด แต่ก็เกิดการรู้ในแบบธรรมดาของมัน ทุกก้าวที่เดินจะรู้ถึงที่สุดว่า เป็นธรรมดาอย่างนั้น
ตอบ : พระพุทธเจ้าสอนพวกเรา เพราะท่านมั่นใจในศักยภาพของพวกเราว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีศักยภาพพอที่จะหลุดพ้นได้ เพียงแต่ว่าดวงปัญญาจะไปถึงหรือไม่เท่านั้น หากยังไปไม่ถึง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ทำไปยังเกิดจากการปรุงแต่งของใจอยู่ ก็จะทำให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง สร้างเวรสร้างกรรมกันต่อ

แต่ถ้าหากดวงปัญญาถึง สิ่งที่เขาทำ..ก็ทำไปโดยกิริยาอาการที่จำเป็นต้องทำตามสภาพเท่านั้น แต่ว่าสภาพจิตไม่ได้ปรุงแต่งให้เป็นรัก โลภ โกรธ หลง จึงเป็นเพียงกิริยา แต่ไม่เป็นกรรม ในเมื่อถึงตรงจุดนั้นไม่เกิดเป็นกรรมขึ้นมา ก็ถือว่าทุกอย่างจบ สิ้นสุดผลกรรมลงแต่เพียงนั้น

เถรี
05-07-2010, 21:03
ถาม : คำว่า วิมุตติ กับคำว่า รู้แล้วสลัดคืน ความสมบูรณ์นั้นเป็นคนละเรื่องกันเลย
ตอบ : คนละเรื่องกัน วิมุตตินั้นเราพ้นไปแล้วแน่ ๆ แต่รู้แล้วสลัดคืนยังต้องพยายามทำอยู่

ถาม : แต่ความสมบูรณ์ของความดับ หรือความเร่าร้อนของกิเลสที่ดับ มันเกิดมันดับ เหมือนกับว่าเราไม่ต้องไปทำอะไร เพียงแต่ว่ารู้ทุกอย่างให้ชัดเจนจากใจถึงใจ มองทุกอย่างด้วยสายตาที่มองก็เหมือนไม่มอง ก็จะเป็นธรรมดาของมันเอง
ตอบ : สักแต่ว่าเห็น ในเมื่อสักแต่ว่าเห็น จิตไม่ได้ไปนึกถึงปรุงแต่ง ไม่สร้างกรรมต่อ ก็จะจบ แต่ถ้าหากว่าเริ่มสร้างกรรมแม้แต่นิดเดียว ก็จะเกิดการหมุนวนต่อไป

ทีนี้ตัววิมุตตินั้นเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริงแล้ว ส่วนลักษณะรู้แล้วสลัดคืน เรายังต้องใช้ความพยายามในการทำอยู่

ถาม : อย่างสมาธิที่มี ก็เหมือนกับว่าเป็นธรรมดาที่เป็นอย่างนั้น เหมือนกับว่า มีคนหนึ่งที่ทำสมาธิไปตามเหตุผล เหมือนกับว่ามีญาณรู้เห็นความจริงในตรงจุดนั้น
ตอบ : สมาธิจริง ๆ ยังเป็นเครื่องปรุงแต่งของจิต เพียงแต่ว่าเป็นการปรุงแต่งที่ผู้รู้..รู้ว่า ปรุงแล้วใช้ประโยชน์อะไร ก็จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราไปเสริมในการใช้ปัญญาเพื่อการหลุดพ้นได้ แต่ถ้าหากว่าไม่รู้..ก็จะทำให้ยึดติด แล้วในที่สุดก็จะเกาะอยู่กับตัวสมาธิ หลุดพ้นไม่ได้ ก็จะติดอยู่ที่พรหม

ดังนั้น..ในพรหมชาลสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ถึงลัทธิ ๖๒ อย่าง คำว่าพรหมชาลสูตร คนเขาพยายามแปลกันว่า ข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ใช้คำว่าพรหมโดยแปลว่าเป็นผู้ประเสริฐ ชาละ คือ ตาข่าย เขาบอกว่าข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้รู้เห็นชัดเจนว่าลัทธิอื่นมีถึง ๖๒ ลัทธิ

ตรงนี้จริง ๆ แล้วควรจะแปลว่า ตาข่ายที่ดักให้อยู่แค่พรหม ไปเกินนั้นไม่ได้ เพราะไปยึดติด (พรหมชาละ = ตาข่ายดักพรหม)

เถรี
05-07-2010, 22:23
ถาม : ผมสังเกตว่า เวลาใจจะเข้าไปในสมาธิ จะเข้าไปซึมกับอารมณ์ และเข้าไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์เพื่อความเข้าใจ จะมีอัตตาของตัวเองเข้าไปด้วย
ตอบ : มีเต็ม ๆ

ถาม : (ได้ยินไม่ชัด)
ตอบ : ที่เราว่ามาจริง ๆ ก็ใช่แล้ว เพียงแต่ว่าวิสัยของเรา ใช่แล้ว..แต่ยังไม่เอา ยังรอไปต่อ ในเมื่อรอไปต่อ ก็ต้องไปตามทางของเรา ของคุณเลือกเดินทางไกล(พุทธภูมิ)

ถาม : ผมไม่ได้คิดจะเดินทางไกล แต่ใจยังไม่ยอม จึงได้อย่างนี้
ตอบ : วิสัยเดิมเดินทางไกลมา เราก็ต้องไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะยอมลงให้อะไรจริง ๆ สักที หรือไม่ก็จนกระทั่งบรรลุไปข้างหนึ่งเลย

ถาม : ผมยังมีกรรมอยู่ครับ
ตอบ : มีทั้งนั้นแหละ อาตมาเองก็มีกรรม แทนที่จะได้นอนสบาย ๆ ก็ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ (หัวเราะ)

เถรี
05-07-2010, 22:26
เนื่องจากคนที่ถามปัญหาข้างต้นนั้น เขาถามด้วยอารมณ์ใจที่สูง พระอาจารย์จึงกล่าวแก่คนที่นั่งฟังอยู่ในที่นั้นว่า "ถ้าเขาไปสูง เราก็ไม่ต้องไปโหนสูงตามเขา เอาแค่ในระดับของเรา โดยเฉพาะการคุยกันในเรื่องการปฏิบัติ ถ้าเป็นจุดที่เราติดขัดก็จะได้ประโยชน์มาก แต่ถ้าไปเก็บเอาของคนอื่นมาคุย นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์เพราะเรายังทำไม่ถึงแล้ว ยังพาให้ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก"

เถรี
06-07-2010, 11:19
ถาม : ถ้าเป็นความจริง ก็ไม่ต้องคิดให้มันเกิดขึ้น
ตอบ : นั่นเป็นไปโดยธรรมชาติ

ถาม : อย่างสมาธิที่ครูบาอาจารย์ท่านเอาพลังงานมาเสกพระ ก็ไม่เห็นท่านจะต้องทำอะไรเลย เพราะว่าประตูของท่านเปิดตรงนั้นเข้าไปได้
ตอบ : ถูก..เพราะมีเป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : พอท่านเข้าไป ทุกอย่างก็มาของมันเอง ถ้าเราฝึกปฏิบัติดี ตาดี เราก็จะเห็นได้ พลังงานจะมาเป็นธรรมดา แล้วแต่กระแสที่สัมผัส เพราะพลังงานตรงนี้อยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรื่องของใจล้วน ๆ
ตอบ : ดูอย่างหลวงปู่สีท่านเสกพระ โยมเขาสร้างพระเอาไปให้หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาคเสก ท่านเอามือตบกล่องสามที บอกว่า "เอาไปใช้ได้แล้ว" โยมเขาก็หงุดหงิด ไม่เห็นเสกอะไรเลย ก็อุตส่าห์แบกไปถึงเชียงใหม่ เพื่อขอให้หลวงปู่แหวนช่วยเสกให้ต่อ

หลวงปู่แหวนท่านว่า "เอามาทำไม ? เต็มหมดแล้ว..." เขาก็บอกว่า "หลวงปู่สีท่านไม่ได้เสกอะไรเลย ท่านเอามือตบสามทีเท่านั้น" หลวงปู่แหวนบอกว่า "องค์นั้นตบสามทีดีกว่าฉันเสกสามเดือน..!"

ทุกอย่างเหมือนกับว่ามีพร้อมสมบูรณ์อยู่แล้ว เหมือนกับไฟเป็นหมื่น ๆ โวลต์เสียบปลั๊กรออยู่แล้ว มาถึงก็จี้ได้เลย แต่คนเขาไปติดรูปแบบกัน

หรือไม่ก็อย่างหลวงปู่เนียม วัดน้อย (อาจารย์ของหลวงปู่ปาน) เจ๊กเขาถือโหลใส่น้ำมา บอกว่าอยากได้น้ำมนต์ไปรดร้านให้ค้าขายดี ตอนนั้นหลวงปู่เนียมท่านมุงหลังคาอยู่ "เออ..ใช้ได้แล้ว เอาไปเถอะ" เถ้าแก่เดินพ้นวัดไปก็โมโห "ไม่เห็นเสกอะไรเลย บอกว่าใช้ได้แล้ว..!" ก็ท่านยังอยู่บนหลังคา ไม่ได้เข้าใกล้ด้วยซ้ำไป

พอคว่ำโหลน้ำจะเททิ้ง ปรากฏว่าน้ำไม่ไหลออก และโหลก็หลุดมือ ตกถึงพื้นโหลแตกแต่น้ำก็ยังเป็นรูปโหลอยู่อย่างนั้น กลายเป็นน้ำแข็งไปเลย เถ้าแก่ก็เลยต้องเอาผ้าขาวม้าห่อน้ำกลับบ้าน แกจึงได้เชื่อว่า "เสกแล้ว..ใช้ได้" จะว่าเป็นบุญของเขาก็ได้ ถ้าเป็นเราปล่อยก็ให้ตกแตกไปแล้ว ให้นั่งร้องไห้เสียดายอยู่ตรงนั้น แต่หลวงปู่ท่านเป็นพระที่เมตตาจริง ๆ ท่านก็เลยสงเคราะห์ให้

เถรี
06-07-2010, 11:46
ถาม : ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับอารมณ์การสัมผัสทางกาย ก็เหมือนกับว่าจะเข้าไปอยู่ในโลกหนึ่ง โลกที่ไม่มีประมาณ เป็นความจบ เพราะว่าเท่าที่ผมลองทำวิทยานิพนธ์กับตัวเองดู ตรงนั้นสมบูรณ์กว่าของปัจจุบันเยอะ เพราะของปัจจุบัน อารมณ์คับแค้นใจ อารมณ์ดีใจ เหมือนกับเป็นการปรุงแต่งเสี้ยวความสมบูรณ์ในตรงนั้น
ตอบ : เอาอย่างนี้นะ ธรรมะของหลวงปู่บุดดา ท่านบอกว่า ถ้าหยุดปรุงแต่ง ทุกอย่างก็หยุดหมดดับ

ถาม : แต่ตรงนี้ไม่ใช่ดับ ไม่ใช่เกิด เพราะว่าไม่ใช่ความดับ ไม่ใช่ความเกิด
ตอบ : ตัวนี้แหละนิพพานที่เขาเถียงจะตายกันอยู่ทุกวัน (หัวเราะ) จะว่าดับก็ไม่ใช่ เพราะถ้าดับก็ต้องมีเกิด

ถาม : เป็นความสมบูรณ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติ
ตอบ : ฝรั่งเขาใช้คำว่า เป็นอีกมิติหนึ่ง แต่ทีนี้อีกมิติหนึ่งของเราไม่สามารถอธิบายได้ว่าสภาพเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นปัจจัตตัง คำพูดเราได้แค่สมมติเท่านั้นเอง ของจริงแท้ละเอียดเกินกว่าจะอธิบายได้ แค่อารมณ์ใจที่เราสัมผัสได้ อธิบายเป็นคำพูดก็ไม่ได้แล้ว

พระที่ท่านเป็นสุกขวิปัสสโก จะเป็นตัวอย่างตรงนี้ได้ชัดที่สุด เพราะว่าท่านไม่เคยเห็นว่ามีนรก มีสวรรค์ มีนิพพาน แต่ทำไมท่านจึงรู้ ? เพราะว่าทันทีที่จิตเข้ามาถึงตรงนี้ ทุกอย่างหยุดหมด ดับหมด ความสมบูรณ์พร้อมทำให้รู้ว่านี่แหละนิพพาน ตอนนั้นความเป็นนิพพานจะเต็มอยู่ในกายในใจของท่านเองแล้ว รู้เลยว่าตายตรงนี้ก็นิพพานตรงนี้ ท่านถึงได้เกิดความเชื่อมั่นยิ่งกว่าเชื่อมั่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรเลย ก็เพราะกำลังใจที่หยุดหมด ดับหมด เข้าถึงความสมบูรณ์พร้อมตรงจุดนั้นแล้ว ทุกอย่างจะบอกตัวเองได้ครบถ้วนเลย ว่าอะไรเป็นอะไร

ถาม : คนที่เดินทางถึงตรงนั้นได้ ก็จะมีผลของความชัดเจนในการเข้าใจตนเอง เข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริงที่ยอมรับ
ตอบ : พระพุทธเจ้าทรงสรุปว่า เป็นเรื่องของอินทรีย์ ๕ พละ ๕
ศรัทธา ความเชื่อถือ มั่นใจในคุณของพระรัตนตรัย
วิริยะ พากเพียรทำเพื่อให้ถึงจุดหมายนั้น
สติ สมาธิ สองอย่างที่ประคับประคองซึ่งกันและกัน
สุดท้ายปัญญาก็เกิด ในเมื่อมองเห็นแล้วว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากการกระทำ..ก็หยุด เลิกทำ

เถรี
06-07-2010, 12:56
ถาม : แล้วสติ ธัมมวิจยะ และอุเบกขาละครับ ?
ตอบ : อันนั้นเป็นส่วนของโพชฌงค์ หลักธรรมคนละส่วนกัน แต่จริง ๆ ก็เอามาใช้รวมกัน เพราะว่าในส่วนของสติก็จัดอยู่ในสติของพละ ๕ เหมือนกัน ในส่วนของธัมมวิจยะก็จัดอยู่ในปัญญาของพละ ๕

ถาม : สติ ธัมมวิจยะ อุเบกขา ที่เป็นอัตโนมัติ พอดีผมไปกราบหลวงปู่ที่ขอนแก่น ท่านก็พูดสั้น ๆ แค่นี้
ตอบ : ท้ายสุดทุกอย่างก็ต้องหยุด ตัวหยุดที่ดีที่สุดก็คือ อุเบกขา ไม่ไปยินดียินร้ายกับทุกอย่าง ในเมื่อไม่ไปยินดียินร้าย ก็ไม่ไปปรุงแต่งเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างก็จะจบ เพียงแต่ว่าต้องเป็นอุเบกขาเพราะปัญญาเห็นจริง ไม่ใช่อุเบกขาเพราะสภาพจิตโดนสมาธิกดไว้ ถ้าอุเบกขาเพราะสภาพจิตโดนกดไว้ด้วยสมาธิ ถ้าสมาธิคลายตัวเมื่อไรก็กำเริบอีก

เถรี
06-07-2010, 17:38
ถาม : ขอให้ช่วยอธิบายคำว่า วิญญาณทางใจ (มโนวิญญาณ) เกิดขึ้นดับไป
ตอบ : ก็มีสภาพเหมือนกับตัวอื่น เพราะว่าจะต้องมีตัวรับรู้ ถ้าไม่มีตัวรับรู้ สิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาไม่ว่าจะดีจะชั่วก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นในส่วนของมโนวิญญาณก็เป็นส่วนหนึ่งในตัวของเวทนาที่เกิดจากผัสสะ ก็คือว่า เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นจิตใจก็ครุ่นคิด

ถ้าหากเราไปหยุดสาเหตุเสีย ไม่คิดต่อ จิตก็ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งขึ้นมาได้ พอถึงเวลาวาระนั้น ทุกอย่างก็ต้องหยุดลง ดับลง ตัววิญญาณที่รับรู้อะไรต่าง ๆ เมื่อเราหยุดการปรุงแต่งขึ้นมา ไม่มีอารมณ์ให้เสวย ก็ต้องดับของมันไปเอง

เถรี
06-07-2010, 17:42
ถาม : ผมอ่านหนังสือกำลังภายใน คนสมัยก่อนเขามีลมปราณควบคุมกระบี่
ตอบ : เขาจะแบ่งออกเป็นภายนอกและภายใน คนส่วนคน ปราณส่วนปราณ ก็เหมือนกายกับจิต สองอย่างประสานเข้ามา ก็จะหนุนเสริมช่วยเหลือกัน ถึงเวลาแล้วกลายเป็นว่าคนช่วยหนุนเสริมปราณ ปราณช่วยหนุนเสริมคน

ก็เหมือนกับกายของเรา ถ้าปฏิบัติก็หนุนเสริมจิตให้แข็งแกร่งขึ้น กำลังจิตที่แข็งแกร่งก็จะหนุนเสริมสภาพร่างกายของเราให้สามารถที่จะตรากตรำลำบากได้มากขึ้น

ถาม : แล้วคำว่าพลังชีวิต ?
ตอบ : พลังชีวิตตรงนั้นก็คือปราณ พวกกระแสต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายของเรา พลังงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากสภาพร่างกายที่เป็นส่วนหนึ่งของชีววิทยา เป็นปกติของธรรมชาติที่สร้างเสริมขึ้นมาอย่างนั้น

ถ้าไม่มีสิ่งเข้าไปเสริม ก็จะหยุดชะงักขาดตอนลง ก็คือตาย ฉะนั้น..ก็จะเห็นว่ามีการเกิดอยู่เสมอ ๆ (สันตติ) เพื่อทดแทนการดับที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นว่าเวลาพลังงานหมด เราก็เติมอาหารเติมน้ำให้ร่างกาย

ถาม : พวกทะเลที่เป็นพลังชีวิต ถ้ามีเยอะ มันก็จะรองรับอะไรที่เป็นพลังงานลมปราณได้ดี
ตอบ : มันสำคัญตรงว่าค้นไปถึงไหม? เขาเพิ่งออกข่าวไม่นาน โยคีอายุ ๘๓ ปี เขาไม่ได้กินอะไรมา ๖๐ กว่าปี ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็เพราะเขาไปค้นพบทะเลลมปราณ พอถึงเวลาแล้วมันสามารถที่จะปรับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ในร่างกายของมัน ลักษณะอย่างนี้มันก็เท่ากับว่าปรับสมดุลในธาตุสี่ ส่วนไหนขาดก็เติม ส่วนไหนเกินก็ตัดออก มันก็จะพอเหมาะพอดีอยู่ได้ไปเรื่อย ๆ โดยที่คนอื่นไม่เห็นว่าเขาเสริมเข้าไปตรงไหน

แต่จริง ๆ ก็คือ ดึงเอาธาตุสี่ที่รอบ ๆ ข้างของเราเข้ามา ตัวนี้จะว่าไปแล้วมันเป็นหลักวิชาขั้นต่ำเสียด้วยซ้ำ เพราะว่ามันทำให้เขายึดติดกันอยู่ ตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลเป็นต้นมาเขาก็ติดอยู่แค่นั้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังติดอยู่ ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นไปมากกว่านั้นได้

ถาม : พลังงานที่มันไหลเวียนเข้า ในโครงต่าง ๆ ของร่างกาย พอมีการเคลื่อนไหว มันเป็นความสุขดี ๆ นี่เอง
ตอบ : มันเป็น มันก็เหมือนความสุขของสมาธิ เพียงแต่ว่าอันนี้มันกายโปร่ง พอกายโปร่งขึ้นมาใจมันพลอยโปร่งด้วย ความสุขก็เกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าเป็นสุขในสมาธิ เป็นสุขที่ยังมีอามิสอยู่

