PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓


เถรี
08-06-2010, 16:06
ถาม : ถ้าเราถือศีลแปด ตอนเย็นเราสามารถกินน้ำมันได้ไหมคะ อย่างพวกวิตามิน น้ำมันรำข้าว น้ำมันตับปลา?
ตอบ : นั่นมันเป็นวิตามิน..แต่ถ้ายังเป็นน้ำมันอยู่..กินได้ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาต สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิตํ ก็คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย

เถรี
08-06-2010, 16:08
"งานทุกอย่างถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก แม้กระทั่งในการต่อสู้ ใครก็ตามที่สามารถรักษาสติสัมปชัญญะและสมาธิเอาไว้ได้ โอกาสชนะจะมีมากกว่า"

เถรี
08-06-2010, 16:41
พระอาจารย์กล่าวถึงการเดินทางไปที่บึงลับแลในช่วงที่ผ่านมา แล้วสอนว่า "พอคนเราเหนื่อยมาก ๆ เหนื่อยแทบปางตาย ส่วนใหญ่จะลืมความดีหมด ไปนึกอยู่แต่อาการเฉพาะหน้าของตัวเอง ลักษณะอย่างนั้นถ้าตายไปโอกาสจะไปดีนั้นมีน้อย ต้องเกาะความดีได้ทุกเวลา ไม่ใช่พอถึงเวลาหอบแฮ่ก ๆ แล้วก็นึกถึงแต่ความเหนื่อย

ไม่ว่าสถานการณ์ไหน จะต้องจับภาพพระหรือคำภาวนาตลอด จะเห็นได้ว่าอาตมาหิ้วข้าวของเข้าไปให้พวกเราได้ ไม่เห็นมีอะไร..แค่น้ำแข็งกระติกเดียว ภาวนาคาถาเงินล้านครบหนึ่งจบก็เปลี่ยนมือที่ถือกระติกเป็นอีกข้างหนึ่ง ใช้วัดตัวเองได้ด้วย นอกจากไม่เมื่อยแล้วยังได้สมาธิภาวนาอีกต่างหาก

อาตมาไปในลักษณะที่คนอื่นเห็นว่าช้าแต่ไปเร็ว ลักษณะอย่างนั้นนี่ต้องซ้อมให้ชิน พอชินกับการภาวนา ชินกับการเดินแล้ว ก้าวแรกกับก้าวสุดท้ายของเราจะก้าวยาวเท่ากัน กำลังใจตั้งแต่ต้นทางและปลายทางจะทรงตัวเท่ากัน

ตอนที่อยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก ไปเดินบิณฑบาต ทางป่าไม้เขาให้คนงานไปช่วยหิ้วปิ่นโตหิ้วกับข้าว หิ้วไปหิ้วมาเขาก็หายกันไปหมด หัวหน้าคนงานก็ไปด่าลูกน้อง ลูกน้องก็บอกว่า "ไม่เอา ไปกับอาจารย์เดินไม่ทัน เหนื่อยฉิบ..เลย" เขาก็สงสัย ทำไมพวกนั้นบอกว่าเดินไม่ทัน เพราะพวกนั้นเดินเขาต้องวิ่งตาม..!

เราก็เดินภาวนาไปเรื่อย ๆ พอเพลินกับการภาวนาก็ลืมเหนื่อย แต่คนทั่ว ๆ ไป พอเหนื่อยขึ้นมาก็จะคิดแค่ตรงที่ตัวเองเหนื่อย ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ กลายเป็นซ้ำเติมตัวเอง"

เถรี
08-06-2010, 16:46
ถาม : การที่ทรงความปีติเอาไว้ในใจตลอด ยังดีไม่พอหรือคะ?
ตอบ : ยัง..ดีเหมือนกัน แต่ยังไม่ดีพอ ลองสังเกตดู พอเราเผลอเมื่อไร ก็โดนกิเลสตอดเล็กตอดน้อยอยู่เรื่อย

ปีติมันยังไม่ใช่ฌาน กำลังต่ำเกินไป อย่างน้อย ๆ ควรให้เป็นอุปจารฌานหรือปฐมฌาน ในเมื่อกำลังยังไม่หนักแน่นพอ เมื่อเราเผลอกิเลสก็ตอดเล็กตอดน้อยไปเรื่อย

เถรี
08-06-2010, 18:21
ในขณะที่เถรีนั่งอ่านหนังสือนิยายเรื่อง นวจันทรา หลวงพ่อจึงได้กล่าวถึงตอนหนึ่งในหนังสือให้ฟังว่า "จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาบอกว่า เผ่าพันธุ์ของมนุษย์หมาป่าจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ของผีดูดเลือด

ถ้าผีดูดเลือดมีมาก มนุษย์หมาป่าก็จะเกิดมาก ถ้าผีดูดเลือดมีน้อย มนุษย์หมาป่าก็จะเหลือน้อย มาถึงตรงนี้นึกอะไรได้บ้าง ?

นึกถึงเรื่องที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเรื่องพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์ ท่านบอกว่า น้ำถึงไหนปลาถึงนั่น พุทธศาสตร์เจริญรุ่งเรือง ไสยศาสตร์ก็รุ่งตาม ถ้าหากพุทธศาสตร์ตกต่ำ ไสยศาสตร์ก็ตกต่ำด้วย

เหตุเพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีขึ้นได้ เกิดจากความนิยมชมชอบของคน ในเมื่อชอบก็จะปฏิบัติ พอปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พุทธศาสตร์ก็รุ่งเรือง ทางด้านคนที่ชอบไสยศาสตร์พอปฏิบัติเต็มที่ก็เจริญเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..มนุษย์หมาป่าในหนังสือช่วงนี้เกิดเยอะ เพราะผีดูดเลือดมารวมตัวกันมาก"

เถรี
08-06-2010, 20:31
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องสัตว์ดูดเลือด อย่างเช่นปลิงหรือทาก แล้วสรุปให้ฟังว่า "เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่กลัว ความสยองก็จะน้อยลงไปเยอะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะไปกลัว ในเมื่อเรากลัว พอไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ บางทีก็สติขาด พอขาดสติก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูก"

เถรี
08-06-2010, 20:42
ถาม : เวลาดิฉันขับรถ จะสวดเมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง ฯลฯ
ตอบ : หลวงปู่ดู่ท่านบอกไว้ว่า ใครท่องคาถานี้ ผีหรือเทวดาจะเกิดความรักเมตตา ถ้าหากขอให้ท่านคุ้มครองรักษา ท่านก็ยินดีและเต็มใจ

ก่อนเดินทางก็อุทิศส่วนกุศลไปเลย จะเป็นอากาสเทวดา รุกขเทวดา สัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์อะไรก็ตาม ที่รักษาตลอดเส้นทาง อุทิศให้เขาทั้งหมด แล้วอธิษฐานขอให้ช่วยรักษาเราด้วย

เถรี
09-06-2010, 07:13
พระอาจารย์ท่านบอกว่า "พระชำระหนี้สงฆ์ตกลงว่าจะสร้าง ๓๒ องค์ ความจริงพื้นที่มีพอสำหรับก่อสร้างได้ประมาณ ๔๐ องค์ แต่เว้นตรงกลางเอาไว้ เพราะจะสร้างมณฑปสักหลังหนึ่ง ยังไม่รู้ราคาเท่าไร ให้เขาออกแบบเหมือนกับพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ที่บางปะอิน

พอสร้างขึ้นมาแล้ว จะตั้งพระประธานบนมณฑปที่สร้าง หน้าตักสัก ๑๐ ศอกกำลังสวย น่าจะเป็นโครงการหลังจากเรื่องอื่น ๆ เพราะตัวอาคารทรงไทยเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก โดยเฉพาะลายไทย"

เถรี
09-06-2010, 08:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรม บางทีเราก็อาจจะมองข้ามสิ่งสำคัญที่สุดไปโดยไม่รู้ตัว และก็ทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า อย่างเช่นเราอาจจะเห็นว่านิวรณ์ ๕ เป็นเรื่องเด็ก ๆ ใครปฏิบัติก็จะต้องเจออยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่คิดที่จะหักให้ลงสักที เมื่อไร ๆ ก็เป็นนิวรณ์ขวางเราอยู่อย่างนั้นแหละ

ลองจัดการให้ร่วงลงไปสักที แล้วอะไร ๆ จะได้มากกว่านี้อีกเยอะ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุธัจจะ วิจิกิจฉา เห็นเป็นบทเรียนแรก ๆ ของการปฏิบัติเลย ใคร ๆ ก็ต้องเจอ เจอบ่อยเสียจนเรามองข้ามไปหรือเปล่า? ทั้ง ๆ ที่พวกนี้เป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดเลย

ถ้าเราหักเขาลงได้ ก้าวต่อไปนี่ไม่ยากหรอก เจ้าตัวนี้นี่แหละที่ขวางเราอยู่ทุกวัน..!"

เถรี
09-06-2010, 09:25
ถาม : สติปัฏฐานสี่เขาให้ใช้แค่ขณิกสมาธิหรือคะ ?
ตอบ : เขาบังคับให้ใช้แค่นั้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง แต่ในเมื่อเขาให้ทำแค่นั้นก็ทำตามเขาไปเถอะ

ถาม : จะทำอย่างไรให้เห็นรูปนาม ให้เห็นเกิดดับ ?
ตอบ : ที่เขาอธิบายมาเป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น นามรูปปริเฉทญาณ ต่ำสุดจะต้องเป็นปฐมฌาน แต่คราวนี้เขาให้ใช้ขณิกสมาธิ โอกาสที่จะเข้าถึงจริง ๆ จึงยาก

การแยกรูปกับนามออกจากกันได้ ถ้าหากไม่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ เราจะเห็นไม่ชัด แต่ทันทีที่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ เราจะเห็นชัดเจนเลยว่า อันนี้เป็นรูป อันนี้เป็นนาม เพราะว่าทันทีที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส เราไม่ให้ความสนใจ จะสนใจอยู่แต่ภายใน เราจะแยกออกเลยว่า นามธรรมอยู่ข้างใน กายสักแต่ว่าเป็นเปลือกเท่านั้น

แต่คราวนี้เขาให้ใช้ว่าขณิกสมาธิ โอกาสที่เราจะเห็นก็ยากมาก แต่พอเราไปส่งอารมณ์กับอาจารย์กรรมฐาน อธิบายไปได้นิด ๆ สะเก็ดผิวนิดหนึ่ง เขาก็ให้เราผ่านแล้ว

ถาม : เขาบอกว่าถ้าอธิบายการเข้าญาณ ๑๖ ไม่ถูก ไม่ได้เป็นพระโสดาบัน
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลหรอก ที่เขาว่า..เขาว่าไปตามตำรา แต่คนที่ทำได้จริงไม่ต้องไปถึงญาณ ๑๖ หรอก ถ้าเขาทำได้จริง ทั้งหมดที่ว่ามามีอยู่ครบแล้ว

เถรี
09-06-2010, 13:03
ถาม : เวลาสวดมนต์ ไม่รู้จมูกเป็นอะไร แต่เวลานั่งสมาธิจะไม่เป็น
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ สวดมนต์ต่อไป เขาเรียกว่าขันธมาร

ถาม : แต่เวลาสวดมนต์จะไม่มีสมาธิเลยค่ะ
ตอบ : เวลาสวดมนต์จะเกาจมูก หรือจะอะไรให้ทำไป แต่อย่าเลิกสวด เขาแค่ต้องการจะกวนให้เรารำคาญ แล้วเลิกทำความดีเท่านั้นแหละ

เถรี
09-06-2010, 13:09
ถาม : สติ สมาธิ สัมปชัญญะ นี่มันคืออะไรคะ?
ตอบ : สติกับสัมปชัญญะเป็นของคู่กัน ส่วนสมาธิเป็นกำลังของใจ ที่เกิดจากการที่ความรู้สึกทั้งหมดรวมแน่วแน่อยู่จุดใดจุดหนึ่ง สตินึกได้ว่าจะทำอะไร สัมปชัญญะรู้อยู่ว่าตอนนี้ทำอะไร

ถาม : ก็คือ มีสมาธิจะต้องมีสติด้วย?
ตอบ : ถ้าหากสมาธิดี สติและสัมปชัญญะก็จะดีไปด้วย

ถาม : แล้วคนที่เป็นพระโสดาบันเขาจะมีสติทั้งหลับทั้งตื่น
ตอบ : เขาเป็นอัตโนมัติ

ถาม : ก็แสดงว่าในฝันก็ไม่ผิดศีล
ตอบ : ต้องไปถามพระโสดาบัน

เถรี
09-06-2010, 16:50
ถาม : คำว่า กังวล ในภาษาบาลีแปลว่าอะไร?
ตอบ : แปลว่า ห่วง ห่วงหน้าพะวงหลัง ตัดไม่ขาด

