เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๒


เถรี
10-12-2009, 12:38
หลวงพ่อเล่าเรื่องเสือไฟให้ฟังว่า "เสือไฟ ตัวใหญ่ที่สุดมีขนาดประมาณหมาพันธุ์อัลเซเชี่ยน แต่เป็นสัตว์ที่มีอาถรรพณ์ ถ้ามันอาศัยอยู่ป่าไหน เสืออื่นจะไม่อยู่ พากันหนีไปหมด เขาเลยเรียกว่า พญาเสือ เหมือนกับมีอำนาจข่มเสืออื่นได้

ในด้านของไสยศาสตร์ คนโบราณเขาเชื่อว่า เสือไฟมีอำนาจข่มพวกภูตผีปิศาจได้ เขาจะพยายามหาหนังเสือไฟมาสักชิ้นหนึ่งก็ยังดี เวลาเข้าป่าเจอผีหรืออะไรรบกวนแล้วแก้ไขไม่ได้ เขาก็จะดึงขนของมันหย่อนลงไปในกองไฟ พอเผาเป็นควันแล้วพวกที่รบกวนมันจะหนีไปเอง"

เถรี
10-12-2009, 12:45
ในขณะที่กำลังคุยเกี่ยวกับเรื่องตะขาบในประวัติหลวงพ่ออุตตะมะ ที่มีขนาดตัวกว้างเป็นฟุต ยาวเป็นวา หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า

"ตั้งแต่เด็ก ๆ ได้รับการอบรมมาจากผู้ใหญ่ว่า ถ้าเจอตะขาบตัวใหญ่ขนาด ๓ นิ้วมือขึ้นไป แสดงว่าตะขาบตัวนั้นสามารถรวมมุกพลังได้แล้ว พวกนี้เขาจะมีศูนย์รวมพลังของเขาอยู่ พอเขารวมได้จะเป็นลักษณะไข่มุก เขาให้เอากระทะครอบมันไว้ แล้วตีดัง ๆ ตะขาบมันจะได้ยินเหมือนเสียงฟ้าร้องหรือฟ้าผ่าใกล้ ๆ แล้วมันจะพ่นไข่มุกออกมาต่อต้าน เราก็เก็บมุกของมันมา แสดงว่าคนโบราณเขาเจอเป็นปกติ แต่เราไม่ได้เจอ

ส่วนพวกงูตัวใหญ่ ๆ ถ้ามุกพลังของมันไม่ได้อยู่ในท้องก็จะอยู่ที่ส่วนอื่น ถ้าหากใครเขาฆ่างูใหญ่ ๆ ตาย แล้วเรามีโอกาสอยู่ใกล้ ๆ ถ้าค้นดูอาจจะเจอ ลักษณะจะเหมือนกับหินหรือแก้ว"

เถรี
10-12-2009, 12:52
ถาม : ช่วงหลัง ๆ เวลาที่เกิดอารมณ์กระทบ พอพิจารณาได้แล้วมันวางได้ มันจะเกิดความรู้สึกตามมา ๒ แบบ แบบแรกก็คือ เบื่อที่มันไม่จบไม่สิ้นเสียที กับอีกแบบหนึ่งมันเฉย ๆ
ตอบ : สังเกตอารมณ์นิดหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ให้มันเบื่อได้

ถาม : แล้วเฉยมันเกิดจากอะไร
ตอบ : เฉยมันเกิดจากสองอย่าง อย่างแรกคือ สมาธิแน่นไป อย่างที่สองก็คือพิจารณาไม่ถึง จิตมันไม่ยอมรับจริง ๆ

ถาม : ที่ถูกจะต้องเบื่อหรือคะ
ตอบ : ถ้ายอมรับมันจะเบื่อ แล้วถ้ามันถอนออกจากความเบื่อ มันจะปล่อยวาง คราวนี้เราใช้คำว่าเฉย เราต้องสังเกตอารมณ์ตัวเองว่ามันเฉยแบบไหน มันเฉยแบบรู้เท่าทันแล้วปล่อยวางหรือเปล่า? หรือเฉยในแบบสมาธิกดมันเอาไว้ แล้วอารมณ์มันไม่กำเริบอีก เราก็เลยรู้สึกว่าเฉย ถ้าหากว่าเป็นเฉยแบบรู้เท่าทันแล้วปล่อยวางจึงจะใช้ได้

ถาม: เวลาหนูมีเรื่องกระทบเบา ๆ ก็จะพิจารณาว่าจิตอยู่กับเรา ไอ้ที่เกิดมันเป็นเรื่องธรรมดาไม่เกี่ยวกับเรา กับอีกแบบหนึ่งคือเรื่องมันแรงมาก หนูจะโดดไปเกาะพระที่นิพพาน ให้เห็นชัด ๆ ไปเลยว่ามันไม่เกี่ยวกับเราจริง ๆ
ตอบ : จะแรงหรือจะเบาเอาให้ได้อย่างหลัง คือ ส่งใจไปนิพพานไว้ก่อน แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งเกาะนิพพานไว้ก่อน เราจะได้เห็นชัด ๆ ว่า นี่มันไม่เป็นเรื่องของเรา ถ้าเปรียบดูแล้วร่างกายมันเหมือนกับบ้าน คนมันมาเตะประตูรั้วบ้าง มาทุบประตูบ้านบ้าง ขว้างฝาผนังบ้างก็เรื่องของมัน เราอยู่ในบ้านเราก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่คราวนี้เราไม่ได้อยู่ในบ้านเสียด้วย เราเผ่นไปรอที่นิพพานแล้วมองมันเสียด้วยซ้ำไป

ถาม : ถ้าทำอยู่แค่นี้ ไม่ได้มากกว่านี้ แต่ทำให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ใช้ได้หรือเปล่าคะ
ตอบ : ทำให้มันคล่องตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ทันทีที่กระทบ แล้วเราไปอยู่นิพพานได้เลยแล้วเราจะปลอดภัย

ถาม : แล้วถ้าพิจารณานั่งนิ่ง ๆ ยังมีความจำเป็นอยู่ไหม
ตอบ : ถ้ามันมีเวลาอยากคิด ให้มันคิดได้ แต่ถ้ามันไม่คิด ส่งใจไปอยู่นิพพานที่เดียวก็พอแล้ว

เถรี
10-12-2009, 12:58
ถาม : หนูพยายามมองตัวเองว่ายังห่วย ซึ่งมันก็ยังห่วยอยู่ แต่บางอารมณ์ก็ดันไปเปรียบเทียบว่าคนอื่นว่าเขาแย่กว่าเรา อะไรอย่างนี้
ตอบ : นั่นเรื่องปกติ ตราบใดที่ยังมีสักกายทิฏฐิ ยังมีมานะอยู่ เจ้าสองตัวนี้มันจะทำให้เราเผลอคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเขา

ถาม : แล้วพวกนี้ถ้าเราไม่ไปตัดอะไร มันจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : สิ่งที่เราทำอยู่มันเป็นการตัด อย่างเช่นว่าเราฝึกสมาธิอยู่ตรงเฉพาะหน้า มันก็ไม่สามารถจะโตต่อไปได้ ถ้ามีปัญญาก็ไปค่อยตัดไปละมันได้ แล้วเดี๋ยวมันก็จะหมดสภาพของมัน ตอนนี้ตัดกิ่งใหญ่ไม่ได้ ตัดกิ่งเล็ก ๆ เท่าไม้จิ้มฟันไปก่อน แล้วค่อยตัดกิ่งใหญ่ ๆ อย่างลูกของเรา

ถาม : หลัง ๆ พอภาวนากำลังจะสงบ มันกลายเป็นมีกิเลสระหว่างวันโผล่ขึ้นมาให้เห็นอย่างชัด ๆ เลย อย่างนี้ฟุ้งซ่านหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เรียกว่าฟุ้ง มันเป็นช่วงที่จิตกำลังจะสงบ จะเริ่มเข้าสู่อารมณ์ของอุปจารสมาธิ ช่วงนั้นกิเลสจะแทรกได้เต็ม ๆ ถ้าเป็นอุปจารฌานหรือปฐมฌานมันจะแทรกไม่ได้ ในเมื่อเราเผลอ เปิดโอกาสให้มันแทรกเข้ามาก็เป็นเรื่องดี เราจะได้ดู

ถ้าหากว่าเป็นมหาสติปัฏฐานสูตร ช่วงทันทีที่กิเลสมันโผล่ จังหวะนั้นเป็นช่วงจิตในจิต คือรู้เท่าทันอาการมัน เห็นหน้าของมัน แล้วก็พิจารณาต่อไปเลยว่ามันเป็นรัก โลภ โกรธ หลงอย่างไร ก็จะเป็นธรรมในธรรม รู้ทันแล้ววาง....รู้ทันแล้ววาง อย่าไปปรุงไปแต่ง ไปตามมัน เราเป็นแค่คนดูเฉย ๆ อย่าไปเป็นคนเล่น ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวกิเลสมันก็พัง เพราะว่าเราไม่ไปปรุงไปแต่ง ไม่ไปต่อเติมเสริมความ มันเหมือนกับไฟลุกขึ้นมา พอไม่มีเชื้อมันก็จะดับ แต่ถ้าเราไปปรุงไปเติมไปแต่ง ไปเสริมความให้มัน มันมีเชื้อเข้า คราวนี้ก็จะลุกลามไปเรื่อย อย่างเช่นเราไปคิดต่อว่า คนนั้นไม่ดีกับเราอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีกับเราอย่างนี้ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ คราวหน้าเราจะเอาคืนบ้าง คราวนี้ไปกันใหญ่ พอถึงตรงนี้แล้วเบรกไม่อยู่ จะหาวิธีไหนเอาคืนหว่า ? ก็ว่าไปเรื่อย กว่าจะรู้ตัวก็ฆ่าเขาไปสามร้อยกว่าวิธีแล้ว

เถรี
10-12-2009, 13:00
ถาม : หลวงพ่อคะ..ถ้ามีสติระหว่างหลับกับตื่นเท่ากัน นี่ต้องไม่ฝันเลยใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นนิมิต แล้วเราแยกไม่ออกว่าเป็นฝันหรือนิมิต นิมิตส่วนใหญ่จะบอกเหตุที่เกิดขึ้นล่วงหน้า หรือไม่ก็นิมิตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เคยทำมาในอดีต ฉะนั้น..ต้องแยกให้ออก นิมิตกับฝันหน้าตามันเหมือนกัน

ถาม : หลวงพ่อคะ หนูมีพระองค์หนึ่ง ตั้งใจจะมาถวายหลวงพ่อ แล้วลูกไปปัดตกแตกเสียแล้วค่ะ
ตอบ : ซ่อม

ถาม : ซ่อมแล้วมาถวายใหม่หรือคะ ?
ตอบ : ซ่อมแล้วปิดทองให้ดี จะได้อานิสงส์เพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าเผลอเกิดใหม่จะเป็นเบญจกัลยาณี เขาเรียกพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ส่งไปให้ช่างซ่อมปิดทอง

เถรี
10-12-2009, 13:02
ถาม : หลวงพ่อคะ แล้ววิธีหยุดพักอย่างเต่านี่ทำอย่างไร หยุดแบบไม่ให้ถอยหลังน่ะค่ะ ?
ตอบ : เต่ามันมีหัว ๑ มีตีน ๔ รวมแล้วเป็น ๕ เราก็ปิดกั้นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเราเสีย อย่าให้มันกระทบ อย่าให้มันปรุงแต่ง สู้มันไม่ไหวก็อย่าให้มันทำอันตรายเราได้ ฟังแล้วกลุ้มใจไหม ?

