View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ บอกว่า ท่านเล็กเหมือนกับม้าอาชาไนย
คำว่า ม้าอาชาไนยก็คือ ยอมตายอยู่ในสนามรบดีกว่าป่วยตายอยู่ในคอก สมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุง แม้ว่าจะเครดิตดีในสายตาพี่ ๆ น้อง ๆ ด้วยกัน แต่ว่าความอาวุโสของเรามันไม่ได้ พรรษาน้อยมาก เพียงแต่ว่าสามสี่พรรษาท้าย ๆ ทำงานสนองหลวงพ่อท่านได้ อย่างที่คนอื่นเขาไม่กล้าเสี่ยง ก็เลยมีความเชื่อถือในสายตาพี่ ๆ น้อง ๆ แม้ว่าพรรษาจะน้อยกว่าก็ตาม
แต่พอออกจากวัดมา ด้วยความที่เราเป็นลูกหม้อวัดท่าซุง ทำให้พี่น้องสายนอกที่เขาไม่ได้บวชจากวัดท่าซุง ให้ความเชื่อถือมาก มีงานที่ไหนก็นิมนต์ไป ไป ๆ มา ๆ ก็มาลามมาถึงพี่น้องในวัดที่ออกไปตั้งสำนักข้างนอก แล้วก็เกิดภาพอย่างที่ทุกคนเห็น ก็คือ ไปที่ไหนก็เหนื่อย"
ถาม : หลวงพ่อครับ ถวายของบูชาพระพุทธรูปที่บ้าน แล้วสมมติว่าเป็นของกิน?
ตอบ : ลามาแล้วก็กินได้
ถาม : กินได้หรือครับ?
ตอบ : ถ้าไม่เน่าไม่เสียก็กินไป
ถาม : แล้วไม่ถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือครับ?
ตอบ : ของอยู่กับบ้านเราไม่ได้อยู่กับวัด
ถาม : แล้วถ้าเป็นถวายข้าวพระพุทธรูปที่วัด นั่นก็กินได้หรือครับ?
ตอบ : นั่นเป็นของสงฆ์ เพราะไปอยู่วัดแล้ว
ถาม : หลวงพ่อช่วยเรื่องปฏิบัติด้วยครับ
ตอบ : อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา สำคัญตรงว่าทำจริงเท่านั้น ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้ง ๆ
ในขณะที่กำลังพูดคุยถึงเรื่องงานกฐินตุ๊ป้อ ที่หลวงพ่อเล็กขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยง
หลวงพ่อท่านก็กล่าวว่า "เรื่องของการที่เขาจัดให้มีขบวนแห่ มีเสลี่ยงให้นั่ง มันก็ลักษณะเดียวกัน นั่นมันเป็นลักษณะของยศ ก็คือ ยกให้เราเป็นใหญ่ ก็สำคัญว่าเราต้องระวังรักษาใจ
แต่พอนั่งบนนั้นแล้วมันเห็นภาพซ้อน...ซ้อนแล้วซ้อนอีก นับชาติไม่ถ้วน ตอนแรกที่นั่งก็กลัวเหมือนกัน กลัวว่ามันจะเมาหรือเปล่า กลัวจะเมาลม เพราะคนที่หามมันเดินไม่เสมอกัน แต่ปรากฏว่าพอนั่งไปปุ๊บ ความคุ้นเคยเก่า ๆ มันมาหมดเลย มันกลายเป็นว่าสามารถนั่งได้สบาย ๆ แล้วมันก็เห็นภาพ มีทั้งขณะที่เดินทางเข้ารั้วเข้าวังเพื่อไปรายงานข้อราชการ มีทั้งออกตรวจคนเตรียมพร้อมรบ มีทั้งกำลังเลียบพระนคร แต่ละชาติมันมีทั้งที่เป็นใหญ่ มีทั้งที่เป็นแม่ทัพนายกอง แม้กระทั่งเข้าไปนั่งในศาลาแล้ว มันก็ยังรู้สึกว่านั่งอยู่ใต้มหาเศวตฉัตร
มันก็เลยเกิดความสลดใจว่า ชาติแล้วชาติเล่ามันก็เป็นอย่างนี้ แล้วท้ายสุดมันก็ไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ มันก็เหลือเพียงแต่ว่าชาตินี้เราจะดิ้นรนให้พ้นจากทุกข์ได้จริงหรือเปล่า โดยเฉพาะเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันเป็นของที่เชื่อไม่ได้ ถ้าวันไหนคนเขายังยกย่องสนับสนุนอยู่ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ วันไหนที่เขาเลิกสนับสนุนเมื่อไหร่มันก็จะสูญสลายไป มันก็จะกลายเป็นเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นธรรมดาของโลก เรียกว่าโลกธรรม ธรรมดาของโลกมันต้องมีอย่างนี้ คราวนี้เมื่อมันเกิดกับเราขึ้นมาแล้ว เราเองมีการหวั่นไหวตามหรือว่าสามารถที่จะปล่อยได้วางได้
แต่ว่ามันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชัดที่สุดก็คือว่า มันรู้ว่าภาระใหญ่มา ก็คือยิ่งเราโดนยกเข้าไปสู่ที่สูงมากเท่าไหร่ ภาระการงานที่เราต้องรับผิดชอบมันก็ต้องมากเป็นเงาตามตัว เห็นแล้วมันสยอง รู้ตัวว่างานมา"
ถาม : เขายกในงานกฐินหรือคะ
ตอบ : ใช่ มันมองเห็นยาวเลย ถ้าวาระของบุญของกรรมมันมาถึง อย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้ เรารับ ๆ ไปเถอะ เพียงแต่ว่าอย่าเก็บมาเป็นกังวล ทำได้เต็มที่แค่ไหน เอาแค่นั้น อย่าลืมว่าเต็มที่คือดีที่สุด ทำได้ดีที่สุดแค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ไปกังวลว่ามันต้องเสร็จไปทุกเรื่อง ลักษณะเดียวกับไม่ได้ไปหนักใจว่าจะต้องทำ เพราะเราอาจจะตายลงไปตอนนี้ก็ได้
หลวงพ่อเล็กท่านแจ้งข่าวมาว่า "ปีหน้าไปปลดหนี้วัดหนองหญ้าปล้อง สร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก ตอนนี้ติดหนี้เขาอยู่บานเลย งานกฐินนี้วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เวลาสิบโมงครึ่ง
สำหรับวัดหนองหญ้าปล้อง อยู่จังหวัดกาญจนบุรี ออกจากตัวเมืองไปสัก ๔๐ กิโลเมตร เริ่มวางโครงการได้แล้ว ทีนี้จะไถวัตถุมงคลของใครไปประมูลได้เลย"
แล้วท่านก็ถามพวกเราว่า "ปีนี้ไปเหนือ ปีหน้าภาคกลาง ปีต่อไปลงใต้ดีไหม" มีคนเสนอว่าให้ลงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลวงพ่อก็พูดขำ ๆ ว่าอย่างนั้นคงต้องทำวัตถุมงคลรุ่นกันระเบิด :154218d4:
หลวงพ่อเล่าให้ฟังเรื่องพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านว่า
"ตอนนี้บอกให้เขาแกะแบบให้แล้ว บอกว่าให้เอาช่างฝีมือดีที่สุดเท่าที่โรงงานจะหาได้ ทางโรงงานเขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นต้องขึ้นไปถึงปราจีนบุรี เพราะมีช่างฝีมือดีมากเลย"
สำหรับพระปิดตาฯ นี้ หลวงพ่อบอกว่าองค์ขนาดเล็ก แต่เรื่องราคา แฮ่ ๆ เถรีเกรงว่าจะไม่เล็กตามค่ะ ท่านบอกว่าขอดูก่อนว่าจะสร้างเนื้ออะไรบ้าง
สำหรับชนวนนั้น หลวงพ่อบอกว่าตอนนี้ มีชนวนที่สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อทองคำ ๑ ซม. , ๓ ซม. , ๓ นิ้ว
ชนวนพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงิน ๑ ซม. กับ ๓ ซม.
