PDA

View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘


ตัวเล็ก
02-05-2025, 18:18
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘

2RW0DJ49sBM

เถรี
03-05-2025, 00:32
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่โรงแรม Asia Spa Resort เมืองธรรมศาลาอยู่ที่ ๑๕ องศาเซลเซียส เนื่องเพราะว่าเมื่อวานนี้ ตอนท้ายของการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน มีเสียงฝนตกดังสนั่นหวั่นไหวมาก บันทึกเสียงเสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพเปิดประตูหลังออกไปดู ถึงได้เห็นว่าไม่ใช่แค่น้ำฝนอย่างเดียว หากแต่ลูกเห็บขนาดประมาณหัวแม่มือ กำลังกระเด้งกระดอนอยู่บนลานเทอเรซหลังโรงแรม ขาวโพลนไปหมด..!

ตอนอยู่ที่วัดภัคสุนาค กระผม/อาตมภาพได้ชี้ให้ดูท้องฟ้าก่อนขึ้นรถแล้ว บอกกับทุกคนว่า "อากาศแบบนี้ ถ้าเป็นที่ทองผาภูมิ อีกสักครู่ฝนก็จะตก แต่ไม่ทราบว่าที่เมืองธรรมศาลานี้จะเหมือนกันหรือเปล่า ?" โชคดีที่ว่าพวกเรากลับเข้าที่พักแล้ว พายุลูกเห็บถึงได้มา แล้วต่อด้วยฝนอีกเกือบ ๑ ชั่วโมง ต้องเจริญพรขอบคุณเจ้าแม่นภิสราเทวีที่ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้ทุกอย่างเป็นไปโดยสะดวกเรียบร้อย

ส่วนเช้าวันนี้พวกเรานัดกันตามเวลาที่ ๖ - ๗ - ๘ แต่ว่า ๖ โมงเช้า ส่วนใหญ่ก็ตื่นแล้ว ลงไปนั่งรอกันที่ห้องอาหาร แต่เนื่องจากว่าผู้ดูแลห้องอาหารได้รับนัดหมายว่า ให้เปิดห้องอาหารตอน ๗ โมง แต่ละคนจึงนั่งคุยกัน งัดเอาเรื่องความเฉิ่ม ความเชย ความเปิ่นของพรรคพวกในคณะ ขึ้นมาเสียดสี "บูลลี่" กันเป็นที่สนุกสนาน เสียงหัวเราะดังสนั่นหวั่นไหว จนกระผม/อาตมภาพต้องเบรกว่า "พวกคุณกำลังจะทำให้ประเทศจีนเดือดร้อน เนื่องเพราะคุยกันเสียงดังขนาดนี้ เขาต้องคิดว่าเป็นคนจีนอย่างแน่นอน..!"

ครั้นอาหารพร้อมแล้ว พวกเราก็รับประทานกันแบบไม่ต้องฟังเสียง น้องการ์ตูน (นางสาวศรันย์พร บุรินทรโกษฐ์) นำเอาอาหารจากเมืองไทยมาไล่แจกทุกโต๊ะ เพียงแต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้ให้ความสนใจเท่านั้นเอง เนื่องจากมีนิสัยว่า "ไปที่ไหนก็ต้องกินอาหารของที่นั่น" เพราะได้รับการอบรมมาตั้งแต่เด็กว่า "ดินฟ้าอากาศของแต่ละที่ อาหารของแต่ละแห่ง เหมาะกับการเป็นอยู่ในสถานที่นั้น ๆ"

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเรากินอาหารพื้นเมือง เราก็สามารถจะอยู่ดีมีสุขได้ทุกที่ แต่ต้องฝึกตนเองให้เคยชิน ไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะท้องเสีย วิ่งเข้าส้วมกันนับรอบไม่ถ้วนก็เป็นได้..!

