View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๘
พิชวัฒน์
16-09-2025, 17:03
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๘
65ePwSqKfIQ
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘  กระผม/อาตมภาพเดินทางไปถึงวัดปทุมคงคา ราชวรวิหาร ถนนทรงวาด แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ปรากฏว่าไปถึงแล้ว เจอพระเถรานุเถระที่รู้จักมักคุ้นกันอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี (มนตรี คณิสฺสโร ป.ธ. ๕) วัดเครือวัลย์วรวิหาร หรือ "หลวงปู่มนตรี" ของกระผม/อาตมภาพ ท่านไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว 
ครั้นกราบรายงานตัวกับท่านได้ครู่หนึ่ง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย ป.ธ. ๘) วัดเทพศิรินทราวาสก็มาถึง ท่านเจ้าประคุณรูปนี้ กระผม/อาตมภาพคุ้นเคยกับท่านตั้งแต่สมัยเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระอมราภิรักขิต  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เพราะว่ากระผม/อาตมภาพได้ไปช่วยดูแลพระเดชพระคุณหลวงปู่มหาอำพัน - พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) ซึ่งท่านเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ แล้วก็คุ้นเคยกันมาจนยาวนานมาถึงปัจจุบันนี้
เมื่อกราบรายงานตัว ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ ป.ธ. ๙) วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกก็มาถึง จึงต้องกราบรายงานตัวกับท่านอีกรูปหนึ่ง
จะว่าไปแล้ว ในจำนวนท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทั้ง ๓ รูปในวันนี้ หลวงปู่มนตรีของกระผม/อาตมภาพอายุมากที่สุด แต่ว่าได้รับสมณศักดิ์ ก็คือได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะทีหลังสุด โดยมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี อาวุโสสมณศักดิ์มากที่สุด ต่อด้วยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์
ในเรื่องของคณะสงฆ์เรานั้น ถ้าว่ากันตามพระธรรมวินัย เราก็เคารพกราบไหว้กันด้วยอายุพรรษา แต่ว่าถ้าเป็นงานหลวง งานพระราชพิธีต่าง ๆ ก็ต้องว่ากันตามลำดับสมณศักดิ์ ก็คือไม่ได้คิดถึงอายุพรรษา หากแต่ว่าท่านใดได้รับการสถานปนาก่อน หรือว่าพระราชทานตั้ง พระราชทานเลื่อนก่อน ท่านนั้นก็จะต้องนั่งหน้า 
ทำเอาพระเถระบางรูปเคยบ่นกับกระผม/อาตมภาพว่า "ต้องไปนั่งอยู่ด้านหน้าครูบาอาจารย์ของตนเอง รู้สึกไม่สบายใจเลย" กระผม/อาตมภาพก็ต้องปลอบใจท่านไปตามเพลง ประมาณว่า "ในเมื่อเป็นพระราชประสงค์ เห็นคุณงามความดีของหลวงพ่อ แล้วทรงพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ให้ก่อน ค่อยพระราชทานตั้งให้กับครูบาอาจารย์ทีหลัง ถ้าไม่สบายใจ ลงจากอาสนะแล้ว ก็ไปกราบขอขมาท่านก็แล้วกัน"
เมื่อรออยู่จนกระทั่งเกือบ ๗ โมงเช้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมเสนาบดี (พิมพ์ ญาณวีโร ป.ธ. ๗) เจ้าของงานอายุวัฒนมงคล ๘๐ ปีก็มาถึง พระเดชพระคุณรูปนี้ กระผม/อาตมภาพคุ้นเคยกับท่านมานานมาก ตั้งแต่สมัยท่านเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระสุธีปริยัตยาภรณ์ ก็ได้ติดตามพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ เขมจารี ป.ธ. ๙) วัดปทุมคงคา ราชวรวิหาร ซึ่งสนิทสนมกับหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ไปวัดท่าซุงในงานประจำปีอยู่บ่อย ๆ แล้วก็คุ้นเคยมาจนถึงปัจจุบัน พูดง่าย ๆ ว่าเจอหน้ากันเมื่อไร ท่านก็ทักทายอย่างชนิดที่คนอื่น บางทียังตีหน้างง ๆ ว่า "คู่นี้เขาไปรู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เมื่อไร ?"
