PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓


เถรี
08-02-2010, 21:27
ถาม : บูชาพระที่ไม่ได้ปลุกเสก นี่มีผลเทียบเท่า..
ตอบ : มีจ้ะ ถ้าหากเป็นพระพุทธรูป สร้างขึ้นมาก็มีเทวดารักษาแล้ว

ถาม : ถ้าเป็นพระเครื่อง
ตอบ : สำหรับพระเครื่องนั้น จุดมุ่งหมายใหญ่อย่างหนึ่งของการพกติดตัว ก็คือตัดเคราะห์ให้แก่คนที่บูชา เพราะฉะนั้น..พระเครื่องต้องมีพิธีการปลุกเสกเต็มพิธี แต่ถ้าเป็นพระพุทธรูปสามารถพกได้เลย นึกถึงพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้เหมือนกัน

เถรี
08-02-2010, 21:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าลืมนะ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาครั้งแรก โอวาทปาฏิโมกข์ขึ้นประโยคแรกเลยว่า ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ประกาศไว้ชัดเลย ขันติ ความอดทนอดกลั้น เป็นเครื่องประดับอย่างยิ่งของนักปราชญ์ หมายความว่า จะประสบความสำเร็จในชีวิต ตลอดจนการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ได้ ต้องมีความอดทน

ในเมื่อพ่อใหญ่ประกาศอย่างนั้น ถ้าเราไม่มีความอดทนจะหาความสำเร็จได้ยาก โบราณจึงใช้คำว่า ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ"

เถรี
08-02-2010, 21:39
สำหรับเรื่องหวยนั้น จะมีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง คาดว่าคงเป็นพวกร้านก๋วยเตี๋ยวข้างล่าง มักถูกหวยเป็นประจำ เถรีเห็นเขามาทำบุญอยู่แทบทุกเดือน เดือนนี้เขาก็มาทำบุญอีก

พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "โยมพวกนี้เขาแปลกมาก ต้องบอกว่าเขามีลาภทางด้านนี้โดยเฉพาะ กำหนดการรับสังฆทาน เขาเอาไปเล่นหวยและถูกได้ทุกงวด ตลกจริง ๆ เลย งวดที่แล้วหวยออก ๒๑๓ ก็ถูกกันไปตาม ๆ กัน

พอเรามาที่นี่ เขาก็มาทำบุญกัน เราติดกำหนดสังฆทานไว้ เขาเฮได้ทุกครั้ง ก็ถามว่าเฮไปทำไม เขาบอกว่า เอาไปเล่นหวยแล้วถูก

แต่ของพวกนี้ต้องมีบุญเก่าเสริมนะ ถ้าไม่มีบุญเก่าเสริม เราไปดูเราไม่รู้หรอก แต่พอเขาไปดู เห็นว่าน่าออก เขาก็เลยเล่นแล้วก็ถูก"

เถรี
08-02-2010, 21:45
ถาม : ขอกราบเรียนพระอาจารย์ มีอยู่ ๒ - ๓ ครั้ง ท้าวสักกเทวราชท่านมาเข้าฝันผม ท่านบอกผมให้หยิบล็อตเตอรี่ หยิบเสร็จให้ไปทำบุญวัดนั้นวัดนี้ ด้วยจุดประสงค์นั้น จุดประสงค์นี้ พอไปถึงจริง ๆ เจ้าอาวาสวัดนั้นถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าวันนี้กำลังจะส่งพระไปโรงพยาบาล ผมบอกว่าไม่รู้หรอก แต่ท้าวสักกะท่านสั่งมา สั่งให้ไปหยิบล็อตเตอรี่ ครั้งเดียวก็ถูกเลย ผมก็ยังงง ๆ อยู่

ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ทำเถอะ แบบนั้นถือว่าบังเอิญจนน่าเกลียดก็แล้วกัน..!

เถรี
08-02-2010, 22:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคของ วิชชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากวิชาการต่าง ๆ สร้างเสริมขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้สองพันกว่าปี มีชัดเจนในยุคเรานี้ ยุคอื่น ๆ ก็ยังไม่ใช่

สมัยก่อนต้องได้อภิญญา สมัยนี้ไม่ต้อง ไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลก แค่กดปุ่มก็เห็นหน้ากันแล้ว จะคุยกันก็ได้ยินเสียงถึงกัน เหล็กหนักเป็นร้อย ๆ ตัน เอาไปลอยน้ำ ไปลอยบนฟ้าได้ กลายเป็นว่าวิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวหน้าไปใหญ่ จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ท่านบอกกล่าวล่วงหน้าไว้หมดทุกอย่าง

สองพันกว่าปีก่อน ใครจะมีปัญญาไปดูว่า เด็กที่อยู่ในครรภ์ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ หน้าตาเป็นอย่างไร ? พระพุทธเจ้าบอกรายละเอียดไว้เลย ตั้งแต่สัปดาห์แรกลักษณะเป็นอย่างไร มีความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร บอกไว้หมด สมัยนี้พอไปศึกษาแล้วรู้เห็นตามนั้น กลายเป็นว่าเขามาสงสัยอีก ว่าพระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร ?

ต้องดูในอินทกสูตร ยักษ์ชื่ออินทกะ อาศัยอยู่บนยอดเขาชื่ออินทกะ เลยเรียกว่าอินทกสูตร ยักษ์ไปหาพระพุทธเจ้าแล้วก็สอบถาม พระพุทธเจ้าท่านบอกรายละเอียดไว้หมดเลย ตั้งแต่เริ่มเป็นกลละ ขึ้นเป็นอัพพุททะ เป็นเปสิ เป็นฆนะ ฯลฯ ไล่ไปเรื่อย"

ถาม : เดี๋ยวนี้ในหนังสือเรียนอย่างเรื่องไตรภูมิ เขาไม่ได้ระบุไว้ ว่าแท้จริงแล้วมีเนื้อหามาจากพระไตรปิฎก ส่วนมากเขามักจะไม่เชื่อกัน กลายเป็นเรื่องตลกหัวเราะกัน
ตอบ : แทนที่จะพิสูจน์ทราบ ก็กลายเป็นเห็นว่าเหลวไหลแล้วไม่เชื่อ จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของคนขาดปัญญา ขาดปัญญาไม่พอ ความใฝ่รู้ก็ไม่มีด้วย

กำลังรออยู่ว่าเมื่อไรจะถึงยุคเมทริกซ์เสียที ที่คนอยากรู้เรื่องอะไรก็เสียบปลั๊กโหลดข้อมูลเลย เสียบกับหัวของเรา รู้สึกสยอง ๆ พิกล ว่าจะถูก
ก็อปปี้ข้อมูลไปเมื่อไร

เถรี
08-02-2010, 23:57
ถาม : การพิจารณาว่าร่างกายเป็นแค่ธาตุสี่ กับพิจารณาว่าร่างกายเป็นของสกปรก จริง ๆ แล้วการพิจารณาธาตุสี่ นี่ระดับสูงกว่าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเห็นจริง จะไปจบลงที่ปล่อยวาง เพราะเห็นชัดว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ก็ต้องสูงกว่า แต่ถ้าเห็นว่าสกปรก กำลังยังไม่เกินพระอนาคามี

ถาม : ช่วงสมัยเด็ก ๆ หนูนั่งมองมือตัวเอง มือก็วางนิ่ง ๆ อยู่ แล้วเกิดความรู้สึกว่า มือนี้ไม่ใช่มือเรา มันเป็นท่อน ๆ เป็นอะไรก็ไม่รู้ ก็เป็นลักษณะของธาตุสี่เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : น่าจะมีของเก่าตามมา เห็นว่าเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะบอกว่าเป็นธาตุสี่ก็ยังไม่ใช่ แต่เห็นว่าไม่ใช่ของเรา

ถาม : แต่พอพิจารณาไปจริง ๆ มันกลับไม่มีอารมณ์ให้เกิดขึ้นค่ะ มันเกิดแบบฟลุก ๆ อย่างไรก็ไม่ทราบ
ตอบ : เหมือนกับพระราชาที่ไปเลียบพระนครแล้วก็เช็ดเหงื่อทีหนึ่ง บังเอิญคิดได้ตอนนั้น

ถาม : เร็ว ๆ นี้ หนูนอนภาวนาหลับไป ปรากฏว่าใจไม่หลับ ก็ฟลุกอีกแล้วค่ะ
ตอบ : ฟลุกอีกแล้ว ก็ทำใหม่สิ..!

ถาม : ได้ทีเดียวเอง
ตอบ : ถ้าสั่งได้จะได้เลิกฟลุก ถ้าสั่งไม่ได้ก็ยังฟลุกอยู่นั่นแหละ

ถาม : พอได้แค่นั้นก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ก็คืออยู่เฉย ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แต่กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ แล้วพยายามสังเกตอารมณ์ใจว่า จุดที่นิ่งอยู่แล้วรู้ได้ทั้ง ๆ ที่หลับเป็นอย่างไร แล้วรักษาเอาไว้ตรงนั้น ถ้าหากเราคลายนิดเดียว สติขาดจะหลับไปเลย แต่ถ้าหากรักษาระดับนั้นเอาไว้ได้ ต่อไปจะหลับจะตื่น กำลังใจจะเท่ากัน

ถาม : หนูสังเกตว่า จริง ๆ แล้ว คล้าย ๆ กับตอนภาวนาแล้วหลุดออกไปใช่ไหมคะ เพียงแต่ตอนนั้นหลุดจากร่างกาย อันนี้อยู่กับร่างกาย
ตอบ : จ้ะ

ถาม : สมัยก่อนเวลาที่มีความคิดที่เน่า ๆ เศร้า ๆ หนูจะลงไปมั่วกับมัน แล้วไร้ทางสู้เลยค่ะ แต่หลัง ๆ เริ่มบังคับได้แล้ว พอมันมาก็หันหน้าหนีได้ แต่หนูมีความรู้สึกว่า ลักษณะแบบนี้ ก็ยังอยู่ในระดับปุถุชนอยู่
ตอบ : อันดับแรกก็คือ ต้องหยุดให้ได้ ตัวหยุดให้ได้ก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้เราไม่ไปคิดนึกปรุงแต่ง ตาเห็นต้องหยุดอยู่แค่นั้น หูได้ยินเสียงต้องหยุดอยู่แค่นั้น

เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ ต้องอยู่กับสมาธิภาวนา ถ้าอยู่กับสมาธิภาวนา เราไม่คลายออกมา กระทบปุ๊บ สติและปัญญาเราจะรู้รอบเลยว่า ควรจะรับไว้หรือไม่ควรจะรับไว้ ถ้าควรจะรับไว้ มีความสนใจระดับไหน จะขยายออกรับรู้แค่นั้น แล้วก็รีบหลบกลับมา แต่ถ้าหากไม่ควรจะรับไว้ ก็ตัดทิ้งปล่อยไปเลย ก็แค่ประเภทสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน

ไปเริ่มต้นใหม่ได้ คราวนี้เหลืออยู่ตรงสมาธิแล้ว ถ้าสมาธิทรงตัวมาก ปัญญาก็เกิด แล้วก็จะรู้ว่าควรจะเลือกตรงไหน

เถรี
08-02-2010, 23:59
พระอาจารย์กล่าวถึงเนื้อเมฆสิทธิ์และเมฆพัดว่า "ถ้าหากว่าแก่ทองจะเป็นเมฆสิทธิ์ ถ้าแก่เงินจะเป็นเมฆพัด

พัดตัวนี้จริง ๆ มันต้องเป็น ภัสร์ (ภัสร = สว่างรุ่งเรือง) เมฆภัสร์ ก็คือ รุ่งเรืองเหมือนเมฆ เมฆสิทธิ์ ก็คือ สำเร็จเป็นดังเมฆ แต่คนเขียนเป็นพัด แล้วก็ใช้คำนี้มาตลอด"

เถรี
09-02-2010, 00:04
ถาม : หนูไปเห็นตัวสังขาร การปรุงแต่ง ทีนี้เห็นในลักษณะแยกออกไปว่า มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หนูก็เลยสงสัยว่า ตัวสังขารเกิดขึ้นเป็นปกติหรือเปล่า?
ตอบ : สังขารจะเกิดขึ้นก็เพราะว่าอาศัยตัวอื่น คือ อายตนะภายในและภายนอก ส่วนใดส่วนหนึ่ง พอกระทบกันแล้ว รับเข้ามา มันถึงอาศัยตัวนั้นปรุงต่อไปได้ คราวนี้เราเห็นในลักษณะอย่างนั้น เราเห็นหรือเปล่าว่ามันเกิดอย่างไร ถ้าเราเห็นว่าเกิดอย่างไรก็ตัดตั้งแต่ตรงนั้น ฉะนั้น..ไปดูตรงนั้นให้ละเอียด

ถาม : ตรงที่บอกว่าหยุดการปรุงแต่งนี่ก็คือ..?
ตอบ : นั่นแหละ ..คำตอบเดียวกัน

ถาม : เวทนาหนูก็เห็นด้วยเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตรงนี้..?
ตอบ : เหมือนกันหมด

ถาม : ตรงนี้ใช่ไหมคะ ? ที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเรา
ตอบ : ก็มันใช่เสียที่ไหนเล่า ? มีแต่พาเราทุกข์อยู่ตลอด

ถาม : ทีนี้หนูก็ไปเห็นตัวตัณหาอีกด้วยเหมือนกัน ว่าอยากหรือไม่อยาก มันก็นำมาซึ่งความทุกข์ แล้วทีนี้อารมณ์ที่ไม่ใช่ทั้งอยากและไม่อยาก คือ อารมณ์ที่อยู่กับปัจจุบันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่..ถ้าอยู่กับปัจจุบันได้ ไม่ไปปรุงแต่ง ทุกอย่างก็จบ

ถาม : หนูไปลองฟังเพลงมาแล้วค่ะ...
ตอบ : เจ๊ง..ไม่เหลือหรอก อาตมาลองมาแล้ว ขนาดทรงฌานเจ๋ง ๆ เลย เผลอหน่อยเดียวก็ไหลตามแล้ว

ถาม : แล้วก็ไปลองเรื่องกลิ่นด้วยค่ะ เอาอาหารที่ชอบใจมาดักล่อหน้าไว้เลย
ตอบ : ความคล่องตัวของเรายังไม่พอ ในเมื่อความคล่องตัวยังไม่พอ ก็จะเผลอ โดยเฉพาะเผลอให้ตัวสังขาร จำไว้แม่น ๆ นะ โอ๊ย..เนื้อร้องบรรยายถึงอย่างนั้น เผลอไปปรุงตามเรียบร้อยเลย ส่วนอาหาร กลิ่นอย่างนี้เราเคยกินมาก่อน รสชาติเป็นอย่างนี้ เสร็จมัน..! ฉะนั้น..อย่าไปเผลอ อาตมาสรุปว่าขันธ์ ๕ ตัวที่แสบที่สุดก็คือสังขารนี่แหละ...

เถรี
09-02-2010, 00:15
ถาม : เวลาที่เราเห็นกิเลส แล้วเราไม่เข้าไปเล่นกับกิเลสตรงนั้น หนูอยากทราบว่า ณ ช่วงเวลานั้นเราควรทำอย่างไร ควรหาอาวุธมาตัดเลย หรือควรสักแต่ดูเฉย ๆ
ตอบ : สามารถพิจารณาให้เห็น ตัดได้เลยยิ่งดี แต่ถ้าไม่ไหวก็ประเภทยืนคุมเชิงไว้

ถาม : แต่ถ้าเป็นในกรณีเบนความสนใจไปทำอย่างอื่น
ตอบ : ได้ แต่ว่าอย่าเผลอ เผลอเมื่อไรเดี๋ยวถูกกินอีก

ถาม : หนูเห็นว่า ตัวอายตนะเป็นช่องทางให้กิเลสเข้า ตอนช่วงที่กิเลสเข้า เท่ากับว่าเราไปปรุงแต่งแล้ว วิธีที่จะหยุดก็คือมีสติอยู่กับปัจจุบัน แต่ทีนี้ในส่วนที่เราจะละอุปาทาน ที่เราเคยยึดถือมั่นหมายมาก่อน เราก็ต้องหาทางมาพิจารณาละส่วนที่เราถือนั้นด้วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : แรก ๆ จะต้องทำอย่างนั้น แต่ถ้านานไป ๆ กำลังมีมากพอ เราเห็นก็เฉย ๆ ไม่ไปยุ่งกับมันแค่นั้นก็ได้ รู้เท่าทันว่า เอ็งอย่ามายุ่งกับข้า ข้าไม่ไปแตะต้องเอ็ง

ถาม : ก็คือ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่า เราไปละส่วนที่ยึดมั่นถือมั่นในอดีตไปด้วย เพราะเรารู้แล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่

เถรี
09-02-2010, 23:43
สำหรับเรื่องการอดมื้อเย็นนั้น (ถือศีลแปด) พระอาจารย์ได้สอนพี่หยกว่า "สังเกตไหม เราว่าไม่ ๆ แต่ก็แพ้ใจตัวเองทุกที นั่นเกิดจากว่ากำลังใจเราไม่เข้มแข็งพอ ระบบเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย พอถึงเวลามันจะทวง ถ้าเราไม่ให้สักสามสี่ครั้งมันจะปรับระบบใหม่ แต่ช่วงที่มันทวง อาการเราจะแย่ เหมือนจะตาย ปวดหัวปวดท้อง ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ท้ายสุดทนไม่ได้ก็ต้องไปกิน ก็เลยเหมือนกับพวกเสพยาเสพติด แต่ถ้าเราฝืนไปสักสามสี่ครั้ง มันรู้ว่ามันไม่ได้ รู้ว่าตอนช่วงนี้ไม่มีให้กิน เดี๋ยวมันก็เลิกทวง ลองกัดฟันทำดูซิ ถ้าทำได้สำเร็จจะเหมือนเจ๊อ๋า"

พระอาจารย์เล่าให้ฟังต่อว่า "ที่ทองผาภูมิมีโยมอยู่คนหนึ่ง หุ่นเหมือนหยก(อ้วน) เขามาใส่บาตรก็จริง แต่ว่าเขาไม่ได้ใส่บาตรเพื่อเอาบุญเหมือนคนอื่น เขามีแนวความคิดแปลก ๆ เขาบอกว่าเขาใส่บาตรไม่ได้ต้องการบุญ แต่เขาเป็นคนชอบทำกับข้าว ในเมื่อเขาชอบทำกับข้าว ถึงเวลาจะให้คนอื่นเขาชิม แล้วถ้าเกิดเขาไม่หิวเล่า ? เขาก็เลยมาใส่บาตร เพราะเขามั่นใจว่าพระต้องการอาหารของเขาแน่ จึงได้เดินมาถึงหน้าบ้าน จัดเป็นแนวความคิดที่แปลก รู้สึกว่าจะเป็นอุเบกขาในทานแบบฟลุก ๆ เลย"

เถรี
10-02-2010, 02:53
ถาม : การตั้งเครื่องบวงสรวงบูชาในกรณีที่เราลืมแก้บน จำเป็นว่าจะต้องเปิดเทปบวงสรวงไหม ?

