View Full Version : รูปกับนาม
ถาม:  พอดีฝึกเกี่ยวกับรูปและนาม
ตอบ :  ฝึกอะไรไม่ได้มีสาระสำคัญ  มันสำคัญตรงที่ต้องทำจริงจังและสม่ำเสมอ อย่าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ ให้สังเกตว่าถ้าเราเว้นระยะไปช่วงหนึ่งก็คือทิ้งมัน หลังจากนั้นถ้ามาทำใหม่มันจะยากกว่าเดิม  เพราะใจมันไปฟุ้งซ่านเสียแล้ว 
ในเรื่องของการกำหนดรูปกับนามมันก็เท่ากับว่าเอาสติรู้อยู่กับปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตาดู หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด มันแบ่งเป็น ๒ ส่วน  ส่วนที่สามารถสัมผัสถูกต้องได้ชัดเจน รู้เห็นได้ เขาเรียกว่ารูป ส่วนที่ไม่สามารถสัมผัสถูกต้องชัดเจน รู้เห็นได้ เขาเรียกว่านาม แล้วเราก็จะเห็นว่าจริง ๆ มันไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา  มันก็สรุปลงตรงท้ายเหมือนกันว่าไม่มีอะไรเหลือ
พิจารณาบ่อย ๆ ให้ใจมันยอมรับ และเชื่อจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา คน สัตว์ วัตถุธาตุ  สิ่งของ สักแต่ว่าเป็นรูปเป็นนามเท่านั้น เมื่อสักแต่ว่าเป็นรูปเป็นนาม  สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาพของมันเช่นนั้น ฉะนั้นถ้าหากว่าบางสิ่งที่ชวนให้เกิดโทสะมันก็จะไม่เกิด เพราะเห็นว่าสภาพแท้จริงของมันเป็นอย่างนั้น สิ่งใดที่ชวนให้เกิดโลภะมันก็ไม่เกิด สิ่งใดที่ชวนให้เกิดราคะมันก็ไม่เกิด ในเมื่อรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง มันก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ หาทางหลุดพ้นไปจากมัน 
เรื่องของรูปนามมีอาจารย์อยู่ท่านหนึ่ง คืออาจารย์ประเสริฐ วัดเพลงวิปัสสนา ไม่ทราบเหมือนกันว่ารู้จักกันหรือเปล่า  ท่านจะชำนาญพวกนี้มาก  อาจารย์ประเสริฐท่านใฝ่รู้ท่านพยายามไปศึกษาสายอื่นด้วย แล้วบางอย่างที่สายรูปนามอธิบายได้ไม่ชัด อาจารย์ประเสริฐจะอธิบายได้ชัดกว่า ท่านอยู่วัดเพลงวิปัสสนาที่บางกอกน้อย ถ้ามีโอกาสแวะไปหาท่านได้
ถาม-ตอบ ช่วงบ่าย ณ  บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่  ๑๐  ตุลาคม  ๒๕๕๒
ถาม :  การที่จะละขันธ์ ๕ ได้
ตอบ :  เห็นว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา จะแยกเป็นธาตุ ๔ ก็ได้มันละเอียดดี แต่ถ้าเราถนัดแยกแค่รูปกับนามก็ได้ เพราะรูปก็คือร่างกายที่เราเห็น  ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็คือนาม
แต่ว่าถ้าหากละเอียดไป...ละเอียดไปแล้วจะมั่ว เพราะมันมีทั้งนามในรูป ทั้งรูปในนาม  ยุ่งกันไปหมด อันนั้นมันจะเป็นพวกที่ศึกษาอภิธรรมขั้นสูงเขาเรียนกัน แต่อาตมาอยากจะบอกว่าเรียนเกิน  คือถ้าเราเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ถอนความยินดีความพอใจจากมันออก มันก็จบแล้ว ลักษณะนั้นมันเหมือนกับว่าตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล  ทั้ง ๆ ที่เรากินปลาตัวเดียวก็พอแล้ว
