PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒


เถรี
10-11-2009, 11:25
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ บอกว่า ท่านเล็กเหมือนกับม้าอาชาไนย

คำว่า ม้าอาชาไนยก็คือ ยอมตายอยู่ในสนามรบดีกว่าป่วยตายอยู่ในคอก สมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุง แม้ว่าจะเครดิตดีในสายตาพี่ ๆ น้อง ๆ ด้วยกัน แต่ว่าความอาวุโสของเรามันไม่ได้ พรรษาน้อยมาก เพียงแต่ว่าสามสี่พรรษาท้าย ๆ ทำงานสนองหลวงพ่อท่านได้ อย่างที่คนอื่นเขาไม่กล้าเสี่ยง ก็เลยมีความเชื่อถือในสายตาพี่ ๆ น้อง ๆ แม้ว่าพรรษาจะน้อยกว่าก็ตาม

แต่พอออกจากวัดมา ด้วยความที่เราเป็นลูกหม้อวัดท่าซุง ทำให้พี่น้องสายนอกที่เขาไม่ได้บวชจากวัดท่าซุง ให้ความเชื่อถือมาก มีงานที่ไหนก็นิมนต์ไป ไป ๆ มา ๆ ก็มาลามมาถึงพี่น้องในวัดที่ออกไปตั้งสำนักข้างนอก แล้วก็เกิดภาพอย่างที่ทุกคนเห็น ก็คือ ไปที่ไหนก็เหนื่อย"

เถรี
10-11-2009, 12:04
ถาม : หลวงพ่อครับ ถวายของบูชาพระพุทธรูปที่บ้าน แล้วสมมติว่าเป็นของกิน?
ตอบ : ลามาแล้วก็กินได้

ถาม : กินได้หรือครับ?
ตอบ : ถ้าไม่เน่าไม่เสียก็กินไป

ถาม : แล้วไม่ถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือครับ?
ตอบ : ของอยู่กับบ้านเราไม่ได้อยู่กับวัด

ถาม : แล้วถ้าเป็นถวายข้าวพระพุทธรูปที่วัด นั่นก็กินได้หรือครับ?
ตอบ : นั่นเป็นของสงฆ์ เพราะไปอยู่วัดแล้ว

ถาม : หลวงพ่อช่วยเรื่องปฏิบัติด้วยครับ
ตอบ : อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา สำคัญตรงว่าทำจริงเท่านั้น ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้ง ๆ

เถรี
10-11-2009, 14:01
ในขณะที่กำลังพูดคุยถึงเรื่องงานกฐินตุ๊ป้อ ที่หลวงพ่อเล็กขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยง

หลวงพ่อท่านก็กล่าวว่า "เรื่องของการที่เขาจัดให้มีขบวนแห่ มีเสลี่ยงให้นั่ง มันก็ลักษณะเดียวกัน นั่นมันเป็นลักษณะของยศ ก็คือ ยกให้เราเป็นใหญ่ ก็สำคัญว่าเราต้องระวังรักษาใจ

แต่พอนั่งบนนั้นแล้วมันเห็นภาพซ้อน...ซ้อนแล้วซ้อนอีก นับชาติไม่ถ้วน ตอนแรกที่นั่งก็กลัวเหมือนกัน กลัวว่ามันจะเมาหรือเปล่า กลัวจะเมาลม เพราะคนที่หามมันเดินไม่เสมอกัน แต่ปรากฏว่าพอนั่งไปปุ๊บ ความคุ้นเคยเก่า ๆ มันมาหมดเลย มันกลายเป็นว่าสามารถนั่งได้สบาย ๆ แล้วมันก็เห็นภาพ มีทั้งขณะที่เดินทางเข้ารั้วเข้าวังเพื่อไปรายงานข้อราชการ มีทั้งออกตรวจคนเตรียมพร้อมรบ มีทั้งกำลังเลียบพระนคร แต่ละชาติมันมีทั้งที่เป็นใหญ่ มีทั้งที่เป็นแม่ทัพนายกอง แม้กระทั่งเข้าไปนั่งในศาลาแล้ว มันก็ยังรู้สึกว่านั่งอยู่ใต้มหาเศวตฉัตร

มันก็เลยเกิดความสลดใจว่า ชาติแล้วชาติเล่ามันก็เป็นอย่างนี้ แล้วท้ายสุดมันก็ไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ มันก็เหลือเพียงแต่ว่าชาตินี้เราจะดิ้นรนให้พ้นจากทุกข์ได้จริงหรือเปล่า โดยเฉพาะเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันเป็นของที่เชื่อไม่ได้ ถ้าวันไหนคนเขายังยกย่องสนับสนุนอยู่ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ วันไหนที่เขาเลิกสนับสนุนเมื่อไหร่มันก็จะสูญสลายไป มันก็จะกลายเป็นเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นธรรมดาของโลก เรียกว่าโลกธรรม ธรรมดาของโลกมันต้องมีอย่างนี้ คราวนี้เมื่อมันเกิดกับเราขึ้นมาแล้ว เราเองมีการหวั่นไหวตามหรือว่าสามารถที่จะปล่อยได้วางได้

แต่ว่ามันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชัดที่สุดก็คือว่า มันรู้ว่าภาระใหญ่มา ก็คือยิ่งเราโดนยกเข้าไปสู่ที่สูงมากเท่าไหร่ ภาระการงานที่เราต้องรับผิดชอบมันก็ต้องมากเป็นเงาตามตัว เห็นแล้วมันสยอง รู้ตัวว่างานมา"

ถาม : เขายกในงานกฐินหรือคะ
ตอบ : ใช่ มันมองเห็นยาวเลย ถ้าวาระของบุญของกรรมมันมาถึง อย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้ เรารับ ๆ ไปเถอะ เพียงแต่ว่าอย่าเก็บมาเป็นกังวล ทำได้เต็มที่แค่ไหน เอาแค่นั้น อย่าลืมว่าเต็มที่คือดีที่สุด ทำได้ดีที่สุดแค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ไปกังวลว่ามันต้องเสร็จไปทุกเรื่อง ลักษณะเดียวกับไม่ได้ไปหนักใจว่าจะต้องทำ เพราะเราอาจจะตายลงไปตอนนี้ก็ได้

เถรี
10-11-2009, 14:20
หลวงพ่อเล็กท่านแจ้งข่าวมาว่า "ปีหน้าไปปลดหนี้วัดหนองหญ้าปล้อง สร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก ตอนนี้ติดหนี้เขาอยู่บานเลย งานกฐินนี้วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เวลาสิบโมงครึ่ง

สำหรับวัดหนองหญ้าปล้อง อยู่จังหวัดกาญจนบุรี ออกจากตัวเมืองไปสัก ๔๐ กิโลเมตร เริ่มวางโครงการได้แล้ว ทีนี้จะไถวัตถุมงคลของใครไปประมูลได้เลย"

แล้วท่านก็ถามพวกเราว่า "ปีนี้ไปเหนือ ปีหน้าภาคกลาง ปีต่อไปลงใต้ดีไหม" มีคนเสนอว่าให้ลงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลวงพ่อก็พูดขำ ๆ ว่าอย่างนั้นคงต้องทำวัตถุมงคลรุ่นกันระเบิด :154218d4:

เถรี
10-11-2009, 14:34
หลวงพ่อเล่าให้ฟังเรื่องพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านว่า

"ตอนนี้บอกให้เขาแกะแบบให้แล้ว บอกว่าให้เอาช่างฝีมือดีที่สุดเท่าที่โรงงานจะหาได้ ทางโรงงานเขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นต้องขึ้นไปถึงปราจีนบุรี เพราะมีช่างฝีมือดีมากเลย"

สำหรับพระปิดตาฯ นี้ หลวงพ่อบอกว่าองค์ขนาดเล็ก แต่เรื่องราคา แฮ่ ๆ เถรีเกรงว่าจะไม่เล็กตามค่ะ ท่านบอกว่าขอดูก่อนว่าจะสร้างเนื้ออะไรบ้าง

สำหรับชนวนนั้น หลวงพ่อบอกว่าตอนนี้ มีชนวนที่สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อทองคำ ๑ ซม. , ๓ ซม. , ๓ นิ้ว
ชนวนพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงิน ๑ ซม. กับ ๓ ซม.
ชนวนพระยอดธง
ชนวนที่ทำตอนเข้ากรรมฐาน
และชนวนที่ทำเมื่อวันลอยกระทงที่ผ่านมา เพราะวันลอยกระทงที่ผ่านมาเป็นวันจันทร์ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เขาเรียกฤกษ์จันทร์เพ็ญ โบราณเขาบอกว่าเป็นฤกษ์มหาเสน่ห์ เหมาะสำหรับทำเรื่องเมตตามหานิยม หลวงพ่อก็เลยเขียนแผ่นยันต์ไปสองแผ่น ช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงค่ะ

เถรี
10-11-2009, 15:46
มีคนนำหนังสือของหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต มาถวายให้หลวงพ่อเล็ก แล้วท่านก็กล่าวว่า "หลวงปู่หล้า ท่านสอนว่า หัดเป็นนักหลบเสียบ้าง อย่าเป็นนักรบอย่างเดียว

ถ้ารู้ว่ารบแล้วไม่ชนะแล้วยังไปรบอีกถือว่าโง่ ถ้ากิเลสมันแรงกว่าเราก็หลบมัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือไปอยู่กับตัวสมาธิ ตัวภาวนา ไม่โผล่ออกมา กิเลสมันกินไม่ได้ เมื่อถึงเวลาก็ค่อยมาตอดเล็กตอดน้อยจัดการกับมัน"

เถรี
11-11-2009, 10:39
ถาม : หลวงพ่อขา หนูภาวนาคาถาเงินล้านใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่ามันก้าวหน้าดี ฟุ้งซ่านมันน้อยลง แต่ว่าพอไปนาน ๆ รู้สึกว่ามันเริ่มอืดแล้วค่ะ ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตอบ : เพราะว่าอยากดี ถ้าเลิกอยากดีเดี๋ยวมันดีเอง ตัวอยากดีมันคือฟุ้งซ่าน

ถาม : แล้วทำไปเรื่อย ๆ หรือมีวิธีเร่งอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ

เถรี
11-11-2009, 11:26
ในขณะที่ความเงียบกำลังครอบคลุม หลวงพ่อก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า "เคยอยู่กับความเงียบไหม เงียบชนิดที่ได้ยินลมหายใจ"

"ความเงียบจริง ๆ มันไม่ได้เงียบ ที่มันเงียบเพราะเราไม่ได้ยิน"

