View Full Version : พระอชิตเถระ
ถาม : ก่อนชาตินี้พวกเราเคยคิดถึงพระนิพพานกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เคย
ถาม : เคยหรือครับ ? 
ตอบ : เคย..แต่ไม่แน่นแฟ้น  
ถาม :  คือได้ยินเขาพูดกันอย่างนี้หรือครับ ?
ตอบ :  เอาแค่ช่วงอาตมายังเด็ก ประมาณ ๗ - ๘  ขวบ    เวลาทำบุญใส่บาตร  ผู้ใหญ่เขาสอนให้อธิษฐานว่า    ขอให้เกิดมาสวย ๆ  ขอให้เกิดมารวย ๆ    ขอให้เกิดมาพบพระศรีอาริย์   มีอยู่แค่นี้จริง ๆ  คำว่าพระนิพพานไม่รู้จักเลย  สมัยนั้นก็อธิษฐานไว้อย่างนี้   บางท่านก็วิลิศมาหราหน่อยว่า  ขอให้สวยเหมือนนางวิสาขา ขอให้มีปัญญาเหมือนพระมโหสถ    ขอให้มีน้ำใจอดเหมือนพระเตมีย์    ขอให้เป็นเศรษฐีเหมือนเจ้ากรุงสญชัย  ขอให้มีศรัทธาเลื่อมใสเหมือนพระเวสสันดร ฯลฯ 
ถาม : จริง ๆ ถ้าเกิดมาแล้วพร้อมขนาดนั้น เข้าพระนิพพานดีกว่าเยอะเลย ?
ตอบ :  สมัยเด็ก ๆ เรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยจะเป็นที่ฮิตมาก  เพราะมีคำร่ำลือว่าสมัยกึ่งพุทธกาล คือ  ปี  ๒๕๐๐  พระศรีอาริย์จะมาจุติ  เขาก็เลยรอกันใหญ่  
ถาม : แล้วท่านมีเกณฑ์มาเกิดไหมครับ ?
ตอบ : มีเกณฑ์ก่อนหน้านั้น  ทีนี้งานที่จะมาก็คือ มารวบรวมประวัติการสร้างอักษรไทย   ท่านก็เห็นว่าไม่ใช่งานโดยตรงของท่าน  ก็ให้มนขอมพิษณุมาแทน  
ถาม : อย่างนี้ท่านก็ไม่ลงมาสิครับ ?
ตอบ : ถ้าหากลงมาก็เป็นเรื่อง  ในปัจจุบันนี้มีเยอะ
ถาม : จริงครับ มีพระศรีอาริย์หลายองค์เลย   
ตอบ : พระศรีอาริยเมตไตรยมีระบุไว้ชัดเจนในทักขิณาวิภังคสูตร  พระสุตตันตปิฎกว่า พระนางปชาบดีโคตมีตั้งใจทอจีวรถวายพระพุทธเจ้า  ท่านเริ่มตั้งแต่ปลูกเลย  เตรียมดินที่จะปลูกฝ้าย  ให้ช่างตะไบผงทองผสมไปด้วย  แล้วก็เอาเมล็ดฝ้ายปลูก  รดด้วยน้ำนมวัว  คอยดูแลจนกระทั่งฝ้ายตกยวง แล้วก็เก็บมาปั่นเป็นเส้นด้าย  ทอด้วยมือท่านเอง    ด้วยความที่ท่านตั้งใจและอาจจะเป็นเพราะว่ามีแร่ธาตุทองคำเยอะ  ท่านบอกว่าเนื้อผ้าออกมาสีเหมือนทองคำเลย   ท่านทอได้สองผืน  ก็เอาไปถวายพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้ารับแล้วก็ส่งให้พระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์  ไล่ไปเรื่อย....   จนถึงพระใหม่ชื่อพระอชิตะ  นั่งอยู่ท้ายแถว  ไม่รู้จะส่งต่อให้ใครก็ต้องรับไว้