เมื่อหลวงพ่อพระพรหมเสนาบดี เจ้าของงานวันเกิด ๘๐ ปี ถวายสักการะหลวงพ่อสมเด็จฯ ทั้ง ๓ รูป และถวายปัจจัยไทยธรรมแล้ว ก็ขออนุญาตลงไปใส่บาตรวันเกิดพระสงฆ์ ๘๑ รูป กระผม/อาตมภาพจึงขออนุญาตตัดหน้าท่านในช่วงจะใส่บาตร เพราะว่าบรรดาพระสงฆ์ยังไม่ทันจะตั้งแถวรอรับบาตร ด้วยการถวายมุทิตาสักการะ ไม่ว่าจะเป็นไทยธรรมหรือซองปัจจัย ท่านก็ไม่ได้สนใจ หากแต่สนใจกล่องใบน้อยที่กระผม/อาตมภาพส่งให้ 
ท่านถามว่า "นี่อะไรครับ ?" จึงได้กราบเรียนท่านไปว่า ""เสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ขอรับ ปีที่แล้วที่บอกว่าจะถวายให้หลวงพ่อ แล้วก็หยิบผิด องค์นั้นถวายไปเลย แต่ว่าองค์นี้เพิ่งมีโอกาสถวายในปีนี้" ท่านรีบเอาใส่กระเป๋าอังสะ ทั้งที่กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า "เดี๋ยวอาจจะหล่นนะครับ" ท่านบอกว่า "ไม่หล่นแน่นอน..!"
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อหลายปีก่อน หลวงพ่อท่านปรารภกับกระผม/อาตมภาพว่า "อยู่มาจนป่านนี้ จะหาพระเครื่องที่เป็นเกียรติเป็นศรี เป็นหน้าเป็นตาแก่ตนเองสักองค์หนึ่ง อย่างประเภท "เบญจภาคี" ก็หาของแท้ไม่ได้เลย ที่คนอื่นหามาถวายเป็นสิบ ๆ องค์ เอาไปให้ "เซียน" เขาเช็คแล้ว บอกว่าของทำเลียนแบบทั้งนั้น..!"
กระผม/อาตมภาพจึงได้เรียนถวายท่านว่า "เดี๋ยวงานวันเกิดหลวงพ่อ กระผมจะนำมาถวาย ๑ องค์" แล้วก็ได้ปลดสมเด็จวัดระฆัง องค์ที่ติดประคำของตนเอง ถวายท่านไปในงานวันเกิดปีนั้น 
หลังจากนั้นเดือนกว่า มาเจอท่านที่งานวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ท่านตบหน้าอกตนเอง ทางด้านกระเป๋าอังสะ บอกว่า "ใช้อยู่นะครับ ให้ "เซียน" เขาเช็คแล้ว บอกว่าของแท้" กระผม/อาตมภาพจึงเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่ออยากได้อะไรอีก ?" ท่านบอกว่า "ถ้าท่านเป็นคนหามา ผมรับทั้งนั้น" จึงได้เรียนท่านไปว่า "จะถวายเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ให้สักองค์หนึ่ง เพราะว่าหลวงพ่อใจดีจนเกินไป ต้องเอาเสือไปช่วยเพิ่มอานุภาพของมหาอำนาจเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นแล้ว บางทีคนเขาก็ไม่ค่อยจะเกรงใจ" ท่านเองก็ตอบรับด้วยความยินดี
แต่ว่าปีนั้นกระผม/อาตมภาพได้นำเอาเสือใส่กล่องแบบเดียวกันกับวัตถุมงคลชิ้นอื่น แล้วนำไปถวายท่าน ปรากฏว่าเปิดออกมาแล้วไม่ใช่เสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย กลายเป็นว่าผิดหวังไป จนกระทั่งปีนี้จึงได้นำมาถวายท่าน เชื่อมั่นได้เลยว่าท่านจะติดตัวไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้น กว่าที่จะได้มาแต่ละองค์ บางทีก็ต้องรอโอกาสหลายต่อหลายปี แต่ว่าบางปีก็ประเดประดังกันมาทีเดียว ๓ องค์ ๔ องค์..! 
โดยเฉพาะเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยนั้น พี่ณพ (พันตำรวจเอกอรรณพ กอวัฒนา) ลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีฯ รุ่นพ่อ ซึ่งกระผมเรียกว่า "พี่" จนชินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ท่านมีประสบการณ์มากที่สุด เพราะว่าเคยยิงผู้ร้ายเต็ม ๆ จนกระทั่งกระเด็นตกน้ำหายไป นึกว่าจะตายแล้ว ปรากฏว่าอีกไม่กี่วัน มันมาเยาะเย้ยอีกแล้ว สอบถามแล้วถึงได้รู้ว่า ผู้ร้ายคนนั้นซึ่งอาละวาดอยู่แถวบ้านจระเข้น้อย มีเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยติดตัวอยู่
ต้องบอกว่าหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยนั้น เกียรติคุณของท่านเข้าไปถึงในรั้วในวัง ถึงขนาดในหลวงรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสต้นไปแล้ว ได้มีโอกาสกราบพบ ยังมีบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ท่านมีรูปร่างลักษณะอย่างไร ? มีปฏิปทาอย่างไร ?