เถรี
06-07-2010, 17:48
ถาม : กำลังใจบางเรื่องนั้นเป็นในลักษณะของจาโค ปฏินิสสัคโค แต่กำลังใจบางเรื่องไปลงที่ตัวยอมรับ แต่ในขณะที่หนูเห็นว่ามีการยอมรับว่าเป็นธรรมดา เราก็ยังเห็นว่า ในช่วงที่เรายอมรับนั้นก็มีความยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งว่าเรายอมรับ คือ ตรงนี้ท้ายสุดเราก็ต้องไปปล่อยวางอารมณ์ยอมรับของเราตรงนี้ด้วย ให้เป็นสักแต่ว่าเป็นการยอมรับ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ท้ายสุดก็จะเป็นปฏินิสสัคโค ต้องสลัดออกไป จาโค ละเสียวางเสีย

ถ้าละแล้วยังดื้อ ยังกอดเราไม่ยอมปล่อย ก็สลัดไป ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้มีดใช้อาวุธมาตัด อะไรที่ไม่ดื้อมาก ยอมปล่อยแต่โดยดี ก็จาโค..กองไว้ตรงนั้น

จึงได้มีละ มีตัด แล้วแต่สภาพของกิเลส แล้วแต่ความดื้อของกิเลสว่ามีมากมีน้อย

ถาม : จิตกับอทิสมานกายเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากจะดูให้อยู่ในสภาพที่เป็นจิตก็เป็นจิต จะดูให้เป็นสภาพอทิสมานกายก็เป็นอทิสมานกาย แต่จริง ๆ แล้ว คือตัวเดียวกัน สำคัญว่าเราเลือกดูแบบไหน หรือชำนาญแบบไหน

ถาม : อย่างเวลาหนูเห็นอทิสมานกายของตัวเอง เวลาที่เห็นอทิสมานกายก็ยังมีความรู้สึกว่า แม้กระทั่งอทิสมานกายนั้นก็ยังไม่ใช่เรา
ตอบ : ถ้าไปยึดแม้แต่นิดเดียวก็ไปไม่รอด จึงต้องสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้

เถรี
06-07-2010, 17:57
ถาม : อทิสมานกายคืออะไรครับ ?
ตอบ : กายที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อปกติ

ถาม : ถ้าเราใช้มโนฯ เห็นอีกกายหนึ่ง นั่นคืออทิสมานกายหรือเปล่า ?
ตอบ : ใช่..ตัวข้างในนั่นแหละอทิสมานกาย จะใช้ไปไหนก็ได้ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีความสามารถระดับเดียวกันก็จะมองไม่เห็น

ถาม : แล้วอย่างเวลาที่เราลืมตาหลับตา แล้วเห็นนิมิตเกิดขึ้นอย่างชัดแจ๋ว เกิดจากอทิสมานกายของเราหรือวิญญาณ ?
ตอบ : เป็นมโนวิญญาณ คือ เครื่องรู้ของใจ

ถาม : แต่ก็มีสายตาเราเป็นเครื่องครอบครองอยู่
ตอบ : ตรงนี้แหละที่แกะยากสุด ๆ เพราะมี "ตัวกู" แทรกอยู่ทุกซอกทุกมุมเลย ค่อย ๆ แกะ ค่อย ๆ แคะ คนเห็นทางก็ไม่ยาก คนไม่เห็นทางนี่สิยาก (หัวเราะ)

ถาม : ผมว่าผมต้องไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ไปอยู่ป่า อยู่วัด ผมอยู่บ้านไม่ได้หรอก
ตอบ : อยู่กับชาวบ้านเขาก็หาว่าเราบ้า (หัวเราะ)

เถรี
07-07-2010, 08:23
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานเจอหลวงพี่นันต์(หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง) ท่านบอกว่า อาตมาไม่ยอมแก่เลย กี่ปีก็อยู่แค่นี้ ส่วนท่านเองบ่นว่า ตัวท่านทั้งอ้วนทั้งหงอก ดูไม่ได้

พอเจอหน้าหลวงพี่ทีป(หลวงพ่อพระใบฎีกาประทีป อตฺถทสฺสี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าซุง) ท่านก็ว่า "เฮ้ย..กูจะตายแล้วนะ" ถามท่านว่า "เป็นอะไรละพี่?" พี่เขาบอกว่า "มะเร็งแดกว่ะ..!" เป็นตรงคอขึ้นเป็นก้อน โตขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยบอกว่า "มันไม่ได้โตขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้นนะพี่ แต่มันจะปวดขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะของมันด้วย.."

คุยกับท่านว่า "ที่ผมกระโดดใส่งานทุกอย่างที่ขวางหน้าก็เพราะอย่างนี้ พวกเราตามหลวงพ่อมานาน เป็นทหารไปเที่ยวรบราฆ่าฟันเขาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ผลกรรมปาณาติบาต ก็จะมาในเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วย คราวนี้ผมยอมลำบากกาย ด้วยการวิ่งใส่งานทุกอย่างที่ขวางหน้า ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ผมก็รู้ว่าผมรับได้ แต่อยู่ ๆ ถ้าเป็นกรรมที่ทำให้เกิดโรคโผล่มาแบบนี้ ไม่รู้ว่าผมจะรับไหวหรือเปล่า?"

ฉะนั้น..วิ่งใส่ไว้ก่อนเลย อย่าให้กรรมวิ่งมาหาเรา แต่อาตมาได้มาเลเรียมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ แล้ว มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ แล้ว โรคอื่นจึงยังไม่เป็น...

เถรี
07-07-2010, 08:25
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาส่งแม่ชีที่วัดท่าขนุน ๒ รูป ไปปฏิบัติแบบพองหนอยุบหนอ ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี เป็นระยะเวลาสามเดือน

มีแม่ชีอยู่ท่านหนึ่งบอกว่าขอต่ออีก ๗ เดือน เพราะว่าสองเดือนแรกฟุ้งซ่านตลอด ใจไม่ยอมลงให้เขา คิดอยู่อย่างเดียวว่าของที่เราทำมาดีกว่า แต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ท้ายสุดเลยยอมตามเขา กลายเป็นว่าดี ช่วงปรับกำลังใจทุกคนมักจะเป็นอย่างนี้"

เถรี
07-07-2010, 10:39
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "น้องบัว (สโรชา นุตกุล)เขาไปคว้าทุนเรียนดีจากเมืองจีนอีกแล้ว เด็กของเมืองจีนเองยังสู้ไม่ได้เลย อย่างดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) เขาจบปริญญาโทพุทธศาสนาที่ญี่ปุ่น แล้วไปจบปริญญาเอกพุทธศาสนาที่เยอรมัน

เขาไปญี่ปุ่นต้องไปเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อน พอความรู้ทางภาษาได้รับการทดสอบว่าคุณสามารถเรียนระดับนี้ได้ ถึงไปเรียนปริญญาโทแล้วเขาก็ไปได้ที่หนึ่งของญี่ปุ่นมา ตอนเรียนปริญญาเอกนี่โปรเฟสเซอร์เขายืนยันว่าทางเยอรมันความรู้ตรงนี้แน่นกว่า โดยเฉพาะพวกเอกสารหลักฐานอะไรต่าง ๆ ที่เอาจากทางเอเชียไป เขาเอาไปขายเป็นวัตถุโบราณ ทางด้านเยอรมันจึงมีให้ค้นมากกว่า เขาก็เลยต้องไปเริ่มต้นเรียนภาษาเยอรมันใหม่ แล้วก็ไปจบด็อกเตอร์ที่เยอรมัน

ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่า คนเราเรียนเกินสองภาษาก็แย่แล้วนะ แล้วดันไปเก่งกว่าเจ้าของภาษา แสดงว่าจะต้องมีสาเหตุ ก็มาสรุปลงตรงที่ว่า ถ้าหากว่ามีพื้นฐานสมาธิที่ดีแล้ว เรื่องการเรียนทุกอย่างไม่มีอะไรยาก"

เถรี
07-07-2010, 15:48
ถาม : สมาธิก็แค่ความคิด ?
ตอบ : ไม่ใช่...สมาธิส่วนสมาธิ ความคิดส่วนความคิด ความคิดนั้นเป็นทั้งดีและไม่ดี เราจำเป็นที่จะต้องปรุงแต่งสมาธิขึ้นมา เพื่อเอามาเป็นกำลังในการตัดกิเลส แต่ว่าสมาธินั้นก็ยังนับเป็นการปรุงแต่งของจิตอยู่

ถาม : การปรุงของสมาธิ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่า ปรุงแล้วเราจะเอาไปใช้งานอย่างไร ไม่ใช่คิดขึ้นมา แต่บังคับใจตัวเองให้เป็นอย่างนั้น คือปรุงลักษณะบังคับให้เป็น เราต้องเข้าใจคำว่า จิตสังขาร มีการปรุงแต่งของใจขึ้นมา

อย่างเช่นเราเห็นสิ่งนี้ (หยิบรูปปั้นเต่าขึ้นมา) ก็สักแต่ว่าเป็นวัตถุ เป็นรูป แต่ถ้าไปนึกปรุงแต่ง เขาแกะเป็นรูปเต่านี่นา นึกต่อไปอีกว่า ถ้าเราเอาเต่าไปแกงก็อร่อย เวรกรรมก็เริ่มโผล่แล้ว อีกคนหนึ่งคิดว่า เต่าน่าสงสาร เดี๋ยวเราจะซื้อไปปล่อย อันนี้ก็กลายเป็นบุญขึ้นมา

อันหนึ่งเป็นบุญ อันหนึ่งเป็นบาป จิตเราปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้น ไปได้เรื่อยแหละ แล้วแต่ว่าจะไปข้างไหน เพราะฉะนั้นถ้าหากเราสักแต่ว่าเห็น ไม่ปรุงแต่งต่อ ทุกอย่างก็จะจบลงแค่นั้น แต่ถ้าเราปรุงเมื่อไร ก็จะเกิดรัก โลภ โกรธ หลง กลายเป็นกรรมทันที ก็เลยกลายเป็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในปัจจุบันทุกวันนี้ ที่เราหนีไปไหนไม่รอด ก็เพราะความคิดของตัวเองทั้งนั้น ถ้าหยุดคิดได้เสียอย่าง กรรมก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

ถาม : แล้วถ้าเราเห็นเต่าขึ้นมา ก็รู้ว่าเต่าเขาเกิดมาก็ทุกข์เหมือนเรา ยังเป็นการปรุงแต่ง ?
ตอบ : นั่นเป็นตัวปัญญา ตัวปัญญาที่รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง แต่ถ้าหากรู้ไปกว่านั้น ก็คือสักแต่ว่าเป็นรูปที่ประกอบขึ้นมาจากธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เราและเขาก็ทุกข์เหมือนกัน ตราบใดที่ยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ก็ยังจมอยู่ในกองทุกข์นี้เหมือนกัน

ฉะนั้น..เขาเท่ากับเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา ที่เราควรจะสงเคราะห์ ควรจะเมตตาเต็มความสามารถของเราที่จะทำได้ ก็เท่ากับว่าทุกอย่างกลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีใครเป็นศัตรูกับใคร และขณะเดียวกันก็ไม่ไปสร้างกรรมกับใคร

ถ้าหากว่าสร้างก็สร้างแต่กรรมดีเท่านั้น ก็จะมีแต่ส่วนของทำดีละชั่ว ทำดีละชั่วไปเรื่อย ท้ายสุดพอทำถึงที่สุด ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา ก็จบแล้ว ตอนท้ายจะเหลือแค่ว่า รู้ว่าดีจึงทำเพราะทำแล้วดี รู้ว่าชั่วก็ละเพราะรู้ว่าชั่ว ไม่เกาะทั้งดีและชั่วแล้ว

เถรี
07-07-2010, 15:52
ถาม : จะสรุปอริยสัจสี่เป็นแค่ทุกข์กับสุขได้ไหมครับ ?
ตอบ : สุขไม่ได้มีอยู่ในอริยสัจ

ถาม : นิโรธกับมรรคเป็นส่วนของด้านสุข ?
ตอบ : คุณจะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องบอกว่าเป็นส่วนของเหตุกับผล ในเมื่อเรารู้ว่าเหตุนี้ทุกข์ เราละเหตุนั้นเสีย ทุกข์ก็ไม่เกิด ในเมื่อทุกข์ไม่เกิดก็แปลว่าเราสร้างเหตุแห่งสุขขึ้น ในเมื่อสร้างเหตุสำเร็จสุขก็เกิด

ดังนั้น..จะเป็นเรื่องของเหตุกับผลทั้งคู่ เพียงแต่ว่าในเรื่องของอริยสัจจริง ๆ แล้ว สำคัญที่สุดก็คือ เห็นทุกข์แล้วก็วาง ถ้าไม่เห็นก็ไม่รู้จะวางอะไร เห็นแล้วถ้ายังแบกอยู่ ก็ยังทุกข์อยู่ต่อไป

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้หมดแล้ว ท่านสอนไว้ง่ายมาก ง่ายจนเรามองข้ามไปหมด จนว่าท่านไม่ได้กล่าวถึงอริยสัจหรือปฏิจจสมุปบาทอะไรเลยหรือเปล่า? ความจริงไม่ใช่ ท่านว่าไว้เต็ม ๆ เพียงแต่ไม่ได้อ้างถึงศัพท์พวกนี้เท่านั้น

เถรี
07-07-2010, 15:54
ถาม : ตัวที่รู้เห็นวิญญาณ การเกิดดับ คือตัวพุทโธ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะว่าอย่างนั้นก็ใช่

ถาม : ตัวนี้จะกล่าวได้ไหมครับว่าคือพระนิพพาน ?
ตอบ : คุณสามารถที่จะยัดพระนิพพานเข้าไปในทุกสิ่งได้เลย เพียงแต่จะทำถึงหรือเปล่า ? การปฏิบัติถ้าเรามัวแต่มาเรียกว่ามันคืออะไร ก็เสียเวลา สำคัญตรงที่ลงมือทำเลย

เถรี
07-07-2010, 19:32
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนไปเลี้ยงพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี แม่ชีที่เขาอยู่ที่นั่นมาสามเดือน พอเราไปเยี่ยมเขาก็ขอออกมาคุยด้วย

เขาบอกว่ากิเลสมันสุดยอดของการหลอกเลย พอถึงเวลาอยู่ในห้อง ปฏิบัติไม่ได้ออกไปไหน กิเลสมันดิ้นอยู่นั่นแหละ สองเดือนกว่ามันไม่ยอมเลย สู้กับมันมาตลอดจนแทบจะหมดแรงกายแรงใจ

เขาบอกว่าถึงเวลามันออกไปไหนไม่ได้ เพราะเขามีระเบียบบังคับ ตัวเองก็ต้องไปยืนหนอ..ยืนหนอ อยู่ตรงหน้าต่าง ขอให้ได้มอง ได้เห็นก็ยังดี แล้วมันก็ปรุงแต่งไปสารพัด ปวดท้องจนปัสสาวะจะราดอยู่แล้ว ขอไปห้องน้ำหน่อยเถอะ

จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจไปห้องน้ำหรอก แต่ขอให้ไปเจอ ไปเห็นสักหน่อย พอเดินไปมันหายปวดปัสสาวะเลย กิเลสมันหลอกขนาดนั้น

ถ้าหากเราปล่อยให้กิเลสมันอด มันจะดิ้นสุดชีวิตเลย มันต้องการอาหารของมัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มีอาหารให้มัน เดี๋ยวมันจะตาย

ก็อยู่ที่เราว่าจะต้องสร้างตบะเผาให้มันตายให้ได้ มันดิ้นเราอย่าไปเชื่อมัน ส่วนใหญ่เราไปเชื่อมัน พอมันดิ้นจะตาย ๆ เราก็จะตายตาม เลยไปยอมให้มัน พอมันแข็งแรงก็กลับมาฟัดเราใหม่ ส่วนใหญ่พวกเราเป็นอย่างนี้ เมตตากิเลสมัน"

เถรี
07-07-2010, 19:37
"แม่ชียืนมองเพราะตาอยากเห็นรูป สมัยที่อาตมาฝึกใหม่ ๆ ถ้าฟุ้งซ่านจนเอาไม่อยู่ ก็จะไปนั่งอยู่หน้าพระประธาน ทำอะไรไม่ได้ก็นั่งมอง คือ เรานั่งอยู่ตรงนั้น กายเราทำชั่วไม่ได้อยู่แล้ว วาจาเราพูดชั่วไม่ได้อยู่แล้ว ก็เหลือแต่ใจ ถ้าคิดชั่วก็คิดไป เราได้กำไรสองในสาม เอาเท่านี้

ในเมื่อไม่มีทางจะสู้แล้วก็ต้องใช้วิธีหน้าด้าน นั่งมองพระ มีปัญญาคิดชั่วก็คิดไป แต่ข้าจะไม่ไปไหน ดูว่าใครจะดื้อกว่ากัน"

เถรี
07-07-2010, 19:42
ถาม : วันหนึ่งไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยค่ะ หลับก็เหมือนไม่ได้หลับ
ตอบ : นอนให้ร่างกายได้พักผ่อน จำเป็นที่จะต้องนอน แต่สติที่กำหนดรู้จะตื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราระมัดระวังได้ว่า แม้แต่กิเลสจะเข้ามาตอนหลับ เราก็จะรู้ จะได้ระวังป้องกันได้ทัน

พอจิตจะปรุงแต่ง สติตัวรู้ก็เตือนทันที เราก็จะหยุด แม่ชีเขาก็เริ่มถึงตรงนี้แล้ว บอกแม่ชีเขาสังเกตว่า ตอนที่เขาจะหลับ จิตจะเหมือนกับดวงไฟ ค่อย ๆ ถูกกดหรี่ลง...หรี่ลง ถ้าเลยจุดนี้ ก็จะหลับเลย แต่ถ้าหากเราสามารถล็อกให้อยู่ตรงจุดนี้ จะหลับจะตื่นเราจะรู้เท่ากันหมด

ถ้าหากมีเรื่องที่จำเป็น เราก็จะคลายกำลังใจออกมารับรู้ พอหมดเรื่องที่จำเป็นก็จะกลับเข้าไปสู่จุดเดิม ถ้าอยู่ในสภาพนี้พักผ่อนน้อยก็เหมือนพักผ่อนมาก แต่ว่าควรจะตั้งเวลาไว้อย่างน้อย ๖ ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นร่างกายเราโทรมมาก เดี๋ยวจะไปไม่ไหว

ถาม : มีเหมือนกันว่า มีคนมาช่วยเตือน พอเผลอจะตัดหลับแค่ ๑ นาทีเท่านั้น ใครก็ไม่รู้มาทับหน้าอก ก็ต้องตื่นขึ้นมา ช่วยเตือนให้ว่า ห้ามตัดหลับ ต้องทำไปต่อ
ตอบ : บอกเขาไปว่า ขอนอนบ้างสิ

เถรี
07-07-2010, 19:46
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ตะกรุดลูกอมโลกธาตุของท่าน ใช้แผ่นทอง แผ่นนาก หรือแผ่นเงิน ยาว ๗ ใบมะขามเรียง (ประมาณ ๗ ซม.) จารอักขระเสร็จแล้วก็ม้วน ที่ต้องยาว ๗ ใบมะขามเรียง ก็คือถือเคล็ดธรรมจากโพชฌงค์ ๗

ลูกศิษย์ท่านเอาไปใช้ โดยอมเข้าไปในปาก พอฉุกเฉินท่านให้กลืนได้เลย แล้วก็ไม่ต้องกลัว ถึงเวลาก่อนนอนก็ปูผ้าขาวไว้ข้างตัว ตื่นเช้าขึ้นมาลูกอมจะออกมาอยู่ที่ผ้าขาวเอง และเป็นอย่างนั้นทุกคน หลวงปู่ก็ไม่อยู่สอนเราเสียด้วย

คนเขาจะไปเรียนวิชากับท่าน ต้องเพ่งเทียนจนกระทั่งขาด ถ้าหากไส้เทียนไม่ขาด ก็ไม่สำเร็จ ถ้าเพ่งเทียนขาดได้จึงจะไปเรียนกับท่านได้"

ถาม : เทียนขาดได้อย่างไร ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสมาธิของเราเอง ตั้งใจให้ขาดอย่างเดียวก็พอ

เถรี
07-07-2010, 19:51
ถาม : สมาธิถ้าทำแล้วจะไม่ขี้เกียจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถปรับได้เท่าไร ถ้าหากยังไม่สามารถปรับเป็นสมาธิใช้งานได้ จะรู้สึกไม่อยากเคลื่อนไหว คนที่ไม่อยากเคลื่อนไหว เอาแต่นั่งนิ่ง ๆ บางทีก็โดนคนเขาว่าขี้เกียจเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ขี้เกียจหรอก แต่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิอยู่ แต่ถ้าหากขี้เกียจทำงานโดยอ้างว่าจะปฏิบัติ อันนี้ใช่เลย..!