ถาม: ก็อยู่ในสมถะของเราไป ?
ตอบ : ยังฆ่ามันไม่ตายก็ยื้อมันไปเรื่อย ๆ ดูว่าใครจะอึดกว่ากัน

ถาม : แข่งกันอึด แข่งกันยื้อ ?
ตอบ : จะเป็นช่วงที่ชีวิตมีรสชาติมากเลย

เถรี
10-12-2009, 13:06
หลวงพ่อเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของปรอทว่า "ส่วนใหญ่คนที่ทำปรอทแล้วที่ไปหลงมัน ก็เพราะว่าพอทำได้แล้วอานุภาพมันเกิด อย่างปีที่อาตมาไปพม่า พระไทยไป ๕ รูปสึกเกลี้ยงตั้งแต่ทำปรอทได้ขั้นแรก เพราะขั้นแรกมันเป็นมหาเสน่ห์

ไม่น่าเชื่อว่าขนาดอยู่ในป่า พวกสาว ๆ ก็ตะเกียกตะกายมาส่งน้ำส่งข้าวให้ ท้ายสุดต้องสึกไปจนได้ ก็พวกลูกสาวชาวบ้านแถวนั้นแหละ ถ้าหากธรรมดาเราคงไม่รู้สึกว่าน่าสนใจหรอก อาจเป็นไปได้ว่า ไม่ได้เจอผู้เจอคนนาน ๆ เจอใครมันก็ดูดีไปหมด"

เถรี
10-12-2009, 13:23
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "เชื่อไหมว่าในพม่า มีนิกายหนึ่งที่ไปจากไทย แล้วมีชื่อเสียงเป็นที่นับถือมาก คือ นิกายมหาเย็น

มหาเย็น จริง ๆ ท่านเป็นพระวัดบวรฯ ท่านธุดงค์ไปพม่า ด้วยความที่ท่านเป็นธรรมยุติ ท่านเน้นมากในเรื่องของอภิสมาจาร ทำให้ดูน่าเลื่อมใส คนก็เลยเกิดศรัทธา สร้างวัดให้ท่าน คราวนี้พอท่านสร้างวัดแล้วลูกหลานเขามาบวชด้วย ท่านเองก็สามารถอบรมเขาให้ได้แบบเดียวกับท่าน คนก็เลยยิ่งเลื่อมใสเข้าไปใหญ่ ช่วงแค่สามสี่ปี เขาสร้างวัดถวายวัด ๒๐ กว่าวัด ฟังตรงนี้แล้วฉุกใจคิดอะไรบ้างไหม? เขาสร้างวัดถวาย ไม่ใช่ท่านสร้างเอง

เราลองนึกถึงสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารถวายวัดเวฬุวัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีถวายวัดเชตวัน นางวิสาขามหาอุบาสิกาถวายวัดบุพพาราม นางอัมพปาลีถวายวัดอัมพวัน หมอชีวกถวายวัดอัมพวันเหมือนกัน เขาก็เลยเรียกแยกเป็น ชีวกัมพวัน สมัยก่อนล้วนแล้วแต่ญาติโยมช่วยบำรุงพระภิกษุสามเณร ช่วยสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ให้ แต่สมัยปัจจุบันพระต้องสร้างเองทั้งนั้น มันเกิดจากอะไร ที่อยู่ ๆ ความนิยมเก่าที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างถวายพระสูญหายไปเฉย ๆ กลายเป็นพระต้องไปตะเกียกตะกายทำเอง

สมัยรัชกาลที่ ๖-๗ แม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดิน อำมาตย์ เสนาบดีต่าง ๆ ก็ยังนิยมสร้างวัด จากที่ลองพิจารณาดูช่วงเปลี่ยนผ่านของมัน น่าจะเป็นช่วงที่ประเทศของเราสนับสนุนอุตสาหกรรมการส่งออก สมัยนั้นมีข้าว ไม้สัก ยางพารา ข้าวโพด แร่ดีบุก แต่ละอย่างต้องใช้แรงงานมาก ในเมื่อแรงงานเข้าไปอยู่ภาคอุตสาหกรรมนี้หมด ส่วนที่จะมาช่วยในเรื่องของวัดวาอารามก็น้อยลง แต่ก็ยังดี คนเขาก็ยังอยากทำบุญอยู่ ก็เลยเปลี่ยนเป็นถวายปัจจัยให้พระคุณเจ้าไปสร้างเอง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระคุณเจ้าก็ต้องสร้างกันเองมาตลอด มันผิดธรรมเนียมไปเยอะเลย มานั่งคิด ๆ ดู ว่าน่าจะเป็นช่วงนี้แน่นอน"

เถรี
10-12-2009, 13:25
ถาม : หลวงพ่อคะ ขอธรรมะสำหรับการไปธุดงค์
ตอบ : ไม่มีอะไร คิดเสียว่าไปตาย สบายที่สุด

ถาม : บรรยากาศมันไม่ให้ค่ะ
ตอบ : ก็นอนนอกเต็นท์ นอนในมุมที่รกที่สุด ไกลคนที่สุด เดี๋ยวบรรยากาศความตายมันก็มาเอง ในเมื่อมันไม่ให้เราก็สร้างบรรยากาศเองสิ ตั้งใจว่างูมากี่ตัวให้มันมาทางนี้ ยิ่งหน้าหนาว งูมันจะหาที่อุ่น

งูเป็นสัตว์ที่น่าสงสารมาก พวกสัตว์เลื้อยคลานส่วนใหญ่จะเลือดเย็น อุณหภูมิร่างกายจะเท่ากับอุณหภูมิอากาศ บางทีมันตากแดดเก้าโมงสาย ๆ มันจึงจะขยับตัวได้ ถ้าเจอคนมันจะเข้าไปหาเลย
อาตมามีประสบการณ์ งูนอนทับอกมาหลายครั้งแล้ว

เถรี
10-12-2009, 13:27
ถาม : ก่อนหน้านั้นมีความรู้สึกว่าถ้าอยากให้สมาธิทรงตัว เราต้องไปสถานที่ที่เขาปฏิบัติ อย่างไปธุดงค์ หลัง ๆ มานี่ก็คือ ความรู้สึกที่จะไปธุดงค์ก็คือ ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ ความรู้สึกมันไม่ต่างกัน
ตอบ : จะว่าไปแล้วอันนี้เป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง การปฏิบัติมันอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ว่าการไปในสถานที่บางแห่ง สิ่งแวดล้อมจะชักนำให้เราอยากปฏิบัติ หรือว่าต้องเร่งรัดตัวเองมากขึ้น คือ สิ่งแวดล้อมมันพาไป ถ้าหากว่ามีสิ่งแวดล้อมแบบนั้นก็ควรที่จะไป เพื่อที่จะได้เอาความก้าวหน้าใส่ตัวของเรา

ถาม : พอเราจะไป เราก็เริ่มตั้งความหวังว่าเราจะได้อะไรกลับมาบ้างไหม
ตอบ : ต้องตั้งใจว่าเราจะทำให้ดีที่สุด ส่วนจะได้หรือไม่ได้อะไรเรื่องของมัน ถ้าไปตั้งใจว่าต้องได้อย่างนั้น ต้องได้อย่างนี้เดี๋ยวพัง กลายเป็นโลภะเจตนา

ถาม : แต่ถ้าเราคิดล่วงหน้าว่าเราจะทำอะไรบ้าง
ตอบ : ถ้าจะไปทำอะไรบ้างไม่เป็นไร แต่อย่าไปคิดว่าเราจะได้อะไร คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนจะได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของมัน

เถรี
10-12-2009, 13:29
หลวงพ่อเล่าเรื่องผีให้ฟัง แล้วท่านก็อธิบายว่า "เวลาผีเขาจะหลอกเรา เขาจะใช้กำลังดึงธาตุ ๔ ในอากาศมารวมตัวกันให้เป็นสสาร ซึ่งปกติมันเป็นสสารอยู่แล้ว แต่มันไม่เป็นระเบียบ ก็ดึงมันมาทำให้หยาบ มันจะได้ปรากฏตัวได้ ถ้าหากกำลังไม่พอ เขาจะทำตรงนี้ไม่ได้ ถ้าหากตัวไหนที่มาหลอกเราแสดงว่ากำลังเขาพอใช้ได้ บางรายแย่ ๆ ก็ได้ยินแต่เสียง ได้แต่กลิ่น เห็นแต่เงาวูบวาบ ๆ เท่านั้น พวกนั้นกำลังน้อย"

เถรี
10-12-2009, 13:33
ถาม : หนูอยากจะถามว่าเวลาหมาพูด มันจะพูดว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : มันก็พูดว่าโฮ่ง

ถาม : แล้วหมาที่เป็นเทวดาละคะ ?
ตอบ : พูดได้แต่ภาษาหมาจ้ะ เพราะเขาโดนบังคับให้อยู่ในร่างหมา เขาไม่ได้พูดภาษาคนหรอกจ้ะ เขาอยู่ในร่างหมาก็ใช้ภาษาหมาอยู่

เถรี
10-12-2009, 13:40
ขณะที่พี่สาวท่านหนึ่งกำลังเล่นกับสุนัข แล้วสุนัขรู้สึกกลัว ไม่เล่นด้วย หลวงพ่อท่านก็กล่าวว่า "เคยบอกว่าสัตว์เขารู้ ฝรั่งเขาพยายามศึกษาเรื่องนี้ ศึกษาจนกระทั่งได้ข้อสรุปว่าในแต่ละอารมณ์ ร่างกายเราหลั่งสารเคมีออกมาไม่เหมือนกัน แล้วสัตว์มันสัมผัสได้ มันก็เลยรู้ว่าเราคิดดีหรือคิดร้ายกับมัน อย่างในแบบของพวกเรา ทิพจักขุของสุนัขมันดีกว่าของพวกเรา แถมมันยังเป็นนิรุตติปฏิสัมภิทาด้วย มันรู้ทุกภาษาในโลก ลองเอามันไปโยนแถว ๆ อเมริกาสิ มันยังคุยกับหมาอเมริการู้เรื่อง เอามันไปโยนที่ขั้วโลก มันก็คุยกับหมาพวกเอสกิโมได้"

ถาม : เป็นหมาที่มีฤทธิ์
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่ากรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม กรรมที่ทำให้เขาไปเกิดอย่างนั้น ก็ต้องมีสิ่งทดแทน

เถรี
10-12-2009, 13:53
ถาม : หลวงพ่อคะ ตอนที่ถักหมวก หลวงพ่อบอกว่าถ้าสติเราตามดู เราทัน มันเป็นวิปัสสนาแล้ว ยังไม่ค่อยเข้าใจ ความรู้สึกมันต่างกันไหมคะกับการกดทับ
ตอบ : สติที่จดจ่ออยู่กับเฉพาะหน้า มันจะไม่ปรุงไปในด้านรัก โลภ โกรธ หลง นั่นแหละคือวิปัสสนาญาณ

ถาม : แล้วอย่างนี้เวลาเราถักหมวก เรารู้สึกว่าเราปวดมือ แล้วเราก็รู้ว่าปวดมือ แต่เราก็ถักของมันไป อันนี้มันเป็นฌานหรือเป็นวิปัสสนาคะ
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเราเห็นว่าสภาพแท้จริงร่างกายของเรามันเป็นอย่างนี้ก็เป็นไป งานยังไม่เสร็จก็ยังไม่เลิก จะเป็นวิปัสสนา

ถาม : ไม่ใช่ว่าเราใช้การกดทับเวทนาหรือคะ
ตอบ : ถ้าหากใช้การกดทับ มันจะไม่ใส่ใจอาการของมัน มันจะอยู่ที่สมาธิหรือลมหายใจ

เถรี
11-12-2009, 09:55
ถาม : จะซื้อกองทุนรวม เพื่อจะเอาไว้ออมทรัพย์ใช้ยามป่วยค่ะ ?
ตอบ : พวกเราคงรู้จัก คุณหมอสมศักดิ์ สืบสงวน กันดี สมัยก่อนอาตมาคุยกับท่านเป็นประจำ คุยกันเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง สุดท้ายก็จะดึงเนื้อหามาสรุปเข้าหัวข้อธรรมะ

