View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
uV2p3Qxi8EE
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถนนพหลโยธิน หมู่ที่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อไปร่วมงานปฐมนิเทศนิสิตปริญญาเอก ๓ สาขา เช่น สาขาการจัดการเชิงพุทธ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ และสาขารัฐศาสตร์ ซึ่งสาขาการจัดการเชิงพุทธนั้นเป็นรุ่นที่ ๑๕ แล้ว พอเห็นรุ่นเข้าก็ยังตกใจ เนื่องเพราะว่าตัวกระผม/อาตมภาพนั้น จบปริญญาเอกสาขาการจัดการเชิงพุทธรุ่นที่ ๒ โดยที่เป็นนิสิตที่แซงขึ้นมาจบพร้อมกับรุ่นพี่ รุ่น ๑
เนื่องเพราะว่าในการเรียนครั้งแรก ๆ นั้น ทางคณาจารย์เข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง อย่างเช่นว่าหนังสืออ้างอิงต้องมีของต่างประเทศไม่น้อยกว่า ๒๐ เล่ม แล้วกระผม/อาตมภาพเองก็หาได้แค่ ๑๗ เล่มเท่านั้น ซ้ำครูบาอาจารย์ยังขู่เอาไว้เป็นการหนักว่า ทุกเล่มที่อ้างอิงต้องมีอยู่ในมือ ถึงเวลาสอบ ถ้าสงสัยตรงไหนจะขอดูต้นฉบับ..!
ทำเอาพวกกระผม/อาตมภาพประสาทกลับไปตาม ๆ กัน บรรดารุ่นพี่ก็เลย "ตัดช่องน้อยแต่พอตัว" ด้วยการปล่อยให้รุ่นของกระผม/อาตมภาพจบก่อน แล้วหลังจากนั้นก็มาอ้างอิงวิทยานิพนธ์รุ่นของกระผม/อาตมภาพ เพื่อที่จะจบตามบ้าง สมกับที่เป็นรุ่นพี่ผู้ชาญฉลาดเสียจริง ๆ..!
แต่ด้วยความที่ว่าวันนี้กระผม/อาตมภาพมีงานรับโล่และประกาศเกียรติคุณ "พระวิปัสสนาจารย์เกียรติคุณ" ประจำสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดังนั้น..เมื่อทักทายครูบาอาจารย์และรุ่นน้องที่มาเข้าปฐมนิเทศแล้ว ก็ได้เดินทางไปยังอาคารพระวิสุทธาธิบดี ชั้น ๔ สถาบันวิปัสสนาธุระ ซึ่งบางทีก็เรียกง่าย ๆ ว่า "อาคารหอฉัน"
เมื่อเข้าไปถึง ท่านพระครูภาวนาวรบัณฑิต วิ., ดร. (วริทธิ์ธร วรเวที) ผู้อำนวยการส่วนงานวางแผนและพัฒนาการอบรม สถาบันวิปัสสนาธุระ เจ้าของงาน ก็รีบมาต้อนรับ พาเข้าไปนั่งในส่วนของพระวิปัสสนาจารย์เกียรติคุณ ซึ่งได้รับในงานนี้ทั้งหมด ๑๘ รูปด้วยกัน มองหน้ากันแล้วก็ประมาณว่า "ท่านก็มาด้วยหรือ ?" ก็คืออยู่ในลักษณะที่ว่ารู้จักมักคุ้นกันหมดแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยทำให้รู้สึกสะท้อนใจว่า ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการสอนธรรมนำปฏิบัติฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานนั้น ทำไมช่างมีน้อยเหลือเกิน ?!
อีกท่านหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพพิจารณาแล้วว่าสมควรที่จะได้ ก็คือท่านเจ้าคุณสุรศักดิ์ - พระราชภาวนาวชิรญาณ วิ. (สุรศักดิ์ เขมรํสี) วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ว่าไม่มีรายชื่อของท่าน ไม่ทราบเหมือนกันว่าถวายเกียรติยศไปแล้ว แต่ท่านปฏิเสธไม่รับตามประสานักปฏิบัติธรรมหรืออย่างไร ?