เถรี
03-05-2025, 00:36
เมื่ออิ่มแล้ว นายวิกรม (วิกะระมะ) หรือชื่อไทยว่าวิกรม
มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ก็ได้นำเอารถตู้มาเปลี่ยนให้คันของกระผม/อาตมภาพ ไม่ทราบเหมือนกันว่ารถตู้คันที่ใช้อยู่และสะดวกกับการถ่ายรูปนั้น ส่งไปให้กับนักท่องเที่ยวคณะไหน ? แต่เขาก็หารถมาให้จนได้ครบ ๒ คัน

พาพวกเราวิ่งลงเขาเข้าเมืองธรรมศาลา ซึ่งรถติดค่อนข้างที่จะมาก กว่าจะหลุดไปถึงวัด Gyuto Tantric Monastery ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์ขนาดใหญ่ได้ ทำเอารถติดจนหลายคนเริ่มจะท้อ แต่พอไปเห็นวัดและวิทยาลัยสงฆ์ขนาดมหึมา ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้มาถึง

พวกเราถ่ายรูปหมู่ด้านหน้าตัวอาคารหลัก ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราเมืองเราก็ประมาณมหาวิหาร แล้วเดินเข้าไปภายใน กระผม/อาตมภาพอ่านป้ายข้อห้ามของเขา ก็คือ "ไม่ให้ส่งเสียงดัง ไม่สมควรจะขึ้นไปนั่งบนอาสนะพระ ไม่สมควรที่จะจับต้องสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยเฉพาะเครื่องสักการบูชา" ก็เดินเข้าไปด้านใน ถ่ายรูปเสียทุกซอกทุกมุม

โดยมีคุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็นซีทัวร์ ตามอธิบายขยายความให้ทราบว่า แต่ละอย่างหมายถึงอะไร โดยเฉพาะทางด้านนิกายตันตระนั้น ได้รับคำตำหนิว่าเป็นผู้ทำศาสนาพุทธให้เสื่อมมาโดยตลอด บุคคลที่ไม่ศึกษาและเข้าใจถึงหลักการของเขา ก็คิดว่าเป็นตามนั้น แล้วก็พูดต่อ ๆ กันมา..!

เมื่อกระผม/อาตมภาพถ่ายรูปเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็มีพระมาสะกิด โบกมือประมาณว่า "ห้ามถ่ายรูป" กระผม/อาตมภาพก็ยังงง ๆ อยู่ แต่อีกฝ่ายเดินไปสับสวิตช์ปิดไฟภายในศาลานั้นไปเลย..! เมื่อเดินออกมาข้างนอกถึงได้เห็นป้ายเล็ก ๆ เขียนเอาไว้ว่า "ห้ามถ่ายรูป ห้ามบันทึกวีดีโอ" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ขอโทษอยู่ในใจ เนื่องเพราะไม่ทราบจริง ๆ..!

พวกเราเดินหาห้องน้ำห้องส้วมของเขา เมื่อเข้ากันเรียบร้อยแล้วก็กลับขึ้นรถ ให้โชเฟอร์พาฝ่ารถติดสาหัสสากรรจ์ ตอนแรกออกมาตรงซอยประตูวัด เห็นมีตำรวจจราจร ๓ คน ๔ คน ช่วยกันโบกรถ ก็ยังรู้สึกว่าเขาทำหน้าที่เข้มแข็งมาก ที่ไหนได้..พ่อเจ้าประคุณเอาแค่รถตัวเองออกได้เท่านั้น..! เมื่อรถตัวเองหลุดพ้นไปได้ ทุกคนก็โดดขึ้นรถวิ่งหายวับไปกับตา ปล่อยให้พวกเราติดกันอีรุงตุงนังกันต่อไป พูดง่าย ๆ ว่า ติดเสียจนท้อใจ..!

กรุงเทพฯ ของเราว่ารถติดมากแล้ว ทำไมธรรมศาลาถึงได้ติดขนาดนี้ ? ขยับไปได้ทีละประมาณช่วงคันรถ แล้วก็ติดอีกพักใหญ่ ๆ เป็นอย่างนี้ไปตลอด ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงถึงได้เจอตัวต้นเหตุ ก็คือรถบรรทุกคันหนึ่งจอดตายแหงแก๋ขวางอยู่กลางทาง..!

เถรี
03-05-2025, 00:44
พลขับพาพวกเราไปยังสถาบันนอร์บูลิงการ์ ซึ่งนอร์บูลิงการ์นั้นก็คือพระราชวังฤดูร้อนขององค์ดาไลลามะในทิเบต สถาบันนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อรักษางานฝีมือต่าง ๆ ของชนชาวทิเบตเอาไว้ เราเดินเข้าไปภายในแล้ว รู้สึกว่าเขาพยายามทำสถานที่นี้ให้เป็นพระราชวังฤดูร้อนจริง ๆ เพราะว่ามีการชักสายน้ำให้ไหลเข้ามา และปลูกต้นไม้ใบหญ้าต่าง ๆ เอาไว้ร่มรื่นมาก