โดยเฉพาะวัตุถมงคลของท่าน ซึ่งใช้คำว่า "แกะด้วยเขี้ยวเป็นรูปเสือ ฝีมือค่อนข้างหยาบ แต่ว่าราคาสูงมากถึง ๑ บาท บางปีราคาสูงเพราะของหายาก ก็สูงถึง ๖ บาท..!" 
กระผม/อาตมภาพเห็นพระราชหัตถเลขาตรงนี้แล้วยังตกใจว่า ในสมัยที่ข้าวเปลือกเกวียนหนึ่งราคาไม่ถึง ๑ บาท แต่เสือหลวงปู่ปานองค์ละ ๑ บาท..! และเมื่อคนต้องการเข้า เคยขึ้นไปสูงสุดถึงตำลึงครึ่ง ก็คือ ๖ บาท..! ถ้าเป็นราคาสมัยนี้ก็คงจะนับล้านบาทเลยทีเดียว..! แล้วขณะเดียวกัน ราคาเสือหลวงปู่ปานในปัจจุบันนี้ก็ไปถึงระดับนั้นจริง ๆ เสียด้วย แสดงว่าค่านิยมนี้ไม่ได้ตกต่ำหายไปเลย แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใน "๙ เครื่องรางสะท้านแผ่นดิน" ก็ตาม
 แต่ถ้าให้กระผม/อาตมภาพจัดลำดับเอง เครื่องรางที่กระผม/อาตมภาพจัดเอาไว้ รับรองได้ว่า ๑๐ อันดับแรกต้องมีเขี้ยวเสือ หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ ต้องมีหนุมาน หลวงปู่สุ่น วัดศาลากุน จังหวัดนนทบุรี ต้องมีตะกรุดไมยราพณ์สะกดทัพ หลวงพ่อกุน วัดพระนอน จังหวัดเพชรบุรี เหล่านี้อยู่ด้วยอย่างแน่นอน
 เมื่อกราบลาท่านออกมา ปรากฏว่ารถของกระผม/อาตมภาพนั้น จอดอยู่ทางซุ้มประตูทางเข้าวัด ซึ่งจะต้องวิ่งสวนเข้าไป เพื่อไปออกทางประตูทางออกอีกด้านหนึ่ง แต่พอดีท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็จะออกด้วย ทำให้ตำรวจรีบไล่กระผม/อาตมภาพให้ออกจากประตูทางเข้านี้แหละ ช่วยกันเป่านกหวีด ช่วยกันกั้นรถเป็นการใหญ่ ปล่อยให้ถอยหลังยาว ๆ ขึ้นมาบนถนน แล้วก็วิ่งออกไปแบบสบายใจเฉิบ..!
ต้องบอกว่าขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน โดยเฉพาะหลวงปู่สนิท - พระเดชพระคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ เขมจารีมหาเถร ป.ธ. ๙) "หลวงปู่พระทองคำ" ที่กระผม/อาตมภาพยังรำลึกถึงท่านอยู่เสมอ โดยเฉพาะรุ่นที่กระผม/อาตมภาพบวชนั้น หลวงปู่ท่านเมตตาเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ๙ รูปแรก 
น่าเสียดายที่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้น แม้ว่าจะสมัครบวชเป็นรูปแรก แต่เขาไปจัดตามลำดับอายุ ก็เลยรูดไปอยู่ท้าย ๆ โน่น ทำให้ไม่ได้มีพระอุปัชฌาย์เป็น "หลวงพ่อสมเด็จฯ พระทองคำ" แต่ว่าก็ไม่ได้เสียใจอะไร เพราะว่า "ปัพพัชชาจารย์" คืออาจารย์ผู้ทำการบวชเณรให้ ก็คือหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แล้วพระอุปัชฌาย์ก็คือหลวงพ่อตี๋ (พระครูอุทัยธรรมโกศล) วัดสังกัสรัตนคีรี จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็น "พระสุปฏิปันโน" ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเช่นกัน
ที่ต้องกราบขอบพระคุณหลวงปู่สมเด็จฯ ก็เพราะว่า "เป็นถิ่นของท่าน" ท่านก็เลยเมตตาอำนวยความสะดวก เข้าก็รถไม่ติด แถมยังเป็นพระเด็ก ๆ แต่ว่ามีที่จอดรถเป็นอย่างดี ขาออกนอกจากไม่ต้องลำบากไปวนออกทางด้านทางออกที่อยู่ไกลแล้ว ยังสวนทางออกมาด้วยการอำนวยการของตำรวจหลายนายอีกต่างหาก ขอกราบขอบพระคุณหลวงปู่เอาไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูงขอรับ..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.