พอคุณหมออายุ ๕๕ ปี คุณหมอก็จัดแจงเกษียณตัวเองก่อนที่รัฐบาลจะมี early retire หลังจากนั้นคุณหมอก็ไปอยู่วัดเป็นประจำ เดือนหนึ่งจะอยู่วัดอย่างน้อย ๑๐ วัน พออาตมาออกจากวัดมาแล้วย้อนกลับไป ก็ไปเจอกัน คุณหมอก็มาจับแขน แล้วบอกว่า "อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ไม่ผิดจริง ๆ" ถามคุณหมอว่า "งวดนี้เรื่องอะไรอีก"

คุณหมอก็เล่าให้ฟังว่า "ก็ตัวผมนะสิครับ ผมคิดว่าได้เงินบำเหน็จมา บวกกับเงินของตัวเอง ฝากเอาไว้จำนวนเท่านี้ ๆ ได้ดอกเบี้ยมาเท่านี้ ๆ อย่างไรก็พอใช้ ปรากฏว่าค่าของเงินมันตก ที่คิดว่าพอใช้ตอนนี้ไม่พอแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ทุกอย่างอนิจจัง ผมดันไม่เชื่อเอง"
ดังนั้นเก็บเงินไว้เถอะ เผื่อว่าตอนแก่ ๆ อาจจะได้ใช้บ้าง

เถรี
11-12-2009, 10:03
ถาม : หลวงพ่อเป็นไปได้ไหมคะ ที่ช่วงแรกพอมันเปลี่ยนจากฌานหนักเป็นฌานใช้งานแล้ว อารมณ์มันจะเบาขึ้น ต่อไปมันก็จะเบาขึ้นเรื่อย ๆ หรือพอเปลี่ยนแล้วมันเบาเลยทีเดียว
ตอบ : ไปตามสภาพของความคล่องตัว คล่องตัวมากก็เบา

ถาม : หนูมานั่งแยกอารมณ์ระหว่างวิปัสสนากับอรูปฌานค่ะ อย่างตัววิปัสสนาอารมณ์มันไม่มีของมันมาแล้วตั้งแต่ต้น แต่ตัวอรูปฌานก็คือมันมีของมันอยู่แล้ว แต่เราไปทำให้มันไม่มี
ตอบ : ถ้าหากพิจารณาง่าย ๆ ให้ดูตรงที่ว่า วิปัสสนาเรารับรู้แล้วปล่อยวาง ส่วนอรูปฌานมันเป็นการกด ใช้กำลังฌานมาคานไว้ ให้แยกอย่างนี้ อย่างที่เราดูมันกลายเป็นทำของง่ายให้ยาก

ถาม : อีกอย่างก็คือเวลาอยู่ในอารมณ์วิปัสสนามันจะเป็นลักษณะหยุดการปรุงแต่งไว้แค่นี้ ถ้าอยู่ในอรูปฌานมันจะหยุดการหมายจำ หมายรู้
ตอบ : จริง ๆ อรูปฌานมันหยุดการปรุงแต่งได้ เพียงแต่มันเป็นการปรุงแต่งสภาพจิตอีกแบบ หยุดได้เหมือนกันแต่มันไปปรุงอีกตัว

ถาม : วันนั้นไล่ไปไล่มา มันไปเจอความรู้สึกที่ว่า หนูผูกอยู่กับหลวงพ่อ ก็มาคิดว่าอย่างนี้เราจะละดีหรือเปล่า หนูก็เลยตัดสินใจละ อีกอย่างการนึกถึงหลวงพ่อไม่ว่าจะเป็นลีลาท่าทาง ปฏิปทาอะไรก็ตาม มันรู้สึกว่ามันยินดีมากนะ มันชอบใจนะ ดูไปดูมาตัวนี้มันเป็นตัวยินดี ถามว่ามันดีไหม..มันก็ดี แต่ความรู้สึกของหนูก็คือมันมีที่ดีกว่านั้น ก็คืออารมณ์เป็นกลาง ๆ ค่ะ ก็เลยมาถามว่าที่หนูรู้มานี่ มันถูกหรือเปล่า
ตอบ : ถูก คลำให้เจอแล้วกัน ว่าที่มันไม่ดีไม่ร้ายเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเจอเมื่อไหร่มันจะเป็นส่วนสังฆคุณที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวตน

เถรี
11-12-2009, 10:07
ถาม : หลวงพ่อคะ โผฐฐัพพะ คืออะไรคะ
ตอบ : การสัมผัสถูกต้อง ก็คือ ประสาทส่วนหนึ่งที่เป็นผิวหนัง

ถาม : แล้วอย่างนี้จัดว่าเป็นอารมณ์ด้วยหรือเปล่าคะ
ตอบ : ถ้าหากไปยินดียินร้ายกับมัน มันก็จะเกิดโผฐฐัพพะวิญญาณ คือ ความรู้สึกขึ้นมา แล้วก็จะพาให้เกิดอารมณ์ยินดียินร้าย หรือไม่ยินดียินร้าย

ถาม : แล้วอย่างธรรมารมณ์เล่าคะ
ตอบ : ธรรมารมณ์ คือความคิด , กายสัมผัส คือโผฐฐัพพะ , ใจครุ่นคิด คือธรรมารมณ์

ถาม : ทำ ๆ ไปแล้ว อย่างที่เราว่ามันดีแล้ว แต่ปรากฏว่ามันยังไม่ดี อย่างเช่นการภาวนา ยิ่งภาวนามันก็ยิ่งรู้สึกว่าดี ทำไปทำมา มันมีความพอใจในการภาวนามากเลย อ้าว ปรากฏว่าแม้กระทั่งอารมณ์พอใจในการภาวนา มันก็ยังเป็นอารมณ์ที่ไม่ดีสำหรับเรา คิดว่ามันดีแล้วก็ยังไม่ดีอีก
ตอบ : มันคิดย้อนหลัง เคยเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนกับการขึ้นบันได เราขึ้นบันไดขั้นนี้ เราก็ว่าบันไดนี้ดีแล้ว...ใช่แล้ว แต่พอก้าวไปอีกชั้น อ้าว..นี่ยังดีไม่พอ...ยังสูงไม่พอ แล้วก็มายึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้ดีแล้ว ใช่แล้ว จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

ถาม : เหมือนกับว่ามันปรับ ๆ ไปเรื่อย ๆ ให้เหลือแต่อารมณ์ที่มันเป็นกลางจริง ๆ
ตอบ : เดี๋ยวก็รู้ ถ้าเลิกพูดเมื่อไหร่ ก็จะเฉยจริง ๆ แล้วจะเห็นของจริงนิ่งเป็นใบ้ ถ้าพูดได้ก็ยังไม่จริง

เถรี
11-12-2009, 10:11
ถาม : หลวงพ่อคะ ในการปฏิบัติ มันต้องมีการละรูปกับนาม ทีนี้การเห็นจิตในจิต เห็นกิเลสในใจตัวเองตรงนี้ ถือว่าเรากำลังละในส่วนที่เป็นนามด้วยหรือเปล่าคะ
ตอบ : ใช่

ถาม : แล้วทีนี้มันจำเป็นต้องละตัวรูปด้วยใช่ไหมคะ
ตอบ : ถ้าหากว่านามมันปรากฏก็ละในส่วนของนาม ถ้าหากว่ารูปปรากฏก็ละในส่วนของรูป อะไรมาก็ละส่วนนั้น

ถาม : คือหนูคุยกับพี่เขา แล้วพี่เขามักจะละในส่วนของนาม หนูก็เลยบอกว่าน่าจะมีการละในส่วนของรูปเพิ่มไปด้วย
ตอบ : เปิดศึกหลายด้านเดี๋ยวจะแย่ ศัตรูอยู่นิ่ง ๆ ไปกวักมือเรียกมันมาเดี๋ยวก็เดี้ยง อะไรมาก็ละมัน

เถรี
11-12-2009, 10:25
มีพี่สาวท่านหนึ่ง พยายามถักหมวกไม่ทันจะสำเร็จ พี่เขาก็เลิกล้มความตั้งใจไปก่อน หลวงพ่อเล็กเลยกล่าวให้กำลังใจว่า "กลับไปแล้วทำให้ได้ อะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่สำเร็จ มันบั่นทอนกำลังใจตัวเอง ปัจจุบันนี้ความกล้าอย่างเดียวมันไม่เพียงพอจะใช้งาน มันต้องบ้าด้วย โดยเฉพาะคนไปนิพพาน...บ้าปกติไม่พอหรอก..ต้องบ้ากว่าคนทั่วไปอย่างน้อย ๔ เท่า

ไปสะสมความมั่นใจใหม่ให้สำเร็จ มันจะช่วยอะไรได้เยอะ คนที่เขาสะสมความมั่นใจมามากเพราะว่าประสบการณ์มาก แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่ทำจะประสบความสำเร็จ ในเมื่อประสบความสำเร็จก็จะเกิดความมั่นใจ เกิดความกล้าที่จะทำสิ่งอื่น ๆ ต่อไป เพราะฉะนั้นลงมือ..ก็ทำได้ มันจะออกมาขี้เหร่แค่ไหนก็ทำเถอะ ทำให้เขารู้ว่าเราก็ทำได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเสมอว่า สิบนิ้วเท่ากัน ถ้าเขาทำได้เราก็ต้องทำได้"

เถรี
11-12-2009, 10:27
ถาม : แต่ก่อนที่ปฏิบัติ จับภาพพระพุทธรูป สีจะไม่ชัด ตอนนี้ก็เปลี่ยนค่ะ ครึ่งหนึ่งค่อนข้างเข้มอีกครึ่งหนึ่งยังไม่เข้ม แต่ก็ยังไม่ขาว หนูต้องทำอย่างไรต่อคะ
ตอบ : รักษาภาพพระไว้ แล้วพยายามดูเรื่องของศีล สมาธิให้ดีกว่านี้ อย่าไปใส่ใจว่าเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน

ถาม : มีเพื่อนเขาฝากถามมาว่า เขาจะไปฝึกมโนฯ ที่วัดของหลวงพี่ หลวงพี่เปิดสอนหรือเปล่าคะ
ตอบ : ไม่เคยสอน ทำเอง

เถรี
11-12-2009, 10:50
ถาม : การเดินจงกรม กับนั่งสมาธิอย่างไหนดีกว่ากัน ?
ตอบ : อันนี้อยู่ที่เราด้วยว่าชอบแบบไหน ถ้าเราชอบการเคลื่อนไหว เดินจงกรมจะดีกว่า แต่ถ้าหากว่านั่งแล้วจิตใจสงบทรงตัวดีกว่า ก็นั่งสมาธิ เพียงแต่ว่าทำอะไรอย่างเดียวนาน ๆ มันก็มีเบื่อ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ความรักชอบมันเป็นของส่วนตัวจ้ะ ให้คนอื่นบอกไม่ได้หรอก

ถาม : มันไม่ใช่สิ่งที่เราสั่งสมแต่ชาติก่อน แล้วเราไปต่อยอดเอา
ตอบ : จริตนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ถาม : จริตนิสัยของเรานี่มันสั่งสม
ตอบ : สั่งสมมาแต่ชาติก่อน แต่ก็เหมือนว่าเราชอบอาหารอย่างหนึ่ง แต่ถ้าให้กินทุกวันก็ไม่ไหว จะให้กินแต่ผัดสิ้นคิดทุกวันก็ไม่ไหว ชอบแค่ไหนก็ต้องมีเปลี่ยนบ้าง

เถรี
11-12-2009, 10:51
ถาม : เมื่อเดือนที่แล้วผมฝันถึงในหลวง ในฝันท่านนั่งอยู่บนรถเข็น แล้วเราก็ไปเยี่ยม ท่านก็รับปากว่าจะช่วยเรา
ตอบ : การฝันเห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน โบราณถือว่าเป็นมงคลใหญ่ เพราะว่าโอกาสที่จะพบท่านมันเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว ได้พบในฝันก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว

เถรี
11-12-2009, 10:53
หลวงพ่อได้ให้คำแนะนำแก่ผู้หญิงคนหนึ่งว่า "เลี้ยงลูกอย่าอารมณ์เสียนะ ไม่ว่าจะหงุดหงิดแค่ไหนต้องเก็บเอาไว้ให้มิดชิด ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะระบาดไปทั่ว เอาแต่ด้านที่ดี ๆ ให้ลูก นึกถึงตอนที่ชอบกับแฟนใหม่ ๆ ทำดีกับเขาอย่างไร ก็ทำดีกับลูกแบบนั้น"

เถรี
11-12-2009, 11:01
ถาม : ถ้าจะระลึกถึงความตายต้องทำอย่างไร
ตอบ : สมมติว่าตัวเองตายอยู่บ่อย ๆ สมมติว่าวันนี้เราจะไม่ได้เห็นตะวันตกดิน เราต้องตายแน่นอน ก่อนตายเราควรที่จะอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา หรือไม่ก็ลองคิดดูว่า ถ้าเรามีเวลาแค่วันนี้เราควรที่จะทำอะไร เพื่อที่จะเสริมสร้างกำลังใจของเราให้ดีกว่านี้ ถ้าสมมติความตายอย่างนี้บ่อย ๆ ความรู้สึกมันก็จะอยู่กับความตายตลอดเวลา ว่ามันไม่เที่ยงหนอ ในที่สุดมันก็ตายแล้ว ความตายอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรานี่เอง ทำบ่อย ๆ แล้วมันจะชินจ้ะ
เขาเรียกว่า มรณานุสติกรรมฐาน ต้องซ้อม ถ้าไม่ซ้อมแล้วไม่คล่อง

เถรี
11-12-2009, 11:08
ถาม : ผมเจ็บเนื้อเจ็บตัวเหมือนโดนของ ?
ตอบ : พวกไสยศาสตร์เขาก็ทำไปเรื่อย ถ้าหากมันไม่ทำอะไรเราไปมากไปกว่านั้น ก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไร ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป ของพวกนี้มันแปลกตรงที่ว่า ถ้าเราตอบโต้มันก็จะเล่นเราหนักขึ้น ทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ก็จบเรื่อง นาน ๆ ไป มันก็จะคิดว่าเราตายไปแล้ว มันก็จะเลิก

ถาม : มันคิดอย่างนั้นไม่ได้ค่ะ มีแต่จะคิดว่าเอาสิ เอาเลย ไม่กลัวหรอก
ตอบ : สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ตอนนั้นมันจะตายเสียให้ได้ มันเจ็บไปทั้งตัว เหมือนกับมีหนามปักอยู่ทั้งตัว ร้อนไปหมดดั่งโดนไฟเผา ตั้งใจจะไปกราบพระที่นิพพานเพื่อลาตาย พอหลุดออกไปมันไปหล่นอยู่กลางวงเขาเลย เหมือนกับท่านต้องการให้รู้ว่าใครทำ ปรากฏว่าคนทำมีทั้งนุ่งขาว นุ่งเหลือง นุ่งลาย สนุกสนานเฮฮา มีพวกที่กำลังเผาหุ่นด้วย มีเข็มปักไปทั่วหุ่น ใจเราก็บอกว่าอโหสิ แต่ตีนมันไปก่อน กวาดตูมเดียวกระจายทั้งวง..! พอกลับมาแล้วอาการมันก็หายเดี๋ยวนั้นเลย หายตั้งแต่ตอนทำลายพิธีเขา เราก็คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว ที่ไหนได้วันรุ่งขึ้นล้มทั้งยืน หนักกว่าเดิมอีก พอเราไปตอบโต้เขา เขารู้ว่าเราไม่เป็นอะไร เขาก็ทำใหม่ ไปหาที่หนักกว่านั้นมาอีก

ถาม : หลวงพ่อเป่ายันต์ก็ยังโดน
ตอบ : รับยันต์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ยังโดนเลย จึงได้รู้ว่ายันต์เกราะเพชรถ้าหากวาระกรรมเข้าจริง ๆ ก็ช่วยเราได้แค่ไม่ให้ตายด้วยไสยศาสตร์ แต่ไม่สามารถจะป้องกันความเจ็บปวดที่เขาทำมา แต่ถ้าไม่ใช่วาระกรรมจริง ๆ ก็ป้องกันได้เลย กลายเป็นว่าเพราะเราทำเอาไว้เยอะ ก็เลยมีช่องว่างให้เขาเล่นงานได้

เถรี
12-12-2009, 09:53
ถาม : หลวงพ่อคะ ที่หลวงตาบอกว่า กระแสสายตาของหลวงพ่อฤๅษี มีอำนาจมากถึงขนาดเห็นแล้วเข่าอ่อนเลย ?
ตอบ : ไม่รู้นะ แต่ตัวเองก็โดนมา ก่อนหน้านี้ก็คิดแต่ว่าคนอื่นเขาเป็น จริง ๆ แล้วอยู่ในลักษณะที่ว่าพลังอำนาจบารมีของท่านนั้น เป็นมหาอำนาจที่เป็นปกติอยู่แล้ว ท่านก็พยายามจะเก็บงำ แต่บางวาระก็เผลอหลุด เวลาที่ท่านสอบถามพระในวัด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่หลายคนจะอ้าปากไม่ออก พูดไม่ได้ อาตมานี่อ้าปากได้ทุกอย่างแต่ก็สั่นเหมือนกัน แต่มีที่ชัดอยู่วันหนึ่ง วันนั้นพอฉันเพลเสร็จก็จะมารับหน้าที่เวร เพราะเวรหน้าตึกเขาจะเปลี่ยนวันละสองเวลา หลวงพ่อท่านฉันเพลอยู่ เราไหว้ท่านเสร็จ ก็หันจะไปเปิดประตู หลวงพ่อก็เรียก "เฮ้ย..เล็ก.." อาตมาหันกลับมา เข่ามันอ่อน ร่วงไปกองอยู่ที่พื้นเอง แค่ท่านจะสั่งงาน แต่เผลอหลุดออกมาเท่านั้นเอง จากที่เรายืนอยู่มันลงไปกองที่พื้นเลย..!

ถาม : อย่างนี้เขาเรียกว่าจิตมีสภาพจำ
ตอบ : ก็คือจำด้วย แต่คราวนี้ของเราไปเจอว่า ลักษณะอย่างนั้นตายมาหลายทีแล้ว ตายมาหลายทีแล้ว...เลยจำได้..!

ถาม : พี่บางคนเขาบอกว่าสมัยเป็นฆราวาส ไม่กล้าแม้กระทั่งมองตาท่าน
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้น ถ้าท่านไม่เผลอหลุด ไม่เป็นไร ถ้าเป็นหลวงวิจิตวาทการ ท่านเรียกว่า จิตตานุภาพ อำนาจจิตที่แข็งกล้า

เถรี
12-12-2009, 09:57
ถาม : หลวงพ่อเคยเล่าว่าตอนสมัยอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อฤๅษีลงจากรถแล้วจะเดินขึ้นตึก แล้วหลวงพ่อก็ไปพยุงท่าน ตอนนั้นไม่สั่นหรือคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นหน้าที่ของเรา เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ตายในหน้าที่นี่ไม่กลัว

ถาม : เกี่ยวกับขันธ์ ๕ ไม่ดีหรือเปล่า ช่วงที่ท่านป่วยมาก ๆ กระแสมหาอำนาจก็เลยออกมา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าท่านเผลอก็รั้งไม่อยู่ ความเคยชินเก่า ๆ ที่ปกครองคนมานับไม่ถ้วน ถึงเวลาต้องใช้ความเด็ดขาดเพื่อสร้างระเบียบวินัยและความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้น

เถรี
12-12-2009, 09:58
ถาม : หลวงพ่อคะ อย่างนี้จะเป็นไปได้ไหม ที่คน ๆ นั้น บรรยากาศนั้น ประโยคนั้น ๆ ที่คนนั้นเคยพูดกับเราในอดีตชาติมาแล้ว พอชาติปัจจุบันเขาก็ทำอย่างนั้นอยู่ ?
ตอบ : จิตมีสภาพจำ บางทีแม้สัญญาเดิมจะไม่ชัดเจน แต่ก็เหมือนกับว่า เออ..เราควรจะว่าอย่างนั้น เราควรจะพูดอย่างนั้น แล้วก็พูดซ้ำของเดิมออกมา

เถรี
12-12-2009, 10:05
หลวงพ่อกล่าวถึงองค์ในหลวงว่า "ถ้าหากเป็นปกติทั่วไป วันนี้ในหลวงจะเสด็จออกมหาสมาคม (วันที่ ๔ ธันวาคม) เราก็จะได้ฟังพระบรมราโชวาท

พระบรมราโชวาทในหลวงแต่ละปี ท่านพยายามบอกใบ้เราให้มากที่สุดว่าจะต้องทำอย่างไร มีอยู่ปีหนึ่งที่ท่านบอกให้ระวัง มีแต่ระเบิดทั่วไป แล้วเป็นอย่างไร ? ก็อย่างที่เห็น คือ เรื่องที่ท่านไม่รู้นั้นน้อยมาก แต่ว่าท่านบอกตรง ๆ ไม่ได้ ก็ได้แต่บอกในลักษณะใบ้ คราวนี้พวกเราเองส่วนใหญ่ฟังแล้วก็ผ่านหู โดยเฉพาะพวกบรรดาคณะรัฐมนตรี

จริง ๆ แล้วถ้าหากเป็นรัฐบาลไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ขอพระราชทานพระราชดำริว่า จะให้รัฐบาลบริหารประเทศไปในแนวไหน แล้วทำตามก็พอ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วต้องบอกว่ากรรมของประเทศเรา ส่วนใหญ่ยังเห็นแก่พวกพ้องและตัวกูเอง ไม่ได้เห็นแก่ประชาชน"

เถรี
12-12-2009, 10:08
หลวงพ่อกล่าวว่า "มีคนถามว่าในหลวงจะอยู่ถึงอายุ ๘๔ ไหม ? จะอยู่ถึง ๙๐ ไหม ? อาตมาลุ้นทีละวัน ไม่ได้หวังเยอะขนาดนั้น คนแก่อายุ ๘๓ แล้ว สุขภาพทรุดโทรมเนื่องจากใช้ร่างกายเกินกำลังมาหลายปีต่อเนื่องกัน สภาพร่างกายที่แย่ขนาดนั้น พออายุมากแล้วเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะโทรมลงทันตาเห็น เราจะไปหวังว่าท่านจะอยู่อีกกี่ปีก็เลยไม่ต้องหวัง

วันนี้สังเกตว่าญาติโยมจำนวนมากใส่เสื้อสีดำกัน อยากจะบอกว่าบางทีมันก็เป็นลางไม่ดีเหมือนกัน จำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง ผู้ประกาศข่าวทั้งสองชุดใส่สีดำทั้งคู่ ผู้ประกาศข่าวกีฬาก็ใส่สีดำอีก บุคคลที่รายงานข่าวนอกสถานที่ก็ใส่สีดำอีก อาตมาสรุปเลยว่าเป็นลางไม่ดีชนิดที่ใครตายทั่วประเทศรู้แน่นอน ก็ปรากฏว่าสมเด็จย่าสิ้นพระชนม์

เรื่องของสีดำ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปใส่เลย เป็นการแช่งตัวเองเปล่า ๆ โบราณท่านถือ ไม่รู้เหมือนกันว่าสมัยนี้นิยมไปได้อย่างไร ?

