View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน  วันจันทร์ที่  ๓  พฤษภาคม  ๒๕๕๓
ตั้งตัวให้ตรง กำหนดความรู้สึกไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากำหนดรู้ตามไป  หายใจออกกำหนดรู้ตามไป  โดยเฉพาะท่านที่ไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวง เมื่อคืนวันที่  ๓๐  เมษายนที่ผ่านมา คงจะรู้ว่าควรจะวางกำลังใจแบบไหน  ตรงจุดไหน  สมาธิจึงจะทรงตัวได้เร็ว ตามที่พระท่านได้แนะนำไว้
  
สำหรับวันนี้ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นวันหยุดชดเชยวันกรรมกร เนื่องจากว่าวันที่ ๑ พฤษภาคมปีนี้ไปตรงกับวันเสาร์ และนับเป็นโอกาสดีอีกอย่างก็คือ มีการชุมนุมทางการเมืองของพวกเสื้อหลากสีบริเวณของอนุสาวรีย์นี้  ทำให้เราได้ทดสอบกำลังใจในการปฏิบัติของเราว่า ที่ทำมาทั้งหมดนั้นสามารถใช้งานจริงได้หรือไม่?
ถ้าเราทุกคนสามารถทรงสมาธิได้ในทุกระดับที่ตนเองต้องการ  หรือระดับใดระดับหนึ่งที่ทำได้ แล้วทรงได้ทุกเวลาที่ต้องการ เราก็จะไม่มีความรู้สึกรำคาญเกี่ยวกับเสียงปราศรัยทางการเมือง ที่เรารู้สึกว่า เป็นการยั่วยุและเป็นการล่อหลอกเพื่อชักนำเราให้ไปร่วมด้วย
การที่เราจะทรงสมาธิถึงขนาดนั้นได้ อันดับแรก  เรื่องของลมหายใจเข้าออก  ต้องกำหนดรู้เป็นปกติ หายใจเข้าเรากำหนดรู้ตามไปว่า ผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ลงไปสุดที่ศูนย์กลางกายในท้อง หายใจออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก พร้อมกับคำภาวนาที่เราชอบ  
ถ้าหากว่าสามารถกำหนดรู้ลมได้ทั้งสามฐาน  หายใจเข้ารู้ได้ตลอด หายใจออกรู้ได้ตลอด ถ้าอย่างนั้นอาตมาขอยืนยันว่า  ทุกท่านกำลังทรงอยู่ในปฐมฌาน เพียงแต่ว่าจะเป็นปฐมฌานอย่างหยาบ  ปฐมฌานอย่างกลาง  หรือว่าปฐมฌานอย่างละเอียด  ก็แล้วแต่ว่าท่านจะทำได้ในระดับใด
เมื่อกำหนดรู้ลมหายใจเช่นนั้น  พร้อมกับภาวนาต่อไป  จากที่หูเราได้ยินเสียงตามปกติ  แต่ไม่รู้สึกรำคาญ  ก็จะกลายเป็นว่าได้ยินเสียงนั้นเบาลง พร้อมกับลมหายใจเข้าออกซึ่งเบาลงไปด้วย  บางท่านที่จิตหยาบหน่อยอาจจะไม่ได้ยินเสียง หรือไม่รู้ถึงลมหายใจเข้าออกเลย   เหลือแค่คำภาวนาอย่างเดียวก็เป็นได้  ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าจิตของท่านกำลังดำเนินสู่สมาธิในระดับทุติยฌานคือฌานที่ ๒ เป็นความตั้งมั่นในระดับที่สองของกำลังใจของเรา  
เมื่อกำหนดรู้ต่อไป  คือ  ถ้าไม่มีลมหายใจก็รู้ว่าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนาก็กำหนดรู้ว่าไม่มีคำภาวนา ไม่ไปตกอกตกใจจนย้อนกลับมาภาวนาใหม่ ซึ่งเป็นการย้อนกำลังใจของเราลงมาสู่สมาธิที่ต่ำกว่า ถ้าเรากำหนดรู้ไปเฉย ๆ ว่า ตอนนี้ไม่หายใจ  ตอนนี้ไม่ภาวนา หรือถ้าไม่รู้ลมหายใจ ไม่รู้ถึงคำภาวนา รับรู้เฉพาะกำลังจิตที่เกาะนิ่งอยู่จุดใดจุดหนึ่งก็ได้เหมือนกัน   
ถ้าทำไปสักระยะหนึ่ง กำหนดรู้สักระยะหนึ่ง  ก็จะเกิดร่างกายรู้สึกตึงแน่นขึ้นมา  บางท่านก็รู้สึกว่าเหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหิน  บางท่านก็รู้สึกตัวตึงขึ้นมาเรื่อย ๆ เหมือนมีใครเอาเชือกมามัดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บางท่านก็รู้สึกเย็นอยู่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง  อย่างเช่น อาจจะเป็นปลายจมูก  ริมฝีปาก  หรือบริเวณตั้งแต่จมูก ปาก และคางด้วย   