ตอบ : ตั้งเครื่องบวงสรวงให้เรียบร้อย จุดธูปแล้วก็เปิดเทป แล้วก็อธิษฐานบอกท่านว่า ทั้งหมดที่ลืมมามีเท่าไร ขออนุญาตใช้ในครั้งนี้

เถรี
10-02-2010, 14:08
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "ทางพม่าเขาจะกำหนดเวลาอรุณไว้เลยว่า แต่ละเดือนจะสว่างช่วงไหน อย่างเร็วที่สุดก็ตีสี่ครึ่ง ช้าที่สุดก็หกโมงครึ่ง เขาจะกำหนดตายตัวเลย

แต่ทางบ้านเราไม่ได้กำหนดตายตัว ให้ดูแสงเงินแสงทองเป็นเกณฑ์ แต่จริง ๆ แสงทองจะมาก่อนแสงเงิน คือ ตอนเช้าฟ้าจะเหลืองขึ้นมาก่อน บางทีก็แดงจับขอบฟ้ามาเลย แต่ถ้าแสงเงินมาเมื่อไรนี่แปลว่าสว่างแล้ว ทีนี้เราไปเรียกว่าแสงเงินแสงทองจึงไม่ถูก เพราะความจริงแสงทองมาก่อนแสงเงิน

ในเมื่อบ้านเราไม่ได้กำหนดเวลาตายตัวเอาไว้ ถ้าเป็นหน้าหนาวหรือฝนฟ้ามา ก็ต้องลุ้นกันแทบตายว่าจะออกบิณฑบาตได้หรือยัง"

เถรี
10-02-2010, 14:24
ถาม : สมมติบัญญัติ ถ้าแปลตามอรรถกถา แปลว่าอะไร ?
ตอบ : แปลว่าสิ่งที่สมมติขึ้นมา เขาสมมติขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงไม่สมมติ..เราก็รู้ แต่เราจะเรียกไม่ถูก

(พระอาจารย์ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา) นี่เขาสมมติเรียกว่าโทรศัพท์ เราจะสมมติเรียกเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่ถ้าไม่เป็นที่ยอมรับ ไปเรียกว่าชามข้าว คนอื่นก็หาว่าบ้า

เขาสมมติขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แล้วถามว่าเป็นความจริงหรือไม่ ?..เป็นจริง..เป็นจริงโดยสมมติ ถึงได้เรียกว่า สมมติสัจจะ แต่ถ้าหากว่าเป็นจริงโดยธรรม เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ

ถ้าเป็นจริงโดยธรรม เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่นว่า ทุกสิ่งอนิจจัง ไม่เที่ยงเป็นปกติ ทุกขัง มีความทุกข์เป็นปกติ อนัตตา ไม่สามารถที่จะยึดถือมั่นหมายให้เป็นตัวเป็นตนได้ ท้ายสุดทุกอย่างพังหมดเป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ คือ เป็นความจริงแท้ ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้

แต่นี่ (ชี้ไปที่โทรศัพท์) ตอนนี้เราเรียกว่ามือถือ ใช่ไหม ? อาจจะเรียกเซลโฟนก็ได้ เรียกโมบายโฟนก็ได้ เปลี่ยนไปเรื่อย
แล้วแต่ว่าคนเขานิยมกันอย่างไร ? จึงเป็นสมมติสัจจะ เป็นจริงโดยสมมติ เปลี่ยนแปลงได้ สมมติเปลี่ยน ก็เปลี่ยนตามไปเรื่อย

เถรี
10-02-2010, 14:41
ถาม : ขอให้การต่อคิว(ปรารถนาพระโพธิญาณ)ของผมไม่มีการล้มเลิกครับ
ตอบ : ขอไม่ได้ ต้องตั้งใจเอง

อย่างเช่นที่เศรษฐีขอให้พระสารีบุตรประกันศรัทธาให้ พระสารีบุตรท่านว่า ประกันชีวิต..ประกันให้ได้ ประกันสมบัติ..ประกันให้ได้ แต่ว่าประกันศรัทธา..ไม่ประกันให้ ศรัทธาอยู่ที่ท่านเอง ถ้าศรัทธาลดท่านไม่ทำบุญขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ?

เถรี
10-02-2010, 15:01
ถาม : ถ้าเราไม่รู้ว่าเราค้างหนี้สงฆ์
ตอบ : ตั้งใจทำไปเรื่อย ๆ สักเดือนละร้อยสองร้อย ตั้งใจว่าเราชำระหนี้สงฆ์

ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..หรือไม่ถ้าเห็นเขาสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่ไหนก็ไปร่วมกับเขา

ถาม : ผมทำบุญบ้าน พระ ๙ รูป แล้วถ้าเรามีพระพุทธรูป ๑ องค์ มีหนังสือมนต์พิธี มีผ้าไตรจีวร มีน้ำผลไม้ ซองปัจจัย ดอกบัว แล้วถ้ารูปอื่นเรามีเฉพาะน้ำผลไม้ ดอกบัว ซองปัจจัย
ตอบ : ตั้งใจกล่าวถวายเป็นสังฆทานก็หมดเรื่อง

ถาม : ได้เหมือนกันใช่ไหมครับผม ?
ตอบ : เหมือนกัน

เถรี
10-02-2010, 15:05
ถาม : เมื่อตอนช่วงเช้า ผมนิมิตเห็นสมเด็จองค์ปฐมเป็นองค์ทิพย์อย่างนี้ แล้วอยู่ ๆ เหมือนกับพระองค์ท่านแย้มพระโอษฐ์ให้ แล้วเปลี่ยนเครื่องทรง นำทรายขาวมามอบให้ ถือว่าเป็นนิมิตที่ดีไหมครับ ?
ตอบ : เห็นพระเป็นนิมิตที่ดีอยู่แล้ว

ถาม : ถือว่าเป็นพุทธานุสติ ?
ตอบ : ฝันไม่ถือเป็นพุทธานุสติ พุทธานุสติต้องตั้งใจนึกถึง แต่อย่างน้อย ๆ ก็เป็นนิมิตที่ดีแน่

เถรี
10-02-2010, 15:47
ถาม : เราควรจะหาตัวตนอย่างไรครับ ว่าเราควรจะปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ ชอบอย่างไหนก็ทำไป ทำแล้วรักษากำลังใจให้ทรงตัว

เถรี
10-02-2010, 16:13
ถาม : ถ้าเรามีพระห้อยคอเยอะ เวลาอาราธนา เราอาราธนาเพียงบทเดียวได้ไหมครับ ?
ตอบ : ควรจะอาราธนาทีละองค์เพื่อความแน่นอน (หัวเราะ) ท่านจะได้มั่นใจว่าเราอาราธนาแน่ทุกองค์ เกิดไปเรียกท่านแบบรวม ๆ ท่านนึกว่าไม่เรียกท่าน ก็ซวยสิ..!

คำตอบนี้ไม่เป็นสากลนะ เป็นคำตอบเฉพาะคน..

เถรี
10-02-2010, 16:25
ถาม : เนื้อเมฆสิทธิ์ ทำไมต้องสำเร็จดังเมฆด้วยคะ ?
ตอบ : เขาตั้งใจจะเล่นแร่แปรธาตุเป็นทอง แต่กลายเป็นอย่างนั้น ก็เลยสำเร็จเป็นเมฆไม่สำเร็จเป็นทอง ต้องเข้าใจที่มาเขาก่อน

ถาม : ถ้าเป็นเมฆก็สีขาวสิคะ ?
ตอบ : เราไปเข้าใจว่าเมฆเป็นสีขาว เมฆเป็นสีเขียวก็ได้ ดำก็ได้ แล้วแต่สภาพ เมฆสิทธิ์สีเขียวอมเหลือง แสดงว่าเนื้อทองมากกว่า เมฆพัดเขียวอมน้ำเงิน แสดงว่าเนื้อเงินมากกว่า นึกถึงแมลงภู่และแมลงทับดูสิ..สีคล้าย ๆ อย่างนั้น

เพียงแต่ว่าโลหะสองอย่างนี้ พอนาน ๆ ไป สีจะจางไปเรื่อย ก็เลยปลอมได้ยาก เพราะว่าทำใหม่เมื่อไรก็เป็นของใหม่ดำปี๋ ยิ่งใช้ไปนาน ๆ สีจะยิ่งจางลง ๆ

ถาม : แล้วมีสูตรตายตัวไหมคะ ?
ตอบ : ตายตัว..ไม่อย่างนั้นก็ออกเป็นสีอื่นสิ

ถาม : แสดงว่าไม่ใช่วิชาที่..
ตอบ : ปัจจุบันนี้แพร่หลายแล้ว สมัยก่อนต้องไปศึกษาจากผู้รู้จริง พอมีโลหะศาสตร์ขึ้นมา อยากรู้อะไรก็เอาไปแยกธาตุ ขนาดเหล็กน้ำพี้ยังทำขึ้นมาเลย

ปัจจุบันนี้น้ำพี้มีอยู่มากที่ไม่ได้ทำขึ้นมา เพียงแต่ใช้เหล็กธรรมดา แล้วเอาไปชุบ ชุบลักษณะรมดำปืน ก็เป็นสีน้ำเงินปลาบเลย แต่ความจริงเป็นโลหะอื่น จำเอาไว้ว่า ถ้ายกขึ้นมาแล้วหนัก แสดงว่าไม่ใช่น้ำพี้ น้ำพี้จะเบา

เถรี
10-02-2010, 17:18
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อเช้าเพิ่งจะคุยโยม โยมเขาสร้างพระจากแก้วจริง ๆ ในลักษณะที่หลอมซิลิก้าเป็นแก้ว เทคโนโลยีพวกนี้ถ้าทุนไม่ถึงจริง ๆ ทำไปก็ขาดทุน

แล้วก็พูดไปถึงบรรดาโลหะศาสตร์ต่าง ๆ ของคนโบราณ ยกตัวอย่างไปถึงปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม ตากแดดตากฝนเป็นร้อย ๆ ปีแล้วก็ยังไม่เห็นมีสนิมกิน สมัยนี้ต่อให้เป็นสเตนเลส ไปตากแดดตากฝนแบบนั้น สนิมขึ้นไปแล้ว"

ถาม : ไหนว่ามีวิชาโลหะศาสตร์ แล้วแยกธาตุได้
ตอบ : แยกได้ แต่ของปืนหน้ากระทรวงนี่แยกไม่ออก แยกไม่ออกเพราะไม่สามารถจะแบ่งส่วนออกมาได้ เอาเครื่องไปเจียรนัยเห็นไฟแลบออกมา นึกว่าเจียรเข้า..เปล่าหรอก เครื่องสึกเอง..! เจียรไม่เข้าแล้วจะเอาไปแยกได้อย่างไร ? คงต้องเอาไปหลอมใหม่ทั้งกระบอก ที่บางระจันเขาหลอมปืนกันเองแล้วแตก เพราะว่าไม่ได้สูตร

ถาม : ไม่ได้สูตรที่แท้จริง ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่า ถึงมีสูตรที่แท้จริง แต่ก็คงหาวัสดุได้ไม่ครบ เพราะรีบ ๆ ร้อน ๆ จะเอาไว้สู้กับพม่า

สมัยรัชกาลที่ ๕ ญี่ปุ่นต้องมาขอความรู้เรื่องหล่อปืนจากไทย แปลว่าตอนนั้นเทคโนโลยีของไทยสูงกว่า แต่ตอนนี้เราตามหลังญี่ปุ่นอยู่ ๒๐ - ๓๐ ปี แสดงว่าพัฒนาประเทศแล้วกลับถอยหลังไปเรื่อย

เถรี
10-02-2010, 19:06
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เรื่องของงานสืบชะตา ในชีวิตก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำ สมัยก่อนก็ดูงานของหลวงปู่ธรรมชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ หลวงปู่หล้า(ตาทิพย์) ไม่คิดจะจำเลย เพราะเห็นว่าไกลตัวมาก

ปรากฏว่าตอนไปเชียงใหม่ น่าจะเป็นเดือนธันวา แม่ชีเพียงเดือน ท่านเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานอยู่ที่ธรรมสถานของ มช. มาขออนุญาต บอกว่า "ขอเชื่อมสายบุญด้วย" เราฟังแล้วก็คิดว่า ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครเขาทำกันอย่างนี้ คือ จะช่วยสงเคราะห์ก็อนุเคราะห์กันไป แต่ประเภทมาต่อสายโทรศัพท์เลยไม่เคยมี ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าทำแล้ว งานการพระศาสนาจะเผยแผ่ได้กว้างไกลขึ้น อีกประการก็คือ ท่านต้องการความคล่องตัวจากสายของเรา ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นแม่ชีก็ทำไป แต่มีข้อแม้อยู่อย่างเดียวว่า อาตมาทำงานเฉพาะหน้า มาถึงตรงหน้าจึงจะทำ ประเภทเยื้อง ๆ อยู่ข้างซ้ายนิดขวาหน่อยไม่เอาแล้ว แม่ชีท่านก็ทำพิธีตามแบบของท่าน เราก็โมทนาไป

หลังจากนั้นไม่นาน เรื่องนี้ก็เกิดขึ้น ที่สำคัญก็คือว่า หลวงพ่อสิงห์ท่านโทรมาเอง ท่านเป็นพี่ใหญ่ที่เราให้ความเกรงใจมากที่สุด จะอ้าปากก็อ้าปากไม่ออก ก็เรียนท่านไปว่า ผมทำอะไรไม่เป็นเลยนะครับ ท่านบอกว่าเรื่องพิธีกรรมไม่ต้องหนักใจ เพราะว่าท่านได้ศึกษาไว้ ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา อยู่มา ๕๑ ปี เพิ่งจะมีงานสืบชะตา

เมื่อมาดูว่างานซึ่งควรจะอยู่ภาคเหนือ แต่วิ่งไปทางตะวันตกเลย ก็แปลว่าการต่อสายบุญของแม่ชี ก็คงจะทำได้ถูกต้องตามวิธีการ ถึงได้มาเร็วเป็นซูเปอร์ไฮเวย์ขนาดนี้ ป่านนี้ไม่รู้โดนเงินทับตายไปแล้วหรือยัง ? ท่านบอกว่าต้องการความคล่องตัวทางสายเรา สายเรานั้นมาจากทานบารมี เรื่องการเงินจะคล่องตัวกว่าสายอื่น"

เถรี
10-02-2010, 19:14
ถาม : การทำบุญ ทำล่วงหน้าได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำล่วงหน้าอย่างไร ?

ถาม : สมมติถ้าผมร่วมบุญกับท่าน ๑๐๐ บาท ผมจะขอโมทนาบุญทั้งหมดที่ท่านทำ ตั้งแต่วันนี้จนถึง..
ตอบ : นี่ไม่ใช่ล่วงหน้า แต่เป็นถอยหลัง

ถาม : ตั้งแต่วันนี้จนถึงอนาคตครับ
ตอบ : เรื่องของบุญกุศลเขาคิดเป็นปัจจุบัน คุณร่วมได้ แต่ตราบใดที่อาตมายังไม่ได้ทำ คุณก็ยังไม่ได้อะไร

เถรี
10-02-2010, 19:35
ถาม : ผมขออนุญาตเรียนถามเรื่องศีลข้อที่สี่ครับ เพื่อนผมเขาอยากให้ผมพูดโกหกให้เขา ว่าเขาทำงานในตำแหน่งระดับสูง แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ทำงานในตำแหน่งนั้น เพื่อที่จะเอาเงินของธนาคาร เผื่อมีคนโทรมาเช็กที่บริษัท ถือว่าผิดศีลข้อสี่ไหมครับ ?

ตอบ : ผิดแน่..เพราะว่าศีลข้อมุสาวาทที่หนักที่สุดคือ หลอกลวงเขา แล้วเอาผลประโยชน์เข้าตัวเอง เรานี่ถือว่าเต็มใจมีส่วนร่วม ก็แปลว่าเต็มใจที่จะลงนรกไปกับเขาด้วย..!

เถรี
10-02-2010, 23:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "สังเกตมานานแล้ว บ้านช่องที่ไหนก็ตาม เก่าแสนจะเก่า ถ้ามีคนอยู่คอยดูแลก็จะดูดี แต่ถ้าไม่มีคนอยู่คอยดูแล ไม่นานหรอกจะดูโทรมไปถนัดตา ถ้าทางตำราฮวงจุ้ยเขาบอกว่า ไม่มีปราณชีวิต ถ้าจะว่ากันอีกแบบก็คือ พลังออร่าของเจ้าของหมด กำลังรอออร่าใหม่อยู่

บ้านโทรม ๆ พวกสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ชอบกันจริง ๆ ไม่มีเจ้าของก็ขออาศัยก่อน ถ้าหากว่าใครไปซื้อบ้านเก่า ก่อนจะเข้าไปต้องบอกกล่าวกันให้ดี ๆ ว่า ฉันเป็นเจ้าของคนใหม่นะจ๊ะ ขออาศัยอยู่ด้วย ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะเป็นเจ้าของสถานที่ก็ดี หรือเพียงแต่อยู่อาศัยชั่วคราวก็ดี ถ้าหากว่าอยู่แล้วทำประโยชน์ให้ ก็อนุญาตให้อยู่ได้ ถ้าหากเราสร้างบุญสร้างกุศลอะไรก็อนุญาตให้โมทนาด้วย แต่ถ้าอยู่แล้วไม่ได้ทำประโยชน์ให้ มีแต่จะเกิดโทษ ก็จะไม่ให้อยู่"

เถรี
11-02-2010, 00:32
ถาม : ทำไมก่อนจะตัดลูกนิมิต เจ้าอาวาสจะต้องหนีออกจากวัด ?
ตอบ : เขาเชื่อกันว่า ถ้าหากเจ้าอาวาสอยู่ จะมีอันเป็นไป ถ้าไม่สึกก็ตาย เขาว่ากันอย่างนั้น..

แต่อาตมาอยู่ ก็ยังไม่เห็นตายเสียที ตอนที่จัดงานให้วัดทองผาภูมิ เราเป็นเจ้าภาพ บอกพระที่มาร่วมงานว่า ถ้าผมหนีพวกท่านทั้งหมดไม่ได้ซองหรอก เพราะผมจะหนีบไปด้วย..!

ขึ้นอยู่ที่ความเชื่อ เราลองมาดูว่า สมัยก่อนการสร้างโบสถ์นั้นยากมาก กว่าจะสร้างเสร็จบางทีหลายสิบปี เจ้าอาวาสก็คงสร้างจากหนุ่มจนแก่ ช่วงจัดงานท่านก็คงตรากตรำหลายวันหลายคืน พอเห็นเขาตัดลูกนิมิต กำลังใจก็ผ่อนคลายว่า เออ..งานเสร็จเสียที ทีนี้ร่างกายคนที่ไม่ไหว พอกำลังใจคลายตัว ก็หงายผึ่ง..! เขาก็เลยไปเชื่อกันว่าอยู่แล้วจะตาย นี่แค่คาดว่า สาเหตุน่าจะมาอย่างนี้ จึงกลายเป็นธรรมเนียมเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ถ้าหากตัดลูกนิมิต เจ้าอาวาสต้องไปจากวัด เป็นการแก้เคล็ด

เถรี
14-02-2010, 13:21
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระปิดตา โบราณาจารย์เขาใช้เป็นอุปเท่ห์ แทนการไม่รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ไม่รับเข้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มาระยะหลังคตินิยมเขาถือเป็นมหาอุตม์ กลายเป็นอยู่ยงคงกระพันไป ต้นสกุลพระปิดตาจริง ๆ เป็นพระควัมปติ พระควัมปติก่อนบวชเป็นสหายของพระยสะ

สำหรับพระยสะนั้น ท่านเป็นลูกเศรษฐี มีปราสาทสามฤดู วันหนึ่งท่านรู้สึกเบื่อขึ้นมา ตื่นขึ้นกลางดึก เห็นบรรดาพวกสาวใช้นอนกันเกลื่อนกลาด เหมือนอย่างกับป่าช้าผีดิบ ท่านก็สวมรองเท้าเดินออกไปข้างนอก ต้องบอกว่าบุญบันดาล ท่านเดินไปแล้วก็บ่นไปว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" พระพุทธเจ้าทรงเดินจงกรมอยู่พอดี พอได้ยินก็ทราบวาระ ทรงตรัสว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เธอจงเข้ามาที่นี่เถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง" ยสกุลบุตรก็เข้าไป ถอดรองเท้า ถวายบังคม

พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาให้ฟัง สำหรับอนุปุพพิกถา จะบรรยายเป็นระดับ ๆ ไป ตั้งแต่เรื่องของทานมีอานิสงส์อย่างไร ? เรื่องของศีลมีอานิสงส์อย่างไร ? ทั้งทานและศีลส่งผลให้ไปสุคติ คือ สวรรค์ได้อย่างไร ? การหน่ายกามและการออกจากกามมีประโยชน์อย่างไร ?

