PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๓


เถรี
06-04-2010, 10:57
ถาม : ตอนนี้ผมเห็นหลวงพ่อฤๅษี อยากทราบว่าเป็นองค์จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เห็นท่านก็ไปถามท่านสิ มาถามอะไรกับอาตมา..!

ถาม : เจอท่านตลอด โดยเฉพาะตอนตื่นขึ้นมาจะเห็นท่านตลอด ไม่รู้ว่าเป็นบ้าหรือเปล่า ?
ตอบ : เคยอ่าน เคยฟัง เคยปฏิบัติตามที่หลวงพ่อท่านสอนมาก่อนหรือเปล่า ?

ถาม : เป็นก่อนที่จะไปฝึกมโนฯ ครับ
ตอบ : ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือของท่าน เคยฟังเทปของท่าน หรือเคยปฏิบัติตามที่ท่านสอน ก็จะมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า กราบขอบารมีพระพุทธเจ้าขอให้เรารู้เห็นตามความเป็นจริง ตรงนี้แหละเป็นไม้ตายเลย ครูท่านให้เอาไว้ ถ้าหากไม่ใช่ของจริง จะอยู่ไม่ได้

เถรี
06-04-2010, 12:05
ถาม : ตอนที่ฝึกมโนฯ เวลาเจอภาพจะเป็นแก้วหมดเลยครับ ตรงนี้หมายถึงอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าสมาธิดี วิปัสสนาญาณดี ภาพก็เป็นแก้ว ถ้าสมาธิไม่ดี วิปัสสนาญาณไม่ดี อาจจะเป็นอิฐเป็นปูนก็ได้
เอาไว้วัดสมาธิและวิปัสสนาญาณของตนได้ ถ้าสมาธิดีภาพที่เห็นจะชัดเจนแจ่มใส แปลว่าในช่วงนั้นเรามีการพิจารณาวิปัสสนาญาณดี มีการทรงสมาธิดี ก็สามารถที่จะเห็นได้ชัดเจน ถ้าหากว่ามัวหรือมีข้อบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ศีลอาจจะบกพร่องไม่สมบูรณ์ ก็มัวได้

ถาม : ทุกวันนี้ก็ยังไม่หาย ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้รู้เห็นได้ก็พอ ต่อให้ไม่เห็น..ให้รู้ได้ก็พอ ถ้ามัวไปใส่ความชัดเจนอยู่ ชาตินี้ไม่ต้องไปฝึกปฏิบัติหรอก เสียเวลาเปล่า..!

ถาม : อย่างนี้เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : มโนมยิทธิเป็นทิพจักขุญาณอยู่แล้ว

ถาม : แล้วอุปจารสมาธิละครับ เป็นอารมณ์..?
ตอบ : ก็คือ อารมณ์ตอนนี้แหละ

ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : อุปจาระ แปลว่า ขอบเขต อุปจารสมาธิ คือ อยู่ในขอบเขตของสมาธิ ยังไม่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่นตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป
อุปจารสมาธิเป็นกำลังใจปกติธรรมดาของเรา ที่ใช้ความตั้งใจเพิ่มขึ้นไปอีกนิดเดียวเท่านั้นเอง

เถรี
06-04-2010, 12:12
ถาม : เสียงสวดมนต์ขณะปฏิบัติสมาธิเป็นนิวรณ์หรือเปล่าครับ
ตอบ : นิวรณ์คุณเข้าใจว่าเป็นอะไร ?

ถาม : ความพอใจในรูป, รส, กลิ่น, เสียง, โทสะ, ความคิดฟุ้งซ่าน, ความลังเลสงสัย, และความง่วงเหงาหาวนอน
ตอบ : แล้วเข้าเกณฑ์ไหมล่ะ ?

ถาม : จัดว่าเป็นเสียง ใช่หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจเข้าสู่อุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ ทั้งรูป ทั้งกลิ่น ทั้งเสียงต่าง ๆ เราสามารถสัมผัสได้ เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินเสียงสวดมนต์ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก

นิวรณ์ของเสียง ส่วนใหญ่ก็คือเสียงในเพศตรงข้าม ที่เราได้ยินแล้วก่อให้เกิดราคะ ก่อให้เกิดโทสะ เป็นต้น ถ้าหากเสียงนั้นไม่ก่อให้เกิดราคะ โทสะ โมหะขึ้นมา ไม่จัดว่าเป็นนิวรณ์

เถรี
07-04-2010, 09:53
ถาม : ตอนนี้เหมือนกับว่างานที่ผมอยู่ทำสำเร็จดีครับ แต่เกิดความรู้สึกว่าเบื่อ
ตอบ : เบื่อก็เลิกทำสิวะ..!

ถาม : มันเบื่อเหมือนไม่อยากทำเลย ทำแล้วไม่เหมือนก่อนที่ยังสนุกอยู่ ตอนนี้ไม่อยากทำ ไม่อยากเจอ ไม่อยากพูดกับใคร ผมควรจะทำหรือปฏิบัติตัวอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไปบวชซะ..!

การปฏิบัติพอไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดอารมณ์นิพพิทาญาณ คือ ความเบื่อ จัดเป็นอารมณ์ที่ดีมาก เพราะถ้าไม่เบื่อ เราก็อยากจะเกิดมาทุกข์อีก จริง ๆ แล้ว เราต้องประคับประคองความเบื่อนี้เอาไว้ แล้วพิจารณาให้เป็นธรรมดา ในเมื่อเราเกิดมา มีหน้าที่ทำมาหากินเป็นปกติอย่างนั้นเราก็ทำไป ถือแค่ว่าทำตามหน้าที่ ถ้าตายตอนนี้เราก็เลิกทำ..จบ

ต้องพยายามคิดตรงนี้ให้ได้ ถ้าข้ามตรงนี้มาได้จะเป็นสังขารุเปกขาญาณ เป็นอารมณ์ปล่อยวาง ไม่ไปแบกเอาไว้ ความเบื่อก็ไม่มี หรือไม่ก็ใช้วิธีอย่างที่ว่า เบื่อมาก ๆ ก็ไปบวช จะได้เบื่อหนักเข้าไปอีก..!

เถรี
07-04-2010, 09:58
ถาม : ตอนนั่งสมาธิ ผมก็ทำอย่างหลวงพ่อ ก็คือบวงสรวงก่อน ผมจะเจอเทวดา ท่านก็บอกว่า เป็นคำสั่งของท่านท้าวมหาราชให้มาคุ้มครอง ตรงนี้จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บุคคลที่ปฏิบัติสมาธิได้ตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป ท่านท้าวมหาราชจะให้เทวดามาคุ้มครองเป็นปกติอยู่แล้ว

เถรี
07-04-2010, 10:06
ถาม : การบวช เราต้องให้ผู้ปกครองรับทราบด้วยหรือเปล่า เพราะพ่อผมไม่อยากให้แม่มา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าบวช ควรจะบอกพ่อ บอกแม่ก่อน เพื่อให้ท่านโมทนาด้วย ถ้าหากว่ามีครอบครัวจำเป็นต้องคุยให้รู้เรื่องก่อน เพื่อที่โลกจะได้ไม่ช้ำ ธรรมจะได้ไม่เสีย ไม่ใช่ว่าทิ้งไปเฉย ๆ

เถรี
07-04-2010, 10:28
พระอาจารย์บอกกับผู้ที่ขอให้สร้างรูปท่านแม่ทั้งสาม รุ่นที่ ๒ ว่า "ทำวัตถุมงคลอย่าไปย่ามใจ เห็นว่าเสียงตอบรับดี ไปทำซ้ำอีก เจ๊งมาเยอะแล้ว ตรงนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวเลย"

เถรี
08-04-2010, 18:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกไฟไหม้หรือโรคระบาด เกิดจากกรรมเก่าที่ไปทำร่วมกันมา พอถึงเวลาเทวดาจะมากำหนดเขตไว้เลย ถ้าหากเรารู้ทันและแก้ไข ก็จะไม่โดน ถ้ารู้ไม่ทันและแก้ไขไม่เป็น ก็จะเป็นไปตามวาระกรรมของตัวเอง

คำว่า รู้ทัน ก็คือ พอเห็นว่ามีการขึงเชือกตีเขตเอาไว้ ก็รีบบอกเลย ขอให้เว้นไว้สักหลังหนึ่งเถอะ แล้วจะให้เราทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป

ตอนไปหาดใหญ่ บ้านของคุณอุษณีย์ เขาเป็นห้องแถวไม้ ปรากฏว่าไฟไหม้ ญาติโยมก็ตาลีตาเหลือกลุกพรวดพราดไปช่วยกันเก็บของ ไฟที่ไหม้มานั้น ยังห่างอยู่อีกช่วงเดียว ช่วงเดียวก็คงหลายคูหา ส่วนใหญ่เขาก็ทิ้งของไว้ เอาเฉพาะของที่พอขนออกมาได้ เอามาเรียง ๆ ไว้ข้างฝา ตรงที่เรารับสังฆทานอยู่นั่นแหละ

ถามเขาว่า ที่บ้านมีธงมหาพิชัยสงครามอยู่หรือเปล่า ? เขาบอกว่ามี ก็เลยบอกโยมว่า "ถ้ามีธงอยู่ไม่ต้องกลัวหรอก ตั้งใจอาราธนาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไฟไหม้ไม่ถึงบ้านหรอก" โยมเขาก็ตั้งท่าอาราธนาเสียดิบดี

ตอนนั้นพระครูแสงยังไม่บวช เขาก็มองซ้ายมองขวา แล้วก็พูดว่า "หลวงพี่ผมหยิบมาด้วย..!" เขาแกะธงมหาพิชัยสงครามติดมือมาด้วย แต่บุญของเขายังดีอยู่ เพราะไฟไหม้มาสี่ห้อง แล้วเขาสกัดไว้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วคุณแสงโดนตื้บแน่นอนเลย เขาติดธงไว้กับบ้าน ดันไปแกะมาด้วย "

เถรี
08-04-2010, 18:27
ถาม : ตอนนี้พยายามจะระงับอารมณ์กามราคะ เวลามันเกิดขึ้นก็จะภาวนาคาถาเงินล้าน เหมือนเป็นระบบอัตโนมัติ พอเกิดราคะปั๊บ ก็จะภาวนาเลย แล้วก็จะทำให้ไม่ปรุงแต่งต่อได้
ตอบ : จริง ๆ แล้ว กรรมฐานทุกกองสามารถระงับราคะ โทสะ โมหะ ได้ทั้งนั้น สำคัญว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า ? การภาวนาคาถาเงินล้านเท่ากับเราใช้อานาปานสติ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร ก็สามารถสกัดราคะได้เร็วเท่านั้น

ถาม : ต้องทำอย่างไรต่อหรือเปล่า หรือแค่นี้ก็เพียงพอ ?
ตอบ : เป็นไปได้ก็ให้หมอเขาผ่าตัดออกไปเลย (หัวเราะ) นี่พูดเล่นนะ ต่อให้ตัดทิ้งก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าเรื่องของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอารมณ์ใจ กายเราเป็นแค่ส่วนเนื่องถึงเท่านั้น

พอพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษ เบื่อหน่ายในราคะ จะได้คลายกำลังใจออกมา เลิกลาไปเอง แต่อย่ารีบทำเร็วนะ ถ้ายังมีครอบครัวและยังหนุ่มยังสาวอยู่ เดี๋ยวจะเดือดร้อน คนหนึ่งถึงเวลาแล้วหมดอารมณ์ แต่อีกคนหนึ่งยังมี เดี๋ยวได้ตีกันตาย

เถรี
08-04-2010, 18:27
ถาม : ปกติจับลมสามฐาน พอสมาธิดีนิดหนึ่งเกิดเห็นนิมิตมีแสงอะไรขึ้นมา แล้วจะลดเหลือฐานเดียว ตรงนี้คือสติลดลงหรือเปล่า ?
ตอบ : แสดงว่าคลายจากการภาวนา ไปสนใจในนิมิต แต่จริง ๆ แล้ว จะสามฐานหรือฐานเดียวก็ตาม ถ้าหากสามารถที่จะจับลมได้คล่องตัวเท่าเดิมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากได้ไม่เท่าเดิม แสดงว่าส่วนของสมาธิลดลงไปแล้ว

เถรี
08-04-2010, 18:33
ถาม : เวลาภาวนาเกิดอาการควบแน่นเหมือนจะระเบิด เล่าให้สามีฟัง สามีบอกว่าเป็นเพราะเครียดเกินไป
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ลักษณะจะไปแบบมโนฯ เต็มกำลังอย่างหนึ่ง ถ้าหากไม่ใช่ไปแบบมโนฯ เต็มกำลัง ก็จะเริ่มเป็นฌานสามจะขึ้นเป็นฌานสี่ ซึ่งจะมีอาการเหมือนกับตึง แน่นเข้า ๆ บีบเข้ามา ๆ

ถ้าหากว่าเป็นมโนฯ บางทีหัวใจเต้นเร็วขึ้น ๆ เหมือนอย่างกับจะขาดใจลงไปตอนนั้น ขู่ให้รู้สึกว่ากลัวหรือเปล่า ถ้าไม่กลัว ตัดใจตายเป็นตายก็ไปเลย แต่ถ้ายังตัดใจไม่ได้ จิตยังเกาะอยู่กับร่างกายมาก ก็ไปไม่ได้

แต่ถ้าเป็นสมาธิที่จะก้าวขึ้นสู่ฌานสามฌานสี่จริง ๆ ไม่ใช่ระเบิด แต่จะแน่นเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดรวมเหลือจุดเดียว แล้วก็สว่างอยู่ แสดงว่าของเราน่าจะเป็นแบบมโนมยิทธิเต็มกำลังมากกว่า

ถาม : แต่ที่เคยหลุดออกไป บางทีก็ไม่มีแบบนี้ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับกำลังของเราตอนนั้น ว่าทำอย่างไร

ถาม : แล้วถ้าผ่านไปได้แล้วครั้งหนึ่ง จะเกิดได้อีกเรื่อย ๆ ไหมคะ ?
ตอบ : เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากไปให้ความสนใจ ก็จะไม่มาอีก อยากให้เกิด ก็ไม่มาอีก แต่ถ้าไม่สนใจเดี๋ยวก็มา นักปฏิบัติส่วนใหญ่พอทำได้แล้ว ถ้าให้ไปทำซ้ำอยากได้อารมณ์อย่างนั้น แล้วจะไม่เจออีกเลย เพราะไปให้ความสนใจมาก เลยกลายเป็นฟุ้งซ่าน

ถาม : ตอนหลังไปเป็นตอนขับรถ หนูเลยต้องหยุด
ตอบ : ให้มันระเบิดไปเลย เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถ ต่อไปจะไปไหนก็สบาย (หัวเราะ)

เถรี
08-04-2010, 18:35
ถาม : พระเอกสองคนในมังกรคู่สู้สิบทิศ โกหกเป็นไฟ เอาตัวรอดอย่างนี้ มุสาใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นปัญญาของเขาอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาในทางโลก ถ้าปัญญาในทางธรรมนี่อีกอย่างหนึ่ง

อย่าลืมว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม แต่พอนาน ๆ ไป เขาปฏิบัติแล้ว พื้นฐานนิสัยของคนสองคนต่างกัน ก็เลยทำให้คนหนึ่งปฏิบัติไปแล้ว ยิ่งทำตัวห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ ส่วนอีกคนหนึ่งปฏิบัติไปแล้ว ไปร่วมช่วงชิงแผ่นดินกับเขา ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของตัวเอง แต่ว่าเกิดจากพื้นฐานคัมภีร์อมตะทั้งคู่

เถรี
08-04-2010, 18:38
ถาม : การที่ให้เด็กเขาเรียนดนตรี ทำให้เขาไปหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้านิสัยจะหลง ถ้าไม่หลงดนตรีก็ไปหลงอย่างอื่น ถ้าไปหลงหนุ่ม ๆ ก็จะแย่กว่านั้น เพราะฉะนั้นให้ไปหลงดนตรีดีกว่า

ถาม : ลูกคนเล็กเวลาดูทีวี ชอบชมว่าคนนั้นหล่อ คนนี้หล่อ
ตอบ : ต้องดูด้วยว่าพื้นฐานบุญเก่าเขาดี ในเมื่อเขาทำมาดี รูปร่างหน้าตาก็ออกมาดี แต่ถ้าหากไม่ได้มีการเสริมสร้างต่อ เดี๋ยวก็หมดไป

เราเป็นแม่ก็ต้องมีหน้าที่อธิบายให้เขาฟัง ให้เขารู้ว่าความดี ความสวย ความหล่อ ต่างกันอย่างไร ? สิ่งใดเป็นความดีที่มั่นคง เป็นความดีที่แท้จริง เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป สิ่งใดไม่ยั่งยืน แค่ชั่วครั้งชั่วคราว

สอนลูกลำบาก ต้องปากเปียกปากแฉะไปเรื่อย ที่เขาบอกว่าสอนจนปากจะฉีกถึงหูนั่นแหละ

ถาม : ตอนกลางคืนก่อนนอน จะให้เขาสวดมนต์ กลายเป็นว่าลูกคนหนึ่งชอบ ลูกอีกคนไม่ค่อยจะสนใจ อย่างนี้ควรปล่อยเขาไปก่อนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ปล่อยไม่ได้จ้ะ ต้องบังคับ มาสวดมนต์ให้จบก่อน แล้วจะไปทำอะไรก็ไป ถ้าไม่บังคับเดี๋ยวไปไกล

