View Full Version : การเผยแผ่พุทธศาสนา
หลวงพ่อเล็กหยิบหนังสือเย็นหิมะในรอยธรรม  ของหลวงพ่อสมเด็จฯ  วัดสระเกศ ขึ้นมา แล้วกล่าวว่า "อ่านแล้วเราจะได้เห็นชัด ๆ เลยว่า  ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กับไม่มีวิสัยทัศน์ต่างกันอย่างไร  จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ถ้าเป็นไปได้ต้องซื้อแจกพระสังฆาธิการทุกรูป
  
อย่างที่คุยกับท่านสมปองเมื่อเช้านี้ว่า ก่อนที่จะออกมาจากวัดท่าซุง อาตมาอยู่ในลักษณะหัวแข็ง  ยึดตามหลักเนติศาสตร์เป๊ะ ๆ  ซึ่งไม่ใช่  ที่ไม่ใช่เพราะว่าในเรื่องของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต้องมีการผ่อนสั้นผ่อนยาว  เพียงแต่ว่าอย่าให้หลุดออกจากกรอบพระธรรมวินัย  ส่วนวิธีการคุณต้องไปพลิกแพลงเอาเอง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์  ตามสถานที่ เวลาและบุคคล
ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านส่งพระอรหันต์  ๖๐  รูป  ประกอบไปด้วยปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕   พระยสะพร้อมกับสหายอีก  ๕๕  รวมเป็น  ๖๐  รูป  ออกประกาศพระศาสนา โดยใช้คำว่า  จรถ ภิกฺขเว จาริกํ  พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย  โลกานุกมฺปาย  อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ ทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย..เธอเที่ยวจงไป  เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ชนเป็นอันมาก  เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก  เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก  เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย.."   นั่นถือว่าเป็นนโยบายครั้งแรกในการประกาศศาสนาเลย  แต่มีจุดต่างมหาศาลอยู่ตรงที่ว่า  พระทั้งหลายที่ออกเผยแผ่พุทธศาสนาในยุคนั้น  ท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด  แต่ในยุคของเรานี่เป็นพระอรหันต์ "เกือบหมด"  ก็คือ เกือบจะไม่มีพระอรหันต์..ต่างกันมากเลย    
ในเมื่อต่างกันมากตรงจุดนี้  อาตมานึกถึงท่านเจ้าคุณมงคลเทพโมลี คือเจ้าคุณพูลทรัพย์  วัดสุทัศน์ฯ  เนื่องจากโยมที่ซานดิเอโกจะนิมนต์อาตมาไปจำพรรษาที่นั่น  ๑  พรรษา  ก็ไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณ   ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณซึ่งเป็นหัวหน้าคณะธรรมทูตสายนั้นไม่ให้ไป  ท่านบอกว่าท่านกำลังปวดหัวอยู่  เพราะว่าท่านส่งพระธรรมทูตไปสองชุด    ชุดละ  ๔๐  รูป   รวมแล้ว  ๘๐  รูป  ขณะนี้สึกไปแล้ว  ๗๖  รูป    อีก  ๔  รูปโดนฟ้องร้องเรื่องการเงินทั้งหมด  
พอไปดูคุณสมบัติของบุคคลที่เป็นธรรมทูตของท่าน
๑.  ต้องจบนักธรรมเอก  ๒. ต้องจบเปรียญธรรม  ๕  ประโยคหรือพุทธศาสตรบัณฑิต  ๓.  ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ดี   ๔. ผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษข้อเขียนด้วย อาตมาดูเสร็จ  ก็กราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อส่งไปอีก ๑๐๐  รูป  ก็เสร็จไปอีก  ๑๐๐  รูป   เพราะคุณสมบัตินั้นเป็นพระนักเรียนล้วน ๆ ไม่มีพระปฏิบัติเลย    จะมีพระปฏิบัติสักกี่คนที่หลุดไปได้   เพราะส่วนใหญ่พระปฏิบัติก็ไม่ได้ศึกษามาก  เหตุที่ไม่ได้ศึกษามากเพราะวิสัยทัศน์ไม่เหมือนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ...
 หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านยืนยันว่า การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา  ถ้าพูดภาษาเขาไม่ได้  แล้วจะเอาอะไรไปบอกเขา  แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น  ศึกษาแต่ทางโลก  พูดภาษาเขาได้  เอาหลักธรรมไปบอกเขาได้  แต่ไม่รู้ว่าตีความถูกหรือเปล่า ?  เพราะไม่เคยปฏิบัติ  ในเมื่อไม่เคยปฏิบัติ ไปถึงก็นำเอาพระพุทธวจนะไปเผยแผ่  อย่าลืมว่านั่นเป็นธรรมะที่แท้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งพิสูจน์ได้ในทุกกาลสมัย  ฝรั่งได้ยินแล้วชอบใจ  แต่คราวนี้ฝรั่งสาว ๆ  ได้ยินแล้วชอบใจด้วย  ในเมื่อฝรั่งสาว ๆ  ได้ยินแล้วชอบใจเขาก็ขอแต่งงานด้วย ก็เลยไม่เหลือพระเอาไว้ ท่านบอกว่า  ๘๐  รูปสึกไปแล้ว  ๗๖  รูป  อีก  ๔  รูปที่เหลือโดนฟ้องร้องเรื่องการเงินอยู่  เลยคาราคาซังสึกไม่ได้  ต้องให้คดีถึงที่สุดก่อน
คราวนี้เรามาดู สมัยที่อาตมาเรียนบาลี หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านยืนยันชัดเจนมาก "ท่านเล็ก..อย่าทิ้งการปฏิบัตินะ เรียนบาลีถ้าสมาธิไม่ดีเราจะท้อ แล้วถ้าเราท้อก็หมดอารมณ์ที่จะเรียน" หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ท่านปฏิบัติสมาธิภาวนาควบกับการศึกษา จบประโยค ๙ มา ท่านก็ไม่ได้เก็บตัวปฏิบัติ แต่ท่านทำหน้าที่ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระควบกันไป ท่านไปเป็นเลขานุการ มจร. อยู่นานมากเลย จนกระทั่งเขาตั้งให้เป็นรองอธิการบดี และเมื่อท่านเห็นว่าภาระในการสงฆ์มาก ท่านจึงวางมือให้บุคคลที่เหมาะสมกว่าขึ้นไปเป็นแทน ดังนั้น..วิสัยทัศน์ในเรื่องการศึกษาของหลวงพ่อท่านจึงชัดเจนมาก แนวทางทุกอย่างที่ท่านว่ามานั้น..ใช่เลย 
 