พวกเราเดินขึ้นไปหลายช่วงจนถึงพระวิหารหลัก เข้าไปกราบองค์พระประธาน ทำบุญหยอดตู้กันเรียบร้อยแล้ว ก็ถ่ายรูปต่าง ๆ ในบริเวณนั้น โดยไม่มีใครมาหวงมาห้ามแม้แต่คนเดียว

หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา ตอนแรกก็ยังสงสัยว่าคือตุ๊กตาแบบไหน ? ปรากฏว่าเป็นตุ๊กตารูปชาวทิเบตตั้งแต่โบร่ำโบราณ ในการมาค้นเจอดินแดนทิเบต มีการเลี้ยงสัตว์ มีการต้อนแกะ ต้อนวัวจามรี จนกระทั่ง "มหาราชซองซานกัมโป" สามารถรวบรวมชาวทุ่งหญ้าทั้งหลายขึ้นมาเป็นประเทศทิเบตได้

แล้วภายหลังความเสื่อมก็เข้ามา มีฝรั่งชาวยุโรปเข้ามาแทรกแซง ตลอดจนกระทั่งประเทศจีน ทำให้ทางด้านทิเบตเสื่อมทรามลง จนองค์ดาไลลามะต้องเสด็จหนีออกจากทิเบตมาอยู่ที่ธรรมศาลาแห่งนี้ ส่วนสุดท้ายเป็น "ภาพทังกา" ก็คือภาพเขียนสำหรับแขวนบูชาสวย ๆ งาม ๆ ทำกันอย่างชนิดไว้ฝีมือเป็นจำนวนมาก แต่ว่าถ่ายรูปยากเพราะว่าอยู่ในกรอบกระจก ที่ค่อนข้างจะสะท้อนแสง

จากนั้นกระผม/อาตมภาพก็เดินขึ้นชั้นบนของพิพิธภัณฑ์ ไปดูบรรดาช่างฝีมือต่าง ๆ ซึ่งกำลังตอก กำลังแกะ กำลังขัดงานฝีมือแต่ละชิ้นอยู่ เมื่อกระผม/อาตมภาพเห็นแล้วถึงกับทึ่งมาก เนื่องเพราะว่าพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ แบบทิเบต ขนาดพระกริ่งของบ้านเรา

ตอนแรกก็คิดว่าเป็นการหล่อขึ้นรูป ที่ไหนได้..เป็นการที่เขาขึ้นรูปโลหะด้วยเครื่องไม้เครื่องมือประเภทแฮนด์เมด ทีละชิ้น ๆ แล้วนำมาเชื่อมต่อกัน ขัดแต่งจนกระทั่งสำเร็จเป็นองค์พระขึ้นมา กระผม/อาตมภาพกับท่านพันแสน (พระอธิการธรรมชัย อคฺคธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดศิลาวาส (ปิงโค้ง) ถึงกับมองหน้ากัน ประมาณว่าทุกคนเข้าใจผิดกันหมดว่าหล่อทั้งองค์ ที่ไหนได้..เป็นงานฝีมือที่ทำด้วยมือจริง ๆ..!

หลังจากลงมาข้างล่างแล้ว มีการชวนเข้าไปยังร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีสินค้างานฝีมือต่าง ๆ อยู่ในนั้น ทุกคนไปติดใจตุ๊กตาวัวจามรีทั้งสีดำและสีขาว ซึ่งใช้ขนจามรีแท้ ๆ มาประดับเป็นขนของตัวตุ๊กตา ราคาก็ไม่แพงมาก อยู่ที่ ๑,๒๐๐ รูปีต่อตัวเท่านั้น จึงมีการค้นหากันแทบจะหมดร้าน คนที่หาไม่ได้ก็หันไปซื้อหินมีค่า พวกบรรดาเทอร์คอยส์ อเมทิสต์ หรือว่าอำพันแทน

กระผม/อาตมภาพกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูอัญมณี คัดเลือกให้กับบุคคลที่ต้องการ เหตุที่ต้องการให้เขาซื้อกันที่นี่ เพราะว่าราคาค่อนข้างสมเหตุสมผล ไม่ได้แพงจนเกินไปนัก

เถรี
03-05-2025, 00:48
หลังจากนั้นก็ได้เดินเข้าไปห้องข้างใน ซึ่งมีภาพทังกา ทั้งภาพวาดและภาพปักสวย ๆ งาม ๆ อยู่มากมาย ลูกเหมียว (นางนิภา ศิริวรดล) ซึ่งมากับทิดเต้อ (นายมานนท์ ศิริวรดล) มองตาโตไปที่สาวทิเบต ซึ่งเป็นผู้แนะนำสินค้าอยู่ภายในร้าน มองบนมองล่างอยู่หลายทีแล้วก็บอกว่า "หลวงพ่อ..เขาไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูง แต่ยังสูงกว่าหลวงพ่ออีก..!"

กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ได้ดูข่าวในพระราชสำนักหรือไม่ ? สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี พระราชาธิบดีแห่งภูฏานนั้น องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ของเราว่าสูงใหญ่ชนิดฝรั่งยังอาย แต่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ยังสูงกว่าในหลวงของเราอีก..! ถ้าเป็นเผ่าพันธุ์ของทิเบตแท้ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายก็จะสูงระหงแบบนี้ทั้งนั้น"

เมื่อพวกเราเดินดูแล้วรู้สึกว่า ราคาของทังกาภายในนี้ค่อนข้างจะแพง แต่เป็นความแพงแบบสมเหตุสมผล ก็คือวาดด้วยมือทีละเส้นสาย ปักด้วยมือทีละเส้นสาย โดยเฉพาะมาดามชวง (นางสาวไพรินทร์ สุวิชชาญพันธุ์) ตอนที่นั่งรอเข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะ เห็นแต่รัศมีสีแดงฉานครอบคลุมลงมาอยู่ตลอดเวลา พอมาเห็นองค์พระธยานิพุทธะกายสีแดงเข้าก็ "ถึงบางอ้อ" บอกทันทีว่าขอซื้อทังกาแผ่นนี้ พลิกดูราคาแล้วอยู่ที่ ๖๔,๗๒๐ รูปี จึงถามเขาว่าสามารถรูดบัตรได้หรือไม่ ? เจ้าหน้าที่บอกว่ารูดได้ "หม่าม้า" ของคณะก็เลยกระดี๊กระด๊าซื้อหาทันที เนื่องเพราะว่านึกออกว่าจะไปแขวนบูชาไว้ที่ไหน ?

โดยเฉพาะผู้แนะนำสินค้าบอกว่า ทังกาทุกภาพนั้นสร้างขึ้นด้วยมือของพระลามะ ทุกรูปจะต้องเข้าสมาธิเต็มที่ แล้วถึงจะเขียนลายแต่ละเส้น ปักด้ายแต่ละเส้น ถ้าหากว่าสมาธิลดลง ก็ต้องหยุดพัก จนกว่าจะหายเหนื่อยแล้วก็มาเข้าสมาธิเต็มที่ แล้วก็ค่อยเขียนหรือปักกันต่อ ก็แปลว่าสามารถที่จะบูชาเป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ได้ โดยที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปเข้าพิธีอีก

เมื่อได้สินค้ากันมาทุกคน แม้แต่กระผม/อาตมภาพก็ซื้อด้วยกล้องมาหลายชิ้น..! พวกเราก็ตรงไปยังร้านอาหารตรงปากทางออก ซึ่งได้สั่งอาหารบุปเฟต์เอาไว้ทั้งหมด ๒๓ ที่ พวกเราตักอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คือผักกับผัก มีอย่างสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นเนื้อไก่ อยู่ในลักษณะคล้ายกับผัดเปรี้ยวหวานบ้านเรา แต่ว่ารสชาติไม่ใช่ กินกันแล้วกินกันอีกจนแทบจะลุกไม่ไหว ไปเข้าห้องน้ำห้องส้วมกันแล้วมาขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป

เถรี
03-05-2025, 00:52
แต่เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ..! รถช่างติดเหลือใจ กว่าที่จะฝ่ารถติดไปจนถึงพิพิธภัณฑ์สงครามอินเดีย - จีนได้ ก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมง แล้วฝนก็ตกพรำ ๆ ไปตลอดทาง จนมีบางคนงอแงไม่อยากลงรถ กลัวว่าจะเปียกฝน..!

แต่กระผม/อาตมภาพมั่นใจในฝีมือของ "น้องหนูน้ำพริกสละ" ก็เลยเดินลงไปให้พวกเราถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน และดูสถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงการรบกัน ระหว่างอินเดียกับประเทศจีน ซึ่งมีบุคคลเสียชีวิตในสงครามไปเป็นจำนวนมาก เมื่อถ่ายรูปกันทุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะรูปปั้นอนุสาวรีย์ท่านนายพลโสรวาร สิงห์ เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็กลับขึ้นรถ ฝ่ารถติดกันต่อไป ถือว่าเป็นรายการทรมานบันเทิง..!

