เข้าระบบ

View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๗


ตัวเล็ก
14-12-2024, 11:46
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๗

dnYzxmNrQTM

เถรี
14-12-2024, 20:09
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพในฐานะประธานคณะกรรมการอุปถัมภ์โครงการบูรณะวัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) หมู่ที่ ๒ ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ต้องมาทำการบวงสรวงขออนุญาตรื้อตำหนักพระยายมราช ตลอดจนกระทั่งรูปปั้นของท่าน เพื่อที่จะได้ปรับปรุงภูมิทัศน์และสร้างตำหนักใหม่ให้ภูมิฐานสวยงามยิ่งกว่าเดิม ตลอดจนกระทั่งหล่อรูปด้วยโลหะ แทนรูปปั้นด้วยปูนของเดิมที่ไม่ค่อยจะงดงามนักของเดิม ทำไปก็หวั่น ๆ ใจอยู่เหมือนกันว่าจะเข้าทำนองภาษิตจีนที่ว่า "มาขุดดินเหนือศีรษะเทพไท่ส่วย" หรือเปล่า ?

แต่ยังดีที่ว่าท่านปู่พระยายมราชนั้นท่านเป็นพรหม มีพรหมวิหารธรรมเป็นปกติ นอกจากเมตตา กรุณาแล้ว ท่านยังมีมุทิตาและอุเบกขาอย่างเต็มเปี่ยมอยู่ด้วย ดังนั้น..เมื่อกระผม/อาตมภาพขออนุญาตให้รื้อตำหนักและสร้างใหม่ โดยที่ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ แก่ผู้เกี่ยวข้อง ท่านก็เมตตาอนุญาตให้ทำตามนั้น

ด้วยความที่ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลงแรงมาก ร่างกายไม่ค่อยจะดีของคนแก่ จึงชำรุดทรุดโทรม หลังจากทำการบวงสรวงขออนุญาตแล้วก็ได้นอนพักผ่อนอยู่ในที่พัก แล้วก็สะดุ้งขึ้นมาเหมือนกับโดนใครถีบ..! ปรากฏว่าเมื่อเช็คดูในกลุ่มไลน์แล้วก็ได้แต่บ่นในใจว่า "เฮ้อ..แต่ละมื้อแต่ละเดย์..!"

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ามีพระเถระท่านหนึ่ง ได้แชร์ข้อความในกลุ่มไลน์ ซึ่งออกมาอยู่ในลักษณะที่เหมือนกับดี แต่ไม่ดี กระผม/อาตมภาพจะค่อย ๆ อ่านให้ท่านทั้งหลายฟังทีละข้อดังนี้

"การเล่นไลน์นั้นเท่ากับการได้ประพฤติธรรม ๙ ข้อ โดยไม่รู้ตัว

๑) ฉันทะ ทุกคนมีความปรารถนาที่อยากจะเล่นไลน์นั่นเอง

๒) วิริยะ มีความพยายามที่จะเข้ากลุ่มเพื่อหาเรื่องมาคุย

๓) จิตตะ มีใจจดจ่อ ได้ยินเสียง "ติ๊ง" รีบเปิดอ่าน ตื่นเช้าขึ้นมารีบเปิดดู

๔) วิมังสา ใช้ปัญญาไตร่ตรองข้อความที่เราอ่าน"

ทั้ง ๔ ข้อนี้แม้ว่าจะเป็นการชี้แจงที่ตรงกับหลักธรรม แต่ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า หลักธรรมนั้นมีตั้งแต่เบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย สำหรับปุถุชน กัลยาณชน และอริยชน ไม่ใช่ระดับใดระดับหนึ่ง ถ้าหากว่าเราไปชี้แจงในลักษณะอย่างนี้ จะก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิแก่ผู้คนอีกเป็นจำนวนมาก เรามาดูข้อความกันต่อไป

เถรี
14-12-2024, 20:11
"๕) ปราโมทย์ มีใจเบิกบานที่ได้อ่านข้อความขำขัน" ฟังดูเหมือนกับใช่ แต่ถ้าหากว่าได้อ่านข้อความที่เขาด่าเรา หรือที่เขาทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มก๊วนการเมือง เรื่องธรรมะ ตลอดจนกระทั่งข่าวสารบ้านเมืองต่าง ๆ เราจะเกิดปราโมทย์ได้หรือไม่ ?

"๖) ปีติ อิ่มเอิบใจ ปลื้มใจ ที่มีคนชอบเรื่องของเรา" แล้วถ้าหากว่าเขาไม่ชอบ ให้คอมเม้นท์มาแบบเจ็บ ๆ คัน ๆ หรือด่าสาดเสียเทเสีย หรือว่าโดนอันไลค์ อันฟอลโลว์ แล้วท่านยังจะปีติไหวหรือไม่ ?