แต่ทำอย่างไรที่พวกเราซึ่งเป็นพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตอนนี้ภิกษุณีไม่มี ก็ถือว่าพุทธบริษัททั้ง ๓ ก็คือ พวกเราทั้งหมดในที่นี้ จะนำธรรมะของพระพุทธเจ้าไปเผยแผ่ให้กว้างไกลมากกว่านี้ได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือปฏิบัติให้เห็นผลก่อน ถ้าปฏิบัติให้เห็นผลเมื่อไร เราบอกใครเขาก็เชื่อ ก็คนบอกทำได้แล้ว บอกใครก็ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น แต่ถ้าหากคนบอกยังทำไม่ได้ ไปบอกแล้วใครเขาจะเชื่อน้ำยาเรา หรือถ้าหากว่าเชื่อ เขาปฏิบัติแล้วได้ผล คนบอกก็กลายเป็นเถรใบลานเปล่า กลายเป็นพระโปฏฐิลเถระ ก็คือ ตัวเองไม่ได้อะไรเลย แต่อาศัยว่าบอกพระพุทธจนะตรง ไม่ดัดแปลง ทำให้คนปฏิบัติได้ผล 
 
ในสมัยปัจจุบันนี้ วาจาบางประโยคที่ได้ยินแล้วรู้สึกชอกช้ำระกำใจมาก ก็คือ อยากรู้คอมพิวเตอร์ให้ถามพระ ถ้าอยากรู้ธรรมะให้ถามโยม มีญาติโยมที่เป็นนักปฏิบัติจำนวนมาก ทั้งฆราวาสและแม่ชี เปิดสำนักสอนอย่างเป็นทางการ มีลูกศิษย์กันมาก โดยเฉพาะยุคนี้รู้สึกว่าจะเป็นยุคของแม่ชี แม่ชีที่มีชื่อเสียงอยู่ในยุทธจักรอย่างแม่ชีศันสนีย์ แม่ชีทศพร แม่ชีมโนรา ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ สามารถเผยแผ่ธรรมและเป็นที่ศรัทธา ส่วนหนึ่งเพราะว่าท่านเป็นเพศหญิง ผู้หญิงจะเข้าไปพูดคุยและระบายความทุกข์ได้สะดวกกว่าพระ
 
ตอนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่สถานปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ที่ปากช่อง ตลอดระยะเวลา ๑๐ วัน แม่ชีทศพรไปเป็นแม่ครัวเลี้ยงพระอยู่ตลอด และโดยเฉพาะคืนก่อนวันสุดท้าย แม่ชีมากราบขออนุญาตพระ "พรุ่งนี้ดิฉันขออนุญาตเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระที่ออกจากสมาบัติทุกรูป" เล่นกวาดหมด ไม่เหลือให้ใครเลย ปรากฏว่าในแต่ละวัน หลังจากทำครัวมื้อเพลเสร็จ แม่ชีต้องต้อนรับแขกอีกหลายคันรถ แต่ละคนล้วนแต่แบกความทุกข์ไปหาทั้งนั้น แล้วด้วยความที่ท่านเป็นผู้หญิงทำให้ใกล้ชิดได้มากกว่า ประเภทจับเข่าคุยกันได้ คนไหนร้องไห้มาก็สามารถที่จะกอดปลอบใจเขาได้ หน้าที่นี้พระทำไม่ได้ 
 
ถ้าพวกเราทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ เอาสิ่งที่ปฏิบัติได้ ถึงแม้ว่าเราไม่มั่นใจว่าถูกต้อง ก็ให้เอาหลักตามพระไตรปิฎกหรือคำสอนหลวงปู่หลวงพ่อที่เรามั่นใจไปเผยแผ่ จะเป็นหนังสือหรือซีดีก็ได้ หรือลอกคำพูดไปบอกต่อก็ได้
อย่างเช่นอิสลาม  ศาสนาอิสลามเผยแผ่ศาสนาได้เร็วมาก กว้างขวางมาก เพราะว่าทุกคนเป็นนักเผยแผ่หมด  เขาไม่ได้มีนักบวชที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะ  แต่ว่าทุกคนของเขาทำหน้าที่นี้  แต่ศาสนาพุทธของเรา  ถ้ารอนักบวชอย่างเดียวทำหน้าที่  จะมีสภาพอย่างที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบอก   คือ ท้ายสุดจะไม่เหลืออะไรเลย  
ศาสนาพุทธเสื่อมสูญจากอินเดีย  เพราะว่านักบวชแต่งกายอย่างนี้ (ห่มผ้าเหลือง)  แยกตัวออกจากชาวบ้าน   มีสถานที่อยู่เฉพาะของตน   ถึงเวลาข้าศึกยกทัพไปล้อม  กวาดพระจนราบ   แต่พวกพราหมณ์อยู่กับครอบครัว  ทุกคนมีสภาพเหมือน ๆ  กัน แยกไม่ออก  เพราะฉะนั้น..หลังจากมุสลิมหมดอำนาจในอินเดีย  ศาสนาพราหมณ์จึงฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  แต่ศาสนาพุทธเงียบ..    
เพราะเราไปฝากความหวังไว้กับนักบวชอย่างเดียว  ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าฝากความหวังไว้กับพุทธบริษัททั้ง  ๔  หลวงปู่ขอม  วัดไผ่โรงวัว  ท่านสร้างรูปพระสงฆ์เดินนำ  โดยมีภิกษุณีที่อยู่ในสภาพนักบวชหญิง  หรืออาจจะเป็นแม่ชีก็ได้  และก็มีฆราวาสทั้งชายและหญิงช่วยกันเข็นธรรมจักรตามหลัง  นั่นคือสิ่งที่หลวงปู่แสดงให้เห็นชัด ๆ  ว่าพระพุทธเจ้าฝากกิจการพระศาสนานี้ไว้ในมือของพุทธบริษัททุกบริษัท  ไม่ใช่เฉพาะภิกษุบริษัทเท่านั้น  
นอกจากนี้  การเผยแผ่พระพุทธศาสนาสมัยก่อนและสมัยนี้ต่างกันมหาศาล  ก็เพราะว่าพระสมัยก่อนท่านเป็นพระอรหันต์  เป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง  เป็นผู้ปฏิบัติที่ได้ผลอย่างแท้จริงแล้ว  สามารถบอกหลักการตั้งแต่ต้นยันปลายได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด  ไม่มีสิ่งใดให้เคลือบแคลงในความบริสุทธิ์ของ กาย วาจา ใจ ของท่าน  คนก็ศรัทธาง่าย  แต่สมัยนี้ อย่างที่โยมเขาถามเมื่อตอนบ่าย  ว่าเขามาบอกบุญแล้วผมไม่ทำบุญ  ก็เพราะว่าหวาดระแวง  ไม่รู้ว่าพระเอาเงินไปทำบุญอย่างที่บอกหรือไม่  มาหลอกลวงเราหรือไม่  อันนั้นเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย  ฝ่ายที่บอกบุญเสียกำลังใจ  อุตส่าห์ลงทุนลงแรงเข้าไปหา  แต่เขาไม่ทำบุญด้วย  ส่วนฝ่ายที่ไม่ทำบุญ เสียโอกาสในการสร้างบุญของตัวเองไป  ถ้าหากตายเสียตั้งแต่ตอนนั้น  โอกาสที่จะทำบุญให้มากกว่านี้ก็ไม่มี  