แต่ที่สะท้อนใจก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นพระวิปัสสนาจารย์เกียรติคุณก็ดี พระวิปัสสนาจารย์ดีเด่นก็ดี หรือว่าคนดีศรีวิปัสสนาธุระ ซึ่งต่างก็มารับรางวัลรับโล่กันในวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกันทั้งสิ้น ทำเอาพระครูวิลาศกาญจนธรรมต้องนั่งเป็นศาลพระภูมิให้คนโน้นก็มาไหว้ คนนี้ก็มากราบ แล้วแถมหลายคนก็ยังบ่นอีกต่างหากว่า "ไปตามงานแล้วเข้าไม่ถึงหลวงพ่อ เลยขออนุญาตกราบตรงนี้" เป็นเสียอย่างนั้นไป บางท่านก็บอกย้ำแล้วย้ำอีกว่า "ผมจะไปกราบถึงที่วัดนะครับ" จึงได้กราบเรียนถวายท่านไปว่า "ถ้าไปวัดไม่ได้เจอผมหรอกครับ ยกเว้นมาเจอกันในงานแบบนี้แหละ..!"
ปรากฏว่าองค์ประธานก็คือ พระเดชพระคุณพระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ.ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, ป.ธ. ๙) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้น ท่านต้องไปปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาเอก ๓ สาขาเสียก่อน ดังนั้น..แทนที่ ๘ โมงครึ่งแล้วจะเป็นการเปิดงานของสถาบันวิปัสสนาธุระ ก็กลายเป็นว่าต้องเริ่มพิธีบำเพ็ญกุศล ๑๒๒ ปีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร อดีตทุติยนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก่อน แล้วก็ต่อด้วยการเจริญพระพุทธมนต์เนื่องในวันครบรอบ ๑๒ ปี การก่อตั้งสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จากนั้นถึงเป็นการเข้าสู่พิธีการ มอบโล่เกียรติคุณ ตลอดจนกระทั่งพัดรอง และประกาศนียบัตร แก่บรรดาผู้ที่ได้รับตามลำดับไป
ทำเอากระผม/อาตมภาพซึ่งกระซิบบอกผู้คนรอบด้านว่า "วันนี้เมื่อรับโล่แล้ว ไม่ได้อยู่ต่อนะครับ ต้องเดินทางกลับเลย" ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็รู้ดีกันว่า หลวงพ่อเล็กวัดท่าขนุนนั้นงานมาก เพราะว่าเมื่อติดตามภายในเฟซบุ๊ก ซึ่งกระผม/อาตมภาพเล่นไม่เป็นก็ดี หรือว่าติดตามในกลุ่มไลน์ ซึ่งกระผม/อาตมภาพยืมคนอื่นใช้ก็ตาม จะเห็นว่ามีงานส่งเข้าอยู่ทุกวัน..วันละมาก ๆ..!
ในส่วนนี้ทำให้พรรคพวกเพื่อนฝูงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นในการศึกษา เพื่อนร่วมรุ่นในการอบรมต่าง ๆ ท้ายที่สุดจากเพื่อน ส่วนหนึ่งก็มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เสียอย่างนั้น ประมาณว่า "ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี"
บุคคลที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ซึ่งเพื่อนฝูงยกไว้เลยก็คือท่านพระครูสังฆกิจจารักษ์ วัดสิงห์ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม หรือที่กระผม/อาตมภาพเรียกท่านว่า "พี่กวง" เพราะว่าท่านอายุมากกว่า ๖ ปี
ตั้งแต่เรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์มาด้วยกัน ๑ ปี พอถึงปีที่ ๒ ของปริญญาตรี สาขาพระพุทธศาสนา "พี่กวง" ซึ่ง "ปะฉะดะ" ทุกคนที่ขวางหน้า อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนความประพฤติ จากหลังเท้าเป็นหน้ามือเสียอย่างนั้น..!
