PDA

View Full Version : หลวงปู่ครูบาธรรมชัย แห่งวัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ กับความลี้ลับของป่า


ชินเชาวน์
20-12-2009, 00:16
http://i398.photobucket.com/albums/pp69/tidtou/7955dd2d.jpg

ครูบาธรรมชัย นามเดิมว่า "กองแก้ว เมืองศักดิ์" เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ตรงกับเดือน ๙ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีขาล
ทางเหนือเรียกว่าปีกาบยี่ ร.ศ. ๑๓๓ จุลศักราช ๑๒๗๖

เป็นบุตรชายของนาย "สุจา" หรือ หนานพรหมเสน มารดาชื่อนางคำป้อ
หนูน้อยกองแก้ว เมืองศักดิ์ ถือกำเนิดที่หมู่บ้านสันป่าสัก หมู่ที่ ๖ ตำบลป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน
หนานพรหมเสนกับนางคำป้อ มีอาชีพแพทย์แผนโบราณและช่างไม้ ทำนาทำสวน

หนูน้อยกองแก้วเคารพบูชาในบิดามารดามาก เชื่อฟังคำสั่งสอนอยู่ในโอวาทของบุพการีอย่างเคร่งครัด เป็นเด็กผู้มีจริตนิสัยพูดจริงทำจริง สนใจข้อธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพทธเจ้า เล่าเรียนเขียนอ่านสิ่งใดที่เกี่ยวข้องไปถึงหลักธรรมจะชุ่มเย็นในดวงจิต จึงเป็นเด็กที่ชอบเข้าวัดเข้าวามาตั้งแต่ยังเล็ก หนูน้อยกองแก้วเป็นเด็กรูปงามตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย ผิวขาวสะอาด นิสัยใจคอเยือกเย็น ไม่รุ่มร้อนขี้โมโห เอาแต่ใจตนเองเช่นเด็กรุ่นเดียวกัน วาจาไพเราะอ่อนหวานเป็นที่พึงพอใจของผู้หลักผู้ใหญ่

ชินเชาวน์
20-12-2009, 08:01
คำว่า "หนาน" หมายถึงผู้ที่สึกจากพระภิกษุ เหมือนกับภาษาภาคอีสานและภาษาภาคกลางว่า "ทิด" ส่วนผู้ที่สึกจากการบวชเป็นสามเณร ทางภาคเหนือเรียกว่า "น้อย" ทางภาคอีสานเรียกว่า "เซียงน้อย"

บิดาของหนูน้อยกองแก้ว มีผู้เรียกว่า "พ่อหนาน” หรือ "หนานพรหมเสน" ก็เพราะเคยบวชเรียนมาก่อนแล้วนั่นเอง ความรอบรู้ในข้ออรรถข้อธรรมในสมัยที่เป็นพระภิกษุ จึงถูกนำมาใช้อบรมสั่งสอนกุลบุตรทุกคน ในจำนวนพี่น้องทั้ง ๗ คนของหนูน้อยกองแก้ว ให้เคารพเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย

เรียนจบชั้นประถมปีที่ ๓ อายุ ๑๕ ปี หนูน้อยกองแก้วได้เข้าอบรมเป็นศิษย์วัดสันป่าสักอยู่ ๓ เดือน หัดท่องเรียนเขียนอ่านอักขระพื้นเมืองทางเหนือ เรียนสวดมนต์ รู้สิกขาของสามเณร จากนั้นจึงบวชเป็นสามเณรที่วัด"แม่สารบ้านตอง" มีเจ้าอธิการคำมูล ธมฺมวํโส เป็นพระอุปัชฌาย์

เป็นสามเณรได้หนึ่งพรรษา สามเณรกองแก้วใส่ใจในการปฏิบัติจิตเจริญกรรมฐานเป็นพิเศษ มีจุดประสงค์แน่วแน่อยู่เสมอมา เกี่ยวกับการเดินธุดงค์เข้าสู่ป่าเขาลำเนาไพร เฉกเช่นพระสงฆ์องค์ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่บวชเรียนแล้วนิยมจาริกธุดงค์เข้าสู่ไพรลึกเถื่อนถ้ำดงกันดาร บำเพ็ญตบะธรรมมุ่งหวังให้จิตบรรลุลึงธรรมวิเศษ

ชินเชาวน์
20-12-2009, 21:44
ถึงเป็นเพียงสามเณร ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้บวชอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา ควรเอาเยี่ยงพระผู้ใส่ใจในการปฏิบัติ ออกปลีกวิเวกแสวงหาธรรมวิเศษดูบ้าง

เมื่อตริตรองจนแน่ใจในความปรารถนาของตนเองแล้ว สามเณรน้อยจึงเข้าไปกราบนมัสการท่านเจ้าอาวาส ขอลาไปบำเพ็ญเพียรในป่าเขาลำเนาไพรสักหนึ่งพรรษา

ท่านสมภารตกใจเมื่อเณรน้อยอายุเยาว์ ดำริถึงขนาดขอออกท่องธุดงค์ ทั้งที่พรรษายังน้อยนิด ข้ออรรถข้อธรรมอันลึกซึ้งยังไม่ประสีประสา ข้อวัตรปฏิบัติของพระธุดงค์ยังไม่แม่นยำเพียงพอ ขืนบุกป่าฝ่าดงไปตามลำพัง จะมีอันตรายร้ายแรง ป่าเขาในยุคกระโน้นส่วนมากยังเป็นป่าดงดิบ มีอันตรายทั้งจากสัตว์ป่าดุร้าย เช่น เสือ สิงห์ กระทิง แรด และยังมีภัยมืดอันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ารออยู่ แค่ก้าวแรกที่เหยียบย่างสู่ป่า ย่อมจะเผชิญอาถรรพ์ลี้ลับอันแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้า

ชินเชาวน์
21-12-2009, 21:39
พระภิกษุผู้เจริญสมณธรรมมาบ้างแล้ว แต่ไม่เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติ ขณะเดินธุดงค์อยู่ในป่าเปลี่ยววิเวกวังเวง ยังเจอดี ปรากฏว่าพบภูตผีปีศาจโผล่จากสุมทุมพุ่มไม้ หลอกหลอนด้วยวิธีการอันน่าสยองขวัญต่าง ๆ นานา ถ้าคุมสติไม่อยู่ อย่างน้อยจะตกใจถึงกับวิ่งจีวรปลิวว่อน อย่างหนักหากไม่ตายอยู่กลางป่าก็คางเหลืองไปตาม ๆ กัน ท่านสมภารจึงห้ามปรามเณรน้อย

แต่สามเณรกองแก้วยืนกรานขอออกท่องธุดงค์ โดยสละสิ้นซึ่งอัตภาพร่างกาย ท่านสมภารเจ้าอาวาสอ่อนอกอ่อนใจ เห็นว่าการขัดศรัทธาของผู้แน่วแน่ในการบำเพ็ญเพียร จะเป็นการหาบาปกรรมใส่ตน จึงยอมอนุญาต แต่พร่ำสอนข้อวัตรปฏิบัติหลายเที่ยวหลายหนด้วยความรักใคร่เอ็นดู

สามเณรน้อยจึงกราบลาด้วยจิตโสมนัสยินดี...

ขณะก้าวเท้าออกจากประตูวัดวาอาราม สามเณรกองแก้วมีเพียงบริขารเท่าที่จำเป็นในการจาริกธุดงค์คือ สบง จีวร และบาตร

สำหรับ กลด ไม่มีเพราะไม่ปรารถนาจะแบกกลดให้เป็นภาระหนัก คิดจะอาศัยนั่งนอนและพักผ่อนตามโคนไม้ เถื่อนถ้ำ ชะง่อนหิน อาศัยธรรมชาติแบบทำตนให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติในขุนเขาลำเนาไพร

ยุงป่ามีภัยร้ายกาจก็ยินดีให้พวกมันดูดเลือดแก้กระหายหิว ทากป่าจะเกาะสูบเลือดบ้างก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของมัน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวในการแสวงหาธรรมอันเป็นคุณวิเศษ ไม่อาศัยในสังขารอันเป็นอนิจจัง

ถึงกระนั้นบาตรยังจำเป็นต้องมีเพื่อหาอาหารมาหล่อเลี้ยงชีวิต เพิ่งออกแสวงหาธรรมวิเศษยังไม่ทันเจอธรรมสักประการ จะมาทิ้งชีวิตเสียง่าย ๆ ก็ดูกระไรอยู่

ชินเชาวน์
22-12-2009, 23:01
จากประตูวัด สามเณรเดินจาริกธุดงค์โดยไม่มีที่หมายตายตัว

ผ่านดงอันรกชัฏและต้นไม้สูงใหญ่ไปตามลำตับ สิ่งเดียวที่เหมือนเพื่อนร่วมเดินคือเสียงฝีเท้าที่ย่ำกรอบแกรบไปบนเศษกิ่งไม้ใบหญ้าแห้ง กำหนดให้จิตอยู่กับกาย กายอยู่กับจิต ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงทุกสรรพสิ่งอันแวดล้อมไปด้วยความแปลกใหม่และสงบงันอย่างไม่เคยเจอ

เดินท่องไปจนกระทั่งถึง "ป่าห้วยดิบ"

บังเอิญมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเที่ยวเสาะหาของป่าอยู่ พบสามเณรน้อยท่องธุดงค์เพียงลำพังผู้เดียว ชายผู้นั้นตกอกตกใจเพราะคาดไม่ถึง ทีแรกเข้าใจว่าสามเณรเดินพลัดหลงอยู่กลางป่า เมื่อรู้ว่าสามเณรน้อยมีเจตนาออกแสวงวิเวกเยี่ยงพระภิกษุผู้มีธุดงค์เป็นวัตร ชายวัยกลางคนยิ่งอกสั่นขวัญหายแทน

ชินเชาวน์
23-12-2009, 20:22
เขากล่าวตักเตือนให้ตระหนักถึงภยันตรายอันน่าพรั่นสะพรึง ซึ่งคือ เสือเย็น ที่ผู้คนในแถบถิ่นนี้แค่ได้ยินชื่อก็ขนหัวลุกชัน

สามเณรน้อยไม่เข้าใจถึงเรื่องเสือเย็นคืออะไร จึงถามชายวัยกลางคนไปตามประสาซื่อ

ชายวัยกลางคนสาธยายให้รู้โดยละเอียด

เรื่องลี้ลับในป่าดงดิบ นอกจากเจ้าป่าเจ้าเขา ผีสางนางไม้ และเปรตอสุรกาย อันน่าครั่นคร้ามแล้ว ในแวดวงป่าดงดิบยังมีไสยเวทย์มนต์ดำที่ผู้ฝักใฝ่ในด้านดิรัจฉานวิชา ศึกษากันอยู่อย่างคร่ำเคร่ง เมื่อศึกษาโดยรู้ไม่ถ่องแท้ของหลักวิชาดั้งเดิม นานเข้าจึงกลายเป็นผู้ร้อนวิชา กลายเป็นปอบ เป็นกระสือ เป็นกระหัง ออกเที่ยวทำอันตรายต่อผู้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องมาล้มตายไปโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ คือตายโดยไม่รู้ว่ามีสิ่งใดมาทำให้เสียชีวิต

ยังมีเสือโคร่งเจ้าป่า เมื่อจับคนไปกินเป็นภักษาหารมากเข้า วิญญาณอาฆาตของผู้ตายจะสุมหัวกัน เข้าสิงสู่อยู่ในร่างเจ้าป่า เปลี่ยนจากเสือดุร้ายอำมหิตสามัญธรรมดา กลายเป็น เสือสมิง

เมื่อเป็นเสือสมิง เท่ากับเป็นสัตว์ดุร้าย แถมยังมีวิญญาณผีผู้มีความคิดแยบยลเป็นมันสมอง วิญญาณร้ายผู้เจ็บแค้นอาฆาต จึงสามารถทำให้เสือสมิงจำแลงแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างมหัศจรรย์ มีกลอุบายสารพัด หลอกล่อเอาพรานป่าและนักนิยมไพรไปกินเป็นอาหารเสียนักต่อนัก พรานป่าและนักนิยมไพร ก็จะกลายเป็นวิญญาณร้ายสิงสู่อยู่ในร่างเสือสมิงเข้าไปอีก นานเข้าก็กลายเป็นเสือมีอภินิหาร อันยากแก่การกำราบปราบปราม

ชินเชาวน์
24-12-2009, 21:07
แต่ "เสือเย็น" ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเสือสมิง เพราะอุบัติไปจากผู้ศึกษาไสยเวทย์จนเข้มขลังแก่กล้า ร่ายเวทย์คาถาอาคมจำแลงแปลงร่างจากมนุษย์กลายเป็นเสือโคร่งเจ้าป่า เรียกว่า "เสือเย็น" เมื่อเสือเย็นคือ ผู้ทรงศักดาภินิหารทางคุณไสย ถึงขั้นสุดยอดแปลงร่างได้ พลังอำนาจคาถาอาคมย่อมอยู่ร่างพร้อมมูล นำออกมาใช้เมื่อไหร่ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ผู้กำราบเสือเย็นจำจะต้องเรืองวิชาทางไสยเวทย์มนต์ดำยิ่งไปกว่า แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อผู้จำแลงแปลงร่างเป็น เสือเย็น ถึงจุดสุดยอดของอาคมขลังเสียแล้ว การจำแลงจากร่างมนุษย์เป็นร่างเสือคือสุดยอดของหลักวิชานั่นเอง

ร้ายไปกว่านั้นคือ เสือเย็นที่ได้ลิ้มรสเลือดสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควายหรือสัตว์ใหญ่ในป่าอื่น ๆ จะเป็นการเสริมพลังอำนาจในแนวทางของดิรัจฉานวิชา เสือเย็นจะทวีพลังอำนาจมากขึ้นกลายเป็น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัวได้ ภยันตรายสุดขีดคือ เสือเย็นไปกินมนุษย์ด้วยกัน อำนาจเวทย์จะถึงขั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในป่าดงดิบ มีเพียงพระอริยสงฆ์ผู้สำเร็จธรรมวิเศษเท่านั้นที่จะสยบฤทธิ์ของเสือเย็นให้พ่ายแพ้ราบคาบ

เวลานี้ "เสือเย็น" ตัวหนึ่งกำลังออกอาละวาดหากินอยู่กลางป่า ผู้หนีรอดกรงเล็บของมันมาได้หวุดหวิดเล่าว่า เสือเย็นมีขนาดเท่าควายวัยฉกรรจ์ล่ำสันกำยำ แต่คล่องเยี่ยงพญาเสือเจ้าป่า เป็นเสือที่เกิดจาก "ตุ๊เจ้า" หรือพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่งซึ่งร่ำเรียนวิชาทางไสยศาสตร์จนวิชาแก่กล้า เกิดร้อนวิชาจำแลงแปลงกายเป็นเสือ

ชินเชาวน์
25-12-2009, 22:31
เมื่อกลายเป็นเสือตัวใหญ่มหึมาเท่าควายเปลี่ยว จึงจับวัวควายของชาวบ้านคาบไปกินได้อย่างสบาย เพียงงับเข้าที่ก้านคอวัวควาย สะบัดหัวให้ร่างที่ลำคอแหลกยับคาคมเขี้ยวลอยขึ้นไปพาดบนหลัง มันก็โจนทะยานเอาไปนอนแทะซากวัวควายกินอยู่ภายในป่า ใครก็ไม่กล้าออกติดตามไล่ล่า เพราะเสือเย็นตัวใหญ่มหึมาและคล่องแคล่วเคลื่อนไหวได้รวดเร็วปานลมพัด

เวลาผ่านไปมีชาวบ้านออกไปหาของป่า เช่น สมุนไพร เศษฟืน เจอเสือเย็นกลางป่าที่ดักรออยู่ พวกชาวบ้านป่าถูกเสือเกิดจากอาคมตนนี้คาบไปกินหลายรายแล้ว

ชายวัยกลางคนขอให้สามเณรรีบย้อนกลับไปเข้าวัดโดยเร็ว ขืนท่องตระเวนอยู่ในดงดิบมีหวังประจัญหน้ากับเสือเย็นอันน่าพรั่นพรึง กลายเป็นอาหารอันโอชะของมันเสียเปล่าไม่เข้าการ

สามเณรกองแก้วไม่นึกหวาดกลัวเสือเย็นที่ได้รับคำบอกเล่าแม้แต่น้อย ชี้แจงให้ชายวัยกลางคนผู้นั้นฟังว่า

"คนเราเกิดมายากดีมีจนเช่นไร ยามมีชีวิตต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพกันต่าง ๆ นานา วาระสุดท้ายคือตายทิ้งสังขารไปเหมือนกันหมด อาตมาเป็นสามเณร ถือว่าเกิดมาในชาตินี้มีบุญกุศลเกื้อหนุน ได้บวชในบวรพุทธศาสนา จึงยอมสละซึ่งอัตภาพสังขารเพื่อปฏิบัติบำเพ็ญเพียรให้รู้แจ้งเห็นจริง อุทิศชีวิตแล้วเพื่อแสวงหาธรรมชั้นสูงอันหาได้ยากในบ้านในเมือง เสือเย็นหากเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของอาตมา หนีอย่างไรก็คงหนีกันไม่พ้น อาตมาประสงค์จะบำเพ็ญตบะธรรมโดยไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะผู้ชักช้ารีรอถือว่าเป็นผู้ตั้งตนอยู่บนความประมาท"

ชินเชาวน์
26-12-2009, 22:19
ปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรวบรวมหลักธรรมคำสอนตลอด ๔๕ พรรษา รวมเป็นจุดใหญ่ใจความเดียวคือ "ความไม่ประมาท" พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า
"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราตถาคตเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ว่า สังขารย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ให้สมบูรณ์พร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"

"อาตมาเห็นคุณของพุทธโอวาทแห่งพระบรมศาสดา เรื่องเสือเย็นจึงไม่นึกเกรงกลัวแม้แต่สักนิดเดียว"

ชายชาวป่าเห็นความแกล้วกล้าอาจหาญของสามเณรน้อย นึกเลื่อมใสศรัทธาเป็นล้นพ้น ยกสองมือไหว้ท่วมหัว สรรเสริญสามเณรน้อยว่าเป็นผู้แน่วแน่ในพระสัทธรรม ยากยิ่งที่จะพบในสามเณรทั่วทั้งแผ่นดิน

กล่าวจบชายวัยกลางคนก็นมัสการลาสามเณรกองแก้วไปตามทางของตน

ป่าห้วยดิบจึงเหลือสามเณรเพียงลำพัง

เมื่อก้าวเดินไปพบทำเลเหมาะสม ใต้โคนไม้ใหญ่กิ่งใบดกร่มรื่นดูเย็นสบาย เป็นสถานที่อันสัปปายะ จึงตกลงใจถือเป็นที่พักอาศัย นั่งเจริญสมาธิและเดินจงกรม