ชนวนพระยอดธง
ชนวนที่ทำตอนเข้ากรรมฐาน
และชนวนที่ทำเมื่อวันลอยกระทงที่ผ่านมา เพราะวันลอยกระทงที่ผ่านมาเป็นวันจันทร์ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เขาเรียกฤกษ์จันทร์เพ็ญ โบราณเขาบอกว่าเป็นฤกษ์มหาเสน่ห์ เหมาะสำหรับทำเรื่องเมตตามหานิยม หลวงพ่อก็เลยเขียนแผ่นยันต์ไปสองแผ่น ช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงค่ะ
มีคนนำหนังสือของหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต มาถวายให้หลวงพ่อเล็ก แล้วท่านก็กล่าวว่า "หลวงปู่หล้า ท่านสอนว่า หัดเป็นนักหลบเสียบ้าง อย่าเป็นนักรบอย่างเดียว
ถ้ารู้ว่ารบแล้วไม่ชนะแล้วยังไปรบอีกถือว่าโง่ ถ้ากิเลสมันแรงกว่าเราก็หลบมัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือไปอยู่กับตัวสมาธิ ตัวภาวนา ไม่โผล่ออกมา กิเลสมันกินไม่ได้ เมื่อถึงเวลาก็ค่อยมาตอดเล็กตอดน้อยจัดการกับมัน"
ถาม : หลวงพ่อขา หนูภาวนาคาถาเงินล้านใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่ามันก้าวหน้าดี ฟุ้งซ่านมันน้อยลง แต่ว่าพอไปนาน ๆ รู้สึกว่ามันเริ่มอืดแล้วค่ะ ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตอบ : เพราะว่าอยากดี ถ้าเลิกอยากดีเดี๋ยวมันดีเอง ตัวอยากดีมันคือฟุ้งซ่าน
ถาม : แล้วทำไปเรื่อย ๆ หรือมีวิธีเร่งอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ
ในขณะที่ความเงียบกำลังครอบคลุม หลวงพ่อก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า "เคยอยู่กับความเงียบไหม เงียบชนิดที่ได้ยินลมหายใจ"
"ความเงียบจริง ๆ มันไม่ได้เงียบ ที่มันเงียบเพราะเราไม่ได้ยิน"
"ถ้าฝึกทิพโสต เมื่อกำหนดสมาธิได้ระดับแล้ว ก็ค่อย ๆ เพ่งความรู้สึกทั้งหมดไปที่ประสาทหู ขยายวงการฟังไปรอบตัวในระยะที่เราได้ยินเสียง จนกระทั่งมั่นใจว่าทุกเสียงที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ตกหล่นไปจากหูของเราได้แล้ว ก็ขยายกว้างออกไปอีก อย่างเช่นว่าตอนนี้อาจจะฟังแค่ในห้องนี้ แล้วหลังจากนั้นก็ขยายกว้างออกไป ถ้าหากว่าได้ยินไม่ชัดให้ดึงกำลังใจมาแล้วเข้าสมาธิใหม่ แล้วขยายความรู้สึกออกไป
ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้ว่าจริง ๆ มันไม่เงียบ มันจะได้ยินสารพัด ถ้าหากว่ามีความคล่องตัวมาก ใกล้ไกลแค่ไหนก็ได้ยิน แล้วคราวนั้นจะรำคาญ ถึงเวลาค่อยปิดเครื่อง"
ถาม : แล้วถ้ากำลังนินทาอยู่ครับ
ตอบ : นินทาได้ เพียงแต่จะได้ยินหรือเปล่า มันจะเป็นลักษณะที่ฟังแต่ไม่ได้ยิน มองแต่ไม่ได้เห็น คือ มันสักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่ามอง
แล้วหลังจากนั้นหลวงพ่อก็ถามว่าอ่านหนังสือเรื่อง Twilight ไปถึงไหนแล้ว
ท่านก็บอกว่า"ให้สังเกตดูตอนที่ผีดิบหรือมนุษย์หมาป่ามันล่าเหยื่อ มันลักษณะของทิพโสตหรือทิพจักขุญาณ อย่างที่เขาบรรยายว่า รู้แล้วว่าทำไมเอ็ดเวิร์ด (พระเอกในเรื่อง) วิ่งเร็วขนาดนั้นแล้วจึงไม่ชนต้นไม้เลย เพราะเขาใช้ประสาทสัมผัสแทนตา แล้วเวลาที่จะไปล่าสัตว์ เขาก็ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจของสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่กำลังเต้น อย่างเช่น สัตว์ตัวนั้นหัวใจเต้นเร็ว แสดงว่ามันกลัวมากเลย มันเหมือนกับการฝึกอภิญญา ทิพโสตหรือทิพจักษุ"
ถาม : ถามว่าจำเป็นไหมที่เวลาจับภาพกสิณเราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเราไม่ได้เป็นคนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา
ตอบ : มันไม่จำเป็นต้องถึงขนาดมีสติอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากว่ากสิณมันเริ่มทรงตัวแล้ว เราแบ่งความรู้สึกไว้ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกส่วนนั้นมันจะเกาะอยู่ตลอดเวลา
ถาม : หนูมาสังเกตช่วงเวลาที่เราขาดสติช่วงนั้นไป มันก็สามารถจะจำอารมณ์ตัวนั้นกลับมาทำใหม่ได้
ตอบ : ทำได้ แต่ถ้าหากว่าไม่ถนัดหรือชำนาญมันจะหายไปเลย ต้องมาเริ่มต้นใหม่
ถาม : เราแค่จำอารมณ์ฌานนั้นที่กสิณมันทรงตัว เราก็ทำได้แล้ว
ตอบ : แล้วเราก็ล็อกเป้า
ถาม : บางทีเราทำกสิณยังไม่ได้ถึงจุดที่ทำให้มันเกิดฤทธิ์ แต่ว่ามันก็เกิดไปมีตัวอรูปฌานแล้ว
ตอบ : ของเก่า...ของเก่า เก่าล้วน ๆ ไม่มีใหม่เลย
ถาม : หนูมาสังเกตที่หลวงพ่อสอนตัวทิพโสต ทีนี้เวลาเราจับภาพกสิณเพื่อฝึกทิพโสต เราสามารถพลิกวิธี
ตอบ : ก็ขยายวงไป ที่เคยสอนเอาไว้มีครบทุกอย่างแหละ ตั้งแต่การสอนภาวนาแรก ๆ จนกระทั่งกรรมฐาน ๔๐ ถ้าคนสังเกตจะเห็นว่าบทแรก ๆ มันยำใหญ่เกือบทั้ง ๔๐ กองเลย เหลือแต่เราเอาไปพลิกแพลงใช้
อาตมาไม่ใช่คนเก่ง ครูบาอาจารย์ท่านทำได้ทุกคน แต่ขี้เกียจมาอธิบาย ท่านก็บอกไปเรื่อยเปื่อย มันอยู่ที่ว่าเราจะเฉลียวใจคิดหรือเปล่า
ถาม : ผมจบมาแล้วก็เพิ่งไปบวช ทีนี้ก็เลยอยากจะขอพรหลวงพ่อให้ผมได้งานเร็ว ๆ และงานดี ๆ ครับ
ตอบ : อดข้าวอีกสัก ๗-๘ วันน่าจะไหวนะ ต้องไปบนพระวิสุทธิเทพ พระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน
ถาม : ครับผม
ตอบ : จุดธูป ๕ ดอก นึกถึงท่านว่าขอให้ได้งาน ถ้าหากว่าสำเร็จจะรักษาศีลแปดพร้อมกับเจริญกรรมฐานถวายสัก ๗-๘ วัน
ถาม : ผมไม่เข้าใจ เข้าไปอ่านในกระทู้ที่บอกว่า ถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ลาพุทธภูมิเสียก่อน ตอนอายุ ๖๐ หลวงพ่อก็จะบารมีเต็ม อันนี้แสดงว่าท่านเคยได้รับการพยากรณ์แล้วหรือครับ
ตอบ : ถ้าไม่ได้แล้วใครเขาจะบารมีเต็มกัน
ถาม : แต่คำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าไม่ผิดไม่ใช่หรือครับ
ตอบ : ไม่ผิด ถ้าท่านไม่ลา แล้วนี่ท่านลาไหมเล่า
ถาม : แล้วมีคนพูดกันเยอะว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ
ตอบ : ท่วมมากี่ปีแล้ว จนป่านนี้มันท่วมหรือยัง
ถาม : ยังครับ
ตอบ : แต่อย่าไปประมาทเผลอเมื่อไหร่โดนทันที
ถาม : แสดงว่ามีโอกาสท่วม
ตอบ : ตอนนี้กรุงเทพฯ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางเป็นเมตรแล้วพ่อคุณ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเลิกกั้นน้ำเมื่อไหร่ก็เข้าท่วมทันที ไม่ต้องรอให้ฝนมาหรอก
ถาม : แล้วพอจะมีเหตุอะไรบ่งบอกก่อนไหมครับ ผมจะได้หนีก่อน
ตอบ : รอดูในหลวง ถ้าในหลวงสั่งบรรดาข้าราชการอะไร ก็เตรียมตัวเผ่นได้
ถาม : แล้วไปอยู่แถวไหนดีครับ
ตอบ : ยอดตึกใบหยก
ถาม : บนนั้นไม่มีข้าวกินก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันครับ
ตอบ : ก็คุณถามถึงที่ที่น้ำไม่ท่วม
ถาม : แล้วอย่างไปอยู่ภาคอีสาน
ตอบ : ถ้าหากว่าสร้างกรรมไว้ หนีไปอยู่ที่ไหนก็ตาย ถ้าหากไม่สร้างกรรมไว้อยู่ที่ไหนก็รอด
ถาม : แล้วถ้าอย่างนี้เราซื้อประกัน ส่งไป ๑๐ ปี อย่างนี้จะดีไหมครับ
ตอบ : ก็ส่งไปสิ ประกันเอาไว้ ถ้าเราตายคนอื่นก็ได้ ก็เท่ากับว่าเป็นความโชคดีของคนอื่นเขา
ถาม : แล้วถ้ามีคนเขียนว่าคนนี้เป็นพุทธภูมิ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้บำเพ็ญมาแบบไหน
ตอบ : ถึงเวลาก็รู้
ถาม : แล้วการสะกดจิตระลึกชาตินี้มันจริงหรือเปล่าครับ
ตอบ : จริงบ้าง สำหรับคนที่ในอดีตเคยได้ทิพจักขุญาณมา ถ้าคนที่ไม่เคยมีพื้นฐานของทิพจักขุญาณมา สะกดให้ตายก็ระลึกไม่ได้
ถาม : แสดงว่าขึ้นอยู่กับคนนั้นทำได้
ตอบ : ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ คือ คนที่เอามาสะกด
ถาม : แล้วที่เขาบอกว่า คนนี้บูชาพระองค์นี้ คนนั้นบูชาพระองค์นั้น ปางนั้น
ตอบ : แล้วแต่ใจเราว่าชอบองค์ไหน เรื่องการกำหนดเขามากำหนดกันทีหลัง จริง ๆ แล้วก็พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน
ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว ยันต์ยังอยู่กับเรา
ตอบ : ไปซื้องูเห่ามาตัวหนึ่งให้มันกัดเรา ถ้ามันกัดแล้วเราไม่ตายแสดงว่ายันต์ยังอยู่
ถาม : มีวิธีอื่นไหมครับ
ตอบ : มี ให้สิบล้อชนถ้าไม่ตายก็แสดงว่ายันต์ยังอยู่ เพราะเขาห้ามตายโหง หรือไม่ก็นอนให้รถไฟทับ
