PDA

View Full Version : ไปทัวร์นรกกัน วันละ ๒ ขุม


ทิดตู่
30-09-2009, 18:10
http://i398.photobucket.com/albums/pp69/tidtou/2-9.jpg

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มีน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก มีประมาณมากกว่า

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มีน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นเทพยดามีน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า

ป.ล.อย่าคิดแต่ว่ากลัว ลองไปทัวร์ดูให้แน่ใจ (ตามตำรานะครับ)

ทิดตู่
30-09-2009, 18:24
นรกมีทั้งหมด ๔๕๗ ขุม นรกขุมต่าง ๆ ที่สัตว์อุบัติเกิดในนรก มหานรก นรกขุมใหญ่ได้นามบัญญัติว่า มหานรก มีอยู่ทั้งหมด ๘ ขุมด้วยกัน ตั้งซ้อนเรียงรายกันอยู่เป็นชั้น ๆ ดังนี้

มหานรกขุมใหญ่ ๘ ชั้น

๑. สัญชีวมหานรก

สัญชีวนรก นรกที่ไม่มีวันตาย คนใจบาปหยาบช้าลามก ตายไปตกนรกขุมนี้แล้ว เขาก็จะเป็นคล้าย ๆ กับว่ามีตัวตน เป็น "กายสิทธิ์" คือไม่มีวันที่จะต้องตายกัน แม้ว่าจะได้รับการลงโทษอย่างสาหัสจนทนไม่ไหว ขาดใจตายไป ถึงกระนั้น ก็ต้องกลับมีชีวิตชีวา กลับเป็นขึ้นมารับทุกข์โทษต่อไปอีก เป็น ๆ ตาย ๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา

http://i398.photobucket.com/albums/pp69/tidtou/a4c03551.jpg

ลักษณะพื้นเป็นเหล็กหนา เผาไฟจนแดงโชน ขอบด้านข้าง ๔ ขอบ ก็เช่นกัน มองออกไปไม่แลเห็นขอบบ่อ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่จะหาที่ว่างเว้นจากไฟไม่ได้เลย ระหว่างไฟจะมีสรรพาวุธต่าง ๆ เช่น หอก ดาบ ฯลฯ สารพัดจะมี ถูกไฟเผาแดงจนมีความร้อนจัด คมจัด

สัตว์นรกที่อยู่ในนั้นจะวิ่งพล่าน เพราะเท้าเหยียบไฟ ร่างกายก็จะถูกเผาไฟติดไฟอยู่ตลอดเวลา เวลาวิ่งไปก็จะไปกระทบกับหอก ดาบ ค้อน หรืออาวุธต่าง ๆ มาฟัน แทง สับ ร้องครวญครางดิ้นเร่า ๆ แต่พอร่างกายขาดแล้ว ก็จะมาต่อติดกันใหม่โดยทันที ฟื้นมาทรมานต่อไป ไม่มีวันตาย สรุปว่ามีไฟเผากายตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา

ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในสัญชีวนรกนี้ มีประมาณ ๕๐๐ ปีนรก! ซึ่งเทียบกันกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ
๙ ล้านปีของมนุษยโลก เท่ากับวันหนึ่งกับคืนหนึ่งในนรกขุมนี้ !

ทิดตู่
30-09-2009, 18:37
๒. กาฬสุตตมหานรก

กาฬสุตต- มหานรก = นรกที่ลงโทษตามเส้นด้ายดำ มีกำแพงทั้ง ๔ ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน
เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ เขาย่อมถูกลงโทษโดยนายนิรยบาลจะจับเอาสัตว์นรกนอนลงไป เอาด้ายดำมาตีเป็นเส้นเข้าตามร่างกาย ตีจากหัวถึงท้ายบ้าง ตีตามขวางบ้าง เป็นสายบรรทัดที่ทำจากสายเหล็กที่เผาไฟจนแดงฉานเป็นกรด แล้วก็เอาเลื่อยมาเลื่อย บางทีก็เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดนรกมาเฉือน กรีดตามรอยเส้นด้ายดำร้อนจัดที่ตีเอาไว้ ไม่ให้ผิดรอย ฉะนั้น นรกขุมนี้ จึงมีชื่อว่า กาฬสุตต- มหานรก = นรกที่ลงโทษตามเส้นด้ายดำ

http://i398.photobucket.com/albums/pp69/tidtou/9e60a3ed.jpg

ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในกาฬสุตตนรกนี้ มีประมาณ ๑,๐๐๐ ปีนรก ! ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ
๓๖ ล้านปีจึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของนรกขุมนี้ !

ทิดตู่
01-10-2009, 16:17
๓. สังฆาฏมหานรก

สังฆาฏมหานรก = นรกที่บดขยี้ร่างกายสัตว์ เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษ โดยลูกภูเขาเหล็กนรกบดขยี้ร่างกาย ให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาสร่างว่างเว้น ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า สังฆาฏมหานรก = นรกที่บดขยี้ร่างกายสัตว์

นรกขุมนี้ มีกำแพงทั้ง ๔ ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน มีภูเขาเหล็ก ๒ ลูก กลิ้งไปกลิ้งมาคอยบดทับสัตว์เหล่านั้น ภูเขาเองก็เป็นเหล็กที่ถูกเผาจนแดงโชนเช่นกัน เมื่อสัตว์นรกถูกบดจนละเอียดแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่ตาย รับการทรมานต่อไป คนที่วิ่งหนีก็จะถูกนายนิริยบาลตีบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตลอดเวลา

http://i398.photobucket.com/albums/pp69/tidtou/43acdd2d.jpg

เหล่าสัตว์ในสังฆาฏมหานรกนี้ มีร่างกายวิกลวิการ ต่าง ๆ กัน และมีรูปร่างแปลกพิลึก เช่น บางตนมีหัวเป็นควายมีตัวเป็นคน บางตัวมีหัวเป็นหมา หมู เป็ด ไก่ แต่มีตัวเป็นคน เป็นต้น มีความวิปริตแห่งกายสุดที่จักพรรณนาให้ถูกต้องหมดสิ้นได้

ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในสังฆาฏนรกนี้ มีประมาณ ๒,๐๐๐ ปี ! ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้คือ
๑๔๔ ล้านปีมนุษย์ จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของนรกขุมนี้ !

ทิดตู่
01-10-2009, 16:51
๔. โรรุวมหานรก

โรรุวมหานรก = นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญคราง เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษอย่างแสนสาหัส ต้องร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา เพราะความทุกข์ทรมานจากอกุศลกรรมของตน
ในนรกขุมนี้ จะได้ยินแต่เสียงร้องครวญครางอย่างน่าสมเพชเวทนาของสัตว์นรกเป็นยิ่งนัก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า โรรุวมหานรก = นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญคราง

โรรุวมหานรก มีกำแพงเหล็ก ๔ ด้าน ไฟลุกโชน จนหาเปลวไม่ได้ ยิ่งลึกมาก ก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตรงกลางขุมจะมีดอกบัวเหล็ก กลีบเหล็กถูกเผาไฟจนแดงโชน กระแสแห่งไฟพุ่งออกจากกลีบตลอดเวลา ไม่มีนายนิริยบาล แต่กฏของกรรมบังคับให้สัตว์นรก ค่อย ๆ ก้มหัวลง ขึ้นไปยืนบนดอกบัวนั้น แล้วแหย่ขาลงไปในระหว่างกลีบ กรรมบังคับให้ตัวค่อย ๆ ก้มลง ๆ ในที่สุดก็จุ่มหัว ลงไปในโคนของกลีบดอกบัว มือทั้งสองข้างก็ยันลงไปในโคนของกลีบดอกบัว เมื่อพร้อมแล้วกลีบบัวก็งับเข้ามา เป็นกลีบเหล็ก มีความร้อนเป็นไฟแรงขนาดมองไม่เห็นเปลว และมีความคมเป็นกรด หัวจรดลงไปถึงแค่คาง มือจมลงไปถึงแค่ข้อมือ เท้าทั้งสองจมลงไปถึงแค่ข้อเท้า ดอกบัวทั้งหลายเหล่านั้นก็ทั้งบั่น ทั้งเผาให้สัตว์นรกต้องรับทุกขเวทนา เจ็บก็เจ็บร้อนก็ร้อน ถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ดอกบัวเหล็กก็รัดเข้าไป ความทุกข์ทรมานก็คงอยู่อย่างนั้นนานหนักหนาจนกว่าจะสิ้นอายุ ๔,๐๐๐ ปีตามเกณฑ์แห่งนรกขุมนี้
ดังนั้น เมื่อสัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ส่งเสียงร้องครวญคราญดังระงมไป นรกขุมนี้จึงได้ชื่อว่า โรรุวมหานรก นรกที่มีแต่เสียงร้องครวญคราง ดังนี้

ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในโรรุวนรกนี้ มีประมาณ ๔,๐๐๐ ปีนรก ! ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ
๒๓๔ ล้านปีของมนุษย์ จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของนรกขุมนี้ !