"๗) ปัสสัทธิ มีความผ่อนคลายที่ได้อ่านเรื่องสนุก ๆ" แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องสนุก แถมเป็นเรื่องเครียด ตลอดจนกระทั่งเรื่องราวอันไม่เป็นที่ชอบใจของเรา ท่านยังจะผ่อนคลายไหวหรือไม่ ?

"๘) สุข มีความฉ่ำชื่นใจที่ได้คุยกับเพื่อน" ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าการคุยกับเพื่อนของท่านจะมีแต่ความสุขเพียงประการเดียว ? ไหนจะเรื่องลูก ไหนจะเรื่องเมีย ไหนจะเรื่องครอบครัว ไหนจะเรื่องสังคม ไปกระทั่งถึงเรื่องการเมือง หรือความเห็นต่างกันในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กระผม/อาตมภาพเห็นว่าวางมวยกันมาเยอะต่อเยอะแล้ว แม้กระทั่งเรื่องขี้กองเดียวยังแทงกันบาดเจ็บสาหัสมาแล้ว..!

"๙) สมาธิ จิตใจสงบ ตั้งมั่น แน่วแน่ในการเล่นไลน์" ตรงนี้กระผม/อาตมภาพขอเรียนถวายว่าเป็นมิจฉาสมาธิ ซึ่งมิจฉาสมาธิย่อมเกิดจากมิจฉาทิฏฐิที่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ

ดังนั้น..เรื่องนี้ไม่ควรที่จะออกไปไกลกว่านี้ กระผม/อาตมภาพจึงได้รีบเตือนให้ท่านระมัดระวังในการส่งต่อหรือว่าแชร์ต่อ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพมีประสบการณ์มาแล้ว ในเรื่องของรุ่นพี่คนหนึ่ง ท่านนั่งอยู่ในวงไพ่ได้ข้ามวันข้ามคืน ในระดับที่ไม่กินไม่ดื่มอะไรทั้งสิ้น ซึ่งมิจฉาสมาธิระดับนั้น จัดอยู่ในระดับจตุตถฌานแถมยังใช้งานเสียด้วย ดีไม่ดีอยู่ในระดับของนิโรธสมาบัติไปเลย..! เพียงแต่ว่าจัดอยู่ในประเภทมิจฉาสมาธิ ก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ โดยเฉพาะรุ่นพี่ท่านนั้น ท้ายสุดก็เกิดอาการทางสมอง ชักตาตั้งอยู่ข้างวงไพ่ แล้วท้ายที่สุดก็เสียชีวิตลงก่อนวัยอันควร..!

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่เห็นข้อความต่าง ๆ แล้วเกิดชอบใจ ท่านอย่าได้คิดว่าจะเป็นเรื่องดีกับคนอื่น อาจจะก่อโทษให้มากกว่าที่คิด เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าระดับกำลังใจของเราไม่เท่ากัน ถ้าอยู่ในระดับปุถุชนหนาด้วยกิเลส อ่านแล้วชอบใจ ไม่ได้แปลว่ากัลยาณชนท่านจะชอบใจ อยู่ในระดับกัลยาณชนคนมีศีล อ่านแล้วชอบใจ ไม่ได้หมายความว่าอริยชนผู้ประกอบด้วยศีลธรรมสมบูรณ์อ่านแล้วจะชอบใจ ท่านอาจจะเป็นผู้ชักจูงให้คนอื่นเป็นมิจฉาทิฏฐิได้โดยง่าย..!

เถรี
14-12-2024, 20:13
ดังนั้น..การเล่นไลน์นั้นแม้ว่าในเบื้องต้นจะตรงกับหลักธรรมเบื้องต้นในข้ออิทธิบาท ๔ แต่ข้ออื่น ๆ นั้นสามารถแย้งได้ทั้งหมด แม้แต่ในส่วนที่ตรงกับอิทธิบาท ๔ ก็เป็นส่วนของปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ไม่ใช่ของกัลยาณชนหรือว่าอริยชนจะสรรเสริญ ถ้าหากว่าท่านเผยแพร่ออกไป จะก่อให้เกิดการทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูปที่แทรกมาในของจริง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ จัดว่าเป็นการตีความโดย "อัตโนมติ" ซึ่งการตีความนั้น ถ้าตราบใดที่เรายังไม่ใช่บุคคลที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ก็ไม่สามารถที่จะตีความได้ถูกต้องอยู่แล้ว

เนื่องเพราะว่าหลักธรรมขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น แม้แต่พระสารีบุตรเถระผู้มากยิ่งด้วยปัญญา ก็ยังเป็นเพียงผู้ที่รู้แนวทางว่า พระองค์ท่านอธิบายหลักธรรมไปในแนวใด แต่ไม่สามารถที่จะอธิบายให้รายละเอียดตามกำลังพระทัยของพระองค์ได้ เนื่องเพราะว่าพุทธวิสัยนั้นไม่ใช่วิสัยของสาวกภูมิจะติดตามไปถึง ต่อให้เป็นพระอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญา ก็เพียงแต่อยู่ในลักษณะเห็นหลังไกล ๆ เท่านั้น

เราท่านทั้งหลายจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในสังคมปัจจุบันของเรานั้น เข้าถึงสื่อโซเชียลต่าง ๆ ได้ง่ายมาก แต่ถ้าหากว่าปราศจากปัญญาพิจารณา เอาแต่แชร์ต่อโดยขาดความยั้งคิด เราอาจจะทำให้สังคมปั่นป่วนวุ่นวายเดือดร้อน หรือว่าเกิดโทษในการทำลายหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ผู้คนกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าลักษณะนี้ โทษที่ท่านสร้างโดยไม่เจตนาก็ยังหนักหนาสาหัสเหลือเกิน..!