มีโยมเขาไปถามหลวงพ่อ ว่าจะซื้อรถสีอะไรถึงจะเหมาะแก่ตัวเอง หลวงพ่อท่านบอกว่า เรื่องรถใครจะซื้อสีอะไรก็ได้ตามที่ตนชอบ ขอไว้อย่างเดียวอย่าซื้อสีดำ แต่ปรากฏว่าสมัยนี้ไปไหนก็เห็นแต่รถสีดำ เขาก็เลยแก้เคล็ดด้วยการติดป้าย รถคันนี้สีขาว รถคันนี้สีแดง มันเป็นสีแค่ตรงสติ๊กเกอร์เท่านั้น"

เถรี
12-12-2009, 10:10
หลวงพ่อกล่าวให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า "คนที่โกหกได้ ที่จะไม่ทำความชั่วอื่นนั้นไม่มี" ก็แปลว่าถ้าโกหกได้อย่างเดียว ความชั่วอย่างอื่นสามารถทำได้ทั้งหมด"

เถรี
12-12-2009, 10:12
ถาม : เวลานั่งภาวนาจับลมไป บางครั้งเหมือนจะหายใจไม่ออก ก็พยายามกำหนดตามไปเรื่อย ๆ
ตอบ : อย่าสนใจกับมัน แค่รับรู้เฉย ๆ ว่าเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นเป็นการทดสอบเราว่ายังกลัวตายไหม ? ถ้ายังกลัวตายอยู่...ก็ไปดิ้นรนกับการหายใจ แทนที่สมาธิจะลึกเข้าก็กลายเป็นหลุดออก ถ้าตอนนั้นเราคิดว่า เอ็งยิ่งไม่หายใจก็ยิ่งดี ข้าจะได้ไปให้พ้น ๆ บางทีเรื่องของการปฏิบัติเขาทดสอบเราทุกรูปแบบ ต้องรู้ทันให้ได้

เถรี
12-12-2009, 10:14
ถาม : มีคนเขาบอกถ้าจิตนิ่งแล้วจะทำให้ป่วย ?
ตอบ : ใครเขาบอก

ถาม : ในหนังสือเขาบอก
ตอบ : ต้องไปถามคนเขียนหนังสือจ้ะ อาตมาไม่เคยได้ยิน

ถาม : มีคนเขาให้หนังสือมา ก็เลยสงสัย
ตอบ : บางอย่างเขาก็ว่าไปเรื่อยเปื่อย ฉะนั้น..สมัยนี้ต้องระวังหน่อย อาตมาอยู่ที่วัดจะคัดหนังสือ เล่มไหนไม่ได้เรื่องนี่ชั่งกิโลขายไปเลย เพราะว่าเดี๋ยวพระเณรไปอ่านเข้าแล้วเข้าใจผิด แล้วไปสอนเขาผิด ๆ ต่อ

เถรี
12-12-2009, 10:16
ถาม : ขอธรรมะค่ะ
ตอบ : ไม่ต้องขอหรอกจ้ะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าตรงไหนก็ได้ ให้ทำจริง ๆ เถอะ ก็มีศีล สมาธิ ปัญญาแค่นั้นเอง เพียงแต่ว่าความพยายามของเรายังไม่พอ

ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริตเราเป็นแบบไหน ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ เอาอานาปานสติเป็นหลัก เหมาะกับทุกจริต แล้วหลังจากนั้น ระหว่างปฏิบัติก็รักษาศีลไปด้วย พยายามใช้ปัญญาพิจารณาดู ให้เห็นสภาพเป็นจริงในร่างกายของเรา ว่ามันไม่เที่ยงอย่างไร ทุกข์อย่างไร มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เอาแค่นี้ก็พอจ้ะ

ถาม : ตรงนี้เป็นวิปัสสนาหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จะเป็นอะไรช่าง ไม่ต้องสนใจ รู้แต่ว่าถ้าทำได้ก็พอ

เถรี
12-12-2009, 10:17
ถาม : ผมเรียนหนังสือ พอกลับมาจากการเที่ยว ผมก็ลืมหมด จำอะไรไม่ได้ เกี่ยวกับการเรียนผมกลุ้มใจ
ตอบ : ทำสมาธิให้เยอะขึ้น ถ้าสมาธิดีความจำจะดีด้วย

เถรี
12-12-2009, 10:18
ถาม : ไปบนกรมหลวงชุมพร ตอนแก้บน ต้องเอาของบนกลับมา ควรทำอย่างไรกับของที่แก้บน ?
ตอบ : กินสิจ๊ะ

ถาม : เอากลับมากินได้ ?
ตอบ : สมัยก่อนอาตมากินเยอะ เพราะบนบ่อย บนแล้วของแก้บนก็เป็นของเราอยู่แล้ว

เถรี
12-12-2009, 10:21
ถาม : ทำบุญมาก็เยอะแล้ว แต่มีปัญหาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน ความรักหรือสุขภาพ ทำสังฆทานมาหลายปี แต่ก็ยังแย่อยู่เหมือนเดิมครับ ขอความกรุณาจากหลวงพ่อ

ตอบ : สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลจากการกระทำในอดีต สิ่งที่เราทำในปัจจุบันจะเป็นผลสืบไปในอนาคต เพราะฉะนั้น..ต้องทนทำความดีไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ ผลก็จะปรากฏให้แก่เราในชีวิตนี้ เพราะว่าเราทำตอนนี้ พ้นจากวันนี้ไปก็เป็นอดีตไปแล้ว ตรงนี้แหละที่จะตามเราไปถึงอนาคต ส่วนปัจจุบันที่เดือดร้อนอยู่เพราะอดีตเราทำไว้ ฉะนั้น..แก้ไขปัจจุบันให้ดี พยายามอดทนทำในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาไปเรื่อย ๆ ถ้าต่อเนื่องยาวนานพอเดี๋ยวปัจจุบันชาติก็ดีเอง ไม่มีอะไรยากหรอก

เถรี
13-12-2009, 09:28
ในขณะที่กำลังพูดถึงพระมหาปุริสลักษณะของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อก็กล่าวว่า "ถ้าหากว่านับแล้ว ก็ไม่มีใครงามเท่าพระพุทธเจ้า แต่บางท่านที่มีลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้า อย่างพระมหากัจจายนะ ท่านสร้างบารมีมาทางพุทธภูมิ บารมีจะเต็มอยู่แล้ว ก็มีพระมหาปุริสลักษณะ

พระอานนท์ เป็นน้องของพระพุทธเจ้า ก็มีหน้าตาใกล้เคียงกัน พระนันทะ ท่านเป็นน้องแต่ว่าเป็นลูกของน้า ถือว่าเป็นน้องคนละแม่ สรุปแล้วถ้าไปบิณฑบาตทางเดียวกัน ชาวบ้านก็ต้องบ่นว่า สมณะรูปนี้ทำไมจึงมักมากขนาดนี้ มาแล้วก็มาอีก"

เถรี
13-12-2009, 09:47
ช่วงก่อนทำกรรมฐานของวันเสาร์ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "เมื่อคราวลงไปนราธิวาสเพื่อเดินทางต่อไปสุไหงโกลก มีทางอยู่ช่วงหนึ่งที่เลยแยกตากใบไปไม่มาก เขาเรียกว่า บ้านโคกอิฐ มีพื้นที่อยู่ประมาณ ๒ - ๓ ไร่ เป็นที่ที่ขลังมาก ไม่มีใครกล้าไปยุ่ง เพราะผีเขาชอบหลอก พวกชาวบ้านที่เข้าไปล่าสัตว์แถวนั้นโดนทุกราย จนกระทั่งกลายเป็นเขตหวงห้ามไปโดยปริยาย

อาตมาผ่านไปหลายปีก็ไม่มีปัญหา แต่พอปีนั้นผ่านไป ผีเขามาขอให้ไปช่วย ปรากฏว่าเป็นพวกที่แหกออกมาจากกรุงศรีอยุธยาหนีพม่ามา เขาล่องเรือออกอ่าว แล้วปรากฏว่าออกยาวไปไกลเลย

เขาพากันมาเกือบสองร้อยคนเห็นจะได้ ตั้งใจว่าจะหนีไปให้ไกลเพื่อความปลอดภัย โดยหาที่ซ่องสุมผู้คนก่อน ถ้ามีการกู้ชาติก็จะย้อนกลับไปช่วย และยังขนทรัพย์สมบัติบางส่วนจากอยุธยามาด้วย เขาฝังสมบัติไว้แถวนั้น ปรากฏว่าพระเจ้าตากท่านกู้ชาติได้เร็ว ๗ - ๘ เดือนก็กู้เสร็จแล้ว ส่วนพวกนี้ยังตั้งหลักปักฐานไม่ได้เลย พอข่าวส่งไปถึงก็งงว่าทำไมเรียบร้อยเร็วจริง เขาก็เลยทำมาหากินกันอยู่ตรงนั้น

พอตายไปแล้ว ด้วยความที่จิตผูกอยู่กับสมบัติเลยไม่ได้ไปไหน อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครช่วยเขาได้ นอกจากคนที่เคยมีกรรมร่วมกันมา เขาขอให้ช่วยถวายสังฆทานไปให้เขาด้วย ก็บอกเขาว่า "เคยผ่านมาหลายทีแล้วนี่หว่า.." เขาบอกว่า "ช่วงนั้นวาระมันยังไม่เปิด ยังมาขอให้ช่วยไม่ได้" ก็เลยไปช่วยถวายสังฆทานเลี้ยงพระ อุทิศส่วนกุศลไปให้เขา แต่พื้นที่ที่เห็นนั้นเหมาะสำหรับที่จะเป็นวัดหรือสำนักสงฆ์มาก เพราะตัวอาคารเขาสร้างเป็นศาล ลักษณะศาลเจ้าพ่อ ชาวบ้านเรียก ศาลเจ้าพ่อโต๊ะชายดำ "

เถรี
13-12-2009, 09:52
ถาม : ทำบุญให้เขาแล้ว เขาไม่ยกสมบัติให้หรือครับ ?
ตอบ : ถึงยกให้ก็ไม่ไปขุดหรอก ระยะหลังโดนผีหลอกจนเข็ด เขาบอกว่าอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนี้ ให้ไปเอาได้ พอถึงเวลาไปขุด ปรากฏว่าเหนื่อยเปล่า เขาบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ถูกบ้าง ต้องทำอย่างนี้ ยุ่งไปหมด เจออย่างนี้เข้า ๒ - ๓ ครั้ง ก็เลยเลิก ถ้าจะให้ เอาไปขายแล้วโอนเข้าบัญชีมาให้ตูเลย !