เถรี
11-04-2010, 12:50
ถาม : ผมเป็นโรคหัวใจ
ตอบ : คนเป็นโรคหัวใจเขาห้ามเครียด ต้องฝึกกรรมฐานบ่อย ๆ ให้กำลังใจของเรานิ่ง หลายคนทำไปแล้วหาย

เถรี
11-04-2010, 12:52
ถาม : เวลาทำสังฆทาน เราควรตั้งพระพุทธรูป หันหน้าไปทางท่าน หรือควรหันหน้าออกมาหาตัวเอง ?
ตอบ : อยู่ที่เราชอบจ้ะ สำคัญตรงว่าได้ประเคนหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าตั้งใจถวาย จะหันพระไปทางไหน อาตมาก็รับจ้ะ บางท่านชอบเห็นหน้าพระ ก็หันหน้าเข้าหาตัวเอง บางท่านก็คิดว่าหันหน้าเข้าหาผู้รับจะเหมาะสมกว่า

แล้วแต่เขาชอบ ไม่ได้เป็นข้อจำกัด

เถรี
11-04-2010, 12:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปหล่อท่านแม่ทั้งสามที่วัดท่าซุง เป็นฝีมือของหลวงพี่สามารถ ตอนนั้นท่านยังบวชอยู่ ท่านทำต้นแบบด้วยปูนปลาสเตอร์ องค์ต้นแบบจริง ๆ อยู่ที่อาตมาเอง แต่พอปิดทองสวยแล้ว เขาก็มาบูชาไปหมด

ผลงานของหลวงพี่สามารถที่เห็น ๆ ก็คือ ปราสาททองคำ และมณฑปที่ตั้งหลวงพ่อ บุษบกที่ตั้งหลวงพ่อนั้น มีเวลาทำแค่ ๘๐ วัน พี่เขาบ่นว่า ถ้าหากมีเวลามากกว่านี้ หรือหลวงพ่อสั่งให้สร้างล่วงหน้า จะเอาสวยกว่านี้เท่าไรก็ได้ แต่ตอนนั้นเวลาจำกัดจริง ๆ ต้องเอาให้เสร็จภายในร้อยวัน ก็เลยทำออกมาได้แค่นั้น"

เถรี
11-04-2010, 12:58
ถาม : ท่านแม่ทั้งสาม ถ้าหากตั้งบูชา ?
ตอบ : ถ้าหากบูชาก็ตั้งไว้ต่ำกว่าพระ จริง ๆ จะว่าไปแล้ว ท่านก็เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไปแล้ว แต่คนที่ไม่เข้าใจ จะเห็นว่าเป็นรูปผู้หญิง ทำไมมาไว้เสมอกับพระ ฉะนั้นเอาไว้ต่ำกว่าพระสักนิด เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง

ถาม : ต้องสวดบทอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ท่านแม่นิสัยเดียวกับหลวงพ่อ ชอบอิติปิโสฯ

ถาม : อิติปิโสฯ หรือครับ ?
ตอบ : บทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ถือว่าเป็นบทคาถาที่สำคัญที่สุด

เถรี
11-04-2010, 12:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสาร์ห้าปีนี้เป็นที่ฮือฮามาก เพราะว่าเป็นเสาร์ห้าเดือนห้า นาน ๆ จึงจะมี

วันกับเดือน ตรงกัน เขาเรียก กระทิงวัน
วันเดือนปี ตรงกัน เขาเรียก ตรีวัน

เขาถือว่าเป็นวันที่แรงเป็นพิเศษ เสาร์ห้าปีนี้ วัดไหนที่มีศักยภาพ ก็จัดพุทธาภิเษก"

เถรี
13-04-2010, 10:51
ถาม : อยากจะทำให้คนรัก อยากเป็นคนมีเสน่ห์ ควรใช้หลักธรรมสังคหวัตถุ ?
ตอบ : ใช่

เถรี
13-04-2010, 10:53
ถาม : จริตของคนสามารถเปลี่ยนได้หรือเปล่าครับ ? อย่างคนที่เป็นวิตกจริตอยากเปลี่ยนเป็นพุทธจริต
ตอบ : จริตเป็นพื้นฐานของจิต พื้นฐานเปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่าจริตทั้งหกอย่างเรามีครบ เพียงแต่ว่าอันไหนเด่นขึ้นมาเท่านั้นเอง

เถรี
13-04-2010, 11:00
ถาม : เคยได้ยินมาว่า สวดคาถาชินบัญชร ๑๐ จบ แล้วอธิษฐานขออะไรก็จะสำเร็จ จริงหรือเปล่า ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเราทำได้แค่ไหน ? ถ้าหากคุณสามารถทรงสมาบัติแปดได้เลย จบเดียวก็น่าจะสำเร็จแล้ว..!

ถาม : แล้วถ้าทรงสมาบัติไม่ได้ ?
ตอบ : ก็สวดไปหลาย ๆ จบ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าสมาธิเรามีกำลังสูงมากเท่าไร ผลสำเร็จก็จะมีมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็สวดสัก ๑๐๘ จบ

ถาม : ตอนนี้สวด ๑๐ จบ อยู่ทุกคืนครับ แล้วตอนแรกที่สวดก็มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิต ตอนหลังผ่านไปสักพัก ก็มีปัญหาเข้ามาเยอะกว่าเก่า
ตอบ : คุณจะสวดหรือไม่สวดก็มีเป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : ไม่ได้เป็นเพราะคาถา ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกับคาถา

ถาม : แต่เขาว่ากันว่า พระคาถาชินบัญชรเป็นคาถาที่ส่งผลดีแน่นอน
ตอบ : ในส่วนของความดี ส่งผลให้แต่ด้านดีด้านเดียว

ถาม : แล้วพระคาถาชินบัญชร ร้อนจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : อาตมาทำมาตลอดชีวิต ไม่เห็นจะร้อนเลย

ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับพระคาถา ?
ตอบ : บอกแล้วว่าไม่เกี่ยว

ถาม : แล้วตอนสวดควรจะตั้งกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : บอกแล้วว่าสมาธิสูงเท่าไร ก็ดีมากเท่านั้น

ถาม : แล้วที่ขึ้นไปสวดถวายพระข้างบน ?
ตอบ : ก็ยิ่งดี

ถาม : สวดแล้วมันรู้สึกว่าตนเองดีกว่าคนอื่น เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ทิฏฐิมานะของเรา เป็นเรื่องปกติ

ถาม : วิธีแก้ ?
ตอบ : ก็เลิกคิด เรื่องพวกนี้เป็นกิเลสของนักปฏิบัติ ในเมื่อเป็นกิเลสของนักปฏิบัติ มีอยู่ทางเดียวก็คือรู้เท่าทันแล้วก็วางเสีย

เถรี
13-04-2010, 11:06
ถาม : หนูภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญาตอนนอน หลวงพ่อบอกว่าจะเป็นแสงลงไป หนูภาวนาไปแล้วเหมือนกับแสงลงไปในทะเลทราย
ตอบ : ให้ดึงเอาไว้ในอกเรา

ถาม : ต้องบังคับหรือคะ ?
ตอบ : ใช่ ต้องบังคับ เอากำลังใจรวมเข้ามาอยู่ในอกเรา เหมือนกับเราทอดแห..แล้วสาวเข้ามา ดึงเข้ามารวมกันในอก ถ้ารวมเป็นดวงได้เมื่อไร ตัวเราก็จะเริ่มลอยได้

เคยถามหลวงพ่อว่าใช้ระยะเวลาประมาณเท่าไร ท่านบอกว่า ถ้าขยันสักสามเดือนก็น่าจะได้ ปรากฏว่าอาตมาภาวนาครั้งแรกก็มาแล้ว

ถาม : อะไรที่หายไป มันก็หายไปเฉยเลย
ตอบ : ก็ปล่อยให้หายไป นั่นเป็นพลังงานที่ส่งมาช่วย คือใครใช้คาถาบทนี้แล้วท่านจะช่วย

ถาม : ก็นึกว่าพลังอ่อนด้อย ก็เลยดึงไม่ได้
ตอบ : ไม่ใช่ แต่เพราะว่าเราไม่รู้วิธี ส่วนใหญ่ที่ภาวนากันปีแล้วปีเล่า แล้วไม่ได้ คือไม่รู้วิธี แบบเดียวที่อาตมาฝึกปฐมฌาน ทำอยู่สามปี เพราะไม่รู้วิธี

ตอนนั้นขยันมาก ภาวนาสามปี หัวไม่วางหางไม่เว้น แต่ไม่ได้สักที พอดีวันนั้นคิดว่า จะได้หรือไม่ได้ ก็ช่างหัวมัน..! ปรากฏว่าได้เลย คือต้องวางกำลังใจอย่างนั้น ส่วนเราไม่ได้วางกำลังใจอย่างนั้น ส่วนเราไปอยากได้

เถรี
13-04-2010, 11:09
ถาม : เคยอ่านนิยาย นางเอกเป็นผู้มีพลังจิต นางเอกจะทุกข์มาก เวลาที่นั่งอยู่ในห้องที่มีคนเยอะ ๆ เพราะว่าไปรับกระแสอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น แล้วเธอจะเหนื่อยและปวดหัว
ตอบ : นั่นไม่ใช่พลังจิต แต่เป็นทิพพจักขุญาณเลย

ถาม : คนปกติจะเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเปิดได้ จะเป็นอย่างทุกคน จึงต้องหาวิธีตัด

ถ้าหากเราทรงอยู่กับอารมณ์ของเรา ไม่ไปรับของคนอื่นเขา..ก็สบาย โผล่หัวออกไปให้เขาขว้าง เราก็เจ็บ เพราะฉะนั้น..มุดหัวอยู่ในบ้าน ปลอดภัยดี โดยอาศัยสมาธิของเรา นิ่งอยู่กับสมาธิก็ไม่ต้องไปรับของคนอื่นเขา

เถรี
13-04-2010, 11:11
ถาม : ถ้าเราเช่าพระพุทธรูปเขามา แล้วช่างเขาปั้นหน้าไม่สวย แล้วเราจะปั้นใหม่ จะเป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากไปรื้อทำใหม่ ก็เกิดโทษเหมือนกัน แต่ถ้าให้เขาปั้นทับไปเลยจะได้ไหม ?

ไปเจอที่วัดหนองบัว เขาทำพระนอน หัวหน้าช่างเขาไม่อยู่ ปรากฏว่าลูกน้องทำแล้วปั้นพระพักตร์สวยไม่ถูกใจ หัวหน้าช่างกลับมาเอาขวานถากออก แล้วปั้นใหม่เสียสวยเช้ง ไอ้นั่นเกิดชาติใหม่มีหวังได้เกิดอุบัติเหตุหน้าเยิน แล้วไปทำศัลยกรรมพลาสติกจนหล่อเลย

เถรี
15-04-2010, 10:19
ถาม: เวลาเราเดินทางแล้วสัตว์เลื้อยคลานมาขวางตัดหน้ายานพาหนะของเรา อย่างนี้ถือเป็นนิมิต เป็นลางอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : เคยได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ถ้างูเลื้อยตัดหน้าจากซ้ายไปขวาจะมีลาภ แต่ถ้าจากขวามาซ้ายให้ระวังอุบัติเหตุ แต่อาตมาว่า จะมาทางไหนก็ระวังไว้ก่อนดีกว่า..!

เถรี
15-04-2010, 10:21
ถาม : ผู้ที่อยู่ต่างดาวอีกโลกหนึ่ง เขามีกรรมบถ ๑๐ เป็นปกติ แล้วอย่างนี้ทำไมเขาไม่เป็นพระอริยเจ้า ?
ตอบ : สภาพสังคมของเขา ไม่เอื้อให้ผิด คนเขาไม่นิยมทำความชั่วกัน แบบเดียวกับเทวดา จะรักษาศีล ๒๒๗ ข้อก็ได้ แต่ทำไมไม่เป็นพระอริยเจ้า ? เพราะไม่มีที่ให้ละเมิด ในเมื่อไม่มีที่ให้ละเมิด เจตนาที่จะงดเว้นจริง ๆ ก็เลยไม่มี ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้ามีที่ให้ละเมิดแล้ว จะงดได้หรือเปล่า ?

เถรี
15-04-2010, 10:24
ถาม : การมีคนชั่วอยู่ ก็ถือว่าเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม คนชั่วก็มีสอดแทรกเข้าไปจนได้
ตอบ : น้ำถึงไหน ปลาก็ถึงนั่น

โดยธรรมชาติของดีชั่ว ก็แค่เป็นทางเลือกหนึ่ง เป็นการกระทำอย่างหนึ่ง จัดเป็นสมมติ เรียกเพื่อให้แยกแยะออก ถ้าเราเรียกว่าดี แต่สิ่งที่เราทำทั้งหมดไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ความหมายของคำว่าดีก็จะเปลี่ยนไป

ถ้าเราเรียกว่าชั่ว แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ทำถูกต้องตามที่คนส่วนรวมต้องการ ก็จะกลายเป็นอีกความหมายหนึ่ง เพราะฉะนั้น..เรื่องของการสมมตินั้นเปลี่ยนแปลงกันได้

ถาม : ดีของคนกลุ่มหนึ่ง อาจจะเป็นชั่วของคนอีกกลุ่มหนึ่ง
ตอบ : อะไรทำนองนั้น บรรดาพวกมือปืนเจ้าพ่อ ปล้น ฆ่า ขายยาเสพติด ต้องทำอย่างนี้จึงจะรวย เขาก็ว่าของเขาดี แต่ถ้าของเราคงได้แช่งให้ตายไม่เว้นแต่ละวัน

เถรี
15-04-2010, 10:27
มีคนนำหนังสือกรรมฐาน ๔๐ หลายเล่ม มาถวายพระอาจารย์ พระอาจารย์จึงนำไปแจกจ่ายต่อให้กับญาติโยม ท่านกล่าวถึงเรื่องอัชฌาสัยในหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ว่า

"อัชฌาสัย คือ ความชอบเฉพาะตน ความชอบเฉพาะตนแบ่งออกเป็น ๔ แบบ ชอบแบบเรียบง่ายก็เป็นสุกขวิปัสสโก ขี้สงสัยนิดหน่อยก็เป็นเตวิชโช สงสัยมากก็เป็นฉฬภิญโญ ประเภทอยากเก่งเกินมนุษย์ ก็เป็นปฏิสัมภิทัปปัตโต"

ถาม : เมื่อก่อนเคยได้ยินเขาคุยกันว่า อยากรู้ว่าตัวเองทำอะไรมา ให้อธิษฐานเปิดหนังสือสามครั้ง แล้วจะทราบทันที ว่าตัวเองทำอะไรมา จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงสามครั้งหรอกจ้ะ ถ้าหากว่ามีความเคารพจริง ครั้งเดียวก็รู้เรื่องแล้ว

เถรี
17-04-2010, 14:09
พระอาจารย์แจ้งข่าวให้ทราบว่า "วันที่ ๒ พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ บริษัทรับเหมาก่อสร้างบ้านวิริยบารมี เขาจะทำบุญเลี้ยงพระ ตรงบริเวณที่สร้างบ้านเลย ฉะนั้น..ใครจะไปร่วมงาน กรุณาถือข้าวไปคนละกล่อง จะได้ไม่ต้องไปกวนเขา"

เถรี
17-04-2010, 14:27
ถาม : ผมทำอาชีพกฎหมาย บางทีต้องกระทบกับชาวบ้าน ทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงกรรม..?
ตอบ : ให้ว่าตามข้อเท็จจริง ฟังให้ดี ๆ นะ ว่าตามข้อเท็จจริง เพราะว่าการที่เขาฟ้องร้องขึ้นมา ต่างคนต่างก็ยกข้อเท็จจริง คือ ทั้งเท็จและจริงขึ้นมาสู้กัน หลักฐานใครดีกว่าคนนั้นก็ชนะ ผู้พิพากษาเขามีหน้าที่พิจารณาตามข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องไปหาความยุติธรรม

ถาม : แสดงว่าเราวินิจฉัยไปตามความรู้
ตอบ : คุณวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงเท่านั้น เราทำของเราตรงไปตรงมาตามนั้น

ถาม : ไม่มีใครยิ้มเลยครับ ร้องไห้ทั้งสองฝ่าย
ตอบ : ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ..!

