เถรี
14-02-2009, 10:09
เมื่อครู่ตอนเข้าห้องน้ำมีคนโทรศัพท์มา บอกว่าลูกชายหนีหายไปจากบ้าน ก็เลยรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้โลกเรา มันทำให้เราไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ไม่รู้ว่าคนอื่นจะฉุกใจคิดได้หรือเปล่า? ปัจจุบันนี้เราเผลอทำนั่นทำนี่ จนเวลาปฏิบัติของตัวเองแทบไม่มี ขนาดเข้าห้องน้ำจะสรงน้ำ ก็ยังมีคนโทรมา อาตมาก็รับไว้ก่อน
นึกถึงสมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายาย พอถึงเวลาก็ทำนา ทำนาเสร็จก็นอน บางคนก็จักรสาน บางคนก็หาปลา กว่าจะเกี่ยวข้าวได้ ต้องรอเดือน ๑๒ ไปแล้ว แปลว่ามีเวลาตั้งครึ่งค่อนปี แล้วเกี่ยวข้าวก็ไม่เกินเดือนก็หมดแล้ว ทีนี้ก็ต้องรอฝนเดือนหกหมดเมื่อไรค่อยเกี่ยวอีกที แปลว่าปีหนึ่งเขาทำงานประมาณสี่เดือน ไม่เกินกว่านั้น แล้วเวลาที่เหลือเขาก็ดูแลลูกหลาน คอยอบรมเด็ก ๆ แต่สมัยนี้มันไม่มี เพราะว่าทุกอย่างมันเร็วขึ้น เร่งรัดขึ้น ทำได้ง่ายขึ้น มันก็เลยชิงเวลาที่เราจะมีไปจนหมด ทำให้เราไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
อย่างเช่นเป็นลูกจ้างเขา แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นต้องเป็นเวลาของเขาแน่นอน เราก็จะเหลือเวลาส่วนตัวนิดเดียว และถ้ามีครอบครัว ตั้งแต่ตื่นมาจนถึงแปดโมงเช้า บางทีหัวปั่น ไหนจะหุงข้าว ไหนจะทำความสะอาดบ้าน ไหนจะซักผ้า เสร็จแล้วสี่โมงเย็นใช่ว่าจะถึงบ้าน ถ้าอยู่กรุงเทพนี่ ไม่ถึงบ้านรถมันติด กลับเข้าบ้านไป ต้องไปทำกับข้าวเองเสียเวลาไปอีกเยอะ
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมันเร่งรัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่มีสติรู้จักหยุดมัน มันจะเร็ว ๆ ขึ้นจนเราตั้งหลักไม่ได้ จนเราไหลตามกระแสไป แล้วท้ายสุดก็จะขาดหลักยึดทางใจ เมื่อขาดหลักยึดทางใจ ถึงเวลาเครียด ถึงเวลาฟุ้งซ่านขึ้นมา มีปัญหาแก้ไม่ตก ไปลงทีไหน ลงที่ครอบครัว อย่างเมื่อครู่พ่อลูกเขาทะเลาะกัน ลูกชายกำลังวัยรุ่นเผ่นออกจากบ้านไปแล้ว ก็เลยบอกน้องใจเย็น เดี๋ยวมันหิวข้าวมันก็มา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
นึกถึงสมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายาย พอถึงเวลาก็ทำนา ทำนาเสร็จก็นอน บางคนก็จักรสาน บางคนก็หาปลา กว่าจะเกี่ยวข้าวได้ ต้องรอเดือน ๑๒ ไปแล้ว แปลว่ามีเวลาตั้งครึ่งค่อนปี แล้วเกี่ยวข้าวก็ไม่เกินเดือนก็หมดแล้ว ทีนี้ก็ต้องรอฝนเดือนหกหมดเมื่อไรค่อยเกี่ยวอีกที แปลว่าปีหนึ่งเขาทำงานประมาณสี่เดือน ไม่เกินกว่านั้น แล้วเวลาที่เหลือเขาก็ดูแลลูกหลาน คอยอบรมเด็ก ๆ แต่สมัยนี้มันไม่มี เพราะว่าทุกอย่างมันเร็วขึ้น เร่งรัดขึ้น ทำได้ง่ายขึ้น มันก็เลยชิงเวลาที่เราจะมีไปจนหมด ทำให้เราไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
อย่างเช่นเป็นลูกจ้างเขา แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นต้องเป็นเวลาของเขาแน่นอน เราก็จะเหลือเวลาส่วนตัวนิดเดียว และถ้ามีครอบครัว ตั้งแต่ตื่นมาจนถึงแปดโมงเช้า บางทีหัวปั่น ไหนจะหุงข้าว ไหนจะทำความสะอาดบ้าน ไหนจะซักผ้า เสร็จแล้วสี่โมงเย็นใช่ว่าจะถึงบ้าน ถ้าอยู่กรุงเทพนี่ ไม่ถึงบ้านรถมันติด กลับเข้าบ้านไป ต้องไปทำกับข้าวเองเสียเวลาไปอีกเยอะ
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมันเร่งรัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่มีสติรู้จักหยุดมัน มันจะเร็ว ๆ ขึ้นจนเราตั้งหลักไม่ได้ จนเราไหลตามกระแสไป แล้วท้ายสุดก็จะขาดหลักยึดทางใจ เมื่อขาดหลักยึดทางใจ ถึงเวลาเครียด ถึงเวลาฟุ้งซ่านขึ้นมา มีปัญหาแก้ไม่ตก ไปลงทีไหน ลงที่ครอบครัว อย่างเมื่อครู่พ่อลูกเขาทะเลาะกัน ลูกชายกำลังวัยรุ่นเผ่นออกจากบ้านไปแล้ว ก็เลยบอกน้องใจเย็น เดี๋ยวมันหิวข้าวมันก็มา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๒