เถรี
09-06-2010, 19:01
พระอาจารย์กล่าวถึงการไปบึงลับแลครั้งล่าสุดที่ผ่านมาว่า "ความจริงอยากจะไปนอนค้างกับพวกเราด้วย แต่เกรงว่าการที่ไปอยู่ด้วย จะทำให้พวกเราปล่อยปละละวางตัวเองมากเกินไป ก็เลยต้องทิ้งเอาไว้ข้างในนั้น ให้เอาตัวรอดกันเอง"

ถาม : หลวงพี่ท่านหนึ่งบอกว่า เราไปนอนทับบนที่หลุมศพคนตาย
ตอบ : ให้จำเอาไว้ว่า พื้นดินในโลกนี้ ไม่มีจุดไหนที่ไม่มีคนตาย มีคนตายซับตายซ้อนมานับไม่ถ้วน ก่อนนอนก็แผ่เมตตาให้เขา ขอยืมพื้นที่เขาใช้ชั่วคราว เราทำความดีอะไรก็ขอให้เขาโมทนาด้วย

เถรี
09-06-2010, 19:33
พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ว่า "สำคัญตรงกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติอย่าไปทิ้ง พองานมาก ๆ แล้วเราจะอยู่ในลักษณะผ่อนผันไปเรื่อย

ผ่อนให้ตัวเองก็คือ เหนื่อยมาแล้ว แค่สวดมนต์ไหว้พระนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็นอน พอถึงเวลามานึกอีกที เออ...เราน่าจะทำให้ดีกว่านี้ มีแต่ใจประหวัดถึง คิดถึง ห่วงถึง แต่การปฏิบัติจริงก็ยังไม่มี

กำลังของเราก็จะตกไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ตัว พอปล่อยไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งแล้วเราจะเอาไม่อยู่ ต้องดูอย่างหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ไม่ว่าภารกิจมากขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าร่างกายไหว ท่านก็ลงมาสวดมนต์ทำวัตร หรือลงโบสถ์ ในส่วนที่เป็นกิจวัตรท่านไม่ทิ้ง

ถ้าทิ้งแล้วกำลังเราจะตก เอาคืนยาก แล้วเราจะฟุ้งซ่านมาก หวาดระแวงไปสารพัด หวาดระแวงไปสารพัดก็คือ ความชั่วมีมากกว่าความดีหรือเปล่า ? อาบัติหนักเราโดนไปแล้วหรือไม่ ? จะคิดไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ อย่าไปเปิดโอกาสให้กิเลส เขาได้โอกาสเขาไม่เคยปรานีเราหรอก"

เถรี
09-06-2010, 19:40
"หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ตอนท่านเรียนบาลี ท่านใช้การท่องบาลีนั่นแหละเป็นการภาวนา ก็แปลว่าคำภาวนาของท่าน ยาวเป็นเล่ม ๆ

วันหนึ่งท่านภาวนาไป เห็นใครก็ไม่รู้นอนท่องหนังสืออยู่ ก็ตกใจ ความจริงก็คือ เห็นตัวเองนอนท่องหนังสืออยู่ ท่องไปท่องมากายในของท่านหลุดไปอยู่บนเพดาน

ต้องไปฟังท่านเล่าเอง สนุกมาก หน้าของท่านนิ่งมากเลยนะเวลาเล่า แต่เรื่องที่เล่าตลกมากเลย

เคยไปกราบขอให้ท่านเล่าเรื่องผีให้ฟัง ท่านก็บอกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ผมเจอเป็นผีหรือเปล่า ? แล้วท่านก็เล่าให้ฟังเป็นฉาก ๆ เลย ผีล้วน ๆ..! แต่ท่านก็ยืนยันว่าท่านไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเปล่า"

เถรี
09-06-2010, 21:55
"สมัยก่อนวิ่งรับใช้ท่านทั้งหลายอยู่ที่วัดธรรมมงคล เพราะว่าแม่ไปร่วมเป็นกรรมการสร้างเจดีย์ให้หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร

บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อยุคนั้นก็มากันเยอะ ตอนนั้นยังวัยรุ่นอยู่ วิ่งเก่งทำงานคล่อง ก็เลยมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด เราก็ไม่ใช่เด็กกลัวพระ ก็ถามท่านไปเรื่อย ถามไปถามมา ก็ขอหวยหลวงตาบัวซะเลย..!

ท่านรู้ว่าเราอยากรู้ ตอนนั้นคิดว่าพระที่ปฏิบัติสายวิสุทธิมรรค อย่างสายหลวงปู่มั่น ท่านมีฤทธิ์มีเดชเหมือนกับสายอื่นเขาหรือเปล่า ? ถามด้วยความอยากรู้ ท่านก็ให้จริง ๆ และก็ออกตรง ๆ ท่านก็คงจะรู้ด้วยว่าเราไม่ได้เล่น แค่อยากรู้เฉย ๆ ก็เลยบอกตรง ๆ

เรื่องของการปฏิบัติ ไม่ว่าจะปฏิบัติกับครูบาอาจารย์สายไหนก็ตาม ถ้าหากว่าวิสัยเดิมของตนเองเป็นอย่างไร ถ้าเข้าถึงธรรมแล้วของเดิมจะมาเอง

แบบเดียวกับพระจุลปันถกเถระ เป็นพระวิชชาสาม แต่ลูกศิษย์เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณเป็นพันเลย เพราะวิสัยเดิมของลูกศิษย์เป็นอย่างนี้ เวลาท่านปฏิบัติไปถึงของเก่าก็กลับคืนมา"

เถรี
09-06-2010, 22:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเรื่องน่าขำก็คือ ไม่เคยเห็น หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล เป็นหลวงปู่หลวงพ่อเลย เห็นท่านเป็นแม่ตลอด เป็นเรื่องที่แปลกมาก แสดงว่าความผูกพันเดิม ๆ คงอยู่ตอนสมัยที่ท่านเป็นแม่ และต้องเป็นแม่มาหลายชาติด้วย"

เถรี
09-06-2010, 22:50
ถาม : ถ้าเราไปตัดก้านออกจะบาปไหม? (ก้านของพระสมเด็จองค์ปฐมยอดธง)
ตอบ : ตัดออกทำไม?

ถาม : เวลาเลี่ยมจะได้เลี่ยมได้เล็กหน่อย
ตอบ : ก็ไม่ได้ทำลายองค์ท่านนี่ เพียงแต่ว่าพอเขาถาม พระของเราก็ไม่ใช่แบบองค์ดั้งเดิม

เถรี
09-06-2010, 23:07
ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิแล้วมันวูบหายไป เป็นเพราะเราทรงฌานลึกหรือเพราะเราหลับครับ ?
ตอบ : จิตหยาบ สติตามไม่ทัน ถ้าเป็นปฐมฌานก็เป็นปฐมฌานอย่างหยาบ ในเมื่อจิตหยาบ สติตามไม่ทัน ถึงเวลาก็วูบหายไปไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ประสาทเริ่มรับรู้อาการภายนอก

ถาม : แสดงว่ายังไม่ค่อยดี ?
ตอบ : ต้องทำให้ดีกว่านี้ ตอนนี้ถือว่าอยู่ในระดับทั่ว ๆ ไป หมูหมากาไก่ก็ทำได้ เพราะว่าสัตว์ทุกชนิดก็หลับได้เหมือนกัน

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรมอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือพวกหมูหมากาไก่อะไรก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งเจตนาที่จะให้เป็นกองบุญกองกุศล ก็เลยไม่มีอานิสงส์ ต้องบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรม เพราะถ้าไม่มีการพักผ่อนในส่วนนี้เขาก็อยู่ไม่ได้

ถาม : คือเราตั้งใจทำดี ก็ยังได้อานิสงส์อยู่ ?
ตอบ : ของเราที่ว่ามานี่อานิสงส์เท่ากับอานิสงส์ของพรหมชั้นที่ ๑ แต่ของเขาไม่มีอานิสงส์ตรงนั้น เพราะไม่ได้เจตนาที่จะทำ เป็นไปโดยธรรมชาติ ถึงเวลาจะพักผ่อน จิตก็ตัดจากสิ่งวุ่นวายภายนอก เข้าไปสู่จุดพัก

เถรี
09-06-2010, 23:44
ถาม : ปีนี้สีอะไรเป็นแชมป์บอลโลกครับ ?
ตอบ : ไม่ได้อยู่ในความคิดเลย ขนาดถามว่าวันที่ ๒๐ นี้ใครเตะกับใคร ยังตอบกันไม่ได้เลย แล้วจะรู้ไปทำไม ? จะดูว่าถ้าวันงานสืบชะตาคนหายไป แสดงว่าเขาคิดว่าอยู่ดูบอลดีกว่า

ถาม : แล้วอังกฤษจะสมหวังไหมครับ ?
ตอบ : เมื่อก่อนนี้คนยังไม่รู้เราก็ยังพอบอกได้ ตอนนี้บอกไปเจ้ามือเดือดร้อนแน่..!

เถรี
10-06-2010, 00:17
พระอาจารย์บอกว่า พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน เลียนแบบมาจากพระปิดตานะมิ ของหลวงปู่สีค่ะ

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=5661&stc=1&d=1276103719

พระปิดตานะมิ หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค

เถรี
10-06-2010, 11:05
ถาม : เวลาเราคุยกับเพื่อน แล้วเราอธิบายธรรมให้เพื่อนโดยใช้ความจำของเรา เราอธิบายให้เขาผิด ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ตั้งใจจะบอกผิดเลย อันนี้มันผลมีไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้เขาเป็นมิจฉาทิฐิ ต้องตามไปแก้

ถาม : ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ด้วยใช่ไหม ?
ตอบ : ปล่อยเอาไว้เขาก็ผิดไปเรื่อย เพราะเขาเชื่อเรานี่

ถาม : แล้วถ้าเกิดผมบอกถูกแล้วเขาเข้าใจผิดเอง ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของเขา

ถาม : แล้วถ้าผมบอกผิด แล้วเขาเข้าใจถูกละครับ ?
ตอบ : แสดงว่าเขาเก่ง..!

ถาม : แล้วควรจะต้องตามไปแก้ไหมครับ?
ตอบ : ไปบอกเขาว่าคราวที่แล้ว ที่เราบอกไปอย่างนั้นผิด แต่ถ้าเขาบอกว่าเขาเข้าใจถูกตั้งแต่แรก แสดงว่าเขาเก่งกว่าเรา (หัวเราะ)

เถรี
10-06-2010, 11:35
ถาม : ถ้าอยู่ ๆ ผมนึกจับอารมณ์พระนิพพานแล้วเป็นสุขเหลือเกิน ผมควรจะทำต่อไปเรื่อย ๆ หรือควรจะไปนั่งสมาธิก่อน
ตอบ : ถ้านั่งสมาธิก็จับอารมณ์พระนิพพานต่อ คือ สภาพจิตที่ไร้กิเลส เบาบางจาก รัก โลภ โกรธ หลง มีความผ่องใสเป็นปกติ ใคร ๆ ก็ต้องการ ในเมื่อผ่องใสอยู่แล้ว เราก็ประคองไว้สิ..!