ในเมื่อภิกษุบริษัทซึ่งเป็นผู้เผยแผ่พุทธศาสนาในปัจจุบันของเรา    ยังไม่สามารถที่ประกอบความดีเป็นที่ไว้ใจได้อย่างทั่วถึง  ทำอย่างไรที่จะให้โยมเขาเชื่อว่าสิ่งที่เราบอกนั้นเป็นความดี  ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเรากำลังเร่งทำความดี  ต่อให้ยังไม่สำเร็จก็ตาม  แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจทุ่มเทจริง ๆ  ให้คนเขาเห็น...เขาก็ศรัทธาแล้ว
เพียงแต่ว่าสภาวะในแวดวงนักบวชของเราแปรเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตรงที่ว่ากลายเป็นการแข่งกันในเรื่องของ ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  อย่างที่เมื่อเช้าพูดกับพระวัดท่าซุง  บอกว่าคุณจะเลือกเอาลูกศิษย์รวย ๆ  ก็ได้  แต่คุณแน่ใจหรือว่าเขาจะให้เราพึ่งได้ตลอด  ถึงเวลาเขาทำบุญหนัก..ใช่    ขณะที่คนจนทำบุญก็  ๕  บาท  ๑๐  บาท  แต่พอถึงเวลาคุณจะก่อสร้าง  ใครเป็นคนแบกอิฐ  แบกปูน  ใครเป็นคนแบกเสาให้เรา  พวกคุณหญิงคุณนาย   นายพลนายพันท่านจะมาแบกให้คุณหรือ ? ถ้าหากเราเลือกเฉพาะคนที่คิดว่ารวย  ทำบุญหนัก  ทำให้เรามีรายรับในชนิดที่ว่าเห็นหน้าเห็นหลังได้ เท่ากับว่าเรากำลังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งพวก   กำลังใจของเราก็ทรงพรหมวิหารเป็นอัปมัญญาไม่ได้  
ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถที่จะดึงศรัทธาคนอีกกลุ่มเข้ามาได้  เพราะว่าคนทุกคนมีความหวังดี  ปรารถนาดี ตั้งใจจะทำความดีทั้งหมด  แต่พอเข้ามาแล้ว  เขาเห็นคนนั้นทำเป็นแสน    คนนี้ทำเป็นล้าน  ตัวเองมีอยู่ ๕ บาท จะทำบุญก็อายเขา  แต่ถ้าเข้าวัดมาแล้วมีแรงงานให้เขาทำ  ปัดกวาดเช็ดถู  ล้างถ้วยล้างชาม  ทำความสะอาด  ท้ายที่สุดกระทั่งขุดหลุม  ยกเสา  ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะถนัด  แล้วก็ได้ทำในสิ่งที่เขาชำนาญ  ซึ่งคนรวยทำไม่ได้อยู่แล้ว
ทำอย่างไรที่เราจะดึงศรัทธาของคนทุกกลุ่มให้เข้าวัดอย่างสม่ำเสมอได้ เขาปรารถนาอะไร  ต้องให้มีสิ่งที่สนองต่อความต้องการเขาตรงนั้น เขาอยากได้เครื่องรางของขลังต้องมี   เขาอยากได้น้ำมนต์ต้องมี  เขาอยากสะเดาะเคราะห์ถวายสังฆทานต้องมี   อยากได้ความรู้ทางพระพุทธศาสนาต้องมี  และท้ายสุดอยากจะฝึกปฏิบัติต้องมี   
อาตมาเองก็วางแผนพัฒนาวัดไปในลักษณะแนวนี้  จึงได้บอกกับท่านมหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) ว่า  ถ้าหากห้องกรรมฐานเสร็จแล้วให้กลับวัดท่าขนุน  ไปเป็นอาจารย์ใหญ่สอนอยู่ทางโน้นบ้าง   ถึงเวลาก็หาคนทำหน้าที่แทน สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ท่านก็เดินทางเข้ามาสอนเขาในกรุงเทพฯ  มาที่บ้านสุมโนก็ว่าไป  แล้วก็มาสอนที่วัดด้วย  ไปเป็นหลักทางด้านนี้ต่อ  ถ้าเราทำอย่างนั้นได้  คนที่มาเข้าวัดทุกคนจะมีในส่วนที่ตนเองต้องการ
อย่างที่วิเคราะห์เมื่อเช้าว่า คนที่มาวัด มาด้วย ๕ ประการด้วยกัน ประการที่หนึ่ง อยากได้หวย มาเอาหวยอย่างเดียวจริง ๆ จะยืนจะนั่ง จะยืน จะนอน จะอึ จะฉี่ เขาตีเป็นหวยหมด 
 