ถาม : ว่ากันตามความรู้สึกไม่ได้ ?
ตอบ : ว่ากันตามตัวบทกฎหมายและหลักฐานที่ปรากฎเฉพาะหน้า คุณเป็นฝ่ายถูกแต่หลักฐานสู้เขาไม่ได้ คุณก็ต้องผิด

ถาม : แต่การแปลความและตีความ มันตีได้หลายทาง
ตอบ : ตีได้หลายทาง เขาจึงต้องมีการซักและซักค้าน ใครยกเหตุผลขึ้นมาได้ดีกว่า สามารถจูงใจผู้พิพากษาลูกขุนได้ดีกว่า ก็ชนะเขา

ถาม : ฉะนั้น..หากเราไม่มีอคติเข้าไปเจือปน ก็ไม่มีโทษสำหรับเรา
ตอบ : ไม่มีโทษสำหรับเราหรอก ทำตามหน้าที่เท่านั้น

เถรี
17-04-2010, 14:52
พระอาจารย์กล่าวเกี่ยวกับวงการสงฆ์ให้ฟังว่า "ที่ต้องไปเรียน เพราะเขาบอกว่า พระมีความรู้ไม่พอ ก็เลยไปทำผิดพลาดจนกลายเป็นเสียหายต่อพระศาสนา ข้อนี้อาตมาเถียงเลย เพราะว่าถ้าคนจะทำผิด ยิ่งรู้มากก็ยิ่งเลี่ยงกฎหมายเก่ง ฉะนั้น..ถ้าต้องการแก้ปัญหาในวงการสงฆ์ ต้องอบรมให้เขา ละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตัวเอง แล้วเรื่องจะจบ ไม่ใช่ไปเพิ่มความรู้ บางทีไปเพิ่มความรู้เป็นการติดปีกให้เสือไปเสียอีก"

ถาม : การละอายชั่วกลัวบาป คนที่ปฏิบัติจะละอายชั่ว หรือกลัวบาปมากกว่ากัน ?
ตอบ : ทั้งคู่นั่นแหละ เขาเรียกว่ามโนธรรม ความรู้สึกที่มาจากใจจริงเลย รู้ว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง แล้วจะรู้สึกอายตัวเอง พออายตัวเองก็ระแวงต่อไปว่า สิ่งที่เราทำไม่ถูกต้อง อาจจะส่งผลไม่ดีให้แก่เราก็ได้ ก็กลายเป็นกลัวบาป

เถรี
17-04-2010, 15:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้มองเห็นปัญหาใหญ่อยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ารัฐบาลเขาเห็นหรือยัง ? ก็คือ สมัยนี้เด็กวัยรุ่นทำผิดโดยไม่รู้สึกละอาย ไม่รู้สึกว่าผิดด้วย อย่างพวกเด็กแว้น เด็กสก๊อยก็เป็นปัญหาหนึ่ง พวกติดยาเสพติดก็เป็นปัญหาหนึ่ง พวกขายตัวทั้ง ๆ ที่อยู่ในสถาบันการศึกษาก็เป็นปัญหาหนึ่ง

เรื่องอย่างนี้เขาทำจนเป็นแฟชั่น ใครไม่ทำก็ตกยุค เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะเขาทำโดยไม่รู้สึกผิดบาปอยู่ในใจเลย ใคร ๆ เขาทำกัน ตัวเองไม่ทำกลายเป็นโง่ไปด้วย นี่มุมมองของสังคมเราเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้แล้ว"

ถาม : สาเหตุนี้มาจากอะไรคะ ?
ตอบ : สังคมที่เปลี่ยนไป ถ้าหากกล่าวว่าสังคมเปลี่ยนไป ที่เปลี่ยนไปก็เพราะผู้ใหญ่ ในเมื่อรุ่นพ่อรุ่นแม่ของตัวเองก็ยังทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น แล้วจะไปสอนลูกได้อย่างไร พูดก็ไม่เต็มปาก ถ้าลูกเถียงกลับมาว่า ทีแม่ยังทำเลย แล้วแม่จะว่าอย่างไรได้

เถรี
17-04-2010, 15:58
ถาม : มีพระบอกว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ตรงนี้จริง ๆ หรือว่าเริ่มต้นจากตรงนั้น ?
ตอบ : เขาตีความผิด นรกสวรรค์ที่แท้จริงมีอยู่ แต่การที่เราทำสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ผลของความสุขหรือความทุกข์จะเกิดขึ้นในใจเรา ก่อนที่จะตายเสียอีก ตรงส่วนนี้เขาเรียกสวรรค์ในอก นรกในใจ แต่เขาไม่ได้ตอกย้ำว่าสถานที่แท้จริงนั้นมีอยู่ ก็เลยทำให้คนเขาเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต

เถรี
17-04-2010, 16:17
ถาม : การที่เราจะรับรู้ โดยไม่ไปคิดปรุงแต่ง เราต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : อันดับแรก สร้างสมาธิให้ทรงตัวก่อน ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็จะว่องไวและแหลมคม พอเห็นก็จะหยุดได้ก่อน ฉะนั้น..ถ้าสมาธิไม่ดี ไม่ต้องคิดเลยว่าต้องทำไปอย่างอื่นต่ออย่างไร

สร้างสมาธิให้ดี เห็นแล้วหยุดให้ได้ก่อน พอหยุดได้แล้วค่อย ๆ หาทางว่าทำอย่างไรที่เราจะไม่คิดได้ คิดเมื่อไรก็ยังเป็นรูปนาม เป็นคน เป็นสัตว์อยู่ ไม่สักแต่ว่าเห็น

ถ้าทำไปถึงท้าย ๆ ใช้ปัญญาพิจารณาว่าไม่ใช่ของเราจริง ๆ ในเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ของเราจริง ๆ แล้วกำลังใจยอมรับ ก็จะปล่อยวาง ไม่อย่างนั้นก็ยังคงเป็นตัวตนเราเขาอยู่นั่นเอง

เถรี
17-04-2010, 16:53
ถาม : เวลาเราแผ่กสิณไป เราแผ่เมตตาตามได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แล้วคุณจะแผ่กสิณไปทำอะไร ?

ถาม : ใช้กสิณครอบประเทศไทย
ตอบ : อย่างที่อาตมาสอนให้ทำกันอยู่ ก็ใช้อย่างนั้นเป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : กสิณต่าง ๆ จะมีอานุภาพแตกต่างกันอยู่แล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : แต่ถ้าแผ่กสิณที่แตกต่างกัน แล้วแผ่เมตตาตามไปด้วย จะต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : เอาอย่างนี้ คุณไปฝึกปีตกสิณ ถึงเวลาอธิษฐานให้ทองคำเต็มประเทศไทย ใครหยิบขึ้นมาก็ใช้ได้เลย รับรองว่ามีผลต่างกันแน่นอน..!

เถรี
17-04-2010, 17:07
พระอาจารย์บอกว่า "แม่ชีทศพรเขาเป็นพุทธภูมิ เพราะเคยรับทานจากท่าน แล้วท่านอธิษฐานขอปรารถนาพระโพธิญาณ

เป็นผู้หญิงแล้วปฏิบัติธรรมได้ผล..ก็ดี เพราะว่าสามารถที่จะใกล้ชิดผู้หญิงด้วยกันได้มากกว่า

หนังสือเกิดแต่กรรม แม่ชีเขาแนะนำวิธีรวยเร็ว ให้ไปกราบหลวงพ่อเงินไหลมา วัดท่าซุง แล้วท่องคาถาเงินล้านถวาย ฉะนั้น..ลองไปทำดู"

ถาม : ถ้าสวดที่บ้านละคะ ?
ตอบ : ไปกราบท่านที่วัดก่อนแล้วสวด หรือจะสวดตรงนั้นก็ได้ จะไปยากอะไรก็ไปบูชาหลวงพ่อเงินไหลมา แล้วเอามาตั้งบูชาที่บ้าน

ถาม : บูชาแล้วค่ะ
ตอบ : สวดคาถาเงินล้านไปเลย ยิ่งเยอะยิ่งดี

เถรี
17-04-2010, 17:09
ถาม : ถ้าเราออกไปข้างนอก แล้วเราลืมพกวัตถุมงคลไปด้วย อย่างนี้ถ้าเราอาราธนาท่านแล้วจะได้ไหม ?
ตอบ : อาราธนาพระพุทธเจ้าไปด้วยก็หมดเรื่อง เพียงแต่อย่าเผลอก็แล้วกัน เผลอเลิกนึกถึงท่านเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น..!

เถรี
18-04-2010, 20:12
ถาม : ถ้าเราได้วัตถุมงคลจากพระองค์หนึ่ง มีการปลุกเสกแล้ว เราก็เอาไปเข้าพิธีที่อื่นอีก อย่างนี้ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อฤๅษีบอกหรือ ? ท่านบอกว่า ครั้งที่หนึ่งใส่เข้า ครั้งที่สองเอาออก ฉะนั้น..ก็นับให้ดี ๆ ว่าเข้าพิธีไปกี่ครั้ง..(หัวเราะ)..

ถาม : ครั้งที่หนึ่งใส่เข้า ครั้งที่สองเอาออก ครั้งที่สามใส่เข้า ครั้งที่สี่เอาออก
ตอบ : หลวงพ่อท่านพูดเล่น...(หัวเราะ)

ถาม : ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก จะเข้าพิธีกี่ครั้งก็ได้

ถาม : ไม่ได้เป็นการปรามาสใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นการปรามาสหรอก แต่ขาดความมั่นใจ ลักษณะนั้นทำอะไรจะเอาดียาก ต้องมั่นใจเต็ม ๆ ไปเลย

ถาม : แล้วถ้าเราเข้าพิธีโดยขออานุภาพเพิ่ม ?
ตอบ : นั่นแหละ ขาดความมั่นใจ ถ้าไม่ขาดความมั่นใจจะไปขอเพิ่มทำไม ?

เถรี
18-04-2010, 20:28
ถาม : คณะที่เขาจัดทำวัตถุมงคล เพื่อแจกจ่ายญาติโยม นำวัตถุมงคลเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดนี้ แล้วช่วงบ่ายก็ไปเข้าพุทธาภิเษกอีกวัดหนึ่ง แสดงว่ากำลังใจของเขา ?
ตอบ : ลองนึกถึงน้ำเต็มแก้วสิ เติมน้ำไปอีกก็ล้นแก้ว แต่คราวนี้ถ้ามั่นใจว่าเติมไปอีกจะดีกว่า ก็เลยเติม

ถาม : อันนี้พิสูจน์กำลังใจของคนทำหรือเปล่า ?
ตอบ : บางทีคนหมู่มากเขานิยมแบบนั้น ประเภท ๙ รอบ ๙ พิธีอย่างนี้ก็มี ถ้าจะให้ดีต้อง ๑๐๘ พิธีจะเป็นมงคลมาก..!

เถรี
18-04-2010, 20:36
ถาม : อ่านหนังสือผู้พิชิตดาราจักร อ่านไปแล้วทรมานใจมากเลย เพราะจับได้ถึงกระแส รัก โลภ โกรธ หลง ของตัวคนที่เขียน เหมือนกับเขาเป็นผู้ชายที่อยู่เหนือผู้หญิง

ตอบ : อันนี้เป็นการต่อต้านในใจ ถ้าใจเราไม่ต่อต้านก็จะไม่เกิดอารมณ์แบบนี้ เราก็เลยกลายเป็นว่า ไม่ใช่..กูเหนือกว่ามึงอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่

เถรี
18-04-2010, 20:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง พอเข้าไปใจจะสงบทันที เพราะกระแสบุญที่ไปทางเดียวกันช่วยเสริม

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครูบาน้อยเขาตามไปเก็บเอาดินแต่ละสถานที่มา ให้เขาชำระหนี้สงฆ์และก็ขุดใส่ถุงมา ตอนนี้กลายเป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านไปเรียบร้อยแล้ว

จะเห็นได้ว่าพระปิดตาที่ราคาถูกที่สุด คือ พระปิดตาเนื้อผง แต่จริง ๆ แล้วส่วนผสมมากที่สุด อาตมายืนยันว่า พระปิดตาเนื้อนวโลหะกับเนื้อผง ส่วนผสมมากที่สุด

อย่างพระปิดตาเนื้อเงินหรือเนื้อทอง เอาส่วนผสมอื่นใส่ไปแล้ว ก็จะเสียของ ต้องใส่เฉพาะชนวนที่เป็นเงินหรือทองแท้

แต่พระปิดตาเนื้อทองนี่ได้เปรียบ เพราะมีตะกรุดมหาสะท้อนไปสองดอกแล้ว ยังมียันต์ครูอีก ๕ บาท และตะกรุดโสฬสทองคำอีก"

เถรี
18-04-2010, 21:06
ถาม : การที่เรายึดมั่นในธรรม ยึดมั่นในการปฏิบัติ ยึดไปยึดมากลายเป็นสักกายทิฏฐิและมานะ ซึ่งตรงนี้เป็นเพราะเราไปคิดว่า ธรรมนั้น หรืออารมณ์การปฏิบัตินั้นเป็นของเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใช่เลย

ถาม : ทีนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ไม่ว่าเราจะเข้าถึงธรรม ถึงอารมณ์ในตัวไหน ก็ต้องมีการพิจารณาลงที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น ?
ตอบ : ท้ายสุดก็ต้องคลายการยึดมั่นถือมั่นไป แม้กระทั่งในธรรมที่ปฏิบัติได้ ก็สักแต่เป็นดีชั่วเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ในเมื่อไปถึงตรงจุดนั้น ดีก็ไม่เกาะ ชั่วก็ไม่เกาะแล้ว ทำดีเพราะรู้ว่าดี ละชั่วเพราะรู้ว่าชั่ว

ถาม : อย่างเวลาเราอยู่ในอารมณ์กรรมฐานกองใด ณ เวลานั้น ทีนี้พอเราคลายออกมาเพื่อมารับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเพื่อออกมาปฏิสัมพันธ์ หรือเพื่อออกมาทำงานใดงานหนึ่ง พอเราเห็นว่างานนั้นเสร็จแล้ว เราก็กลับไปอยู่ตรงอารมณ์เดิมของเรา ถึงจะเป็นสมถะก็จริง แต่หนูมองว่าเป็นปัญญาด้วย เพราะเรารู้ว่า ถ้าปล่อยให้อยู่กับตรงนั้นนาน ๆ แล้ว จะมีการปรุงแต่งต่อไป
ตอบ : เป็นโลกียปัญญา เพราะต้องอาศัยกำลังสมถะในการช่วยป้องกัน ถ้าหากว่าเป็นโลกุตรปัญญา ในส่วนของปัญญาจริง ๆ ก็คือ เห็นแล้วปล่อยวางได้

แต่ว่าเราจำเป็นต้องทำอย่างนั้นไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่ปลอดภัย

เถรี
18-04-2010, 21:25
ถาม : เรื่องการทรงฌาน ได้ฌาน ภิกษุกับฆราวาสมีการได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ภิกษุมีเวลาทำมากกว่า

ถาม : แล้วศีลเป็นปัจจัยหนึ่งหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ศีลทำให้พระเสียเปรียบเขาเยอะ

ถาม : ถ้าถือศีลแปด จะทรงฌานได้ง่ายกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ศีลแปดเป็นส่วนที่ละเอียดอ่อน เน้นในธรรมะมาก ถ้าปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ จะได้ง่ายกว่า แต่ในเรื่องของฌานสมาบัติไม่ได้เกี่ยวกันตรงจุดนี้ เรื่องของฌานสมาบัติสำคัญที่ว่า ทำดี ทำถูก หรือเปล่า ?

ถาม : ผมได้ยินมาว่า ถ้าเข้าฌานจะทำให้เกิดปัญญาแหลมคมในการตัดกิเลสได้มากขึ้น นี่ถูกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก

เถรี
18-04-2010, 22:06
ถาม : ถ้าคนที่ตั้งใจจะไปบวชที่วัดท่าขนุน ควรลองไปศึกษาดูก่อนที่วัดสัก ๓ เดือน แบบประเพณีโบราณ เพื่อที่จะดูว่าตัวเองทนต่อพระวินัยได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ต้อง ๓ ปี จะได้รู้ว่าทนได้จริงหรือเปล่า ?..(หัวเราะ).. ก็ตามใจ ไม่ได้ห้าม อย่างน้อยควรจะเข้าวัดก่อนบวชสัก ๗ วัน เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม

เถรี
19-04-2010, 09:07
ถาม : คำว่า ปัจจัยไทยธรรม เริ่มมาจากประเทศไทยหรืออย่างไรครับ ? เห็นเขียนว่า ไทยธรรม
ตอบ : เป็นการเปลี่ยนจากคำว่า "ไทยทาน" เป็น "ไทยธรรม"

คำว่า "ไทย" กับคำว่า "ทาน" มีความหมายเดียวกัน แปลว่า ให้ ถ้าเป็นไทยทาน หมายถึงให้ซ้อนให้ ถ้าเป็นไทยธรรม หมายถึงของที่ควรให้
ฉะนั้น..คำที่ถูกต้อง เขาสรุปว่าควรเป็นไทยธรรม

ถาม : ถ้าไทย แปลว่าให้ แล้วที่เราตั้งชื่อว่า คนไทยละคะ ?
ตอบ : คนละศัพท์กัน ไทยของเรา ตัวนี้ความหมายคือ อิสระ(เป็นใหญ่) หรือเจริญ

เถรี
19-04-2010, 09:10
ถาม : พวกปลวกที่มากัดกินคัมภีร์ ก็เท่ากับตกนรกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โทษเขามีน้อย เพราะว่าเขาไม่รู้ แต่พวกเรานี่รู้ ๆ อยู่แล้วไปทำ โทษสาหัสกว่ากันเยอะเลย

เถรี
19-04-2010, 09:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกสัตว์..ถ้าเขาฆ่าพ่อฆ่าแม่ ไม่เป็นอนันตริยกรรม เพราะว่าเขาไม่รู้ เขาอยู่ในภพภูมิที่มืดบอดกว่า

แต่คน..ถ้าไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ โทษเป็นอนันตริยกรรม เจตนาหรือไม่เจตนาก็โดน"

เถรี
19-04-2010, 09:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเทวดามีโทสะเมื่อไร ก็จะเสียกายทิพย์ไป แปลว่าต้องจุติ ไฟโทสะจะทำลายกายทิพย์ของเทวดา เขาเรียกว่า โกรธาพลขัย (หมดอายุเพราะความโกรธ) ฉะนั้น..เทวดาห้ามโกรธ โกรธเมื่อไรก็จุติเลย"

ถาม : แล้วถ้าเทวดาหมั่นไส้ละคะ ?
ตอบ : หมั่นไส้ก็ยังพอได้ แต่อย่าให้มากกว่านี้นะ เพราะหมั่นไส้ก็มีพื้นฐานมาจากความโกรธ อย่าให้ถึงขีดก็แล้วกัน

เถรี
20-04-2010, 10:20
ถาม : ถามเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์ผิดลิขสิทธิ์ ?
ตอบ : ต้องใช้คำว่าจำเป็น

ถาม : แล้วอย่างนี้ผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ผิดแน่นอน

ถาม : ถ้าเราคิดว่ามีอยู่แล้วในท้องตลาด แล้วเราเดินไปซื้อมา อย่างนี้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : เท่ากับรับซื้อของโจร..!