เถรี
10-06-2010, 11:37
ถาม : เมื่อครู่ผมขับรถไปเรื่อย ๆ นึกถึงพ่อ นึกถึงพี่ ชาติที่ผมเลว ๆ ท่านยังอุตส่าห์มาประคับประคองเรา แล้วเราควรทำต่อไปหรือเปล่าหนอ ? อุตส่าห์มีคนมาทำให้ขนาดนี้ ทำไมเราไม่ทำเพื่อคนอื่นเขาบ้าง ? จัดเป็นตัวฟุ้งซ่านหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถือว่าคิดได้ อย่างน้อย ๆ การคิดของเราก็อยู่ในด้านที่ห่าง รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าถือว่าฟุ้ง ก็ยังฟุ้งอยู่ในเกณฑ์ดี

เถรี
10-06-2010, 11:39
ถาม : ลูกสาวครับ ผมจับสวดมนต์ก็ทะเลาะกันบ้านแตก เขาไม่ยอม ผมไม่รู้จะใช้กุศโลบายอย่างไรดี ?
ตอบ : ไม่ต้องไปบังคับเขา เราทำของเราไป

ถาม : ไม่ต้องดึงเขาหรือครับ หรือว่าถึงเวลาแล้วเขาจะมาเอง ?
ตอบ : กรอกหูเขาไปเรื่อยว่า วันนี้พ่อสวดมนต์ไหว้พระมา มีอานิสงส์อย่างนี้ ๆ หนูโมทนานะ แต่ถ้าหนูรออยู่ ว่าจะให้พ่อหุงข้าวให้กินอยู่เรื่อยไป ถ้าพ่อตายแล้วใครจะหุงให้ หนูก็ต้องทำเองบ้าง

ถาม : ทะเลาะกันใหญ่โตเลย กลายเป็นผมอารมณ์ร้อนไป เขาร้องไห้เลย
ตอบ : นั่นเกิดจากว่าเราหวังดี แต่ไม่เข้าใจจิตวิทยาเด็ก เด็กต้องเชิญชวน ถ้าหากบังคับอย่าหวังว่าจะสำเร็จ โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่ ลูกเขารู้ว่าถ้าแหกปากร้อง พ่อแม่ก็เลิกบังคับแล้ว

เถรี
10-06-2010, 12:37
ถาม : อยากทราบที่มาที่ไปของวันอัฐมีบูชา และวัดในปัจจุบันมีการเวียนเทียนในวันนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : วันอัฐมีบูชา จะตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ หรือถ้ามี ๘ สองหน ก็เป็น แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗

เป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธจำนวนหนึ่งก็เลยถือว่าเป็นวันสำคัญที่ควรแก่การระลึกนึกถึง ก็จะมีการจัดการทำบุญ โดยเฉพาะมีการเวียนเทียนด้วย แต่จะมีบางวัด น่าจะเป็นวัดพระแท่นศิลาอาสน์ เขาจะจัดให้มีการถวายพระเพลิงพระบรมศพจำลองทุกปี

ถาม : แล้ววัดอื่น ๆ ในประเทศไทยละคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่วันอัฐมีบูชาจะไม่เป็นที่นิยมกัน เขาจะนิยมเฉพาะวันมาฆะ วันวิสาขะ วันอาสาฬหะ เป็นต้น ดูง่าย ๆ คนเขามักจะคิดว่าเป็นวันที่ควรแก่การเศร้าโศกมากกว่า ก็เลยไม่ได้จัดอยู่ในเทศกาลทำบุญอย่างเป็นทางการ แต่จัดอยู่ในวันสำคัญวันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา

เถรี
10-06-2010, 13:19
"เรื่องวันอัฐมีบูชาที่โยมเขาถามเมื่อครู่นี้ เกี่ยวเนื่องด้วยการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นความรอบคอบของพระอานนท์ ถ้าพระอานนท์ไม่สอบถามไว้ก่อน จะไม่มีใครรู้ว่า ควรจะจัดการกับพระสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อปรินิพพานแล้วอย่างไร

เรื่องนี้ต้องไปดูในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้นำรางเหล็ก ใส่น้ำมันหอมให้เต็ม แล้วนำสรีระของพระองค์ท่านห่อด้วยผ้าขาว...ซ้อนด้วยสำลี...ห่อด้วยผ้าขาว...ซ้อนด้วยสำลี ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนได้ ๕๐๐ ชั้น แล้วใส่ลงในรางเหล็กที่เต็มไปด้วยน้ำมันหอม ยกขึ้นบนจิตกาธาน

เป็นความรอบคอบมากอีกอย่างหนึ่งที่ใส่ไว้ในรางเหล็ก เพราะถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไป เวลาเผากระดูกก็กระจัดกระจาย ถ้าเป็นเมรุทั่วไป ก็ไม่รู้กระดูกใครต่อกระดูกใครที่เหลือตกหล่นปนกันอยู่ แต่การเผาด้วยวิธีนี้ ต่อให้เผาคนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า กระดูกหรืออัฐิธาตุก็ไม่กระจัดกระจายไปไหน เพราะอยู่ในรางเหล็ก

แต่ของพระพุทธเจ้าท่านพิเศษตรงที่ว่า ไฟไหม้แล้วเว้นเอาไว้ชั้นหนึ่ง ดังนั้น..พระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดก็เลยอยู่ในห่อผ้าขาวและสำลีชั้นสุดท้าย

จากการที่เผาพระพุทธสรีระภายใน ๗ วัน ก็เลยเป็นแบบอย่างที่เขายึดถือกันต่อ ๆ มาว่า เมื่อพระมรณภาพก็ควรจะเผา"

เถรี
10-06-2010, 17:10
"อดีตเจ้าคณะจังหวัด ท่านพูดหลายทีว่า "ท่านเล็ก..ปรึกษาคณะกรรมการวัดว่าเผาหลวงปู่สายซะทีสิ" ก็ถามว่า "ทำไมละครับ ?" ท่านบอกว่า "พระพุทธเจ้ายังไว้แค่ ๗ วันเอง"

ตามที่ท่านว่ามาก็ใช่ แต่ถ้าเรามาคิดดูอีกที องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้มีคำสั่งไว้ว่า บรรดารุ่นหลัง ๆ จะจัดการกับสังขารอย่างไร โดยเฉพาะในยุคที่เขายึดวัตถุมากกว่าหลักธรรม การมีสังขารครูบาอาจารย์อยู่ อย่างน้อยก็เป็นเครื่องยึดเกาะให้เขาได้

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็บอกว่า ถ้ายังเก็บสังขารท่านอยู่ ตราบนั้นก็ยังเลี้ยงวัดได้ ท่านบอกว่า คนคิดถึงข้า เขาก็มาไหว้ อย่างน้อย ๆ เขาก็เอาสตางค์ใส่ตู้ พวกแกก็จะได้มีเงินไว้ สำหรับเลี้ยงดูหรือว่าซ่อมแซมถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาได้

ดังนั้น..ความเห็นในข้อนี้ที่ว่า แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเผาก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันหลายต่อหลายท่าน ก็ได้รับคำสั่งมาโดยตรงเช่นกันว่าให้เก็บไว้ เพียงแต่ว่าท่านที่พูดในลักษณะนี้ มักจะไม่รู้ตรงจุดนี้ ในเมื่อไม่รู้...ก็เลยถือเอาเป็นมาตรฐานว่า แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตั้งพระศพไว้เพียง ๗ วัน"

เถรี
10-06-2010, 17:30
ถาม : ถ้าเก็บพระศพของพระพุทธเจ้าไว้เกิน ๗ วันจะเป็นเรื่องไหมคะ ?
ตอบ : เมืองกุสินาราอาจจะจนไปเลย เพราะคนแห่กันมาเป็นหมื่นเป็นแสน จะเอาอะไรให้เขากิน

หลวงปู่มั่น ก่อนท่านจะมรณภาพ ท่านยังบอกให้เอาศพท่านเข้ามาในเมือง เพราะว่าในเมืองมีตลาด มีข้าวปลาอาหารให้ซื้อหาได้ ถ้าเอาไว้ในวัดเล็ก ๆ ในป่า เวลาคนแห่กันไปเป็นพันเป็นหมื่น เขาต้องเอาหมูเอาไก่ ไปเชือดไปเลี้ยงกัน ท่านเกรงว่าสัตว์จะตายอีกเยอะ และเป็นการตายโดยเจตนาด้วย นั่นเป็นความรอบคอบของท่าน

แต่เราลองนึกถึงพระสังขารอายุ ๘๐ แล้วป่วยหนักขนาดนั้น โดนย้ายเดินทางขนาดนั้น ไม่มีรถเบนซ์หรือเครื่องบินอย่างสมัยนี้ อย่างดีก็ขี่เกวียน เวลาเดินทางก็คงทรมานสังขารน่าดู

เถรี
10-06-2010, 21:15
"สมัยก่อนทางภาคเหนือ ครูบาอาจารย์ท่านเดียวที่ไม่ได้เผา คือ หลวงปู่ครูบาอภิชัย (ขาวปี) เพราะเขาถือว่าท่านไม่ใช่พระ จับท่านสึกกลายเป็นผ้าขาวไปแล้ว เขาจึงเก็บสังขารท่านเอาไว้ และในที่สุดก็พบว่าสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย

องค์ต่อมาที่เขาเก็บตามแบบลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ก็คือ ถ้าหากสังขารอยู่ก็เลี้ยงวัดได้ เราจึงได้มีสังขารของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย สังขารหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ สังขารหลวงปู่เกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ ไม่อย่างนั้นทางเหนือเขานิยมเผากันเกลี้ยง..!

ถ้าจะเอาอย่างที่หลายท่านถือพระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์ ว่ายังไว้แค่ ๗ วัน คงต้องไปขุดภูเขาเพื่อเอาพระมหากัสสปะออกมาเผาด้วย..! สองพันกว่าปีแล้วสังขารท่านยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้"

เถรี
10-06-2010, 21:22
ถาม : ครูบาอภิชัยขาวปี ทำไมถึงโดนสึกเป็นผ้าขาวคะ ?
ตอบ : ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย เป็นมือขวาเลย

เขากล่าวหาว่าหลวงปู่ครูบาศรีวิชัยซ่องสุมผู้คนเพื่อจะก่อการกบฏ เนื่องจากว่าท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนจะตามท่านไปบวชมาก ฆราวาสไปปฏิบัติธรรมกับท่านมากด้วย

ตัวอย่างที่ชัดที่สุด ก็คือ การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยประกาศว่า ถ้าทางไม่เสร็จ ครูบาจะนั่งไม่ลุก เท่านั้นแหละ คนก็แห่กันมามืดฟ้ามัวดิน ทำทางขึ้นดอยสุเทพโดยที่รัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว แย่งกันทำด้วย

ที่ขำ ๆ ก็คือ เขาบอกว่า บางคนจับจองที่เอาไว้แล้ว ถากถางจนเหนื่อยแล้วก็หลับ ตื่นขึ้นมาปรากฏว่าคนอื่นถางที่ตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว เพราะเขาหาที่ไม่ได้ ในเมื่อเหลือที่อยู่ เขาเห็นเขาก็จัดการถางเลย

เถรี
10-06-2010, 21:27
ผู้ปกครองสมัยนั้น บางทีก็อยากได้หน้า อยากได้ผลงาน และอาจจะไม่ชอบปฏิปทาอะไรบางอย่างของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย อาจจะรู้สึกขัดหูขัดตาหรือไม่ยอมให้ผลประโยชน์ต่อเขา ก็เลยฟ้องร้องเข้ามาทางกรุงเทพฯ

สมัยนั้นพวกโทษกบฏ โดนตัดหัวถึงเจ็ดชั่วโคตร ตอนแรกบรรดาพระเณรและฆราวาสทั้งหลายก็จะแห่ลงมากรุงเทพฯ กัน เพื่อช่วยแก้ต่างให้ แต่หลวงปู่ครูบาท่านบอกว่าขอมาคนเดียว เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนคนเขากล่าวหาหนักขึ้นว่า ใช้กำลังมาบังคับกัน จะเป็นลักษณะกบฏชัดเจน

พอมาสอบสวนแล้ว ก่อนที่ครูบาศรีวิชัยจะกลับขึ้นไปก็หลายเดือน ช่วงนั้นเขาก็ตามกวาดล้างบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญของครูบา หลวงปู่ขาวปีก็เลยโดนจับสึก

สภาพการจับสึกต้องบอกว่าใจคนมันด้าน ก็คือ เขาถอดสังฆาฏิที่ถือว่าเป็นเครื่องหมายของพระออก หลวงปู่ครูบาขาวปีท่านอธิษฐานให้เทวดาฟ้าดินเป็นพยานว่า ถ้าท่านไม่ผิดอย่างที่เขาว่า ขอให้แสดงอะไรเป็นประจักษ์พยานด้วย ท่านถอดสังฆาฏิพาดไว้บนต้นไม้ที่ยืนแห้งตาย ต้นไม้แตกใบใหม่เดี๋ยวนั้นเลย..!

แต่คนก็ยังไม่เชื่อ จับท่านสึกจนได้ เอาผ้าขาวให้ท่านนุ่ง พอท่านนุ่งผ้าขาวเสร็จ กะเหรี่ยงก็เอาช้างมาแห่ท่านไปเลย กะเหรี่ยงบอกว่า "ตุ๊เหลืองตุ๊พวกเจ้า แต่ตุ๊ขาวตุ๊ของเฮา" เพราะกะเหรี่ยงเขานิยมพวกฤๅษีซึ่งนุ่งขาวห่มขาวอยู่แล้ว

เถรี
16-06-2010, 10:33
หลวงปู่ครูบาท่านอยู่ในสภาพไหนท่านก็เป็นพระอยู่แล้ว ท่านก็ไปสร้างประโยชน์ให้เขาทุกที่ และที่ร้ายที่สุด ระยะหลัง ๆ พวกทางการ พวกอำเภอไปขอร้องให้ท่านสร้างโรงเรียน สร้างสาธารณสุขบ้าง ไม่ได้คิดถึงตอนที่พวกเขาจับท่านสึกเลย..!