จนกระทั่งมาขึ้นเขาที่ทางทั้งคับแคบ คดเคี้ยว และสูงชัน หลุดขึ้นไปถึงพิพิธภัณฑ์ชาวทิเบต ปรากฏว่าเป็นเวลาพักกลางวันของเขาพอดี ดูจากนาฬิกาแล้วเราต้องรอกันประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็เลยมาถ่ายรูปหมู่และเดินดูสถานที่ต่าง ๆ พอไปเจอร้านกาแฟก็แห่กันเข้าไป ส่วนใครที่ไม่กินน้ำชากาแฟก็ออกไปเดินดูหมา ดูธรรมชาติต่าง ๆ รอบวัด จนเจ้าหน้าที่เขาทนไม่ได้ บ่ายโมงครึ่งก็รีบมาเปิดพิพิธภัณฑ์ให้..!

เมื่อซื้อตั๋วเข้าไปทางด้านในแล้ว เห็นเขาแบ่งเป็นช่วง ๆ แบบไม่ได้กั้นห้อง ช่วงแรก ๆ ก็คือความเป็นมาของชนชาวทิเบต ต่อด้วยศาสนาของทิเบต จากศาสนาบอนคือนับถือผี ก็เริ่มมานับถือพุทธ แล้วแตกออกเป็นนิกายต่าง ๆ มีนิกายเกลุกปะ (นิกายหมวกเหลือง) นิกายเนียงมาปะ (นิกายหมวกแดง) นิกายกาจูปะ และนิกายศากยะปะ ซึ่งนิกายเกลุกปะนั้น ปัจจุบันเป็นนิกายที่สังกัดขององค์ดาไลลามะ เรียกภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่า "นิกายหมวกเหลือง"

แล้วก็มาถึงเรื่องของการป้องกันชาติ ป้องกันแผ่นดิน ซึ่งเขาระบุเอาไว้ว่า "แม้ประเทศของเราจะเล็ก อาวุธของเราจะล้าหลัง แต่เราก็ต้องสู้กับผู้รุกราน เพื่อรักษาศาสนา ประเทศชาติ ประชาชน และวัฒนธรรมของเราเอาไว้"

เรื่องต่าง ๆ หลายเรื่องพอเข้าไปฟัง และชมวิดีโอซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหว มีการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ค่อนข้างใจจะเข้มแข็ง ก็คงต้องเสียน้ำตากันเลยทีเดียว..! จนกระทั่งมาถึงช่วงสุดท้าย เป็นห้องของผู้หญิงทิเบต เริ่มตั้งแต่พระมารดาขององค์ดาไลลามะ และบรรดาวีรสตรีต่าง ๆ ซึ่งต่อสู้กับกองทัพคอมมิวนิสต์จีน จนกระทั่งมาถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบัน

จากนั้นพวกเราออกมาจะหาซื้อสินค้าของที่ระลึก แต่ปรากฏว่าข้าวของเขาเหลือน้อยมาก ๆ ไม่มีอะไรให้เลือก ก็เลยต้องกลับขึ้นรถ ฝ่ารถติด สร้างความตื่นเต้นให้กับชีวิตกลับขึ้นเขา แต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่บรรยายว่าหัวโค้งนี้ มุมถนนนี้ ตนไม่สามารถขับได้อย่างเด็ดขาด แต่เขาก็สามารถที่จะไปกันได้ ทั้ง ๆ ที่รถสองคันใหญ่เกินถนนไปอย่างน้อยก็ครึ่งคัน เขาก็สามารถที่จะถ้อยทีถ้อยอาศัย พากันขยับซ้ายขยับขวา จนกระทั่งผ่านกันไปได้ด้วยดีทุกครั้ง..!

เมื่อพวกเรากลับมาถึงโรงแรมที่พัก ส่วนหนึ่งก็ไปสั่งอาหารเย็น อีกส่วนหนึ่งก็เข้าที่พัก ทำภารกิจส่วนตัว กระผม/อาตมภาพที่ถือ "ชุดเดียวเที่ยวทั่วโลก" ก็รีบซักจีวรเอาไว้ก่อน เพราะว่าอีกหลายวันต่อไปไม่ทราบว่าจะมีโอกาสแบบนี้หรือเปล่า ?