"ถ้าฝึกทิพโสต เมื่อกำหนดสมาธิได้ระดับแล้ว ก็ค่อย ๆ เพ่งความรู้สึกทั้งหมดไปที่ประสาทหู ขยายวงการฟังไปรอบตัวในระยะที่เราได้ยินเสียง จนกระทั่งมั่นใจว่าทุกเสียงที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ตกหล่นไปจากหูของเราได้แล้ว ก็ขยายกว้างออกไปอีก อย่างเช่นว่าตอนนี้อาจจะฟังแค่ในห้องนี้ แล้วหลังจากนั้นก็ขยายกว้างออกไป ถ้าหากว่าได้ยินไม่ชัดให้ดึงกำลังใจมาแล้วเข้าสมาธิใหม่ แล้วขยายความรู้สึกออกไป

ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้ว่าจริง ๆ มันไม่เงียบ มันจะได้ยินสารพัด ถ้าหากว่ามีความคล่องตัวมาก ใกล้ไกลแค่ไหนก็ได้ยิน แล้วคราวนั้นจะรำคาญ ถึงเวลาค่อยปิดเครื่อง"

ถาม : แล้วถ้ากำลังนินทาอยู่ครับ
ตอบ : นินทาได้ เพียงแต่จะได้ยินหรือเปล่า มันจะเป็นลักษณะที่ฟังแต่ไม่ได้ยิน มองแต่ไม่ได้เห็น คือ มันสักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่ามอง

เถรี
11-11-2009, 11:35
แล้วหลังจากนั้นหลวงพ่อก็ถามว่าอ่านหนังสือเรื่อง Twilight ไปถึงไหนแล้ว

ท่านก็บอกว่า"ให้สังเกตดูตอนที่ผีดิบหรือมนุษย์หมาป่ามันล่าเหยื่อ มันลักษณะของทิพโสตหรือทิพจักขุญาณ อย่างที่เขาบรรยายว่า รู้แล้วว่าทำไมเอ็ดเวิร์ด (พระเอกในเรื่อง) วิ่งเร็วขนาดนั้นแล้วจึงไม่ชนต้นไม้เลย เพราะเขาใช้ประสาทสัมผัสแทนตา แล้วเวลาที่จะไปล่าสัตว์ เขาก็ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจของสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่กำลังเต้น อย่างเช่น สัตว์ตัวนั้นหัวใจเต้นเร็ว แสดงว่ามันกลัวมากเลย มันเหมือนกับการฝึกอภิญญา ทิพโสตหรือทิพจักษุ"

เถรี
11-11-2009, 11:52
ถาม : ถามว่าจำเป็นไหมที่เวลาจับภาพกสิณเราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเราไม่ได้เป็นคนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา
ตอบ : มันไม่จำเป็นต้องถึงขนาดมีสติอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากว่ากสิณมันเริ่มทรงตัวแล้ว เราแบ่งความรู้สึกไว้ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกส่วนนั้นมันจะเกาะอยู่ตลอดเวลา

ถาม : หนูมาสังเกตช่วงเวลาที่เราขาดสติช่วงนั้นไป มันก็สามารถจะจำอารมณ์ตัวนั้นกลับมาทำใหม่ได้
ตอบ : ทำได้ แต่ถ้าหากว่าไม่ถนัดหรือชำนาญมันจะหายไปเลย ต้องมาเริ่มต้นใหม่

ถาม : เราแค่จำอารมณ์ฌานนั้นที่กสิณมันทรงตัว เราก็ทำได้แล้ว
ตอบ : แล้วเราก็ล็อกเป้า

ถาม : บางทีเราทำกสิณยังไม่ได้ถึงจุดที่ทำให้มันเกิดฤทธิ์ แต่ว่ามันก็เกิดไปมีตัวอรูปฌานแล้ว
ตอบ : ของเก่า...ของเก่า เก่าล้วน ๆ ไม่มีใหม่เลย

ถาม : หนูมาสังเกตที่หลวงพ่อสอนตัวทิพโสต ทีนี้เวลาเราจับภาพกสิณเพื่อฝึกทิพโสต เราสามารถพลิกวิธี
ตอบ : ก็ขยายวงไป ที่เคยสอนเอาไว้มีครบทุกอย่างแหละ ตั้งแต่การสอนภาวนาแรก ๆ จนกระทั่งกรรมฐาน ๔๐ ถ้าคนสังเกตจะเห็นว่าบทแรก ๆ มันยำใหญ่เกือบทั้ง ๔๐ กองเลย เหลือแต่เราเอาไปพลิกแพลงใช้

อาตมาไม่ใช่คนเก่ง ครูบาอาจารย์ท่านทำได้ทุกคน แต่ขี้เกียจมาอธิบาย ท่านก็บอกไปเรื่อยเปื่อย มันอยู่ที่ว่าเราจะเฉลียวใจคิดหรือเปล่า

เถรี
11-11-2009, 12:01
ถาม : ผมจบมาแล้วก็เพิ่งไปบวช ทีนี้ก็เลยอยากจะขอพรหลวงพ่อให้ผมได้งานเร็ว ๆ และงานดี ๆ ครับ
ตอบ : อดข้าวอีกสัก ๗-๘ วันน่าจะไหวนะ ต้องไปบนพระวิสุทธิเทพ พระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

ถาม : ครับผม
ตอบ : จุดธูป ๕ ดอก นึกถึงท่านว่าขอให้ได้งาน ถ้าหากว่าสำเร็จจะรักษาศีลแปดพร้อมกับเจริญกรรมฐานถวายสัก ๗-๘ วัน

เถรี
11-11-2009, 18:04
ถาม : ผมไม่เข้าใจ เข้าไปอ่านในกระทู้ที่บอกว่า ถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ลาพุทธภูมิเสียก่อน ตอนอายุ ๖๐ หลวงพ่อก็จะบารมีเต็ม อันนี้แสดงว่าท่านเคยได้รับการพยากรณ์แล้วหรือครับ
ตอบ : ถ้าไม่ได้แล้วใครเขาจะบารมีเต็มกัน

ถาม : แต่คำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าไม่ผิดไม่ใช่หรือครับ
ตอบ : ไม่ผิด ถ้าท่านไม่ลา แล้วนี่ท่านลาไหมเล่า

ถาม : แล้วมีคนพูดกันเยอะว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ
ตอบ : ท่วมมากี่ปีแล้ว จนป่านนี้มันท่วมหรือยัง

ถาม : ยังครับ
ตอบ : แต่อย่าไปประมาทเผลอเมื่อไหร่โดนทันที

ถาม : แสดงว่ามีโอกาสท่วม
ตอบ : ตอนนี้กรุงเทพฯ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางเป็นเมตรแล้วพ่อคุณ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเลิกกั้นน้ำเมื่อไหร่ก็เข้าท่วมทันที ไม่ต้องรอให้ฝนมาหรอก

ถาม : แล้วพอจะมีเหตุอะไรบ่งบอกก่อนไหมครับ ผมจะได้หนีก่อน
ตอบ : รอดูในหลวง ถ้าในหลวงสั่งบรรดาข้าราชการอะไร ก็เตรียมตัวเผ่นได้

ถาม : แล้วไปอยู่แถวไหนดีครับ
ตอบ : ยอดตึกใบหยก

ถาม : บนนั้นไม่มีข้าวกินก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันครับ
ตอบ : ก็คุณถามถึงที่ที่น้ำไม่ท่วม

ถาม : แล้วอย่างไปอยู่ภาคอีสาน
ตอบ : ถ้าหากว่าสร้างกรรมไว้ หนีไปอยู่ที่ไหนก็ตาย ถ้าหากไม่สร้างกรรมไว้อยู่ที่ไหนก็รอด

ถาม : แล้วถ้าอย่างนี้เราซื้อประกัน ส่งไป ๑๐ ปี อย่างนี้จะดีไหมครับ
ตอบ : ก็ส่งไปสิ ประกันเอาไว้ ถ้าเราตายคนอื่นก็ได้ ก็เท่ากับว่าเป็นความโชคดีของคนอื่นเขา

เถรี
11-11-2009, 18:06
ถาม : แล้วถ้ามีคนเขียนว่าคนนี้เป็นพุทธภูมิ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้บำเพ็ญมาแบบไหน
ตอบ : ถึงเวลาก็รู้

ถาม : แล้วการสะกดจิตระลึกชาตินี้มันจริงหรือเปล่าครับ
ตอบ : จริงบ้าง สำหรับคนที่ในอดีตเคยได้ทิพจักขุญาณมา ถ้าคนที่ไม่เคยมีพื้นฐานของทิพจักขุญาณมา สะกดให้ตายก็ระลึกไม่ได้

ถาม : แสดงว่าขึ้นอยู่กับคนนั้นทำได้
ตอบ : ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ คือ คนที่เอามาสะกด

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่า คนนี้บูชาพระองค์นี้ คนนั้นบูชาพระองค์นั้น ปางนั้น
ตอบ : แล้วแต่ใจเราว่าชอบองค์ไหน เรื่องการกำหนดเขามากำหนดกันทีหลัง จริง ๆ แล้วก็พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน

ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว ยันต์ยังอยู่กับเรา
ตอบ : ไปซื้องูเห่ามาตัวหนึ่งให้มันกัดเรา ถ้ามันกัดแล้วเราไม่ตายแสดงว่ายันต์ยังอยู่

ถาม : มีวิธีอื่นไหมครับ
ตอบ : มี ให้สิบล้อชนถ้าไม่ตายก็แสดงว่ายันต์ยังอยู่ เพราะเขาห้ามตายโหง หรือไม่ก็นอนให้รถไฟทับ

เถรี
11-11-2009, 18:21
ถาม : เวลาที่จะนิมนต์หลวงปู่เทพโลกอุดร ทำไมต้องปูผ้าขาว
ตอบ : ถ้ายังมัวสงสัยอยู่มันก็จะสงสัยไปเรื่อย ถ้าอยากรู้ก็ทำ ความสงสัยมันเป็นสิ่งที่ดีเพราะอย่างน้อย ๆ มันแสดงว่าเราเป็นคนมีปัญญา แต่ถ้าหากว่ามันสงสัยในเรื่องที่มันไม่เป็นเรื่อง มันเสียเวลา และก็เสียกำลังด้วย คำว่าเสียกำลังก็คือ เราสั่งสมกำลังเอาไว้เพื่อเอาไว้ตัดกิเลส เอาไว้สร้างเสริมสติ สมาธิ ปัญญาของเรา แต่เราเอากำลังตรงนั้นไปสงสัยเสียเรื่อย สติสมาธิปัญญาของเราเลยไม่ก้าวหน้าไปไหนเสียที ถ้าหากว่าพูดง่าย ๆ ก็คือ มันรั่วหมด พอมันรั่วหมดกำลังก็เลยไม่พอใช้งาน เพราะฉะนั้นเลิกสงสัยแล้วก็ทำ