พระยสะซึ่งเบื่อสุด ๆ อยู่แล้ว พอได้ฟังอนุปุพพิกถาที่ตรงใจพอดี ก็กลายเป็นพระโสดาบัน ปรากฏว่าทางบ้านตื่นขึ้นมาวุ่นวายกันไปหมด เนื่องจากลูกชายหายจากบ้านไป ก็เลยออกตามหากัน ต้องบอกว่าเป็นบุญของพ่อ ของแม่ ของภรรยา เพราะปกติให้คนใช้ไปตามพระยสะก็ได้ แต่ทั้งนี้เขาใจร้อนกันเลยออกตามหาเองด้วย ก็ตามไปจนเจอพระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอิทธาภิสังขาร กำบังเสียไม่ให้เห็นพระยสะ"

เถรี
14-02-2010, 13:33
"บิดาของยสกุลบุตรถามพระพุทธเจ้าว่าเห็นลูกของตนไหม ? พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้ฟังธรรมก่อนเดี๋ยวจะบอกให้ พระองค์ก็เทศน์อนุปุพพิกถาให้ฟัง ทั้งบิดา มารดาและภรรยา กลายเป็นพระโสดาบัน พระยสะได้ฟังซ้ำกลายเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงคลายฤทธิ์ให้ทั้งหมดได้เจอกัน บิดาก็ดีใจเลยชวนลูกกลับ พระพุทธเจ้าบอกว่า กิจในการกลับไปครองเรือนของลูกท่านไม่มีแล้ว ท่านกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

ตอนที่บิดามารดายังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสไปอย่างนี้เขาจะไม่เชื่อและไม่ยอมเด็ดขาด ก็เลยต้องกำบังกายไว้ไม่ให้เห็นก่อน พอทั้งสามกลายเป็นพระโสดาบันทีนี้เข้าใจเลย บิดาของพระยสะจึงตัดสินใจให้ลูกบวช พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอหิภิกขุ พระยสะกลายเป็นพระภิกษุไป ส่วนบิดามารดาและภรรยาก็ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต ความจริงระดับนั้นไม่ต้องปฏิญาณหรอก แต่ว่าทำตามธรรมเนียม (พุทธมามโกติหรือพุทธมามกาติ แล้วแต่ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย)

หลังจากนั้นก็ทูลเชิญพระสงฆ์และพระลูกชายไปฉันที่บ้าน พอเพื่อนได้ข่าวก็แห่กันมา มีท่านวิมละ ท่านสุพาหุ ท่านปุณณชิ และท่านควัมปติ พระยสะก็แสดงธรรมให้เพื่อนฟัง ด้วยความที่เป็นเพื่อนรักกันมาก แล้วก็เชื่อว่าพระธรรมวินัยนี้ไม่เป็นหมันแน่นอน ก็เลยพากันบวชตาม กลายเป็นพระอรหันต์ไปตาม ๆ กัน แล้วไปชักชวนเพื่อนมาอีก ๕๐ คน บวชกันหมดกลายเป็นพระอรหันต์ ๕๕ รูป ก็เลยกลายเป็นธรรมทูตรุ่นแรกที่พระพุทธเจ้าส่งไปประกาศพระศาสนา ท่านใช้คำว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ ท่านบอกว่า "ดูกร..ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไป เพื่อยังประโยชน์และความสุขให้แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์ของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย แต่จงอย่าไปทางเดียวกันสองคน ให้ไปคนเดียว" เพราะตอนนั้นพระยังน้อยอยู่ มีแค่ ๖๐ รูปเท่านั้น"

ถาม : อ้าว..แล้วพระมาจากไหนอีก ๕ รูป ?
ตอบ : ปัญจวัคคีย์

เถรี
14-02-2010, 13:47
"พระพุทธเจ้าท่านทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ พระอนาคตังสญาณ บรรดานักวิเคราะห์เขาวิเคราะห์ว่า สมัยนั้นแคว้นมคธ แคว้นโกศล แคว้นวัชชี แคว้นวังสะ เป็นประเทศใหญ่ เป็นมหาอำนาจ โดยเฉพาะมคธและโกศลเป็นมหาอำนาจใหญ่มาก แต่ว่าผู้ปกครองนิสัยไม่เหมือนกัน พระเจ้าปเสนทิโกศลค่อนข้างจะเด็ดขาดและโหดอยู่สักหน่อย แต่พระเจ้าพิมพิสารค่อนข้างจะใจดี พระพุทธเจ้าก็เลยต้องไปเขตพระเจ้าพิมพิสารก่อน

เรามาสังเกตดูว่า พระพุทธเจ้าเสด็จจากอุรุเวลาเสนานิคมไปยังพาราณสีเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ พาราณสีเป็นเมืองหลวงของแคว้นกาสี แคว้นกาสีขึ้นอยู่กับแคว้นโกศล ส่วนแคว้นกบิลพัสดุ์ แคว้นเทวทหะก็ขึ้นอยู่กับแคว้นโกศล แปลว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ในฐานะเจ้าชายของเมืองขึ้น ถ้าไปทำอะไรโฉ่งฉ่างมีสิทธิ์ตายได้ ก็คือ ถ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลตีความผิดนิดเดียวว่า พระพุทธเจ้าไปซ่องสุมผู้คนเพื่อแข็งเมืองก็เป็นเรื่องเลย พระพุทธเจ้าจึงต้องไปแบบเงียบ ๆ จากอุรุเวลาเสนานิคมไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ระยะทาง ๒๓๐ กิโลเมตรตามระยะทางในปัจจุบัน

๒๓๐ กิโลเมตร พระพุทธเจ้าใช้เวลาเสด็จกี่วัน ? ลองมานับดู พระองค์ท่านตรัสรู้กลางเดือนหก เสวยวิมุตติสุข ๔๙ วัน แสดงปฐมเทศนากลางเดือนแปด ห่างกันสองเดือน แต่ระยะเวลาหายไป ๔๙ วันแล้ว ก็แปลว่าเหลืออีก ๑๑ วัน คราวนี้เขาระบุไว้ชัดว่าพระพุทธเจ้าไปถึงก็เป็นคืนแรม ๑๔ ค่ำ ก็แปลว่าใช้เวลาเดินทาง ๑๐ วัน พระพุทธเจ้าเดินทางได้วันละ ๑๒๐ โยชน์ ใช้เวลาเดินทางตั้ง ๑๐ วัน ระหว่างนั้นพระองค์ท่านทำอะไรอยู่ ?

เขาบอกว่าพระองค์ท่านทำการสำรวจทางยุทธศาสตร์ไว้ก่อน ดูทางหนีทีไล่ไว้ก่อน ดูว่าผ่านใครสำนักไหน มีชื่อเสียงเรียงนามอย่างไร เผื่อมีโอกาสจะกลับมาแสดงธรรมเพื่อสงเคราะห์ พระองค์ก็คงจะไปสะดุดตาที่ชฎิลสามพี่น้อง

๑๐ วันเดินทาง ๒๓๐ กิโลเมตร ก็แปลว่า พระองค์ท่านเดินทางวันละ ๒๓ กิโลเมตร ถือว่าสบายสุด ๆ อาตมาเดินสบาย ๆ วันหนึ่งตั้ง ๔๐ กิโลเมตร นั่นพระพุทธเจ้านะ ท่านเดินวันหนึ่งได้ตั้ง ๑๒๐ โยชน์ (เกือบพันกิโล) แต่ปรากฏว่าท่านใช้ระยะเวลาเดินทางตั้ง ๑๐ วัน เขาก็เลยวิเคราะห์ไปว่า พระองค์ทำการสำรวจทางยุทธศาสตร์ไปด้วย ว่าจะเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบไหน"

เถรี
14-02-2010, 13:52
"คราวนี้พอสงเคราะห์พระปัญจวัคคีย์เรียบร้อย พระองค์ต้องรีบกลับ ถ้าขืนอยู่ต่อให้ทางแคว้นกาสีรู้ข่าว แค่แจ้งไปคำเดียว พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกให้จับหรือลงมือได้ ก็เป็นอันจบเห่..!

เมื่อพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาเพื่อสงเคราะห์ชฎิลสามพี่น้อง ปรากฏว่าได้ของแถม เป็นของแถมประเภทสร้อยเพชรตกลงมาเอง ก็คือ ภัททวัคคีย์ ๓๐ คน ท่านเหล่านี้เป็นลูกเศรษฐี ไปเที่ยวเล่นกัน วันนั้นทั้ง ๒๙ คนมีแฟนเป็นส่วนตัวแล้ว อีกคนหนึ่งนั้นไม่มี ก็เลยต้องไปเช่าหญิงนครโสเภณีมา ตอนที่ลงเล่นน้ำกัน โดนผู้หญิงโสเภณีขโมยเครื่องประดับหนีไป

สมัยนั้นความรวยของเขาก็เหมือนกับพวกแม้ว พวกอีก้อของเรา ก็คือ ความรวยอยู่ที่เครื่องประดับ เคยเห็นพวกแม้วหรืออีก้อแต่งตัวไหม ? มีเงินเท่าไรเอามาตีเป็นเครื่องประดับหมด ถ้ามีเหลือเยอะก็ทำห่วงใหญ่ ๆ สวมเอวไว้

ทีนี้พอเครื่องประดับโดนขโมยไป เขาก็ไล่ตามหา ไปเจอพระพุทธเจ้าพอดี ก็ถามว่าเห็นหญิงคนหนึ่งหอบผ้าหนีมาทางนี้หรือเปล่า ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า อยากจะค้นหาหญิงคนนั้น หรืออยากจะค้นหาตัวเอง ด้วยความที่ท่านสร้างบารมีกันมามากต่อมาก พอได้ยินเข้าก็สะดุดหูเลย บอกว่า "ค้นหาตัวเองดีกว่า" "ถ้าอย่างนั้นเธอจงนั่งลง เราจะแสดงธรรมให้ฟัง"

พระพุทธเจ้าก็แสดงอนุปุพพิกถาให้ฟัง กลายเป็นพระอรหันต์อีก ๓๐ รูป ส่งไปประกาศศาสนาต่อ อรรถกถาท่านว่า ๓๐ รูปนี่แหละ ที่กลายเป็นต้นบัญญัติกฐิน ก็คือ ออกพรรษาแล้วก็ยังมาเฝ้าพระพุทธเจ้า จีวรเปียกฝนโชกมา ก็เลยมีบัญญัติให้รับคหปติจีวร คือจีวรที่มีคนถวายได้"

เถรี
15-02-2010, 16:36
"เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงสำนักอาจารย์ใหญ่ คือท่านอุรุเวลกัสสปะ (พี่ชายคนโตของชฎิลทั้งสาม) ปรากฏว่าท่านอุรุเวลกัสสปะมีบริวารอยู่ ๕๐๐ คน ฟังให้ดี ๆ นะ บริวาร ๕๐๐ คน นี่ถือว่าเยอะที่สุด

พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร สมัยเป็นโกลิตะมาณพและอุปติสสะมาณพ มีบริวารคนละ ๕๐๐ แต่ว่าพอไปอยู่สำนักสัญชัยปริพาชก อุปติสสะได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิได้เป็นพระโสดาบัน กลับมาบอกโกลิตะมาณพ ได้ฟังธรรมแล้วกลายเป็นพระโสดาบันไปด้วย ทั้งสองไปเกลี้ยกล่อมสัญชัยปริพาชก บอกว่าให้ไปอยู่สำนักของพระสมณโคดมกันเถอะ สัญชัยปริพาชกไม่ยอมไป ด้วยทิฏฐิมานะที่ตนเป็นอาจารย์ใหญ่ ให้ไปเป็นลูกศิษย์ของคนอื่นจึงไม่ยอม อุปติสสะมาณพและโกลิตะมาณพจึงชวนบริวารไป ปรากฏว่าบริวารยอมไปแค่ครึ่งเดียว ก็คือ คนละ ๒๕๐ เพราะฉะนั้น..เวลาที่พระพุทธเจ้าแต่งตั้งเอตทัคคะ ก็เลยต้องตั้งให้พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นผู้เลิศในการมีบริวารมาก

เมื่อพระพุทธเจ้าไปถึงสำนักของท่านอุรุเวลกัสสปะ จึงเข้าไปขอพักอาศัยด้วย พระพุทธเจ้ากลายเป็นคนแปลกหน้า เป็นราชสีห์ในฝูงแกะ หรือเขาเห็นเป็นลูกแกะก็ไม่รู้ ? ท่านจัดให้พระพุทธเจ้าไปพักในโรงไฟที่มีพญานาคอยู่ คิดว่าถ้าไม่เก่งจริงก็คงหนีกระเจิงออกมาเอง พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร พอพญานาคออกมา พระองค์ท่านก็หยิบใส่บาตร จากพญานาคตัวใหญ่ ๆ เหลือตัวเท่างูเขียวเท่านั้น..!
พวกเราส่วนใหญ่ฟังกันแค่ตรงนี้ รู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่นเป็นพรรษาเลย ? พระองค์ต้องแสดงฤทธิ์ปะทะกันอยู่ทุกวัน เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นบูชาไฟเป็นปกติ ก็คือเล่นกสิณไฟเป็นปกติ มีฤทธิ์กันทุกคน ถ้าไม่มีอะไรดีกว่า...เขาก็จะไม่เชื่อว่าเก่งจริง

พระพุทธเจ้าต้องเสด็จออกไปบิณฑบาตยังอุตรกุรุทวีป บางวันก็ไปเด็ดผลหว้าประจำทวีปมาเป็นภัตตาหาร เขาถามก็บอกตรง ๆ ปล่อยให้เขาทึ่งกันไป กว่าเขาจะยอมอ่อนลงให้นี่เป็นพรรษาเลย

พอฤดูฝนน้ำหลากมา พวกท่านเหล่านี้ก็ลอยแพไปดู ว่าพระพุทธเจ้าโดนน้ำกวาดไปแล้วหรือยัง ? ปรากฏว่าเห็นพระพุทธเจ้ายังเดินจงกรมอยู่ตามปกติ น้ำตั้งเป็นกำแพงเลย ก็แปลว่าตรงที่พระองค์ท่านเดินนั้นน้ำเข้าไม่ถึง จนกระทั่งท้ายสุดเขาก็ยอมรับ จึงได้คุยกันถึงหลักธรรมในการปฏิบัติ"

เถรี
15-02-2010, 16:44
"พระพุทธเจ้าตรัสถามถึงหลักการปฏิบัติ ท่านอุรุเวลกัสสปะก็บรรยายให้ฟังว่า ท่านบูชาไฟอย่างนี้ ๆ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า การบูชาไฟเป็นของดี ไม่ดีได้อย่างไรเพราะแต่ละคนมีฤทธิ์ทั้งนั้น ฉะนั้น..การเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ขัดใคร

ท่านบอกว่าการบูชาไฟภายนอกถึงแม้ว่าจะดี แต่การบูชาไฟภายในได้จะดีกว่า ท่านอุรุเวสกัสสปะตอนนี้เริ่มละพยศแล้ว เพราะเห็นว่าสมณะรูปนี้มีความสามารถจริง ขนาดจะตากผ้า ต้นหว้ายังน้อมกิ่งลงมาให้ตากเลย

ท่านอุรุเวลกัสสปะก็ขอเรียนกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เทศน์อาทิตตปริยายสูตร ที่ว่าตาเป็นของร้อน จมูกเป็นของร้อน ลิ้นเป็นของร้อน ฯลฯ ร้อนด้วยอะไร ? ร้อนด้วยไฟ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ถ้าหากสามารถดับได้ก็คือความเย็น ท่านก็อธิบายให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ อุรุเวลกัสสปะและบริวารบรรลุมรรคผล ลอยบริขารทิ้งลงแม่น้ำ ขอรับการอุปสมบทใหม่ กลายเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา

คราวนี้น้อง ก็คือ ท่านนทีกัสสปะ (น้องคนกลาง) อยู่ด้านใต้ จู่ ๆ บริขารของพี่ลอยมาเป็นแพเลย ก็ตกใจว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นหรือไม่ ก็พาบริวารอีก ๓๐๐ คนไปหาพี่ พบพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรม ก็บรรลุอีก ลอยบริขารทิ้งเหมือนกัน ไปถึงท่านคยากัสสปะ(น้องคนเล็ก) เห็นบริขารลอยมา คิดว่าอันตรายเกิดขึ้นกับพี่แล้ว ก็พาบริวารอีก ๒๐๐ ไปหาพี่ พบพระพุทธเจ้าฟังเทศน์กลายเป็นพระอรหันต์ไปอีก"

เถรี
15-02-2010, 17:25
"คราวนี้เรามาดู พระพุทธเจ้าส่งพระ ๖๐ รูปแรกออกประกาศศาสนา (ปัญจวัคคีย์+คณะของพระยสะ) ส่งอีก ๓๐ รูปหลังออกประกาศพระศาสนา (ภัททวัคคีย์) แต่นี่ ๑,๐๐๓ รูป พระพุทธเจ้าพาไปไหน ? พระองค์พาไปแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร คราวนี้ยืดได้ เดินนำไปเลย..

เพราะอะไร ? พระเจ้าพิมพิสารแม้จะอยู่ในลักษณะของบุคคลที่ใจดี รู้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะหนีออกมา ก็ยังจะแบ่งสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง แต่ว่ากษัตริย์ย่อมมีขัตติยมานะเป็นปกติ ถ้าไปในลักษณะที่ไม่สมกับเกียรติยศของกษัตริย์ เขาอาจจะดูถูกดูแคลน ไม่ให้ความสนใจและไม่เชื่อถือ พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ส่งพระอรหันต์ ๑,๐๐๓ รูปนี้ออกประกาศพระศาสนา แต่พาไปหาพระเจ้าพิมพิสารด้วย ไปในลักษณะบริวารยศ ก็คือ มียศใหญ่ด้วยมีบริวารมาก

ไปโดยศักดิ์ว่าเป็นกษัตริย์เสมอกัน ถึงแม้จะได้รับพระบรมราชานุญาตว่า บรรลุมรรคผลแล้วให้มาโปรดด้วย ถ้าเช่นนั้นสามารถที่จะตรงเข้าวังได้เลย แต่พระองค์ไม่ไป เพราะถ้าไปในลักษณะอย่างนั้นก็เหมือนกับเขาเป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านต้องมีตัวกู..ตัวของกูเป็นธรรมดา..ก็กูใหญ่กว่า อาจจะไม่ละพยศ ไม่เชื่อกัน ท่านจึงไปพักที่สวนลัฏฐิวัน(สวนตาลหนุ่ม)

ชาวบ้านได้ข่าวก็แห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน เพราะอะไร ? อาจารย์ใหญ่มานี่ ท่านอุรุเวลกัสสปะ ท่านนทีกัสสปะ ท่านคยากัสสปะ อย่าลืมว่าเฉพาะชาวบ้านที่บวชอยู่กับชฎิลสามพี่น้องมีเป็นจำนวนหนึ่งพัน แสดงว่าชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านต้องไม่ธรรมดา ไม่มีใครแลพระพุทธเจ้าเลย..! ไปหาแต่อาจารย์ใหญ่ของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร นั่งยิ้ม..

