เข้าระบบ

View Full Version : ท่านแม่ทั้งสาม


เถรี
28-04-2010, 19:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=4689&stc=1&d=1272455584

เมื่อกล่าวถึงท่านแม่ทั้งสาม ต้องบอกว่าพวกเราชาตินี้กำพร้าแม่ เพราะว่าท่านแม่ลงมาเกิดครั้งสุดท้ายสมัยรัชกาลที่ ๕ ถามแม่ว่า ทำไมจึงไม่ลงมาอีก ? แม่บอกว่า "ชาตินี้พ่อแกจะมาสร้างเนกขัมมบารมี ถ้าลงมาพ่อจะบวชไม่ได้"

นับตั้งแต่ยุคสมัยพระเจ้าพรหมมหาราชเป็นต้นมา ในสมัยนั้นขอมดำครองเมือง ขับไล่คนไทยถอยร่นไปอยู่ในป่า แล้วยังบีบให้ส่งส่วยทุกปี เมื่อคิดจะกู้ชาติจากขอมดำ ก็จำเป็นต้องใช้กำลังพลทั้งหมดที่มี กลายเป็นว่าแม้กระทั่งผู้หญิงก็ต้องออกรบทั้งหมด ในสมัยนั้นท่านปู่เป็นผู้ที่อยู่ในศีลกินในธรรม ถ้ากล่าวถึงเรื่องรบ ปู่ฟังแต่ไม่ได้ยิน ก็เลยต้องไปพูดกับย่า กลายเป็นว่าผู้นำทัพสมัยนั้นกลายเป็นผู้หญิง กลายเป็นแรกเริ่มของคำว่าแม่ทัพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ท่านแม่ทั้งสามออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แต่ละท่านล้วนแล้วแต่มีฝีมือในการรบมาก คู่ต่อสู้เผลอเมื่อไรตายเมื่อนั้น คราวนี้การที่ท่านเกิดมาสร้างบารมีร่วมกับหลวงพ่อ สามท่านรักกันมาก มักจะมาเป็นชุดเดียวกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ เกิดในยุคสมัยเดียวกัน ต่อให้เกิดคนละพ่อ คนละแม่อย่างไรก็ตาม ถึงเวลามาอยู่ด้วยกัน แล้วก็รักกันยิ่งกว่าพี่น้องที่เกิดร่วมท้องกันเสียอีก

พวกเราทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นลูกแม่ใหญ่กันมาก เกิดเป็นลูกแม่กลางกับลูกแม่เล็กน้อยหน่อย แต่ไม่ว่าจะลูกแม่ไหนก็ตาม สมัยนั้นจะได้รับความรักเสมอหน้ากันหมด ไม่เหมือนสมัยนี้ยังมีการแบ่งลูกเมียหลวงเมียน้อย สมัยนั้นไม่มี เพราะว่าทุกคนที่เกิดมาคือกำลังสำคัญของประเทศชาติ บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าเห็นเด็กลำบากก็ต้องช่วยเหลือ ช่วยเลี้ยงดู ลักษณะสังคมอย่างนั้นกลายเป็นสังคมในฝันไปแล้ว สมัยนี้ตัวใครตัวมันเสียเยอะ หรือไม่ก็ต้องอาศัยโรงเลี้ยงเด็ก อยากจะให้เลี้ยงก็เลี้ยงได้ แต่ต้องจ่ายเงินมาด้วย

เถรี
28-04-2010, 19:09
ท่านแม่ทั้งสามไม่ได้ลงมาในชาตินี้ เพราะหวังให้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสร้างเนกขัมมบารมี บุคคลที่สร้างบารมีคู่กันมา ถ้าเจอหน้ากันจะอยู่ไม่ได้ อย่างภรรยาของพรานกุกกุฏมิตร เธอเป็นลูกของเศรษฐี อยู่บนปราสาทชั้นที่เจ็ด พอเห็นนายพรานแบกเนื้อมาขายในตลาดเท่านั้นแหละ หนีตามไปเลย..! เพราะเขาจำของเขาได้

บุพเพสันนิวาส คือ ความผูกพันกันข้ามชาติข้ามภพ คราวนี้ผูกกันนาน ผูกกันมาหลายชาติหลายภพ ยิ่งผูกกันมากเท่าไร ความรู้สึกก็ยิ่งแรงมากเท่านั้น

ในเมื่อไม่สามารถที่จะลงมาเกิดได้ เพราะต้องให้หลวงพ่อท่านสร้างเนกขัมมบารมี ท่านก็เลยปฏิบัติข้างบนแทน แรก ๆ แม้ว่าหลวงพ่อท่านจะปฏิบัติจนพ้นไปแล้ว แต่ท่านแม่ทั้งสามก็ยังไม่ยอมปฏิบัติเพื่อมรรคผลของตนเอง เพราะเป็นห่วงลูก

ถ้าว่ากันตามกฎเกณฑ์และระยะเวลาเดิมแล้ว พวกเราจะต้องลงมาเกิดใหม่อีก โดยเฉพาะเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย แต่เมื่อหลวงพ่อท่านเปิดการสอนมโนมยิทธิ จนกระทั่งลูกหลานจำนวนมากสามารถทำได้ พิสูจน์เกี่ยวกับนรก สวรรค์ พรหม พระนิพพานได้ มีทานบารมีโดยเฉพาะสังฆทานเป็นปกติ ท่านแม่ก็ไว้วางใจ เพราะอย่างน้อย ๆ ลูกของท่านมีสุคติเป็นที่ไปอย่างแน่นอน ถ้าขึ้นไปอยู่ข้างบนเมื่อไร ก็ไม่ต้องลงมาเกิดใหม่อีก สามารถปฏิบัติต่อข้างบนได้เลย เพราะเลือกหนังสือเดินทางได้ถูกประเภทแล้ว ก็คือ ประเภทไปพระนิพพาน

ในเมื่อเลือกได้ถูกประเภท ถึงแม้จะยังไปไม่ได้ ก็ขึ้นไปต่อที่ข้างบน ท่านแม่ทั้งสามก็เลยตัดใจ ละความปรารถนาที่จะเกิดอีก บำเพ็ญอยู่ข้างบนไม่นาน ก็เข้าสู่พระนิพพานไปเลย

ดังนั้น..เวลาที่เราบูชาท่านแม่ทั้งสาม ให้เราตั้งใจว่าเราบูชาพระ คือ พระอรหันต์ แต่การที่เราจะตั้งบูชาท่านให้เหมาะสม ถ้ามีหิ้งเล็กแยกท่านต่างหากไปเลยจะดีมาก แต่ถ้าไม่สามารถแยกต่างหากได้ ก็ให้ตั้งรูปท่านต่ำกว่าพระสงฆ์ ป้องกันคนจะปรามาสและเกิดโทษแก่ตัวเอง เพราะคนที่ไม่รู้มีมาก

ท่านแม่รุ่นนี้อาตมาให้ใส่ชื่อจริงไว้ด้านหน้า และชื่อที่เรียกกันภายในไว้ด้านหลัง แต่ว่าลูกจริง ๆ จะเรียกกันว่า แม่ใหญ่ แม่กลาง แม่เล็ก คาดว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อน้อยคนนักที่จะรู้จักแม่ได้ครบถ้วน รู้จักไม่ครบไม่พอ..เรียกมั่วอีกต่างหาก ก็เลยกลัวว่านาน ๆ ไปจะกลายเป็นจำผิดกันไปเรื่อย จึงต้องใส่ชื่อกำกับไว้ด้วย


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๓