ถาม : ว่าจะไปเข้าคอร์สบวชสัก ๕ วัน
ตอบ : อย่าเสียเวลาไปจับกลุ่มคุยกัน ระยะเวลาแค่ ๕ วัน ๑๐ วัน ถ้าคนปฏิบัติจริง ๆ มันไม่พอหรอก มัวแต่ไปคุยกัน อย่างว่ามันรั่วหมด

เถรี
12-11-2009, 01:00
ถาม : เรื่องการบวงสรวงท่านท้าวมหาราช การเซ่นของบวงสรวงที่บอกว่าไก่ต้องวางไว้ทิศเหนือ ทิศเหนือต้องเป็นทิศเหนือจริง ๆ หรือว่าทิศเหนือของโต๊ะครับ

ตอบ : ทิศเหนือจริง ถ้าไม่ได้ทิศเหนือจริงก็ใกล้เคียงทิศเหนือให้ได้มากที่สุด

เถรี
12-11-2009, 01:02
ถาม : เวลาทำกรรมฐานหนูสมาทานศีลแปด แต่ก็ยังแต่งหน้า ทำผมอยู่
ตอบ : ก็รักษาเฉพาะตอนทำกรรมฐาน

ถาม : มันไม่มีผลเสียหรือคะ
ตอบ : แต่จริง ๆ เรื่องของการแต่งหน้าแต่งตา เขาหมายเอาว่าแต่งเพื่อยั่วกิเลสเพศตรงข้าม ถ้าหากว่าความเคยชินของเราถ้าไม่ได้แต่งหน้าแล้วรู้สึกว่าออกจากบ้านไม่ได้ มันเก้อเขิน ก็ทำไปเถอะ

ถาม : มันไม่แต่งไม่ได้ค่ะ ต้องเอาอะไรมาพอกปกปิด
ตอบ : ปิดเอาไว้ก็อย่าลืมแล้วกันว่าสภาพแท้จริงเป็นอย่างไร

เถรี
12-11-2009, 01:04
ถาม : หลวงพี่ครับ เกิดดับทั้งภายในและภายนอกมันเห็นพร้อมกันได้หรือเปล่าครับ
ตอบ : ได้ คือ มันเป็นปกติของมันอยู่แล้วเพียงแต่ว่าเราจะเห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ถาม : เขาบอกว่าอินทรีย์ ๕ มีใจเป็นเครื่องคุม ใช่ไหมครับ สติมีวิมุติเป็นเครื่องผูก วิมุติมีนิพพานเป็นเครื่องผูก ขอให้หลวงพี่ช่วยขยายความ
ตอบ : ไม่เห็นต้องขยายอะไรเลย ก็สมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว

ถาม : คำว่ามีวิมุติเป็นเครื่องผูกนี่หมายความว่า
ตอบ : มุ่งไปทางนั้น คราวนี้พอหลุดพ้นแล้วก็มุ่งไปนิพพาน มันเป็นภาษาโบราณตีความยาก

จะเอารายละเอียดจริง ๆ มันยาว แต่ถ้าสั้น ๆ เอาไปนั่งขบเองก็ได้แล้ว

เถรี
12-11-2009, 01:08
ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อน เขาบูชาอย่างไรครับ
ตอบ : ต้องมีคาถากำกับ ต้องภาวนาทุกวัน แต่มีข้อแม้ว่าห้ามให้เด็กใช้ แล้วก็ห้ามเข้าไปในที่ที่คนหรือสัตว์กำลังคลอด เพราะว่าตะกรุดมหาสะท้อนมันย้อนคืนทุกอย่าง ใครทำดีทำชั่วกับเรามันย้อนคืนเป็นร้อยเท่าพันทวี อย่างเด็กที่คลอดออกมามันย้อนกลับก็ไม่ต้องคลอดกันพอดี เคยมีคนลองมาแล้วเกือบตาย

ถาม : แล้วเวลาพก
ตอบ : จริง ๆ เขาให้ติดตัวไว้ อาราธนาทุกวัน

ถาม : แล้วถ้าสองคนมีตะกรุดมหาสะท้อนเหมือนกันละครับ ถ้าเวลาคิดไม่ดีแล้วมันจะย้อนคืนอย่างไร
ตอบ : ถ้าสองคนมีเหมือนกัน ต้องดูว่ากำลังใจใครดีกว่า

เถรี
12-11-2009, 02:11
ถาม : หลวงพี่ครับ เพื่อนเขาไปต้องคุณไสยมา
ตอบ : ปีหน้า ๒๐ มีนาคม งานเป่ายันต์เกราะเพชร ลากเขาไปก็แล้วกัน

ถาม : กลัวมันจะตายเสียก่อน
ตอบ : บอกให้อึด ๆ ไว้หน่อย อีกไม่กี่เดือน

ถาม : เขาอาเจียนออกมาเป็นเส้นผม เป็นโครงกระดูก
ตอบ : แสดงว่าคนเขารักมาก ให้มาเยอะ

ถาม : ลากไปวัดท่าขนุนได้ไหมครับ
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากไม่ใช่วาระจริง ๆ อาตมาไม่แตะเรื่องพวกนี้หรอก ขี้เกียจเดือดร้อน เพราะพวกไสยศาสตร์มันเร็วมากเลย มันจะรู้ว่าใครช่วย แล้วมันจะเล่นคนนั้นแทน อาตมารบกับมันจนต้องแกล้งตายมาหลายรอบแล้ว

ถาม : อย่างนี้พวกที่ปล่อยของมาเขาก็มีทิพจักขุญาณสิคะ เพราะเขารู้ว่าใครช่วยแก้คุณไสยให้
ตอบ : มันให้ผีบอก ถึงเวลาผีมันก็ไปสำรวจว่าเป็นใคร แล้วมันก็บอกเจ้านาย

ถาม : เทวดาปกปักเราไม่ได้หรือคะ
ตอบ : มันขึ้นอยู่กับวาระกรรม ถ้าวาระมันเปิดก็ซวย อาตมาเองโดนมาซะหลายยก จนต้องแกล้งตาย แกล้งตายคือไม่ตอบโต้ มาเท่าไหร่เงียบอย่างเดียว จนเขาคิดว่าไม่รอดแล้ว เขาก็เลิก

ถาม : แปลว่ารับไว้
ตอบ : โดนจนเข็ด มาเท่าไหร่ก็กางกระสอบรับ

ถาม : แบบนี้ได้ตะปูไปเยอะ
ตอบ : ไม่ค่อยพอ ส่วนใหญ่เต็มที่สองกิโลก็หมดแล้ว ตะปูสองกิโลนี่มันรื้อเมรุหลายเมรุเลยนะ เพราะว่าเขาจะต้องเอาเมรุที่เป็นเมรุเก่า พวกที่ทำด้วยไม้ ตอนเผาศพมันจะมีควันจากไอศพขึ้นไป พวกนั้นมันจะสื่อวิญญาณได้ง่าย แล้วก็จะเอามาทำไสยศาสตร์ มันไม่ใช่ประเภททำมั่ว ๆ แล้วโลงสมัยนี้มันก็ตอกตะปูได้น้อยมาก เพราะเอาไว้เผาอย่างเดียว จะเอาตะปูตอกโลงผี โลงหนึ่งก็มีแค่ ๔ ตัว หรือ ๖ ตัวเท่านั้น ไสยศาสตร์มันหากินอัตคัดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะวัตถุดิบมันหมด

เถรี
12-11-2009, 09:44
พอดีมีคนถวายตาลปัตรให้หลวงพ่อ ท่านก็เลยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตาลปัตรให้ฟังว่า "ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น ความจริงมันแฝงด้วยปริศนาธรรมเยอะมากเลย

ไปไม่กลับ นี่ต้องพระอนาคามีขึ้นไป ไม่ลงมาเกิดแล้ว
หลับไม่ตื่น คือ คนที่ถูกอวิชชา ตัณหา อุปาทานครอบงำ
ฟื้นไม่มี เป็นทาสของตัณหา ไม่ได้ไปไหนหรอก ตายแหง ๆ
หนีไม่พ้น ก็คือความตายนั่นเอง

แต่คราวนี้จังหวัดกาญจนบุรีมีอะไรแปลก ๆ มันมีอยู่ช่วงหนึ่ง จำไม่ได้ว่าผู้ว่าคนไหน เขาจะให้พระมาเป็นหน่วยต่อต้านยาเสพติดในชุมชน เขาก็เลยทำตาลปัตรถวายทุกวัด เพียงแต่ว่าข้อความมันไม่ใช่ในแบบที่เราเคยชิน ตาลปัตรของท่านผู้ว่าที่ถวายทุกวัดมันปักว่า เป็นทาสยาบ้า เหมือนฆ่าตัวตาย ครอบครัวฉิบหาย ทำลายสังคม

ลองแบกตาลปัตรไปทีละอันสิ ถ้าพระตั้งตาลปัตรขึ้นมา อันแรก เป็นทาสยาบ้า อันที่สอง เหมือนฆ่าตัวตาย แล้วถ้าตั้งอันที่สามว่า ครอบครัวฉิบหาย โยมที่ไหนจะให้เข้าบ้านเล่า อันสุดท้ายก็ทำลายสังคม เจริญอีก

เพราะฉะนั้นกรณีนี้ห้ามแยกเดี่ยวตาลปัตรเด็ดขาด แยกแล้วไม่เป็นมงคล"

เถรี
12-11-2009, 10:02
ในขณะที่พี่คนหนึ่งกำลังนั่งนับลูกประคำอย่างรวดเร็ว ด้วยสายตาที่เหม่อลอย หลวงพ่อเล็กท่านก็บอกว่า "มันกลายเป็นว่าสักแต่ว่าทำ ๆ ไป ครึ่งหนึ่งอยู่กับการภาวนา ครึ่งหนึ่งอยู่กับการนับ มันจึงจะได้คุณภาพ ไม่อย่างนั้นคุณนับให้ตายมันก็ฟุ้งซ่าน"

"นั่งนับอยู่ตรงนี้ แต่ใจไปที่อื่น สารพัดเรื่อง"

เถรี
12-11-2009, 10:15
ถาม : หลวงพี่ครับ ผมมีอังสะใหม่ ๒ ตัว ที่จะใส่ตอนบวช ผมเป็นโรคแพ้ของใหม่ ๆ ครับ ถ้าผมใส่ของใหม่ ๆ ผมจะคัน ผมจะใส่ให้มันเก่าก่อนจะได้ไหมครับ
ตอบ : ใครเขาจะว่า

ถาม : ไม่ได้ปรามาสใช่ไหมครับ
ตอบ : เพียงแต่ว่าอย่าไปใส่โชว์คนอื่นก็แล้วกัน ไปใส่โชว์คนอื่นเขาจะว่าติงต๊อง