ถาม : แต่อย่างกรณีสัตว์ตาย เรายังไปซื้อซากสัตว์มากินได้
ตอบ : นั่นคนละกรณีกัน ถ้าสัตว์นั้นเขาขโมยมา คุณไปซื้อก็ผิด เรื่องของธรรมะเขาว่ากันตรงไปตรงมา ผิดคือผิด

เถรี
20-04-2010, 10:31
พระอาจารย์กล่าวว่า
"ดอกบัวเมืองไทย แบ่งง่าย ๆ ออกเป็น ๓ เหล่า คือ
๑) บัวหลวง จุดเด่นคือ ก้านชูสูงเหนือน้ำและมีหนาม
สีขาว เรียกว่า ปุณฑริกา สีแดง เรียกว่า ปัทมา
๒) บัวสาย
สีขาว เรียกว่า กมุท หรือโกมุท สีแดง เรียกว่า สัตตบุศย์ หรือสัตตบรรณ
๓) บัวผัน บัวเผื่อน ดอกค่อนข้างเล็ก สายเล็ก ๆ
สีม่วงน้ำเงิน เรียกว่า นิลุบล หรือนิโลตบล สีเหลือง เรียกว่า จงกลนี

พันธุ์บัวที่เหลือในปัจจุบัน เป็นบัวลูกผสมหรือบัวต่างประเทศทั้งนั้น ถ้าอยากรู้จักบัวให้มาก ๆ ให้ไปที่ปางอุบล ของอาจารย์เสริมลาภ วสุวัต ท่านเป็นด็อกเตอร์ทางบัวโดยเฉพาะ"

เถรี
20-04-2010, 11:02
ถาม : ถ้าเราติดอยู่ในนิวรณ์เบื้องต้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทำอย่างไรจะเบรกให้ชะงัดเลยคะ ?
ตอบ : อันดับแรก สมาธิต้องทรงตัวจริง ๆ ถ้าหากสมาธิทรงตัว ยิ่งได้ระดับฌานสี่ ก็ยิ่งเบรกได้อยู่หมัดเลย

ถาม : ถ้าหากยังฟุ้งอยู่ละคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ายังฟุ้งอยู่ โอกาสเบรกไม่มีหรอกจ้ะ เขาลากเราไปทุกที

ถาม : ไม่อยากถลำลึกค่ะ
ตอบ : รีบ ๆ ไปฝึกสมาธิ ให้เป็นอัปปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แล้วอย่าให้หลุด ก็จะเบรกได้ แต่ถ้าจะเอามั่นคง ต้องเป็นฌานสี่แบบคล่องตัว ถ้าเราได้ฌานสี่แบบคล่องตัวนี่เป็นพื้นฐานของพระอนาคามีเลย ถ้าขึ้นถึงอนาคามีเมื่อไรก็ไม่ต้องเบรกแล้ว เลิกกันไปเลย

ถาม : ยากค่ะ
ตอบ : ไม่ยากหรอก ลองดู ขอให้ทำจริง ๆ เถอะ ให้นึกว่า ขนาดชั่วเรายังชั่วมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ แล้วถ้าเราลองดีด้วยความตั้งอกตั้งใจดูบ้าง เคยตั้งใจชั่วมาแล้วก็ตั้งใจดีบ้าง

เถรี
20-04-2010, 11:38
พระอาจารย์บอกว่า "พระปิดตารุ่นนี้มีอยู่หลายองค์ที่เนื้อเกิน เนื้อเกินอย่าไปแกะออกนะ ถือว่าดี อะไรที่งอก ที่เกินมา โบราณเขาถือว่าเป็นมงคลทั้งนั้น

เนื้อเกินนั้นเกิดจากว่า เวลาเขาฉีดแบบด้วยขี้ผึ้ง แล้วขี้ผึ้งล้น เกินไปเท่าไรเนื้อก็จะยื่นมาเท่านั้น บางองค์ก็เป็นเม็ดกลม ๆ เหมือนกับพระธาตุงอก บางองค์ก็อาจจะมีก้านขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ถ้าใครเจอถือว่าโชคดีมาก ๆ เก็บไว้ให้ดี ๆ "

กาแฟ
20-04-2010, 12:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง พอเข้าไปใจจะสงบทันที เพราะกระแสบุญที่ไปทางเดียวกันช่วยเสริม

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครูบาน้อยเขาตามไปเก็บเอาดินแต่ละสถานที่มา ให้เขาชำระหนี้สงฆ์และก็ขุดใส่ถุงมา ตอนนี้กลายเป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านไปเรียบร้อยแล้ว

จะเห็นได้ว่าพระปิดตาที่ราคาถูกที่สุด คือ พระปิดตาเนื้อผง แต่จริง ๆ แล้วส่วนผสมมากที่สุด อาตมายืนยันว่า พระปิดตาเนื้อนวโลหะกับเนื้อผง ส่วนผสมมากที่สุด

อย่างพระปิดตาเนื้อเงินหรือเนื้อทอง เอาส่วนผสมอื่นใส่ไปแล้ว ก็จะเสียของ ต้องใส่เฉพาะชนวนที่เป็นเงินหรือทองแท้

แต่พระปิดตาเนื้อทองนี่ได้เปรียบ เพราะมีตะกรุดมหาสะท้อนไปสองดอกแล้ว ยังมียันต์ครูอีก ๕ บาท และตะกรุดโสฬสทองคำอีก"





พระอาจารย์บอกว่า "พระปิดตารุ่นนี้มีอยู่หลายองค์ที่เนื้อเกิน เนื้อเกินอย่าไปแกะออกนะ ถือว่าดี อะไรที่งอก ที่เกินมาโบราณเขาถือว่าเป็นมงคลทั้งนั้น

เนื้อเกินนั้นเกิดจากว่า เวลาเขาฉีดแบบด้วยขี้ผึ้ง แบบมันเกิน มันเกินเท่าไรเนื้อก็จะยื่นมาเท่านั้น บางองค์ก็เป็นเม็ดกลม ๆ เหมือนกับพระธาตุงอก บางองค์ก็อาจจะมีก้านขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ถ้าใครเจอถือว่าโชคดีมาก ๆ เก็บไว้ให้ดี ๆ "


ขอนำไปเผยแพร่เป็นธรรมทานครับ (ขอรวมไว้ทั้งหมดด้วยนะครับเผื่อจะทยอยนำไปเผยแพร่)

เถรี
20-04-2010, 12:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้เลยนะ เรื่องทำน้ำมนต์แล้วออกเป็นหวย อาตมาไม่ได้มีเจตนาแม้แต่ครั้งเดียว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเอง บังคับไม่ได้

ครั้งที่ชัดที่สุดก็คือ ไปตั้งศาลที่อุดรธานี ทำน้ำมนต์ไปเรื่อย แล้วน้ำตาเทียนก็ไหลยืดออกไปเหมือนกับตัวเลข แล้วลื่นปรู๊ดไปอยู่ที่ขอบขัน เรียงตัวเลขให้เสร็จสรรพสามตัว ปรากฏว่าพวกที่ไปด้วยกัน ๗ - ๘ คน ไม่มีใครเล่นสักคน พอเอามาเล่าให้ที่นี่ฟัง แม่ทองดี (เจ้าของบ้านอนุสาวรีย์) ถูกไปสองหมื่น..!

ฉะนั้น..เรื่องนี้ไม่ได้เจตนา จะถูกจะผิดห้ามมาโทษกัน เขาเป็นของเขาเอง"

เถรี
20-04-2010, 12:29
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก หลวงพ่อสั่งสร้างสามหมื่นองค์ พอถึงวันพุทธาภิเษก ช่างเพิ่งจะทำได้แค่สามพันองค์ เพราะเวลาถอดแบบแล้วซุ้มมักจะหัก ลองนึกดู คนไปงานเป็นแสน ๆ แต่มีพระแค่สามพันองค์ ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?

อาตมาเองบูชาไว้ ๑๐๐ องค์ แต่ไม่เหลือเลยสักองค์ พอพุทธาภิเษกเสร็จเราก็รีบเก็บใส่ย่าม ดันมีคนเห็น..!

ตอนที่ไปยืนจำหน่ายอีก ๒,๙๐๐ องค์ ปรากฏว่า ส.ห. ๕ คนเอาไม่อยู่ คนซื้อดันจนเคาน์เตอร์พัง ลุยเข้าไปข้างใน หลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส) ผ้าผ่อนกะรุ่งกะริ่งเลย ไม่ต้องห่วง รับรองจ่ายเงินทุกคน แต่เขาขอคว้าพระไว้ก่อน..!

ที่ชอกช้ำที่สุดมีอยู่รายหนึ่ง ก็คือ ลูกศิษย์หลวงพี่สามารถ เอาสมเด็จองค์ปฐมแขวนไว้หน้ารถ คนมาเห็นเข้า จัดการทุบกระจก นิมนต์พระไป จ่ายค่ากระจกพร้อมกับค่าพระไว้ให้สองพัน เขาเอาเงินวางไว้ให้ในรถเลย

อะไรจะศรัทธาจนขาดสติขนาดนั้น..!"

เถรี
20-04-2010, 12:35
"สมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรกพอสร้างแล้วมีกริ่ง คนก็ไปเขย่ากันใหญ่ ไม่รู้เป็นอะไรกัน รู้ว่ามีกริ่ง แต่ก็ยังจะเขย่า อยากฟัง

พอรุ่นสองหลวงพ่อท่านก็เลยไม่ให้บรรจุกริ่ง ท่านบอกว่าทำลักษณะนั้นเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย"

เถรี
23-04-2010, 13:40
ถาม : ข้อห้ามของเป่ายันต์เกราะเพชรมีสองข้อ คือ ห้ามลักขโมยกับห้ามดื่มสุรา อย่างที่ทำงานเขาให้ไปซื้อกระเช้า เขามีของแถมมา แล้วคนไปซื้อเอาของแถมไว้เอง อันนี้ผิดถึงขั้นลักทรัพย์ไหมคะ ?
ตอบ : ทำไมไม่ให้เขาไปเลย ?

ถาม : ก็คนซื้ออยากได้
ตอบ : ก็บอกเขาไปสิ ว่ามีของแถมมา เราขอของแถมนะ คุณเอากระเช้าไปก็แล้วกัน จะได้พ้น ๆ ไปเลย ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจแบบนี้

ถาม : แล้วถ้าไม่บอกเข้าข่ายลักทรัพย์ไหมคะ ?
ตอบ : เขาต้องการกระเช้า เราหากระเช้าให้เขาได้ ก็แปลว่าเขาได้ไปตามวัตถุประสงค์แล้ว เพียงแต่ว่าอย่าไปทำอะไรที่หมิ่นเหม่ต่อการศีลขาดอย่างนี้อีก

เถรี
23-04-2010, 13:42
ถาม : วัตถุมงคลที่เราได้มาจากครูบาอาจารย์องค์อื่น เราแล้วเอาไปเข้าพิธีอื่นอีก เป็นการปรามาสไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ปรามาสหรอกจ้ะ เพียงแต่ว่าขาดความมั่นใจ บางทีก็อยู่ที่กำลังใจของเราว่า ยังไม่มั่นคงต่อพระรัตนตรัย ทำให้เข้าถึงธรรมช้า

เถรี
23-04-2010, 13:55
ถาม : เวลาเราถวายพระพุทธรูป สมเด็จองค์ปฐม สมเด็จองค์ปัจจุบัน พระแก้วมรกต แต่ละองค์อานิสงส์แตกต่างกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่เขาถวายพระ เขาต้องการอย่างเดียว คือ อานิสงส์การสร้างพระ ในเมื่อต้องการอานิสงส์การสร้างพระ คุณจะถวายพระพุทธรูปแบบไหน องค์ไหน ก็ได้อานิสงส์การสร้างพระเหมือนกัน

คราวนี้สำคัญตรงที่ว่าใหญ่หรือเล็กเท่านั้น ถ้าหากว่าสร้างพระใหญ่ก็ได้อานิสงส์มาก ตรงนี้จริงหรือไม่?..ก็ไม่แน่ว่าจะจริงนะ ถ้าคนสร้างพระองค์เล็ก ๆ แต่สร้างบ่อย กับคนสร้างองค์ใหญ่ครั้งเดียว คนสร้างบ่อย ๆ ก็อานิสงส์เยอะกว่า

เถรี
23-04-2010, 15:13
ถาม : ตอนนี้มีเศรษฐีคนหนึ่งจะตั้งโรงงานหลอมแก้วให้ แต่เขาติดเรื่องเสื้อแดงเสียก่อน
ตอบ : ปล่อยให้เป็นไปตามวาระ คือ จะได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ อย่าไปตั้งความหวัง เพราะว่าถ้าเราได้มาก็เหนื่อย ในเรื่องของธรรมะนั้นแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าเราอยากมักจะไม่ได้ ตัดความอยากได้เมื่อไรก็จะมา

เพราะฉะนั้น..เราต้องวางกำลังใจให้เป็นไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถ้าหากสมควรอย่างไรที่จะต้องทำ ก็ขอให้เป็นไปตามอย่างที่เขาบอกมา ถ้าหากไม่สมควร เขาจะไม่ทำให้ ก็เรื่องของเขา ไม่อย่างนั้นเราจะเครียดเปล่า ๆ

ถาม : ช่วงนี้เป็นช่วงหาคน ช่วงหาคนนี่เหนื่อย ถ้าเหตุการณ์เสื้อแดงทำให้บ้านเมืองไม่ปกติ จนเศรษฐีเขาไม่ตั้งโรงงานให้ ผมจะได้หยุดหาเสียที เพราะเหนื่อยเหมือนกัน พระอาจารย์ว่ามีโอกาสไหมครับ ?
ตอบ : มีโอกาสที่จะเหนื่อย บุคคลประเภทอย่างพวกเรานั้นสบายไม่ได้หรอก สถานการณ์จะบังคับให้เป็นเอง

เถรี
23-04-2010, 15:45
ถาม : ผู้ที่ได้ครอบครูวิชาเป่ายันต์เกราะเพชรที่อาจารย์เล่า มีผู้หญิงไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี

ถาม : แล้วจะมีคนสามารถขอครูบาอาจารย์เป่ายันต์เกราะเพชรให้กับบุคคลใกล้ตัวได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีใครเขาทำกันอย่างนั้นหรอก เพราะต้องทำเพื่อเป็นการสงเคราะห์ส่วนรวม และห้ามรับทำนอกสถานที่ อยู่วัดไหนต้องทำวัดนั้น นี่เป็นกติกาเลย

ถาม : และต้องเป็นวันเสาร์ห้าด้วย
ตอบ : ใช่ ถ้าผิดไปจากนั้น ก็แปลว่าเป็นยันต์เกราะเพชรของเขา ไม่ใช่ของเรา

ถาม : วันเสาร์ห้าที่ท่านอาจารย์ทำพิธี แต่ว่าไม่ได้รับตอนบ่ายโมงกับสิบโมง เขาสามารถที่จะใช้พลังของเขาดึงยันต์ไว้ แล้วให้คนอื่นรับเลยเวลานั้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านตรงไปตรงมา เวลาไหนคือเวลานั้น ใครจะไปสามารถหยุดพระพุทธเจ้าเอาไว้ได้ จะเก่งเกินมนุษย์ไปแล้ว

ถาม : พวกกุมาร เป็นเทวดาหรือคนดีคะ ?
ตอบ : อยู่ที่คนเชิญ ถ้าคนเชิญ..อัญเชิญเทวดาได้ ก็ได้เทวดามา ถ้าอัญเชิญเทวดาไม่ได้ ก็ได้พวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสีมา

ถาม : ถ้าเขาอัญเชิญเทวดาได้ เทวดาก็มีความเป็นทิพย์ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : มี

ถาม : สามารถไปไหนมาไหนก็ได้ ไม่ต้องเกาะติดอยู่กับที่
ตอบ : ไม่ต้อง ท่านมีหน้าที่แค่รักษา ใครปฏิบัติตามกติกาท่านก็สงเคราะห์ให้ตามวาระบุญวาระกรรม

ถาม : แต่คนนั้นเขาเชื่อ เขามีปัญญา ทำไมเขาไม่สงสัยเลย ?
ตอบ : ปล่อยเขาไป

ถาม : ทำไมเขาไม่สงสัย ?
ตอบ : ก็เขาไม่สงสัย บางทีก็ถูกกรรมบัง เขาเรียกว่าเรื่องโง่ ๆ ละก็ฉลาดนัก

