View Full Version : ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก
กระแสโลกนั้นแรงและเร็ว  ถ้าใครหลงเข้าไปในกระแสแล้วจะออกยาก  ปราชญ์โบราณเขาจึงได้บอกว่า ปิดตาไม่ดู  ปิดหูสองข้าง  ปิดปากเสียบ้าง  จะนั่งสบาย  รับอะไรเข้ามามากเกินก็จะเป็นโทษแก่ตัวเอง  ยิ่งรับโดยไม่รู้จักคิดพิจารณาด้วย ก็ยิ่งเป็นโทษมากขึ้น   เพราะว่าทันทีที่เรารับเข้ามา ก็จะเกิดการปรุงแต่งขึ้นมาว่า ชอบหรือไม่ชอบ  ชอบก็เป็นเรื่องของโลภะกับราคะ  ไม่ชอบก็เป็นเรื่องของโทสะกับโมหะ กิเลสกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง   ถ้าหากเราคิด ก็เป็นมโนกรรม  พูดขึ้นมา เชียร์ขึ้นมา ไม่ว่าจะข้างไหน (เสื้อแดง-เสื้อเหลือง)ก็เป็นวจีกรรม  แล้วถ้าลงมือเลยก็เป็นกายกรรมครบถ้วนสมบูรณ์   เขาหลอกให้เราสร้างกรรมอยู่ตลอด  ตราบใดที่เราสร้างกรรมอยู่ ตราบนั้นเราก็หลุดพ้นไม่ได้  
ถาม :  ทำใจให้เป็นกลางยากนะครับ เพราะโดนกรอกใส่หูมาทั้งวัน
ตอบ : ต้องรู้จักคิด "มิดีมิร้าย" แล้วก็จะเป็นกลางพอดี
ถาม : ในความหมายของผมไม่ใช่ครับ
ตอบ : ถ้าคิด"มิดีมิร้าย" ได้ ก็จะเป็นกลาง  เป็นอัพยากฤตธรรม  
เรามาดูว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่วุ่นวายระดับวิกฤต  มีธรรมะใดของพระพุทธเจ้าที่จะมาดับร้อนผ่อนเย็นได้บ้าง ? ก็เห็นสรรเสริญกันนักว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก  ไม่ขึ้นกับยุคสมัย เมื่อไรก็ใช้ได้  เพราะฉะนั้น..สถานการณ์อย่างนี้ก็ต้องใช้ได้  มีใครว่าควรจะใช้ธรรมใดมาแก้วิกฤตนี้ได้บ้าง ?  ลองซ้อมลับสมองหน่อยสิ... 
ถาม : อปริหานิยธรรม ?
ตอบ : อปริหานิยธรรม สามัคคีกัน  ถึงเวลาก็พร้อมเพรียงกันเดินขบวน ? 
ถาม : พรหมวิหาร  ๔  ตอบแบบกำปั้นทุบดินครับ
ตอบ :  พรหมวิหาร  ๔   ไม่กำปั้นทุบดิน  คือ ถ้าหากเรารักผู้อื่นเสมอเท่ากับตนเอง  เราก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา  เราไม่ต้องการความเดือดร้อนอย่างไร ก็ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขาเท่านั้น  ถ้าเราสงสาร  ไม่อยากเห็นเขาทุกข์ยากลำบาก ก็อย่าไปปิดถนนสิ   และถ้าหากเห็นว่าเขาได้เจ็ดหมื่นล้านก็หัดมุทิตาเสียบ้าง  ไม่ใช่ไปอิจฉาเขา  และท้ายสุด ต้องรู้จักวางอุเบกขาบ้าง  สิ่งที่เขาทำอยู่นั้น เป็นการสร้างกรรมให้กับตนเอง  กายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม มีผลทั้งสิ้น  มีผู้รู้เขาบอกว่า คนเรายิ่งพูดมากก็ยิ่งโกหกมาก  ถ้ายิ่งโกหกมากก็ยิ่งโดนจับได้ง่าย
ถาม : แล้วมโนกรรมนี่คิด..
