PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๓


เถรี
07-01-2010, 09:59
มีคนถามเกี่ยวกับเรื่องเจ้าที่เจ้าทาง พระอาจารย์เล็กได้ให้คำตอบแก่เขาไปว่า "ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ต่อให้ไม่ดีก็ทำให้ดีได้ เพราะว่าถ้าเรารู้จักเคารพนบไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ไปที่ไหนที่เขาบอกว่าไม่ดี ก็ย่อมดีได้

คุณเฉลิม คงทอง บ้านอยู่ดำเนินสะดวก ต้นตระกูลเขานับถือคริสต์ เปลี่ยนมานับถือพุทธเพราะว่าอยากซื้อบ้านหลังหนึ่ง ปรากฏว่าบ้านหลังนี้เสาตกน้ำมันทุกต้น ไม่มีใครสามารถเอาไปได้ ส่วนใหญ่พอจะซื้อ ขึ้นบ้านไปก็วิ่งหนีทุกราย คุณเฉลิมก็เลยมาถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้เอาดอกไม้ธูปเทียน น้ำมันหอม พวกผ้าสามสีหรือเจ็ดสี ใส่พานไป ตั้งใจว่า ท่านทั้งหลายที่อาศัยอยู่บ้านนั้น ขอเชิญไปอยู่ด้วยกัน แล้วจะให้ความเคารพนับถือท่าน ถ้ามีอะไรที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ให้บอกกล่าว จะทำให้ตามที่บอก เมื่อคุณเฉลิมจุดธูปบอกกล่าวเสร็จ ปรากฏว่า เดินขึ้นบ้านนี่แทบหงายหลัง ท่านเจ้าที่นั่งอยู่กลางเรือน ศีรษะท่านแทบจะค้ำหลังคา บอกว่า "ถ้าทำอย่างนี้อยู่ด้วยกันได้.."

คุณเฉลิมก็เลยขออนุญาตท่านถอนเสา ท่านบอกว่าแม้แต่เสาที่อยู่กลางลานก็ให้เอาไปด้วย เป็นเสาที่เขาตั้งทิ้งไว้เฉย ๆ ปรากฏว่าเสาที่ตั้งทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ยังตกน้ำมัน พอปลูกไปแล้ว ท่านบอกว่าทุกวันพระให้บูชาท่านด้วยไข่ต้ม ๑ ฟอง กับน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง อย่างอื่นไม่ขออะไรเลย เอาแค่ความเคารพเท่านั้น แล้วคุณเฉลิมก็ทำมาหากินขึ้น ท่านมาเข้าฝันบอกว่า ปีนี้ราคาอะไรดีให้ทำสิ่งนั้น แกก็เลยรวยเอา ๆ เพราะฉะนั้น...อะไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นที่ เป็นบ้านที่มันไม่ดี เราสามารถทำให้ดีได้ แล้วที่โยมถามว่าที่ตรงนั้นดีไหม ต่อให้ไม่ดีเราก็ทำให้ดีได้

เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้า คุณเฉลิมจึงหันมานับถือพุทธ ลูกหลานญาติโยมก็ตามมาถือพุทธด้วย..!"

เถรี
07-01-2010, 15:08
มีคนนำพระหลวงปู่ดู่มาถวายหลวงพ่อเล็ก ท่านจึงกล่าวว่า "หลวงปู่ดู่ท่านเป็นพระบริสุทธิ์จริง ๆ ใครบอกว่าท่านจะมาเกิดใหม่ อาตมาไม่เชื่อว่ะ"

ถาม : ท่านนิพพานแล้วหรือครับ?
ตอบ : ไปนานแล้ว

เถรี
07-01-2010, 15:09
ถาม : ในระหว่างมื้อนี่ ถ้าพระฉันของขบเคี้ยวได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ไม่สมควร ของพระนี่เขาให้ฉันเป็นมื้อเป็นคราว บาลีว่า โภชเน มัตตัญญุตา

เถรี
07-01-2010, 15:16
หลวงพ่อกล่าวถึงชาวท่าขนุนว่า "ปีใหม่ คนส่วนหนึ่งเขาไปเคาท์ดาวน์กัน ปีที่แล้วที่ซานติก้าผับ ตายไปไม่รู้เท่าไร แต่ละเทศกาลที่เป็นที่นิยมกัน คนก็ตายกันมาก ๆ ดูแล้วน่าสลดใจ แต่ขณะเดียวกัน คนอีกจำนวนหนึ่งเขาถือบุญเป็นใหญ่ ถึงเวลาวาระสำคัญก็ทำบุญไว้ก่อน

เมื่อวานที่วัดท่าขนุน กับข้าวกองเป็นภูเขาเลย บิณฑบาตแค่เช้าเดียวเท่านั้น วันนี้อาตมาหนีบิณฑบาตมา ให้พระครูหน่อย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสเขาพาพระไป เพราะว่าวันนี้เทศบาลเขาจัดงานตักบาตรพระ ๙๙ รูป เขาจัดแบบนี้ทุกวันขึ้นปีใหม่ ถ้าอาตมาอยู่ก็จะไปนั่งเป็นประธานบนแท่นคอยพรมน้ำมนต์ ไม่ได้ไปบิณฑบาตกับเขา พอดีปีใหม่ของปีนี้ตรงกับรับสังฆทานที่กรุงเทพฯ เลยไม่ได้ไป

ทางบ้านท่าขนุนก็มีทำบุญปีใหม่กลางหมู่บ้านทุกปี ลักษณะนี้ควรจะทำเพราะเป็นการแสดงออกซึ่งสามัคคีกัน เขาจะทำกับข้าวมาคนละอย่างสองอย่าง แล้วเอามารวม ๆ กัน ทั้งหมู่บ้านรวมแล้วกับข้าวเป็นร้อยอย่าง พระนั่งล้อมวงกัน เอื้อมตักแทบไม่ถึง เพราะวงมันใหญ่ ต้องส่งสลับกันไปสลับกันมา

อีกอย่างหนึ่งที่เห็นคนท่าขนุนเขาทำกันแล้ว รู้สึกว่าเขารักใคร่สามัคคีกันดี ก็คือ ปีที่แล้วเขาสร้างบ้านให้คุณยายคนหนึ่ง คุณยายคนนี้ไม่มีลูกไม่มีหลาน อยู่ตัวคนเดียวลำบาก อาศัยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แลกค่าอาหารไปวัน ๆ ชาวท่าขนุนก็ช่วยกันบริจาคคนละเล็กคนละน้อยร่วมกับเทศบาลตำบล สร้างบ้านใหม่ให้ยายหนึ่งหลัง แล้วก็นิมนต์พระไปขึ้นบ้านใหม่ รายจ่ายทั้งหมด นายกเทศมนตรีควักกระเป๋า ไม่ได้ใช้งบประมาณนะ ค่าทำบุญเลี้ยงพระ นายกเทศมนตรีควักกระเป๋าเอง ๒ ชุมชน ๕ หมู่บ้านรวมกัน เขารักใคร่กลมเกลียวกันมากเลย ถึงเวลามีอะไรก็ทำงานพร้อม ๆ กัน

อย่างของวัดท่าขนุน เวลาจัดงานวัฒนธรรมสายใยชุมชน แต่ละชุมชนเขาจะมีของดีมาอวดคนอื่นเขา ทั้งการแสดง งานฝีมือ จักสานหัตถกรรม ถ้าหากทุกหมู่บ้านทำอย่างนี้ได้ รับรองได้เลยว่าประเทศไทยเจริญกว่านี้อีกจนนับไม่ได้ เพราะเขารู้จักห่วงหาอาทรในลักษณะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเลย เมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมหมู่บ้าน"

เถรี
12-01-2010, 09:57
พระอาจารย์เล็กถามว่า "พระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นสาละที่ป่าลุมพินี มีคำถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงประสูติที่นั่น?"

ถาม : ถ้าตอบตามตำรา เพราะว่าเป็นระหว่างทางเดินบ้านเกิดฝ่ายหญิง
ตอบ : แล้วทำไมต้องกลับไปที่นั่น?

ถาม : เพราะเป็นประเพณีครับ
ตอบ : ปวดท้องจะคลอดลูกแล้วยังจะไปอีก? ถ้าเป็นประเพณีแสดงว่าทุกคนเวลาจะคลอดลูก ต้องกลับไปคลอดที่บ้าน แน่ใจหรือ?

ถาม : ไม่ค่อยแน่ใจครับ
ตอบ : ต้องเอาให้แน่ ถ้าเป็นขนบธรรมเนียมต้องแน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่อะไรหรอก ที่สงสัยตรงนี้ก็คือ คนเขียนเขามั่วหรือเปล่า เนื่องจากตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ หนังสือเขาบอกว่าพระชายาประสูติพระโอรสแล้วในวัง แสดงว่าการกลับไปคลอดลูกที่บ้านเกิดฝ่ายหญิงไม่ใช่ธรรมเนียมแน่ ฉะนั้น...คุณต้องไปดูใหม่ในมหาปทานสูตร ยิ่งถ้าได้อ่านในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ยิ่งดี ในนั้นบอกว่า เป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ต้องประสูติในป่า คราวนี้จบเลย ไม่ต้องไปสงสัยว่าทำไมพระราหุลจึงเกิดในวัง แต่ถ้าอธิบายว่าเป็นธรรมเนียมที่ลูกสาวต้องกลับไปคลอดที่บ้านก็เจ๊งเลย

เถรี
12-01-2010, 10:12
พระอาจารย์ถามว่า "พระพุทธรูปมีหลายต่อหลายปางด้วยกัน มีอยู่ปางหนึ่ง เรียกว่าปางมารวิชัย รู้จักใช่ไหม?"

ถาม : รู้จักครับ
ตอบ : นับว่าเป็นพระพุทธรูปไหม?

ถาม : เป็นครับ
ตอบ : พวกเราเรียนพุทธประวัติมาแล้ว ว่าพระพุทธเจ้าชนะมารตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้ไม่ใช่หรือ ?

ถาม : อ้าว...ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นพระพุทธรูปไม่ได้ เพราะตอนนั้นเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นความคิดเห็นของคนสมัยหลัง ตั้งใจสร้างรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา และเห็นว่าการที่จะแสดงออกซึ่งพระบารมีที่ดีที่สุด ก็เป็นตอนที่ชนะมาร เมื่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาจึงได้เรียกว่าปางชนะมารหรือปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปแต่ชื่อมารวิชัย ไม่ได้หมายความว่าสร้างแทนตอนพระองค์ท่านชนะมาร ฉะนั้น...ปางนี้ก็นับว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างแน่นอน

เถรี
12-01-2010, 10:41
ถาม : วันนั้นไปวัดเบญจมบพิตรฯ เจอพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา ?
ตอบ : นั่นก็เรียกว่าพระพุทธรูป เพราะเขาสร้างแทนองค์ท่าน แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากบำเพ็ญเพียรก่อนที่จะตรัสรู้ ไม่ได้หมายความว่าสร้างแทนองค์ท่านก่อนตรัสรู้

ถาม : ก็คือ เป็นอนุสติแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ่านมาเยอะนะครับ แต่ไม่ได้สังเกต ?
ตอบ : พวกคุณมักจะแค่อ่านเฉย ๆ

เถรี
12-01-2010, 11:12
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยหลวงพ่อฤๅษีอยู่ที่วัดประยูรวงศ์ฯ ท่านเคยจ้างหมอไสยศาสตร์ไปทำน้ำมันพราย ท่านอยากรู้ว่า น้ำมันพรายเขาทำอย่างไรถึงมีผลจริง ก็คือ น้ำมันพรายที่มีผลจริงท่านเห็นมาหลายครั้งแล้ว เพราะคนที่โดนน้ำมันพรายป้ายจะหนีตามผู้ชายไปเลย แต่ท่านสงสัยว่าน้ำมันพรายเขาทำกันอย่างไร ท่านก็เที่ยวไปสืบถาม ในที่สุดก็ได้หมอคุณไสยฯที่มีความสามารถมา เขาคิดค่าแรง ๑๐ บาท สมัยนั้นค่าแรง ๑๐ บาท ก็แปลว่าประมาณ ๘,๐๐๐ บาทสมัยนี้

พอเขาหาศพมาได้ เขาก็ส่งข่าวนัดหลวงพ่อไป หลวงพ่อออกจากวัดตอนสองทุ่มกว่า ท่านเดินข้ามสะพานพุทธไปวัดดอน เขาบอกว่าต้องหาศพคนตายวันเสาร์เผาวันอังคารเพราะจะแรงมาก โดยเฉพาะเป็นศพผู้หญิงยิ่งดี ถ้าหากได้ผู้หญิงตายท้องกลมยิ่งดีใหญ่เลย แต่คราวนี้ถ้ารอตายท้องกลมมันหาไม่ได้ ก็เลยเอาที่ตายวันเสาร์หรือวันอังคาร สมัยก่อนเขาไม่ค่อยเผาศพ เขานิยมเก็บ อาจจะไว้ในโกดังหรือฝังฝากเอาไว้ก่อน ทำเครื่องหมายไว้ว่าศพอยู่ตรงนี้ หลวงพ่อท่านก็ไปกับเณรสององค์"

ถาม : เณรนี่ก็ใจถึงมากเลยนะ
ตอบ : ใจถึงมากเลย เกาะจีวรหลวงพ่อเป็นทาง

ท่านบอกว่าพอไปถึง เขาก็ล้อมสายสิญจน์ แล้วกำชับว่าท่านมหาฯ กับเณร ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามวิ่งเด็ดขาด ถ้าหากวิ่ง เขาไม่รับรองความปลอดภัย สถานเบาก็หัวโกร๋น สถานหนักคือตายเลย หลวงพ่อท่านก็คงไม่เท่าไรเพราะท่านตั้งใจไปดูอยู่แล้ว แต่เณรนี่ต้องคิดหนักหน่อย ท่านบอกว่าพอหมอเขาปลุกเสกไปสักพักหนึ่ง ดินฟ้าอากาศจากที่ธรรมดาก็กลายเป็นมืดดั่งพายุฝนจะมา แล้วศพก็ดันดินแตกขึ้นมา พอศพมันลุกขึ้นมานั่งได้ ตัวมันก็ใหญ่ขึ้น ๆ

หมอผีก็เสกคาถาไปเรื่อย ซัดข้าวสารไปเรื่อย จนกระทั่งมันหดเล็กลงมาเหลือตัวเท่าคนเหมือนเดิม แล้วหมอจึงเอาเทียนไปลนคาง ลนไปก็เสกคาถาไป ได้น้ำมันมาแค่ ๔-๕ หยดเอง ใส่ขวดปิดฝาเสร็จ ก็เสกคาถาสะกดให้ศพกลับลงไปในหลุมตามเดิม ท่านบอกว่าตอนนั้นถ้าเอาไม่อยู่ มันจะตามทวงตลอด แล้วหมอผีก็มอบน้ำมันพรายให้หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็รับมา ช่วงขากลับก็ต่างคนต่างไป หมอผีรับค่าแรงก็ไป หลวงพ่อก็กลับไป

ท่านบอกว่าท่านเดินข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็โยนขวดน้ำมันพรายลงน้ำไปเลย ท่านแค่อยากรู้เท่านั้นว่าทำอย่างไร

ถาม : น้ำมันพรายนี้ผู้ชายเขาเอาไว้ใช้ ไม่ใช่หรือครับ?
ตอบ : ผู้หญิงก็ใช้ได้

ถาม : ผสมกับน้ำมันงาได้หรือเปล่าครับ จะได้เติมเท่าไหร่ก็ไม่หมด
ตอบ : เอาอย่างนี้ ถ้าใครอยากได้ก็ไปงมเอาในคลอง อาตมาหย่อนไว้ตรงนั้นขวดหนึ่ง ทิ้งเอาไว้เป็นสิบปีแล้ว ตอนนั้นโยมเขาเดือดร้อน เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาอยู่หรือเปล่า เขาเลยเอามาฝากไว้ เราจะเห็นได้ว่า จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านอยากรู้ทุกเรื่อง แต่ท่านลองแล้วก็เลิก อะไรที่รู้ว่ามีโทษก็ไม่ได้เอามาใช้งาน ทำเสร็จก็ทิ้ง

ถาม : จริง ๆ แล้วมีประโยชน์อะไร ?
ตอบ : ไม่มี..เพราะผู้หญิงที่โดนน้ำมันพราย จะอยู่ในลักษณะที่ว่าสติไม่สมบูรณ์ (บ้า ๆ บอ ๆ)

เถรี
12-01-2010, 13:00
ถาม : ช่วงนี้มารเขาตามหนูอยู่เรื่อยค่ะ วัตถุมงคลเขาก็ทำให้หายตลอด หนูเอาวัตถุมงคลเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วหายไป พอหายไปก็จะไปเจออยู่ในที่ต่ำ ๆ อย่างไปอยู่ในกะละมังซักผ้าอย่างนี้ค่ะ
ตอบ : จะไปเดือดร้อนอะไร ก็เอาขึ้นมา ทำให้แห้งแล้วบูชาใหม่

ถาม : แล้วทำอย่างไรจะไม่ให้มารตามมารบกวนได้คะ?
ตอบ : เลิกเกิด..ถ้าไม่เกิดก็ไม่เจอ..!