ประการที่สอง มาเพราะอยากได้เครื่องรางของขลัง แล้วคนเหล่านี้มีเป็นจำนวนมากด้วย ต้องเรียกว่าถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
 
ประการที่สาม มาเพื่อให้ได้ชื่อว่า พระที่มีชื่อเสียงรูปนี้ เราก็เคยไปกราบมาแล้ว ไปคุยกับเขาได้ว่าเคยไปวัดนี้มาแล้ว 
 
ประการที่สี่ มาแบบโง่เซ่อ ไม่รู้ว่าเขามาทำอะไร เพื่อนลากมาก็มา มาถึงก็มาถามว่าหลวงพ่อวัดนี้ชื่ออะไร ท่านเก่งอย่างไร พวกนี้มีเยอะด้วย
 
ประการสุดท้าย มาเพราะต้องการธรรมะ หายากสุด ๆ มี ๕ เปอร์เซ็นต์หรือ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ดีใจตายแล้ว 
 
ทำอย่างไรที่คนทั้ง ๕ ประเภทนี้ พอเข้าวัดมาแล้วเขาจะได้ในส่วนที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้น..หากต่อไปเป็นเจ้าอาวาสที่ไหน คุณบริหารวัดต้องนึกถึงหลักการนี้ ต้องสามารถตอบสนองความต้องการของชาวบ้านได้ทุกรูปแบบ 
 
แต่ว่าปัจจุบันศาสนาของเราเลี้ยวผิดทาง พอเลี้ยวผิดทางก็กลายเป็นไปไขว่คว้าหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ใครจะสร้างโบสถ์ได้ใหญ่กว่า แพงกว่า ใครจะจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตแล้วได้เงินเยอะกว่า ใครจะมีรถ ยี่ห้อดีกว่า แพงกว่า ใครจะมีลูกศิษย์ใหญ่กว่า รวยกว่า และโดยเฉพาะในเรื่องของการทำบุญ เคยเตือนโยมไว้หลายท่าน ว่าถ้าเราค่อนข้างจะมีฐานะ ให้ระมัดระวังเรื่องการให้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์แก่พระไว้ 
 
อาตมาเจอมาเองมากต่อมากด้วยกัน พอถึงเวลาพระทั้งหลายเหล่านี้จะโทรตามตลอด อาตมาใช้คำว่าโทรจิก "ตอนนี้วัดมีงานนะโยม ช่วยรับเป็นเจ้าภาพผ้าป่าสักกองหนึ่ง" "ตอนนี้วัดมีงานตัดลูกนิมิต โยมจ๋า ช่วยรับเป็นเจ้าภาพมีดตัดหวายลูกนิมิตสักเล่มหนึ่งเถอะ" ราคาเป็นหมื่นเป็นแสนเลย "ตอนนี้กำลังสร้างศาลาโยม รับเป็นเจ้าภาพเสาสักต้นนะจ๊ะ" ด้วยความที่เขามาถึงที่แล้ว และตัวเองก็มีกำลังพอที่จะทำ แม้จะไม่มีความตั้งใจหรือศรัทธาอย่างแท้จริง พอโดนตื๊อมาก ๆ เข้า ก็ให้ในลักษณะซื้อรำคาญ 
 
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีแต่จะสร้างความมัวหมองให้แก่พระพุทธศาสนา คนที่จะเลื่อมใสพอเจอลักษณะอย่างนี้เข้าก็ถอยหลัง ส่วนคนที่ยังไม่เลื่อมใสก็ "อ๋อ..ที่แท้อย่างนี้เอง" ไปก็ไม่ได้อะไร แถมยังจ่ายตลอด ก็เลยหันหลังให้วัด พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า สนิมเหล็กมันเกิดจากเนื้อในของตน บุคคลที่จะทำลายพระพุทธศาสนาได้มีอย่างเดียวก็คือ พุทธบริษัททั้ง ๔ ปัจจัยภายนอกทำลายพุทธศาสนาไม่ได้หรอก
 
 
เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๒
นอกจากนี้หลวงพ่อยังพูดถึงหนังสือเย็นหิมะในรอยธรรม   ของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ อีกว่า  "จะได้เห็นว่าวิสัยทัศน์ของพระปกครองว่าจริง ๆ เป็นอย่างไร   สายตากว้างไกลแล้วยังใจกว้างอีกต่างหาก  ไม่ได้ยึดติดว่าทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับกู"
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.