ฉะนั้น...หลวงปู่ครูบาอภิชัยขาวปี เป็นสังขารแรกของพระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือที่รอดจากการเผามาได้ เพราะว่าส่วนหนึ่งเขาไม่ถือว่าท่านเป็นพระ เขาถือว่าท่านเป็นผ้าขาว ถ้าหากเรียกเต็ม ๆ ก็คือ "ครูบาผ้าขาวจำปี" แต่เขาเรียกสั้น ๆ ว่า "ครูบาขาวปี" เพราะท่านชื่อจำปี

ถาม : ขนาดต้นไม้แสดงปาฏิหาริย์แตกใบออกมาใหม่แล้วเขายังไม่เชื่ออีก ?
ตอบ : เขาจะสึกท่านให้ได้ แต่ขอให้เชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายผู้ซึ่งไม่ประทุษร้ายตอบ จะพบกับความวิบัติ ๑๐ ประการ

ถาม : ครูบาขาวปีตอนนี้อยู่วัดไหนเจ้าคะ ?
ตอบ : วัดพระพุทธบาทผาหนาม อยู่ใกล้ ๆ กับวัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ สมัยที่หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะไปเปลี่ยนผ้าครองให้ทุกปี

เถรี
16-06-2010, 10:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันพระส่วนหนึ่งที่ได้รับการศึกษาสูง ๆ มักจะขาดความเชื่อ ความเลื่อมใส เกี่ยวกับคุณของพระรัตนตรัย เพราะว่าเขาสอนให้สงสัยทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าไม่สงสัยเขาก็ไม่คิดที่จะทำวิจัย

บรรดานักวิชาการกลุ่มหนึ่งเขาไม่ยอมรับในเรื่องปาฏิหาริย์ เขาถือว่าไม่เป็นสากล เขาก็เลยพยายามจับพระพุทธเจ้าให้ลงมาเดินดินเหมือน ๆ กับเขา โดยการใช้ความคิดของตัวเองไปคาดว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ เรื่องอภินิหารต่าง ๆ เป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังจับยัดเข้าไปในพระไตรปิฎก เพื่อที่จะยกย่องพระศาสดาของตนเท่านั้น"

ถาม : แล้วอย่างนี้ผลที่พวกเขาจะได้รับเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็คงจะประสบความเจริญมาก..!

เถรี
16-06-2010, 21:35
ถาม : ถ้าเราฝึกสติปัฏฐานสี่ไปเรื่อย ๆ เราจะมีสิทธิ์บรรลุได้ไหมครับ ?
ตอบ : ผู้ที่ปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าหวังผลแค่สองอย่าง คือ พระอนาคามีและพระอรหันต์ แล้วคุณว่ามีสิทธิ์บรรลุไหมเล่า ?

เถรี
16-06-2010, 22:08
ในเรื่องการไหว้ผู้อื่นนั้น พระอาจารย์สอนว่า ถ้าเขายังวุ่นด้วยงานอยู่ โดยไม่ทันมองเห็นเรา ก็อย่าเพิ่งไปไหว้เขา

"พระมีศีลอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าพระผู้ใหญ่ยังวุ่นด้วยกิจของท่านอยู่ อย่าเพิ่งไหว้ เพราะว่าถ้าหากท่านไม่รับ เดี๋ยวเราจะไปโกรธท่าน"

เถรี
16-06-2010, 23:41
ถาม : ผมไม่แน่ใจว่านั่งสมาธิผิดหรือเปล่า คือ เวลานั่งจะมีแสงอยู่ในตา เคยไปถามพระที่อื่น เขาบอกว่าเป็นตัวรบกวน แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ครับ ถ้านั่งดี ๆ แสงในตามันจะจ้า สวย ๆ ถ้าสมมติว่าเป็นแสงสวย ๆ อย่างนี้แล้ว เราจะต้องทำอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : ถ้านับเป็นการเรียนหนังสือ ก็อยู่ประมาณอนุบาลสาม..! ถ้าเราติดอยู่ตรงนั้น ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ต้องได้อะไร ที่พระท่านบอกว่าเป็นสิ่งรบกวน ท่านบอกถูกแล้ว พอจิตเป็นสมาธิจะเกิดความเป็นทิพย์ขึ้น พวกแสงสีจะมา ถ้าเรามัวไปสนใจอยู่ จะไม่เป็นสมาธิสูงขึ้นไปและติดอยู่แค่นั้นแหละ

ถาม : แล้วเราควรจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา อยู่กับคำภาวนาของเรา แสงสีจะมาอย่างไร ไม่ต้องไปใส่ใจ

ถาม : แล้วการนั่งสมาธิจะไปสุดที่ตรงไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าหากเป็นรูปฌานก็ฌานสี่ ถ้าเป็นอรูปฌานก็ฌานแปด

ถาม : แล้วเราจะสังเกตได้อย่างไร ว่าเราได้ฌานสี่หรือฌานขั้นไหนแล้ว ?
ตอบ : ไปศึกษาเอาว่าแต่ละอารมณ์ฌานว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง แล้วจะรู้

ถาม : คือสังเกตที่อารมณ์หรือครับ ?
ตอบ : เปิดตำราดูว่าแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้าง อธิบายตอนนี้แล้วยาว เสียเวลาคนอื่นเขา

ถาม : แล้วการเพ่งกสิณใช่ตัวนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เพ่งกสิณเขาดูวัตถุ หลับตาลง จำภาพแล้วนึกถึง ถ้าหากว่าหายไปก็ลืมตาดูแล้วนึกถึงใหม่ จนกระทั่งหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น

ถาม : ภาพนี้จะเป็นภาพในใจหรือภาพที่ติดตา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าถามอย่างนี้ก็ต้องบอกว่า เป็นภาพในใจเพราะว่าหลับตาก็เห็น

เถรี
17-06-2010, 01:42
ถาม : ทรงฌานเดินแล้วหนัก ๆ
ตอบ : ก็ทำให้ไม่หนักสิ..!

ถาม : ก็ต้องเป็นไปด้วยความระวังตลอด
ตอบ : นั่นมันเด็กหัดใหม่ ถ้าทำให้คล่องตัวถึงขนาดไม่ต้องระวังก็จะไม่หนัก

เถรี
17-06-2010, 01:56
ถาม : เห็นตัวเองร้ายทุกวันค่ะ ดูเฉย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : รู้แล้วอย่าคล้อยตามไป ถ้าเราคล้อยตามไป ยอมให้กิเลสอยู่เหนือเรา ก็พาเราเละไปเรื่อย ๆ หัดดื้อกับกิเลสบ้างสิ..!

เถรี
17-06-2010, 10:39
ถาม : ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติพระวินัยมาว่า ห้ามกลืนเลือด เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : แต่แรกพระองค์ท่านห้ามภิกษุฉันอาหารที่เป็นเนื้อสด แล้วท้ายสุดมีคนสงสัย ไปถามพระองค์ท่านว่า ถ้าเป็นเลือดในปากของตัวเอง พระองค์ท่านก็ตรัสว่าไม่ควรกลืน

เถรี
17-06-2010, 11:12
ถาม : ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูมองเข้าไปในร่างกาย ก็จะเห็นเป็นลำไส้เล็ก ลำไส้น้อย แต่ตอนนี้เห็นในลักษณะที่ว่าข้างในไม่มีอะไร เห็นเป็นแค่รูป และข้างในโล่ง ๆ โปร่ง ๆ ว่างเปล่า ตรงนี้คือ แค่จิตกับรูปใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เหลือแค่รูปกับนาม

ถาม : ตอนนี้เป็นในลักษณะผู้ดูแล้ว อย่างมองร่างกายก็เห็นในลักษณะมีความเสื่อมไป มีความสกปรกของมัน แต่ทีนี้เมื่อก่อนจะมีความรู้สึกที่จะไปต้าน ไปฝืนไม่ให้เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ยอมรับว่าร่างกายเราเป็นอย่างนี้ เรามองในลักษณะเป็นผู้ดู ใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : แต่ก็เห็นว่าเวลาคลายกำลังใจออกมา ตัวที่เล่นงานเราก่อนเป็นอันดับแรก คือ ตัวมานะ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าหนูไม่คลายกำลังใจออกมาเลย จะตัดหรือทำให้เบาบางได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่บี้ให้ตายไปเลย หลุดเมื่อไรมันก็งอกงาม ไม่เป็นไรหรอก ถ้าโผล่หัวขึ้นมาเราก็ตีให้ยุบไปเลย

เถรี
17-06-2010, 16:32
พระอาจารย์เล่าเรื่องการใช้ปัญญาแก้ปัญหา ให้ฟังว่า

"คุณตัน ภาสกรนที ที่ทำชาเขียวโออิชิ นอกจากเป็นคนเก่งแล้วยังรู้จักประเมินตัวเองด้วย

ช่วงที่โออิชิกำลังรุ่ง ๆ อยู่ คุณตันขายหุ้น ขายแล้วมีพ่วงโปรโมชั่นด้วยว่า ใครซื้อไปเขาจะไปบริหารให้ เท่ากับตัวเองเก็บเงินสามพันล้านเอาไว้แล้วไปเป็นลูกจ้าง ไปบริหารให้เขาต่อ บริษัทจะเจ๊งหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง เพราะรับเงินเดือนแล้ว

สายตาเขายาวไกลมาก เพราะเห็นจุดอิ่มตัวแล้ว จะเห็นว่าตอนนี้ปั่นอย่างไรก็ฮือไม่ขึ้น ก็ต้องไปประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างลาวหรือเขมร

ตอนไปที่เขมร เขาขายชาเขียวแถมตุ๊กตาหมีตัวหนึ่ง วันแรกผ่านไปขายได้แค่ไม่กี่ขวด แต่คุณตันไปยืนดูอยู่ เขาเห็นว่าทุกคนที่ผ่านมาจะจับตุ๊กตาหมีดู แสดงว่าเขาอยากได้ตุ๊กตาหมี เขาก็เลยเปลี่ยนใหม่ เป็นขายตุ๊กตาหมีแถมชาเขียว คนเขมรก็ซื้อกันกระจายเลย พอคนชิมชาเข้าไป เห็นว่าเข้าท่าเขาก็ไปซื้อกินกันเอง

คนเราต้องปรับตัวให้ทัน ถ้าเป็นพวกเราทั้งวันลงไป ๓,๐๐๐- ๔,๐๐๐ ขวด ขายได้แค่ ๕ - ๖ ขวด ก็หน้ามืดแล้ว แต่นี่เขาสังเกตดูว่าลูกค้าที่เข้ามา โดยเฉพาะผู้หญิงกับเด็กจะจับตุ๊กตาหมีมาพลิกซ้ายพลิกขวาดูกันทุกคน เขาก็เลยเปลี่ยนใหม่เป็นขายตุ๊กตาหมีแถมชาเขียว


นี่คือปัญญาในการแก้ไขปัญหา ต้องพลิกแพลงเอาไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ เราดูตัวอย่างของเขาแล้ว ต้องเอามาดูตัวเราด้วยว่า ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้น เราจะเอามาแก้ไขอย่างไร

ถ้าสามารถทำตรงจุดนี้ได้ เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ เพราะว่าการปฏิบัติสำคัญที่สุดก็คือ ทำแล้วสามารถเอาไปใช้จริงได้ ส่วนใหญ่พวกเรารับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ทัน ยิ่งเหตุการณ์ฉุกเฉินบางทีก็อึ้งไปเลย อย่างเช่นพอเป็นลมขึ้นมาก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราจะตาย ให้นึกถึงพระก็ไม่เอาแล้ว"

เถรี
17-06-2010, 16:52
"อีกรายหนึ่งคือ เจ้าของสาหร่ายทอด ตราเถ้าแก่น้อย ตอนแรกเขาทำขายครึ่งหนึ่งแจกครึ่งหนึ่ง สมมติว่าทำมาห้าหมื่นซองเขาก็ขายแค่สองหมื่นห้า อีกสองหมื่นห้าที่เหลือเขาแจก โดยเฉพาะแจกผู้หญิง เน้นเป้าหมายเลยนะ

เขาบอกว่าผู้หญิงชอบกินของจุกจิกไปเรื่อย และถ้ารสชาติถูกปาก ไม่ต้องห่วงเลย ผู้หญิงจะบอกปากต่อปากกันให้เอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ค่างบโฆษณาของเขาก็คือ ครึ่งหนึ่งที่แจก และเขาก็ประสบความสำเร็จ ตอนนี้ยอดรายรับเดือนหนึ่งเป็นร้อยล้าน

แสดงว่าเขามองคนออก ใช้คนเป็น เรากลายเป็นเครื่องมือของเขาโดยไม่รู้ตัว นักเศรษฐศาสตร์เขาถึงได้สรุปว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เขาแจกเราฟรี แต่ไม่ใช่ของฟรีเรา เพราะว่าเท่ากับจ้างเราโฆษณานั่นเอง

สมัยก่อนที่ไปอยู่บึงลับแล ไม่ได้แบกของไปเต็มอัตราเหมือนพวกเราหรอก เอาบะหมี่สำเร็จรูปและสาหร่ายอบแห้งไป ลองต้มบะหมี่ใส่สาหร่ายอบแห้งสิ รสชาติเด็ดอย่าบอกใครเลย..!"