เถรี
13-01-2010, 14:04
พระอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังเกี่ยวกับพระในวัดท่าขนุนว่า "เคยเตือนแล้วว่า พระเณรถ้าไม่จำเป็นอย่าลากลับบ้าน ไปเมื่อไรจะเป็นส่วนเกินของสังคม ไม่ว่าจะเดินทาง จะกิน จะอยู่ ลำบากไปหมด โดยเฉพาะในตลาด ไม่จำเป็นอย่าเข้าไป เข้าไปแล้วเกะกะเขา ถ้าใครไม่รู้ว่าพระเกะกะอย่างไร ลองไปยืนดูแล้วจะรู้ คนหลีกให้เป็นทางเลย ทำให้โยมเขาเดือดร้อนเปล่า ๆ

ฉะนั้น...อะไรที่ห้ามแล้วยังทำ ก็แปลว่าไม่ฟังกัน ในเมื่อไม่ฟังก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน พระในวัดก็เลยค่อนข้างจะอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน รักษาตัวรอดได้เป็นดี รู้ว่าไม่รอดแน่ก็เลยรีบขอสึกก่อน"

เถรี
13-01-2010, 14:40
ถาม : ถ้ากำลังทรงอารมณ์อยู่ แล้วรู้สึกว่าเบาสบาย ถ้าอารมณ์นั้นมันแน่นเกินไป มันนิ่ง มันจะแข็ง แต่ที่ผมเจอนี่มันเหมือนกลวง มันจะว่าแข็งก็ไม่แข็ง แต่ถ้าถามว่ามันเป็นอารมณ์ที่โปร่งสบายไหม มันโปร่งเบาครับ มันเหมือนกลวงข้างใน

ตอบ : อยู่ที่เราด้วย ถ้าเราไปยินดีในอารมณ์นั้น หรือไปใส่ใจอยู่ในอารมณ์นั้น โอกาสที่จะเข้าถึงที่สุดก็จะยาก ถ้าเราไม่ยินดีไม่ใส่ใจ ทำตัวเป็นผู้ดูเฉย ๆ มันจะไปของมันเอง

เถรี
14-01-2010, 08:07
ถาม : การปฏิบัติมันไปลงที่ตัวเห็นจิตในจิตค่ะ ต่อให้กิเลสมันกำเริบหรือแสดงอาการอะไร เราก็จะสักแต่ดูมัน อย่างนี้ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตามรู้เฉย ๆ อย่าไปเล่นกับมัน แล้วพอไม่มีคนเล่นกับมัน มันเบื่อเดี๋ยวมันไปเอง เราจะรู้เร็วขึ้น ๆ จนในที่สุดก็หมดอารมณ์เซ็งไปเอง

ถาม : มีคนถามหนูเหมือนกันว่า ถ้าเราแยกมาดูอย่างนี้ กิเลสในตรงส่วนนั้นที่มันกำเริบมันก็หยุดหายไปสิ แต่หนูก็บอกว่า ต่อให้หนูแยกมาดู ก็ยังเห็นกิเลสมันกำเริบอยู่ค่ะ
ตอบ : เป็นปกติอย่างนั้นของมัน แต่ทีนี้พอเราไม่ไปให้ความร่วมมือ มันก็ไปต่อไม่ได้ มันคึกได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวมันก็เหี่ยว

ถาม : ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตัวเองจะรู้สึกทรมาน เพราะรู้สึกว่ามันเป็นอย่างเดียวกับเรา แต่จริง ๆ แล้วแม้กระทั่งกิเลสมันก็ไม่ใช่เรา
ตอบ : พอดูไปนาน ๆ แล้วจะเห็นชัด ว่าเป็นคนละส่วนกัน ในเมื่อคนละส่วนกัน เราก็ต้องควบคุมมัน ไม่ใช่ให้มันควบคุม พอท้ายสุดแล้วไม่ยุ่งกับมัน ทั้งเราและมันก็ไม่มีอะไร

เถรี
14-01-2010, 10:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหลวงท่านให้พระบรมราโชวาทแก่ผู้ที่รับพระราชทานสมเด็จจิตรลดาไปว่า ให้ปิดทองทางด้านหลัง คราวนี้ พ.ต.อ.วศิษฐ์ เดชกุญชร (ยศในขณะนั้น ) ท่านก็ทักท้วงว่า มัวแต่ปิดทองด้านหลังอยู่ เมื่อไรคนเขาจะรู้? ในหลวงทรงตรัสว่า ถ้าเราปิดได้มากพอ ทองก็จะล้นออกมาข้างหน้าเอง ก็เลยสำคัญที่ว่า เรารู้จักปิดทองให้มากพอไหม?"

เถรี
14-01-2010, 11:17
ถาม : วิธีสร้างกำลังใจของพระโพธิสัตว์ สร้างอย่างไรครับ?
ตอบ : อ๋อ ไม่ต้องทำอย่างไร เกิดบ่อย ๆ เกิดมากเท่าไหร่กำลังใจจะค่อย ๆ เข้มแข็งไปเรื่อย

เถรี
14-01-2010, 11:26
ถาม : การเกิดศาสนาของอิสลาม ที่เชื่อถือในพระเจ้า เป็นเพราะการเห็นอะไรบางอย่างของศาสดาด้วยหรือเปล่า?
ตอบ : ด้วย ตรงส่วนนั้นเลย เพราะคนเราส่วนใหญ่จะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และอัศจรรย์ก่อน แล้วหลังจากนั้นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติก็ตามมา

ถาม : พระเยซูแสดงปาฏิหาริย์ไม่กี่ครั้ง
ตอบ : ไม่กี่ครั้งซะเมื่อไร ขนมปังสามก้อนเลี้ยงคนทั้งเมือง คนเจ็บไข้ได้ป่วยมาแตะตัวก็หายจากโรค

ถาม : ทางคริสต์เขาจะเชื่อปาฏิหาริย์ของพระเจ้าเขามาก แต่ทางพุทธก็ยังมานั่งงงว่าปาฏิหาริย์จริงหรือเปล่า
ตอบ : ส่วนหนึ่งพยายามที่จะใช้ปัญญา แต่บังเอิญว่าเป็นโลกียปัญญา จึงได้บอกว่าถ้าไม่ประกอบด้วยตถาคตโพธิศรัทธา เรื่องอื่นก็จะไม่ตามมา เราต้องเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อน ว่าท่านรู้จริงเห็นจริง ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนมโนมยิทธิแก่พวกเราก็เพื่อพิสูจน์ตรงจุดนี้ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นจริงตามนั้น

เถรี
14-01-2010, 11:30
ถาม : การที่เราใช้ทิพจักขุญาณเพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น มันก็เป็นไปได้ยาก แล้วการที่เราจะสอนคนที่อยู่ต่างศาสนา มันจะไม่เป็นการยากยิ่งกว่าหรือครับ?

ตอบ : ถ้าสามารถทำได้ การสอนคนจะไม่ใช่เรื่องยาก ที่สอนยากเพราะยังทำไม่ได้

เถรี
14-01-2010, 11:41
ถาม : เวลาเราปฏิบัติตั้งใจรักษาศีล คำสอนของหลวงพ่อ ก็คือ ให้รักษาศีลยิ่งชีวิต แต่ว่าพอเวลาเราผิดพลาดไปแล้ว ก็คือกำลังใจต้องตัดทิ้งทันทีใช่ไหมครับ?
ตอบ : เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตรงนั้นเลย

ถาม : ทีนี้มันจะหาจุดสมดุลไม่เจอ แต่ถ้าเราตัดทิ้งไปแบบไม่กังวล ก็เท่ากับว่าเราไม่..
ตอบ : ระมัดระวังของใหม่ อย่าไปจมปลักอยู่กับของเดิม เราต้องทำใจว่าโอกาสพลาดมันมี ในเมื่อพลาดแล้วอย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญกับมัน เริ่มต้นทำใหม่เลย

เถรี
14-01-2010, 11:43
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยเป็นฆราวาสแขวนพระแบบนี้เหมือนกัน ใช้กรอบสแตนเลสแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าหลังกรอบสเตนเลสมีแบงก์ ๕๐๐ พับอยู่ ๒ ใบ คือ ห้อยพระอย่างนี้คนเขาจะไม่สนใจ เพราะเห็นว่าไม่มีราคา สร้อยสเตนเลสเขาก็ไม่เอา กะว่าถ้าโดนล้วงกระเป๋าจนหมดเนื้อหมดตัว ต่อให้เราอยู่สุดเหนือสุดใต้ก็ยังกลับบ้านได้ สมัยนี้มีแบงก์พันแล้ว ใครจะเลียนแบบก็ไม่ว่านะ"

เถรี
14-01-2010, 11:52
ถาม : ผมได้ไล่อ่านกระโถนข้างธรรมาสน์ ถ้าภาวนาคาถาสุปินานัง แล้วจะสามารถเห็นผีเห็นอะไรได้ โดยอาศัยกำลังแค่อุปจารสมาธิ กระผมก็ลองไปภาวนาดู ก็ไล่ไปฌานสามฌานสี่ แต่ทำไมไม่เห็น?
ตอบ : มันต้องเป็นฌานสี่แบบคล่องตัว หรือไม่ก็อุปจารสมาธิ เกินไม่ได้ ขาดไม่ได้ ต้องพอดี ๆ

ถาม : แล้วจะเห็นด้วยตาหรือครับ?
ตอบ : จะบอกว่าตาเนื้อก็ไม่ใช่ จะบอกว่าไม่ใช่ตาเนื้อมันก็เห็นชัด ๆ เพราะว่าตาเนื้อมันมองรอบตัวไม่ได้ แต่อันนี้เขามาทิศไหนเราจะเห็นหมด นั่งอยู่ตรงนี้ถ้าเขามาด้านหลังเราก็เห็นชัด ๆ

ถาม : เห็นด้วยใจก็เหมือนเห็นด้วยตาใช่ไหมครับ?
ตอบ : เหมือนอย่างกับเป็นตาสัปปะรด เห็นทุกทิศเลย บางทีนอนภาวนา แหงนมองฟ้าอยู่แท้ ๆ เขาทำอะไรอยู่ เรามองเห็นรอบบ้านเลย อันนั้นจะบอกว่าเห็นด้วยตามันก็ไม่ใช่ แต่มันเห็นชัด ๆ

เถรี
14-01-2010, 11:56
ถาม : ผมเสียดายวิชาของหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่สองวิชา วิชาแรกก็คือ ที่หลวงพ่อเอาไปกอบโรคคนแล้วหาย อีกวิชาหนึ่งก็คือภาวนาแล้วให้คนที่หลับมาตื่นบนตัก
ตอบ : ระวังไว้..คนชื่อซ้ำกันมี ไปภาวนานึกหาน้องกบ เดี๋ยวจะเจอน้องกบยักษ์..!

ถาม : หลวงพ่อสอนเมื่อไรผมขอเรียนคนแรก
ตอบ : ตูไม่ได้เรียนวิชาพวกนี้ ไม่ชอบโดยสันดานเลย..!

เถรี
14-01-2010, 12:03
ถาม : การให้ทานนี่ ที่สุดของจาคะ อยู่ตรงไหน?
ตอบ : ที่สุดของจาคะก็คือ แม้แต่ชีวิตก็สละได้เพื่อธรรม ประเภทเดียวกับยอมตายดีกว่าศีลขาด

ถาม : แล้วถ้าอย่างกลาง?
ตอบ : ถ้าหากว่าอย่างกลาง ก็ถอยลงมาหน่อยหนึ่ง ถ้าหากเพื่อธรรมะ เราสละทรัพย์ทั้งหมดได้

เถรี
14-01-2010, 12:05
ถาม : ตัวอธิษฐานบารมี ถ้าเต็มนี่มันเป็นอย่างไรครับ?
ตอบ : ถ้าเต็มก็ไม่ต้องทำต่อ

ถาม : วิริยบารมีเต็ม เป็นอย่างไรครับ?
ตอบ : เป็นบุคคลที่ไม่ท้อถอยต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย คืออาการของวิริยบารมีที่เต็ม อาการของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในทุกเรื่องที่ปรารถนา ก็คือ การที่อธิษฐานบารมีเต็ม

การที่บารมีทั้งสองตัวนี่จะเต็ม ก็แปลว่าอีก ๘ ตัวต้องเต็มด้วย แปลว่าถ้าไม่เป็นพระพุทธเจ้าไปเลย ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปเลย

เถรี
14-01-2010, 12:56
ถาม : เมื่อสัปดาห์ก่อนผมฝันว่า โดนกลั่นแกล้งด้วยอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เขาตามแกล้งไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายฟ้าผ่าไล่เลย แล้วก็เจอหลวงพ่อฤๅษี ท่านบอกว่า อสุรกายที่อยู่ในที่พักอาศัย ต้องการความเคารพจากผม ให้ผมสร้างศาลให้ ผมก็สงสัยว่าศาลแบบไหน ในฝันหลวงพ่อท่านก็ตอบว่า ศาลแบบ ๖ เสา ผมก็โอ้โห...แบบเดียวกับอากาศเทวดาเลยหรือครับ แล้วผมก็ตื่นมา
ตอบ : รอฝันใหม่ คือ ถ้าเขามาทวงสัก ๘ - ๑๐ ครั้ง ค่อยแน่ใจ หรือไม่เดินไปไหนฟ้าผ่าจริง ๆ แล้วค่อยว่ากัน

ถาม : ทีนี้เขามาแทรกแซงเราจะทำอย่างไร?
ตอบ : ฝันก็คือฝัน อย่าเอาสาระกับมันมากนัก ถ้าฝันดีเก็บเอาไว้เป็นกำลังใจ ฝันไม่ดีลืมทิ้งไปตรงนั้นแหละ โบราณเขาให้ล้างหน้า แก้ฝันไปกับน้ำเลย

เถรี
14-01-2010, 12:59
ถาม : ที่สุดของอภัยทานคืออะไรครับ?
ตอบ : แม้แต่ศัตรูที่เกลียดที่สุด ก็อภัยให้เขาได้

ถาม : แล้วถ้าอย่างกลาง?
ตอบ : ก็ที่เกลียดน้อยหน่อย

เถรี
14-01-2010, 13:02
ถาม : ตอนนี้ท่านปู่ท่านย่ายังรักษาหน้าที่อยู่ หรือเข้านิพพานแล้วครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไป ๆ ก็คือ เตรียมเก็บข้าวของ แต่ของท่านไม่มีอะไรให้เก็บ ท่านไปอยู่ตรงไหนก็สมบูรณ์ทุกที่ ไม่ต้องเสียเวลาเก็บ

เถรี
14-01-2010, 13:05
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนทางระยอง บอกว่าเทวทัตมาเกิดแล้ว คนก็ตาลีตาเหลือกมาส่งข่าว อาตมาก็บอกว่า ขอบคุณที่บอกให้ทราบ แต่ถ้าเป็นเทวทัตที่ผมทราบ ยังอยู่ข้างล่างเลย"

เถรี
14-01-2010, 13:49
ถาม : วิชาโสฬส หรือพิธีมงคลโสฬส จริง ๆ แล้วเป็นวิชาเกี่ยวกับอะไร?
ตอบ : โบราณ คำว่า โสฬส เขาแทนพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ซึ่งมาจากศาสนาพราหมณ์ เขาถือว่าสูงสุดสำหรับเขาแล้ว แต่ว่ามีที่มาในคัมภีร์ที่ ๔

พราหมณ์เขามีคัมภีร์อยู่ ๓ เล่ม เขาเรียกว่า ไตรเพทหรือไตรเวท ประกอบไปด้วย ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท ตอนหลังพัฒนาการเพิ่มขึ้นเป็น อาถรรพเวท เล่มที่ ๔ ขึ้นมา บรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่เขาเอามาใช้กัน กลายเป็นเรื่องขลัง เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ไป

จากที่อธิบายความเป็นมาเกี่ยวกับพระเจ้า จากพิธีการปฏิบัติตนให้เข้าถึงพระเจ้า จากการอธิบายพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ทำเพื่อพระเจ้า ก็เพิ่มเป็นพวกของศักดิ์สิทธิ์ พวกคาถาศักดิ์สิทธิ์อะไรพวกนี้ ในเมื่อพัฒนามาอย่างนี้ ของเราเองที่รับเอาศาสนาพราหมณ์มาแต่แรก ๆ แล้ว ก็เลยพลอยมีความเชื่อเช่นเดียวกันในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แต่ของเราก็มาติดตรงที่ศาสนาพราหมณ์หรือบางคนเขาเห็นว่าศาสนาพุทธไปเหยียบย่ำพราหมณ์ ก็คือไปเห็นว่าพระเจ้าของเขาเป็นแค่คนรับใช้พระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง

อย่างเช่นบางพระสูตรจะบอกว่า สนังกุมารพรหมไปเฝ้าประตูให้พระพุทธเจ้า ท้าวสหัมบดีพรหมก็เปรียบดั่งทายก เพราะเป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ต้องบอกว่าปัญญาดี แต่คิดสั้นไปหน่อย เขาคิดอยู่อย่างเดียวว่าเป็นการแก่งแย่งชิงดีทางศาสนา ต้องพยายามเหยียดศาสนาอื่นให้ด้อยลงเพื่อยกศาสนาของตนเองขึ้น โดยที่เขาไม่คิดว่าเป็นความจริงหรือเปล่า

จะว่าไปแล้วศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่ค่อนข้างจะรักสันติ เพราะว่าเขาเข้ามาในบ้านเมืองเรา ตามที่มีหลักฐาน ก็ตั้งแต่สมัยสุโขทัย และเข้าถึงพระเจ้าแผ่นดินมาตลอด เราจะเห็นว่าพระราชพิธีต่าง ๆ เป็นพิธีพราหมณ์ล้วน ๆ เราเพิ่งจะเอาพิธีพุทธแทรกไปเมื่อไม่นานนี้เอง ลองคิดดูว่าถ้าเป็นอีกศาสนาหนึ่งเข้าถึงได้ขนาดนั้น เราจะได้ผุดได้เกิดหรือเปล่า ?