ถาม : ตอนอยู่เยอรมันฟังธรรมจากเว็บครับ ตั้งใจทำสักเดือนสองเดือนก็เละอีก
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ

ถาม : หลายรอบมาก เป็น ๆ หาย ๆ
ตอบ : เดือนหนึ่งเขาล้มเป็นร้อยเป็นพันครั้ง บางทีก็อาจจะหลายแสนรอบ ของเราแค่หลายรอบ

ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็ห้ามหยุด..!

เถรี
07-07-2010, 19:58
ถาม : กรรมฐานสี่สิบกอง ที่เราเลือกมาปฏิบัติครั้งแรก ถ้าทำไป ๆ แล้วรู้สึกว่ายังไม่ไปไหน แล้วเปลี่ยนกองถือว่าเป็นการโลเลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่โลเล แต่จะเหมือนกับที่เคยเปรียบว่า ขุดบ่อแต่ไม่ได้น้ำ สมมติมีน้ำอยู่ในระดับ ๑๐ วา พอขุดไป ๆ ถึง ๕ วา ไม่ถึงตาน้ำสักที เราก็ย้ายที่ไปขุดใหม่ เท่ากับเราเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ถาม : ถ้าเลือกมาสัก ๒ กองแล้วทำ
ตอบ : ๒ กองที่คุณเลือก หรือกองเดียวที่คุณเลือก ให้เป็นอานาปานสติไว้ก่อน ๑ กอง ซึ่งกองอื่นเลือกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก กรรมฐานทุกกองไปไม่รอด

ถาม : แล้วถ้าวันหนึ่งจับภาพพระ อีกวันหนึ่งจับกสิณ
ตอบ : เจริญแน่..! ทำแบบนั้นอีกกี่ชาติก็ได้แค่ทำ..!

ถาม : เปลี่ยนไปทุกวัน
ตอบ : ชาติหน้าตอนเย็น ๆ อาจจะได้..!

ถาม : ถ้าทำอย่างนี้ชาติหน้าตอนเย็น ๆ จะได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าวันนี้คุณจับกสิณ แล้วคุณก็เลิก..ปล่อย ถ้าสมาธิคลายตัวก็ไหลตามกิเลส พอรุ่งขึ้นแทนที่คุณจะมาจับกสิณเพื่อว่ายทวนกิเลสต่อ แต่คุณไปจับอีกกองหนึ่ง แล้วคุณก็ปล่อยและก็ไหลตามไป พออีกวันคุณก็กลับไปทำอีกกอง

ลองนึกดูก็แล้วกัน คนไหลตามกิเลสไปสองวัน แล้วว่ายกลับมา จะหาความก้าวหน้าได้อย่างไร ? ขาดทุนสะสมไปเรื่อย รอวันล้มละลาย..!

ถาม : แล้วถ้าทำทุกวัน อย่างละกองวันละชั่วโมงละครับ ?
ตอบ : ๒๔ ชั่วโมงยังไม่รอดเลย..!

ตอนนี้ค่าแรง ๒๕๐ บาท ก็ตีเสียว่าชั่วโมงหนึ่ง ๑๐ บาท สิบบาทพอกินไหม ? กินซาละเปาลูกหนึ่งก็หมดเงินแล้ว

เรื่องของการปฏิบัติ เลือกกรรมฐานกองใดกองหนึ่งแล้วทำให้ถึงที่สุดไปเลย ถ้าหากถึงที่สุดแล้วกองอื่นจะเป็นของง่ายเพราะกำลังที่ใช้เท่ากัน เปลี่ยนแค่วิธีการนิดเดียว เพราะฉะนั้น..อย่าหลายใจ กรรมฐานไม่ใช่วิชาทางโลก ที่จะได้สะสมหน่วยกิตได้ เขาต้องการความจดจ่อต่อเนื่องตลอด คุณไปสะสมหน่วยกิตก็ได้เหมือนกัน ได้แค่ในส่วนอานิสงส์ที่เป็นกุศลกรรม แต่ความสำเร็จมาถึงยาก

เถรี
07-07-2010, 20:07
ถาม : พระที่วัดครับ ท่านบวชได้สองเดือน แล้วเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นเทวดา เกรงว่าท่านจะพลาด ผมไม่รู้จะพูดกับท่านอย่างไรดี ?
ตอบ : ถามท่านว่า พรุ่งนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง ? หรือมีโยมคนไหนจะมาวัดบ้าง ? เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ? ใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? ขับรถสีอะไร ?

เสร็จแล้วก็จดไว้เป็นการพิสูจน์ ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ตรงจุดนี้ได้ ก็บอกท่านว่า อย่าพูดดีกว่า เดี๋ยวเสียพระเปล่า ๆ ถ้าเตือนท่านได้บอกท่านว่าอย่าไปสนใจนิมิต เพราะหลงทางมามากแล้ว

เถรี
07-07-2010, 20:11
ถาม : เวลาที่นั่งมองสายน้ำ ถ้าหากได้จังหวะนั่งนิ่ง ๆ แล้วมอง จะรู้สึกเหมือนตัวเองโดนดูดไป แล้วจะลืมทุกอย่างรอบข้างไปได้ เหมือนอยู่ในภวังค์ตัวเองได้ช่วงหนึ่ง ถ้าไม่มีใครมายุ่งอะไร สามารถอยู่ตรงนั้นได้ ๓ - ๔ วัน
ตอบ : ทำบ่อย ๆ ไม่ต้องกินอะไร ๓ - ๔ วัน ประหยัดดี นั่นเป็นสมาธิอย่างหนึ่ง

ถาม : ไม่ได้ตั้งใจทำค่ะ เป็นเอง
ตอบ : ถ้าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ถ้าหากสิ่งรอบข้างอำนวย ก็จะเป็นไปเอง ไม่ต้องไปตั้งใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเรายังตั้งใจอยู่ แปลว่าเรายังอยากอยู่ ถ้าอยากอยู่โอกาสได้มันน้อย ถ้าไม่ตั้งใจแปลว่าไม่อยาก ยิ่งได้ง่ายขึ้น

เถรี
07-07-2010, 20:30
ถาม : ทำไมบางคนถือศีลแปด เขาบอกว่ากินน้ำเต้าหู้ หรือ โอวัลตินได้ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเขาห้าม แต่เป็นฆราวาสกินไปเถอะ เพราะว่าพระเขาให้แยกแยะว่าสิ่งไหนเป็นอาหาร สิ่งไหนเป็นปานะ

โอวัลตินมีส่วนผสมของข้าวมอลต์ มีส่วนผสมของไข่ไก่ที่เป็นอาหาร ถือว่าเป็นอาหาร ส่วนน้ำเต้าหู้ผลิตมาจากถั่วเหลืองที่เขาถือว่าเป็นอาหาร เพราะฉะนั้น..ของพวกนี้ ถึงเป็นน้ำปานะก็ไม่ควรสำหรับพระ ท่านห้ามเฉพาะพระ ไม่ได้ห้ามฆราวาส

ถาม : แต่ถ้าเราไม่กินเลย ก็ถือว่าได้ศีลแปดไปในตัว
ตอบ : ถ้าหากสามารถห้ามได้เลยก็ถือว่าเยี่ยม

ถาม : แล้วครีมกันแดดเล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ที่ท่านห้าม ก็คือ ห้ามแต่งตัวเพื่อไปยั่วเพศตรงข้าม

เถรี
07-07-2010, 21:58
ถาม : ผมไปบวชและลองไปปฏิบัติแบบสายพระป่าครับ เราต้องทำสมาธิแบบไหนจึงจะพอ เพราะผมเคยศึกษาสายหลวงพ่อฤๅษี ท่านบอกว่าเอาเฉพาะเท่าที่เราทำได้ แต่พอไปอีกทางหนึ่ง เวลาที่ปวดขาหรือเวทนารบกวน ท่านบอกว่า แค่ตอนนั่งสมาธิเราปวดขา เราก็ยังทนไม่ได้ แล้วตอนที่เราจะตายแล้วเวทนามารบกวน เราสามารถที่จะพ้นได้หรือ ? อย่างไรจึงจะเรียกว่าพอดีสำหรับเราครับ ?
ตอบ : เราอยากทนไหมละ ?

ถาม : ไม่อยากทนครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากทนก็ไปฝึกอย่างนั้นต่อ ถ้าไม่อยากทนก็ไปฝึกอย่างหลวงพ่อฤๅษี

ถาม : ปลายทางเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยเหมือน การศึกษาปฏิบัติมี ๔ แนวทางด้วยกัน ก็คือ ปฏิบัติยากบรรลุยาก ปฏิบัติยากบรรลุง่าย ปฏิบัติง่ายบรรลุง่าย ปฏิบัติง่ายบรรลุยาก

ถาม : ปฏิบัติง่ายบรรลุง่ายใช้แนวทางไหนครับ ?
ตอบ : ใช้สมาธิสูงสุดที่เราทำได้ ฌานสี่หรือสมาบัติแปดยิ่งดี กดกิเลสเอาไว้ก่อน แล้วบีบคอให้กิเลสตายไปเลย

ถาม : บีบคอให้ตาย ?
ตอบ : กิเลสกับเราหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างเลย พอบีบคอเข้าก็ชักดิ้นจะเป็นจะตาย แล้วคิดว่าเป็นตัวเราเองที่จะตาย เราก็มักจะไปรามือให้ทุกที พอเห็นว่าทำหน้าตาเหมือนเราเข้าหน่อย รีบไปเมตตากิเลสเชียว

โบราณเขาจึงได้บอกว่า ให้ตั้งใจว่าตายเป็นตาย ถ้าไม่คิดอย่างนั้นแล้วกิเลสจะหลอกเราทุกครั้ง

ถาม : แล้วการบีบคอเราใช้อะไรครับ ?
ตอบ : จะใช้สมาธิอย่างเดียวก็ได้ แต่ว่าจะต้องยาวนานพอ จะใช้วิปัสสนาญาณอย่างเดียวก็ได้ แต่ต้องมั่นคงพอ

คราวนี้วิปัสสนาญาณจะให้มั่นคงก็ไม่ได้ เพราะสมาธิมีน้อย สมาธิจะให้กดกิเลสจนตายก็ยากอีกเหมือนกัน เพราะว่าขาดความแหลมคม ก็เลยต้องใช้สองอย่างรวมกัน ก็คือ ภาวนาและพิจารณา ถ้าหากกำลังสมาธิคลายตัว ก็ภาวนาใหม่ สลับไปเรื่อย ถ้ากำลังพอเมื่อไร รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ก็จะวางได้เอง

เถรี
08-07-2010, 00:48
ถาม : พ่อผมเขาเป็นมะเร็งลำไส้ เขาให้ผมมากราบเรียนถามว่ามียาอะไรที่พอจะรักษาโรคมะเร็งได้ ?
ตอบ : ต้องดูว่าอาการถึงระดับไหนแล้ว ถ้าหากยังไม่เกินระยะที่สอง สมุนไพรยังพอประทังได้อยู่

เอาขมิ้นชัน ๑ หัวแม่มือ และหญ้าแพรก ๑ กำมือ ล้างให้สะอาดแล้วตำให้ละเอียด ละลายน้ำปูนใส คั้นให้ได้สัก ๑ ถ้วยชา กินก่อนอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง วันละถ้วย สามวันเท่านั้น

ถาม : ถ้าเกินขั้นสองก็ไม่มีผลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเกินขั้นสองไปแล้ว ก็ทำใจเถอะ กินไปก็ช่วยบรรเทาเท่านั้น รักษาไม่หายหรอก

เถรี
08-07-2010, 10:36
พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ว่า "จริง ๆ แล้วพระที่ไม่ถึง ๕ พรรษา พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้ามไว้เลยว่า ไม่ให้ไปพ้นจากครูบาอาจารย์ แต่ส่วนใหญ่พวกเรามั่นใจตัวเองจนเกินเหตุ ในเมื่อมั่นใจในตัวเองจนเกินเหตุ อยากจะไป..ผมไม่ได้ห้าม แต่ให้เข้าใจว่าเราแบกอาบัติติดตัวไปตลอดเวลา เพราะว่าเราไปฝืนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับเราไม่ได้เอื้อเฟื้อ (เคารพ) ในพระวินัย

ในเมื่อเราต้องอาบัติอยู่ทุกวัน เผลอวันไหนก็ซวยวันนั้นแหละ ที่ไม่ได้ห้าม เพราะจะกลายเป็นว่าผมไปอิจฉาเด็ก ก็เลยปล่อยให้เด็กซวยกันเองตามอัธยาศัย ในเมื่อบวชเข้ามาแล้วไม่ศึกษากันเองว่าจะต้องทำอะไรกันบ้าง อยากจะไปก็ไป

อาตมาก่อนจะบวช ศึกษากติกาการบวชอยู่สองปี เริ่มตั้งแต่อดข้าวเย็นเลย วัดสายของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง เขาเป็นตาผ้าขาวก่อนอยู่ ๑ หรือ ๒ ปี แล้วแต่ศรัทธา แต่ให้ปฏิบัติในศีล ๒๒๗ แบบพระเลย ทีนี้ตัวเองเป็นผ้าขาวปฏิบัติศีล ๒๒๗ ถ้าผิดก็ไม่มีโทษ ถ้าปฏิบัติจนชินมั่นใจแล้วบวชได้ ถึงเวลาเป็นพระก็จะไม่ผิด

แต่พวกเรานี่การฝึกปฏิบัติต่าง ๆ ก็ไม่มี แถมห่างไกลครูบาอาจารย์ก็หนักเข้าไปใหญ่ แทนที่จะดีจะมีแต่เสียมากกว่า"

ถาม : บางท่านเขาก็บอกว่ารู้แล้ว รู้มากกว่าเราอีก เราก็ไม่อยากพูด บางทีก็เป็นเพื่อน ๆ กัน
ตอบ : ตอนนี้คุณเป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้บังคับบัญชา จำเป็นต้องพูด ไม่พูดไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราจะพูดแล้วเขาเชื่อได้ ก็ต่อเมื่อการปฏิบัติของเราต้องเคร่งครัดกว่า ก็จะซวยตรงนี้ เพราะต้องแบกภาระทั้งข้างนอกและข้างใน

เถรี
08-07-2010, 10:38
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เรื่องของพระหรือฆราวาสก็ตาม ถ้าเจ้านายเคยเรียกใช้คนไหนแล้วได้อย่างใจ เขาจะเรียกใช้แต่คนนั้น

อาตมาโดนจนเข็ด บางทีเราก็ต้องทำเป็นไร้สมรรถภาพบ้าง แต่ก็ทำใจไม่ได้อีก เราทำนิดหน่อย ๆ ก็ยังรู้สึกว่าดีกว่าคนอื่นเขา แล้วจะหมดสมรรถภาพได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น..จงเหนื่อยต่อไปเถอะ

พวกเราอยู่ในลักษณะอาสาศึกจนตัวตาย ถ้ายังไม่ตายเขาก็ใช้ไปเรื่อย เป็นกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว ถึงเวลาความสบายเป็นของคนอื่น เป็นผู้น้อยค่อยก้มประนมกร ลำบากก่อนแล้วก็ตายเมื่อปลายมือ..! อาตมาไม่ได้ประชดนะ พูดจากเรื่องจริงที่เจอมา"

เถรี
08-07-2010, 10:40
ถาม : เวลาแม่อธิษฐาน แม่จะอธิษฐานว่า ขอให้คนที่คิดร้ายต่อแม่แพ้ภัยตัวเอง กระแสตอนที่แม่พูด เหมือนจะเป็นความร้อนรน คล้าย ๆ กับแค้น
ตอบ : ไม่เป็นไร กำลังใจของแม่ยังแค่นั้น ปล่อยท่านไปก่อน

ถาม : แล้วเราเป็นลูก เราควรช่วยอย่างไรเพื่อที่จะให้จิตใจของแม่เย็นลงจากความร้อนตรงนี้ได้ ?
ตอบ : จนกว่าเราเองจะเย็นจริง ๆ ถ้าเราเย็นจริงได้เมื่อไร ท่านรับได้ ท่านก็จะตามมาเอง

ถาม : ทำอย่างอื่นไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : พูดกรอกหูท่านไปเรื่อย ๆ ว่า ถ้าเราตั้งใจทำดีจริง ๆ คนชั่วก็แพ้ภัยไปเอง ไม่ต้องไปคิดไปแค้นก็ได้

เถรี
08-07-2010, 10:43
ถาม : เขานั่งคุยกับผมอยู่และนั่งจับลมหายใจไปด้วย เขารู้สึกว่าคำพูดผมเหมือนกับห่างออกไปเรื่อย ๆ เขาควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าสมาธิลึกลงไปเรื่อย พอสมาธิลึกลงไปเรื่อย สิ่งที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ก็จะเบาลงไปเรื่อย

ถาม : ก็คือ ทันทีที่เขามาจับความสนใจที่ผมพูดต่อ ก็จะดึงกลับออกมา
ตอบ : คลายออกมา แต่ถ้าเขาปล่อยยาวออกไป ก็จะเป็นอัปปนาสมาธิ

ถาม : เป็นการแบ่งจิตเป็นสองส่วน ใช่ไหมครับ คือ ส่วนหนึ่งจับลมหายใจ ?
ตอบ : ใช่..แต่ถ้าไม่คล่องตัวก็จะทำยาก เอาสมาธิให้แน่นไปก่อน หลังจากนั้นค่อยมาแบ่งทีหลัง

ถาม : แต่เขาขับรถอยู่ด้วย
ตอบ : ขับรถอยู่ด้วย คนอื่นอาจจะเดือดร้อนได้ คือ ตัวเองไม่เป็นไรหรอก สมาธิที่ทรงระดับฌาน กำลังของฌานป้องกันเราได้ แต่ถ้าเกิดไปชนคนอื่นเพราะร่างกายเราขับรถไม่ได้ คนอื่นก็ซวยไป..!