คืนแรกในป่าห้วยดิบ

สามเณรนั่งสงบขัดสมาธิเจริญภาวนา ธรรมชาติของป่าลึกยามกลางค่ำกลางคืนดูวิเวกวังเวง น่าพรั่นพรึงทั้งที่อันตรายยังไม่ปรากฏ ผู้ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในป่าใหญ่ หลงพลัดมาอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวจะนึกเห็นไปเองสารพัด ทั้งที่อันตรายจริงยังมาไม่ถึง แต่สามเณรน้อยจิตตั้งมั่นตามแนวทางพระธุดงค์แท้ ความครั่นคร้ามเรื่องสิ่งแวดล้อมมืดทะมึนไม่มีเลย ผู้กล้าสละแม้แต่ชีวิตเท่านั้นจึงเผชิญหน้าได้ทุกสภาพที่มีอยู่ในป่า อันเป็นการพิสูจน์ศรัทธาที่ตนเองมีในธรรมะของพระพุทธศาสนา เมื่อจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ธรรมวิเศษย่อมรออยู่เบื้องหน้า ไม่ช้าก็เร็วต้องดำเนินไปถึง

ชินเชาวน์
27-12-2009, 22:09
อุปสรรคประการเดียวที่สามเณรน้อยประสบในคืนแรกนั้นคือ "ถีนมิทธะ" ความง่วงเหงาหาวนอน และ "อุทธัจจะกุกกุจจะ" ความฟุ้งซ่านในอารมณ์ เพราะตอนอยู่ในวัดมีเพื่อนข้างกุฏิพอทักกันให้คลายเหงาหายง่วง

ซึ่งทั้งสองประการนั้นเป็นสิ่งกีดกั้นความดีมิให้บังเกิดขึ้น เรียกว่า "นิวรณ์" คอยรบกวนจิตไม่ให้รวมตัวถึงซึ่งความสงบได้

หนทางแก้ความง่วงเหงาหาวนอนคือลุกเดินจงกรม แล้วย้อนกลับลงนั่งหลับไปงีบหนึ่งก็พอดีสว่าง ตลอดคืนไม่มีสัตว์ร้ายใด ๆ มาแผ้วพาน

ก่อนออกไปเที่ยวบิณฑบาตได้อาบน้ำในลำห้วยพอสดชื่น ที่หมู่บ้านในป่ามีศรัทธาญาติโยมใส่บาตรได้อาหารตามสมควรพออิ่ม ยังชีพให้ดำรงอยู่ได้ไม่เดือดร้อน หากไม่ยึดติดในรสชาติของอาหารเหล่านั้น

ขณะสามเณรฉันอาหารในบาตรอยู่ที่โคนไม้ใหญ่ สังเกตพบพื้นดินข้างที่นั่งมีรอยบุ๋มลึกลงไป พิจารณาประเดี๋ยวเดียวต้องสะดุ้งใจ เมื่อเห็นถนัดว่าเป็นรอยตีนเสือใหญ่หวิดเท่าชามข้าว จึงลุกขึ้นเดินทอดสายตามองพื้นดินรอบบริเวณ พบรอยตีนเสือเหยียบย่ำไปรอบโคนไม้ใหญ่ เป็นรอยใหม่ ๆ ยังไม่มีเศษผลธุลีลงไปเกลื่อนอยู่ แสดงแน่ชัดว่าตอนสามเณรเดินเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน มีเสือขนาดมหึมาชนิดไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า เสือเมืองไหนมีรอยตีนใหญ่ถึงเพียงนี้ เสือตัวนั้นกำลังกระสากลิ่นมนุษย์

ชินเชาวน์
28-12-2009, 20:48
พอรู้ว่ามีเสือตัวมหึมา เข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในสถานที่บำเพ็ญเพียร สามเณรซึ่งตั้งจิตแน่วแน่ว่า จะยอมตายเพื่อแลกกับคุณวิเศษ รู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ตบะเสือจ้าวป่าคือสิ่งซึ่งสะกดป่าทั้งป่าให้สยดสยองหวาดกลัว สามเณรน้อยใจสั่นหวั่นไหว กลัวจนตัวสั่นไปชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อตั้งสติได้จึงนึกตำหนิตนเอง เพิ่งบอกกับชายผู้หวังดีว่าไม่เกรงแม้กระทั่งความตาย เพียงพบรอยตีนเสือเท่านั้น เสือตัวจริงยังไม่เห็นแม้แต่เงา ก็หวาดเสียว ครั่นคร้ามต่อความตายที่จะมาเยือนเสียแล้ว

สามเณรกองแก้วย้อนกลับไปนั่งลงที่โคนไม้ใหญ่ตามเดิม ระลึกถึงพระสัทธรรมอันสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

พระศาสดาให้พึงระลึกถึง "มหาสติปัฏฐาน ๔" ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไปอยู่กลางป่า อยู่โคนไม้ใหญ่ ไปอยู่เรือนร้างว่างเปล่า ภิกษุนั้นพึงดำรงสติมั่น พิจารณากายในกายหนึ่ง พิจารณาเวทนาในเวทนาหนึ่ง พิจารณาจิตใจจิตหนึ่ง พิจารณาธรรมในธรรมหนึ่ง ภิกษุนั้นจักพ้นเสียซึ่งความหวาดเสียว ความกลัว ฯลฯ

ชินเชาวน์
29-12-2009, 21:02
สามเณรน้อยเริ่มพิจารณาร่างกายของตนเป็นปฐม ที่เรียกว่าพิจารณา ขันธ์ ๕ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พิจารณาทบทวนย้อนกลับไปกลับมาให้ถ่องแท้ว่า ร่างกายนี้มิใช่ของเรา ร่างกายเป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ มาประกอบกันคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ รวม ๔ ธาตุ จึงกลายเป็นเรือนร่าง ผู้สร้างเรือนร่างนี้คือผู้มีนามว่า ตัณหากิเลส

ตัวเรานี้คือ "จิต" หรือ อทิสมานกาย ลอยมาด้วยกำหนดกฏแห่งกรรม เข้าเกาะกุมพักพิงอยู่อาศัยในเรือนร่างนี้ชั่วคราว เราไม่สามารถบังคับบัญชาร่างกายนี้ได้ดังใจเลย ไม่สามารถสั่งว่า ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้แก่ ฯลฯ

เรือนร่างนี้แท้ที่จริงคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันอยากป่วย มันก็ป่วย มันอยากเจ็บ มันก็เจ็บ มันอยากตาย มันก็ตาย ไม่มีทางไปยับยั้งหรือขอร้องอะไรมันได้

เมื่อตายไปแล้ว กิเลสตัณหาก็สร้างเรือนร่างขึ้นมาใหม่ ดีไม่ดีกิเลสตัณหาพาไปสู่นรก จากนรกมาเกิดเป็นเปรต อสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่พบ

ถ้าต้องการพบความสุข พึงกำจัดกิเลสตัณหาให้เด็ดขาด ไม่ให้มันมีอำนาจบังคับบัญชาจิต ต้องไม่ยินดีในเรือนร่าง คือกายเนื้อที่กิเลสสร้างให้พักอาศัย

พึงระลึกถึงความจริงว่า เรือนร่างนี้เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล มีสิ่งที่เรียกว่า "ขี้" ทั้งภายนอกภายใน เช่น ขี้มูก ขี้ตา ฯลฯ เป็นต้น
เมื่อรู้สภาพความเป็นจริง ไม่ใช่รู้แล้วก็รู้เฉย ๆ เห็นสิ่งสวยสดงดงาม เช่น สตรีมายืนเปลือยเปล่า เห็นทรวดทรงองค์เอวอรชรอ้อนแอ้น ก็ลืมว่ามีขี้แอบแฝงอยู่ในความงามนั้น ต้องตัดขาดจากกองกิเลสอาสวะให้เบ็ดเสร็จเด็ดเดี่ยว เมื่อนั้นย่อมพบคุณวิเศษที่น่ามหัศจรรย์

สามเณรกองแก้วพิจารณากลับไปกลับมาพอควร ปรากฏเป็นอัศจรรย์ว่าจิตรวมตัวเป็นสมาธิอย่างแน่วนิ่งดิ่งตรง ไม่ซัดส่ายไปมาอย่างตอนเริ่มหวาดกลัวเสือทีแรก

ลืมเรื่องเสือตัวใหญ่มหึมา ลืมสิ้นทุกสรรพสิ่ง

จิตเริ่มคลายออกจากสมาธิมารับรู้อารมณ์ภายนอกอีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลาเย็นย่ำสนธยา อาทิตย์อัสดงใกล้ลาลับพื้นพสุธา
ดำรงอยู่ในเอกะจิต ๘ ชั่วโมงเต็ม

สามเณรน้อยจึงลุกจากโคนไม้ใหญ่ เปลี่ยนอิริยาบถเดินไปยังลำห้วยที่มีน้ำใสสะอาดปานแผ่นกระจกใส เพื่อชำระล้างร่างกาย
ทันใดนั้นเอง...

ชินเชาวน์
29-12-2009, 22:41
สามเณรน้อยตกตะลึงพรึงเพริดยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ก้าวขาไม่ออก เบื้องหน้าที่ลำห้วย เสือใหญ่ขนาดมหึมาก้มหน้าเลียน้ำอยู่อย่างเงียบเชียบ

เป็นเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่เท่าควายกำลังฉกรรจ์ เมื่อกินน้ำเสร็จจึงเงยหัวขึ้นเพ่งมองสามเณรเขม็งนิ่ง หัวเสือใหญ่เท่ากระบุง ดวงตาสีเหลืองเข้มลุกวาวเจิดจ้าเหมือนสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

ชะรอยจะเป็น เสือเย็น ที่ชาวบ้านร่ำลือกันด้วยความอกสั่นขวัญแขวน เณรน้อยขนลุกเกรียว มองไม่เห็นทางใดที่จะเอาชีวิตรอดไปได้ ชายวัยกลางคนเคยบอกให้ฟัง จำได้ไม่ลืมเลือนว่ามันว่องไวปานลมพัด

ไม่ทันที่สามเณรจะขยับตัวจากที่เดิม เสีอโคร่งยักษ์แสยะแยกเห็นเขี้ยวยาวเกือบคืบขาววับ มีเสียงคำรามประหนึ่งป่าแตกด้วยอำนาจจ้าวป่า ย่อตัวก่อนโถมทะยานเข้าตะครุบสามเณรกองแก้ว

เณรน้อยตกใจจนเข่าอ่อนยวบ หงายผลึ่งลงไปนอนกับพื้นดิน กรงเล็บคมกริบเหมือนเงื้อมมือมฤตยูตะกุยถาก ร่างทะมึนของพญาเสือโคร่งลอยข้ามไปอย่างหวุดหวิด..!

สามเณรขวัญหายนึกว่าตายจากโลกไปแล้ว นอนเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ตรงนั้น ปล่อยทุกอย่างไปตามบุญตามกรรม เชี่อแน่ว่าจะอย่างไรก็ไม่พ้นที่จะตกเป็นอาหารอันโอชะของเสือเย็นผู้อำมหิต

แต่ความมหัศจรรย์อุบัติขึ้นในเพลานั้น

ชินเชาวน์
30-12-2009, 10:33
คั่นเวลาด้วยภาพเสือที่เขาว่ากันว่า เป็นเสือที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก...
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=2332&stc=1&d=1262143886

ชินเชาวน์
30-12-2009, 20:48
เสือเย็นผู้หฤโหดหายไปไหนเสียก็ไม่รู้ หลังจากโถมกระโจนเข้าตะครุบพลาดเป้าหมาย เหมือนพญาเสือร้ายอันตรธานกลายเป็นอากาศธาตุ

สามเณรกองแก้วเมื่อมีสติกลับคืนมาครบถ้วนบริบูรณ์ ลุกขึ้นยืนมองไปรอบบริเวณป่า ไม่เห็นแม้แต่เงาของเสือตัวเท่าควายเปลี่ยว คงพบแต่รอยตีนเหยียบย่ำไปมาอยู่ในละแวกนั้น คะเนจากขนาดรอยตีน ต้องเป็นเสือตัวเดียวกับที่มาเดินวนเวียนอยู่แถวโคนไม้ที่อาศัยนั่งบำเพ็ญภาวนา

เมื่อจิตค่อยคลายจากความประหวั่นตบะจ้าวป่า ซึ่งมีอำนาจเหนือสรรพชีวิตในไพรกว้าง สามเณรน้อยได้ข้อคิดพิจารณาว่า "สติ" คือสิ่งสำคัญยิ่งของมนุษย์
ยามคับขันมนุษย์ส่วนใหญ่จะขาดสิ่งสำคัญยิ่งยวดคือ "สติ"
เพราะมีแต่สติเท่านั้นที่จะควบคุมจิตให้แน่วนิ่ง ไม่พรั่นพรึงต่อสรรพอันตรายใดๆ เนื่องจากจิตเองเมื่อยังไม่บรรลุถึงสัจธรรมขั้นสูง ย่อมหวั่นไหวไปมาตามสภาพจิตอันขาดที่พึ่ง

การนอนตายอย่างสงบอยู่บนเตียงในบ้าน การโดนเสือฉีกกระชากเนื้อหนังกินเป็นภักษาหาร คือ "ตาย" เสมอเหมือนอันเดียวกัน ไม่มีแบ่งแยก ถ้ายอมตายโดยแน่วแน่ว่า จิตเบื่อหน่ายเรือนร่างอันเป็นรังของกิเลส ย่อมมีทางไปเบื้องหน้าอันประเสริฐ

สามเณรน้อยตริตรองพระสัทธรรมในนาทีอันคับขันปานชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยขาด ปลงตกเด็ดเดี่ยวคือเป็นฝ่ายเที่ยวเดินตามหาเสือร้าย ถ้ากลัวเสือจะเดินจาริกธุดงค์ต่อไปกระไรได้

จากลำห้วยแห่งนั้น
สามเณรกองแก้วแกะรอยตีนเสือลายพาดกลอนไปเรื่อย ๆ รอยตีนขนาดเท่าจานข้าว สามารถเห็นถนัดชัดเจน จึงก้าวเดินไปตามรอยบุ๋มที่พื้นดินอันเป็นรอยตีนเสือ เดินตามวกไปวนมาสักพักใหญ่ ปรากฏว่ารอยวกกลับมายังโคนไม้ใหญ่ต้นเดียวกับที่สามเณรน้อยอาศัยนั่งบำเพ็ญเพียรเมื่อคืนก่อน

ที่โคนไม้มีสีเหลืองสว่างวาบ

ชินเชาวน์
31-12-2009, 21:59
แต่หาใช่สีเหลืองของเสือลายพาดกลอนผู้น่าสะพรึง แต่เป็นพระภิกษุห่มดองจีวรสีเหลืองหม่น ลักษณะอยู่ในวัยกลางคน ผิวคล้ำดำเกรียมเหมือนกรำแดดลมอยู่ชั่วนาตาปี ท่านั่งขัดสมาธิตั้งกายตรงเป็นสง่าน่าเคารพเลื่อมใส

พระภิกษุผู้ปรากฏกายขึ้นอย่างลึกลับ เอ่ยทักสามเณรน้อยด้วยสุ้มเสียงแจ่มใส เปี่ยมไปด้วยเมตตาการุณในน้ำเสียง

"เดินเที่ยวตามหาเสือโคร่ง จะยอมให้เสือมันขบหัวกินจริงหรือเจ้าหนูน้อย"

สามเณรกองแก้วสะดุ้งใจ เมื่อพระภิกษุลึกลับทราบถึงความในใจของตนเหมือนเปิดหนังสืออ่าน จึงทรุดตัวลงถวายนมัสการ แล้วถามพระภิกษุผู้ลึกลับ

"หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรขอรับ ว่ากระผมกำลังจะเดินไปให้เสือมันจับกิน หลวงพ่อเห็นเสือตัวใหญ่เบ้อเริ่มผ่านมาทางนี้หรือขอรับ"

พระภิกษุผู้ลึกลับไม่ตอบคำถาม กลับยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี กล่าวกับสามเณรน้อยแช่มช้า

"เจ้าหนู เจ้านี้เป็นเด็กมีสติปัญญากล้าหาญในทางธรรม จากที่บวชเป็นสามเณรจงอยู่ให้ถึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุสืบไปตลอดชั่วอายุขัยของเจ้า ฝากชีวิตไว้กับพระศาสนา จะรุ่งเรืองบนเส้นทางสายนี้ต่อไปในภายภาคหน้า"

ชินเชาวน์
01-01-2010, 22:15
คำชมเชยอันบ่งชี้ไปถึงกาลในอนาคตของพระภิกษุลึกลับ ทำให้สามเณรกองแก้วรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้น ฟังดูเหมือนแสดงให้รู้ว่าเป็นพระผู้ทรงอภิญญาขั้นสูงเยี่ยม เพราะผู้ที่สามารถรู้วาระจิตของมนุษย์ และรู้กาลในอนาคตอันยังมาไม่ถึง มีเพียงผู้ทรงอภิญญาสมาบัติเท่านั้นจึงมีความสามารถกระทำได้

แต่เรื่องเกี่ยวกับเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่มหึมายิ่งกว่าเสือโคร่งธรรมดาหลายเท่า ยังเป็นสิ่งรบกวนจิตใจ เป็นความคลางแคลงสงสัยไม่สร่างซา

สามเณรน้อยไม่เชื่อว่ามีเสือชนิดใดในโลกจะตัวใหญ่ถึงเพียงนั้น น่าจะเป็นเสืออาคมจำแลงแปลงร่างมาจากผู้ทรงความรู้สูงด้านไสยเวทย์เสียมากกว่า อาจจะเป็น "เสือเย็น" ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านป่าวัยกลางคนที่เจอเมื่อวานซืน จึงไต่ถามพระภิกษุลึกลับว่าเป็นเสือจริง ๆ หรือเสืออันอุบัติขึ้นจากวิชาลี้ลับกันแน่

พระภิกษุรูปนั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึมสำรวมให้สามเณรฟังเสียงเยือกเย็นแช่มช้า

"เสือจริงหรือเสือปลอมไม่มีความสำคัญอะไร ใจเราสำคัญกว่าทุกอย่างที่มีในมหาจักรวาล อย่าเอาใจใส่เรื่องเสือ เมื่อใจเรามีศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เราย่อมมีชัยชนะทุกอย่าง เสือสางหรืออำนาจเร้นลับประการใดย่อมทำอันตรายเราไม่ได้"

สามเณรน้อยกราบนมัสการคำตักเตือนของพระภิกษุลึกลับ จากนั้นเลียบเคียงถามท่านว่าหลวงพ่อมาจากไหน กำลังจะไปไหน

ชินเชาวน์
02-01-2010, 21:43
พระภิกษุลึกลับตอบสั้น ๆ ว่าท่านเป็นพระธุดงค์กรรมฐาน เป็นพระป่าผู้แสวงหาสถานที่สงบวิเวกอันเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม แต่ไม่แพร่งพรายชื่อเสียงเรียงนามที่มาที่ไปให้สามเณรน้อยรู้ ท่านประสงค์เพียงสิ่งเดียว คือแนะทางการปฏิบัติให้สามเณรน้อยกำหนดจดจำ

"การประพฤติปฏิบัติตามพุทธวิธีของสมเด็จพระบรมศาสดา ที่เรียกว่าการปฏิบัติเจริญกรรมฐานต้องเป็นศิษย์มีครู ถ้าดั้นด้นบำเพ็ญเพียรไปตามความคิดด้นเดาของตนเอง เปรียบก็เหมือนถนนหลวงเขาตัดไว้ดีแล้ว แต่เราไปหาทางตัดถนนเพื่อเดินเสียเอง
เณรน้อยกล้าหาญที่บุกป่าฝ่าดงมาเพียงรูปเดียว แต่ความรู้ที่มียังน้อยนิดเหมือนน้ำจอกน้อย ดื่มอย่างไรก็แก้กระหายไม่ได้ ถึงเจ้าจะไม่หลงทาง แต่กว่าจะไปถึงจุดหมายที่ปรารถนา อาจท้อถอยหรือเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวงเสียในระหว่างทาง"