ถาม : เวลาที่จะนิมนต์หลวงปู่เทพโลกอุดร ทำไมต้องปูผ้าขาว
ตอบ : ถ้ายังมัวสงสัยอยู่มันก็จะสงสัยไปเรื่อย ถ้าอยากรู้ก็ทำ ความสงสัยมันเป็นสิ่งที่ดีเพราะอย่างน้อย ๆ มันแสดงว่าเราเป็นคนมีปัญญา แต่ถ้าหากว่ามันสงสัยในเรื่องที่มันไม่เป็นเรื่อง มันเสียเวลา และก็เสียกำลังด้วย คำว่าเสียกำลังก็คือ เราสั่งสมกำลังเอาไว้เพื่อเอาไว้ตัดกิเลส เอาไว้สร้างเสริมสติ สมาธิ ปัญญาของเรา แต่เราเอากำลังตรงนั้นไปสงสัยเสียเรื่อย สติสมาธิปัญญาของเราเลยไม่ก้าวหน้าไปไหนเสียที ถ้าหากว่าพูดง่าย ๆ ก็คือ มันรั่วหมด พอมันรั่วหมดกำลังก็เลยไม่พอใช้งาน เพราะฉะนั้นเลิกสงสัยแล้วก็ทำ
ถาม : ว่าจะไปเข้าคอร์สบวชสัก ๕ วัน
ตอบ : อย่าเสียเวลาไปจับกลุ่มคุยกัน ระยะเวลาแค่ ๕ วัน ๑๐ วัน ถ้าคนปฏิบัติจริง ๆ มันไม่พอหรอก มัวแต่ไปคุยกัน อย่างว่ามันรั่วหมด
ถาม : เรื่องการบวงสรวงท่านท้าวมหาราช การเซ่นของบวงสรวงที่บอกว่าไก่ต้องวางไว้ทิศเหนือ ทิศเหนือต้องเป็นทิศเหนือจริง ๆ หรือว่าทิศเหนือของโต๊ะครับ
ตอบ : ทิศเหนือจริง ถ้าไม่ได้ทิศเหนือจริงก็ใกล้เคียงทิศเหนือให้ได้มากที่สุด
ถาม : เวลาทำกรรมฐานหนูสมาทานศีลแปด แต่ก็ยังแต่งหน้า ทำผมอยู่
ตอบ : ก็รักษาเฉพาะตอนทำกรรมฐาน
ถาม : มันไม่มีผลเสียหรือคะ
ตอบ : แต่จริง ๆ เรื่องของการแต่งหน้าแต่งตา เขาหมายเอาว่าแต่งเพื่อยั่วกิเลสเพศตรงข้าม ถ้าหากว่าความเคยชินของเราถ้าไม่ได้แต่งหน้าแล้วรู้สึกว่าออกจากบ้านไม่ได้ มันเก้อเขิน ก็ทำไปเถอะ
ถาม : มันไม่แต่งไม่ได้ค่ะ ต้องเอาอะไรมาพอกปกปิด
ตอบ : ปิดเอาไว้ก็อย่าลืมแล้วกันว่าสภาพแท้จริงเป็นอย่างไร
ถาม : หลวงพี่ครับ เกิดดับทั้งภายในและภายนอกมันเห็นพร้อมกันได้หรือเปล่าครับ
ตอบ : ได้ คือ มันเป็นปกติของมันอยู่แล้วเพียงแต่ว่าเราจะเห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ถาม : เขาบอกว่าอินทรีย์ ๕ มีใจเป็นเครื่องคุม ใช่ไหมครับ สติมีวิมุติเป็นเครื่องผูก วิมุติมีนิพพานเป็นเครื่องผูก ขอให้หลวงพี่ช่วยขยายความ
ตอบ : ไม่เห็นต้องขยายอะไรเลย ก็สมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว
ถาม : คำว่ามีวิมุติเป็นเครื่องผูกนี่หมายความว่า
ตอบ : มุ่งไปทางนั้น คราวนี้พอหลุดพ้นแล้วก็มุ่งไปนิพพาน มันเป็นภาษาโบราณตีความยาก
จะเอารายละเอียดจริง ๆ มันยาว แต่ถ้าสั้น ๆ เอาไปนั่งขบเองก็ได้แล้ว
ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อน เขาบูชาอย่างไรครับ
ตอบ : ต้องมีคาถากำกับ ต้องภาวนาทุกวัน แต่มีข้อแม้ว่าห้ามให้เด็กใช้ แล้วก็ห้ามเข้าไปในที่ที่คนหรือสัตว์กำลังคลอด เพราะว่าตะกรุดมหาสะท้อนมันย้อนคืนทุกอย่าง ใครทำดีทำชั่วกับเรามันย้อนคืนเป็นร้อยเท่าพันทวี อย่างเด็กที่คลอดออกมามันย้อนกลับก็ไม่ต้องคลอดกันพอดี เคยมีคนลองมาแล้วเกือบตาย
ถาม : แล้วเวลาพก
ตอบ : จริง ๆ เขาให้ติดตัวไว้ อาราธนาทุกวัน
ถาม : แล้วถ้าสองคนมีตะกรุดมหาสะท้อนเหมือนกันละครับ ถ้าเวลาคิดไม่ดีแล้วมันจะย้อนคืนอย่างไร
ตอบ : ถ้าสองคนมีเหมือนกัน ต้องดูว่ากำลังใจใครดีกว่า
ถาม : หลวงพี่ครับ เพื่อนเขาไปต้องคุณไสยมา
ตอบ : ปีหน้า ๒๐ มีนาคม งานเป่ายันต์เกราะเพชร ลากเขาไปก็แล้วกัน
ถาม : กลัวมันจะตายเสียก่อน
ตอบ : บอกให้อึด ๆ ไว้หน่อย อีกไม่กี่เดือน
ถาม : เขาอาเจียนออกมาเป็นเส้นผม เป็นโครงกระดูก
ตอบ : แสดงว่าคนเขารักมาก ให้มาเยอะ
ถาม : ลากไปวัดท่าขนุนได้ไหมครับ
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากไม่ใช่วาระจริง ๆ อาตมาไม่แตะเรื่องพวกนี้หรอก ขี้เกียจเดือดร้อน เพราะพวกไสยศาสตร์มันเร็วมากเลย มันจะรู้ว่าใครช่วย แล้วมันจะเล่นคนนั้นแทน อาตมารบกับมันจนต้องแกล้งตายมาหลายรอบแล้ว
ถาม : อย่างนี้พวกที่ปล่อยของมาเขาก็มีทิพจักขุญาณสิคะ เพราะเขารู้ว่าใครช่วยแก้คุณไสยให้
ตอบ : มันให้ผีบอก ถึงเวลาผีมันก็ไปสำรวจว่าเป็นใคร แล้วมันก็บอกเจ้านาย
ถาม : เทวดาปกปักเราไม่ได้หรือคะ
ตอบ : มันขึ้นอยู่กับวาระกรรม ถ้าวาระมันเปิดก็ซวย อาตมาเองโดนมาซะหลายยก จนต้องแกล้งตาย แกล้งตายคือไม่ตอบโต้ มาเท่าไหร่เงียบอย่างเดียว จนเขาคิดว่าไม่รอดแล้ว เขาก็เลิก
ถาม : แปลว่ารับไว้
ตอบ : โดนจนเข็ด มาเท่าไหร่ก็กางกระสอบรับ
ถาม : แบบนี้ได้ตะปูไปเยอะ
ตอบ : ไม่ค่อยพอ ส่วนใหญ่เต็มที่สองกิโลก็หมดแล้ว ตะปูสองกิโลนี่มันรื้อเมรุหลายเมรุเลยนะ เพราะว่าเขาจะต้องเอาเมรุที่เป็นเมรุเก่า พวกที่ทำด้วยไม้ ตอนเผาศพมันจะมีควันจากไอศพขึ้นไป พวกนั้นมันจะสื่อวิญญาณได้ง่าย แล้วก็จะเอามาทำไสยศาสตร์ มันไม่ใช่ประเภททำมั่ว ๆ แล้วโลงสมัยนี้มันก็ตอกตะปูได้น้อยมาก เพราะเอาไว้เผาอย่างเดียว จะเอาตะปูตอกโลงผี โลงหนึ่งก็มีแค่ ๔ ตัว หรือ ๖ ตัวเท่านั้น ไสยศาสตร์มันหากินอัตคัดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะวัตถุดิบมันหมด
พอดีมีคนถวายตาลปัตรให้หลวงพ่อ ท่านก็เลยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตาลปัตรให้ฟังว่า "ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น ความจริงมันแฝงด้วยปริศนาธรรมเยอะมากเลย
ไปไม่กลับ นี่ต้องพระอนาคามีขึ้นไป ไม่ลงมาเกิดแล้ว
หลับไม่ตื่น คือ คนที่ถูกอวิชชา ตัณหา อุปาทานครอบงำ
ฟื้นไม่มี เป็นทาสของตัณหา ไม่ได้ไปไหนหรอก ตายแหง ๆ
หนีไม่พ้น ก็คือความตายนั่นเอง
แต่คราวนี้จังหวัดกาญจนบุรีมีอะไรแปลก ๆ มันมีอยู่ช่วงหนึ่ง จำไม่ได้ว่าผู้ว่าคนไหน เขาจะให้พระมาเป็นหน่วยต่อต้านยาเสพติดในชุมชน เขาก็เลยทำตาลปัตรถวายทุกวัด เพียงแต่ว่าข้อความมันไม่ใช่ในแบบที่เราเคยชิน ตาลปัตรของท่านผู้ว่าที่ถวายทุกวัดมันปักว่า เป็นทาสยาบ้า เหมือนฆ่าตัวตาย ครอบครัวฉิบหาย ทำลายสังคม
ลองแบกตาลปัตรไปทีละอันสิ ถ้าพระตั้งตาลปัตรขึ้นมา อันแรก เป็นทาสยาบ้า อันที่สอง เหมือนฆ่าตัวตาย แล้วถ้าตั้งอันที่สามว่า ครอบครัวฉิบหาย โยมที่ไหนจะให้เข้าบ้านเล่า อันสุดท้ายก็ทำลายสังคม เจริญอีก
เพราะฉะนั้นกรณีนี้ห้ามแยกเดี่ยวตาลปัตรเด็ดขาด แยกแล้วไม่เป็นมงคล"
ในขณะที่พี่คนหนึ่งกำลังนั่งนับลูกประคำอย่างรวดเร็ว ด้วยสายตาที่เหม่อลอย หลวงพ่อเล็กท่านก็บอกว่า "มันกลายเป็นว่าสักแต่ว่าทำ ๆ ไป ครึ่งหนึ่งอยู่กับการภาวนา ครึ่งหนึ่งอยู่กับการนับ มันจึงจะได้คุณภาพ ไม่อย่างนั้นคุณนับให้ตายมันก็ฟุ้งซ่าน"
"นั่งนับอยู่ตรงนี้ แต่ใจไปที่อื่น สารพัดเรื่อง"
ถาม : หลวงพี่ครับ ผมมีอังสะใหม่ ๒ ตัว ที่จะใส่ตอนบวช ผมเป็นโรคแพ้ของใหม่ ๆ ครับ ถ้าผมใส่ของใหม่ ๆ ผมจะคัน ผมจะใส่ให้มันเก่าก่อนจะได้ไหมครับ
ตอบ : ใครเขาจะว่า
ถาม : ไม่ได้ปรามาสใช่ไหมครับ
ตอบ : เพียงแต่ว่าอย่าไปใส่โชว์คนอื่นก็แล้วกัน ไปใส่โชว์คนอื่นเขาจะว่าติงต๊อง
ถาม : เปล่าครับ
ตอบ : ประเภทอาฬวีเศรษฐีใช่ไหม ใช้ของใหม่ไม่ได้
ถาม : เป็นตั้งนานแล้วตั้งแต่เด็ก ถ้าใส่ของใหม่นี่มันจะคัน ต้องเกาหลังตลอด ต่อให้เนื้อผ้าดีแค่ไหนก็ตาม
ตอบ : แสดงว่าให้ทาสทานไว้เยอะ
สำหรับหลวงพ่อเล็กนั้น ถ้าคนไหนที่ใส่ขาสั้นไป ถ้าหลวงพ่อมีโอกาสเตือนได้ท่านก็จะเตือน อย่างที่ผ่านมาท่านก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า "สมัยก่อนเราเองก็ไม่ค่อยได้คิด มีอยู่ช่วงหนึ่ง ปี ๒๕๒๖ น้ำมันท่วม เราก็คิดว่าสบาย จะได้ถือโอกาสนุ่งกางเกงขาสั้น เราก็นุ่งกางเกงบอลออกจากบ้าน มารับใช้นั่งอยู่ข้างหลวงพ่อ ช่วงตอนเพลป้าหมอลัดดา ก็เตือนว่า หลวงพ่อเราคนมาหาเยอะ คนเขาชอบขอถ่ายรูปด้วย เราแต่งตัวอย่างนี้ป้ารู้ว่าน้ำท่วม แต่ว่าคราวหน้าพกขายาวมาด้วย เพราะถ้าเขาถ่ายรูปออกไปแล้วเขาเห็นภาพที่เราแต่งตัวไม่เรียบร้อย ถ้าเขาตำหนิ พ่อเราจะเดือดร้อนด้วย ผู้ใหญ่เขามองละเอียด ส่วนเราเอาตามสบาย เรื่องอะไรที่มันผิดพลาดอาตมาโดนครั้งเดียว ไม่เคยโดนซ้ำ ปรากฏว่าพอเขาเตือนปุ๊บ เรารู้เลยว่าใจเรามันหยาบ มองไม่เห็นข้อบกพร่อง คิดอยู่อย่างเดียวว่าตัวเราสะดวก ตัวเราสบาย"
ถาม : แสงสว่างที่อยู่รอบเศียรพระนี่คืออะไรคะ ?