เถรี
08-07-2010, 10:45
ถาม : เวลาช่วงที่เราจับลมหายใจเข้าออก ช่วงเวลาตรงนั้นยาว คราวนี้เราก็ฟุ้งซ่านอีก พอเราภาวนาว่าพุท ก็ใช้เวลาครู่เดียว แต่เวลาที่เหลือก็ออกไปเยอะแยะได้ คราวนี้เวลาที่เราจับพุทไปด้วย จับลมชีพจรไปด้วยแบบนั้น ก็ถือว่าใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเวลาเหลือ ให้เพิ่มเข้าไปอีก อาจจะเป็นพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๓ ครั้งต่อ ๑ ลมหายใจเข้าก็ได้

ถาม : แล้วเราไปจับชีพจรด้วยจะดีไหมครับ หรือมันเป็นการไปยุ่งกับร่างกาย ?
ตอบ : ถ้าหากไปสนใจอย่างอื่นมาก สมาธิก็จะไม่ทรงตัว นั่นใช้สำหรับคนที่เขาคล่องตัวแล้ว ทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ แล้วเขาไปแบ่งกำลังใจสนใจหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ถ้ายังไม่คล่องเอาทีละอย่างดีกว่า

ถาม : ที่เขาพยายามไปจับอยู่ตรงปลายนิ้ว ปลายเท้า อะไรพวกนั้น สำหรับคนคล่องใช่ไหมครับ?
ตอบ : ไม่คล่องตัวไปทำอย่างนั้นเดี๋ยวก็เพี้ยน..!

เถรี
08-07-2010, 10:48
ถาม : ปฏิบัติมาค่อนข้างตึง ๆ และแน่น
ตอบ : อย่าไปสนใจอาการทางร่างกาย ตั้งใจว่าเราทำความดีอยู่ ถึงจะตายลงไปก็ช่าง สักแต่ว่ากำหนดรู้ไว้ว่าอาการเป็นอย่างนี้

ถาม : ปล่อยไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ถ้ายังมีคำภาวนาใช้คำภาวนา ถ้ายังมีลมหายใจดูลมหายใจ ถ้าไม่มีกำหนดรู้แค่อาการที่เป็นตอนนั้น อย่าอยากให้หาย และอย่าอยากให้เป็น แล้วจะเป็นสมาธิลึกเข้าไปเอง ถ้าเราอยากให้หายจากอาการนั้น หรือภาวนาแล้วอยากให้เป็นอย่างนั้น ก็จะไม่เป็น เพราะเราไปอยาก..!

ถาม : ภาวนาแล้วสว่าง
ตอบ : ช่างมัน..ถ้าเราไปใส่ใจ สมาธิจะเคลื่อน

ถาม : ผมรู้สึกว่าตัวไปตรงสว่าง ๆ ลอยไปตรงนั้น
ตอบ : ไปได้ก็กลับได้ ไม่มีอะไรที่เรารักยิ่งกว่าชีวิตนี้หรอก ไปแค่ไกลไหนก็กลับ ดังนั้น..ถ้าอยากไปก็ไป ไปแล้วพบเห็นอะไรก็ตั้งสติไว้ เจอพระไหว้พระ เจอเทวดาไหว้เทวดา อย่าไปขอหวยก็แล้วกัน

เถรี
08-07-2010, 10:53
ถาม : พระธรรมยุติกับพระมหานิกาย ต่างกันตรงไหน?
ตอบ : ต่างกันโดยนัยของการปฏิบัติ แต่ในเรื่องของหลักศีล สมาธิ ปัญญาไม่มีอะไรต่างกัน ต่างกันอย่างเช่นว่า พระธรรมยุติท่านไม่จับเงิน ถึงเวลาท่านเดินเท้าเปล่าไม่สวมรองเท้า ท่านไม่ฉันนม ฯลฯ

จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นการปฏิบัติของศีลในส่วนของอภิสมาจาร คือ รายละเอียด ใครสามารถทำได้ก็เป็นการดี เพราะว่าจิตยิ่งละเอียดการเข้าถึงธรรมก็ยิ่งสูง แต่ที่พบโดยส่วนใหญ่ ท่านปฏิบัติแล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวท่านดีกว่า กลายเป็นมานะถือตัวถือตน ก็เลยเข้าใจว่าส่วนน้อยที่เข้าใจถูกแล้วปฏิบัติได้ดีเลย แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจก็ยึดมั่นถือมั่น ตัวกูของกูหนักเข้าไปอีก

อย่างเวลาพระมหานิกายไป เขาจะมองเราเป็นแค่เณรเท่านั้น เรามีอายุพรรษามาก เขาก็แค่ให้นั่งเหนือเณร จะไม่มีโอกาสนั่งตามพรรษาตัวเอง ขณะเดียวกัน เราไปหยิบไปจับข้าวของของท่าน บางท่านไม่เกรงใจสั่งเณรประเคนใหม่เดี๋ยวนั้นเลย

อาตมาเองทั้ง ๆ ที่มีฎีกานิมนต์ ไปวัดเขาแล้วขึ้นวัดไม่ได้ เขาไม่ให้ขึ้นศาลาสวดมนต์ เพราะตอนนั้นไปนุ่งห่มสีเหลืองต่างจากเขา ก็เลยต้องนั่งอยู่ข้างล่าง พระที่ท่านนิมนต์เรามาก็หน้าเสีย วิ่งตาลีตาเหลือกมา บอกว่า "ผมไม่นึกเลยว่าเขาทำกับท่านอาจารย์ขนาดนี้" บอกท่านไปว่า "คุณจะไปเดือดร้อนอะไร คุณเห็นหรือเปล่าผมนั่งอยู่กับโต๊ะจีน สวดก็ไม่ต้องสวด ถึงเวลาก็รับปัจจัยเท่าเขา นั่งอยู่ที่โต๊ะจีนแบบนี้รับประกันซ่อมฟรีด้วยว่าไม่อดแน่" แต่คนที่คิดอย่างเราไม่ค่อยมี

เถรี
08-07-2010, 10:57
ถาม : เขาบอกว่า เพศที่สามไม่มีโอกาสบรรลุ ?
ตอบ : ใครบอก ?

ถาม : อ่านหนังสือมา
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่พระพุทธวจนะ อย่าเพิ่งเชื่อ การสร้างบารมีของบุคคล ชาติแรก ๆ จะเริ่มเป็นผู้หญิงก่อน พอบารมีเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอุปบารมีขั้นปลาย ก็จะเริ่มเป็นผู้ชาย อันนี้เป็นไปตามสภาวะเลย

ก่อนที่จะเกิดเป็นผู้ชายก็จะมีนิสัยของผู้ชายปรากฏก่อน ก็จะกลายเป็นหญิงห้าวสาวหล่อ เราก็จะไปเรียกเขาว่า "ทอม" พอข้ามไปเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยบางส่วนของผู้หญิงยังติดอยู่ เราก็ไปว่าเขาเป็น "ตุ๊ด" แต่ความจริงเป็นเรื่องปกติ จะเป็นอย่างนั้นไประยะหนึ่ง

ถามว่าก่อนหน้านั้นไม่มี แล้วทำไมสมัยนี้มี ? ก็เพราะระยะนี้พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเกิดมาก คราวนี้พอพัฒนาไปเรื่อย ๆ พอถึงอุปบารมีขั้นปลาย โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เริ่มมี ฉะนั้น..ที่บอกว่าไม่มีโอกาสเข้ามรรคผลเลย..ไม่ใช่ ต้องดูระยะเวลาและสิ่งที่เขาทำด้วย ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีความแข็งแรงของผู้ชาย และมีความละเอียดของผู้หญิง เพราะฉะนั้น..เขาทำงานได้ดีกว่าเราเยอะเลย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : มีเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่บางส่วนนั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ผู้หญิงบางท่านถึงแม้จะเป็นปรมัตถบารมี แต่ก็ยังต้องเกิดเป็นผู้หญิง ก็เพราะว่าอธิษฐานมาเป็นพุทธมารดาหรือเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์

อีกประเภทหนึ่ง ผู้ชายเกิดเป็นผู้หญิงนั้นเพราะเจ้าชู้ เขาต้องการให้เกิดเป็นผู้หญิง จะได้รู้ว่าช้ำใจอย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็คือเป็นหญิงเลย แม้จะมีนิสัยใจคอรวบรัดเหมือนผู้ชาย แต่ก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

เถรี
14-07-2010, 13:22
ถาม : คนหนึ่งที่เกิดมาบำเพ็ญเพื่อเข้าพระนิพพาน ทำไมใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน?
ตอบ : ระยะเวลายาวสั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกของตน ถ้าสามัญสำนึกรู้สึกว่าพอแล้วก็จะไปเร็ว แต่ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พอก็ไปต่ออีกเรื่อย โดยเฉพาะแต่ละอย่างที่เข้ามาในชีวิต มักจะเป็นสิ่งที่เราชอบ

วันก่อนบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เราจะตั้งหน้าตั้งตาผลักไสไปตั้งแต่แรก ก็จะผ่านได้ง่ายกว่า แต่สิ่งที่เราชอบ เราไม่อยากจะผลักไส ก็กลายเป็นว่าต้องใช้ สติ สมาธิ ปัญญา ที่สูงกว่ามาก ไม่อย่างนั้นก็หลุดพ้นไม่ได้

เพราะฉะนั้น..แต่ละอย่างที่กิเลสเอามาเป็นตัวถ่วงเรา เป็นของที่เราชอบทั้งนั้น แต่เราชอบแค่ไหนก็ต้องตัดใจ เช่น ไม่กิน ถ้าไม่กินได้อย่างอื่นก็เลิกได้เหมือนกัน เพราะใช้กำลังใจเท่ากัน

เถรี
14-07-2010, 13:39
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : การปฏิบัติไม่มีทางลัด มีแต่ทางตรงและลำบากทุกอย่าง เพียงแต่ว่าถ้าหากเราต่อสู้ ก็ไม่มีอะไรเกินความสามารถ ยกเว้นว่าเราไม่สู้เท่านั้น

ในเมื่อเราเห็นว่านี่เป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ ก็ต้องทุ่มเทจริงจัง

รักษาศีลก็ต้องรักษาจริง ๆ ทำสมาธิก็ต้องทำสมาธิจริง ๆ ใช้ปัญญาพิจารณาก็ต้องพิจารณาจริง ๆ ฉะนั้น..ต้องทุ่มเทกับมัน ทำเล่น ๆ ไม่ได้ อันนี้เป็นการศึกการสงคราม ทำเล่นเมื่อไรก็ตายฟรี..!

เถรี
14-07-2010, 13:46
ถาม : ผมเคยฝึกมโนฯ ครึ่งกำลังที่ซอยสายลม ตอนนี้ปฏิบัติภาวนาพุทโธ แต่ว่าภาวนาพุทโธแล้วมีแสงสว่างอะไรมา ท่านก็ให้ทิ้ง ให้ภาวนาพุทโธแบบเร็ว ๆ
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราจะเอาแบบไหน ถ้าพุทโธต้องเอาพุทโธ แต่ถ้านะมะพะธะแล้วเห็นแสงสว่างมาต้องไปกับแสง ขึ้นอยู่ที่เรา เราต้องเลือกให้แน่นอนสักอย่าง

ถ้าทำกรรมฐานหลายอย่าง แล้วยังไม่ถึงที่สุดจริง ๆ มักจะไม่ได้ผล ต้องทำให้ได้ผลไปทีละอย่าง

เถรี
14-07-2010, 13:48
ถาม : นั่งสมาธิแล้วบังเอิญเกิดนิมิตกสิณ จะจับนิมิตนั้นต่อไปหรือว่าต้องทิ้ง ?
ตอบ : ลองไปบังเอิญใหม่อีกที ถ้าทำได้เลยเราก็จับนิมิตต่อไป แต่คราวนี้จะยากตรงที่เราไปอยากได้ ถ้าเราทำแล้วเราไม่อยากได้..เดี๋ยวก็มาอีก ถ้าเราทำแล้วไปอยากได้อย่างนั้นอีก ก็จะไม่มา ไปลองบังเอิญอีกสักทีก็แล้วกัน ถ้าได้อีกก็ให้จับนิมิตนั้นต่อไปเลย

ถาม : ต้องไปอยู่วัดหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปที่ไหนหรอกจ้ะ เพราะไม่ว่าไปที่ไหนเราก็ต้องทำด้วยตัวเราเอง มีอย่างเดียวก็คือ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้จริงจัง ไปที่ไหนก็ตาม ครูบาอาจารย์ก็มีหน้าที่บอกเท่านั้น แต่ที่ต้องฝึกก็คือเราเอง สำคัญที่ว่าเราจะทำจริงไหม ?

ถ้าทุ่มเทให้จริง ๆ ก็ได้ผล ถ้าไม่ทุ่มเทเดี๋ยวก็สลายตัว เพราะกระแสโลกมันแรง

เถรี
14-07-2010, 13:53
ถาม : ผมภาวนาโดยดูองค์พระ คำภาวนานี่จะเป็นอะไรก็ได้ใช่ไหมครับ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นภาพพระ ใช้คำภาวนาที่เป็นพุทธานุสติก็จะตรงกว่า ใช้พุทโธก็ได้ หรือจะเป็นอิติปิโสทั้งบทก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้

ถาม : เคยได้ยินว่า ถ้าสนใจอภิญญาให้ภาวนาว่า สัมปะจิตฉามิ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : สัมปะจิตฉามิก็ได้ แต่ว่าต้องทำจริง ๆ อย่างน้อย ๆ ต้องภาวนาต่อเนื่องเช้าชั่วโมงหนึ่ง..เย็นชั่วโมงหนึ่ง เรื่องของอภิญญาต้องสม่ำเสมอและจริงจัง ถ้าไม่สม่ำเสมอแล้วเกิดยาก

ถาม : ถ้าเราจับองค์พระแล้ว ไม่ต้องกลับไปกสิณกองอื่นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจับภาพพระ สมมติว่าเป็นพระแก้วก็เป็นอาโลกสิณอยู่แล้ว ถ้าเป็นพระสีเหลืองหรือสีทองก็เป็นปีตกสิณ สีเขียวก็นีลกสิณ สีแดงก็เป็นโลหิตกสิณ ถ้าหากเป็นพระหยกหรือพระสีขาวก็เป็นโอทาตกสิณ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกสิณอยู่แล้ว แต่เป็นกสิณควบพุทธานุสติ ถ้าอยากได้หลายอย่างจำเป็นต้องทำในลักษณะนี้

เถรี
14-07-2010, 13:55
ถาม : การปฏิบัติที่เข้มข้น ถือศีลภาวนา จะบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ได้อย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เรื่องของการภาวนาสามารถแก้กรรมได้ดีที่สุด เพียงแต่เราต้องทำจริงจังสม่ำเสมอ วิธีบรรเทาทุกข์ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องหยุดคิดให้เป็น

การจะหยุดคิดก็คือ ต้องให้ความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับปัจจุบัน คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า เราจะสังเกตว่าทุกครั้งที่เราเกิดความรู้สึกทุกข์ขึ้นมา เพราะเราไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หรือฟุ้งซ่านในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ฉะนั้น..หยุดคิดให้เป็นแล้วจะทุกข์น้อยลง อยู่กับการภาวนาดีที่สุด

เถรี
14-07-2010, 16:54
ถาม : เด็กนักเรียนเขาบอกว่า ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ อยากจะออกจากร่างกายนี้
ตอบ : สอนเขาสิ ให้เริ่มต้นภาวนาเลย บอกเขาว่า ร่างกายนี้มีอีกร่างซ้อนกันอยู่ เหมือนกับรถและคนขับรถ เราต้องหาทางเปิดประตูลงจากรถให้ได้

วิธีการเปิดประตูลงจากรถนั้น เขาให้กำหนดความรู้สึกอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ารู้ตามไปจนสุด หายใจออกรู้ตามไปจนสุด ลักษณะเหมือนกับเรากำลังเซาะตัวเราที่ติดผนังอยู่ ถ้าหากเราทำไปได้เรื่อย ๆ ในระยะเวลาที่ยาวนานพอ เราอาจจะเซาะตัวหลุดออกมาแล้วก็ไปได้ คราวนี้เราจะไปไหนก็อยู่ที่เรา

ไม่ได้หลอกเด็กนะ แต่พูดให้เด็กเข้าใจง่ายที่สุด แต่ต้องบอกเขาว่า จะต้องมีความอดทนที่จะทำ เพราะกิเลสเขาพยายามจับตัวเราให้แน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ เหมือนกับทากาวติดไว้ เราจึงต้องรีบเซาะไปเรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไม่ทัน ถ้าทันได้เมื่อไร ก็หลุดได้เมื่อนั้น

ถาม : เด็กเขาคงรู้ทันและทำสมาธิเป็น
ตอบ : ทำเป็น แต่ก็ต้องบอกเขาว่าทำสมาธิไปเพื่ออะไร

ถาม : ต้องกลับไปสอนเขาใหม่อีกรอบด้วย ว่าร่างกายเป็นคนคิดหรือจิตเป็นคนคิด
ตอบ : อย่าสอนให้ยากเกิน ยากเกินเดี๋ยวเขาจะเก่งเกินอาจารย์..!

ถาม : อย่างเวลาเขากิน ก็ถามว่าใครกิน เรากินหรือร่างกายกิน เขาก็จะบอกว่าร่างกายกิน เราไม่ได้กิน กระตุ้นถามบ่อย ๆ อย่างนี้ไม่ดีหรือคะ?
ตอบ : ก็ดี ถ้าหากปัญญาเขาไม่ถึงระดับที่จะแยกอย่างนั้นได้ เขาก็ฟังผ่านหูไปเฉย ๆ

ถาม : แล้วถ้าเขาถาม...
ตอบ : อันดับแรกให้เขารักษาศีลให้ได้ก่อน เพราะศีลเป็นพื้นฐานของทุกอย่างเลย ถ้าหากรักษาศีลได้ ต่อไปก็สมาธิ โดยยืนยันกับเขาไปเลยว่า สมาธิช่วยให้เรียนเก่งแน่นอน

ถาม : แล้วจะล่อหลอกเขาอย่างไร ?
ตอบ : ก็บอกให้เขากลับไปทำที่บ้าน ก่อนนอนให้พุทโธสัก ๓ - ๕ นาทีก็ได้ ถ้าใครอยากเก่งมากก็เพิ่มระยะเวลาขึ้นไป แต่ควรจะต้องรู้ตัวด้วยว่า เราเองควรจะต้องพักผ่อน ทำอย่าให้เกิน ๓๐ นาที ยกตัวอย่างอาตมาก็ได้ ว่าเรียนตอนแก่ ๆ ก็ยังเก่ง เพราะได้สมาธิช่วย

เถรี
14-07-2010, 19:55
ถาม : สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคืออะไร ?
ตอบ : แต่ละคนมีเป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน สำหรับพระคือการพ้นทุกข์ แล้วสำหรับคุณคืออะไร ?