แต่ศาสนาพราหมณ์กลับไม่ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ศาสนา แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังเข้าถึงพระเจ้าแผ่นดินอยู่ แต่มีศาสนิกชนไม่มาก แทบจะนับจำนวนได้ ทั้ง ๆ ที่บรรดาครูพราหมณ์ต่าง ๆ ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินอย่างเป็นทางการเลย

เถรี
14-01-2010, 13:53
ถาม : เป็นเพราะเนื้อหาแก่นสารของเขาหรือเปล่า ?
ตอบ : คาดว่าที่เป็นในเมืองไทย เพราะเราถือผีมาก่อน ในเมื่อถือผีมาก่อน พอไปนับถือศาสนาพราหมณ์ ก็เท่ากับว่าไปเหยียดความนับถือของตัวเอง แต่ละคนในใจลึก ๆ ก็ต้องละในฐานที่เข้าใจว่า ของเดิมดีกว่า แล้วศาสนาพราหมณ์ก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องนับถือศาสนาเขา อย่างศาสนาอื่นที่เข้าไปในอินเดีย ถ้าหากว่าใครไม่นับถือศาสนาของเขา ไม่มีโอกาสเจริญก้าวหน้าเลย จะโดนกดตลอด จนกว่าจะยอมไปถือศาสนาเขา จึงจะมีความก้าวหน้า ในเมื่อพราหมณ์เขาไม่ได้ดำเนินนโยบายแบบนี้ในบ้านของเรา เขาอยู่มา ๗๐๐ - ๘๐๐ ปีแล้ว แต่ศาสนิกยังมีไม่มากเท่าไหร่ คริสต์ยังมีมากกว่า

ถาม : แล้ววิชาโสฬส ?
ตอบ : ก็บอกแล้ว ว่าสืบเนื่องมาจากอาถรรพเวทของพราหมณ์ เมื่อศาสนาพุทธเริ่มถือเคล็ดลางทั้งหลายเหล่านี้ เอาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง อย่าลืมว่าหลวงปู่ หลวงพ่อทั้งหลายของเรา เริ่มมาจากไสยศาสตร์ร้อยละ ๙๐

ในเรื่องของการสวด เลขยันต์ต่าง ๆ เขาถือว่าเป็นส่วนของไสยศาสตร์ แต่ว่าครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณท่านฉลาด ท่านเอาไสยศาสตร์เป็นพื้นฐานให้ก้าวถึงพุทธศาสตร์ ในเมื่อเป็นสิ่งที่ชวนให้ทำ ทำแล้วเกิดผลได้ง่าย ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ ครูบาอาจารย์ก็ป้อนให้ไปเรื่อย กว่าจะรู้ก็ได้สมาธิระดับสูง ๆ กันหมดแล้ว ถึงเวลาก็แค่เลี้ยวกลับมายึดในพระรัตนตรัย ปฏิบัติตามอนุสติ ฝึกอสุภกรรมฐาน ๑๐ กสิณ ๑๐ ฯลฯ ก็กลายเป็นวางพื้นฐานเพื่อก้าวเข้ามาสู่พุทธศาสตร์

คราวนี้ในช่วงกำหนดแต่ละอย่าง ก็ยังต้องเชื่อถือตามความเชื่อเก่าของคนที่เขาเชื่อมาอย่างนั้น อย่างเช่นว่า โสฬสก็เชื่อว่าสูงสุด เป็นมงคลที่สุด ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้อีกแล้ว ก็กำหนดเป็นวิชาการขึ้นมา แต่ถ้าเราพิจารณาดูจะเห็นหัวใจคาถาที่มาจากพระไตรปิฎกแทบทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเรียกชื่อให้คนเขาเชื่อถือ ศรัทธา และยอมรับว่าเป็นของดี

ถาม : แล้วพระขรรค์โสฬสมีคุณวิเศษด้านใดบ้างครับ?
ตอบ : ราคาแพง ตรงนี้เด่นที่สุดเลย ไม่มีเด่นกว่านี้อีกแล้ว เด่นชัดมาก หมดทุกเว็บ ประมูลกันทันทีทันใด เราก็นึกว่าจะอยู่สักปีสองปี

เถรี
14-01-2010, 14:47
ถาม : คนที่ได้อภิญญาแล้วไปรักษาคน เป็นการฝืนกฎแห่งกรรม แล้วต่างกับการรักษาคนทั่วไปอย่างไรครับ ?
ตอบ : เรื่องของอภิญญานั้น แม้หมอทั่ว ๆ ไปรักษาไม่ได้ แต่คนได้อภิญญารักษาได้ ต่างกันตรงนี้แหละ

ถาม : คนไปที่รักษากับคนที่ได้อภิญญา เวลาเขาต้องตรวจ นี่ต้องตรวจอะไรครับ ?
ตอบ : เขาทำยิ่งกว่าตรวจอีก ทำอะไรมาจึงเป็นอย่างนั้น ? วาระหมดหรือยัง ? ถ้าวาระยังไม่หมด ก็อย่าไปยุ่ง ไม่อย่างนั้นเราจะเดือดร้อนเอง

ถาม : ถ้าเราอธิษฐานกับพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านช่วยรักษาเรา
ตอบ : อธิษฐานได้ แต่จะได้อย่างที่รักษาหรือเปล่า ค่อยว่ากันอีกที ส่วนใหญ่คนที่ได้อภิญญาเขาไม่ใช้ให้ตัวเองหรอก ที่ใช้ให้ตัวเองเพราะยังไม่รู้

ถาม : พระเยซู ท่านใช้กำลังอภิญญาช่วยเขาไปหมด วาระสุดท้ายต้องไปไถ่บาปให้เขา
ตอบ : ท่านไม่ได้คิดจะไถ่หรอก โดนบังคับให้ไถ่ เล่นเอาไปตอกตะปูเลย
เราก็ต้องยอมรับว่า ถ้าเราไปฝืนกฎของกรรม เราก็ต้องยอมรับผลด้วย ลูกปืนเขาเล็งมา แล้วเราไปยืนขวาง ก็เตรียมรับไว้ได้เลย ไม่โดนเขาก็โดนเราแน่

เถรี
14-01-2010, 14:54
ถาม : การจับสัตว์ไปทำหมัน ก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง ตัวเราเองไม่อยากมีลูก แล้วไปทำหมัน จะเกิดเป็นกรรมไหมครับ ?
ตอบ : ไม่อยากมีลูก ? อย่าไปยุ่งกับเมียก็หมดเรื่อง

อะไรที่ฝืนธรรมชาติ ถ้าถามว่าผิดไหม ? ก็ผิดเหมือนกัน..ผิดธรรมชาติ จะว่าไปแล้วศาสนาพุทธของเราไม่มีบัญญัติอยู่ตรงจุดนี้ เพราะว่าศาสดาก็คือพระพุทธเจ้า สิ้นไปก่อนที่วิทยาการพวกนี้จะปรากฏขึ้น แต่ว่าสมัยก่อนวิทยาการแน่กว่านี้อีก

เขาสามารถแปลงเพศผู้หญิงให้เป็นผู้ชาย แปลงผู้ชายให้เป็นผู้หญิงได้ ในบาลีบอกไว้ชัดเลย เพราะเขาบอกว่าพระห้ามทำอย่างนั้น แต่คาทอลิกเขาห้ามนะ ถ้าหากว่าทำหมันเขาถือว่าบาป มาตอนหลัง พวกเขาจะขอทำแท้ง พวกคาทอลิกต้านชนฝาเลย ขนาดทำหมันยังโดนด่า ทำแท้งไม่แย่ไปใหญ่หรือ ? ฉะนั้น..วิธีที่ปลอดภัยที่สุด..อย่ายุ่งกับเมีย..! ไม่ต้องทำหมันด้วย...

ถาม : แต่ก็เป็นการฝืนธรรมชาติไม่ใช่หรือครับ?
ตอบ : หลวงพ่อพรหมวังโส ไปเทศน์ให้นักโทษในคุกฟัง ว่าเป็นพระต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า ต้องสวดมนต์ทำวัตร ต้องเดินไปขอข้าวเขากิน ต้องเดินจงกรมภาวนาเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า ต้องอดทนอดกลั้นอารมณ์ทั้งปวง ข้าวก็กินได้แค่สองมื้อ สรุปว่านักโทษยกมือ "หลวงพ่อมาอยู่กับพวกผมเถอะ สบายกว่าเยอะเลย"

เถรี
14-01-2010, 17:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีเสือดุ เป็นปีวิกฤตของในหลวง ทำบุญอะไรให้อุทิศถึงพระองค์ท่าน อุทิศถึงเทวดาที่รักษาพระองค์ท่าน ช่วยประคับประคองให้พระองค์ท่านอยู่ต่อไปอีกสักหน่อย แต่ก็ต้องแลกกัน ถ้าในหลวงอยู่ หลวงปู่หลวงพ่อจะไปเป็นลูกระนาดเลย..!"

ถาม : ไม่เป็นไร หลวงพี่อยู่ก็พอแล้ว
ตอบ : ตอนนี้หลายคนเขาก็เรียกหลวงพ่อแล้ว..!

เถรี
14-01-2010, 18:39
ถาม : เวลาใส่เงินลงไปในนี้ แต่ไม่ได้ยกถังสังฆทานมา แต่ตั้งใจทำเป็นสังฆทาน ก็จัดว่าเป็นสังฆทานใช่ไหมครับ?
ตอบ : ความจริงตั้งใจทำอย่างนั้นได้กำลังใจจะสูงกว่า แต่ถ้าทำอย่างนั้นแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำ ก็ให้ไปยกถังสังฆทานมา

เถรี
15-01-2010, 06:53
ถาม : สมัยโบราณเขาบรรจุเจดีย์ เขานิยมใช้อะไรบ้างครับ?
ตอบ : ตามตำรา ส่วนใหญ่ที่บรรจุ อันดับแรก สิ่งของมีค่าต่าง ๆ ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา อันดับที่สอง รูปเปรียบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสืบพระศาสนา อันดับที่สาม ถ้าหาได้ เป็นสิ่งที่ต้องการสุด ๆ พระบรมสารีริกธาตุ สรุปแล้วหลัก ๆ มี ๓ อย่าง

เถรี
15-01-2010, 06:55
ถาม : ที่พระอาจารย์ให้ผมท่องคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ถ้าผมท่องอย่างนี้ทุกวัน ๑๐๘ จบ ผมจะไปนิพพานได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : มันขึ้นอยู่กับว่ากำลังใจของเรา ว่าละร่างกายได้ไหม? ถ้าละร่างกายได้ คาถาอะไรก็ไปนิพพานได้

ถาม : ตอนนี้ผมท่องคาถานี้ไปก่อนใช่ไหมครับ?
ตอบ : ก็ท่องไปสิ เพื่อประโยชน์ปัจจุบันของเรา ส่วนประโยชน์อนาคตหรือประโยชน์สูงสุดค่อยว่ากันอีกที ว่ามีความสามารถแค่ไหน จริง ๆ ไม่ได้ให้ไปท่องส่งเดชให้มันจบ ให้ไปภาวนา ภาวนานี่มันต้องกำหนดลมหายใจควบ ยิ่งทรงฌานได้ยิ่งดี ไม่ใช่ว่าสักแต่ท่อง ๆ ให้จบ

เถรี
15-01-2010, 06:57
ถาม : คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ถ้าทำถึงที่สุด นาน ๆ เข้า แค่จับหนังสือก็ถือว่าอ่าน?
ตอบ : ลองเลย ไม่ต้องถาม อาตมาไม่เคยเสียเวลาถามหรอก เขาบอกมาอย่างไรก็ลองเลย

ถาม : ถึงที่สุดนี่คือฌาน ๔ คล่องตัวหรือครับ?
ตอบ : ถ้าทำถึงสมาบัติ ๘ ได้ก็เอา

เถรี
15-01-2010, 07:01
ถาม : จิตกับอทิสมานกาย คือ ตัวเดียวกันหรือเปล่าครับ?
ตอบ : อย่างเดียวกัน มันขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการเห็นลักษณะไหน ถ้าเราต้องการดูสีของจิต จะเห็นเป็นลักษณะสีของดวงจิต แต่ถ้าเราต้องการเห็นของลักษณะกายภายใน ก็จะเห็นเป็นอทิสมานกาย

ถาม : แล้วอย่างพวกอรูปพรหม เราเห็นเป็นดวงจิตอย่างเดียว ทำไมไม่เห็นเป็นกาย?
ตอบ : ก็เขาไม่มีกาย อรูปแปลว่าไม่มีรูป แล้วจะเอาที่ไหนมา

ถาม : ไม่มีรูปเป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้มีรูปหรือครับ ?
ตอบ : เป็นผู้เห็นโทษในรูป ก็เลยละรูปเสีย แต่ดันเป็นการละที่ผิดวิธี

ถาม : เรียกว่าละเอาดื้อ ๆ เลยใช่ไหมครับ?
ตอบ : ปัญญาท่านน้อยไปหน่อย แต่จะบอกว่าน้อยก็ไม่ใช่ มากกว่าเรามหาศาลเลย แต่ท่านน้อยกว่าพระพุทธเจ้า ก็เลยละผิดวิธี

ถาม : แล้วว่าในพระอภิธรรมที่อธิบายว่าจิตมีลักษณะอย่างนี้ ๆ หลายแบบ
ตอบ : เชื่อได้ แต่ไม่จำเป็นต้องศึกษาก็ได้ เพราะว่าถ้าทำถึงจะเข้าใจเอง แต่ถ้ามัวไปท่องอยู่ว่า จิตโดยสภาพมี ๘๙ ดวง โดยพิสดารมี ๒๑ ดวง เดี๋ยวก็บ้า..! แล้วต้องไปหาว่าโลภะจิตมีกี่ดวง โทสะจิตมีกี่ดวง กามาวจรจิตมีกี่ดวง...ตายพอดี!

อาตมาไม่เคยท่อง...จำเอา มีพระอยู่รูปหนึ่งเรียนพระอภิธรรมอยู่ที่ชลบุรี บิณฑบาตในตลาดหนองมน โดนรถมอเตอร์ไซต์ชน ศีรษะฟาดพื้น สลบลงไป เป็นเจ้าชายนิทรา แต่ท่านท่องอภิธรรมอยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่สลบไสล ลักษณะนั้นตายแล้วเป็นพรหมแน่นอน คือ มันกลายเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจตนเองไปเลย ตอกย้ำตัวเองท่องอยู่ทุกวัน ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าชายนิทราก็ท่องอภิธรรมไปด้วย

ถาม : ในเมื่อจิตเป็นของบริสุทธิ์ เมื่อจิตเกิดมาทำไมไม่ไปนิพพานเล่าครับ?
ตอบ : มันบริสุทธิ์แค่นั้น บริสุทธิ์ไม่พอจะไปนิพพาน คำว่าบริสุทธิ์ก็คือบริสุทธิ์แค่นั้น

เถรี
15-01-2010, 07:16
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระอนุรุทธ พอขอขนมไม่มี จากพระมารดาแล้ว พระมารดาให้ถาดเปล่าไป เทวดาก็ต้องบันดาลขนมให้ เพราะว่าบุญของท่าน เกิดมาจะต้องมีทุกอย่าง พอบันดาลขนมทิพย์ให้ ท่านบอกว่าพอหยิบใส่ปาก รสชาติก็กำซาบซ่าน ไปตามประสาทรับรสทั้ง ๗,๐๐๐ เส้น แสดงว่าท่านแยกรสได้ละเอียดจริง ๆ เราก็มาสังเกตว่า ทำไมเรากินอะไรก็อร่อยไปทุกอย่างเลย? สงสัยว่าลักษณะนี้เหมือนกัน ว่าประสาทรับรสมันจะดีเกินชาวบ้านเขา

พอมาระยะหลัง ๆ เราสามารถบอกได้ว่ากับข้าวมีอะไรเป็นส่วนผสมบ้าง คิดว่านะ...คิดว่าท่านที่รับอาชีพผสมค็อกเทล หรือไม่ก็ชิมไวน์จะต้องมีประสาทรับรสแบบนี้ ไม่อย่างนั้นจะแยกรสไม่ออก

มีอยู่วันหนึ่งโยมนำข้าวต้มมาถวาย ใส่ปากปุ๊บก็บอกว่า "ตกลงว่าต้มน้ำให้เดือด แล้วเอาข้าวเย็นใส่ลงไปใช่ไหม?" เขาก็บอกว่าใช่ เขาหุงข้าวก่อน แล้วก็ต้มน้ำ ตักข้าวสวยใส่ ลิ้นเรามันแยกได้ขนาดนั้น เพราะรสชาติมันไม่เข้ากันระหว่างน้ำกับเนื้อ อันนี้ไม่ใช่ทิพจักขุญาณแน่นอนขอยืนยัน มันเป็นประสาทลิ้นธรรมดา"

ถาม : แล้วคนมีประสาทรับรสขนาดนี้ ไม่เป็นดาบสองคมหรือครับ?
ตอบ : ถ้าไม่ติดหนักไปเลย ก็อาจจะเบื่อไปเลย

ตอนที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดแรก ๆ มันเปิดที่โรงแรมอินทรา เราก็อยากกิน ก็ไปลอง เขาบอกว่าอาหารญี่ปุ่นวิเศษเลิศเลอนักหนา พอสั่งอาหารญี่ปุ่นมา เข็ดไปตลอดชาติเลย.. เราเทโชยุซีอิ๊วญี่ปุ่นลงไปเป็นถ้วย ๆ มันก็ยังแค่หวานปะแล่ม ๆ เท่านั้น จะว่าไปแล้วญี่ปุ่นเขากินอาหารสุขภาพ เพราะว่าเขาทานไม่จัด แต่สำหรับเราแล้ว รสชาติมันจืดชืดไม่เอาอ่าวเลย

อาตมาเป็นคนชอบลอง ลองแล้วรู้ก็เลิก ตอนที่หูฉลามดังนักดังหนา อาตมาก็ไปลองดู สมัยนั้นราคา ๖๐๐ บาทก็มีให้ กินเข้าไปแล้วไม่เห็นปีกมันจะงอกบินได้เลย

เถรี
15-01-2010, 07:21
ถาม : การที่เรายังไม่พร้อมที่จะแนะนำธรรมะให้แก่คนทั่ว ๆ ไป อย่างนั้นถือว่าเป็นการขาดเมตตาหรือเปล่าครับ?
ตอบ : เมตตาได้ หาหนังสือ หาเทป หาซีดีที่เรามั่นใจให้เขาไปแทน

เถรี
15-01-2010, 07:25
ถาม : ประเทศเรามีภิกษุณีได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ประเทศไทย ต้องถามว่าคณะสงฆ์อะไร? ของเรามีทั้งมหานิกาย จีนนิกาย อนัมนิกาย ธรรมยุตินิกาย ถ้าว่ากันตามสายเถรวาทของเรามีไม่ได้ เพราะว่าขาดสายไปนานแล้ว ถ้าหากว่าอยากเป็นภิกษุณี บวชตามเถรวาทไม่ได้ แต่ทางสายมหายานเขาบอกว่ายังมีอยู่ ถ้าอยากเป็นจริง ๆ ก็ไปบวชทางสายมหายาน ได้รับการยอมรับบ้าง ถึงแม้ว่าในบ้านเราไม่ยอมรับ แต่ว่าไปร่วมสังฆกรรมกับบรรดาสายมหายานเขายังยอมรับ