ถาม : แล้วหนูจะทำอะไรที่พอจะช่วยเขาได้บ้าง ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก ปล่อยเขาไป

ถาม : ให้ผ่านจุดนี้ไปได้ด้วยตัวเอง ?
ตอบ : อยากจะบอกว่า คนเราฉลาดเฉพาะบางเรื่อง เหตุการณ์บางอย่างควรจะคิดกลับไม่คิด ประเภทนี้คงต้องผ่านบทเรียนอีกหลายยก

เถรี
23-04-2010, 16:07
ถาม : เราไปฝืนเขาไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : มีหน้าที่พูดให้เขาฟัง ส่วนเขาจะฟังหรือไม่ฟังเป็นเรื่องของเขา แต่ว่าอย่าไปกวนใจเขามาก เพราะว่าผู้ชายส่วนใหญ่เขามีทิฏฐิเป็นของตัวเอง ทำให้ไม่รับฟังใคร คิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุด

ถ้ามีโอกาสลองถาม ๆ เขาดู ว่าลักษณะอย่างนี้เป็นไปได้ไหม เตือนแบบปรึกษาเขาก็ได้ หากเขาเฉลียวใจคิด แต่ถ้าเขายังคิดไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขา เพราะเป็นวาระของกรรม

ถาม : คิดว่าหนูท้อใจไปเสียก่อน ก็จะยิ่งไม่มีคนบอกเขา
ตอบ : เชื่อเถอะว่าคนเราสร้างบารมีมา จะดีจะชั่ว ท้ายสุดก็เอาตัวรอดได้ ต่อให้ไม่มีเรา เขาก็อยู่ได้ อย่าไปคิดในลักษณะว่าถ้าไม่มีเรา แล้วเขาจะแย่ อย่างบุญของเขาเป็นผู้ชาย คนเป็นผู้ชายการเอาตัวรอดง่ายกว่าผู้หญิงตั้งเยอะ ไม่ต้องไปกังวล

ถาม : ถ้าหากว่าหนักมาก ๆ ก็ไม่อยากจะอยู่กับเขา
ตอบ : วาระกรรมที่เนื่องกันมา ต้องใช้คำว่า ตั้งแต่รู้จักเขามาจนป่านนี้ มีเวลาที่เรามีความสุขไหม ? เราเองอยู่ในสภาพนี้เหมือนกับว่า แม้นมีทางไปก็ไม่คิดจะไป ก็เลยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเอง

ไปตำหนิเขาไม่ได้หรอก เพราะบางอย่างก็เป็นวาระกรรมของเขา กว่าจะคิดได้บางทีก็หลายปี ฉะนั้น..เป็นทั้งกรรมเขาและกรรมของเราด้วย

เราลองย้อนกลับไปคิดดูว่า ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ มีเวลาที่มีความสุขจริง ๆ ไหม ? ก็ไม่มี แต่ว่าในลักษณะนี้เรายังยอมทนต่อไป ถ้าสายตาของคนทั่ว ๆ ไป จะบอกได้ว่า ของเราเองวาระกรรมต้องเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

เถรี
23-04-2010, 16:33
ถาม : หนูจะใช้น้ำมนต์โสฬสหรือพระขรรค์โสฬส ช่วยให้เขาหายเร็วขึ้นไหมคะ ?
ตอบ : เขาไม่ได้โดนผีเข้านะจ๊ะ จะได้ไปแก้ไขลักษณะอย่างนั้น
นั่นเกิดจากความศรัทธา แต่ว่าขาดปัญญาประกอบ ตัวศรัทธาไม่ได้ไปแก้ไขด้วยน้ำมนต์หรือน้ำมัน ต้องแก้ไขด้วยการเพิ่มปัญญาให้เขา ถึงได้บอกว่า หาโอกาสชวนเขาคุย

ถาม : เขาอยู่กับอาจารย์เขามาหลายปี หนูก็เลยคิดว่าเขาถวายพานครูหรือเปล่า ?
ตอบ : ปล่อยเขา ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับเขา เครียดไปเปล่า ๆ กลายเป็นโรคเป็นภัยขึ้นมาจะลำบาก ดูแลสุขภาพตัวเองดีกว่า ไม่ต้องไปห่วงไปสนใจเขา ถึงเวลามาอยู่ตรงหน้า มีอะไรที่ทำแล้วรู้สึกดีก็ทำให้เขา ถ้าเป็นส่วนอื่นก็ไม่ต้องไปรับรู้ ทำแบบนี้เราก็จะสบายใจ

เถรี
23-04-2010, 16:56
ถาม : ตะกรุดของหลวงพ่อจง ที่ท่านทำ ๑๖ ดอก ผมไปหาข้อมูลมา มีอยู่ ๒ ดอกที่ไม่เข้าใจว่ามีคุณด้านไหน ก็คือ กระทู้เจ็ดแบก กับอีกดอกหนึ่งก็คือ มหารูดวาระสุดท้าย
ตอบ : กระทู้เจ็ดแบก เป็นด้านอยู่ยงคงกระพัน ส่วนมหารูดวาระสุดท้ายเอาไว้หนี เขาบอกว่าถ้าจะหนีให้รูดไปข้างหลัง คนอื่นจะวิ่งไล่ไม่ทัน

เถรี
23-04-2010, 17:04
ถาม : รบกวนพระอาจารย์ช่วยตรวจดูพระเครื่องให้
ตอบ : อาตมาตรวจให้ใครไม่ได้มาหลายปีแล้ว
กำลังใจของเราถ้ายึดเกาะพระจริง ๆ พระทุกองค์มีอานุภาพหมด ถ้าหากว่าเสียเวลาไปตรวจดู อย่างนั้นแสดงว่ากำลังใจไม่มั่นคง ใช้วัตถุมงคลอะไรก็ไม่มีประโยชน์

เถรี
23-04-2010, 19:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนบอกว่า หลวงปู่ดูลย์สร้างวัด หลวงปู่สร้างโบสถ์ หลวงปู่สร้างศาลา คงได้บุญมหาศาล หลวงปู่ก็หัวเราะบอกว่า ถ้าอยากได้บุญ ใครเขาจะมาเอาบุญตรงนี้กัน

เพราะบุญประเภทนี้ยังเป็นบุญที่ต้องเกิด บุญอย่างหลวงปู่เป็นบุญที่ไม่เกิดแล้ว บุญที่ไม่เกิดแล้วก็ต้องเข้าหาเรื่องของโลกุตรธรรม เน้นในเรื่องของมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ จบได้ก็ให้จบเลย

ฉะนั้น..ถ้าพวกเรารู้สึกว่า น่าจะจบได้ก็ไปเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจว่า "เดี๋ยว..รอหลวงพ่อก่อน.." ไม่ต้อง..ไปเลย ขืนรอหลวงพ่อก่อน หันมาอีกที ไม่รู้ใครรอใครกันแน่"

เถรี
25-04-2010, 07:20
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องเทคนิคการสอนว่า "ต้นตำรับเทคนิคการสอนคือพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านมีอุปกรณ์การสอนเยอะแยะ

ยกตัวอย่างกรณีพระนางเขมาเถรี พระนางเขมาเถรีเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ๆ พระนางเป็นมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ไม่กล้าไปหาพระพุทธเจ้า เพราะได้ยินว่าพระพุทธเจ้าตำหนิเรื่องความงาม แต่ความจริงท่านเข้าใจผิด คนฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับเอาไปกระเดียด

พระเจ้าพิมพิสารก็เลยให้บรรดาข้าราชบริพาร บรรดานักขับร้องต่าง ๆ แต่งเพลงพรรณนาว่าเวฬุวันมีความงามอย่างไร พระนางได้ยินจึงอยากเสด็จไป คิดว่าในเมื่อเราไม่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แอบย่อง ๆ ไปดูก็พอ

พอพระนางไปถึง เห็นผู้หญิงที่นั่งพัดอยู่ข้าง ๆ พระพุทธเจ้า สวยงามมาก สวยกว่าตนเองอีก มนุษย์หัวแถวจะสู้นางฟ้าหัวแถวได้ไหมเล่า ? พอพระนางเขมาเถรีเห็นดังนั้น จึงคิดว่า ใครบอกว่าพระพุทธเจ้าตำหนิความงาม ผู้หญิงสวยขนาดนี้ยังอยู่เลย พระนางก็เลยอยู่บ้าง ตั้งใจฟังเทศน์

พระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องของร่างกาย เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ผู้หญิงที่เห็นสวย ๆ ก็ค่อย ๆ แก่ขึ้น หลังโก่ง ผมหงอก หนังเหี่ยว ล้มลงและก็ตายตรงนั้นเลย ตายแล้วก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหลโซมเลย พระนางก็เลยสลดใจ คนสวยขนาดนั้นยังเป็นได้ขนาดนี้ แล้วเราจะเหลือหรือ ท่านก็เลยกลายเป็นพระโสดาบัน

ดังนั้น..ถ้าจะเอาเรื่องอุปกรณ์การสอน พระพุทธเจ้าท่านมีเพียบ อย่างสมัยนี้ต้องเสียเวลาไปทำพาวเวอร์พอยท์ แต่พระพุทธเจ้าทั้งภาพทั้งเสียงมีครบ"

เถรี
25-04-2010, 07:25
พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงการจัดอันดับผู้หญิงสวยในโลก แล้วท่านก็กล่าวถึงผู้หญิงที่สวยในพระไตรปิฎกว่า "คนสวยจริง ๆ ต้องเป็นพระนางสิริมหามายา นอกจากประกอบด้วยเบญจกัลยาณียังมีอิตถีลักษณะที่เหมาะสมกับการเป็นพุทธมารดาอีก ๖๔ ประการ

ถ้าใครอยากเห็นว่าสวยขนาดไหน ต้องรอไปเกิดสมัยพระศรีอาริย์ ท่านสุดยอดมากเลย อธิษฐานขอเป็นพุทธมารดา ๒ พระองค์ ก็เลยเป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และพระพุทธมารดาของพระศรีอาริย์ด้วย ไม่อย่างนั้นตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปเทศน์โปรดแล้วทำไมท่านจึงได้แค่พระโสดาบัน เพราะท่านต้องลงมาเกิดใหม่อีก ฉะนั้น..ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกต้องเอาในพระไตรปิฎก"

เถรี
25-04-2010, 08:52
พระอาจารย์เล่าว่า "ผู้ปกครองที่อยู่ในวรรณะกษัตริย์ บางที่เขาเรียกว่า กษัตริย์ อย่างมัลลกษัตริย์ บางที่เขาก็เรียกว่า ราชา อย่างพระเจ้าพิมพิสาร แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลเขาเรียกว่า มหาราช พระราชาผู้เป็นใหญ่กว่าเมืองอื่น เพราะว่าแคว้นของท่านกว้างใหญ่ไพศาลมาก

ทำไมกว่าพระพุทธเจ้าจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในแคว้นโกศล ต้องรอจนผ่านไปกว่าสิบพรรษา ? เพราะว่าแคว้นโกศลปกครองกรุงกบิลพัสดุ์อยู่ แล้วคำทำนายที่บอกว่าพระพุทธเจ้าจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องได้ยินเต็มสองพระกรรณของพระเจ้าปเสนทิโกศล ถ้าในตอนแรกพระพุทธเจ้าเข้าไปแคว้นโกศล อาจจะได้นอนคุกยาวหรือไม่ก็อาจถึงตาย

ฉะนั้น..ต้องแสดงให้เห็นก่อนว่า สิ่งที่ท่านสอนมามีผลจริง ก็เลยใช้วิธีเมืองเล็กล้อมเมืองใหญ่ จะว่าเมืองเล็กล้อมเมืองใหญ่ก็ไม่ใช่ เพราะมคธก็เป็นเมืองมีขนาดใกล้เคียงกับโกศล แต่ว่าพระเจ้าพิมพิสารอยู่ในลักษณะของผู้ใหญ่ใจดี ถึงเวลาจะแบ่งราชสมบัติให้ครึ่งหนึ่งด้วย ในเมื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารได้ก็ถือว่ามีเกราะป้องกัน อย่างน้อย ๆ พอจะไปแสดงหลักธรรมที่เมืองอื่น คนก็ต้องเกรงใจบ้าง

พอพระเจ้าพิมพิสารประกาศตนเป็นพุทธมามกะแล้ว พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปวังสะ วัชชี มัลละ ฯลฯ จนกระทั่งผ่านไป ๑๔ พรรษา จึงได้บรรดาเศรษฐีต่าง ๆ มาเป็นสาวกมากมาย คนยุคไหนสมัยไหนก็เกรงใจคนรวย ตอนนั้นได้เมณฑกเศรษฐี ธนัญชัยเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา ตระกูลมิคารเศรษฐี ราชคหเศรษฐี สุทัตตเศรษฐีหรืออนาถปิณฑิกเศรษฐี กำลังหนุนขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าทำอะไร พระองค์จึงได้เข้าไปที่เมืองโกศล

ความจริงไปแล้วเขาไม่กล้าทำอะไรท่านหรอก ถึงทำก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ใครจะไปมั่นใจว่าบรรดาสาวกต่าง ๆ จะเดือดร้อนไหม ? จึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา และที่แน่นอนพระองค์รู้ว่าวาระไหนเหมาะสมที่สุด รอจน ๑๔ พรรษาจึงเข้าไปที่แคว้นโกศล แล้วจึงสามารถเอาแคว้นโกศลเข้ามาอยู่ใต้ร่มบารมีของท่านได้ เท่ากับว่าปลดแอกให้กบิลพัสดุ์ไปเลย กลายเป็นกบิลพัสดุ์ทำให้แคว้นโกศลมาขึ้นกับพระพุทธเจ้า"

เถรี
25-04-2010, 09:41
พระอาจารย์เล่าเรื่องฮินดูให้ฟัง แล้วท่านก็สรุปลงตรงที่ว่า "ถ้าหากเรายึดถือในพระพุทธเจ้าอย่างแน่นแฟ้นเหมือนอย่างที่ฮินดูยึดถือในพระเจ้า เรารักษาศีลทุกสิกขาบทเท่าชีวิต เหมือนอย่างคนฮินดูเขายอมอดตาย ทั้ง ๆ ที่อาหารเขาเต็มบ้านเต็มเมือง ปลาก็เต็มบ่อเต็มทะเล วัวก็เต็มถนน นกอีกเยอะแยะไม่รู้เท่าไร แต่เขาไม่กิน ยอมอดตาย ถ้ากำลังใจเราได้สักขนาดนี้ น่าจะบรรลุกันเยอะนะ"

เถรี
25-04-2010, 10:04
ในเรื่องการเข้าไปช่วยงานผู้อื่น พระอาจารย์สอนว่า "อะไรที่ไม่ใช่ความชำนาญของตัวเองแล้วไปทำ ก็เสียเวลาเขา เสียเวลาไม่ว่า ถ้าเสียงานด้วย มีหวังโดน..!