พระเจ้าพิมพิสารได้ข่าว พาข้าราชบริพารมาด้วย รวมกับชาวบ้านทั่วไป ท่านบอกว่ามี ๑๒ นหุต(๑ นหุต เท่ากับ ๑ หมื่น) คราวนี้เรารู้สึกคุ้น ๆ ไหมกับคำว่า นหุต ? ศรีสัตนาคนหุต ก็คือ เมืองล้านช้าง

คำว่า นาค หรือ นาคะ ใช้แทนคำว่าผู้ประเสริฐก็ได้ ใช้แทนคำว่าพระพุทธเจ้าก็ได้ ใช้แทนผู้ที่ฝึกดีแล้วก็ได้ ใช้แทนช้างก็ได้
สตนหุต = ร้อยหมื่น ของบาลีจะเอาตัวนามกล่าวไว้ตรงกลาง เลขจะอยู่หัวท้าย ก็เลยกลายเป็นสัตนาคนหุต ล้านช้าง ก็คือ ช้างล้านตัว

ก็แปลว่า ทั้งข้าราชบริพารและชาวบ้านรวมไปกันทั้งหมด หนึ่งแสนสองหมื่นคน..!"

เถรี
16-02-2010, 13:41
"พระเจ้าพิมพิสารรู้จักพระพุทธเจ้า สายตาคนก็เริ่มมองกันว่า อ้อ..คนนี้หรือพระพุทธเจ้า ? แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ตกลงใครเป็นลูกศิษย์กันแน่ ? เพราะอาจารย์ใหญ่ของเขามีชื่อเสียงมานานแล้ว ส่วนพระพุทธเจ้าเพิ่งปรากฏขึ้นมา เพิ่งได้ยินวันนี้เองว่า ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อายุก็ยังน้อยอยู่

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสคำว่า อย่าดูหมิ่นพระราชาว่ายังเด็ก อย่าดูหมิ่นงูพิษว่าตัวเล็ก อย่าดูหมิ่นสะเก็ดไฟว่าเล็กน้อย และท้ายสุดอย่าดูหมิ่นสมณะว่ายังหนุ่ม พระราชาแม้จะเป็นเด็กแต่ก็สั่งตัดหัวได้ งูพิษแม้ตัวเล็กถ้ากัดก็ตายได้ สะเก็ดไฟน้อย ๆ ลองไหม้สิ เมืองทั้งเมืองก็อาจจะไหม้หมดได้

พอชาวบ้านได้ฟังภาพพจน์ของพระพุทธเจ้าจึงได้ยอมรับ แต่ก็ยังไม่หายสงสัยอยู่ดีว่าใครเป็นลูกศิษย์ ? ใครเป็นอาจารย์ ? พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า "กัสสปะ เธอจงแสดงให้มหาชนเหล่านี้ทราบว่าใครเป็นศิษย์ ใครเป็นอาจารย์" พระอุรุเวลกัสสปะก็ครองจีวรเฉวียงบ่า กราบแทบเท้า ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า ประกาศว่า ข้าพเจ้าเป็นสาวก พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของข้าพเจ้า พอประกาศเสร็จก็เหาะขึ้นไปชั่วลำตาล แล้วก็ลงมากราบใหม่ ประกาศใหม่ ทำอย่างนี้ด้วยกันถึงสามวาระ ชาวบ้านทั้งหมดจึงยอมเชื่อ ยอมเชื่อเพราะอะไร ? ก็อาจารย์ใหญ่เหาะให้ดูเห็น ๆ แต่กลับยอมไปกราบเท้าพระพุทธเจ้านั่นเอง

พระพุทธเจ้าจึงได้เทศน์อนุปุพพิกถา พอเทศน์จบมหาชนทั้งหมด ๑๑ นหุต (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคน) บรรลุเป็นพระโสดาบันพร้อมทั้งพระเจ้าพิมพิสารด้วย ส่วนอีกหนึ่งหมื่นมัวแต่ตื่นเต้นหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงไม่ได้บรรลุ... แต่ก็เกิดความเลื่อมใส ปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต

คราวนี้เรามาดู..ดูอะไร ? ดูว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ายากจริงหรือเปล่า ? ถ้ายากจริงทำไมเขาบรรลุกันทีเป็นแสนคน ฉะนั้น..อ่านพระไตรปิฎก อย่าอ่านทิ้งเฉย ๆ ต้องคิดให้เป็น สมัยนี้เทศน์กันปากเปียกปากแฉะ อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย แค่หนึ่งคนก็หายากแล้ว..!"

เถรี
16-02-2010, 14:12
"พระเจ้าพิมพิสารเมื่อเป็นพระโสดาบัน ปฏิญาณตนนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าได้มหาอำนาจมาอยู่ในเงื้อมมือ ถ้าเปรียบเป็นประเทศจีนกับประเทศอเมริกา ตอนนี้ได้ประเทศจีนมาแล้ว เพราะว่าแคว้นมคธเป็นมหาอำนาจ มักผนวกเอาแคว้นอังคะเข้าไปอยู่ด้วยเสมอ เผลอเมื่อไรก็เสร็จ ส่วนแคว้นโกศลของพระเจ้าปเสนทิโกศล นอกจากจะปกครองแคว้นกาสีแล้ว ยังปกครองกบิลพัสดุ์และเทวทหะ ฉะนั้น..พระพุทธเจ้าจะทำอะไรต้องคิดเป็นพิเศษ ไม่ระมัดระวังไม่ได้ เดี๋ยวญาติของพระองค์เองจะเดือดร้อน

พระองค์เองตอนนี้ เมื่อประกาศศาสนาในแคว้นมคธได้ มีจอมคนของแคว้นมคธ คือ พระเจ้าพิมพิสารเป็นสาวกแล้ว ก็พอจะมีเครื่องป้องกันตัวอยู่ แต่จะกลายเป็นว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ยิ่งระแวงหนักเข้าไปอีก ถ้าเกิดเห็นว่าพระพุทธเจ้าไปบวช เสาะหาบริวารเพื่อที่จะแข็งเมือง ตอนนี้ยังมาผูกมิตรกับเมืองใหญ่ระดับทัดเทียมกันแล้ว ไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่หรือ ? ถ้าจู่ ๆ เข้าไปเทศน์ให้พระเจ้าปเสนทิโกศลฟัง แล้วจะเหลือไหม ? นี่เอาความคิดอย่างคนที่มีกิเลสมาคิด...

พระพุทธเจ้าท่านจึงยังไม่สามารถเสด็จเข้าแคว้นโกศลได้ แต่พระองค์ท่านใช้วิธีวนอยู่รอบ ๆ ไปคว้าอีกสองแคว้นใหญ่ในสมัยนั้น ก็คือ แคว้นวัชชีกับแคว้นวังสะ แคว้นวังสะ มีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง ปกครองโดยพระเจ้าอุเทน แคว้นวัชชี มีเมืองไพศาลีเป็นเมืองหลวง สองแคว้นนี้พระพุทธเจ้ากวาดหมด..!

ลองมาดูต่ออีก เมื่อพระพุทธเจ้าได้แคว้นมคธ ก็แปลว่าได้แคว้นอังคะด้วย แคว้นอังคะนั้นมีเศรษฐีที่รวยจนนับเงินไม่ได้ก็คือ เมณฑกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นลูกของธนัญชัยเศรษฐี เป็นหลานของเมณฑกเศรษฐี เมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาแต่งงานกับปุณวัฒนกุมาร ซึ่งเป็นบุตรของมิคารเศรษฐี เศรษฐีของแคว้นโกศล ก็เท่ากับว่าตอนนี้มหาสาวิกานำหน้าเข้าไปแคว้นโกศลก่อน แล้วพระพุทธเจ้าไปโปรดราชคหเศรษฐีในแคว้นมคธ และไปได้อนาถบิณฑิกเศรษฐีของแคว้นโกศลมาอีก (อนาถบิณฑิกะเป็นน้องเขยของราชคหเศรษฐี)

นอกจากนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลยังขอธนัญชัยเศรษฐีจากพระเจ้าพิมพิสารไปเมืองโกศลของตัวเอง เพราะว่าโกศลเป็นเมืองที่มีเศรษฐีน้อยมาก ถ้าแคว้นไหนมีเศรษฐีมาก เศรษฐกิจจะรุ่งเรือง ธนัญชัยเศรษฐีจึงพาบริวารไปแคว้นโกศล พาบริวารไปไม่เท่าไรหรอก สองแสนคนเอง..!"

เถรี
16-02-2010, 14:34
ถาม : บริวารสองแสนคน..! นึกว่าไปออกรบ
ตอบ : อย่าลืมว่ากองเกวียนสินค้าเศรษฐีสมัยก่อน ก็คือกองทัพดี ๆ นี่เอง ต้องไปค้าขายต่างบ้านต่างเมือง จึงต้องมีกองกำลังส่วนตัวเพื่อป้องกันโจรผู้ร้าย

เมื่อธนัญชัยเศรษฐีไปยังแคว้นโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปรับเองเลยนะ ให้เกียรติมาก เพราะรู้ว่าจะมาสร้างความเจริญให้ประเทศตัวเอง แต่ธนัญชัยเศรษฐีเห็นที่ที่เหมาะสมตรงรอบนอกมากกว่าในเมือง ถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า "ที่ตรงนี้มีเจ้าของหรือไม่ ?" พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ของตนเอง ยังไม่มีเจ้าของ ธนัญชัยเศรษฐีจึงตัดสินใจขอที่ตรงนี้ สร้างเมืองใหม่ด้วยตนเอง เพราะไม่ต้องการเข้าไปรบกวนในเมืองสาวัตถี คนตั้งสองแสนเข้าไปแย่งกินแย่งใช้ ทรัพยากรอาจไม่พอ ธนัญชัยเศรษฐีก็เลยสร้างเมืองสาเกตขึ้นมา

ตอนนี้ฝ่ายพระพุทธเจ้ามีใครบ้าง ? นางวิสาขาปราบมิคารเศรษฐีจนยอมรับพระพุทธศาสนาแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ธนัญชัยเศรษฐีเป็นสาวกแล้ว และยังมีแคว้นใหญ่สามแคว้นหนุนหลังอยู่ คราวนี้เข้าไปในแคว้นโกศลน่าจะสบายแล้ว พระพุทธเจ้าจึงได้ยอมเข้าแคว้นโกศล เข้าแคว้นโกศลเมื่อไร ? พรรษาที่ ๑๔..! ใช้เวลา ๑๔ ปี จึงเข้าแคว้นโกศลได้

พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดพระเจ้าปเสนทิโกศล จนยอมประกาศตนนับถือพระรัตนตรัย แม้พระเจ้าปเสนทิโกศลนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังทดสอบพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อย ถ้าเราไปอ่านพระสูตรจะเจอพระสูตรหนึ่ง ที่ปริพาชก ๗ ท่านเดินผ่านมา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถอดรองพระบาท คุกเข่าแสดงอาการคารวะปริพาชกทั้ง ๗ แล้วก็บอกพระพุทธเจ้าว่า "ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นพระอรหันต์"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า"ปุถุชนสามารถรู้ได้แค่เรื่องของปุถุชน พระโสดาบันสามารถรู้ได้แค่เรื่องของพระโสดาบัน ในเมื่อพระองค์ยังไม่ใช่พระอรหันต์ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าผู้อื่นเป็นพระอรหันต์ ?" พระเจ้าปเสนทิโกศลอับจนด้วยถ้อยคำ จึงได้ยอมสารภาพว่า นั่นเป็นจารบุรุษของโยมเอง แสดงว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลส่งสายลับไปทั่วเลย ปลอมเป็นนักบวชก็เอา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่จับโกหกได้ซึ่ง ๆ หน้าอย่างนั้น คาดว่าคงโดนทดสอบอีกเยอะ จะเห็นได้ว่า โดยวิสัยพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นบุคคลลงให้คนอื่นได้ยากมาก ต้องบอกว่าหัวแข็งจนทุบไม่ลง

เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลประกาศตนนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงเสด็จกลับกบิลพัสดุ์ได้อย่างเปิดเผย เพราะว่าผู้ปกครองเมืองกบิลพัสดุ์ยอมเป็นบริวารแล้ว ไม่อย่างนั้นนี่..กลับไปสงเคราะห์ญาติตัวเองได้ยาก

วิสัยความหวาดระแวงของคน พาให้ตายมาเยอะแล้ว สมัยก่อนเรื่องชิงราชสมบัติ พูดง่าย ๆ ว่า กรุณาอย่ามีลูกหลายคนเลย มีเมื่อไรเดือดร้อนกันไปหมด คนไหนมีทีท่าว่าจะเด่นขึ้นมา โดนสอยตลอด"

เถรี
16-02-2010, 14:57
สุดท้าย พระอาจารย์ก็สรุปให้ฟังว่า "เรื่องนี้ที่เล่าให้ฟังกัน ก็คือว่า บางทีในเรื่องของพุทธประวัติก็ดี อะไรก็ดี มีสิ่งต่าง ๆ แฝงอยู่เยอะมาก เพียงแต่ว่าเราต้องใช้ความคิดของคนอย่างมีกิเลสไปคิด แล้วจะเห็นและเข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงทำอย่างนั้น ? ทำไมจึงใช้เวลาตั้ง ๑๔ ปี กว่าจะเข้าแคว้นโกศล ?

ว่าโดยตามจริงแล้วแคว้นโกศลเป็นมหาอำนาจ ใหญ่กว่าแคว้นมคธเสียด้วยซ้ำไป ลักษณะอย่างจีนกับอเมริกา ถึงคุณเป็นมหาอำนาจเหมือนกัน แต่เขาก็เห็นว่าอเมริกามีภาษีดีกว่าใช่ไหม ? แล้วทำไมพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาในแคว้นมคธ ไม่ประกาศในแคว้นโกศลเสียเลย ก็ด้วยเหตุที่ว่ามา..

ถ้าหากเราคิดเป็น มองเป็น สิ่งที่ไม่ได้เล่าเอาไว้มีอีกเยอะมาก ในบรรดาพระไตรปิฎกต่าง ๆ สามารถให้เราฟุ้งซ่านได้อีกนาน เพียงแต่ว่าให้ฟุ้งในธรรม ใช้ความรู้สึกบ้าง ใช้การคาดคะเนบ้าง ลองตรอง ๆ เอา ไม่ต้องถึงขนาดความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วจะเห็นอะไรอีกมากต่อมากเลย"

เถรี
16-02-2010, 21:28
พระอาจารย์บอกว่า "วันงานเป่ายันต์ ใครทำบุญถึง ๕๐๐ บาท จะให้พระปิดตาเนื้อชุบทองพ่นทรายองค์หนึ่ง ถ้าทำไม่ถึง..ก็รับพระปิดตาเนื้อผงไป"

เถรี
17-02-2010, 08:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธัตถจริยา ก็คือ แบบอย่างของความเป็นพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์ต้องวางตนอย่างไรบ้าง อย่างเช่นว่า ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เช้าขึ้นมาก็ต้องไปบิณฑบาตเพื่อโปรดชาวบ้าน สายณฺเห ธมฺมเทสนํ บ่ายก็เทศน์โปรดชาวบ้านทั่วไป ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ตอนค่ำก็ให้โอวาทพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ เที่ยงคืนก็แก้ปัญหาของพรหมเทวดาท่าน ปจฺจุสฺเสว คเตกาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ใกล้รุ่งก็ตรวจดูนิสัยสัตว์โลก เพื่อที่จะดูว่าสมควรไปโปรดผู้ใด นี่เป็นจริยาของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องทรงประพฤติอย่างนี้ทุกพระองค์

ญาตัตถจริยา แบบอย่างในการสงเคราะห์ต่อญาติ พระองค์เสด็จโปรดพระราชมารดา โปรดพระราชบิดาพร้อมพระประยูรญาติ โปรดพระนางพิมพา โปรดพระราหุล นำเอาพระญาติของศากยวงศ์มาบวชเสียเยอะแยะ โดยเฉพาะชุดที่มาบวช ศากยะ ๒๕๐ โกลิยะ ๒๕๐ ทำเอานางสากิยาณีเป็นหม้ายไป ๕๐๐ ตอนหลังต้องตามพระนางปชาบดีโคตมีออกบวช

ด้านสุดท้ายก็คือ โลกัตถจริยา แบบอย่างที่ทำตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก ตลอด ๔๕ พรรษา พระองค์ทรงแสดงธรรมตลอด สงเคราะห์ด้วยธรรมแม้วินาทีสุดท้าย ก่อนจะปรินิพพานก็ยังมีปัจฉิมโอวาท เมื่อเรามองทั้งหลายเหล่านี้ โดยที่ตรองตามไป ก็จะได้พุทธานุสติเต็ม ๆ ส่วนผลอย่างอื่นก็เป็นผลข้างเคียง"

เถรี
17-02-2010, 08:57
พระอาจารย์ยังกล่าวต่ออีกว่า "พระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ญาติ ก็จะมีพระปางห้ามญาติอยู่ ทรงห้ามญาติถึงสามวาระด้วยกัน หรืออาจจะเกินสาม ? ทรงห้ามพระญาติระหว่างเทวทหะกับกบิลพัสดุ์ ที่จะรบกันเพราะจะแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณี หลังจากนั้นก็ห้ามพระเจ้าวิฑูฑภะ ไม่ให้ไปถล่มแคว้นศากยะของพระองค์ท่าน ห้ามถึงสามวาระแล้วยังห้ามไม่อยู่ ก็ต้องยอมปล่อยให้เป็นไปตามวาระกรรม"

ถาม : แล้วพระปางที่ยกสองมือ นี่คือปางห้ามญาติใช่ไหมคะ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกปางห้ามสมุทร ปางห้ามญาติยกมือเดียว

ถาม : แล้ววันจันทร์นี่ปางห้ามสมุทรหรือคะ ?
ตอบ : วันจันทร์นี่ปางห้ามญาติ ห้ามมือเดียว

สำหรับปางห้ามสมุทรเขาเชื่อว่าเป็นปางที่ตัดเคราะห์ตัดกรรมได้ สมัยก่อนเขานิยมสร้างในลักษณะเสริมดวง

เถรี
17-02-2010, 09:00
ถาม : สังเกตเห็นว่าตอนช่วงไปธุดงค์ อารมณ์แทบจะไม่ต่างจากช่วงปกติเลย เป็นเพราะว่าการปฏิบัติของหนูอ่อนลง หรือเพราะว่าอารมณ์ทรงตัวแล้ว ?
ตอบ : อย่างนี้ต้องสังเกตเอง ถ้าคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง คือ อารมณ์เราทรงตัวแล้ว แต่ถ้าคิดอย่างไม่ประมาทก็คือ ตอนธุดงค์เรายังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ก็เลยยังเหมือน ๆ เดิมอยู่

ถาม : หลัง ๆ มานี่เวลาเกิดปฏิฆะ เห็นว่าอารมณ์กำลังเกิด ตอนจะดับเราก็เห็นขั้นตอนทุกอย่าง แต่ว่าเป็นไปอย่างช้า ๆ ไม่ได้เร็วปั๊บเลยอย่างนี้ค่ะ
ตอบ : ถ้าความสามารถรู้ได้ถึงขนาดดับได้ก็ดีแล้ว จะช้าจะเร็วดับให้ได้ก่อน

ถาม : ก็คือ ค่อย ๆ ทำไปใช่ไหมคะ จนกว่าจะเร็วขึ้น ?
ตอบ : เดี๋ยวจะเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี
17-02-2010, 19:03
ถาม : ทางคณะเขาจะไปเปิดร้านกาแฟ จะทำอย่างไรให้มีความคล่องตัวเพิ่มขึ้น ควรทำอะไรเสริมคะ ทำสังฆทานถวายเจ้าที่อย่างนี้ดีไหมคะ?
ตอบ : ได้ แต่จะให้แน่ ๆ ก็ต้องสวดคาถาเงินล้านเยอะ ๆ

เถรี
17-02-2010, 19:06
ถาม : หนูเคยเห็นพระอยู่รูปหนึ่ง เวลามีผู้หญิงมาใส่บาตร พระรูปนี้เขาจับไหล่ผู้หญิงแล้วก็อวยพร ผู้หญิงก็สะดุ้งกันเป็นแถวเลย แบบนี้ผิดหรือเปล่าคะ?
ตอบ : ว่ากันตรง ๆ ก็ผิดแน่ ขนาดรับของจากผู้หญิง เขายังให้เอาของอื่นรับ

ถาม : เห็นอย่างนี้ทุกวันค่ะ มีแต่คนมอง สะดุ้งกันเป็นแถวเลย
ตอบ : เอาอย่างนี้สิ โทรบอกสรยุทธ ให้มาถ่ายเลย..!