ตอบ : เรียกว่าแสงพระรัศมีบ้าง ฉัพพรรณรังสีบ้าง ถ้าสมัยนี้เขาก็เรียกแสงออร่า
ถาม : เคารพหลวงปู่เป็นพิเศษ ที่บ้านจะมีรูปของท่านอยู่ ไม่ว่าหนูไปทางไหนจะมีความรู้สึกว่าท่านจะมองมาตลอด มีอยู่วันหนึ่งเห็นแสงสีน้ำเงินอยู่ที่รอบศีรษะของท่านค่ะ ท่านเมตตาหรือบอกให้หนูทำอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เห็นได้ก็ถือว่าดีแล้ว
ถาม : หนูไม่ค่อยได้ปฏิบัติ หนูว่าตอนนี้ไม่ค่อยก้าวหน้าไปไหนเลยค่ะ
ตอบ : ก็พยายามสักหน่อยสิจ๊ะ ขยันขึ้นหน่อยถ้าอยากก้าวหน้า ไม่ใช่ขี้เกียจ
ถาม : ไปฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านสายลมแล้วตามไม่ทันในบางจุด เป็นเพราะจิตไม่มีกำลัง หรือเป็นเพราะว่าจิตไม่ตั้งมั่นพอ ?
ตอบ : ทุกเรื่อง เพราะสมาธิไม่พอ วิปัสสนาญาณไม่ดีก็ไปไม่รอด
ถาม : จำเป็นไหมคะที่ฝึกมโนฯ ต้องได้วิปัสสนาญาณขั้นไหนขึ้นไปแล้ว ?
ตอบ : หมั่นพิจารณาให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้วจิตมันจะพ้นออกจากร่างกาย คราวนี้มันจะเห็นชัดเจนเลย
ถาม : มันวูบไปเร็วมาก เหมือนกับกายทิพย์ออกไปเลยหรือเปล่า ?
ตอบ : บอกไม่ได้ คำว่าวูบมันมีหลายลักษณะ ของเราใช้คำว่าวูบไปมันอธิบายยาก ต้องสังเกตเองว่า ถ้าวูบแล้วไปที่อื่นก็แปลว่าใช่ แต่ถ้าเราขาดการภาวนาหรือพิจารณาที่ดี บางทีไปแล้วก็ไปต่อไม่เป็น เปะปะอยู่เดี๋ยวก็กลับ บางทีออกไปมืดตื๋อ หาทางไปไม่เจอก็กลับ
ถาม : ถ้าหนูกลัว ๆ กล้า ๆ ที่จะฝึกมโนมยิทธิ
ตอบ : ถ้ากลัวก็ไม่ต้องฝึก
ถาม : ฝึกแล้วมีอันตรายอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ากลัวไม่ต้องถาม ไปไม่ได้หรอก
ถาม : (ได้ยินไม่ชัด) .....ไม่สามารถฝึกมโนมยิทธิได้หรือคะ
ตอบ : ตอนนั้นมันได้แล้ว แต่ว่าการที่เราจะไป ให้กลับมาพิจารณาร่างกายเราเสียก่อน เอาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตจะได้ไม่เกาะกับร่างกาย แล้วมันจะได้ไปได้ คือ ลักษณะของเรากับเพื่อน ๆ ไม่เหมือนกัน อย่างของเราภาพปรากฏชัดเจนมันจะเป็นแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ในเมื่อเป็นแบบมโนมยิทธิเต็มกำลังถ้าพิจารณาตัดร่างกายให้ดี ๆ เลยก็จะไปได้ ถ้าแบบครึ่งกำลังไปแบบมืด ๆ มัว ๆ ช่างมัน เขาอยากไป...ให้เขาไป ของเราเองถ้าย้อนกลับมาพิจารณาตัดร่างกายให้เห็นชัด ๆ ไม่ใช่ของเราจริง ๆ จิตมันจะได้ไม่เกาะ พอมันไม่เกาะคราวนี้มันไป ใช้วิธีเดิมแหละจ้ะ ฝึกเองก็ได้
ถาม : อ๋อ ไปฝึกที่บ้านสายลม ครั้งแรกที่ทำเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นก้อนกลม ๆ ลงมาเต็มไปหมดก็เลยกลัว ก็เลยเลิกทำ เลิกไปบ้านสายลม ตอนนั้นเป็นมโนฯ ใช่ไหมคะ หนูเห็นเขาลอยเต็มไปหมด นึกว่าอุปาทาน เลยไม่อยากจะเก็บมาเป็นอารมณ์
ตอบ : ไม่ได้อุปาทานอะไรหรอกจ้ะ
ถาม : ขอบพระคุณค่ะหลวงพี่ คาใจมานาน
ตอบ : จ้ะ
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าบ้านใหม่ที่จะสร้าง ชื่อ บ้านวิริยบารมี อยู่ข้าง ๆ วัดใหม่ยายนุ้ย แถว ๆ ตลาดพลู ท่านบอกว่าต่อไปรถไฟฟ้า bts จะมาลงตรงซอยหน้าบ้านพอดี สำหรับราคาที่นั้นประมาณ ๑๓ ล้าน แค่ราคาที่เท่านั้นนะคะ ยังไม่รวมค่าก่อสร้างอาคาร
หลวงพ่อ : บ้านหลังใหม่ชื่อบ้านวิริยบารมี ได้ชื่อมาตอนบวงสรวงเมื่อเช้า แสดงว่าพวกเราต้องพากเพียรกันอีกเยอะ
โยม : นึกว่าเป็นเพราะพวกเราพากเพียรแล้ว ก็เลยตั้งชื่อนี้
หลวงพ่อ : ที่พากเพียรอยู่มันยังไม่พอ ต้องเพิ่มความเพียรมากขึ้น ฉันทะเพียงพอแล้ว แต่วิริยะยังขาดอยู่ ขาดวิริยะกับปัญญา แต่ถ้าหากวิริยะไม่สำเร็จปัญญาก็เกิดยาก มันก็เลยกลายเป็นบ้านวิริยบารมี
ถาม : หลวงพ่อคะแล้วเวลาเรานั่งกรรมฐานใหม่ ๆ แล้วเราปวดหัว เวียนหัว จะอ้วก
ตอบ : ไม่มีอะไรมันเป็นอาการปกติของร่างกาย บางครั้งเขาเรียกว่า ขันธมาร เขาจะกวนเราเพื่อให้ไปสนใจกับร่างกายแทน แล้วเราก็จะเลิกภาวนา
ถาม : แล้วต้องทำอย่างไร
ตอบ : ตัดสินใจว่าถ้าเราตายตอนนี้ก็ให้มันตาย เพราะเราทำความดีอยู่ ถ้าจะอ้วกให้มันอ้วกเลย ถ้าตัดสินใจได้อย่างนี้ กวนเรากี่ครั้งมันก็เลิก
ถาม : ไม่เข้าใจ นั่งกี่ครั้งมันจะรู้สึกหมุน ๆ
ตอบ : หมุน ๆ แล้วก็อ้วก
ถาม : หลวงพี่มันยากกว่าที่คิดไว้ค่ะ
ตอบ : ถ้าง่ายก็บรรลุไปหมดแล้วสิ
ถาม : ที่ทำมามันถูกไหมหลวงพี่
ตอบ : แล้วจะรู้ไหม
ถาม : รู้ หลวงพี่รู้ มันเหมือนมันชนเพดาน มันไม่ไป ไม่ก้าวหน้า
ตอบ : การปฏิบัติพอไปถึงจุดหนึ่งแล้วมันไม่ก้าวล่วง มันต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกสั่งสมอยู่ตรงนั้นจนกว่ามันจะพอ ไม่ใช่ว่าจะตะกายไปได้ทุกวัน
ถาม : สรุปว่าตอนนี้ก็ย้ำอย่างเดิม
ตอบ : ใช่ ทำไปเรื่อย ๆ เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ เบื่อเมื่อไหร่มันถอยหลังกลับ คราวนี้สาหัสกว่าเดิมอีก
ถาม : ค่ะหลวงพี่
ตอบ : อยากดีมันก็เลยยังทุกข์อยู่
ถาม : มันกำลังถอยค่ะ
ตอบ : เรียกว่าขาดขันติบารมี ความอดทนไม่เพียงพอ ทำอะไรไม่สำเร็จหรอก ทำแค่ไม่กี่วันมันจะถอยแล้ว ถ้าติดอยู่สามปีอย่างอาตมา มันจะถอยไหม
ถาม : ติดเป็นเดือนค่ะ ถ้าติดเป็นวันยังโอเค
ตอบ : ลองสักสามปีแบบอาตมาบ้างสิ นี่ลำบากนิดลำบากหน่อยทำโอดครวญ
ถาม : ไปตรวจร่างกายมา ไม่เจอสาเหตุ ใช้สมองมาก ๆ ไม่ได้
ตอบ : มันเป็นเฉพาะช่วงที่ลุกนั่งไม่พอ หรือว่าเป็นตลอดเวลา
ถาม : เป็นตลอดเวลา ให้หมอตรวจดูแล้วปกติทุกอย่าง