นักปฏิบัติส่วนใหญ่พอไปถึงระดับนั้น จะโดนเขาทดสอบอยู่เรื่อย ถ้าเราหลงตามไป ด้วยความอยากได้ ก็จะเป็นลักษณะนี้ ตามไปไล่ขุด ขุดเท่าไรก็ไม่เจอ ต้องบอกว่ามารเขาเก่ง แต่ก็ยังไม่เก่งจริง ถ้าเก่งจริง มันให้เงินเรา เราอาจจะไม่สนใจนิพพาน เราอาจจะสึกไปมีลูกมีเมียก็ได้ แต่นี่ยังไม่แน่จริง"

เถรี
13-12-2009, 09:59
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ จันทร์ดำ ตอนเป็นสามเณรสอบได้ประโยค ป.ธ. ๓ เขาก็เลยตั้งให้เป็นอาจารย์สอนปริยัติธรรม ด้วยความที่เป็นเณรมหา ก็เลยยืด ไม่คิดจะเรียนกับเขา แต่พอประโยค ๔ อาจารย์บังคับให้ไปสอบ ด้วยความที่ไม่ได้เรียนประโยค ๔ มาก็เลยต้องไปเปิดหนังสืออ่านเอง ท่านก็อ่านไปเรื่อย พออ่านไปถึงเนื้อหาตอนหนึ่ง ความรู้สึกบอกชัดเลยว่าต้องออกตรงนี้ ท่านก็เลยท่องอยู่แค่ตรงนั้น ปรากฏว่าออกจริง ๆ อาจารย์จักรกฤษณ์สอบได้ ส่วนเพื่อนที่คร่ำเคร่งเรียนมาทั้งปีกลับสอบตก ต้องบอกว่าทิพจักขุญาณของท่านใช้ได้เลย เพราะอ่านผ่านตรงนี้ แล้วความรู้สึกบอกว่าต้องออก คนเรียนทั้งปีนี่หน้ามืดไปเลย"

เถรี
13-12-2009, 10:02
หลวงพ่อถามว่า "เมื่อวานมีใครดูในหลวงออกมหาสมาคมบ้าง ? เหมือนท่านไม่มีกำลัง อาตมาลุ้นว่าท่านอยู่ได้อีกสักปีก็สุดยอดแล้ว นั่นเกิดจากว่า สมัยหนุ่ม ๆ ท่านทุ่มเทกับงานหนักมาก พอชราแล้วร่างกายท่านทรุดแล้วทรุดเลย แต่ก็ต้องว่า...สมกับพระบารมี เพราะท่านมาเพื่อปรับพื้นฐานให้ประเทศของเรา"

เถรี
13-12-2009, 10:03
ถาม : ฝันเห็นคนตายบ่อย ๆ
ตอบ : ฝันเห็นคนตายบ่อย ๆ แปลว่า เขาสบายดีจ้ะ ถ้าไม่สบายเขามาไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นทำบุญอะไรไปให้ เขาได้ทั้งหมด ไม่ต้องไปกังวล....ถ้าเขาไม่ได้ชวนไปอยู่ด้วย! (หัวเราะ)

เถรี
13-12-2009, 10:04
ถาม : หนังสือการ์ตูนธรรมะ เราเล่าให้ลูกฟัง หนังสือพวกนี้จะใช้ได้ไหมคะ?
ตอบ : ดูเอาแล้วกัน ส่วนไหนที่ไม่ใช่ออกนอกลู่นอกทางจนเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยก็พอได้ อย่างน้อย ๆ ช่วยดึงความสนใจของเด็กได้

เถรี
13-12-2009, 10:11
มีฆราวาสท่านหนึ่ง ถามถึงพระที่บวชกับหลวงพ่อเล็กว่าเป็นอย่างไรบ้าง ?
หลวงพ่อก็เลยกล่าวให้ฟังว่า "จริง ๆ แล้ว การอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ก็ดีตรงที่ว่า อย่างน้อย ๆ โดนด่าหูตาก็สว่างบ้าง ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีเท่ากับห่างไปนิดหนึ่ง ถ้าตัวเองไม่ได้มุ่งมั่นจริง ๆ โอกาสที่จะไม่ก้าวหน้าก็มีมาก เพราะมันจะชวนขี้เกียจ ไม่ใช่ว่าเออ....เราบังคับทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ทำกรรมฐานร่วมกัน ปฏิบัติแค่เช้าเย็นเท่านั้น ส่วนที่เหลือทั้งวันปล่อยลอยละล่อง วันหนึ่งขาดทุนไปกี่ชั่วโมง ? แต่พวกเราเป็นประเภทด่าทีหนึ่ง ไฟก็ลุกขึ้นมาทีหนึ่ง พอถึงเวลาเลิกด่าก็ค่อย ๆ มอดไป

จริง ๆ อยากจะปล่อยเหมือนสมัยหลวงพ่อ ท่านให้หากินกันเอง ถ้าไม่หากินเองก็อดตาย แต่คราวนี้ลองปล่อยดูแล้วไม่เห็นจะรอดสักราย นึกถึงสมัยก่อนที่หลวงพ่อท่านปล่อยให้หากินเอง แล้วดูว่าปัจจุบันนี้รอดมาได้กี่คน ส่วนใหญ่ต้องประเภทหลักการมั่นคง ไม่อย่างนั้นท้าย ๆ ก็จะเป๋"

เถรี
13-12-2009, 10:13
ถาม : ถ้าบวชชีพราหมณ์สัก ๒-๓ วันจะได้อะไรไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าจะกอบโกยอะไรได้บ้าง ? ไม่ใช่ไปถามคนอื่นว่าเราจะได้อะไร

ถาม : แล้วอานิสงส์ ?
ตอบ : สำคัญตรงว่า ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ของเราดี อานิสงส์ก็จะสูงมาก เรื่องของเคราะห์กรรมไม่ดีที่ตามราวีเราอยู่ ก็จะถอยห่างไป เพราะว่ากำลังบุญเราสูงกว่า

ถาม : บวช ๒-๓ วัน เวลาแค่นั้นน้อยไปหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ามีเวลาแค่นั้น จะว่าน้อยก็ไม่ได้เพราะดีกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าหากมีเวลาสักหน่อย บวชสัก ๗-๘ วันก็ได้ เพราะถ้าหากไปบวชจริง ๆ ช่วงสามวันแรกมักจะฟุ้งซ่านตลอด กว่าจะสงบได้ก็วันที่ ๔ ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่า เราบวชไปแล้ว กอบโกยเอาความฟุ้งซ่านมาทั้งสามวัน

เถรี
13-12-2009, 10:18
ถาม : (เล่าเรื่องหนุ่มปิ๊งสาวตั้งแต่แรกพบ)
ตอบ : จริง ๆ ถ้าเขามีประสบการณ์เพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง เขาจะเห็นว่า รูปร่างหน้าตาเป็นแค่สิ่งฉาบฉวย ถ้าหากอยู่ครองคู่กันไปแล้ว บางทีไม่ได้นึกเสียด้วยว่า ผัวเราเมียเราหน้าตาเป็นอย่างไร ? ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า จะมีความดีอะไรที่มายึดโยงสภาพครอบครัวให้อยู่ได้

นึกถึงขงเบ้ง ขงเบ้งแต่งงานกับผู้หญิงที่ขี้เหร่มากเลย แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาด ไม่ว่าขงเบ้งจะมีความคิดเห็นเรื่องอะไรก็ตาม เขาสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ร่วมกันไปได้ นั่นแสดงว่าขงเบ้งมองเห็นความงามภายใน เขาไม่ได้ดูแค่ภายนอก นักปราชญ์หรืออัจฉริยบุรุษ เขามองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น

เถรี
13-12-2009, 10:24
ถาม : พวกพี่ ๆ เขาชมว่า หนูเป็นผู้หญิงที่สวยที่ข้างในจริง ๆ ค่ะ
ตอบ : (หัวเราะ) มันชมหรือด่ากันแน่ ? แสดงว่าข้างนอกนี่ไม่มีดีอะไรเลยหรือ ?

ด้วยความที่ว่ารัก โลภ โกรธ หลงเป็นสมบัติที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่โดยธรรมชาติ ถ้าหากว่ายังไม่ได้อยู่ร่วมกันใกล้ชิดจริง ๆ โอกาสที่จะรู้เห็นในด้านมืด...ด้านลบของเขาก็น้อย โดยเฉพาะช่วงที่รักกันอยู่ ก็พยายามที่จะเอาส่วนดี ๆ มาให้คนอื่นเขาเห็น เพราะกลัวเขาจะไม่รักเรา เหมือนกับพรีเซนต์ตัวเอง ต้องเอาด้านดี ๆ ออกมา พออยู่ด้วยกันไป คราวนี้ไม่ต้องแล้ว เป็นของเราแล้ว หางก็จะค่อย ๆ โผล่ คราวนี้ก็เหลือแต่ว่า จะมีอะไรมาโยงครอบครัวให้อยู่ได้ ก็ต้องมีสัจจะ จริงใจต่อกัน ทมะ รู้จักข่มใจ ขันติ อดทนต่อความเหนื่อยยาก จาคะ เสียสละ สละความสุขของเราเพื่อเขา มันเป็นเรื่องที่ยาก นอนคนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายดีกว่า

เถรี
13-12-2009, 10:26
ถาม : เรื่องการงานพวกนี้จะราบรื่นดีไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่เคยทำชั่วก็ราบรื่นดี แต่มีใครบ้างที่ไม่เคยทำชั่ว ? มันก็ดีชั่วกันมาด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..ก็ต้องมีอุปสรรคบ้าง มีปัญหาบ้างเป็นเรื่องปกติ เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องเสียเวลามาถามหรอก

เถรี
13-12-2009, 10:30
ถาม : หนูตั้งใจว่าจะบวช แต่ต้องปิดวาจา เพราะพูดทีไรมีเรื่องทุกทีเลย ถ้าหนูปิดวาจาได้ก็จะไม่มีเรื่อง
ตอบ : อย่าถึงขนาดปิด บางอย่างจำเป็นต้องสื่อสารก็พูด อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูด วัดที่ไม่มีคนปากมากนี่ก็สงบดีนะ

ถาม : หนูว่าน่าจะมีทุกวัดนะคะ เพราะหนูเจอทุกวัดเลย
ตอบ : ที่ไหนก็มี คนอยู่ที่ไหนก็เป็นคน อย่าไปตั้งความหวังกับใคร เพราะว่าสถานที่ดีแค่ไหนก็ตาม คำสอนดีแค่ไหนก็ตาม ถ้ากำลังใจคนไม่ได้ดีตาม...ก็เสร็จ ของอย่างนี้ขึ้นอยู่ที่ว่าใครวางได้ก่อนก็สบายก่อน ใครอยากจะแบกก็ให้เขาแบกไป

เถรี
13-12-2009, 11:03
ถาม : หนูจับภาพพระที่นิพพาน จากที่ไม่ค่อยรู้สึกอะไร อยู่ ๆ ก็กลายเป็นมั่นใจว่า ไปนิพพานได้แน่ ๆ ในชาตินี้ ความรู้สึกนี้จะเป็นอุปาทานหลอกเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหลอก ก็ถือว่าหลอกได้ดีมากเลย ขอให้ช่วยหลอกไปนาน ๆ ถ้าหากกำลังใจเริ่มเข้าสู่ส่วนของโคตรภู ใจจะเกาะนิพพานเป็นปกติ ถ้าหากว่าเกาะนิพพานเป็นปกติ ก็มั่นใจว่าอย่างไรเราก็ไปได้

ถาม : แล้วตอนจับพระที่นิพพาน บางทีมีความรู้สึกลอย ๆ คือภาพที่นิพพานยังอยู่ แต่ว่าตัวเรารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้ (ชี้ตัวเอง) ไม่ได้อยู่ที่ภาพนั้น ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ?
ตอบ : รู้สึกพอเมื่อไรก็ตั้งใจไปอยู่ตรงนั้นแล้วกัน จะได้มั่นใจยิ่งขึ้น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นลอยละล่องไป

ถาม : ถ้าอย่างนั้นให้มั่นใจว่าอยู่ที่ภาพจะดีกว่าใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ดีกว่า

เถรี
14-12-2009, 09:39
ถาม : มีภาพพระพุทธรูปเก่าแล้ว ควรจะทำอย่างไรดี?
ตอบ : โบราณเขาบอกว่า ถ้าไม่ลอยน้ำไปก็เผาไฟจ้ะ ขอขมาแล้วก็จัดการ เขาเรียกว่า "จำเริญ" แต่ว่าถ้าลอยน้ำไป มันไม่เหมาะสม เผาดีกว่า ขอขมาพระรัตนตรัยแล้วก็เผา

ถาม : ถ้าเราจะเอาไปใส่กระถางต้นไม้?
ตอบ : ไม่ดีแน่ ถ้าไม่บรรจุไว้ในพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ก็ขอขมาพระแล้วเผาไปเลย

ถาม : เอาไปลอยน้ำก็กลัวค่ะ
ตอบ : ไปใส่กระถางต้นไม้ ก็เห็นภาพพระพุทธเจ้ามีค่าเท่ากับปุ๋ย จะมีโทษปรามาสพระรัตนตรัยหนักเข้าไปอีก