แต่ละคนเหมือนกำลังเดินอยู่บนทางที่ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเป้าหมายของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน

ในโลกนี้มีความดีขั้นพื้นฐานซึ่งไม่ว่าชาติไหนหรือภาษาไหนก็ยอมรับ อย่างเช่นว่า ความกตัญญู ความเป็นคนมีศีลมีธรรม เป็นต้น แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็เป็นเพียงความดีขั้นต้นเท่านั้น ยังมีความดีที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีก

ถาม : ความดีทั้งหลายเหล่านี้ก็เพื่อความสุขในเบื้องต้น ?
ตอบ : ใช่..ความดีทั้งหลายเหล่านี้ก็เพื่อความสุขในเบื้องต้นเท่านั้น ถ้ายังต้องการความสุขที่มากกว่านั้นอีกก็มี แต่ต้องค่อย ๆ ศึกษาและปฏิบัติไป แล้วเราก็จะรู้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร

พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักอยู่ ๓ ประการ ขั้นแรกก็คือ ถ้าทำตามท่านจะมีประโยชน์สุขในปัจจุบัน การมีความสุขในปัจจุบันคือ คนอื่นเขาเห็นว่าเราเป็นคนดี ยินดีคบค้าสมาคมด้วย ขณะเดียวกันเราที่ปฏิบัติในศีลในธรรม เราก็ไม่ต้องไปให้เบียดเบียนคนอื่น ถ้าความดีมีมากพอ คนอื่นก็ไม่เบียดเบียนเราด้วย นี่เป็นความสุขในปัจจุบันที่จะได้รับ

พระองค์ท่านยังสอนถึงความสุขในอนาคตเบื้องหน้า ก็คือ ถ้ากำลังใจทรงตัวมั่นคง เราก็ไปดี อย่างเช่นไปสวรรค์ ขณะเดียวกัน ถ้าต้องการความสุขสูงสุดก็มี คือ การหลุดพ้นไปนิพพาน เพราะฉะนั้น..จึงเป็นทั้งความสุขในปัจจุบัน ความสุขในอนาคต และความสุขสูงสุด

หลักการขั้นต้นทั่ว ๆ ไป ก็คือ ไม่มีใครอยากให้เขามาฆ่าเรา ถ้าเราตั้งใจว่าเราจะไม่ฆ่าใคร ไม่เบียดเบียนใคร โลกทั้งโลกไม่มีการฆ่ากัน ไม่มีการเบียดเบียนกัน ก็จะมีความสุข

ไม่มีใครต้องการให้ผู้อื่นมาลักขโมยของของเรา ถ้าเราไม่ลักขโมยของของใคร คนอื่นไม่ลักขโมยซึ่งกันและกัน โลกทั้งโลกนี้ก็จะมีความสุข

ของที่เรารัก คนที่เรารัก ไม่มีใครอยากให้ใครมาแย่งไป ถ้าเราไม่คิดจะแย่งชิงคนอื่นเขา คนอื่นไม่คิดจะแย่งชิงของเรา ทุกคนก็มีความสุข

เรื่องของความจริงใคร ๆ ก็ปรารถนา ถ้าทุกคนพูดจริงต่อกัน มีความปรารถนาที่จริงจังจริงใจต่อกัน ไม่มีการโกหกหลอกลวงกัน ไม่มีการฉ้อโกงกันด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากวจีกรรม ทุกคนก็จะมีแต่ความสุข

และท้ายสุดถ้าไม่มีใครเบียดเบียนตัวเองด้วยสุรายาเสพติดต่าง ๆ ตัวเองตลอดจนครอบครัวและคนรอบข้างก็จะมีความสุข

อันนี้เป็นความต้องการของมนุษย์ทุกรูปทุกนามเลย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราทำเพื่อตัวเราเอง แต่เมื่อทำแล้ว คนรอบข้างจะได้รับผลนั้นไปด้วย ในเมื่อพื้นฐานขั้นต้นเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องตั้งเป้าไว้เลยว่า เราต้องทำให้ได้

หมายเหตุ : เจ้าของคำถามนี้เป็นชาวต่างชาติ มีล่ามแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่งค่ะ

เถรี
15-07-2010, 00:21
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "มีคนถามหลวงพ่อชาว่า ท่านไปสอนธรรมะให้ฝรั่งได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่พูดภาษาฝรั่งไม่ได้เลย หลวงพ่อชาท่านถามกลับสั้น ๆ ว่า "เคยไถนาไหม ? ตอนคุณสอนควายให้ไถนา คุณต้องพูดภาษาควายได้หรือเปล่า ? ท่านบอกว่า ท่านสอนเขาด้วยความจริง"

เถรี
15-07-2010, 00:36
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เรื่องของคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ? เป็นคำถามโลกแตกมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว เขาก็พยายามแสวงหาคำตอบกันตลอดมา จนกระทั่งท้ายสุดสรุปลงตรงที่ว่า ต้องมีการหลุดพ้น

แต่ว่าการหลุดพ้นของแต่ละสำนัก เขาไม่สามารถที่จะลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีหนทางของตนเอง อย่างเช่นว่า ฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ เขาก็บอกว่าไปรวมอยู่กับปรมาตมัน ปรมาตมัน คือ พลังงานอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ซึ่งจะเป็นที่รองรับจิตวิญญาณทั้งหมด ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ ก็ว่าเขาจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า

แต่ท้ายสุดพระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบจริง ๆ ว่า มีสถานที่ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ว่าการจะไปซึ่งสถานที่นั้น จะต้องอยู่ในลักษณะเป็นผู้ที่ปล่อยวาง ไม่เอาอะไรไปเลย ลักษณะเหมือนกับว่าในเมื่อไม่เอาอะไร ท้ายสุดคุณก็จะได้สิ่งนั้น

อย่างพราหมณ์ฮินดู เกิดก่อนศาสนาพุทธหลายพันปี แต่ก็ยังคงตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ท่านก็สรุปรวมว่า บรรดาลัทธิต่าง ๆ ที่พวกพราหมณ์เขาสอนถึงวิธีการหลุดพ้น มีถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน ที่เขาเรียกว่าเป็น ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ มีอยู่ ๑๘ ลัทธิ อปรันตกัปปิกทิฏฐิ อีก ๔๔ ลัทธิ

ตอนแรกที่ศึกษาอยู่ อ่านพระไตรปิฎกมีความสงสัยว่า ในเมื่อลัทธิต่าง ๆ เหลวไหลขนาดนั้นทำไมคนจึงเชื่อ ? อย่างครูทั้ง ๖ ได้แก่ มักขลิโคสาล ปูรณะกัสสปะ อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร

ถ้าลัทธิเหลวไหลขนาดนั้นทำไมคนจึงเชื่อ ? ปรากฏว่าพอไปศึกษาในพรหมชาลสูตรแล้ว ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นรู้ไม่ครบ

ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิทั้ง ๑๘ ลัทธิ เขาสามารถระลึกชาติได้ ระลึกย้อนชาติได้ตั้งแต่แสนชาติขึ้นไป จนกระทั่งถึงหลายสิบกัป ก็เลยตั้งลัทธิของตนเองขึ้นมา จะมากจะน้อยก็ตามแต่ที่ตนเองรู้เห็น แล้วสามารถยืนยันได้ เขาจึงเชื่อกัน

ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐิยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะเขาเห็นอนาคต ในเมื่อเขาเห็นอนาคต เขาจึงบัญญัติว่าโลกเที่ยงบ้าง ไม่เที่ยงบ้าง มีทั้งเที่ยงบ้างและไม่เที่ยงบ้างให้ยุ่งกันไปหมด เพราะแต่ละคนรู้เห็นยาวสั้นไม่เท่ากัน เราจึงเข้าใจได้ว่าแต่ละคนที่จะมาเป็นเจ้าสำนักจริง ๆ ล้วนแล้วแต่มีความสามารถทั้งนั้น เพียงแต่ว่ารู้ไม่ครบเท่าพระพุทธเจ้าเท่านั้น"

เถรี
15-07-2010, 07:14
"คราวนี้เราจะเห็นอัจฉริยภาพอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า สมมติว่าแต่ละสำนักเป็นเสือ สิงห์ กระทิง แรด ร้อยสำนักประชันขันแข่งกันอยู่ แล้วจู่ ๆ พระพุทธเจ้าก็โผล่ขึ้นมา ถ้าเป็นเรา คนอื่นเขาลงรากปักฐาน มีบริวารกันเต็มเมืองแล้ว ส่วนเราเพิ่งเกิดได้ไม่นาน จะทำอย่างไร ?

พระพุทธเจ้าจึงต้องเสาะหาว่า จะมีใครเป็นพยานการรู้เห็นของพระองค์ท่าน พยานการรู้เห็นที่น่าจะง่ายที่สุดก็คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร และ อุทุกดาบส รามบุตร เพราะทั้งสองได้สมาบัติ ๗ และสมาบัติ ๘ ซึ่งมีอารมณ์คล้ายวิปัสสนาญาณมาก

สมาบัติ ๗ ก็คือ อากิญจัญญายตนะ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่คราวนี้ไม่ปลดในอารมณ์ ยังไปยึดเกาะอยู่ ส่วนสมาบัติ ๘ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่เอาอะไรแล้ว รู้ก็เหมือนไม่ได้รู้ เห็นก็เหมือนไม่ได้เห็น มีความรู้สึกก็เหมือนว่าไม่มี

พอเล็งข่ายพระญาณไป ปรากฏว่าอาฬารดาบส กาลามโคตร ตายไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อุทกดาบส รามบุตร เพิ่งตายเมื่อวันนี้นี่เอง ถ้าพระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาตั้งแต่วันแรกที่บรรลุ ก็จะทันพระอาจารย์ทั้งสอง แต่พระองค์ท่านเสวยวิมุตติสุขอยู่ ๔๙ วัน ทำให้เลยกำหนดไป เรียกว่าท่านอาจารย์ทั้งสอง บุญมีแต่กรรมมาบัง

ในเมื่ออาจารย์ทั้งสองตายไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่สามารถที่จะมีอายตนะรับรู้หรือสื่อสารกับใครได้ พระองค์ท่านก็ต้องพุ่งเป้าใหม่ จะไปสอนคนทั่วไป..สมัยนั้นเขาก็ถือเนื้อถือตัวกันเต็มที่ โดยเฉพาะบุคคลที่โกนศีรษะ นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ เขาจะถือว่าเป็นจัณฑาลหรือกาลกิณี จะไม่มีใครเข้าใกล้

พระองค์ท่านก็นึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เชื่อถือศรัทธากันมาก่อน ถ้าไปประกาศธรรม ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะรู้ได้ ก็เลยเดินทางจากอุรุเวลาเสนานิคม ไปยังป่าอิสิปตนมฤคาทายวัน เป็นระยะทางปัจจุบันอยู่ที่ ๒๓๐ กิโลเมตร

พอไปถึง ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เชื่อว่า การตรัสรู้ธรรมจะเกิดขึ้นได้ด้วยการทรมานกายตามแบบของพราหมณ์อย่างเดียว จึงไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสย้ำว่า "ตถาคตเคยกล่าวว่าตนเองบรรลุธรรมมาก่อนหรือไม่ ?"

ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่ออกมหาภิเนษกรมณ์ อยู่ร่วมกันมา ๖ ปีเต็ม ๆ ไม่เคยกล่าววาจาอะไรที่เป็นเท็จ จึงได้ยอมเชื่อและน้อมใจรับฟัง "

เถรี
15-07-2010, 16:30
"พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรกัปวัตตนสูตร ทำลายความเชื่อของพราหมณ์ที่มีมาแต่อดีต เพราะท่านบอกว่าลัทธิที่เป็นอัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนก็ดี กามสุขัลสิกานุโยค ติดสบายเกินไปก็ดี ใช้ไม่ได้ทั้งคู่

เขาอุตส่าห์ศึกษามาเป็นพัน ๆ ปี แล้วบอกว่าใช้ไม่ได้ อยู่ ๆ ก็มีวิธีที่สามขึ้นมา ถ้าไปประกาศกลางตลาด อาจโดนรุมแน่นอน แล้วถ้าเราเป็นปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ฟังแล้วจะเชื่อไหม ?

นี่เกิดจากเหตุสองประการด้วยกัน ประการแรก ปัญจวัคคีย์ท่านมีบุญเดิมที่เป็นปุพเพกตปุญญตาจริง ๆ ก็เลยทำให้ตั้งใจฟังโดยไม่คัดค้านก่อน ประการที่สองก็คือ ท่านเป็นผู้มีปัญญา พอฟังแล้วสะดุดหูทันทีเลย ที่เขาทำมา ถ้าหากมีผลจริง ๆ เจ้าชายสิทธัตถะที่ท่านทรมานตนเสียยิ่งกว่าใครเคยทรมานมาก่อน ก็ต้องบรรลุไปแล้ว ในเมื่อพระองค์ประกาศว่าวิธีบรรลุเป็นวิธีอื่น ก็ต้องฟัง

พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถึงมัชฌิมาปฏิปทา ที่เป็นมรรค ๘ ย่อลงเหลือศีล สมาธิ ปัญญา ปรากฏว่าทั้งหมดที่ว่ามาตั้งแต่ต้น ก็คือ มรรค ๘ และอริยสัจ ๔ รวมกันทั้งหมดแล้ว พระอัญญาโกณฑัญญะสรุปว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นย่อมดับไป

ประโยคนี้ไม่มีในคำสอนตั้งแต่ต้นจนถึงท้าย แต่พระอัญญาโกณฑัญญะท่านสรุปได้ บรรลุมรรคผลกันตรงนั้นเอง เป็นผลงานของตนเองขึ้นมาได้ ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ตัดแปะ..!

เมื่อท่านโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลได้ทั้งหมดแล้ว ก็นับว่ามีพยานในการตรัสรู้ของพระองค์ท่านแล้ว เมื่อมีบุคคลรู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ก็ทำให้พระองค์ท่านมั่นใจว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นไม่ยากเกินไป บุคคลที่ปัญญาถึงยังมีอยู่ พระองค์ท่านก็ตั้งใจเผยแผ่พระศาสนา

ทีนี้การเผยแผ่พระศาสนานั้น อย่าลืมว่าการขัดแย้งกันนั้น สมัยหลัง ๆ เขาฆ่ากันตายจนนับไม่ถ้วนแล้ว ของคนอื่นเขามีอยู่แล้ว ๖๒ สำนัก ตัวเองอยู่ ๆ โผล่ขึ้นมา ก็ต้องวางแผนกันให้ดีก่อน แต่พระพุทธเจ้านั้นสัพพัญญุตญาณท่านยอดเยี่ยมอยู่แล้ว จะทำอะไรลำดับขั้นตอนได้ภายในวินาทีเดียว"

เถรี
15-07-2010, 16:38
"พระองค์ท่านก็เสด็จไปเพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารก่อน โดยถือพันธะสัญญาเดิมที่ตกลงกันไว้ว่า ถ้าพระองค์ท่านตรัสรู้แล้ว ให้มาโปรดพระเจ้าพิมพิสารด้วย

การที่จะไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จู่ ๆ ให้เดินเข้าไป เขาก็อาจจะไม่เชื่อ พระองค์ท่านก็ต้องเล็งหาว่า จะเข้าทางใครก่อนดี ท่านเล็งไปที่ชฎิลสามพี่น้อง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวมคธเป็นอย่างมาก สังเกตได้จากบริวารที่ออกบวชเพื่อปฏิบัติตามลัทธิบูชาไฟ มีถึง ๑,๐๐๐ คน เราลองนึกว่า ถ้ามีพระนั่งห่มเหลืองอยู่ ๑,๐๐๐ รูป แสดงว่าเจ้าอาวาสต้องมีศักยภาพมาก ต้องเก่งมากแน่ ๆ เลย

ในระหว่างที่เดินทางไปหาชฎิลสามพี่น้อง ก็โปรดผู้อื่นระหว่างทาง เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อย เริ่มจากยสกุลบุตรก่อน ได้พระอรหันต์เพิ่มมา ๑ รูป ได้พ่อแม่และภรรยาของพระยสะมาเป็นอุบาสกอุบาสิกาชุดแรกในพระพุทธศาสนา ได้สหายเพื่อนพระยสะอีก ๕๔ คนมาเป็นพระอรหันต์อีก

ในช่วงนั้นก็มีปัญจวัคคีย์ ๕ พระยสะและสหายอีก ๕๕ รวมแล้ว ๖๐ บวกพระพุทธเจ้าอีก ๑ ก็เป็น ๖๑ รูป ท่านจึงได้เริ่มการประกาศพระศาสนาอย่างจริงจัง โดยใช้คำพูดภาษาบาลีว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเที่ยวไป พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก โลกานุกมฺปายะ เพื่ออนุเคราะห์ต่อโลก อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสนํ เพื่อประโยชน์สุขแก่ทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

บาลียังกล่าวต่อว่า แต่อย่าไปทางเดียวกันสองคน ให้ไปคนเดียว เพราะจำนวนคนยังมีน้อยอยู่ ถ้าไปสองคนจะไม่กว้างขวางพอ และพระองค์ท่านก็จะเสด็จไปอุรุเวลาเสนานิคมด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในโลก ที่กองทัพธรรมได้ยาตราขบวนทัพออกไปเพื่อเผยเผ่ธรรมอย่างจริงจัง"

เถรี
16-07-2010, 01:08
"พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ระหว่างทางก็ไปพบภัททวัคคีย์ทั้ง ๓๐ แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีคู่ทั้งนั้น มีเพียงหนึ่งคนที่ไม่มี จึงต้องไปเช่าหญิงโสเภณีมาควงคู่ด้วย

ปรากฏว่าตอนอาบน้ำ หญิงโสเภณีขนทรัพย์หนีไปจนเกลี้ยง..! ขโมยได้ก็หนี มาณพทั้งหลายขึ้นจากน้ำเที่ยวตามหา พบพระพุทธเจ้าจึงถามว่า "โภ ปุริสสะ ดูก่อน..บุรุษผู้เจริญ ท่านเห็นหญิงผู้หนึ่งพร้อมเครื่องประดับและผ้า ผ่านมาทางนี้หรือไม่ ?" พระพุทธเจ้าจึงถามเป็นปริศนาธรรมกลับไปว่า "เธอจะค้นหาผู้อื่น หรือว่าจะค้นหาตัวเองดี ?"

นี่คือเจโตปริยญาณที่ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ คือแทงใจดำเลย เพราะรู้ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้เหมือนบัวที่พร้อมจะบาน กระทบแสงอาทิตย์เมื่อไรก็บานทันที

พอภัทวัคคีย์ได้ยินพระพุทธเจ้ากล่าวดังนั้นก็สะดุดใจ ตัดสินใจฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงบรรลุอรหัตผลทั้งหมด

พระองค์ท่านก็มุ่งไปยังเป้าที่ต้องการต่อไป ก็คือ ชฎิลสามพี่น้อง พระองค์ปักหลักอยู่ที่นั่นเป็นพรรษาเลย โดยเฉพาะท่านอุรุเวลกัสสปะ หัวหน้าใหญ่ พระพุทธเจ้าแสดงความสามารถขนาดไหนก็ตาม เขามั่นใจว่าทุกคนสรรเสริญว่าตัวเขาเองเป็นพระอรหันต์

อุรุเวลกัสสปะคิดว่า "พระสมณะนี้เก่ง แต่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่างเรา" กี่ครั้งก็ตามที่พระพุทธเจ้าแสดงความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการปราบพญานาคในเรือนไฟก็ดี เดินจงกรมขณะที่น้ำป่าหลากมาก็ดี ไปบิณฑบาตที่อุตรกุรุทวีปก็ดี หรือว่าซักผ้าแล้วต้นหว้าน้อมกิ่งลงมาให้ตากก็ดี ท่านคิดว่าพระพุทธเจ้าเก่ง แต่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่างท่าน

พระพุทธเจ้าท่านต้องการแสดงความสามารถให้เขาเห็นว่า จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าทำได้ทุกอย่างและทำได้เหนือกว่าด้วย พระองค์สู้อุตส่าห์ยอมทนอยู่ด้วย ๑ พรรษาเพื่อให้เขายอมคลายทิฏฐิมานะ

จนกระทั่งเห็นว่าท่านอุรุเวลกัสสปะ มีอุปนิสัยแก่กล้าพอที่จะบรรลุมรรคผลได้แล้ว พูดง่าย ๆ ว่าสอนไปก็ไม่เถียงแล้ว พระองค์ท่านจึงได้ตรัสจี้ใจดำว่า "ดูก่อน..กัสสปะ แม้กระทั่งความเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไรเธอยังไม่รู้เลย แล้วเธอจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ?"

