View Full Version : ภาพพุทธานุสติ ที่ผมว่างามมาก ๆ ชุดหนึ่ง
วาโยรัตนะ
15-02-2009, 21:23
ภาพพุทธานุสติ ที่ผมว่างามมาก ๆ ชุดหนึ่ง(ในความคิดของผม)
สุดยอดครับ แต่ดูการทรงเครื่องของเทวดา ดูแล้วน่าจะเป็นศิลปะของทางพม่านะครับ ศิลปินคือท่านใดครับ
วาโยรัตนะ
18-02-2009, 21:31
อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่เก็บไว้หลายปีแล้ว แล้วก็นำมาจับเป็นภาพในพุทธานุสสติเสมอ จะเห็นว่าผมใช้ photoshop แต่งเพิ่มเพื่อให้เหมือนจิตโดนดึงเข้าไปในอารมณ์ของภาพ "พระพุทธองค์"ครับ
ตามรอยพ่อ
12-10-2009, 20:31
ภาพที่หนึ่งสวยงามมากครับชอบมาก อยากขอดูภาพที่ไม่ได้แต่งได้ไหมครับ
วาโยรัตนะ
13-10-2009, 08:36
ขออนุญาตคัดลอกไปได้หรือไม่ครับ
ได้ หากจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในพุทธานุสติ
เจริญพร
กราบนมัสการค่ะ หลวงพี่รัตน์
ขอความรู้ค่ะ โปรดสงเคราะห์เกี่ยวกับภาพสุดท้ายด้วยนะคะ จักเป็นพระคุณอย่างสูง
หากกรรมใดที่ได้ประมาทพลาดพลั้งด้วยมิได้เจตนา และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อพระคุณเจ้า ขอได้โปรดอดโทษนั้นให้ด้วยค่ะ
กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง! :onion_yom::cebollita_onion-17:
กราบนมัสการหลวงพี่ครับ
ผมขอด้วยนะครับ
สณ.นิรนาม
19-10-2009, 18:00
งามมากจริง ๆ ครับหลวงพี่ นมัสการครับ
วาโยรัตนะ
27-10-2009, 23:39
กราบนมัสการค่ะ หลวงพี่รัตน์
ขอความรู้ค่ะ โปรดสงเคราะห์เกี่ยวกับภาพสุดท้ายด้วยนะคะ จักเป็นพระคุณอย่างสูง
หากกรรมใดที่ได้ประมาทพลาดพลั้งด้วยมิได้เจตนา และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อพระคุณเจ้า ขอได้โปรดอดโทษนั้นให้ด้วยค่ะ
กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง! :onion_yom::cebollita_onion-17:
เป็นภาพที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จไปเยี่ยมและสงเคราะห์ พระติสสะ ดังเนื้อเรื่องต่อไปนี้............
พระติสสะ
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี เวลานั้นองค์สมเด็จพระมหามุนี ทรงปรารภพระปูติคัตติสสะเถระ ตรัสพระธรรมเทศนาว่า
“อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ” เป็นต้น เนื้อความมีอยู่ว่า
ในเมืองนั้นปรากฏว่า มีกุลบุตรคนหนึ่ง ขณะที่ได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาระแรก ก็มีความเลื่อมใส เมื่อมีความเลื่อมใสก็ตั้งใจถวายตนในพระพุทธศาสนา นั่นก็หมายความว่าต้องการจะบวชตลอดชีวิต เมื่อตัดสินใจแบบนั้นแล้วก็ขอบรรพชาอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า เมื่อบวชเป็นพระแล้วไม่นานนัก ก็มีกำลังขึ้นฌานโลกีย์ ทรงตัวได้บ้าง ทรงตัวไม่ได้บ้าง กำลังยังไม่มั่นคง
ต่อมาโรคร้ายก็เกิดกับร่างกายของท่าน มันเป็นตุ่มเล็ก ๆ นิด ๆ ทั่วตัว ต่อมาเจ้าตุ่มนั้นก็โตขึ้นเท่าเม็ดถั่วเขียว จากเม็ดถั่วเขียวเท่าเม็ดถั่วเหลือง จากเม็ดถั่วเหลืองก็เท่าผลส้ม หนัก ๆ เข้าก็โตเท่าผลมะตูม มันเต็มตัวไปหมด พอเม็ดต่าง ๆ พองใสโตเท่ามะตูมมันก็แตก แตกทั้งหมดเป็นน้ำเหลืองเยิ้มทั้งร่างกาย ท่านก็ลุกไม่ไหว บรรดาพระทั้งหลายก็ปฏิบัติตามกำลัง ต่อมาไม่ช้าไม่นาน กระดูกของท่านก็แตก คำว่ากระดูกแตกนี่ ตามบาลีไม่ได้บอกว่าแตกส่วนใดส่วนหนึ่ง คงจะแตกทั้งกาย ผ้าก็เลอะเทอะไปทั้งน้ำเหลือง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายปฏิบัติไม่ไหว เมื่อปฏิบัติไม่ไหวก็พากันทิ้ง ปล่อยรอความตาย
วาโยรัตนะ
27-10-2009, 23:40
ท่านบอกว่า คืนวันที่พระทิ้ง (สมมุติว่าทิ้งวันนี้นะ เวลาเช้ามืดพระพุทธเจ้าตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ตามลีลา) การตรวจอุปนิสัยสัตว์ของพระพุทธเจ้านี่ ตามพระสูตร ๆ นี้บอกว่ามี ๒ เวลา