เถรี
01-10-2009, 17:00
พี่ทิดตู่ พี่ว่านรกขุมอื่นเขาจะร้องครวญครางไหม หรือขุมอื่นเขาไม่ส่งเสียงกัน หรือว่าเขาแค่เน้นตามชื่อ

ทิดตู่
01-10-2009, 17:16
พี่ทิดตู่ พี่ว่านรกขุมอื่นเขาจะร้องครวญครางไหม หรือขุมอื่นเขาไม่ส่งเสียงกัน หรือว่าเขาแค่เน้นตามชื่อ

บางขุมไม่ใช่แค่ครวญคราง ถึงขั้นเอะอะโวยวาย แต่ส่วนใหญ่โวยวายไม่ทัน โดนนายนิริยบาลเสียบเอาเสียก่อน บางขุมสบายจัดถึงขนาดร้องไม่ออก ไม่มีเสียงสักแอะ อย่างอเวจีมหานรก เป็นต้น ส่วนขุมนี้ที่ร้องครวญครางเพราะไม่ต้องมีคนคอยคุมมาก จุ่มหัว มือ เท้า โดนปั่นอย่างเดียว เลยมีเวลาร้องเสียงครวญคราง อู้อี้ ๆ โหยหวนอยู่ในกลีบบัว

ทิดตู่
01-10-2009, 17:18
แว่ว ๆ ว่า เป็นที่มาของคำว่า "อย่าเห็นกงจักร เป็นดอกบัว"

ทิดตู่
02-10-2009, 16:45
๕. มหาโรรุวมหานรก

โรรุวนรก = นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมถูกลงโทษโดยวิธีอันแสนจะทรมานเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ต้องร้องโอดโอย ครวญครางเสียงดังกระหึ่มมากมายยิ่งนัก เสียงร้องครวญครางมากมายกว่ามหานรกขุมที่ ๔ ที่กล่าวมาแล้วมากนัก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า มหาโรรุวนรก = นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย
นรกขุมนี้ มีชื่ออีกอย่างว่า ชาลโรรุวนรก = นรกที่เต็มไป ด้วยเสียงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ

นรกขุมนี้นอกจากจะมีกำแพงไฟทั้ง ๔ ด้าน ยังมีดอกบัวขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าโรรุวนรก ไฟร้อนจัด กลีบบัวมีความคมเป็นกรด วางตั้งอยู่ทั่วไป ระหว่างช่องที่ว่างอยู่จะมีแหลนหลาวปักเอาไว้ โดยเอาปลายแหลมชี้ขึ้น เผาไฟจนแดงโชน ดอกบัวนรกขุมนี้จะไม่งับแน่นมากนัก สัตว์นรกที่อยู่ในดอกบัวจะพอมีพื้นที่ให้ดิ้นร้อง ทุรนทุราย เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายร้อน และดิ้นรนจนไปโดนกลีบบัว กลีบบัวที่มีความร้อนเป็นไฟ มีความคมเป็นกรด ก็จะกัด จะบั่นให้เนื้อหนังหลุดร่วงหล่นลงมา พอเนื้อหนังหลุดร่วงหล่นลงมา ก็จะมีสุนัขนรก หรือหมานรก คอยกัดกินเนื้อหนังนั้นเข้าไป พอดิ้นไป ๆ จนเนื้อเริ่มหลุดเกือบหมด หากพลัดหล่นลงมาจากดอกบัว ด้านล่างก็จะมีหอก แหลน หลาวไฟลุกแดงคอยแทงรับ สุนัขนรกก็จะพากันไปรุมแทะทึ้งกัดกิน เจ็บปวดเข้าไปจนถึงไขกระดูก เมื่อเริ่มเกิดมีเนื้อหนังขึ้นมาใหม่อีก นายนิริยบาลผู้ใจดี ก็จะเมตตาเอาหอกแทง เสียบตัวทะลุอกบ้าง ทะลุปากบ้าง แล้วแต่ความแม่นยำของแต่ละท่าน จับส่งขึ้นไปดิ้นอยู่บนดอกบัวอีกครั้งหนึ่ง

ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในมหาโรรุวนรกนี้ มีประมาณ ๘,๐๐๐ ปีนรก ! ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกดังนี้ คือ
๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์ ! จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของนรกขุมนี้

ปราโมทย์
03-10-2009, 00:29
จำได้ว่าทั้งพระเดชพระคุณหลวงพ่อและพระอาจารย์เคยบอกว่า แค่ตกนรกขุมแรก"สัญชีพนรก" ก็ไม่มีโอกาสเจอพระพุทธเจ้าที่เหลือในกัปนี้เลยไปจนถึงองค์ที่สิบ คิดว่าตั้งแต่สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยไปจนถึงพระพุทธเจ้าอีกทั้งห้าพระองค์ในกัปหน้า ขออภัยด้วยครับหากข้อความนี้ผิดไป
อย่างไรก็ตามหนีสุดชีวิต แค่ตาย

ทิดตู่
03-10-2009, 13:56
๖. ตาปนมหานรก

ตาปนนรก = นรกที่ทำสัตว์ให้เร่าร้อน เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษ โดยวิธีการถูกย่างให้ได้รับความเร่าร้อน และนรกขุมนี้ ก็มีความเร่าร้อนเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า ตาปนนรก = นรกที่ทำสัตว์ให้เร่าร้อน

นรกขุมนี้ มีแสงเพลิงสว่างไสวมาก เป็นแสงไฟละเอียด มีความร้อนจัด สัตว์ร้องระงมเซ็งแซ่ไปหมด มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน และพื้นเป็นเหล็กร้อน แดงฉาน มีแหลนหลาวไฟลุกแดงโชนขนาดเท่าลำตาล พุ่งมาเสียบเอาสัตว์นรกแล้วเอาขึ้นตั้งไว้ พอไฟไหม้เนื้อหนังร่วงหล่นลงมา สัตว์นรกก็จะหล่นลงมาด้วย เมื่อหล่นลงมาก็จะถูกสุนัขนรกขนาดใหญ่เท่าช้าง เที่ยวไล่กัดกิน แทะจนหมดเหลือแต่กระดูก มีความทุกข์ทรมานมาก เพราะทุกข์ในนรกแม้เหลือเพียงแต่กระดูกก็ยังมีความรู้สึก เจ็บปวดทรมานเข้าไปถึงไขกระดูก แล้วก็กลับไปเริ่มต้นใหม่ โดยมีเนื้อ มีหนังกลับขึ้นมาเต็มตามเดิมอีก หากสัตว์นรกตัวใดไม่ยอมไป ก็จะถูกนายนิริยบาลเอาแหลนไปเสียบ แล้วจับมาขึ้นตั้งไว้ให้ไฟเผาได้รับทุกข์ทรมานอย่างเดิม

ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในตาปนนรกนี้ มีประมาณ ๑๖,๐๐๐ ปีนรก ! ซึ่งมีการเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ
๑๘๔,๒๑๒ ล้านปีมนุษย์ ! จึงเป็นวันหนึ่งกับ คืนหนึ่งของนรกขุมนี้

ทิดตู่
03-10-2009, 14:19
๗. มหาตาปนมหานรก

มหาตาปนนรก = นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์อันเกิดจากความร้อนแรงแห่งไฟนรกเป็นที่สุด ได้รับทุกข์เพราะความเร่าร้อนเหลือประมาณ มีความเร่าร้อนสูงกว่านรกขุมที่แล้วมากนัก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า มหาตาปนนรก = นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ

นรกขุมนี้มีกำแพงทุกด้าน มีไฟที่ความร้อนสูง คล้ายแสงสว่าง พุ่งเข้ามาจากรอบทิศ มารวมกันตรงกลาง มีภูเขาใหญ่ที่ถูกไฟร้อนจัดจนไร้เปลว เผาจนลุกแดงฉานตั้งอยู่ตรงกลางขุมนรก มีไฟพุ่งเข้าพุ่งออกเป็นเหล็กที่เผาแดง นายนิริยบาลจะบังคับให้สัตว์นรกป่ายปีนขึ้นไปบนยอดเขาไฟนรกนั้น สัตว์นรกวิ่งขึ้นไปพลาง ถูกไปเผาไปพลาง เนื้อหนังก็ถูกเผาจนละลาย หลุดร่วง ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส พอไปใกล้ถึงยอดก็จะทนไม่ไหว ร่วงหล่นลงมา ก็จะถูกแหลนหลาวที่ปักเอาไว้โดยรอบแทงเข้า เมื่อหล่นจากแหลนหลาวนั้นร่างก็จะกลับมาเต็มตามเดิม แล้วถูกไฟเผาตามเดิม นายนิริยบาลก็จะมาไล่ให้ปีนขึ้นไปบนยอดเขาต่อไปอีก

ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในมหาตาปนมหานรกนี้ มีประมาณครึ่งอันตรกัป ! ซึ่งนับเป็นเวลาที่นานไม่ใช่น้อยเลย !

ทิดตู่
03-10-2009, 16:59
๘. อเวจีมหานรก

อเวจีนรก = นรกที่ปราศจากคลื่น คือความบางเบาแห่งความทุกข์ เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษอย่างหนักที่สุด ไฟมีความร้อนที่สุด ระหว่างเวลาแห่งเปลวไฟและความทุกข์ไม่มีว่างเลยแม้แต่สักนิด ในนรกนี้ไม่มีการหยุดพักแม้แต่สักชั่วระยะเวลาหนึ่ง สัตว์นรกต้องได้รับความทุกข์อย่างหนักอยู่เสมอตลอดเวลา ไม่ใช่บางคราก็หนักบางคราก็เบาเหมือนนรกขุมอื่น ๆ เพราะฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า อเวจีนรก = นรกที่ปราศจากคลื่น คือความบางเบาแห่งความทุกข์

นรกขุมนี้ มีความพิเศษกว่าทุกขุม คือ ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ กระดูกแดงฉาน เนื่องจากถูกไฟเผาจนสุก ถูกให้ยืนกางแขนกางขา มีกำแพงปิดเฉพาะตัวทั้ง ๖ ทิศ มีหอกแทงทะลุตรึงไว้ทั้งหมด จากบนลงล่าง ซ้ายทะลุขวา หน้าทะลุหลัง หลายสิบเล่ม จนไม่สามารถจะขยับได้เลยแม้แต่น้อย ถูกไฟละเอียดที่มีความร้อนสูงแบบมองไม่เห็นเปลวเผาอยู่ตลอดเวลา เห็นแต่กระดูกแดงฉาน ถูกปักด้วยหอก แหลน หลาว นับหลายสิบเล่มที่ถูกเผาจนแดงฉาน ต้องทนทุกข์ทรมานในขณะที่ไม่มีโอกาสได้หยุดพัก หรือแม้แต่จะส่งเสียงร้อง หรือดิ้นรนเพื่อความบรรเทาจากทุกขเวทนาได้เลยแม้สักน้อยนิด เนื่องจากมีวิบากอันเป็นอกุศลกรรมสนองไว้ ถึงแม้ร่างกายเลือดเนื้อจะไหม้หมดไป เหลือแต่โครงกระดูกที่ถูกแผดเผาจนแดงฉานอยู่ตลอดเวลา แต่สัตว์นรกก็หาได้ตายลงไป หรือคลายจากทุกขเวทนาไม่ กลับได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ตลอดเวลา อยู่ทุกขณะจิต ในระหว่างที่รับผลจากวิบากกรรม

นรกขุมนี้ นอกจากจะรองรับสัตว์นรกผู้ที่มีบาปหนักหนาแล้ว ยังเป็นที่รองรับบุคคลที่กระทำอนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก ๕ อย่าง ได้แก่
๑. ฆ่าบิดา
๒. ฆ่ามารดา
๓. ฆ่าพระอรหันต์
๔. ทำพระพุทธเจ้าให้ถึงห้อพระโลหิต
๕. ทำสงฆ์ให้แตกกัน

ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในอเวจีมหานรกนี้ มีประมาณ ๑ กัป ! ซึ่งนับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่าบรรดามหานรกทั้งหมด !

ทิดตู่
07-10-2009, 12:23
เพิ่งจะมาบอกหลักเกณฑ์ในการสอบคัดเลือกเข้าแต่อเวจีมหานรก
ขุมก่อน ๆ ละครับ มีหลักเกณฑ์คัดเลือกอย่างไร กรุณาบอกไว้เป็น
ธรรมทานแก่ผู้สนใจเข้าประกวดด้วยซิครับ

หลักเกณฑ์อันเป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องลงไปสู่มหานรกในขุมต่าง ๆ นั้น มีการละเมิดในกรรมบถ ๑๐ เป็นเหตุสำคัญครับ
มหานรกทั้ง ๘ ขุมนี้ จะยังไม่แยกแยะประเภทของบาป พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเรียกว่าเป็น "นรกแป๊ะเจี๊ยะ" คือ สัตว์นรก หากผ่านการพิจารณาจากท่านลุงพญายมราชมาแล้ว ไม่สามารถระลึกถึงความดีใด ๆ ได้เลย เพราะผลแห่งอกุศลกรรมหนักกว่า ในชีวิต คิด พูด ทำเรื่องของบุญกุศล มีสัดส่วนน้อยกว่าบาปอกุศล อย่างนี้ท่านลุงพญายมก็ช่วยไม่ได้จำต้องปล่อยให้ไปนรกตามกฎของกรรม
เมื่อผ่านขั้นตอนนั้น สัตว์นรกจะต้องไปเสวยทุกข์ในมหานรกทั้ง ๘ นี้ ขุมใดขุมหนึ่ง หรือต้องผ่านหลาย ๆ ขุม แล้วแต่ว่ามีกรรมหนักแค่ไหน ไม่แยกแยะว่าทำผิดอะไร หากบาปมากก็ลงไปลึกถึงอเวจีมหานรก บาปน้อยหน่อยก็ลงขุมที่ตื้นขึ้นมาหน่อย
ดังนั้น เกณฑ์ในการเข้าไปเสวยวิบากในมหานรกทั้ง ๘ นี้ มีการละเมิดกรรมบถ ๑๐ เป็นสำคัญ เอาความหนักเบาของบาปอกุศลกรรมเป็นตัวกำหนดที่ไปครับ
ป.ล.โดยส่วนใหญ่มักจะพบว่าไปสตาร์ทที่อเวจีมหานรกเสียมากครับ เพราะคนที่ทำชั่วแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่ที่พบก็เต็มที่เลยครับ