สรุปแล้วที่คิดอยู่ในใจ โดนลากไส้ออกมาหมดเกลี้ยงเลย ท่านอุรุเวลกัสสปะพอได้ยินจึงได้ยอม ขอให้พระพุทธเจ้าช่วยสอนให้ด้วย ว่าการเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นกันอย่างไร"

เถรี
16-07-2010, 01:19
"ท่านอุรุเวลกัสสปะก็ยอมบวชพร้อมบริวารและลอยบริขารไปตามแม่น้ำ น้องชายอีกสองคนเห็นบริขาร ก็คิดว่าอันตรายเกิดแก่พี่ชาย จึงยกบริวารตามมา พากันบวชจนหมด พระพุทธเจ้าทรงเทศน์อาทิตปริยายสูตรให้ฟัง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ๑,๐๐๓ รูป

คราวนี้เราจะเห็นลีลาของพระพุทธเจ้าชัดเจนที่สุดเลย ตอนแรกมีภิกษุอยู่ ๖๑ รูป ส่งออกประกาศพระศาสนาหมด แม้กระทั่งพระองค์เองก็ไป แต่ตอนที่มี ๑,๐๐๓ รูป พระองค์กลับไม่ส่งออกไปเผยแผ่ศาสนา เพราะอะไร ? เพราะการที่จะปราบทิฐิของคนอื่นนั้น นอกจากจะมีความสามารถแล้ว จะต้องมียศ มีทรัพย์ มีบริวาร คนในสมัยนั้นเขาจึงจะเชื่อ

คนเขาดูแค่เปลือกก่อน ถ้าพระพุทธเจ้านุ่งห่มเหลือง โกนหัว สะพายบาตรในลักษณะของภิกขุ คือ ผู้ขอ อยู่ ๆ เข้าไปอาจจะไม่ได้รับการศรัทธาอะไรเลย พระองค์ก็เลยไปในลักษณะบริวารยศ คือ เป็นใหญ่ด้วยบริวาร นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ไปพร้อมกับภิกษุรวมทั้งหมด ๑,๐๐๓ รูป

พอพระองค์ไปถึงก็ไม่เข้าวังนะ เพราะถ้าเข้าวังไปเจ้าถิ่นอาจจะเห็นว่าตัวเองใหญ่กว่า พระองค์จึงไปพักที่สวนตาลหนุ่ม (ลัฏฐิวัน) ข่าวทราบไปถึงพระเจ้าพิมพิสาร เพราะชาวบ้านเขาลือกันว่าอาจารย์ใหญ่ทั้งสามท่านออกจากที่พักมาแล้ว แต่ไม่มีใครนึกถึงพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่คนเดียว เขาจะไปหาอาจารย์ใหญ่ของเขา

ชนทั้งหลายพากันหอบดอกไม้ ธูปเทียน อาหาร ข้าวของบูชาทั้งปวงแห่กันไป แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านสมกับเป็นกษัตริย์ อาจจะเป็นเพราะว่ามีสายลับเยอะ พระเจ้าพิมพิสารจึงทราบข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะที่ออกบวชเป็นสมณะ อยู่ในกลุ่มสมณะนั้นด้วย

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารมาถึง สายตาส่วนใหญ่ก็จับอยู่ที่อาจารย์ใหญ่ที่ตนรู้จัก เพียงแต่คราวนี้แต่งตัวแปลกไปเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าพอทราบความคิดของคนทั้งหมด เห็นว่าได้เวลาที่จะแสดงพระองค์แล้ว จึงทรงตรัสว่า "ดูก่อน..กัสสปะ ระหว่างเธอกับตถาคต ใครเป็นศิษย์ ใครเป็นอาจารย์ เธอจงแสดงให้เขาทราบ"

พระอุรุเวลกัสสปะที่ถือว่าเป็นอาจารย์ใหญ่สุด ถวายบังคมแทบบาทพระพุทธเจ้า ประกาศว่า "พระองค์ท่านเป็นศาสดา ข้าพระองค์เป็นศิษย์" ประกาศเสร็จก็เหาะขึ้นไป ๗ ชั่วลำตาล ลงมาบังคมประกาศใหม่ถึงสามวาระด้วยกัน สายตาทั้งหมดจึงได้มองที่พระพุทธเจ้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มองเลย"

เถรี
16-07-2010, 16:43
"คราวนี้จะเห็นได้ว่า การที่พระองค์นำบริวารไปจำนวนมากนั้น นอกจากจะเป็นการปราบพยศบุคคลทั่วไปที่มากด้วยทิฐิแล้ว ยังเป็นการดึงศรัทธาด้วย เพราะพระอาจารย์ใหญ่ขนาดนั้นยังยอมเป็นลูกศิษย์ แสดงว่าสิ่งที่ท่านสอนจะต้องมีผลอย่างแน่นอน

ดังนั้น..ทุกคนในที่นั้นจึงตั้งใจฟัง พระพุทธเจ้าจึงได้เทศน์ ครั้งเดียวบรรลุมรรคผลไปถึง ๑๑๐,๐๐๐ คน เป็นพระโสดาบัน ส่วนที่เหลืออีก ๑๐,๐๐๐ นั้น ประกาศตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต แปลว่าไม่หลุดรอดไปเลยแม้แต่คนเดียว..!

หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาก็ตั้งมั่นในแคว้นมคธ ลงรากปักฐานได้มั่นกว่าลัทธิอื่นทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ประกาศพระศาสนาทีหลัง เพราะว่าผู้ครองแคว้น ผู้ครองประเทศเป็นพุทธสาวก ตรงนี้เราจะเห็นว่าของแท้เสียอย่าง อะไรก็ไม่สามารถบดบังรัศมีได้ ศาสดาอื่นใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่ลัทธิของตนเองจะมีคนถือตาม แต่พระพุทธเจ้าใช้เวลาไม่ถึงปี ลงรากปักฐานอย่างมั่นคงแน่นหนา สามารถแข่งกับลัทธิอื่นได้อย่างสบาย

จะว่าไปแล้วพระพุทธศาสนาต่อยอดศาสนาพราหมณ์ได้พอดิบพอดี สมัยนั้นพระพุทธศาสนาจึงได้รุ่งเรืองมาก เพราะศาสนาพราหมณ์เขามัวแต่ถือลัทธิ ถือวรรณะกันอยู่ ก็เลยทำให้การเผยแผ่ศาสนาไม่กว้างไกลพอ

ขณะเดียวกันก็สร้างความคับแค้นใจให้แก่วรรณะล่าง ๆ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพวกศูทรหรือจัณฑาลที่เขาแทบจะไม่เห็นเป็นคนเลย แต่ศาสนาพุทธประกาศชัดเจนเลยว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีศักยภาพในการบรรลุมรรคผลทั้งสิ้น

เห็นชัดที่สุดก็คำเทศน์ของพระมหากัจจายนะ เรื่องวรรณะสี่เหล่า ท่านบอกว่า "วรรณะใดทำโจรกรรม ทำปรทาริกกรรม วรรณะนั้นต้องรับราชอาญาเหมือนกันทั้งหมด ไม่มียกเว้น" ลองไปค้นหาตรงนี้เพิ่มเติมได้จากมธุรสูตร"

เถรี
16-07-2010, 23:56
"ในเมื่อศาสนาพุทธไม่มีการกีดกั้นวรรณะ จึงทำให้บุคคลจากวรรณะต่าง ๆ พากันเข้ามาบวชและเป็นสาวกจำนวนมาก ขณะเดียวกันเมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว หลายท่านก็มีฤทธิ์มีเดช โดยวิสัยเดิมก็แสดงให้ชาวบ้านเขาเห็น

อย่างพระสาคตะก็ไปแสดงฤทธิ์ปราบพญานาค ชาวบ้านก็เลยพร้อมใจถวายสุราให้ท่าน จนท่านเมามายขาดสติ กลายเป็นต้นบัญญัติข้อห้ามดื่มสุราไป

สมัยนั้นพญานาคไปยึดท่าน้ำของชาวบ้าน พอใครเข้ามาใกล้ก็จะทำร้าย จนกระทั่งเขาไม่สามารถที่จะใช้น้ำได้ พระสาคตะท่านเก่งทางเตโชกสิณ จึงเผาพญานาคเสียกระเจิงอยู่ไม่ได้ ชาวบ้านก็มาถามลูกศิษย์ว่าพระสาคตะท่านชอบอะไร ? เขาก็บอกว่า "พระเถระท่านชอบสุรารสอ่อนสีเหมือนเท้านกพิราบ"

ปรากฏว่าพอพระสาคตะบิณฑบาตบ้านไหน เขาก็ถวายแต่สุรา สุดท้ายท่านเลยเมานอนหมอบอยู่ข้างทาง พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาพอดี ถามว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ นั่นเป็นผู้ใดหรือ ?" พระอานนท์กราบทูลว่า "พระสาคตะพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า "พระสาคตะเถระที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ว่ามีฤทธิ์มากถึงขนาดปราบพญานาคได้ใช่ไหม ? แล้วตอนนี้ปราบงูเขียวได้หรือไม่เล่า ?" พระองค์ท่านจึงบัญญัติห้ามภิกษุดื่มสุราเมรัยตั้งแต่นั้นมา

หรือไม่ก็อย่างพระปิณโฑลภารทวาชะ เหาะไปเอาบาตรไม้แก่นจันทน์ของมหาเศรษฐี หรือไม่ก็อย่างพระโมคคัลลานะไปเที่ยวนรก เที่ยวสวรรค์ แล้วก็มาประกาศให้ทราบว่า ญาติพี่น้องของคนนั้นตายไปแล้วตอนนี้เป็นอย่างไร

นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้น เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเผยแผ่เร็วมาก แผ่กว้างออกเร็วชนิดสำนักอื่นตามไม่ทัน โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน พอมานับถือศาสนาพุทธแล้วจะทำบุญเฉพาะในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ายังต้องทรงห้ามเอาไว้

อย่างมหาเศรษฐีชื่ออุบาลี ท่านถือศาสนาพุทธแล้ว ตั้งใจจะเลี้ยงแต่พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ไม่เลี้ยงพราหมณ์แล้วเพราะเห็นว่าเปลืองข้าวเปล่า ๆ พระพุทธเจ้าตรัสให้เลี้ยงต่อไปตามปกติ แต่อุบาลีเศรษฐีก็อดไม่ได้ สั่งคนใช้ว่า ถ้าพราหมณ์ลัทธิอื่นมาให้อยู่แค่ประตูนอก ถ้าเป็นสมณะในพระพุทธศาสนาให้นิมนต์มาข้างในเลย ทำเอาพวกลัทธิอื่นแช่งชักหักกระดูกพระพุทธเจ้าเสียไม่มี..!"

เถรี
17-07-2010, 00:08
"เราจะเห็นความใจกว้างของพระพุทธเจ้าว่าท่านไม่ได้อิจฉาใคร มั่นใจว่าคำสอนของพระองค์ท่านเป็นของแท้พิสูจน์ได้ อย่างไรเสียบุคคลที่เห็นธรรมแล้ว มีศรัทธาที่แน่นแฟ้นย่อมไม่หวั่นไหวไปไหน เพราะฉะนั้น..เขาจะทำบุญที่ไหนก็ทำเถอะ พระองค์ท่านไม่ได้ว่า

อย่าลืมว่าทำบุญกับนักบวชนอกศาสนาผู้สามารถระงับราคะได้ มีอานิสงส์มากกว่าผู้มีศีลบริสุทธิ์เป็นแสนเท่า ไปดูได้ในทักขิณาวิภังคสูตร บรรดาอเจลก (ชีเปลือย) ก่อนที่จะออกมาประกาศศาสนาของตนได้ เขาผ่านการพิสูจน์มาแล้วทุกรูปแบบ ออกมาเดินแก้ผ้า เจอสาวแล้วต้องไม่ขายหน้าเขา..!

ในเมื่อเป็นดังนั้น แปลว่าเขาสามารถที่จะระงับราคะได้ แต่ไม่ใช่สิ้นราคะ ระงับได้ด้วยอำนาจของฌานสมาบัติที่กดเอาไว้ ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำบุญกับเขาก็มีอานิสงส์มาก เพียงแต่ว่าทำบุญแบบนั้นร้อยครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำบุญพระโสดาบันเพียงหนึ่งครั้ง

ในการเผยแผ่ศาสนาพุทธ พระองค์ท่านไม่เบียดเบียนศาสนาอื่น มีแต่สนับสนุน ส่งเสริม ต่อยอดไปเรื่อย ตัวอย่างคือ ชฎิลสามพี่น้อง ท่านบูชาไฟมาก่อน พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ตรัสว่าการบูชาไฟไม่ดี แต่ท่านบอกว่า การบูชาไฟควรจะบูชาไฟภายในดีกว่า แล้วตรัสสอนให้รู้ถึงไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นอกจากนี้ยังบอกวิธีดับไฟเหล่านั้นอีกต่างหาก ท่านบอกว่าการดับไฟทั้งสามกองนี่แหละจึงเป็นอุดมธรรม (ธรรมสูงสุด)

หรือไม่ก็สิงคาลมาณพ ฟังคำสั่งของพ่อแล้วไปไหว้ ๖ ทิศ โดยไม่รู้ว่า ๖ ทิศคืออะไร ? พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสสอนว่า ทิศเบื้องบน คือสมณชีพราหมณ์ ทิศเบื้องล่าง คือบริวาร คนรับใช้ ทิศเบื้องหน้า คือบิดามารดา ฯลฯ แต่ละคนควรปฏิบัติอย่างไร ท่านบอกไว้หมด ไปดูเพิ่มเติมได้ในสิงคาลสูตร

พระองค์ท่านไม่ได้ค้านใคร แต่บอกในส่วนที่ดีกว่าให้ คนที่เขามีปัญญา พอรู้ว่ามีสิ่งที่ดีกว่าจริง ๆ เขาก็ปฏิบัติตาม"

เถรี
17-07-2010, 15:29
"เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของพระไตรปิฎก สรุปลงตรงนี้เลยว่า อย่าอ่านเฉย ๆ อ่านแล้วคิดบ้าง จะเห็นอะไรอีกเยอะเลย ในพระไตรปิฎกมีสิ่งที่แฝงอยู่ข้างในมากมาย

โดยเฉพาะถ้าเราศึกษาพื้นฐานของชมพูทวีป คือ อินเดียโบราณมา รู้เห็นถึงสภาพบ้านเมือง ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ แล้ว จะอ่านสนุกขึ้นอีกมาก เพราะจะนึกออกว่าแต่ละอย่างที่ท่านกล่าวไว้เป็นอย่างไร

ทำไมนางบุญทาสีที่เป็นทาสเป็นคนรับใช้ จึงได้ดีใจนักหนาที่พระพุทธเจ้าเสวยแป้งจี่ที่ตัวเองถวายให้ ? เพราะเขาถือวรรณะว่า พวกชั้นต่ำเป็นเสนียดจัญไร ข้าวของอะไรที่พวกวรรณะต่ำแตะต้อง เขาถือว่าไม่สามารถที่จะใช้ต่อได้เลย

ท่านอาจารย์ ดร. วศิน กาญจนวณิชย์กุล ท่านไปเรียนหนังสือที่นั่น เห็นเขาเลี้ยงน้ำ ท่านรับแก้วมาถึงก็ดื่มเลย เขาด่าท่านเสียไม่มี..! พอไปเห็นคนอื่นดื่มบ้างท่านถึงได้รู้ ก็คือ เขาให้อ้าปากแล้วเทน้ำใส่ โดยที่ไม่ให้แก้วถูกริมฝีปาก เพราะกลัวติดเสนียดจัญไรจากวรรณะต่ำ..!

ในเมื่อวรรณะต่ำอย่างนางบุญทาสีไปเจอวรรณะกษัตริย์อย่างพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านนอกจากจะไม่รังเกียจแล้ว ยังฉันให้เห็นซึ่ง ๆ หน้า เป็นเราก็ปีติแทบตัวลอยเหมือนกัน พอพระองค์ท่านทรงเทศน์สอน ก็เป็นพระโสดาบันเลย

หรือไม่ก็นางกุมภทาสีที่หลงรักพระอานนท์ ชื่อจริงของนางคือ โกกิลา พระอานนท์เป็นวรรณะกษัตริย์ไปขอน้ำดื่ม นางก็ไม่กล้าให้ พระอานนท์จึงได้บอกว่า "วรรณะสี่เหล่าเสมอกันด้วยความดี ไม่มีหรอกที่จะต่ำกว่ากัน สูงกว่ากัน ท้ายสุดก็ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดขึ้นเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงท่ามกลาง สลายไปในที่สุด"

เมื่อพระอานนท์ไม่รังเกียจ นางโกกิลาก็ถวายน้ำให้ แล้วก็ติดใจเลยตามไปบวช กลายเป็นต้นเรื่องที่ธรรมโฆษเขาเอามาเขียนเรื่อง ลีลาวดี"


หมายเหตุ : นางกุมภทาสี = หญิงผู้มีหน้าที่ตักน้ำ , โกกิลา = นกดุเหว่า

เถรี
17-07-2010, 15:31
ถาม : คนเกิดสมัยนี้บุญดีกว่าหรือเปล่า เพราะมีเทคโนโลยี ?
ตอบ : คนเกิดสมัยนี้จะบอกว่าบุญดีก็ได้ เพราะทุกอย่างทันสมัย ใช้งานง่าย อำนวยความสะดวกให้ก็จริง แต่ว่าทั้งหมดก็จะทำให้คนเรายึดติดกับความสุขต่าง ๆ ที่ได้รับมาง่ายขึ้น

แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ให้ความสุขที่ตอบสนองทางกายเท่านั้น ทางกายได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง ทางใจก็ยังต้องเสาะแสวงหาเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น..เกิดยุคไหนสมัยไหนก็เกิดอยู่ในกองทุกข์เหมือนกัน ธรรมะเป็นอกาลิโกจริง ๆ ไม่ติดขัดด้วยยุคสมัยเลย เกิดยุคไหนสมัยไหนก็ใช้ได้

เถรี
17-07-2010, 15:37
ถาม : จะรักษาใจให้ใสสบายไปอย่างนี้เรื่อย ๆ รู้สึกว่าตนเองไม่มีงานอะไรจะทำ
ตอบ : งานสำคัญก็คือ ระวังอย่าให้รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาก็แล้วกัน

ถาม : มันไม่ค่อยมา มันเหงาค่ะ
ตอบ : ระวังตอนที่มา แล้วเอาไม่อยู่ จะรู้ว่างานเยอะกว่าที่เราคิด..!

ถาม : ระหว่างรอมันทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ทำไมต้องรอ แทนที่จะรอ..เราก็ดาหน้าบุกเข้าไปบี้มันให้ตายไปเลย..!

ถาม : หามันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ศีล สมาธิ ปัญญา ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างที่พระสารีบุตรท่านบอกกับพระลูกศิษย์ว่า แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังต้องพิจารณาอยู่ เพื่อความอยู่สุขของตน อย่าเผลอมั่นใจว่าความดีจะไม่เสื่อม

ถาม : เป็นลักษณะที่ว่า ยิ่งว่าง..งานยิ่งเยอะ อะไร ๆ ก็จับมาพิจารณาได้ แบบนี้ใช่หรือเปล่า?
ตอบ : จะเรียกว่างานเยอะก็ไม่ใช่เยอะ เพราะระวังใจตัวเอง แต่การระวังใจตัวเดียวนี่เป็นสุดยอดของความยากเลย

ต้องมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ว่าเราอยู่ในกองทุกข์ ไฟราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เผาเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องดิ้นรนหนีไปให้เร็วที่สุด ไม่ใช่นอนสบายใจเฉิบว่าไม่มีงาน จะนอนเฉย ๆ ก็ได้ ไฟไหม้ถึงตัวเมื่อไรก็เดือดร้อนเมื่อนั้น..!