ตอบ : ถ้าหมอดูแล้วปกติทุกอย่าง คราวนี้เหลืออยู่อย่างเดียวคือ หมอพระ เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บที่มันไม่มีสาเหตุ บางส่วนมันมีสาเหตุมาจากไสยศาสตร์บ้าง ผีบ้าง สาเหตุใหญ่เลยก็คือเรื่องเจ้ากรรมนายเวรต่าง ๆ คราวนี้ในเรื่องของพวกไสยศาสตร์หรือพวกผีถ้าเราภาวนาแล้วกำลังใจมันทรงตัว พวกนี้จะหลุดไป อยู่ไม่ได้ ลองไปซ้อมภาวนาพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ถ้าสมาธิทรงตัว ทรงฌานได้เมื่อไหร่ก็เรียบร้อย ล้างเกลี้ยงไปในตัวเลย หรือไม่ก็รอ ๒๐ มีนาคม ไปเป่ายันต์เกราะเพชร
ถาม : มันเบื่อ มันอยากจะเก็บตัว ไม่อยากจะเจอใครเลย
ตอบ : รักษาอารมณ์นั้นให้ได้ เพราะช่วงเบื่อมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ถ้าหากมันไม่เบื่อเราก็ยังอยากจะเกิดต่อไป ตัวเบื่อมันเป็นนิพพิทาญาณ แต่ถ้าหากเราไม่มีสติรู้เท่าทัน บางทีมันกระทบกระทั่งคนอื่นง่าย
ให้เราลองย้อนกลับไปดูว่า เราคิดพูดทำแบบไหน อารมณ์นี้มันจึงเกิด แล้วจึงไปย้อนทวนใหม่ พอมันเกิดแล้วให้มันยืนระยะให้ได้ ในช่วงที่ยืนระยะพิจารณาให้เห็นให้ได้ว่า ธรรมดาของมันเป็นแบบนี้ เราเกิดมาเมื่อไหร่ก็มีแต่ความทุกข์ยาก ความน่าเบื่อหน่ายแบบนี้เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีสำหรับเรา ไปนิพพานดีกว่า
ถ้ามันเห็นเป็นธรรมดาปล่อยวางได้ ก้าวข้ามเป็นสังขารุเปกขาญาณ ต่อไปเราก็จะไม่เบื่อหน่าย มันเป็นช่วงที่เราต้องเปลี่ยนผ่านและก้าวข้ามไป ทวนแล้วทวนอีก ย้ำแล้วย้ำอีกเดี๋ยวมันก็ผ่าน
ถาม : จริง ๆ ก็คือ
ตอบ : จริง ๆ มันเป็นของดีจ้ะ เพียงแต่ว่าเราไม่ถนัด เราไม่ชำนาญก็เลยคิดว่ามันเป็นของไม่ดี
หลวงพ่อบอกว่า "เรื่องของงานกับเรื่องของการปฏิบัติมันเหมือนอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า ถ้าทำสำเร็จแล้วปีติมันจะเกิด แล้วมันจะทำให้อยากทำอีก ถ้าเป็นเรื่องของการปฏิบัติถ้าทำสำเร็จแล้ว มันก็จะรู้สึกว่าไม่ได้ยากเกินความสามารถของเรา แล้วก็จะขยับหาที่ยากกว่านั้นอีก จะก้าวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ"
ในขณะที่ถักหมวกอยู่ หลวงพ่อก็สอนว่า "เห็นไหมว่าหมวกที่เราถักมันสลับซับซ้อนเท่าไหร่ มันจะต้องนับห่วงนับวงเท่าไหร่ กิเลสมันไม่ซับซ้อนอย่างนั้นหรอก กิเลสมันมาตรง ๆ รักมันก็บอกว่ารัก โลภมันก็บอกว่าโลภ โกรธมันก็บอกว่าโกรธ หลงมันก็บอกว่าหลง มันบอกตรงเป๊ะเลย มันมาตรงขนาดนั้นทำไมสู้มันไม่ได้ การถักหมวกนี่มันเลี้ยวไปเลี้ยวมาขนาดนั้นเรายังทำได้เลย
ต้องบอกว่ากิเลสมันเป็นคู่ต่อสู้ที่แฟร์มากเลย มันจะเอาอะไรก็บอกว่า 'จะเอา' ตรงไปตรงมา ไม่มีเลี้ยวเลย"
หลวงพ่อก็ได้สอนข้อธรรมต่อมาว่า "คราวนี้ทุกคน รวมทั้งป้านุชด้วย ให้สังเกตอารมณ์ใจตอนที่งานเสร็จ ถ้าเราตั้งใจว่าถักใบหนึ่ง ถ้ามันเสร็จเรารู้สึกว่ามันโล่งใจสบายใจ เบาใจ ลักษณะของการที่เราทำอะไรสำเร็จก็คล้ายกับการที่ก้าวเข้าไปสู่ความสำเร็จในการปฏิบัติ อารมณ์ที่เราก้าวผ่านแต่ละขั้นตอน มันปีติมันอิ่มเอิบว่าเราทำสำเร็จแล้ว ขณะเดียวกันการที่มันรู้สึกว่าจบแล้ว ได้แล้ว ใจมันเบา มันฟู มันสบายอย่างไร พยายามจำอารมณ์นั้นไว้ อาการมันคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าในเรื่องของทางธรรมปีติมันมากกว่า"
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "เมื่อเช้าไปบวงสรวงบ้านที่จะปฏิบัติธรรมและรับสังฆทานหลังใหม่ คำนวณพื้นที่แล้วถ้าหากสร้างอาคาร จะได้อาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ ๖๐๐ ตร.ม.
ห้องนี้ (หมายถึงบ้านอนุสาวรีย์ตรงชั้น ๒) มีขนาด ๖๔ ตร.ม. ก็แปลว่าที่ใหม่มันใหญ่กว่าห้องนี้ประมาณ ๑๐ เท่า ถ้าหากว่าใครจะช่วยร่วมสร้าง ก็เก็บสตางค์ไว้ก่อนจ้ะ เดี๋ยวทำวัตถุเจ๋ง ๆ ขายราคาแพง ๆ ให้"
มีคนตะโกนบอกหลวงพ่อว่าให้สร้างพระปิดตาทองคำองค์ละห้าพันบาท ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าพระปิดตาทองคำองค์ละห้าพัน ตูก็ไม่ต้องสร้างบ้านใหม่กันพอดี"
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมีแม่ชีอยู่สามราย ปกติหลวงพ่อท่านจะไม่รับแม่ชี ถามท่านว่าทำไม ท่านบอกว่าด้วยความที่ผู้หญิงเขาใจละเอียดอ่อนเกินไป มันก็เลยกระทบกระทั่งอะไรง่าย ถ้าอยู่ด้วยกันมาก ๆ แล้วชอบทะเลาะกัน ท่านรำคาญ ก่อนหลวงพ่อมรณภาพเกือบปี มีแม่ชีเพิ่มมาอีก ๑ รูป ก็เลยรวมเป็นสี่รูป ไม่รู้วาตอนนี้เหลืออยู่เท่าไหร่ เพราะเจตนาท่านไม่อยากให้มีแม่ชี ถ้ามีก็ให้เป็นพราหมณ์ไปเลย"
ถาม : โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะบรรเทาให้เบาบางได้อย่างไร
ตอบ : ปล่อยสัตว์ พวกโรคภัยไข้เจ็บมันเป็นเศษกรรมของปาณาติบาต เราไปฆ่าคน ฆ่าสัตว์ไว้ในอดีต ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ คืนชีวิตให้เขาไป
ถาม : เราทำแทนเขาไม่ได้หรือครับ
ตอบ : ทำแทนไม่ได้ อาจจะซื้อแทนได้แต่ให้เขาเป็นคนปล่อย
ถาม : แล้วการที่ทำบุญอย่างถวายเงิน
ตอบ : มันไม่ตรง บอกแล้วว่าปาณาติบาตมันทำให้ป่วย มันต้องคืนชีวิต ถ้าหากเป็นพวกโรคพาร์คินสันก็เร่งฝึกสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวดีแล้ว พวกความเสื่อมสมองก็จะเกิดช้าขึ้น
หลวงพ่อบอกว่า "หลวงปู่มหาอำพันบอกเสมอว่า ถ้าเป็นฆราวาสต้องคิดไว้เสมอว่าเราจะไม่ตาย แล้วก็ตั้งหน้าทำมาหากินให้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นพระต้องคิดเสมอว่าเราจะต้องตาย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้เต็มที่"
ถาม : ...........(ไม่ได้ยิน)........
