เถรี
17-01-2010, 13:18
ถาม : เรื่องการเกิด ๔ จำพวก มีจำพวกหนึ่งที่เกิดในที่หมักหมม ไม่เข้าใจครับ ?
ตอบ : บางคนเขาบอกว่าเกิดในเถ้าไคล อย่างพวกจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคต่าง ๆ
ถ้าว่ากันตามพระไตรปิฎก คนเราก็สามารถเกิดได้ทั้ง ๔ จำพวก เราต้องพูดถึงโยนิ คือ การเกิด ๔ ประเภท ท่านบอกว่า ชลาพุชะ ชำแรกไส้เกิด อัณฑชะ เกิดจากฟองไข่ พ่อแม่ไข่มาก่อน แล้วก็ค่อยฟักเป็นตัว สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล หรือของสกปรก อย่างพวกเชื้อโรคหรือหมู่หนอน เป็นต้น โอปปาติกะ โตขึ้นฉับพลันทันทีนั้นเลย โผล่ขึ้นมาโตเดี๋ยวนั้นเลย อย่างเช่นพวกเทวดา พวกผี เป็นต้น
คราวนี้ในพระไตรปิฎก อรรถกถาจารย์ท่านพูดถึงชลาพุชะ เรารู้ว่าคือ คนทั่ว ๆ ไปเกิดนั่นแหละ อัณฑชะเกิดจากฟองไข่ ...มีไหม? มี ตัวอย่างคือพระภิกษุ ๒ รูป เป็นลูกของโกฏนกินรี ๒ คน แม่มาได้เสียกับพ่อที่เป็นมนุษย์ แล้ววางไข่ไว้ ๒ ฟอง แล้วแม่ก็กลับหิมพานต์ไป แต่คราวนี้พ่อเป็นคนฟักไข่ ปรากฏว่าแตกออกมาเป็นเด็กผู้ชาย ๒ คน โตขึ้นแล้วได้บวชด้วย ถ้าจำไม่ผิด เป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ การเกิดน่าจะจัดอยู่ในสัตว์เดรัจฉาน...แต่ไม่ใช่ เพราะกายเป็นมนุษย์ ในเมื่อกายเป็นมนุษย์มีอาการครบ ๓๒ แปลว่าบวชได้ เพราะว่าสมบัติครบถ้วน
ในเรื่องของสังเสทชะ ต้องดูประวัติของพระนางอุบลวรรณาเถรี ในชาติที่เป็นนางปทุมวดี พระนางปทุมวดีท่านตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตรเป็นชลาพุชะ คือ เกิดจากท้อง ๑ คนเท่านั้น แต่ว่าอีก ๔๙๙ เขาบอกว่าเกิดจากเม็ดเหงื่อ อันนี้คือลักษณะของสังเสทชะ เกิดจากขี้เถ้า เกิดจากเหงื่อไคล เกิดจากสิ่งที่หมักหมม ตกลงว่า พระนางปทุมวดีมีลูกทีเดียว ๕๐๐ คน แล้วพอโตได้ ๗ ขวบ ลูก ๆ เข้าไปเที่ยวในสระสวนอุทยาน เห็นดอกบัวบานอยู่ สภาพจิตก็จดจำถึงสัญญาเก่าของตนได้ ก็เลยนั่งขัดสมาธิเข้าฌานพิจารณาธรรม บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์
พอตะวันบ่ายคล้อย มหาดเล็กก็มาตาม "พระลูกเจ้า..กลับวังเถอะ เดี๋ยวพระแม่เจ้าจะเป็นห่วง" ท่านบอกว่า "กิจในการกลับวังของเราไม่มีแล้ว" มหาดเล็กก็ถามว่า "ทำไม ?" ท่านบอกว่า "เราเป็นนักบวชแล้ว" พวกมหาดเล็กหัวเราะแล้วก็บอกว่า นักบวชใครเขาแต่งตัวกันอย่างนี้" ท่านถามว่า "นักบวชแต่งตัวอย่างไร?" "อ๋อ...นักบวชต้องมีผมสั้นไม่เกิน ๒ องคุลี ต้องนุ่งผ้าคากรอง ต้องมีอัฐบริขาร" ท่านก็ยกมือลูบศีรษะแล้วแปลงสภาพกลายเป็นนักบวช ท่านบอกว่ามีสมณสารูปประหนึ่งว่าบวชมาแล้ว ๑๐๐ พรรษา
ตอนหลังท่านได้มาโปรดพระนางปทุมวดี แต่ไม่ได้แค่โปรดพระนางปทุมวดีเท่านั้น มีอยู่ ๘ รูป ที่ได้ไปโปรดนางขุชชุตตรา ตอนนั้นคนที่ใส่บาตร เขาเทข้าวต้มร้อน ๆ ใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องก็ต้องสลับมือไปเรื่อยเพราะบาตรมันร้อน พอดีนางขุชชุตตราใส่กำไลงาช้างอยู่ข้างละ ๔ วง ก็เลยรูดกำไลออกถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ พระองค์ แล้วก็อธิษฐานว่าธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นธรรมนั้นด้วย เมื่อนางขุชชุตราเกิดมาชาติใหม่ ฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระโสดาบันไม่พอ ยังเอาไปเทศน์ต่อ ได้พระโสดาบันมา ๕๐๑ องค์ ฉลาดขนาดนั้น