ตอบ:  จะคิดดี คิดชั่ว ก็ส่งผลทั้งนั้น  คิดดีส่งผลด้านดี  คิดชั่วส่งผลด้านชั่ว เป็นมโนกรรม  จะว่าไปจริง ๆ แล้วธรรมะที่เหมาะกับยุคสมัย ต้องเริ่มที่ไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้า  ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในเบื้องต้น  เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง  สลายไปในที่สุด
ความใจร้อนใจเร็วตามสถานการณ์  ถ้าหากเอาตามหลักการค้าของจีน  พวกกู้จะเป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่มกิจการ   เราสังเกตดูคนจีนสมัยก่อน  รุ่นปู่  รุ่นทวด    เขามาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ  อดมื้อกินมื้อ  ค่อย ๆ  สะสมรายได้    พอมีรายได้พอสำหรับจะทำกิจการอะไรสักอย่างหนึ่ง  เขาก็เริ่มลงมือทำกิจการนั้น  สมัยโบราณเขาใช้คำว่าสู้แค่หน้าตัก  ก็คือตัวเองมีเท่าไรก็ลงทุนแค่นั้น  เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาเจ๊งก็เสมอตัว  ไม่มีหนี้  แต่สมัยนี้ไม่ใช่อย่างนั้น  สมัยนี้ใช้ระบบกู้หนี้มา  เป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงาน  จะว่าไปแล้วผิดหลักมากเลย   ในเมื่อเป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงาน  ทำแล้วได้มาก็ไม่ใช่ของเรา   
โดยเฉพาะเรามองในลักษณะ ๑+๑ = ๒ เพียงอย่างเดียว  เหมือนกับว่าเราทำเท่านี้ต้องได้เท่านี้   ถ้าหากทำสิบวันได้เท่านี้  ทำหนึ่งเดือนได้เท่านี้ ทำหนึ่งปีได้เท่านี้   แต่เราไม่ได้คิดว่า  ถ้าไม่ได้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ?  นั่นเป็นการมองโลกในแง่ดีอย่างเดียว  จริง ๆ แล้วไม่ว่าการทำกิจการอะไรก็ตาม  ถ้าหากว่าเริ่มกิจการต้องคิดในแง่ที่แย่ที่สุดไว้ก่อน  ว่าถ้าพลาดแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ? หรือถ้าเจ๊งเราจะแก้ไข จะดึงตรงไหนมาเสริม เอามาค้ำจุน ?  หรือว่าจะถอยไปสู่จุดไหน?   ถ้าสามารถหาคำตอบอย่างนี้ได้ ก็ทำกิจการได้  แต่ถ้าหาคำตอบตรงนี้ไม่ได้  ทำอะไรก็มีสิทธิ์เจ๊ง  
เราต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าท่านรู้จริง   พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง  เพราะฉะนั้น ๑+๑ = ๒ก็ ไม่ใช่เสมอไป  เพราะ  ๑.๕+๐.๕  =  ๒  เหมือนกัน  ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง เราจะคิดว่าทำเท่านี้ต่อวันได้เท่านี้  เดือนหนึ่งได้เท่านี้ ปีหนึ่งได้เท่านี้  โดยไม่ได้คิดถึงปัจจัยเสริมที่เข้ามา  พวกปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามา ทำให้เปลี่ยนแปลงไป  ทำให้ไม่เป็นตามที่เราคิด   ถึงได้บอกว่า ถ้าทำกิจการต้องคิดถึงในแง่ที่ร้ายที่สุด  