เป็นไปโดยหลักจิตวิทยาเลยว่า แต่ละคนจะมีความภาคภูมิใจในงานของตน ในเมื่อเป็นงานในความรับผิดชอบของเขา บางทีเราเข้าไปแตะ อาจมีรายการโดนงับหู..! ฉะนั้น..ถ้าไม่อยากโดนงับหูก็พยายามเลี่ยง ๆ หน่อย ยกเว้นว่าเขาออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม"

เถรี
26-04-2010, 11:08
ถาม : เมื่อคืนหนูไปนอนภาวนาโสตัตตะภิญญา แล้วรู้สึกว่าเหมือนโดนหินทับ
ตอบ : ไม่ไหวก็เลิก เริ่มต้นใหม่

ถาม : เป็นแค่อาการฌาน ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่า เท่าที่เคยลองดูระหว่างสัมปะจิตฉามิและโสตัตตะภิญญา โสตัตตะภิญญาจะแน่นกว่ากันมาก คราวนี้เราจะเข้าใจแล้วว่าอาการแน่นเป็นอย่างไร

ถาม : แล้วถ้าเราหน้าด้านทำไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ต้องตัดใจว่า "อย่างดีก็แค่ตาย" แล้วจะได้เร็ว

เถรี
26-04-2010, 12:58
พระอาจารย์สอนว่า "คนเราอายุมากขึ้น ถ้าไม่ได้ตั้งใจลดละกิเลส ในส่วนของอุปาทานการยึดมั่นถือมั่น จะมีมากตามระยะที่ผ่านไป โดยเฉพาะอะไร ๆ ที่เป็นของกู จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ"

เถรี
26-04-2010, 13:27
ถาม : ทำไมปฏิบัติไปแล้วไม่ก้าวหน้า ?
ตอบ : ถ้าไม่ทำเกินก็ทำขาดจ้ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำขาด เวลาเราทำประมาณวันละหนึ่งชั่วโมง อีกยี่สิบสามชั่วโมงกิเลสกินตลอด ก็ขาดทุนไปยี่สิบสามชั่วโมง ดังนั้น..ต้องรักษาอารมณ์ใจให้ได้ตลอดทั้งวัน

ถาม : ต้องพยายามทำให้ได้ทั้งวัน ?
ตอบ : ใช่..แต่ไม่ต้องนั่งทั้งวันจ้ะ นั่งหนึ่งชั่วโมงก็ได้ แต่เวลานั่งแล้วกำลังใจเรานิ่งขนาดไหน ถึงเวลาให้รักษาความนิ่งให้อยู่กับเราให้ได้ ต้องลองไปซ้อม ๆ ดู ถ้าทำได้จึงจะก้าวหน้า แรก ๆ ขยับก็หล่นหาย ซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้น

เถรี
26-04-2010, 14:10
ถาม : ถ้าเราจะเลี้ยงกุมาร
ตอบ : ถ้าเป็นกุมารของ หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม หรือหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ท่านทำถูกต้องตามพิธีกรรม จะเป็นเทวดา ท่านคงไม่กวนอะไร นอกจากให้ประโยชน์ แต่ถ้าไปเจอตำราที่ใช้ไสยศาสตร์อย่างเดียว ก็อาจจะได้พวกสัมภเวสี วิญญาณเด็ก ก็จะเป็นไปตามสภาพของเขา

อาตมาเคยเลี้ยงกุมาร แต่ไม่ไหวต้องเอาไปส่งวัด เพราะว่าเขาเล่นกับหลาน ลงมาจากบันได ๑๒ ขั้น ปกติก็ต้องคอหักตายไปแล้ว นั่นเขาเล่นกัน แม่เขาจะหัวใจวายตาย ก็เลยต้องเอาไปส่งวัด ระวังนิดหนึ่งถ้าอันไหนเขาทำดี ทำถูกก็ใช้ได้

เถรี
26-04-2010, 20:06
มีท่านหนึ่งนำดอกมะลิใส่ขัน ถวายให้พระอาจารย์ พระอาจารย์เลยเล่าเรื่องของนายมาลาการให้ฟัง

"เห็นดอกมะลิแล้วนึกถึงนายมาลาการ นายมาลาการเป็นคนจัดทำดอกไม้ ร้อยพวงมาลัย พอดีวันนั้นนายมาลาการกำลังจะเอาดอกไม้ ๘ ตะกร้าไปส่งพระเจ้าแผ่นดิน ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมา นายมาลาการเห็นเข้าก็เลยเกิดความปีติใจ ไม่มีของจะถวาย จึงคิดว่า เราเอาดอกไม้โปรยเป็นพุทธบูชาก็แล้วกัน

แต่คราวนี้ดอกไม้เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าถวายพระพุทธเจ้าไปแล้วไม่มีให้พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์อาจพิโรธสั่งประหารชีวิตก็ได้ แต่ท่านก็คิดว่า ถึงจะโดนประหารชีวิตก็ตามที แต่บุญเช่นนี้หาโอกาสที่จะทำได้น้อยมาก เราตั้งใจทำบุญ ถึงโดนประหารชีวิต ตายไปก็เชื่อว่าไปสุคติ

ท่านก็เลยเอาดอกไม้สองตะกร้า ซัดไปถวายเป็นพุทธบูชา ปรากฏว่าดอกมะลิทั้งสองตะกร้าแทนที่จะตกลงบนพื้น กลับลอยเป็นเพดานดาดอยู่ด้านบน พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหน เพดานดอกไม้นี้ลอยตามไปด้วย ท่านก็เลยซัดไปอีกสองตะกร้า ก็ลอยเป็นเหมือนกับม่านอยู่ทางด้านหลัง ยิ่งเห็นก็ยิ่งปีติ ก็เลยซัดอีกสองตะกร้า คราวนี้ลอยไปอยู่ด้านซ้าย ซัดอีกสองตะกร้าลอยอยู่ทางด้านขวา กลายเป็นว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปไหน มีห้องเป็นดอกไม้ตามไปด้วยพร้อมฉัพพรรณรังสี ชาวบ้านเห็นก็โจษจันกันใหญ่ด้วยความปลื้มปีติ"

เถรี
26-04-2010, 20:29
"แต่ภรรยาของนายมาลาการเห็นแล้วตกใจ กลัวจะโดนประหารเจ็ดชั่วโคตร จึงรีบเข้าวังไป บอกกับทหารว่า มีเรื่องด่วนจะมากราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน ทหารก็พาเข้าไป ภรรยานายมาลาการกราบทูลว่า ตนเป็นภรรยาของนายมาลาการ ตอนนี้นายมาลาการทำการทรยศต่อแผ่นดินแล้ว แทนที่จะนำดอกไม้นั้นมาถวายพระเจ้าแผ่นดิน กลับเอาไปถวายเป็นพุทธบูชาเสีย ขอพระเจ้าแผ่นดินสั่งให้ตนเองหย่าขาดกับนายช่างดอกไม้นี้ จะได้ไม่เกี่ยวข้องกัน

พระเจ้าแผ่นดินถามว่าแน่ใจนะ ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับเขาก็จะไม่เกี่ยวข้องถึงกับเขานะ ภรรยานายมาลาการก็ยืนยันที่จะให้เป็นอย่างนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็อนุญาตให้หย่าขาดกันได้ แล้วก็ให้ทหารไปคุมตัวนายมาลาการมา

พระเจ้าแผ่นดินก็ถามว่า ตอนที่ถวายดอกไม้พระพุทธเจ้า ไม่ได้คิดเลยหรือว่าจะต้องตาย นายมาลาการก็อธิบายให้พระเจ้าแผ่นดินฟัง ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินชื่นชม บอกว่าทำดีมาก..! ก็เลยพระราชทานรางวัล นอกจากสิ่งของเงินทองแล้ว ที่น่าเจ็บใจภรรยาเก่าที่สุดก็คือ ให้หญิงงามเป็นรางวัลอีก ๘ คน

อันนี้เป็นอานิสงส์ทันตา ในลักษณะของครุกรรมฝ่ายกุศล ทำตอนนั้นได้ตอนนั้นเลย แต่คนที่น่าเสียดายสุดก็คือ ภรรยา ดันหย่าขาดไปเสียก่อน

ลองไปอ่านได้ในธรรมบท มีเรื่องสนุกเยอะแยะมากมายเลย เกี่ยวกับอานิสงส์ต่าง ๆ ที่เราทำ จะทำเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดก็กลายเป็นอานิสงส์ใหญ่

แบบเดียวกับลาชเทวธิดาที่ถวายข้าวตอกพระมหากัปสสปะไป ๑ ขัน พอโดนงูกัดตาย ไปจุติเป็นนางฟ้ามีวิมานเป็นทองคำ และมีม่านเป็นข้าวตอก"

เถรี
26-04-2010, 20:49
พระอาจารย์ได้ถามท่านหนึ่งว่า "ปกติทำสมาธิบ่อยไหม ?"
เธอตอบว่า "หนูกำลังอยากจะทำ แต่ไม่มั่นใจในศีลค่ะ บางวันก็ขาด"

พระอาจารย์จึงแนะนำว่า "ต้องทำให้ได้จ้ะ เพราะทุกวันนี้ที่เราลังเลสงสัย ตัดสินใจอะไรไม่ขาด เพราะกำลังใจไม่พอ ถ้าเราทำสมาธิ กำลังใจดีขึ้น เรื่องต่าง ๆ เราจะทำตัดสินใจได้เด็ดขาดแน่นอน และส่งผลดีมากด้วย"

ถาม : หนูยังงงกับอานาปานสติค่ะ
ตอบ : หายใจแล้วนึกตามเข้าไป ว่าเข้าไปเท่าไร ออกมาเท่าไร ตามดูอยู่แค่นั้น ถ้าคิดเรื่องอื่นก็กลับมาตรงนี้ ถ้าสามารถดูได้ตลอดสักสิบนาที สิบห้านาที กำลังใจจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าทำได้แล้วจะได้เกิดผลดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นจะลังเล ทำอะไรยาก

ถาม : ไม่มั่นใจ กลัวทำไม่ได้ค่ะ
ตอบ : ทำไปเถอะ ขนาดทำยังลังเลเลย ปกติเรื่องอย่างนี้ขี้เกียจแนะนำ แต่ไหน ๆ ก็หลงมาถึงนี่แล้ว เลยบอกซะหน่อย

เถรี
27-04-2010, 00:46
ถาม : ตอนนี้เวลาเกิดเหตุการณ์กระทบ ปกติถ้าเป็นเหตุการณ์อย่างนี้ เราจะนึกต่อว่าเขา นึกปรามาสเขา เพียงแต่ตอนนี้มีความรู้สึกว่า เหมือนเรามีสติมากขึ้น มันตัด ไม่ได้คิดต่อ ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ก็จะก้าวหน้าไปกว่านี้ ต่อไปแทนที่จะปล่อยไปเฉย ๆ ก็จะไปเมตตาสงสารเขา อาจจะหาทางช่วยเหลือเขาด้วย

ถาม : ต้องทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ? ถ้าหยุด..?
ตอบ : ถ้าหยุดก็จะตีกลับ ประมาทไม่ได้จ้ะ อย่าไปคิดว่าได้แล้ว ต้องคิดว่าเป็นผู้ใหม่ไว้เสมอ ถ้าเราคิดว่าเป็นคนใหม่ไว้เสมอ เราก็จะไม่ประมาท

เถรี
27-04-2010, 09:33
ถาม : ผมรับยันต์ไปเมื่อวันที่ ๒๐ เมื่อเช้านี้ท้องไส้ไม่ค่อยดีก็เลยกินยาธาตุน้ำขาวตรากระต่าย แล้วรู้สึกว่าร้อน พอไปอ่านข้างขวด ปรากฏว่ามีส่วนของแอลกอฮอล์
ตอบ : ถ้าเป็นยาไม่เป็นไร แต่ให้กินตามสูตรของเขานะ ไม่ใช่กินหมดขวดเลย

ถาม : ช้อนเดียวครับ สรุปว่ากินได้ ?
ตอบ : ถ้าผสมยากินได้ กินตามหมอสั่งหรือกินตามสูตรของเขา อย่างพวกยาดอง กินเช้าเป๊กหนึ่ง เย็นเป๊กหนึ่งได้ แต่ถ้าจะกินเอาเมา ก็ได้เรื่องแน่

เถรี
27-04-2010, 09:34
ถาม : ข้าวหมากกินได้หรือเปล่า?
ตอบ : อาตมาไม่แตะเด็ดขาด เพราะกลิ่นเหมือนเหล้า ต้องบอกว่ารังเกียจกลิ่น ฉะนั้น..ไม่จำเป็นอย่าไปกินเลย จะอร่อยอะไรกันนักหนาเชียว

เถรี
27-04-2010, 09:40
ถาม : เราจะปฏิบัติเจโตวิมุตติกับปัญญาวิมุตติควบคู่กันได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องควบคู่กัน ถ้าหากใช้เจโตวิมุตติอย่างเดียวก็อันตราย เพราะว่าถ้าเผลอสติขาดไป ก็จะโดนตีกลับ กิเลสจะงอกงามกว่าเดิม ถ้าใช้ปัญญาวิมุตติอย่างเดียว กำลังก็ไม่พอที่จะตัดกิเลส ต้องสั่งสมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนเกินไป

ต้องทำสองอย่างควบกัน ก็คือ เราใช้กำลังสมาธิให้ทรงตัวก่อน แล้วค่อยไปใช้ปัญญาพิจารณา ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งจะมีจุดอ่อนทั้งคู่ ต้องประสานกันไว้

ถาม : จังหวะที่คิดจะทำ ก็คือ ทำพร้อมกัน หรือถ้าพร้อมจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ตอบ : ถ้าพร้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงมือได้เลย แล้วการปฏิบัติอย่างเป็นทางการ อย่างการนั่งภาวนาแล้วถอนกำลังออกมาพิจารณา ให้เอาไปไว้ตอนที่มีเวลา แต่ถ้าทั่ว ๆ ไป เห็นเมื่อไรต้องพิจารณาทันที ได้ยินเมื่อไรพิจารณาทันที ได้กลิ่นเมื่อไร พิจารณาทันที

แรก ๆ กำลังไม่พอหรอก มักจะโดนพาไปเสียไกล แต่ถ้ากำลังเราพอ มีความเข้มแข็งขึ้น ก็จะง่าย

เถรี
27-04-2010, 09:44
พระอาจารย์กล่าวถึงขุนแผนโคโยตี้ให้ฟังว่า "เรื่องของขุนแผนโคโยตี้ จะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่ใหญ่ขึ้นมาเพราะเป็นไปในทางลามกอนาจาร แล้วคนส่วนใหญ่รับไม่ได้

ในลักษณะของสัทธรรมปฏิรูป ยิ่งระยะเวลาอายุพระศาสนานานไปเท่าไร ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้ก็มีมาก แต่ว่ามากแล้วคนยังไม่เฉลียวใจ

อย่างเช่นว่า การสร้างพระพิฆเนศใหญ่ที่สุดในโลก แต่เป็นวัดพุทธ การสร้างตรีมูรติ การตั้งศาลพระพรหม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดูทั้งนั้น หรือการสร้างเจ้าแม่กวนอิม ไฉ่ซิงเอี๊ยเหล่านี้ ก็เป็นของทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน

เรื่องเหล่านี้มีแทรกเข้ามามากขึ้น ๆ แล้วกลายเป็นว่า สับสนปนเปจนกระทั่งคนที่เขาไม่เข้าใจจะแยกแยะไม่ออก แม้แต่การสร้างหลวงปู่ทวดใหญ่ที่สุดในโลก หลวงปู่โตใหญ่ที่สุดในโลก เป็นต้น ก็สร้างในลักษณะที่ทำให้บุคคลไปยึดติดองค์ท่านในลักษณะเทพเจ้าของศาสนาฮินดู ไม่ได้ยึดเพราะเห็นความดีของสังฆคุณ ไม่ได้ยึดว่าคำสอนของท่าน สอนให้ปฏิบัติอย่างไร แต่ให้ไปกราบไหว้บูชาอย่างเดียว ออกไปแบบฮินดูแท้เลย

เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมีแทรกขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามสภาพ และระยะเวลาของอายุพระศาสนาที่มากขึ้น แต่บุคคลที่แยกแยะออกจะน้อย ผู้ที่สร้างส่วนใหญ่ก็กลายเป็นวัดของพุทธศาสนา แล้วของเราเป็นพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งถือหลักพระวินัยเป็นใหญ่ แต่ทางด้านพุทธศาสนามหายานจะถือหลักธรรมเป็นใหญ่ พูดง่าย ๆ สำหรับเขา ก็คือ ถ้าตั้งใจปฏิบัติหลักธรรมแล้ว ศีลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง"

เถรี
27-04-2010, 09:46
"คราวนี้เรามาลองคิดว่า ศีลเป็นรากแก้วของพระศาสนา ต้นไม้ถ้าไม่มีรากจะอยู่ได้ไหม ? ถึงมีรากฝอย โดนลมแรงก็โค่น ถ้ามีรากแก้วก็พอจะยืนยงคงทนได้นาน

แต่คนส่วนใหญ่ด้วยความมักง่าย ถ้าอะไรร้องขอได้ง่ายโดยไม่ต้องทำเอง ยิ่งเสกเพี้ยงให้เป็นอย่างตัวเองต้องการได้..ยิ่งดี จะวิ่งเข้าไปหาในสิ่งนั้นเลย ถ้าเราไปที่อินเดียก็จะเห็นว่า บรรดาเทวาลัยต่าง ๆ ของศาสนาฮินดู คนแห่กันไปมืดฟ้ามัวดินเลย แต่ละคนล้วนแล้วแต่ไปถวายเครื่องบูชา ขอนั่นขอนี่ไปเรื่อย

เพราะฉะนั้น..เรื่องของขุนแผนโคโยตี้เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ เท่านั้นเองที่แทรกเข้ามา เพียงแต่ว่าสภาพไม่เหมาะกับสังคมไทย ออกแนวอนาจารเกิน ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา"

เถรี
27-04-2010, 11:58
มีคนนำไม้มงคลมาให้พระอาจารย์อธิษฐานจิต ท่านจึงกล่าวถึงเรื่องไม้มงคลว่า

"ในมงคลสูตร ที่ประกอบไปด้วยมงคล ๓๘ อย่าง บรรดาพรหมเทวดาตลอดจนมนุษย์ เขาถกเถียงกันว่า อะไรเป็นมงคลที่แท้ เถียงอยู่ ๑๒ ปีเต็ม ๆ ตกลงกันไม่ได้ จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสมงคลให้ทราบ ตั้งแต่ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา จนกระทั่งไปลงท้ายสุด
ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

ท่านให้มงคลตั้งแต่ต้นสุดไปจนกระทั่งสูงสุด ยันนิพพานเลย และมงคลของท่านเป็นมงคลที่คนอื่นเถียงไม่ได้ เพราะว่าถ้าปฏิบัติตามเมื่อไร ก็ดีเมื่อนั้น แต่ว่ามงคลของพรหมเทวดา ตลอดจนมนุษย์ที่เขาว่ากันมาเถียงได้ทั้งนั้น อย่างเช่นว่า บางคนบอกว่า เวลาเช้าเป็นมงคล สีนี้เป็นมงคล สีนี้ไม่เป็นมงคล เถียงกันแทบตาย ๑๒ ปีผ่านไปไม่ได้อะไรเลย

เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจะสีเหลือง สีแดง สีชมพู ก็ไม่เป็นมงคล"

ถาม : อ้าว..ทำไมลงอย่างนี้ ?
ตอบ : จะเป็นมงคลได้ ก็ต่อเมื่อเราตั้งใจปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านบอกว่า อย่าคบคนพาล คบแต่บัณฑิต ให้บูชาคนที่ควรบูชา บุคคลที่ควรบูชาก็ต้องประกอบไปด้วยกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์

ฉะนั้น...บรรดาไม้ที่เขาเอามา ขอให้ช่วยอธิษฐานให้ ก็แค่ชื่อดี ถ้าหากเราไม่ได้ทำดี ชื่อดีแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้

เถรี
27-04-2010, 12:53
พระอาจารย์อธิบายให้ฟังว่า "ทุกวันนี้เรามักจะไปคิดว่า คูณก็คือชัยพฤกษ์ ไม่ใช่นะจ๊ะ

คูณ คือ ราชพฤกษ์ ที่ชื่อว่าราชพฤกษ์ ต้นไม้ของพระราชา เพราะว่าดอกสีเหลือง สีเหลืองเป็นสีประจำองค์พระราชา

ชัยพฤกษ์ เป็นสีชมพู ดอกเล็ก ๆ หลายคนอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จัก

แต่ว่ากัลปพฤกษ์ จะเป็นสีชมพูอมขาว ถ้าหากว่าดอกแก่ไปก็จะออกเป็นดอกสีเกือบจะขาวเลย

ต้องแยะแยกให้ออก แยกไม่ออกเดี๋ยวปนกันมั่ว คนรุ่นหลังก็จะมั่วตามไปด้วย"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=4618&stc=1&d=1272347428

ราชพฤกษ์

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=4621&stc=1&d=1272347791

ชัยพฤกษ์

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=4622&stc=1&d=1272347834

กัลปพฤกษ์

เถรี
27-04-2010, 12:59
ถาม : การที่ไปปิดถนน มีผลกระทบเป็นวงกว้าง จะทำให้เกิดกรรม ?
ตอบ : ถึงเวลาถ้าจะได้อะไร ก็คงโดนขวางตลอด

ถาม : แล้วเกิดเฉพาะกับคนที่เป็นเสื้อแดงหรือกับคนที่สนับสนุนด้วย
ตอบ : ก็ต้องดูว่าใครร่วมมือบ้าง ยิ่งถ้าเผลอไปปิดขบวนเสด็จเข้าด้วยก็ซวยหนักเลย..!