ทิดตู่
07-10-2009, 13:49
เอาล่ะครับ มาว่ากันต่อ ถ้าท่านใดอยากไปลงมหานรกก็ละเมิดศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ให้มาก จะได้ไปสัมผัสชัด ๆ ทุกขุม กรรมบถ ๑๐ มีอะไรบ้าง ขออนุญาตมาบอกกล่าวไว้อีกครั้ง เพื่อความแน่ใจว่าท่านทั้งหลายจะได้ปฏิบัติไม่ผิดพลาด กรรมบถ ๑๐ แยกเป็น กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ รวมกันเป็น ๑๐ อย่าง ดังนี้
กายกรรม ๓ (กรรมทางกาย)
๑. ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำร้ายทำลายชีวิตให้ตกไปเป็นปกติ อยากไปนรกก็ทำให้มาก
๒. ลักทรัพย์ นำเอาสมบัติของผู้อื่นที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ อยากไปลึกขึ้นอีกนิด ก็หัดทำตนเป็นชาวอีหยิบเข้าไว้
๓. ประพฤติผิดในกาม ลูกเขา เมียชาวบ้าน หลานคนอื่น บุคคลที่มีผู้ปกครอง อยากมันส์ต่อในนรกก็สนุกต่อไปโดยไม่ต้องยั้งคิด ลงนรกเมื่อไรก็จะสนุกจนลืมไม่ลง แถมจะไม่มีเวลามานั่งคิดว่า "ตูไม่น่าทำเลย" เพราะจะไม่มีเวลาหยุดพักจากความทุกข์ในนรกแม้เพียงชั่วอึดใจเดียว
วจีกรรม ๔ (กรรมทางวาจา)
๔. พูดโกหก อยากไปนรก พูดโกหกเข้าไว้ เอาตัวให้รอดก่อนในปัจจุบัน แล้วค่อยไปรับผลของกรรมในนรก (คุ้มฉิบหา...)
๕. พูดส่อเสียด เบียดเบียน เสียดแทงบุคคลอื่นให้เจ็บช้ำน้ำใจด้วยวาจา ทำให้มาก จะได้ไปโดน "เสียบแทง" บ้าง ด้วยของแข็ง เช่น หอก แหลน หลาว สบายจะตายชัก!
๖. พูดคำหยาบ วาจาหยาบคาย ทำให้บุคคลอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ ก็ทำให้มาก ไม่ต้องเสียดแทง ด่ากันตรง ๆ อย่างไร้เหตุผล ไม่มีความเมตตา ปรารถนาเพียงแค่ว่า อยากให้บุคคลอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ ลงนรกไปสบาย... ไม่ต้องกลัวว่าจะโดน "เสียบแทง" แต่เพียงอย่างเดียว มีโปรโมชั่นพิเศษ แถม "ค้อนเพลิง" ทุบให้ด้วย ทุบกันตรง ๆ แทงกันตรง ๆ ไม่ต้องกลัวถูก "แทงข้างหลังทะลุไปถึงหัวใจ"
๗. พูดเพ้อเจ้อ คำพูดไร้สาระ ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ ทำให้ทั้งคนพูดและคนฟังขาดสติ หลงใหลไปกับเรื่องต่าง ๆ หาสาระอะไรไม่ได้ เป็นปัจจัยให้กิเลสคนพูด และกิเลสคนฟังกำเริบขึ้น พูดให้มากเข้าไว้ อันนี้สบาย... ลงไปทั้งโดนแทง โดนทุบ โดนไฟ แบบรอบตัว โดยที่ตัวผู้โดนเองก็ยังไม่รู้ตัวว่า "มาจากทางไหนบ้างล่ะหว่า" เพลิดเพลินกันไป
มโนกรรม ๓ (กรรมทางความคิด)
๘. คิดโลภเข้าไว้ อยากจะได้ของเขาอยู่ตลอดเวลา เห็นใครมีอะไรไม่ได้อยากได้ของเขา (ไม่ใช่อยากได้แบบเขาแล้วเราไปดิ้นรนหามาด้วยตนเองในแนวทางของสัมมาอาชีวะนะครับ) อันนี้อยากได้ของเขาอยู่ถ่ายเดียว ตนเองไม่ลงมือทำ พยายามด้วยตนเอง ปล่อยให้มีแต่ความโลภครอบงำ อันนี้ก็สบาย... ลงนรกไปได้ทุกอย่างครบเซ็ต ไม่ต้องนึกอยาก หอก แหลน หลาว ไฟ ค้อน สมบัติในนรกจะประเคนมาให้ท่านแบบไม่ต้องนึกอยากอีกต่อไป
๙. พยาบาทผูกไว้ให้มาก ใครทำให้โกรธ ให้ไม่พอใจ จำเอาไว้อย่าไปลืม ตายไปได้ลงนรก ท่านจะได้สะใจกับความเจ็บปวดทรมาน แต่ไม่ใช่ความทรมานของบุคคลที่เราผูกพยาบาท แต่จะเป็นความทรมานของตัวท่านเอง ท่านจะทรมานเสียจนไม่มีเวลาที่นึกอยากจะผูกพยาบาท ไปโกรธใครเขาอีก
๑๐. เป็นมิจฉาทิฐิ เห็นผิดไปจากทำนองคลองธรรม ประเภทเขาว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้เป็นกุศล เราไม่ไปเห็นด้วยกับเขา อย่าไปเห็นดีด้วย ต้องมองในทางตรงข้าม พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ ท่านว่า อย่างนี้ดีจงทำ เราอย่าไปเชื่อ อย่าไปทำ ต้องทำในทางตรงกันข้ามให้มาก ดื้อให้มาก เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราฉลาดน้อย เชื่อคนง่าย ก็คิดตรงกันข้าม หรือคิดให้เกินคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้นั่นละเป็นดี หากทำได้อย่างนี้ท่านจะสบายมาก... เมื่อท่านตายไปได้ลงนรก ท่านจะพบความจริงอันประเสริฐทันที นั่นก็คือ ท่านจะทราบด้วยตนเองว่า นรกนั้นร้อนจริง ไฟก็ไฟจริง หอก แหลน หลาว สรรพาวุธต่าง ๆ ก็ของจริง ความทุกข์ทรมานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายของท่านทั้งหมดล้วนเป็นของจริง ดีไม่ดี ถ้าตนเองเป็นมิจฉาทิฐิแล้ว ไปบอกไปสอนบุคคลอื่นให้เป็นมิจฉาทิฐิด้วย ท่านอาจจะเป็นผู้โชคดีได้ที่นั่งตีตั๋วชั้นพิเศษ ไปสู่นรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่ง คือ "โลกันตมหานรก" ด้วย

ทิดตู่
08-10-2009, 13:03
สำหรับการทัวร์มหานรก คือ นรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุมก็ผ่านไป แต่ยังก่อนครับ นรกนั้นยังกว้างใหญ่กว่านี้มาก เนื่องจากเมื่อคนทำชั่วมาก นรกก็จะมีที่ว่างให้สัตว์นรกตกลงไปไม่ต้องเบียดเสียดกัน
สำหรับมหานรกทั้ง ๘ ขุมนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่า เป็น "นรกแป๊ะเจี๊ยะ" ที่เมื่อบุคคลละเมิดศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ตายแล้วผ่านสำนักท่านลุงพระยายมราช จะไปลงที่ขุมไหนขึ้นอยู่ที่ความหนัก เบาของอกุศลเป็นสำคัญ หนักลงลึก เบาลงตื้น แต่อย่างไรต้องลงแน่ เป็นนรกแบบเหมาโทษรวม ๆ ยังไม่แยกประเภทของบาป (เนื่องจากบาปของมนุษย์มีมาก แต่อย่างไรไม่พ้นศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ เป็นฐาน)
ส่วนนรกที่แยกประเภทของบาปนั้น ยังมีอีกต่างหากครับ ๑๐ ขุม อันจะได้พาทุกท่านทัวร์นรกกันต่อไป หนทางยังอีกยาวไกล ค่อย ๆ ไปไม่ต้องรีบครับ...