ถาม : เปล่าครับ
ตอบ : ประเภทอาฬวีเศรษฐีใช่ไหม ใช้ของใหม่ไม่ได้

ถาม : เป็นตั้งนานแล้วตั้งแต่เด็ก ถ้าใส่ของใหม่นี่มันจะคัน ต้องเกาหลังตลอด ต่อให้เนื้อผ้าดีแค่ไหนก็ตาม
ตอบ : แสดงว่าให้ทาสทานไว้เยอะ

เถรี
12-11-2009, 10:39
สำหรับหลวงพ่อเล็กนั้น ถ้าคนไหนที่ใส่ขาสั้นไป ถ้าหลวงพ่อมีโอกาสเตือนได้ท่านก็จะเตือน อย่างที่ผ่านมาท่านก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า "สมัยก่อนเราเองก็ไม่ค่อยได้คิด มีอยู่ช่วงหนึ่ง ปี ๒๕๒๖ น้ำมันท่วม เราก็คิดว่าสบาย จะได้ถือโอกาสนุ่งกางเกงขาสั้น เราก็นุ่งกางเกงบอลออกจากบ้าน มารับใช้นั่งอยู่ข้างหลวงพ่อ ช่วงตอนเพลป้าหมอลัดดา ก็เตือนว่า หลวงพ่อเราคนมาหาเยอะ คนเขาชอบขอถ่ายรูปด้วย เราแต่งตัวอย่างนี้ป้ารู้ว่าน้ำท่วม แต่ว่าคราวหน้าพกขายาวมาด้วย เพราะถ้าเขาถ่ายรูปออกไปแล้วเขาเห็นภาพที่เราแต่งตัวไม่เรียบร้อย ถ้าเขาตำหนิ พ่อเราจะเดือดร้อนด้วย ผู้ใหญ่เขามองละเอียด ส่วนเราเอาตามสบาย เรื่องอะไรที่มันผิดพลาดอาตมาโดนครั้งเดียว ไม่เคยโดนซ้ำ ปรากฏว่าพอเขาเตือนปุ๊บ เรารู้เลยว่าใจเรามันหยาบ มองไม่เห็นข้อบกพร่อง คิดอยู่อย่างเดียวว่าตัวเราสะดวก ตัวเราสบาย"

เถรี
17-11-2009, 18:01
ถาม : แสงสว่างที่อยู่รอบเศียรพระนี่คืออะไรคะ ?
ตอบ : เรียกว่าแสงพระรัศมีบ้าง ฉัพพรรณรังสีบ้าง ถ้าสมัยนี้เขาก็เรียกแสงออร่า

ถาม : เคารพหลวงปู่เป็นพิเศษ ที่บ้านจะมีรูปของท่านอยู่ ไม่ว่าหนูไปทางไหนจะมีความรู้สึกว่าท่านจะมองมาตลอด มีอยู่วันหนึ่งเห็นแสงสีน้ำเงินอยู่ที่รอบศีรษะของท่านค่ะ ท่านเมตตาหรือบอกให้หนูทำอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เห็นได้ก็ถือว่าดีแล้ว

ถาม : หนูไม่ค่อยได้ปฏิบัติ หนูว่าตอนนี้ไม่ค่อยก้าวหน้าไปไหนเลยค่ะ
ตอบ : ก็พยายามสักหน่อยสิจ๊ะ ขยันขึ้นหน่อยถ้าอยากก้าวหน้า ไม่ใช่ขี้เกียจ

ถาม : ไปฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านสายลมแล้วตามไม่ทันในบางจุด เป็นเพราะจิตไม่มีกำลัง หรือเป็นเพราะว่าจิตไม่ตั้งมั่นพอ ?
ตอบ : ทุกเรื่อง เพราะสมาธิไม่พอ วิปัสสนาญาณไม่ดีก็ไปไม่รอด

ถาม : จำเป็นไหมคะที่ฝึกมโนฯ ต้องได้วิปัสสนาญาณขั้นไหนขึ้นไปแล้ว ?
ตอบ : หมั่นพิจารณาให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้วจิตมันจะพ้นออกจากร่างกาย คราวนี้มันจะเห็นชัดเจนเลย

ถาม : มันวูบไปเร็วมาก เหมือนกับกายทิพย์ออกไปเลยหรือเปล่า ?
ตอบ : บอกไม่ได้ คำว่าวูบมันมีหลายลักษณะ ของเราใช้คำว่าวูบไปมันอธิบายยาก ต้องสังเกตเองว่า ถ้าวูบแล้วไปที่อื่นก็แปลว่าใช่ แต่ถ้าเราขาดการภาวนาหรือพิจารณาที่ดี บางทีไปแล้วก็ไปต่อไม่เป็น เปะปะอยู่เดี๋ยวก็กลับ บางทีออกไปมืดตื๋อ หาทางไปไม่เจอก็กลับ

ถาม : ถ้าหนูกลัว ๆ กล้า ๆ ที่จะฝึกมโนมยิทธิ
ตอบ : ถ้ากลัวก็ไม่ต้องฝึก

ถาม : ฝึกแล้วมีอันตรายอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ากลัวไม่ต้องถาม ไปไม่ได้หรอก

เถรี
18-11-2009, 12:09
ถาม : (ได้ยินไม่ชัด) .....ไม่สามารถฝึกมโนมยิทธิได้หรือคะ
ตอบ : ตอนนั้นมันได้แล้ว แต่ว่าการที่เราจะไป ให้กลับมาพิจารณาร่างกายเราเสียก่อน เอาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตจะได้ไม่เกาะกับร่างกาย แล้วมันจะได้ไปได้ คือ ลักษณะของเรากับเพื่อน ๆ ไม่เหมือนกัน อย่างของเราภาพปรากฏชัดเจนมันจะเป็นแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ในเมื่อเป็นแบบมโนมยิทธิเต็มกำลังถ้าพิจารณาตัดร่างกายให้ดี ๆ เลยก็จะไปได้ ถ้าแบบครึ่งกำลังไปแบบมืด ๆ มัว ๆ ช่างมัน เขาอยากไป...ให้เขาไป ของเราเองถ้าย้อนกลับมาพิจารณาตัดร่างกายให้เห็นชัด ๆ ไม่ใช่ของเราจริง ๆ จิตมันจะได้ไม่เกาะ พอมันไม่เกาะคราวนี้มันไป ใช้วิธีเดิมแหละจ้ะ ฝึกเองก็ได้

ถาม : อ๋อ ไปฝึกที่บ้านสายลม ครั้งแรกที่ทำเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นก้อนกลม ๆ ลงมาเต็มไปหมดก็เลยกลัว ก็เลยเลิกทำ เลิกไปบ้านสายลม ตอนนั้นเป็นมโนฯ ใช่ไหมคะ หนูเห็นเขาลอยเต็มไปหมด นึกว่าอุปาทาน เลยไม่อยากจะเก็บมาเป็นอารมณ์
ตอบ : ไม่ได้อุปาทานอะไรหรอกจ้ะ

ถาม : ขอบพระคุณค่ะหลวงพี่ คาใจมานาน
ตอบ : จ้ะ

เถรี
18-11-2009, 12:47
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าบ้านใหม่ที่จะสร้าง ชื่อ บ้านวิริยบารมี อยู่ข้าง ๆ วัดใหม่ยายนุ้ย แถว ๆ ตลาดพลู ท่านบอกว่าต่อไปรถไฟฟ้า bts จะมาลงตรงซอยหน้าบ้านพอดี สำหรับราคาที่นั้นประมาณ ๑๓ ล้าน แค่ราคาที่เท่านั้นนะคะ ยังไม่รวมค่าก่อสร้างอาคาร

เถรี
18-11-2009, 16:29
หลวงพ่อ : บ้านหลังใหม่ชื่อบ้านวิริยบารมี ได้ชื่อมาตอนบวงสรวงเมื่อเช้า แสดงว่าพวกเราต้องพากเพียรกันอีกเยอะ

โยม : นึกว่าเป็นเพราะพวกเราพากเพียรแล้ว ก็เลยตั้งชื่อนี้

หลวงพ่อ : ที่พากเพียรอยู่มันยังไม่พอ ต้องเพิ่มความเพียรมากขึ้น ฉันทะเพียงพอแล้ว แต่วิริยะยังขาดอยู่ ขาดวิริยะกับปัญญา แต่ถ้าหากวิริยะไม่สำเร็จปัญญาก็เกิดยาก มันก็เลยกลายเป็นบ้านวิริยบารมี

เถรี
18-11-2009, 16:36
ถาม : หลวงพ่อคะแล้วเวลาเรานั่งกรรมฐานใหม่ ๆ แล้วเราปวดหัว เวียนหัว จะอ้วก
ตอบ : ไม่มีอะไรมันเป็นอาการปกติของร่างกาย บางครั้งเขาเรียกว่า ขันธมาร เขาจะกวนเราเพื่อให้ไปสนใจกับร่างกายแทน แล้วเราก็จะเลิกภาวนา

ถาม : แล้วต้องทำอย่างไร
ตอบ : ตัดสินใจว่าถ้าเราตายตอนนี้ก็ให้มันตาย เพราะเราทำความดีอยู่ ถ้าจะอ้วกให้มันอ้วกเลย ถ้าตัดสินใจได้อย่างนี้ กวนเรากี่ครั้งมันก็เลิก

ถาม : ไม่เข้าใจ นั่งกี่ครั้งมันจะรู้สึกหมุน ๆ
ตอบ : หมุน ๆ แล้วก็อ้วก

เถรี
18-11-2009, 16:54
ถาม : หลวงพี่มันยากกว่าที่คิดไว้ค่ะ
ตอบ : ถ้าง่ายก็บรรลุไปหมดแล้วสิ

ถาม : ที่ทำมามันถูกไหมหลวงพี่
ตอบ : แล้วจะรู้ไหม

ถาม : รู้ หลวงพี่รู้ มันเหมือนมันชนเพดาน มันไม่ไป ไม่ก้าวหน้า
ตอบ : การปฏิบัติพอไปถึงจุดหนึ่งแล้วมันไม่ก้าวล่วง มันต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกสั่งสมอยู่ตรงนั้นจนกว่ามันจะพอ ไม่ใช่ว่าจะตะกายไปได้ทุกวัน

ถาม : สรุปว่าตอนนี้ก็ย้ำอย่างเดิม
ตอบ : ใช่ ทำไปเรื่อย ๆ เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ เบื่อเมื่อไหร่มันถอยหลังกลับ คราวนี้สาหัสกว่าเดิมอีก

ถาม : ค่ะหลวงพี่
ตอบ : อยากดีมันก็เลยยังทุกข์อยู่

ถาม : มันกำลังถอยค่ะ
ตอบ : เรียกว่าขาดขันติบารมี ความอดทนไม่เพียงพอ ทำอะไรไม่สำเร็จหรอก ทำแค่ไม่กี่วันมันจะถอยแล้ว ถ้าติดอยู่สามปีอย่างอาตมา มันจะถอยไหม