เมื่อพรรคพวกสอบถามท่านก็บอกว่า "ผมดูจากพี่เล็กครับ เนื่องเพราะว่าท่านเป็นพระเถระ ภาระงานมากขนาดนั้นแล้วยังทำทุกอย่าง อยู่ในลักษณะที่สมบูรณ์ตามหน้าที่ไม่เคยพลาด เวลาเรียนเต็มทุกชั่วโมงยังไม่พอ นั่งหน้าห้องพร้อมที่จะถกเถียงทางวิชาการกับครูบาอาจารย์โดยตลอด แต่ไม่เคยก้าวร้าวครูบาอาจารย์เลย ทุกคนก็เห็นแล้วว่า ท่านให้ความเคารพครูบาอาจารย์ทั้งพระและฆราวาสเสมอกัน คำว่าเสมอกันในที่นี้ ก็คือยกให้เป็นครูบาอาจารย์จริง ๆ ในเมื่อผมเห็นเช่นนั้น ถึงได้พยายามเลียนแบบและทำตาม จนกระทั่งทุกวันนี้"
พรรคพวกเพื่อนฝูงเขาก็จะรู้ดีว่า "พี่กวง" ซึ่งเป็นคนค่อนข้างหัวดื้อ หัวรั้น พร้อมที่จะลุยทุกสนาม แต่ถ้าหากว่าเจอกระผม/อาตมภาพ จะมาขอกราบก่อนในฐานะลูกศิษย์ทุกครั้ง เป็นเรื่องที่อัศจรรย์อยู่เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ดร.จักรฤกษณ์ จันทร์ดำ ซึ่งสอนกระผม/อาตมภาพในปริญญาตรี ท่านบอกไว้อย่างชัดเจนว่า "ท่านอาจารย์พระครูธรรมธรเล็ก ควรที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัยข้างนอกมากกว่า ผมมั่นใจว่าภายใน ๓ เดือนเท่านั้น ท่านสามารถเอาเขาเป็นลูกศิษย์ได้ทั้งมหาวิทยาลัย" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่คิดว่า ไม่ทราบท่านอาจารย์เอาอะไรเป็นเครื่องวัด ?
แต่ตอนที่สอบเข้าปริญญาโทนั้น ท่านอาจารย์ ดร. ธัชชนันท์ อิศรเดช ท่านได้บอกว่า "ท่านอาจารย์พระครูทราบไหมครับว่า ท่านเป็นคนที่มั่นใจตัวเองสุด ๆ เลย ?" กระผม/อาตมภาพก็ถามว่า "ท่านอาจารย์ดูจากตรงไหนครับ ?" ท่านบอกว่า "แค่ดูจากท่าเดินตอนเข้ามาในห้องสัมภาษณ์นี่แหละครับ ปกติแล้วจะไม่มีใครเดินท่านี้"
ทำเอากระผม/อาตมภาพไปนึกถึงเพื่อนฝูงที่จบปริญญาเอกพร้อมกันท่านหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นเจ้าคุณรองจังหวัดนนทบุรี ก็คือท่านเจ้าคุณกำพล - พระอุดมสิทธินายก (กำพล คุณงฺกโร ป.ธ. ๙), รศ.ดร. ท่านเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค ปัจจุบันนี้จบด็อกเตอร์ไป ๓ ใบแล้ว ทำหน้าที่คณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านบอกว่า "หลวงพ่อเล็กเดินไม่เหมือนคนแก่..!" ทำเอากระผม/อาตมภาพอึ้งไปพักใหญ่ ประมาณว่าแล้วคนแก่เขาเดินกันอย่างไรวะ ?