ถาม : เถรวาทที่ศรีลังกา ยังมีภิกษุณีอยู่
ตอบ : ศรีลังกา เขาบวชแค่สามเณรี ไม่ใช่ภิกษุณี

ถาม : ทั้งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าพระพุทธศาสนามีภิกษุณี จะทำให้พระพุทธศาสนามีอายุสั้นลงครึ่งหนึ่ง เขายังอยากจะบวชกันอีก
ตอบ : อยากมาก มันเป็นสักกายทิฏฐิตัวหนึ่ง คือ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสภาพของฆราวาส ปฏิบัติแล้วบรรลุมรรคผลได้ง่ายกว่า แต่เขาอยากทำของยาก ถนนมีหลุมอยู่แค่ ๕ หลุม เดินเลี่ยงซ้ายเลี่ยงขวาก็พ้นแล้ว อยากจะเดินทาง ๓๑๑ หลุม ถ้าผ่านไปได้คงจะดัง

เถรี
15-01-2010, 07:28
ถาม : พวกฤกษ์ยามต่าง ๆ นั้น หลวงพ่อเคยอธิบายว่า มันเกี่ยวกับการโคจรของดวงดาว แล้วการใส่เสื้อสีตามวันต่าง ๆ มันสามารถอธิบายให้เกี่ยวข้องกับทางหลักวิทยาศาสตร์ได้หรือเปล่าครับ ว่าทำไมมันถึงมีอิทธิพลดีขึ้น?
ตอบ : จิตเราจัดเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ในเมื่อจิตมันมุ่งมั่นว่าทำอย่างนั้นแล้วดี มันก็เลยส่งผลให้ดีขึ้น

ถาม : เหมือนกับคนเชื่อดวง พอไปแก้ดวงทำนั่นทำนี่ แก้ฮวงจุ้ยสารพัด แล้วเขารู้สึกว่าดีขึ้นอย่างนั้นหรือครับ?
ตอบ : ถ้าทำจริง ๆ ก็มักจะรู้สึกไม่ดี เพราะหมดเงินเยอะ

เถรี
15-01-2010, 07:32
ถาม : วิชาฮวงจุ้ยเชื่อได้กี่เปอร์เซ็นต์?
ตอบ : น่าจะ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเราเชื่อกรรม บุคคลที่ทำกุศลกรรมทำความดีมามาก ย่อมได้ฮวงจุ้ยที่ดีไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปเสียเวลาปรับแก้ ส่วนบุคคลที่สร้างอกุศลกรรมทำความชั่วเอาไว้มาก ก็ได้ฮวงจุ้ยเฮงซวยไป บางทีปรับแก้แล้วแก้อีก หมอรวยเป็นราย ๆ ไป ก็ยังแก้ไม่ตกสักที

ถาม : พี่ชายเขาให้หมอดูเรื่องฮวงจุ้ยบ้าน เขาสั่งให้ทุบบ้านทิ้ง
ตอบ : แล้วเขาทำไหม ?

ถาม : ทำค่ะ
ตอบ : แสดงว่าหมอไม่เก่ง ถ้าหมอเก่งอาจจะเปลี่ยนแค่ประตูรั้วประตูบ้านเท่านั้น เพราะว่าสามารถที่จะหันไปในทิศทางที่ดีได้

อาตมามีไฝดำ หรือสมผุสดำอยู่ในมือ บังเอิญหมอดูเห็นเข้า เขาบอกว่าให้ไปเอาออกซะ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอด เราก็บอกว่าชาตินี้ตูไม่เอาออกเด็ดขาด เอาออกแล้วชีวิตหมดรสชาติ..! เขาบอกว่าถ้าไฝเป็นสีแดงจะดี สีดำจะไม่ดี เรื่องพรรค์นี้สำหรับคนทั่วไปนั้นได้ แต่สำหรับเราจะแดงจะดำก็ดีทั้งนั้น ก็บอกแล้วว่าใจของเราเป็นพลังงาน และเป็นพลังงานที่มหาศาลมาก ถ้าเราคิดว่าดี..ก็จะดีไปเอง

เถรี
15-01-2010, 10:47
ถาม : สมัยหลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านรักษาโรค แล้วเจอประเภทโรคสุดท้าย ประมาณว่ารักษาหรือไม่รักษาก็ตาย ท่านทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สงเคราะห์เขาไป โดยแนะนำในเรื่องของบุญกุศลแทน ก็คือ จะให้ท่านรักษา...ท่านก็รักษา แต่ว่าให้เขาสร้างบุญกุศล เพื่อให้ใจเขาได้มีที่เกาะที่ดี

ถาม : แล้วที่ท่านรักษานี่คือ ?
ตอบ : ท่านจะบอกว่าป่วยเป็นโรคอะไร เป็นมากี่ปี กี่เดือน กี่วัน ต้องใช้ยาอะไรรักษา พระเลขาฯ ท่านมีหน้าที่จด ถึงเวลาก็ให้คนไข้เอาไปซื้อยาตามนั้น

ถาม : แล้วน้ำมันสังคโลกของหลวงปู่ปานเล่าครับ ?
ตอบ : บอกแล้วบางอย่างรักษาก็หาย บางอย่างรักษาก็ตาย บางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย บางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย ถ้าหากว่าใช้แล้วได้ผลอย่างเดียว คนก็ไม่ตายกันแล้วสิ..!

เถรี
15-01-2010, 12:36
ถาม : ที่บอกว่าภิกษุณี หรือสามเณรีขาดหายไป รู้สึกว่าเสียดาย
ตอบ : แล้วทำไมต้องไปเสียดาย การบรรลุมรรคผลไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวช เป็นนักบวชบางทีถ้าปฏิบัติไม่ถูก บรรลุยากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

เถรี
15-01-2010, 15:23
ถาม : ในนรกมีนายนิรยบาล คอยลงโทษคนที่ทำกรรมชั่ว แล้วอย่างนี้เขาทำให้เขาเจ็บปวด ไม่บาปหรือครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นหน้าที่ เหมือนกับตำรวจ ตำรวจมีหน้าที่จับโจร ส่วนโจรจะเสียใจหรือไม่เสียใจนั่นเป็นเรื่องของโจร เพราะเป็นวาระกรรมของเขา ถ้าไม่ทำชั่วเขาก็ไม่จับหรอก

ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่จะเกิดเป็นนายนิรยบาล
ตอบ : คนที่ทำความดีความชั่วเท่ากัน พอดี ๆ จะไปรับความดีก็ไปไม่ได้ จะไปรับความชั่วก็ไม่เพียงพอ ก็ไปทำหน้าที่นายนิรยบาล ตัวเองก็ไม่ต้องเดือดร้อน แต่ต้องเหนื่อยยากในการลงโทษคนอื่น

ถาม : หมายถึงว่าเขาสมัครใจไปเองหรือครับ ?
ตอบ : เป็นไปตามวาระ ถ้าเกิดความดีความชั่วบวกลบแล้วเท่ากันเป๊ะพอดี

เถรี
16-01-2010, 08:23
ถาม : เวลาเราอ่านหนังสือ แล้วตัวหนังสือลอยขึ้นมาเหนือกระดาษ ถือว่าเป็นอารมณ์ขนาดไหน ?
ตอบ : เป็นลักษณะของกสิณ

ถาม : แสดงว่าของเก่าเรามีตรงนั้น ?
ตอบ : มี

ถาม : แล้วเราสวดคาถาเงินล้านอยู่ เราเพ่งภาพพระด้วยการลืมตา แล้วภาพจะมีหมอกสีขาวมาปิดบังหมด เหลือแต่อกพระ อารมณ์ขนาดไหน ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นกสิณ ก็ไม่แน่ว่าจะทำถูก เพราะว่าเรายังไปสนใจกับสิ่งรอบข้างอยู่ ถ้าหากว่ากำหนดเป็นภาพกสิณ จะเป็นภาพติดตาไปเลย ถ้าลักษณะภาพติดตาที่เราทำ ต้องสนใจในภาพที่เราทำเท่านั้น ไม่สนใจในส่วนรอบข้าง

ถาม : อย่างนี้ผมทำไม่เป็นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำไม่เป็น แต่ยังทำไม่ถูก ทำเป็นแล้ว แต่ยังทำไม่ถูก

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะทำถูกครับ ?
ตอบ : ก็ให้กำหนดแต่ภาพพระอย่างเดียว โดยไม่ต้องสนใจสิ่งรอบข้าง มองในลักษณะหลับตา..นึกเห็นภาพ พอภาพหายไปแล้วลืมตาดูใหม่ ไม่ใช่ไปจ้องอยู่ตลอด ถ้าจ้องอยู่ตลอดจะเป็นลักษณะอย่างที่คุณเห็น

ถาม : ผมเล่นเกมส์ลูกโซ่ จะเป็นสีสันต่าง ๆ พอเล่นจนชินแล้ว จะมีภาพติดตาขึ้นมา ทุกวันนี้กลายเป็นสีขาวหมดเลย
ตอบ : นั่นเป็นส่วนหนึ่งของกสิณ บางคนเล่นไพ่นี่ พอหลับตาลง โพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด มาครบเลย แสดงว่าเคยมีพื้นฐานของกสิณมา เพียงแต่เอาไปใช้ผิด

เถรี
16-01-2010, 21:18
ถาม : บางคนฝึกมโนฯ แล้วก็มาเล่าให้ฟังว่า เขาอธิษฐานเก็บดอกบัวมาจากวิมานบนนิพพาน นำไปถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน อย่างนี้ได้อานิสงส์ของทานด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : ในส่วนของทานไม่ได้อานิสงส์ แต่ถ้าในส่วนของพุทธบูชาได้แน่นอน

ถาม : ทำไมตรงส่วนของทานจึงไม่ได้อานิสงส์ครับ ?
ตอบ : เพราะอยู่ในลักษณะของการไม่ได้สละออก ทานนี่เขาสละออกเพื่อการตัดความโลภ อยู่ข้างบนนั้นความโลภไม่มีแล้ว จะไปตัดอะไร ? อานิสงส์ของทานก็เลยพลอยไม่มีไปด้วย แต่อานิสงส์ของพุทธบูชาคุณได้แน่

ถาม : อย่างนี้ไม่จัดเป็นอามิสบูชา แต่จัดเป็นปฏิบัติบูชาได้ใช่ไหมครับ?
ตอบ : ใช่

เถรี
17-01-2010, 19:25
ถาม : หลวงพ่อเคยบอกว่าคนที่ได้อภิญญาสมาบัติ สามารถที่จะไปบังคับหรือสู้กับเทวดาได้ เพราะว่ากำลังอภิญญาสมาบัติเป็นกำลังพรหม แล้วอย่างนี้ต้องได้ถึงระดับใดครับ? แม้แต่ท่านท้าวมหาพรหมท่านก็เป็นเทวดาอยู่
ตอบ : ต้องดูด้วย...ดูด้วยว่าเทวดาท่านนั้นทรงฌานสมาบัติได้หรือเปล่า ? ถ้าทรงฌานสมาบัติได้ในความเป็นทิพย์ของท่าน...ท่านคล่องตัวโดยอัตโนมัติ อย่างของเรามัวแต่มาขยับทรงฌานสี่ เสร็จแล้วคลายกำลังใจไปอธิษฐาน ก็แบนอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะเทวดาทั้งหมดนั้นไม่ใช่แค่เทวดาในความคิดของเรา...ว่าไม่ใช่พรหม หลายท่านมีความสามารถถึงขนาดเป็นพรหมอนาคามี แต่ท่านต้องการอยู่แค่นั้น

เคยมีพระภูมิเจ้าที่เป็นพระอนาคามี ปกติท่านต้องไปเป็นพรหมชั้นสุทธาวาสด้วย ถือว่าสุดยอดของพรหมเลย แต่ท่านอยู่แค่ภุมมเทวดาไม่ใช่อากาสเทวดาด้วย หลวงพ่อฤๅษีไปถามว่าทำไมท่านอยู่แค่นี้ ท่านบอกว่าพอใจอยู่แค่นี้ เพราะว่าเคยเจอเพื่อนอยู่ตรงนี้ เพื่อนท่านเคยเป็นภุมมเทวดา ถึงเวลาท่านก็เลยอยู่แค่ตรงนี้ คราวนี้ไปห้ามท่านก็ไม่ได้ด้วย เหมือนไปห้ามเศรษฐีไม่ให้อยู่กระต๊อบ ท่านมีเงินท่านจะอยู่กระต๊อบก็ได้

ถาม : อย่างนี้เทวดาผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าใช้งานท่านสิครับ ?
ตอบ : เทวดาท่านมีมารยาทมากกว่าเราเยอะ ไม่ต้องถึงพระอริยเจ้าระดับนั้นหรอก แค่เทวดาชั้นยามาที่ท่านสวดมนต์เป็นประจำ เขาก็ไม่เรียกใช้แล้ว

ถาม : แล้วอย่างนี้เทวดามีการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิเข้าฌานด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติ

ถาม : แล้วทำไมท่านไม่เข้าฌานแล้วกลายเป็นพรหมไปเลยเล่าครับ ?
ตอบ : ในตัวของเขา สมาธิจิตที่ดำเนินไป ระยะเวลานั้นต่างกับโลกมนุษย์มาก อาจจะชั่วไม่กี่ลมหายใจของเขา แต่อาจจะหลายสิบปีของเรา เพราะฉะนั้น..กว่าที่เขาจะสร้างเสริมคุณสมบัติให้ครบว่าเป็นฌานในระดับไหน บางทีเราตายไปแล้วสองรอบ แต่พอคุณสมบัติของท่านครบ ต้องดูด้วยว่าท่านอยากไปไหม ถ้าไม่อยากไป อานิสงส์ที่อยู่ตรงนั้นก็จะยืดยาวไปอีก ประเภทที่ว่าขึ้นไปข้างบนแล้วนั่งเซ็ง อยู่ข้างล่างดีกว่าเพราะพวกเยอะ ถ้านิสัยท่านชอบเฮฮาอยู่ด้วยท่านก็ไม่ไป

เถรี
18-01-2010, 07:28
ถาม: เรื่องผู้มีบุญมาก อย่างสมัยพุทธกาล เมื่อก่อนเราจะเห็นว่าสายท่านมีผู้มีบุญมาก จนต้องเดือดร้อนเทวดา อย่างท่านโชติกเศรษฐีหรืออย่างท่านที่มีมหาปุริสลักษณะมากมาย ซึ่งผมสงสัยว่า มีบุญมากบุญน้อยอย่างนั้นเขาวัดอย่างไร หรืออย่างหลวงพ่อท่านต้องมีบุญญาธิการมากกว่าโชติกเศรษฐีแน่ แต่ทำไมพระอินทร์ไม่เดือดร้อน ท่านไม่มาสร้างบ้านให้ ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านไม่มีความจำเป็น ในเมื่อท่านไม่มีความจำเป็นแล้วท่านจะเอาทำไม ?

พระอินทร์ท่านดูหนังจบแล้ว ในเมื่อท่านดูหนังจบว่าพระองค์นี้ตอนท้ายท่านบวชแน่ แล้วพระท่านก็จะสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตรเอง อย่างนี้พระอินทร์ท่านจะไปสร้างทำไมให้เสียเวลา ? ของเราเองดูหนังไม่จบแล้วไปกังวลว่า เอ..ตอนหลังอวตารนี่พระเอกมันจะรอดหรือเปล่า ? แต่กราฟฟิกมันสุดยอดนะ..!

ถาม : พูดเหมือนดูมาแล้ว
ตอบ : เคยดูที่ไหน ไม่ได้ดูหนังมา ๓๐ ปีแล้ว แต่อยากรู้เรื่องไหนมาถามได้

ถาม : แล้วคนสมัยนี้ก็มีบุญมาก พอ ๆ กับคนสมัยก่อนหรือเปล่า ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วบุญไม่เท่าคนสมัยก่อน ถามว่ามีบุญมากเหมือนคนสมัยก่อนไหม...เหมือน เพราะว่าอย่างน้อยก็เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้นทุนจะต้องเพียงพอ แต่ว่าในส่วนของปัญญาบารมีจะน้อยกว่าเขาเยอะ คนสมัยนี้เวลาฟังธรรมแล้วโอกาสที่จะบรรลุเลยนั้น..ยาก แต่สมัยนั้นปัญญาบารมีท่านเสริมสร้างมาจนเพียงพอเหลือเฟือแล้ว ท่านบอกว่าเหมือนกับดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว พอกระทบแสงแดดก็บานเลย

ถาม : อย่างโชติกเศรษฐีท่านจะมีภรรยา เทวดาต้องไปเอาจากดาวอื่นมาให้ เพราะว่าท่านเป็นคนมีบุญมาก ไม่เข้าใจว่าท่านพิเศษกว่าคนอื่นอย่างไร ?
ตอบ : ก็ท่านสร้างของท่านมา ทำไมต้องเข้าใจ...ก็ทำให้ได้อย่างท่านเดี๋ยวก็เหมือนท่านเอง ของคุณมีโอกาส เพราะยังเกิดอีกเยอะ..!