เถรี
23-06-2010, 00:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความสะดวกสบายยิ่งมีแก่พวกเรามากเท่าไร ยิ่งจำเป็นต้องฝึกลูกฝึกหลานให้หัดสมาธิให้มากเท่านั้น เพราะเมื่อเขาได้รับการตอบสนองทุกอย่างที่รวดเร็ว ทำให้กลายเป็นคนใจร้อน ใจเร็ว รออะไรไม่ได้ ถ้าขาดในเรื่องของสมาธิมาช่วย จะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง น่าสงสารมาก

มีลูกมีหลานพยายามจับให้หัดสมาธิให้ได้ อย่างน้อย ๆ จะได้เป็นประโยชน์แก่เขาในภายหน้า ไม่ต้องถึงขนาดตายแล้วไปสวรรค์ ไปพรหม หรือไปนิพพานหรอก เอาให้แค่รู้จักระงับยับยั้งชั่งใจตนเองได้ก็พอ"

เถรี
23-06-2010, 01:15
ถาม : เมื่อครู่ไปบ้านเพื่อนมา เขาเชิญลูกศิษย์หลวงพ่อสมัยก่อนมาช่วยตั้งพระพุทธรูปให้ เขายืนยันว่าตั้งหันหน้าไปทิศตะวันตกได้ ผมก็เถียงว่าหลวงพ่อสั่งไว้ ห้ามเด็ดขาด เขาบอกว่า พระอยู่ที่เราเคารพ ถ้าตั้งตรงไหนแล้วเราไม่เคารพ ก็แค่นั้นแหละ เหตุผลเขาก็ดี แต่ผมว่าเขาคงเกิดอีกนาน เลยมาถามท่านดีกว่า
ตอบ : จะถามทำไม อาตมาบอกไปนานแล้ว

ถาม : ผมเป็นห่วงเพื่อนครับ ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีว่าฉิบหายแน่นอน
ตอบ : ไม่แน่เขาอาจจะรุ่ง

ถาม : ทำไมละครับ?
ตอบ : ก็เขารู้สึกว่าดี ถ้ากำลังใจเขาเข้มแข็ง สำเร็จด้วยใจขึ้นมา อาจจะดีกว่าที่เราคิดเสียอีก รอดูไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าเขาเจ๊งแล้วค่อยไปสะกิดบอกเขา

เถรี
23-06-2010, 01:34
ถาม : เวลานั่งสมาธิบางครั้งเห็นหลวงพ่อแล้ว รู้สึกรักหลวงพ่อสุดจิตสุดใจเลย อารมณ์อย่างนี้ดีหรือไม่ดีครับ ?
ตอบ : ดี..แต่รักษาให้อยู่ด้วย ถ้าหากว่ารักจริง รักษาให้อยู่ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

ส่วนใหญ่จะรักแค่ตรงนั้น พอรักษาไม่อยู่ก็สลายไป บางทียังมานั่งเสียดายว่า หายไปไหนหว่า ?

เถรี
23-06-2010, 01:37
ถาม : สวดคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ถ้าเราสวดตอนเช้า ๑๐๘ จบไปเลย กับอารมณ์สบายสวดทั้งวันให้ได้ ๑๐๘ จบ อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ทั้งวันดีกว่า เพราะใจเป็นกุศลมากกว่า

ถาม : ทำไมเวลาเราสวดมนต์ บางครั้งรู้สึกอึดอัดเครียด เหมือนไม่อยากสวดเลยครับ ?
ตอบ : กิเลสมาร เขากลัวเราจะได้ดีก็ต้องขวาง ถือเป็นเรื่องปกติ

เถรี
23-06-2010, 01:40
ถาม : ถ้าเรานั่งกรรมฐานที่บ้าน แล้วส่งกำลังใจแบบมโนมยิทธิว่า เรามานั่งข้างหน้าท่าน จะเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือน เพราะความชัดเจนยังไม่ได้ ถ้าหากความชัดเจนได้ด้วยถึงจะเหมือน

เถรี
23-06-2010, 01:44
ถาม : การที่เราคิดว่า เอาพระองค์นั้นแขวน องค์นี้แขวน องค์นั้นก็ดี องค์นี้ก็ดี อย่างนี้เป็นพุทธานุสติหรือฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ฟุ้งซ่าน แต่ยังอยู่ในพุทธานุสติ

ถาม : ขาดความมั่นใจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ของมีก็ใช้ คนเรากินอาหารรสเดียวกันทุกวันยังรู้สึกเบื่อ ก็ต้องเปลี่ยนบ้าง

เถรี
24-06-2010, 10:33
พระอาจารย์กล่าวถึงพระรูปหนึ่งว่า "เมื่อเช้ามีโยมจากลพบุรีมาขอพระไปอยู่ที่นั่น โยมเขาบอกว่า ยกที่ตรงนั้นให้พระอาจารย์สมปอง แล้วก็เอาพระของเราไปอยู่

ความจริงพระท่านเพิ่งบวชไม่นาน คราวนี้สิ่งที่ท่านทำมักจะขัดกับคนอื่นเขา ท่านก็เลยอยู่ที่วัดท่าขนุนไม่ได้..ขอออกจากวัดไป คาดว่าไปหาพระอาจารย์สมปอง ท่านก็เลยยกที่ให้ส่วนหนึ่ง

โยมเขาก็ดีใจว่ามีพระไปดูแล ก็เลยมาที่นี่ จะมาขอคำแนะนำ อาตมาบอกว่า "ไม่มีคำแนะนำ พระท่านเพิ่งบวชไม่นาน ศีลมีอะไรบ้างก็ยังรู้ไม่ครบ ถ้าหากว่าโยมเอาไปอยู่ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นโยมก็รับผิดชอบเองแล้วกัน เพราะว่าเขาพ้นจากวัดไปก็ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของอาตมาแล้ว..!"

เรื่องนี้จริง ๆ แล้วความผิดอยู่ที่พระ เรียนทางโลกมาก็สูง คือ จบปริญญาโท แต่ว่าทางโลกกับทางพระนั้นคนละเรื่องกัน เราจะมีความมั่นใจอะไรสักเท่าใดก็ตาม จะเอามาใช้กับเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ เพราะเป็นคนละส่วนกัน ประสบการณ์ทางโลกไม่ใช่ประสบการณ์ทางธรรม

พระพุทธเจ้าก็ระบุไว้ชัดว่า ถ้ายังไม่ได้ ๕ พรรษาขึ้นไป ก็ยังไม่ได้นิสัยมุตตกะ ยังต้องอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของครูบาอาจารย์ ท่านรู้ทั้งรู้ แต่ว่าเป็นคนชอบไปเรื่อย ๆ อยู่ไม่เป็นที่ ที่ออกจากวัดไปเพราะวัดมีระเบียบไว้ว่าลาได้กี่วัน แต่ไม่เพียงพอกับเวลาที่ท่านจะไป

ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ส่วนที่เสียหายมากที่สุดคือพระศาสนา พระที่ไปอยู่ยังไม่มีคุณภาพพอ ไม่ว่าปริยัติหรือปฏิบัติยังไม่สามารถรักษาตัวเองได้ แล้วยังต้องรับภาระไปดูแลสถานที่ ซึ่งถ้าได้ยินไม่ผิดก็คือ พื้นที่ ๓๐ ไร่ ยิ่งถ้าต้องมีการก่อสร้างมีอะไรเข้าไปด้วย โดยที่กำลังใจของตนเองยังไม่มั่นคง ก็จะเกิดความเสียหายขึ้นแก่ตัวเองก่อน"

เถรี
24-06-2010, 10:41
หลังจากนั้นแล้วความเสียหายก็จะกว้างออกไป อย่างเช่นว่า อาจารย์เล็กฝึกลูกศิษย์มาได้แย่ขนาดนี้เชียวหรือ ? ไม่มีดีกว่านี้แล้วใช่ไหม ? ก็บรรลัยเราอีก..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปว่า ศาสนาพุทธจะโดนทำลายจากคนในเท่านั้น ไม่ใช่จากคนนอก ก็คือจาก ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

อย่าว่าแต่การเรียนรู้และศึกษาธรรมให้แตกฉานเลย แม้กระทั่งศีลและอภิสมาจารมีอะไรบ้าง ก็ยังรู้ไม่ครบ ก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าเกิดญาติโยมเขามีงานอะไรขึ้นมา จะไปปฏิบัติให้ถูกต้องตามศาสนพิธีได้หรือเปล่า ?

เราพูดมากก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าพูดมากไปก็เหมือนไปลดความน่าเชื่อถือของเขา ขณะเดียวกันคนที่ไม่เข้าใจก็จะมองว่าเราอิจฉาลูกศิษย์ ก็เลยไม่อยากให้ไปได้ดี ทั้ง ๆ ที่เขาผิดพระวินัยมาตั้งแต่ต้น

การไปอยู่ลักษณะนั้นเท่ากับฝืนคำของพระพุทธเจ้า เท่ากับโดนอาบัติศีลขาดอยู่ทุกวัน จึงเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอโยมเขาถามว่ามีคำแนะนำอะไรบ้าง ถึงได้บอกไปสั้น ๆ ว่า "ไม่มี"

เถรี
24-06-2010, 12:07
ถาม : ทำบุญอะไรจะได้บุญสูงสุดคะ ?
ตอบ : บุญสูงสุดจริง ๆ ก็คือ ทำตัวให้เป็นพระอริยเจ้า ไม่ต้องเสียเวลาไปทำภายนอก

ถาม : แต่ถ้าเป็นทานบารมีละคะ ?
ตอบ : ทานบารมีเป็นสิ่งที่ต่ำสุด สูงขึ้นไปเป็นศีล แล้วเป็นภาวนา ถ้าทำทานบารมีแล้วบอกจะเอาสูงสุด ชาตินี้ก็คงจะไม่ได้

เถรี
24-06-2010, 17:57
ถาม : ถ้าเราฝึกสมาธิ โดยกำหนดจิตไว้ที่ท้องน้อยหรือเหนือสะดือ แล้วกำหนดคำภาวนาว่า รู้ รู้ รู้ อย่างนี้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่ แต่ว่าเป็นคำภาวนาเท่านั้น สำคัญที่ตรงสติ ว่าเรารู้ตามจริงหรือเปล่า ? ถ้าหากสติรู้ตามจริงก็จะเป็นวิปัสสนาก็คือ กำหนดรู้เฉพาะหน้า แต่ถ้าไม่ใช่สติรู้ตาม เราสักแต่ว่า รู้ รู้ รู้ ก็เป็นสมถะเต็ม ๆ เพราะเท่ากับสร้างสมาธิให้เกิด

ถาม : ถ้าเอาจิตตามไปในที่สุดผลจะเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้ากำหนดรู้ไปเรื่อยก็จะอยู่กับปัจจุบันไปตลอด ในเมื่ออยู่กับปัจจุบันตลอด จิตไม่ส่งไปในอดีตไม่ส่งไปในอนาคต ก็ตัดทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้เยอะเลย

ถาม : ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือตรงจุดนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เกือบจะใช่ เป็นแค่สติในปัจจุบันเท่านั้น จะเป็นผู้รู้จะต้องมี สติ สมาธิ ปัญญา มากกว่านี้

ถาม : ผมนึกว่ากำหนดคำว่ารู้ ๆ แล้วภาวนาไปจนจิตลุกโพลงขึ้นมา หมายความว่าเราเกิดตัวรู้ขึ้นมาแล้ว แต่จริง ๆ ยังไม่ใช่ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ยังไม่ใช่ เพราะว่าตัวรู้ที่แท้จริง ต้องรู้ในอริยสัจ ส่วนใหญ่ตัวรู้ของเราที่รู้มา เป็นแค่สติที่เกิดขึ้นในสมาธิที่เราสั่งสม อีกอย่างที่เราว่ามา เท่ากับเป็นการตั้งใจปฏิบัติในสมถะ โดยใช้คำว่ารู้ เป็นคำภาวนาเสียด้วยซ้ำไป

ถ้าจะเอารู้จริง ๆ จิตอยู่ในสภาพตื่นอยู่ตลอดเวลา นั่นจะต้องรู้ในอริยสัจและจะต้องยอมรับแล้ว ในเมื่อยอมรับแล้วว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ปล่อยวางลงได้ ไม่ไปปรุงแต่งอะไรอีก จิตอยู่กับปัจจุบันตลอด ก็จะเป็นผู้ตื่น ไม่ถูกตัณหาและอวิชชาทับถมเอาไว้