พระนางปชาบดีโคตมีเสียใจ  นั่งร้องไห้เลย  พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสให้ฟังว่า  ถ้าท่านรับไว้เองก็จะเป็นเพียงปาฏิบุคลิกทาน  เป็นทานเฉพาะพระองค์  อานิสงส์จะน้อย  แต่ว่าที่ส่งให้ท่ามกลางสงฆ์  ผู้ที่เหมาะสมจะได้รับไป  คือถ้าใครรู้ตัวว่ามีจีวรเก่าก็รับไป  นั่นถือว่าเป็นสังฆทาน แล้วท่านก็ตรัสบอกไว้ว่า ทานที่ให้แก่สัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐  ครั้งไม่เท่ากับให้มนุษย์  ๑ ครั้ง   ให้แก่มนุษย์ ๑๐๐  ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้สมมติสงฆ์ ๑ ครั้ง    ไล่ไปเรื่อย...  จนกระทั่งถึง  ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐  ครั้ง ไม่เท่ากับถวายทานแก่พระพุทธเจ้า ๑  ครั้ง   ถวายทานแก่พระพุทธเจ้า  ๑๐๐  ครั้งไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง  
ประกอบกับพระพุทธเจ้าอยากแสดงอานุภาพของพระอชิตะให้ทุกคนทราบ  จึงอธิษฐานให้บาตรของพระองค์ท่านลอยหายเข้าไปในกลีบเมฆ  แล้วตรัสให้พระสารีบุตรไปค้นหา  พระสารีบุตรเหาะไปค้นหาก็ไม่เจอ  พระโมคคัลลาน์ก็ไม่เจอ ไล่ไปตามลำดับ...    จนกระทั่งถึงท้ายแถว  พระอชิตะออกไปยืน ไม่ได้เหาะไป  เพียงแต่ท่านอธิษฐานว่า  ถ้าหากท่านจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลจริง  ขอให้บาตรพระพุทธเจ้าลอยเข้ามาอยู่ในมือ     ปรากฏว่าบาตรลอยกลับมา แบมือรับเลย  เพราะพระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้แล้วว่าให้พระอชิตเถระเท่านั้นที่หาได้   เมื่อเป็นดังนั้นพระนางปชาบดีก็ร้องไห้อีกรอบ  คราวนี้ร้องไห้ด้วยความดีใจ  
พระอชิตะพอท่านรับผ้ามา  ท่านก็ไม่ได้ใช้เอง   ท่านเอาไปทำเป็นผ้าขึงเพดานหนึ่งผืนสำหรับพระพุทธเจ้า  และเป็นผ้าปูที่นอนหนึ่งผืน และก็อธิษฐานขอเข้าถึงพระโพธิญาณในอนาคตกาล   ช่วงที่ท่านเอ่ยปากขอให้การปรารถนาพระโพธิญาณนั้นสำเร็จ  ท่านบอกว่ามีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกจากเขี้ยวแก้วของท่าน  ปรากฏสว่างให้เห็นอยู่ทั่วไป    แสดงว่าทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นเพียงพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี  แต่กำลังของท่านสูงมหาศาลเลย
ภายหลังบรรดากษัตริย์ของศากยวงศ์   ออกบวชตามพระพุทธเจ้ามากต่อมากด้วยกัน  หญิงหม้ายเต็มปราสาทเลย  พระนางปชาบดีโคตมีก็พิจารณาเห็นว่าพระเจ้าสุทโธทนะ  พระราชสวามีก็สวรรคตแล้ว  พระนันทะกับพระนางรูปนันทา  ลูกชายลูกสาวก็บวชทั้งคู่แล้ว พระพุทธเจ้าที่ท่านตั้งใจถนอมกล่อมเกลี้ยงฟูมฟักมา  ยิ่งกว่าลูกของตัวเอง ก็บวชเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว  เพราะฉะนั้นเราควรจะบวชบ้าง  ก็เลยชวนบรรดานางสากิยานี  ก็คือบรรดาหญิงหม้ายที่สามีออกบวชหมด   บอกว่าให้ตามกันไปบวชดีกว่า  
ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าไม่อนุญาต  ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่อนุญาตท่านก็ยืนร้องไห้   พระอานนท์ท่านทราบความ ก็เลยเข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้า  พระอานนท์ท่านฉลาด  ท่านถามพระพุทธเจ้าว่าผู้หญิงบรรลุมรรคผลไม่ได้หรือ ?  พระพุทธเจ้าบอกว่าได้  พระอานนท์บอกว่าถ้าหากว่าได้ก็ควรจะให้บวช   พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าหากสตรีบวชเข้ามาในธรรมวินัยนี้  ศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ครบห้าพันปี  
พวกเราลองมานึกถึงปัจจุบันนี้ ผู้หญิงอยู่นอกวัด เขายังพยายามลากเข้าไปในวัด  แล้วนั่นอยู่ในวัดด้วยกันจะเกิดอะไรขึ้น ?  ถ้าหากเป็นภิกษุปุถุชน  ก็จะมีปัญหาใหญ่ให้เสื่อมเสียได้  พระอานนท์ก็อ้อนวอนว่าให้บวชเถอะ  เพราะว่าเป็นพระน้านางที่เลี้ยงพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เด็ก  จะได้เป็นการแสดงออกซึ่งกตัญญูที่มีต่อพระญาติ  และในเมื่อผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลได้  ก็ควรจะมีข้อห้ามเพื่อที่จะรักษาพระพุทธศาสนาได้เช่นกัน  พระพุทธเจ้าจึงให้พระอานนท์ไปทูลถามพระนางว่า  จะรับครุธรรม  ๘  ประการได้ไหม ?   ถ้าหากว่ารับได้ก็จะให้บวช
ครุธรรม  ๘  ประการ มีตั้งแต่ภิกษุณีแม้บวชเป็นร้อยปีก็ต้องไหว้ภิกษุที่เพิ่งบวชในวันนั้น    ภิกษุณีพึงฟังคำสั่งสอนของภิกษุเพียงฝ่ายเดียว  ไม่พึงสั่งสอนพระภิกษุ   ต้องบวชในสงฆ์ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นภิกษุณีได้ ฯลฯ   พระนางปชาบดีโคตมีท่านก็รับปากว่าทำได้   พระพุทธเจ้าก็ประทานการบวชให้   พระนางก็บรรลุมรรคผล อยู่จนอายุ  ๑๒๐   ปี   ไปทูลลาพระพุทธเจ้าขอปรินิพาน   
คราวนี้เรามาคิดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานตอนอายุ  ๘๐  พระนางปชาบดีโคตมีไปทูลลาปรินิพพานตอนอายุ  ๑๒๐  ตอนนั้นพระพุทธเจ้าอายุ  ๗๙  ถ้าอย่างนั้นพระนางปชาบดีโคตมีท่านอายุเท่าไรตอนพระพุทธเจ้าประสูติ ?  แล้วท่านเป็นน้องของพระนางสิริมหามายา  พระนางคลอดพระพุทธเจ้าตอนอายุเท่าไร ?  ตรงนี้คาใจมานาน ท้ายสุดไปค้นเจอในมธุรัตถวิลาสินี  อรรถกถาพุทธวงศ์  ท่านบอกเอาไว้ว่า  บุคคลผู้เป็นพุทธมารดาจะมีปกติตั้งครรภ์ตอนอายุ  ๔๐ - ๕๐  ปี   ถามว่าทำไมถึงต้องรอช้าขนาดนั้น  ก็เพราะว่าถ้าพระโพธิสัตว์ประสูติแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน  ๗  วัน เพราะฉะนั้น..ก็ให้พระมารดาอยู่นานหน่อย    ไม่อย่างนั้นอายุ  ๑๖  ตั้งท้อง คลอดเสร็จก็สวรรคตไปแล้ว  เบญจกัลยาณีแถมยังอิตถีลักษณะ  ๖๔  ประการ หายากขนาดนั้น เก็บไว้ดูนาน ๆ หน่อยเถอะ
พระครูธรรมธรเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน  ณ  บ้านอนุสาวรีย์
เดือนตุลาคม  ๒๕๕๑
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.