ถาม : บางคนเป็นกษัตริย์ เป็นเจ้าเมือง ยังมีบุญไม่เท่าท่านเลย ทั้งที่ท่านโชติกะเป็นแค่เศรษฐี
ตอบ : ของท่านนั้นเป็นชาติที่ต้องบวช บรรดาวาระกรรมวาระบุญต่าง ๆ จะลงตัวในสภาพนั้น ท่านจึงมาเกิดในสิ่งแวดล้อมนั้น ถ้าหากว่าท่านไปเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ อาจจะต้องไปรบทัพจับศึก ทำสงครามกับเมืองอื่น อกุศลอาจจะชักพาให้ไกล ไม่ได้บวชเป็นพระอรหันต์ก็ได้

เถรี
18-01-2010, 07:37
ถาม : ผมเห็นหลายคนบอกว่า พอลาพุทธภูมิแล้วทิพจักขุญาณแจ่มใส แต่ทิพจักขุของพุทธภูมิกลับมืด ทำไมเป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : ไม่รู้ อาตมาลาแล้วก็ยังอืดเป็นเรือเกลือเหมือนเดิม เพราะว่าโดยวิสัยต้องไปเป็นครูเขา วิสัยที่จะไปเป็นครูเขา ของเดิมที่ควรจะได้ตอนนั้นเลย ก็ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ทวนแล้วทวนอีกจนกว่าจะครบทุกแง่ทุกมุม เพื่อถึงเวลาคนอื่นเขาถามจะได้บอกเขาได้ ก็เลยยังช้าเหมือนเดิม

เถรี
18-01-2010, 07:48
ถาม : เคยมีพระคาถาหนึ่ง เป็นคาถาเพื่อขอลาภ
ตอบ : ทำ...อยากรู้ก็ทำ

ถาม : ผมสงสัยว่าต่างกับคาถาเงินล้านอย่างไร ?
ตอบ : ต่างตรงที่คาถาไม่เหมือนกัน คนให้คนละคนกัน

ถาม : มีอานิสงส์เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : อานิสงส์เหมือนกันตรงที่หาลาภให้ได้ แต่คราวนี้มากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับคาถาเหมือนกันว่าใครเป็นคนให้มา ผู้ที่ให้มาถ้าบารมีมากกว่า ท่านก็สามารถที่จะส่งเสริมให้ได้มากกว่า ขณะเดียวกันตัวเราทำคาถา ถ้าหากทำอย่างนี้แล้วสมาธิจิตทรงตัวได้มากกว่า มีความสะอาดของจิตมากกว่า ผลก็มากกว่า

ถาม : เท่าที่ลองปฏิบัติมา รู้สึกคาถาเงินล้านจะช่วยในเรื่องความคล่องตัว หรือถ้าจะตายจริง ๆ ก็จะรอดตลอด แต่ถ้าคาถาขอลาภก็จะเห็นผลทันตามากเลย
ตอบ : ทำต่อไป อยากได้เร็วก็เอาคาถาขอลาภ อยากได้เรื่อย ๆ ก็คาถาเงินล้าน

เถรี
18-01-2010, 07:54
ถาม : คาถาที่ขอดูบารมีพระครับ อย่างปลุกพระ ผมก็ลองจนเป็นฌานแล้วก็ยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย ?
ตอบ : ก็เพราะเป็นฌาน เขาต้องการแค่อุปจารสมาธิ กติกามันเกิน เขาต้องการความรู้แค่ ป. ๑ คุณทำข้อสอบดันเอาความรู้ปริญญาตรีไปตอบ เขาก็ปรับตก ภาษาพระเรียกว่า "เกินครู" ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "เสือกรู้เกินรู้อาจารย์..!"

ถาม : ก็เห็นบางคาถาหลวงพ่อก็บอกว่าทำให้เป็นฌานก็ได้เลย
ตอบ : นั่นไม่ใช่คาถาธรรมดา การทดสอบถ้าคุณไม่ทรงฌาน ๔ ไปเลย ก็ต้องอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ

เถรี
18-01-2010, 09:53
ถาม : อ่านในหนังสือหลาย ๆ เรื่องของวัดท่าซุง ท่านบอกว่าถ้าอยากมีลูกให้ไปล้างห้องน้ำวัด?
ตอบ : เฮ้ย..ตายแล้วหว่า ตูแย่แล้ว เพราะล้างห้องน้ำวัดบ่อย อันนี้อ่านมาผิดแน่

ถาม : อ๋อ ถ้าอยากมีลูกนี่ ต้องบวงสรวงขอพระอินทร์อย่างเดียวใช่ไหมครับ?
ตอบ : ไม่ใช่ขอพระอินทร์อย่างเดียว อยู่กับเมียด้วย ไปขอพระอินทร์อย่างเดียวท่านก็คงกลุ้มใจ บอกแล้วว่าไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้

ถาม : แล้วแต่วาระด้วย
ตอบ : แล้วแต่วาระเหมือนกัน อย่างโพธิราชกุมาร บวงสรวงครบ ๑๐๘ รอบก็คงไม่ได้ สมัยที่เรือแตก พระโพธิราชกุมารท่านไปติดเกาะ เกาะนั้นมีนกเยอะ ท่านก็กินไข่นก กินไข่นกหมดก็ยังไปไหนไม่ได้ ท่านก็เลยกินลูกนก กินลูกนกหมดก็ยังไปไม่ได้อีก ก็เลยกินพ่อนกแม่นกอีก กว่าเรือจะแวะผ่านมาเจอก็ปาไปหลายปี

พอมาเกิดชาติใหม่ท่านเป็นเจ้าเมือง มีสนมเป็นร้อยเป็นพันแต่ไม่มีลูก ท่านได้ยินว่าพระพุทธเจ้ารู้ทุกเรื่อง ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้ามา แล้วก็ปูผ้าขาวตั้งแต่ประตูวังเข้าไป อธิษฐานว่า ถ้าท่านจะมีลูกขอให้พระพุทธเจ้าเหยียบลงมาบนผ้าขาว พระพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์รื้อเกลี้ยงเลย ท่านก็เลยนั่งร้องไห้ เพราะรู้แล้วว่าตนเองไม่มีลูกแน่ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเล่าบุรพกรรมให้ฟังว่า ถ้าเธอกินแต่ไข่นก...ในวัยหนุ่มสาวไม่มีลูก อาจจะไปมีลูกในวัยกลางคน ถ้ากินไข่นกและลูกนก..ในวัยหนุ่มสาวในวัยกลางคนไม่มี จะมีลูกในวัยชรา นี่เธอกินทั้งไข่นก ลูกนก พ่อแม่นกเกลี้ยง...เลยไม่มีลูกแน่นอน กรรมมันตัดไป เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่ขอแล้วได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับวาระบุญวาระกรรมที่เราสร้างด้วย แต่จริง ๆ คนไม่มีมันสบายจะตาย จะตะกายไปขอทำไม

ถาม : แล้วไปบวงสรวง ขอให้ไม่มีลูกได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ไม่ต้อง ไปหาหมอง่ายกว่า

ถาม : มันเสียเงินเยอะครับ
ตอบ : ของพระทำหมันไม่ได้ ท่านห้าม ถ้าทำหมันมาแล้วไม่เป็นไร แต่ถ้ายังไม่ได้ทำก็อย่าไปทำ อันนี้รายละเอียดจะอยู่ในเรื่องของจุลศีล มหาศีล มัชฌิมศีล ต้องไปอ่านในพรหมชาลสูตร

เถรี
18-01-2010, 12:04
ถาม : อารมณ์ของฌานสาม ฌานสี่ ที่มีหยาบละเอียด ผมหาช่องไม่ได้เลยว่า หยาบเป็นอย่างไร ละเอียดเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องหา..ทำ

ถาม : มันแยกไม่ออก
ตอบ : พอถึงแล้วเดี๋ยวชัดเอง จำไว้ว่าถ้าหยาบยังมีความหนักอยู่ ถ้าละเอียดจะมีความเบา เอาแค่นั้นแหละ แบบที่เราบอกว่ารู้สึกแห้งแล้งแข็งทื่อ ถ้าละเอียดแล้วจะเบาสบาย

เถรี
18-01-2010, 14:20
ถาม : หลวงพี่เคยได้ยินเรื่องวิธีสวดตัดญาติไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย แล้วทำไมต้องไปตัดด้วย ? การตัดอยู่ที่การวางกำลังใจ ไม่ได้อยู่ที่การสวด

ถาม : ในบ้านเพิ่งมีคนเสียชีวิตติด ๆ กัน เขาบอกว่าต่างฝ่ายต่างดึงกันไป ก็เลยต้องสวดตัดญาติ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวดึงกันหมดบ้าน
ตอบ : ถ้าหากเป็นวาระจริง ๆ สวดไปเท่าไรก็ตาย..! เรื่องแบบนี้อาตมาไม่เคยได้ยิน ถ้ามีคนทำได้ บอกช่วยทำให้หน่อย ตอนนี้ญาติเยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะญาติธรรม สวดตัดให้ทีเถอะ ตูเบื่อมันแล้ว..!

เถรี
18-01-2010, 15:18
ถาม : เมื่อกี้ที่น้องเขาถามไป เป็นความคิดของผมเอง คุณแม่ผมเพิ่งเสีย และเพิ่งเผาไปเมื่อวันที่ ๒๐ แล้วพี่ชายผมกำลังจะหมดลม ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ากลัว ก็ไปปล่อยชีวิตสัตว์ โดยเฉพาะถ้ากรรมหนัก ก็ปล่อยพวกวัวควายไปเลย ซื้อจากโรงฆ่า อย่างนี้ตัดได้ทุกอย่างของกรรมหนักประเภทจะถึงตาย

ถาม : ถ้าพี่น้องหลายคนร่วมกันทำ
ตอบ : ทำพร้อมกันได้ ปล่อยวัวตัวหนึ่งก็ราคาหมื่นห้าถึงสองหมื่น แล้วแต่ว่าตัวใหญ่หรือเล็ก
วาระกรรมเขาสร้างมาใกล้เคียงกัน จึงมาเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อมาเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน ถึงวาระก็ไปใกล้ ๆ กัน ถ้าช่วงนั้นเราไม่ได้ทำร่วมด้วยก็ไม่เป็นไร

ถาม : แล้วอย่างนี้ไถ่ชีวิตโคกระบือ สู้พวกนั้นได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ได้ แต่ว่าบางคนกำลังใจเขาไปอยู่ตรงที่ว่า ถ้าได้ทำเองแล้วจะรู้สึกว่าดีกว่า พาไปปล่อยได้เลย ที่โรงฆ่าสัตว์ปทุมธานี เพราะฝั่งตรงข้ามโรงฆ่าสัตว์จะเป็นธนาคารโคกระบือของในหลวง เราก็ซื้อตรงนั้นจูงข้ามถนนไป เจ้าหน้าที่เขาก็จะลงทะเบียนรับ

เถรี
18-01-2010, 21:19
ถาม : ตอนเด็ก ๆ ผมเคยตอบปัญหาธรรมะ แข่งมาหลายที่เหมือนกัน ผมรู้สึกว่าการแข่งขันตอบธรรมะ บางทีก็เป็นการปรามาสพระธรรม การแข่งขันก็ใช้ความรู้พระพุทธศาสนา พวกพุทธประวัติเอามาแข่งขันกัน บางทีเราอาจจะคิดว่าข้อนี้ง่าย การคิดแบบนี้เป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดก็เป็น

ถาม : อันนี้ผมก็เผลอคิดเยอะมากเลย
ตอบ : เขาเรียกว่า เรื่องไม่น่าจะลงนรก..ก็คิดจนลง..!

เถรี
19-01-2010, 06:09
ถาม : เวลาจะจับลมหายใจ เมื่อตั้งใจจะจับ ลมมันก็หายไปแล้ว ?
ตอบ : ถ้าหากคล่องตัวระดับนั้น เราก็แค่กำหนดรู้ต่อไปแค่นั้นเอง ว่าตอนนี้มันหายไปแล้ว

ถาม : มันจะไปตะกายหาเอา ?
ตอบ : ดีจังเลย..ขึ้นไปครึ่งค่อนบันไดแล้ว กลับไปตั้งต้นนับหนึ่งขั้นแรก..!

ถาม : นั่นคือตัวฌาน ๓ ละเอียด หรือว่าเป็นฌาน ๔ ?
ตอบ : ไม่แน่ อาจจะเป็นแค่ปฐมฌานละเอียด ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของเราตอนนั้น ถ้าจิตหยาบมากก็จะรู้สึกได้น้อย บางทีแค่ทรงปฐมอย่างกลางหรืออย่างละเอียด ลมหายใจก็หายไปเลย

ถาม : เมื่อก่อนเวลาเหนื่อยมาก ๆ ผมจะอาศัยไปเข้าฌาน ๒ แล้วพัก ให้พอรู้สึกอิ่มเอิบ ตอนนี้พอมาพักแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้อะไรมาก เป็นเพราะว่าเราขาดวิปัสสนาหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นเพราะเราเคยชิน ใหม่ ๆ เรายังตื่นเต้น ยังแยกแยะได้ง่าย พอทำไป ๆ ชินแล้วตายด้าน เลยไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรแตกต่างไปจากเดิม คราวนี้เราต้องมาจับความรู้สึกทางร่างกายว่า ทำแล้วหายเหนื่อยไหม ? สามารถที่จะทำงานต่อไปได้ในลักษณะร่างกายสดชื่นมีกำลังไหม ? ไม่ใช่ไปจับแค่อาการอย่างเดียว

เถรี
19-01-2010, 06:11
ถาม : มีพระคาถาหนึ่ง คนที่เขาให้มา บอกว่าสามารถตัดกรรมได้ ให้ภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ หลวงพ่อ ปภัสโร นะโมพุทธายะ
ตอบ : คาถาไหนก็ตัดกรรมได้ ขอให้ทำจริง ๆ เถอะ เพราะว่าบุญใน ทาน ศีล ภาวนา เป็นบุญใหญ่มาก โดยเฉพาะบุญการภาวนา ถ้าให้ทานมีผลเป็นร้อย รักษาศีลมีผลเป็นหมื่น ภาวนาจะมีผลเป็นล้าน เราทำความดีใหญ่ขนาดนั้น ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวจริง ๆ กรรมอื่นจะตามได้ยาก คาถาอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ทำต่อเนื่องเท่านั้นเอง

เถรี
19-01-2010, 06:13
ถาม : ทำไมหลวงพ่อบอกว่า ถ้าคิดพิจารณาอย่างนี้ทั้งวันจึงดี ?
ตอบ : อารมณ์ใจที่ทรงตัวอยู่ในความดีได้โดยอัตโนมัติ แสดงว่าเป็นโดยธรรมชาติแล้ว ไม่ต้องไปบังคับ เท่ากับว่าเราทรงความดีอยู่ทั้งวัน

เถรี
19-01-2010, 06:14
ถาม : ถ้าเราจริตเราชอบจับภาพพระสงฆ์ แต่ใจเราชอบพุทโธ ถ้าเราทำทั้งคู่นี่..?
ตอบ : จับภาพพระพุทธเจ้าที่มีลักษณะเป็นพระสงฆ์ อย่างภาพวาดของคุณคำนวณ ชานันโท อาตมาใช้ลักษณะนั้นมาก่อน

ถาม : แต่ถ้าจับภาพพระพุทธรูป ให้เป็นกสิณจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ ต้องการกสิณสีไหนก็ใช้พระพุทธรูปสีนั้น เขาเรียกประกันความเสี่ยง ถึงทรงกสิณไม่ได้ แต่พุทธานุสติได้แน่นอน

เถรี
19-01-2010, 06:19
ถาม : ผมเห็นมีคำภาวนา และวิธีฝึกที่จะให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสอยู่หลายแบบ ทั้งอาโลกกสิณ พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า หรือพระคาถาปราโมทย์ ทีนี้ตัวไหนจะเป็นตัวที่ทำให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสที่สุด ?
ตอบ : ทำ...ถ้าไม่ทำก็เท่านั้นแหละ..!

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า วิธีไหนก็ได้ผลเหมือนกัน ?
ตอบ : วิธีไหนก็ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องนึกว่าใครให้มา แล้วขณะเดียวกันเราก็ต้องภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวด้วย

ถาม : ขึ้นอยู่กับผู้ทำด้วย ว่าทำคาถาไหนขึ้น ?
ตอบ : ไม่ใช่ ของเรานี่จะเห็นว่ามีคาถาหลายอย่าง แต่ของหลวงพ่อท่านได้ทีละอย่างและท่านทำทีละอย่าง ท่านจะไม่มาเสียเวลาสงสัย

สมบัติพ่อวางไว้หลายชิ้น...เราก็มานั่งสงสัย คว้าอันไหนขึ้นมาก็ทำไปสิ ข้าวอยู่ตรงหน้าสามจาน แทนที่จะกิน ก็มานั่งสงสัยว่าจานไหนอร่อยกว่า ก็สมควรอดต่อไป..!

เถรี
19-01-2010, 06:22
ถาม : ตอนนี้งานทางโลก ผมกำลังทำเกมออนไลน์อยู่ แต่กลัวว่าจะเป็นการมอมเมา เป็นอาชีพที่ไม่ดี ผมก็พยายามจะสอดแทรกข้อดีเข้าไป เป็นต้นว่า การรักษาความสมดุลให้เกม ให้มีตัวระบบกฎแห่งกรรมขึ้นมา โดยการจำลอง พบว่ากรรมก็มีความแรงหลายระดับ มีความเร็วหลายระดับอย่างนี้ครับ
ตอบ : ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นธรรมทานเสียด้วยซ้ำ อย่างในเกม ถ้าเขาปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เราก็เพิ่มโบนัสพิเศษให้ สิ่งไหนปฏิบัติไม่ถูกก็อดไป หรือแทนที่จะระเบิดจนเลือดกระจาย เราก็ให้อภัยก็ได้

ถาม : ในเกมนี้ให้ทำดีทำชั่วได้หมด แต่ว่าให้ตัวเองเป็นตัวควบคุมอีกที จำลองระยะเวลาเข้าไปตายเกิด ๆ ในเกมแทน
ตอบ : เสร็จแล้วเอามาให้เล่นบ้างนะ..!

เถรี
19-01-2010, 12:05
ถาม : การออกมโนฯ ไปแบบเต็มกำลัง กับการที่ได้ภาวนาแล้วได้อภิญญาใหญ่เพราะของเก่ารวมตัว อันไหนเป็นเรื่องยากกว่ากัน ?
ตอบ : อภิญญาเป็นเรื่องยากกว่า แต่ว่ามโนมยิทธิเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาอยู่แล้ว ในเรื่องของอภิญญา..โดยเฉพาะอภิญญา ๖ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าข้อที่ ๖ ต้องตัดกิเลสให้ได้อย่างน้อยพระโสดาบันขึ้นไป แต่ถ้าหากเป็นอภิญญา ๕ ก็ยังยากกว่าอยู่ดี เพราะต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งขึ้นมาจากกองกสิณ ในเรื่องของมโนมยิทธิเหมือนกับคนรวย ควักกระเป๋าไปก็ซื้อบ้านสำเร็จรูปเลย แต่เรื่องของอภิญญาเริ่มตั้งแต่คำนวณ เขียนแปลน ผูกเหล็ก เทโครงขึ้นมา อันไหนจะยากกว่ากันเล่า ?