เถรี
17-02-2010, 21:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "สถานการณ์ประเทศ ถ้าหากว่าอยู่ในช่วงไม่ดี สังเกตมาหลายทีแล้วว่า มักจะมีช่วงเสาร์ ๕ เพื่อจะได้ทำพิธีผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่ว่างานนี้เขาบอกว่าดีเดย์อยู่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ แต่เสาร์ ๕ อยู่เดือนมีนาคม เพราะฉะนั้น..สิ่งที่จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ ไม่ใช่เสาร์ ๕ จะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณค่ามากพอ ซึ่งตอนนี้หลวงพ่อสมเด็จวัดสุวรรณารามก็ไปหนึ่งองค์แล้ว ก็ต้องรอดูว่ารายต่อไปคือใคร ?"

ถาม : องค์เดียวไม่พอหรือคะ ?
ตอบ : ไม่พอ ต้องสามหรือสี่ ทั้งพระและฆราวาสที่มีความดีใหญ่

เถรี
18-02-2010, 00:06
ถาม : พอดีผมสอบเข้าเพื่อไปเรียนปริญญาเอก เดือนกรกฎาคมนี้สอบอีกรอบ ไม่ทราบว่าจะผ่านหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ารู้จักคาถาท่านปู่พระอินทร์ก็ให้ใช้คาถานี้ ถ้าไม่รู้จักก็ไปเปิดดู ในหนังสือมนต์พิธีมีอยู่ คาถาท่านว่า สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ ขอความคล่องตัวในการสอบ ขอให้ตอบคำถามได้ถูกต้องและถูกใจกรรมการด้วย ไปลองใช้ดู เขาใช้กันมาเยอะแล้ว

เถรี
18-02-2010, 00:09
ถาม : มีพระเขาแนะนำหนูมาว่า วันพระให้เราถือศีล ๕ วันธรรมดาให้เราถือศีลสองข้อ ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใครสอน ?

ถาม : พระค่ะ
ตอบ : ถ้าถือศีลห้าได้ตลอดก็ถือไปสิ อย่าลืมว่าคนเราจะเป็นคนหรือไม่เป็นคน อยู่ที่ศีลห้านะ ถ้าศีลห้าขาดไปข้อหนึ่ง ความเป็นคนก็หายไป ๒๐ % ถ้าถือได้ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ถือเลยจ้ะ ยกเว้นว่ามีเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ จำเป็นต้องขาด ก็ให้รีบถือใหม่ให้เรียบร้อย ให้ครบถ้วนเหมือนเดิม ยิ่งถือศีลแปดได้ยิ่งดี

เถรี
18-02-2010, 00:13
ถาม : การเพ่งเปลวเทียน จัดว่าเป็นในหมวดของกสิณไฟหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เตโชกสิณ กสิณไฟ ใช่หรือเปล่าละจ๊ะ ?

ถาม : จิตไม่ยอมเข้าไปถึงองค์ฌานของกสิณ แต่ยกไปสู่วิปัสสนาเสมอ หนูพยายามจะเข้าไปในองค์ฌานให้ได้ แต่มันไม่ยอมค่ะ
ตอบ : จำภาพแล้วประคองภาพไว้ เขาจะเข้าเมื่อไรเรื่องของเขา อย่าไปอยากเข้า มอง..หลับตาลง..นึกถึง ถ้าภาพหายไป ลืมตา..มอง..จำ แล้วก็นึกถึงใหม่ พร้อมกับคำภาวนา จะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌานเรื่องของมัน เรามีหน้าที่รักษาภาพอย่างเดียว

ถาม : สีของเปลวจะเปลี่ยนก็ไม่ต้องสนใจ ?
ตอบ : จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนเรื่องของเขา เรามีหน้าที่รักษาภาพเอาไว้ให้ได้ก็พอ

เถรี
18-02-2010, 00:14
ถาม : อ่านในหนังสือที่หลวงพ่อบอกว่า ใช้กำลังสมาธิมาก ๆ แล้วร่างกายจะหมดแรง มันเกี่ยวกับความแข็งแรงของร่างกายด้วยหรือคะ ?
ตอบ : นั่นใช้เกินกำลัง ในเมื่อเกินกำลังก็เท่ากับบีบบังคับร่างกายให้ทำงานหนักเกินไป พอถึงเวลาคลายกำลังใจออกมา ก็หมดแรง

ถาม : เกี่ยวกับร่างกายแข็งแรงน้อยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มีส่วน ขณะเดียวกันกำลังใจก็แข็งแรงไม่พอ ถ้ากำลังใจมั่นคงหรือมีความคล่องตัวพอ จะไม่เป็นสภาพอย่างนั้น

เถรี
19-02-2010, 20:22
ถาม : ตอนนี้แม่เขาป่วยหนัก เขาอยากจะถวายสังฆทานแบบเฉพาะเจาะจง ก็คือ ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของแม่ อีกอย่างหนึ่งก็คือให้เทพที่คุ้มครองแม่ อันนี้คือถวายทีละถัง หรือถวายร่วมกันไปได้เลย?

ตอบ : ถ้าไม่มั่นใจก็ถวายทีละถัง ถ้ามั่นใจก็ถวายรวดเดียวเลย

เถรี
19-02-2010, 21:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราโดยธรรมชาตินั้น เหมาะที่จะกินพืชกินผักมากกว่า ดูเด็ก ๆ ก็แล้วกัน เด็กเกิดมาใหม่ ๆ พอฟันเริ่มงอก ฟันกระต่ายจะมาก่อน บอกลักษณะว่าเหมาะที่จะกินพืชมากกว่า โดยเฉพาะลำไส้ของคนยาวตั้งหลายฟุต ขดไปขดมาอยู่ข้างใน ลักษณะลำไส้อย่างนั้น กินอาหารพวกเนื้อไม่ได้

สัตว์พวกกินเนื้อ อย่างสิงโตหรือเสือ ลำไส้จะตรง ๆ เลย พอถึงเวลาก็ขับถ่ายออกมา แต่ว่าของเราลำไส้อยู่ในลักษณะที่ว่า อาหารต้องค่อย ๆ เดินทางเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ถ้าเป็นโปรตีนอยู่นาน ๆ แล้วจะเน่า กลายเป็นกรด ก็จะไปทำลายลำไส้ แล้วเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ง่าย ยิ่งถ้าใครท้องผูกยิ่งไปกันใหญ่เลย

เพราะฉะนั้น...พวกนักโภชนาการเขาก็เลยกำหนดว่า ถ้าหากกินอาหาร ควรจะเป็นพวกพืชผักสัก ๗๐ % ส่วนอาหารเนื้ออย่าให้เกิน ๓๐ %

แต่เดิมคนเรากินเนื้อ แต่พัฒนาการนาน ๆ ไปแล้ว ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อาหารเนื้อนั้นหายาก จับได้ยาก ล่าได้ยาก ก็พัฒนามากินผักไปด้วย กินพืชไปด้วย ท้ายสุดจากที่เขี้ยวยาว ๆ ก็ค่อย ๆ หดไปเรื่อย ๆ พัฒนามา มีฟันตัด ฟันบด ในเมื่อร่างกายพัฒนามาลักษณะนี้ อวัยวะภายในก็พัฒนาตามไปด้วย กลายเป็นว่า เหมาะสมที่จะย่อยอาหารที่เป็นพืชผักมากกว่า ถึงได้ต้องใช้ลำไส้ที่ยาวมาก

ฉะนั้น..ต้องเปลี่ยน ถ้าใครที่ถนัดกินเนื้อมากกว่ากินผัก ต้องเปลี่ยนนิสัย ไม่อย่างนั้นจะเหมือนโยมที่พระครูแสงเขาว่า เป็นโรคมะเร็งลำไส้ ตัดลำไส้ทิ้งไม่ทัน เพราะมันลาม"

เถรี
19-02-2010, 21:54
"แต่สมัยนี้จะกินผักหรือกินเนื้อ ก็ตายใกล้เคียงกัน เพราะว่าผักมีสารพิษเยอะเหลือเกิน วิธีที่จะกินผักให้ปลอดภัย เอาน้ำส้มสายชู อสร. นี่แหละ เปิดน้ำใส่ถังหรือกะละมัง ๒๐ ลิตร ใส่น้ำส้มสายชูลงไป ๒ ช้อนโต๊ะ แล้วแช่ผัก ๑๕ นาที แช่นานกว่านั้นได้ยิ่งดี เพราะว่าน้ำส้มสายชูจะไปทำให้พิษซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรด กลายเป็นกลางไปแทน พอเป็นกลางไปความเป็นพิษก็หมดลง

น้ำส้มสายชูขวดหนึ่งก็น่าจะใช้ได้นานหรอกนะ แช่ทีเยอะ ๆ ตุนใส่ตู้เย็นไว้ แต่เดี๋ยวนี้ก็แย่ เขาเล่นถึงขนาดแช่ผักด้วยฟอร์มาลีน
ถั่วงอกแช่ฟอร์มาลีนขาวจ๋องเชียว สดอยู่หลายวัน พวกนี้สังเกตได้ง่าย พอหมดอายุแล้วเน่าเลย ไม่ใช่ค่อย ๆ เหี่ยว ค่อย ๆ เหลืองนะ จะเน่าเลย พวกผักพวกเนื้อที่แช่ฟอร์มาลีนนี่น่ากลัวมาก คนเรานี่เขาคิดอยู่อย่างเดียว คิดหากำไร ไม่ได้คิดถึงชีวิตเพื่อนมนุษย์เลย"

เถรี
19-02-2010, 21:56
พระอาจารย์กล่าวต่อว่า "ตอนไปเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่มหาอำพัน เปลี่ยนไปน้ำตาก็ร่วงไป ไม่ได้ร้องไห้เพราะหลวงปู่ท่านมรณภาพ แต่เพราะเขาฉีดฟอร์มาลีนไว้ แล้วไอระเหยมาเข้าตาพอดี กว่าจะเปลี่ยนเสร็จ น้ำตาไหลแล้วไหลอีก

แต่ของหลวงปู่ท่านแปลก คนทั่ว ๆ ไปฉีดฟอร์มาลีนพักเดียวจะดำหมดเลย หลวงปู่ท่านขนาดข้ามวันข้ามคืนแล้วนะ ท่านก็ยังขาวอยู่เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลย "

เถรี
19-02-2010, 22:20
เช้าวันเสาร์ที่ ๖ ของเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถ้าใครสังเกตท้องฟ้า ก็จะเห็นว่าบรรยากาศครึ้ม ๆ คล้ายฝนจะตก แต่กลับไม่ตก...

พระอาจารย์กล่าวว่า "อากาศลักษณะอย่างนี้ เคยมีพระอริยเจ้าทิ้งสังขารมาแล้ว"

หลวงตาแสงชัยก็บอกว่า "ครูบาดวงดีเลย เมื่อเช้าท่านมรณภาพ"

พระอาจารย์ก็กล่าวว่า "อ้าว...ว่าแล้ว ระยะนี้เขาเล่นเอาวัตถุโบราณไปทั้งนั้น วัตถุโบราณเขากำหนดว่าอายุต้องร้อยปีขึ้นไป หลวงพ่อสมเด็จวัดสุวรรณารามก็ ๑๐๓ ครูบาดวงดี ๑๐๔ แต่ครูบาดวงดีท่านแข็งแรงมากนะ ไม่มีทีท่าเลย

บรรยากาศอย่างนี้ จำไว้เลยนะ ถ้าเห็นระแวงไว้ก่อนเลย อาตมาดูจนชำนาญ"

เถรี
20-02-2010, 14:02
พระอาจารย์กล่าวต่ออีกว่า "ตอนหลวงพ่อมรณภาพ บรรยากาศเป็นแบบนี้อยู่ ๗ วันเต็ม ๆ"

ถาม : จะมีผลอย่างไร ?
ตอบ : อยู่ในลักษณะที่ว่า เทวดาฟ้าดินท่านแสดงความสลดสังเวชไปด้วย
แต่ว่าช่วยได้เยอะ เพราะว่าถ้าพระหรือบุคคลสำคัญทิ้งขันธ์ไป ก็จะช่วยบรรเทาเรื่องชะตากรรมประเทศชาติไปได้มาก

ถาม : หมายถึงบุญของท่านเข้าช่วยหรืออย่างไร ?
ตอบ : หมายความว่า ถ้าท่านอยู่ก็จะสร้างประโยชน์ได้อีกมหาศาล แต่ท่านไปก็เพื่อแลกกับอนาคตประเทศชาติ

เถรี
20-02-2010, 14:37
ถาม : ตอนนี้ผมกำลังฝึกจับภาพพระและภาวนาพุทโธ ผมจะทำอย่างไรครับที่จะให้ภาพพระแจ่มใส ?
ตอบ : อย่าอยากให้แจ่มใส ให้รู้สึกได้ก็พอ

ถาม : ชัดหรือไม่ชัด ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..สำคัญตรงลมหายใจ ถ้าลมหายใจทรงตัวมากเท่าไร ภาพพระก็จะชัดขึ้นเท่านั้น

ถาม : ถือศีลห้าด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ศีลจำเป็นต้องมีอยู่แล้ว ฮ่วย..! ไม่มีศีลแล้วจะไปทำอะไรกิน ศีลเป็นพื้นฐานใหญ่ของการปฏิบัติธรรม

ถาม : ผมเคยได้ยินการเบิกบุญมาใช้ เบิกได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยเบิก ก็เลยไม่รู้ว่าเบิกได้หรือเปล่า ถ้าเบิกได้นี่รวยตายเลย เพราะตุนเอาไว้ไม่รู้ตั้งเท่าไร ลองไปเบิกดูก่อนก็แล้วกัน ถ้าได้ผลแล้วมาบอกให้ฟังด้วย อาตมาจะได้ไปเบิกบ้าง

ถาม : พอดีผมไปเจอท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าเบิกบุญมาใช้ได้ครับ ผมก็เลยถามหลวงพ่อ
ตอบ : ก็ลองดู แต่อาตมายังไม่เคยเบิก ถ้าเบิกได้ช่วยบอกวิธีด้วย จะได้เบิกบ้าง

เถรี
20-02-2010, 17:04
ถาม : ตอนนี้ผมป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ทีนี้ผมกินน้ำมันชาตรีจากวัดท่าซุงแล้วรู้สึกร้อนครับ ก็เลยอยากจะทราบว่า มีวิธีรักษาเพื่ออยู่ต่อไหมครับ ?
ตอบ : คงต้องพึ่งหมอสมัยใหม่แล้วกระมัง คุณเจาะไขสันหลังไปกี่รอบแล้ว ?

ถาม : รอบเดียวครับ
ตอบ : มีเด็กผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ตอนนั้นอายุเพิ่งจะ ๑๒ โดนเจาะไขสันหลังไปเป็นสิบ ๆ รอบเลย จนเขาบ่นว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว

คุณไปนั่งกรรมฐาน ใช้กำลังใจตัวเอง พอสมาธิทรงตัวแล้ว นึกถึงสภาพร่างกายของเรา ว่าเป็นอย่างไร ? เจ็บไข้ได้ป่วยตรงจุดไหน ? ตั้งใจจะให้หายอย่างไร ? อย่างมะเร็งในเม็ดเลือด เกิดจากเม็ดเลือดขาวมีมากเกินไป..ใช่ไหม ? เราเองก็ตั้งกำลังใจว่า ให้มันมีพอดี ๆ ตั้งกำลังใจอย่างนี้ทุกวัน ๆ

ถาม : แล้วช่วยได้ ?
ตอบ : ได้..แต่ว่าต้องใช้สมาธิตัวเองช่วย ถ้าคล่องตัวในฌานก็จะปรับธาตุได้เลย ดูท่าคุณไม่ใช่คนอายุสั้นหรอก

เถรี
20-02-2010, 17:12
พระอาจารย์กล่าวต่อว่า "วิธีที่บอกเขาไป จริง ๆ เป็นการฝืนเหมือนกันนะ แต่ว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น เกิดจากสภาพร่างกายทำงานผิดปกติ นั่นเท่ากับว่าเราไปปรับสภาพให้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าต้องสั่งร่างกายบ่อย ๆ จนกระทั่งร่างกายเรารู้สึกว่า ได้รับคำสั่งโปรแกรมนี้แน่นอนแล้ว ก็จะเริ่มเดินตามโปรแกรมที่เราให้ ก็ถือว่าจบ"

ถาม : เป็นการฝืนกฎแห่งกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็ไม่ฝืน ถ้าทำไม่ได้แล้วยังดื้อจะทำ นั่นแหละฝืน

เถรี
20-02-2010, 20:28
ถาม : วิชาลูกดอกบัว ถ้าเราไม่รู้วิธีการ เราใช้วิธีนำดอกบัวที่ผ่านการเข้าพิธีพุทธาภิเษกไปใช้แทนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ตรงกับหลักการ เขาว่าอย่างไรให้ทำอย่างนั้น อาตมายังไม่กล้าใช้วิธีลัดเลย

ถาม : ที่ผมเคยได้ยินมา เขาบอกว่าให้ใช้ดอกบัวที่พระอุปสมบทใหม่ถือเข้าไปใช้ในพิธี
ตอบ : อย่างนั้นก็มี บางคนก็เสกกล้วย บางคนก็เสกน้ำมนต์ ผู้ชายสมัยก่อนที่ต้องบวชเรียน ก็เพื่อศึกษาวิชาการพวกนี้ด้วย เวลามีครอบครัว เมียเกิดเดือดร้อนขึ้นมา เราต้องแก้ไขได้ ขนาดคลอดลูกตายในท้อง เขาเสกสายสิญจน์ผสมน้ำมนต์ให้เมียกลืนลงไป คล้องคอลูกออกมาได้ นับเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะอยู่กันคนละส่วน คนละอวัยวะ แต่ก็เป็นไปได้

เถรี
20-02-2010, 22:18
ถาม : ถ้าเราเอาชนะกิเลสในเวลานั้นได้ แสดงว่าเรามีกำลังมากพอหรือเปล่า ?
ตอบ : มากพอที่จะฆ่ามัน