ถาม : เหมือนกับว่าเรานึกคิด แต่มันยังไม่ได้ละ
ตอบ : ความนึกคิดก็ส่วนความนึกคิด การรู้เห็นส่วนการรู้เห็น อย่าลืมว่า การคิดพิจารณาทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องรูปนามมันก็ต้องเป็นความนึกคิดประกอบ คือเป็นส่วนของสัญญา  จำได้ก่อน หลังจากที่พิจารณาบ่อย ๆ มันจะเป็นปัญญาก็คือยอมรับ
  
ถาม :  เหมือนกับปัจจุบันที่ทำให้เกิดการเกิดดับได้
ตอบ :  ถูกต้อง  เมื่อเรารู้เห็นการเกิดดับแล้วเราทำอะไรต่อไป
ถาม :  ก็ไม่ต้องทำอะไร ก็ดูต่อไป  ดูให้เห็นความเกิดดับที่แท้จริง
ตอบ :  ถ้าเกิดว่าเราเห็นไฟไหม้บ้านอยู่  เสร็จแล้วเราก็นั่งมองเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ
ถาม :  จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นธรรมชาติที่มันเกิด
ตอบ  :ใช่
ถาม :  แล้วเรายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอมันเกิดทุกข์  เพราะเราไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอบ  :ใช่ คราวนี้ในลักษณะที่เราทำก็คือว่า เราเอาการรู้เห็นนั้นมาใช้ในการพ้นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่ไม่เอาไปทำอะไร
ถาม :  สิ่งที่เราเห็นนั้นคือว่า เราทำอย่างไรที่จะให้เราอยู่กับปัจจุบันให้ได้ แล้วยอมรับความเป็นจริงนั้น  เหมือนเราแยกกายกับจิต  ให้เกิดการยอมรับ  ซึ่งคนที่เป็นทุกข์เพราะไม่ยอมรับความเป็นจริงนั้น
ตอบ  :  ใช่ คือไปดิ้นรนมัน   แต่ว่าในลักษณะของเราที่ว่าทำนี่   ในเมื่อมันถึงวาระสุดท้ายของมัน ถ้าหากว่าจิตมันปลดออกจากการยึดเกาะทั้งหมดจริง ๆ  แล้วความรู้สึกที่มันเข้ามามันจะเป็นอะไร  เรายังก้าวไม่ถึงตรงจุดนั้น   เราก็ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการหยุดอยู่กับปัจจุบันเป็นเรื่องที่ดี   เพราะไม่ว่าจะไปอดีตหรือจะไปอนาคตมันเป็นการสร้างทุกข์ให้ตัวเองทั้งนั้น เหมือนกับว่าไปคิดให้มันทุกข์เป็นการซ้ำเติมตัวเอง แต่ว่าการที่เราหยุดอยู่กับปัจจุบันนั้น  ถ้าหากว่าเราเอาแต่พิจารณาตามดูตามรู้อยู่อย่างเดียว ถ้ากำลังมันไม่พอ สังเกตไหมว่าเราเลิกเมื่อไหร่มันก็รัก โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม
ถาม :  เราเห็นว่าตราบใดที่เรายังมีขันธ์  ๕  อยู่  ขันธ์มันก็ทำตามหน้าที่ของมัน
ตอบ :  มันทำตามปกติ
ถาม : แต่จิตเป็นตัวที่รู้อยู่ว่า  สิ่งที่เป็นปัจจุบัน  สิ่งที่รู้อยู่ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วจิตก็เข้าใจในสิ่งที่อยู่ตรงนั้น  แล้วยอมรับในสิ่งที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น
ตอบ :  ลักษณะของการยอมรับของเรา  สมมติว่าเราเห็นเด็กเขาทำข้าวของเสียหาย  ขว้างแก้วแตกกระจายไป ๑ ใบ เรายอมรับว่ามันเป็นธรรมดาเป็นปกติของเด็กที่ต้องทำอย่างนั้น เราไม่โกรธเด็ก แต่เราจะแก้ไขไหม