ความรู้สึกจดจ่อนิ่งอยู่เฉพาะจุดอย่างนั้น  ไม่ว่าจะเป็นอาการที่เหมือนถูกสาปให้เป็นหินก็ดี  ความรู้สึกตึงแน่นไปทั้งตัวเหมือนโดนใครมัดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็ดี   หรือความรู้สึกเย็นแข็งอยู่เฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายก็ดี  นั่นเป็นการก้าวเข้าสู่อัปปนาสมาธิในระดับตติยฌานคือฌานที่ ๓ เป็นกำลังใจที่ทรงตัวอยู่ในระดับที่สาม  
ถ้าเราสักแต่ว่ากำหนดรู้อย่างนั้นต่อไป โดยไม่ไปใส่ใจนึกคิดปรุงแต่ง ไม่ได้อยากไปหายใจ  และขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้อยากให้อาการเหล่านี้คลายตัวหายไป กำหนดแค่รู้ไปเรื่อย  ความรู้สึกทั้งหมดก็จะรวบเข้ามาอยู่ที่ใดที่หนึ่ง อาจจะตรงหน้าก็ได้ ภายในศีรษะก็ได้  ภายในอกก็ได้  ภายในท้องก็ได้  จุดใดจุดหนึ่ง จะสว่างโพลง นิ่ง เยือกเย็นอยู่อย่างนั้น  ถ้าลักษณะอย่างนั้น  ก็แปลว่าจิตของเราดิ่งลงสู่อัปปนาสมาธิในระดับที่สี่  คือ  จตุตถฌานคือฌานที่ ๔ ถ้าถึงเวลานั้นหูจะไม่รับรู้เสียงภายนอกโดยสิ้นเชิง  ลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาก็ไม่มี  เหลือแต่สภาพจิตที่นิ่ง โพลง ใสสะอาดอยู่อย่างนั้น
ถ้าหากมาถึงระดับนี้ เราต้องการจะคลายสมาธิออกมาเมื่อไร ก็สามารถที่จะคลายได้ หรือจะตั้งกำหนดไว้เลยว่า  เราจะทรงอยู่ในสมาธิเช่นนี้เป็นระยะเวลานานเท่าไร ก็สามารถที่จะตั้งกำหนดเวลาได้  เมื่อถึงเวลาก็จะคลายออกมาตามที่เราต้องการเอง แต่บางท่านไม่ได้กำหนดว่าจะคลายสมาธิออกมา บางทีตนเองรู้สึกว่าเดี๋ยวเดียว แต่เวลาภายนอกผ่านไปสามวันสี่วันก็มี 
ขอให้ท่านทั้งหลายซ้อมปฏิบัติเข้าออกในแต่ละระดับของสมาธินี้ให้คล่องตัวไว้ จะสลับกันไปสลับกันมาก็ได้ จะเข้าตามลำดับก็ได้  จะเข้าย้อนรอยถอยหลังจากมากลงมาน้อยก็ได้  เพื่อสร้างความคล่องตัวให้เกิดกับสภาพจิตของเรา ถ้าสามารถทำได้คล่องตัวแล้ว ต่อไปถ้าหากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ไม่ว่าจะเป็นตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส เราสามารถที่จะดึงจิตของตนหลบหนีจากสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเข้าไปสู่องค์สมาธิ ทำให้ไม่ต้องไปปรุงแต่งให้ฟุ้งซ่าน  
ถ้าท่านทำได้คล่องตัวเช่นนี้แล้ว  อย่างสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง  ที่ประกอบไปด้วยเสียงดัง  เราก็สามารถที่จะใช้สมาธินี้หลบหนีได้  ถ้าหากไม่ชอบมาก  ก็เข้าสมาธิสูงสุดไม่รับรู้อาการภายนอกไปเลย ถ้าหากอยากรับรู้ว่าเขามีอะไรบ้าง แต่ไม่อยากไปใส่อารมณ์ตามเขา เราก็อาจจะอยู่ในขอบของฌานที่สอง หรือฌานที่หนึ่งก็ได้
เรื่องของลมหายใจเข้าออกนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นพื้นฐานของสมาธิทุกระดับชั้น  บุคคลจะก้าวเข้าสู่มรรคผลได้  จะต้องมีกำลังของสมาธิเป็นเครื่องประกอบ  ไม่ว่าจะเป็นท่านที่ปฏิบัติแบบเจโตวิมุตติ คือหลุดพ้นโดยใช้กำลังสมาธิข่มกิเลสไว้ก็ดี  หรือท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติมาในสายของปัญญาวิมุตติ เป็นการใช้ปัญญาพิจารณา จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง  ตามสภาพความเป็นจริงของร่างกายแล้วยอมรับก็ดี  ทั้งสองอย่างนี้ล้วนแล้วต้องอาศัยกำลังสมาธิทั้งนั้น  