เถรี
27-04-2010, 13:23
ถาม : มีเพื่อนเขาเปิดบริษัท แต่เราไม่ได้ทำงานกับเขา แต่เขาเอาชื่อเราไปเสียภาษีเพื่อประโยชน์ของบริษัทเขา เราให้เขาใช้ชื่อเรา
ตอบ : ระวังเอาไว้ว่า ถ้าเรื่องภาษีเราไม่ตรงไปตรงมา เราก็จะซวย เพราะเดี๋ยวนี้กรมสรรพากรเขาตรวจสอบเข้มกว่าเดิม

ถาม : แล้วผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ศีลเราไม่ผิดหรอก เพราะเราไม่ได้ทำตั้งแต่ต้น แต่ผิดกฎหมายเพราะเราไม่เสียภาษีตรงไปตรงมา และเขาก็ไม่ฟังหรอกว่าของใคร เพราะหลักฐานระบุชัดว่าของเรา ก็แปลว่าอาจจะได้คุกเป็นของแถม..!

เถรี
27-04-2010, 13:40
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องจากทุ่งใหญ่สู่ห้วยขาแข้ง ให้ฟัง เป็นเรื่องที่จะได้นำมาลงในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ต่อไป

มีอยู่ตอนหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า "ช่วงที่ไม่ได้อยู่ในป่า เคยได้ลงไปในถ้ำใหญ่ พื้นที่ในถ้ำกว้างเป็นไร่ แต่เป็นน้ำไปเกือบทั้งถ้ำ

ด้วยความอยากรู้ว่าลึกแค่ไหน ก็เลยเอาเชือกผูกเอว แล้วก็ให้ตาฤๅษีเขาจับเชือกไว้ เราก็ลุยลงไป ทันทีที่ดำลงไปพร้อมกับเอาไฟฉายส่อง เหมือนกับเกิดควันใต้น้ำ พรึ่บขึ้นมามืดไปหมดเลย ก็เลยค่อนข้างจะมั่นใจว่าเขาคงจะไม่ให้เราลง จำเป็นต้องกลับ

เขตแดนบางอย่างเราลงไปส่งเดชไม่ได้ ต้องรอเขาอนุญาต จะเรียกว่าเป็นมิติซ้อนมิติก็ใช่ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเขาไม่เปิดให้เรา อย่างไรเราก็เข้าไม่ได้

วันนั้นถึงลงไปได้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะไปได้สักเท่าไร เพราะว่าทันทีที่เราพุ่งจะลง ส่องไฟลงไป เห็นเป็นเหวลึกไปจนสุดแสงไฟเลย อยู่ ๆ เป็นเหมือนตะกอนใต้น้ำหรือควัน พรึ่บขึ้นมาเฉย ๆ ลักษณะเหมือนกับว่ามีสัตว์ตัวใหญ่มาก ๆ สะบัดหางกวนน้ำขึ้นมาพอดี เราก็เลยมองอะไรไม่เห็น ลงต่อไม่ได้ ต้องตัดสินใจกลับ"

เถรี
27-04-2010, 18:17
พระอาจารย์ท่องกลอนเรื่อง นกมีหู หนูมีปีก ให้ฟัง ซึ่งมีใจความคล้ายกับสถานการณ์ความไม่สงบในปัจจุบัน

ร่ำปางติรัจฉาน...........เกิดล้างผลาญกันและกัน
สงครามใหญ่ครามครัน...ยิ่งกว่าพวกสัตว์ทั้งผอง
จตุบททวิบาท.............ต่างฝ่ายขาดความปรองดอง
ยกพวกยอพลผยอง......กลาดเกลื่อนกลุ้มตะลุมบอน
ทั่วโลกทุกแหล่งหล้า......ทั่วท้องฟ้าทั่วสาคร
ภายในใต้ดินดอน..........ห่อนละเว้นเข่นฆ่ากัน
ศึกคนฤๅจักสู้..............ศึกนกหนูใหญ่มหันต์
แต่ข้างค้างคาวนั้น.........บ่มิขันสู้กับใคร
ประสบสัตว์สี่เท้า..........ก็พลอยเข้าเป็นพวกไป
โดยอ้างว่าตัวไซร้..........มีสี่เท้าเค้าหน้าเหมือน
พบนกเข้าพวกนก..........พูดโกหกทำแชเชือน
ไม่ใช่สี่เท้าเถื่อน...........เพราะบินได้ในเวหา
แรก ๆ เขาหลงเชื่อ........ก็เอื้อเฟื้อบ่บีฑา
ครั้นเขารู้มารยา...........เขาต่างตัดไมตรีสลาย
ค้างคาวหมดปัญญา.......ต้องหลบหน้าอยู่เดียวดาย
รุ่งเช้าพอเพลางาย........มุดหัวซ่อนนอนเป็นผี
มืดค่ำจึงกล้าออก..........เที่ยวปลิ้นปลอกไปตามที
สัตว์อื่นเขาคืนดี............แต่ค้างคาวเขาหน่ายแหนง
อันว่าหมาหัวเน่า...........ไม่ร้ายเท่าที่สำแดง
ลวงโลกโลกระแวง.........แหนงหน่ายเห็นเช่นค้างคาว

สำหรับกลอนนี้พระอาจารย์บอกว่า ท่องตั้งแต่สมัยประถม พี่ทิดตู่จึงถามว่า "หลวงพี่ยังจำได้หมดอีก ?" พระอาจารย์จึงบอกว่า "เรียนอะไรตูลืมหมด แต่ถ้าจะเอา ก็มาเอง..!"

เถรี
27-04-2010, 18:54
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "บางคนเขาเป็นคู่บุญกันจริง ๆ ที่ทองผาภูมิมีอยู่สองราย รายแรกก็คือ นายเป้ากับคุณนายแสงทองพอแต่งงานแล้วทำอะไรก็รุ่งไปหมด พูดง่าย ๆ ว่าขยายบ้านแล้วขยายบ้านอีก ซื้อที่เพิ่มแล้วเพิ่มอีก

ส่วนอีกรายหนึ่งเป็นเถ้าแก่ประเสริฐและคุณบุหงา เถ้าแก่ประเสริฐเป็นลูกน้องของร้านค้าวัสดุชื่อ กิมธงมาก่อน ส่วนคุณบุหงาก็เป็นสาวไร่อ้อย พอแต่งงานกันไปแล้วก็แยกตัวจากเจ้านายเดิม ไปตั้งร้านขายวัสดุก่อสร้าง รุ่งแล้วรุ่งอีก เดี๋ยวนี้บรรดาวัสดุก่อสร้างแทบทั้งทองผาภูมิต้องสั่งจากร้านประเสริฐ เราชอบสั่งจากร้านนี้เพราะเขามาส่งเร็วมาก

แต่เห็นแค่สองคู่เท่านั้น นอกนั้นก็ลำบากกันต่อไป คาดว่าสักวันหนึ่งบุญคงจะส่งผลให้"

เถรี
28-04-2010, 10:18
พระอาจารย์กล่าวถึงลักษณะของภริยาหรือสามี ดังนี้

"พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า สามีหรือภรรยามีอยู่ ๗ แบบด้วยกัน แต่เนื่องจากที่ท่านกล่าว ท่านกล่าวในลักษณะของภริยา เพราะฉะนั้นให้รู้ไว้ด้วยว่าสามีก็เป็นแบบเดียวกัน

๑)วธกาภริยา มีเมียก็เหมือนเพชฌฆาต คอยทุบคอยตีทำร้ายผัวอยู่ตลอดเวลา
๒)โจรีภริยา มีเมียเหมือนโจร ทรัพย์สินในบ้านทุกอย่าง โดนยักยอก หยิบฉวยหมด
๓)อัยยาภริยา มีเมียเหมือนเจ้านาย จิกหัวใช้ตลอด
๔)มาตาภริยา มีเมียดีเหมือนแม่ ที่หลับ ที่อยู่ ที่นอน ที่กิน จัดหาให้หมด ไม่ต้องร้อนใจเลย
๕)ภคินีภริยา มีเมียเหมือนน้องสาว อ้อนวันยันค่ำเลย จะเอาอะไรก็ต้องหามาให้
๖)สขีภริยา มีเมียเหมือนเพื่อน ถ้าเมาก็กอดคอกันเมาเลย ถ้าหากทำบุญก็เข้าวัดพร้อมกัน
๗)ทาสีภริยา มีเมียเหมือนกับทาส ยอมให้ผัวใช้ทุกอย่าง"

เถรี
28-04-2010, 10:24
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ดังนี้

"พระราหูเป็นพระโพธิสัตว์ จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามว่า นารทะ ในภัทรกัปหน้า เพราะภัทรกัปนี้องค์สุดท้าย คือ องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย

ช่วงนี้เป็นช่วงที่นาทีทอง แจกแล้วแจกอีก แถมแล้วแถมอีก เพราะการเกิดของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องที่ยากมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นสูญญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้า) อย่างพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า ทีปังกร พอพระองค์ท่านปรินิพพานไปแล้ว อีก ๑ อสงไขยกัป จึงได้มีพระพุทธเจ้านามว่า โกณฑัญญะ ขึ้นมา

คราวนี้กัปที่มีพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า กัปอันเป็นมงคล มี
สารกัป จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๑ องค์
มัณฑกัป จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๒ องค์
วรกัป มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๓ องค์
สารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๔ องค์
ภัทรกัป มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๕ องค์

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มี ๒ ภัทรกัปติดกัน หาไม่ได้อีกแล้ว ถึงหาได้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเกิดอีกนานเท่าไร ภัทรกัปนี้องค์สุดท้ายคือ พระศรีอริยเมตไตรย ภัทรกัปหน้าองค์ต้น คือ พระราม"

เถรี
28-04-2010, 10:43
"เขาผูกเป็นบาลีว่า เมตเตยยา เมตเตยโยนามะ เมตไตรยจะเกิดเป็นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย

ราโม จะ รามะสัมพุทโธ พระรามที่รบกับทศกัณฑ์ จะเกิดเป็นสมเด็จพระรามะสัมมาสัมพุทธเจ้า

โกสะโล ธรรมราชา จะ พระเจ้าปเสนทิโกศล เขาเรียก มหาโกศล (ไม่ใช่องค์ที่กล่าวถึงในสมัยพุทธกาล เพราะพระราชาที่ครองแคว้นโกศล ชื่อโกศลทั้งหมดเลย) พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นั้นจะเกิดเป็น สมเด็จพระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า

มาระมาโร ธัมมะสามี พระยามาราธิราช จะเกิดเป็น สมเด็จพระพุทธธัมมะสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทีฆะชังฆี จะ นาระโท อสุรินทราหูจะเกิดเป็น สมเด็จพระพุทธนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า

โสโณ รังสิมุนีตะถา โสณพราหมณ์ เกิดเป็น สมเด็จพระพุทธรังสีมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า

สุภูตะ เทวะเทโว สุภูตมาณพ หลานโตเทยยพราหมณ์ เกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า

โตเทยโย นะระสีหะโก โตเทยยพราหมณ์ เกิดเป็นสมเด็จพระพุทธนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธะนะปาโล ติสโสนามะ ช้างธนบาล(นาฬาคิรี) ที่เขาจะปล่อยไปจะให้เหยียบพระพุทธเจ้า จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปาลิเลยยะ สุมังคะโล ช้างปาลิไลยกะ จะเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า

เอเตทะสะพุทธานามะ ภะวิสสันติ อนาคเต กาเล นี่เป็นนามของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาล

แต่เรามาไล่ดู จากพระศรีอาริยเมตไตรยลงไป จนกระทั่งถึงช้างปาลิไลยกะ เราต้องการแค่ ๖ พระองค์ แต่ตอนนี้มีถึง ๑๐ พระองค์ ก็แปลว่า จะต้องมี ๔ พระองค์ที่ต้องลา

ตอนนี้ที่เรามั่นใจแน่ ๆ ก็คือ พระยามาราธิราชไปนิพพานแล้ว โตเทยยพราหมณ์ท่านก็ยังนอนสบายอยู่ข้างล่าง"

เถรี
28-04-2010, 11:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในสถานการณ์แบบนี้ เรื่องของสติสัมปชัญญะสำคัญที่สุด ขาดสติเมื่อไร อาจจะทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อคนหมู่มากได้ และในขณะเดียวกัน ถ้าหากเราสังเกต อย่างในสามก๊ก พอถึงเวลาจะรบกันจะต้องมีการร้องด่าท้าทาย นั่นคือการยั่วให้โกรธ พอคนเราโกรธก็ขาดสติ"

เถรี
28-04-2010, 12:05
"เราจะเห็นว่า การแตกความสามัคคี ประการแรก ทำให้ศาสนาเศร้าหมอง คนเห็นก็เสื่อมศรัทธา ไหนว่าคุณเป็นคนปฏิบัติธรรม กิเลสยังท่วมหัวอยู่เลย เรื่องแค่นี้ก็ยอมกันไม่ได้

ประการที่สอง ลำบากเดือดร้อนทั้งตัวเองและผู้อื่น ต้องมาตะลอน ๆ ในกรุงเทพฯ เป็นหลายสิบวัน ไม่รู้จะเข้าห้องน้ำห้องส้วมที่ไหน ไม่รู้จะอยู่จะกินอย่างไร ทำให้รถติด เดือดร้อนคนอื่นเขาด้วย กลายเป็นว่าก่อให้เกิดโทษทั้งนั้น

ดังนั้น..เรามองในมุมที่ว่า แม้จะเป็นพัฒนาการของประชาธิปไตยก็ตาม แต่ว่าพัฒนาการก็ไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนปกติ เพราะว่า เขาออกมาด้วยแรงกระตุ้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ถูกระดมมา ไม่ใช่ว่าทุกคนคิดเห็นเหมือนกัน แต่ว่าทุกคนมาด้วยผลประโยชน์เดียวกัน แม้ว่าจะเรียกร้องได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

ดังนั้น...ในเรื่องของสติสัมปชัญญะ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าทำอะไรโดยขาดสติ ขาดหลักธรรมของพระพุทธเจ้าในการควบคุม นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนแก่ตัวเองแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนแก่คนหมู่มากได้ และท้ายที่สุด ถ้าเกิดพลังเงียบกลายเป็นพลังเสียงดังขึ้นมา ดีไม่ดีบางท่านอาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่ คนไทยเราลืมง่ายก็จริง แต่ตอนโกรธเราโกรธแรง กว่าจะลืมก็อาจจะเผลอเหยียบแบนไปแล้ว..!"