ถาม : เมื่อกี้มันเกิด หนูมองดูมัน มันก็ยังนิ่งอยู่ ท้ายสุดก็เลยสู้กับมัน ปรากฏว่ามันหายไปเลย มันต้องหาวิธีมาจัดการ
ตอบ : พวกนี้เขาไม่กลัวคนเมตตาหรอก แต่จะกลัวแต่คนที่โหดกับเขา

เถรี
20-02-2010, 23:30
ถาม : ถ้าเรามีสิ่งของมาให้ครูบาอาจารย์ที่เรานับถืออธิษฐานจิต หรือปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่าเราใช้ท่าน เป็นบาปแก่ตนเองหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าใช้ก็บาป

ถาม : แล้วต้องใช้วิธีไหนจึงจะไม่เป็นบาป ?
ตอบ : ถ้ามีพิธีอย่างเป็นทางการ อย่างไรเสียท่านก็ต้องทำอยู่แล้ว ก็เอาของไปเข้าร่วมพิธี

ถาม : ถ้ากรณีเรามีอะไรมาให้ท่านช่วยลงอักขระ ถือว่าเป็นการใช้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นการไปขอความเมตตาท่าน ถ้าท่านสงเคราะห์ก็แล้วไป ถ้าท่านไม่สงเคราะห์ก็อย่าไปว่าตื๊อให้ท่านทำ

เถรี
21-02-2010, 00:28
ถาม : ผ้ายันต์เกราะเพชร สมมติถ้าเราไม่ได้ไปเข้าพิธี เราพกติดตัวไว้แล้วอาราธนา
ตอบ : มีผลน้อย เพราะเป็นไปตามกำลังใจของเราเอง ถ้าหากพกผ้ายันต์ที่ผ่านการเข้าพิธีมา ก็เหมือนกับเราไปเข้าพิธีเป่ายันต์นั่นแหละ แต่มีผลต่างกันอยู่ว่า ผ้ายันต์เราอาจจะเผลอลืมพกได้ แต่ถ้าพกอยู่แล้วไปกินเหล้า ผ้ายันต์จะไม่คุ้มครองชั่วคราว หายเมาเมื่อไรอาราธนาใหม่ก็ใช้งานได้

ส่วนถ้าเราไปเข้าพิธีเป่ายันต์มา ยันต์ก็จะติดตัวเรา ไปไหนไม่ลืมแน่ แต่ถ้าเผลอไปกินเหล้าเมื่อไร ก็เสื่อมเลย

ถาม : ลักขโมยด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เลือกเอาก็แล้วกันว่า จะเอาอย่างไหน หรือไม่ถ้าเอาแบบปลอดภัยหน่อย ก็สองอย่างรวมกันเลย ทั้งเป่ายันต์ด้วยและพกผ้ายันต์ด้วย

เถรี
21-02-2010, 00:31
ถาม : เวลาที่เราสวดมนต์ เราต้องสมาทานศีลหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้ามีศีลอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องสมาทานหรอกจ้ะ

ถาม : เคยได้ยินว่า ถ้าเราสมาทานศีลแล้ว เราคิดให้ใครก็จะได้นั่น
ตอบ : ศีลไม่ได้อยู่ที่สมาทาน การสมาทานเป็นการศึกษาว่าศีลมีอะไรบ้าง ศีลจะเป็นศีลหรือไม่เป็นศีล อยู่ตรงที่เราตั้งใจงดเว้นปฏิบัติให้ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเรารู้แล้วว่าศีลห้าข้อมีอะไรบ้าง เราตั้งใจปฏิบัติได้ ถึงเวลาศีลอยู่กับเราแล้วจ้ะ ไม่ต้องไปสมาทานใหม่

เถรี
21-02-2010, 17:39
ถาม : ผมทำงานจนกระทั่งได้ผลงานเป็นอันดับหนึ่งของบริษัท ช่วงเดือนธันวาคมมีใครไม่รู้เล่นวิธีพิสดาร ชนะผมไปเลย เสร็จแล้วต้องมีการรับรางวัล ผมกลายเป็นที่สอง ผมไม่อยากไปรับเลย ถ้าเกิดผมดื้อแพ่งไม่ไปรับ คนอื่นเขาจะมองว่า
ตอบ : เหมือนกับเราไม่รู้แพ้รู้ชนะ

ถาม : นั่นสิ ผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์
ตอบ : นั่นก็เรื่องของเขา เราก็ทำของเราไป แล้วก็ดูไปด้วยว่าเขาใช้วิธีไหนซอกแซกไปได้

ถาม : เหมือนวิ่งแข่งพันเมตร เราวิ่งมาตั้งแต่ต้น พอร้อยเมตรสุดท้าย เขานั่งเฟอร์รารี่แซงมา แล้วก็เดินเข้าเส้นชัยไปเลย แล้วก็บอกว่าไม่ผิดที่นั่งรถ ไม่รู้จะพูดอย่างไรเลยครับ
ตอบ : เราก็ใช้วิธีเดียวกับเขาบ้าง

ถาม : อย่างนี้เราควรไปรับรางวัลไหมครับ ?
ตอบ : ควร..จะได้อยู่ในลักษณะรู้แพ้รู้ชนะ แสดงความยินดีกับเขาด้วย เป็นการวัดกำลังใจของเราได้ดีที่สุดเลย รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย จริง ๆ แล้วเป็นกำลังใจของทางด้านธรรมะโดยตรง แม้ว่าเขาจะไม่ตรงไปตรงมาก็ตาม แต่เราก็ต้องเข้าใจในจุดที่ว่า ในเมื่อเขาทำได้ตามกติกา เราเองเรายอมรับกติกา

ถาม : ผมตั้งใจจะไม่ไปนะนี่
ตอบ : แกล้งทำเป็นคนโง่ ไม่รู้ไม่ชี้ สามก๊กเขาบอกว่า ถ้าโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้

เถรี
21-02-2010, 17:52
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนหมาที่บ้านขึ้นต้นไม้ได้ แต่ขึ้นได้ไม่สูง พอเราเผ่นพรวดขึ้นต้นไม้ มันก็ตะกายตาม แต่ตะกายได้ไม่สูงเพราะเกาะไม่ติด เดี๋ยวก็รูดลง รู้สึกหมาสมัยใหม่นี้ก็หมดสมรรถภาพพอกัน สมัยนั้นช่วงตรุษจีนพอกินไก่เสร็จ ยกกระดูกไก่ให้หมาดู แล้วก็ขว้างเข้าไปในดงหญ้าคา หมามันกระโจนพรวดเข้าไป ไม่ถึงครึ่งนาทีก็เอาออกมากินแล้ว สมัยนี้โยนเลยหัวไปศอกเดียวก็ยังหาไม่เจอ

แสดงว่าทั้งคนทั้งสัตว์ สมรรถภาพเสื่อมเข้าไปเรื่อย ๆ ตรงนี้มาคิดถึงการปฏิบัติ เพราะว่าความแหลมคมของประสาทสัมผัสเสื่อมไปด้วย ฉะนั้น..ในเรื่องการปฏิบัติ สติ สมาธิ ปัญญา ความแหลมคมก็ลดน้อยไปเรื่อย ตามความสุขสบายที่เกิดขึ้น พระเขาจึงบังคับว่าต้องออกธุดงค์ ออกไปเพื่อให้ลำบาก ไปซื้อสัญชาตญาณเดิมกลับมา"

ถาม : แสดงว่าอยู่กับที่นาน ๆ ไม่ได้ ?
ตอบ : คนที่จะอยู่กับที่นาน ๆ ได้ ต้องเป็นอย่างท่านเจ้าคุณนรฯ คือ มีไฟอย่างสม่ำเสมอ มีวินัยในการปฏิบัติ ถ้าหากคนที่ไม่มีไฟสม่ำเสมอ ไม่มีวินัยในการปฏิบัติ อยู่กับที่นาน ๆ เสร็จทุกราย

เราจะสังเกตว่า เราไปที่ไหนใหม่ ๆ เวลากลางคืนนอนไม่ค่อยหลับหรอก ที่บอกว่านอนไม่หลับเพราะแปลกที่ จริง ๆ ไม่ใช่ เป็นเพราะที่นั้นเราไม่เคยอยู่ เราไม่มั่นใจความปลอดภัย สภาพจิตก็จะตื่นตัวของมันเอง นักปฏิบัติจริง ๆ จะต้องเอาให้ได้อย่างนั้น ก็คือ จะหลับจะตื่นต้องมีสติรู้อยู่ แต่พวกเรานี่พอเห็นว่าคืนที่สองไม่มีอะไร คืนที่สามก็กรนตั้งแต่หัวค่ำ พระธุดงค์ท่านจึงไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าอยู่ที่เดียว เดี๋ยวก็ชินแล้วตรงนี้ สติก็คลายตัว

เถรี
21-02-2010, 18:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสียดายวิชาการของเราจำนวนมากต่อมากด้วยกัน หายสาปสูญไปกับผู้รู้ เพราะกว่าที่ท่านจะหาลูกศิษย์ที่ท่านมั่นใจว่าทรงความดี มีความเพียรพยายามที่จะสืบทอดวิชาได้ บางทีท่านก็ตายไปเสียก่อน วิชาก็สูญไป

หรืออีกมากต่อมากด้วยกัน ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ก็อุตส่าห์เก็บไม้ตายสุดท้ายเอาไว้ ก็เลยกลายเป็นไม้ตายจริง ๆ คือ ตายไปกับตัว พอคนรุ่นหนึ่งก็หายไปหน่อยหนึ่ง รุ่นหนึ่งก็หายไปหน่อยหนึ่ง รุ่นหลังก็เลยเก่งสู้รุ่นก่อน ๆ ไม่ได้ จนกว่าคนเก่าจะเผลอมาเกิดใหม่ พอมาเรียนเข้าก็เกิดจำของเก่าได้ขึ้นมา"

เถรี
21-02-2010, 19:23
ถาม : นั่งสมาธิแล้วชอบกำหนดลมหายใจ แล้วจังหวะหนึ่งมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตกจากที่สูง ช่วงที่วูบจะมีความรู้สึกว่าขนลุก จะไปต่อไม่ได้ ครู่เดียวก็หายไปเลย
ตอบ : ไม่ต้องไปต่อ แก้อาการตกจากที่สูงให้ได้ก่อน ลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าจิตจะเริ่มเป็นสมาธิแล้ว แต่ว่าจิตหยาบไปหน่อย สติจึงขาด ก็เลยพลัดหลุดออกมา ให้เอาใจดจ่อแน่วแน่อยู่กับลมหายใจจริง ๆ แล้วจะผ่านไปได้ ให้สังเกตว่าทุกครั้งที่เราพลัด ก็คือ เราลืมลมหายใจ เอาใจจดจ่ออยู่กับลมให้แน่วแน่กว่าเดิม ถ้าผ่านไปแล้วก็จะทรงตัวไปเลย

ถาม : ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : บอกไปเรียบร้อยแล้ว ไปทำตามที่บอก

เถรี
21-02-2010, 19:48
ถาม : ถ้าเราได้ผลบุญ เราควรที่จะไปคุยให้เพื่อนหรือญาติฟังไหม ถึงผลบุญที่เราทำแล้วได้กลับมา ?
ตอบ : ดูความเชื่อของเขาด้วย ถ้าเขาไม่เชื่อแล้วเราไปคุย เขาก็จะว่าเราบ้า แล้วจะทะเลาะเบาะแว้งกันเสียเปล่า ๆ ถ้าเขาเชื่อเราก็คุยได้ ถ้าเขาไม่เชื่อ..เสียเวลาไปคุย

เถรี
22-02-2010, 01:28
ถาม : วิธีการสวดอิติปิโส ๑๐๘ จบ ต้องสวดอย่างไรครับ สวดพระพุทธอย่างเดียว หรือสวดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ?
ตอบ : สวดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าไม่ครบ ๓ บท เขาไม่ถือเป็น ๑๐๘

เถรี
22-02-2010, 01:36
ถาม : การบน สมควรที่จะบนหรือไม่ ? เหมือนกับว่าเราไปดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับเราไปต่อรองว่า ถ้าได้อย่างนี้จะเอานี่มาถวาย
ตอบ : คิดในแง่นั้นก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วการบนนั้น ต้นทุนของเราต้องพอ จึงจะบนสำเร็จ ถ้าต้นทุนหรือความดีของเราไม่พอ บนไปก็ไม่สำเร็จ
เคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำในขวด ขาดอยู่แค่นี้(เกือบถึงปากขวด) เติมอีกนิดเดียวก็เต็มแล้ว เราบนก็จะสำเร็จ

เพราะส่วนใหญ่การบน คือ เราตั้งใจทำความดีให้ท่าน ความดีนั้นพอเราทำก็เป็นของเราก่อน เท่ากับว่าเราไปเติมน้ำให้เต็มพอดี ถ้าอย่างนั้นการบนก็จะสำเร็จ แต่ถ้าเกิดเราขาดน้ำเยอะ มีน้ำอยู่แค่นี้(ก้นขวด) บนเท่าไรก็ไม่สำเร็จหรอก ยังต้องเติมอีกเยอะ ความดีที่เราจะทำ สมมติเมื่อเติมแล้วได้แค่นี้(ก้นขวด) เขาก็ไม่รู้ว่าจะสงเคราะห์อย่างไร

เพราะฉะนั้น..ว่าไปแล้วเรื่องของการบนก็เป็นไปตามเหตุตามผล ก็คือ เราสร้างเหตุไว้เพียงพอ ผลจึงจะเกิด ถ้าเราสร้างเหตุไว้ไม่พอ ผลก็ไม่เกิด ว่าไปแล้วจริง ๆ ตรงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเลย เพียงแต่ว่าคนไม่เข้าใจ เห็นว่าคนนั้นบนได้ผล แล้วทำไมเราไม่ได้ผล ก็เพราะของเรายังขาดอีกเยอะ ต้องสร้างเหตุให้มากกว่านี้

เถรี
22-02-2010, 13:15
ในขณะที่สนทนาเกี่ยวกับเรื่องภาษาต่าง ๆ พระอาจารย์ก็กล่าวสรุปให้ฟังว่า "นักปฏิบัติพอทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ภาษาทุกภาษามันเหลือแค่ภาษาใจ ก็คือ ใจเขาสื่ออะไรมา ใจเรารับได้ มันจะเข้าใจภาษาของเขาหมด"

เถรี
22-02-2010, 13:30
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ทางศาสนาฮินดู เขามีความเชื่อว่า คนที่ไม่มีลูกหรือไม่แต่งงาน จะตกนรกขุมที่ชื่อว่า ปุตตะ แต่เราดูไปดูมามันน่าจะกลับข้างกัน คือ ถ้าคนมีลูกแล้วมันน่าจะตกนรกขุมนี้..! เมื่อเขาเชื่อว่าถ้าไม่มีลูกแล้วจะตกนรก เขาก็เลยกลัว ผลิตลูกกันใหญ่"

ถาม : แล้วคนที่ตายไป ที่มีความเชื่อว่าตกนรกขุมนี้ แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน ?
ตอบ : ถ้าจิตหมองก็เรียบร้อย ไปตามกำลังตน

แต่ฮินดูดีอยู่อย่างหนึ่ง เรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตของเขาไม่มี เพราะฮินดูเป็นมังสวิรัติ อย่างน้อย ๆ ศีลของเขาก็ได้ข้อหนึ่งแล้ว

ถ้าดูในหลักการของศาสดาเจ้าลัทธิทั้ง ๖ ที่ดังมาก ๆ ในสมัยนั้นเลย ก็มีแต่ศาสดามหาวีระ (นิครนถ์นาฏบุตร) หลักการของเขาคล้ายศาสนาพุทธมาก มีศีลลักษณะคล้ายศีลห้ามาก แม้กระทั่งการจำพรรษาในฤดูฝน ก็เริ่มมาจากศาสนานี้ ท่านเป็นศาสดาร่วมสมัยพระพุทธเจ้าก็จริง แต่เป็นรุ่นพี่ อายุมากกว่า และมรณภาพก่อน

ถ้าไปดูในสังคีติสูตรหรือทสุตตรสูตร จะกล่าวถึงศาสดามหาวีระ พอตายแล้วลูกศิษย์ก็แตกแยกกัน เพราะไม่ได้ร้อยกรองสังคายนาวินัยไว้ พระสารีบุตร พระจุนทะไปกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เพราะไม่ได้ร้อยกรองสังคายนาพระวินัย ลูกศิษย์จึงได้เป็นอย่างนั้น

พระสารีบุตรจึงได้ดำริ ว่าควรจะร้อยกรองสังคายนาพระวินัย อย่างเช่นว่า กำหนดเป็นหมวด ๆ ไป สมมติถ้ามีหลักธรรมสามหัวข้อ ก็จัดเป็นหมวดสาม กุศลมูล ๓ อกุศลมูล ๓ วจีสุจริต ๓ วจีทุจริต ๓ ถ้าอย่างไหนมี ๔ หัวข้อ เช่น อิทธิบาท ๔ สัมมัปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ก็จัดอยู่ในหมวดสี่ เป็นแนวทางในการสังคายนาพระวินัยมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่ได้ทำเป็นรูปธรรม เพราะพระพุทธเจ้าเห็นว่ายังไม่ใช่เวลา แต่ว่าพระสูตรทั้งสองพระสูตรนี้ก็ปรากฏขึ้นชัดแล้ว

เพราะฉะนั้น...พระมหากัสสปะท่านมาทำร้อยกรองสังคายนาพระวินัย ก็ทำตามนี้ และที่แน่ที่สุดก็คือว่า แบบอย่างที่เรียนนักธรรมทุกวันนี้ของพระ นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ก็มาจากทสุตตรสูตรที่พระสารีบุตรท่านร้อยกรองไว้ มาแยกเป็น ทุกะ หมวด ๒ ติกะ หมวด ๓ จตุกกะ หมวด ๔ ฯลฯ

เถรี
23-02-2010, 02:09
พระอาจารย์ยังต่ออีกว่า "ขนาดพระพุทธศาสนาของเรา เตรียมการร้อยกรองพระธรรมวินัยเอาไว้ และได้ทำอย่างทันท่วงที ก็คือหลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน ถามว่าทำไมต้องหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานสามเดือน ? ก็เพราะต้องเตรียมการต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของความขัดแย้ง มั่นใจว่ามีคนคัดค้านแน่

เพราะว่าพวกที่เห็นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเป็นการดี จะได้ไม่มีใครมาคอยควบคุม เขาจะคัดค้านแน่ จึงต้องขอมีมติสงฆ์ว่า บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังคายนา ห้ามเข้าไปในกรุงราชคฤห์

การจัดสังคายนานั้น ได้ขอการอุปถัมภ์จากพระเจ้าอชาติศัตรู ได้ถ้ำสัตบรรณคูหา เชิงเขาเวภาระ เป็นสถานที่สังคายนา ก็มีการจัดสถานที่ มีการเตรียมการต่าง ๆ จนพร้อมมูล แล้วจึงได้ดำเนินการสังคายนา ขนาดนั้นก็ยังมีการคัดค้านแล้ว พระปุราณะเถระ ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ มีบริวารมาก แต่อยู่ไกล คือ อยู่ถึงทักขิณาคีรีชนบท ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณเชียงรายหรือสุไหงโกลก

ท่านมาถึงทีหลัง การทำสังคายนาเสร็จไปแล้ว ทางคณะสงฆ์ก็ได้แจ้งให้ท่านทราบ ว่าได้ทำการสังคายนาไปอย่างนี้ ๆ พอท่านฟังเนื้อความแล้ว ท่านก็บอกว่า "ดูก่อน..อาวุโส สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำนั้นดีแล้ว แต่ว่าเราจะปฏิบัติเฉพาะสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา ต่อเบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น" พูดง่าย ๆ ว่าคุณจะทำก็ทำไป แต่ว่าผมจะปฏิบัติตามเฉพาะที่ผมได้ยินที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา จึงเริ่มมีเค้าลางการแตกกันตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งที่ ๑"

เถรี
23-02-2010, 02:25
"ถ้าถามว่าเค้าลางนี้มีสิ่งบอกเหตุไหม? มีสิ่งบอกเหตุมาตั้งแต่สมัยพระเทวทัตแล้ว

พระเทวทัตต้องการจะปกครองคณะสงฆ์ ก็เข้าไปยื่นข้อเสนอต่อพระพุทธเจ้า ว่าภิกษุควรอยู่ป่าตลอดชีวิต ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อฉันปลาตลอดชีวิต ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าไม่ประทานอนุญาต บอกว่าใครอยากจะอยู่ป่าก็ให้อยู่ป่า ใครอยากจะอยู่เมืองก็ให้อยู่เมือง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเล็งการณ์ไกลว่า ต่อไปจะต้องเป็นคามวาสี อรัญญวาสีอยู่แล้ว ถ้าไปจำกัดว่าต้องอยู่ป่า เกิดไม่มีป่าเหลือ แล้วจะไปอยู่ที่ไหน ?