ถาม : เคยนั่งคิดเล่น ๆ ว่าพระอรหันต์อภิญญากับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ พระอรหันต์อภิญญาต้องรู้มากกว่าแน่เลย เพราะไม่มีตัวปฏิสัมภิทาญาณมาคุม การคิดแบบนี้เป็นการปรามาสท่านหรือเปล่าครับ ? แล้วที่คิดแบบนี้ถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องเป็นพระอรหันต์แล้วจะรู้ ว่าคิดถูกหรือเปล่า ? แต่ขอบอกว่าผิดไปหลายลี้เลย อย่าลืมว่าพระอรหันต์ตัวปัญญาท่านต้องเลิศที่สุดแล้ว โดยเฉพาะตัวสติ มีมากกว่าเรานับประมาณไม่ได้ ผู้ที่ประกอบด้วยสติปัญญาขนาดนั้น จะบู๊อะไรท่านต้องตรองรอบคอบครบถ้วนแล้ว

ถาม : แล้วที่ผมคิดปรามาสไหม ?
ตอบ : ไม่ถึงกับปรามาสหรอก แต่ขณะเดียวกันคิดแล้วเสียเวลาเป็นบ้า ไปสงสัยเรื่องที่ไม่ควรสงสัย..!

เถรี
19-01-2010, 12:08
ถาม : การที่เราใช้มโนมยิทธิ เราสามารถยกจิตไปที่หนึ่งที่ใดได้ ทำไมร่างกายเราจึงไม่สามารถไปได้ ?
ตอบ : ทำได้ แต่ต้องยกระดับขึ้นไปใช้อภิญญาใหญ่แทน ถ้าได้อภิญญาใหญ่ ใช้กสิณ ๑๐ ยกร่างกายไปเลย แต่ที่หลวงพ่อฤๅษีท่านชอบใช้มโนมยิทธิเพราะว่าไม่เหนื่อย เอาตัวไปก็คือ ลากซี่โครงตัวเองไป เหนื่อยจะตายชัก..!

ถาม : แล้วอย่างการ..(ได้ยินไม่ชัด)
ตอบ : คนที่มีความคล่องตัวแล้ว ก็เป็นส่วนของอากาสกสิณเท่านั้นเอง เขาไม่เสียเวลามาอธิษฐาน แค่คิดก็ไปแล้ว

ถาม : อันนี้เป็นเพราะว่าด้วยความที่ท่านได้ หรือด้วยเพราะจิตของท่านยอมรับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีของเก่าก็ไปไม่ได้ หรือถ้าไม่ได้ฝึกใหม่ก็ไปไม่ได้เหมือนกัน

ถาม : แล้วคนที่มีอภิญญายังอยู่กับลูกกับเมีย เสพกามอะไรอย่างนี้ อภิญญาเขาไม่เสื่อมหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ทำผิดศีล อภิญญาไม่เสื่อม เพราะว่าเรื่องของโลกียอภิญญา เขายังสามารถมีครอบครัวได้เป็นปกติ

ถาม : แต่มันก็มีตัวกามฉันทะมาขวาง ?
ตอบ : มี..แต่ตอนที่ท่านใช้อภิญญาท่านไม่ได้ไปนั่งทำอะไรกับเมียนี่หว่า แปลว่าของคุณแบ่งเวลาไม่เป็นนะสิ..!

เถรี
19-01-2010, 17:48
พระอาจารย์ท่านกล่าวให้ฟังว่า "สมาธิ..เป็นได้ทั้งสัมมาสมาธิที่พระพุทธเจ้าต้องการ ฝ่ายมิจฉาสมาธิก็มีได้ แล้วความดีความชั่วก็ดึงดูดในสิ่งที่เป็นพวกของตัวเองได้ง่าย

เราอยู่ในสถานที่ดี คนตั้งหน้าตั้งตาทำดี พอไปถึงกำลังใจเราทรงตัวในด้านดีได้ง่าย บรรดามือปืนหรือเจ้าพ่อ ก็ดึงดูดแต่คนประเภทเดียวกันเข้าไปหา ฉะนั้น...ดีก็ดึงดี ชั่วก็ดึงชั่ว ถ้าหากกำลังใจเราไม่มั่นคง ไม่ทรงตัว ก็จะโดนอีกฝ่ายหนึ่งดึงไปได้ง่าย ถ้าโดนฝ่ายดีดึงไปก็ถือว่ากำไร ถ้าโดนฝ่ายไม่ดีดึงไป เราขาดทุนเยอะมาก"

เถรี
20-01-2010, 00:28
ถาม : เราใช้กำลังฌานในการตัดกิเลสได้ไหมครับ ?
ตอบ : กำลังฌานยังไม่พอ ทำได้แค่กดกิเลสให้นิ่ง ตัวที่จะตัดจะละได้จริง ๆ เป็นปัญญา กำลังฌานเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้ปัญญาแข็งกล้าพอ กำลังฌานเป็นเหมือนกับคนเพาะกายจนแข็งแรง ส่วนปัญญาเป็นเหมือนกับอาวุธที่มีความคม มีกำลังมีอาวุธนั่นแหละ จึงจะตัดได้ มีกำลังอย่างเดียวไม่ไหวหรอก

เถรี
20-01-2010, 00:30
ถาม : ถ้าในระดับการทรงฌานแล้ว ยังมีตัวกิเลสในช่วงที่กดอยู่หรือเปล่า?
ตอบ : มี เพียงแต่มันยังไม่โผล่ คิดเมื่อไหร่มันโผล่เมื่อนั้น

เถรี
24-01-2010, 14:58
พระอาจารย์เล่าเรื่องกะลาให้ฟังว่า "กะลามหาอุด มันจะอุดหมด ไม่มีหน้าไม่มีตา หาได้ประมาณหนึ่งในหมื่น ถ้ากะลาตาเดียวหาได้ประมาณหนึ่งในสองพัน ถ้ากะลาสามตาพอมีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าประมาณเท่าไร

สมัยก่อน กะลาตาเดียวเขาเอามาจารึกชื่อคู่บ่าวสาว เขาเชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข นี่เป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น ถ้าหากว่าความจริง..ก็ต้องตามพระพุทธเจ้าท่านบอก ครอบครัวจะอยู่เย็นเป็นสุขก็ต้องมีสมชีวิธรรมและฆราวาสธรรม

สมชีวิธรรม ประกอบด้วย สมสีลา มีศีลเสมอกัน สมจาคา มีการให้ทานเสมอกัน สมสัทธา มีศรัทธาเสมอกัน สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน แต่ก็ไม่แน่นะ บางทีก็ขึ้นอยู่กับบุพเพสันนิวาสด้วย เจอคู่เวรคู่กรรมเข้านี่ อย่างไรก็จะต้องอยู่ด้วยกันแน่ แต่ถ้าความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ ไม่ลงรอยกัน อย่างไรก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ดังนั้น..สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนมา ถือว่าเที่ยงแท้เแน่นอน

ส่วนในเรื่องของฆราวาสธรรม ก็คือ สัจจะ จริงใจต่อกัน ไม่โกหกหลอกลวงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทมะ มีความข่มใจ อดออม ถนอมปากเอาไว้ ขันติ มีความอดทนต่อการดำเนินชีวิต การมีครอบครัวต้องเหนื่อย ต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งงานในบ้านและงานนอกบ้าน โดยเฉพาะต้องเลี้ยงดูลูก ต้องดูแลครอบครัว ต้องดูแลญาติผู้ใหญ่ ต้องมีความอดทนอดกลั้น ยอมยากลำบาก เพื่อที่จะรอสบายตอนปลายมือ จาคะ เสียสละต่อกัน เสียสละที่สำคัญที่สุดนั้น คือ การเสียสละความสุขตนเองเพื่อคนอื่น ก็คือ สละความสุขของตนเอง เพื่อลูก เพื่อเมีย เพื่อครอบครัว

เพราะฉะนั้น..ต่อให้มีกะลาตาเดียว หรือกะลามหาอุดสักสิบใบ เขียนชื่อบ่าวสาวเอาไว้ ถ้าไม่มีหลักธรรมกำกับในการดำเนินชีวิต ครอบครัวก็ไม่แน่ว่าจะไปรอด จะว่าไปแล้วพวกกะลาตาเดียวหรือกะลาสามตา เป็นการผิดปกติทางพันธุกรรม แต่คนเรามักจะคิดว่าขลังไว้ก่อน เพราะไม่เคยเห็น"

เถรี
24-01-2010, 15:03
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อายุขัยของหลวงพ่อนั้น จริง ๆ คือ ๑๒๐ ปีเศษ ๆ แต่ท่านไปเสียตั้งแต่ตอนอายุ ๗๘ เพราะฉะนั้น..อย่าประมาทนะ ต่อให้มีอายุเหลืออยู่ แต่ถ้าร่างกายไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องไป เพราะทำงานต่อไม่ได้ ไปทำในลักษณะที่คนทั่ว ๆ ไปมองไม่เห็นดีกว่า

ฉะนั้น..ถ้าหากใครเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งแต่รุ่นเก่า ๆ จะรู้สึกชัดที่สุด คือ หลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่เราไม่รู้สึกว่าท่านจากไปเลย รู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่าง เพราะว่างานของท่านยังไม่หมด ท่านยังต้องทำหน้าที่เดิมต่อไป วาระอายุขัยของหลวงพ่อจริง ๆ อยู่ถึงปี ๒๕๗๙ แต่คราวนี้ก็ไปมั่นใจมาก ๆ ว่าท่านจะอยู่ไหว พอท่านตรากตรำงานมาก ๆ สังขารท่านไม่ไหวก็ไปเลย"

เถรี
24-01-2010, 15:16
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อสุรินทราหู เป็นหนึ่งในมหาอำมาตย์ยักษ์ ๒๔ ตน มีเวปจิตตาสูร สาตาครียักษ์ กระทั่งอาฬวกยักษ์ ฯลฯ พระราหูท่านปรารถนาพระโพธิญาณ จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล มีพระนามว่า สมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ผูกขึ้นมาจากคำสรรเสริญพระพุทธเจ้า ของบรรดาเทวดาต่าง ๆ นะโม สาตาครียักษ์เป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า ตัสสะ อสุรินทราหูเป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า ภะคะวะโต ท้าวมหาราชทั้งสี่เป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า อะระหะโต พระอินทร์เป็นผู้สรรเสริญ สัมมาสัมพุทธัสสะ ท้าวสหัมบดีพรหมเป็นผู้สรรเสริญ

เขาผูกเป็นบาลีว่า นะโม สาตาคิรายักโข ตัสสะ จะ อะสุรินทะโก ภะคะวะโต มะหาราชา สักโก อะระหะโต ตะถา สัมมาสัมพุทธัสสะ มะหาพรัหมา ปัญจะ เอเต นะมัสสะเร

แต่ถ้าจะเอาสุดยอดในการผูกกลอนสรรเสริญพระพุทธเจ้า ต้องเป็น พระวังคีสเถระ ท่านสามารถจับเอาเหตุการณ์รอบข้างต่าง ๆ มาผูกเป็นโคลงเป็นกลอน แล้วสรรเสริญพระพุทธเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการ ถ้าใครเรียนประโยค ๘ ประโยค ๙ คงจะต้องบูชาพระวังคีสะเถระเป็นพิเศษ เพราะประโยค ๘ ประโยค ๙ ต้องแต่งฉันท์เป็นภาษาบาลี แต่งโคลงแต่งฉันท์เป็นภาษาไทยก็แย่แล้ว นี่ต้องแต่งเป็นบาลีอีก"

เถรี
24-01-2010, 15:30
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านบอกว่า ความไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล จนทั้งนอกจนทั้งในไม่ได้การ ต้องคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ

ถ้าคนไม่รู้จักพอ ต่อให้เขามีเป็นพันล้าน ก็ยังคงต้องไขว่คว้าหาต่อไป ก็เท่ากับว่ายังไม่รวยสักที แต่คนที่รู้จักพอ มีพอสมควรแล้ว ก็ไม่ดิ้นรนมาก รู้จักแบ่งปันคนอื่นเขา ก็เหมือนเป็นคนรวย

ฉะนั้น..คนมีเงินมาก ไม่แน่ว่าจะรวยนะ ถ้าว่ากันตามแนวคิดของหลวงปู่ มีเงินก็ยังจนอยู่เลย เพราะยังดิ้นรนหาไปเรื่อย แต่คนมีเงินน้อย ๆ แล้วมีความสุข รู้สึกว่าบ้านเราจะหายาก แต่ที่ภูฏาน บ้านเขาบริหารประเทศโดยกำหนดความสุขมวลรวมประชาชาติ บ้านเรานี่กำหนดโดยรายได้มวลรวมประชาชาติ"

เถรี
25-01-2010, 12:07
พระอาจารย์เล่าเรื่องมะเมียะให้ฟังว่า "สมัยก่อน เชียงใหม่ของเราเป็นเมืองขึ้นของพม่าบ่อย พอตอนหลังพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ความเจริญต่าง ๆ ก็ไหลไปอยู่ที่พม่าหมด สมัยนั้น บรรดาลูกเจ้าลูกนาย ถ้าไม่ส่งไปเรียนที่อินเดียหรือยุโรป ก็จะส่งไปเรียนที่มะละแหม่ง

เจ้าน้อยศุขเกษม เป็นลูกของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ท่านส่งไปเรียนที่มะละแหม่ง เพราะเดินทางไม่ไกลเกินไป ปรากฏว่าเจ้าน้อยศุขเกษมไปพบรักกับมะเมียะ ที่มะละแหม่ง พอเรียนจบเจ้าน้อยก็พามะเมียะกลับมาด้วย เจ้าพ่อท่านไม่พอใจ เพราะว่าตอนนั้นกรุงเทพฯ ที่เขาเรียกว่าสยาม ปกครองล้านนาอยู่ และสยามกับพม่ายังถือว่าเป็นศัตรูกันอยู่ ในช่วงนั้นยังห่างจากสงครามกับพม่าครั้งสุดท้ายไม่นาน พูดง่าย ๆ ว่ายังอยู่ในช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่ยังฝังใจอยู่ว่าพม่าเป็นศัตรู ตัวเองอยู่ใต้การปกครองของสยาม ดันไปเอาสาวพม่ามาแต่งงานด้วย ลองคิดดูถ้าหากว่าเป็นผู้ครองนครที่เขามองการณ์ไกล เขาจะมองอย่างไร ? กำลังเอาความเดือดร้อนมาให้แล้ว ถ้าเกิดสยามเขาเอาเรื่องขึ้นมา ล้านนาก็ตายพอดี ก็เลยบังคับให้ส่งมะเมียะกลับ

เจ้าน้อยศุขเกษมก็จำเป็นต้องจัดขบวนช้าง ส่งมะเมียะกลับ คราวนี้การแสดงออกความเคารพของผู้หญิงพม่า ผู้หญิงพม่าเขาจะไว้ผมยาวแล้วม้วนเป็นมวยขึ้นข้างบน ถ้าเขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้ใคร แสดงว่าเคารพคนนั้นเท่ากับชีวิตตนเอง อาตมาไปอยู่พม่า บางทีเจอแม่ออกแม่ขาว เขาเคารพเรามาก เขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้เราเลย ยังต้องมาคิดว่า ความดีเรามีพอหรือนี่ ?

ฉากที่มะเมียะเขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้เจ้าน้อยศุขเกษม ทำให้คนที่ใจแข็งขนาดไหน ก็มีความรู้สึกว่า เราไม่น่าจะไปพรากชายหญิงคู่นี้ออกจากกัน

เมื่อมะเมียะกลับไปมะละแหม่ง เจ้าน้อยกินไม่ได้นอนไม่หลับ ป่วยตายเลย ถ้าเป็นสมัยก่อน เขาเรียกว่าตรอมใจตาย แต่มะเมียะกลับไปมะละแหม่ง ไปบวชชีอยู่ที่วัดไจ๊ซานลาน ยังดีที่อาตมามารู้เรื่องนี้ทีหลัง ไม่อย่างนั้นจะไปเดินดูว่ามีประวัติตรงนี้อยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีโอกาสไปใหม่ จะลองไปสืบประวัติดู เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือในราชสำนักฝ่ายเหนือมาก ทางพม่าเขาก็นิยมพวกจดหมายเหตุ น่าจะมีบันทึกเอาไว้บ้าง"

หมายเหตุ : รูปเจ้าน้อยศุขเกษมค่ะ http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/721/44721/images/Pic1/jonas3.jpg
ส่วนรูปมะเมียะหาไม่ได้

เถรี
26-01-2010, 17:54
พระอาจารย์ท่านได้เหรียญเก่า ๆ หลายประเทศมา นำมาให้พวกเราดู หลังจากนั้นท่านก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเหรียญให้ฟังว่า "มีพ่อค้าของเก่าอยู่คนหนึ่ง เขาขึ้นเครื่องบิน เอามือกุมกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา แอร์โฮสเตสเห็นผิดสังเกตก็เลยถาม เขากระซิบบอกว่า กำลังเอาเหรียญไปส่งลูกค้า เพราะว่ามีคนประมูลเหรียญเอาไว้ประมาณ ๗ เหรียญ ราคา ๔ แสนกว่าดอลลาร์ ที่เอามือกุมกระเป๋าเพราะกลัวเหรียญจะหาย"

แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่สองให้ฟังว่า " มีคุณยายอยู่คนหนึ่ง ฐานะยากจนมาก ไม่มีเงินจะซื้ออาหาร ก็เลยไปงัดเอาเหรียญเก่า ๆ มา ไปถามร้านขายขนมปัง ว่าเหรียญนี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า เจ้าของร้านเห็นแล้วตาโตเลย บอกให้ยายไปอีกร้านหนึ่ง ร้านนั้นเป็นพวกรับซื้อเหรียญเก่า ปรากฏว่าเหรียญที่ยายหอบมานั้น ยายแลกได้เงินเกือบล้าน..!