ถาม : ติดเป็นเดือนค่ะ ถ้าติดเป็นวันยังโอเค
ตอบ : ลองสักสามปีแบบอาตมาบ้างสิ นี่ลำบากนิดลำบากหน่อยทำโอดครวญ

เถรี
18-11-2009, 19:41
ถาม : ไปตรวจร่างกายมา ไม่เจอสาเหตุ ใช้สมองมาก ๆ ไม่ได้
ตอบ : มันเป็นเฉพาะช่วงที่ลุกนั่งไม่พอ หรือว่าเป็นตลอดเวลา

ถาม : เป็นตลอดเวลา ให้หมอตรวจดูแล้วปกติทุกอย่าง
ตอบ : ถ้าหมอดูแล้วปกติทุกอย่าง คราวนี้เหลืออยู่อย่างเดียวคือ หมอพระ เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บที่มันไม่มีสาเหตุ บางส่วนมันมีสาเหตุมาจากไสยศาสตร์บ้าง ผีบ้าง สาเหตุใหญ่เลยก็คือเรื่องเจ้ากรรมนายเวรต่าง ๆ คราวนี้ในเรื่องของพวกไสยศาสตร์หรือพวกผีถ้าเราภาวนาแล้วกำลังใจมันทรงตัว พวกนี้จะหลุดไป อยู่ไม่ได้ ลองไปซ้อมภาวนาพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ถ้าสมาธิทรงตัว ทรงฌานได้เมื่อไหร่ก็เรียบร้อย ล้างเกลี้ยงไปในตัวเลย หรือไม่ก็รอ ๒๐ มีนาคม ไปเป่ายันต์เกราะเพชร

เถรี
18-11-2009, 20:15
ถาม : มันเบื่อ มันอยากจะเก็บตัว ไม่อยากจะเจอใครเลย
ตอบ : รักษาอารมณ์นั้นให้ได้ เพราะช่วงเบื่อมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ถ้าหากมันไม่เบื่อเราก็ยังอยากจะเกิดต่อไป ตัวเบื่อมันเป็นนิพพิทาญาณ แต่ถ้าหากเราไม่มีสติรู้เท่าทัน บางทีมันกระทบกระทั่งคนอื่นง่าย

ให้เราลองย้อนกลับไปดูว่า เราคิดพูดทำแบบไหน อารมณ์นี้มันจึงเกิด แล้วจึงไปย้อนทวนใหม่ พอมันเกิดแล้วให้มันยืนระยะให้ได้ ในช่วงที่ยืนระยะพิจารณาให้เห็นให้ได้ว่า ธรรมดาของมันเป็นแบบนี้ เราเกิดมาเมื่อไหร่ก็มีแต่ความทุกข์ยาก ความน่าเบื่อหน่ายแบบนี้เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีสำหรับเรา ไปนิพพานดีกว่า

ถ้ามันเห็นเป็นธรรมดาปล่อยวางได้ ก้าวข้ามเป็นสังขารุเปกขาญาณ ต่อไปเราก็จะไม่เบื่อหน่าย มันเป็นช่วงที่เราต้องเปลี่ยนผ่านและก้าวข้ามไป ทวนแล้วทวนอีก ย้ำแล้วย้ำอีกเดี๋ยวมันก็ผ่าน

ถาม : จริง ๆ ก็คือ
ตอบ : จริง ๆ มันเป็นของดีจ้ะ เพียงแต่ว่าเราไม่ถนัด เราไม่ชำนาญก็เลยคิดว่ามันเป็นของไม่ดี

เถรี
18-11-2009, 20:35
หลวงพ่อบอกว่า "เรื่องของงานกับเรื่องของการปฏิบัติมันเหมือนอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า ถ้าทำสำเร็จแล้วปีติมันจะเกิด แล้วมันจะทำให้อยากทำอีก ถ้าเป็นเรื่องของการปฏิบัติถ้าทำสำเร็จแล้ว มันก็จะรู้สึกว่าไม่ได้ยากเกินความสามารถของเรา แล้วก็จะขยับหาที่ยากกว่านั้นอีก จะก้าวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ"

เถรี
18-11-2009, 20:40
ในขณะที่ถักหมวกอยู่ หลวงพ่อก็สอนว่า "เห็นไหมว่าหมวกที่เราถักมันสลับซับซ้อนเท่าไหร่ มันจะต้องนับห่วงนับวงเท่าไหร่ กิเลสมันไม่ซับซ้อนอย่างนั้นหรอก กิเลสมันมาตรง ๆ รักมันก็บอกว่ารัก โลภมันก็บอกว่าโลภ โกรธมันก็บอกว่าโกรธ หลงมันก็บอกว่าหลง มันบอกตรงเป๊ะเลย มันมาตรงขนาดนั้นทำไมสู้มันไม่ได้ การถักหมวกนี่มันเลี้ยวไปเลี้ยวมาขนาดนั้นเรายังทำได้เลย

ต้องบอกว่ากิเลสมันเป็นคู่ต่อสู้ที่แฟร์มากเลย มันจะเอาอะไรก็บอกว่า 'จะเอา' ตรงไปตรงมา ไม่มีเลี้ยวเลย"

เถรี
18-11-2009, 20:44
หลวงพ่อก็ได้สอนข้อธรรมต่อมาว่า "คราวนี้ทุกคน รวมทั้งป้านุชด้วย ให้สังเกตอารมณ์ใจตอนที่งานเสร็จ ถ้าเราตั้งใจว่าถักใบหนึ่ง ถ้ามันเสร็จเรารู้สึกว่ามันโล่งใจสบายใจ เบาใจ ลักษณะของการที่เราทำอะไรสำเร็จก็คล้ายกับการที่ก้าวเข้าไปสู่ความสำเร็จในการปฏิบัติ อารมณ์ที่เราก้าวผ่านแต่ละขั้นตอน มันปีติมันอิ่มเอิบว่าเราทำสำเร็จแล้ว ขณะเดียวกันการที่มันรู้สึกว่าจบแล้ว ได้แล้ว ใจมันเบา มันฟู มันสบายอย่างไร พยายามจำอารมณ์นั้นไว้ อาการมันคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าในเรื่องของทางธรรมปีติมันมากกว่า"

เถรี
19-11-2009, 12:43
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "เมื่อเช้าไปบวงสรวงบ้านที่จะปฏิบัติธรรมและรับสังฆทานหลังใหม่ คำนวณพื้นที่แล้วถ้าหากสร้างอาคาร จะได้อาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ ๖๐๐ ตร.ม.

ห้องนี้ (หมายถึงบ้านอนุสาวรีย์ตรงชั้น ๒) มีขนาด ๖๔ ตร.ม. ก็แปลว่าที่ใหม่มันใหญ่กว่าห้องนี้ประมาณ ๑๐ เท่า ถ้าหากว่าใครจะช่วยร่วมสร้าง ก็เก็บสตางค์ไว้ก่อนจ้ะ เดี๋ยวทำวัตถุเจ๋ง ๆ ขายราคาแพง ๆ ให้"

มีคนตะโกนบอกหลวงพ่อว่าให้สร้างพระปิดตาทองคำองค์ละห้าพันบาท ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าพระปิดตาทองคำองค์ละห้าพัน ตูก็ไม่ต้องสร้างบ้านใหม่กันพอดี"

เถรี
19-11-2009, 13:04
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมีแม่ชีอยู่สามราย ปกติหลวงพ่อท่านจะไม่รับแม่ชี ถามท่านว่าทำไม ท่านบอกว่าด้วยความที่ผู้หญิงเขาใจละเอียดอ่อนเกินไป มันก็เลยกระทบกระทั่งอะไรง่าย ถ้าอยู่ด้วยกันมาก ๆ แล้วชอบทะเลาะกัน ท่านรำคาญ ก่อนหลวงพ่อมรณภาพเกือบปี มีแม่ชีเพิ่มมาอีก ๑ รูป ก็เลยรวมเป็นสี่รูป ไม่รู้วาตอนนี้เหลืออยู่เท่าไหร่ เพราะเจตนาท่านไม่อยากให้มีแม่ชี ถ้ามีก็ให้เป็นพราหมณ์ไปเลย"

เถรี
19-11-2009, 13:35
ถาม : โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะบรรเทาให้เบาบางได้อย่างไร
ตอบ : ปล่อยสัตว์ พวกโรคภัยไข้เจ็บมันเป็นเศษกรรมของปาณาติบาต เราไปฆ่าคน ฆ่าสัตว์ไว้ในอดีต ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ คืนชีวิตให้เขาไป

ถาม : เราทำแทนเขาไม่ได้หรือครับ
ตอบ : ทำแทนไม่ได้ อาจจะซื้อแทนได้แต่ให้เขาเป็นคนปล่อย

ถาม : แล้วการที่ทำบุญอย่างถวายเงิน
ตอบ : มันไม่ตรง บอกแล้วว่าปาณาติบาตมันทำให้ป่วย มันต้องคืนชีวิต ถ้าหากเป็นพวกโรคพาร์คินสันก็เร่งฝึกสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวดีแล้ว พวกความเสื่อมสมองก็จะเกิดช้าขึ้น

เถรี
19-11-2009, 15:18
หลวงพ่อบอกว่า "หลวงปู่มหาอำพันบอกเสมอว่า ถ้าเป็นฆราวาสต้องคิดไว้เสมอว่าเราจะไม่ตาย แล้วก็ตั้งหน้าทำมาหากินให้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นพระต้องคิดเสมอว่าเราจะต้องตาย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้เต็มที่"

ถาม : ...........(ไม่ได้ยิน)........
ตอบ : กำลังใจมันไม่ต่างกัน เพราะว่ามันมุ่งมั่นที่จะทำให้ถึงเป้าหมายเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน คือ ในส่วนของผู้ที่มุ่งหวังความหลุดพ้นต้องตั้งกำลังใจแบบนี้ ส่วนผู้ที่จะยังทำมาหากินสร้างครอบครัว สร้างหลักฐานมันต้องตั้งกำลังใจอีกแบบหนึ่ง

ถาม : แล้วถ้าเป็นฆราวาสที่หวังความหลุดพ้น
ตอบ : เหยียบเรือสองแคม โลกไม่ให้ช้ำ ธรรมไม่ให้เสีย

เถรี
19-11-2009, 16:04
ถาม : หลวงพ่อ คนเรามีไหมครับ ที่ไม่ได้หายใจทางจมูก แต่หายใจทางอื่น
ตอบ : เด็กในท้องแม่หายใจทางไหนละ