ถ้าใครอ่านเพชรพระอุมา พระเอกคือรพินทร์  ไพรวัลย์  เขาจะประเมินสถานการณ์ในด้านที่ร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน แล้วเตรียมการแก้ไข  เพราะฉะนั้น..เกิดอะไรขึ้นมา  ก็ไม่แย่ไปกว่าที่เขาคิดเตรียมเอาไว้  แล้วเขาจะรับมือได้ทุกอย่าง ดังนั้นว่า..ใครก็ตาม ถ้าหากว่ามีความอดทน  ค่อย ๆ เริ่มไปทีละน้อย  ฐานเขาจะแน่น  แต่ถ้าไม่มีความอดทน หวังรวยเร็ว  ต้องจับงานใหญ่ ก็ต้องกู้เงินเยอะ  หลักทรัพย์ค้ำประกันก็สูง  ถ้าพลาดแล้วจะไม่เหลืออะไรเลย
อย่าลืมว่าสมัยโบราณรุ่นปู่  รุ่นทวด  ที่เขาบอกว่าสู้แค่หน้าตัก ต่อให้เจ๊งขนาดไหนเขาก็ยังเท่าทุน  แต่สมัยนี้เป็นหนี้ตั้งแต่เริ่ม  พระพุทธเจ้าบอกว่า อิณาทานํ  ทุกขํ โลเก   การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก  เป็นโค-ตะ-ระ-ทุกข์ในโลกเลย  เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นอย่าเป็นหนี้ใคร โดยเฉพาะสันดานอย่างพวกเราอย่าให้ใครเป็นหนี้ด้วย  เพราะว่าพวกเราพอเป็นหนี้เขาก็อยากจะใช้คืน  อยู่ไม่สุขหรอก  หาความสุขไม่ได้...เครียด  แต่พอคนอื่นมาเป็นหนี้เรา มาหยิบยืมเรา  เราดันไม่กล้าทวงเขาอีก  ฉะนั้น..ท่องไว้ให้ขึ้นใจเลย   อย่าเป็นหนี้ใครและอย่าให้ใครเป็นหนี้เรา  เชื่อพระพุทธเจ้าท่านเถอะ  เป็นหนี้ทุกข์ที่สุดในโลกจริง ๆ
คราวนี้สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าเรามั่นใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไป   แต่ระยะเวลาและผลกระทบอาจจะมากหน่อย    กว่าจะดับก็ช้าหน่อย และแทนที่จะดับ หลายต่อหลายคนก็จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดต่อด้วย  ทุกคนล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลัง เขาบอกว่าทำเพื่อสถาบัน ทำเพื่อในหลวง ถ้าเราฟังสมเด็จพระเทพฯ ก็จะเห็นว่าท่านพูดชัดเจนมาก  ท่านให้สัมภาษณ์ข่าวต่างประเทศว่า "เขาทำเพื่อตัวเขาเอง"
ถ้าหากรักในหลวง  ในหลวงตั้งรัฐบาลไปเขาไม่ยอมรับ  เขารักจริงหรือเปล่า ?  และฝ่ายที่ตั้งไปก็ปฏิญาณต่อหน้าในหลวงว่า จะทำอย่างนั้นอย่างนี้  ยังไม่ทันจะทำเลยก็แย่งเก้าอี้กันแล้ว  ต่างประเทศอย่างอังกฤษ  เขามีแค่สองพรรค  อนุรักษ์นิยมกับประชาธิปไตย  ทั้งสองพรรคเขาทำงานร่วมกัน  ทันทีที่พรรคหนึ่งเข้าไปเป็นรัฐบาล  อีกพรรคหนึ่งจะตั้งคณะรัฐบาลเงาขึ้นมาทันทีเลย  ให้คนนี้เป็นนายกฯ  คนนี้เป็นรองนายก  คนนี้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย  คนนี้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ฯลฯ  เหมือนกับรัฐบาลทุกอย่างและทำงานร่วมกัน  ถึงเวลาประชุมสภา  ฝ่ายค้านประชุมด้วย    