แต่เมื่อมาพิจารณาดูตนเองแม้แต่บัดนี้ ก็คือถ้าหากจะลุกจากที่นั่งก็แทบจะไม่เคยเอามือค้ำพื้น เนื่องเพราะเคยชินกับการระมัดระวัง เพราะว่ามีศีลพระอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งท่าน "ห้ามเอามือค้ำกาย" คำว่าเอามือค้ำกายนี้ กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่า ความจริงน่าจะเป็นการเท้าเอว แต่ด้วยความที่ครูบาอาจารย์ท่านอธิบายว่า เป็นการนั่งเอามือค้ำพื้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงระมัดระวังที่จะไม่เอามือค้ำพื้นไปด้วย ทำให้การลุกขึ้นก็เลยลุกแบบไม่เอามือค้ำพื้น เหมือนกับคนหนุ่มสาวเขา ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็เฒ่าชะแรแก่ชราจนป่านนี้แล้ว ยังรู้สึกอยู่ว่าเรายังสามารถลุกได้โดยไม่ต้องค้ำพื้นในอายุขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าพอใจมากแล้ว..!
ในส่วนของงานทุกอย่าง เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็ขออนุญาตเดินทางกลับยังที่พัก เพื่อที่จะเตรียมตัวไปทำหน้าที่ของตนเองต่อไป แต่ว่าในส่วนที่กล่าวถึงตนเองดังที่ผ่านมานั้น อยากจะเรียนถวายถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทุกท่านที่ฟังอยู่ ก็คือว่าแม้ดูเปลือกนอกหน้าตาดูน้อยกว่าอายุก็จริง แต่ภายในใจของกระผม/อาตมภาพทราบดีถึงความแก่ของตนเอง และซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งตั้งแต่หลังอายุ ๓๐ มาแล้ว
เนื่องเพราะว่าบวชใหม่ ๆ ทำหน้าที่เฝ้าหน้าตึกให้กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ในช่วงฤดูหนาว ก็ยังใส่อังสะนุ่งสบงแค่นั้น ส่วนหลวงพ่อท่านมาทั้งรองเท้า ถุงเท้า หมวกไหมพรม เสื้อไหมพรม ท่านยังทักว่า "แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?" กราบเรียนถวายหลวงพ่อว่า "มีครับ..แต่ผมยังไม่หนาว"
ครั้นพอหลังอายุ ๓๐ มา ไม่ต้องรอให้หลวงพ่อท่านทักแล้ว หากแต่วิ่งไปหาเสื้อกันหนาวมาใส่เอง..!
พอหลังอายุ ๔๐ ทำงานอะไรก็เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อย
พอมาถึงอายุ ๕๐ นี่ก็เริ่มมีเวรมีกรรมแล้ว รู้สึกว่ากำลังแทบไม่พอที่จะทรงตัวได้ตลอดวัน ถ้าวันไหนทำงานหนัก ๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็น ครั้นถึงเวลาทำวัตรค่ำ บางขณะก็เผลอไมโครโฟนหลุดมือเลยเพราะว่ากำลังหมด..!
เมื่อมาถึงอายุ ๖๐ คราวนี้ลุกก็โอย นั่งก็โอย ตื่นเช้าขึ้นมา ปวดเมื่อยไปทั้งตัว สิ่งแรกที่คิดอยู่ก็คือ "ทำอย่างไรที่เราจะลุกแล้วไม่ล้ม..!?
ดังนั้น..ญาติโยมก็ดี พระภิกษุสามเณรของเราก็ตาม อย่าให้เปลือกนอกของสังขารหลอกลวงเราได้เป็นอันขาด เนื่องเพราะว่าเจ้าของสังขารนั้นรู้ดีว่าร่างกายนี้ผุพังทรุดโทรขนาดไหน ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่ายังพอมีสิ่งหนึ่งประการใดที่จะเลียนแบบและทำตาม ก็จงเร่งมือเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นถ้าปุบปับร่างกายนี้พังทลายลงไป ท่านทั้งหลายยังมีกำลังใจไม่พอรักษาตัวเอง ก็จะเป็นอะไรที่อนาถมาก..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.