ทิดตู่
08-10-2009, 13:24
ทีนี้เรามาทัวร์กันต่อถึงนรกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งผมเรียกว่า "นรกผ่านด่าน" หรือ "นรกผ่านประตู" กล่าวคือ เมื่อสัตว์นรกรับผลของบาปกรรมทำให้ทรมานจากมหานรกจนสิ้นอายุกาลตามกำหนดแล้ว จะต้องเลื่อนไปรับบาปผลของอกุศลกรรมในนรกขุมอื่น ๆ ต่อ สัตว์นรกจะต้องผ่าน "ขุมนรกผ่านด่านทั้ง ๔ ขุม" เป็นนรกขุมย่อย ๆ ตั้งอยู่ระหว่างมหานรกแต่ละขุมในทิศทั้ง ๔ ไม่ว่าสัตว์นรกพ้นออกจากมหานรกขุมใด ทางทิศไหนก็ตาม จะไปเสวยทุกข์ต่อในนรกขุมอื่น ก็จำจะต้องผ่านนรกขุมย่อยทั้ง ๔ นี้อยู่ร่ำไป กล่าวคือ ผ่านนรกแป๊ะเจี๊ยะมาแล้ว จะผ่านไปได้ต้องมาเจอนรกผ่านด่านอีก ๔ ขุมเป็นของแถม

ทิดตู่
08-10-2009, 13:56
นรกผ่านด่านทั้ง ๔ ขุมนี้ รวมเรียกกันว่า "อุสสุทนรก"
เมื่อสัตว์นรกพ้นวิบากกรรมจากมหานรกขุมใดขุมหนึ่งออกมาได้ เนื่องจากหมดสิ้นการใช้เวรใช้กรรมในมหานรกขุมนั้น ๆ สัตว์นรกก็จะพบทางออกมาจากมหานรกขุมนั้น แล้วจึงวิ่งหนีออกมา ในขณะที่หนีออกมา นายนิริยบาลก็มิได้เข้าควบคุมขัดขวางแต่ประการใด ยังคงปล่อยสัตว์นรกให้ออกไปแต่โดยดี หากสัตว์นรกตนใดไม่ยอมไป (ไม่ค่อยจะมีนัก ส่วนใหญ่พอเจอทางออกได้ก็เผ่นแน่บ!) นายนิริยบาลก็จะเอาหอก แหลน หลาว แทงขับไล่ให้ออกไปจากนรกขุมนั้น ๆ ไปสู่อุสสุทนรกทั้ง ๔ ขุมต่อไป ไม่ว่าสัตว์นรกจะออกไปในทิศทางใด ทิศทางนั้นก็จะมีนรกทั้ง ๔ ขุมย่อย ๆ นี้รออยู่แล้ว

อุสสุทนรกขุมที่ ๑
คูถนรก

เมื่อสัตว์นรกหลุดออกมาจากมหานรก ก็จะเดินทางมาพบกับหลุมคูถขนาดใหญ่ เป็นบ่อคูถขนาดใหญ่มหึมามองไปไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นหลุมคูถที่เป็นถ่านร้อนประดุจลาวา แต่มีความร้อนแรงกว่าลาวาในมนุษย์โลกนี้หลายล้านเท่า
เมื่อสัตว์นรกพ้นออกมาจากมหานรก ด้วยความที่ตนอยากจะหนีไปให้พ้นจากมหานรกขุมนั้น ๆ ไปให้ไกล เมื่อมาพบหลุมคูถไฟ ก็หลับหูหลับตากระโดดลงไปในหลุมคูถนั้น ด้วยสำคัญว่าไฟในหลุมคูถ คงจะไม่ร้อนกว่าไฟในมหานรก
แต่เมื่อสัตว์นรกจมลงไปในหลุมคูถนั้นแล้วจึงได้ทราบว่าตนนั้นสำคัญผิดไป เนื่องจากความร้อนของไฟและก้อนคูถเหล็กแดงนั้น มีความร้อนแรงจัด มีความร้อนเป็นกรด เมื่อกระโดดลงไปแล้ว เลือดเนื้อร่างกายก็ถูกเผาหลอมละลายให้ได้รับความทุกข์ทรมานจนเหลือแต่กระดูก แต่ก็หาได้ตายไม่ สัตว์นรกยังคงได้รับผลของทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสต่อเนื่องไปในทุกขณะจิต
เมื่อสัตว์นรกคิดที่จะว่ายกลับมาขึ้นที่ฝั่งเดิม ก็จะพบว่ามีนายนิริยบาลยืนคอยอยู่แล้ว นายนิริยบาลก็จะเอาหอก แหลน หลาวแทงขับไล่สัตว์นรกให้ว่ายฝ่าไปข้างหน้า ไปให้สุดหลุมคูถสุดลูกหูลูกตานั้น เมื่อสัตว์นรกทนกับความทรมานไม่ไหวจำต้องว่ายไปข้างหน้า ในระหว่างฝ่าไปภายในหลุมคูถนั้น ก็จะมีหนอนปากเหล็กขนาดยักษ์ มีฟันเป็นเขี้ยวเหล็กร้อน มีความคมเป็นกรด คอยกัดกินสัตว์นรกที่ว่ายฝ่าไปในหลุมคูถนั้นให้ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับว่านอกจากจะได้รับความทรมานจากความร้อนอย่างแสนสาหัสแล้ว ยังต้องพบกับความทุกข์ทรมานจากเหล่าหนอนปากเหล็กที่คอยกัดกินอยู่ตลอดระยะเวลาที่ต้องว่ายฝ่าไปให้สุดฝั่งอันไกลสุดลูกหูลูกตานั้นด้วย

ทิดตู่
08-10-2009, 14:27
อุสสุทนรกขุมที่ ๒
กุกุกฬนรก (นรกหลุมขี้เถ้า)

เมื่อสัตว์นรกแหวกว่ายผ่านหลุมคูถเหล็กไฟลาวาเหล็กแดง และเหล่าหนอนปากเหล็ก มาได้จนที่สุดแห่งนรกขุมนั้นแล้ว สัตว์นรกก็จะมาพบกับสถานที่ใหม่ เป็นสถานที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าไฟมีความแรงและเหนียวเหมือนใยเหล็ก สูงท่วมศีรษะมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา
เมื่อสัตว์นรกขึ้นมาจากคูถนรกใหม่ ๆ ด้วยความปรารถนาจะดับไฟและพิษของความร้อน พอมาเจอขี้เถ้า ต่างก็วิ่งเข้าไปในกองขี้เถ้านั้น หวังจะใช้ขี้เถ้าเป็นเครื่องดับไฟ ดับความร้อน ดับความทุกข์ทรมานจากการที่เนื้อหนังหลุดลุ่ยเป็นแผลไปทั้งหมด
แต่เมื่อสัตว์นรกตกลงไปในหลุมขี้เถ้าไฟนั้น พลันพบว่า ขี้เถ้าทั้งหมดนั้นกลับกลายเป็นขี้เถ้าเหล็กแดงเหนียว คือมีความเหนียวมาก เกาะกันเป็นเส้นใย เมื่อสัตว์นรกตกลงไปก็แทบที่จะเคลื่อนไหวขยับร่างกายไม่ได้ เหมือนสัตว์ที่ติดอยู่ในใยแมงมุมที่มีความละเอียดและเหนียวมาก แต่ใยขี้เถ้านี้ นอกจากจะมีความเหนียวมากแล้ว ยังมีความร้อนมาก ร้อนเป็นกรดไม่น้อยไปกว่านรกขุมที่ผ่าน ๆ มา แดงฉาน แถมมีความละเอียดสูง ห่อหุ้มสัตว์นรกเอาไว้จนมิดศีรษะ กัดกร่อน แผดเผาให้สัตว์นรกได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสไปจนกว่าจะฝ่าข้ามพ้นขี้เถ้าเหนียวทั้งหลายเหล่านี้ไปจนถึงสุดขอบของขุมที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
แต่หากสัตว์นรกคิดที่จะย้อนกลับมาก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะที่นั่นจะมีนายนิริยบาล พร้อมสรรพาวุธครบมือ คอยรอต้อนรับท่านอยู่แล้ว (มาไวยิ่งกว่าประกัน)

ทิดตู่
08-10-2009, 15:01
เอ... ท่านทิดครับ นึกสงสัยว่าปลาทองปากเหม็นนั่น หลุดอเวจีมาเกิดได้อย่างไรนะครับ ทั้งที่ยังไม่หมดโทษ ตายแล้วก็ยังจะกลับไปรับโทษในอเวจีต่อ

.