ตอนยายยังเด็ก ยายก็เก็บเหรียญสะสมไปเรื่อย ไม่รู้ว่าพอถึงรุ่นนี้กลายเป็นของสะสมราคาแพง ต้องบอกว่าบุญมีแต่กรรมมันบัง นั่งทับขุมทรัพย์อยู่ แต่ตัวเองไม่รู้ ถ้าหากว่าไม่ไปเจอเจ้าของร้านขายขนมปังที่เขามีศีลมีธรรม อาจจะโดนเขาหลอกได้"

เถรี
26-01-2010, 17:56
ถาม : ถ้าเจ้าของร้านขนมปังเขาหลอกเอาเหรียญนั้นจากยาย จะผิดศีลหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ นึกถึงเรื่องที่พระเทวทัตกับพระพุทธเจ้าจองล้างจองผลาญกันมาตั้งแต่ชาติแรก ต่างคนต่างเป็นพ่อค้าเหมือนกัน ไปหาซื้อของเก่า มีคุณยายคนหนึ่งเคยอยู่ในครอบครัวเศรษฐีมาก่อน ยายไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรที่เหลือ นอกจากถาดอยู่ใบหนึ่ง ตั้งใจจะไปแลกเป็นเครื่องประดับให้หลานสาว ก็เลยเอาไปยื่นให้กับพ่อค้าที่เป็นพระเทวทัตในชาตินั้น

พระเทวทัตลองขีดถาดใบนั้นดู ก็รู้ว่านี่เป็นถาดทองคำแท้ ราคาได้แสนกหาปณะ แต่พระเทวทัตบอกกับยายว่า "ไม่มีราคาหรอก ไม่สามารถที่จะแลกได้" พระเทวทัตก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินไปที่อื่น กะว่าเดี๋ยวจะกลับมาเอาถาดใบนี้ ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าในชาตินั้นท่านเป็นพ่อค้าเหมือนกัน พอยายเอาถาดไปให้พระพุทธเจ้า ท่านลองขีดถาดดู ทราบว่าเป็นทองคำแท้ จึงตีราคาให้หนึ่งแสนกหาปณะ ยายดีใจมากจนเป็นลม เพราะตอนแรกตั้งใจแค่จะแลกเครื่องประดับเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าในชาตินั้นก็มอบเงินให้ยายแสนกหาปณะ แล้วเอาถาดกลับไป

ทีนี้ท่านเป็นพ่อค้าสำเภา ท่านก็ขึ้นเรือไป ทางด้านพระเทวทัตที่เป็นพ่อค้า เมื่อได้ยินข่าวว่ายายขายถาดใบนั้นไปแล้วก็เป็นลมเหมือนกัน สำหรับยายนั้นเป็นลมเพราะดีใจ แต่พระเทวทัตเป็นลมด้วยความโกรธ ก็เลยตามพระพุทธเจ้าไป ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าที่เป็นพ่อค้าออกเรือแล้ว พระเทวทัตก็เลยกอบทรายที่ชายหาดขึ้นมา บอกว่า "จะตามจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าให้เท่ากับจำนวนเม็ดทรายที่กอบขึ้นมา"

เรื่องของพระพุทธเจ้าและพระเทวทัตเริ่มต้นจากเรื่องอย่างนี้ แล้วเรามาดูว่าผิดศีลไหม ? เจตนาโกงอย่างชัดเจน ของพระท่านมีขโมย ฉ้อโกง ลักสับ ซ่อนเร้น อย่างเช่นว่า เห็นทรัพย์ตกอยู่แล้วเอาใบไม้กลบไว้ ถึงเวลาเจ้าของหาไม่เจอ เราก็แอบมาเอา หรือว่าตัวเองได้สลากเบอร์นี้ รู้ว่าได้ของไม่ดี ก็แอบสลับกับสลากของเพื่อน ถ้าเป็นอย่างนี้พระพุทธเจ้าปรับปาราชิกหมด

ถาม : ยายเขาตั้งใจจะแลกเครื่องประดับเท่านั้น ถ้าได้เงินไม่ถึงมูลค่าสิ่งของ มันผิดด้วยหรือคะ ยายเขาไม่รู้ราคานี่คะ ?
ตอบ : ยายเขาไม่รู้ แต่พ่อค้ารู้

ถาม : ผิดหรือคะ ?
ตอบ : ผิดสิ เพราะรู้ ถ้าหากจะแลก ต้องแลกตามมูลค่า

เถรี
26-01-2010, 18:02
ในเรื่องคำพูดของคน พระอาจารย์ท่านบอกว่า "ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านบอกว่า ดีแสนดี...ถ้าเขาจะติ เขาก็หาเรื่องมาติ ชั่วแสนชั่ว..ถ้าเขาจะชมมัน มีลูกคุณช่างติคนหนึ่ง ไปกราบพระพุทธชินราช ที่ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามที่สุดของประเทศไทย กราบแล้วก็ดู ดูแล้วดูอีก เดินดูจนรอบ ในที่สุดเขาก็บอกว่า สวยอยู่หรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้..! เขาหาที่มาติจนได้"

เถรี
26-01-2010, 18:18
ถาม : ธรรมใดที่ทำให้พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง สามารถอยู่ในนรกโดยที่ไม่มีความทุกข์ในการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในนรกได้ ?
ตอบ : กำลังใจอย่างเดียวเลย

ถาม : ท่านต้องภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเปล่าครับ หรือท่านอยู่ในระดับที่หลุดพ้นการภาวนาไปแล้ว ?
ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้นอภิญญาเป็นเรื่องเล็กแล้ว จะไปไหนก็ไปได้ จะอยู่ไหนก็อยู่ได้

ถาม : แล้วพระโพธิสัตว์องค์นั้นเกิดมีการแบ่งภาคมาจุติ แล้วเขาต้องทำขนาดไหน ?
ตอบ : ไม่มีการแบ่งภาค

ถาม : ระดับนั้นไม่มีการแบ่งภาคหรือครับ?
ตอบ : มาก็คือมาเลย

ถาม : ถ้ามาก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่หรือครับ?
ตอบ : ต่อของเก่าสิวะ..!

ถาม : ทำสมาธิอย่างไรจึงจะต่อของเก่าได้ครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม

ถาม : ก็คือ ตัวสังโยชน์ ๑๐ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นั่นยิ่งต้องทำให้หนักเลย เพราะว่าถ้าไม่รู้แล้วจะไปสอนเขาได้อย่างไร เพียงแต่ว่ารู้ แต่กำลังใจไม่ได้ตัด

เถรี
26-01-2010, 18:21
ถาม : พระโพธิสัตว์นี่ บารมีท่านต้องถึงที่สุดหรือครับ ท่านจึงจะได้เจอพวกนางแก้ว ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงที่สุดหรอก แค่ในระดับกลาง ๆ ก็พอแล้ว เพราะส่วนใหญ่ช่วงอุปบารมีเป็นช่วงที่เขาสร้างบารมีเข้มข้นมาก มักจะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ และก็ได้สร้างสมบุญกุศลใหญ่ ๆ อาจจะได้สละอวัยวะ ควักดวงตา ตัดศีรษะถวายพระ ถ้ายังไม่ถึงอย่างนั้นตัดไปก็ไม่มีประโยชน์ นางแก้วก็นางแก้วเถอะ อาจไปอยู่กับคนอื่นก็ได้

เถรี
26-01-2010, 18:22
ถาม : เด็กเกิดมาแล้วจะมีความจำเดิมอยู่ไหมครับ?
ตอบ : เป็นบางคน บางคนนี่จำได้หมดเลย แล้วก็ขัดใจด้วยว่าทำไมตอนนี้ทำอะไรไม่ค่อยได้

พวกที่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนเลยจะจำได้ เพราะไม่โดนคั่นด้วยระยะเวลาอันยาวนานของสุคติหรือทุคติ เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นเด็กบางคนไม่กี่ขวบก็จบด็อกเตอร์ นั่นก็แค่เอาความรู้เดิมมาใช้เท่านั้น

เถรี
26-01-2010, 18:24
ถาม : ถ้าฝันเห็นครูบาอาจารย์ เป็นเรื่องยาวเลย อย่างนี้ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องธรรมดา

ถาม : แล้วถ้าชอบฝันเรื่องเดิมบ่อย ๆ
ตอบ : อาจจะเป็นสัญญาเก่า

เถรี
26-01-2010, 18:27
ถาม : ยุคนี้พวกหญิงที่เป็นชาย มีอยู่เยอะ
ตอบ : มันเป็นช่วงที่พวกนี้เขาเกิดมาสร้างบารมี

ถาม : สมัยก่อนมีอย่างนี้ด้วยหรือครับ ที่ผู้หญิงเริ่มเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : นาน ๆ ทีจึงจะมี

ถาม : จำเป็นจะต้องเป็นทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : เป็นทุกคน เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พวกบารมีเข้มเขามาเกิด ก็จะเป็นเพศชัดเจนมาเลย นาน ๆ จึงมีแทรกมา พอระยะหลังพวกบารมีปานกลางเขาจะมากันเยอะ เพราะพวกบารมีเข้มเขากวาดไปหมดแล้ว

เถรี
26-01-2010, 18:51
วันอาทิตย์ช่วงเช้าพระอาจารย์คุยเรื่องปืนกับพวกนายร้อยตำรวจ ท้ายสุดท่านก็สรุปให้ฟังว่า "เรื่องของการใช้อาวุธปืนอยู่ที่ขยันซ้อม ฉะนั้น..สรุปแล้ว การปฏิบัติไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม ขึ้นอยู่ที่ความขยัน ยิ่งขยันเท่าไรก็จะเกิด วสีภาพ คือความชำนาญเพิ่มขึ้น"

เถรี
27-01-2010, 15:14
ถาม : จะเดินทางไปต่างประเทศค่ะ
ตอบ : เวลาไปไหน ให้สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ท่านเจ้าที่เจ้าทางด้วย ท่านจะได้ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เราได้ ขอให้เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง ถ้ารู้สึกว่าไม่ดี...อย่าไป เพราะสัญชาตญาณนั้นเกิดจากการที่เขาทั้งหลายซึ่งรับความดีจากเราไป แล้วพยายามจะช่วยสงเคราะห์ ถ้ารู้ว่าไม่ดี..อย่าไป แล้วปกติแขวนพระอะไรจ๊ะ ?

ถาม : พระคำข้าว
ตอบ : ใช้ได้จ้ะ สวดมนต์ทุกวัน อิติปิโสก็ได้ คาถาเงินล้านก็ได้ ถ้ามีพระคำข้าวก็ไม่ต้องกลัวแล้วจ้ะ

เถรี
27-01-2010, 15:16
ถาม : เวลานั่งสมาธิรู้สึกว่ากายในมันออกไป แต่จะไปหาพระก็ไม่เจอ มันมืด
ตอบ : ขาดวิปัสสนา ก่อนจะนั่งให้พิจารณาให้เห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าขาดวิปัสสนาเวลาออกไปจะมืดตื๋อ พอไปแล้วเปะปะ ไม่รู้จะไปทางไหน มืดไปหมด แล้วก็กลับ เป็นเรื่องปกติ อยากจะเห็นชัด ๆ ต้องพิจารณาวิปัสสนาให้มาก ๆ โดยเฉพาะพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เห็นว่าไม่ใช่ของเราได้มากเท่าไร ก็ยิ่งไปได้ง่ายเท่านั้น

ถาม : บางครั้งเวลานั่ง กายในมันจะหมุน
ตอบ : บางทีไม่ใช่กายในหมุนเฉย ๆ ตัวเราก็หมุนไปด้วย เพียงแต่ว่าเราต้องทำใจไว้เลยว่า ตอนนี้เราทำความดี ถึงเราจะตายก็ช่างมัน ถ้าตัดกำลังใจได้ก็จะไปได้

เถรี
27-01-2010, 15:19
ถาม : ผมเคยบวชที่วัดอื่น พอลาสิกขามาแล้ว ผมเอาเงินติดตัวมาด้วยสองร้อยบาท แล้วผมเอาไปให้คุณพ่อคุณแม่ คราวนี้ผมมารู้ทีหลังว่าติดหนี้สงฆ์ อย่างนี้ผมควรชำระหนี้สงฆ์อย่างไรครับ ?
ตอบ : ดูว่าตอนนั้นค่าของเงินเท่าไร โดยเทียบจากราคาทอง ถ้าตอนนั้นทองบาทละสี่พัน ตอนนี้ทองขึ้นเป็นบาทละหมื่นหก เราก็จ่ายไปสี่เท่า

ถาม : จ่ายที่ไหนก็ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่ ที่วัดไหนก็ได้ บอกพระท่านว่าชำระหนี้สงฆ์

ถาม : แต่ว่าตอนนั้นที่เอาเงินมา ตอนเป็นพระผมไม่เป็นปาราชิกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็นปาราชิก เพราะเป็นเงินของเรา ไม่ได้ขโมยใครมา

เถรี
27-01-2010, 15:20
ถาม : เราให้อาหารพวกสัมภเวสี โดยวางตรงข้างทาง ควรทำแบบนี้หรือเปล่า ?
ตอบ : ทำอย่างนี้แล้วบางทีเขาตาม คือ เขาเคยได้กินจากเราแล้วก็เลยตามมา ถ้าไปอยู่ที่ไหนใหม่ ๆ ควรทำสักครั้งสองครั้ง เพื่อสงเคราะห์เขา และขอความสะดวกในที่อยู่อาศัย แต่ถ้าไปทำประจำแล้วเดี๋ยวเขาตามมากวน

เถรี
27-01-2010, 15:21
ถาม : เวลาผมภาวนาคาถาเงินล้าน ผมนั่งสมาธิไปด้วยและจับลมหายใจเข้าไปด้วย และตัวเองนั่งอยู่บนพระนิพพานด้วยอย่างนี้ ควรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ควรทำบ่อย ๆ ถ้ากำลังใจเกาะพระนิพพานไว้ ตอนนั้นกิเลสจะกินใจเราไม่ได้ ถ้าเราชินกับการไม่มีกิเลสบ่อย ๆ เดี๋ยวก็หลุดไปเลย

เถรี
27-01-2010, 15:23
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี จัดเป็นกฎหมายเบื้องต้น กฎหมายอันไหนออกมาแล้ว ถ้าไปขัดกับขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี กฎหมายนั้นไปไม่รอดหรอก เพราะเขาเชื่อฝังหัวกันมาตั้งแต่แรก ในเมื่อเขาเชื่อฝังหัวมาตั้งแต่แรก ก็คือ ปักใจว่าเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น อันนี้เป็นการยึดมั่นถือมั่นก็จริง แต่กลายเป็นว่ากฎหมายที่ออกมาก็ต้องคล้อยตาม"

เถรี
27-01-2010, 15:25
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พิธีทำศพแบบทิเบต เขาเอาไปให้นกแร้งกิน เอามีดกรีด ๆ ร่าง แล้วนกแร้งก็มาทึ้งกิน ส่วนไหนที่เหลือก็เอาขวานทุบ ๆ ให้กินต่อ กระดูกก็ไม่เหลือ เขาถือว่าเป็นการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้าย สละร่างกายเป็นทาน นี่เป็นสไตล์พระโพธิสัตว์ เราจะไม่เคยชิน เห็นแล้วก็สยดสยอง"

ถาม : คนตายได้อานิสงส์ไหม ?
ตอบ : ไม่ได้ คนตายไม่ได้ตั้งใจทำ คนที่มีชีวิตอยู่ทำ แต่ถ้าก่อนตายตั้งใจไว้ว่า ร่างกายนี้ขอสละเป็นอาหารของหมู่นกแร้งทั้งหลายเหล่านี้ อย่างนี้จึงได้อานิสงส์

เถรี
27-01-2010, 15:32
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เหตุผลที่ไปออกธุดงค์ เพราะว่าช่วงที่ช่วยงานหลวงพ่อที่วัดท่าซุง คอยสังเกตอารมณ์ใจตนเอง ทีนี้เห็นว่าเสียงตัวเองเริ่มดัง ก็เลยรู้ว่าตัวเองเหนื่อยกับงานจนเครียด ที่เครียดจริง ๆ ก็เพราะว่าเราไปตั้งความหวังไว้กับคน ว่าเขาจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่น่าจะทำอย่างนั้น ไม่น่าจะทำอย่างนี้ ทีนี้ในเมื่อเครียดขึ้นมาก็เลยเสียงดัง พอรู้ตัวต้องรีบเบรก ดึงคนมาทำงานแทน แล้วก็ไปเข้าส้วม นั่งภาวนาให้กำลังใจทรงตัว แล้วค่อยออกไปใหม่ แต่นี่ป๋ายักษ์ (ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือข้าง ๆ) เขาไม่รู้ว่าเขาเครียด เพราะฉะนั้น..เขาก็จะเสียงดังขึ้นไปเรื่อย ๆ"

ถาม : ถ้าเราเครียด เราควรตั้งอารมณ์อย่างไร ?
ตอบ : ทรงฌานได้ก็เก่ง ตอนนี้ที่เครียด คือ กำลังเราตก

ถาม : ถ้าเราเสียงดังด้วยความเครียดเป็นเพราะตัวโทสะ แล้วถ้าเสียงดังด้วยอารมณ์สนุกสนานหัวเราะเล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของความสนุกสนานหรือเครียดในงานก็ตาม ก็คือ การที่ให้อารมณ์เขาเหนือกว่า รัก โลภ โกรธ หลง เขาเหนือกว่า