กระผม/อาตมภาพที่เพิ่งจะขออนุญาตในการรื้อตำหนักและสร้างรูปพระยายมราช ยังคิดอยู่ว่า "ถ้าพระยายมราชท่านเจอหน้าพวกเราที่สร้างความเป็นมิจฉาทิฏฐิแก่ผู้อื่นนั้น ท่านจะทำหน้าอย่างไร ?" แต่คาดว่าโอกาสที่จะเจอนั้นยากมาก เพราะว่าโทษของการทำให้บุคคลเป็นมิจฉาทิฏฐินั้น ตามที่กระผม/อาตมภาพรู้มา โดยไม่มีอยู่ในตำรา ก็คือ ๔ เท่าของอเวจีมหานรก..!

เถรี
14-12-2024, 20:15
เนื่องเพราะว่าการที่เราทำให้คนอื่นเป็นมิจฉาทิฏฐิ บุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้นต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่รู้จบ แทบจะไม่มีโอกาสที่ได้พบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ยิ่งไม่มีโอกาสพบธรรมะ โอกาสที่ความเป็นมิจฉาทิฏฐิจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปก็มีมากขึ้นทุกที ทำให้คนห่างไกลความดี ก่อทุกข์ก่อโทษแก่เขาขนาดนั้น โทษนี้จึงกลายเป็น ๔ เท่าของอเวจีมหานรก มีเพียงนรกพิเศษระดับ VVIP เท่านั้นที่จะรองรับบุคคลเหล่านี้ได้ ก็คือโลกันตนรก..!

ซึ่งข้อนี้ถ้าเกิดขึ้นกับเราท่านทั้งหลาย ก็คาดว่ากว่าที่จะมีโอกาสได้เกิดขึ้นพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกครั้ง คงเป็นระยะเวลาที่เนิ่นนานเหลือเกิน เนื่องเพราะว่าโลกันตนรกนั้น มืดมิดปราศจากแสงโดยสิ้นเชิง เหล่าสัตว์นรกต้องห้อยโหนอยู่ที่ขอบเหวนรก ซึ่งหนาวเย็นสุดขั้ว ถ้าเผลอพลั้งพลาดตกลงไปในน้ำกรดที่อยู่เบื้องล่างเมื่อไร ความเย็นจัดของน้ำกรดก็ทำให้ร่างของท่านแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง ยังไม่ทันที่จะพ้นความทรมาน กรรมก็ทำให้ร่างนั้นต้องก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แหวกว่ายอยู่ในทะเลน้ำกรดที่เย็นจนประมาณไม่ได้ต่อไปอีก

ถ้าหากว่าเลี้ยวถูกทางขึ้นฝั่งได้ทัน ก็หนาวเข้าไปถึงจิตถึงใจ อย่างชนิดที่อยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป..! แต่ถ้าหากว่าผิดทาง ว่ายยาวไปอีกฝั่งหนึ่ง ยังไม่ทันจะถึงฝั่ง ความเย็นจัดก็ทำลายสังขารของท่านแหลกสลายไปอีกรอบ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็อยู่ในลักษณะอย่างนี้ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาพระองค์หนึ่ง พระรัศมีที่ฉายฉานไปก็ผ่านวาบไปครั้งหนึ่ง เหมือนอย่างกับฟ้าแลบในความมืดเท่านั้น ซึ่งเรายังไม่ทันที่จะได้สติ ระลึกตรึกตรองว่าเป็นแสงอะไร ก็ตกอยู่ในความมืดมิด หาความสว่างไม่ได้ต่อไปชั่วกาลนาน..!

พูดง่าย ๆ ว่าถ้าหากคำว่า "ตกนรกแบบไม่รู้ผุดรู้เกิด" อย่างที่โบราณเขาพูดนั้น ไม่มีขุมใดที่เหมาะไปกว่าจะใช้กับโลกันตนรกแห่งนี้อีกแล้ว เราท่านทั้งหลายจึงต้องระมัดระวังตนเองเป็นอย่างสูง พูดง่าย ๆ ว่า "ไม่แน่ใจว่าได้แชร์ออกไปเป็นอันขาด"

สำหรับวันนี้จึงต้องเร่งมาเตือนพวกเรา ขออนุญาตบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)