สุวรรณมัจฉา หรือสมัยเป็นมนุษย์มีนามว่าท่านกปิลภิกขุ ด้วยความที่ตอนตนเองเมื่อบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา ศึกษาแต่พระปริยัติ คือ ท่องจำแต่วิชาความรู้ ไม่ได้ศึกษามาปฏิบัติ แล้วนำความรู้นั้น ๆ ไปสั่งสอนคนให้มีความเห็นผิด เป็นมิจฉาทิฐิ ตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยกิเลสของตน คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า แถมยังติเตียนพระอริยเจ้า และพระอรหันต์
เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ ก็ตกไปสู่อเวจีมหานรกสิ้นระยะเวลากาลนาน ผ่านพ้นพระพุทธเจ้าไปหลายพระองค์ จนท้ายที่สุดได้มาเกิดในสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มาเกิดเป็นปลาที่มีเกล็ดเป็นสีทองสวยงามอร่ามตา แต่มีกลิ่นปากที่เหม็นอย่างรุนแรง ครั้นมีเหตุชาวบ้านจับปลาตัวนี้ได้จึงไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารจึงนำความสงสัยเรื่องของปลาตัวนี้ ที่มีร่างกายสวยงาม แต่มีกลิ่นปากอย่างรุนแรง ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสถึงบุพกรรมของปลาตัวนี้ในสมัยที่เกิดเป็นท่านกปิลภิกขุให้พระเจ้าพิมพิสารฟัง ดังที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น (ไปหาฟังได้ในเสียงธรรมคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ในชุดวินัยของพระม้วนแรก ๆ ได้ครับ)
ความเห็นส่วนตัวนะครับพี่คนเก่า
ท่านกปิลภิกขุ เสวยกรรมหนักในอเวจีมหานรก ไม่ได้พบพระพุทธเจ้าตั้งหลายพระองค์ สมัยก่อนกัปหนึ่ง บางครั้งมีพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาตรัสรู้บางคราพระองค์หนึ่งบ้าง บางคราสองพระองค์บ้าง
นี่ผ่านมาหลายพระองค์ ก็คาดว่าคงจะผ่านนรกมาไม่ใช่น้อยเหมือนกันครับ (หลายกัป) แต่ก็ยังไม่หมดกรรมอีก (โทษหนักจริง ๆ)
ในกรณีนี้ ก็ทำให้เห็นเรื่องของบุญครับ
ผลของบุญแม้จะมีปริมาณน้อย แต่บุญเป็นชื่อของความดี สิ่งดี ๆ ที่เราทำอันเรียกว่าบุญนั้น ทำแล้วก็ไม่ได้หายไปไหน ที่บางคนชอบบ่นว่า "ทำดี แล้วไม่ได้ดี" อยากจะให้ดูกรณีนี้ครับ นำไปพิจารณา
ท่านกปิลภิกขุ ถึงแม้จะมีบาปหนามาก จนอานิสงส์ที่ท่านศึกษาธรรมด้วยความตั้งใจในเบื้องต้นอย่างแตกฉาน และสั่งสอนธรรมให้บุคคลอื่น ๆ ได้ดีกันก็มากในช่วงแรก ๆ (ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากนะครับ) ยังไม่สามารถส่งผลให้ท่านไปในสถานที่ ที่เป็นสุขได้ เพราะอกุศลกรรมหนักกว่า แต่ผลบุญก็ยังไม่ได้หายไปไหน รอส่งผลเมื่ออกุศลเบาบางลงไป
เมื่ออกุศลเบาบางลงไปบ้าง สบโอกาส ถึงวาระ ผลบุญต่าง ๆ แม้เพียงเล็กน้อยก็จะคอยให้ผล ส่งผลทันที คอยฉุดดึง โอบอุ้ม ค้ำชู ประคับประคอง ให้ผู้ที่ทำบุญนั้น ๆ ได้รับผลคือความสุขในทันทีที่ถึงวาระที่กุศลจะสนองได้
คงจะแบบท่านกปิลภิกขุ ที่เมื่อบาปหนักกว่าจนบุญยังไม่สามารถที่จะสนองได้ เมื่อบาปเบาบางลงไปบุญก็ยังให้ผลได้มาหยุดพักหอบหายใจโดยมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก่อน พอบุญส่งผลให้ได้รับความสุขก่อนตามวาระและอานิสงส์ของบุญแล้ว สุดท้าย ก็ต้องไปรับผลแห่งวิบากอกุศลกรรมต่อไปอีก

วาโยรัตนะ
09-12-2009, 08:55
ว่าแต่"ทิดตู่"รับจัดทัวร์หรือเปล่าครับ ขอแบบทัวร์เหมา สามวันสองคืน

ทิดตู่
09-12-2009, 14:29
พี่ทิดครับ ขอทราบรายละเอียด "โลกันตนรก" ครับ ไม่ทราบว่านรกขุมนี้นั้นต้องทำความผิดแบบไหนครับ ที่สงสัยเพราะว่าขนาดเทวทัตยังอยู่แค่อเวจีมหานรกเอง (ไม่ได้สงสัยเพื่อเตรียมตัวไปอยู่เองหรอกครับ อิอิ) และพอมีตัวอย่างผู้ที่เราพอจะรู้จักกันที่ยังอยู่ที่โลกันตนรกหรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ

อยากลงไปอยู่นรกเย็น ๆ ก็ต้องทำความเลวแบบใจ (เลือด) เย็น ๆ ครับ
โลกันตนรก เป็นสถานที่รองรับสัตว์นรกจำพวกคนเนรคุณ อกตัญญู ทุบตีเบียดเบียนพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ทำบาปเป็นนิตย์ในชนิดที่เรียกว่าอาจิณกรรม บิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตนเองเป็นมิจฉาทิฐิไม่เพียงพอ ไปหลอกล่อบุคคลอื่นให้เป็นมิจฉาทิฐิ คือมีความเห็นผิดมืดบอดไปด้วย
ทั้งหมดนี้ ทำไปโดยไม่รู้สึกละอายแก่ใจ ไร้ซึ่งหิริ และโอตตัปปะ
ด้วยการทำความเลวแบบใจเย็นเช่นนี้ จึงต้องไปเสวยทุกข์ในสถานที่มืดเย็นอย่างโลกันตมหานรก ซึ่งเป็นนรกที่ต้องรับทุกข์อย่างแสนสาหัส สิ้นกาลนาน
-ส่วนมีใครที่เรารู้จักบ้างที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ขุมนั้น อันนี้ไม่ขอพยากรณ์ ขอให้สังเกตปฏิปทาในยามที่เขามีชีวิตอยู่ก็แล้วกัน ว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณ ทำบาปเป็นอาจิณกรรม เป็นมิจฉาทิฐิ บิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ทำให้บุคคลอื่น ๆ เป็นมิจฉาทิฐิไปด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่ โดยส่วนตัวผมว่า อย่างไรก็ไม่พ้น บุคคลทำกรรมเช่นไร ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นนั้นครับ

ว่าแต่"ทิดตู่"รับจัดทัวร์หรือเปล่าครับ ขอแบบทัวร์เหมา สามวันสองคืน

ไว้จะเชิญทิดรัตน์ลงไปเป็นไกด์นะครับ :onion_eiei:

ครูวพิตร์
03-08-2010, 11:22
คุณทิดตู่ค่ะ สวัสดีแบบไทยก่อนนะคะ ดิฉันยังไม่ได้เป็นชาวพุทธเต็มตัว คือเป็นพุทธในทะเบียนบ้าน เพราะพ่อแม่ใส่ให้ เติบโตขึ้นมาแบบคนที่ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองยังไม่ได้พิสูจน์ชัดด้วยตนเอง จึงจัดตนเองเป็นคนยังไม่มีศาสนา แต่ศรัทธาคำสอนในการปฏิบัติเพื่อความสงบสุขของพระพุทธเจ้ามาก และคำสอนดี ๆ ของลัทธิอื่น ๆ ในหลาย ๆ ข้อด้วย มีความอยากนะที่จะเป็นคนดีและมีความสุขและเป็นประโยชน์กับสรรพสิ่ง สิ่งที่ข้องใจมากที่สุดเกี่ยวกับศาสนาพุทธคือ เรื่องสวรรค์และนรกค่ะ คือดิฉันยังไม่เชื่อค่ะว่ามีจริง ๆ ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมากที่สุดของชาวพุทธ แต่จะพิสูจน์อย่างไรได้ และคำบอกเล่าของผู้อื่น ๆ ดิฉันก็เคารพนะคะ แต่อย่างไรก็ยังไม่เชื่อ ( ด้วยความเคารพค่ะ ) และเรื่องสวรรค์นรกนี่เองที่ทำให้ดิฉันไม่กล้าบอกว่าตนเองเป็นชาวพุทธ เพราะยังไม่เชื่อ มีคำถามดังนี้ค่ะ