ถาม : หายใจทางสายสะดือ
ตอบ : ผู้ที่ทรงสมาธิ เทวดา พรหม ไม่เห็นท่านหายใจ ท่านก็อยู่ได้ จริง ๆ มันมีช่องทางหายใจของเขาเอง เขาไม่ได้หายใจอย่างเรานี้ เคยบอกไว้แล้วว่าทางผิวหนังทุกส่วนมันหายใจได้

ถาม : แต่มันรู้สึกอึดอัดกว่าหายใจทางจมูกหรือเปล่าครับ
ตอบ : ถ้าหากว่าใช้มันจริง ๆ มันจะไม่อึดอัด มันจะคล่องตัว

เถรี
19-11-2009, 16:41
ถาม : ตอนนี้ปฏิบัติตามสายสติปัฏฐาน ก็รู้สึกว่ายังโกรธคนอื่นอยู่
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ย้อนกลับมาตั้งใจรักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ตั้งใจทำสมาธิไปพร้อมกัน ถ้าศีลกับสมาธิมันทรงตัวเดี๋ยวปัญญามันเกิด มันจะรู้เองว่าควรจะไปอย่างไร

ถาม : ก็คือ ถ้าตอนนี้เราจะปฏิบัติแบบใช้สติปัฏฐาน ๔
ตอบ : อะไรก็ได้ ให้ทำให้จริงเท่านั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งก็สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ เพียงแต่ทำให้จริงจังแล้วก็ต่อเนื่อง

ถาม : สติปัฏฐาน ๔ ทำยาก
ตอบ : ถ้าคนไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติจะยาก เพราะว่าพอไปเวทนาในเวทนาเราชักจะเกาะไม่ติด ถ้าไปจิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าสติและปัญญาไม่ดีนี่หามันไม่เจอเลย

ถาม : ๔ ตัวนี่หรือคะที่มันหาไม่เจอ
ตอบ : เพราะว่ามันจะต้องไปดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ

ถาม : แล้วทำอย่างไรดีเล่าคะ คือ มันอยู่ข้างในแล้วเราออกมาดูมัน
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าเราไม่มีพื้นฐานก็ไปทำอย่างอื่น

ถาม : พอมีพื้นฐานบ้าง ก็อยากจะให้ก้าวหน้าในเรื่องนี้
ตอบ : ก็ยึดเอาลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก พอลมหายใจเข้าออกทรงตัวก็มาพิจารณา ให้เห็นสภาพร่างกายมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นของเรา มันจะรวบเข้าสามตัวหลังทั้งหมด คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต

ถาม : รวบอย่างไรคะ
ตอบ : พิจารณาดูว่าทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับเรา มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราอย่างแท้จริง จนกระทั่งจิตมันยอมรับ ปล่อยวางได้ ทุกอย่างมันก็ครบถ้วนสมบูรณ์

ถาม : ก็คือ ถ้ามันยอมรับ แล้วก็วาง
ตอบ : มันจะจบ ถ้าทำมากกว่านั้นเดี๋ยวมันไม่จบ

ถาม : มีมากกว่านั้นด้วยหรือคะ
ตอบ : ก็อย่างที่มาบอกว่าหลงทางนั่นแหละ

เถรี
19-11-2009, 17:59
ถาม : การฝึกมโนมยิทธินำไปใช้ในเรื่องวิปัสสนาญาณได้อย่างไร
ตอบ : จิตที่แยกออกจากกาย จะเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเราจิตมันยอมรับได้ก็ปลดความอยากในร่างกาย เมื่อความต้องการในร่างกายไม่มี ความต้องการเกิดมันก็ไม่มี

ถาม : แล้วทำ
ตอบ : สำคัญว่าทำถูกไหม ถ้าทำไม่ถูกเดี๋ยวก็ต้องไปเตรียมการรับภัยพิบัติอีกหรอก นั่นก็มโนมยิทธิ เขาเรียกว่ามีอาวุธแต่ไปใช้ผิด ตั้งรับมาหลายปีจนป่านนี้มันจะเกิดแล้วเกิดอีก ตูเกิดไปหลายรอบแล้วล่ะ

ถาม : แล้ววิปัสสนาญาณนี่ใช้ในเรื่องมโนมยิทธิ
ตอบ : ก็บอกว่าพอเห็นร่างกายว่าไม่ใช่ของเราชัดเจน ก็วิปัสสนาญาณอยู่แล้ว

เถรี
19-11-2009, 18:07
ถาม : เราปฏิบัติแล้วให้อารมณ์เราใส แล้วเราก็พิจารณาอยู่กับที่ จะดีกว่าเดินไปเดินมาหรือเปล่า
ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้จ้ะ ให้รักโลภโกรธหลงมันกินใจเราไม่ได้ก็พอ

ถาม : ถ้าเราจะช่วยคนอื่น อย่างเช่นเห็นในอดีตว่าเขาเคยไปเบียดเบียนสัตว์มาก่อน มันไม่ดี
ตอบ : ระวัง กรรมที่จะสนองเขามันไม่มีโอกาส มันก็จะเล่นเราแทน

ถาม : คือ
ตอบ : ถ้าจะทำมันต้องรู้ว่าทำได้เท่าไหร่ ถ้าไม่รู้ว่าทำได้เท่าไหร่ แล้วไปยุ่ง ละเมิดกฎของกรรมมันจะซวยเอง

เถรี
20-11-2009, 02:37
ถาม : หลวงพี่คะ ถ้าขณะนี้เรามีปัญหาเรื่องงาน มันไม่ได้ใหญ่โต แต่มันเกิดเป็นปัญหาติด ๆ กัน แล้วเราทำบุญให้เฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังเข้ามาตอนนี้อยู่
ตอบ : ก็ดี แต่ว่าขณะเดียวกัน ตัวสติ สมาธิเฉพาะหน้าสำคัญที่สุด ถ้าหากว่าเราขาดสติเมื่อไร แล้วเรื่องเล็กจะเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะฉะนั้นถ้าหากเรามีสติสมาธิจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วปัญหาเหมือนกับกวนน้ำให้ขุ่นเฉย ๆ ถ้าเราตั้งใจแก้จริง ๆ มันเท่ากับไม่มีอะไรหรอก มันเหมือนกับว่าบางคนปัญญานิ่ม เรื่องแค่นี้ก็ต้องมาถึงมือเราด้วย ก็คิดเสียว่าคนมันอยู่ที่ไหนก็เป็นคนก็หมดเรื่อง

ถาม : แล้วเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรที่มาไหม
ตอบ : มีส่วนอยู่แล้วจ้ะ เพราะถ้าไม่มีส่วนเขาก็ไม่อาจที่จะอาศัยอกุศลกรรมตรงนั้นมาจัดการเราได้ มันกวนเล็ก ๆ ก็ช่างมัน ถ้าใหญ่ ๆ ค่อยว่า อย่างไรก็อย่าทิ้งการภาวนา เพราะว่าตัวภาวนาเป็นกุศลใหญ่มากที่จะค้ำยันทุกอย่าง

ถาม : เมื่อหลายเดือนก่อน แม่เขาป่วยตลอด เวลาที่เรานั่งสวดมนต์อะไรก็ตาม จะอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของแม่ค่ะ ทีนี้พักหลังเราป่วยเองค่ะ
ตอบ : ของพรรค์นี้เราเป็นเอง ไม่ได้เกี่ยวกันจ้ะ มันรับแทนกันไม่ได้

ถาม : อ่อ ไม่เกี่ยวกัน
ตอบ : เพียงแต่ว่าของเราเองเกิดมาเป็นลูกเป็นแม่กัน ต้องเคยสร้างกรรมอะไรกันมา เคยสร้างอะไรคล้ายคลึงกันมา พอถึงเวลาก็เจออะไรคล้าย ๆ กัน

เถรี
20-11-2009, 02:53
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ช่วงก่อนงานกฐิน ๓ วัน ก็เข้ากรรมฐานตามที่ได้รับปากพระท่านไว้ ปรากฏว่าเพื่อนที่เรียนพุทธศาสตร์บัณฑิตด้วยกัน ท่านชิงเลิกหายใจไปก่อน ท่านมาหา ก็มาบ่น ๆ สารพัดเรื่องให้ฟัง ว่าตายแล้วที่วัดนั้นยุ่ง เหมือนยุงตีกัน แล้วก็มาเตือนว่าอย่าลืมไปงานศพท่านด้วย

ถ้าหากเราฟังเฉย ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่คราวนี้คิดอีกที ตายแล้วยังยึดติดอีกหรือนี่ ก็เพราะความที่ใจมันยังห่วงงาน ห่วงวัดวาอารามอยู่ ยังยึดยังเกาะอยู่ ก็เลยไปไกลไม่ได้ แล้วก็ห่วงกระทั่งงานศพของตัวเองว่าเราจะไปหรือไม่ไป เราก็เออ..ผีกับคนก็คล้าย ๆ กัน ถ้าตราบใดที่ยังไม่สามารถทำกำลังใจให้ขึ้นเป็นถึงพระอริยเจ้าจริง ๆ พวกรักโลภโกรธหลงก็เหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่าอยู่กันคนละสภาพเท่านั้น

ของพวกเราก็รักโลภโกรธหลงในลักษณะของกายหยาบ ของเขาก็รักโลภโกรธหลงในลักษณะของกายทิพย์ โดยเฉพาะสัมผัสต่าง ๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเขาจะละเอียดกว่าปกติ รับรู้ได้กว้างไกลกว่าปกติ ดีไม่ดีอาจทำให้รักโลภโกรธหลงมากกว่าปกติเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่ารับรู้ละเอียดมากกว่า"

เถรี
20-11-2009, 03:01
หลวงพ่อกล่าวว่า "ในเรื่องของศรัทธา ถ้าใช้ในทางที่ถูกที่ควรจะเสริมสร้างพระพุทธศาสนาได้มาก แต่กว่าจะสร้างศรัทธาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ศรัทธาถ้าเปรียบกับต้นไม้ ก็เป็นต้นไม้ที่ปลูกขึ้นยากสุด ๆ เลย แต่ถ้าขึ้นแล้วก็ตายยากที่สุดเหมือนกัน คนปลูกจะต้องใช้ความอดทน ปีแล้วปีเล่าที่จะทำให้ญาติโยมเขาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริง ๆ เพื่อพระศาสนาจริง ๆ

คนที่อยากทำบุญมีมากต่อมากด้วยกัน แต่ถ้าเขาทำไปแล้วเขาเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาว่า เราจะใช้เงินของเขาไปตามเจตนาหรือเปล่า ก็จะทำให้ญาติโยมของเขาไว้วางใจไม่เต็มที่ แต่ถ้าเขาเห็นเราเอาเงินไปใช้ตามเจตนา ตามที่ประกาศไว้จริง ๆ มีเท่าไรเขาก็ให้ เพียงแต่ว่าต้องสร้างสมระยะเวลา ให้เขาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่ทำนั้นเราทำจริง คนอยากทำบุญเขาก็จะมาเอง"

เถรี
20-11-2009, 11:49
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ตอนเช้าที่บวงสรวง (บ้านวิริยบารมี) นอกจากจะรับทราบ รับรู้คำสั่งแล้ว ยังมีหลายอย่างที่ขอ

มีอย่างหนึ่งที่ขอก็คือ ถ้าไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะเริ่มกลายเป็นเป้าของชาวบ้าน ก็นึกถึงหลวงวิจิตรวาทการ

อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน

ก็เลยมีการขอบารมีพระ พรหมเทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ทั้งหมดช่วยสงเคราะห์ กำหนดเขตไปเลยว่าจะเอาขนาดสักเท่าไร กว้างไกลสักแค่ไหน ที่บรรดาอันตรายต่าง ๆ ห้ามเข้า

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วอาตมาไม่ได้กลัว แต่ว่าทำเผื่อโยม เพราะว่าวาระกรรมของแต่ละคนนอกจากจะไม่เท่ากันแล้ว กำลังใจยังไม่เท่ากันด้วย พอกำลังใจไม่เท่ากัน เวลาเขาลดแลกแจกแถมอาจจะได้รับเยอะหน่อย ที่จริงว่าไปเขาก็ใจดีนะ ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มีอะไรก็แบ่งปันให้คนอื่น เพียงแต่ว่าเขาแบ่งแต่ของที่ไม่ค่อยจะดีมาให้..!"