สามเณรกองแก้วนมัสการถามว่า กระผมควรจะไปขึ้นพระกรรมฐานกับพระอาจารย์องค์ใดจึงดี

พระภิกษุลึกลับยิ้มยินดีที่สามเณรน้อยผู้หวาดกลัวเสือ แต่ไม่ลืมเลือนเจตนาที่จาริกธุดงค์เข้าสู่ป่าของตน จึงชี้แจงให้ทราบว่า

"พระอาจารย์ที่เจ้าสามารถกราบไหว้เป็นครูบาอาจารย์ได้มีมากมายหลายองค์ด้วยกัน ท่านที่อยู่ในวัดวาอารามก็มี ท่านที่รุกขมูลอยู่ตามป่าดงดิบก็มี
แต่ที่สะดวกสำหรับเจ้า สามารถเดินทางไปหาได้ง่ายเพราะท่านอยู่ไม่ไกลคือ ครูบาศรีวิชัย ควรที่เจ้าจะไปกราบนมัสการท่านขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์เสียเถอะ ครูบาท่านมีบุญญาบารมีมาก เป็นสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหาผู้ใดเสมอเหมือนยาก"

ชินเชาวน์
03-01-2010, 23:20
สามเณรกองแก้วก็กำหนดจดจำชื่อ "ครูบาศรีวิชัย" ไว้แม่นยำ

พระภิกษุลึกลับไม่ให้เสียเวลาไปโดยป่วยการ เริ่มชี้แนะแนวทางการปฏิบัติอย่างถูกต้องให้สามเณรในด้านกรรมฐาน โดยเฉพาะการเดินจงกรม ท่านได้กรุณาแนะนำว่า

การเดินจงกรม และการนั่งเจริญสมาธิ จะต่างกันก็ตรงที่ "เปลี่ยนอิริยาบถ" เท่านั้น

การเดินจงกรมต้องเดินให้ถูกวิธีขั้นตอนแบบโบราณที่สืบ ๆ กันมาจึงจะได้ผล ห้ามเดินส่งเดชตามใจตนเอง จะหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย

ก่อนเริ่มต้นเดินจงกรมต้องแสวงหาสถานที่เหมาะสมเสียก่อน

สถานที่เหมาะสมคือสถานที่ เงียบสงัด พื้นดินต้องเรียบเสมอกัน ไม่ขรุขระ ไม่เป็นพื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ

ชินเชาวน์
04-01-2010, 21:38
ความยาวของสถานที่เดินจงกรม
กำหนดความยาวอย่างสั้นที่สุดคือประมาณ ๒๕ ก้าว อย่างยาวที่สุดไม่เกิน ๕๐ ก้าว

ควรกำหนดทางเดินไว้ ๓ สาย คือ
๑. เดินตามดวงตะวัน จากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก
๒. เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
๓. เดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ทางเดินจงกรม ๓ สายนี้ เดินเพื่อบูชา พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า อย่าเดินตัดทางโคจรดวงตะวัน...ไม่ดี แต่ถ้าสถานที่จำกัด จะเดินสายเดียวก็ได้ ให้เลือกเอา ๑ ใน ๓ สาย

เริ่มแรก
ก่อนจะเดินจงกรม ให้ประนมมือเสียก่อน ระลึกขึ้นในใจว่า "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" (ว่า ๓ จบ)

ยกมืออธิษฐานไว้เหนือระหว่างคิ้ว ระลึกในใจถึง คุณพระศรีรัตนตรัย ที่ตนถือเป็นสรณะที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ระลึกถึง คุณของบิดามารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดถึง ท่านผู้เคยมีพระคุณแก่ตน
จากนั้น รำพึงถึงความมุ่งหมายแห่งการเพียรที่กำลังจะกระทำ ด้วยความตั้งใจเพื่อผลนั้น ๆ (ผลคือก้าวหน้าไปในทางธรรม อันมี มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑)
เสร็จเรียบร้อยแล้วเอามือลง
เริ่มเอามือทั้งสองข้างวางทับกัน มือข้างซ้ายลงก่อน เอาฝ่ามือข้างขวาทาบทับหลังมือซ้าย แล้ววางทาบทับอยู่แนบท้องน้อยใต้สะดือตามแบบพุทธรำพึง

ให้เจริญพรหมวิหาร ๔
พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เจริญพอใจดีแล้ว ทอดสายตาลงต่ำในท่าสำรวมระวัง
ตั้งสติ กำหนดจิตและธรรมที่เคยนำมาบริกรรมกำกับใจ หรือพิจารณาธรรมทั้งหลาย ตามแบบที่เคยภาวนา

ชินเชาวน์
05-01-2010, 22:32
เริ่มออกเดิน.....
ขณะเดิน ทอดสายตาลงประมาณเห็นไกลแค่ ๔ ศอกเป็นอย่างมาก หรือมองเพียงปลายเท้าของเราที่กำลังก้าวเดินไปนั้น แต่ถ้ามองปลายเท้ารู้สึกขัดข้องเพราะยังไม่ชำนิชำนาญ ก็มองไกลออกไปเท่าที่ไม่ขัดข้อง คือมองไกลไม่เกิน ๔ ศอก แต่ให้หาที่ทอดสายตาลงพอเหมาะกับระยะสายตาตนเอง

วิธีเดิน.....
อย่าก้าวเดินให้ไวนัก เร็วนัก ช้านัก ก้าวยาวนัก สั้นนัก อย่าเผลอสติปล่อยมือเดินแกว่งไกวแขน หรือเอามือไพล่หลัง เอามือยกขึ้นกอดอก ห้ามเผลอไผลเดินเหลียวหน้าไปมองทางโน้น มองทางนี้

คำภาวนา.....
ถ้าประสงค์จะภาวนาคำว่า "พุทโธ" เมื่อก้าวขาไปข้างหนึ่ง ให้ภาวนาว่า "พุท" สืบขาก้าวต่อไปให้ภาวนาว่า "โธ" บริกรรมไปเรื่อย ๆ ตามจังหวะการก้าวขาอันไม่ช้าไม่เร็ว คำภาวนาต้องให้อยู่ในระหว่างก้าวแต่ละก้าว อย่าภาวนาทอดยาวจนทับซ้อนกับก้าวต่อ ๆ ไป อย่าสั้นจนกลายเป็นห้วน
เมื่อเดินไปถึงสุดปลายทางเดินจงกรม อย่าด่วนหมุนตัวย้อนเดินกลับเร็วนัก ให้ค่อย ๆ หมุนตัวเวียนไปทางขวามือ หรือจะหยุดยืนกำหนดรำพึงที่หัวทางเดินจงกรมสักครู่เล็ก ๆ ก็ได้

การหยุดยืนกำหนด.....
การหยุดยืนกำหนดพิจารณาธรรมนั้น จะยืนกลางเส้นทางเดินจงกรม ยักเยื้องไปทางซ้าย - ขวา ไม่เป็นกฎข้อบังคับใด ๆ แล้วแต่สะดวก เนื่องจากธรรมที่ผุดขึ้นมาในใจขณะนั้น ย่อมมีความตื้นลึกหนาบางแตกต่างกัน แล้วแต่กรณีอันควรอนุโลมตามความเหมาะสม เมื่อหยุดรำพึงจนเข้าใจแจ่มแจ้งก็เริ่มเดินจงกรมต่อไป

กำหนดเวลาเดินจงกรม.....
การเดินจงกรม ให้กำหนดระยะเวลาเอาเองตามที่ใจปรารถนา ถือเอาความยินดีพอใจเป็นเกณฑ์ เพราะการเดินจงกรมคือการเจริญสมาธิอีกแบบหนึ่งนั่นเอง เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นเดิน เพื่อผ่อนคลายทุกขเวทนาอันเกิดขึ้นจากการนั่ง
นั่งเจริญสมาธิจะเมื่อยขบเมื่อนั่งไปนาน ๆ การเดินจงกรมเพื่อยืดเส้นยืดสายให้หย่อนผ่อนคลาย เป็นการถนอมอัตภาพร่างกายเอาไว้เพื่อบำเพ็ญเพียรได้เนิ่นนาน ไม่ชำรุดทรุดโทรมจนกลายเป็นคนกะปลกกะเปลี้ย และถ้าเดินจงกรมมากเข้าจนเมื่อยล้า ให้เปลี่ยนกลับไปนั่งสมาธิเจริญภาวนาตามเดิม ถ้านั่งมากจนเกิดความเมื่อยขบ สามารถนอนเจริญสมาธิได้ไม่ผิด หรือยืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อเจริญสมาธิก็ได้ไม่ผิดอีกเช่นกัน

การนอนสมาธิ.....
ห้ามนอนท่าอื่น เช่น นอนหงาย นอนตะแคงซ้าย นอนคว่ำหน้า ให้นอนท่าสีหไสยาสน์ คือนอนตะแคงขวา เอาขาทับซ้อน เหลื่อมล้ำคู้เหยียด ให้ดูเป็นท่าสำรวมระวัง ใช้ฝ่ามือขวาแบไว้ แนบใบหน้าไปกับฝ่ามือ กำหนดจิตตลอดเวลาที่อยู่ในท่านอน

ชินเชาวน์
06-01-2010, 22:51
สรุป.....
การนั่งสมาธิ เดินจงกรม ยืนเจริญสมาธิ นอนเจริญสมาธิ สรุปรวมทั้งหมดถูกควรทั้งสิ้น แยกทำไปตามความเหมาะสม เจริญสมาธิในท่าใดอิริยาบถไหนมีความเมื่อยล้า ฟุ้งซ่านรำคาญใจ ให้ปรับเปลี่ยนทันทีอย่ารีรอชักช้า เพราะถ้าหากอัตภาพร่างกายไม่เป็นสุข จิตก็พลอยไม่เป็นสุข สมาธิจะย่อหย่อนหรือไม่มีสมาธิไปเลย แต่ก็หาใช่ว่าเปลี่ยนตามความพอใจง่าย ๆ เช่น นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทั้งที่ยังไม่มีอุปสรรคขัดข้องเนื่องจากการนั่ง นอน ยืน เดิน เจริญสมาธิคือการกลั่นกรองหาสาระประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ในตัวเราเอง เพื่อเอาชนะกิเลสตัณหาอวิชชา ตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชี้แนะสั่งสอนไว้ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ผู้สืบทอดพระศาสนาก็นำมาถ่ายทอดอบรมแก่เราอีกต่อหนึ่ง

ความเหมาะสม.....
อย่าหักโหมเพราะมุ่งหวังให้เกิดคุณวิเศษขึ้นในตนเร่งด่วนเกินไป เพราะจะกลายเป็นว่า "สักแต่ว่าทำ" ฉะนั้นจะต้องไม่ร้อนรน ไม่มุ่งหมายว่าจะได้อะไร เพราะการมุ่งหวัง มาดหมาย จะไม่ได้อะไรเลยสักนิดเดียว
ดูสภาพธาตุขันธ์ตนเองว่าสมบุกสมบันได้เช่นผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง คือเป็นผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นผู้สุขภาพอ่อนแอ การนอนเจริญสมาธิให้มากกว่าการนั่ง ยืน เดิน เจริญสมาธิ จะมีผลดีเพียงส่วนเดียวไม่มีผลเสีย
สำหรับผู้สุขภาพร่างกายแข็งแกร่ง สามารถบุกบั่นกับงานเจริญภาวนาครบทุกอิริยาบถ อย่าเบื่อหน่ายรำคาญ ให้เจริญสมาธิเสมอกัน ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน หรือสุดแท้แต่สภาวะในขณะนั้นจะบอกให้ทราบเองโดยอัตโนมัติ

ชินเชาวน์
07-01-2010, 22:40
ผลเสีย.....
การหักโหมเจริญสมาธิบำเพ็ญเพียร คือแนวทางสุดโต่งเหมือนพวกฤๅษี โยคี ดาบส ไม่มีทางบรรลุถึงจุดประสงค์สูงสุดของการบำเพ็ญเพียร ตัดกิเลสไม่ขาดแม้แต่กองเดียว กิเลสเคยมีอยู่เท่าใดก็มีอยู่เท่านั้น เผลอ ๆ อาจหลงทาง กลายเป็นพวกนอกลัทธิไปเลยก็มี พึงทำใจไว้ตั้งแต่แรกว่าปรารถนาจะเป็นผู้หมดกิเลส ต่อจากนั้นไม่ต้องเพ่งจิตอยากได้อะไรอีก ตรงกับคำที่ว่า "ไม่อยากคืออยาก" อยากเองโดยการทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่อยาก อุปมากับการหุงข้าว เมื่อซาวข้าว ก่อกองไฟ ยกหม้อข้าวขึ้นไปตั้งบนกองไฟแล้ว ไม่ต้องไปอยากให้ข้าวมันสุก ประเดี๋ยวมันก็สุกไปเองกระนั้นแหละ

พระภิกษุลึกลับสาธยายวิธีเจริญสมาธิเดินจงกรมให้สามเณรน้อยฟังอย่างละเอียดลออ

สามเณรกองแก้วก้มลงกราบนมัสการพระภิกษุผู้ลึกลับด้วยความเคารพเลื่อมใส เมื่อท่านมีเมตตาอบรมสั่งสอนแนวทางการปฏิบัติอันแจ่มแจ้งชัดเจนให้

พระภิกษุรูปนั้นเมื่อพิจารณาว่าสามเณรน้อยเข้าใจข้อชี้แนะถ่องแท้แล้ว จึงจาริกธุดงค์ต่อไป มีสามเณรกองแก้วนั่งทบทวนความรู้ไปเพียงลำพังที่โคนไม้ใหญ่ต้นนั้น

สามเณรระลึกถึงคุณของพระภิกษุลึกลับ แต่เรื่องเกี่ยวกับ "เสือเย็น" ก็หาเลือนไปจากความทรงจำแม้แต่น้อย

จำได้ติดหูติดตาว่าเสือตัวเท่าควายเปลี่ยว โถมทะยานฝ่าอากาศเหมือนมัจจุราชมาทวงเอาชีวิต แค่กระโจนตะครุบพลาดเป้าหมาย แทนที่เสือร้ายจะวกกลับมาขบกัดเณรน้อยผู้นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นดิน กลับอันตรธานเหมือนละลายกลายเป็นอากาศว่างเปล่า ไม่ได้ยินเสียงเผ่นโผนหายไปไหน ไม่มีเสียงกู่ก้องร้องคำรามใด ๆ อีก การรอดพ้นจากความตายคราวนั้นประดุจปาฏิหาริย์ เกิดขึ้นด้วยอำนาจสิ่งใดก็สุดที่สามเณรน้อยจะคาดคะเน

ชินเชาวน์
08-01-2010, 22:01
ชาวบ้านป่าวัยกลางคนตักเตือนให้ระวังจะถูกเสือเย็นคาบไปกิน เสือเย็นเกิดจาก "ตุ๊เจ้า" ลึกลับผู้ฝึกวิชานอกรีตจนบังเกิดความเข้มขลัง เมื่อร้อนวิชาจนกระทั่งจำแลงแปลงกายเป็นเสือเย็น ซึ่งเป็นเสือทรงพลังอำนาจยิ่งใหญ่เสียกว่า "เสือสมิง" เป็นสิบเท่า

เสือเย็นจวนจะได้เขมือบกินสามเณรน้อยอยู่รอมมะร่อ เปรียบเสมือนขบหัวไว้แล้วในปาก จู่ ๆ มันกลับวิ่งหายสาบสูญไปในอากาศ เมื่อตัดใจยอมตายให้เสือกิน เดินแกะรอยตามเสือมาจนถึงโคนไม้ กลับพบพระภิกษุวัยกลางคนผู้ลึกลับนั่งรอแทนที่จะเป็นเสือ

ไม่อยากจะคิดเลยว่าพระภิกษุผู้ลึกลับ คือตุ๊เจ้าลึกลับผู้ร้อนวิชา แต่เหตุการณ์มันคล้องจองเสียเหลือประมาณ

ปัญหาที่ขบไม่แตกคือถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดตุ๊เจ้าผู้กลายเป็นเสือเย็น เคยจับควายไปกินหลายตัว ยังเคยกินคนในหมู่บ้านกลางป่าไปแล้ว ตุ๊เจ้าเสือเย็นทำไมไม่จับสามเณรกินเสียด้วย ?

ตุ๊เจ้ายังอบรมพร่ำสอนหลักธรรมอันถูกต้อง แนวทางที่ตกทอดกันมาแต่ยุคโบร่ำโบราณ คิดอย่างไรก็เดาไม่ออกบอกไม่ถูก ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ถ้าได้วิชาความรู้ชั้นสูงจากเสือเย็นอันน่าสะพรึงกลัว

เนิ่นนานปีต่อมา.....

ชินเชาวน์
11-01-2010, 19:12
ตอนสามเณรกองแก้ว อาวุโสสูงเป็น "หลวงปู่ครูบาธรรมชัย" ท่านได้กล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า

"ธรรมชาติของเสือเป็นสัตว์กินเนื้อเป็นภักษาหาร เมื่อมันเจอสัตว์หรือมนุษย์ก็ตาม ธรรมชาติจะบงการให้มันโจนทะยานเข้าตะปบกินทันที เพราะสัตว์และมนุษย์คือเหยื่อของมัน เหมือนนกเจอหนอนแมลง นกก็จับกินเป็นอาหาร เพราะเป็นกติกาของธรรมชาติสัตว์ใหญ่ต้องกินสัตว์เล็ก"


สาเหตุที่เสือไม่จับพระธุดงค์กินเป็นภักษาหาร หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ชี้แจงว่า มีด้วยเหตุ ๓ ประการ

๑. เทพยดาผู้มีหน้าที่อารักษ์อยู่ในป่าเขาลำเนาไพร บันดาลดลใจให้เสือร้ายเข้ามาทดสอบกำลังจิตของพระธุดงค์ คอยควบคุมไม่ได้เกิดการทำร้ายแม้แต่เท่ารอยแมวข่วน

๒. เทพยดาเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ เทพยดาจึงนิรมิตอัตภาพร่างกาย จำแลงเป็นเสือร้ายมาทดสอบกำลังใจของพระธุดงค์ และไม่ใช่จำแลงแปลงกายเป็นเสือได้อย่างเดียว จะจำแลงเป็นภูติผีปิศาจอันน่าสะพรึงกลัวมาให้เห็นก็ได้ ทดสอบว่าพระธุดงค์ยังมีความสะดุ้งกลัวต่อสิ่งลี้ลับหรือไม่ หากยังเสียวสะดุ้งตกใจแสดงว่ายังห่างไกลต่อการบรรลุธรรมชั้นสูงประการใดประการหนึ่ง หรือยังเป็นผู้ไม่บรรลุธรรมใด ๆ เลย

๓. เสือจริงที่กินเนื้อเป็นภักษาหาร คือเป็นเสือจริง ๆ ตามธรรมชาติที่มีอยู่ในป่า เมื่อเจอพระธุดงค์เท่ากับเจออาหารเดินไปมา จึงต้องจับกินเป็นอาหาร เทพยดาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้เป็นผู้ดลใจเสือ แต่เมื่อเสือเดินเข้ามาใกล้รัศมีพลังจิตของพระธุดงค์ผู้เจริญธรรมสมาธิจนแก่กล้า เกิดเป็นกระแสแห่งเมตตาแผ่ออกไปเองจากร่างพระธุดงค์ กระแสนี้ทรงอำนาจประหลาดล้ำสามารถแผ่เข้าไปถึงจิตที่อยู่ภายในกายของเสือ เสือร้ายจะคลายความกระหายเลือด รู้สึกเป็นมิตรต่อกันกับพระธุดงค์

ชินเชาวน์
12-01-2010, 19:02
อุปมาเหมือนมหาโจรที่มนุษย์ผู้หนึ่งชุบเลี้ยงด้วยความรักใคร่เอ็นดูแต่น้อยจวบใหญ่ มหาโจรจะดุดันเพียงใด หากเจอท่านผู้อุปการะเลี้ยงดูด้วยความเมตตารักใคร่ มหาโจรก็จะตรงเข้าไปกราบแทบเท้า เพราะระลึกถึงบุญคุณท่านผู้นั้น เรื่องมีความคิดเป็นศัตรูไม่มีเลย

ส่วนที่มีข่าวปรากฏบ่อย ๆ ว่า เคยมีพระธุดงค์ถูกเสือคาบไปกินหรือเสียชีวิตอย่างน่าสังเวชอยู่กลางป่าดงดิบเพราะถูกสัตว์ทำร้าย อาจเป็นเพราะเป็นผู้ไม่สำรวมระวัง เป็นผู้ไม่มีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ ฯลฯ

อุปมาเหมือนผู้ไม่เคยมีคุณงามความดีอันใดกับมหาโจรเลย อยู่ ๆ ก็พกพาสมบัติติดตัวเข้าไปหาถึงกลางซ่องโจร พวกมหาโจรย่อมมองดูเหมือนเหยื่ออันโอชะเดินเข้ามาหาเองถึงปากเสือ เสือจะไม่ขบหัวก็ดูกระไรอยู่.....