๑. มีวิธีพิสูจน์เรื่องนี้ว่ามีจริงหรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้าง
๒. ดิฉันเชื่อเรื่องผีแล้ว เคยไม่เชื่อมาก่อนแต่เคยประสบแล้วด้วยตนเองจึงเชื่อ และยังมีข้อสงสัยอีกมากในเรื่องนี้
๓. โลกของผี เปรต นรก สวรรค์ มนุษย์ต่างดาว อยู่คนละมิติใช่หรือไม่
๔. ดิฉันเชื่อว่าในดวงดาวอื่น ๆ ที่ห่างไกลโลก ( หรืออาจใกล้แต่ต่างมิติ) มีแน่นอนและมีมนุษย์ต่างดาวหลากหลายสายพันธุ์ในดาวต่าง ๆ ด้วย และนรกนี้ เป็นสถานที่รองรับการทำโทษกับมนุษย์โลกเท่านั้นหรือค่ะ มนุษย์จากดาวดวงอื่น เป็นอย่างไร มีสวรรค์หรือนรกขุมอื่น สำหรับพวกเขาหรือไม่
๕. มนุษย์โลกที่ไม่ใช่ชาวพุทธ ต้องร่วมนรกหรือสวรรค์เดียวกับชาวพุทธหรือไม่

หากคุณทิดตู่จะกรุณาตอบก็จะเป็นพระคุณ หากตอบไม่ได้ดิฉันคงต้องเก็บข้อสงสัยไปถามผู้อื่นต่อไป เพราะเป็นคำถามแห่งชีวิตของดิฉัน

ขอพระขอบคุณล่วงหน้าในความกรุณาค่ะ

ครูวพิตร์

บทเพลงใบไม้ร่วง
03-08-2010, 12:57
แล้วมีปัจจัยใดที่จะทำให้สัตว์นรกหมดอายุขัยลงก่อนกำหนดวาระบ้างไหมครับ ถ้าไม่มีแสดงว่าท่านใดลงนรกแล้วก็ต้องอยู่จนครบวาระทุกท่านอย่างนั้นหรือครับ
แล้ว ๑ วินาทีในนรก กับ ๑ วินาทีบนโลกมนุษย์ เข็มวินาทีกระดิกเท่ากันไหมครับ ถ้าตรงกันเราเอานาฬิกา ๒ เรือนไปทดสอบให้ท่านทิดจับเวลาดูสมมุติท่านทิดจับเวลาอยู่ที่ขุมนรกแค่ ๑ นาที แล้วให้อีกคนจับเวลาอยู่บนโลกมนุษย์ ๑ นาทีเท่ากันแล้วลองท่านทิดตู่โทรมาบอกว่าครบ ๑ นาทีในนรกแล้ว แล้วคนที่อยู่บนโลกมนุษย์มันจะเป็นสภาพอย่างไรครับตอนนั้น

คนเก่า
03-08-2010, 15:09
อยากลงไปอยู่นรกเย็น ๆ ก็ต้องทำความเลวแบบใจ (เลือด) เย็น ๆ ครับ
โลกันตนรก เป็นสถานที่รองรับสัตว์นรกจำพวกคนเนรคุณ อกตัญญู ทุบตีเบียดเบียนพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ทำบาปเป็นนิตย์ในชนิดที่เรียกว่าอาจิณกรรม บิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตนเองเป็นมิจฉาทิฐิไม่เพียงพอ ไปหลอกล่อบุคคลอื่นให้เป็นมิจฉาทิฐิ คือมีความเห็นผิดมืดบอดไปด้วย
ทั้งหมดนี้ ทำไปโดยไม่รู้สึกละอายแก่ใจ ไร้ซึ่งหิริ และโอตตัปปะ
ด้วยการทำความเลวแบบใจเย็นเช่นนี้ จึงต้องไปเสวยทุกข์ในสถานที่มืดเย็นอย่างโลกันตมหานรก ซึ่งเป็นนรกที่ต้องรับทุกข์อย่างแสนสาหัส สิ้นกาลนาน
-ส่วนมีใครที่เรารู้จักบ้างที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ขุมนั้น อันนี้ไม่ขอพยากรณ์ ขอให้สังเกตปฏิปทาในยามที่เขามีชีวิตอยู่ก็แล้วกัน ว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณ ทำบาปเป็นอาจิณกรรม เป็นมิจฉาทิฐิ บิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ทำให้บุคคลอื่น ๆ เป็นมิจฉาทิฐิไปด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่ โดยส่วนตัวผมว่า อย่างไรก็ไม่พ้น บุคคลทำกรรมเช่นไร ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นนั้นครับ



ไว้จะเชิญทิดรัตน์ลงไปเป็นไกด์นะครับ :onion_eiei:

จากกระโถนข้างธรรมาสน์
...
....
ถาม : ปัจจุบันยังมีคำสอนของพระพุทธองค์ที่อธิบายว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง-นิพพานมีสภาพสูญ ต้องการพระนิพพานเพื่อเข้าสู่ความดับ สูญของวิญญาณ ในขณะเดียวกันก็มีผู้ฟังและผู้ศึกษาเข้าใจว่าเป็นแบบ นั้น คนที่เข้าใจผิดมีผลเสียอะไรหนักหรือไม่?

ตอบ : อันนั้นถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าหากว่าตายจะมีอเวจีเป็นที่ไป เท่าที่ อาตมามีประสบการณ์เห็นคนที่สอนอย่างนี้ลงโลกันตร์ไปเลย ตอนแรก ก็สงสัยเพราะว่าโลกันตร์ที่โทษมันหนักหนาสาหัสมาก โอกาสที่คนจะลง มีน้อยมาก แต่วันนั้นลงไปบังเอิญเจออาจารย์ใหญ่ท่านไปอยู่ที่นั้น ก็ ถามว่าทำไมถึงลงโลกันตร์เพราะว่าโทษมันหนักเหลือเกิน มัน ๔ เท่าของอเวจีถึงลงโลกันตร์ได้ ท่านบอกว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ คนเป็นต้องตกอเวจีมหานรก กว่าจะไล่ครบทุกขุมตามกรรมที่เคยทำมา กว่าจะเป็นเปรต กว่าจะเป็นอสุรกาย กว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นคน มันนานเหลือเกิน ทำคนให้ห่างความดีได้เนิ่นนานขนาดนั้นและจำนวนมากขนาดนั้น โทษของเขาเลยหนักกลายเป็นลงโลกันตร์ไปเลย อันนี้ เป็นนิทานเฉย ๆ เล่าให้ฟังไปคุยมา ใครสอนว่านิพพานสูญก็ระวังไว้เถอะ
...
...

เถรี
03-08-2010, 18:33
แล้ว๑วินาทีในนรก กับ๑วินาทีบนโลกมนุษย์ เข็มวินาทีกระดิกเท่ากันมั้ยครับ ถ้าตรงกันเราเอานาฬิกา๒เรือนไปทดสอบให้ท่านทิดจับเวลาดูสมมุติท่านทิดจับเวลาอยู่ที่ขุมนรกแค่๑นาที แล้วให้อีกคนจับเวลาอยู่บนโลกมนุษย์๑นาทีเท่ากันแล้วลองท่านทิดตู่โทรมาบอกว่าครบ๑นาทีในนรกแล้ว แล้วคนที่อยู่บนโลกมนุษย์มันจะเป็นสภาพยังไงครับตอนนั้น

:9bbc76d5: ไหม , อย่างไร , เว้นวรรคหน้าและหลังตัวเลขด้วยค่ะ
เถรีกำลังคิดว่า ถ้าพี่ทิดตู่ตอบคำถามนี้ คงเก่งยิ่งกว่าพระโมคคัลลานะ ที่ท่องเที่ยวนรกสวรรค์เป็นปกติแล้วค่ะ

มุนินา
03-08-2010, 20:40
สำหรับคำถามของคุณ บทเพลงใบไม้ร่วง
ในข้อแรกที่ ๑ ดิฉันแนะนำให้คุณลองอ่านจากกระทู้นี้ค่ะ
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1176
อาจจะพอเป็นคำตอบได้:l43841274qn5:
อ่านข้อความที่ ๔ ด้วยนะคะ

ส่วนคำตอบข้อที่ ๒ ที่คุณได้ถามคุณทิดตู่
ดิฉันขออนุญาตแนะนำให้คุณลองไปหาหนังสือ
"ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" มาอ่านดูค่ะ:msn_smileys-16:

ดิฉันไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนี้บอกทฤษฎีของเวลาถูกต้อง
แต่อ่านไว้เป็นความรู้ติดตัวก็ไม่เสียหลายค่ะ

ทิดตู่
03-08-2010, 21:10
:9bbc76d5: ไหม , อย่างไร , เว้นวรรคหน้าและหลังตัวเลขด้วยค่ะ
เถรีกำลังคิดว่า ถ้าพี่ทิดตู่ตอบคำถามนี้ คงเก่งยิ่งกว่าพระโมคคัลลานะ ที่ท่องเที่ยวนรกสวรรค์เป็นปกติแล้วค่ะ

ตอบได้ตามตำรา อย่างนางฟ้าบริวารของมาลาการเทพบุตร ที่จุติไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิงในขณะที่กำลังเที่ยวชมสวนกันอยู่บนสวรรค์
พอเกิดมา เธอระลึกชาติได้ว่าจุติมาจากความเป็นนางฟ้า ถึงเวลาทำบุญก็เฝ้าแต่อธิษฐานว่า ขอให้ได้เกิดในคณะของมาลาการเทพบุตรเหมือนเดิม จนสิ้นระยะเวลา ๕๐ ปี เธอก็ตายลง แล้วก็ไปจุติบนสวรรค์ ในสวนที่เธอจุติลงไปเป็นมนุษย์
มาลาการเทพบุตร พอเห็นหน้าจึงได้ถามกับนางฟ้าองค์นี้ว่า
"นี่เธอ เธอหายไปเที่ยวที่ไหนมาตั้งครึ่งวัน!!!"
เรื่องนี้มีมาในพระไตรปิฎกจ้ะ

คนเก่า
04-08-2010, 10:07
พระพุทธศาสนาตั้งอยู่บนรากฐานความเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด มีผีสางเทวดาและภพภูมิต่าง ๆ เป็นปกติอยู่แล้วครับ

คนที่ไม่มั่นใจ หรือไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ก็เท่ากับไม่ใช่ชาวพุทธ หรือยังไม่เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว เฉกเช่นชาวคริสต์ที่หากไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ในพระบุตร หรือคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ย่อมไม่ใช่ชาวคริสต์

พุทธประวัติให้ความชัดเจนหลายช่วงหลายตอนในเรื่องภพชาติและผีสางเทวดา เช่น ตั้งแต่ก่อนเสด็จเข้าสู่พระครรภ์พระมารดา พระบรมโพธิสัตว์ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เทพเจ้าพากันอาราธนาให้จุติเพื่อตรัสเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครั้นสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ยังได้เสด็จขึ้นโปรดพระมารดาที่ดาวดึงส์ ซึ่งทรงเป็นเทพบุตรประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดตลอดพรรษา เมื่อเสด็จกลับยังโลกมนุษย์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลกและภพภูมิต่าง ๆ ให้สรรพสัตว์ได้รู้เห็นด้วยตนเอง

หากท่านใดใฝ่ศึกษาจริงและมีวิสัยไม่เชื่อใครง่าย ๆ ขอแนะนำให้อ่านพระไตรปิฎกก่อนเลยครับ ก่อนที่จะถกเถียง ซักค้าน ซักฟอกเอากับผู้ใด จะได้รู้ชัดกับตนเองก่อนว่าหลักฐานชั้น ๑ ของพระพุทธศาสนาที่สืบทอดมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี อันเป็นรากฐานของพระพุทธศาสนานั้น แสดงไว้อย่างไรบ้าง

ความเป็นไปและธรรมชาติของพรหมเทพ มนุษย์โลกอื่น ตลอดถึงศาสตร์ต่าง ๆ แม้กระทั่งนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎกอย่างหาจากศาสนาอื่นไม่ได้ หากใฝ่รู้จริงจงไปหาดูเอาเองเถิด จะได้ชัดเจนแก่ตน

ทุกเนื้อหาทุกเรื่องในพระไตรปิฎกนั้นสามารถพิจารณาพิเคราะห์ไล่เรียงเหตุและผลได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องถามจากผู้ใด เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล เป็นศาสนาเดียวในโลกที่ท้าทายการพิสูจน์ บอกไว้ชัดว่าไม่ต้องเชื่อในทันที และไม่มีการขู่ว่าจะมีโทษเหมือนศาสนาอื่นด้วย

หากใจร้อนซักไซ้จะเอาความจริงกับตัวบุคคล ย่อมยากที่จะได้ความรู้โดยสมบูรณ์ เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่ใช่พระพุทธองค์ จึงย่อมไม่สามารถหยิบยกข้อธรรมมาอธิบายให้กระจ่างแจ้งได้อย่างสมบูรณ์เหมือนที่พระไตรปิฎกเปรียบไว้ว่า "ดังพลิกภาชนะที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น"

จึงอาจเป็นโทษแก่ตัวผู้ถามเอง เพราะอาจนึกปรามาสจากการอนุมานเอาจากการตอบคำถามของแต่ละบุคคลนั้น ๆ แล้วตู่ว่าพระสัทธรรมพิสูจน์ไม่ได้

ฉะนั้นผู้ใฝ่รู้ความจริงในพระธรรมย่อมต้องค่อย ๆ ศึกษาพิเคราะห์หาความจริงด้วยตนเองโดยอิทธิบาทสี่ อันเป็นพระสัทธรรมหรือความจริงอันปฏิเสธไม่ได้ที่พระพุทธศาสนาแสดงไว้อย่างชัดเจนและหาในศาสนาอื่นไม่ได้เช่นกัน

ครูวพิตร์
04-08-2010, 11:55
ขอกราบขอบพระคุณท่านคนเก่าเป็นอย่างสูงในคำตอบค่ะ เชื่อว่าท่านเป็นผู้แตกฉานท่านหนึ่ง ดิฉันตั้งใจอยู่แล้วว่าต้องศึกษาพระไตรปิฎกให้ได้ เชื่อว่าคงมีในเน็ตค่ะ

มีข้อสงสัยด่วน ๆ อยู่ข้อหนึ่งคือ จากหลักฐานพบว่าเมื่อประมาณ ๖๕ ล้านปีไดโนเสาร์เริ่มสูญพันธุ์บนโลกมนุษย์ นั่นหมายถึงมนุษย์เรายังดำรงเผ่าพันธุ์ยังไม่ถึง ๑๐๐ ล้านปี เมื่อคำนวณกับเวลาในนรกและสวรรค์แล้ว เห็นว่าคนส่วนมาก (เท่าที่เห็นบาปกันทั้งนั้น)ไปแล้วน่าจะกลับมาเกิดได้ยาก แต่ทำไมเราได้ยินบ่อยมากเรื่องคนระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดในชาติโน้นชาตินี้

เรื่องนี้มีอธิบายในพระไตรปิฏกหรือไม่ค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

คนเก่า
04-08-2010, 12:12
พระไตรปิฎกกล่าวถึงธรรมชาติอันเป็นวงวัฏฏะของสรรพสิ่ง ผมจึงมั่นใจว่าโลกมีเกิด มีเจริญ มีเสื่อม และดับ วนเวียนเช่นนี้มานับรอบไม่ถ้วนแล้ว วิทยาศาสตร์เพียงเริ่มพิสูจน์ได้แค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เท่านั้นครับ

หากเคยเรียนนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ก็จะยิ่งชัดเจนในพระสัทธรรมข้อนี้ เพราะวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็เพิ่งค้นพบว่าหน่วยย่อยสุดของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสสารหรือพลังงานก็ล้วนมีคุณลักษณะที่เป็นอนิจจัง เป็นวงกลม วนเวียนไปเรื่อย ๆ

จึงไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดนักวิทยาศาสตร์นาซ่าอย่างอาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย และอาจารย์ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ จึงหมอบราบคาบแก้วกับพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นสงสัย

ส่วนคำถาม ไม่อยากตอบครับ ดังที่ชี้แจงเหตุผลไว้ข้างต้น ขอให้ไปอ่านพระไตรปิฎกก่อนเถิด หากสงสัยประการใด ค่อยหยิบยก อ้างอิงเนื้อความนั้น ๆ ในพระไตรปิฎกมาถามกัน