ถาม : ก็เป็นแค่สมถะอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : เป็นแค่สมถะ แล้วหลังจากนั้นจะเป็นบาทให้ก้าวไปสู่วิปัสสนาได้

เถรี
24-06-2010, 17:58
ถาม : ระหว่างกำหนดเป็นดวงแก้ว กับกำหนดเป็นพระพุทธรูป
ตอบ : จัดเป็นกสิณ เพียงแต่กำหนดภาพพระพุทธรูปเราได้พุทธานุสติเพิ่มขึ้น

เถรี
24-06-2010, 18:23
ถาม : เวลามีเรื่องเกิดขึ้นกับเรา เราคิดว่าเป็นกรรมของเรา แต่หลัง ๆ เริ่มคิดว่าเป็นธรรมดาของโลกที่เป็นแบบนี้ การคิดแบบไหนจะดีกว่ากัน?
ตอบ : เอาทั้งสองอย่างมารวมกัน ธรรมดาของโลกเป็นแบบนี้ ในเมื่อเราทำไว้ เราก็ต้องยอมรับ

เถรี
24-06-2010, 20:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าหากว่าบ้านวิริยบารมีเสร็จ ขอความกรุณาอย่าเอารถส่วนตัวไป เพราะหน้าบ้านเป็นซอยแคบ ๆ แค่รถเก๋งคันหนึ่งขับได้และกลับรถไม่ได้ ส่วนด้านนอกริมถนนรถก็จอดได้ไม่กี่คัน

ถ้าให้สะดวกก็ไปแท็กซี่หรือรอรถไฟฟ้าช่วงสองเสร็จ จะลงหน้าบ้านพอดี ถ้าใครคิดว่าอาตมาขู่ก็ลองเอารถไปดู ปกติอาตมาก็ชอบขู่เขาแบบนี้ บอกพวกที่ไปบึงลับแลว่า ไม่ไหวหรอกเดี๋ยวจะเป็นลมเสียเปล่า เขาก็บอกว่า โอ๊ย..ไม่เป็นไรหรอก..ไปได้ จะแค่ไหนเชียว อาจารย์แก่แล้วยังไปได้เลย.. สรุปว่าเป็นลมตั้งแต่เนินแรก แต่อาจารย์ไปเนินสุดท้ายยังสบายดีอยู่เลย"

เถรี
24-06-2010, 22:30
ถาม : เดี๋ยวนี้ผมแยกไม่ออกว่า ภิกษุรูปไหนควรทำบุญด้วย รูปไหนไม่ควรทำบุญด้วย พิจารณาดูอย่างไรครับ ?
ตอบ : ภิกษุทุกรูปควรทำบุญด้วย..!

ถาม : เห็นจริยวัตรท่านแล้ว...
ตอบ : ยกเว้นว่าเราโง่พอ ถ้าโง่พอก็จะเลือกที่ทำบุญ..! พระท่านจะดีจะชั่วก็เรื่องของพระ เราตั้งใจถวายเป็นสังฆทานก็จบแล้ว

ถาม : เวลาเราจะทำอะไรเพื่อพระศาสนา ทำไมมีปัญหาสารพัดเยอะแยะเลยครับ ?
ตอบ : การทำความดีก็ย่อมมีสิ่งขวางเป็นปกติ โดยเฉพาะทำความดีโดยไม่รู้กาลเทศะ..! ต้องดูด้วยว่าเหมาะควรไหม ถึงเวลาแล้วหรือยัง ไม่ใช่คิดจะทำก็ทำ

เถรี
25-06-2010, 00:00
ถาม : จะมีญาณเครื่องรู้เกิดขึ้นว่า เหลืออีกเท่าไร จะต้องทำอีกแค่ไหน ใช้กรรมฐานกองไหน และเราเห็นว่าจะตัดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ตัดฉับในทันที ตรงนี้คือต้องย้ำอีก ?
ตอบ : กำลังยังไม่พอ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะตรงจุดกำลังใจของเราเอง ถ้าหากว่ายังไม่เด็ดขาด แปลว่า สมาธิอาจจะอ่อนไปด้วย เหลือเชื่อ..เราจะคิดว่าปัญญาถึง มองเห็นทางแล้วจะไปได้..ไม่ใช่ มองเห็นทางแต่ถ้ากำลังไม่ถึง ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน

ถาม : บางทีหนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน กลัวว่าจะเป็นการประมาท เพราะเวลาคลายกำลังสมาธิออกมา ใช่..กำลังใจเท่ากับตอนสมาธิสูง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะพลาดตกลงมาเหมือนเดิมหรือเปล่า
ตอบ : ตกแค่นี้ (ทำมือ) ไม่ตกไปมากกว่านี้แน่..

ถาม : กำลังใจไม่เอาเพศตรงข้าม ไม่เกิดความรู้สึกอยากได้เขามาเป็นแฟน แต่ก็ยังเมตตาเขา สนใจเขา
ตอบ : ถ้าหมดรัก หมดโกรธไปเลยจะปลอดภัยกว่า ถ้ายังไม่ถึงตรงนั้น ยังมีสิทธิ์ที่จะหงายท้องได้ตลอดเวลา

ถาม : หนูสังเกตอย่างหนึ่งว่า บางคนเขาไปไล่ตัวรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่หนูไม่ถนัดในตัวนั้น ตรงนี้เป็นลักษณะปัจจัตตังของแต่ละคนใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เป็นเฉพาะของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องศึกษาเยอะ ๆ เอาอย่างเดียวให้แน่จริง ก็ไปได้แล้ว รู้มากก็ยากนาน แต่ส่วนใหญ่อยากรู้ให้มากที่สุด ไป ๆ มา ๆ ก็ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

เถรี
25-06-2010, 00:02
ถาม : ระหว่างกำลังใจ กับสติ สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกันคะ ?
ตอบ : อย่างเดียวกัน ศีล สมาธิ ปัญญา จะเป็นกำลังใจที่เรียกว่าบารมี โดยเฉพาะตัวสมาธิจะทำให้กำลังใจทรงตัวดี

ถาม : ตอนแรกหนูก็แยกไม่ได้ค่ะ หนูอยากบอกว่า ตอนนี้มีความสุขมากกว่าเดิม เหมือนยกภูเขาออกจากอก โล่ง เบา ถึงแม้ยกออกไม่หมด แต่ก็มีความสุข
ตอบ : ให้สังเกตไว้ว่าอารมณ์ก็ดี งานการก็ดี เวลาที่เราวางแล้วจะเบา ในเมื่อรู้แล้วที่เหลือก็อย่าไปแบกไว้

เถรี
25-06-2010, 12:07
ถาม : หนูฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังมาได้ระยะหนึ่ง ตอนที่หนูกำลังจะออก แต่ก็ไม่ออก มีอุปสรรคอะไรหรือคะ ?
ตอบ : กลัวตายจ้ะ..ถ้าเลิกกลัวตายจะออกไปได้เลย สังเกตไหมตอนที่จะไป เรากลัวอยู่ลึก ๆ ต้องไปดูตัวเองใหม่ ความกลัวตรงนี้..กลัวว่าออกไปแล้วจะเจอสิ่งที่น่ากลัวบ้าง ออกไปแล้วจะกลับไม่ได้บ้าง เรากลัวลึก ๆ อยู่ในใจ แต่เราไม่รู้ตัว

ต้องตัดใจว่าตายเป็นตาย ตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถ้าตายไปก็ไปอยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธเจ้า ถ้าตัดใจได้ก็ไปเลย

ถาม : ใจเราอาจจะไม่กลัว แต่ลึก ๆ นี่กลัว
ตอบ : จริง ๆ เรากลัวอยู่ พวกดิ้นตึงตังนั่นกำลังเขาพอที่จะไป แต่สภาพจิตที่กลัวก็ดึงรั้งเอาไว้ กลายเป็นฉุด กลายเป็นดึง ก็เลยดิ้นตึงตังโครมคราม จะออกก็ไม่ออก ถ้าคนไหนตัดสินใจได้ก็ออกไปแบบเงียบไปเลย

ถาม : ถ้าออกไปจะเป็นความรู้สึกอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าออกไปจะชัดเหมือนอย่างตาเห็น ขนาดรถวิ่งมา เรารู้ ๆ ว่าชนเราไม่ได้ แต่เราก็ยังอุตส่าห์กระโดดหลบ รู้สึกชัดขนาดนั้นเหมือนตัวเองไปเลย ลมพัดถูกตัวก็รู้ แดดส่องถูกตัวก็รู้ ไปสักทีเดี๋ยวจะติดใจ

ถาม : หนูอยากไปสักทีค่ะ
ตอบ : เพราะอยาก..ก็เลยไปไม่ได้ เรามีหน้าที่ภาวนาทำไปเรื่อย ๆ จะไปหรือไม่ไปก็เรื่องของมัน ถ้าไปเราขอไปพระนิพพาน ตั้งใจเอาไว้ ถ้าเราภาวนาแล้วอยากไป ๆ ตัวอยากจะบังอยู่ ไปไม่ได้หรอก

เถรี
25-06-2010, 12:10
ถาม : แล้วชาตินี้หนูจะได้เป็นพระอนาคามีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มีสิทธิ์ได้ทุกคนจ้ะ แค่ทำให้จริงเท่านั้น เขาหวังจะได้เป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน ทำไมเราหวังแค่อนาคามี ?

ถาม : หนูมีศีลบกพร่องตรงไหนคะ ?
ตอบ : ต้องถามตัวเองจ้ะ ไม่ใช่ถามคนอื่น ถ้าศีลห้าข้อ ตัวเองไม่รู้พร่องตรงไหนก็เลิกปฏิบัติเถอะ..!

รักษาศีลให้ได้ด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นละเมิดศีล เห็นคนอื่นละเมิดศีลเราก็ไม่ยินดีด้วย นี่เป็นแค่เบื้องต้น

หลังจากนั้น ถ้าสติ สมาธิทรงตัวมาก เราจะขยับไปทางไหนก็รู้ว่าศีลจะขาด ท้ายสุดการปฏิบัติในศีล เรารู้ว่าคุณความดีของศีลมีอย่างไรเราก็ปฏิบัติไป แต่ใจก็ไม่ได้เกาะในสิ่งที่ดีที่ชั่ว ไม่เกาะตรงผลที่จะได้รับแล้ว กลายเป็นว่าแม้แต่ความดีก็วางลง ซึ่งยังมีอีกหลายขั้นตอน เอาขั้นแรก ๆ ไปเท่านี้ก่อน

เถรี
25-06-2010, 12:13
ถาม : อีกนานไหมคะ กว่าหนูจะได้เป็นอนาคามี ?
ตอบ : อีกไม่กี่ชาติหรอก..! ได้ยินแล้วมีกำลังใจไหม ? ถ้าทำถูกตัดสินใจได้..ก็เดี๋ยวเดียว ถ้าตัดสินใจไม่ได้ วางกำลังใจไม่ถูก..ก็อีกนาน

ตรงนี้ไม่ต้องดูใครหรอก อาตมาเองทำกรรมฐานสามปี แล้วเป็นสามปีที่ขยันมากเลย ทุ่มเทให้ทุกวัน ปรากฏว่าอยากมากเกินไป จนกระทั่งวันหนึ่งตัดสินใจว่า จะได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ภาวนาของเรา พักเดียวได้เลย กำลังใจลดลงมาตรงร่องพอดี ตอนนั้นที่ไม่ได้เพราะอยากเกินไป หมดอยากเมื่อไรแล้วก็จะดี

ถาม : หนูเคยท้อใจว่าทำไมปฏิบัติมาแล้วไม่ได้
ตอบ : นานถึงสามปีหรือยังจ๊ะ เอาไว้ถึงสามปีก่อนแล้วค่อยมาท้อ ทำอย่างสม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ ก่อน

เถรี
25-06-2010, 12:19
ถาม : แม่หนูจะเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ต้องถามแม่ อาตมาตอบแทนแม่ไม่ได้

ถาม : แม่หนูจะหมดหนี้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ถามแม่ก็ต้องถามหมอดู เรื่องอย่างนี้เลิกตอบมานานแล้ว เพราะออกนอกหลักธรรมมากเกินไป

ขอให้เชื่อที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก ฉะนั้น..แม่เป็นหนี้ไม่เป็นไรหรอก เราอย่าเป็นก็แล้วกัน

เถรี
25-06-2010, 12:22
ถาม : เกิดมาแล้วรู้สึกว่าตนเองโดนเบียดเบียน เดี๋ยวคนนั้นก็มาใช้เราทำนั่น เดี๋ยวคนนี้ก็มาใช้เราทำนี่ รู้สึกว่าเบียดเบียนเราเหลือเกิน อย่างไรเราต้องทำให้เขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทำไมเราถึงโดนเบียดเบียนจัง ?
ตอบ : ถ้าเลิกใช้คำว่า "ทำไม ?" ก็จะมีความสุข แต่ถ้ายัง "ทำไม ?" อยู่ ก็หาความสุขไม่ได้หรอก

ถาม : แต่ก็ยังโดนเบียดเบียนนี่คะ ?
ตอบ : เราโดนแค่ตอนนี้ พอตายก็พ้นไปแล้ว มีปัญญาทวงเท่าไรก็เชิญ เอาเขามาตั้งหลายล้านคืนให้เขาแค่บาทเดียว จะไม่ยอมคืนบ้างเลยหรือ ?