สามเณรกองแก้วบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าห้วยน้ำดิบสามเดือน จิตเข้าถึงสมาธิน่าพึงพอใจ ความหวาดกลัวเมื่อผ่านการเผชิญหน้ากับเสือเย็นไปแล้ว ทุเลาเบาบางลงจนเกือบไม่เหลืออยู่เลย มีความมั่นคงทางกำลังใจถึงระดับหนึ่ง สามเณรจึงเดินทางกลับเข้าสู่วัด

ชินเชาวน์
13-01-2010, 22:29
อายุ ๑๙ ปี สอบได้นักธรรมตรี จึงไปเรียนต่อนักธรรมโทที่วัด "มหาวัน" ได้นักธรรมโทเมื่ออายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ปีเดียวกันนั้น สามเณรน้อยเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้ฉายาทางธรรมว่า "ธมฺมชโย" ณ พัทธสีมา วัดหนองหล่ม ตำบลป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เจ้าอาวาสคำมูล ธมฺมวํโส วัดแม่สารป่าตอง เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้วมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดสันป่าสัก ได้รับแต่งตั้งเป็น "ผู้ช่วยเจ้าอาวาส"

ต่อมาเป็นครูสอนนักธรรมที่สำนักวัด "สันป่าสัก" และวัด "น้ำพุ" ตำบลเดียวกัน ยังสอนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลนานถึง ๖ ปี ในระหว่างที่สอนอยู่นี้ เวลาว่างได้เดินทางไปเรากราบนมัสการ "ครูบาศรีวิชัย" ซึ่งมีชื่อเสียงรู้จักกันไปทั่วทั้งแผ่นดินไทยในสมัยนั้น ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยในคราวเดียวกัน

พ.ศ. ๒๔๘๑ รับนิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาสวัด "อินทะขิลใหม่" ตำบลอินทะขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ได้บูรณะซ่อมแซมเสนาสนะที่วัดนั้นนาน ๙ ปี อบรมพระภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมาก เป็นที่เลื่องลือไปทั่วภาคเหนือว่าเป็นพระนักสร้าง นักพัฒนาวัดวาอาราม สมกับเป็นศิษย์สำคัญรูปหนึ่งของครูบาศรีวิชัย

ระหว่างเป็นเจ้าอาวาสวัดอินทะขิลใหม่ ครูบาธรรมชัยนอกจากไปกราบนมัสการครูบาศรีวิชัยอยู่เนือง ๆ ยังออกเที่ยวเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้เรืองพุทธาคม และเก่งกาจสามารถในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ขณะเดียวกันก็ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับตำรายาแพทย์โบราณไปด้วย

ระยะนี้ครูบาธรรมชัยจึงเป็นผู้เรืองพุทธาคมเข้มขลังองค์หนึ่งมีฌานสมาบัติกล้าแกร่ง และช่ำชองในศาสตร์แพทย์โบราณ ออกสงเคราะห์ศรัทธาญาติโยมด้วยวิชาดีหลายประการที่มีอยู่ในตัวตน เป็นที่เคารพเลื่อมใสมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในสมัยนั้น

หลังจากเป็นพระนักสร้าง พระนักพัฒนานาน ๙ ปีเต็ม

ชินเชาวน์
14-01-2010, 22:06
พ.ศ. ๒๔๙๐ ปลายปี ครูบาธรรมชัยอำลาวัดอินทะขิลใหม่ และคณะศรัทธาญาติโยมชาวบ้านออกป่าจาริกท่องธุดงค์ปลีกวิเวกบำเพ็ญเพียรตามจริตนิสัย ให้สมกับที่เฝ้ารอการเจริญรอยตามหลวงปู่หลวงพ่อผู้สำเร็จเป็นองค์อริยะไปเพราะการเดินธุดงค์ ฝากชีวิตตนไว้กับหนทางทุรกันดารในดงดิบ

ออกจากประตูวัดอินทะขิลใหม่

ครูบาธรรมชัยจาริกธุดงค์ผ่านป่าดงพงพี ก้าวเดินเรื่อย ๆ ไปอำเภอฝาง แล้วแวะเข้านมัสการพระที่ถ้ำ "ตับเตา"

คืนหนึ่ง เพิ่งอาทิตย์ตกดินไปไม่นานเท่าใด ขณะที่ครูบาธรรมชัยเดินจงกรมพิจารณาธาตุธรรมอยู่บริเวณหน้าถ้ำตับเตา บรรยากาศวิเวกวังเวงผิดปกติ ไม่มีเสียงสัตว์ชนิดใดเคลื่อนไหวในราวป่า

พลันโสตประสาทได้สดับรับรู้ถึงเสียงจ้าวป่าคำรามกระหึ่มมาแต่ไกล

การท่องธุดงค์ไปในกลางป่าเปลี่ยว เรื่องสัตว์ร้าย เช่น เสือ สิงห์ กระทิง แรด เป็นธรรมดาที่ต้องเผชิญหน้ากันสม่ำเสมอ แต่เสียงจ้าวป่าลึกลับตัวนี้ผิดแผกแตกต่างจากเสียงที่เคยสดับสุ้มเสียงและได้เคยผจญมา สัตว์ป่าทุกชนิดเมื่อสดับถึงสรรพสำเนียงต่างหวาดกลัวจนหัวหดหุบปากนิ่งสนิท

ชินเชาวน์
15-01-2010, 21:15
การก้าวย่ำมาบนพื้นดิน หนักหน่วงจนเศษกิ่งไม้ใบแห้งไหวกระเพื่อม เหมือนมีลูกตุ้มเหล็กขนาดยักษ์หล่นกระแทกพื้น จนเศษกิ่งไม้ใบหญ้ากระดอนขึ้น เสือเย็นผู้น่าพรั่นสะพรึงยามเดินไม่มีเสียงฝีเท้าอย่างมหัศจรรย์ แต่เสือลึกลับก้าวเดินแต่ละก้าวย่าง แผ่นดินสะเทือนไหวน้อย ๆ อย่างไม่น่าเป็นไปได้

เสียงคำรามในลำคอดัง "มาว มาว มาว" ละม้ายแมวอย่างพิลึกพิกล ฟังแล้วชวนขนลุกชันเอาง่าย ๆ

ครูบาธรรมชัยไม่ไยดีกับเสียงเดินและเสียงขู่คำรามอันพิสดาร คงเดินจงกรมด้วยก้าวเป็นปกติ ไม่เร่งร้อน ไม่ผ่อนช้า

เสียงก้าวย่างของเสือลึกลับ ซึ่งทำให้แผ่นดินสะเทือนยังดังอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมาหยุดอยู่ในระยะใกล้ ห่างจากทางเดินจงกรมราวสองวา เบื้องหน้าของครูบาธรรมชัย

เห็นหัวเสือใหญ่ราวครกตำข้าวของชาวชนบท คือ ใหญ่ประมาณร่วมหนึ่งโอบ ตัวใหญ่ขนาดม้าพ่วงพีอันองอาจกำยำ ท่ามกลางความมืดทะมึน ยังเห็นนัยน์ตาเสือมหึมา ลุกแดงวาวโรจน์ราวกับมีกองเพลิงเข้าไปสุมอยู่ มันกำลังทำท่าย่อหมอบคู้ขาคู่หน้า เพื่อเผ่นโผนกระโจนเข้าตะครุบแค่ครั้งเดียวไม่มีพลาด

ครูบาธรรมชัยจึงหยุดก้าวเดินบนทางจงกรม เพ่งสายตามองสบกับนัยน์ตาอันวาวโรจน์น่าหวาดสยองของจ้าวป่าร่างยักษ์ ขนาดไม่ย่อมไปกว่า เสือเย็น แม้แต่นิดเดียว ขณะสบตากัน ครูบาธรรมชัยมีจิตสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อโบราณอันเย็นสนิทไม่ไหวกระเพื่อม แผ่กระแสเมตตาอันเย็นฉ่ำไปถึงจิตของเสือผู้เตรียมกระโดดขย้ำ

ชินเชาวน์
17-01-2010, 22:32
"อาตมากำลังบำเพ็ญเพียรเพื่อละทุกข์ทั้งปวง เสือเองก็อยู่เย็นเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยโดยความสวัสดีเถิด"

แผ่เมตตาให้เสือมหึมาแล้ว ท่านยังเปิดโอกาสให้เสือร้ายได้กินเป็นภักษาหาร คือไม่ปิดกั้น

"อาตมาหากเคยมีเวรานุเวรกับเสือนี้ เมื่อเสือยังจองเวรอันเคยทำกันมาแต่ชาติปางก่อน เสือจงสบายใจกระโดดเข้ามาจับอาตมากินให้คลายความขุ่นแค้นเสียเถิด"

สิ่งประหลาดน่าพิศวงอุบัติขึ้นในฉับพลัน.....

เสือใหญ่มหึมากระโจนพรวดย้อนกลับไปทางเดิม เผ่นโผนโจนทะยานขึ้นไปบนภูเขา ก่อนจะลับหายไปในความมืดของรัตติกาล

"หลวงปู่ครูบาธรรมชัย" เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดรู้ในภายหลังว่า เสือใหญ่ตัวนี้คือเทพยดาจำแลงแปลงกายมาทดสอบกำลังจิตของท่าน แต่ถ้ามีจิตหวาดเสียวแม้แต่สักนิด จะโดนข่มขวัญจนขนพองสยองเกล้าทีเดียว

เรื่องความลี้ลับมหัศจรรย์ในป่าดงดิบสมัยกว่า ๖๐ ปีที่แล้ว เมืองไทยเราแค่ก้าวออกจากหมู่บ้าน คืบก็ป่า ศอกก็ป่า ทั้งสัตว์ดุร้าย และสัตว์อาถรรพ์ ตลอดจนภูตผีปีศาจ เป็นสิ่งที่ผู้เดินเข้าสู่ป่าจำต้องระมัดระวังตนเองตลอดเวลา เพราะสามารถหาเหตุเดือดร้อนใส่ตัวได้ง่าย ๆ แค่ปัสสาวะรดจอมปลวก รดโคนไม้ใหญ่อายุเป็น ๑๐๐ ปี ครั้นกลับถึงบ้านล้มป่วยด้วยโรคลึกลับหาสาเหตุไม่ได้ว่าป่วยเป็นอะไร กว่าจะคืนสู่สภาพเดิมนานนับเดือน เผลอ ๆ ล้มตายไปในที่สุด ด้วยเหตุจากความเลินเล่อประมาทกับสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั่นเอง

วันหนึ่ง ครูบาธรรมชัยในวัยกลางคนออกจาริกธุดงค์ไปยังถ้ำเชียงดาว

เส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านไปในป่าชาวบ้านเรียกว่า "ป่าปางหก" ซึ่งเป็นดงดิบ เต็มไปด้วยงูเงี้ยวเขี้ยวขอเลื้อยเพ่นพ่านยั้วเยี้ยไปหมด มีที่เลื้อยอยู่ตามซอกหลืบของต้นไม้ใหญ่ หรือบนคาคบไม้ซึ่งขึ้นไปม้วนพันตัวอยู่ สัตว์หรือมนุษย์พลัดหลงเข้าทาง จะทิ้งตัวลงมารัดทันที เป็นมหาภัยของคนย่านนั้น หากไม่จำเป็นขั้นสุดขีดไม่มีใครอยากเดินผ่านป่าปางหก

เพลานั้นใกล้มืดค่ำลงเต็มที ครูบาธรรมชัยจำเป็นจะต้องรีบเดินตัดป่าปางหกไปให้ถึง "บ้านปาง" อำเภอเชียงดาว ให้ได้ จึงไม่ปักกลดพักค้างแรมก่อนจะถึงดงงู

ชินเชาวน์
18-01-2010, 15:12
ป่าปางหกตอนพลบค่ำ ป่าทั้งป่าจะมืดเหมือนหลับตาเดิน เนื่องจากต้นไม้ใบหญ้าไม่มีผู้คนเข้าไปรบกวน เพราะหวาดกลัวพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ยามกลางคืนยังสลัวลางมองแทบไม่เห็นพื้นดิน กิ่งไม้ใบไม้หนาทึบ เหมือนกางร่มกันแสงแดดไม่ให้สาดส่องลงมาถึงพื้นเบื้องล่าง

ครูบาธรรมชัยเดินตัดผ่านเข้าไปในป่าปางหกตอนมืดค่ำเพียงครู่เดียว ก็เหยียบเอางูแมวเซาเข้าไปโดยไม่เจตนา จึงลองเอาไฟฉาย ฉายดูไปรอบด้าน

พบด้วยความตื่นตาตื่นใจว่ามีงูแมวเซาจำนวนถึง ๑๖ ตัว ขดพันกันยั้วเยี้ยอยู่รอบ ๆ ตัวท่าน ประหลาดที่มันไม่ได้แสดงอาการดุร้ายหมายทำอันตรายท่านแต่อย่างใด

ผ่านจากกลุ่มงูแมวเซาไปอีกสักระยะหนึ่ง ครูบาธรรมชัยสะดุดเอาขอนไม้ลื่น ๆ เข้าเต็มแรง จึงเอาไฟฉาย ฉายดูอีกครั้ง

สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาคืองูเหลือมขนาดยักษ์ นอนขดเป็นวงกลมอยู่กลางด่านสัตว์ที่ท่านอาศัยเดิน เจตนาคือจะรอดักจับสัตว์กินเป็นอาหาร

ครูบาธรรมชัยก้าวจากวงนอกเข้าไปอยู่ใจกลางวง ในที่ที่มันม้วนขดอยู่โดยบังเอิญ..!

ธรรมดางูเหลือมยักษ์ต้องม้วนขนดขดตัว อย่างฉับพลันทันใด รวดเร็วเหมือนมีสปริงดีด เพื่อม้วนรัดเหยื่อให้กระดูกทั้งร่างแหลกเหลวก่อนจะกลืนเข้าปากลงกระเพาะตามวิสัยของมัน ต่อให้สัตว์ทรงพลังแข็งแรงมีความแคล่วคล่องว่องไวอย่างเสือผู้เป็นจ้าวป่า ก็อย่าหวังว่าจะรอดเมื่อตกเข้าไปอยู่ในใจกลางวงที่เป็นลำตัวงูเหลือม

ชินเชาวน์
19-01-2010, 13:26
ปรากฏเป็นที่น่าพิศวงว่ามันนอนขดอยู่เหมือนทองไม่รู้ร้อนไม่มีกิริยาจะทำร้ายท่านสักนิดเดียว เท่าที่เห็นคือนอนสงบนิ่งเฉย ช้อนตามองดูท่านด้วยท่าทางเฉยเมย

ท่านจึงก้าวข้ามออกจากวงตัวงูเดินต่อไป เมื่อผ่านพ้นออกไปจากป่าปางหก จึงพ้นแหล่งชุมนุมของพวกงูไปได้

เรื่องเจองูนี้ ท่านยังมีประสบการณ์ยิ่งกว่าในป่าปางหก คือที่ถ้ำเชียงดาว เพราะที่นั่นท่านพบพญางูยักษ์คือ พญานาค...!