ตอบ : กำลังใจมันไม่ต่างกัน เพราะว่ามันมุ่งมั่นที่จะทำให้ถึงเป้าหมายเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน คือ ในส่วนของผู้ที่มุ่งหวังความหลุดพ้นต้องตั้งกำลังใจแบบนี้ ส่วนผู้ที่จะยังทำมาหากินสร้างครอบครัว สร้างหลักฐานมันต้องตั้งกำลังใจอีกแบบหนึ่ง
ถาม : แล้วถ้าเป็นฆราวาสที่หวังความหลุดพ้น
ตอบ : เหยียบเรือสองแคม โลกไม่ให้ช้ำ ธรรมไม่ให้เสีย
ถาม : หลวงพ่อ คนเรามีไหมครับ ที่ไม่ได้หายใจทางจมูก แต่หายใจทางอื่น
ตอบ : เด็กในท้องแม่หายใจทางไหนละ
ถาม : หายใจทางสายสะดือ
ตอบ : ผู้ที่ทรงสมาธิ เทวดา พรหม ไม่เห็นท่านหายใจ ท่านก็อยู่ได้ จริง ๆ มันมีช่องทางหายใจของเขาเอง เขาไม่ได้หายใจอย่างเรานี้ เคยบอกไว้แล้วว่าทางผิวหนังทุกส่วนมันหายใจได้
ถาม : แต่มันรู้สึกอึดอัดกว่าหายใจทางจมูกหรือเปล่าครับ
ตอบ : ถ้าหากว่าใช้มันจริง ๆ มันจะไม่อึดอัด มันจะคล่องตัว
ถาม : ตอนนี้ปฏิบัติตามสายสติปัฏฐาน ก็รู้สึกว่ายังโกรธคนอื่นอยู่
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ย้อนกลับมาตั้งใจรักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ตั้งใจทำสมาธิไปพร้อมกัน ถ้าศีลกับสมาธิมันทรงตัวเดี๋ยวปัญญามันเกิด มันจะรู้เองว่าควรจะไปอย่างไร
ถาม : ก็คือ ถ้าตอนนี้เราจะปฏิบัติแบบใช้สติปัฏฐาน ๔
ตอบ : อะไรก็ได้ ให้ทำให้จริงเท่านั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งก็สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ เพียงแต่ทำให้จริงจังแล้วก็ต่อเนื่อง
ถาม : สติปัฏฐาน ๔ ทำยาก
ตอบ : ถ้าคนไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติจะยาก เพราะว่าพอไปเวทนาในเวทนาเราชักจะเกาะไม่ติด ถ้าไปจิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าสติและปัญญาไม่ดีนี่หามันไม่เจอเลย
ถาม : ๔ ตัวนี่หรือคะที่มันหาไม่เจอ
ตอบ : เพราะว่ามันจะต้องไปดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ
ถาม : แล้วทำอย่างไรดีเล่าคะ คือ มันอยู่ข้างในแล้วเราออกมาดูมัน
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าเราไม่มีพื้นฐานก็ไปทำอย่างอื่น
ถาม : พอมีพื้นฐานบ้าง ก็อยากจะให้ก้าวหน้าในเรื่องนี้
ตอบ : ก็ยึดเอาลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก พอลมหายใจเข้าออกทรงตัวก็มาพิจารณา ให้เห็นสภาพร่างกายมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นของเรา มันจะรวบเข้าสามตัวหลังทั้งหมด คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต
ถาม : รวบอย่างไรคะ
ตอบ : พิจารณาดูว่าทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับเรา มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราอย่างแท้จริง จนกระทั่งจิตมันยอมรับ ปล่อยวางได้ ทุกอย่างมันก็ครบถ้วนสมบูรณ์
ถาม : ก็คือ ถ้ามันยอมรับ แล้วก็วาง
ตอบ : มันจะจบ ถ้าทำมากกว่านั้นเดี๋ยวมันไม่จบ
ถาม : มีมากกว่านั้นด้วยหรือคะ
ตอบ : ก็อย่างที่มาบอกว่าหลงทางนั่นแหละ
ถาม : การฝึกมโนมยิทธินำไปใช้ในเรื่องวิปัสสนาญาณได้อย่างไร
ตอบ : จิตที่แยกออกจากกาย จะเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเราจิตมันยอมรับได้ก็ปลดความอยากในร่างกาย เมื่อความต้องการในร่างกายไม่มี ความต้องการเกิดมันก็ไม่มี
ถาม : แล้วทำ
ตอบ : สำคัญว่าทำถูกไหม ถ้าทำไม่ถูกเดี๋ยวก็ต้องไปเตรียมการรับภัยพิบัติอีกหรอก นั่นก็มโนมยิทธิ เขาเรียกว่ามีอาวุธแต่ไปใช้ผิด ตั้งรับมาหลายปีจนป่านนี้มันจะเกิดแล้วเกิดอีก ตูเกิดไปหลายรอบแล้วล่ะ
ถาม : แล้ววิปัสสนาญาณนี่ใช้ในเรื่องมโนมยิทธิ
ตอบ : ก็บอกว่าพอเห็นร่างกายว่าไม่ใช่ของเราชัดเจน ก็วิปัสสนาญาณอยู่แล้ว
ถาม : เราปฏิบัติแล้วให้อารมณ์เราใส แล้วเราก็พิจารณาอยู่กับที่ จะดีกว่าเดินไปเดินมาหรือเปล่า
ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้จ้ะ ให้รักโลภโกรธหลงมันกินใจเราไม่ได้ก็พอ
ถาม : ถ้าเราจะช่วยคนอื่น อย่างเช่นเห็นในอดีตว่าเขาเคยไปเบียดเบียนสัตว์มาก่อน มันไม่ดี
ตอบ : ระวัง กรรมที่จะสนองเขามันไม่มีโอกาส มันก็จะเล่นเราแทน
ถาม : คือ
ตอบ : ถ้าจะทำมันต้องรู้ว่าทำได้เท่าไหร่ ถ้าไม่รู้ว่าทำได้เท่าไหร่ แล้วไปยุ่ง ละเมิดกฎของกรรมมันจะซวยเอง
ถาม : หลวงพี่คะ ถ้าขณะนี้เรามีปัญหาเรื่องงาน มันไม่ได้ใหญ่โต แต่มันเกิดเป็นปัญหาติด ๆ กัน แล้วเราทำบุญให้เฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังเข้ามาตอนนี้อยู่
ตอบ : ก็ดี แต่ว่าขณะเดียวกัน ตัวสติ สมาธิเฉพาะหน้าสำคัญที่สุด ถ้าหากว่าเราขาดสติเมื่อไร แล้วเรื่องเล็กจะเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะฉะนั้นถ้าหากเรามีสติสมาธิจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วปัญหาเหมือนกับกวนน้ำให้ขุ่นเฉย ๆ ถ้าเราตั้งใจแก้จริง ๆ มันเท่ากับไม่มีอะไรหรอก มันเหมือนกับว่าบางคนปัญญานิ่ม เรื่องแค่นี้ก็ต้องมาถึงมือเราด้วย ก็คิดเสียว่าคนมันอยู่ที่ไหนก็เป็นคนก็หมดเรื่อง
ถาม : แล้วเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรที่มาไหม
ตอบ : มีส่วนอยู่แล้วจ้ะ เพราะถ้าไม่มีส่วนเขาก็ไม่อาจที่จะอาศัยอกุศลกรรมตรงนั้นมาจัดการเราได้ มันกวนเล็ก ๆ ก็ช่างมัน ถ้าใหญ่ ๆ ค่อยว่า อย่างไรก็อย่าทิ้งการภาวนา เพราะว่าตัวภาวนาเป็นกุศลใหญ่มากที่จะค้ำยันทุกอย่าง
ถาม : เมื่อหลายเดือนก่อน แม่เขาป่วยตลอด เวลาที่เรานั่งสวดมนต์อะไรก็ตาม จะอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของแม่ค่ะ ทีนี้พักหลังเราป่วยเองค่ะ
ตอบ : ของพรรค์นี้เราเป็นเอง ไม่ได้เกี่ยวกันจ้ะ มันรับแทนกันไม่ได้
ถาม : อ่อ ไม่เกี่ยวกัน
ตอบ : เพียงแต่ว่าของเราเองเกิดมาเป็นลูกเป็นแม่กัน ต้องเคยสร้างกรรมอะไรกันมา เคยสร้างอะไรคล้ายคลึงกันมา พอถึงเวลาก็เจออะไรคล้าย ๆ กัน
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ช่วงก่อนงานกฐิน ๓ วัน ก็เข้ากรรมฐานตามที่ได้รับปากพระท่านไว้ ปรากฏว่าเพื่อนที่เรียนพุทธศาสตร์บัณฑิตด้วยกัน ท่านชิงเลิกหายใจไปก่อน ท่านมาหา ก็มาบ่น ๆ สารพัดเรื่องให้ฟัง ว่าตายแล้วที่วัดนั้นยุ่ง เหมือนยุงตีกัน แล้วก็มาเตือนว่าอย่าลืมไปงานศพท่านด้วย
ถ้าหากเราฟังเฉย ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่คราวนี้คิดอีกที ตายแล้วยังยึดติดอีกหรือนี่ ก็เพราะความที่ใจมันยังห่วงงาน ห่วงวัดวาอารามอยู่ ยังยึดยังเกาะอยู่ ก็เลยไปไกลไม่ได้ แล้วก็ห่วงกระทั่งงานศพของตัวเองว่าเราจะไปหรือไม่ไป เราก็เออ..ผีกับคนก็คล้าย ๆ กัน ถ้าตราบใดที่ยังไม่สามารถทำกำลังใจให้ขึ้นเป็นถึงพระอริยเจ้าจริง ๆ พวกรักโลภโกรธหลงก็เหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่าอยู่กันคนละสภาพเท่านั้น
ของพวกเราก็รักโลภโกรธหลงในลักษณะของกายหยาบ ของเขาก็รักโลภโกรธหลงในลักษณะของกายทิพย์ โดยเฉพาะสัมผัสต่าง ๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเขาจะละเอียดกว่าปกติ รับรู้ได้กว้างไกลกว่าปกติ ดีไม่ดีอาจทำให้รักโลภโกรธหลงมากกว่าปกติเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่ารับรู้ละเอียดมากกว่า"
หลวงพ่อกล่าวว่า "ในเรื่องของศรัทธา ถ้าใช้ในทางที่ถูกที่ควรจะเสริมสร้างพระพุทธศาสนาได้มาก แต่กว่าจะสร้างศรัทธาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ศรัทธาถ้าเปรียบกับต้นไม้ ก็เป็นต้นไม้ที่ปลูกขึ้นยากสุด ๆ เลย แต่ถ้าขึ้นแล้วก็ตายยากที่สุดเหมือนกัน คนปลูกจะต้องใช้ความอดทน ปีแล้วปีเล่าที่จะทำให้ญาติโยมเขาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริง ๆ เพื่อพระศาสนาจริง ๆ
คนที่อยากทำบุญมีมากต่อมากด้วยกัน แต่ถ้าเขาทำไปแล้วเขาเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาว่า เราจะใช้เงินของเขาไปตามเจตนาหรือเปล่า ก็จะทำให้ญาติโยมของเขาไว้วางใจไม่เต็มที่ แต่ถ้าเขาเห็นเราเอาเงินไปใช้ตามเจตนา ตามที่ประกาศไว้จริง ๆ มีเท่าไรเขาก็ให้ เพียงแต่ว่าต้องสร้างสมระยะเวลา ให้เขาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่ทำนั้นเราทำจริง คนอยากทำบุญเขาก็จะมาเอง"
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ตอนเช้าที่บวงสรวง (บ้านวิริยบารมี) นอกจากจะรับทราบ รับรู้คำสั่งแล้ว ยังมีหลายอย่างที่ขอ
มีอย่างหนึ่งที่ขอก็คือ ถ้าไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะเริ่มกลายเป็นเป้าของชาวบ้าน ก็นึกถึงหลวงวิจิตรวาทการ
อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน
ก็เลยมีการขอบารมีพระ พรหมเทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ทั้งหมดช่วยสงเคราะห์ กำหนดเขตไปเลยว่าจะเอาขนาดสักเท่าไร กว้างไกลสักแค่ไหน ที่บรรดาอันตรายต่าง ๆ ห้ามเข้า
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วอาตมาไม่ได้กลัว แต่ว่าทำเผื่อโยม เพราะว่าวาระกรรมของแต่ละคนนอกจากจะไม่เท่ากันแล้ว กำลังใจยังไม่เท่ากันด้วย พอกำลังใจไม่เท่ากัน เวลาเขาลดแลกแจกแถมอาจจะได้รับเยอะหน่อย ที่จริงว่าไปเขาก็ใจดีนะ ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มีอะไรก็แบ่งปันให้คนอื่น เพียงแต่ว่าเขาแบ่งแต่ของที่ไม่ค่อยจะดีมาให้..!"