ตอบ : บางคนเขาบอกว่าเกิดในเถ้าไคล อย่างพวกจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคต่าง ๆ
ถ้าว่ากันตามพระไตรปิฎก คนเราก็สามารถเกิดได้ทั้ง ๔ จำพวก เราต้องพูดถึงโยนิ คือ การเกิด ๔ ประเภท ท่านบอกว่า ชลาพุชะ ชำแรกไส้เกิด อัณฑชะ เกิดจากฟองไข่ พ่อแม่ไข่มาก่อน แล้วก็ค่อยฟักเป็นตัว สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล หรือของสกปรก อย่างพวกเชื้อโรคหรือหมู่หนอน เป็นต้น โอปปาติกะ โตขึ้นฉับพลันทันทีนั้นเลย โผล่ขึ้นมาโตเดี๋ยวนั้นเลย อย่างเช่นพวกเทวดา พวกผี เป็นต้น
คราวนี้ในพระไตรปิฎก อรรถกถาจารย์ท่านพูดถึงชลาพุชะ เรารู้ว่าคือ คนทั่ว ๆ ไปเกิดนั่นแหละ อัณฑชะเกิดจากฟองไข่ ...มีไหม? มี ตัวอย่างคือพระภิกษุ ๒ รูป เป็นลูกของโกฏนกินรี ๒ คน แม่มาได้เสียกับพ่อที่เป็นมนุษย์ แล้ววางไข่ไว้ ๒ ฟอง แล้วแม่ก็กลับหิมพานต์ไป แต่คราวนี้พ่อเป็นคนฟักไข่ ปรากฏว่าแตกออกมาเป็นเด็กผู้ชาย ๒ คน โตขึ้นแล้วได้บวชด้วย ถ้าจำไม่ผิด เป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ การเกิดน่าจะจัดอยู่ในสัตว์เดรัจฉาน...แต่ไม่ใช่ เพราะกายเป็นมนุษย์ ในเมื่อกายเป็นมนุษย์มีอาการครบ ๓๒ แปลว่าบวชได้ เพราะว่าสมบัติครบถ้วน
ในเรื่องของสังเสทชะ ต้องดูประวัติของพระนางอุบลวรรณาเถรี ในชาติที่เป็นนางปทุมวดี พระนางปทุมวดีท่านตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตรเป็นชลาพุชะ คือ เกิดจากท้อง ๑ คนเท่านั้น แต่ว่าอีก ๔๙๙ เขาบอกว่าเกิดจากเม็ดเหงื่อ อันนี้คือลักษณะของสังเสทชะ เกิดจากขี้เถ้า เกิดจากเหงื่อไคล เกิดจากสิ่งที่หมักหมม ตกลงว่า พระนางปทุมวดีมีลูกทีเดียว ๕๐๐ คน แล้วพอโตได้ ๗ ขวบ ลูก ๆ เข้าไปเที่ยวในสระสวนอุทยาน เห็นดอกบัวบานอยู่ สภาพจิตก็จดจำถึงสัญญาเก่าของตนได้ ก็เลยนั่งขัดสมาธิเข้าฌานพิจารณาธรรม บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์
พอตะวันบ่ายคล้อย มหาดเล็กก็มาตาม "พระลูกเจ้า..กลับวังเถอะ เดี๋ยวพระแม่เจ้าจะเป็นห่วง" ท่านบอกว่า "กิจในการกลับวังของเราไม่มีแล้ว" มหาดเล็กก็ถามว่า "ทำไม ?" ท่านบอกว่า "เราเป็นนักบวชแล้ว" พวกมหาดเล็กหัวเราะแล้วก็บอกว่า นักบวชใครเขาแต่งตัวกันอย่างนี้" ท่านถามว่า "นักบวชแต่งตัวอย่างไร?" "อ๋อ...นักบวชต้องมีผมสั้นไม่เกิน ๒ องคุลี ต้องนุ่งผ้าคากรอง ต้องมีอัฐบริขาร" ท่านก็ยกมือลูบศีรษะแล้วแปลงสภาพกลายเป็นนักบวช ท่านบอกว่ามีสมณสารูปประหนึ่งว่าบวชมาแล้ว ๑๐๐ พรรษา
ตอนหลังท่านได้มาโปรดพระนางปทุมวดี แต่ไม่ได้แค่โปรดพระนางปทุมวดีเท่านั้น มีอยู่ ๘ รูป ที่ได้ไปโปรดนางขุชชุตตรา ตอนนั้นคนที่ใส่บาตร เขาเทข้าวต้มร้อน ๆ ใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องก็ต้องสลับมือไปเรื่อยเพราะบาตรมันร้อน พอดีนางขุชชุตตราใส่กำไลงาช้างอยู่ข้างละ ๔ วง ก็เลยรูดกำไลออกถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ พระองค์ แล้วก็อธิษฐานว่าธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นธรรมนั้นด้วย เมื่อนางขุชชุตราเกิดมาชาติใหม่ ฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระโสดาบันไม่พอ ยังเอาไปเทศน์ต่อ ได้พระโสดาบันมา ๕๐๑ องค์ ฉลาดขนาดนั้น