แต่ก่อนจะนำเรื่องเกี่ยวข้องกับพญานาคราชมากล่าวถึง ยังมีเรื่องที่ครูบาธรรมชัยพบความลี้ลับพิสดารในดงดิบอยู่อีก จะข้ามเลยสิ่งแปลกประหลาดอันเหลือเชื่อไปถึงเรื่องพญานาคเสียเลยทีเดียวก็ดูจะกระไรอยู่ เพราะเกี่ยวพันไปถึงอำนาจจิตอันฝึกมาดีแล้วของท่านเช่นกัน

ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ครูบาธรรมชัยพอมีเวลาว่างจากศาสนกิจ สามารถปลีกวิเวกไปจาริกธุดงค์ตามป่าเขาเถื่อนถ้ำ ที่ท่านยึดเป็นหลักสำคัญในการเจริญสมาธิให้มีความก้าวหน้าในทางธรรม

ครูบาธรรมชัยจึงท่องธุดงค์ไปทางเชียงใหม่ ขึ้นไปกราบนมัสการพระบรมธาตุแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ดอยสุเทพ หลังจากที่ท่านเคยร่วมงานสร้างเส้นทางตัดขึ้นดอยสุเทพกับครูบาศรีวิชัยมาแล้ว

ตอนนั้นท่านเคยพบว่าป่าใหญ่หลังดอยสุเทพ บริเวณ "ถ้ำฤๅษี" เป็นสถานที่สงัดวิเวกมีธรรมชาติงดงามเจริญหูเจริญตา เหมาะสมกับการพำนักเพื่อบำเพ็ญตบะธรรมให้แก่กล้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

ดังนั้น เมื่อขึ้นไปกราบถวายสักการะแด่พระบรมสารีริกธาตุ แห่งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ครูบาธรรมชัยจึงเดินทางต่อไปสู่ถ้ำฤๅษี

ขณะเดินไปถึงลำห้วย "แม่งาไซ" ซึ่งอยู่ในป่าด้านหลังดอยสุเทพอันเป็นป่าใหญ่ในสมัยนั้น ยังไม่มีผู้ใดไปหักร้างถางพง มีต้นไม้ใหญ่สลับด้วยกอไผ่อันกินบริเวณกว้างขวางร่มรื่น

ระหว่างเส้นทางที่ก้าวเดิน ราวป่าข้างหนึ่งปรากฏเสียงโผงผางตึงตังเหมือนมีใครมาตัดไม้อยู่ เข้าใจในตอนแรกว่าเป็นชาวบ้านใกล้ป่ามาตัดไม้ไปทำฟืนหุงต้ม หรืออีกทีคือพวกมาตัดหน่อไม้กำลังฝ่าดงไผ่ด้วยคมมีด ท่านจึงไม่ทันได้เหลียวมอง

แต่แล้วสังหรณ์อย่างไรไม่ทราบได้ ปรายตาไปมองทางนั้นนิดหนึ่งปรากฏว่าที่คิดว่าเป็นชาวบ้านป่ามาหาฟืนหรือหาหน่อไม้ แท้ที่จริงคือหมีควายร่างใหญ่ทะมึน ขณะยืนสองขาความสูงเหนือหัวมนุษย์เป็นศอก มันกำลังหักต้นไผ่หาหน่อไม้กินอย่างหงุดหงิดรำคาญใจเป็นกำลัง

ชินเชาวน์
20-01-2010, 13:20
หมีควายเหลียวหน้ามา เห็นพระภิกษุในจีวรเหลืองหม่นสะดุดตา ความเดือดดาลที่มันเอาหน่อไม้ไปกินได้ยากเย็น เกิดโทสะอันหาที่ระบายไม่ได้ จึงเดินสองขา ก้าวโงนเงนงุ่มง่ามออกจากราวป่าไผ่ ตรงเข้าหาครูบาธรรมชัยทันที

ธรรมชาติของหมีควายยามที่เดินสองขา คล้ายกับงุ่มง่ามเชื่องช้า ถ้าผู้เผชิญหน้าตกอกตกใจเผ่นหนี หมีควายจะลงวิ่ง ๔ ขา รวดเร็วเกือบเท่าม้าวิ่ง คนมีเพียง ๒ ขา ไม่มีทางหนีพ้นการไล่ล่าของมันไปได้เลย

ครูบาธรรมชัยล่วงรู้ธรรมชาติของหมีควายดี ท่านไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจแต่อย่างใด คงยืนแน่วนิ่งอยู่กับที่ เจริญเมตตาแผ่ไปให้มัน

"สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรัน ตุ"

"สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย กันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย"

"จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันทั้งสิ้นเถิด"

ขณะที่เพิ่งเริ่มกำหนดจิตแผ่เมตตาให้ เจ้าหมีโทสะเดินย่างสามขุมเข้ามา ยืนห่างไปเพียงศอกเศษ เงือดเงื้อกรงเล็บขึ้นสุดล้า เตรียมจะตบลงมาด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล ลมหายใจฟืดฟาดแสดงถึงโทสะอันร้อนแรง ดังเพลิงเผาผลาญจนใกล้จะคลุ้มคลั่ง

บทแผ่เมตตาสร้างกระแสด้วยพลังจิตมหัศจรรย์ของครูบาธรรมชัย หมีดุตัวนั้นเงื้อแขนชะงักค้างกลางอากาศ กรงเล็บหาได้ตะปบลงมาดังที่มันตั้งใจ คล้ายกับโดนมนต์สะกด แท้ที่จริงคือมันรับกระแสแห่งมหาเมตตา ผ่านตรงเข้าไปถึงจิตใจของมันแล้ว

ชินเชาวน์
21-01-2010, 20:35
บารมีธรรมย่อมชนะได้ทุกสรรพสิ่ง เป็นความลี้ลับน่าอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ เจ้าหมีควายร่างยักษ์เกิดมิตรจิตมิตรใจขึ้นทันที ล้มเลิกการมีโทสะกับครูบาธรรมชัยผู้ไม่ปองร้าย ไม่ต่อสู้ ไม่หนี ไม่หวาดกลัวต่อภยันตรายใด ๆ ที่พึงมีในโลก

ครู่ต่อมา หมีควายหันหลังเดินกลับไปที่ป่าไผ่ หาหน่อไม้อันขุดได้ยากแค้นแสนเข็ญเพื่อกินเป็นอาหารต่อไป ครูบาธรรมชัยก้าวเดินไปตามทางของท่าน ยุติกรณีพิพาทกับหมีไว้เพียงแค่นั้น

ผู้ไม่กลัวตาย ถึงคราวตายย่อมต้องตายเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่มีเวรกรรมสืบเนื่องกันมาแต่ชาติปางก่อน ผู้ไม่กลัวตายจะไม่มีวันตายเพราะอุบัติเหตุเภทภัย และการจู่โจมโดยไร้เจตนาของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งต้องหมายความด้วยว่า ผู้ไม่กลัวตายมีเหตุเนื่องเพราะจิตที่ฝึกมาดีแล้วจึงไม่หวาดเสียว ไม่กลัวตาย

ผ่านจากหมีจอมโทสะ.....

อีกคราวหนึ่ง ครูบาธรรมชัยท่องธุดงค์ผ่านป่าสักงาม "ดอยสะเก็ด" ตอนเวลาจวนเจียนจะมืด อาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า เป็นเวลาสมควรหยุดพักปักกลดในที่อันเหมาะควร

ท่านเพิ่งเห็นสถานที่ร่มรื่นแห่งหนึ่ง แต่ก็เห็นสิ่งมีชีวิตอีกอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ท่านต้องหยุดการเคลื่อนไหวใด ๆ ในทันที

งูจงอางสีดำละเลื่อมราวกับเคลือบด้วยสีดำสะท้อนแสงจำนวน ๑๒ ตัว ขนาดเท่าท่อนแขนผู้ใหญ่ตัวล่ำ ๆ ทยอยกันเลื้อยปราด ๆ ออกมาจากจอมปลวกข้างทาง ชูคอแผ่แม่เบี้ยขวางทางท่านไว้

ชินเชาวน์
22-01-2010, 18:00
มองไปเบื้องหน้าเหมือนระลอกคลื่นสีดำนิลไหวไปมาตามการโยกคอหลอกล่อของจงอาง ทำท่าจะฉกกัดทันทีที่เห็นการเคลื่อนไหวผิดปกติจากฝ่ายมนุษย์ งูจงอางใหญ่ขนาดนี้เพียงตัวเดียวที่ฉกใส่ พิษอันร้ายกาจเกินพอในการทำลายชีวิตหนึ่งให้สิ้นสุดยุติลงได้อย่างง่ายดาย พวกมันยังแห่กันออกมาจากข้างทางถึง ๑๒ ตัว จะข่มขวัญผู้ที่พบเห็นถึงปานไหน

ครูบาธรรมชัยยืนนิ่งสงบแต่ไม่ประหวั่นกับพวกงูจงอาง เห็นพวกมันเป็นเพียงสัตว์โลกผู้เวียนว่ายตายเกิดอันน่าสมเพช หมุนเวียนเปลี่ยนอัตภาพจากมนุษย์ไปเป็นสัตว์ จากสัตว์ชนิดน่าสะพรึงกลัวไปเป็นสัตว์อื่นอีก หมุนเวียนเปลี่ยนไปโดยไม่สามารถกำหนดชะตากรรมของตนเอง จึงเป็นสัตว์ดุร้ายผู้ควรค่าแก่ความเมตตาสงสารอย่างยิ่ง

ท่านดำริเช่นนั้นแล้ว กำหนดจิตแผ่เมตตาอันไม่มีประมาณ ให้แก่ปวงงูจงอางที่เลื้อยออกมารายล้อมรอบบริเวณที่ท่านยืนอยู่

งูจงอางปกติจะไม่สยบต่ออำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งพญาช้างสารมันยังกล้าแผ่แม่เบี้ยเข้าฉกกัดต่อสู้ แต่เมื่อดวงจิตอันกล้าไปด้วยตบะธรรมของครูบาธรรมชัย แผ่อำนาจเมตตาอันชุ่มเย็นไปถึงดวงจิตของพวกมัน งูจงอางผู้ดุร้ายทั้ง ๑๒ ตัว ค่อย ๆ ทยอยหุบแม่เบี้ยละความดุที่เป็นธรรมชาติวิสัย ค่อย ๆ เลื้อยกลับไปยังที่อยู่ของตนจนหมดสิ้น

ครูบาธรรมชัยปักกลดอยู่ตรงบริเวณนั้น ใกล้กับจอมปลวกที่พวกงูจงอางอาศัยอยู่ ท่านจาริกธุดงค์กระทั่งศรัทธาในพระสัทธรรมขององค์พระบรมศาสดาอย่างแน่นแฟ้น เชื่อแน่ว่าผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบอยู่ที่แห่งใดก็ปลอดภัยในทุกประการ อยู่กลางป่าย่อมต้องเจอสัตว์นานาชนิดเป็นเรี่องธรรมดา ถ้าเจอสัตว์ดุร้ายแล้วนึกสะดุ้งหวาดเสียว จะท่องธุดงค์รอดได้อย่างไร

อีกคราวหนึ่ง.....

ครูบาธรรมชัยท่องธุดงค์ไปทางป่าเชียงดาว เมื่อไปถึง "ขุนห้วยแม่ตาด" ซึ่งเป็นต้นกำเนิด "แม่น้ำตาด" นั้น เวลาเย็นแดดผีตากผ้าอ้อมทอแสงเหลืองอร่ามจับผืนฟ้า เมื่อแดดผีตากผ้าอ้อมเลือนลับไปจากท้องฟ้า ราตรีกาลอันมืดทะมึนจะมาเยือนทั่วผืนป่า

ชินเชาวน์
23-01-2010, 12:10
ท่านตกลงใจปักกลดที่ริมฝั่งห้วย แล้วลงไปสรงน้ำในลำห้วย เพื่อความสดชื่นของร่างกาย สามารถปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิได้กระปรี้กระเปร่า

ทันใดนั้นเอง.....

ช้างป่าโขลงหนึ่งเดินเหยาะย่างพ้นราวป่าออกมา ทุกเชือกสูงใหญ่พ่วงพีราวกับภูเขาย่อม ๆ เคลื่อนที่ได้ ในจำนวน ๘ เชือก มีที่งายาวงาม
๓-๔ เชือก พวกช้างสารเหล่านั้นกำลังมุ่งตรงลงมาหาน้ำดื่ม ในจุดที่ห่างครูบาธรรมชัยไม่ถึง ๓ วา

เมื่อพวกมันเห็นท่านกำลังสรงน้ำอยู่เช่นนั้น มีอาการโกรธเกรี้ยวเฉียวฉุนในทันใด ต่างทำท่าจะควบตะลุยโลดแล่นเข้าใส่ไม่รอช้า

ท่ามกลางความคับขันชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนปากเหว จ่าโขลงของช้างทั้งปวงชูงวงขึ้นสูง แผดเสียงแปร๋แปร๋นขึ้น ๓ ครั้ง ๓ ครา เป็นสัญญาณห้ามลูกโขลงไม่ให้ทำอันตรายพระธุดงค์

ลูกโขลงเหมือนถูกติดเบรกท่าวิ่งชะงักค้าง จ่าโขลงจึงนำลูกโขลงย้ายทำเลออกไปหาน้ำดื่มไกลจากที่ท่านสรงน้ำไม่รบกวนไม่ทำอันตรายใด ๆ

หลวงปู่คูรบาธรรมชัย เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังในภายหลังว่า โขลงช้างไม่ทำอันตรายท่าน เป็นด้วยบารมีธรรมของท่านที่แผ่เมตตาก่อนลงสรงน้ำในห้วยนั่นเอง.....

ชินเชาวน์
01-02-2010, 19:44
ป่าภาคเหนือเมื่อเกือบ ๑๐๐ ปีมาแล้ว มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเกือบ ๙ ใน ๑๐ ของแผ่นดินล้านนาไทย

ครั้งหนึ่ง ครูบาธรรมชัยไปนั่งสมาธิเจริญกรรมฐานอยู่ในป่าช้า "สันปูเลย" ใกล้กับวัด "ทุ่งหลวง" อำเภอแม่แตง อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากเท่าไหร่

เขตชุมชนหนาแน่นในสมัยนั้นก็ยังเป็นป่ารกชัฏ บรรยากาศยามค่ำคืนวิเวกวังเวงใจ โดยเฉพาะป่าช้า "สันปูเลย" เป็นป่าช้าที่น่าหวาดหวั่นของคนทั่วไป มีผีดิบปรากฏอยู่เสมอ คอยหลอกหลอนจนชาวบ้านขวัญหนีดีฝ่อไปตาม ๆ กัน ตกเย็นยังไม่ถึงกับมืดค่ำ ไม่มีแม้แต่สักคนเดียวที่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้ป่าช้าแห่งนี้ สัปเหร่อของวัดไม่มีวิชาดีพอที่จะคุ้มครองตัวเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน

แม้แต่ในเวลากลางวัน ถ้าไม่มีกิจธุระจำเป็น ชาวบ้านจะไม่ยอมเดินผ่านเข้าไปในป่าช้าเด็ดขาด เพราะเหล่าผีดิบไม่ละเว้นที่จะสำแดงเดช ป่าช้าสันปูเลยจึงเสมือนเขตหวงห้ามโดยไม่ต้องมีใครบังคับ

ครูบาธรรมชัยเข้าไปปักกลดบำเพ็ญเพียรในสถานที่อย่างนี้ พวกชาวบ้านจึงวิตกกังวลแทน เกรงว่าท่านจะได้รับความตกอกตกใจ บำเพ็ญสมณธรรมไปไม่ตลอดรอดฝั่ง ท่านก็ไม่ฟังคำห้ามปรามของศรัทธาญาติโยม

ระหว่างนั้น พ่อเลี้ยงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้าน "ปางทางปางกว้าง" อำเภอแม่แตง ได้มีช้างตกมันอยู่เชือกหนึ่งแตกปลอก ออกอาละวาด ช้างตกมันจะดุร้ายเหมือนช้างวิปลาสคุ้มคลั่ง ไม่ฟังคำสอนของควาญช้าง

ชินเชาวน์
02-02-2010, 19:03
ควาญช้างพยายามออกติดตาม พบเข้าก็ปลอบโยนตามวิธีที่เคยใช้ได้ผล แต่เที่ยวนี้ช้างไม่ฟังคำหวานใด ๆ ไล่กระทืบควาญช้างดุเดือดเผ่นหนีแทบไม่ทัน จากนั้นไล่ทำร้ายชาวบ้านไม่เลือกหน้า ทำลายไร่นา สวนผลไม้แหลกราญกินบริเวณกว้างขวาง

ชาวบ้านเห็นเส้นทางการบุกตะลุยของช้างตกมัน แน่ใจว่าต้องบุกมาทางป่าช้า "สันปูเลย" เป็นแน่ เกรงว่าครูบาธรรมชัยจะได้รับอันตรายจากช้างคลุ้มคลั่งอาละวาด รีบเสี่ยงกับความกลัวผีดิบมานิมนต์ท่านให้ถอนกลดหลบหนีช้างไปเสียก่อน

ครูบาธรรมชัยไม่ประหวั่นกับความตาย ชี้แจงให้พวกชาวบ้านทราบว่า เมื่อปักกลดก็ตั้งสัตย์อธิษฐานไว้ว่าจะมาบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าช้า จะถอนกลดกลางคันไม่ได้ ไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น ท่านจะอยู่ในป่าช้าไม่ไปไหน ถ้าเวรกรรมมีอยู่กับช้าง ก็ขอยอมสละสังขารอยู่ในป่าช้าแห่งนี้

อ้อนวอนกันอยู่เป็นนาน กระทั่งเห็นว่าท่านตั้งใจเด็ดเดี่ยวอยู่รอเผชิญหน้ากับช้างคลุ้มคลั่งอาละวาด พวกช้าวบ้านผู้หวังดีจึงนมัสการอำลากลับไปอย่างผิดหวัง และวิตกกังวลแทนครูบาธรรมชัยเป็นอย่างยิ่ง

ปรากฏว่าช้างตกมันจนสติแปรปรวนเชือกนั้น อาละวาดละเรื่อยมาตามรายทาง กำลังบ่ายโฉมหน้าวิ่งควบป่าแตกมาทางป่าช้า "สันปูเลย" จริงดังที่ชาวบ้านคาดคะเน ป่าช้าผีดิบพินาศยับเยินไปเป็นแถบ ด้วยอานุภาพของช้างสารตัวหวิดเท่าภูเขาย่อม ๆ

เมื่อเห็นกลดของครูบาธรรมชัยปักอยู่ ช้างตกมันบ้าคลั่งจึงตรงรี่เข้าไปเพื่อรื้อถอนให้ยับเยินสมกับความวิปริตของมัน

ชินเชาวน์
03-02-2010, 23:20
บริเวณกลดของครูบาธรรมชัยมีด้ายสายสิญจน์ขึงไว้รอบปริมณฑลป้องกันสัตว์ร้ายและหมู่มารไม่ให้เข้ามารบกวนการบำเพ็ญภาวนา

ช้างตกมันวิ่งปรี่เข้าถึงเส้นด้ายสีขาวบริสุทธิ์เหมือนใยแมงมุมในสายตาของมัน สิ่งแปลกประหลาดพลันอุบัติขึ้น ปรากฏว่าช้างคลุ้มคลั่งดุร้าย ปราศจากความกลัวเกรงในทุกสรรพสิ่ง เมื่อเจอด้ายสายสิญจน์ที่วงล้อมกลดเอาไว้กลับชะงักกึก มีทีท่าลังเลรี ๆ รอ ๆ ไม่กล้าก้าวข้ามด้ายสายสิญจน์ ทำหันรีหันขวางเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ งุ่นง่านขุ่นเคืองจนแผดเสียงแปร๋แปร๋นนานเป็นครู่ใหญ่

จากนั้นหันตัวเดินไปหักกิ่งไม้ต้นไม้และถอนหญ้ากินอยู่แถวกลดของครูบาธรรมชัยไม่ยอมไปไหน ท่าทางยังคลุ้มคลั่งไม่เสื่อมคลายแม้แต่นิดเดียว รอแค่ว่าครูบาธรรมชัยก้าวออกมาพ้นด้ายสายสิญจน์ที่วงไว้เมื่อไร เป็นไม่ยอมรอช้า ต้องวิ่งเข้าใส่เพื่อทำร้ายท่านทันที

ครูบาธรรมชัยเดินออกมานอกกลด และเดินจงกรมไปมาอยู่ในวงล้อมของสายสิญจน์เป็นปกติ ไม่หวาดกลัวช้างสารผู้โหดเหี้ยมดุร้ายที่ชายหูชายตามองท่านอยู่ไม่ว่างเว้น

เมื่อเดินพอเหมาะพอควรแล้วท่านก็นั่งขัดสมาธิเจริญกรรมฐานต่อที่หน้ากลดบ้าง อยู่ข้างในกลดบ้าง ช้างดุร้ายตกมันไม่ยอมไปไหน เฝ้าคุมเชิงท่านอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน เดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่แต่แถวนั้น เที่ยวรื้อถอนทุกสรรพสิ่งจนป่าช้า "สันปูเลย" ราบเป็นหน้ากลอง สภาพรกชัฏที่น่าพรั่นพรึงกลายเป็นพื้นดินกว้างขวางโล่งแจ้งไปกว่าครึ่งค่อน ลดความน่าหวาดกลัวเรื่องผีดิบลงไปไม่น้อย

พวกชาวบ้านห่วงใยกังวลในความปลอดภัยของครูบาธรรมชัยมากกว่ากลัวผีกลัวช้าง เป็นทุกข์อยู่แต่ว่าช้างจะคลั่งถึงขีดสุด เผ่นโผนเข้ากระทืบกลดทำร้ายท่านถึงแก่ชีวิต แต่ชาวบ้านก็คร้ามเกรงอำนาจดุร้ายของช้าง ไม่กล้าทำสิ่งใดลงไปสักอย่างเดียว

ชินเชาวน์
07-02-2010, 20:23
ควาญช้างมาถึง ยอมเสี่ยงอันตรายไปหลอกล่อมันด้วยประการต่าง ๆ โดนช้างเอางวงไล่ฟาดจนเผ่นออกมาแทบไม่ทันตามเคย

ผู้เฒ่าผู้แก่พากันร้องไห้ระงม กลัวครูบาธรรมชัยพลาดท่าเสียทีช้างร้าย จะนำข้าวปลาอาหารไปถวายท่านก็ไม่ได้ เนื่องจากช้างบ้าคลั่งตัวนี้ทำพิกลไม่ยอมไปไหนทั้งสิ้น ผูกใจอยู่แต่กลดและครูบาท่าน จ้องรอคอยอยู่แต่ว่าด้ายสายสิญจน์ขาดสะบั้นลงเมื่อไรหรืออันตรธานไปในเวลาใด จะวิ่งเข้าหากลดเพื่อกระชากมาเหยียบกระทืบเสียให้หนำใจ

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

ท่ามกลางการคุมเชิงของช้างตกมัน

ครูบาธรรมชัยไม่ได้ฉันอาหารใด ๆ แม้แต่น้ำสักหยด นานเท่าจำนวนวันที่ช้างตกมันเฝ้าคุมเชิงอยู่ มันเที่ยวเดินวนเวียนหาหญ้ากินจนสบายท้องแล้วก็เวียนมาทางกลดอีก เป็นอยู่เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่าเบื่อหน่ายและน่าระทึกใจ เนื่องจากยิ่งนานเท่าไร ครูบาท่านก็จะยิ่งแย่เท่านั้น

๑๐ วันผ่านไปอย่างเหลือเชื่อ.....