คือ ถ้าเวลาเช้ามืด ท่านตรวจจากขอบจักรวาลเข้ามาถึงที่อยู่ของพระองค์
ถ้าเวลาตอนเย็นพระองค์ก็ตรวจจากที่อยู่ของพระองค์ไปหาขอบจักรวาล
แต่วันนี้เป็นเวลาตรวจอุปนิสัยของสัตว์ในตอนเช้ามืด จากขอบจักรวาลเข้ามา ในสถานที่อื่นก็ยังไม่เห็นว่าใครจะบรรลุมรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ต่อเมื่อทรงตรวจใกล้เข้ามาเขตวิหารของพระองค์ พระปูติคัตติสสะนี่อยู่วิหารของพระพุทธเจ้า อยู่วิหารเดียวกัน ปรากฎว่า ท่านก็เห็นพระปูติคัตว่ามีนิสัยเป็นอรหันต์ในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้พระติสสะหรือปูติคัตติสสะ ปูติคัต แปลว่า เน่า พระติสสะผู้มีร่างกายเน่า ในวันพรุ่งจะได้บรรลุมรรคผล คืออรหันต์พร้อมกับนิพพาน
และก็ทรงทราบว่า เวลานี้บรรดาพระลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายพากันทอดทิ้ง เธอมีร่างกายเน่าไปทั้งตัว ผ้าก็เต็มชื้นไปทั้งน้ำเหลืองเกรอะกรังทั้งร่างกายทั้งผ้า กระดูกร่างกายก็แตกขยับร่างกายไม่ไหว ก็ทรงดำริต่อไปว่า นอกจากตถาคตเสียแล้ว ไม่มีใครเป็นที่พึ่งแก่เธอได้
ยังมีต่อนะครับ
ป.ล. ตอนนี้เป็น "ทิดรัตน์" แล้วครับ
วาโยรัตนะ
28-10-2009, 07:17
จากภาพ ถ่ายทอดออกมาแสดงถึงพระเมตตา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ พระติสสะได้อย่างงดงามมาก....สาธุ พระเมตตาของพระองค์ช่างหาประมาณมิได้
มาต่อกันดีกว่าครับ.........
ฉะนั้น เวลาเช้าหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ก็เสด็จออกจากวิหารของพระองค์ ทำเป็นว่าเที่ยวไปในวิหาร เรียกว่าเดินไปเดินมาก็แวะห้องของพระติสสะ
ทรงเอากาน้ำมาตั้งที่เตา ต้มให้ร้อน แล้วเอาผ้าที่เปื้อนน้ำเหลืองของเธอมาหวังจะซัก ก็พอดีพระสงฆ์เห็นเข้าก็บอกว่า งานนี้ข้าพระพุทธเจ้าทำเองพระพุทธเจ้าข้า
ท่านก็เลยหยิบผ้าที่มีน้ำเหลืองมา บอกว่าต้มน้ำให้ร้อน เอาผ้านี้ต้มขยี้ให้หมดน้ำเหลือง แล้วท่านก็เอาผ้าผืนหนึ่งไปชุบน้ำร้อนมาค่อย ๆ เช็ดตัวของพระติสสะ ที่น้ำเหลืองกรังทั้งตัว เช็ดจนกระทั่งน้ำเหลืองแห้งหมด ร่างกายสะอาด
เวลานั้นพระติสสะก็มีความเบาใจ ชื่นใจ มีอาการปลอดโปร่งขึ้นมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ที่ทำตามนั้นก็คือพระพุทธเจ้า กำลังก็เกิดมากต่อมาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัส เห็นเธอมีกำลังเบาใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ภิกษุ ร่างกายของเธอนี้มีวิญญาณไปปราศแล้ว หาประโยชน์มิได้ จะนอนทับแผ่นดินเหมือนกับท่อนไม้ที่ไม่มีประโยชน์”
และต่อมาก็ตรัสเป็นคาถาว่า “อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ” เป็นต้น ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
“ภิกษุ ไม่นานนักหนอ ร่างกายนี้จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว จะนอนทับผืนแผ่นดิน ที่บุคคลทั้งหลายเขาจะทอดทิ้งไป เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์”
พอท่านฟังเพียงเท่านี้ ท่านบรรลุอรหัตผลพร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณ แล้วก็นิพพานทันที
วาโยรัตนะ
28-10-2009, 07:19
:4672615:ทีนี้ก็มาว่าถึงกฎของกรรม เมื่อพระติสสะ คำว่าปูติคัต แปลว่า เน่า เติมเข้ามา เมื่อพระปูติคุตติสสะนิพพานแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็รับคำสั่งจากพระพุทธเจ้าให้ทำเจดีย์ พระพุทธเจ้าสั่งเผาร่างกาย แล้วเอากระดูกบรรจุเจดีย์เข้าไว้
ต่อมาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า
“ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า พระติสสะทำกรรมอะไรไว้ จึงมีร่างกายเน่าและกระดูกแตก”