ถาม : ไม่กล้าเผา ไม่กล้าลอยน้ำ
ตอบ : ลอยน้ำคงไม่เหมาะ เพราะเป็นภาพพระ ลอยตุ๊บป่องไปไหนก็ไม่รู้ เผาดีกว่า อาตมาเผามาเป็นชุดเลย สมัยที่อยู่วัดท่าซุง มีตึกทหารอากาศสงเคราะห์ พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป ตอนนั้นท่านเป็นนาวาตรี ท่านนำทหารอากาศมาช่วยกันสร้างไว้ แรก ๆ จะสร้างเป็นโรงเรียนสอนปริยัติธรรม เพราะว่าหลวงพ่อท่านเป็นมหาเปรียญ แต่ปรากฏว่าไม่ได้ใช้งาน เอาไว้เก็บของ หลวงตาผ่องกับหลวงตานาก็ยึดเป็นกุฏิที่พักของท่าน

พอสิ้นหลวงตาไป ๑๐ ปีไม่มีใครไปดูแล อาตมาขึ้นไปดู ปรากฏว่ามันรกมาก โดยเฉพาะกระป๋องสังฆทานสีเหลือง ๆ มี ๗๐๐ - ๘๐๐ ใบ มันกรอบหมดอายุแล้ว เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตัดสินใจว่า "ถ้าต้องเป็นหนี้สงฆ์ ข้าพเจ้ายินดีชดใช้เอง" ถ้าอันไหนเผาทิ้งได้เผาทิ้งเลย พอวันที่สามกำลังจัดการอยู่ หลวงพ่อขึ้นไปก็ถามว่า "เฮ้ย..ทำอะไรอยู่วะ ?" กราบเรียนท่านว่า "ทำความสะอาดอยู่ครับ" ท่านก็บอกว่า "เออ...ดี ๆ มันรกมานานแล้ว"

เถรี
14-12-2009, 09:46
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง พ่อกับแม่และลูกอีก ๔ คน เกิดวันเดียวกันหมด แต่คนละปีเท่านั้น เป็นอะไรที่ประหลาดดี คน ๖ คนเกิดวันเดียวกัน อยู่ครอบครัวเดียวกัน นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ"

ถาม : เขาอธิษฐานมาหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่แน่ใจ ถ้าอธิษฐานมาน่าจะเกิดพร้อมกันแบบสหชาติ พระพุทธเจ้ามีสหชาติ คือ พระอานนท์ พระนางพิมพา นายฉันนะ กาฬุทายีอำมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นศรีมหาโพธิ์ และขุมทรัพย์อีกสี่ทิศ เกิดพร้อมกับท่าน แสดงว่าต้นโพธิ์ต้นนั้นต้องอายุ ๓๕ ปี ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ส่วนกาฬุทายีอำมาตย์ นายฉันนะ และพระนางพิมพา ตอนหลังบวชแล้วเป็นพระอรหันต์ ส่วนม้ากัณฐกะอยู่ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์เสร็จ ให้นายฉันนะเอาผ้ากลับ ม้ากัณฐกะเดินไปหน่อยเดียวก็หัวใจสลาย...ตายเลย เพราะผูกพันกับพระพุทธเจ้ามาก

ในปฐมสมโพธิกถา พระพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ซึ่งท่านต้องแอบหนี มันเป็นเรื่องประหลาดเพราะบางที่เขาเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเสด็จออกต่อหน้าพระราชบิดาพระราชมารดา แต่ในเมื่อเขาอธิบายชัดเจนเลยว่าพระองค์กะว่าจะต้องกระโดดข้ามกำแพงเมือง ก็แปลว่าต้องแอบหนีจริง ๆ

โดยที่เจ้าชายสิทธัตถะนึกว่า ถ้าหากว่าม้ากัณฐกะกระโดดข้ามกำแพงไม่ได้ ท่านจะอาศัยกำลังของท่านเอง หนีบม้าและจูงนายฉันนะกระโดดข้ามไป กำลังเหลือเฟือขนาดนั้นเลย แสดงว่าวิชาตัวเบาสุดยอดมาก ส่วนนายฉันนะคิดว่า ถ้าหากพาม้ากัณฐกะกระโดดข้ามกำแพงไม่ได้ เราจะแบกม้าและพระลูกเจ้ากระโดดข้ามไป ส่วนม้ากัณฐกะคิดว่า เราจะแบกพระลูกเจ้าพร้อมกับนายฉันนะที่จับหางเราอยู่นี้กระโดดข้ามไป ปรากฏว่าเสียเวลานึกเปล่า เทวดาเขาช่วยสงเคราะห์เปิดประตูให้เลย ไม่ได้เปิดเปล่า ๆ นะ เปิดแบบสะกดทหารที่เฝ้าประตูหลับไปด้วย

เถรี
14-12-2009, 09:52
ถาม : ท่านอาจารย์ครับ ที่บ้านสร้างพ่อปู่ไชยมงคล เวลาถวายของใช้คาถา ?
ตอบ : ใช้ภาษาไทยก็ได้จ้ะ

ถาม : ใช้ภาษาไทยก็ได้ เอาง่าย ๆ เลย ?
ตอบ : หรือไม่ก็ อิติสุคะโตฯ
ถาม : กลัวว่าจะถวายผิด
ตอบ : ไม่ผิดหรอกจ้ะ ตั้งใจนึกถึงท่าน ท่านรับอยู่แล้ว

ถาม : เมื่อก่อนเช้า ๆ เวลาสวดมนต์ พอปักธูปปั๊บก็จะครึ้มไปเลย พอรู้ตัวอีกทีธูปก็หมด ก้านธูปนี่จะไหม้หมดทุกวันเลย เป็นเพราะอะไรครับ?
ตอบ : บางทีถ้าสมาธิทรงตัว มันไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าเราตั้งใจปุ๊บมันก็จะเป็นเลย แสดงว่าพื้นฐานสมาธิแต่ก่อนนี่ดีมาก ๆ เลย ถ้าหากว่าฟื้นสักหน่อยเดียว เดี๋ยวได้อะไรอีกเยอะ

เถรี
14-12-2009, 09:56
ถาม : เวลานอนกลางวันเป็นเวลานอนปกติของเรา แล้วเวลากลางคืนกลับมาบ้านทุ่มหนึ่ง เราเหนื่อยเผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมาประมาณสามสี่ทุ่ม มันจะมีอาการเหมือนกับผวา...งง อารมณ์จิตแรกก็คือ..ที่นี่ที่ไหน ? พ่อแม่เราไปที่ไหน ? พอนึกทีไร อ๋อ..พ่อแม่เราตายหมดแล้ว ทำไมอาการผวา กลัว รู้สึกว้าเหว่มันยังอยู่ในจิต ?
ตอบ : แสดงว่ายังละไม่ได้ ตอนกลางวันเรากดไว้เยอะ มันไปโผล่ตอนกลางคืน

ถาม :ต้องวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : ไม่มีอะไร อยู่กับการภาวนา หลับกับตื่นอารมณ์รู้เท่ากันก็ใช้ได้

เถรี
14-12-2009, 09:59
ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่มีวิญญาณของทางญาติพี่น้องมาเข้า ถ้ากำหนดจิตเพื่อต่อต้านให้เป็นสมาธิ อย่างนี้เขาจะเข้าได้ง่าย ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าจิตมีกำลัง ไม่ต้องการให้เขาเข้า เขาจะเข้าไม่ได้ ยกเว้นว่าจิตมีกำลังน้อยแค่อุปจารสมาธิ นั่นเท่ากับเปิดบ้านรับ ถ้าจะทำต้องทำให้เกิน เอาแค่ปฐมฌานหยาบก็พอ ถ้าทำได้คล่องตัวมันเข้าไม่ได้หรอก ปฐมฌานหยาบกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑

ถาม : พอเราแนะนำ เขาก็บอกว่ายิ่งกำหนดใจ ก็ยิ่งเปิดรับเข้าไปใหญ่
ตอบ : เขากำหนดไม่พอ มันต้องกำหนดให้เกินไปเลย

ถาม : เหมือนเพื่อนหนูเลยค่ะ เขาไม่ชอบสวดมนต์ เขาบอกว่าสวดมนต์แล้วชอบเห็นผี
ตอบ : แสดงว่าตอนเขาสวดมนต์ กำลังใจเขาลงอุปจารสมาธิ ผีก็รอโมทนา เข้ามาทีไร มันเลิกสวดทุกที

เถรี
14-12-2009, 10:03
ถาม : หลวงพ่อครับ กำลังใจตอนที่ใช้ในมโนมยิทธิ กับกำลังใจในตอนที่เราวางเรื่องกิเลสที่เข้ามาเกาะกินใจ มันไม่เท่ากัน ?
ตอบ : ไม่เท่ากัน อันหนึ่งอยู่ข้างใน อันหนึ่งอยู่ข้างนอก ถ้าพ้นจากร่างกายไปแล้วกิเลสก็กินยาก

ถาม : แต่รู้สึกว่าใช้มโนฯ จะเบากว่า ?
ตอบ : ก็ไปแล้วนี่

ถาม : ถูกแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าละของง่ายไปทำของยาก

ถาม : แต่ผมเอาออกนอกตัวตลอด เพราะมันลำบากกว่า
ตอบ : ลำบากสำหรับคนที่ยังทำไม่ได้ คนที่ทำได้แล้วมันง่ายมาก

ถาม : ต้องให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องถึง ๒๔ ชั่วโมงหรอก เอาแค่ ๒๓ ชั่วโมง ๕๙ นาทีก็พอ ก็บอกแล้วให้แบ่งความรู้สึกเป็นสองส่วน พอพลาดก็ไปใหม่...พอพลาดก็ไปใหม่ เดี๋ยวชินเข้า มันก็อยู่ยาว

ถาม : ต้องแบ่งสองส่วนให้เท่ากันหรือเปล่า ?
ตอบ : เอาส่วนนั้นแค่ ๓๐ % ก็พอ ถ้าเยอะมากเดี๋ยวมันคุมตัวนี้ลำบาก

เถรี
14-12-2009, 10:05
ถาม : หนูจำเป็นต้องบวชหรือเปล่า?
ตอบ : ไม่จำเป็น จะชุดขาว โกนหัวหรือไม่โกนหัว..ไม่สำคัญ สำคัญตรงการปฏิบัติว่าเอาจริงหรือเปล่า? โดยเฉพาะหลักการที่บอกไว้ จำไว้แม่น ๆ อย่าลืม ไม่มีใครดลบันดาลให้เราได้ อย่ารีบร้อน...ค่อยเก็บ..ค่อยไป ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็ห้ามหยุด

เถรี
15-12-2009, 15:30
ถาม : มีว่านหรือพืชอะไรที่แก้หรือกันยาสั่งได้บ้างไหม ?
ตอบ : สามอย่าง มีรากตำลึง รากฟักข้าว รากรางจืด ฝนกับน้ำซาวข้าว ใครโดนยาสั่งนี่กรอกลงไปเลย

ถาม : โดนมาหลายครั้งแล้วค่ะ
ตอบ : จ้ะ แต่ว่ารากรางจืดหายาก แล้วใครโดนมา ?