ชินเชาวน์
08-02-2010, 20:46
๑๐ วัน อันทรหดอดทนทั้งครูบาธรรมชัยที่นั่งเจริญสมาธิภาวนาสงบนิ่ง ชาวบ้านทั้งหลายทั้งปวงผู้ห่วงใยท่านจนบอกไม่ถูก และช้างร้ายที่ลังเลไม่กล้าก้าวข้ามวงล้อมของสายสิญจน์แต่ก็ไม่ยอมผละไปไหน ยังเที่ยวหากินอยู่ในบริเวณนั้น อิ่มหนำสำราญดีแล้วก็ย้อนกลับมาทำกิริยางุ่นง่านฮึดฮัดแถวรอบ ๆ กลด

ครูบาธรรมชัยอาศัยหยดน้ำที่เหลือเศษน้อยนิดในกาเพียงกลั้วปากให้ชุ่มชื่น และเจริญเมตตาภาวนาแผ่ส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมถึงช้างตกมันตัวนั้นด้วย คืนแล้ววันเล่าที่ท่านทำอยู่เช่นนั้น

กระทั่ง ๑๕ วันอันยาวนานเหมือนผ่านไปหนึ่งชาติ

ลุถึงเช้าวันที่ ๑๕ นับตั้งแต่ช้างร้ายกักบริเวณครูบาธรรมชัยไว้ในปริมณฑลอันเท่าวงล้อมของสายสิญจน์ ผลที่สุดสิ่งที่เรียกกันว่า "อาการตกมัน" บรรเทาเบาบางจนหายไปจากร่างของช้างร้าย มันละพยศสร่างความคลั่งเหมือนช้างบ้าดีเดือด ควาญช้างผู้เจนจบในเรื่องของช้างทราบดีว่าเข้าใกล้มันได้เมื่อไหร่ จึงเข้าไปพูดจาปลอบโยนประเล้าประโลมและพามันเดินออกไปจากป่าช้า "สันปูเลย" โดยสงบเสงี่ยมน่ารักน่าเอ็นดู ต่างจากตอนเป็นช้างตกมันลิบลับ

ศรัทธาญาติโยมอ่อนระอาแทบไม่มีผู้ใดคอยไปเฝ้าดูสถานการณ์ซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึงขั้นเหลือเชื่อคือ ๑๕ วัน เมื่อรู้ข่าวว่าช้างถูกนำตัวกลับออกไปจากป่าช้า จึงรีบพากันแห่แหนเข้าไปดูครูบาธรรมชัยที่กลด สงสัยว่าท่านอาจถูกทำร้ายจนถึงแก่มรณภาพ หรืออดทั้งอาหารและอดน้ำจนมรณภาพไปแล้ว คือธรรมดาของคนเราทั่วไป อดอาหารสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ๗ - ๑๐ วัน แต่อดน้ำนานที่สุดแค่ ๓ วัน ชีวิตก็หลุดออกจากร่าง

สภาพที่ชาวบ้านเห็นประจักษ์กับสายตาตนเองคือ.....

ชินเชาวน์
09-02-2010, 21:24
ครูบาธรรมชัยเดินจงกรมในลักษณะกิริยาสำรวมระวังเป็นปกติ ผิวพรรณวรรณะผ่องใสไม่หมองคล้ำ ท่าทางยังคึกคักกระฉับกระเฉง ไร้วี่แววว่าจะอ่อนเพลียเจียนเป็นเจียนตายเพราะอดข้าวอดน้ำแต่อย่างใดทั้งสิ้น

นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ชาวบ้านไม่ได้เห็นกับตาตนเองจะไม่ยอมเชื่อเป็นอันขาด ว่าพระภิกษุสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง ๑๕ วัน ไม่ต้องฉันข้าวดื่มน้ำ เหมือนร่างกายทำด้วยเหล็กไหลกระนั้น

ทุกคนก้มลงกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธา พร้อมกันนั้นก็โล่งอกไปตาม ๆ กัน เมื่อเห็นท่านยังอยู่ดีเป็นปกติสุข ท่ามกลางความปีติยินดีเป็นล้นพ้นของพวกชาวบ้าน ครูบาธรรมชัยกล่าวกับพวกเขาเหล่านั้นว่า

"เฮาพ้นคอกแล้ว เขาขังเฮาอยู่ในป่าช้า ๑๕ วัน เพราะชาติก่อนเฮาเคยทำเขามา จึงต้องชดใช้หนี้กรรมให้เขาในชาตินี้"

ชาวบ้านพากันนำอาหารใส่ถ้วยจานเข้ามาถวายครูบาธรรมชัย ท่านฉันได้เพียงเล็กน้อย เพราะร่างกายที่อดอาหารมาถึง ๑๕ วัน ยังไม่คุ้นชินกับการดื่มกิน

หลังจากท่านถอนกลดจาริกธุดงค์อำลาไป ป่าช้า "สันปูเลย" ที่เคยอึกทึกครึกโครมตอนมีช้างเข้ามาอาละวาดก็ย้อนกลับเข้าสู่สภาพเดิม คือเริ่มมีวัชพืชกับต้นหญ้าขึ้นรกชัฏ ชาวบ้านคร้ามเกรงไม่กล้าเดินผ่านในเวลากลางวัน ยิ่งเวลากลางคืนแทบไม่ต้องเอ่ยถึง คือไม่มีผู้ใดย่างกรายเฉียดใกล้ป่าช้าเด็ดขาด

ชินเชาวน์
13-02-2010, 20:54
ครูบาธรรมชัยได้รับนิมนต์ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำตับเตา อำเภอฝาง

เนื่องด้วยทางคณะสงฆ์เห็นว่าถ้ำตับเตาชำรุดทรุดโทรมลงมาก สมควรที่จะได้พระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีชื่อเสียงดีงามเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์ให้ถ้ำตับเตาอันเสื่อมโทรมแข็งแรงคงทนถาวรสืบไป

พิจารณากันรอบคอบถี่ถ้วนแล้ว คณะสงฆ์ทางภาคเหนือลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า "ครูบาธรรมชัย" เหมาะสมที่สุด ในการดำเนินงานพระศาสนาครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี

ถ้ำตับเตาคืออะไร.....

ถ้ำตับเตาเป็นโบราณสถานแห่งชาติอันสำคัญแห่งหนึ่ง อยู่ทางภาคเหนือของแผ่นดินสยาม มีชาวไทยและชาวต่างชาติไปนมัสการเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอทุกฤดูกาล ทุกวันนี้เป็นสถานที่เคารพสักการะของเหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลายทั้งปวง

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ หรือที่คนภาคพื้นนี้เรียกกันว่า "สงครามมหาเอเชียบูรพา" พวกชาวไทยใหญ่ (เงี้ยว) และพวกชาวหลวงพระบาง ชาวนครเวียงจันทน์ พากันเดินทางรอนแรมมาถวายสักการะอยู่เนืองนิตย์

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=3253&stc=1&d=1266324653

ชินเชาวน์
14-02-2010, 19:22
คำว่าถ้ำ "ตับเตา" เดิมเรียกกันว่า "ถ้ำตั๊บเต้า" ตามภาษาเหนือตรงกับภาษากลางว่า "ถ้ำทับเถ้า" หรือ "ถ้ำทับขี้เถ้า"

ผู้คนชนชาวแถบถิ่นเหนือนิยมพูดถ้อยคำให้สั้นเช่น ถ้ำตั๊บขี้เต้า (ถ้ำทับขี้เถ้า) ตัดคำให้สั้นกระชับลงเป็น ถ้ำตั๊บเต้า (ถ้ำทับเถ้า) แต่คนภาคพื้นอื่นเรียกไปอีกอย่างว่า ถ้ำตับเตา

ตำนานความเป็นมาของถ้ำตับเตา มีอยู่ใน "ศิลาจารึก" ที่ถ้ำจำนวน ๓ แผ่น เป็นตัวหนังสือพื้นเมืองเก่าแก่โบราณเนื้อความยาวเหยียด สรุปโดยย่นย่อมีอยู่ว่า

สมัยอดีตกาลอันนานมาแล้ว ยังมีพระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะกิเลสโดยชอบ ตามนัยแห่งองค์พระเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนไว้ พระอรหันต์องค์นั้นเสด็จมาบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ณ ที่หน้าถ้ำแห่งนี้ อยู่ต่อมาเมื่อสังขารอันไม่เที่ยงแท้แน่นอนเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา พระอรหันต์องค์นั้นเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานอันบรมสุขนิจนิรันดร์ ณ หน้าถ้ำแห่งนี้

เทพยดากับเทพเจ้าทุกสรวงสวรรค์ชั้นวิมาน เหล่ารุกขเทวาผู้สถิตอยู่ในป่าเขาเถื่อนถ้ำ ได้พากันเหาะมาถวายเพลิงพระสรีระองค์อรหันต์ตรงหน้าถ้ำแห่งนี้ เพลิงทิพย์ซึ่งเกิดจากอำนาจฤทธาภินิหาริย์ของทวยเทพเทวาทั้งหลายทั้งปวง ที่ร่วมกันเผาธาตุขันธ์พระอรหันต์ ได้ลุกลามไหม้ป่าใหญ่กินบริเวณกว้างไกลไปถึง ๓ กิโลเมตร กว้าง ๒ กิโลเมตร

นอกจากนั้นอำนาจเพลิงทิพย์อันเหนือกว่าไฟธรรมดายังลุกไหม้ลึกลงไปใต้พิภพ มีพลังอำนาจความร้อนแรงกล้าเกินที่จะหาสิ่งใดมายับยั้งอัคคีในคราวนี้ได้ เดือดร้อนไปถึงอาณาจักรใต้บาดาลของพญานาคราช ต้องกะเกณฑ์เหล่านาคากับนาคีหรือนาคหญิงชายให้เร่งรุดไปพ่นน้ำอาถรรพ์จากปากดับพิษไฟที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของเหล่าเทพยดา

ผลที่สุด ด้วยอิทธิฤทธิ์ที่มีขึ้นเองตามธรรมชาติของผู้ถือกำเนิดในภพพญานาค ทำให้ไฟจากอำนาจของเหล่าเทพยดาที่ลุกลามใกล้จะถึงพิภพพญานาคดับมอดสนิทลง

ชินเชาวน์
15-02-2010, 21:32
ด้วยเหตุอันลี้ลับมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยดึกดำบรรพ์อันไกลโพ้น คือบริเวณหน้าถ้ำตับเตา จึงปรากฏเป็นสีเหมือนขี้เถ้ามาตราบถึงทุกวันนี้...

ตำนานเก่าแก่ของคนโบราณ นักปราชญ์โบราณมักซ่อนเงื่อนปมอย่างลึกซึ้งเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังขบคิดตีความกันเอง ข้อเท็จจริงจะอย่างไรก็ต้องเป็นข้อเท็จจริงวันยังค่ำ

เมื่อมาดูแลประจำอยู่ที่ถ้ำตับเตา ซึ่งเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ครูบาธรรมชัยได้ช่วยบูรณปฏิสังขรณ์ ปลูกสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ อยู่นานถึง ๕ ปีเต็ม สิ้นแรงกายแรงใจไปมากมายมหาศาล สิ้นเงินไปถึง ๑๔๓,๙๐๐ บาท ซึ่งถือเป็นเงินก้อนใหญ่มากในสมัยนั้น

ถ้ำตับเตาที่เคยรกร้างปรักหักพัง ยามค่ำคืนเป็นสถานที่น่าสะพรึงกลัวของศรัทธาสาธุชน จึงเปลี่ยนโฉมเป็นสถานที่น่าท่องเที่ยวชมปูชนียวัตถุและสิ่งแปลกที่มีอยู่ทั่วบริเวณ น่าเคารพกราบไหว้ ไม่มีผู้ใดนึกคร้ามเกรงในการที่จะเดินทางไปถ้ำตับเตาอีกต่อไป

บริเวณหน้าถ้ำร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกไว้เป็นแถวเป็นแนว มีนกน้อยนานาพันธุ์ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วสดใสไพเราะ กระโดดโลดเต้นหาอาหารไม่กลัวผู้คน มีลิงค่างห้อยโหนอยู่ตามคบไม้ มีชะนีห้อยโหนโยนตัวไปมาจากไม้ต้นหนึ่งไปยังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง เหมือนธรรมชาติอันแท้จริงที่มีอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร

ผู้ได้ไปเยือนถึงถ้ำตับเตาหลังจากการบูรณปฏิสังขรณ์ จะรู้สึกเสมือนได้พบสถานที่พิเศษสุด สงบสงัดประกอบไปด้วยสิ่งเป็นธรรมชาติ งดงาม เจริญหูเจริญตา สามารถบันดาลดลให้จิตใจเกิดความสุขได้เองเหมือนผู้ทรงศีลในทันที

ชินเชาวน์
16-02-2010, 20:01
ถ้ำตับเตาแบ่งออกเป็น ๒ ถ้ำสำคัญ

คือถ้ำแจ้งแห่งหนึ่ง กับถ้ำมืดอีกแห่งหนึ่ง.....

เส้นทางทอดไปสู่ถ้ำแจ้งเป็นบันไดก่ออิฐถือปูน สูงประมาณ ๕๐ ขั้น มีศาลามุงกระเบื้องขึ้นไปถึงบนปากถ้ำแจ้ง มีรูปปั้นของบรมครูทางการแพทย์สมัยพุทธกาล "ท่านชีวกโกมารภัทร" ประดิษฐานอยู่ตรงปากถ้ำ

พระประธานภายในถ้ำแจ้งเป็นพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๙ วา ๒ ศอก สูง ๑๓ วา ๒ ศอก ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ

หน้าองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่อันเป็นพระประธาน มีพระธาตุแห้ง (เจดีย์) และพระเจ้าทันใจหนึ่งองค์

ด้านหลังของพระประธาน ห่างออกไปเพียงเล็กน้อยมีบันไดสูง ขึ้นไปยัง "ถ้ำปราสาท" และถัดจากองค์พระประธานไปมีพระพุทธไสยาสน์ความยาวประมาณ ๕ วา

หินศิลาจารึกเกี่ยวกับตำนานของถ้ำตับเตา จำนวน ๓ แผ่นก็อยู่ที่นี่

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=3254&stc=1&d=1266325178

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=3260&stc=1&d=1266330158

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=3255&stc=1&d=1266325178

ชินเชาวน์
18-02-2010, 22:27
ครูบาธรรมชัยยังบูรณปฏิสังขรณ์ให้ถ้ำแห่งนี้ มีความสวยงามพิสดารอีกมากมายหลายแห่ง

ถ้ำมืดอาถรรพ์.....