ถาม :  ก็ต้องสอนเขา  แต่แก้วที่แตกไปแล้วนี่มันเกิดขึ้นแล้ว  เราต้องยอมรับว่ามันเกิดแล้ว ถ้ายอมรับมันไม่ได้  ใจเราก็เป็นทุกข์ ถูกไหมคะ
ตอบ :  ถ้ามาอย่างนี้ถูกทาง ทำต่อได้เลย เพราะว่าคนเราที่มีปัญญาจะต้องแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างให้มันบรรเทาเบาบางลงมากที่สุด ไม่สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เรา ไม่ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ  แต่ว่าในส่วนใดก็ตามที่ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่  ดับไปเรายอมรับมัน เพราะฉะนั้นที่โยมว่ามานี่ทำต่อไปลักษณะนั้นได้เลย ถูกทางแล้ว
ที่ถามก็ต้องการจะรู้ว่าสิ่งที่เราทำมา นำมาใช้ประโยชน์จริงได้หรือไม่ ขณะเดียวกันว่า มันจะมีอยู่ระยะแรก ๆ ที่ถ้ากำลังใจมันยังไม่พอ  สติสมาธิมันยังไม่มั่นคง  มันจะห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ รู้ไม่เท่าทันมัน มันก็จะไปปรุงกับมันทันทีเหมือนกัน  ตอนนั้นก็ต้องเบรกกันอุตลุด
ถาม :  สิ่งที่เห็นขึ้นในขณะจิตเดียว  มันเห็นปุ๊บมันจะเกิดความรู้สึกปุ๊บ   มันโกรธปุ๊บแว้บหนึ่ง แล้วมันก็วาง
ตอบ :  ถ้าไม่ไปยินดี....มันก็ยินร้าย การปฏิบัตินี้ให้มันไปต่อไปอีกจ้ะ ถ้าหากก้าวต่อไปอีกขั้นหนึ่ง มันจะรู้สึกไม่ยินดีด้วย แล้วก็ไม่ยินร้ายด้วยกับทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้น   มีแต่ว่าจะแก้ไขเหตุการณ์ทุกอย่างให้เป็นไปให้ดีที่สุดอย่างไรเท่านั้น  ถ้าเต็มที่เต็มสติปัญญาเต็มกำลังของเราแล้วแก้ไขไม่ได้  ก็จะยอมรับว่าสภาพของมันต้องเป็นอย่างนั้นเอง ฉะนั้นอีกขั้นเดียวเท่านั้นจ้ะ ถ้าหากว่าก้าวถึงมันก็จะไม่ไปปรุงแต่งยินดียินร้ายกับอะไรแล้ว 
ถาม : ใช่ค่ะ  ที่เราเห็นก็คือว่า มองเห็นให้รู้ในสิ่งที่มันเป็น
ตอบ :  ถ้าหากว่าหยุดอยู่กับปัจจุบันก็มีความสุขมากแล้วจ้ะ  เพียงแต่ว่ามันยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ให้ทุกอย่างมันเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมดาของมัน ยกขึ้นได้ วางลงได้  ปล่อยได้ วางได้ไม่ยึดไม่ถืออะไร  ก็สบาย  
ที่ถามนี่จริง ๆ ก็คือแค่ต้องการให้รู้ว่า  เราปฏิบัติแล้วเอามาใช้จริงได้ไหม ถ้าหากว่าแยกแยะได้อย่างที่เมื่อครู่ว่ามา   ถือว่าสิ่งที่เราทำมาถูกทางและใช้ได้
ถาม  :  ต้องเพิ่มอะไรไหมคะ
ตอบ  :  ไม่ต้องเพิ่มอะไร อยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่า แล้วหลังจากนั้นถ้าหากกำลังมันพอมันจะก้าวข้ามไป จากการที่ยังยินดียินร้ายอยู่แล้วค่อยไปดับมัน  ก็จะไม่ยินดียินร้ายกับอะไรแล้ว ถ้าถึงเวลานั้นก็จะสบาย
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.