เถรี
25-06-2010, 19:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำอะไรให้ทำบ่อย ๆ การทำบ่อย ๆ ได้ทั้งความเพียรพยายาม ได้ทั้งความชำนาญ
อยากพูดเก่ง....................ให้พูดบ่อย ๆ
อยากอ่านหนังสือเก่ง............ให้อ่านบ่อย ๆ
อยากเขียนหนังสือเก่ง..........ให้เขียนบ่อย ๆ
อยากปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า...ก็ต้องทำบ่อย ๆ"

เถรี
25-06-2010, 22:25
ถาม : พวกฤกษ์ยามมีสำคัญต่อชีวิตมากไหม?
ตอบ : ก็มีอิทธิพลอยู่ แต่ถ้ากำลังใจของเราเข้มแข็งจริง ๆ ก็มีความสำคัญน้อยหน่อย

เถรี
25-06-2010, 22:29
มีคนนำก้อนหินแปลก ๆ มาให้พระอาจารย์ดู แล้วถามว่าคืออะไร ? มีพลังงานอะไรข้างในหรือไม่ แล้วดีหรือไม่ ?

พระอาจารยก็ตอบไปว่า "วัตถุธาตุทุกชนิดมีพลังงานอยู่แล้ว ถ้าดีจริงอย่างที่เขาว่า คนเราก็ไม่ตายนะสิ..!"

เถรี
26-06-2010, 08:02
ถาม : ปฏิบัติพุทโธและกำหนดลมหายใจ พอออกจากการปฏิบัติ โกรธกับโลภรู้สึกว่ามันเป็นสภาวะร้อนแล้วเราจับง่าย ละความไม่พอใจง่าย แต่ให้ละความพอใจ ละความหลง ความฟุ้งซ่าน ทำไม่ค่อยได้ มีเทคนิคอย่างไรที่ทำให้เราไม่หลงหรือฟุ้งซ่านไปนาน ?
ตอบ : สำคัญที่สุดก็คือตอนนั่ง เราทรงอารมณ์ได้เท่าไร จะลุกไปทำอะไรให้เอาสติประคองอารมณ์ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด

ส่วนใหญ่เราลุกแล้วเราทิ้งเลย การปฏิบัติก็เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ พอเราปล่อยก็ลอยไปตามน้ำ เราก็จะไปเดือดร้อนกับ รัก โลภ โกรธ หลง อีก แต่ถ้าเราพยายามประคองรักษาเอาไว้อยู่ตลอด ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินใจเราไม่ได้

แรก ๆ ก็ประคองอารมณ์ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวเดียวก็สลายแล้ว แต่ถ้าเราพยายามตั้งสติ รักษาเอาไว้ให้ได้เท่ากับตอนที่เรานั่ง แรก ๆ ได้สักครึ่งชั่วโมงก็เก่งแล้ว แล้วค่อยเพิ่มเป็นชั่วโมง..สองชั่วโมง..สามชั่วโมง..ครึ่งวัน..วันหนึ่ง..สองวัน..ห้าวัน..สิบวัน จะได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ถาม : เคยปฏิบัติในลักษณะ ไม่ยุ่งทางโลกแล้วจะมาทางธรรมได้ง่ายมาก พอไปยุ่งทางโลก มักจะมีทิฏฐิเข้ามาแทรกว่าเป็นเหตุผลส่วนตัว ก็ปรุงแต่งไปว่า ฟังเพลงก็ได้ ทั้งที่ผิด เพราะรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ทำ เราก็ไม่ควรทำ ตอนที่ปฏิบัติจะรู้สึกอย่างนั้นเลย สมมติขับรถไป ง่วงนอน อยากให้หายง่วงก็จะฟังเพลง ก็ไม่ควรทั้งที่ควรจะหาเทคนิคอย่างอื่นมากกว่าในการที่จะทำให้ตื่น
ตอบ : ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้ากิเลสยังแรงอยู่ ก็ชักเราไปทางอื่นจนได้ ถ้ารู้ตัวเมื่อไรก็เลี้ยวกลับ สำคัญว่าถ้าเรารักษาอารมณ์ได้ กิเลสก็จะกินเราไม่ได้ ส่วนใหญ่เราเลิกแล้วเราเลิกเลย พยายามไปลองประคองดู

แรก ๆ ก็ได้เดี๋ยวเดียวเท่านั้น พอนาน ๆ ก็จะยืนระยะได้นานขึ้น ถ้าได้เป็นเดือนเป็นปีเมื่อไร จะมีความสุขอย่าบอกใครเชียว

ถาม : แต่พอมาพิจารณารูป รส กลิ่น เสียง รูปนี่ไม่ค่อยติดมาก แต่เสียงจะมีปัญหาเยอะ
ตอบ : กิเลสทุกชนิดแรงเท่ากัน เพียงแต่เราแพ้ตัวไหน ก็จะหนักสำหรับเราตัวนั้น ถ้าคนอื่นเขาไปแพ้เรื่องรูปเขาก็จะหงายท้องตั้งแต่ยกแรกเลย เพราะฉะนั้นเราแพ้ตัวไหนตัวนั้นจะหนักสำหรับเรา ทุกตัวน้ำหนักมันเท่ากัน

ถาม : แล้วเราควรจะหลีกเลี่ยงก่อนไหมคะ?
ตอบ : ถ้าหากเราสู้ไม่ไหวก็หลีก ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ไหวแล้วไปสู้ก็ตายเปล่า

ถาม : ตายมาหลายรอบแล้วค่ะ ต้องหลีกก่อนใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนมีปัญญาเขาต้องหลีก ลองพยายามดู ขออวยพรให้เอาชนะได้ไว ๆ จ้ะ

เถรี
26-06-2010, 12:05
เมื่อไม่นานมานี้ข่าวลือว่าจะเกิดภัยพิบัติ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า

"เรื่องของการถือมงคลตื่นข่าว ถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป อย่าลืมว่าการกิน การนอน การสืบพันธุ์ การกลัวภัย จัดเป็นธรรมดาของมนุษย์และสัตว์โดยถ้วนหน้า สำคัญที่ว่าใครจะมีสติมากกว่ากัน

พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงสติสัมปชัญญะว่าเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก คือ หลักธรรมทุกข้อต้องอาศัยสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องหนุนเสริมทั้งหมด

ถ้าเรามีสติ รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะตาย กำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนว่าตายแล้วจะไปไหน เรื่องภัยพิบัติต่าง ๆ ก็ไม่ใช่ของน่ากลัว เพราะความตายถ้าไม่หลุดพ้นไปนิพพานเลยก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต เป็นแค่การเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนขันธ์ไปเท่านั้น ดีไม่ดีเวียนว่ายตายเกิดอย่างยาวนานอีก

คุณยายเขาถามเมื่อเช้าว่า พระอรหันต์กลัวอะไร ? อาตมาเลยบอกว่ากลัวจะไม่ตาย ฉะนั้น..พวกเราเองยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็พยายามหน่อย แต่ความจริงคุณยายถามผิด เพราะพระอรหันต์ไร้ซึ่งความกลัวทั้งปวงแล้ว แต่ไม่ได้มีความยินดีที่อยากจะอยู่ในโลกนี้อีก ท่านอยู่ก็ได้..ตายก็ดี อยู่ก็ได้สร้างบุญสร้างบารมี ตายก็ได้ไปนิพพาน พ้นทุกข์เสียที"

เถรี
27-06-2010, 10:56
ถาม : คำว่าก้าวล่วงความทุกข์ได้ ต้องเป็นอารมณ์แบบไหนคะ ?
ตอบ : อารมณ์พระอรหันต์

ถาม : เห็นความทุกข์เป็นธรรมดาหรือคะ ?
ตอบ : เห็นเป็นธรรมดา ว่าปกติจะต้องเป็นอย่างนั้น อยากจะทุกข์ก็ทุกข์ไป เพราะเราจะพ้นไปอยู่แล้ว

เถรี
27-06-2010, 11:08
พระอาจารย์เล่าถึงเรื่องการระลึกถึงคุณบิดามารดาให้ฟังว่า "ปู่จอม (ญาติยายผีป่า) ไปรบที่เชียงตุง ตอนนั้นกองทัพไทยยึดเชียงตุงของพม่าได้ ก็เลยส่งกำลังไปเสริม ปู่จอมโดนเกณฑ์ไปด้วย

ปู่จอมบอกว่าไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรเลย ยกเว้นชายผ้านุ่งแม่เท่านั้น เป็นเรื่องอัศจรรย์มากในเรื่องของคุณบิดามารดาที่เห็นชัดที่สุด เพราะแม่จะจำได้ว่า นุ่งผ้านุ่งผืนไหนคลอดลูกคนไหน ถึงเวลาถ้าลูกต้องไปแดนไกล ก็จะฉีกชายผ้านุ่งพันแขนไปให้ หรือควั่นคล้องคอไปให้

ปู่จอมบอกว่า เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ตาม เอาชายผ้านุ่งแม่แช่น้ำอธิษฐานเป็นน้ำมนต์ กินหายทุกครั้ง

ถามปู่จอมว่า "ปู่ไม่ได้พระกริ่งเชียงตุงจากสมเด็จพระสังฆราช(แพ)บ้างหรือ ?" ปู่บอกว่าได้..แต่ตอนรบไม่รู้วิ่งไปตกหายที่ไหน เนื่องจากได้รับพระมาก็เป็นแต่องค์พระเฉย ๆ สมัยก่อนการเลี่ยมก็ไม่มี มีแต่เอาลวดสายไฟถัก ปู่จอมเอาพระใส่กระเป๋าไว้เฉย ๆ ไม่รู้หล่นหายตอนไหน เหลือแต่ชายผ้าถุงแม่ เพราะควั่นเป็นเชือกแล้วคล้องคอเอาไว้

เรื่องนี้ได้รับการยืนยันมาหลายต่อหลายรายด้วยกัน ในปัจจุบันนี้ที่เห็นชัดที่สุด ท่านเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของอาตมา เรียนประกาศนียบัตรบัตรบริหารการคณะสงฆ์รุ่นเดียวกัน แต่คนละห้องเรียน

ท่านจะเป็นหนึ่งในจำนวนพระที่ขยันมาก ๆ ก็คือ จะเข้าห้องเรียนก่อนทุกครั้ง ก็ปรากฏว่าท่านนี้เวลาทำวัตรเย็น ก็จะเห็นท่านล้วงเอาผ้าขาวผืนหนึ่งออกจากอก..วางกับพื้น..รีดเรียบอย่างดีแล้วก็กราบ ถึงเวลาทำวัตร ท่านก็พับผ้าขาวใส่มือ..แล้วอธิษฐาน เสร็จแล้วก็วางกับพื้น..กราบ.. ซุกใส่ตรงหน้าอกตามเดิม

อาตมาดูท่านอยู่ ๗-๘ วัน ก็เลยไปกระซิบถามท่าน "ขออภัยที่ละลาบละล้วง แต่อยากรู้ว่าผ้าอะไร ?" ท่านบอกว่า "เป็นผ้าสไบของแม่ที่ใส่ตอนบวชชี" ถามว่า "แม่ยังมีชีวิตอยู่ไหม ?" ท่านบอกว่า "ยังอยู่ พอแม่สึกแล้วขอแม่เป็นที่ระลึก ทุกครั้งที่สวดมนต์ทำวัตร ก็จะเอามาอธิษฐานจิตส่งบุญให้แม่"

เถรี
27-06-2010, 19:36
นอกจากนี้ ท่านที่มาจากคณะสงฆ์ภาค ๑๕ ยังมีตัวอย่างที่ดีอีก ก็คือ ท่านเจ้าคุณราชฯ เจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ท่านเจ้าคุณท่านเลี้ยงแม่ เอาแม่มาอยู่วัด แล้วทำกับข้าวให้แม่ทุกเช้า เข้าครัวไปลงมือทำเอง ลูกศิษย์ก็อยากจะช่วย ท่านบอกว่า "ไม่ต้อง..พวกคุณไม่รู้ว่าแม่ผมกินอาหารรสไหน แต่ผมอยู่กับแม่ผมมาตั้งแต่เด็ก..ผมรู้ และอยากให้แม่ชื่นใจว่าลูกทำให้"