เถรี
20-11-2009, 13:29
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ก่อนงานกฐินวัดถ้ำป่าไผ่ หลวงพ่อมหาสิงห์ท่านให้เอาเสลี่ยงไปรับแล้วก็แห่ออกมาจากที่พัก มันเห็นภาพในอดีตซ้อน ๆ ขึ้นมามากมาย แต่ว่ามันมีส่วนหนึ่งที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ปรากฏชัดเจนว่าภาระใหญ่มันมาด้วย มันไม่ได้บอกเราแค่ว่าอดีตเราทำอะไรไว้ แต่มันบอกเราด้วยว่าปัจจุบันสิ่งที่เราทำนี้มันกำลังส่งผลแล้ว ก็แปลว่างานของพระศาสนาที่มันจะต้องมีส่วนที่กว้างไกลออกไป

ก็อย่าเพิ่งไปวิตกวิจารณ์กับมัน อะไรก็ตามที่ยังเป็นอนาคตอยู่ก็ไม่ไปคิดถึงให้เสียเวลา มาชนตรงหน้าเมื่อไรค่อยว่ากัน"

เถรี
20-11-2009, 14:16
ถาม : ลูกสาวค่ะ การงานหนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่เอา ?
ตอบ : ก็แม่เลี้ยงมาดี อย่างนี้ช่วยไม่ได้จริง ๆ จ้ะ เพราะว่าไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ จะได้ไปไล่ตี แสดงว่าก่อนหน้านั้นแม่รักลูกมากเกินไปใช่ไหม ถึงเวลาจะแตะจะต้องก็ไม่กล้า ดูแลมา ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ลูกเขาก็เลยเคยชิน

ถาม : ความผิดของแม่ ?
ตอบ : ใช่ จริง ๆ ก็พอปรับได้ แต่ว่าต้องใช้กำลังใจสูง ทีนี้การที่เราจะใช้กำลังใจสูงปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเองนี่ ถ้าไม่ใช่มุ่งมั่นจริง ๆ ทำไม่ได้ ก็ลองสักทีถ้าคิดว่าทำให้แม่สบายใจก็ลองปรับตัวของตัวเองดู เพื่อความสบายใจของแม่

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อัศจรรย์มากเลยก็คือว่า การที่เราสร้างกรรมไว้กับพ่อแม่ไม่ว่าจะเจตนาก็ตามหรือไม่เจตนาก็ตาม ถ้าหากว่ามีลูกเมื่อไร จะได้คืนหลายเท่า เห็นมาเยอะต่อเยอะแล้ว อันนี้ไม่ได้ตำหนิว่าทำไมถึงทำตัวอย่างนั้น เพราะว่าบางทีเราก็ไม่รู้สึกว่าผิดอะไร แต่ว่าเราก็ไปสร้างความทุกข์ใจกลุ้มใจให้กับพ่อแม่ อาจจะเป็นเพราะว่าในส่วนของธรรมะเขายกพ่อแม่ไว้ในระดับเดียวกับพระอรหันต์ อย่างเช่นว่าการฆ่าพ่อฆ่าแม่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม การฆ่าพระอรหันต์ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม ในเมื่ออยู่ในระดับเดียวกัน ใครทำอะไรไม่ดีกับพ่อแม่โทษก็เลยสูง โดยเฉพาะว่าถ้าทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ เรามีลูกเมื่อไรเจอมากกว่าหลายเท่า เจอมาหลายต่อหลายมาก เป็นเรื่องแปลก ลองกลับไปพิจารณาดู ถ้าอันไหนไม่เหลือบ่ากว่าแรงลองปรับดู เพื่อความสบายใจของแม่

เถรี
20-11-2009, 14:20
ถาม : คุยกับคนที่มองไม่เห็นตัว
ตอบ : ตั้งสติระมัดระวังนิดหนึ่ง บางทีนั่งอยู่ตรงนี้เราก็ขยับแว่นดู มันใช่คนจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเรานั่งพูดอยู่คนเดียวแล้วคนอื่นไม่เห็น บางทีเรานั่งอยู่ตรงนี้แล้วคนเขาแปลกใจว่าทำไมเราต้องมองหน้าเขาหลายที คือ กลัวว่าเราจะคุยด้วยแล้วจะเป็นประเภทคนอื่นเขามองไม่เห็น แล้วจะกลายเป็นเรานั่งพูดอยู่คนเดียว แล้วเขาจะว่าเราบ๊อง ลักษณะอย่างนั้นจริง ๆ เขามีอยู่ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติ แต่ทั้งนี้เราต้องระมัดระวังก็คือว่า บางทีเรื่องที่เราพูดไป มันอาจจะเกิดโทษขึ้นได้ อย่างที่แม่เขาว่า ถ้าใครเขามาเผลออัดเสียงแล้วเปิดฟังนี่เฮงจริง ๆ

ถ้าหากว่าจะคุยกับพวกนี้ลองใช้วิธีนึกในใจดูสิ ถ้ามันสื่อกันได้จะได้ไม่ไปออกเสียง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวแม่เป็นลมหัวใจวายตาย

ถาม : มันจะดีหรือเปล่า
ตอบ : มันจะดีหรือไม่ดีตอนนี้มันไม่เกิดโทษอะไร เพราะว่าบางท่านจะมีสัมผัสพิเศษพวกนี้ที่เราไม่มีอยู่ เขาสามารถสื่อได้เป็นปรกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องมีสติว่าเราพูดได้แค่ไหน

ถาม : อยากจะให้ลูกเขาเป็นคนปกติทำมาหากินได้
ตอบ : ก็นี่แหละปกติ เขาปกติแต่เราเห็นว่าไม่ปกติ

ถาม : อยากให้เขาเลี้ยงตัวเองได้
ตอบ : จ้ะ อันนี้ไปคุยกับลูกได้ คุยด้วยเหตผล อย่าคุยด้วยอารมณ์

เถรี
21-11-2009, 10:07
ถาม : พระรามกับพระลักษณ์เป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าครับ
ตอบ : พระรามท่านจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า สมเด็จพระพุทธรามะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์ถัดจากพระศรีอาริยเมตไตรย

เถรี
21-11-2009, 10:10
ถาม : หลวงพ่อครับ หลวงพ่อท่านคล้าย ที่ท่านวาจาสิทธิ์เพราะอะไรหรือครับ
ตอบ : พูดจริง ทำจริง

เถรี
21-11-2009, 10:15
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "ตอนนั้นอยู่ที่วัดท่าซุง ยังเฝ้าหน้ากุฏิหลวงพ่ออยู่ เราก็จะภาวนาของเรา แต่มันรำคาญพวกคนที่ชอบเข้ามากวน พอดีในมือถือลูกประคำอยู่ ก็เอาลูกประคำวางไว้บนอก แล้วก็ตั้งใจอธิษฐานว่าถ้าใครเข้ามาก็ขอให้ลูกประคำเป็นงู
ปรากฏว่าพี่วิรัช โผล่มาพอดี พี่ก็ตกใจ "เฮ้ย ! งู" เราก็บอกว่า "งูที่ไหน ลูกประคำ" พี่ก็บอกว่า "เมื่อกี้ผมเห็นเป็นงูจริง ๆ " เป็นความซวยของพี่ที่มาผิดจังหวะ เราก็ตั้งใจจะไล่คนแต่พระดันมาแทน"

เถรี
21-11-2009, 10:29
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ท้าวเวสสุวรรณ ผู้ดูแลโลกประจำทางด้านทิศเหนือ ปกครองฝูงยักษ์ทั้งหมด และปกครองเทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหมด

ในบรรดาท้าวมหาราชทั้งสี่ จะยกให้ท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้าใหญ่ ท้าวเวสสุวรรณมีหลายชื่อ บางชื่อเรียกว่า ภูเตศวร (เจ้าแห่งผี) บางชื่อเรียกว่า ธนบดี ( เจ้าแห่งขุมทรัพย์) เพราะว่าบรรดาขุมทรัพย์ทุกแห่งในโลก จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชที่เป็นบริวารของท่านดูแลรักษาอยู่ คนจีนเรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ไช้ซิ้งเอี้ย

ไช้ซิ้งเอี้ย ก็คำเดียวกับ ธนบดี ( ไช้ซิ้งเอี้ย = เทพสมบัติ)"

เถรี
21-11-2009, 14:12
หลวงพ่อกล่าวให้ฟังว่า "ด้วยความที่เราอยู่กับหลวงพ่อมานาน เวลาหลวงพ่อท่านเทศน์ ท่านจะบอกศักราชเสมอ การบอกศักราชของหลวงพ่อ ท่านจะบอกย่อ

การบอกศักราชจริง ๆ เขาจะบอกว่าขณะนี้เป็นวันเดือนปีที่เท่าไหร่ พระพุทธศาสนาล่วงมาแล้วกี่วัน กี่เดือน กี่ปี และยังเหลืออยู่อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี นี่คือการบอกศักราชแบบเต็มยศ แต่ปัจจุบันนี้ เราจะบอกแค่ว่าล่วงมาแล้วเท่าไหร่ สมัยก่อนที่เขาบอกเต็มเพื่อเตือนสติให้รู้ว่า เวลามันผ่านไปเร็วมาก ถ้าเราไม่เร่งปฏิบัติเดี๋ยวพระพุทธศาสนาครบห้าพันปีเสียก่อน จะเฮงไม่รู้จบ