เถรี
28-04-2010, 13:57
พระอาจารย์ท่องกลอนของ หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ให้ฟัง

ท่านเขียนไว้บนกระดานดำ ลายมือแบบอาลักษณ์เลย

"เราเนาว์สราญสุข................นิรทุกข์เกษมศานต์
เฉกเช่นลดาวัลย์.................สะพรั่งติด ณ แผ่นผา
ความครุ่นและกำหนัด............ก็สลัดไม่นำพา
วิเวกและเอกา....................ดุจทิพย์ที่ลอยลม
ผิว์แม้นจักลอยล่อง...............ก็มิต้องอาลัยสม
บ่คิด บ่ปรารมภ์....................บ่มิห่วงอาลัยมี
สถิตย์เหนือ ณ อาสน์เอี่ยม.....กระจ่างเยี่ยมจรัสศรี
ครั้นรัตติกาลมี....................ศศิส่อง ณ แนวไพร
แม้พาหิรชน.......................จราจลและบรรลัย
เรามั่นสถิตย์ใน...................สุขธรรม บ่มิคลอน
แม้นใครมาพบเรา...............ก็จุ่งเนาว์จะสั่งสอน
ชี้ทางอันบวร.....................เสถียรสุขนิรันดร์เทอญ"

เถรี
28-04-2010, 14:13
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า อย่าไปรับข้าวปลาอาหารจากคนชั่ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะอ้างว่ามีบุญคุณกับเรา ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมเลี้ยง เราก็อยู่ด้วยธรรมปีติก็หมดเรื่อง"

เถรี
28-04-2010, 14:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้นอันตรายเท่ากันทุกอย่าง เพียงแต่ว่าใครจะชอบอย่างไหนมากกว่า ชอบอย่างไหนมากอย่างนั้นก็เป็นอันตรายแก่ตนเอง"

เถรี
28-04-2010, 14:25
มีคนนำหนังสือเล่มหนึ่งมาถวายพระอาจารย์ ปรากฏว่าเนื้อหาในหนังสือ คือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า แต่หน้าปกหนังสือเป็นชื่อเรื่องอีกอย่างหนึ่ง พระอาจารย์จึงบอกว่า "ชื่อเรื่องที่ครูบาอาจารย์ท่านตั้งไว้ ไม่ควรเปลี่ยน ยกเว้นว่าท่านจะเปลี่ยนเอง"

เถรี
28-04-2010, 16:23
ถาม : คำว่ามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ: กรรมเหล่านั้นจะชักนำเราไป หาบุคคลที่มีกรรมเหมือน ๆ กัน หรือมีกรรมเนื่องกันมา

ถาม: ถ้าเราไปอยู่สภาพแวดล้อมที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนแนวสุกขวิปัสสโก เราก็..?
ตอบ : ปฏิบัติไป ถ้าปฏิบัติถึงจริง ๆ และตัวเองมีพื้นฐานเดิมมาจากอภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณ ถึงเวลาก็จะปรากฏ ไม่ต้องเสียเวลาไปเปลี่ยน จะสุกขวิปัสสโกเราก็วิปัสสโกตามเขาไป พอกำลังถึง ของเดิมก็จะมา

ถาม : ท่านให้ทิ้งนิมิต ทิ้งทุกอย่างด้วยซ้ำ
ตอบ : ถ้ามั่นใจเราก็ว่าของเราไป ถึงเวลาท่านว่าอย่างไรก็เรื่องของท่าน

ถาม : แล้วอย่างนั้นไม่เป็นการปรามาสท่านหรือครับ ?
ตอบ : ทำในสิ่งที่ถูก จะเป็นการปรามาสได้อย่างไร ?

เถรี
28-04-2010, 19:46
พระอาจารย์เล่าเรื่องอาจารย์ยกทรง ให้ฟังว่า "มีเรื่องตลกก็คือ ประมาณปี ๒๕๒๓ อาจารย์ยกทรงมากราบหลวงพ่อครั้งแรกที่บ้านสายลม
หลวงพ่อก็ถามว่า "โยมชื่ออะไรจ๊ะ ?"
"วีระครับ" พวกก็ฮากันตรึม เพราะชื่อตรงกับหลวงพ่อ
หลวงพ่อถามต่ออีกว่า "แล้วแม่บ้านล่ะ ?"
"แม่บ้านชื่อประภาศรีครับ" ยิ่งฮาเข้าไปใหญ่
ท่านบอกว่า "ไอ้นี่ขโมยทั้งผัวทั้งเมีย ชื่อแม่มันก็เอา ชื่อพ่อมันก็เอา มันเอาหมดเลย"

ก่อนหน้านี้ตรงสยามพารากอน ยังไม่โดนเวนคืน อาจารย์ยกทรงเปิดร้านอยู่ตรงนั้น จริง ๆ อาจารย์ยกทรงชื่อ วีระ งามขำ แต่เขาเปิดร้านตัดยกทรง ชื่อร้านเงิน เงิน เงิน พูดง่าย ๆ ว่าขนาดจะไม่ได้มาตรฐานหรือเกินมาตรฐานอย่างไร ถ้าไปที่นั่นแล้วจะได้ขนาดที่พอเหมาะกับตนเอง

อาจารย์ยกทรงก็มาปรารภว่า "ผมบวชมากว่ายี่สิบพรรษา ดันทะลึ่งสึกมาตัดยกทรงขาย" เพราะว่าแม่บ้านเขาเรียนเรื่องนี้มา สมัยก่อนคนที่มีอาชีพตัดเสื้อผ้า ถ้าหากยังไม่สามารถตัดยกทรงผู้หญิงได้ ก็เท่ากับว่าฝีมือยังไม่ถึง เพราะการตัดยกทรงนั้นยากที่สุด

พอโดนเวนคืนเพื่อเอาที่ไปสร้างสยามพารากอน ท่านยกทรงของเราก็เลยไปอยู่วัดแทน แล้วก็ตายในวัด สมกับเป็นนักปฏิบัติ ด้วยความที่บวชมามาก เคยเป็นนักเทศน์มา ท่านสามารถที่จะถามหลวงพ่อแล้วใส่ลูกเล่นให้โยมเขาชอบฟังกันได้ แต่ท่านบอกว่า เลิกถามทีไรก็เหงื่อหยดทุกที ต้องเข้าไปกราบขอขมาหลวงพ่อทุกครั้ง เพราะเกรงว่าจะเป็นโทษแก่ตัวเอง แต่คนทั่ว ๆ ไปที่เขาไม่รู้ ว่าอาจารย์ยกทรงต้องไปกราบขอขมาหลวงพ่อทุกครั้ง ก็ไปตำหนิเข้าว่าท่านลามปาม

คนรุ่นเก่า ๆ ก็ล่วงลับไปเรื่อย รุ่นลายครามนาน ๆ ก็โผล่มาที่นี่ที ไม่ใช่เขาไม่รู้จักมานะ แต่มาไม่ไหวแล้วต่างหาก..!"

เถรี
29-04-2010, 10:36
พระอาจารย์บอกว่า "ก่อนจะหยิบเงินใช้ก็ว่าคาถาเงินล้านจบหนึ่งก่อน จะทำบุญก็ว่าอีกจบหนึ่ง เจตนาที่ให้ทำแบบนั้น ก็เพื่อต้องการให้ทรงฌานในอารมณ์ของคาถาเงินล้าน ถ้าทำจนชิน ถึงเวลาต้องว่าคาถา...ถึงเวลาต้องว่าคาถา จิตจะเป็นฌานไปเอง ถ้าหากว่าทรงฌานได้ผลก็จะเกิดมาก"

เถรี
29-04-2010, 10:55
ถาม : พระที่เข้าปริวาสอยู่ จะบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ากำลังเข้าปริวาสอยู่ บรรลุไม่ได้ เพราะศีลไม่บริสุทธิ์ เขาถือว่ายังไม่ใช่พระด้วยซ้ำไป..! ต้องอยู่ปริวาสจนครบถ้วนตามเวลา แล้วคณะสงฆ์ ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ จึงถือว่ากลับมาเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง

เถรี
29-04-2010, 12:15
พระอาจารย์สอนพี่คนหนึ่งว่า "ถ้าเราภาวนาและทรงฌานให้คล่อง จะไม่รู้สึกอยากกิน ถ้าอารมณ์ใจอยู่กับการภาวนา อยู่กับฌานสมาบัติ พวกอาการต่าง ๆ ทางร่างกาย เราแทบไม่รับรู้เลย"

เถรี
29-04-2010, 13:46
พระอาจารย์บอกว่า "เรื่องการจองวัตถุมงคล ถ้าเราส่งถึงมือเขาเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่คนจ่ายเงินไปแล้ว ก็ร้อนใจ อยากได้เร็ว ๆ"

เถรี
29-04-2010, 15:22
พระอาจารย์เล่าเรื่อง ธรรมบาลกุมารให้ฟังว่า "ธรรมบาลกุมารไปเรียนวิชาแล้วเก่งกว่าใครเพื่อน สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง ท้าวกบิลพรหมก็เลยอยากประกาศความดี โดยไปท้าพนันว่า ถ้าหากธรรมบาลกุมารตอบคำถาม ๓ ข้อได้ ก็จะยอมตัดเศียรถวายบูชาความดี แต่ถ้าธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ก็จะเอาศีรษะธรรมบาล

สรุปว่า ธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ก็เลยหนี ตั้งใจว่าไปตายในป่าดีกว่า ขณะที่ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นตาล นกอินทรีสองผัวเมียก็คุยกัน และธรรมบาลกุมารก็รู้ภาษานก

นกตัวเมียถามนกตัวผู้ว่า "พรุ่งนี้พี่จะไปหากินทางทิศใด ?" นกตัวผู้ก็ตอบว่า "ไปไม่ไกลหรอก พรุ่งนี้เขาจะประหารธรรมบาลกุมาร เราก็จะได้กินกัน" นกตัวเมียเลยสงสัยว่ามีเรื่องอะไร นกตัวผู้จึงบอกว่า "ท้าวกบิลพรหมท้าพนันธรรมบาลกุมารให้ตอบคำถามว่า ตอนเช้าสิริอยู่ที่ไหน กลางวันสิริอยู่ที่ไหน ตอนค่ำสิริอยู่ที่ไหน ถ้าหากภายใน ๗ วัน ธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ก็จะต้องตาย"

นกตัวเมียเลยถามว่า "แล้วพี่รู้ไหม ?" นกตัวผู้ก็บอกว่ารู้ พร้อมกับเฉลยว่า "ตอนเช้าสิริอยู่ที่ใบหน้า คนเราตื่นมาก็เลยต้องล้างหน้า ตอนกลางวันสิริอยู่ที่หน้าอก ก็เลยต้องอาบน้ำและใช้ของหอมประพรมอก ตอนค่ำสิริอยู่ที่เท้า ก่อนนอนก็ต้องล้างเท้า"

เรื่องนี้แหละที่เป็นศัพท์ของคำว่า "นกรู้" เพราะคนไม่รู้แต่นกรู้ ก็เลยสรุปว่า นกอดกินเพราะนกดันรู้ แต่นกไม่รู้ว่าธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นไม้

วันต่อมา ธรรมบาลกุมารก็เลยตอบคำถามของท้าวกบิลพรหมได้ ท้าวกบิลพรหมจึงตัดเศียรให้ แต่ท่านไม่ตายเพราะเป็นพรหม"

เถรี
29-04-2010, 15:51
"พอระยะหลังคติพราหมณ์เข้ามาปนเยอะ ก็เลยกลายเป็นว่าท้าวกบิลพรหมมีธิดาอยู่ ๗ องค์ ซึ่งจริง ๆ แล้วพรหมท่านอยู่คนเดียว จะมีลูกได้อย่างไร ?

นอกจากนั้น ยังมีตำนานว่าเศียรของท้าวกบิลพรหม ถ้าตกลงสู่พื้นดินจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ถ้าตกลงสู่มหาสมุทรน้ำก็จะเหือดแห้งหมด ถ้าโยนขึ้นไปในอากาศฝนฟ้าก็จะแล้ง ก็เลยต้องให้ธิดาเอาพานมารองรับ และไปแห่รอบเขาพระสุเมรุ ๑ รอบจักรราศี ก็คือ ๑ รอบที่ดวงอาทิตย์โคจรครบ ซึ่งวันที่ครบก็เป็นวันที่พระอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษพอดี คนไทยสมัยโบราณจึงกำหนดให้เป็นวันสงกรานต์"

เถรี
29-04-2010, 16:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะว่าไปแล้วศาสนาพราหมณ์ฮินดูเข้ามาในประเทศไทยก่อนศาสนาพุทธเสียอีก ในสมัยแรก ๆ คนไทยเรานับถือผีเป็นปกติ พอพราหมณ์เข้ามาก็ถือพราหมณ์ พอพุทธเข้ามาก็ถือพุทธ ศาสนาพราหมณ์ก็คิดว่าคนไทยน่าจะเหมือนคนอินเดีย ก็คือ ถ้าเข้าถึงกษัตริย์หรือผู้ปกครองได้ ก็แปลว่าทั้งหมดจะต้องถือศาสนาพราหมณ์ด้วย..แต่ไม่ใช่

ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ศาสนาพราหมณ์เข้าหาราชสำนักมาตลอด แต่มีศาสนิกอยู่แค่หยิบมือเดียว เพราะว่าศาสนาพราหมณ์ก็รักสงบเหมือนพุทธของเรา ไม่ได้ใช้อำนาจบีบบังคับให้คนมานับถือ"

เถรี
29-04-2010, 16:42
ถาม : เราจะพิจารณาได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เราคิดเป็นการคิดที่ละเอียดขึ้น หรือว่าเป็นการคิดมากในทำนองที่ว่า เรื่องที่ไม่น่าลงนรกก็หาเรื่องลงนรกเอง

ตอบ : ดูว่าอะไรที่ทำให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ สงบลง ก็เป็นการใช้ปัญญาคิด
อะไรที่ทำให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะเจริญขึ้น ก็หาเรื่องลงนรก

เถรี
29-04-2010, 16:43
ถาม : การใช้ทรายเสกหว่านรอบบ้าน ในกรณีที่บ้านเป็นบ้านแฝด คือมีผนังด้านหนึ่งติดกับบ้านข้าง ๆ เราจะหว่านทรายเสกอย่างไรครับ ?
ตอบ : วงในบ้านเลย

ถาม : ทั้งสองชั้นเลยหรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ ใช้ชั้นเดียวก็ได้

เถรี
29-04-2010, 17:32
ถาม : การที่เรากระตุ้นให้เด็กอายุประมาณ ๘ - ๙ ขวบ ค่อย ๆ ลำดับชีวิตประจำวันของตัวเอง ตั้งแต่เช้าว่าเขาทำอะไร จะช่วยเขาฝึกในเรื่องทิพพจักขุญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : อันนี้เป็นการฝึกอตีตังสญาณ ถ้าหากคล่อง ๆ แล้ว ก็ย้อนไปเมื่อวาน..เมื่อวานซืน..สามวันที่แล้ว..ห้าวันที่แล้ว..อาทิตย์ที่แล้ว...เดือนที่แล้ว...ปีที่แล้ว..ท้ายสุดจะเป็นชาติที่แล้ว จะต้องซ้อมบ่อย ๆ ถึงจะคล่องตัว

เถรี
29-04-2010, 17:39
ถาม : ถ้าคนแต่งหนังสือเขาเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับฤทธิ์อภิญญาได้ แสดงว่าเขาสามารถทำอภิญญาได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากพื้นฐานเดิมเขาไม่มี ก็อธิบายรายละเอียดไม่ได้ จะได้แต่เปลือกเท่านั้น

เถรี
29-04-2010, 17:42
ถาม : การนึกถึงพ่อแม่จัดเป็นเทวตานุสติหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่เป็น ยกเว้นว่าพ่อแม่ของคุณตายไป แล้วเป็นพรหมเทวดาอยู่ข้างบน

เถรี
29-04-2010, 17:56
ถาม : ทำบุญแล้วกลัวอดน้ำ ก็เลยต้องถวายน้ำมาด้วย
ตอบ : ถามว่าดีไหม..ก็ดี ถ้าคิดจะไปกิน

ปกติแล้วพรหม เทวดา นางฟ้า เขาอยู่ด้วยความเป็นทิพย์ ไม่ต้องกินอาหาร แต่คราวนี้มีอยู่เขตหนึ่ง ชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช เป็นเขตที่จะลงไปตำหนักพระยายมราช ในบริเวณนั้นบรรดาท่านทั้งหลายที่ยังละอุปาทานความเป็นมนุษย์ไม่ได้ ก็จะไปอยู่แถวนั้น จะต้องมีบ้านอยู่ มีน้ำกิน มีอาหาร ระยะหลังมีเจเจพลาซ่าอยู่ด้วย ไปช็อปปิ้งกันระเบิดเถิดเทิง ไปซื้อข้าวของเหมือนกับโลกมนุษย์

แต่พออยู่ไปประมาณ ๗ - ๘ วัน ท่านที่สร้างบุญเอาไว้ดี ก็จะรู้ตัวว่าเราไม่ใช่มนุษย์แล้ว มีความเป็นทิพย์ เป็นพรหมเทวดา ไม่ต้องไปกินไปใช้อย่างนั้นแล้ว ก็จะตรงไปยังวิมานของตนเองและไปเสวยความเป็นทิพย์

จึงได้บอกว่า ถ้าคิดว่าจะกินน้ำก็ถวายมา ถ้าไม่คิดว่าจะกิน ตรงไปเลย ไม่ต้องถวายก็ได้ แต่ว่าป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เผื่ออยู่ตรงนั้นนานไปหน่อยจะได้มีกิน

เถรี
29-04-2010, 18:00
:msn_smilies-11::msn_smilies-11: เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ ขอทิ้งท้ายเดือนนี้ด้วยเรื่องฮา ๆ

ถาม : เอารูปท่านแม่มาให้หลวงพี่อธิษฐานจิตให้
ตอบ : เดี๋ยวจะยันให้หงายท้องลงไปตรงนั้นแหละ..! เข้าเสาร์ห้ามาแล้วจะยังเอามาให้อธิษฐานอีก
-----------------------------------

ถาม : ช่วยอวยพรวันเกิดหน่อยสิครับ
ตอบ : Happy Birthday to you..!