ถาม : หนูเองค่ะ
ตอบ : พวกโดนยาสั่งนี่ไม่มีโอกาสแก้ตัวหรอก ส่วนมากตายซะก่อน ยกเว้นไปช่วยคนอื่นเขา

เถรี
15-12-2009, 15:50
หลวงพ่อกล่าวถึงวันที่ ๕ ธันวาคม ที่ผ่านมาว่า "เมื่อวานในหลวงนั่งผิดที่ พระองค์ท่านไม่มีกำลังที่จะขึ้นไปนั่งบนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ปกติในหลวงออกมหาสมาคมท่านจะนั่งใต้ร่มนพปฎลมหาเศวตฉัตร แต่นี่เขาเอาพระที่นั่งภัทรบิฐมาวางซ้อนข้างหน้าแล้วท่านก็นั่ง ท่านขึ้นข้างบนไม่ไหว ขนาดนั่งยังไม่ไหวเลย ท่านนั่งตัวเอียง ๆ ไม่มีกำลัง สามารถพระราชทานพระบรมราโชวาทได้ขนาดนั้นก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ต้องบอกว่าอยู่ด้วยใจจริง ๆ

เกรงอยู่อย่างเดียว ปีนี้ท่านพระชนมายุ ๘๓ แล้ว จากที่รู้มานี่ ๘๓ เป็นปีวิกฤตของท่าน ถ้าท่านไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ประเทศชาติยุ่งน่าดูเลย

ประเทศพม่า มีหลวงปู่วัดเขาตามะยะ คนแห่ไปกราบหลวงปู่ท่านวันละเป็นหมื่น รถเมล์เป็นสิบ ๆ สาย มีปลายทางไปที่วัดท่าน ปรากฏว่าท่านมรณภาพไปสองวัน ฟื้นกลับมาใหม่ เพราะไม่มีใครแทนได้..! ลองนึกดูว่าคนอายุ ๘๘ แล้ว ต้องนั่งรับคนวันหนึ่งเป็นหมื่น..! ท่านก็ไม่ไหว มรณภาพไป แต่คราวนี้หาใครแทนไม่ได้ ก็ต้องเข็นท่านกลับมาอีก กลับมาอยู่ได้ปีกว่า ท่านก็มรณภาพอีก

คราวนี้...ถ้าฟังไม่ผิด ทางรัฐบาลทหารเขาสั่งฉีดยาเลย กันท่านฟื้นขึ้นมาอีก เพราะคนไปหาท่านวันละเป็นหมื่น และที่อยู่กับท่านอีกเป็นแสน เขากลัวว่าท่านจะพาคนไปล้มรัฐบาล คนเรากำลังใจแค่ไหนมันก็คิดแค่นั้น มันก็พูดแค่นั้น มันก็ทำแค่นั้น มันคิดว่าถ้ามันเองเป็นอย่างนั้นมันก็จะทำอย่างนั้น มันก็เลยเหมาเอาว่าพระจะทำอย่างนั้นด้วย

หลวงพ่อวัดเขาตามะยะลงทุนสร้างถนนเอง จากแม่สอดเข้าไปจนถึงวัดท่าน สามวันสองไมล์....สามวันสองไมล์ ปรากฏว่ารัฐบาลทหารไม่ยอมให้ทำ ท่านก็เลยสร้างได้ไม่เท่าไหร่ รัฐบาลกลัวว่าถ้าถนนหนทางดี ชาวบ้านไปมาหาสู่กันสะดวก เห็นความเจริญของต่างประเทศแล้วจะไปเล่นงานมัน

เรามานึกถึงในหลวงของพวกเราว่า ในวาระนี้..แม้กระทั่งกำลังที่จะทรงพระวรกายก็ยังยาก แล้วจะเอากำลังที่ไหนมาบริหารประเทศให้มากมาย สำหรับคนอื่นอาตมาไม่รู้ รู้แต่ว่าตัวเองอายุ ๕๑ มันเหมือนกับตำข้าวสารกรอกหม้อ มีกำลังทำงานได้วันหนึ่งเท่านั้น ถ้าวันไหนทำงานมากกว่าปกติ ก็จะอยู่ไม่ถึงวัน กำลังมีไม่พอทำวัตรเย็น นั่งทำวัตรเย็นนี่จะพับลงไปเสียให้ได้ แล้วมาคิดว่าเราไม่ได้ทำงานหนักอย่างในหลวง และอายุน้อยกว่าท่าน ๓๑ ปี เรายังแย่ขนาดนี้ แล้วในหลวงท่านทรงงานหนักกว่าเป็นร้อย ๆ เท่า ท่านเอากำลังที่ไหนมา ?

ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ พวกเราต้องเร่งทำความดีกันให้พร้อมเพรียงสม่ำเสมอ เพื่อที่กำลังความดีส่วนนี้เมื่ออุทิศไปแล้ว บรรดาเทวดาที่ท่านรักษาในหลวงหรือรักษาประเทศชาติ จะได้นำกำลังนี้ไปใช้ ถ้าหากว่าสามารถยืดพระชนมายุของในหลวงต่อไปได้ ไม่ต้องมากหรอก ให้แค่พ้น ๘๔ ก็พอ อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ผ่อนคลายวาระกรรมของประเทศไปได้"

เถรี
15-12-2009, 16:00
หลวงพ่อยังได้กล่าวต่ออีกว่า "เมื่อเช้าปรารภว่า ท่านที่ต้องหักล้างถางพงนี่จะเหนื่อยมาก ในหลวงเราก็เป็นลักษณะอย่างนั้น ท่านวางรากฐานการปกครองประเทศจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ต่อไปรัชกาลที่ ๑๐ รัชกาลที่ ๑๑ จะสบาย คราวนี้ในช่วงก่อนที่จะสบาย เราต้องมาดูว่าคนที่ลำบาก...เขาลำบากกว่าหลายเท่า ก่อนที่ถนนจะเป็นซูเปอร์ไฮเวย์ ๘ เลน จะต้องถางป่าขุดภูเขาไปสักกี่ลูก จึงจะเป็นถนนขึ้นมาได้ ? ถ้าในหลวงของเราไม่ได้โหมงานหนักตั้งแต่หนุ่ม ๆ ตอนที่อายุขนาดนี้ พระวรกายท่านก็จะไม่โทรมมาก คนเราวันหนึ่งทำงานวันละ ๒๐ ชั่วโมง หาเวลาพักผ่อนได้น้อยมาก ๆ ถ้าเป็นพวกเราคงนอนแผ่หลาสามวันสามคืน เรียกก็ไม่ลุก ปลุกก็ไม่ตื่น ใครมาเรียกใกล้ ๆ อาจจะโดนไล่เตะด้วยซ้ำ แต่ว่าในหลวงท่านต้องเสด็จพระราชดำเนินไปทรงงานของท่าน

ลองดูข่าวในพระราชสำนักปัจจุบันนี้ ในหลวงไม่ได้ออกงาน แต่ว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ออกงานแทน ลองไปนั่งนับดูสิว่า วันหนึ่งท่านต้องต้อนรับคณะบุคคลเท่าไร ? ต้องออกงานเท่าไร ? ครั้งล่าสุดอาตมาเจอท่านในงานสัปดาห์หนังสือ พอเขาบอกว่าท่านเสด็จ เขาก็ให้หลีกทาง เราก็หลบเข้าไปบูธของบ้านวรรณกรรม เพราะว่าเป็นลูกค้าประจำ พอท่านเปิดงานเสร็จท่านก็เดินมาที่บูธ พออาตมาเห็นหน้าท่านนี่แทบจะบรรลุเลย ดูเหมือนกับว่าความเหนื่อยทั้งโลกมาแบกอยู่ที่ท่าน แต่ก็ยังต้องเสด็จไป ไปให้กำลังใจตามบูธต่าง ๆ เขาก็ถวายหนังสือให้ท่าน ทหารติดตามก็เข็นรถเข็นตาม เพื่อบรรทุกหนังสือ เราก็คิดว่าท่านจะมีเวลาอ่านไหมหนอ ?

ฉะนั้น...ท่านทรงงานหนักขนาดนั้น หาเวลาพักผ่อนได้น้อยมาก ๆ การที่สุขภาพพลานามัยทรุดโทรมขนาดนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าในส่วนของธรรมะส่วนหนึ่ง ก็คือ มโนสัญเจตนา ความมุ่งมั่นของใจ ถ้าหากว่าไพร่ฟ้าประชากร ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา มีความสามัคคีกลมเกลียว ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ท่านก็มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อ แต่ถ้ามัวแบ่งสีทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ เป็นอาตมาก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน ท่านจึงได้บอกว่า ถ้าหากประเทศชาติสงบเรียบร้อย ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข พระองค์ท่านก็มีความสุข แม้จะเป็นพระราชดำรัสสั้น ๆ แต่ใจความสำคัญก็คือที่ว่ามา แฝงความหมายเอาไว้ว่าเมื่อไรจะเลิกทะเลาะกันเสียที..!"

เถรี
15-12-2009, 17:07
มีหญิงสาวท่านหนึ่ง กำลังอุ้มชูลูกน้อยของตนเองอยู่ หลวงพ่อท่านมองไปทางนั้น แล้วกล่าวขึ้นว่า "บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก สิ่งที่คนอื่นเขาไขว่คว้าแสวงหา เราไม่เอายังไม่พอ ยังเห็นโทษของมันอีก มันไม่ได้เห็นแค่นี้ แต่เห็นยาวไปเลยว่า ภาระอีกเท่าไรที่เขาจะต้องแบกไว้ แล้วก็เลยกลายเป็นกลัวไป อันนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าวิสัยทัศน์..? "

เถรี
15-12-2009, 17:15
มีตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง ที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง ก็คือ "สมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระสังฆราช ท่านคิดทดลองความสามารถของบรรดาเกจิอาจารย์ จึงได้จัดการแข่งขันที่หน้าลานพระปฐมเจดีย์ โดยนิมนต์เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั่วฟ้าเมืองไทยมาทดสอบกัน

สำหรับวิธีทดสอบนั้น ก็คือ เอาไม้ท่อนหนึ่งมาวางไว้ แล้วเอากบวางไว้ตรงปลายไม้ ทดสอบความสามารถโดยให้แต่ละท่านทำกบนั้นให้เลื่อนขึ้นมาไสไม้ได้ พูดง่าย ๆ ว่าไสไม้จากปลายซุงขึ้นมาที่หัวซุงได้ ปรากฏว่ามีท่านที่ทำได้แค่ ๑๑ รูปเท่านั้น นอกนั้นพอเพ่งกบแล้ว ได้แค่สั่นหรือเคลื่อนที่ได้นิดเดียว สมัยนั้นเขาทำกันอย่างนั้นเลย ปรากฏว่าหลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง ท่านทำให้กบไสปรื๊ดเลย คาดว่าถ้ามาสายกสิณ ๑๐ โดยตรง สามารถทำได้ทุกคน แต่มีแค่ ๑๑ รูปเท่านั้นจากที่นิมนต์ไปร้อยกว่า ตำนานนี้ไม่ทราบว่าเป็นจริงเพียงใด เพราะเกิดไม่ทัน"

เถรี
15-12-2009, 17:19
ในขณะที่ทุกคนกำลังเงียบ หลวงพ่อท่านกำลังอ่านหนังสืออยู่ จู่ ๆ ท่านก็อ่านใจความหนึ่งในหนังสือให้ฟังว่า "สัตว์ทั้งหลายแม้พญาสีหราช หากติดบ่วงนายพรานย่อมสิ้นกำลังและอำนาจ ได้รับแต่ความทุกข์ทรมานฉันใด ท่านทั้งหลายแม้มีฤทธิ์อำนาจมากเพียงใด ถ้าติดบ่วงสิเนหาแล้วย่อมสิ้นฤทธิ์หมดอำนาจ มีจิตเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานฉันนั้น"

เถรี
15-12-2009, 17:22
ในขณะที่น้องคนหนึ่งกำลังนั่งถักหมวกอยู่ หลวงพ่อก็ได้เมตตาสอนน้องว่า "....ต้องพยายามทำอะไรให้เป็นหลาย ๆ อย่าง โบราณเขาบอกว่าพอเป็นแล้ว มันไม่ขอข้าวกินหรอก แต่มันอาจจะช่วยให้เรามีข้าวกิน"

เถรี
15-12-2009, 17:25
ขณะที่ท่านหนึ่งกำลังแสดงอาการดีใจ หลวงพ่อก็ได้เมตตาสอนว่า "หลังจากที่ตื่นเต้นเรียบร้อยแล้วก็ดูกำลังใจตัวเองว่ามันฟูมากไหม ? ฟูมากก็รีบ ๆ หดมันลงก่อนที่มันจะฟุ้ง จะยินดีหรือยินร้ายมันแย่ทั้งคู่"