ด้วยความเคยชินที่อยู่กับหลวงพ่อ ฟังเสียจนจำได้ก็เลยบอกศักราชได้ตั้งแต่เทศน์ธรรมาสน์แรก ปรากฏว่าตอนที่ไปอบรมพระนักเทศน์ เขาบอกว่าการเทศน์ ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วตั้งอุเทศเลยก็ได้ ไม่ต้องบอกศักราช แต่ถ้าใครมีความสามารถพิเศษบอกศักราชได้เลยถือว่าดีมาก สรุปแล้วของเราที่ไม่เอาไหนมันกลายเป็นดีมากของเขา พอถึงเวลาท่านอาจารย์มหาณรงค์ศักดิ์ ท่านก็เอาใบที่เขียนศักราชมาเป็นภาษาบาลี เราก็ต้องแก้แล้วแก้อีก เพราะมันผิด ท้ายสุดก็บอกว่าอาจารย์ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวคนอื่นจะเดือดร้อน เดี๋ยวผมบอกปากเปล่าให้ดีกว่า

ก็เลยกลายเป็นงานประจำ ถ้าเปิดการสาธยายพระไตรปิฎก ก็ต้องไปร่วมงานเปิด อยู่ในฐานะเป็นคนบอกศักราช คือ ประกาศให้รู้ว่าพระพุทธศาสนาขณะนี้ล่วงมาแล้ว ๒๕๕๒ ปี"

เถรี
21-11-2009, 14:56
ถาม : ถ้าบังเอิญเราต้องไปร่วมกับคนที่มีการนินทา พูดถึงพระในทางไม่ดี ถ้าเราใช้บทขอขมาพระรัตนตรัยจะช่วยได้ไหมคะท่าน รู้สึกว่าตัวเองบาปด้วย ที่ไปอยู่ในหมู่ที่เขานินทา

ตอบ : ขอขมาพระรัตนตรัยบ่อย ๆ สิ่งที่เราล่วงเกินไปนั้นถือว่าเป็นความชั่ว เป็นกรรมไม่ดี การที่เราขอขมาถือว่าเป็นกรรมดี มันเป็นคนละส่วนกันก็จริง แต่มันเหมือนกับว่าเรามีน้ำเกลืออยู่แก้วหนึ่ง แล้วเราเอาน้ำสะอาดเติมไปเรื่อย ๆ เกลือมันไม่ได้ไปไหนหรอก แต่รสมันจืดลง ความชั่วมันไม่ได้ไปไหน แต่ความดีมันกลบทับไป มันลบล้างกันไม่ได้ แต่ว่าถ้าดีมันมากกว่ามันก็จะไปทางด้านอื่น เพราะฉะนั้นทำบ่อย ๆ

เถรี
21-11-2009, 15:53
ถาม : หลวงพ่อคะ เวลามารเขาดลใจ เขาไม่ได้ดลแค่เราใช่ไหมคะ
ตอบ : ทุกคน เขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ในการทดสอบเรา อย่างแค่น้ำขวดเดียว ใครวะวางเอาไว้เกะกะ ตู้เย็นมีก็ไม่เอาไปใส่ โกรธเขาไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มันเป็นน้ำไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่จริง ๆ ก็คือมันต้องเริ่มจากข้างใน

ถ้าไม่มีเชื้ออยู่มันก็ก่อไม่ติดหรอก มีทางเดียวก็คือทำอย่างไรที่เราจะชำระล้างให้สะอาด ไม่เหลือเชื้อไว้ ก็ค่อย ๆ ล้าง ค่อย ๆ ตัดไปทีละนิดทีละหน่อย

เถรี
21-11-2009, 16:28
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ตอนนี้เรื่องของพระปิดตา ตั้งใจจะสร้างเป็นสองเนื้อ คำว่าสองเนื้อไม่ได้หมายความว่าสองอย่าง สองเนื้อก็คือเนื้อโลหะกับเนื้อผง

สำหรับเนื้อโลหะเรามีชนวนเก่าอยู่มาก มีทั้ง
ชนวนพระปัจเจกพุทธเจ้าทองคำ ๑ ซม., ทองคำ ๓ ซม. , ทองคำ ๓ นิ้ว , เงิน ๑ ซม. , เงิน ๓ ซม. , เงิน ๓ นิ้ว
ชนวนทองคำพระยอดธง ชนวนเงินพระยอดธง
ชนวนพระอุปคุตปราบมารที่ไปนั่งปรกให้ทางวัดไร่แตงทอง
ชนวนที่สำคัญที่สุดก็คือ ยันต์ครูที่ท่านให้เขียนตอนเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ใช้แผ่นทองแผ่นใหญ่เลย

ตอนแรกก็คิดว่าตูจะเขียนอะไรวะ ตอนที่เข้ากรรมฐานหลวงพ่อท่านถามว่า จำได้ไหมว่าแกเคยขโมยของข้าไป ก็บอกว่าผมไม่เคยขโมยหรอกครับ ผมแค่คิดค่าเฝ้ากุฏิ ท่านก็บอกให้ไปดูแบบตามนั้น ก็เลยไปเปิดดู ปรากฏว่าของท่านมียันต์อยู่ ๗ อย่างด้วยกัน คือ
๑) ยันต์พุทธนิมิต
๒) ยันต์ศัตรูพินาศของท่านท้าวเวสสุวรรณ
๓) ยันต์มหาเศรษฐี
๔)ยันต์กันโรคระบาด
๕)ยันต์กันแคล้วคลาดของท่านปู่พระอินทร์
๖) ยันต์ปัญจพุทธามหามงคล ที่เขียนตะกรุดมหาสะท้อน
๗) ยันต์คาถาเงินล้าน
ตั้งใจว่าจะใส่ไปทั้งหมด และเมื่อวันที่ ๒ วันลอยกระทง มันเป็นฤกษ์พิเศษ มันเป็นฤกษ์จันทร์เพ็ญ ปกติแล้วโบราณท่านนิยมฤกษ์วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ท่านถือว่าทุกอย่างมันเต็มเปี่ยมบริบูรณ์สมบูรณ์หมด แม้กระทั่งน้ำมันก็ขึ้นเต็มตอนนั้น แต่ที่เขาหาอีกฤกษ์หนึ่งก็คือ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ที่ตรงกับวันจันทร์ เพราะเขาถือว่าวันจันทร์เป็นวันมหาเสน่ห์ใช้ทำเมตตาดีมาก ๆ เราก็ทำอะไรได้ไม่มาก คว้ายันต์เขียนได้สองแผ่น เพราะเขาถือฤกษ์ตอนเที่ยงคืนตรง เขียนช้าก็ไม่ทัน มีเท่าไหร่จะใส่ไปหมดเลย

ที่เน้นจริง ๆ ก็คือ เน้นในเรื่องของลาภ เพราะช่วงที่เข้ากรรมฐานท่านบอกว่าคนที่ทำบุญด้วยจะได้มีความคล่องตัว ดังนั้นพระที่สร้างชุดนี้ก็เน้นในเรื่องของลาภผล

ในส่วนของพระเนื้อผงที่อยากสร้าง เพราะว่ามีผงสำคัญอยู่เยอะ เอาแค่ว่า ลูกอมของหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ลูกอมของหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ผงจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ ฯลฯ ก็เลยว่าจะทำเนื้อผงด้วย ส่วนเนื้อโลหะอาจจะมีหลายอย่าง มีทองคำ เงิน ทองชุบ ประมาณนี้"

เถรี
21-11-2009, 16:53
วันอาทิตย์ที่บ้านอนุสาวรีย์นั้น มีโยมท่านหนึ่งนำปฏิทินซึ่งเป็นรูปพระ มีรูปสมเด็จองค์ปฐม รูปหลวงพ่อฤๅษี ฯลฯ มาถวายแด่หลวงพ่อเล็ก หลวงพ่อเล็กท่านก็แจกให้แก่ญาติโยมที่ต้องการ แต่เผอิญว่ามีปฏิทินรูปที่เป็นรูปหลวงพ่อเล็กด้วย ท่านจึงบอกให้โยมนำกลับไป ท่านไม่แจกแล้วก็บอกแก่ญาติโยมทั้งหลายว่า "ทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ที่นี่ จำไว้เป็นอันขาดว่า อย่าทะลึ่งเอารูปผมไปทำ โดยไม่มีความจำเป็นและไม่ได้รับอนุญาต"

เถรี
21-11-2009, 16:55
ถาม : หลวงพ่อคะ ปีติ มันเป็นกิเลสหรือเปล่าคะ
ตอบ : ก็ยังเป็น มันเป็นส่วนของกามาวจร

เถรี
21-11-2009, 17:13
ถาม : การดิ้นรนของจิต ?
ตอบ : การปฏิบัติพอเราทำไปถึงระดับหนึ่ง กำลังก็เริ่มเพียงพอที่จะเผากิเลส กิเลสมันก็จะร้อน คำว่าตบะคือความร้อน พอกิเลสมันร้อน มันก็ดิ้น พอกิเลสดิ้น เราดันไปคิดว่าตัวเองเป็น มันจะไปไหนก็พามันไป ก็เลยกลายเป็นว่า กิเลสมันก็มีกำลังที่จะมาเล่นงานเราต่อไปเรื่อย ๆ แต่ความจริงถ้าเผามันอีกหน่อยเดียวมันก็ตายแล้ว แต่ปรากฏว่าเราเลิกก่อนทุกที พอบอกว่าจะตายแล้วทีไร เราไปคิดก่อนว่าเราจะตาย ไม่ได้คิดว่ากิเลสจะตาย โดนมันหลอกมายกแล้วยกเล่า สรุปแล้วก็คือกลัวตายนั่นเอง

เถรี
21-11-2009, 17:20
ถาม : ทำไมกลับไปทำที่บ้านทีไร สู้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ไม่ได้ ?
ตอบ : ความคิด คำพูด การกระทำ สถานที่ สิ่งแวดล้อม มีอิทธิพล

ถาม : ก็เปิดเทปบวงสรวงเหมือนกัน สมาทานเหมือนกัน ?
ตอบ : สิ่งแวดล้อมมันไม่ได้

เถรี
21-11-2009, 17:29
หลวงพ่อกล่าวว่า "ความกลัวตายทำให้คนขาดสติ สองปีก่อนมีข่าวว่าเขื่อนแตก คนทางเมืองกาญจน์หนีขึ้นยอดเขากันหมด คนมากต่อมากด้วยกัน แย่งกันจองที่ก็ตีกัน ผู้ว่าฯ ก็ขึ้นไปใช้โทรโข่งประกาศว่า "เขื่อนไม่แตกหรอก ผมเช็กข่าวมาเรียบร้อยแล้ว" เขาก็ไม่ฟัง ดังนั้นสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดก็คือกลัวตาย"