ถ้าฝ่ายค้านมีความคิดใดที่ดีกว่ามาเสนอ  รัฐบาลก็รับไปทำและให้เครดิตว่าเป็นความคิดของฝ่ายค้าน  ก็จะเป็นการสานต่อนโยบายหนุนเสริมกันตลอด บ้านเขาจึงเจริญ  ถ้ารัฐบาลมีอันต้องร่วงลงกระทันหัน ฝ่ายค้านเข้ามารับหน้าที่ทำได้เลย เพราะเขาทำงานตลอดเวลาอยู่แล้ว  ทุกคนที่บอกว่าเป็นรัฐมนตรีเงา  เขาก็ทำตัวเหมือนรัฐมนตรีจริง ๆ   รับรู้ขั้นตอนการบริหารทุกอย่างเพราะทำงานร่วมกัน  
แต่บ้านเราไม่มี  บ้านเรามีแต่เลื่อยขาเก้าอี้บ้าง แทงข้างหลังบ้าง สาดโคลนบ้าง  ดังนั้น..ประชาธิปไตยบ้านเราก็เลยกลายเป็นประชาธิปไตยน้ำเน่า  หาความเจริญได้ยาก แต่จะว่าไปแล้วต่างประเทศเขาใช้ระบบนี้มาก่อนหน้าเราเป็นร้อย ๆ  ปี  พัฒนาการของเขาก็เลยล้ำหน้าเราไป   บ้านเราถ้านับแล้วตั้งแต่ปี  ๒๔๗๕  เป็นต้นมา  มันก็เพิ่งขึ้นเป็นปีที่  ๗๖  ถามว่านานไหม ? นาน..แต่ถ้านับเป็นพัฒนาการของการเมือง ก็แค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น  ยังไม่นานเท่าไร เพราะบ้านเมืองเรายังไม่พร้อม 
 
รัชกาลที่  ๖  เยี่ยมมากเลย  ท่านค่อย ๆ สอดแนวคิดประชาธิปไตยให้ชาวบ้านรับรู้ไปทีละน้อย ๆ ออกหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิตให้ชาวบ้านวิจารณ์ได้  ท่านเองก็เขียนตอบ  สร้างดุสิตธานีขึ้นมาเพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย   รัชกาลที่ ๗ ก็รับช่วงขึ้นมา  ท่านรู้ว่ายังไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง ต้องบอกว่าคนไทยมีนิสัยขี้ข้ามานาน  ถ้าไม่มีคนจิกหัวใช้ก็ไปไม่เป็น  คิดเองไม่เป็น ทำเองไม่เป็น  รัชกาลที่  ๗  เกรงว่าตรงนี้คนไทยจะเอาตัวไม่รอด ก็เลยค่อย ๆ ขยับทีละน้อย ๆ แต่คณะราษฎร์ใจร้อน ถล่มพระองค์ท่านลงมาเสียก่อน  ตลอดเวลา  ๗๖  ปี  ประชาธิปไตยบ้านเราไม่เคยเต็มใบเลย  เพราะมีเผด็จการทหารแทรกขึ้นมาเป็นระยะ ๆ  แต่ละระยะยาวนานมาก  
 เพราะฉะนั้น...พัฒนาการจึงก้าวหน้าช้า แต่ไม่ใช่ว่าไม่ก้าวหน้าเลย  อย่างน้อย ๆ บ้านเรา การตรวจสอบของภาคประชาชนก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ  ต่อไปใครเป็นรัฐบาล  โอกาสที่จะไปงุบงิบโกงกินใครก็ยากขึ้น  แต่ว่าช้า  เราใจร้อนไม่ได้  ต้องให้ค่อยเป็นค่อยไปตามครรลองของเขา ถ้าหากทุกวันนี้ที่เขาเรียกร้องกันอยู่  เราลองมาคิดกันว่าประชาธิปไตยคืออะไร  โดยประชาชน เพื่อประชาชน แล้วปัจจุบันนี้คืออะไร ?  เสียงส่วนใหญ่เลือกนักการเมืองมาให้ทำหน้าที่ จะดีจะชั่วอย่างไรเราต้องยอมรับ    ถ้ามีความเป็นสุภาพบุรุษพอ  มีความใจกว้างพอ อีกสี่ปีค่อยว่ากันใหม่