ส่วนในเรื่องของอาหาร ท่านบอกว่าแล้วแต่โยมเขาจัดถวาย จะได้ไม่สร้างความลำบากให้แก่เขา ในเรื่องของผ้าบังสุกุล ถ้าหากมีคหปติจีวร คือ จีวรที่ชาวบ้านเขาถวายก็ให้รับไว้ได้

พระเทวทัตท่านก็ได้ที ประกาศว่า พระพุทธเจ้ายังเป็นผู้มักมากอยู่ ไม่ยอมอนุมัติตามข้อเสนอที่ว่ามา เพราะฉะนั้น..ท่านก็ไม่ขึ้นกับพระพุทธเจ้า ใครเห็นดีเห็นงามกับท่าน ก็ให้ไปอยู่ร่วมกับท่าน ท่านก็พาบริวารไปเสียเยอะเลย พระพุทธเจ้าก็ให้พระสารีบุตรไปตามกลับ

นับเป็นเรื่องตลก แต่เป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก พระเทวทัตพาภิกษุบริวารไป ๕๐๐ รูป มีพระเทวทัตและพระโกกาลิกะเป็นผู้นำ ปรากฏว่าพระเทวทัตไปแล้ว ก็เทศนาสั่งสอนภิกษุตามลีลาของตน ก็คงเทศน์กันครึ่งค่อนวัน

พอเห็นพระสารีบุตรเดินมาแต่ไกล พระโกกาลิกะก็บอก "ท่านเทวทัต พระสารีบุตรมาแล้ว ระวังให้ดี เผลอเมื่อไรเขาเอาบริวารท่านไปหมดแน่" พระเทวทัตบอกว่า "ไม่จริงหรอก ก่อนหน้านี้พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร คิดว่าสมณะโคดมเป็นผู้ที่สันโดษ มักน้อย จึงติดตามอยู่ด้วย ตอนนี้เห็นว่าไม่สันโดษแล้วก็เลยมาติดตามเรา เดี๋ยวเราจะตั้งให้เป็นอัครสาวก..!"

เถรี
23-02-2010, 02:43
ท่านก็กวักมือเรียกแต่ไกลเลย บอกว่า "พระสารีบุตรมาก็ดีแล้ว เราเหนื่อย ขอให้เธอจงเทศน์ให้บริวารของเราฟังแทน เราจะไปพักสักครู่หนึ่ง"

คราวนี้พระเทวทัตท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทำอย่างนี้ ถ้าหากว่าท่านรู้สึกว่าไม่ไหว อยากจะพักสักครู่หนึ่ง ก็ไปเข้าสมาธิของท่าน ให้พระสารีบุตรเทศน์แทน แต่พระเทวทัตนี่ไม่ได้มีสติขนาดนั้น ท่านพักแล้วหลับยาวเลย พระสารีบุตรก็ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง แล้วพาภิกษุกลับไปเกลี้ยง..!

พระเทวทัตลืมตาขึ้นมา บริวารหายไปหมด ถามพระโกกาลิกะ พระโกกาลิกะบอกว่า "เราเตือนท่านแล้ว" พระโกกาลิกะด้วยความที่โกรธพระเทวทัต ก็เลยเอาเข่ากระทุ้งยอดอก พระเทวทัตกระอักเป็นเลือด นี่แสดงว่าต้นตำรับขุนเข่าพิฆาตมาจากพระโกกาลิกะ

พระเทวทัตป่วยตั้งแต่ตอนนั้น เพราะตรอมใจที่พระหนีไปหมด และโดนพระโกกาลิกะทำร้ายอีก พอป่วยหนัก จนกระทั่งรู้ว่าตัวเองไม่รอด รู้สึกสำนึกผิด ตั้งใจจะไปขอขมาพระพุทธเจ้า ก็ใช้คนส่งข่าวล่วงหน้าไป

ถ้าหากเรามานึกถึงตรงจุดนี้ จริง ๆ พระเทวทัตท่านเป็นคนดีนะ ท่านรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เพียงแต่ว่าช่วงนั้นความอยากมีอำนาจวาสนานั้นบังหน้าอยู่ ตั้งแต่สมัยที่ยังศึกษาอยู่ คนที่เก่งกว่าท่านมีอยู่คนเดียว คือ เจ้าชายสิทธัตถะ แล้วถามว่าเจ้าชายสิทธัตถะเก่งแบบไหน ? ก็คือ เจ้าชายเทวทัตทำอะไรได้ เจ้าชายสิทธัตถะทำได้หมด เพียงแต่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะทำได้ดีกว่า อย่างการยิงธนู เจ้าชายเทวทัตยิงตรงกลางเป้าพอดี แต่เจ้าชายสิทธัตถะยิงธนูไป ผ่าธนูของเจ้าชายเทวทัตแล้วไปปักแทนได้ เพราะฉะนั้น..คำชมในสมัยนั้นจะมีมาตลอดว่า เทวทัตนั้นเก่ง แต่สิทธัตถะเก่งกว่า ถ้าเกิดคนละยุคคนละสมัยนี่จบไปเลย แต่ดันไปเกิดยุคสมัยเดียวกัน"

เถรี
23-02-2010, 02:50
"ในเมื่อท่านรู้ตัว ท่านก็ตั้งใจขอขมา ใช้ให้ทูตส่งข่าวไป พระพุทธเจ้าบอกว่า "เทวทัตไม่ได้เห็นหน้าตถาคตหรอก ทำสังฆเภทด้วย ทำร้ายเราถึงห้อโลหิตด้วย กรรมหนักมาก จะโดนธรณีสูบเสียก่อน" พระเทวทัตก็ระวัง ให้พระลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ ใส่เสลี่ยงแบกไป กะว่าถ้าไม่แตะพื้นเสียอย่าง ธรณีก็สูบไม่ได้

ปรากฏว่าไปถึงหน้าเชตวันมหาวิหารแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ น้ำก็ไม่ได้อาบ ตัวมอมแมมด้วย ก็คิดว่าเดี๋ยวเราสรงน้ำให้ร่างกายได้สดชื่นเสียก่อน แล้วค่อยไปกราบขอขมาพระพุทธเจ้าท่าน ด้วยความลืมตัวก็สั่งให้บริวารวางเสลี่ยงลง พอก้าวพ้นเสลี่ยงเท่านั้นแหละ พื้นดินก็แยกออก สูบร่างท่านลงไป..!

พระเทวทัตไม่ได้มรณภาพทันที พอธรณีสูบจนถึงคาง ท่านก็เอ่ยขอขมาพระพุทธเจ้า โดยถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา เพราะว่าตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ท่านบอกว่าอานิสงส์ตรงนี้แหละ ทำให้โทษที่จะต้องลงอเวจีเป็นกัป กลายเป็นลงไปแค่ห้าพันปี พ้นจากศาสนานี้แล้วท่านจะขึ้นมาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

ช่วงนั้นพอดีหลวงพ่อสมพงษ์ วัดใหม่ปิ่นเกลียว สร้างชูชก คนเขาก็ว่าชูชกคือเทวทัตไม่ใช่หรือ ? แทนที่จะบูชาพระพุทธเจ้า ไปบูชาพระเทวทัตกัน ไปนึกถึงโบราณจารย์เก่า ๆ อย่างหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน ท่านก็สร้างชูชก แล้วก็ดังมาก มีคนมาถามว่าถ้าหากบูชาพระเทวทัตอย่างนั้น แล้วจะลงอเวจีอย่างเทวทัตไหม ?

จริง ๆ ถ้าตั้งใจยึดเขา อาจจะไปนะ แต่เอาจริง ๆ ร้อยละ ๙๙ ไม่มีใครนึกถึงพระเทวทัตหรอก นึกถึงแต่ว่า นี่เป็นของหลวงปู่รอด นี่เป็นของหลวงพ่อสมพงษ์ ก็แปลว่าใจเขายึดพระสงฆ์แทน ไม่ได้ยึดพระเทวทัต ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่กำลังใจของคน ว่ายึดได้เท่าไร

โบราณจารย์ที่ท่านสร้างชูชกเพราะว่าท่านถือเคล็ดตรงที่ชูชกเป็นยอดนักขอ ขออะไรใครแล้วไม่เคยพลาด"

เถรี
23-02-2010, 22:14
ถาม : ผู้ปฏิบัติพอฝึกฝนมาช่วงหนึ่งแล้ว เหมือนกับภาชนะ พอเวลาไปฟังเทศน์ครูบาอาจารย์แล้ว ถ้าจังหวะที่เขาพอจะรับสภาวะได้ บางทีเขาอาจจะเกิดสภาวะอะไรในช่วงนี้บ้าง ?

ตอบ : ให้เลือกเอาสิ่งที่เหมาะสมกับเราตอนนั้น แล้วนำมาปฏิบัติ ไม่ว่าครูบาอาจารย์สายไหน ก็ไม่มีหลักธรรมของท่านหรอก มีแต่หลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าท่านถนัดแบบไหน ท่านก็เอาสิ่งนั้นมาแสดง เราก็เลือกเอาว่า สิ่งที่ท่านเอามาแสดงนั้น มีประโยชน์แก่เราหรือเปล่า ? ถ้าตรงไหนที่มีประโยชน์ เราก็นำมาใช้

เถรี
23-02-2010, 22:15
ถาม : เคยบอกว่าบารมี ๑๐ ถ้าทรงได้ ไม่ว่าทางโลกและทางธรรม ก็สำเร็จทั้งสองทางใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ แต่ทางธรรมสำเร็จยากกว่า

ถาม : แล้วกำลังใจนี่ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ

เถรี
23-02-2010, 22:45
ถาม : เวลาสวดมนต์ก็นึกถึงพระ แต่ขึ้นไปพระนิพพานไม่เป็น บางทีก็เบื่อนะคะ
ตอบ : ค่อย ๆ สั่งสมไป เรามีหน้าที่ทำ ไม่ต้องไปใส่ใจว่าผลจะเป็นอย่างไร ขอให้มีความมั่นใจจริง ๆ ว่าพระอยู่ตรงหน้าเราก็ใช้ได้

ถาม : กลัวค่ะ
ตอบ : มัวแต่กลัวอยู่ ก็เสียเวลาทำ ให้ทำไปเลย ตายเป็นตาย..!

เถรี
23-02-2010, 22:47
ถาม : พยายามจะเก็บเกี่ยวจากครูบาอาจารย์ ประมาทมานานแล้ว
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ ทั้งหมดเอามารวม ๆ กันแล้ว สำคัญตรงที่เราทำจริง ไม่อย่างนั้นครูบาอาจารย์สอนไปเท่าไร ๆ ก็ยังเป็นแค่คำสอน ต้องทำเองให้เกิดผลจึงจะใช้ได้

เถรี
23-02-2010, 22:49
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไร บอกแล้วว่าสำคัญตรงทำ ถ้าเราถามไปก่อน บางทีเกินสิ่งที่เราทำอยู่ ก็ทำให้ฟุ้งซ่าน คิดอยากจะได้อย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนั้น อย่างที่เขาว่า พอฟุ้งแล้วก็เลยภาวนาไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ทำไปก่อน ถ้าติดขัดตรงไหน มีปัญหาแล้วค่อยมาถาม จะแก้ไขได้

เถรี
23-02-2010, 22:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลทุกอย่างจะมีแรงส่ง พลังงานจะส่งอยู่ตลอดเวลา สำคัญที่ใจเราที่เป็นเครื่องรับ ถ้าหากว่าเครื่องรับดี ก็รับได้เยอะ เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าทำไมวัตถุมงคลรุ่นเดียวกัน แบบเดียวกัน บางคนเอาไปใช้มีผลมาก บางคนเอาไปใช้มีผลน้อย เพราะกำลังใจคนใช้ไม่เท่ากัน

แบบเดียวกับเหรียญทำน้ำมนต์หลวงพ่อวัดท่าซุง บางคนเป็นมะเร็ง ทำน้ำมนต์กินหาย บางคนเป็นไข้เล็ก ๆ น้อย ๆ กินน้ำมนต์เป็นโอ่งก็ไม่หาย เพราะกำลังใจคนไม่เท่ากัน"

เถรี
23-02-2010, 23:07
ถาม : ลูกศิษย์ของอาจารย์ คนหนุ่มคนสาวเยอะ ท่านอาจารย์ทำอย่างไร ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก เขาเป็นคนใฝ่ดีเอง ในเมื่อเขาใฝ่ดีเอง เราก็แนะนำเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไป..แล้วเขาทำ..เขาได้ประโยชน์ เขาก็มาอยู่เรื่อย คนที่ได้ประโยชน์แล้วอยากจะให้เพื่อนฝูงได้ เขาก็ไปพามาอีก เป็นความดีของเขาเอง ผมแค่แนะนำเท่านั้น

เถรี
23-02-2010, 23:45
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่อยู่ต่างประเทศว่า"จริง ๆ แล้ว การที่เราไปไกล บางทีก็ดีกว่า เพราะว่าเราไปแล้ว เราไม่รู้จะพึ่งอะไร ใจก็ต้องเกาะพระจริง ๆ

การที่เราอยู่ใกล้บางทีมีส่วนเสีย เกิดความประมาท คิดว่าอยู่ใกล้เมื่อไรก็ได้..เมื่อไรก็ได้ คนไกลเอาไปกินหมด เวลาลงไปปักษ์ใต้แถวสุไหงโกลกหรือยะลา ญาติโยมแถวนั้นเขาอยู่ในที่อันตราย เขาต้องพึ่งพระ เกาะพระจริง ๆ เท่ากับว่าโดนบังคับให้ปฏิบัติไปในตัว ความก้าวหน้าของเขาจะมีมากกว่าเรา กำลังใจเข้มแข็งกว่า เพราะอยู่กลางดงระเบิดขนาดนั้น"

เถรี
24-02-2010, 12:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "การสร้างรูปหล่อหรือว่าพระพุทธรูป ยิ่งสูงยิ่งใหญ่เท่าไร ยิ่งสร้างยากเท่านั้น เพราะว่าสัดส่วนผิดจากความเป็นจริง

อย่างเช่นว่ารูปหล่อที่สูง ยิ่งสูงมากท่อนบนก็ยิ่งต้องใหญ่ เพื่อที่จะไม่ให้หลอกตา ถ้าหากว่าเป็นขนาดปกติแล้วสูงมาก ๆ ท่อนบนจะเหลือเล็กนิดเดียว ก็ต้องทำข้างบนให้ใหญ่กว่าปกติ ถ้าหากว่าช่างไม่เข้าใจตรงจุดนี้ จะทำออกมาเป็นลักษณะที่ไม่งามไปเลย แต่ถ้าหากว่าช่างที่มีความเข้าใจ ท่านจะขยายสัดส่วนได้สวยมาก"

เถรี
25-02-2010, 00:48
ถาม : เราจะหยุดอิฏฐารมณ์กับอนิฏฐารมณ์ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : หยุดได้..

ถาม : ไม่ให้มันเกิด
ตอบ : เพียงแต่สติ สมาธิ ปัญญา ต้องสุดยอดเลย เพราะว่าทั้งอิฏฐารมณ์(อารมณ์ที่ชอบใจ)และอนิฏฐารมณ์(อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ) เกิดจากการปรุงแต่งของใจเรา การปรุงแต่งจะเกิดขึ้นก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปรับของนอกเข้ามา

ถาม : แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปรับของนอกมา มันก็ไม่ได้เสพโดยตรงนี่ครับ มันเป็นอย่างอื่นก่อน แล้วถึงจะเป็นอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ
ตอบ : มันนำมาให้เรา..! ทำอย่างไรที่เราจะสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน อันดับแรกสติ ต้องหยุดให้ได้ก่อน สมาธิเป็นกำลังที่จะรั้งม้าที่หน้าผาไม่ให้ตกลงไป แล้วก็ปัญญา ทำอย่างไรที่จะเลี้ยวหนีไปเสียได้

ถาม : เกิดเมื่อไรนี่คือจบเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ลองดูก็แล้วกัน ว่าจบหรือเปล่า (หัวเราะ)

ถาม : เวลาทำสมาธิแล้วทำอย่างอื่นไปด้วย ดูเหมือนว่าจะแบกไม่ไหว ต้องทำอยู่กับที่นิ่ง ๆ
ตอบ : ให้นิ่ง ๆ ไปก่อน หลังจากสั่งสมกำลังพอแล้ว ต่อไปอยู่ในสภาพอื่นก็สามารถที่จะทำได้

เถรี
25-02-2010, 00:56
ถาม : พักหลังนี่เวลาจะไปทำบุญ มักจะมีปัญหา บางทีก็รถเสีย
ตอบ : เตรียมตัวซ่อมไว้ก่อนเลย ถึงเวลาให้เข้าศูนย์ไว้ก่อน ดูซิว่าเขาจะมีปัญญาขวางเราไปได้เท่าไร จำเอาไว้ว่า มารสามารถใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา บอกเขาไปเลยว่า มีปัญญาขวางก็ไป หมดท่าจริง ๆ เดินไปก็เอา..!