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ก่อนงานกฐินวัดถ้ำป่าไผ่ หลวงพ่อมหาสิงห์ท่านให้เอาเสลี่ยงไปรับแล้วก็แห่ออกมาจากที่พัก มันเห็นภาพในอดีตซ้อน ๆ ขึ้นมามากมาย แต่ว่ามันมีส่วนหนึ่งที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ปรากฏชัดเจนว่าภาระใหญ่มันมาด้วย มันไม่ได้บอกเราแค่ว่าอดีตเราทำอะไรไว้ แต่มันบอกเราด้วยว่าปัจจุบันสิ่งที่เราทำนี้มันกำลังส่งผลแล้ว ก็แปลว่างานของพระศาสนาที่มันจะต้องมีส่วนที่กว้างไกลออกไป
ก็อย่าเพิ่งไปวิตกวิจารณ์กับมัน อะไรก็ตามที่ยังเป็นอนาคตอยู่ก็ไม่ไปคิดถึงให้เสียเวลา มาชนตรงหน้าเมื่อไรค่อยว่ากัน"
ถาม : ลูกสาวค่ะ การงานหนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่เอา ?
ตอบ : ก็แม่เลี้ยงมาดี อย่างนี้ช่วยไม่ได้จริง ๆ จ้ะ เพราะว่าไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ จะได้ไปไล่ตี แสดงว่าก่อนหน้านั้นแม่รักลูกมากเกินไปใช่ไหม ถึงเวลาจะแตะจะต้องก็ไม่กล้า ดูแลมา ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ลูกเขาก็เลยเคยชิน
ถาม : ความผิดของแม่ ?
ตอบ : ใช่ จริง ๆ ก็พอปรับได้ แต่ว่าต้องใช้กำลังใจสูง ทีนี้การที่เราจะใช้กำลังใจสูงปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเองนี่ ถ้าไม่ใช่มุ่งมั่นจริง ๆ ทำไม่ได้ ก็ลองสักทีถ้าคิดว่าทำให้แม่สบายใจก็ลองปรับตัวของตัวเองดู เพื่อความสบายใจของแม่
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อัศจรรย์มากเลยก็คือว่า การที่เราสร้างกรรมไว้กับพ่อแม่ไม่ว่าจะเจตนาก็ตามหรือไม่เจตนาก็ตาม ถ้าหากว่ามีลูกเมื่อไร จะได้คืนหลายเท่า เห็นมาเยอะต่อเยอะแล้ว อันนี้ไม่ได้ตำหนิว่าทำไมถึงทำตัวอย่างนั้น เพราะว่าบางทีเราก็ไม่รู้สึกว่าผิดอะไร แต่ว่าเราก็ไปสร้างความทุกข์ใจกลุ้มใจให้กับพ่อแม่ อาจจะเป็นเพราะว่าในส่วนของธรรมะเขายกพ่อแม่ไว้ในระดับเดียวกับพระอรหันต์ อย่างเช่นว่าการฆ่าพ่อฆ่าแม่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม การฆ่าพระอรหันต์ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม ในเมื่ออยู่ในระดับเดียวกัน ใครทำอะไรไม่ดีกับพ่อแม่โทษก็เลยสูง โดยเฉพาะว่าถ้าทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ เรามีลูกเมื่อไรเจอมากกว่าหลายเท่า เจอมาหลายต่อหลายมาก เป็นเรื่องแปลก ลองกลับไปพิจารณาดู ถ้าอันไหนไม่เหลือบ่ากว่าแรงลองปรับดู เพื่อความสบายใจของแม่
ถาม : คุยกับคนที่มองไม่เห็นตัว
ตอบ : ตั้งสติระมัดระวังนิดหนึ่ง บางทีนั่งอยู่ตรงนี้เราก็ขยับแว่นดู มันใช่คนจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเรานั่งพูดอยู่คนเดียวแล้วคนอื่นไม่เห็น บางทีเรานั่งอยู่ตรงนี้แล้วคนเขาแปลกใจว่าทำไมเราต้องมองหน้าเขาหลายที คือ กลัวว่าเราจะคุยด้วยแล้วจะเป็นประเภทคนอื่นเขามองไม่เห็น แล้วจะกลายเป็นเรานั่งพูดอยู่คนเดียว แล้วเขาจะว่าเราบ๊อง ลักษณะอย่างนั้นจริง ๆ เขามีอยู่ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติ แต่ทั้งนี้เราต้องระมัดระวังก็คือว่า บางทีเรื่องที่เราพูดไป มันอาจจะเกิดโทษขึ้นได้ อย่างที่แม่เขาว่า ถ้าใครเขามาเผลออัดเสียงแล้วเปิดฟังนี่เฮงจริง ๆ
ถ้าหากว่าจะคุยกับพวกนี้ลองใช้วิธีนึกในใจดูสิ ถ้ามันสื่อกันได้จะได้ไม่ไปออกเสียง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวแม่เป็นลมหัวใจวายตาย
ถาม : มันจะดีหรือเปล่า
ตอบ : มันจะดีหรือไม่ดีตอนนี้มันไม่เกิดโทษอะไร เพราะว่าบางท่านจะมีสัมผัสพิเศษพวกนี้ที่เราไม่มีอยู่ เขาสามารถสื่อได้เป็นปรกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องมีสติว่าเราพูดได้แค่ไหน
ถาม : อยากจะให้ลูกเขาเป็นคนปกติทำมาหากินได้
ตอบ : ก็นี่แหละปกติ เขาปกติแต่เราเห็นว่าไม่ปกติ
ถาม : อยากให้เขาเลี้ยงตัวเองได้
ตอบ : จ้ะ อันนี้ไปคุยกับลูกได้ คุยด้วยเหตผล อย่าคุยด้วยอารมณ์
ถาม : พระรามกับพระลักษณ์เป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าครับ
ตอบ : พระรามท่านจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า สมเด็จพระพุทธรามะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์ถัดจากพระศรีอาริยเมตไตรย
ถาม : หลวงพ่อครับ หลวงพ่อท่านคล้าย ที่ท่านวาจาสิทธิ์เพราะอะไรหรือครับ
ตอบ : พูดจริง ทำจริง
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "ตอนนั้นอยู่ที่วัดท่าซุง ยังเฝ้าหน้ากุฏิหลวงพ่ออยู่ เราก็จะภาวนาของเรา แต่มันรำคาญพวกคนที่ชอบเข้ามากวน พอดีในมือถือลูกประคำอยู่ ก็เอาลูกประคำวางไว้บนอก แล้วก็ตั้งใจอธิษฐานว่าถ้าใครเข้ามาก็ขอให้ลูกประคำเป็นงู
ปรากฏว่าพี่วิรัช โผล่มาพอดี พี่ก็ตกใจ "เฮ้ย ! งู" เราก็บอกว่า "งูที่ไหน ลูกประคำ" พี่ก็บอกว่า "เมื่อกี้ผมเห็นเป็นงูจริง ๆ " เป็นความซวยของพี่ที่มาผิดจังหวะ เราก็ตั้งใจจะไล่คนแต่พระดันมาแทน"
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ท้าวเวสสุวรรณ ผู้ดูแลโลกประจำทางด้านทิศเหนือ ปกครองฝูงยักษ์ทั้งหมด และปกครองเทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหมด
ในบรรดาท้าวมหาราชทั้งสี่ จะยกให้ท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้าใหญ่ ท้าวเวสสุวรรณมีหลายชื่อ บางชื่อเรียกว่า ภูเตศวร (เจ้าแห่งผี) บางชื่อเรียกว่า ธนบดี ( เจ้าแห่งขุมทรัพย์) เพราะว่าบรรดาขุมทรัพย์ทุกแห่งในโลก จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชที่เป็นบริวารของท่านดูแลรักษาอยู่ คนจีนเรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ไช้ซิ้งเอี้ย
ไช้ซิ้งเอี้ย ก็คำเดียวกับ ธนบดี ( ไช้ซิ้งเอี้ย = เทพสมบัติ)"
หลวงพ่อกล่าวให้ฟังว่า "ด้วยความที่เราอยู่กับหลวงพ่อมานาน เวลาหลวงพ่อท่านเทศน์ ท่านจะบอกศักราชเสมอ การบอกศักราชของหลวงพ่อ ท่านจะบอกย่อ
การบอกศักราชจริง ๆ เขาจะบอกว่าขณะนี้เป็นวันเดือนปีที่เท่าไหร่ พระพุทธศาสนาล่วงมาแล้วกี่วัน กี่เดือน กี่ปี และยังเหลืออยู่อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี นี่คือการบอกศักราชแบบเต็มยศ แต่ปัจจุบันนี้ เราจะบอกแค่ว่าล่วงมาแล้วเท่าไหร่ สมัยก่อนที่เขาบอกเต็มเพื่อเตือนสติให้รู้ว่า เวลามันผ่านไปเร็วมาก ถ้าเราไม่เร่งปฏิบัติเดี๋ยวพระพุทธศาสนาครบห้าพันปีเสียก่อน จะเฮงไม่รู้จบ