ถาม : รู้สึกว่าทุกข์อะไรที่จะเข้ามา ก็เข้ามาได้แค่ร่างกาย ไม่ได้มาถึงเรา
ตอบ : แค่ระวังไม่ให้มาถึงเราก็แย่แล้ว สภาพจิตที่ละเอียดพอ แม้กระทั่งความสุขในธรรมที่เขาเห็นอยู่ เขาก็เห็นว่ามีทุกข์แฝงอยู่ เพราะว่าเราต้องคอยระมัดระวังประคับประคองไว้อยู่เสมอ ไม่อย่างนั้น..เกรงว่าอารมณ์นั้นจะสูญสลายไป ถ้าสภาพจิตไม่ละเอียดพอก็กินไปเรื่อย ต้นทุนหมดเมื่อไรก็สาหัสเมื่อนั้น..!

ถาม : ทำอย่างไรเราจะไม่ต้องระมัดระวังต่อไป ?
ตอบ : หลวงตาบัวท่านเคยเปรียบเทียบว่า อย่าทำตัวเป็นหมูพาดเขียง หมูเดินมาเจอเขียงอยู่ ก็หนุนนอน ใครเอามาให้เรารองหัวพอดี สบายจังเลย หารู้ไม่ว่ากำลังนอนรอความตายอยู่ชัด ๆ..!

เถรี
17-07-2010, 15:39
พระอาจารย์ถามพระว่า "ถ้าสมมติว่าคุณขึ้นธรรมาสน์เทศน์ แล้วเห็นโยมนั่งอยู่ข้างหน้าไม่กี่คน จะทำใจอย่างไร ?

จริง ๆ แล้ว ถ้าจะคิดปลอบใจตัวเองต้องคิดว่า พระพุทธเจ้าเทศน์กัณฑ์แรก ยังมีคนฟังแค่ ๕ คน ส่วนเราถ้าได้น้อยกว่าไม่ถือว่าแปลก ถ้าได้เยอะกว่าถือว่าเป็นความสามารถ ถ้า ๕ คนถือว่าเสมอตัว

เพียงแต่ว่าเราจะหาบุคลากรได้มีคุณภาพเท่ากับที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ได้อย่างไร ? เพราะว่า ๕ คนที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์กลายเป็นพระอรหันต์ ๕ องค์ ของเราต่อให้ ๕๐๐ คน เทศน์แทบตายยังไม่ได้อะไรสักคน..!

ในเรื่องของการปฏิบัติ พอทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ละทิ้ง เราจะมีความคล่องตัวและพลิกแพลงไปได้เรื่อย วิธีการพลิกแพลงนั้นส่วนใหญ่เอาไว้รักษากำลังใจตนเอง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการจิตตก จนกระทั่งซมซาน นั่งทุกข์นั่งกลุ้มใจอยู่คนเดียว

ทำอย่างไรที่จะไม่เป็นอย่างนั้น ก็ต้องค่อย ๆ พลิกแพลงแก้ไขไปได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดพอกำลังใจทรงตัว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำอย่างนั้นอีก"

เถรี
18-07-2010, 01:30
ถาม : เพื่อนเขาโดนตะปูฝาโลงค่ะ..!
ตอบ : ยุคนี้ยุคไหนแล้วจ๊ะ ? ทำไมไม่ทันสมัยเลย เล่นส่งแต่ตะปู เปลี่ยนเป็นส่งลูกปืนหรือขีปนาวุธบ้างก็ได้

รอเป่ายันต์เกราะเพชรนะจ๊ะ ถ้ามีงานเป่ายันต์เกราะเพชรก็พาเขาไปเข้าพิธีด้วย

ของพวกนี้เป็นเรื่องประมาทไม่ได้ เพราะเราสร้างกุศลกรรมและอกุศลกรรมมาไม่ต่อเนื่องกัน ทำดีก็มี ทำชั่วก็มี แต่คราวนี้ดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ถึงเวลาที่อกุศลกรรมเข้า ของพวกนี้ก็จะแทรกเข้ามาได้

เถรี
18-07-2010, 01:31
ถาม : ที่บ้านเลี้ยงกุมาร ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : ยังเลี้ยงเขาอยู่หรือเปล่าละจ๊ะ ? ถ้ายังเลี้ยงเขาก็อยู่ แต่ถ้าเขาอด ๆ อยาก ๆ นาน ๆ เขาก็ไป

เถรี
18-07-2010, 01:33
ถาม : บางทีก็ได้รอบของมันแล้ว โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจทำ พอเต็มเรียบร้อยแล้ว เราไปย้อนทวนหาว่า ที่เกิดขึ้นมันเกิดเพราะอะไร แต่ว่าการปฏิบัติจริง ๆ ตัวที่ได้ ก็ไม่ได้เท่ากับตัวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : เป็นเพราะคนละวาระ คนละเหตุการณ์ คนละสถานที่กัน

ถาม : อย่างนี้ต้องรอรอบตลอดเลยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องรอหรอก เพียงแต่รักษาเอาไว้ก็พอ ถ้ารักษาไม่ได้ก็จงรอต่อไป..!

ถาม : แสดงว่าวาระเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ
ตอบ : นั่นเขาเป็นของเขาเอง บางทีก็เหมือนกับบังเอิญ บางทีก็ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายาม แต่ว่าทั้งหมดเกิดจากบุญเก่าที่เราสั่งสมมาด้วย คือมีความพยายามทำมาตลอด ฉะนั้น..อะไรที่ได้ควรจะประคับประคองไว้ให้ดี ปล่อยหลุดมือไปที กว่าจะได้ใหม่ก็น้ำตาเล็ด..!

เถรี
18-07-2010, 01:36
ถาม : ถ้ากรรมฐานที่เหมือนว่าบังเอิญได้บ่อย ๆ จะถือว่าเป็นบุญเก่า หรือว่าเป็นเพราะวิริยะของเรากันแน่ครับ ?
ตอบ : มีบุญเก่าด้วย แล้วทำไมต้องไปบังเอิญด้วย ? ทำไมไม่เอาให้เป็นจริงเป็นจังไปเลย ?

ถาม : พอจะทำไปย้อนเหตุปัจจัยตามเดิม ก็ทำไม่ขึ้นครับ
ตอบ : พอไปตั้งความหวังอยากจะได้ กิเลสคือนิวรณ์ก็ขวางไว้หมด

ถาม : อีกบทพอสบาย ๆ ก็ขึ้นมาได้เอง
ตอบ : ถ้าอยากเราจะไม่ได้ ต้องทำใจสบาย ๆ ปฏิบัติไปเรื่อยแล้วจะได้เอง

เถรี
18-07-2010, 01:37
ถาม : ช่วงว่าง ๆ ก่อนวันงานสืบชะตาสักสองอาทิตย์ ตอนนั้นไม่มีความกังวลเลย มีอะไรให้ทำก็ทำ ใครจะด่าก็ไม่เป็นไร
ตอบ : ก็เพราะเราวางภาระแล้ว ว่านั่นไม่ใช่งานของเรา ทีนี้เราจะทำอย่างไรที่จะวางให้ได้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราอย่างนั้นบ้าง

ถาม : ตอนนั้นสบาย ใครจะว่าอะไรเราก็ช่าง มีก็ทำ ไม่มีก็ไม่ได้ว่าอะไร
ตอบ : ก็เราจะไม่อยู่แล้ว เราจะตายอยู่วันนี้พรุ่งนี้อยู่แล้ว ใครจะว่าอะไรก็ช่างหัวมัน..!

เถรี
18-07-2010, 10:51
ถาม : พระธาตุนี้ควรบูชาอย่างไร ?
ตอบ : อันดับแรก บรรจุเอาไว้ในสถานที่ที่สมควร อันดับสอง ถวายเครื่องบูชา จะเป็นดอกไม้ หรือ เครื่องหอม ของหอม อันดับที่สาม หมั่นสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน

ถาม : สามารถบูชาไว้ที่บ้านได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ได้ สำคัญว่าคิดถึงหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้คิดถึงเลย มีก็เหมือนไม่มี

เถรี
18-07-2010, 10:51
ถาม : กำลังใจของฌานสี่ โดยปกติจะดับเงียบไปเลย เราจะสามารถบังคับมันได้ไหมครับ ?
ตอบ : เอาสติจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ซักซ้อมบ่อย ๆ ถ้าหากสติแหลมคมมากขึ้น ก็จะติดตามรู้อาการทั้งหมดได้ พูดง่าย ๆ ว่าสมาธิจะต้องละเอียดขึ้นกว่านี้

เถรี
18-07-2010, 10:53
ถาม : บางทีท่องคาถาเงินล้าน แล้วยังขายของไม่คล่อง
ตอบ : ยังทำไม่พอ ทำบ่อย ๆ สิ

ถาม : ในกรณีที่เราใส่บาตร เวลากรวดน้ำ ต้องลงกระถางต้นไม้หรือต้นไม้ใหญ่ ?
ตอบ : อุทิศปากเปล่าก็ได้ การกรวดน้ำเป็นแค่รูปแบบเท่านั้น จะกรวดลงไปที่ไหนก็กรวดไปเถอะ

เถรี
18-07-2010, 18:31
ถาม : มีเรื่องกลุ้มใจเกี่ยวกับอุปสรรคเรื่องงาน ถ้าจะบนพระวิสุทธิเทพ ?
ตอบ : จุดธูปกลางแจ้ง ๕ ดอกบนกับท่าน ถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานท่านจะช่วยได้ แต่ว่าเราต้องรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมกับเจริญกรรมฐาน ๗ วันเป็นการแก้บน

เถรี
18-07-2010, 18:32
ถาม : ทำไมชอบปวดหัว ?
ตอบ : ในเมื่อชอบก็เป็นต่อไป (หัวเราะ) การปวดหัวเป็นเศษกรรมจากการดื่มสุราเมรัยในชาติก่อน จำเอาไว้ ชาตินี้อย่าไปกินอีกเป็นอันขาด เดี๋ยวจะซ้ำหนัก

เถรี
18-07-2010, 18:38
ถาม : กราบขออุบายธรรมในการปฏิบัติ
ตอบ : คุณคงรู้จักเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จในกรมหลวงชุมพร จริง ๆ แล้วตำแหน่งท่านเป็นแค่กรมหลวง ยังมีเสด็จในกรมพระฯ กรมพระยาฯ อีกเยอะมาก แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นชื่อกลับไม่เป็นที่ติดหูชาวบ้าน เท่ากับเสด็จในกรมหลวงชุมพร

เพราะว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพร พระองค์ท่านเป็นคนเอาจริงเอาจัง ทำอะไรก็ทุ่มเทชนิดแลกด้วยชีวิต ท่านจึงประสบความสำเร็จ แค่เดินเรื่องวิชาการศึกษาแพทย์ พระองค์ยังสามารถเอาไปช่วยชีวิตคน จนคนเรียกท่านว่าเป็นหมอได้ ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านถนัดเลย เป็นแค่ส่วนเดียวที่ท่านเรียนมา

แต่ว่าพระองค์ท่านเป็นคนเอาจริง ในเมื่อจริงจัง สิ่งที่ทำก็ได้ผลจริงด้วย ตราประจำตระกูลท่านก็คือ พระอาทิตย์ทรงรถ ตราพระอาทิตย์ทรงรถมาจากชื่อของท่าน คือ อาภากร (ผู้กระทำแสงสว่าง)

ท่านจะมีภาษาบาลีอยู่ที่ตราประจำตระกูลว่า กยิรา เจ กยิราเถนํ แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า ทำอะไรทำให้จริง เพราะฉะนั้น..ที่คุณขออุบายธรรม ก็มีแค่นี้ ทำอะไรทำให้จริง ถ้าทำจริงจะประสบความสำเร็จทุกเรื่อง

เถรี
19-07-2010, 00:37
ในขณะที่กำลังแต่งกลอนอยู่ พระอาจารย์ได้เล่าให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าสมัยที่ยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ท่านเสวยพระชาติเป็นพ่อค้ากองเกวียน เดินทางเข้าไปในทะเลทรายซึ่งแห้งแล้งขาดน้ำ อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะหาน้ำเพิ่มได้

ท่านเป็นหัวหน้าพ่อค้า ต้องรับผิดชอบชีวิตคนจำนวนมาก จึงต้องคิดค้นหาทาง เพราะว่าถ้าไม่มีน้ำ คนในรับผิดชอบต้องตายหมดแน่นอน พอดีท่านเห็นกอหญ้าอยู่กอหนึ่ง ท่านทราบว่ากอหญ้าจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความชื้น จึงคิดว่าบริเวณนั้นน่าจะมีน้ำ

ท่านสั่งให้บริวารช่วยกันขุด ขุดจนหมดเรี่ยวหมดแรง แต่กลับไปเจอแผ่นหิน ที่เขาเรียกว่า หินดาน ลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ขวางอยู่ พวกบริวารก็กำลังใจตก ขุดมาเหนื่อยจะแย่แทนที่จะพบน้ำ กลับพบแผ่นหินแทน คิดว่าอย่างไรคงอดน้ำตายแน่

หัวหน้าพ่อค้าพระโพธิสัตว์เอาหูแนบกับแผ่นหิน ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างใต้ จึงปลอบใจบริวารให้ช่วยกันทุบแผ่นหินให้แตก พอทุบแผ่นหินแตก น้ำก็ทะลักขึ้นมา ทุกคนได้อาศัยดื่มกินและใช้ทำอาหาร เอาชีวิตรอดมาได้

พระพุทธเจ้าองค์ทรงสรุปลงตรงที่ว่า ถ้าปราศจากความเพียร ย่อมไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเราอดน้ำแทบตายอยู่กลางทะเลทราย ขุดไปเจอก้อนหินแผ่นเบ้อเริ่ม ก็คงมืออ่อนตีนอ่อน ยอมอดตายไปแล้ว แต่ท่านยังพยายามทุบหินออก

ลักษณะแบบเดียวกับพระมหาชนกที่เรือแตก ต้องว่ายน้ำอยู่ ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลามาพบเข้าก็แปลกใจ ถามว่า "ในเมื่อมองไม่เห็นฝั่ง ว่ายหรือไม่ว่ายก็ตาย จะว่ายไปทำไม ?" ท่านบอกว่า "ถ้าได้ทำเต็มที่แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ยังสามารถตอบต่อตัวเองได้ว่า ทำเต็มที่แล้ว แต่ถ้าหากยังไม่ได้ลงมือทำ แล้วไปท้อถอยเสียก่อน ก็ไม่สามารถจะตอบตัวเองได้ว่าใช้ความพยายามเต็มที่แล้วหรือยัง"

นางเมขลาได้ยินแล้วชอบใจ จึงอุ้มไปส่ง ฉะนั้น..แต่งกลอน ๒ วันแล้วยังไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งท้อ เพราะยังไม่ถึง ๗ วัน ๗ คืน..!"

เถรี
19-07-2010, 17:41
ถาม : ไปอเมริกา กลัวระเบิดค่ะ..!
ตอบ : ตราบใดที่ยังไม่สิ้นบุญสิ้นกรรม ใครก็ทำให้เราตายไม่ได้ ที่ใช้คำว่าสิ้นบุญสิ้นกรรม เพราะว่าบางทีวาระกรรมจะต้องมาสนองเรา ถ้าเรายังไม่ได้รับการสนองตรงนั้น อย่างไรเราก็ยังตายไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้าวาระบุญยังรักษาอยู่ อย่างไรเสียก็ไม่ตายเช่นกัน

เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปกลัวหรอกเรื่องตาย ไม่ได้ตายง่าย ๆ หรอก วิ่งเข้าไปหายังไม่ตายเลย หลวงพ่อฤๅษีท่านเล่าให้ฟังว่า คนจะฆ่าตัวตาย ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย เขาอุตส่าห์ขึ้นต้นไม้ เอาเชือกผูกคอ เอาน้ำมันราดตัวเอง จุดไฟกระโดดลงไป แล้วเหนี่ยวไกปืนยิงตัวเอง กะว่าต้องตายแน่

ปรากฏว่าเขากระโดดเร็วเกินไปหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ลูกปืนไปโดนเชือกจนขาด เขาตกลงไปในน้ำ ไฟก็เลยดับ..! อย่างไรก็ไม่ตาย เพราะฉะนั้น..ไปเถอะ ไม่ต้องกลัวตายหรอก

เถรี
19-07-2010, 17:44
ถาม : ไปหาสำนักทรงบางแห่ง แล้วถูกเขาทำคุณไสยมา..!
ตอบ : เรื่องพวกนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า พวกสำนักที่ทำคุณไสยต่าง ๆ เขาไม่ได้มีคุณธรรมเลย ถึงเวลาเขาต้องการเงิน เขาก็คุมเราเอาไว้ บางคนรู้สึกว่าตัวเองโดนคุณโดนของ ก็ไปให้เขาถอนให้ จ่ายเงินไปทีละมาก ๆ พอถึงเวลาเขาต้องการเงินอีก ก็ใส่ของกลับเข้าไปใหม่ เราก็ต้องไปหาเขาอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น..ถ้าไม่มั่นใจว่าเขามีคุณธรรมพอ ก็อย่าไปหาเขาเลย...

เถรี
19-07-2010, 17:47
มีโยมบางท่านเวลายกพระมาถวายสังฆทาน ด้วยความไม่รู้เขาก็วางพระไว้กับพื้น พระอาจารย์ท่านมักจะเตือนว่า "ของสูงอย่าเอาไว้ต่ำ ถ้าเอาไว้ต่ำเดี๋ยวตัวเราเองจะตกต่ำไปด้วย"

เถรี
19-07-2010, 22:36
ถาม : ที่ทำงานมีคนที่หน้าตารูปร่างคล้ายตัวผมเอง ตอนเดินไปกินกาแฟ พนักงานแถวนั้นคิดว่าตาคนนี้เดินมาบ่อยจัง ?