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้ารับเข้ามา  แล้วไม่รู้จักคิดก็เครียด หรือคิดแล้ววางไม่ได้ก็เครียด  ถึงได้บอกว่า พวกเราให้ทำมาหากินตามปกติ การเมืองจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของการเมือง พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่าเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไป  ไม่มีอะไรอยู่ได้นานหรอก  ถ้าเราคิดอย่างนี้ได้ ก็ไม่ต้องไปเครียดกับใคร 
โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าของเราท่านเป็นสัพพัญญู รู้ทุกเรื่องจริง ๆ  พระพุทธเจ้าไม่เคยสรรเสริญระบบปกครองไหนว่าดี  ประชาธิปไตยที่เราสรรเสริญกันนักหนา ท่านก็ไม่ได้บอกว่าดี  แต่ท่านบอกว่า ถ้าปกครองโดยระบอบกษัตริย์  ต้องมีธรรมะก็คือ ทศพิธราชธรรม   จักรวรรดิวัตร  ราชสังคหะ  เป็นต้น  ถ้าปกครองโดยสามัคคีธรรมคือประชาธิปไตย ก็ต้องมีอปริหานิยธรรม เป็นต้น  เพราะท่านรู้ว่าระบอบต่อให้ดีแสนดี ถ้าคนชั่วเสียอย่างก็ไปไม่รอด  จึงต้องมีธรรมะมากำกับ  เพราะฉะนั้น..ทำอย่างไรที่กำลังใจของพวกเราจะอยู่กับธรรมะ  ถึงเวลาแล้วไม่เต้นไปตามเขา  เวลาฟัง ๆ แล้วรู้สึกเครียด เพราะข่าวที่กรอกหูอยู่ทุกวัน  จะว่าไปแล้วนักข่าวจะต้องเป็นกลาง   เป็นกลางยิ่งกว่ากลาง  คือเสนอข้อเท็จจริงตามสภาพที่เห็น  โดยไม่เอาอารมณ์ของตัวเองเข้าไปด้วย   ไม่ใช่ไปตัดสินให้เสร็จสรรพเลย  
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราเกิดขึ้นมาต้องประกอบไปด้วยปัญญา  ถ้าไม่มีปัญญาเอาตัวไม่รอดทั้งในสังคมและทั้งในกระแสโลก   ปัญญานั้นมี สุตมยปัญญา   ฟังมา  อ่านมา  ศึกษามา  จินตามยปัญญา  รู้จักคิดพลิกแพลงเอาไว้ใช้การ   ภาวนามยปัญญา   รู้แจ้งเห็นจริง ตามสภาพความเป็นจริงนั้น ๆ  
หรือไม่ท่านแยกอีกอย่างหนึ่งว่า  สหชาติกปัญญา  ปัญญาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด   รู้จักหาอาหาร รู้จักสืบพันธุ์   รู้จักกลัวภัย  ปาริหาริกปัญญา  ปัญญาที่เกิดจากการอบรม สั่งสมมาในปัจจุบัน   เนปักกปัญญา  ปัญญาที่ช่วยให้เอาตัวรอดจากวัฏสงสารได้  แล้วเราเอาไปกองไว้ที่ไหนหมดก็ไม่รู้ ?  เพราะเรามักจะให้อารมณ์นำหน้าเหตุผล  เลือกที่จะเชื่อ ขอใช้คำนี้   อะไรก็ตามที่ค้านความเชื่อเรา แม้จะเป็นความจริง  เราก็ไม่ค่อยยอมรับกัน  ตรงจุดนี้เป็นจุดบอดมากของนักปฏิบัติ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นความจริง   ถ้าเกิดว่าส่วนที่เราเลือกที่จะเชื่อนั้นเป็นปัญญาทางโลก แล้วส่วนที่เราละเลยเป็นปัญญาทางธรรม  ก็เป็นอันว่าชีวิตนี้ไม่ต้องเอาดีกัน  ท่านจึงได้บอกว่าทุกอย่างมีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน  ถึงเวลาสลายก็สลายไปในลักษณะเดียวกัน  รู้หนึ่งก็เหมือนรู้ทั้งหมด รู้ทั้งหมดก็เหมือนรู้หนึ่ง