เถรี
28-01-2010, 13:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราจะมีอยู่จำนวนมาก ประเภทที่แสนรู้ พูดอย่างหนึ่งแล้วไปทำอีกอย่างหนึ่ง คิดตีความเองเสร็จ แล้วก็เกิดการทะเลาะแตกแยกกัน แบบเดียวที่ไปฟันธงว่าใครเป็นรัชกาลที่ ๑ ใครเป็นรัชกาลที่ ๕ ไปดึงฟ้าต่ำอย่างนั้น เท่ากับหาเรื่องติดคุก ถ้าหากว่าเป็นเรื่องสมควร หลวงพ่อท่านพูดชัด ๆ ไปแล้ว ต้องเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านจึงได้พูดเป็นปริศนาเท่านั้น

รู้ให้รู้อยู่แก่ใจ อย่าเสือกไปขยายความ..! เพราะว่าเราไม่ได้มีปฏิสัมภิทาญาณที่รู้รอบแบบนั้น ท่านรู้ว่าท่านพูดแค่ไหนแล้วจะพอดี แต่มักจะเจอพวกลูกศิษย์แสนรู้ไปขยายความต่อ เขารู้สึกเป็นเกียรติ มีหน้ามีตามากเลย ที่ได้ไปขยายความ"

เถรี
28-01-2010, 18:36
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีโยมที่อยู่ออสเตรเลียไปซื้อบ้านที่นั่น ปกติราคาของฝรั่ง เขาจะต่อได้ไม่เท่าไร ปรากฏว่าเขาไปต่ออย่างไรก็ไม่รู้ ฝรั่งเขาลดให้สามหมื่นเหรียญ เราก็ตกใจ ถ้าเป็นเงินไทยก็เป็นแสนเลย ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ปกติฝรั่งเขาจะลดให้นิดหน่อยเท่านั้นเอง เขาบอกว่า เขาอธิษฐานขอกับมีดหมอของเขา"

เถรี
28-01-2010, 18:55
ถาม : ขอให้ช่วยสอนธรรมะให้ด้วยค่ะ
ตอบ : สอนไม่ได้..สอนไปก็เท่านั้น ต้องทำเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ชัด สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง อัญโญ นาญยัง วิโสธเย คนหนึ่งจะทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่ ฉะนั้น...อยากได้ต้องทำเอง พระท่านได้แต่เอาใจช่วย และบอกวิธีเท่านั้น ถ้าเอาใจช่วยแล้ว บอกวิธีแล้ว โยมไม่ทำ..ก็เท่านั้น

เถรี
29-01-2010, 09:08
ถาม : หลวงพ่อบอกว่าภาวนาคาถาเงินล้านแล้ว มีอาการดิ่งเหมือนเหวไม่มีก้น นั่นเกิดจากเรากำหนดเองหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คือ ความรู้สึกของเราให้อยู่ตรงกลางกาย ก็จะลงไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเหวที่ไม่มีก้น คือ ไม่รู้จักสุดสักที จะอยู่กลางของกลาง...กลางของกลาง...กลางของกลาง..ไปเรื่อย ๆ

ถาม : ช่วงนี้หนูจะรู้สึกว่า ทำอะไรก็ไม่ถูกไปหมด คือรู้สึกว่ายังมีที่ดีกว่านี้อยู่ เลยเหมือนทำอะไรก็ผิดตลอดเลยค่ะ
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้ายังไม่รู้ว่าที่ดีกว่านี้คืออะไร ให้ทำแบบเดิมไปก่อน

ถาม : บางทีเจอปัญหาบางอย่าง หนูก็ลองคิดดูว่า ถ้าท่านที่เป็นพระอริยเจ้าท่านทำอย่างไร แต่พอจะทำจริง ๆ ก็ทำไม่ค่อยได้ มันฝืนความรู้สึกมาก พอไปทำอีกขั้นก็ฝืน มันก็ฝืน
ตอบ : เอาศีลห้าเป็นหลัก ไม่ออกนอกกรอบก็พอ แล้วเราก็ค่อย ๆ ขยับ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเคี่ยวเข็ญตัวเองมากจนเกินไป

ถาม : หลวงพ่อคะ แล้วหนูยังไม่หายเบื่อเลยค่ะ
ตอบ : ก็เบื่อไปสิ จะไปว่าอะไร บอกแล้วว่าให้รักษาความเบื่อเอาไว้

ถาม : แล้วเวลาที่หายเบื่อ จะหายเหมือนกับเด็ดทิ้งออกไปเลย หรือค่อย ๆ ลดคะ ?
ตอบ : ถ้าเข้าใจว่าสภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วยอมรับ คือเห็นว่าธรรมดาต้องเป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาของเราเป็นอย่างนี้ เราดิ้นรนไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะยังต้องอยู่กับมัน ตายเมื่อไรถึงเลิกกัน ถ้าปัญญาเรายอมรับ ก็จะปล่อยวาง เหมือนกับการแบกของนั่นแหละ ที่เคยหนัก ถ้าวางแล้วก็จะเบา

ถาม : แล้วหลัง ๆ จะเบื่อของดี ๆ อย่างวัตถุมงคล หรือเวลาทำบุญ จะว่าอยากทำก็อยาก แต่ก็เบื่อ ๆ
ตอบ : ขอให้เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำในสิ่งที่ดี เว้นในสิ่งไม่ดี สำคัญให้มีสติรู้อยู่ก็พอ

เถรี
29-01-2010, 15:41
ถาม : เวลาที่ถวายสังฆทาน บทสวดที่ท่านสวด แปลว่าอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : สิทธิกิจจัง ขอให้มีความสำเร็จในการงานทุกอย่าง สิทธิกัมมัง ขอให้การกระทำทุกอย่างสำเร็จไปด้วย สิทธิลาโภ นิรันตรัง ขอให้รวยตลอดกาล สิทธิเตโช ชโยนิจจัง ขอให้มีเดชมีอำนาจ เป็นที่ยั่งยืน สัพพะสิทธิ ภวันตุเต ขอความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้จงมีแก่เธอ

เถรี
29-01-2010, 15:55
ถาม : กังวลเรื่องเลขทะเบียนรถ ว่าจะมีผลต่อชะตาชีวิต
ตอบ : จำเอาไว้ว่า จะมีผลก็เพราะเราไปกังวล ถ้าใจเราดี..ทุกอย่างก็ดีหมด ถ้าใจเราไปคิดว่าไม่ดี ก็เหมือนกับแช่งตัวเอง เลยพลอยไม่ดีไปด้วย เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ กำลังใจของเรา เขาเรียกว่า มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ไปคิดว่าไม่ดี ๆ ๆ เดี๋ยวก็เจ๊ง เพราะกลายเป็นแช่งตัวเอง

อาตมานี่บ้าเกินร้อยมาตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่าเขม่นตาซ้าย..ร้ายจะมา เขม่นตาขวา..ลาภจะมา ใช่ไหม ? ตูเขม่นตาซ้าย..ลาภใหญ่จะมา เขม่นตาขวา...ลาภใหญ่กว่านั้นก็จะมา ก็เราเชื่อของเราอย่างนี้

ส่วนหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ หมอดูเขาถอดดวงแล้ว เขาบอกว่าเป็นดวงที่ประหลาดมาก ดวงอาตมา อริเป็นมรณะ ใครตั้งตัวเป็นศัตรู..ตายหมด ทุกวันนี้จึงไม่กลุ้มใจอะไรกับใครเลย ใครอยากเป็นศัตรูก็ให้เขาเป็นไป ปัตนิเป็นโภคะ เพศตรงข้ามจะให้ลาภ เราก็สังเกตว่าใช่ โยมที่มาทำบุญร้อยละเก้าสิบเป็นผู้หญิง แต่อีกตัวไม่ค่อยดีก็คือ สหัชชะเป็นพยายะ เพื่อนจะพาจนอยู่เรื่อย พูดง่าย ๆ ว่าเขาเดือดร้อนเมื่อไร ก็เราโดนด้วยตลอด

เถรี
29-01-2010, 16:08
ถาม : อ่านหนังสือไม่ทัน มีวิธีช่วยให้จำได้ไหมคะ?
ตอบ : มี แต่ต้องทำสมาธิกันขนานใหญ่เลย ถ้าหากสมาธิทรงตัวและใช้คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ลักษณะอย่างนั้นหยิบหนังสือมาทั้งเล่มจะรู้เลยว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร

ถาม : ท่านสอนได้ไหมคะ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าสำคัญตรงสมาธิ เราต้องไปฝึกเอง ถ้าสมาธิทรงตัวเป็นฌานได้แล้ว เรื่องอื่นจะเป็นเรื่องเล็กเลย

ถาม : แล้วจะจำได้หรือคะ ?
ตอบ : สำคัญตรงสมาธิ ถ้าสมาธิดี ก็จะจำได้เอง

ถาม : ทำอย่างไรจึงได้สมาธิ ?
ตอบ : ภาวนา อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ

ถาม : ขอท่านแนะนำเรื่องทำสมาธิด้วยค่ะ
ตอบ : ไปหาตำราการปฏิบัติสักเล่มหนึ่งแล้วก็ทำซะ อาตมาพูดมาสามสิบปี จนเบื่อแล้ว..!

เถรี
29-01-2010, 16:57
ถาม : ภาวะนิพพานเป็นเมืองแก้ว เป็นสถานที่ เป็นวิมานหรือเปล่า ?
ตอบ : ไปเองก็จะหายสงสัย

ถาม : ไปไม่ได้ค่ะ ?
ตอบ : ไม่อย่างนั้นอธิบายไปก็เท่านั้นแหละ เต่าบอกว่าบนบกหน้าตาเป็นอย่างไร เราเป็นปลาก็ฟังไปเถอะ ไม่รู้เรื่องสักที แล้วก็มาสงสัยอยู่นั่นแหละ ว่าบนบกหน้าตาเป็นอย่างไรหนอ พอบอกว่ามีต้นไม้ ก็สงสัยว่าเหมือนต้นไม้ในน้ำไหม วิธีแก้สงสัยที่ดีที่สุดคือทำ

เถรี
29-01-2010, 16:58
ถาม : ทำไมตอนหนูทำสมาธิ แล้วใส่เมตตาเข้าไปในสมาธิ แล้วมันมีความรู้สึกมันคล้าย ๆ ตอนที่เขาพาไปเที่ยวเมืองนิพพานเลย?
ตอบ : อย่าลืมว่าอารมณ์เมตตาบารมี ถ้าหากว่าทำถึงที่สุดก็คือนิพพาน ถ้าทำไม่ถึงที่สุด เขาหวังที่พรหมกันเท่านั้น กำลังจะสูงมาก ถึงอารมณ์ท้ายออกมาคล้ายกัน ก็ไม่ใช่ของแปลก

เถรี
29-01-2010, 17:29
ถาม : เคยอ่านหนังสือมา เขาบอกว่าผู้หญิงจะไม่เป็นในฐานะสี่ จะไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จะไม่เป็นพรหม จะไม่เป็นมาร สงสัยว่าผู้หญิงเป็นพรหมไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : เป็นได้ คำว่าไม่เป็นในฐานะ แปลว่าพรหมไม่มีผู้หญิง

ถาม : แล้วมารไม่มีผู้หญิงหรือคะ ?
ตอบ : นางตัณหา หน้าตามันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายวะ ?

อย่างเช่นว่ารัฐมนตรี ถ้ากำหนดไว้ว่าต้องเป็นผู้ชาย ก็แปลว่าเป็นผู้หญิงไม่ได้ ที่เขากล่าวมาน่าจะเป็นวสวัตตีมาราธิราช ผู้หญิงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้นำขนาดนั้น แต่ว่าเรื่องของพรหมนี่แน่นอน เพราะว่าพรหมไม่มีเพศแล้ว ถือว่าเป็นเพศกลางไป จะว่าเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้ชายก็ไม่ใช่

เถรี
31-01-2010, 16:38
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระพุทธศาสนาที่เผยแผ่เข้าไปในประเทศจีน จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอย่างมาก เพราะว่ามีคู่แข่ง ตั้งแต่ลัทธิหยูของขงจื๊อ ลัทธิเต๋าของเล่าจื๊อ และไม่ว่าศาสนาจะไปที่ไหนก็ตาม ถ้าสามารถเข้าถึงผู้นำได้ ศาสนานั้นจะได้เปรียบ

ศาสนาพุทธเราเสียเปรียบอยู่ร่ำไปว่า เข้าถึงผู้นำได้ แต่เราก็ไม่ได้ไปทำลายศาสนาอื่น แต่ว่าศาสนาอื่นเมื่อเข้าถึงได้ มักใช้ผู้นำทำลายศาสนาพุทธ ช่วงที่เต๋าเป็นใหญ่ เขาสั่งทำลายวัดในประเทศจีนกว่าสามหมื่นวัด

แม้กระทั่งที่สุมาตรา (ชวา) ซึ่งปัจจุบันคืออินโดนีเซีย เคยถือพุทธมาก่อน เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย มีบรมพุทโธเป็นหลักฐาน ว่าเป็นเขตแดนพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่มาก แต่พอศาสนาอิสลามที่เผยแผ่มาจากพ่อค้าทางอาหรับ ค้าขายเข้ามาถึง เขาเข้าถึงเจ้าผู้ครองนครได้ ก็ใช้อำนาจบังคับ ให้บรรดาประชาชนทั้งหมดนับถืออิสลามไปด้วย แล้วก็ทำลายศาสนสถาน บรมพุทโธที่เหลืออยู่ เพราะว่าใหญ่เกินกำลังที่จะทำลายได้หมด

ศาสนาพุทธปัจจุบัน ได้รับการยอมรับนับถือว่า เป็นศาสนาที่ใฝ่สันติ ไม่เคยมีการรบราฆ่าฟันในระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอื่น จนกระทั่งสหประชาชาติยอมประกาศให้ วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก บอกว่าเป็นศาสนาแห่งสมานฉันท์"

ถาม : ปีนี้จะสมานฉันท์สำเร็จไหมครับ ?
ตอบ : ชาติหน้าตอนบ่าย ๆ..! สถานการณ์ที่เกิดจากการชักจูง แล้วก็มีมือที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ให้ยุ่งไปหมด เพราะฉะนั้น..บางทีตัวเองก็คุมไม่อยู่ เพราะว่าเขาสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เคล็ดลับอยู่ที่หยุด ถ้ารู้จักหยุด รู้จักพอ ก็เดือดร้อนน้อย

เถรี
31-01-2010, 16:42
ถาม : ปีนี้จะมีโรคระบาดอะไรใหม่ ๆ อีกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : โรคละบาท ?..เดี๋ยวนี้อย่างน้อยก็ต้องโรคละสามสิบบาท..!

ปีนี้น่าจะมีคนคิดยาปราบโรคบางตัวได้ อยากจะให้เป็นยาปราบโรคเอดส์ แต่ว่าเรื่องของวาระกรรม ก็แทบจะไม่มีประโยชน์ เพราะว่าถึงเวลานั้น กรรมก็บันดาลให้เป็นไป โรคนี้รักษาได้ก็เป็นโรคใหม่อีก โดยเฉพาะสภาวะอากาศ มีตัวช่วยให้โรคเกิดใหม่ได้ง่ายมาก เพราะว่าอากาศร้อนเหมาะที่เชื้อโรคจะเจริญเติบโต

ชาวทิเบตอาศัยอยู่ในประเทศตัวเอง แทบจะไม่เจ็บป่วยอะไรกับใคร เพราะว่าส่วนใหญ่อากาศหนาวติดลบตลอด เชื้อโรคจึงโตไม่ได้ ช่วงที่จีนยึดทิเบต ชาวทิเบตอพยพหนีมาเป็นล้าน ๆ คน มาอยู่ที่อินเดีย ป่วยตายไปเป็นแสนเลย เพราะว่าเชื้อโรคที่ไม่เคยเจอก็มาเจอ แล้วภูมิต้านทานก็ไม่มี คนที่อยู่ได้ต้องถือว่าอึดสุดชีวิต

ฉะนั้น..ในปัจจุบันที่สภาวะโลกร้อน ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ง่าย พัฒนาการก็เร็ว มีแต่ทำให้เกิดโรค จะเรียกว่าโรคใหม่ก็ไม่ได้ โรคเก่านั่นแหละ แต่ว่าเชื้อโรคมีการพัฒนาขึ้น ปรับตัวเองไปเรื่อย

เถรี
31-01-2010, 16:44
ถาม : ตอนที่เดินไปเข้าห้องน้ำ จิตเป็นคนสั่ง หรือร่างกายเป็นคนสั่งให้ไป ?
ตอบ : จิตสั่ง ร่างกายทำ จิตเป็นคนขับรถ ร่างกายเป็นรถ ถึงเวลาจิตก็ขับ รถก็ไปตามที่จิตขับ

เถรี
31-01-2010, 17:51
ถาม : เวลาหนูนั่งทำสมาธิ สมาธิที่ถึงฌานสี่ มันแห้ง ๆ ทื่อ ๆ เหมือนเป็นซากไม้ แต่เมื่อไรที่เราใส่เมตตาไป กลับรู้สึกว่ามันชุ่มชื่น ไม่ตายด้าน
ตอบ : ที่สอนให้แผ่เมตตาก็ตรงนี้แหละ ส่วนหนึ่งก็เพื่อหล่อเลี้ยงกำลังใจของเราให้ชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเป็นอุเบกขาแข็งทื่อไปเฉย ๆ

ถาม : แล้วอุเบกขาแข็งทื่อเฉย ๆ เป็นคนละอุเบกขากับในบารมีสิบหรือเปล่า ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราทำในระดับไหน ถ้าคล่องตัวจริง ๆ ก็จะมีอุเบกขาในเมตตา อุเบกขาในกรุณา ฯลฯ

ถาม : แล้วหนูยังสงสัยเล็กน้อยว่า สมาธิที่ทื่อ หนูมั่นใจว่าเป็นในระดับฌานสี่ แต่พอมาใส่เมตตาเข้าไป เป็นสมาธิที่อยู่ในเมตตา ก็รู้สึกชุ่มชื่น เย็น ๆ จะลื่น
ตอบ : เอาอย่างนี้ นึกถึงรถก็แล้วกัน ถ้าไม่มีน้ำมันเครื่อง เครื่องก็ฝืด ใส่น้ำมันเครื่องลงไป เครื่องก็ลื่น แต่ว่าก็วิ่งเท่าเดิม เพียงแต่ความคล่องตัวมีมากกว่า