ด้วยความเคยชินที่อยู่กับหลวงพ่อ ฟังเสียจนจำได้ก็เลยบอกศักราชได้ตั้งแต่เทศน์ธรรมาสน์แรก ปรากฏว่าตอนที่ไปอบรมพระนักเทศน์ เขาบอกว่าการเทศน์ ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วตั้งอุเทศเลยก็ได้ ไม่ต้องบอกศักราช แต่ถ้าใครมีความสามารถพิเศษบอกศักราชได้เลยถือว่าดีมาก สรุปแล้วของเราที่ไม่เอาไหนมันกลายเป็นดีมากของเขา พอถึงเวลาท่านอาจารย์มหาณรงค์ศักดิ์ ท่านก็เอาใบที่เขียนศักราชมาเป็นภาษาบาลี เราก็ต้องแก้แล้วแก้อีก เพราะมันผิด ท้ายสุดก็บอกว่าอาจารย์ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวคนอื่นจะเดือดร้อน เดี๋ยวผมบอกปากเปล่าให้ดีกว่า
ก็เลยกลายเป็นงานประจำ ถ้าเปิดการสาธยายพระไตรปิฎก ก็ต้องไปร่วมงานเปิด อยู่ในฐานะเป็นคนบอกศักราช คือ ประกาศให้รู้ว่าพระพุทธศาสนาขณะนี้ล่วงมาแล้ว ๒๕๕๒ ปี"
ถาม : ถ้าบังเอิญเราต้องไปร่วมกับคนที่มีการนินทา พูดถึงพระในทางไม่ดี ถ้าเราใช้บทขอขมาพระรัตนตรัยจะช่วยได้ไหมคะท่าน รู้สึกว่าตัวเองบาปด้วย ที่ไปอยู่ในหมู่ที่เขานินทา
ตอบ : ขอขมาพระรัตนตรัยบ่อย ๆ สิ่งที่เราล่วงเกินไปนั้นถือว่าเป็นความชั่ว เป็นกรรมไม่ดี การที่เราขอขมาถือว่าเป็นกรรมดี มันเป็นคนละส่วนกันก็จริง แต่มันเหมือนกับว่าเรามีน้ำเกลืออยู่แก้วหนึ่ง แล้วเราเอาน้ำสะอาดเติมไปเรื่อย ๆ เกลือมันไม่ได้ไปไหนหรอก แต่รสมันจืดลง ความชั่วมันไม่ได้ไปไหน แต่ความดีมันกลบทับไป มันลบล้างกันไม่ได้ แต่ว่าถ้าดีมันมากกว่ามันก็จะไปทางด้านอื่น เพราะฉะนั้นทำบ่อย ๆ
ถาม : หลวงพ่อคะ เวลามารเขาดลใจ เขาไม่ได้ดลแค่เราใช่ไหมคะ
ตอบ : ทุกคน เขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ในการทดสอบเรา อย่างแค่น้ำขวดเดียว ใครวะวางเอาไว้เกะกะ ตู้เย็นมีก็ไม่เอาไปใส่ โกรธเขาไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มันเป็นน้ำไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่จริง ๆ ก็คือมันต้องเริ่มจากข้างใน
ถ้าไม่มีเชื้ออยู่มันก็ก่อไม่ติดหรอก มีทางเดียวก็คือทำอย่างไรที่เราจะชำระล้างให้สะอาด ไม่เหลือเชื้อไว้ ก็ค่อย ๆ ล้าง ค่อย ๆ ตัดไปทีละนิดทีละหน่อย
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ตอนนี้เรื่องของพระปิดตา ตั้งใจจะสร้างเป็นสองเนื้อ คำว่าสองเนื้อไม่ได้หมายความว่าสองอย่าง สองเนื้อก็คือเนื้อโลหะกับเนื้อผง
สำหรับเนื้อโลหะเรามีชนวนเก่าอยู่มาก มีทั้ง
ชนวนพระปัจเจกพุทธเจ้าทองคำ ๑ ซม., ทองคำ ๓ ซม. , ทองคำ ๓ นิ้ว , เงิน ๑ ซม. , เงิน ๓ ซม. , เงิน ๓ นิ้ว
ชนวนทองคำพระยอดธง ชนวนเงินพระยอดธง
ชนวนพระอุปคุตปราบมารที่ไปนั่งปรกให้ทางวัดไร่แตงทอง
ชนวนที่สำคัญที่สุดก็คือ ยันต์ครูที่ท่านให้เขียนตอนเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ใช้แผ่นทองแผ่นใหญ่เลย
ตอนแรกก็คิดว่าตูจะเขียนอะไรวะ ตอนที่เข้ากรรมฐานหลวงพ่อท่านถามว่า จำได้ไหมว่าแกเคยขโมยของข้าไป ก็บอกว่าผมไม่เคยขโมยหรอกครับ ผมแค่คิดค่าเฝ้ากุฏิ ท่านก็บอกให้ไปดูแบบตามนั้น ก็เลยไปเปิดดู ปรากฏว่าของท่านมียันต์อยู่ ๗ อย่างด้วยกัน คือ
๑) ยันต์พุทธนิมิต
๒) ยันต์ศัตรูพินาศของท่านท้าวเวสสุวรรณ
๓) ยันต์มหาเศรษฐี
๔)ยันต์กันโรคระบาด
๕)ยันต์กันแคล้วคลาดของท่านปู่พระอินทร์
๖) ยันต์ปัญจพุทธามหามงคล ที่เขียนตะกรุดมหาสะท้อน
๗) ยันต์คาถาเงินล้าน
ตั้งใจว่าจะใส่ไปทั้งหมด และเมื่อวันที่ ๒ วันลอยกระทง มันเป็นฤกษ์พิเศษ มันเป็นฤกษ์จันทร์เพ็ญ ปกติแล้วโบราณท่านนิยมฤกษ์วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ท่านถือว่าทุกอย่างมันเต็มเปี่ยมบริบูรณ์สมบูรณ์หมด แม้กระทั่งน้ำมันก็ขึ้นเต็มตอนนั้น แต่ที่เขาหาอีกฤกษ์หนึ่งก็คือ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ที่ตรงกับวันจันทร์ เพราะเขาถือว่าวันจันทร์เป็นวันมหาเสน่ห์ใช้ทำเมตตาดีมาก ๆ เราก็ทำอะไรได้ไม่มาก คว้ายันต์เขียนได้สองแผ่น เพราะเขาถือฤกษ์ตอนเที่ยงคืนตรง เขียนช้าก็ไม่ทัน มีเท่าไหร่จะใส่ไปหมดเลย
ที่เน้นจริง ๆ ก็คือ เน้นในเรื่องของลาภ เพราะช่วงที่เข้ากรรมฐานท่านบอกว่าคนที่ทำบุญด้วยจะได้มีความคล่องตัว ดังนั้นพระที่สร้างชุดนี้ก็เน้นในเรื่องของลาภผล
ในส่วนของพระเนื้อผงที่อยากสร้าง เพราะว่ามีผงสำคัญอยู่เยอะ เอาแค่ว่า ลูกอมของหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ลูกอมของหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ผงจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ ฯลฯ ก็เลยว่าจะทำเนื้อผงด้วย ส่วนเนื้อโลหะอาจจะมีหลายอย่าง มีทองคำ เงิน ทองชุบ ประมาณนี้"
วันอาทิตย์ที่บ้านอนุสาวรีย์นั้น มีโยมท่านหนึ่งนำปฏิทินซึ่งเป็นรูปพระ มีรูปสมเด็จองค์ปฐม รูปหลวงพ่อฤๅษี ฯลฯ มาถวายแด่หลวงพ่อเล็ก หลวงพ่อเล็กท่านก็แจกให้แก่ญาติโยมที่ต้องการ แต่เผอิญว่ามีปฏิทินรูปที่เป็นรูปหลวงพ่อเล็กด้วย ท่านจึงบอกให้โยมนำกลับไป ท่านไม่แจกแล้วก็บอกแก่ญาติโยมทั้งหลายว่า "ทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ที่นี่ จำไว้เป็นอันขาดว่า อย่าทะลึ่งเอารูปผมไปทำ โดยไม่มีความจำเป็นและไม่ได้รับอนุญาต"
ถาม : หลวงพ่อคะ ปีติ มันเป็นกิเลสหรือเปล่าคะ
ตอบ : ก็ยังเป็น มันเป็นส่วนของกามาวจร
ถาม : การดิ้นรนของจิต ?
ตอบ : การปฏิบัติพอเราทำไปถึงระดับหนึ่ง กำลังก็เริ่มเพียงพอที่จะเผากิเลส กิเลสมันก็จะร้อน คำว่าตบะคือความร้อน พอกิเลสมันร้อน มันก็ดิ้น พอกิเลสดิ้น เราดันไปคิดว่าตัวเองเป็น มันจะไปไหนก็พามันไป ก็เลยกลายเป็นว่า กิเลสมันก็มีกำลังที่จะมาเล่นงานเราต่อไปเรื่อย ๆ แต่ความจริงถ้าเผามันอีกหน่อยเดียวมันก็ตายแล้ว แต่ปรากฏว่าเราเลิกก่อนทุกที พอบอกว่าจะตายแล้วทีไร เราไปคิดก่อนว่าเราจะตาย ไม่ได้คิดว่ากิเลสจะตาย โดนมันหลอกมายกแล้วยกเล่า สรุปแล้วก็คือกลัวตายนั่นเอง
ถาม : ทำไมกลับไปทำที่บ้านทีไร สู้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ไม่ได้ ?
ตอบ : ความคิด คำพูด การกระทำ สถานที่ สิ่งแวดล้อม มีอิทธิพล
ถาม : ก็เปิดเทปบวงสรวงเหมือนกัน สมาทานเหมือนกัน ?
ตอบ : สิ่งแวดล้อมมันไม่ได้
หลวงพ่อกล่าวว่า "ความกลัวตายทำให้คนขาดสติ สองปีก่อนมีข่าวว่าเขื่อนแตก คนทางเมืองกาญจน์หนีขึ้นยอดเขากันหมด คนมากต่อมากด้วยกัน แย่งกันจองที่ก็ตีกัน ผู้ว่าฯ ก็ขึ้นไปใช้โทรโข่งประกาศว่า "เขื่อนไม่แตกหรอก ผมเช็กข่าวมาเรียบร้อยแล้ว" เขาก็ไม่ฟัง ดังนั้นสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดก็คือกลัวตาย"
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2024, vBulletin Solutions Inc.