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

กฤษฎากร
03-05-2025, 04:34
เมื่ออิ่มแล้ว นายวิกรม (วิกะระมะ) หรือชื่อไทยว่าวิกรม
มัคคุเทศก์ท้ งถิ่น ก็ได้นำเอารถตู้มาเปลี่ยนให้คันของกระผม/อาตมภาพ ไม่ทราบเหมือนกันว่ารถตู้คันที่ใช้อยู่และสะดวกกับการถ่ายรูปนั้น ส่งไปให้กับนักท่องเที่ยวคณะไหน ? แต่เขาก็หารถมาให้จนได้ครบ ๒ คัน

พาพวกเราวิ่งลงเขาเข้าเมืองธรรมศาลา ซึ่งรถติดค่อนข้างที่จะมาก กว่าจะหลุดไปถึงวัด Gyuto Tantric Monastery ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์ขนาดใหญ่ได้ ทำเอารถติดจนหลายคนเริ่มจะท้อ แต่พอไปเห็นวัดและวิทยาลัยสงฆ์ขนาดมหึมา ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้มาถึง

พวกเราถ่ายรูปหมู่ด้านหน้าตัวอาคารหลัก ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราเมืองเราก็ประมาณมหาวิหาร แล้วเดินเข้าไปภายใน กระผม/อาตมภาพอ่านป้ายข้อห้ามของเขา ก็คือ "ไม่ให้ส่งเสียงดัง ไม่สมควรจะขึ้นไปนั่งบนอาสนะพระ ไม่สมควรที่จะจับต้องสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยเฉพาะเครื่องสักการบูชา" ก็เดินเข้าไปด้านใน ถ่ายรูปเสียทุกซอกทุกมุม

โดยมีคุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็นซีทัวร์ ตามอธิบายขยายความให้ทราบว่า แต่ละอย่างหมายถึงอะไร โดยเฉพาะทางด้านนิกายตันตระนั้น ได้รับคำตำหนิว่าเป็นผู้ทำศาสนาพุทธให้เสื่อมมาโดยตลอด บุคคลที่ไม่ศึกษาและเข้าใจถึงหลักการของเขา ก็คิดว่าเป็นตามนั้น แล้วก็พูดต่อ ๆ กันมา..!

เมื่อกระผม/อาตมภาพถ่ายรูปเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็มีพระมาสะกิด โบกมือประมาณว่า "ห้ามถ่ายรูป" กระผม/อาตมภาพก็ยังงง ๆ อยู่ แต่อีกฝ่ายเดินไปสับสวิตช์ปิดไฟภายในศาลานั้นไปเลย..! เมื่อเดินออกมาข้างนอกถึงได้เห็นป้ายเล็ก ๆ เขียนเอาไว้ว่า "ห้ามถ่ายรูป ห้ามบันทึกวีดีโอ" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ขอโทษอยู่ในใจ เนื่องเพราะไม่ทราบจริง ๆ..!

พวกเราเดินหาห้องน้ำห้องส้วมของเขา เมื่อเข้ากันเรียบร้อยแล้วก็กลับขึ้นรถ ให้โชเฟอร์พาฝ่ารถติดสาหัสสากรรจ์ ตอนแรกออกมาตรงซอยประตูวัด เห็นมีตำรวจจราจร ๓ คน ๔ คน ช่วยกันโบกรถ ก็ยังรู้สึกว่าเขาทำหน้าที่เข้มแข็งมาก ที่ไหนได้..พ่อเจ้าประคุณเอาแค่รถตัวเองออกได้เท่านั้น..! เมื่อรถตัวเองหลุดพ้นไปได้ ทุกคนก็โดดขึ้นรถวิ่งหายวับไปกับตา ปล่อยให้พวกเราติดกันอีรุงตุงนังกันต่อไป พูดง่าย ๆ ว่า ติดเสียจนท้อใจ..!

กรุงเทพฯ ของเราว่ารถติดมากแล้ว ทำไมธรรมศาลาถึงได้ติดขนาดนี้ ? ขยับไปได้ทีละประมาณช่วงคันรถ แล้วก็ติดอีกพักใหญ่ ๆ เป็นอย่างนี้ไปตลอด ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงถึงได้เจอตัวต้นเหตุ ก็คือรถบรรทุกคันหนึ่งจอดตายแหงแก๋ขวางอยู่กลางทาง..!

ท้ งถิ่น น่าจะแก้เป็น ท้องถิ่น