ความจริงท่านถามไว้สองตอน ฉันขอรวบรัด และก็ในที่สุดได้บรรลุอรหัตผล พร้อมปฏิสัมภิทาญาณไปนิพพานได้
องค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
“ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ปูติคัตติสสะ หรือพระติสสะอย่างเดียวก็ได้ ในชาติก่อนโน้นเธอเป็นพรานฆ่านก คิดดักนกบ้าง ยิงนกบ้าง เอามาขายกับอิสรชนที่มีสตางค์
บางวันถ้ายังขายไม่หมด มีนกน้อย ๆ ก็ย่างเก็บไว้ขายในวันพรุ่งนี้ บางวันก็นกเหลือมาก ก็ย่างบ้าง ส่วนที่ยังเหลือจะขายสดในวันพรุ่งนี้ ถ้าจะปล่อยไว้เฉย ๆ ก็เกรงว่านกจะบินหนีไป ก็เลยหักขาบ้าง หักกระดูกบ้าง ป้องกันนกบิน”
ท่านกล่าวว่า เพราะกรรมอย่างนี้เป็นปัจจัยให้ติสสะมีกายเน่า และก็มีกระดูกแตก
วาโยรัตนะ
28-10-2009, 07:21
แล้วอะไรเป็นปัจจัยให้พระติสสะ ท่านบรรลุถึงเข้าพระนิพพานได้ มีท่านใดทราบบ้างครับ......
สายท่าขนุน
28-10-2009, 19:33
แล้วอะไรเป็นปัจจัยให้พระติสสะ ท่านบรรลุถึงเข้าพระนิพพานได้ มีท่านใดทราบบ้างครับ......
จะแวะมาลงว่า เข้าใจว่าภาพเหล่านี้เป็นฝีมือของท่านอาจารย์คำนวน ชานันโท
แต่ด้วยความอยากรู้ จึงไปค้นพบว่า...
(เป็นเรื่องที่หลวงพ่อเล่า และบันทึกไว้ในในหนังสือ "ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน"
จึงลงไว้แต่พอตอบคำถาม เป็นการป้องกันปัญหาลิขสิทธิ์ที่อาจมี)
...แล้วพระองค์ก็ทรงยืนอยู่ข้าง ๆ บอกว่า
"ติสสะ ร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายนี้ก็ต้องถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์"
หมายความว่าจิตใจจะพ้นไปจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องตาย
เมื่อตายแล้วร่างกายของเราก็ไร้ประโยชน์ เป็นของที่ชาวบ้านเขาจะทอดทิ้งเขาไม่ต้องการ
สู้ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้
พระติสสะฟังเพียงเท่านี้ อานิสงส์ที่เคยถวายทานกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต
ก็เป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณทันทีและก็นิพพานทันทีในวันนั้น
วาโยรัตนะ
28-10-2009, 20:14
ในชาติที่พระติสสะ เป็นนายพรานล่านก ได้เคยทำบุญดังนี้
มีพระอรหันต์ท่านเดินบิณฑบาต
นายพรานนก (พระติสสะ) เห็นเข้าก็นิมนต์ท่าน รับบาตรมา มีความรู้สึกว่าเขาทำบาปทุกวันไม่เคยทำบุญเลย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ก็สั่งคนในบ้านให้ทำกับข้าวให้รสอร่อยที่สุด ที่เขาชอบมากที่สุด เอาเนื้อนกนั่นแหละทำ เมื่อทำเสร็จก็นำไปใส่บาตรพระจนเต็ม เป็นที่พอใจของตนเองว่าได้ทำบุญ (กำลังใจเต็ม)
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าด้วยผลบุญ คือ ถวายทานกับพระขีณาสพนี่เอง (คำว่าขีณาสพคือพระอรหันต์) มาชาตินี้ชาติสุดท้าย จึงเป็นปัจจัยให้บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
พระท่านว่า สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ “การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทุกอย่าง”
สาธุ สาธุ สาธุอนุโมทามิ อ่านไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอันหาที่ประมาณมิได้ ในความเมตตาแห่งพระพุทธองค์ น้ำตาหยด น้ำตาร่วงตลอดเวลา :onion_beg:
เกิดธรรมสังเวช เห็นเหตุแห่งทุกข์อันเกิดจากกรรมที่ทำไว้แต่อดีต เฮ้อ..จะมีใครสักกี่คนหนอที่จะโชคดีแบบนั้น :4672615:
ขอบคุณใน "ธรรมทาน" ค่ะคุณทิดรัตน์ ฮิ ฮิ..:onion078:
(คิดว่าจะไม่เข้ามาตอบเสียแล้ว ฮิ ฮิ..)
สมเกียรติ
06-03-2011, 21:47
โชคดีที่เปิดมาอ่าน เรื่องพระติสสะ ภาพก็งดงามมาก
โมทนาครับ
จิมมี่
กราบนมัสการหลวงพี่ครับ
ผมขอด้วยนะครับ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.