ตอบ : นั่นเป็นประเภทที่ฝรั่งเขาเรียกว่า "แฝดเทียม" เกิดจากการสร้างบุญสร้างกรรมมาคล้ายคลึงกันในอดีต

เหมือนอย่างพระมหากัจจายนะ ท่านเป็นพุทธภูมิเก่า บารมีเข้ม ท่านจึงมีมหาปุริสสลักษณะหลายอย่าง ก็แปลว่าเหมือนพระพุทธเจ้าไปโดยปริยาย

คราวนี้ถ้ามีแค่ท่านก็ไม่มีปัญหา แต่ปรากฏว่ามีพระอานนท์และพระนันทะด้วย พระอานนท์ท่านเป็นลูกอา พระนันทะเป็นลูกน้าและพ่อเดียวกับพระพุทธเจ้า หน้าตาจึงเหมือนกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน

พอเวลาไปบิณฑบาต คนก็เลยตำหนิว่า "สมณะรูปนี้ทำไมมักมากแท้ บิณฑบาตหลายรอบเหลือเกิน" เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าต้องบัญญัติว่า ไม่ให้พระภิกษุทำจีวรเท่ากับจีวรพระสุคต คือ อย่างน้อย ๆ พอให้มีที่สังเกตได้บ้าง พระมหากัจจายนะท่านตัดปัญหาด้วยสละตัวเอง อธิษฐานขอให้อ้วนเสียเลย

เถรี
19-07-2010, 22:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องทางโลกก็เป็นไปอย่างโลก เรื่องทางธรรมก็เป็นไปอย่างธรรม ความจริงเรื่องทั้งสองนี้ไปด้วยกันเสมอ

แต่ถ้าหากว่ากำลังใจเรายังไม่ถึง ก็จะเห็นว่าแยกกันโดยเด็ดขาด ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำเลย

แต่ถ้ากำลังใจเราถึง ทั้งหมดก็เหมือนกัน คือ ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนกำลังเป็นไปตามกรรม"

เถรี
20-07-2010, 00:25
ตอนรับสังฆทานพอดีฝนตก พระอาจารย์จึงกล่าวให้ฟังว่า "พวกเรามักจะเข้าใจว่า หน้าที่ในการทำฝนเป็นของพระพิรุณอย่างเดียว...นั่นไม่ใช่นะ จริง ๆ แล้วมีทั้งวายุเทพบุตร วลาหกเทพบุตร สีตเทพบุตร ปชุนเทพบุตร วิรุณเทพบุตร "

ถาม : ถ้าคนทั่วไปด่าเทวดาเวลาฝนตกหนักอย่างนี้ บาปไหมครับ ?
ตอบ : เขากำลังสร้างวจีกรรม ในเมื่อเป็นกรรม จะมากจะน้อยก็ต้องมีโทษ

ถาม : แล้วถ้าเทวดาที่ท่านทำหน้าที่เป็นพระอริยเจ้า เท่ากับว่าเราปรามาสพระรัตนตรัย?
ตอบ : เจตนาในการปรามาสไม่มี เพราะเขาตั้งใจแค่ด่าคนทำฝน ในเมื่อไม่ได้เจตนาด่า ถึงมีโทษก็ไม่หนักเท่าด่าพระอริยเจ้าโดยตรง

พูดถึงตอนนี้นึกถึงยายของเจ้าแตงนวล บ้านของยายอยู่เลยโรงเรียนประถมบ้านท่าซุงไปประมาณ ๔๐๐ เมตร ยายเขาใส่บาตรทุกวัน แต่ยายใส่บาตรตอนพระท่านกลับ เราเดินสายใต้ ขากลับผ่านบ้านยาย ยายก็จะมาใส่บาตรทุกวัน

ทีนี้มีหมาอยู่ตัวหนึ่ง ถึงเวลาเห็นพระก็วิ่งตาม เพราะคนแก่เวลาใส่บาตร มือสั่น ข้าวหก หมาก็จะเก็บกิน พอได้กินบ่อย ๆ มันจำว่า ถ้าพระมาได้กินแน่ มันก็ตามพระ ตามไปตามมา มันจำได้ว่าบ้านไหนบ้างที่ใส่บาตร มันก็เดินนำหน้าไปเลย

เดินนำมาหลายทีก็ไม่มีปัญหาอะไร วันนั้นยายเขาอารมณ์เสียอะไรมาก็ไม่รู้ พอเดินมาจะใส่บาตร แกเห็นหมาเท่านั้นแหละ ด่าลั่นเลย "อีห่..นี่ มึงเดินนำหน้าหมาเชียวนะ..!"

ด่าเสร็จเรียบร้อยยายก็ยืนงงอยู่พักหนึ่ง "อุ๊ยตาย..ขอโทษเจ้าค่ะ ดิฉันตั้งใจด่าพระ ไม่ได้ตั้งใจด่าหมาค่ะ..!"

ฉะนั้น..ประเภทเดียวกันกับยาย นั่นเขาตั้งใจด่าเทวดา ไม่ได้ด่าพระอริยเจ้า ถ้าจะเอาโทษปรามาสพระอริยเจ้าก็คงจะเบาหน่อย

เถรี
20-07-2010, 01:12
"แต่ที่เห็นว่าด่าแล้วได้ผล ก็พระครูแสงชัย สมัยนั้นท่านยังไม่ได้บวช ด้วยความที่ท่านอยากรู้ว่าเราเดินอย่างไร ทุ่งใหญ่ระยะทาง ๙๓ กิโลเมตร เราเดินวันเดียวไปถึงได้ ก็เลยให้เขาไปด้วย เพราะไม่มีอะไรดีกว่าการพิสูจน์ด้วยตนเอง ไปบอกหรืออธิบายให้เขาฟัง อย่างไรก็ไม่หายสงสัย

ตอนนั้นเดินตอนตีสามแล้วฝนก็ตก ตกตั้งแต่ก่อนตีสามอีก จึงต้องเดินตากฝนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งบ่ายโมงจะบ่ายสองอยู่แล้ว ฝนก็ยังไม่หาย แม้แต่ขณะที่เดินอยู่ก็ยังรู้สึกหนาว มือเหี่ยวซีดไปหมด

ตอนนั้นคุณแสงชัยยังไม่ได้บวช ตกไม่เลิกสักที คงอดรนทนไม่ไหวแล้ว ด่าลั่นเลย "โคตรพ่อโคตรแม่มึง ทางอีสานเขาต้องการ มึงไม่ไปตก กูไม่ได้ต้องการ ดันตกอยู่ได้..!" ด่าจบฝนหยุดตกเลย อย่างนี้น่าจะด่าเสียตั้งแต่ตอนตีสามแล้ว..!

ตามสำนวนกำลังภายในเขาว่า "พลังวัตร" ไม่พอ อุตส่าห์คุมตัวเองได้มาเป็นสิบชั่วโมง มาหลุดเอาตอนท้าย เลยก่อวจีกรรมเข้าจนได้

พาเขาไปจนถึงบ้านคลิตี้บน (บ้านทุ่งเสือโทน) ตอนบ่ายสามโมงพอดีเลย คุณแสงชัยไปถึงก็หัวไถพื้น นอนแผ่หลา เราถามว่า "เฮ้ย..ไม่ไปอาบน้ำ กินข้าวกินปลาก่อนหรือ ?" เขาก็บอกว่าไม่ จะนอนท่าเดียว เราไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเอายาแก้ไข้ยัดปากให้ไปสองเม็ด กรอกน้ำให้แล้วก็หลับไปเลย

ส่วนเราออกไปโบกรถ นั่งรถออกมาอีก ๘๐ กว่ากิโลเมตร กว่าจะถึงตลาดทองผาภูมิก็ค่ำ ไปทุบประตูเขาขอซื้อแกลลอนสองใบ ใบละ ๓๐ ลิตร แล้วก็วิ่งไปปั๊มน้ำมัน ขอซื้อน้ำมันเบนซิน เติมมา ๖๐ ลิตร ไปนอนค้างที่เกาะพระฤๅษีคืนหนึ่งก็วิ่งกลับเข้าไปใหม่ ไปช่วยรถที่ติดอยู่ข้างใน

รถสองแถวเขามาได้แค่บ้านทุ่งเสือโทน เราก็ต้องแบกน้ำมันสองถัง ๖๐ ลิตร เดินเข้าทุ่งใหญ่อีกรอบ ผลปรากฏว่า..ความที่คิดจะช่วยคนอื่นเขาโดยไม่นึกถึงความยากลำบาก เทวดาท่านอาจจะเห็นใจ

พอดีไปเจอคณะนักศึกษาธรณีวิทยา หัวหน้าคณะ คือ ท่านอาจารย์บุญส่ง โยกาศ ท่านแปลกใจว่า พระแบกน้ำมันสองถังเดินมาทำอะไร ? ตอนนั้นท่านกำลังคุมนักศึกษาให้เก็บตัวอย่างแร่อยู่ในป่าข้างทาง ยังอุตส่าห์เดินขึ้นมาถาม ก็เลยบอกกับท่านว่า มีโยมที่เพิ่งจะรู้จักกัน รถเขาไปน้ำมันหมดอยู่ในทุ่งใหญ่ ก็เลยต้องแบกน้ำมันไปให้เขา

อาจารย์บุญส่งท่านคงจะเห็นความบ้า ก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปรถผมก็แล้วกัน" ถามท่านว่า "แล้วงานของอาจารย์ล่ะ ?" ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไร ปล่อยนักศึกษาเก็บตัวอย่างไป เดี๋ยวผมกลับมารับเขาได้"

ท่านก็ขับรถพาไปส่ง ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ยังไม่ได้เจอหน้าท่านอาจารย์บุญส่งอีกเลย คาดว่าคงเกษียณไปนานแล้ว ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๓๖ หรือ ๒๕๓๗ นี่แหละ"

เถรี
20-07-2010, 13:35
"เรื่องนี้เกิดจากความห้าว ประเภทไม่รู้จักเสือเอาเรือมาจอด เรื่องมีอยู่ว่า เด็กหนุ่มสี่คนเอนทรานซ์ติด คิดไปฉลองกัน ตกลงกันว่าไปทุ่งใหญ่

เด็กทั้งสี่คนรู้จักทุ่งใหญ่แต่ชื่อ เห็นระยะทางไม่ถึงร้อยกิโลเมตร ก็คิดว่าสบายมาก ว่าแล้วก็ลุยเข้าไปเลย ขณะนั้นพวกเราเดินธุดงค์ผ่านไปพอดี พอได้ยินเสียงรถ คุณแสงชัยกับคุณเต้ย เขาก็เกิดจินตนาการบรรเจิดว่า ไม่ต้องเดินแล้ว โบกรถดีกว่า ถึงเร็วดี

ความเฮงจึงมาเยือน ปรากฏว่าขึ้นรถเขาไปได้ไม่นาน รถเขาก็เจ๊ง ไหน ๆ อาศัยเขามาแล้วก็ช่วยกันเข็น คลุกโคลนคลุกเลนชนิดท่วมตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าของรถก็ถอดใจ ตัดสินใจที่จะทิ้งรถ อาตมาบอกว่า "ไม่ได้..เอ็งไม่ต้องเข็น ถือพวงมาลัยอย่างเดียว อย่าเสือกออกความเห็น..!"

ตอนนั้นลำบากขนาดเจ้าของเขาถอดใจแล้ว เพราะไม่ใช่ทางราบ ใครเคยไปทุ่งใหญ่จะรู้ ถนนเป็นร่องลึกขนาดรถโฟร์วีลยังติด แล้วช่วงเนินสูงอย่างกับขึ้นลิฟต์เลย เวลาขึ้นเนินก็ช่วยกันดันรถขึ้นไปทีละนิ้ว ๆ แล้วก็เอาไม้รองเขยิบไปเรื่อยจนกว่าจะถึง

พอถึงยอดเนินแต่ละครั้งก็กระโดดขึ้นรถ แล้วก็ปล่อยให้ไหลลง สนุกอย่าบอกใคร..! งานนั้นไม่ได้ตั้งใจเป็นพระเอก แต่ต้องเล่นบทพระเอกตลอด ตอนแรกที่รถสตาร์ทไม่ติด คิดว่าแบตเตอรี่อ่อน เราก็แบกแบตเตอรี่เดินจากเหมืองพุจือ ออกมาบ้านจะแก จำไม่ได้ว่ากี่กิโลเมตร

นายปราโมทย์ นักศึกษาที่เพิ่งเอนทรานซ์ติด ตัวใหญ่ขนาดหนุ่มชินเชาวน์ แบกหม้อแบตเตอรี่ไหว แต่เขาเดินไม่ได้ เพราะพื้นเป็นโคลนเละเทะ พอก้าวทีก็หงายท้อง อาตมากลัวแบตเตอรี่จะเสีย ก็เลยต้องแบกแทน

แบกมาจนถึงบ้านจะแก ไปขอชาร์ตที่แผงโซล่าร์เซลล์ ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน ต้องรอจนกว่าจะสว่าง พอสว่างแล้วฝนดันตกอีก แทบจะไม่มีแดด สรุปว่า พอเอาแบตเตอรี่เข้าที่ชาร์ตเขาก็นอน อาตมาต้องเดินกลับมาเพื่อเฝ้ารถ ปล่อยให้พวกที่นอนนั้น หาข้าวหาปลากินกันในหมู่บ้านจะแก

สมัยนั้นข้างนอกน้ำมันลิตรละ ๖ บาท ข้างในนั้นลิตรละ ๒๕ บาท..! คราวนี้รถที่ไปเป็นรถเบนซิน เขาไม่รู้ว่าในป่ามีแต่ดีเซล หาเบนซินเติมไม่ได้ แล้วรถต้องใช้เกียร์ต่ำตลอด ก็เลยกะผิด กะว่าน้ำมันถังเดียว ๙๐ กว่ากิโลผ่านได้แน่ ปรากฏว่าหมดเกลี้ยง..!"

เถรี
20-07-2010, 13:43
"อาตมาเดินลุยโคลนกลับไปนอนเฝ้ารถ ปรากฏว่าพอนอนลง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็มา ท่านมาสั่งงาน..! ไม่มีเลยที่จะเอ่ยว่า ที่เราลำบากควรจะแก้ไขอย่างไร หรือมาปลอบใจเป็นกำลังใจ มาสั่งงานอย่างเดียวจริง ๆ..!

จึงสรุปได้ว่า การที่เราเดินสายพระโพธิสัตว์มาก่อน เรื่องที่คนอื่นว่ายาก สำหรับเราแล้วยังไม่ยากที่สุด ยังดื้อต่อไปได้ ขนาดเจ้าของรถคิดจะทิ้งรถ เรายังไม่ยอมเลย อย่างไรก็ต้องเอาออกมา ถ้าเป็นพวกเราจะยอมร่วมเป็นร่วมตายกับเขาขนาดนั้นไหม ?

พอเอารถผ่านบ้านพุจือ ผ่านบ้านจะแก ผ่านแม่กะสะ ผ่านเซซาโว่ ออกมาถึงห้วยซ่งไท้ และได้ฝากหน่วยป่าไม้เอาไว้ รุ่งขึ้นนัดแนะเป็นอย่างดี

ตอนนั้นคุณวีรวัฒน์ เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ หัวหน้าวีรวัฒน์บอกว่า พรุ่งนี้มีรถออก ถามว่าออกกี่โมง ? ท่านว่าประมาณ ๗ โมงครึ่ง เราก็นัดแนะทุกคนตั้งแต่ ๖ โมงเช้า บอกว่าในป่าไม่มีอะไรแน่นอน ฉะนั้น..อย่าไปเชื่อที่เขานัด

พอตีห้าครึ่งก็หุงข้าว หกโมงเช้าให้พวกเขาประเคน ฉันเรียบร้อยภายใน ๑๐ นาที พอไปถึงรถกำลังจะออก เราก็กระโดดขึ้นรถพร้อมกับฤๅษีบุญทรง ส่วนพวกคณะสี่คนยังนอนอยู่เลย เขามั่นใจว่า ๗ โมงครึ่งแน่ ในเมื่อเราเตือนแล้ว เขายังนอนกลิ้งอยู่ ก็ปล่อยให้เขารับผิดชอบชีวิตตัวเองบ้าง

ปรากฏว่าช่วงที่หารถเพื่อเข้าทุ่งใหญ่ ตลอดจนเอาน้ำมันเข้าไป มีเหตุการณ์หลายอย่าง คือ ไปขอความช่วยเหลือใครก็ตาม เขามักจะบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธ เพราะเห็นว่าธุระไม่ใช่ ก็ตามเคย คุณแสงชัยด่าเขาโขมงโฉงเฉง จนกระทั่งต้องบอกเขาว่า หน้าที่ขอความช่วยเหลือเป็นหน้าที่ของเรา ส่วนจะช่วยหรือไม่ช่วยเป็นน้ำใจของเขา อย่าจำในสิ่งที่ไม่ดีที่คนอื่นทำกับเรา แต่ถ้าใครทำดีกับเราให้จำเอาไว้ และรอเวลาทดแทน

นี่เป็นแนวปฏิบัติประจำตัวมาแต่แรกเลย ฉะนั้น..ใครทำไม่ดีกับอาตมา อาจจะรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ อยู่ แต่พอเจอหน้า อาตมาก็สบาย ไม่เคยจำเลย จนกระทั่งคนทองผาภูมิเขาสงสัยว่า อาจารย์เล็กโกรธใครไม่เป็นเลยหรือ ?

นึกถึงหลวงปู่อุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดไร่ขิง คนเขามาถาม "หลวงปู่ คนด่าหลวงปู่ขนาดนั้น หลวงปู่ไม่โกรธหรือ ?" หลวงปู่ตอบว่า "มีหรือไม่โกรธ อยากจะมองให้มันหายวับไปตรงนั้นเลย แต่หลวงปู่เป็นพระ หลวงปู่จะทำอย่างไรได้ ก็ได้แต่ยิ้ม" นั่นนักเลงจริง ท่านยอมรับว่าโกรธ

เถรี
21-07-2010, 00:25
ถาม : นิมิตกสิณเราต้องกำหนดนึกตลอดไปหรือเปล่า หรือว่าติดตาติดใจ มองไปที่ไหนก็เห็นตลอด ?
ตอบ : เลิกกำหนดเมื่อไรก็หายเมื่อนั้น ยกเว้นว่าเราจะคล่องตัวจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นเวลาเราเผลอก็อาจจะยังอยู่ได้

ถาม : เวลาเผลอก็ยังอยู่ได้ แปลว่า ติดตาตลอด ?
ตอบ : แปลว่าสมาธิไม่เคลื่อน ถ้าเผลอแล้วไม่เคลื่อนก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าเผลอแล้วเคลื่อนก็หายหมด

เถรี
21-07-2010, 01:06
ถาม : ทางบริษัทจะมีการกำหนดว่า เราจะต้องเขียนว่าหน้าที่การงานในอนาคตที่เราจะไปคืออะไร ? ตอนนี้ผมคิดไม่ออก เพราะพอใจจะอยู่ตรงนี้แล้ว แต่ว่าเหมือนกับเป็นกฎบังคับว่าเราจะต้องเขียน
ตอบ : เขียนว่า "ไปนิพพาน" ดูซิว่าเขาจะว่าบ้าไหม ?

ถาม : จะใช้หลักอะไรในการพิจารณาดี ?
ตอบ : ก็ต้องมีการคาดการณ์ในอนาคตว่าจะไปทางไหน แต่คาดการณ์เป็นได้ทั้ง "ใช่" และ "ไม่ใช่" โอกาสผิดกับถูก ๕๐ : ๕๐ เราลองคาดการณ์ดูว่าอนาคตจะไปทางด้านไหน แล้ววางเป็นแผนขึ้นมา

เพราะการวางแผนนโยบายต่าง ๆ เราต้อง "คิดว่า" หรือ "คาดว่า" เราเองก็ถือว่าภายในสองชั่วโมงนี้จะยอมให้ฟุ้ง แล้วก็นั่งคิดไป ถ้าเราไม่ยอมปล่อยให้ฟุ้งเราจะคิดไม่ออกหรอก กำหนดเวลาไว้ ขอฟุ้งซ่านหน่อย พอเขียนแผนเสร็จเรียบร้อย เราก็เลิก กลับมาอยู่กับปัจจุบันของเราตามเดิม

ถาม : เพราะมัวแต่ฟุ้ง เลยไม่อยากจะเขียน
ตอบ : ในเมื่อเป็นงานก็จำเป็นต้องคิด

ถาม : มีวิธีการคิด ที่พอจะเดาได้ว่า อย่างน้อยเราจะหลีกไม่ต้องคิดไปตรงนั้น แล้วเราก็เขียน อย่างนั้นก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..เขาให้อิสระเราอยู่แล้ว ต้องการแค่ว่าให้เราเขียนออกมาให้ได้แค่นั้น

เถรี
21-07-2010, 01:28
ถาม : กติกาของความเป็นพระโสดาบัน คือรักษาศีล ๕ เคารพในพระรัตนตรัย นึกถึงความตาย และรักพระนิพพาน ทีนี้การทรงอารมณ์เหล่านั้น พอเราคุยหรือเราเรียนหนังสือ ลมหายใจเราหลุดออกจากอารมณ์นั้น
ตอบ : เรื่องของลมหายใจเป็นเครื่องช่วยในการตัดกิเลสเท่านั้น ถ้าเวลาทำงานให้สมาธิของเราอยู่กับงาน ถ้าว่างจากงานแล้วให้มาจับภาวนา ยกเว้นถ้าเรามีความคล่องตัวจริง ๆ เราจะภาวนาพร้อมกับทำงานได้

แต่ถ้ายังทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็ให้สมาธิทั้งหมดก็อยู่กับงาน จะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปอย่างอื่น เลิกงานแล้วค่อยมาอยู่กับกรรมฐาน