อาตมาอยู่ที่พม่า ไปแล้วรถเสีย รอเขาซ่อม พอเสียครั้งที่สองอีก เห็นว่าจะไปไม่ทันก็ทิ้งรถเลย จ่ายค่ารถไป ๒,๒๐๐ ทิ้งเลย พอรถคันใหม่มา กระโดดขึ้นรถไปแน่บเลย ในขณะที่ทั้งหมดยังรออยู่ เขาก็งงมากว่า เราทิ้งค่ารถขนาดนั้นได้อย่างไร ? ค่ารถขนาดนั้นกับบุญของเรามันคนละเรื่องเลย

ถาม : พอจะไป บางทีก็เกิดอาการไม่สบาย
ตอบ : เหมือนกัน เขาเรียก ขันธมาร พอไปเข้าผับเข้าบาร์นี่แข็งแรง พอจะไปทำบุญก็เริ่มอาการปางตาย ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

อย่าไปโกรธไปเคืองแค้นเขา เขาทำหน้าที่ของเขา เราทำหน้าที่ของเรา เขามีปัญญาขวาง เราก็มีปัญญาไป

เถรี
25-02-2010, 01:22
ถาม : อารมณ์กระทบ เป็นไปได้ทั้งราคะโทสะ ในแง่ของตัวปฏิฆะ...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เหมือนกัน จะว่าไปแล้ว โทสะมีพื้นฐานมาจากราคะ อย่าลืมว่าราคะคือ ยินดี อยากมีอยากได้ แต่ถ้าเจอของตรงข้าม เกิดไม่ยินดีขึ้นมา ก็จะเป็นโทสะทันที พื้นฐานเขาสืบเนื่องกันอยู่

หลวงพ่อท่านจึงได้เปรียบว่า เหมือนกับเก้าอี้สามขา คือ โลภ โกรธ หลง ถามว่าราคะอยู่ไหน ? ก็คือ โลภะ เพราะราคะ ไปเกิดความยินดี จึงเกิดโลภะอยากได้ พยายามตะกายหามาให้ได้ เป็นอย่างเดียวกัน

ท่านบอกว่าเป็นเก้าอี้สามขา ถ้าหักขาเสียข้างหนึ่ง ที่เหลือก็ตั้งไม่ได้ กำลังก็จะเบาลง เพราะว่ากำลังในการตัดกิเลส ไม่ว่าโลภ โกรธ หลง นั้น เราใช้กำลังเท่ากัน เพียงแต่ว่าเราจะตัดตัวไหนก่อนเท่านั้นเอง แต่ขอบอกเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ตั้งใจตัดตัวไหน ตัวนั้นจะมาลุยสุดชีวิตเลย

ถาม : แต่ความเร็วของตัวโทสะ เร็วกว่าตัวราคะมาก..?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราแพ้ตัวไหน ถ้าพื้นฐานเป็นโทสะจริตก็เสร็จโทสะก่อน ถ้าพื้นฐานเป็นราคะจริตก็เสร็จราคะก่อน ขึ้นอยู่กับว่าเราแพ้ทางตัวไหน

ถาม : โทสะเป็นเพราะมานะ
ตอบ : เต็ม ๆ มานะกับสักกายทิฏฐิ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นี่เราเห็นแล้วนะ เพียงแต่ว่ากำลังของเรายังไม่พอที่จะหยุด เพราะฉะนั้น..ต้องอาศัยสมาธิให้มากขึ้น คราวนี้สติตามทันแล้ว..เห็นแล้ว แต่ยังหยุดไม่อยู่ ไหลลงเหวไปทุกที ดึงสุดชีวิตแล้ว แต่ม้าตกเหวไปเสียก่อน

ต้องสร้างสมาธิให้มีกำลังมากขึ้น เพื่อที่จะช่วยดึงเอาไว้ ห้ามไว้ให้อยู่ ต่อไปก็ใช้ปัญญาเลี้ยวหลบ

เถรี
25-02-2010, 01:40
ถาม : โทสะจำเป็นไหมที่จะต้องไปแก้ด้วยตัวพรหมวิหารสี่ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อาตมาเจอมาเองแล้ว ราคะแก้ด้วยพรหมวิหารสี่ ตลกที่สุด ราคะเขาให้แก้ด้วยกายคตาสติ กับอสุภะกรรมฐาน อาตมาแก้ไม่ตก ไปแก้ตกด้วยพรหมวิหารสี่

ดังนั้น..เราอาจจะแก้โทสะด้วยอานาปานสติก็ได้ ในเมื่อมีสติมั่นอยู่กับลมหายใจเข้าออก โทสะก็เกิดไม่ได้

ถาม : สังเกตว่าพอไปแก้ที่ตัวมานะให้ลดลงแล้ว โทสะก็เบาลงไปด้วย
ตอบ : ที่เบาลงก็คือ การกระทบน้อยลง เพราะตัวกูเล็กลง แต่ถ้าตัวกูอ้วนมาก ก็กระทบเยอะ

เถรี
25-02-2010, 22:42
พระอาจารย์กล่าวถึง พระเถระที่นิพพานในลักษณะแปลกกว่าท่านอื่น ๆ ว่า "พระราหุล พุทธปิโยรส ท่านไปนิพพานบนดาวดึงส์ ก็เลยเดือดร้อนเทวดาต้องทำศพให้

พระอานนท์ นิพพานกึ่งกลางแม่น้ำโรหิณี อธิษฐานเตโชธาตุเผาตัวเอง แล้วให้อัฐิธาตุตกไปสองฝั่ง จะได้ไม่ต้องแย่งกัน เพราะว่ากบิลพัสดุ์และเทวทหะอยู่กันคนละฝั่ง ทั้งสองเมืองเขาก็ขัดกันมาหลายทีแล้ว พระอานนท์กลัวว่าท่านเองจะเป็นชนวนให้เขารบกัน ก็เลยใช้วิธีนิพพานอยู่ตรงกึ่งกลางทั้งสองเมือง

อีกท่านหนึ่งที่ประหลาดคือ พระพากุละเถระ (พา หรือ ทวา แปลว่าสอง พากุละ ก็คือ สองตระกูล) พระพากุละท่านนี้เป็นผู้เลิศในทางไม่มีโรค นอกจากความหิวตามปกติแล้ว โรคอื่นไม่มี เป็นบุคคลที่อายุยืนที่สุดที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ก็คือ นิพพานตอนอายุ ๑๕๐ ปี และไม่ได้นิพพานเพราะหมดอายุ แต่นิพพานเพราะเบื่อ ก็เลยเข้ากรรมฐานไปเฉย ๆ

ในอดีตท่านสร้างวัจกุฎี ก็คือ ห้องส้วมถวายพระไว้ เป็นการปลดทุกข์ให้แก่ภิกษุสามเณร เกิดมาชาติใหม่ท่านก็เลยไม่มีทุกข์ในเรื่องของการเจ็บป่วย ยกเว้นการหิวแล้ว อย่างอื่นไม่เคยเป็นกับใครเลย


สำหรับพระสูตรที่กล่าวถึงพระพากุละ ชื่อยากมากเลย มีชื่อว่า พักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร แปลเป็นไทยว่า อัจฉริยะของพระพากุละเถระและธรรมอันน่าอัศจรรย์

พระโมคคัลลานะ นิพพานที่กาฬศิลา แต่กลับไปทูลลาพระพุทธเจ้าก่อน ทั้ง ๆ ที่โดนโจรทุบจนเละ ท่านใช้กำลังอภิญญาประสานร่างกาย ไปทูลลาพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วจึงกลับมานิพพานตรงที่โจรทิ้งเอาไว้"

เถรี
25-02-2010, 22:44
ถาม : ถ้าอย่างนั้นคนที่ไม่มีโรคก็แสดงว่า..
ตอบ : สร้างปาณาติบาตมาน้อย และสร้างบุญประเภทนี้ไว้ (สร้างวัจกุฎี)

เถรี
25-02-2010, 22:54
พระอาจารย์กล่าวว่า " สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สร้างพระกริ่งปวเรศจนดังระบือลือลั่น เขาคาดกันว่า พระองค์ท่านสร้างอยู่ระหว่าง ๓๐ - ๕๐ องค์ เท่านั้น แต่นับจากคนที่มีพระกริ่งปวเรศแล้วร่วมหมื่นองค์

ปี ๒๕๓๐ ในหลวงมีพระชนมายุ ๖๐ พรรษา พระองค์เสด็จเททองสร้างพระกริ่งปวเรศรุ่นสอง บางคนเรียกว่า พระกริ่งปวเรศน้อย ได้นิมนต์หลวงพ่อไปในงานพิธีพุทธาภิเษก ถือว่าเป็นพระกริ่งรุ่นเดียวที่หลวงพ่อฤๅษีมีโอกาสร่วมพิธีด้วย เพราะว่าของท่านเองไม่ได้สร้างเลย

ช่วงนั้นราคาแพงมาก ๆ ในความรู้สึกของตัวเอง เพราะว่าชุดหนึ่งที่มีทั้งพระกริ่ง - พระชัยวัฒน์ เขาจำหน่าย ๕,๕๐๐ บาท ปี ๒๕๓๐ ราคา ๕,๕๐๐ ถือว่าแพงมาก ก็เลยมีได้แค่ชุดเดียว ไม่มีปัญญาจะกักตุน มาตอนหลังดังระเบิดเถิดเทิง ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมืองเลย"

เถรี
25-02-2010, 22:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกกิเลสนี้ต้องบอกว่าเขาสุดยอดเลย ถ้าเขาเปิดบริษัทค้าขาย สินค้าทุกตัวที่เขาเสนอมานี่ ขายไม่เหลือหรอก เพราะเขาเสนอแต่ของที่เราชอบทั้งนั้นเลย

รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ครบชุดเลย ใครเจอก็กระโดดใส่ทุกราย เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว"

เถรี
25-02-2010, 23:04
ถาม : ที่บ้านมีคล้าย ๆ พวกร่างทรง แม่เขาอยากให้ทางฝ่ายภรรยาผมรับช่วงต่อ ภรรยาก็ไม่อยากรับ
ตอบ : รับได้ แต่เรายึดพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะไปเลย "ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ไม่มีสรณะอื่นใดยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว.."

ประกาศเสร็จ พอจะทำอะไรก็ตั้งนะโม ไหว้พระก่อน จะไม่มีปัญหาจ้ะ เพราะไม่มีอะไรสู้บารมีพระได้ รับไปเลย เขาจะได้ไม่เกลียดขี้หน้าเรา ส่วนรับไปแล้วเราจะจัดการอย่างไรอยู่ที่เรา

ถาม : แล้วขันครู ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ถึงเวลาก็ลอยน้ำไป ไม่ต้องไปส่งต่อให้ใคร พอมีงานครู งานประจำปี เราก็ทำหลอกเขาไป ขันเราลอยน้ำไปนานแล้ว ถือว่าที่เราทำ เราก็ตั้งใจบูชาพระของเราไป

ถาม : โกหกหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ได้โกหก แต่พลิกแพลงนิดหน่อย จะได้ไม่ขัดใจผู้ใหญ่

เถรี
26-02-2010, 20:45
ถาม : คนที่บริกรรมไว ๆ และกำหนดความรู้สึกไป พอเผลอปุ๊บเขาจะสัปปะหงกเลย
ตอบ : สติขาด พอจิตเริ่มทรงตัวเป็นสมาธิอย่างหยาบ สติจะตามไม่ทัน ลักษณะเหมือนตกจากที่สูงวูบลงมา หรือเหมือนกับคนง่วง จะโงกไปทีหนึ่ง เพราะว่าสติขาด ตามอาการของสมาธิไม่ทัน

ถ้ารู้ตัวก็เริ่มต้นใหม่ เอาจิตจดจ่ออยู่กับลักษณะนั้นไปเรื่อย ๆ โดยจี้ให้ติดมากกว่าเดิม ถ้าอย่างนั้นจะไม่เป็น แต่ถ้าหากหลุดเมื่อไรเป็นทันที ลองซ้อมดู

สมัยก่อนมีอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ท่านใช้วิธีนึกถึงกงจักรหมุน ๆ แทน แล้วภาวนาว่าจักรเข้า ๆ ใช้ได้เหมือนกัน เพราะว่าสมาธิจดจ่ออยู่จุดเดียว ถ้าหากว่าคล่องตัวมาก ๆ เราสามารถทำพร้อมกันหลาย ๆ จุดในร่างกายได้ และชัดด้วย ถ้าหากถึงระดับนั้น จะเป็นพื้นฐานของกสิณควบกับสมาธิ ถ้าภาษาปฏิบัติเขาเรียกว่า กีฬาสมาธิ มีอะไรให้เล่น จะได้ไม่เบื่อ

รสิตา
27-02-2010, 00:20
ขอบคุณกระทู้เก็บตกนี้ของคุณเถรีมากนะคะ
ทำให้ลูกศิษย์ที่อยู่ไกล ๆ อย่างพี่ทั้งหลาย
ได้รับคำสอนอันมีค่าจากพระอาจารย์โดยตลอด
ทุกเดือนที่ผ่านมาก็เฝ้านั่งคอยหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ที่พระอาจารย์ส่งมาให้กลุ่มลูกศิษย์ที่เชียงใหม่เป็นประจำ หลายปีแล้วค่ะ

ไม่มีอะไรจะให้คุณเถรี มีแต่ความชื่นชมและกำลังใจ พร้อมกับความรู้สึกขอบคุณ รับไว้หน่อยนะคะ

เถรี
27-02-2010, 00:26
ขอบคุณกระทู้เก็บตกนี้ของคุณเถรีมากนะคะ
ทำให้ลูกศิษย์ที่อยู่ไกล ๆ อย่างพี่ทั้งหลาย
ได้รับคำสอนอันมีค่าจากพระอาจารย์โดยตลอด
ทุกเดือนที่ผ่านมาก็เฝ้านั่งคอยหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ที่พระอาจารย?ส่งมาให้กลุ่มลูกศิษย์ที่เชียงใหม่เป็นประจำ หลายปีแล้วค่ะ

ไม่มีอะไรจะให้คุณเถรี มีแต่ความชื่นชมและกำลังใจ พร้อมกับความรู้สึกขอบคุณ รับไว้หน่อยนะคะ

ขอน้อมรับไว้และขอบพระคุณค่ะ :875328cc:
เข้าใจอารมณ์ของคนที่อยู่ไกลดีค่ะ เพราะเมื่อก่อนตอนเถรีเรียนที่เชียงใหม่ก็รู้สึกว่า โอกาสของตัวเองมีน้อยกว่าคนใกล้เหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าพอมีอะไรที่จะคลายความคิดถึงที่มีต่อพระอาจารย์และคำสอนของท่านได้ ก็พยายามจะนำมาให้อ่านเรื่อย ๆ ค่ะ

เถรี
27-02-2010, 16:57
มีท่านหนึ่งเป็นคนขี้สงสัยลังเล ปฏิบัติมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่ก็ยังอยู่ที่เดิม พระอาจารย์ได้เมตตาบอกเขาไปว่า "คุณลองนึกถึงคนเดินทาง ถ้าเดินจ้ำ ๆ ๆ ไปข้างหน้าเลย เดี๋ยวก็ถึงที่หมายแล้ว แต่ถ้าเราเป็นประเภท นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ จะไปเจออะไรไหม ? จะเป็นอย่างนั้นไหม ? จะเป็นอย่างนี้ไหม ? ก็เลยไม่ต้องเดินกันเสียที

วางกำลังใจผิด มัวแต่เสียเวลาสงสัยอยู่ ไม่อย่างนั้นของเรานี่ นับชั่วโมงบินแล้ว เขาไปกันถึงไหนกันแล้วก็ไม่รู้ ต้องบอกว่า เพราะการเสียเวลาคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องของเรา ทำให้เสียเวลานาน ถ้าตายเสียก่อนก็ไม่ได้อะไรเลย..!"

เถรี
27-02-2010, 17:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกที่หน้าตาดี เขาทำบุญไว้ดี แสดงว่าพื้นฐานเดิมมาจากพรหมวิหาร ๔ กับศีล

ถ้าพรหมวิหารดี..ศีลดี ก็ออกมาหน้าตาดี อย่างของอาตมา เป็นทหาร ฆ่าเขามาทุกชาติ อย่างไรก็เอาดีไปกว่านี้ไม่ได้หรอก"

เถรี
01-03-2010, 00:54
พระอาจารย์กล่าวถึงครูบาอริยชาติว่า "ครูบาอริยชาติท่านถวายประคำนิลมาเมื่อวันเกิดปีที่แล้ว ท่านน่ารักมาก มีอะไรก็ถวายมาอยู่เรื่อย ๆ ตัวจริง ๆ ยังไม่เคยเจอกันหรอก เจอกันแต่ในฝัน งานนี้(งานสืบชะตา)เดี๋ยวก็รู้ว่าคณะทำงานนิมนต์สายเหนือมาได้เท่าไร"


หมายเหตุ : ครูบาอริยชาติ ท่านเป็นพระเถระอีกรูปหนึ่ง ที่ทางเรานิมนต์มาในงานสืบชะตาค่ะ สำหรับประคำนิลนั้น พระอาจารย์เล็กได้เมตตามอบให้ทางทีมงานนำไปประมูล เพื่อหาปัจจัยสร้างสมเด็จองค์ปฐมวัดหนองหญ้าปล้องค่ะ ประคำนิลนี้ เรียกได้ว่าเป็นประคำสองพระอาจารย์เลยก็ว่าได้ ถ้าท่านใดสนใจ ต้องคอยติดตามข่าวจากทางทีมงานนะคะ

เถรี
01-03-2010, 00:56
พระอาจารย์เมตตาสอนว่า "จำไว้ว่าอย่าไปขัดพลังมวลชน หลักการของพระพุทธเจ้าข้อแรก...อย่าขัด ให้คล้อยตามไปก่อน แล้วยื่นเสนอในสิ่งที่ดีกว่า
เราต้องชี้แจงเหตุผลให้ชัดเจน ไม่ใช่ใช้ทิฐิไปเอาชนะ ถ้าใช้ทิฐิไปเอาชนะ จะเถียงกันไม่รู้จบ"

เถรี
01-03-2010, 01:00
พระอาจารย์สนทนากับหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งว่า "สมัยนี้เขาหาที่เกิดกันยาก บางทีเขาก็เลยแห่มาเป็นแฝดหลาย ๆ คน เนื่องจากวาระที่จะได้เกิดมีแล้ว แต่ที่เกิดไม่มี จึงต้องประดังกันมาที่เดียว อย่างกรณีแฝดแปดที่เป็นข่าว"

เถรี
01-03-2010, 01:14
มีท่านพี่คนหนึ่ง เจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้กำลังใจตกไปชั่ววูบ นั่นก็คือ ตื่นขึ้นมาแล้วรถหาย เจอตำรวจยึดรถของตนไป เพราะเขาคิดว่าเป็นพวกแกงค์ขโมยรถ โชคดีที่ไกล่เกลี่ยเอารถกลับคืนมาได้ เมื่อพี่เขาเข้าไปกราบเรียนกับพระอาจารย์

ท่านกล่าวว่า "จำเอาไว้ว่า เวลามารเขาจะทดสอบเรา เขาจะจัดฉากไว้หมด อาตมาไปโดนจับที่พม่านี่ ใจเรานิ่งจริง ๆ ไม่มีแอะ ไม่มีอิ ไม่มีกระดิกอะไรเลย ไม่ใช่หน้าตายนะ..แต่หน้าด้าน..!

เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราฝึกมานั้น พอใช้งานหรือเปล่า? ถ้าหากว่าคุมกำลังใจไม่ได้ แค่ใจเต้นผิดจังหวะนี่แปลว่าเราแพ้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ก็ถือว่าเป็นบทเรียนของเรา กำลังใจจริง ๆ ของเรายังใช้งานไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ที่ฝึกมาแทบล้มประดาตายยังไม่พอกิน เรายังหวั่นไหวขึ้นลงไปตามสภาพของสิ่งที่มากระทบ ทำอย่างไรที่จะให้ของเราทรงตัวอยู่ได้ทุกสถานการณ์ นั่นเป็นเรื่องที่คุณต้องไปฝึกฝนอีกมาก"

เถรี
01-03-2010, 01:22
เก็บตกเดือนนี้ หมดแล้วค่ะ เจอกันเดือนหน้าค่ะ :cebollita_onion-17:

วิจิตรา
14-05-2010, 16:29
ขออนุญาตนำความรู้บางส่วนเกี่ยวกับเรื่องเมฆภัสร์และเมฆสิทธิ์ไปเผยแพร่ในเว็บพลังจิตครับ