ถ้าสติ สมาธิ ปัญญา ของเราอยู่เฉพาะหน้า  ก็ใช้ได้ทุกเรื่อง  ท่านจึงได้กล่าวว่า ทิฏฐธรรมมิกัตถประโยชน์  เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน  เมื่อจิตใจเรานิ่ง สงบ มีปัญญา  รู้พิจารณา ก็ไม่วุ่นวายเต้นไปตามเกมเขา  สัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ในภพต่อไป  ชาติต่อไป  ถ้าหากเรารักษากำลังใจได้ดี ตายแล้วต้องไปสุคติแน่นอน  และปรมัตถประโยชน์  ประโยชน์สูงสุด คือหลุดพ้นจากความทุกข์ได้  ท่านให้ประโยชน์ไว้ทุกระดับ  จึงได้กล่าวว่าถ้าสติ สมาธิ ปัญญาทรงตัวจริง ๆ  มีประโยชน์ตั้งแต่ต้นยันปลาย  เราลองมาวิเคราะห์ดูว่า ที่ผ่าน ๆ  มาเราใช้ไปเท่าไร ?    เขาบอกว่าเราใช้สมองไม่ถึง  ๒๐  เปอร์เซ็นต์ที่เรามีอยู่  ๒๐  เปอร์เซ็นต์ที่เขาให้นี่มากไปหรือเปล่า?  ต้องคิดให้ดี ๆ นะ   
ส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้หมอเขาบอกว่า เราใช้สมองด้านซ้ายมาก ซึ่งเป็นเรื่องของความจำ  ส่วนสมองด้านขวาซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์และเหตุผล  เราไม่ค่อยได้ใช้กัน  แม้กระทั่งเรื่องความจำเขาบอกว่าเราใช้ไม่ถึง  ๒๐  เปอร์เซ็นต์  ทำไมพระอานนท์จำพระวินัย พระสูตร  พระอภิธรรม ได้  ๘๔,๐๐ พระธรรมขันธ์ ?   
ลูกศิษย์รุ่นหลัง ๆ  ก็จำสืบเนื่องกันมา ๓๐๐ กว่าปีจึงจะมีการบันทึกเป็นตัวหนังสือ  แม้กระทั่งในปัจจุบันของเรา หลวงปู่วิจิตตะ สาราภิวังสะ  เป็นพระพม่า  น่าเสียดายว่ามรณภาพไปแล้ว  กินเนสส์บุ๊คบันทึกไว้ว่า เป็นมนุษย์ที่มีความจำยอดเยี่ยมที่สุด   สามารถจำพระไตรปิฎกได้  ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  เขาคิดเป็นหน้ากระดาษเอ ๔ ได้  ๑๖,๐๐๐  หน้า  ขอให้เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง  หลวงปู่บอกได้เลยว่าคำต่อไปคืออะไร  คำก่อนหน้าคืออะไร  ยิ่งกว่าค้นคอมพิวเตอร์อีกนะ  คอมพิวเตอร์ยังไม่เก่งขนาดนั้น เพราะเวลาค้นจากคอมฯ จะให้ข้อมูลออกมายาวเลยว่าจะเลือกอันไหน   แต่ของหลวงปู่สามารถฟันธงได้เลย  เขาทดสอบจนกระทั่งยอมรับว่า ท่านเป็นมนุษย์ที่ความจำเลิศที่สุด  นี่แค่รุ่นเรา ๆ  เท่านั้นเอง   แล้วเรามานึกดูว่า  ๒๐  เปอร์เซ็นต์ที่เขาว่า เราได้ใช้ครบแล้วหรือ ?  ปัจจุบันเราให้เครื่องจำแทนเราบ่อย...อันตราย  ถ้าเครื่องพังเมื่อไร  เราจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหัวเลย  
พระครูธรรมธรเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน  ณ  บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่  ๑   พฤศจิกายน  ๒๕๕๑
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.