ในเมื่อมีตัวอย่างอย่างนี้แล้ว บรรดาพระที่อยู่ในภาค ๑๕ ถ้าหากมีคนทำตามบ้างก็ไม่ถือว่าแปลก หัวแถวเดินตรง ลูกแถวก็เดินตาม

ฉะนั้น..ในเรื่องของพระคุณพ่อ พระคุณแม่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัด ท่านบอกว่าบุรุษผู้มีกำลัง นำบิดามารดาวางไว้บนบ่าแห่งตน เลี้ยงดูท่านเป็นอย่างดี ให้ท่าน กิน ถ่าย นอน บนนั้นอยู่ตลอดร้อยปี ยังชดใช้หนี้ที่ท่านเลี้ยงมาไม่ได้

ใครที่ยังมีพ่อมีแม่อยู่ ขอให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเราโชคดีมาก บุคคลที่เกิดมาในครอบครัวเดียวกัน อย่างน้อยก็ต้องเคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะทดแทนท่าน เพื่อบรรเทากรรมที่เคยล่วงเกินกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

โดยเฉพาะถ้าเป็นวาระที่สำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ หรือวันเกิดของท่าน หาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา กรรมที่ผูกพันกันมาแต่อดีตจะได้ขาดลงเสียที"

เถรี
27-06-2010, 22:29
"อาตมาเองถือว่าโชคดี ได้ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ดูแลแม่อีก ๓ ปีเต็ม ๆ

ตอนที่ดูแลอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโชคดีหรอก เพราะว่าช่วงวัยรุ่นเรียนอยู่ระหว่าง ป.๖ - ม.ศ. ๓ ตอนกลางวันเรียนหนังสือและช่วยงานบ้าน กลางคืนก็ดูแลพ่อ และท่านก็เป็นโรคที่ไม่ค่อยมีใครเหมือน ก็คือ พอเวลาผ่านไปสัก ๑๐ นาทีหรือ ๑๕ นาที กล้ามเนื้อท่านจะหดเกร็งและทรมานมาก ต้องคอยขยับนวดให้คลาย ก็แปลว่าอาตมาโดนเรียกทั้งคืน

เด็กวัยรุ่นกำลังกินกำลังนอน โดนเรียกทั้งคืน ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น..! บางเวลาเพลียจัด เสียงเรียกเหมือนดังมาสุดขอบโลก แต่เราได้ยินเพียงนิดเดียว พยายามตั้งสติที่จะลุก กว่าจะตั้งสติลุกขึ้นมาได้ พี่เขาก็ทนไม่ไหว ลุกมาก่อน เราลุกขึ้นมาพอดี ก็เลยโดน "พ่อเรียกอยู่ตั้งนาน มันทำหูทวนลม พอกูมาละก็ลุกเชียว..!" เขาไม่ได้ฟังเหตุผล ด่าเอาไว้ก่อน บางทีมีลงไม้ลงมืออีกด้วย..!

เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องรับ เพราะคนอื่นล้วนแล้วแต่อ้างว่ามีภารกิจ บรรดาพี่ ๆ เขาไปทำงานกันหมด ลูกชายที่พอจะทำอะไรได้มากที่สุดตอนนั้นดันเป็นเรา ก็ต้องทนรับไป

ฉะนั้น..วันที่พ่อตาย ใคร ๆ เขาเสียใจกัน แต่อาตมารู้สึกดีใจมากเลย เหมือนกับว่าได้พ้นนรกเสียที แต่แปลกตรงที่ว่า จากที่เคยนอนอยู่กับท่านมาหกปีเต็ม ๆ พอถึงเวลาคืนแรกที่นอนคนเดียว กลับนอนไม่หลับ

รู้สึกว่าห้องแคบ ๆ กลายเป็นกว้างสุดลูกหูลูกตา ควานไปแล้วไม่เจอใคร ในเมื่อนอนไม่หลับ ก็คลานไปนอนกับศพ..! เพราะเขาเก็บศพเอาไว้ รอฤกษ์ดีจะได้ใส่โลง พออยู่ใกล้แล้วหลับได้ จึงกลายเป็นคนไม่กลัวผีมาตั้งแต่เด็กแล้ว"

เถรี
28-06-2010, 10:54
"พอถึงคราวแม่ป่วย พี่ ๆ เขาแต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว คนที่ไม่แต่งงานและอายุมากที่สุดก็ดันเป็นเราอีก ก็เลยต้องรับหน้าที่ดูแล พาแม่ไปโรงพยาบาลตลอด กว่าจะหายเป็นปกติก็ตั้งสามปีเต็ม ๆ

ช่วงที่พ่อป่วยจนกระทั่งตายและจัดงานศพเสร็จ ทุกคนเหลือแต่ตัว โดยเฉพาะช่วงงานศพเขามีกงเต็ก ๗ วัน ตอนนั้นตกคืนละ ๗ พันบาท ถามพวกพี่ ๆ ว่า "เราไม่จัดไม่ได้หรือ ? ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย" เขาให้เหตุผลว่า "ถ้าทำได้..แล้วไม่ทำ คนอื่นเขาจะดูถูกเอา"

พอจัดงานศพพ่อเสร็จ ทุกคนก็ตั้งต้นนับหนึ่งใหม่ เพราะกงเต็กคืนละ ๗ พันบาท ตอนนั้นทองบาทละ ๒,๐๐๐ เท่านั้น..!

คราวแม่ป่วย ถึงเวลาหายก็แทบต้องนับหนึ่งใหม่เหมือนกัน เพราะเขาเจาะคอเพื่อที่จะใส่หลอดหายใจ ไม่ทราบหมอทำอย่างไรจึงติดเชื้อ แผลกลายเป็นหนอง เวลาแม่หายใจ หนองมันฟอดออกมาเลย ก็ต้องฉีดยาฆ่าเชื้อ

ยาฆ่าเชื้อนี้ชื่อ คลาฟอรัน (Claforan) สมัยนั้นหลอดละ ๕,๐๐๐ บาท ต้องฉีดเช้าเย็นทุกวัน สมัยนี้ไปถามแล้วเขาบอกหลอดละ ๓๐๐ บาท แสดงว่าสมัยก่อนหายาก ซึ่งความผิดพลาดเป็นของหมอ แต่เราต้องจ่ายเอง

แต่ก็ดีอยู่อย่างว่า พอเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้า ทำให้ทุกคนไม่รู้สึกว่ามีอะไรยากในชีวิต เพราะว่าเราผ่านช่วงยากลำบากมาแล้ว เริ่มต้นนับหนึ่งมาสองสามครั้งแล้ว เลยไม่มีใครกลัวถ้าจะต้องไปนับหนึ่งใหม่ แล้วจะเป็นอะไรที่ฟื้นตัวเร็วมาก ๆ เพราะเรารู้ว่าถ้าเราไม่ขยันก็แปลว่าตามใครไม่ทัน เพราะเราเริ่มต้นใหม่ จึงต้องขยัน ทุ่มเทเต็มที่"

เถรี
28-06-2010, 13:38
"พวกเราทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ นอนตีสองตีสามประจำ ตีห้าต้องตื่นมาทำงานใหม่ มีเวลาพักผ่อนนิดเดียว ก็เลยมานึกว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมของพวกเรา ถ้าได้ผ่านช่วงที่ยากลำบาก ต่อสู้ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกมา ถึงเวลาก็จะไม่มีเรื่องยากสำหรับเราเช่นกัน เพียงแต่ว่าเราทั้งหลายนี้ ถึงช่วงนั้นบ้างแล้วหรือยัง ?

ช่วงการปฏิบัติที่ว่าถ้าทำไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย ถ้าเราทำอย่างนั้นได้เสียครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปจะไม่ยาก เพราะใช้กำลังใจเท่าเดิม ฉะนั้น..โบราณจึงได้กล่าวว่า ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะไม่มีอะไรที่จะลำบากไปกว่านั้นอีกแล้ว

ในเมื่อลำบากมาก่อน ถึงเวลาถ้าลำบากเท่าเดิมก็สบายสำหรับเรา แต่คนที่ไม่เคยลำบากมาก่อนอาจจะถึงตาย หรือไม่ก็เอ็ดตะโรลั่นไปเลย เพราะทนความลำบากไม่ไหว

ที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง สืบเนื่องจากว่า เพื่อนท่านสวดมนต์ทำวัตรทำกรรมฐาน อุทิศกุศลให้แม่ตลอด และเรื่องปู่จอมที่ไปสงครามเชียงตุง เดินนับไม้หมอนกลับประเทศไทย เพราะถึงเวลาถอนกำลังกลับ ไม่มีใครส่งรถไปรับ ก็ต้องเดินกลับมาเอง

เมื่อดูตัวอย่างของเพื่อนพระหรือปู่จอม จึงได้กล่าวมาถึงตนเองว่า มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เป็นการทดแทนให้กับพ่อกับแม่ ขณะที่คนอีกจำนวนมากไม่ได้มีโอกาสนี้ แต่ว่าตอนที่ทำก็ไม่ได้รู้สึกว่าดีเลย ทำเพราะว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทำเพราะเป็นภาระจำยอม เนื่องจากว่าสภาพของเราไปพอเหมาะพอดีกับตรงนั้นเอง"

เถรี
29-06-2010, 01:02
"หลังจากนั้นอาตมายังมีโอกาสดูแลหลวงปู่มหาอำพันอีก รวม ๆ แล้วจะมีระยะเวลาของการอยู่กับผู้ป่วย หรืออยู่โรงพยาบาลรวมแล้วสิบกว่าปี

บางทีตัวเองป่วยไปอยู่โรงพยาบาล พอหมอมาตรวจเราก็รายงานทุกอย่างเหมือนนางพยาบาลเขารายงาน เขาก็สงสัยว่าเราป่วยบ่อยหรือ ? ป่วยบ่อย..แต่เข้าโรงพยาบาลไม่บ่อย ไม่จำเป็นจริงจะ ๆ ไม่เข้า ยกเว้นโดนเขาบีบคอถึงจะยอมไป..!

สรุปตรงที่ว่า ถ้าหากเราผ่านในความยากลำบากของชีวิตมาก่อน ก็จะไม่มีสิ่งใดให้เราต้องลำบากอีก เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายที่ตะเกียกตะกายไปบึงลับแลมา แล้วรู้สึกว่าลำบาก ขอยืนยันว่าที่นั่นยังสบายอยู่...

ความสบาย..ทำให้คนอ่อนแอลง ความเข้มแข็งของกำลังใจลดลง พระปฏิบัติส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะถือธุดงควัตร เพื่อเป็นการขัดเกลากิเลส การขัดเกลากิเลสพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า สัลเลขธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องขัดเกลา ปวิเวกธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหลีกออกจากหมู่

ดังนั้น..ในแต่ละปีควรจะมีเวลาเป็นของตัวเอง ได้ไปปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันสัก ๗ วัน หรือ ๑๐ วัน เป็นการสั่งสมกำลังของตัวเอง

อาตมาเองเป็นคนหวงเวลาส่วนตัวมาก พอถึงเวลาก็จะไม่ยุ่งกับใครแล้ว เอาเรื่องของตัวเองเป็นใหญ่ โดยเฉพาะช่วงก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนนักศึกษา ช่วงเดือนมกราคมจะเป็นช่วงเวลาที่ออกป่า เหมือนอย่างกับว่าเราไปเพิ่มพลังให้กับตัวเอง

เรื่องของการปฏิบัติควรจะมีเวลาทำต่อเนื่องสักระยะหนึ่ง บ่อย ๆ แล้วจะมีความก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนกับว่า เราตำข้าวสารกรอกหม้อ ไม่ค่อยจะพอกรอกด้วย ทำนิด ๆ หน่อย ๆ ในแต่ละวัน ไม่พอใช้งานเสียด้วยซ้ำ แล้วจะเอากำลังสะสมที่ไหนไปสู้กิเลสได้

ที่พูดมานี้เพื่อว่า ใครก็ตามที่ทำงานอยู่ พยายามดูว่าช่วงไหนที่มีวันหยุดยาว ๆ หรือช่วงไหนที่เราลาพักร้อน หรือมีสิทธิ์ที่จะลาตามกฎระเบียบสถานที่ทำงานของเรา ก็สะสมวันให้ได้ห้าหรือเจ็ดวัน สามวันแรกนี่ไม่ต้องเลยนะ ขอยืนยันว่าสามวันแรกกำลังฟุ้งเต็มที่ ไปเริ่มดีเอาวันที่สี่ทั้งนั้น"