ถ้ำมืดอยู่ห่างจากถ้ำแจ้งขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ ๓๐๐ เมตรหน้าถ้ำมีบันไดก่ออิฐถือปูนขึ้นไปเช่นเดียวกัน

ถ้ำมืดแห่งนี้ลึกกว่าถ้ำแจ้งมากมายหลายเท่า ประมาณว่าลึกถึง ๖๐๐ เมตร หรือร่วม ๑ กิโลเมตร เมื่อก้าวเดินไปภายในถ้ำไม่ลึกเท่าใด แสงสว่างจากภายนอกจะถูกหักเหจนมีแต่ความทึมทะมึน ยิ่งเดินลึกเข้าไปประมาณ ๑๐๐ เมตร จะมองไม่เห็นแม้แต่ร่างกายตนเองเหมือนตามืดบอดชั่วคราว

ผู้ที่ก้าวเดินเข้าไปยังส่วนลึกของถ้ำ จำจะต้องมีตะเกียงเจ้าพายุช่วยส่องสว่าง หรือใช้คบเพลิงขนาดเขื่อง ไฟฉายนำมาใช้ไม่ค่อยได้ผลอย่างแปลกประหลาด จะมีแสงเพียงเลือนรางไม่สว่างเท่าที่ควร ภายในถ้ำยังมีเหวลึกเรียงรายอยู่ตามเส้นทางหลายแห่ง ดีไม่ดีผู้ใช้ไฟฉายมีหวังพลัดตกลงไปในเหวลึกเสียชีวิตไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

นอกจากอันตรายตามธรรมชาติคือเหวที่มีอยู่หลายแห่งในถ้ำแล้ว ยังมีงูแอบซุ่มซ่อนอยู่ทั่วไปตามซอกหินหลืบหิน สามารถพบได้ทุกย่างก้าว การเดินเหินต้องระมัดระวังตัวแจ

ชินเชาวน์
19-02-2010, 22:20
เมื่อขึ้นไปถึงปากถ้ำมืด ต้องไต่ลงไปตามขั้นบันไดในแนวดิ่ง ลึกประมาณ ๑๒ ขั้น พ้นจากขั้นบันไดจะพบพระพุทธรูปหลายองค์ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ผ่านจากสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ลึกเข้าไปอีก จะเป็นเส้นทางสูง ๆ ต่ำ ๆ และแคบ ๆ ประกอบไปด้วยเหวลึกอยู่ประชิดทางแคบ ๆ หลายแห่ง หากพลัดตกลงไปในเหวลึก ก็หมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดกลับไปจากถ้ำแน่นอน

ครูบาธรรมชัยเล่าว่า ผู้มีจิตสกปรกหยาบช้าหนาไปด้วยกิเลส บังอาจแสดงทีท่าหยาบช้าอนาจารภายในถ้ำ เมื่อผ่านหุบเหวมาได้อย่างหวาดเสียว จะเผชิญหน้ากับฝูงงูลึกลับจำนวนนับไม่ถ้วน มีทั้งงูเห่า งูจงอาง งูเขียวหางไหม้ ขนาดเท่าท่อนแขนผู้ใหญ่เป็นอย่างเล็ก นอกจากนั้นยังมีงูเหลือม งูหลาม ตัวขนาดเท่าโคนขาผู้ใหญ่ขึ้นไป เลื้อยคลานอยู่ยั้วเยี้ยทั่วโพรงถ้ำ ปรากฏมีแม้ซอกมุมที่ไม่นึกจะมี แสดงว่าผู้ทรงอำนาจในแดนอาถรรพ์มีความรังเกียจ ไม่ต้องการให้บุคคลสันดานชั่วช้าสารเลว ผ่านเข้าสู่เขตหวงห้าม

หากกล้าก้าวเข้าไปอีก ฝูงงูจำนวนนับไม่ถ้วนจะทำอันตรายโดยไม่รอช้า ผู้มีสันดานชั่วช้าถึงจะไม่ยอมรับหรือปิดบังคนธรรมดาได้ แต่สิ่งลึกลับผู้ทรงอำนาจภายในถ้ำมีฤทธิ์เดชมหาศาล รู้สันดานมนุษย์ได้ในทันทีที่เหยียบย่างถึงหน้าปากถ้ำ ผู้แอบมีนิสัยเลวทรามอย่างลอบเร้นสายตาคนธรรมดา ต้องรีบเผ่นออกจากบริเวณนั้นโดยด่วน ก่อนที่มหาภัยจะมาถึงตัว

ถ้ำมืดจึงเป็นถ้ำลี้ลับอันแฝงไปด้วยอาถรรพ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

เมื่อครั้งถ้ำตับเตาโดนเผาผลาญบริเวณหน้าถ้ำด้วยเพลิงทิพย์ของทวยเทพเทวา พญานาคราชแห่งอาณาจักรใต้พื้นพิภพ ตรัสสั่งให้ปวงบริวารทั้งนาคชายและนาคหญิง ขึ้นมาจากเมืองบาดาลเพื่อพ่นน้ำดับไฟทิพย์ของเหล่าเทพยดา เส้นทางของพญานาคเหล่านั้นต้องผ่านมาทางถ้ำมืด งูที่มีอยู่ภายในถ้ำย่อมจะต้องเป็นเหล่าบริวารของพญานาคราชมาเฝ้าคอยระแวดระวัง ผู้ใดไม่มีบุญวาสนาแท้จริง จะผ่านฝูงงูผู้ควบคุมเส้นทางไปไม่ได้เด็ดขาด และเข้าไปแล้วจะกลับออกมาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

แต่ครูบาธรรมชัยผ่านฝูงงูเข้าไปได้โดยปลอดภัยไร้อันตราย ลึกเข้าไปภายในโพรงถ้ำหลังผ่านจากฝูงงู มีประตูเรียกว่า "ประตูลอดบาป" เป็นจุดอาถรรพ์อันตรายที่สุดของถ้ำมืด

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=3330&stc=1&d=1266592524

ชินเชาวน์
20-02-2010, 22:37
ไม่ว่าผู้ใดก็ตามเมื่อผ่านเข้ามาถึงประตูลอดบาป เป็นต้องเผชิญหน้ากับพญางูใหญ่ ม้วนขนดขดตัวขวางเส้นทางเอาไว้ แค่พบเห็นความมหึมา ผู้ที่เผชิญหน้าก็เข่าอ่อนด้วยความขนพองสยองเกล้า

ตามตำนานระบุไว้ว่า.....

"ปุคคละ..อันว่าบุคคลใด ที่มีจิตไม่เป็นบุญเป็นกุศล พูดจาสกปรกหยาบคายไม่เป็นมงคล ไม่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง จะมีพญางูน้อยใหญ่มานอนขวางทาง ไม่ยอมให้บุคคลนั้นลอดบาป ผ่านเข้าไปในถ้ำด้านในได้เลย"

ครูบาธรรมชัยผ่านเข้าไปถึงส่วนลึกที่สุดของถ้ำ ซึ่งสงบสงัดวิเวกวังเวง แสงสว่างแม้สักเท่าหัวเข็มหมุดก็ไม่มีให้เห็น บรรยากาศเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นไอความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์

ที่แห่งนี้อยู่ลึกเข้าไปเกือบถึงใจกลางขุนเขา มีสิ่งมหัศจรรย์อันลี้ลับไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระธาตุน้ำ หรือเจดีย์น้ำอันนุ่มนิ่ม มีบ่อน้ำทิพย์ที่ว่ากันว่า ดื่มกินเข้าไปแล้วล้างบาปล้างกรรมได้(ตามตำนานว่าไว้) มีพระธาตุน้ำผึ้ง ซึ่งถ้าหากเอานิ้วมือแตะดูและกดลงจะเป็นรอยบุ๋มตามแรงกดทันที ครั้นยกนิ้วมือออกก็จะพองกลับขึ้นมาเหมือนดังเดิม

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=3442&stc=1&d=1266911047

ยังมีพระพุทธรูปปางสมาธิ มีชื่อเรียกขานกันว่า "พระเจ้าเนื้อนิ่ม" ที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครเทียม องค์พระพุทธรูปเนื้อนิ่มไปทั้งองค์ เหมือนทำด้วยใยไหมบางเบาเหนียวแน่น แล้วบรรจุน้ำใสบริสุทธิ์ไว้ข้างในกระนั้น ไม่ว่าจะสัมผัสส่วนใดขององค์พระ จะนิ่มนวลเหมือนเนื้อคนจริง ครั้นละมือออกมา ก็จะนูนเต็มขึ้นมาดังเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ตามความเป็นจริง องค์พระพุทธรูปก่อขึ้นด้วยสิ่งแข็งแกร่ง เป็นถาวรวัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพประหลาดมหัศจรรย์เป็นล้นพ้น

ชินเชาวน์
21-02-2010, 17:30
ครูบาธรรมชัยกล่าวว่า หากผู้ใดบุกบั่นเข้ามาถึงองค์พระพุทธรูปเนื้อนิ่มได้สำเร็จ จะอธิษฐานขอสิ่งดีงามประการใด จะสมปรารถนาดังประสงค์แน่นอนสมใจนึก

ที่ผนังถ้ำถัดจากพระพุทธรูปที่เรียกขานพระนามว่า "พระเจ้าเนื้อนิ่ม" มีรูปปั้นเด็กชายกับเด็กหญิง นั่งบ้างยืนบ้าง เรียงรายอยู่คนละแถบของคูหาถ้ำ ลักษณะเป็นรูปปั้นเก่าแก่ดึกดำบรรพ์โบร่ำโบราณ แสดงลักษณะเป็นเหล่าลูกทวยเทพเทวา ถ้าผู้ใดสามารถเข้าไปพบเห็นเด็กชายกับเด็กหญิงเหล่านี้ พึงอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ ทำจิตให้ปลอดโปร่งปราศจากมลทินทางใจ สมาทานศีล ๕ อย่างเคร่งครัดไม่คลอนแคลน

จากนั้นนำดอกไม้ ธูปเทียน มากราบไหว้ถวายสักการะนมัสการองค์พระพุทธรูป "พระเจ้าเนื้อนิ่ม" ตั้งจิตขอลูกเทวดาเหล่านั้นจากท่าน (ถ้าผู้นั้นประสงค์จะมีบุตร) เสร็จแล้วให้ถือดอกไม้เดินไปทางเด็กชายกับเด็กหญิงที่วางเรียงกันอยู่คนละแถบของคูหาถ้ำ ชอบคนไหนรักเด็กลักษณะหน้าตารูปร่างอย่างไร เมื่อถูกตาต้องใจดีแล้ว ให้วางดอกไม้ลงที่เด็กคนนั้น บอกกล่าวเชื้อเชิญให้ไปเป็นบุตรหลานของตน จะสมหวังดังจิตปรารถนาอย่างน่าอัศจรรย์

ครูบาธรรมชัยจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำตับเตาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๒ นานถึง ๕ ปีเต็ม ดูแลบูรณปฏิสังขรณ์สิ่งปรักหักพัง ชำรุดทรุดโทรม จนกระทั่งเปลี่ยนจากสถานที่อันมีบรรยากาศน่าสะพรึงกลัว ให้กลับมาเป็นแหล่งรื่นรมย์ตามธรรมชาติ ท่านได้รับเสียงชื่นชมอนุโมทนาสาธุการทั้งจากฝ่ายคณะสงฆ์ ฝ่ายทางราชการและประชาชนชาวภาคเหนือทุกหมู่เหล่า

จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๗ คณะศรัทธาญาติโยมชาวบ้าน "ทุ่งหลวง" ตำบลแม่แตง ได้พร้อมใจกันเดินทางมาอาราธนานิมนต์ครูบาธรรมชัยให้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดทุ่งหลวง ท่านได้รับนิมนต์ด้วยความยินดี ช่วยปรับปรุงวัดทุ่งหลวงที่เคยเป็นสำนักสงฆ์เล็ก ให้เป็นวัดใหญ่โตสวยงามวิจิตรตระการ มีถาวรวัตถุครบถ้วน เป็นหน้าเป็นตาของเมืองเชียงใหม่ขึ้นอีกวัดหนึ่ง

หลวงปู่ครูบาธรรมชัยเป็นพระผู้ทรงอภิญญาสมาบัติยอดเยี่ยม ซึ่งพระอริยสงฆ์องค์สำคัญแห่งยุค เช่น หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี หลวงปู่สิม พุทธจาโร และหลวงปู่หลวงพ่อองค์สำคัญอีกหลายองค์ ยอมรับว่าท่านเป็นพระเถระผู้สูงส่งไปด้วยเมตตาธรรม บำเพ็ญบารมีทางพระโพธิสัตว์ เพื่อไปอุบัติเป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ในอนาคตอันไกลโพ้น

ดังนั้นท่านจึงเป็นพระทรงอภิญญาผู้แผ่เมตตาบารมีแก่สัตว์โลกทุกหมู่เหล่าไม่เลือกว่าเป็นสัตว์ดีหรือสัตว์ร้าย คนดีหรือคนร้าย คนยากคนจน เศรษฐีร่ำรวยทรัพย์นับพันล้าน หรือคนจนหาเช้ากินเช้า ตอนเย็นยังไม่รู้ว่าจะกินอะไร หลวงปู่ครูบาธรรมชัยจะเมตตาเสมอเหมือนเท่าเทียมกันหมดไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

เรื่องราวของหลวงปู่ครูบาธรรมชัยกับความลี้ลับของป่าก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้


ที่มา หนังสือ "พระผู้บรรลุภพพญานาคราช"
เรียบเรียงเรื่องโดย ไชยพงศ์

ภาพประกอบจากเว็บบอร์ดรถไฟไทย

ชินเชาวน์
22-02-2010, 23:14
ประวัติของครูบาธรรมชัย ในเวลาต่อมา จากเว็บประตูธรรม (http://www.dharma-gateway.com)

จากนั้นมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ชาวคณะบ้านทุ่งหลวง ตำบลแม่แตง อำเภอแม่แตง ได้พร้อมใจกันมาอาราธนานิมนต์ครูบาธรรมชัยให้ไปจำวัด ณ บ้านทุ่งหลวง เพื่อไปเป็นหลักชัยแก่คณะศรัทธาประชาชนในถิ่นลำเนานั้น และได้นมัสการขออนุญาตจากทางการคณะสงฆ์อีกด้านหนึ่งด้วย มีเจ้าคณะอำเภอฝาง เป็นต้น เมื่อครูบาธรรมชัยยอมรับนิมนต์ด้วยความยินดี ทางฝ่ายคณะสงฆ์ก็อนุญาตให้ย้ายไปอยู่วัดทุ่งหลวงได้ไม่ขัดข้อง

ครูบาธรรมชัยเดินทางมาอยู่ทุ่งหลวงเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๙๗ วัดทุ่งหลวงขณะนั้นเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็ก ๆ มีศาลา ๑ หลังเท่านั้น บริเวณวัดเป็นป่าดงพงไพร มีหญ้าแน่นหนา ครูบาธรรมชัยมาอยู่วัดนี้ได้เริ่มลงมือก่อสร้างถาวรวัตถุขึ้นในวัดมาเรื่อย ๆ ด้วยความยากลำบาก

แต่ด้วยความเพียรเสียสละของท่านและประกอบด้วยขันติธรรมอย่างแท้จริง ทำให้สาธุชนให้ความเคารพเลื่อมใสหลั่งไหลมาร่วมงานกุศลกับท่านตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ทำให้วัดทุ่งหลวงซึ่งในอดีตเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็ก ๆ กลายเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงาม มีถาวรวัตถุครบถ้วนในปัจจุบัน

ครูบาธรรมชัยเป็นพระเถระที่ได้เสียสละตั้งใจทำงานในด้านพระศาสนา และด้านสาธารณะอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน นอกจากวัดทุ่งหลวงแล้วท่านได้มีจิตศรัทธาบำเพ็ญประโยชน์ไปยังวัดอื่น ๆ อยู่เสมอ

เช่น ได้ไปบูรณปฏิสังขรณ์เสริมสร้างองค์พระธาตุแม่ก๊ะ ไปสร้างพระวิหารวัดปางหก สร้างระฆังใหญ่ทองสัมฤทธิ์ถวายวัดศิริมังคลาจารย์ ตำบลแม่เหียะ ถวายวัดแม่ตามานและวัดม่วงชุมแห่งละ ๑ ใบ สร้างพระพุทธรูปพร้อมด้วยระฆังทองและสัตตะภัณฑ์เชิงเทียนไปถวายวัดพระบาทสี่รอย สร้างกุฏิวัดม่วงชุม เป็นต้น

รายการสร้างวัด สร้างโรงเรียนประชาบาล สร้างถาวรวัตถุไว้ในพระศาสนา และ สาธารณสังคมที่ท่านได้ทำไปยังมีอีกมากทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ใคร่ขอผ่านไปไม่สามารถจะนำมาลงได้หมด ครูบาธรรมชัยทำประโยชน์แก่ส่วนรวมเจริญรอยตามครูบาเจ้าศรีวิชัย พระปรมาจารย์ทุกประการก็ว่าได้

ตลอดชีวิตของครูบาธรรมชัยเป็นการสร้างสมคุณงามความดี มีผลงานในพระศาสนาและสาธารณสังคมเป็นประจักษ์เลื่องลือมากมาก แม้งานนั้นจะยากปานใด ท่านก็ทำสำเร็จลงได้ ชีวิตของท่านจึงเป็นชีวิตแห่งการงานที่ไม่นิ่งเฉย ประกอบด้วยขันติธรรมอันสูง พยายามบำเพ็ญประโยชน์ตนและผู้อื่นให้ถึงด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ

ชีวิตสมถะของท่านทรงไว้ซึ่งพรหมวิหาร ถือโอกาสปฏิบัติสมถะ - วิปัสสนากรรมฐานไม่ขาดสาย ได้บำเพ็ญศาสนกิจตามพระธรรมวินัยระเบียบ กติกาสงฆ์ สังฆาณัติ กฎหมาย มาพอสมควร ได้ปกครองอบรมสั่งสอนภิกษุสามเณรศิษย์วัด ให้การศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติกิจประจำวันให้มีระเบียบเรียบร้อย

ทั้งด้านการบูรณปฏิสังขรณ์ปลูกสร้างดังกล่าวมาสงเคราะห์ในสถานที่สมควร ท่านได้เผยแพร่ธรรมะอบรมเทศนาแก่ศรัทธาชาวบ้านสม่ำเสมอ ด้วยความเพียรเสียสละตลอดมา ไม่เคยท้อถอย จึงมีสาธุชนให้ความเคารพเลื่อมใสมากมาย

อนึ่ง ด้วยครูบาธรรมชัยเป็นพระกรรมฐานมีฌานสมาบัติแก่กล้าทรงอภิญญา ในด้านวิทยาคมและแพทยศาตร์สงเคราะห์แผนโบราณนั้น มีความเชี่ยวชาญมากเป็นพิเศษ เมื่อประชาชนได้รับทุกขเวทนาทางเจ็บป่วยพากันหลั่งไหลมาขอความเมตตาพึ่งพาใครผู้ใดได้อีกแล้ว

ครูบาธรรมชัย ก็ได้ประโลมขวัญให้กำลังใจเขาเหล่านั้น ช่วยสงเคราะห์ เมตตารักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ ทำให้พ้นจากโรคภัยไปเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน สามารถมีชีวิตอยู่รอดไปได้ ตามส่วนกุศลผลบุญมากและน้อยแต่ละบุคคล

การรักษาโรคของครูบาธรรมชัย ท่านรักษาด้วยพลังกระแสฌาน หรือพลังจิตขั้นสูง ยึดเอาอำนาจคุณพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเป็นสรณะสูงสุด และประกอบด้วยยาสมุนไพร

ครั้นต่อมาท่านได้นำเอาวิธีการฝังเข็มด้วยกระแสไฟฟ้าเข้ามาประยุกต์ใช้ด้วย แสดงว่าท่านค้นคว้าก้าวหน้าอยู่เสมอในทางแพทยศาสตร์สงเคราะห์ การอบตัวด้วยเครื่องยาสมุนไพร ก็เป็นส่วนประกอบอีกแบบหนึ่งในการรักษา ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาที่วัดของท่านในเวลานี้ โดยมีพระเณร แม่ชี และชาวบ้านคอยต้อนรับคนเจ็บป่วยและช่วยดูแลเครื่องต้นสมุนไพร ตลอดจนอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บริการอยู่ตลอดเวลา

ตามปกติจะมีคนไข้ด้วยโรคพยาธิต่าง ๆ จากทั่วประเทศ หลั่งไหลไปขอให้ครูบาธรรมชัยรักษาวันละมาก ๆ ที่รักษาค้างคืนเป็นประจำก็มีมาก ที่รักษาอยู่เป็นเดือนก็มีมากเช่นกัน สุดแต่โรคที่เป็นมากและน้อย เรื่องเงินทองอาหารการกินไม่ต้องวิตกกังวลใจ ครูบาธรรมชัยบริการทุกอย่าง

ท่านมีแต่ให้และให้ด้วยความเมตตากรุณาหาที่สุดมิได้ ส่วนใครจะถวายเงินทองท่านหรือไม่ ท่านไม่สนใจ ไม่ใช่เรื่องของท่าน เป็นเรื่องของศรัทธาแต่ละคน แล้วแต่จะถวายกับทางวัด ทางคณะสงฆ์ ท่านให้ทุกคนที่บากหน้าไปหา ได้รับแต่ความชุ่มชื่นสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาอย่างเดียวเท่านั้น

ใครบากหน้าไปหาท่านแล้ว จะต้องขนลุกซู่น้ำตาคลอ เกิดความปิติอย่างบอกไม่ถูก ปฏิปทาจริยาวัตรการปฏิบัติของท่านพิเศษจริง ๆ ไม่เหมือนหลวงพ่อหลวงปู่วัดใด ใครไม่เชื่อก็น่าจะลองไปพิสูจน์ดูด้วยตนเอง ท่านไม่ใช่พระเกจิอาจารย์ธรรมดา ๆ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาเกิดบำเพ็ญบารมี เพื่อหวังพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตอันไกลโพ้น แต่จะเป็นองค์ที่เท่าใดไม่อาจทราบได้