ทางสายเจโตวิมุตติเป็นการเริ่มจากการภาวนาโดยตรง  ย่อมมีกำลังสมาธิเป็นปกติอยู่แล้ว แต่สายปัญญาวิมุตตินั้นใช้การพิจารณาจนสภาพจิตดิ่งเข้าสู่องค์สมาธิเอง  ถ้าหากจิตของเราไม่มีสมาธิที่ทรงตัวเพียงพอ  ก็จะไม่มีกำลังในการตัดละกิเลสต่าง ๆ ได้
ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามสายของเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติก็ตาม  ท้ายที่สุดแล้วย่อมต้องอาศัยกำลังของสมาธิและปัญญาควบคู่กันทั้งสิ้น   
สายเจโตวิมุตติก็คลายกำลังใจออกมาใช้ปัญญาพิจารณา  สายปัญญาวิมุตติเมื่อพิจารณาไปแล้ว  สมาธิก็ทรงตัวขึ้นตามลำดับ  จนถึงระดับที่ตนเองทำได้  ไม่ว่าจะเป็นปฐมฌานเพื่อใช้ตัดกิเลสในระดับโสดาบันกับสกิทาคามีก็ดี   หรือว่าฌานสี่ที่ใช้ในการตัดกิเลสในระดับพระอนาคามีและพระอรหันต์ก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นการปฏิบัติที่ทั้งสองสายจำเป็นต้องมีทั้งสิ้น  จะปฏิบัติเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ถึงปฏิบัติได้ โอกาสที่จะสำเร็จบรรลุมรรคผลตามที่ต้องการก็เป็นไปไม่ได้อีก เมื่อเป็นดังนี้ เราทุกคนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับลมหายใจเข้าออก  ให้ความสำคัญกับการภาวนา 
เมื่อตอนงานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวง  ในวันที่ ๓๐  เมษายนที่ผ่านมานั้น  พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ให้การแนะนำวิธีการภาวนาไว้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า  พวกเราเป็นจำนวนมากนั้น  เมื่อภาวนาไปถึงระดับที่คำภาวนาหายไป  ลมหายใจเข้าออกเบาลงจนจับไม่ติด เราก็เกรงว่าจะไม่ได้จับคำภาวนา ไม่ได้จับลมหายใจเข้าออก  ก็ถอยกำลังใจออกภาวนาและจับลมหายใจใหม่ การที่เราปฏิบัติโดยไม่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรในลักษณะนี้  ก็ทำให้เราต้องเสียโอกาส เพราะว่าแทนที่สมาธิจะทรงตัวสูงขึ้น ก็กลายเป็นย้อนรอยถอยหลังกลับมา  สู่การภาวนาที่เป็นขั้นต้นใหม่  ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นต้องซ้อมสมาธิในแต่ละระดับให้เกิดความชำนาญ   เพื่อถึงเวลาต้องการเมื่อไรจะได้ใช้งานได้เมื่อนั้น
สำหรับตอนนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดรู้ลมหายใจเข้า  ลมหายใจออก  ตลอดจนคำภาวนาหรือภาพพระของเราตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
พระครูธรรมธรเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน  ณ  บ้านอนุสาวรีย์
วันจันทร์ที่  ๓  พฤษภาคม  ๒๕๕๓
ช่วงที่พระอาจารย์ได้ให้สัญญาณบอกหมดเวลา ท่านกล่าวว่า   "ให้ทุกท่านค่อย ๆ คลายกำลังใจออกมา  การซ้อมเข้าและคลายกำลังใจออกเป็นเรื่องสำคัญมาก   ถ้าหากไม่มีความคล่องตัว ถึงเวลาแล้วไม่สามารถที่จะรับมือกิเลสได้ทัน  
แต่การคลายกำลังใจ  ถ้าคลายออกมาหมดทีเดียวก็เป็นโอกาสให้กิเลสทำอันตรายเราได้เหมือนกัน  จึงต้องคลายกำลังใจออกมา..อย่างแย่ที่สุด ไม่ควรจะให้ต่ำจากระดับของปฐมฌาน เพราะถ้าลงมาถึงระดับอุปจารสมาธิก็จะอันตรายมาก
ให้พวกเราพยายามประคองรักษาอารมณ์ไว้ในระหว่างปฐมฌานขึ้นไปทุกครั้ง เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงจากนิวรณ์ทั้งห้าประการได้"
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.