จึงกล่าวได้ว่า ครูบาธรรมชัยมีภารกิจในพระศาสนา และ บำเพ็ญประโยชน์สาธารณสังคม เป็นภาระหนักทับถมอยู่ตลอดเวลา แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนหลับนอน เวลาพักผ่อนของท่านก็ได้อาศัยการนั่งสมาธิในตอนดึก ๆ นั่นแล

เรื่องราวของครูบาธรรมชัยที่เล่ามาตั้งแต่ต้นนี้เป็นเพียง "เสี้ยวหนึ่งของชีวิต" ของท่านเท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายนักที่ไม่ได้เล่า เพราะถ้าเล่าจนหมดก็คงจะลงในหนังสือใช้เวลาเป็นปี ๆ ถึงจะจบ จึงใคร่จะขอรวบรัดตัดตอน นำมาเล่าสู่กันฟังเฉพาะตอนที่ไม่ "หนัก" จนเกินไปในด้านข้ออรรถข้อธรรม

ชินเชาวน์
22-02-2010, 23:15
เมื่อคราวพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จพระพุทธมหามงคลบพิตร ที่อำเภอหาดใหญ่ ตำบลน้ำน้อย วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๙

คณะศรัทธาญาติโยมได้นิมนต์พระอริยสงฆ์สำคัญในสมัยนั้นไปร่วมพิธี เท่าที่ประชาชนรู้จักกันเป็นอย่างดีมี หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร และ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก เป็นต้น ในจำนวนพระอริยสงฆ์สำคัญยังมี หลวงปู่ครูบาธรรมชัย รับนิมนต์ไปร่วมในพิธีนี้ด้วย

หลังจากเสร็จพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ คณะศรัทธาญาติโยมได้นิมนต์สงฆ์สำคัญทุกรูปไปเที่ยวชม "น้ำตกทรายขาว" ที่อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

น้ำตกทรายขาวอยู่ที่ "ภูเขาทรายขาว" อันเป็นเทือกเขาใหญ่สูงสุดที่สำคัญมากในเมืองนั้น สมัยอดีตเคยมีการทำเหมืองแร่ทองคำที่ภูเขาลูกนี้ คณะหลวงปู่และพระภิกษุสงฆ์รูปอื่น ที่ร่วมขบวนไปเที่ยวชมน้ำตกทรายขาว ต่างพึงพอใจและเพลิดเพลินในธรรมชาติอันสงบวิเวก เหมาะอย่างยิ่งในการเจริญธรรมบำเพ็ญตบะฌานให้ชุ่มเย็นตามจริตนิสัย

หลวงปู่หลวงพ่อปรารภกันว่า สถานที่แห่งนี้ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด เคยมาบำเพ็ญสมณธรรมเมื่อครั้งอดีตกาลอันไกลโพ้น คำปรารภก็คือกล่าวถึงความจริงอันเคยอุบัติขึ้น ที่แต่ละท่านรู้เห็นกระจ่างแจ้ง คณะศรัทธาสาธุชนผู้ได้ยินจึงตื่นเต้นโดยถ้วนหน้า เพราะไม่เคยมีใครทราบมาก่อนว่า หลวงปู่ทวดเคยบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ บริเวณน้ำตกทรายขาว

และประมาณ ๖๐ - ๗๐ ปี ที่ล่วงมานี้ (นับถึงปี ๒๕๑๙) เคยมีผู้ขอสัมปทานทำเหมืองแร่ทองคำ ทำให้ย่านน้ำตกทรายขาว คึกคักไปด้วยผู้คนร้านค้า แต่ได้เลิกร้างห่างหายในเวลาต่อมา เนื่องจากสายแร่ทองคำใต้ดินได้สูญสิ้นไปหมด

ชินเชาวน์
23-02-2010, 20:42
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เอ่ยเชิงปรารภว่า

"จะเป็นไปได้เชียวหรือที่สายแร่ทองคำจะหมดไปได้ง่ายจากภูเขาทรายขาวลูกนี้ น่าจะลองเพ่งดูใต้พื้นดินลึกลงไปอีกสักหน่อย ว่ายังมีแร่ทองคำหลงเหลืออยู่อีกหรือเปล่า"

ด้วยคำปรารภของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ทั้งหลวงพ่อเองกับหลวงปู่หลวงพ่อรูปอื่น ที่ร่วมอยู่ในขบวนไปเที่ยวชมน้ำตกทรายขาว สงบจิตเป็นสมาธิ ยืนเพ่ง สำรวจใต้ธรณีแบบเปิดมหาปฐพีด้วยทิพจักขุญาณ ดูใต้ผืนแผ่นธรณีในบริเวณนั้น

หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก เพ่งดูอยู่อึดใจหนึ่ง ก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

"บริเวณนี้ลึกลงไปยังมีทองคำ สายแร่ทองคำยังมี แต่อยู่ลึกมาก แลเหลืองอร่ามมากมายหลายสิบหลายร้อยตัน ความสามารถของมนุษย์ปัจจุบันยังขุดลงไปไม่ถึง"

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ "เพ่ง" เปิดมหาปฐพีเช่นกัน กล่าวว่าเห็นขุมทองคำจำนวนมหาศาลเหมือนหลวงปู่ชุ่ม

ชินเชาวน์
26-02-2010, 22:29
ครูบาธรรมชัยก็ "เพ่ง" เห็นแหล่งทองคำแผ่เป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล

แต่หลวงปู่สิม พุทธาจาโร อริยสงฆ์แห่งถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว "เพ่ง" ดูเช่นเดียวกับหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่น กลับมองไม่เห็นขุมทองมหาศาลแต่อย่างใด หลวงปู่สิมเห็นแต่มือดำทะมึนใหญ่โตมโหฬาร ดูแล้วเป็นมือมีห้านิ้ว คล้ายมือมนุษย์ แต่ใหญ่เท่าภูเขาเลากาอยู่ใต้พื้นพิภพ

หลวงปู่สิมจึงหันไปบอกสหธรรมิกทุกท่านตามตรง ปรากฏว่าหลวงปู่หลวงพ่อทุกองค์ได้ยินแล้วหัวเราะกันถ้วนหน้า ใครว่าพระอรหันต์เป็นพวกเฉยชาจืดชืดไร้อารมณ์ใด ๆ เพราะตัดแล้วซึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง ท่านตัดสิ้นหมดอาสวะกิเลสจริง แต่พวกท่านมีอารมณ์เพลิดเพลินสนุก นึกอยากจะหยอกล้อกันก็ทำไปเป็นธรรมชาติไม่ยึดติดนั่นเอง

ครูบาธรรมชัยจึงยกมือขึ้น แล้วบอกให้หลวงปู่สิม "เพ่ง" ดูอีกครั้ง

เมื่อหลวงปู่ทำไปตามน้ำ ใต้พื้นพิภพ มือลึกลับมหายักษ์อันตรธานไปสิ้นเชิง เห็นสายแร่ทองคำจำนวนเหลือคณานับสุกปลั่งเหลืองอร่ามเต็มไปหมด ทราบทันทีว่ามือลึกลับดำทะมึนใหญ่โตมโหฬาร สามารถปิดสายแร่ทองคำได้มิดชิดเมื่อสักครู่ คือฝ่ามือของครูบาธรรมชัยที่แสร้งกระเซ้าหลวงปู่สิม โดยสำแดงฤทธาปาฏิหาริย์บันดาลให้เงาของฝ่ามือไปบดบังทองคำจำนวนมหาศาล ไม่ให้ทิพย์จักษุมองทะลุเข้าไปถึงสายแร่

หลวงปู่สิมเมื่อทราบความจริงก็หัวเราะสนุก กล่าวชมเชยครูบาธรรมชัยเป็นการใหญ่ว่า เก่ง เก่งมาก สามารถใช้ฝ่ามือข้างเดียวปิดขุมทองทั้งขุมจนท่านแลไม่เห็น ครูบาธรรมชัยก็กล่าวขอขมาที่ล้อเล่นเหมือนล่วงเกิน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ยิ่งหัวเราะชอบใจบอกว่า ไม่ถือ ไม่ถือ ไม่ถือ สนุก สนุกดี

ชินเชาวน์
06-03-2010, 21:48
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเอ่ยถามหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ว่าเหตุใดทองคำมากมายมหาศาลก็ยังมีอยู่ แต่คนกลับขุดไม่พบ จนนึกว่าทองคำหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยแถบนี้แล้ว

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลับตาใช้อำนาจฌานสมาบัติตรวจสอบความเป็นไปอึดใจหนึ่ง เมื่อหยั่งรู้แน่ชัดจึงลืมตาตอบว่า

"เมื่อถึงเวลาเหมาะสม ทองคำอันมากมายมหาศาลจะปรากฏขึ้นมาเองตามกฏของฟ้าดิน ซึ่งต้องการให้ทรัพย์ในดินผุดขึ้นเป็นของคู่บุญบารมีของพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อไป ตอนนี้เทพเจ้าเบื้องบนยังใช้อำนาจสะกดไว้ ไม่ยอมให้ปรากฏต่อสายตาชาวโลก เครื่องมือดีแค่ไหนก็ตรวจสอบแร่ทองคำไม่พบ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เบื้องบนกำหนด"

หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก กล่าวสอดคล้องต้องกันกับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร

"ทองคำขุมนี้มีจำนวนมหาศาลก็จริง แต่ถือเป็นเพียงส่วนน้อยนิด เมื่อเทียบกับขุมทองที่ยังมีอีกหลายแห่งบนผืนแผ่นดินไทย ภายภาคหน้า อันไม่ใช่ระยะใกล้ เมืองไทยจะร่ำรวยใหญ่ตามกำหนดของเบื้องบน ประชาชนทุกหมู่เหล่าจะร่ำรวยกินอยู่สุขสบาย เป็นไปตามดวงเมืองอันลี้ลับ ซึ่งขึ้นอยู่กับกฏแห่งกรรมประกอบกันจากอดีตถึงปัจจุบัน"

ครูบาธรรมชัยใช้ญาณหยั่งรู้บ้าง หลับตาตรวจสอบสักอีกใจหนึ่งจึงกล่าวว่า

ชินเชาวน์
08-03-2010, 21:19
"ทองคำที่น้ำตกทรายขาวแห่งนี้มีอาถรรพ์ลึกลับคุ้มครองอยู่ สาเหตุที่ฝังลึกลงไปมากขนาดนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกศัตรูมาแบ่งแยกเอาแผ่นดินปัตตานีไปครองได้ ข้าศึกศัตรูที่บังอาจล่วงล้ำก้าวข้ามขุมทองอาถรรพ์แห่งนี้เข้ามา จะพบกับความวิบัติฉิบหายในที่สุด"

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเห็นด้วยกับครูบาธรรมชัยและหลวงปู่หลวงพ่อร่วมคณะ มีทองคำนับจำนวนตันไม่ถ้วนอยู่ที่ภูเขาทรายขาวก็จริง ไม่ได้หมดสิ้นไปตามที่นักขุดทองเข้าใจ แต่ใครจะไปขุดก็เอาขึ้นมาไม่ได้ เพราะมีอาถรรพ์ของฟ้าดินคุ้มครอง

เรื่องอำนาจอภิญญาของครูบาธรรมชัย เป็นที่ยอมรับกันในหมู่พระเถรานุเถระผู้เป็นพระกรรมฐานอันถึงขั้นพระอริยะ ต่างกล่าวยกย่องว่าครูบาธรรมชัยมีญาณพิเศษ ตาทิพย์ หูทิพย์ สามารถกำหนดจิตไปท่องสวรรค์ตรวจนรก

รู้ว่าคนเราตายแล้วไปไหน สามารถติดต่อกับวิญญาณที่ละสังขารไปแล้วเหล่านั้นได้ รู้ว่ามนุษย์สัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ชาติก่อนเคยอยู่ที่ไหน อดีตอันไกลโพ้นเคยเสวยชาติเป็นอะไรบ้าง

คนป่วยคนเจ็บจะอยู่จะหายจะเป็นจะตายเมื่อไหร่ รู้ต่อไปอีกด้วยว่าคนลักษณะท่าทางแข็งแรงสมบูรณ์ดีที่มาพบท่านนั้น ต่อไปอีกไม่ช้าก็จะตาย

ครูบาธรรมชัยยังล่วงรู้วาระจิตของมนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก ล่วงรู้ว่าในใจกำลังคิดอะไร คิดดีหรือคิดชั่ว เนื่องจากท่านมี "เจโตปริยญาณ คือญาณอันสามารถกำหนดรู้วาระจิตผู้อื่น"

ชินเชาวน์
10-03-2010, 22:18
เรื่องทิพยจักษุ ของครูบาธรรมชัย ตอนตรวจดูขุมทองคำใต้พื้นพิภพ เป็นที่ยอมรับกันไปแล้วในหมู่พระอริยะ แต่เรื่องสำคัญอันเกี่ยวกับโสตทิพย์ มีเรื่องที่น่ากล่าวถึงอยู่เรื่องหนึ่ง

เมื่อคราวมีพิธีบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติ อำเภอเชียงแสน วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือ ๓๕ ปีมาแล้วนับถึงปัจจุบัน

ในพิธีมีหลวงปู่หลวงพ่อองค์สำคัญหลายองค์ไปร่วมด้วย เช่น หลวงปู่คำแสน วัดป่าดอนมูล หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก

หลวงปู่บุดดา ถาวโร แห่งสำนักสงฆ์สองพี่น้อง อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท หลวงปู่สิม พุทธาจาโร แห่งวัดถ้ำผาปล่อง ครูบาชัยยะวงศ์ แห่งวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี และครูบาธรรมชัย

มีปรากฏการณ์แปลกประหลาด ในพิธีนมัสการบวงสรวงครั้งนั้นมีเรื่องน่าอัศจรรย์หลายอย่าง เช่น ฝูงนกลึกลับสีสันสวยงามหมู่หนึ่ง โบยบินมาทำประทักษิณาวัตรรอบองค์พระธาตุจอมกิตติ ๓ รอบ แล้วพากันบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้กับปะรำพิธีที่หลวงปู่หลวงพ่อองค์สำคัญ ๆ กำลังนั่งปรกพิธีกรรมอยู่

นกประหลาดที่บินมาอย่างลึกลับเหล่านั้น ต่างส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมเพรียงกันด้วยน้ำเสียง ลีลา สดใสไพเราะเสนาะโสต ในขณะที่มีพุทธศาสนิกชนจำนวนนับพันคนนั่งพนมมือสงบเงียบอยู่ในบริเวณพิธีกรรม ทุกคนรู้สึกแปลกใจที่เห็นนกสีสันงดงามมาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว และยังบินทำประทักษิณาวัตรองค์พระธาตุ ๓ รอบ ท่ามกลางเสียงพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

ชินเชาวน์
18-03-2010, 20:35
พลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ รอกระทั่งหลวงพ่อฤๅษีลิงดำออกจากการนั่งปรกในพิธีกรรม จึงได้นมัสการถามท่านว่า

"ทำไมมีนกลักษณะสวยงามแปลกประหลาดไม่เคยเห็นมาก่อนในโลกนี้ บินมาวนรอบองค์พระธาตุเจดีย์ถึง ๓ รอบ แล้วส่งเสียงขับร้องประสานกันพร้อมเพรียงอย่างไพเราะเสนาะโสต จะมีความหมายเป็นประการใดหรือขอรับ"

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ยิ้มอารมณ์ดี ตอบกับพลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ ว่า "ไปเรียนถามหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก ดูซี"

ท่านเจ้ากรมฯ เสริม สุขสวัสดิ์ จึงเขยิบไปนมัสการถาม หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก

หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก ยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ชุ่มเย็น บอกให้ท่านเจ้ากรมฯ ลองไปถาม "หลวงปู่คำแสน" แห่งวัดสวนดอก ดูเถิด

ท่านเจ้ากรมฯ เสริม สุขสวัสดิ์ จึงหันไปนมัสการถามหลวงปู่คำแสน หลวงปู่ก็ยิ้มเมตตาชี้มือไปทาง ครูบาธรรมชัย แล้วกล่าวว่า ลองไปถามครูบาธรรมชัยท่านดูซี

ชินเชาวน์
19-03-2010, 19:49
การที่พระอริยเจ้าทั้ง ๓ องค์ บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบข้อซักถามของท่านเจ้ากรมฯ เสริม ทำให้หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงปู่คำแสน แห่งวัดป่าดอนมูล ต่างหัวเราะสนุกและสนับสนุนให้ ครูบาธรรมชัย ช่วยเฉลยข้อสงสัยให้แก่ท่านเจ้ากรมฯ

ครูบาธรรมชัย ทราบว่าหลวงปู่หลวงพ่อทุกองค์ ให้เกียรติยกย่องในอำนาจอภิญญาสมาบัติ จึงถวายนมัสการหลวงปู่หลวงพ่อทุกองค์ด้วยความเคารพ แล้วแจกแจงให้ท่านเจ้ากรมฯ ฟังว่า

"อันนกผู้มีสีสันขนสวยงามลักษณะแปลกประหลาด หาใช่นกจากสถานที่ลึกลับแห่งใดในโลกหล้า เป็นฝูงนกวิเศษมาจากพิภพอื่น คือมาจากโลกทิพย์ซึ่งเป็นโลกที่ใครจะมองดูด้วยตาเปล่าไม่อาจแลเห็น และแท้ที่จริงก็คือเหล่าเทพยดาจำแลงปลอมแปลงร่างมานั่นเอง

เจตนาอันเป็นมหากุศลของปวงเทพยดา ก็เพื่อสำแดงสาธุการอนุโมทนา ชื่นชมยินดีในพิธีกรรมอันเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ เสียงอันไพเราะเพราะพริ้งฟังรื่นหูของนก คือเสียงนกพูดจากันเป็นภาษาธรรมะ และขอร่วมทำพิธีเทิดพระมหาบารมีแห่งองค์พระบรมสารีริกธาตุพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยร่วมสวดพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่มีแต่ในโลกทิพย์ เป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณนั่นเอง"

คำชี้แจงของครูบาธรรมชัย หลวงปู่หลวงพ่อทุกองค์ในที่นั้น ต่างพยักหน้าสนับสนุน อันแสดงว่าครูบาธรรมชัยมีโสตทิพย์รู้ภาษานก และยังล่วงรู้ไปอีกชั้นหนึ่งด้วยว่าเขาเหล่านั้นมาจากไหน มาเพื่อทำอะไร

เมื่อพิธีบวงสรวงเสร็จสิ้นลง ฝูงนกลึกลับจากมิติอื่นจึงโผผินบินจากกิ่งไม้ จับเป็นหมู่ร่อนวนเวียนไปรอบองค์พระธาตุเจดีย์จอมกิตติ ๓ รอบ แล้วผละออกเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุหมู่เมฆลับหายไปจากสายตาของผู้คนเรือนพันซึ่งชุมนุมกันอยู่บริเวณนั้น


ขอจบเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัยแต่เพียงเท่านี้